• เห็นใจแต่หนี้ต้องจ่ายเอง ส.ฟุตบอลไม่ล่มของบได้ : [NEWS UPDATE]

    นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เผยกรณีนางนวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย แถลงความอัดอั้นตันใจถึงผู้บริหารสมาคมชุดเก่า โดยเฉพาะการแพ้คดีสยามสปอร์ต ต้องชดใช้หนี้ 360 ล้านบาท ให้กำลังใจนายกสมาคมฟุตบอล และเห็นใจว่าเข้ามาภายใต้ภาวะที่ทุกคนทราบดี แต่หนี้เป็นเรื่องที่สมาคมต้องรับผิดชอบ ยืนยัน ไม่ต้องกังวลจะกระทบฟุตบอลทีมชาติไทย และไม่ต้องกลัวสมาคมฟุตบอลจะล่ม เพราะมีมาตรการสนับสนุน สามารถของบพัฒนาได้ ยกเว้นชำระหนี้ให้ เพราะงบของกระทรวงท่องเที่ยว ถูกตั้งเป็นงบปกติ ไม่ได้ตั้งไว้เพื่อใช้หนี้ ยอมรับ มีปัญหาขั้นตอน​การเบิก​จ่าย เตรียมปรับปรุงทั้งหมด​ให้จ่ายเป็นก้อนได้​ เพื่อให้ไปบริหารจัดการเอง​ ไม่ใช่จ่ายเป็นรายโปรแกรมการแข่งขัน

    -ถามหาสปิริต ก.แรงงาน

    -รพ.รามาแจ้งลดผู้ป่วย

    -ตีตกวินิจฉัยคุณสมบัติรมต.

    -สหรัฐอยากทำอะไรทำเลย
    เห็นใจแต่หนี้ต้องจ่ายเอง ส.ฟุตบอลไม่ล่มของบได้ : [NEWS UPDATE] นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เผยกรณีนางนวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย แถลงความอัดอั้นตันใจถึงผู้บริหารสมาคมชุดเก่า โดยเฉพาะการแพ้คดีสยามสปอร์ต ต้องชดใช้หนี้ 360 ล้านบาท ให้กำลังใจนายกสมาคมฟุตบอล และเห็นใจว่าเข้ามาภายใต้ภาวะที่ทุกคนทราบดี แต่หนี้เป็นเรื่องที่สมาคมต้องรับผิดชอบ ยืนยัน ไม่ต้องกังวลจะกระทบฟุตบอลทีมชาติไทย และไม่ต้องกลัวสมาคมฟุตบอลจะล่ม เพราะมีมาตรการสนับสนุน สามารถของบพัฒนาได้ ยกเว้นชำระหนี้ให้ เพราะงบของกระทรวงท่องเที่ยว ถูกตั้งเป็นงบปกติ ไม่ได้ตั้งไว้เพื่อใช้หนี้ ยอมรับ มีปัญหาขั้นตอน​การเบิก​จ่าย เตรียมปรับปรุงทั้งหมด​ให้จ่ายเป็นก้อนได้​ เพื่อให้ไปบริหารจัดการเอง​ ไม่ใช่จ่ายเป็นรายโปรแกรมการแข่งขัน -ถามหาสปิริต ก.แรงงาน -รพ.รามาแจ้งลดผู้ป่วย -ตีตกวินิจฉัยคุณสมบัติรมต. -สหรัฐอยากทำอะไรทำเลย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 4 0 รีวิว
  • กรรมของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย (12/03/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #สมาคมฟุตบอล #มาดามแป้ง #หนี้สมาคมฟุตบอล
    กรรมของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย (12/03/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #สมาคมฟุตบอล #มาดามแป้ง #หนี้สมาคมฟุตบอล
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 17 0 รีวิว
  • สถานที่สำหรับอดีตตำรวจใหญ่ ปล้นสมาคมฟุตบอล ปล้นฟีฟ่า ปล้นไทยลีก ปล้นทีมชาติไทย เมิงกับพวกโดนฟ้องไล่เบี้ยแน่นอน เตรียมนอนห้องเบอร์ 50 แดน 5
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    สถานที่สำหรับอดีตตำรวจใหญ่ ปล้นสมาคมฟุตบอล ปล้นฟีฟ่า ปล้นไทยลีก ปล้นทีมชาติไทย เมิงกับพวกโดนฟ้องไล่เบี้ยแน่นอน เตรียมนอนห้องเบอร์ 50 แดน 5 #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 12-3-68

    วันนี้เป็น Medley หลายๆ เรื่องเพราะในช่วงไม่กี่วันมานี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ไม่ว่าจะเป็นกรณีการเซ็นคำสั่งไล่ออก "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล, เรื่องวุ่น ๆ ที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในยุค พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ซึ่งมาดามแป้ง นวลพรรณต้องเข้ามาแก้ไข, การทุจริตในกองทุนประกันสังคม รวมไปถึงปัญหาการเมือง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและอีกหลาย ๆ เรื่องที่ไม่พูดไม่ได้
    https://www.youtube.com/watch?v=BsejsSA1nX8

    #SondhiTalk #สนธิเล่าเรื่อง #บิ๊กโจ๊ก #สมาคมฟุตบอล #มาดามแป้ง #กองทุนประกันสังคม
    สนธิเล่าเรื่อง 12-3-68 วันนี้เป็น Medley หลายๆ เรื่องเพราะในช่วงไม่กี่วันมานี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ไม่ว่าจะเป็นกรณีการเซ็นคำสั่งไล่ออก "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล, เรื่องวุ่น ๆ ที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในยุค พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ซึ่งมาดามแป้ง นวลพรรณต้องเข้ามาแก้ไข, การทุจริตในกองทุนประกันสังคม รวมไปถึงปัญหาการเมือง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและอีกหลาย ๆ เรื่องที่ไม่พูดไม่ได้ https://www.youtube.com/watch?v=BsejsSA1nX8 #SondhiTalk #สนธิเล่าเรื่อง #บิ๊กโจ๊ก #สมาคมฟุตบอล #มาดามแป้ง #กองทุนประกันสังคม
    Like
    Love
    12
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 417 มุมมอง 2 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 12-3-68
    .
    รายการสนธิเล่าเรื่องวันนี้เป็น Medley หลายๆ เรื่องเพราะในช่วงไม่กี่วันมานี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ไม่ว่าจะเป็นกรณีการเซ็นคำสั่งไล่ออก "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล, เรื่องวุ่น ๆ ที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในยุค พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ซึ่งมาดามแป้ง นวลพรรณต้องเข้ามาแก้ไข, การทุจริตในกองทุนประกันสังคม รวมไปถึงปัญหาการเมือง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและอีกหลาย ๆ เรื่องที่ไม่พูดไม่ได้
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=BsejsSA1nX8
    .
    #SondhiTalk #สนธิเล่าเรื่อง #บิ๊กโจ๊ก #สมาคมฟุตบอล #มาดามแป้ง #กองทุนประกันสังคม
    สนธิเล่าเรื่อง 12-3-68 . รายการสนธิเล่าเรื่องวันนี้เป็น Medley หลายๆ เรื่องเพราะในช่วงไม่กี่วันมานี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ไม่ว่าจะเป็นกรณีการเซ็นคำสั่งไล่ออก "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล, เรื่องวุ่น ๆ ที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในยุค พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ซึ่งมาดามแป้ง นวลพรรณต้องเข้ามาแก้ไข, การทุจริตในกองทุนประกันสังคม รวมไปถึงปัญหาการเมือง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและอีกหลาย ๆ เรื่องที่ไม่พูดไม่ได้ . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=BsejsSA1nX8 . #SondhiTalk #สนธิเล่าเรื่อง #บิ๊กโจ๊ก #สมาคมฟุตบอล #มาดามแป้ง #กองทุนประกันสังคม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • 12 มีนาคม 2568-เพจวิเคราะห์บอลจริงจังเขียนบทความน่าสนใจว่ามาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ มารับงานตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สิ่งแรกที่เธอต้องเจอคือ "หนี้สิน" ที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทิ้งไว้ให้เงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท แปลว่า ยุคของมาดามแป้งต้องเริ่มแบบติดลบ 105 ล้านบาทย้อนกลับไปดูวันสุดท้าย ของพล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคม เขาบอกว่า "อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ" โอเค... พล.ต.อ.สมยศ อาจเริ่มต้นด้วยกุญแจดอกเดียว ไขเข้าไปในห้องแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแต่กับเคสของมาดามแป้ง เธอเอากุญแจดอกนั้นไขเข้าไป แล้วเจอ "กองหนี้สินมหาศาล" ที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ต้องเป็นคนชดใช้ในวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้งแถลงผลงาน ครบ 1 ปีที่เข้ามาเป็นนายกสมาคม แต่สาเหตุที่สื่อมวลชนมหาศาลมาทำข่าววันนี้ ไม่ใช่เรื่องผลงานดังกล่าว ทุกคนอยากรู้แค่ว่า "มาดามแป้ง จะจัดการปัญหาหนี้สิน 360 ล้านบาทกับสยามสปอร์ตอย่างไร?" ผมขอสรุป 2 คดีของสมาคมกับสยามสปอร์ตนิดเดียวครับ ---------------คดีที่ 1 สยามสปอร์ต ฟ้อง สมาคมฟุตบอล 1,401 ล้านบาท โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบศาลชั้นต้น : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 450 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลฎีกา : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 360 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยสมาคมแพ้คดีทุกศาล เพราะต่อให้คุณจะไม่ชอบสัญญาขนาดไหน คุณก็ไปฉีกสัญญาที่เซ็นกันแล้วอย่างถูกต้องไม่ได้ มาดามแป้งบอกว่า หนี้สินไม่ได้มีแค่เงินต้น 360 ล้าน แต่ดอกเบี้ยก็มหาศาลมาก เกิน 200 ล้านบาทแน่นอน---------------คดีที่ 2 สมาคมฟุตบอล ฟ้อง สยามสปอร์ต ขอเอาทรัพย์สินคืน 1,139 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสยามสปอร์ต ทำเงินจากการเป็นผู้ถือสิทธิประโยชน์ แต่ไม่ยอมส่งมอบเงินให้สมาคมศาลชั้นต้น : สยามสปอร์ต ต้องจ่ายค่าเสียหาย 99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : ยกฟ้อง ศาลฎีกา : ไม่รับฎีกาคดีที่สมาคมฟ้องสยามสปอร์ต จบแล้วเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสยามสปอร์ตกั๊กเงินเอาไว้เอง ทำให้บทสรุปของคดีนี้ สยามสปอร์ตชนะอีกคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว---------------ในการปะทะกันบนศาลครั้งนี้ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ทั้ง 2 คดี และสมาคมต้องหาเงินมหาศาลเอามาชำระหนี้แปลว่า มาดามแป้ง มารับตำแหน่งนายกสมาคม 1 ปี เธอมีหนี้สิ้นเริ่มต้น 105 ล้านบาท ตามด้วยหนี้ก้อนที่สองของสยามสปอร์ต (เงินต้น + ดอกเบี้ย) อีก 560 ล้านบาท รวมแล้วกลมๆ สมาคมมีหนี้สิ้นทั้งหมด 665 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้ในทางกฎหมายนั้น คนที่ฉีกสัญญาของสยามสปอร์ตคือ "นิติบุคคล" ไม่ใช่ตัว "สมยศ" แปลว่า ภาระหนี้สิ้นเหล่านี้ มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมคนปัจจุบัน ต้องเป็นคนหาเงินมาชำระให้เจ้าหนี้ถ้าเธอหาเงินไม่ได้ สมาคมอาจจะถูกยึดทรัพย์ สำนักงานที่ทำการสมาคมก็จะโดนยึดเอาไปจ่ายหนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนไหวของมาดามแป้งอย่างมาก เพราะถ้าสมาคมที่ก่อตั้งมา 110 ปี ต้องล่มสลาย โดนยึดทุกอย่างในยุคของเธอ มันจะเป็นตราบาปที่ติดในใจเธอไปตลอดเมื่อพูดถึงตรงนี้ มาดามแป้งร้องไห้ เธอบอกว่า "แป้งมาด้วยเจตนาดี ทุกคนคงจะเห็นใจแป้งบ้าง สิ่งที่แป้งเจอเนี่ย แป้งทำเต็มที่ ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนแรกของทวีปเอเชีย เข้ามาไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ แป้งไม่เคยดราม่า แต่ว่าแป้งคิดว่า แป้งทำงานมาได้ถึงขนาดนี้ แป้งเต็มที่แล้ว ""แป้งแค่ขอความเห็นใจ และขอกำลังใจ จากแฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยแป้งและสภากรรมการ แต่เรื่องหนี้สินมันไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแป้ง แต่แป้งต้องมารับทุกสิ่งทุกอย่าง แป้งเป็นคน และเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนกัน"ถ้าเราพูดกันแบบตรงๆ เลย ตลอด 1 ปีของมาดามแป้ง เธอก็มีผลงานไม่เลวหลายอย่าง เช่น พาทีมชาติไทยมีอันดับโลกต่ำกว่าร้อย ครั้งแรกในรอบ 16 ปี, หาเงินมาจ่ายให้สโมสรไทยลีกได้สำเร็จ รวมถึง จัดงานฟีฟ่า คองเกรสได้เยี่ยมจนได้รับคำชมแน่นอน มาดามแป้งไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ทุกคนทราบดี เรื่องโปรแกรมเลื่อนไทยลีกจนชุลมุน เธอก็ยังจัดการไม่ดีนัก แต่อย่างน้อย การต่อสู้ในสภาพที่สมาคมเจอหนี้มหาศาลขนาดนี้ ถือว่าโอเคแล้วสำหรับเรื่องการใช้หนี้ เมื่อศาลมีฎีกามาแล้ว ยังไงก็ต้องหาเงินมาชดใช้ โชคดีที่ทางมาดามแป้ง กับ ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามสปอร์ต สนิทสนมกันดี ก็อาจจะพอประนีประนอม ยืดเวลาจ่ายกันได้อยู่จริงอยู่ แม้ศาลจะระบุว่า คนที่ต้องใช้หนี้ คือสมาคมฟุตบอลซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่มาดามแป้งรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ ไม่แฟร์เลยที่ พล.ต.อ.สมยศ จะรอดไปดื้อๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรดังนั้นเธอจึงศึกษาข้อมูล และค้นพบว่ามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า "นิติบุคคลที่ต้องชดใช้ความเสียหาย สามารถไล่เบี้ย ฟ้องร้องคืนจากคนที่ก่อความเสียหายได้" มาดามแป้ง จึงเตรียมฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ในมาตรา 76 นี้ โทษฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยพลการ จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับสมาคม เรื่องนี้จะขึ้นสู่ศาลแน่นอน ก็ต้องมาดูกันว่า สมาคมฟุตบอลจะสามารถทวงเงินคืนสักก้อน จากพล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการชุดเก่าได้หรือไม่ ---------------ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ไฮไลท์ของจริง ที่มาดามแป้งอยากเล่า ไม่ใช่คดีของสยามสปอร์ต แต่เป็นการแฉพล.ต.อ.สมยศ แบบ "เละ" อัดทุกอย่างจนกระจุยไปหมด ในวันแรกที่มาดามแป้งมารับงานเป็นนายกสมาคมคนใหม่ เมื่อเจอหนี้สินร้อยล้านกว่าบาท ทำให้เธอตั้งคำถามว่า แล้วเงินก้อนต่างๆ ที่สมาคมได้รับมาก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมด?ทำให้เธอตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจชื่อ "คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดเลย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีฟอกเงิน มาไล่เช็กรายรับ-รายจ่าย ของสมาคมยุคก่อนว่า เงินมันไปอยู่ไหนบ้างสิ่งที่ค้นเจอจากการตรวจสอบมีหลายอย่าง ที่แปลก [ เรื่องแปลกอย่างที่ 1 ] คดีที่สมาคม ฟ้อง สยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความเอาไว้ และมีการตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อยศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท เป็นค่าวิชาชีพของทีมทนายความในศาลชั้นต้น กับ ศาลอุทธรณ์ก็จ่ายกันไป ตามราคา แต่พอถึงศาลฎีกา (ที่ศาลไม่รับฟ้องด้วย) จากตัวเลขที่ตกลงกัน 3 แสนบาท อยู่ๆ ทางสมาคมไปจ่ายให้ทนายความ เป็นจำนวน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ 100 เท่าโดยการจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือ ที่จะว่าความด้วยราคา 30 ล้านบาท? แล้วทำไมถึงจ่ายแพงกว่าร้อยเท่าจากเดิมที่ตกลงกัน นี่คือการ "ทิ้งทวน" เอาเงินก้อนสุดท้าย ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือเปล่า ก็ไม่สามารถตอบได้[ เรื่องแปลกอย่างที่ 2 ] ทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาดามแป้งเข้ามาทำงานในปีแรก ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์เท่านั้น หายไป 5 แสนเหรียญทีมงานของมาดามแป้งจึงไปค้นข้อมูล ปรากฏว่า สมาคมยุคพล.ต.อ.สมยศ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (155 ล้านบาท)ฟีฟ่าจ่ายให้ 5 ล้านดอลลาร์ตามคำขอ โดยแจ้งสมาคมให้ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่าย 10 ปี (2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์ ซึ่งทางฟีฟ่าจะหักเอาเลย จากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปีนั่นคือเหตุผลที่สมาคมยุคมาดามแป้ง จะเงินหายไป 5 แสนเหรียญ (16.8 ล้านบาท) ทุกปี จนถึงปี 2573นี่เป็นเรื่องที่มาดามแป้งเฮิร์ทมาก เพราะเธอหมดวาระนายกสมาคม ในปี 2571 เท่ากับว่าเธอต้องจ่าย 5 แสนเหรียญที่ พล.ต.อ.สมยศก่อขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนจบวาระของเธอเลยด้วยซ้ำขณะที่ 5 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากฟีฟ่าตอนแรกสุด ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวว่าเอามาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง[ เรื่องแปลกอย่างที่ 3 ]พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับบริษัท Perform จากมาเลเซียทั้งสองอย่างคือ สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนใบเหลือง-ใบเหลือง, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, ระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน ข้อมูลเหล่านี้ สามารถเอาไปใช้ในอะไรก็ได้ เช่น เอาไปสร้างเกมแฟนตาซี, เอาไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับโต๊ะพนัน หรือถ้าคิด worst case คือเอาสถิติเหล่านี้มาศึกษาทั้งไทยลีก หรือทีมชาติก็ได้ เพื่อที่ชาติเพื่อนบ้านจะได้แซงหน้าเราไปได้ในอนาคต พล.ต.อ.สมยศ ขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งมาดามแป้ง พยายามขอซื้อคืน เพราะไม่อยากให้ข้อมูลบอลไทยรั่วไหล แต่บริษัท Perform ไม่ขาย เงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ก้อนนี้ "ไม่รู้อยู่ไหน" แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันเป็นข้อมูลภายในของฟุตบอลไทย ที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่รู้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลเหมือนกัน[ เรื่องแปลกอย่างที่ 4 ]ในวงการฟุตบอลไทยนั้น เป็นธรรมเนียม ที่นายกสมาคมจะไม่รับเงินเดือนกัน คือผมไม่ได้บอกว่า ดีหรือเปล่า แต่ธรรมเนียมปฏิบัติเขาทำกันมาแบบนี้ คนที่ลงสมัครนายกสมาคมจะรู้แต่แรกโดยธรรมชาติอย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม โดยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เป็นจำนวน 5 แสนบาท ไม่เพียงแค่นั้น ยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 5 แสนบาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 1 ล้านบาทเคยมีคนไปสอบถามในเรื่องนี้ แต่พล.ต.อ.สมยศ ก็อธิบายว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ไม่ได้เอาไปทั้งหมดขนาดนั้นปัญหาในเรื่องนี้คือ ทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้ และ "ยังไม่พบ" จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้อยู่ไหน ไม่รู้ว่ามีการบริจาคจริงตามที่พูดหรือเปล่า---------------มาดามแป้งใช้เวลาแถลงข่าวทั้งหมด 64 นาที เล่าทุกอย่าง แบบตรงไปตรงมา เธอยืนยันว่า "ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว กับ พล.ต.อ.สมยศ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อทวงเงินที่เป็นของสมาคมกลับคืนมา เพราะสมาคมฟุตบอลต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้" ทีนี้ เมื่อฝั่งสมาคมโจมตีใส่อย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ถึงคิวของ พล.ต.อ.สมยศ ต้องออกมาอธิบายตัวเอง ว่าข้อสงสัยต่างๆ ที่มาดามแป้งพูดถึงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่าทนาย 30 ล้าน มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละน่าคิดนะ ว่าเงินก้อนโตที่เข้าออกสมาคม จำนวนมากกว่าร้อยล้าน สุดท้ายมันหายไปไหนหมด ทำไมเหลือแต่หนี้สินทิ้งเอาไว้สำหรับประเด็นที่เราต้องติดตาม มีหลายอย่าง เช่น ในปี 2571 ที่จะหมดสัญญากับผู้ถือสิทธิประโยชน์รายปัจจุบัน (แพลนบี) และ เจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อแข่งทีมชาติ (วอร์ริกซ์) สมาคมจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะเซ็นกัน 8 ปีแบบเดิมอีกไหม รวมถึง การเจรจาหาทางชำระหนี้สยามสปอร์ตจะทำอย่างไร เมื่อไม่มีเงินในบัญชีเลย จะเล่นแร่แปรธาตุ หาเงินจากไหนได้บ้าง? นี่คือช่วงเวลาที่มาดามแป้งต้องใช้กลยุทธ์ธุรกิจทุกอย่าง รวมถึงคอนเน็กชั่นทั้งหมดที่เธอมี ในการประคองให้สมาคมรอดพ้นวิกฤติไปให้ได้หลังจบงานแถลงข่าว มาดามแป้งเดินมาขอบคุณสื่อมวลชน และพอเธอเดินมาถึง ผมถามเธอว่า "เจอแบบนี้ ภาระหนี้สินหลายร้อยล้านที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เคยคิดจะลาออกไหมครับ?" มาดามแป้ง หยุดคิด แล้วตอบผมว่า "เคยคิดนะคะ" "แต่เราได้กำลังใจจากคนมากมาย นายกสมาคมประเทศอื่นในเอเชีย ก็บอกว่าอยู่ต่อเถอะ เพราะเราทำงานได้ดีแล้ว มันก็เลยมีพลังที่จะสู้ต่อ""และที่สำคัญ ถ้าเราไม่ทำ ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้ แล้วจะปล่อยให้ใครจะมาแก้ ดังนั้นก็ต้องสู้ค่ะ"ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการแถลงข่าว ที่เดือดดาลที่สุดของสมาคมฟุตบอล มาดามแป้งเริ่มด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้มในการแถลงผลงาน ตามด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำตาเข้าใจเธอครับ ถ้าอยู่ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินร้อยล้านแบบไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ คงทั้งแค้น ทั้งเศร้าเป็นธรรมดาการเป็นผู้นำองค์กร ที่ต้องแบกรับความคาดหวังทุกอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ วันนี้มาดามแป้งทำให้เห็นว่า เธอก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความอ่อนไหว เสียใจได้ ร้องไห้เป็น แต่แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วแก้ปัญหากันต่อปิดท้ายในเรื่องนี้ สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือ ความโปร่งใสของอดีตนายกฯ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เข้ามารับตำแหน่ง กับสโลแกนว่า "มาจับโจร" แต่ตอนนี้กลับโดนข้อครหามากมาย เหมือนว่าเขาเป็นโจรเสียเองสมมุติว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตลอด ก็ไม่เห็นต้องกลัวการตรวจสอบ คนซื่อสัตย์ย่อมต้องหาคำอธิบายทุกอย่างได้อยู่แล้ว แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีจิตใจคิดทุจริต หวังใช้สมาคมฟุตบอลในการกอบโกยผลประโยชน์ล่ะก็ รับรองได้ว่าเรื่องนี้ จะไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอนเพราะถ้าหากคนเป็นผู้นำ ยังไม่ตรงไปตรงมา มีนอกมีในอยู่ตลอด แล้วอนาคตของวงการฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร ... แค่คิดก็สิ้นหวังแล้ว
    12 มีนาคม 2568-เพจวิเคราะห์บอลจริงจังเขียนบทความน่าสนใจว่ามาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ มารับงานตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สิ่งแรกที่เธอต้องเจอคือ "หนี้สิน" ที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทิ้งไว้ให้เงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท แปลว่า ยุคของมาดามแป้งต้องเริ่มแบบติดลบ 105 ล้านบาทย้อนกลับไปดูวันสุดท้าย ของพล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคม เขาบอกว่า "อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ" โอเค... พล.ต.อ.สมยศ อาจเริ่มต้นด้วยกุญแจดอกเดียว ไขเข้าไปในห้องแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแต่กับเคสของมาดามแป้ง เธอเอากุญแจดอกนั้นไขเข้าไป แล้วเจอ "กองหนี้สินมหาศาล" ที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ต้องเป็นคนชดใช้ในวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้งแถลงผลงาน ครบ 1 ปีที่เข้ามาเป็นนายกสมาคม แต่สาเหตุที่สื่อมวลชนมหาศาลมาทำข่าววันนี้ ไม่ใช่เรื่องผลงานดังกล่าว ทุกคนอยากรู้แค่ว่า "มาดามแป้ง จะจัดการปัญหาหนี้สิน 360 ล้านบาทกับสยามสปอร์ตอย่างไร?" ผมขอสรุป 2 คดีของสมาคมกับสยามสปอร์ตนิดเดียวครับ ---------------คดีที่ 1 สยามสปอร์ต ฟ้อง สมาคมฟุตบอล 1,401 ล้านบาท โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบศาลชั้นต้น : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 450 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลฎีกา : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 360 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยสมาคมแพ้คดีทุกศาล เพราะต่อให้คุณจะไม่ชอบสัญญาขนาดไหน คุณก็ไปฉีกสัญญาที่เซ็นกันแล้วอย่างถูกต้องไม่ได้ มาดามแป้งบอกว่า หนี้สินไม่ได้มีแค่เงินต้น 360 ล้าน แต่ดอกเบี้ยก็มหาศาลมาก เกิน 200 ล้านบาทแน่นอน---------------คดีที่ 2 สมาคมฟุตบอล ฟ้อง สยามสปอร์ต ขอเอาทรัพย์สินคืน 1,139 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสยามสปอร์ต ทำเงินจากการเป็นผู้ถือสิทธิประโยชน์ แต่ไม่ยอมส่งมอบเงินให้สมาคมศาลชั้นต้น : สยามสปอร์ต ต้องจ่ายค่าเสียหาย 99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : ยกฟ้อง ศาลฎีกา : ไม่รับฎีกาคดีที่สมาคมฟ้องสยามสปอร์ต จบแล้วเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสยามสปอร์ตกั๊กเงินเอาไว้เอง ทำให้บทสรุปของคดีนี้ สยามสปอร์ตชนะอีกคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว---------------ในการปะทะกันบนศาลครั้งนี้ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ทั้ง 2 คดี และสมาคมต้องหาเงินมหาศาลเอามาชำระหนี้แปลว่า มาดามแป้ง มารับตำแหน่งนายกสมาคม 1 ปี เธอมีหนี้สิ้นเริ่มต้น 105 ล้านบาท ตามด้วยหนี้ก้อนที่สองของสยามสปอร์ต (เงินต้น + ดอกเบี้ย) อีก 560 ล้านบาท รวมแล้วกลมๆ สมาคมมีหนี้สิ้นทั้งหมด 665 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้ในทางกฎหมายนั้น คนที่ฉีกสัญญาของสยามสปอร์ตคือ "นิติบุคคล" ไม่ใช่ตัว "สมยศ" แปลว่า ภาระหนี้สิ้นเหล่านี้ มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมคนปัจจุบัน ต้องเป็นคนหาเงินมาชำระให้เจ้าหนี้ถ้าเธอหาเงินไม่ได้ สมาคมอาจจะถูกยึดทรัพย์ สำนักงานที่ทำการสมาคมก็จะโดนยึดเอาไปจ่ายหนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนไหวของมาดามแป้งอย่างมาก เพราะถ้าสมาคมที่ก่อตั้งมา 110 ปี ต้องล่มสลาย โดนยึดทุกอย่างในยุคของเธอ มันจะเป็นตราบาปที่ติดในใจเธอไปตลอดเมื่อพูดถึงตรงนี้ มาดามแป้งร้องไห้ เธอบอกว่า "แป้งมาด้วยเจตนาดี ทุกคนคงจะเห็นใจแป้งบ้าง สิ่งที่แป้งเจอเนี่ย แป้งทำเต็มที่ ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนแรกของทวีปเอเชีย เข้ามาไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ แป้งไม่เคยดราม่า แต่ว่าแป้งคิดว่า แป้งทำงานมาได้ถึงขนาดนี้ แป้งเต็มที่แล้ว ""แป้งแค่ขอความเห็นใจ และขอกำลังใจ จากแฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยแป้งและสภากรรมการ แต่เรื่องหนี้สินมันไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแป้ง แต่แป้งต้องมารับทุกสิ่งทุกอย่าง แป้งเป็นคน และเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนกัน"ถ้าเราพูดกันแบบตรงๆ เลย ตลอด 1 ปีของมาดามแป้ง เธอก็มีผลงานไม่เลวหลายอย่าง เช่น พาทีมชาติไทยมีอันดับโลกต่ำกว่าร้อย ครั้งแรกในรอบ 16 ปี, หาเงินมาจ่ายให้สโมสรไทยลีกได้สำเร็จ รวมถึง จัดงานฟีฟ่า คองเกรสได้เยี่ยมจนได้รับคำชมแน่นอน มาดามแป้งไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ทุกคนทราบดี เรื่องโปรแกรมเลื่อนไทยลีกจนชุลมุน เธอก็ยังจัดการไม่ดีนัก แต่อย่างน้อย การต่อสู้ในสภาพที่สมาคมเจอหนี้มหาศาลขนาดนี้ ถือว่าโอเคแล้วสำหรับเรื่องการใช้หนี้ เมื่อศาลมีฎีกามาแล้ว ยังไงก็ต้องหาเงินมาชดใช้ โชคดีที่ทางมาดามแป้ง กับ ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามสปอร์ต สนิทสนมกันดี ก็อาจจะพอประนีประนอม ยืดเวลาจ่ายกันได้อยู่จริงอยู่ แม้ศาลจะระบุว่า คนที่ต้องใช้หนี้ คือสมาคมฟุตบอลซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่มาดามแป้งรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ ไม่แฟร์เลยที่ พล.ต.อ.สมยศ จะรอดไปดื้อๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรดังนั้นเธอจึงศึกษาข้อมูล และค้นพบว่ามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า "นิติบุคคลที่ต้องชดใช้ความเสียหาย สามารถไล่เบี้ย ฟ้องร้องคืนจากคนที่ก่อความเสียหายได้" มาดามแป้ง จึงเตรียมฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ในมาตรา 76 นี้ โทษฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยพลการ จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับสมาคม เรื่องนี้จะขึ้นสู่ศาลแน่นอน ก็ต้องมาดูกันว่า สมาคมฟุตบอลจะสามารถทวงเงินคืนสักก้อน จากพล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการชุดเก่าได้หรือไม่ ---------------ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ไฮไลท์ของจริง ที่มาดามแป้งอยากเล่า ไม่ใช่คดีของสยามสปอร์ต แต่เป็นการแฉพล.ต.อ.สมยศ แบบ "เละ" อัดทุกอย่างจนกระจุยไปหมด ในวันแรกที่มาดามแป้งมารับงานเป็นนายกสมาคมคนใหม่ เมื่อเจอหนี้สินร้อยล้านกว่าบาท ทำให้เธอตั้งคำถามว่า แล้วเงินก้อนต่างๆ ที่สมาคมได้รับมาก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมด?ทำให้เธอตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจชื่อ "คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดเลย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีฟอกเงิน มาไล่เช็กรายรับ-รายจ่าย ของสมาคมยุคก่อนว่า เงินมันไปอยู่ไหนบ้างสิ่งที่ค้นเจอจากการตรวจสอบมีหลายอย่าง ที่แปลก [ เรื่องแปลกอย่างที่ 1 ] คดีที่สมาคม ฟ้อง สยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความเอาไว้ และมีการตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อยศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท เป็นค่าวิชาชีพของทีมทนายความในศาลชั้นต้น กับ ศาลอุทธรณ์ก็จ่ายกันไป ตามราคา แต่พอถึงศาลฎีกา (ที่ศาลไม่รับฟ้องด้วย) จากตัวเลขที่ตกลงกัน 3 แสนบาท อยู่ๆ ทางสมาคมไปจ่ายให้ทนายความ เป็นจำนวน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ 100 เท่าโดยการจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือ ที่จะว่าความด้วยราคา 30 ล้านบาท? แล้วทำไมถึงจ่ายแพงกว่าร้อยเท่าจากเดิมที่ตกลงกัน นี่คือการ "ทิ้งทวน" เอาเงินก้อนสุดท้าย ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือเปล่า ก็ไม่สามารถตอบได้[ เรื่องแปลกอย่างที่ 2 ] ทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาดามแป้งเข้ามาทำงานในปีแรก ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์เท่านั้น หายไป 5 แสนเหรียญทีมงานของมาดามแป้งจึงไปค้นข้อมูล ปรากฏว่า สมาคมยุคพล.ต.อ.สมยศ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (155 ล้านบาท)ฟีฟ่าจ่ายให้ 5 ล้านดอลลาร์ตามคำขอ โดยแจ้งสมาคมให้ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่าย 10 ปี (2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์ ซึ่งทางฟีฟ่าจะหักเอาเลย จากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปีนั่นคือเหตุผลที่สมาคมยุคมาดามแป้ง จะเงินหายไป 5 แสนเหรียญ (16.8 ล้านบาท) ทุกปี จนถึงปี 2573นี่เป็นเรื่องที่มาดามแป้งเฮิร์ทมาก เพราะเธอหมดวาระนายกสมาคม ในปี 2571 เท่ากับว่าเธอต้องจ่าย 5 แสนเหรียญที่ พล.ต.อ.สมยศก่อขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนจบวาระของเธอเลยด้วยซ้ำขณะที่ 5 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากฟีฟ่าตอนแรกสุด ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวว่าเอามาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง[ เรื่องแปลกอย่างที่ 3 ]พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับบริษัท Perform จากมาเลเซียทั้งสองอย่างคือ สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนใบเหลือง-ใบเหลือง, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, ระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน ข้อมูลเหล่านี้ สามารถเอาไปใช้ในอะไรก็ได้ เช่น เอาไปสร้างเกมแฟนตาซี, เอาไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับโต๊ะพนัน หรือถ้าคิด worst case คือเอาสถิติเหล่านี้มาศึกษาทั้งไทยลีก หรือทีมชาติก็ได้ เพื่อที่ชาติเพื่อนบ้านจะได้แซงหน้าเราไปได้ในอนาคต พล.ต.อ.สมยศ ขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งมาดามแป้ง พยายามขอซื้อคืน เพราะไม่อยากให้ข้อมูลบอลไทยรั่วไหล แต่บริษัท Perform ไม่ขาย เงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ก้อนนี้ "ไม่รู้อยู่ไหน" แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันเป็นข้อมูลภายในของฟุตบอลไทย ที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่รู้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลเหมือนกัน[ เรื่องแปลกอย่างที่ 4 ]ในวงการฟุตบอลไทยนั้น เป็นธรรมเนียม ที่นายกสมาคมจะไม่รับเงินเดือนกัน คือผมไม่ได้บอกว่า ดีหรือเปล่า แต่ธรรมเนียมปฏิบัติเขาทำกันมาแบบนี้ คนที่ลงสมัครนายกสมาคมจะรู้แต่แรกโดยธรรมชาติอย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม โดยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เป็นจำนวน 5 แสนบาท ไม่เพียงแค่นั้น ยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 5 แสนบาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 1 ล้านบาทเคยมีคนไปสอบถามในเรื่องนี้ แต่พล.ต.อ.สมยศ ก็อธิบายว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ไม่ได้เอาไปทั้งหมดขนาดนั้นปัญหาในเรื่องนี้คือ ทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้ และ "ยังไม่พบ" จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้อยู่ไหน ไม่รู้ว่ามีการบริจาคจริงตามที่พูดหรือเปล่า---------------มาดามแป้งใช้เวลาแถลงข่าวทั้งหมด 64 นาที เล่าทุกอย่าง แบบตรงไปตรงมา เธอยืนยันว่า "ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว กับ พล.ต.อ.สมยศ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อทวงเงินที่เป็นของสมาคมกลับคืนมา เพราะสมาคมฟุตบอลต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้" ทีนี้ เมื่อฝั่งสมาคมโจมตีใส่อย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ถึงคิวของ พล.ต.อ.สมยศ ต้องออกมาอธิบายตัวเอง ว่าข้อสงสัยต่างๆ ที่มาดามแป้งพูดถึงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่าทนาย 30 ล้าน มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละน่าคิดนะ ว่าเงินก้อนโตที่เข้าออกสมาคม จำนวนมากกว่าร้อยล้าน สุดท้ายมันหายไปไหนหมด ทำไมเหลือแต่หนี้สินทิ้งเอาไว้สำหรับประเด็นที่เราต้องติดตาม มีหลายอย่าง เช่น ในปี 2571 ที่จะหมดสัญญากับผู้ถือสิทธิประโยชน์รายปัจจุบัน (แพลนบี) และ เจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อแข่งทีมชาติ (วอร์ริกซ์) สมาคมจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะเซ็นกัน 8 ปีแบบเดิมอีกไหม รวมถึง การเจรจาหาทางชำระหนี้สยามสปอร์ตจะทำอย่างไร เมื่อไม่มีเงินในบัญชีเลย จะเล่นแร่แปรธาตุ หาเงินจากไหนได้บ้าง? นี่คือช่วงเวลาที่มาดามแป้งต้องใช้กลยุทธ์ธุรกิจทุกอย่าง รวมถึงคอนเน็กชั่นทั้งหมดที่เธอมี ในการประคองให้สมาคมรอดพ้นวิกฤติไปให้ได้หลังจบงานแถลงข่าว มาดามแป้งเดินมาขอบคุณสื่อมวลชน และพอเธอเดินมาถึง ผมถามเธอว่า "เจอแบบนี้ ภาระหนี้สินหลายร้อยล้านที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เคยคิดจะลาออกไหมครับ?" มาดามแป้ง หยุดคิด แล้วตอบผมว่า "เคยคิดนะคะ" "แต่เราได้กำลังใจจากคนมากมาย นายกสมาคมประเทศอื่นในเอเชีย ก็บอกว่าอยู่ต่อเถอะ เพราะเราทำงานได้ดีแล้ว มันก็เลยมีพลังที่จะสู้ต่อ""และที่สำคัญ ถ้าเราไม่ทำ ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้ แล้วจะปล่อยให้ใครจะมาแก้ ดังนั้นก็ต้องสู้ค่ะ"ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการแถลงข่าว ที่เดือดดาลที่สุดของสมาคมฟุตบอล มาดามแป้งเริ่มด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้มในการแถลงผลงาน ตามด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำตาเข้าใจเธอครับ ถ้าอยู่ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินร้อยล้านแบบไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ คงทั้งแค้น ทั้งเศร้าเป็นธรรมดาการเป็นผู้นำองค์กร ที่ต้องแบกรับความคาดหวังทุกอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ วันนี้มาดามแป้งทำให้เห็นว่า เธอก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความอ่อนไหว เสียใจได้ ร้องไห้เป็น แต่แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วแก้ปัญหากันต่อปิดท้ายในเรื่องนี้ สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือ ความโปร่งใสของอดีตนายกฯ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เข้ามารับตำแหน่ง กับสโลแกนว่า "มาจับโจร" แต่ตอนนี้กลับโดนข้อครหามากมาย เหมือนว่าเขาเป็นโจรเสียเองสมมุติว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตลอด ก็ไม่เห็นต้องกลัวการตรวจสอบ คนซื่อสัตย์ย่อมต้องหาคำอธิบายทุกอย่างได้อยู่แล้ว แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีจิตใจคิดทุจริต หวังใช้สมาคมฟุตบอลในการกอบโกยผลประโยชน์ล่ะก็ รับรองได้ว่าเรื่องนี้ จะไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอนเพราะถ้าหากคนเป็นผู้นำ ยังไม่ตรงไปตรงมา มีนอกมีในอยู่ตลอด แล้วอนาคตของวงการฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร ... แค่คิดก็สิ้นหวังแล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความน่าสนใจเกี่ยวกับคดีฟ้องร้องระหว่างบริษัทสยามสปอร์ตกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยที่สิ้นสุดอย่างเป็นทางการที่ศาลฎีกา https://www.facebook.com/share/p/1DTAvmX9UV/?mibextid=wwXIfr
    บทความน่าสนใจเกี่ยวกับคดีฟ้องร้องระหว่างบริษัทสยามสปอร์ตกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยที่สิ้นสุดอย่างเป็นทางการที่ศาลฎีกา https://www.facebook.com/share/p/1DTAvmX9UV/?mibextid=wwXIfr
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • แต่งตั้งเลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยคนใหม่ (06/03/68) #news1 #สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย #เอกพลพลนาวี
    แต่งตั้งเลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยคนใหม่ (06/03/68) #news1 #สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย #เอกพลพลนาวี
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 817 มุมมอง 24 0 รีวิว
  • คลิปหลุด!! เปาสาว แอบแซ่บ!!รุ่นใหญ่ โดนแบนตลอดชีวิต (10/10/67) #news1 #เอลิฟคาราอาร์สลาน #สมาคมฟุตบอลตุรกี
    คลิปหลุด!! เปาสาว แอบแซ่บ!!รุ่นใหญ่ โดนแบนตลอดชีวิต (10/10/67) #news1 #เอลิฟคาราอาร์สลาน #สมาคมฟุตบอลตุรกี
    Haha
    Like
    Love
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1624 มุมมอง 404 0 รีวิว
  • บทความน่าสนใจของเพจวิเคราะห์บอลจริงจังเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 มีประเด็นที่มาของการแพ้คดีที่สมาคมฟุตบอลฯยุคพลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วงฟ้องบริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท ต่อมาศาลทรัพย์สินทางปัญญาตัดสินให้สมาคมฯต้องจ่าย450ล้านบาท เนื้อหาระบุว่า

    “มาดามแป้ง -นวลพรรณ ล่ำซำ โอดครวญว่า เธอต้องเข้ามาเป็นนายกสมาคม แบบ "ติดลบ" เพราะมีหนี้สิน ถูกทิ้งไว้ให้ต้องรับผิดชอบ เป็นจำนวนมหาศาล

    หนี้ที่เธอกล่าวถึง คือ ค่าชดเชยที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ สั่งให้สมาคม ต้องจ่ายให้บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต เป็นจำนวน 450 ล้านบาท

    คดีนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วทำไมสมาคมถึงแพ้ เราจะไปลำดับเหตุการณ์กันตั้งแต่แรกนะครับ

    ย้อนกลับไป ในปี 2559 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และเขาประกาศจุดยืนไว้ว่า "ผมจะเข้ามาเก็บกวาดบ้าน ผมจะเข้ามาจับโจร"

    สิ่งที่ พล.ต.อ.สมยศ ให้ความสำคัญอันดับแรก ไม่ใช่เรื่องของฟุตบอล แต่เป็นการเดินหน้าฟ้องร้อง ผู้ที่มีข้อพิพาทกับสมาคม จำนวนทั้งสิ้น 3 คดี

    2 คดีแรก เกี่ยวกับวรวีร์ มะกูดี เรื่องการสร้างศูนย์ฝึกกีฬาแห่งชาติที่หนองจอก และ เรื่องยักยอกทรัพย์ ส่วนคดีที่ 3 เกี่ยวข้องกับบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต จำกัด (มหาชน)

    ก่อนที่เราจะไปเล่าคดี สมยศ vs สยามสปอร์ต เราจำเป็นต้องปูพื้นแบ็กกราวน์ของเรื่องก่อน เพื่อความเข้าใจในภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น

    ฟุตบอลไทยลีก ก่อตั้งในปี 2539 ณ เวลานั้น คนดูในสนามแทบไม่มี ความนิยมตกต่ำมาก

    ในช่วง 5 ปีแรก (2539-2544) สมาคมยุควิจิตร เกตุแก้ว พยายามจัดการด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไปไม่ไหว ขาดทุนยับ

    นั่นทำให้ สุชาติ มุฑุกัณฑ์ ทีมผู้บริหารของสมาคมฟุตบอลขณะนั้น มาขอร้องให้ บริษัท สยามสปอร์ต ช่วยเป็นออร์กาไนเซอร์ จัดการแข่งขันลีกอาชีพขึ้นมา พร้อมทั้งช่วงประชาสัมพันธ์เต็มรูปแบบ เพราะสยามสปอร์ตเป็นสื่อใหญ่ที่มีทรัพยากรในมือ น่าจะช่วยสร้างความนิยมให้ไทยลีกได้

    สิ่งที่จะเอามาแลกเปลี่ยน ก็คือ ให้สยามสปอร์ตเป็น "ผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ของไทยลีก"

    สำหรับส่วนแบ่งของรายได้ในแต่ละปีนั้น มีรายงานว่า

    - ถ้าได้กำไร สยามสปอร์ตจะได้ ส่วนแบ่งกำไร 95% สมาคมได้ 5%
    - ถ้าขาดทุน สยามสปอร์ตต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด

    ถ้าดูตัวเลขนี้ (95% - 5%) ดูเหมือนสยามสปอร์ตจะได้ส่วนแบ่งเยอะก็จริง แต่อย่าลืมว่าตอนนั้นฟุตบอลไทยยังไม่มีมูลค่า ถ้าสมาคมเอาไปทำเอง อย่าว่าแต่กำไร 5% เลย มีแต่จะเข้าเนื้อก็เท่านั้น

    และต่อให้สยามสปอร์ตจะเอาไปทำ ก็ใช่ว่าจะได้กำไรมากมายอะไร สุดท้ายสัญญาก็เลยออกมาในรูปแบบนั้น

    ดีลระหว่างสยามสปอร์ต กับ สมาคมในยุควิจิตร เกตุแก้ว ก็เลยเกิดขึ้น โดยสยามสปอร์ตมีหน้าที่ ต้องจัดการแข่งขันและโปรโมท ไทยลีก, ลีกรอง และ ลีกภูมิภาคทั้งหมด

    ระวิ โหลทอง ผู้บริหารสูงสุดของสยามสปอร์ตกล่าวไว้ว่า "ถ้าผมทำฟุตบอลนอกอย่างเดียว ผมก็ไม่ขาดทุนแล้ว แต่เมื่อผมมาทำไทยลีก ก็ไม่อยากให้มีปัญหาต่อกัน ผมลงทุนทำทีมฟุตบอลเพื่อให้วงการสนุก ส่วนตัวแล้วเรื่องเงินทองไม่มีปัญหาสำหรับผม คนอาจจะมองว่าสยามสปอร์ตได้กำไร แต่มันไม่ใช่ หุ้นบริษัทก็ไม่เคยกระดิก"

    นับจากปี 2544 สยามสปอร์ตเป็นผู้บริหารสิทธิประโยชน์ของไทยลีกมาเรื่อยๆ

    ซึ่งระหว่างนี้ นายกสมาคม เปลี่ยนคนจากวิจิตร เกตุแก้ว เป็นวรวีร์ มะกูดี แต่ก็ยังเซ็นสัญญากันต่อเนื่องกันไป ไม่มีปัญหาอะไร

    รายงานจาก Thaipublica เปิดเผยว่าสยามสปอร์ตในฐานะผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ ได้กำไรน้อยมาก โดยเนื้อหาระบุว่า "แม้เม็ดเงินจากสปอนเซอร์ต่างๆ จะไหลผ่านสยามสปอร์ตปีละหลายร้อยล้านบาท แต่ก็มีรายจ่ายที่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะค่าลิขสิทธิ์ไทยลีกที่ได้จากทรูวิชั่นส์ ต้องเอาไปแบ่งให้ทีมในไทยพรีเมียร์ลีก และดิวิชั่น 1 และเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายในการถ่ายทอดสด ที่มีข้อบังคับว่า ต้องถ่ายทอดสดปีละไม่ต่ำกว่า 500 แมตช์ คำนวณแล้ว แทบจะไม่เหลือกำไรเท่าไหร่"

    ผู้บริหารระดับสูงของสยามสปอร์ตรายหนึ่งอธิบายว่า "สิ่งที่บริษัทได้รับ ไม่ใช่กำไรจากการเข้าไปดูแลสิทธิประโยชน์โดยตรง แต่เป็นผลประโยชน์ทางอ้อมมากกว่า เพราะยิ่งวงการฟุตบอลไทยเติบโตเท่าไหร่ ยอดขายสื่อในเครือ และเงินค่าโฆษณาก็ยิ่งเติบโตขึ้น"

    ในปี 2556 สมาคมฟุตบอลยุควรวีร์ เซ็นสัญญาระยะยาวกับสยามสปอร์ต ให้เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ไทยลีก อีก 10 ปี (2556-2565)

    โดยจุดนี้ มีรายงานไม่ตรงกัน บางแหล่งบอกว่า ส่วนแบ่งกำไรอยู่ที่ 95% - 5% ตามเดิม แต่บางแหล่งข่าวบอกว่า ถูกปรับเป็น 50% - 50% แล้ว

    ตอนนั้นแม้จะต่อสัญญากันระยะยาว แต่ดราม่าไม่มี เพราะไทยลีกยังไม่บูม หลายคนมองว่าไทยลีก เป็นเผือกร้อนด้วยซ้ำ ที่โอกาสขาดทุน มากกว่ากำไร

    อย่างไรก็ตาม จุดพลิกผันสำคัญก็เกิดขึ้น ในปี 2557 เมื่อเกิดปรากฏการณ์ "บอลไทยฟีเวอร์"

    เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง รับตำแหน่งเฮดโค้ชทีมชาติ แล้วพาทีมช้างศึกคว้าแชมป์ AFF เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี พร้อมทั้งทำผลงานมาสเตอร์พีซในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก จนทีมไทย เข้าถึงรอบ 12 ทีมสุดท้าย เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี

    ทีมชาติชุดใหญ่ มีสตาร์ขึ้นมาประดับวงการพร้อมกันหลายคน เช่น ชนาธิป สรงกระสินธิ์, อดิศักดิ์ ไกรษร, สารัช อยู่เย็น, ชาริล ชัปปุยส์ ฯลฯ ในช่วง AFF จากนั้นก็เพิ่มเติมด้วยผู้เล่นซีเนียร์ ทั้งธีรศิลป์ แดงดา และ ธีราทร บุญมาทัน คือไม่ใช่แค่ชุดใหญ่เท่านั้น แต่บอลเยาวชน ไทยฟอร์มดีมาก คว้าชัยชนะได้ทุกรุ่น

    ทุกอย่างมันส่งเสริมกัน ทำให้ทีมชาติไทย บูมขึ้นแบบพุ่งทะยาน อานิสงส์ก็กลับมาหาไทยลีก ที่มีคนเข้ามาดูอย่างคับคั่ง ทั้งขาจร-ขาประจำ ขณะที่ เรตติ้งถ่ายทอดสดพุ่งสูงมาก

    นักกีฬากลายเป็นไอดอลของเด็กๆ แต่ละคนได้รับงานโฆษณา เป็นรายได้เสริมนอกเหนือจากค่าจ้างในการเล่นฟุตบอลด้วย

    ความนิยมของไทยลีก ทำให้ทรูวิชั่นส์ จ่ายเงินค่าถ่ายทอดสด สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ นั่นคือ สัญญา 4 ปี 4,200 ล้านบาท (เฉลี่ยฤดูกาลละ 1,050 ล้านบาท)

    ไม่ใช่แค่ไทยลีก แต่ลิขสิทธิ์ของทีมชาติชุดใหญ่ ก็ขายได้ราคาดีมาก ในช่วงบอลไทยฟีเวอร์ สามารถขายลิขสิทธิ์ทีมชาติ กับทางไทยรัฐทีวี ได้เงินนัดละ 750,000 บาท

    จากที่สยามสปอร์ต เคยเข้าเนื้อมาหลายๆ ปีติดต่อกัน ในที่สุด เมื่อบอลไทยบูมพร้อมกัน ทั้งสโมสรและทีมชาติ ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะเก็บเกี่ยวกำไรอย่างเป็นชิ้นเป็นอันแล้ว

    แต่แล้วสถานการณ์ก็พลิกผัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 เมื่อสมาคมมีการเลือกตั้งนายกครั้งใหม่ และพล.ต.อ.สมยศ เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง ล้างบางขั้วเก่าจนราบคาบ

    สิ่งที่ยังกั๊กๆ กันอยู่ คือพล.ต.อ.สมยศเป็นนายกก็จริง แต่คนดูแลสิทธิประโยชน์ไทยลีก จนถึงปี 2565 ดันเป็นสยามสปอร์ต ซึ่งอยู่ฝั่งขั้วอำนาจเก่าของวรวีร์

    ในมุมของพล.ต.อ.สมยศ จึงเป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะตัวเองเป็นนายกสมาคมแท้ๆ แต่ผลกำไรของบอลไทย กลับไปตกอยู่ในมือของอีกขั้วหนึ่ง

    นอกจากนั้น ในมุมของสมาคม มั่นใจว่าถ้าหาผู้ดูแลเจ้าอื่น สมาคมน่าจะได้ส่วนแบ่งมากกว่านี้

    หลังจาก พล.ต.อ.สมยศ ชนะเลือกตั้งเพียงแค่เดือนเดียว มีนาคม 2559 เขาตัดสินใจประกาศ "ยกเลิกสัญญา" กับสยามสปอร์ต ในช่วง 7 ปีที่เหลือ (2559-2565)

    พล.ต.อ.สมยศให้สัมภาษณ์ว่า "เราพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับสมาคม เป็นสัญญาผู้ขาดแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีการกำหนดค่าตอบแทนขั้นต่ำให้ ส่งผลให้สมาคม ไม่สามารถวางแผนงบประมาณดำเนินการได้ด้วยตัวเอง"

    อธิบายคือ สัญญาฉบับเดิมที่เซ็นกัน สยามสปอร์ตจะเป็นฝ่ายแจ้งเองว่าปีนี้ได้กำไรเท่าไหร่ แล้วจะแบ่งจัดสรรให้สมาคมเอง แต่ถ้าขาดทุนก็ไม่ต้องจ่าย

    วิธีการนี้ ไม่มีกำหนดว่า ต้องจ่าย "ขั้นต่ำ" เท่าไหร่ คือไม่มีตัวเลขระบุ ฝั่งสมาคมเอง ก็มองว่า แบบนี้จะตกแต่งเลขอย่างไรก็ได้น่ะสิ

    พล.ต.อ.สมยศ กล่าวปิดท้ายว่า "ผมไม่มีความขัดแย้งกับบริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท ผมเข้ามาทำหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกฯ สมาคม และอาสาเข้ามาแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งเมื่อเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ก็อยากทำให้ถูกต้อง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสมาคมฯ และประชาชนชาวไทย"

    หลังจากยกเลิกสัญญากับสยามสปอร์ต 1 เดือนเท่านั้น เมษายน 2559 สมาคมเซ็นสัญญากับ แพลนบี มีเดีย เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์รายใหม่แทน

    เซ็นฉบับแรก (4 ปี) ในปี 2559-2563 และเซ็นในฉบับที่สอง (8 ปี) ในช่วงปี 2564-2571

    และคดีความที่เป็นข่าวใหญ่ ก็เริ่มต้นจากจุดนี้

    เพราะฝั่งสยามสปอร์ตยอมไม่ได้ ที่โดนฉีกสัญญาที่เหลืออยู่ถึง 7 ปีทิ้งลงดื้อๆ

    คือในมุมของสยามสปอร์ตนั้น สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ จะคิดว่าสัญญาไม่เป็นธรรม หรือ ได้ส่วนแบ่งน้อย หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ในเมื่อมันมีการเซ็นสัญญาอย่างถูกต้องแล้ว มาโดนฉีกทิ้งแบบนี้ เขาก็เสียหายทางธุรกิจเช่นกัน แล้วแผนงานที่เตรียมไว้หลายปีต่อจากนี้ ใครจะรับผิดชอบ

    ที่ผ่านมา เขาลงทุนกับบอลไทยมาตั้งเยอะ แล้วพอวันที่มีโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ก็มาโดนฉีกสัญญาทิ้ง มันยุติธรรมกับเขาหรือไม่?

    นั่นทำให้ สยามสปอร์ตจึงฟ้องสมาคมฟุตบอล ในคดีแพ่ง ข้อหาผิดสัญญา และเรียกค่าเสียหายจำนวน 1,400 ล้านบาท

    ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ รับฟ้องคดีนี้ โดยสยามสปอร์ตเป็นโจทก์ สมาคมฟุตบอลเป็นจำเลย

    ในวันที่ 23 สิงหาคม 2562 ศาลชั้นต้นตัดสินให้สยามสปอร์ตชนะคดี สมาคมฯ ต้องจ่ายเงินชดเชย 50 ล้านบาท โทษฐานบอกเลิกสัญญาโดยมิชอบ

    อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ฝ่ายไม่พอใจนักกับผลการตัดสิน โดยฝ่ายกฎหมายของสยามสปอร์ต ให้สัมภาษณ์ว่า "ขอขอบคุณผู้พิพากษาที่ให้ความเป็นธรรมกับเรา อย่างไรก็ตามสยามสปอร์ต จะใช้สิทธิ์อุทธรณ์ในประเด็นเงินค่าเสียหาย ซึ่งทางเรามองว่า มีความเสียหายมากกว่า 50 ล้านบาท"

    แต่ฝั่งสมาคมฯ เองก็ไม่ยอมเช่นกัน โดยพล.ต.อ. สมยศ กล่าวว่า "ผมให้ความเคารพคำสั่งศาล แต่นี่เป็นเพียงศาลชั้นต้น สมาคมจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาอย่างแน่นอน"

    การต่อสู้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์ ดำเนินการมาถึง 2 ปี และในวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ศาลอุทธรณ์ได้ข้อสรุปว่า ตัวเลข 50 ล้านที่ศาลชั้นต้นสั่งให้สมาคม ชดใช้ มันน้อยเกินไป

    และมีคำพิพากษาแก้ ให้สมาคมฯ จ่ายเงินให้สยามสปอร์ตเพิ่มเป็น 450 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี

    จากศาลชั้นต้น 50 ล้านบาท สุดท้ายมาที่ศาลอุทธรณ์ ตัวเงินเด้งขึ้นไปที่ 450 ล้านบาท

    คำวินิจฉัยจากศาล ระบุว่า

    "แม้การบอกเลิกสัญญาระหว่างจำเลยกับโจทก์ จะทำเพื่อการพัฒนาระบบการบริหารให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีความชัดเจนด้านค่าตอบแทน จำนวนค่าตอบแทน รวมถึง คู่สัญญาที่ฝ่ายจำเลย อาจมองว่ามีความสามารถในการบริหารจัดการมากกว่าก็ตาม ทั้งหมด ก็มิได้เป็นเหตุที่จะบอกเลิกสัญญากับโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงต้องจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์"

    เมื่อจบศาลอุทธรณ์ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะคดีอยู่ แต่ฝั่งพล.ต.อ.สมยศ ยังไม่ยอม และตัดสินใจยื่นไปที่ฎีกาเป็นศาลสุดท้าย

    ตอนนี้การพิจารณาฎีกายังไม่ออกมา แต่สมาคมแพ้มา 2 ศาลแล้ว คงยากมาก ที่จะพลิกสถานการณ์ เอาตัวรอด ไม่เสียเงินในศาลสุดท้าย เพียงแต่จะจบแค่กี่บาทเท่านั้น

    คือฝั่ง พล.ต.อ.สมยศ มีสิทธิ์คิดอย่างไรก็ได้

    - คุณไม่พอใจได้ ที่ยุควรวีร์เซ็นสัญญายาวถึง 10 ปี กับสยามสปอร์ต

    - คุณไม่พอใจได้ ที่มองว่าส่วนแบ่งน้อยเกินไปแค่ 5%

    แต่การแก้ปัญหาไม่ใช่การหักดิบ โดยฉีกสัญญาทิ้ง ทางที่ดีกว่านั้นคือการเจรจาหาข้อตกลงร่วมกัน แต่พอคุณไปยกเลิกดื้อๆ แบบนั้น เขาก็ไปสู้ด้วยกฎหมายสิ

    และในมุมของศาล ก็ต้องตัดสินตามหลักฐานที่มันเป็นจริง แค่นั้นเอง

    ------------------------

    นั่นคือเหตุผลที่มาดามแป้ง ให้สัมภาษณ์ในวันก่อนว่า "แป้งไม่ได้มาตั้งต้นทางการเงินที่ศูนย์ แต่เริ่มจากติดลบ ติดลบ ติดลบ มันไม่แฟร์ แต่ก็ต้องทำ เพราะสมาคมฟุตบอลตั้งขึ้นมา 109 ปี ก็ต้องอยู่ต่อไป"

    เธอออกสตาร์ตมา ยังไม่ทันทำงานทำการ ก็มีหนี้สิ้น 450 ล้านบาท รออยู่ ถือว่าเป็นนายกสมาคมที่เหนื่อยสาหัส ตั้งแต่วันแรกที่รับงานทีเดียว

    เอาจริงๆ ก็เห็นใจมาดามแป้งอยู่ เธอเพิ่งมารับงานได้ไม่ถึงปี แต่เจอสารพัดปัญหาให้ต้องแก้ ทั้งเรื่องมูลค่าบอลไทยตกต่ำ รวมถึงเรื่อง สมาคมติดหนี้ติดสิน คงได้แต่เป็นกำลังใจให้เธอ ผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปให้ได้

    กับคำถามคือ จะเอาเงิน 450 ล้านจากไหนมาจ่ายสยามสปอร์ต? หรือว่าจะแลกเปลี่ยนด้วยการบาร์เตอร์ ทำอะไรสักอย่าง เราก็ต้องมาติดตามดูกันต่อไป

    พูดกันตรงๆ ว่า ถ้าคนที่มีหัวด้านธุรกิจ และ ทำงานด้านฟุตบอลมาหลายปี อย่างมาดามแป้ง ยังแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะมีใครในประเทศไทย มาจัดการเรื่องนี้ได้อีก

    สำหรับกรณีเรื่อง สมาคม vs สยามสปอร์ตครั้งนี้ บทเรียนสำคัญคือ ความรู้สึกของคุณจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ จะชอบหรือไม่ชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง

    แต่เมื่อมันมีสัญญาผูกพันกันไว้ การไปฉีกสัญญาทิ้งดื้อๆ แบบนี้ มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นฝ่ายเจ็บตัวเอง

    สำหรับ พล.ต.อ.สมยศ วันนี้เขาลงจากตำแหน่งไปแล้ว เป้าหมายการจับโจร ที่เขาตั้งใจไว้วันแรก ก็ไม่รู้ว่าสำเร็จไหม จับใครได้หรือเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้สมาคมโดนฟ้องร้องจนเป็นหนี้เป็นสิน เป็นภาระให้คนที่มาสานงานต่ออย่างมาก

    เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า การเป็นนายกสมาคมฟุตบอล เป็นภารกิจที่ไม่ง่ายเลย แค่บู๊อย่างเดียวไม่พอ แต่คุณต้องฉลาดรอบรู้อีกด้วย

    ถ้าทำอะไรโดยขาดความยั้งคิด องค์กรก็จะต้องเจอสถานการณ์ลำบาก เป็นภาระให้คนรับงานต่อ เหมือนอย่างที่สมาคมฟุตบอลต้องเผชิญอยู่ในเวลานี้”
    ที่มา : https://www.facebook.com/share/ZvKUvXwxRkMKfBci/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    บทความน่าสนใจของเพจวิเคราะห์บอลจริงจังเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 มีประเด็นที่มาของการแพ้คดีที่สมาคมฟุตบอลฯยุคพลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วงฟ้องบริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท ต่อมาศาลทรัพย์สินทางปัญญาตัดสินให้สมาคมฯต้องจ่าย450ล้านบาท เนื้อหาระบุว่า “มาดามแป้ง -นวลพรรณ ล่ำซำ โอดครวญว่า เธอต้องเข้ามาเป็นนายกสมาคม แบบ "ติดลบ" เพราะมีหนี้สิน ถูกทิ้งไว้ให้ต้องรับผิดชอบ เป็นจำนวนมหาศาล หนี้ที่เธอกล่าวถึง คือ ค่าชดเชยที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ สั่งให้สมาคม ต้องจ่ายให้บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต เป็นจำนวน 450 ล้านบาท คดีนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วทำไมสมาคมถึงแพ้ เราจะไปลำดับเหตุการณ์กันตั้งแต่แรกนะครับ ย้อนกลับไป ในปี 2559 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และเขาประกาศจุดยืนไว้ว่า "ผมจะเข้ามาเก็บกวาดบ้าน ผมจะเข้ามาจับโจร" สิ่งที่ พล.ต.อ.สมยศ ให้ความสำคัญอันดับแรก ไม่ใช่เรื่องของฟุตบอล แต่เป็นการเดินหน้าฟ้องร้อง ผู้ที่มีข้อพิพาทกับสมาคม จำนวนทั้งสิ้น 3 คดี 2 คดีแรก เกี่ยวกับวรวีร์ มะกูดี เรื่องการสร้างศูนย์ฝึกกีฬาแห่งชาติที่หนองจอก และ เรื่องยักยอกทรัพย์ ส่วนคดีที่ 3 เกี่ยวข้องกับบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต จำกัด (มหาชน) ก่อนที่เราจะไปเล่าคดี สมยศ vs สยามสปอร์ต เราจำเป็นต้องปูพื้นแบ็กกราวน์ของเรื่องก่อน เพื่อความเข้าใจในภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น ฟุตบอลไทยลีก ก่อตั้งในปี 2539 ณ เวลานั้น คนดูในสนามแทบไม่มี ความนิยมตกต่ำมาก ในช่วง 5 ปีแรก (2539-2544) สมาคมยุควิจิตร เกตุแก้ว พยายามจัดการด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไปไม่ไหว ขาดทุนยับ นั่นทำให้ สุชาติ มุฑุกัณฑ์ ทีมผู้บริหารของสมาคมฟุตบอลขณะนั้น มาขอร้องให้ บริษัท สยามสปอร์ต ช่วยเป็นออร์กาไนเซอร์ จัดการแข่งขันลีกอาชีพขึ้นมา พร้อมทั้งช่วงประชาสัมพันธ์เต็มรูปแบบ เพราะสยามสปอร์ตเป็นสื่อใหญ่ที่มีทรัพยากรในมือ น่าจะช่วยสร้างความนิยมให้ไทยลีกได้ สิ่งที่จะเอามาแลกเปลี่ยน ก็คือ ให้สยามสปอร์ตเป็น "ผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ของไทยลีก" สำหรับส่วนแบ่งของรายได้ในแต่ละปีนั้น มีรายงานว่า - ถ้าได้กำไร สยามสปอร์ตจะได้ ส่วนแบ่งกำไร 95% สมาคมได้ 5% - ถ้าขาดทุน สยามสปอร์ตต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด ถ้าดูตัวเลขนี้ (95% - 5%) ดูเหมือนสยามสปอร์ตจะได้ส่วนแบ่งเยอะก็จริง แต่อย่าลืมว่าตอนนั้นฟุตบอลไทยยังไม่มีมูลค่า ถ้าสมาคมเอาไปทำเอง อย่าว่าแต่กำไร 5% เลย มีแต่จะเข้าเนื้อก็เท่านั้น และต่อให้สยามสปอร์ตจะเอาไปทำ ก็ใช่ว่าจะได้กำไรมากมายอะไร สุดท้ายสัญญาก็เลยออกมาในรูปแบบนั้น ดีลระหว่างสยามสปอร์ต กับ สมาคมในยุควิจิตร เกตุแก้ว ก็เลยเกิดขึ้น โดยสยามสปอร์ตมีหน้าที่ ต้องจัดการแข่งขันและโปรโมท ไทยลีก, ลีกรอง และ ลีกภูมิภาคทั้งหมด ระวิ โหลทอง ผู้บริหารสูงสุดของสยามสปอร์ตกล่าวไว้ว่า "ถ้าผมทำฟุตบอลนอกอย่างเดียว ผมก็ไม่ขาดทุนแล้ว แต่เมื่อผมมาทำไทยลีก ก็ไม่อยากให้มีปัญหาต่อกัน ผมลงทุนทำทีมฟุตบอลเพื่อให้วงการสนุก ส่วนตัวแล้วเรื่องเงินทองไม่มีปัญหาสำหรับผม คนอาจจะมองว่าสยามสปอร์ตได้กำไร แต่มันไม่ใช่ หุ้นบริษัทก็ไม่เคยกระดิก" นับจากปี 2544 สยามสปอร์ตเป็นผู้บริหารสิทธิประโยชน์ของไทยลีกมาเรื่อยๆ ซึ่งระหว่างนี้ นายกสมาคม เปลี่ยนคนจากวิจิตร เกตุแก้ว เป็นวรวีร์ มะกูดี แต่ก็ยังเซ็นสัญญากันต่อเนื่องกันไป ไม่มีปัญหาอะไร รายงานจาก Thaipublica เปิดเผยว่าสยามสปอร์ตในฐานะผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ ได้กำไรน้อยมาก โดยเนื้อหาระบุว่า "แม้เม็ดเงินจากสปอนเซอร์ต่างๆ จะไหลผ่านสยามสปอร์ตปีละหลายร้อยล้านบาท แต่ก็มีรายจ่ายที่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะค่าลิขสิทธิ์ไทยลีกที่ได้จากทรูวิชั่นส์ ต้องเอาไปแบ่งให้ทีมในไทยพรีเมียร์ลีก และดิวิชั่น 1 และเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายในการถ่ายทอดสด ที่มีข้อบังคับว่า ต้องถ่ายทอดสดปีละไม่ต่ำกว่า 500 แมตช์ คำนวณแล้ว แทบจะไม่เหลือกำไรเท่าไหร่" ผู้บริหารระดับสูงของสยามสปอร์ตรายหนึ่งอธิบายว่า "สิ่งที่บริษัทได้รับ ไม่ใช่กำไรจากการเข้าไปดูแลสิทธิประโยชน์โดยตรง แต่เป็นผลประโยชน์ทางอ้อมมากกว่า เพราะยิ่งวงการฟุตบอลไทยเติบโตเท่าไหร่ ยอดขายสื่อในเครือ และเงินค่าโฆษณาก็ยิ่งเติบโตขึ้น" ในปี 2556 สมาคมฟุตบอลยุควรวีร์ เซ็นสัญญาระยะยาวกับสยามสปอร์ต ให้เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ไทยลีก อีก 10 ปี (2556-2565) โดยจุดนี้ มีรายงานไม่ตรงกัน บางแหล่งบอกว่า ส่วนแบ่งกำไรอยู่ที่ 95% - 5% ตามเดิม แต่บางแหล่งข่าวบอกว่า ถูกปรับเป็น 50% - 50% แล้ว ตอนนั้นแม้จะต่อสัญญากันระยะยาว แต่ดราม่าไม่มี เพราะไทยลีกยังไม่บูม หลายคนมองว่าไทยลีก เป็นเผือกร้อนด้วยซ้ำ ที่โอกาสขาดทุน มากกว่ากำไร อย่างไรก็ตาม จุดพลิกผันสำคัญก็เกิดขึ้น ในปี 2557 เมื่อเกิดปรากฏการณ์ "บอลไทยฟีเวอร์" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง รับตำแหน่งเฮดโค้ชทีมชาติ แล้วพาทีมช้างศึกคว้าแชมป์ AFF เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี พร้อมทั้งทำผลงานมาสเตอร์พีซในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก จนทีมไทย เข้าถึงรอบ 12 ทีมสุดท้าย เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี ทีมชาติชุดใหญ่ มีสตาร์ขึ้นมาประดับวงการพร้อมกันหลายคน เช่น ชนาธิป สรงกระสินธิ์, อดิศักดิ์ ไกรษร, สารัช อยู่เย็น, ชาริล ชัปปุยส์ ฯลฯ ในช่วง AFF จากนั้นก็เพิ่มเติมด้วยผู้เล่นซีเนียร์ ทั้งธีรศิลป์ แดงดา และ ธีราทร บุญมาทัน คือไม่ใช่แค่ชุดใหญ่เท่านั้น แต่บอลเยาวชน ไทยฟอร์มดีมาก คว้าชัยชนะได้ทุกรุ่น ทุกอย่างมันส่งเสริมกัน ทำให้ทีมชาติไทย บูมขึ้นแบบพุ่งทะยาน อานิสงส์ก็กลับมาหาไทยลีก ที่มีคนเข้ามาดูอย่างคับคั่ง ทั้งขาจร-ขาประจำ ขณะที่ เรตติ้งถ่ายทอดสดพุ่งสูงมาก นักกีฬากลายเป็นไอดอลของเด็กๆ แต่ละคนได้รับงานโฆษณา เป็นรายได้เสริมนอกเหนือจากค่าจ้างในการเล่นฟุตบอลด้วย ความนิยมของไทยลีก ทำให้ทรูวิชั่นส์ จ่ายเงินค่าถ่ายทอดสด สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ นั่นคือ สัญญา 4 ปี 4,200 ล้านบาท (เฉลี่ยฤดูกาลละ 1,050 ล้านบาท) ไม่ใช่แค่ไทยลีก แต่ลิขสิทธิ์ของทีมชาติชุดใหญ่ ก็ขายได้ราคาดีมาก ในช่วงบอลไทยฟีเวอร์ สามารถขายลิขสิทธิ์ทีมชาติ กับทางไทยรัฐทีวี ได้เงินนัดละ 750,000 บาท จากที่สยามสปอร์ต เคยเข้าเนื้อมาหลายๆ ปีติดต่อกัน ในที่สุด เมื่อบอลไทยบูมพร้อมกัน ทั้งสโมสรและทีมชาติ ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะเก็บเกี่ยวกำไรอย่างเป็นชิ้นเป็นอันแล้ว แต่แล้วสถานการณ์ก็พลิกผัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 เมื่อสมาคมมีการเลือกตั้งนายกครั้งใหม่ และพล.ต.อ.สมยศ เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง ล้างบางขั้วเก่าจนราบคาบ สิ่งที่ยังกั๊กๆ กันอยู่ คือพล.ต.อ.สมยศเป็นนายกก็จริง แต่คนดูแลสิทธิประโยชน์ไทยลีก จนถึงปี 2565 ดันเป็นสยามสปอร์ต ซึ่งอยู่ฝั่งขั้วอำนาจเก่าของวรวีร์ ในมุมของพล.ต.อ.สมยศ จึงเป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะตัวเองเป็นนายกสมาคมแท้ๆ แต่ผลกำไรของบอลไทย กลับไปตกอยู่ในมือของอีกขั้วหนึ่ง นอกจากนั้น ในมุมของสมาคม มั่นใจว่าถ้าหาผู้ดูแลเจ้าอื่น สมาคมน่าจะได้ส่วนแบ่งมากกว่านี้ หลังจาก พล.ต.อ.สมยศ ชนะเลือกตั้งเพียงแค่เดือนเดียว มีนาคม 2559 เขาตัดสินใจประกาศ "ยกเลิกสัญญา" กับสยามสปอร์ต ในช่วง 7 ปีที่เหลือ (2559-2565) พล.ต.อ.สมยศให้สัมภาษณ์ว่า "เราพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับสมาคม เป็นสัญญาผู้ขาดแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีการกำหนดค่าตอบแทนขั้นต่ำให้ ส่งผลให้สมาคม ไม่สามารถวางแผนงบประมาณดำเนินการได้ด้วยตัวเอง" อธิบายคือ สัญญาฉบับเดิมที่เซ็นกัน สยามสปอร์ตจะเป็นฝ่ายแจ้งเองว่าปีนี้ได้กำไรเท่าไหร่ แล้วจะแบ่งจัดสรรให้สมาคมเอง แต่ถ้าขาดทุนก็ไม่ต้องจ่าย วิธีการนี้ ไม่มีกำหนดว่า ต้องจ่าย "ขั้นต่ำ" เท่าไหร่ คือไม่มีตัวเลขระบุ ฝั่งสมาคมเอง ก็มองว่า แบบนี้จะตกแต่งเลขอย่างไรก็ได้น่ะสิ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวปิดท้ายว่า "ผมไม่มีความขัดแย้งกับบริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท ผมเข้ามาทำหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกฯ สมาคม และอาสาเข้ามาแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งเมื่อเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ก็อยากทำให้ถูกต้อง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสมาคมฯ และประชาชนชาวไทย" หลังจากยกเลิกสัญญากับสยามสปอร์ต 1 เดือนเท่านั้น เมษายน 2559 สมาคมเซ็นสัญญากับ แพลนบี มีเดีย เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์รายใหม่แทน เซ็นฉบับแรก (4 ปี) ในปี 2559-2563 และเซ็นในฉบับที่สอง (8 ปี) ในช่วงปี 2564-2571 และคดีความที่เป็นข่าวใหญ่ ก็เริ่มต้นจากจุดนี้ เพราะฝั่งสยามสปอร์ตยอมไม่ได้ ที่โดนฉีกสัญญาที่เหลืออยู่ถึง 7 ปีทิ้งลงดื้อๆ คือในมุมของสยามสปอร์ตนั้น สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ จะคิดว่าสัญญาไม่เป็นธรรม หรือ ได้ส่วนแบ่งน้อย หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ในเมื่อมันมีการเซ็นสัญญาอย่างถูกต้องแล้ว มาโดนฉีกทิ้งแบบนี้ เขาก็เสียหายทางธุรกิจเช่นกัน แล้วแผนงานที่เตรียมไว้หลายปีต่อจากนี้ ใครจะรับผิดชอบ ที่ผ่านมา เขาลงทุนกับบอลไทยมาตั้งเยอะ แล้วพอวันที่มีโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ก็มาโดนฉีกสัญญาทิ้ง มันยุติธรรมกับเขาหรือไม่? นั่นทำให้ สยามสปอร์ตจึงฟ้องสมาคมฟุตบอล ในคดีแพ่ง ข้อหาผิดสัญญา และเรียกค่าเสียหายจำนวน 1,400 ล้านบาท ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ รับฟ้องคดีนี้ โดยสยามสปอร์ตเป็นโจทก์ สมาคมฟุตบอลเป็นจำเลย ในวันที่ 23 สิงหาคม 2562 ศาลชั้นต้นตัดสินให้สยามสปอร์ตชนะคดี สมาคมฯ ต้องจ่ายเงินชดเชย 50 ล้านบาท โทษฐานบอกเลิกสัญญาโดยมิชอบ อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ฝ่ายไม่พอใจนักกับผลการตัดสิน โดยฝ่ายกฎหมายของสยามสปอร์ต ให้สัมภาษณ์ว่า "ขอขอบคุณผู้พิพากษาที่ให้ความเป็นธรรมกับเรา อย่างไรก็ตามสยามสปอร์ต จะใช้สิทธิ์อุทธรณ์ในประเด็นเงินค่าเสียหาย ซึ่งทางเรามองว่า มีความเสียหายมากกว่า 50 ล้านบาท" แต่ฝั่งสมาคมฯ เองก็ไม่ยอมเช่นกัน โดยพล.ต.อ. สมยศ กล่าวว่า "ผมให้ความเคารพคำสั่งศาล แต่นี่เป็นเพียงศาลชั้นต้น สมาคมจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาอย่างแน่นอน" การต่อสู้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์ ดำเนินการมาถึง 2 ปี และในวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ศาลอุทธรณ์ได้ข้อสรุปว่า ตัวเลข 50 ล้านที่ศาลชั้นต้นสั่งให้สมาคม ชดใช้ มันน้อยเกินไป และมีคำพิพากษาแก้ ให้สมาคมฯ จ่ายเงินให้สยามสปอร์ตเพิ่มเป็น 450 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี จากศาลชั้นต้น 50 ล้านบาท สุดท้ายมาที่ศาลอุทธรณ์ ตัวเงินเด้งขึ้นไปที่ 450 ล้านบาท คำวินิจฉัยจากศาล ระบุว่า "แม้การบอกเลิกสัญญาระหว่างจำเลยกับโจทก์ จะทำเพื่อการพัฒนาระบบการบริหารให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีความชัดเจนด้านค่าตอบแทน จำนวนค่าตอบแทน รวมถึง คู่สัญญาที่ฝ่ายจำเลย อาจมองว่ามีความสามารถในการบริหารจัดการมากกว่าก็ตาม ทั้งหมด ก็มิได้เป็นเหตุที่จะบอกเลิกสัญญากับโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงต้องจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์" เมื่อจบศาลอุทธรณ์ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะคดีอยู่ แต่ฝั่งพล.ต.อ.สมยศ ยังไม่ยอม และตัดสินใจยื่นไปที่ฎีกาเป็นศาลสุดท้าย ตอนนี้การพิจารณาฎีกายังไม่ออกมา แต่สมาคมแพ้มา 2 ศาลแล้ว คงยากมาก ที่จะพลิกสถานการณ์ เอาตัวรอด ไม่เสียเงินในศาลสุดท้าย เพียงแต่จะจบแค่กี่บาทเท่านั้น คือฝั่ง พล.ต.อ.สมยศ มีสิทธิ์คิดอย่างไรก็ได้ - คุณไม่พอใจได้ ที่ยุควรวีร์เซ็นสัญญายาวถึง 10 ปี กับสยามสปอร์ต - คุณไม่พอใจได้ ที่มองว่าส่วนแบ่งน้อยเกินไปแค่ 5% แต่การแก้ปัญหาไม่ใช่การหักดิบ โดยฉีกสัญญาทิ้ง ทางที่ดีกว่านั้นคือการเจรจาหาข้อตกลงร่วมกัน แต่พอคุณไปยกเลิกดื้อๆ แบบนั้น เขาก็ไปสู้ด้วยกฎหมายสิ และในมุมของศาล ก็ต้องตัดสินตามหลักฐานที่มันเป็นจริง แค่นั้นเอง ------------------------ นั่นคือเหตุผลที่มาดามแป้ง ให้สัมภาษณ์ในวันก่อนว่า "แป้งไม่ได้มาตั้งต้นทางการเงินที่ศูนย์ แต่เริ่มจากติดลบ ติดลบ ติดลบ มันไม่แฟร์ แต่ก็ต้องทำ เพราะสมาคมฟุตบอลตั้งขึ้นมา 109 ปี ก็ต้องอยู่ต่อไป" เธอออกสตาร์ตมา ยังไม่ทันทำงานทำการ ก็มีหนี้สิ้น 450 ล้านบาท รออยู่ ถือว่าเป็นนายกสมาคมที่เหนื่อยสาหัส ตั้งแต่วันแรกที่รับงานทีเดียว เอาจริงๆ ก็เห็นใจมาดามแป้งอยู่ เธอเพิ่งมารับงานได้ไม่ถึงปี แต่เจอสารพัดปัญหาให้ต้องแก้ ทั้งเรื่องมูลค่าบอลไทยตกต่ำ รวมถึงเรื่อง สมาคมติดหนี้ติดสิน คงได้แต่เป็นกำลังใจให้เธอ ผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปให้ได้ กับคำถามคือ จะเอาเงิน 450 ล้านจากไหนมาจ่ายสยามสปอร์ต? หรือว่าจะแลกเปลี่ยนด้วยการบาร์เตอร์ ทำอะไรสักอย่าง เราก็ต้องมาติดตามดูกันต่อไป พูดกันตรงๆ ว่า ถ้าคนที่มีหัวด้านธุรกิจ และ ทำงานด้านฟุตบอลมาหลายปี อย่างมาดามแป้ง ยังแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะมีใครในประเทศไทย มาจัดการเรื่องนี้ได้อีก สำหรับกรณีเรื่อง สมาคม vs สยามสปอร์ตครั้งนี้ บทเรียนสำคัญคือ ความรู้สึกของคุณจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ จะชอบหรือไม่ชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อมันมีสัญญาผูกพันกันไว้ การไปฉีกสัญญาทิ้งดื้อๆ แบบนี้ มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นฝ่ายเจ็บตัวเอง สำหรับ พล.ต.อ.สมยศ วันนี้เขาลงจากตำแหน่งไปแล้ว เป้าหมายการจับโจร ที่เขาตั้งใจไว้วันแรก ก็ไม่รู้ว่าสำเร็จไหม จับใครได้หรือเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้สมาคมโดนฟ้องร้องจนเป็นหนี้เป็นสิน เป็นภาระให้คนที่มาสานงานต่ออย่างมาก เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า การเป็นนายกสมาคมฟุตบอล เป็นภารกิจที่ไม่ง่ายเลย แค่บู๊อย่างเดียวไม่พอ แต่คุณต้องฉลาดรอบรู้อีกด้วย ถ้าทำอะไรโดยขาดความยั้งคิด องค์กรก็จะต้องเจอสถานการณ์ลำบาก เป็นภาระให้คนรับงานต่อ เหมือนอย่างที่สมาคมฟุตบอลต้องเผชิญอยู่ในเวลานี้” ที่มา : https://www.facebook.com/share/ZvKUvXwxRkMKfBci/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1162 มุมมอง 0 รีวิว