• นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) เผย คณะกรรมการธุรกรรมยึดและอายัดทรัพย์สินในคดีสำคัญ มูลค่ารวมกว่า 10,165 ล้านบาท คดีนายเฉิน จื้อ กับพวก ผู้ก่อตั้ง Prince Holding Group คดีนายก๊ก อาน และคดีน.ส.แตงไทย เชื่อมโยงเส้นทางเงินไปยังนายเบน สมิธ ขยายผลคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เครือข่ายฉ้อโกงออนไลน์ ค้ามนุษย์ ฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัล มีฐานใหญ่ในกัมพูชา ฟอกเงินโดยเปลี่ยนสภาพเงินแต่ละประเทศกับสินทรัพย์ดิจิทัล หลอกลวงหลายรูปแบบ หลายขั้นตอน ในลักษณะ ไฮบริดแสกม รวมถึงคดีที่พบข้อมูลการทำธุรกรรม เชื่อมโยงนายเบน สมิธ โดยทรัพย์สินที่ยึดได้มีหลายรายการ อาทิ ที่ดิน เรือยอร์ช และรถยนต์หรู
    นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) เผย คณะกรรมการธุรกรรมยึดและอายัดทรัพย์สินในคดีสำคัญ มูลค่ารวมกว่า 10,165 ล้านบาท คดีนายเฉิน จื้อ กับพวก ผู้ก่อตั้ง Prince Holding Group คดีนายก๊ก อาน และคดีน.ส.แตงไทย เชื่อมโยงเส้นทางเงินไปยังนายเบน สมิธ ขยายผลคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เครือข่ายฉ้อโกงออนไลน์ ค้ามนุษย์ ฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัล มีฐานใหญ่ในกัมพูชา ฟอกเงินโดยเปลี่ยนสภาพเงินแต่ละประเทศกับสินทรัพย์ดิจิทัล หลอกลวงหลายรูปแบบ หลายขั้นตอน ในลักษณะ ไฮบริดแสกม รวมถึงคดีที่พบข้อมูลการทำธุรกรรม เชื่อมโยงนายเบน สมิธ โดยทรัพย์สินที่ยึดได้มีหลายรายการ อาทิ ที่ดิน เรือยอร์ช และรถยนต์หรู
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 0 Reviews
  • วิธีตั้งค่าที่ปลอดภัยในการเก็บสินทรัพย์ดิจิทัล

    บทความจาก Hackread ได้อธิบายแนวทางการจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างปลอดภัย โดยเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่มั่นคง การเลือกกระเป๋าเงินที่เหมาะสม และการปฏิบัติที่รอบคอบในการทำธุรกรรม เพื่อป้องกันการสูญเสียจากการโจมตีหรือความผิดพลาดที่เกิดจากความประมาท

    เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบ อุปกรณ์ที่ใช้เข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น โทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ ต้องมั่นใจว่าไม่มีมัลแวร์หรือ keylogger แฝงอยู่ และควรอัปเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ให้ทันสมัยอยู่เสมอ รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้งานบน Wi-Fi สาธารณะ ที่อาจถูกดักจับข้อมูลได้ง่าย

    ในด้านกระเป๋าเงินดิจิทัล บทความแนะนำให้ใช้ กลยุทธ์ผสมผสานระหว่าง Hot Wallet และ Cold Wallet โดยเก็บจำนวนเล็ก ๆ ไว้ใน Hot Wallet เพื่อความสะดวกในการทำธุรกรรม แต่เก็บสินทรัพย์หลักไว้ใน Cold Wallet ที่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อความปลอดภัยสูงสุด พร้อมทั้งปกป้อง Recovery Phrase ด้วยการเขียนเก็บไว้บนกระดาษหรือแผ่นโลหะ และเก็บในที่ปลอดภัย เช่น ตู้เซฟหรือกล่องฝากธนาคาร

    นอกจากนี้ยังเน้นการสร้าง นิสัยที่ปลอดภัยในการทำธุรกรรม เช่น ตรวจสอบที่อยู่ปลายทางทุกครั้งก่อนยืนยัน ใช้เว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ และหยุดชั่วคราวหากพบสิ่งผิดปกติ รวมถึงการทบทวนระบบความปลอดภัยเป็นประจำ เพื่อปรับปรุงให้ทันกับภัยคุกคามใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในโลก Web3

    สรุปสาระสำคัญ
    สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
    อัปเดตระบบและซอฟต์แวร์ให้ทันสมัย
    หลีกเลี่ยงการใช้งานบน Wi-Fi สาธารณะ

    การเลือกกระเป๋าเงินดิจิทัล
    ใช้ Hot Wallet สำหรับธุรกรรมเล็ก ๆ
    เก็บสินทรัพย์หลักใน Cold Wallet

    การปกป้อง Recovery Phrase
    เขียนเก็บไว้บนกระดาษหรือแผ่นโลหะ
    เก็บในตู้เซฟหรือกล่องฝากธนาคาร

    นิสัยที่ปลอดภัยในการทำธุรกรรม
    ตรวจสอบที่อยู่ปลายทางทุกครั้ง
    ใช้เว็บไซต์ที่เชื่อถือได้และหยุดหากพบสิ่งผิดปกติ

    ข้อควรระวัง
    หากอุปกรณ์ติดมัลแวร์ กระเป๋าเงินจะถูกเจาะได้ทันที
    การละเลยการทบทวนระบบความปลอดภัยทำให้เสี่ยงต่อภัยคุกคามใหม่ ๆ

    https://hackread.com/what-secure-setup-looks-storing-digital-assets/
    🔐 วิธีตั้งค่าที่ปลอดภัยในการเก็บสินทรัพย์ดิจิทัล บทความจาก Hackread ได้อธิบายแนวทางการจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างปลอดภัย โดยเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่มั่นคง การเลือกกระเป๋าเงินที่เหมาะสม และการปฏิบัติที่รอบคอบในการทำธุรกรรม เพื่อป้องกันการสูญเสียจากการโจมตีหรือความผิดพลาดที่เกิดจากความประมาท เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบ อุปกรณ์ที่ใช้เข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น โทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ ต้องมั่นใจว่าไม่มีมัลแวร์หรือ keylogger แฝงอยู่ และควรอัปเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ให้ทันสมัยอยู่เสมอ รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้งานบน Wi-Fi สาธารณะ ที่อาจถูกดักจับข้อมูลได้ง่าย ในด้านกระเป๋าเงินดิจิทัล บทความแนะนำให้ใช้ กลยุทธ์ผสมผสานระหว่าง Hot Wallet และ Cold Wallet โดยเก็บจำนวนเล็ก ๆ ไว้ใน Hot Wallet เพื่อความสะดวกในการทำธุรกรรม แต่เก็บสินทรัพย์หลักไว้ใน Cold Wallet ที่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อความปลอดภัยสูงสุด พร้อมทั้งปกป้อง Recovery Phrase ด้วยการเขียนเก็บไว้บนกระดาษหรือแผ่นโลหะ และเก็บในที่ปลอดภัย เช่น ตู้เซฟหรือกล่องฝากธนาคาร นอกจากนี้ยังเน้นการสร้าง นิสัยที่ปลอดภัยในการทำธุรกรรม เช่น ตรวจสอบที่อยู่ปลายทางทุกครั้งก่อนยืนยัน ใช้เว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ และหยุดชั่วคราวหากพบสิ่งผิดปกติ รวมถึงการทบทวนระบบความปลอดภัยเป็นประจำ เพื่อปรับปรุงให้ทันกับภัยคุกคามใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในโลก Web3 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ➡️ อัปเดตระบบและซอฟต์แวร์ให้ทันสมัย ➡️ หลีกเลี่ยงการใช้งานบน Wi-Fi สาธารณะ ✅ การเลือกกระเป๋าเงินดิจิทัล ➡️ ใช้ Hot Wallet สำหรับธุรกรรมเล็ก ๆ ➡️ เก็บสินทรัพย์หลักใน Cold Wallet ✅ การปกป้อง Recovery Phrase ➡️ เขียนเก็บไว้บนกระดาษหรือแผ่นโลหะ ➡️ เก็บในตู้เซฟหรือกล่องฝากธนาคาร ✅ นิสัยที่ปลอดภัยในการทำธุรกรรม ➡️ ตรวจสอบที่อยู่ปลายทางทุกครั้ง ➡️ ใช้เว็บไซต์ที่เชื่อถือได้และหยุดหากพบสิ่งผิดปกติ ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ หากอุปกรณ์ติดมัลแวร์ กระเป๋าเงินจะถูกเจาะได้ทันที ⛔ การละเลยการทบทวนระบบความปลอดภัยทำให้เสี่ยงต่อภัยคุกคามใหม่ ๆ https://hackread.com/what-secure-setup-looks-storing-digital-assets/
    HACKREAD.COM
    What a Secure Setup Really Looks Like for Storing Digital Assets
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 Reviews
  • X เปิดตลาดชื่อผู้ใช้ Premium+

    X (Twitter เดิม) เปิดตลาดซื้อขายชื่อผู้ใช้ (username marketplace) ให้กับสมาชิก Premium+ โดยแบ่งชื่อออกเป็นสองประเภทคือ Priority และ Rare ซึ่งชื่อ Rare เช่น @memelord, @phone หรือ @AIchat มีมูลค่าสูงถึงหลักล้านดอลลาร์ และมีเงื่อนไขการใช้งานเข้มงวดมาก

    X ประกาศเปิดตลาดซื้อขายชื่อผู้ใช้สำหรับสมาชิก Premium+ ที่จ่าย $40/เดือน หรือ $395/ปี โดยสามารถขอชื่อที่เคยถูกใช้งานแต่ปัจจุบันไม่ active แล้ว ระบบแบ่งชื่อออกเป็นสองกลุ่มคือ Priority และ Rare ซึ่งมีวิธีการเข้าถึงแตกต่างกัน

    ความแตกต่างระหว่าง Priority และ Rare
    Priority usernames: ชื่อที่ใกล้เคียงกับชื่อจริง เช่น @kbell หรือ @karissa สามารถขอได้ทันที แต่มีข้อจำกัดว่าผู้ใช้จะมีสิทธิ์ขอเพียงครั้งเดียวตลอดอายุบัญชี

    Rare usernames: ชื่อสั้น ๆ หรือคำเดี่ยว เช่น @memelord, @phone, @AIchat ถูกจัดเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีค่ามากที่สุด ต้องผ่านกระบวนการพิเศษ เช่น public drops, merit-based application หรือการซื้อแบบเชิญเท่านั้น โดยราคามีตั้งแต่ $2,500 จนถึงหลายล้านดอลลาร์

    เงื่อนไขการใช้งานเข้มงวด
    ผู้ที่ได้ชื่อผู้ใช้ใหม่ต้องรักษาสถานะ Premium+, โพสต์เนื้อหาสม่ำเสมอ และห้ามปล่อยบัญชีให้ dormant หากละเมิดเงื่อนไข X มีสิทธิ์ยึดชื่อคืนได้ทันที ทั้งนี้ X ย้ำว่าชื่อผู้ใช้ทั้งหมดถือเป็นทรัพย์สินของแพลตฟอร์ม ไม่ใช่ของผู้ใช้

    ผลกระทบและข้อถกเถียง
    การเปิดตลาดนี้อาจสร้างรายได้ใหม่ให้ X แต่ก็มีข้อถกเถียงเรื่องความโปร่งใสและความเสี่ยงในการเก็งกำไรชื่อผู้ใช้ โดยเฉพาะเมื่อราคาสูงถึงหลักล้านดอลลาร์ และมีเงื่อนไขที่เข้มงวดซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ลังเลที่จะลงทุน

    สรุปสาระสำคัญ
    ตลาดชื่อผู้ใช้ Premium+
    ค่าสมัคร $40/เดือน หรือ $395/ปี
    เปิดให้ขอชื่อที่ inactive ได้

    ประเภทชื่อผู้ใช้
    Priority: ชื่อใกล้เคียงชื่อจริง ขอได้ทันที
    Rare: ชื่อสั้น/คำเดี่ยว ราคาสูงถึงหลักล้าน

    เงื่อนไขการใช้งาน
    ต้องรักษาสถานะ Premium+ และโพสต์สม่ำเสมอ
    X มีสิทธิ์ยึดชื่อคืนได้ทุกเมื่อ

    ผลกระทบ
    สร้างรายได้ใหม่ให้แพลตฟอร์ม
    อาจเกิดการเก็งกำไรและข้อถกเถียงเรื่องความโปร่งใส

    คำเตือนด้านข้อมูล
    การลงทุนซื้อชื่อ Rare มีความเสี่ยงสูงและอาจถูกยึดคืน
    ราคาที่สูงเกินจริงอาจทำให้เกิดการเก็งกำไรและตลาดที่ไม่ยั่งยืน

    https://securityonline.info/x-opens-username-marketplace-to-premium-users-rare-handles-cost-millions/
    📰 X เปิดตลาดชื่อผู้ใช้ Premium+ X (Twitter เดิม) เปิดตลาดซื้อขายชื่อผู้ใช้ (username marketplace) ให้กับสมาชิก Premium+ โดยแบ่งชื่อออกเป็นสองประเภทคือ Priority และ Rare ซึ่งชื่อ Rare เช่น @memelord, @phone หรือ @AIchat มีมูลค่าสูงถึงหลักล้านดอลลาร์ และมีเงื่อนไขการใช้งานเข้มงวดมาก X ประกาศเปิดตลาดซื้อขายชื่อผู้ใช้สำหรับสมาชิก Premium+ ที่จ่าย $40/เดือน หรือ $395/ปี โดยสามารถขอชื่อที่เคยถูกใช้งานแต่ปัจจุบันไม่ active แล้ว ระบบแบ่งชื่อออกเป็นสองกลุ่มคือ Priority และ Rare ซึ่งมีวิธีการเข้าถึงแตกต่างกัน 🎯 ความแตกต่างระหว่าง Priority และ Rare Priority usernames: ชื่อที่ใกล้เคียงกับชื่อจริง เช่น @kbell หรือ @karissa สามารถขอได้ทันที แต่มีข้อจำกัดว่าผู้ใช้จะมีสิทธิ์ขอเพียงครั้งเดียวตลอดอายุบัญชี Rare usernames: ชื่อสั้น ๆ หรือคำเดี่ยว เช่น @memelord, @phone, @AIchat ถูกจัดเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีค่ามากที่สุด ต้องผ่านกระบวนการพิเศษ เช่น public drops, merit-based application หรือการซื้อแบบเชิญเท่านั้น โดยราคามีตั้งแต่ $2,500 จนถึงหลายล้านดอลลาร์ ⚠️ เงื่อนไขการใช้งานเข้มงวด ผู้ที่ได้ชื่อผู้ใช้ใหม่ต้องรักษาสถานะ Premium+, โพสต์เนื้อหาสม่ำเสมอ และห้ามปล่อยบัญชีให้ dormant หากละเมิดเงื่อนไข X มีสิทธิ์ยึดชื่อคืนได้ทันที ทั้งนี้ X ย้ำว่าชื่อผู้ใช้ทั้งหมดถือเป็นทรัพย์สินของแพลตฟอร์ม ไม่ใช่ของผู้ใช้ 🌍 ผลกระทบและข้อถกเถียง การเปิดตลาดนี้อาจสร้างรายได้ใหม่ให้ X แต่ก็มีข้อถกเถียงเรื่องความโปร่งใสและความเสี่ยงในการเก็งกำไรชื่อผู้ใช้ โดยเฉพาะเมื่อราคาสูงถึงหลักล้านดอลลาร์ และมีเงื่อนไขที่เข้มงวดซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ลังเลที่จะลงทุน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ตลาดชื่อผู้ใช้ Premium+ ➡️ ค่าสมัคร $40/เดือน หรือ $395/ปี ➡️ เปิดให้ขอชื่อที่ inactive ได้ ✅ ประเภทชื่อผู้ใช้ ➡️ Priority: ชื่อใกล้เคียงชื่อจริง ขอได้ทันที ➡️ Rare: ชื่อสั้น/คำเดี่ยว ราคาสูงถึงหลักล้าน ✅ เงื่อนไขการใช้งาน ➡️ ต้องรักษาสถานะ Premium+ และโพสต์สม่ำเสมอ ➡️ X มีสิทธิ์ยึดชื่อคืนได้ทุกเมื่อ ✅ ผลกระทบ ➡️ สร้างรายได้ใหม่ให้แพลตฟอร์ม ➡️ อาจเกิดการเก็งกำไรและข้อถกเถียงเรื่องความโปร่งใส ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ การลงทุนซื้อชื่อ Rare มีความเสี่ยงสูงและอาจถูกยึดคืน ⛔ ราคาที่สูงเกินจริงอาจทำให้เกิดการเก็งกำไรและตลาดที่ไม่ยั่งยืน https://securityonline.info/x-opens-username-marketplace-to-premium-users-rare-handles-cost-millions/
    SECURITYONLINE.INFO
    X Opens Username Marketplace to Premium+ Users: Rare Handles Cost Millions?
    X is now letting Premium+ subscribers request dormant usernames, dividing them into 'Priority' and 'Rare' categories with ambiguous rules and rumored costs up to millions.
    0 Comments 0 Shares 212 Views 0 Reviews
  • คริปโตเชื่อมโยงกับระบบการเงินโลกมากขึ้น

    รายงานจาก Reuters ที่เผยแพร่โดย The Star ระบุว่า ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ และปริมาณการซื้อขายรายวันราว 197 พันล้านดอลลาร์ กำลังมีความเชื่อมโยงกับระบบการเงินโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบายที่สนับสนุนคริปโตของรัฐบาลสหรัฐฯ

    การเติบโตและการยอมรับจากสถาบันการเงิน
    การสนับสนุนคริปโตจากรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้สถาบันการเงินรายใหญ่เริ่มยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น ทั้งในรูปแบบการลงทุน การจัดการกองทุน และการใช้เป็นสินทรัพย์ค้ำประกัน ขณะเดียวกันบริษัทเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพก็เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กระเป๋าเงินดิจิทัลและระบบชำระเงิน เพื่อรองรับการใช้งานในวงกว้าง

    ความเสี่ยงที่มากับการเชื่อมโยง
    แม้คริปโตจะถูกยอมรับมากขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความผันผวนสูงและการขาดการกำกับดูแลที่ชัดเจน อาจสร้างความเสี่ยงต่อระบบการเงินโลก หากเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่ นักลงทุนและสถาบันที่ถือครองคริปโตจำนวนมากอาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากการฟอกเงิน การโจมตีทางไซเบอร์ และการใช้คริปโตในกิจกรรมผิดกฎหมาย

    บริบทโลกและทิศทางในอนาคต
    หลายประเทศกำลังพิจารณากฎระเบียบใหม่เพื่อควบคุมคริปโต เช่น การออก CBDC (Central Bank Digital Currency) เพื่อสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความมั่นคงทางการเงิน หากคริปโตยังคงเติบโตและเชื่อมโยงกับระบบการเงินโลกมากขึ้น การกำกับดูแลที่เข้มงวดจะเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันความเสี่ยงเชิงระบบ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเติบโตของคริปโต
    มูลค่าตลาดรวมกว่า 3.2 ล้านล้านดอลลาร์
    ปริมาณการซื้อขายรายวันราว 197 พันล้านดอลลาร์

    การยอมรับจากสถาบันการเงิน
    ใช้คริปโตเป็นสินทรัพย์ลงทุนและค้ำประกัน
    บริษัทเทคโนโลยีพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการใช้งาน

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    ความผันผวนสูงและการขาดการกำกับดูแลอาจกระทบระบบการเงินโลก
    เสี่ยงต่อการฟอกเงิน การโจมตีไซเบอร์ และการใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมาย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/21/crypto039s-connections-to-the-rest-of-the-financial-system
    💱 คริปโตเชื่อมโยงกับระบบการเงินโลกมากขึ้น รายงานจาก Reuters ที่เผยแพร่โดย The Star ระบุว่า ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ และปริมาณการซื้อขายรายวันราว 197 พันล้านดอลลาร์ กำลังมีความเชื่อมโยงกับระบบการเงินโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบายที่สนับสนุนคริปโตของรัฐบาลสหรัฐฯ 📊 การเติบโตและการยอมรับจากสถาบันการเงิน การสนับสนุนคริปโตจากรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้สถาบันการเงินรายใหญ่เริ่มยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น ทั้งในรูปแบบการลงทุน การจัดการกองทุน และการใช้เป็นสินทรัพย์ค้ำประกัน ขณะเดียวกันบริษัทเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพก็เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กระเป๋าเงินดิจิทัลและระบบชำระเงิน เพื่อรองรับการใช้งานในวงกว้าง ⚠️ ความเสี่ยงที่มากับการเชื่อมโยง แม้คริปโตจะถูกยอมรับมากขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความผันผวนสูงและการขาดการกำกับดูแลที่ชัดเจน อาจสร้างความเสี่ยงต่อระบบการเงินโลก หากเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่ นักลงทุนและสถาบันที่ถือครองคริปโตจำนวนมากอาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากการฟอกเงิน การโจมตีทางไซเบอร์ และการใช้คริปโตในกิจกรรมผิดกฎหมาย 🌍 บริบทโลกและทิศทางในอนาคต หลายประเทศกำลังพิจารณากฎระเบียบใหม่เพื่อควบคุมคริปโต เช่น การออก CBDC (Central Bank Digital Currency) เพื่อสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความมั่นคงทางการเงิน หากคริปโตยังคงเติบโตและเชื่อมโยงกับระบบการเงินโลกมากขึ้น การกำกับดูแลที่เข้มงวดจะเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันความเสี่ยงเชิงระบบ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเติบโตของคริปโต ➡️ มูลค่าตลาดรวมกว่า 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ ➡️ ปริมาณการซื้อขายรายวันราว 197 พันล้านดอลลาร์ ✅ การยอมรับจากสถาบันการเงิน ➡️ ใช้คริปโตเป็นสินทรัพย์ลงทุนและค้ำประกัน ➡️ บริษัทเทคโนโลยีพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการใช้งาน ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ ความผันผวนสูงและการขาดการกำกับดูแลอาจกระทบระบบการเงินโลก ⛔ เสี่ยงต่อการฟอกเงิน การโจมตีไซเบอร์ และการใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมาย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/21/crypto039s-connections-to-the-rest-of-the-financial-system
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Crypto's connections to the rest of the financial system
    PARIS (Reuters) -Cryptocurrency markets have surged in recent years, in part fuelled by the Trump administration's pro-crypto stance which has encouraged wider acceptance among financial institutions.
    0 Comments 0 Shares 282 Views 0 Reviews
  • บิทคอยน์ร่วงหนัก เอลซัลวาดอร์สวนเกมช้อนซื้อเพิ่มกว่า 1,098 BTC , ราคาหลุด 90,000 ดอลลาร์ แต่รัฐบาลยังเดินหน้ายุทธศาสตร์ซื้อวันละ 1 BTC ดันยอดสะสมพุ่งกว่า 7,400 BTC

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110150

    #บิทคอยน์ #คริปโต #เอลซัลวาดอร์ #Bitcoin #สินทรัพย์ดิจิทัล #เศรษฐกิจโลก #News1live #News1
    บิทคอยน์ร่วงหนัก เอลซัลวาดอร์สวนเกมช้อนซื้อเพิ่มกว่า 1,098 BTC , ราคาหลุด 90,000 ดอลลาร์ แต่รัฐบาลยังเดินหน้ายุทธศาสตร์ซื้อวันละ 1 BTC ดันยอดสะสมพุ่งกว่า 7,400 BTC • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110150 • #บิทคอยน์ #คริปโต #เอลซัลวาดอร์ #Bitcoin #สินทรัพย์ดิจิทัล #เศรษฐกิจโลก #News1live #News1
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 217 Views 0 Reviews
  • บิตคอยน์ร่วงหนัก สูญมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์

    บิตคอยน์เพิ่งทำสถิติสูงสุดที่กว่า 125,000 ดอลลาร์ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2025 แต่เพียงไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ราคากลับร่วงลงเหลือประมาณ 90,000 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดของปีนี้ การร่วงลงครั้งนี้ทำให้มูลค่าตลาดหายไปกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ และสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อวงการคริปโตทั่วโลก

    ปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจ
    การร่วงลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นหลังจาก ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่จะเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีน เพื่อตอบโต้การควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีน เหตุการณ์นี้ทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวน นักลงทุนจำนวนมากเลือกที่จะขายสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงคริปโต ขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยที่สูงจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ก็ทำให้การลงทุนในพันธบัตรและบัญชีออมทรัพย์ดูน่าสนใจกว่าการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล

    ผลกระทบจากการใช้เลเวอเรจ
    นักวิเคราะห์ชี้ว่า การลงทุนที่ใช้เลเวอเรจสูงเป็นตัวเร่งให้ราคาบิตคอยน์ร่วงแรงขึ้น เมื่อราคาตกต่ำ นักลงทุนที่กู้เงินมาเก็งกำไรต้องถูกบังคับขาย (forced liquidation) ส่งผลให้มีการล้างพอร์ตทั้งฝั่ง long และ short รวมมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว

    มุมมองระยะยาว
    แม้ราคาจะร่วงแรง แต่ผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่า นี่ไม่ใช่การล่มสลายของตลาดคริปโต หากแต่เป็น “aftershock” จากการล้างพอร์ตครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม พวกเขาเชื่อว่าผู้ถือครองระยะยาว (HODLers) ยังมีความมั่นใจในพื้นฐานของบิตคอยน์ และตลาดอาจฟื้นตัวได้เมื่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจคลี่คลาย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ราคาบิตคอยน์ร่วงลงเหลือ ~90,000 ดอลลาร์
    สูญมูลค่าตลาดกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์

    ปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจ
    การขู่เพิ่มภาษีสินค้าจีน และอัตราดอกเบี้ยสูงจาก Fed

    แรงกดดันจากการใช้เลเวอเรจ
    การล้างพอร์ตกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว

    ความเสี่ยงจากการลงทุนคริปโต
    การใช้เลเวอเรจสูงอาจทำให้ขาดทุนหนักเมื่อราคาผันผวน

    ผลกระทบต่อเศรษฐกิจดิจิทัล
    ความผันผวนอาจทำให้นักลงทุนรายใหม่ลังเลที่จะเข้ามาในตลาด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/bitcoin-price-plunges-wipes-usd1-trillion-from-value-weeks-after-it-hit-all-time-high-prices-now-near-lowest-level-for-the-year-erasing-2025-gains
    💰 บิตคอยน์ร่วงหนัก สูญมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ บิตคอยน์เพิ่งทำสถิติสูงสุดที่กว่า 125,000 ดอลลาร์ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2025 แต่เพียงไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ราคากลับร่วงลงเหลือประมาณ 90,000 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดของปีนี้ การร่วงลงครั้งนี้ทำให้มูลค่าตลาดหายไปกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ และสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อวงการคริปโตทั่วโลก 🌍 ปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจ การร่วงลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นหลังจาก ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่จะเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีน เพื่อตอบโต้การควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีน เหตุการณ์นี้ทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวน นักลงทุนจำนวนมากเลือกที่จะขายสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงคริปโต ขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยที่สูงจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ก็ทำให้การลงทุนในพันธบัตรและบัญชีออมทรัพย์ดูน่าสนใจกว่าการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล ⚠️ ผลกระทบจากการใช้เลเวอเรจ นักวิเคราะห์ชี้ว่า การลงทุนที่ใช้เลเวอเรจสูงเป็นตัวเร่งให้ราคาบิตคอยน์ร่วงแรงขึ้น เมื่อราคาตกต่ำ นักลงทุนที่กู้เงินมาเก็งกำไรต้องถูกบังคับขาย (forced liquidation) ส่งผลให้มีการล้างพอร์ตทั้งฝั่ง long และ short รวมมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว 🔮 มุมมองระยะยาว แม้ราคาจะร่วงแรง แต่ผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่า นี่ไม่ใช่การล่มสลายของตลาดคริปโต หากแต่เป็น “aftershock” จากการล้างพอร์ตครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม พวกเขาเชื่อว่าผู้ถือครองระยะยาว (HODLers) ยังมีความมั่นใจในพื้นฐานของบิตคอยน์ และตลาดอาจฟื้นตัวได้เมื่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจคลี่คลาย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ราคาบิตคอยน์ร่วงลงเหลือ ~90,000 ดอลลาร์ ➡️ สูญมูลค่าตลาดกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ✅ ปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจ ➡️ การขู่เพิ่มภาษีสินค้าจีน และอัตราดอกเบี้ยสูงจาก Fed ✅ แรงกดดันจากการใช้เลเวอเรจ ➡️ การล้างพอร์ตกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว ‼️ ความเสี่ยงจากการลงทุนคริปโต ⛔ การใช้เลเวอเรจสูงอาจทำให้ขาดทุนหนักเมื่อราคาผันผวน ‼️ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจดิจิทัล ⛔ ความผันผวนอาจทำให้นักลงทุนรายใหม่ลังเลที่จะเข้ามาในตลาด https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/bitcoin-price-plunges-wipes-usd1-trillion-from-value-weeks-after-it-hit-all-time-high-prices-now-near-lowest-level-for-the-year-erasing-2025-gains
    0 Comments 0 Shares 348 Views 0 Reviews
  • Crypto Dealer โอกาสทางธุรกิจ เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจไทย, ตลาดคริปโทฯ นอกระบบโตแรง เงินหมุนหมื่นล้านไร้กำกับ ชงออกใบอนุญาต Crypto Dealer ดึงธุรกรรมเข้าสู่ระบบ ลดฟอกเงิน–เพิ่มรายได้รัฐ

    อ่านต่อ…..https://news1live.com/detail/9680000110021

    #News1live #News1 #ปมร้อนข่าวลึก #truthfromthailand #newsupdate #คริปโท #เศรษฐกิจดิจิทัล #กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัล
    Crypto Dealer โอกาสทางธุรกิจ เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจไทย, ตลาดคริปโทฯ นอกระบบโตแรง เงินหมุนหมื่นล้านไร้กำกับ ชงออกใบอนุญาต Crypto Dealer ดึงธุรกรรมเข้าสู่ระบบ ลดฟอกเงิน–เพิ่มรายได้รัฐ • อ่านต่อ…..https://news1live.com/detail/9680000110021 • #News1live #News1 #ปมร้อนข่าวลึก #truthfromthailand #newsupdate #คริปโท #เศรษฐกิจดิจิทัล #กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัล
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 301 Views 0 Reviews
  • Singapore Exchange เตรียมเปิดตัว Bitcoin และ Ether Perpetual Futures

    Singapore Exchange (SGX) ประกาศว่าจะเปิดให้บริการซื้อขาย Bitcoin และ Ether perpetual futures ผ่านหน่วยงานด้านอนุพันธ์ของตน โดยจะเริ่มต้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025 การซื้อขายนี้จะเปิดให้เฉพาะนักลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนที่ได้รับการรับรอง เพื่อเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยในตลาดคริปโตที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    ความหมายต่อภูมิภาคและตลาดโลก
    การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของสิงคโปร์ในการยกระดับตนเองเป็น ศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในเอเชีย โดย SGX ตั้งเป้าให้ตลาดอนุพันธ์คริปโตมีมาตรฐานสูงเทียบเท่าตลาดการเงินดั้งเดิม การเคลื่อนไหวนี้ยังสะท้อนถึงความพยายามของประเทศในการดึงดูดนักลงทุนสถาบันที่ต้องการความมั่นคงและการกำกับดูแลที่ชัดเจน

    การกำกับดูแลและความเสี่ยง
    แม้จะเป็นโอกาสใหม่ แต่ อนุพันธ์คริปโต ก็มีความเสี่ยงสูง ทั้งด้านความผันผวนของราคาและความซับซ้อนของสัญญา SGX จึงจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงเฉพาะนักลงทุนที่มีคุณสมบัติ เพื่อป้องกันการเก็งกำไรเกินควรและลดความเสี่ยงต่อผู้ลงทุนรายย่อย การกำกับดูแลที่เข้มงวดนี้อาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นในตลาดคริปโตที่ยังคงถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส

    แนวโน้มในอนาคต
    นักวิเคราะห์คาดว่า หาก SGX ประสบความสำเร็จ อาจมีการขยายผลิตภัณฑ์อนุพันธ์คริปโตไปยังสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ และอาจกระตุ้นให้ตลาดการเงินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หันมาใช้โมเดลเดียวกัน เพื่อแข่งขันกับตลาดใหญ่ในสหรัฐฯ และยุโรป

    สรุปประเด็นสำคัญ
    SGX เปิดตัว Bitcoin และ Ether perpetual futures
    เริ่มซื้อขายวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025

    จำกัดสิทธิ์เฉพาะนักลงทุนสถาบันและผู้ได้รับการรับรอง
    เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยง

    สิงคโปร์ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในเอเชีย
    ยกระดับมาตรฐานตลาดคริปโตให้เทียบเท่าตลาดการเงินดั้งเดิม

    ความเสี่ยงจากความผันผวนของอนุพันธ์คริปโต
    อาจสร้างผลกระทบต่อผู้ลงทุนที่ไม่เข้าใจโครงสร้างสัญญา

    การกำกับดูแลเข้มงวดอาจจำกัดการเข้าถึงของรายย่อย
    ทำให้ตลาดคริปโตยังคงเป็นพื้นที่ของนักลงทุนสถาบันเป็นหลัก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/17/singapore-exchange-to-launch-bitcoin-and-ether-perpetual-futures
    💹 Singapore Exchange เตรียมเปิดตัว Bitcoin และ Ether Perpetual Futures Singapore Exchange (SGX) ประกาศว่าจะเปิดให้บริการซื้อขาย Bitcoin และ Ether perpetual futures ผ่านหน่วยงานด้านอนุพันธ์ของตน โดยจะเริ่มต้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025 การซื้อขายนี้จะเปิดให้เฉพาะนักลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนที่ได้รับการรับรอง เพื่อเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยในตลาดคริปโตที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว 🌍 ความหมายต่อภูมิภาคและตลาดโลก การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของสิงคโปร์ในการยกระดับตนเองเป็น ศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในเอเชีย โดย SGX ตั้งเป้าให้ตลาดอนุพันธ์คริปโตมีมาตรฐานสูงเทียบเท่าตลาดการเงินดั้งเดิม การเคลื่อนไหวนี้ยังสะท้อนถึงความพยายามของประเทศในการดึงดูดนักลงทุนสถาบันที่ต้องการความมั่นคงและการกำกับดูแลที่ชัดเจน ⚖️ การกำกับดูแลและความเสี่ยง แม้จะเป็นโอกาสใหม่ แต่ อนุพันธ์คริปโต ก็มีความเสี่ยงสูง ทั้งด้านความผันผวนของราคาและความซับซ้อนของสัญญา SGX จึงจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงเฉพาะนักลงทุนที่มีคุณสมบัติ เพื่อป้องกันการเก็งกำไรเกินควรและลดความเสี่ยงต่อผู้ลงทุนรายย่อย การกำกับดูแลที่เข้มงวดนี้อาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นในตลาดคริปโตที่ยังคงถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส 🔮 แนวโน้มในอนาคต นักวิเคราะห์คาดว่า หาก SGX ประสบความสำเร็จ อาจมีการขยายผลิตภัณฑ์อนุพันธ์คริปโตไปยังสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ และอาจกระตุ้นให้ตลาดการเงินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หันมาใช้โมเดลเดียวกัน เพื่อแข่งขันกับตลาดใหญ่ในสหรัฐฯ และยุโรป 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ SGX เปิดตัว Bitcoin และ Ether perpetual futures ➡️ เริ่มซื้อขายวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025 ✅ จำกัดสิทธิ์เฉพาะนักลงทุนสถาบันและผู้ได้รับการรับรอง ➡️ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยง ✅ สิงคโปร์ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในเอเชีย ➡️ ยกระดับมาตรฐานตลาดคริปโตให้เทียบเท่าตลาดการเงินดั้งเดิม ‼️ ความเสี่ยงจากความผันผวนของอนุพันธ์คริปโต ⛔ อาจสร้างผลกระทบต่อผู้ลงทุนที่ไม่เข้าใจโครงสร้างสัญญา ‼️ การกำกับดูแลเข้มงวดอาจจำกัดการเข้าถึงของรายย่อย ⛔ ทำให้ตลาดคริปโตยังคงเป็นพื้นที่ของนักลงทุนสถาบันเป็นหลัก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/17/singapore-exchange-to-launch-bitcoin-and-ether-perpetual-futures
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Singapore Exchange to launch bitcoin and ether perpetual futures
    SINGAPORE (Reuters) -The derivatives arm of Singapore Exchange (SGX) said on Monday that it would launch bitcoin and ether cryptocurrency perpetual futures trading on its platform.
    0 Comments 0 Shares 279 Views 0 Reviews
  • ญี่ปุ่นรื้อกฎคริปโตครั้งใหญ่ , ดึงเข้ากรอบอินไซเดอร์เทรดดิ้ง–ลดภาษีกำไรเหลือ 20% เทียบตลาดทุน เปิดทางธนาคาร–ประกันขายคริปโต หวังยกระดับโปร่งใส-สกัดปั่นราคา

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000109751

    #คริปโต #ญี่ปุ่น #สินทรัพย์ดิจิทัล #กฎคริปโต #ตลาดทุน #News1live #News1
    ญี่ปุ่นรื้อกฎคริปโตครั้งใหญ่ , ดึงเข้ากรอบอินไซเดอร์เทรดดิ้ง–ลดภาษีกำไรเหลือ 20% เทียบตลาดทุน เปิดทางธนาคาร–ประกันขายคริปโต หวังยกระดับโปร่งใส-สกัดปั่นราคา • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000109751 • #คริปโต #ญี่ปุ่น #สินทรัพย์ดิจิทัล #กฎคริปโต #ตลาดทุน #News1live #News1
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 322 Views 0 Reviews
  • ส่วนขยาย Chrome ปลอมขโมย Seed Phrase ผ่าน Sui Blockchain

    ทีมวิจัยจาก Socket Threat Research พบส่วนขยาย Chrome ที่อ้างว่าเป็นกระเป๋าเงิน Ethereum ชื่อ Safery: Ethereum Wallet ซึ่งถูกเผยแพร่ใน Chrome Web Store และปรากฏใกล้เคียงกับกระเป๋าเงินที่ถูกต้องอย่าง MetaMask และ Enkrypt จุดอันตรายคือส่วนขยายนี้สามารถ ขโมย Seed Phrase ของผู้ใช้ ได้ทันทีที่มีการสร้างหรือ Import Wallet

    สิ่งที่ทำให้การโจมตีนี้แตกต่างคือ การซ่อนข้อมูลในธุรกรรมบล็อกเชน Sui โดยส่วนขยายจะเข้ารหัส Seed Phrase ของเหยื่อเป็นที่อยู่ปลอมบน Sui และส่งธุรกรรมเล็กๆ (0.000001 SUI) ไปยังที่อยู่นั้น จากนั้นผู้โจมตีสามารถถอดรหัสกลับมาเป็น Seed Phrase ได้โดยตรงจากข้อมูลบนบล็อกเชน โดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์กลางหรือการส่งข้อมูลผ่าน HTTP

    การทำงานเช่นนี้ทำให้การโจมตี ยากต่อการตรวจจับ เพราะทุกอย่างดูเหมือนธุรกรรมปกติบนบล็อกเชน ไม่มีการติดต่อกับ Command & Control Server และไม่มีการส่งข้อมูลแบบ plaintext ออกไปนอกเบราว์เซอร์

    แม้ Socket ได้แจ้ง Google แล้ว แต่ในช่วงเวลาที่รายงานเผยแพร่ ส่วนขยายนี้ยังคงสามารถดาวน์โหลดได้ใน Chrome Web Store ทำให้ผู้ใช้ที่กำลังมองหากระเป๋าเงินเบาๆ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีและสูญเสียสินทรัพย์ดิจิทัล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การค้นพบส่วนขยายปลอม Safery: Ethereum Wallet
    ปรากฏใน Chrome Web Store ใกล้กับกระเป๋าเงินที่ถูกต้อง
    ทำงานเหมือนกระเป๋าเงินปกติ แต่แอบขโมย Seed Phrase

    วิธีการโจมตี
    เข้ารหัส Seed Phrase เป็นที่อยู่ปลอมบน Sui Blockchain
    ส่งธุรกรรมเล็กๆ เพื่อซ่อนข้อมูลโดยไม่ใช้เซิร์ฟเวอร์กลาง

    ความยากในการตรวจจับ
    ไม่มีการส่งข้อมูลผ่าน HTTP หรือ C2 Server
    ทุกอย่างดูเหมือนธุรกรรมปกติบนบล็อกเชน

    คำเตือนต่อผู้ใช้งาน
    ผู้ใช้ที่ดาวน์โหลดส่วนขยายนี้เสี่ยงต่อการสูญเสียคริปโตทั้งหมด
    ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของส่วนขยายก่อนติดตั้ง และใช้กระเป๋าเงินจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น

    https://securityonline.info/sui-blockchain-seed-stealer-malicious-chrome-extension-hides-mnemonic-exfiltration-in-microtransactions/
    🕵️‍♂️ ส่วนขยาย Chrome ปลอมขโมย Seed Phrase ผ่าน Sui Blockchain ทีมวิจัยจาก Socket Threat Research พบส่วนขยาย Chrome ที่อ้างว่าเป็นกระเป๋าเงิน Ethereum ชื่อ Safery: Ethereum Wallet ซึ่งถูกเผยแพร่ใน Chrome Web Store และปรากฏใกล้เคียงกับกระเป๋าเงินที่ถูกต้องอย่าง MetaMask และ Enkrypt จุดอันตรายคือส่วนขยายนี้สามารถ ขโมย Seed Phrase ของผู้ใช้ ได้ทันทีที่มีการสร้างหรือ Import Wallet สิ่งที่ทำให้การโจมตีนี้แตกต่างคือ การซ่อนข้อมูลในธุรกรรมบล็อกเชน Sui โดยส่วนขยายจะเข้ารหัส Seed Phrase ของเหยื่อเป็นที่อยู่ปลอมบน Sui และส่งธุรกรรมเล็กๆ (0.000001 SUI) ไปยังที่อยู่นั้น จากนั้นผู้โจมตีสามารถถอดรหัสกลับมาเป็น Seed Phrase ได้โดยตรงจากข้อมูลบนบล็อกเชน โดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์กลางหรือการส่งข้อมูลผ่าน HTTP การทำงานเช่นนี้ทำให้การโจมตี ยากต่อการตรวจจับ เพราะทุกอย่างดูเหมือนธุรกรรมปกติบนบล็อกเชน ไม่มีการติดต่อกับ Command & Control Server และไม่มีการส่งข้อมูลแบบ plaintext ออกไปนอกเบราว์เซอร์ แม้ Socket ได้แจ้ง Google แล้ว แต่ในช่วงเวลาที่รายงานเผยแพร่ ส่วนขยายนี้ยังคงสามารถดาวน์โหลดได้ใน Chrome Web Store ทำให้ผู้ใช้ที่กำลังมองหากระเป๋าเงินเบาๆ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีและสูญเสียสินทรัพย์ดิจิทัล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การค้นพบส่วนขยายปลอม Safery: Ethereum Wallet ➡️ ปรากฏใน Chrome Web Store ใกล้กับกระเป๋าเงินที่ถูกต้อง ➡️ ทำงานเหมือนกระเป๋าเงินปกติ แต่แอบขโมย Seed Phrase ✅ วิธีการโจมตี ➡️ เข้ารหัส Seed Phrase เป็นที่อยู่ปลอมบน Sui Blockchain ➡️ ส่งธุรกรรมเล็กๆ เพื่อซ่อนข้อมูลโดยไม่ใช้เซิร์ฟเวอร์กลาง ✅ ความยากในการตรวจจับ ➡️ ไม่มีการส่งข้อมูลผ่าน HTTP หรือ C2 Server ➡️ ทุกอย่างดูเหมือนธุรกรรมปกติบนบล็อกเชน ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้งาน ⛔ ผู้ใช้ที่ดาวน์โหลดส่วนขยายนี้เสี่ยงต่อการสูญเสียคริปโตทั้งหมด ⛔ ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของส่วนขยายก่อนติดตั้ง และใช้กระเป๋าเงินจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น https://securityonline.info/sui-blockchain-seed-stealer-malicious-chrome-extension-hides-mnemonic-exfiltration-in-microtransactions/
    SECURITYONLINE.INFO
    Sui Blockchain Seed Stealer: Malicious Chrome Extension Hides Mnemonic Exfiltration in Microtransactions
    A malicious Chrome extension, Safery: Ethereum Wallet, steals BIP-39 seed phrases by encoding them into synthetic Sui blockchain addresses and broadcasting microtransactions, bypassing HTTP/C2 detection.
    0 Comments 0 Shares 291 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “SoFi เปิดตัวบริการคริปโต – คลื่นทองคำดิจิทัลดึงสถาบันการเงินเข้าตลาด”

    เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 SoFi ประกาศเปิดตัวบริการซื้อขายคริปโตสำหรับลูกค้าทั่วไป ถือเป็นการเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง หลังจากที่กระแสการลงทุนในคริปโตพุ่งสูงขึ้นทั้งจากนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน

    สิ่งที่น่าสนใจคือ สถาบันการเงินดั้งเดิมจำนวนมากเริ่มเข้ามาในตลาดคริปโต เพราะกฎระเบียบในหลายประเทศเริ่มชัดเจนขึ้น ทำให้ความเสี่ยงด้านกฎหมายลดลง และการยอมรับจากผู้ใช้ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    รายงานระบุว่า แรงผลักดันหลักมาจากสองด้าน
    1️⃣ Retail Momentum – นักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อขายมากขึ้น
    2️⃣ Institutional Entry – สถาบันการเงินใหญ่ ๆ เช่นธนาคารและผู้ให้บริการสินเชื่อ เริ่มเปิดบริการคริปโต

    สิ่งนี้ทำให้ตลาดคริปโตมีการซื้อขายคึกคัก และแพลตฟอร์มอย่าง SoFi ได้รับแรงหนุนมหาศาล

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    SoFi เดิมเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ให้บริการสินเชื่อและการลงทุนแบบดิจิทัล การเข้าสู่ตลาดคริปโตจึงเป็นการขยายธุรกิจครั้งใหญ่
    การที่สถาบันการเงินเข้ามาในตลาดคริปโตมากขึ้น อาจช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ก็ทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น
    นักวิเคราะห์บางรายเตือนว่า แม้กฎระเบียบจะชัดเจนขึ้น แต่ความผันผวนของคริปโตยังสูงมาก และอาจสร้างความเสี่ยงต่อผู้ลงทุนที่ไม่เข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง

    SoFi เปิดตัวบริการซื้อขายคริปโต
    เข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง
    ตอบรับกระแสการลงทุนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

    แรงผลักดันของตลาดคริปโต
    นักลงทุนรายย่อยเข้ามามากขึ้น
    สถาบันการเงินดั้งเดิมเริ่มเข้าสู่ตลาด

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    เพิ่มการแข่งขันระหว่างแพลตฟอร์มการเงิน
    สร้างความน่าเชื่อถือให้ตลาดคริปโตมากขึ้น

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    ความผันผวนของคริปโตยังสูง อาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหนัก
    การเข้ามาของสถาบันการเงินอาจทำให้ตลาดถูกครอบงำโดยผู้เล่นรายใหญ่
    แม้กฎระเบียบชัดเจนขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลในบางประเทศ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/sofi-rolls-out-crypto-trading-as-digital-asset-gold-rush-draws-lenders
    💰 หัวข้อข่าว: “SoFi เปิดตัวบริการคริปโต – คลื่นทองคำดิจิทัลดึงสถาบันการเงินเข้าตลาด” เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 SoFi ประกาศเปิดตัวบริการซื้อขายคริปโตสำหรับลูกค้าทั่วไป ถือเป็นการเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง หลังจากที่กระแสการลงทุนในคริปโตพุ่งสูงขึ้นทั้งจากนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน สิ่งที่น่าสนใจคือ สถาบันการเงินดั้งเดิมจำนวนมากเริ่มเข้ามาในตลาดคริปโต เพราะกฎระเบียบในหลายประเทศเริ่มชัดเจนขึ้น ทำให้ความเสี่ยงด้านกฎหมายลดลง และการยอมรับจากผู้ใช้ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานระบุว่า แรงผลักดันหลักมาจากสองด้าน 1️⃣ Retail Momentum – นักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อขายมากขึ้น 2️⃣ Institutional Entry – สถาบันการเงินใหญ่ ๆ เช่นธนาคารและผู้ให้บริการสินเชื่อ เริ่มเปิดบริการคริปโต สิ่งนี้ทำให้ตลาดคริปโตมีการซื้อขายคึกคัก และแพลตฟอร์มอย่าง SoFi ได้รับแรงหนุนมหาศาล 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 📌 SoFi เดิมเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ให้บริการสินเชื่อและการลงทุนแบบดิจิทัล การเข้าสู่ตลาดคริปโตจึงเป็นการขยายธุรกิจครั้งใหญ่ 📌 การที่สถาบันการเงินเข้ามาในตลาดคริปโตมากขึ้น อาจช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ก็ทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น 📌 นักวิเคราะห์บางรายเตือนว่า แม้กฎระเบียบจะชัดเจนขึ้น แต่ความผันผวนของคริปโตยังสูงมาก และอาจสร้างความเสี่ยงต่อผู้ลงทุนที่ไม่เข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง ✅ SoFi เปิดตัวบริการซื้อขายคริปโต ➡️ เข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง ➡️ ตอบรับกระแสการลงทุนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ✅ แรงผลักดันของตลาดคริปโต ➡️ นักลงทุนรายย่อยเข้ามามากขึ้น ➡️ สถาบันการเงินดั้งเดิมเริ่มเข้าสู่ตลาด ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ เพิ่มการแข่งขันระหว่างแพลตฟอร์มการเงิน ➡️ สร้างความน่าเชื่อถือให้ตลาดคริปโตมากขึ้น ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ ความผันผวนของคริปโตยังสูง อาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหนัก ⛔ การเข้ามาของสถาบันการเงินอาจทำให้ตลาดถูกครอบงำโดยผู้เล่นรายใหญ่ ⛔ แม้กฎระเบียบชัดเจนขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลในบางประเทศ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/sofi-rolls-out-crypto-trading-as-digital-asset-gold-rush-draws-lenders
    WWW.THESTAR.COM.MY
    SoFi rolls out crypto trading as digital asset gold rush draws lenders
    (Reuters) -SoFi on Tuesday announced plans to roll out crypto trading for customers, as the multi-trillion-dollar crypto sector continues to attract traditional financial firms amid clearer regulation and growing adoption.
    0 Comments 0 Shares 269 Views 0 Reviews
  • ขอวิเคราะห์ทิศทางของ Bitcoin ในอนาคตจากมุมมองผู้เชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมข้อดีและข้อเสียอย่างเป็นกลาง:

    ข้อมองในแง่บวก (Bull Case)

    1. การยอมรับในระดับสถาบัน

    · กองทุนขนาดใหญ่ (BlackRock, Fidelity) เปิดกองทุน Bitcoin ETF
    · บริษัทมหาชนเพิ่ม Bitcoin ในงบดุล (เช่น MicroStrategy, Tesla)
    · ธนาคารกลางหลายประเทศศึกษาสกุลเงินดิจิทัศ (CBDC)

    2. อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น

    · กลไก Halving ลดอุปทานใหม่ทุก 4 ปี
    · มีผู้ใช้งานและนักลงทุนรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    · การใช้เป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ (Digital Gold)

    3. นวัตกรรมทางเทคโนโลยี

    · การพัฒนาระบบ Layer 2 (เช่น Lightning Network)
    · การบูรณาการกับ DeFi และ Smart Contract
    · การปรับปรุงความสามารถในการขยายขนาด (Scalability)

    ข้อกังวลในแง่ลบ (Bear Case)

    1. ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ

    · การควบคุมที่เข้มงวดจากรัฐบาลต่างๆ
    · นโยบายการเก็บภาษีที่ยังไม่ชัดเจนในหลายประเทศ
    · ความเสี่ยงจากการแบนในบางเขตอำนาจศาล

    2. ความผันผวนสูง

    · ราคายังคงมีความผันผวนในระดับที่เสี่ยง
    · การเก็งกำไรระยะสั้นมีอิทธิพลต่อราคา
    · ความเชื่อมั่นที่อ่อนไหวต่อข่าวลือและทวีต

    3. ความท้าทายทางเทคนิค

    · ปัญหาการใช้พลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    · ความเร็วในการทำธุรกรรมที่จำกัด
    · ค่า Fee ที่อาจสูงในช่วงความนิยม

    มุมมองโดยรวม

    ผู้มองในแง่บวก เห็นว่า Bitcoin จะเติบโตเป็น:

    · สินทรัพย์ปลอดภัยรูปแบบดิจิทัล
    · ระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน
    · พื้นฐานของระบบการเงินใหม่

    ผู้มองในแง่ลบ กังวลเกี่ยวกับ:

    · ฟองสบู่ทางราคาที่อาจแตก
    · การแข่งขันจากสกุลเงินดิจิทัลอื่น
    · ความไม่แน่นอนในระยะยาว

    คำแนะนำการลงทุน

    · ลงทุนเพียงส่วนที่ยอมเสียได้
    · ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด
    · กระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน

    ตลาดคริปโตยังคงมีความไม่แน่นอนสูง การตัดสินใจลงทุนควรอยู่บนพื้นฐานการศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
    ขอวิเคราะห์ทิศทางของ Bitcoin ในอนาคตจากมุมมองผู้เชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมข้อดีและข้อเสียอย่างเป็นกลาง: ข้อมองในแง่บวก (Bull Case) 1. การยอมรับในระดับสถาบัน · กองทุนขนาดใหญ่ (BlackRock, Fidelity) เปิดกองทุน Bitcoin ETF · บริษัทมหาชนเพิ่ม Bitcoin ในงบดุล (เช่น MicroStrategy, Tesla) · ธนาคารกลางหลายประเทศศึกษาสกุลเงินดิจิทัศ (CBDC) 2. อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น · กลไก Halving ลดอุปทานใหม่ทุก 4 ปี · มีผู้ใช้งานและนักลงทุนรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง · การใช้เป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ (Digital Gold) 3. นวัตกรรมทางเทคโนโลยี · การพัฒนาระบบ Layer 2 (เช่น Lightning Network) · การบูรณาการกับ DeFi และ Smart Contract · การปรับปรุงความสามารถในการขยายขนาด (Scalability) ข้อกังวลในแง่ลบ (Bear Case) 1. ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ · การควบคุมที่เข้มงวดจากรัฐบาลต่างๆ · นโยบายการเก็บภาษีที่ยังไม่ชัดเจนในหลายประเทศ · ความเสี่ยงจากการแบนในบางเขตอำนาจศาล 2. ความผันผวนสูง · ราคายังคงมีความผันผวนในระดับที่เสี่ยง · การเก็งกำไรระยะสั้นมีอิทธิพลต่อราคา · ความเชื่อมั่นที่อ่อนไหวต่อข่าวลือและทวีต 3. ความท้าทายทางเทคนิค · ปัญหาการใช้พลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม · ความเร็วในการทำธุรกรรมที่จำกัด · ค่า Fee ที่อาจสูงในช่วงความนิยม มุมมองโดยรวม ผู้มองในแง่บวก เห็นว่า Bitcoin จะเติบโตเป็น: · สินทรัพย์ปลอดภัยรูปแบบดิจิทัล · ระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน · พื้นฐานของระบบการเงินใหม่ ผู้มองในแง่ลบ กังวลเกี่ยวกับ: · ฟองสบู่ทางราคาที่อาจแตก · การแข่งขันจากสกุลเงินดิจิทัลอื่น · ความไม่แน่นอนในระยะยาว คำแนะนำการลงทุน · ลงทุนเพียงส่วนที่ยอมเสียได้ · ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด · กระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน ตลาดคริปโตยังคงมีความไม่แน่นอนสูง การตัดสินใจลงทุนควรอยู่บนพื้นฐานการศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
    1 Comments 0 Shares 359 Views 0 Reviews
  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 341/2568 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยที่การกระทำความผิดทางเทคโนโลยีซับซ้อน มีรูปแบบหลากหลาย เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการฟอกเงิน การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดความเสียหายต่อประชาชน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ โดยนายกฯ เป็นประธานกรรมการ มีองค์ประกอบคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ รมว.คลัง รมว.การต่างประเทศ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

    -29 มี.ค. เหมาะเลือกตั้ง
    -หวังท่องเที่ยวดึงเศรษฐกิจ
    -งบเหลื่อมปีทุบสถิติ 3 แสนล้าน
    -ร้องรื้อคดีตากใบ
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 341/2568 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยที่การกระทำความผิดทางเทคโนโลยีซับซ้อน มีรูปแบบหลากหลาย เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการฟอกเงิน การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดความเสียหายต่อประชาชน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ โดยนายกฯ เป็นประธานกรรมการ มีองค์ประกอบคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ รมว.คลัง รมว.การต่างประเทศ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย -29 มี.ค. เหมาะเลือกตั้ง -หวังท่องเที่ยวดึงเศรษฐกิจ -งบเหลื่อมปีทุบสถิติ 3 แสนล้าน -ร้องรื้อคดีตากใบ
    0 Comments 0 Shares 553 Views 0 0 Reviews
  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 341/2568 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยที่การกระทำความผิดทางเทคโนโลยีซับซ้อน มีรูปแบบหลากหลาย เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการฟอกเงิน การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดความเสียหายต่อประชาชน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ โดยนายกฯ เป็นประธานกรรมการ มีองค์ประกอบคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ รมว.คลัง รมว.การต่างประเทศ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

    -29 มี.ค. เหมาะเลือกตั้ง
    -หวังท่องเที่ยวดึงเศรษฐกิจ
    -งบเหลื่อมปีทุบสถิติ 3 แสนล้าน
    -ร้องรื้อคดีตากใบ
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 341/2568 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยที่การกระทำความผิดทางเทคโนโลยีซับซ้อน มีรูปแบบหลากหลาย เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการฟอกเงิน การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดความเสียหายต่อประชาชน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ โดยนายกฯ เป็นประธานกรรมการ มีองค์ประกอบคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ รมว.คลัง รมว.การต่างประเทศ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย -29 มี.ค. เหมาะเลือกตั้ง -หวังท่องเที่ยวดึงเศรษฐกิจ -งบเหลื่อมปีทุบสถิติ 3 แสนล้าน -ร้องรื้อคดีตากใบ
    0 Comments 0 Shares 422 Views 0 0 Reviews
  • เมื่อ Bitcoin เริ่มชะลอ… นักลงทุนสถาบันหันหลังให้ BTC แล้วหันหน้าสู่ Altcoin และ DeFi

    ปี 2025 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดคริปโต เมื่อ Bitcoin ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของการลงทุน เริ่มสูญเสียความเป็นผู้นำในด้าน “dominance” โดยลดลงต่ำกว่า 58% เป็นครั้งแรกในรอบปี ขณะที่ Altcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ กลับได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและหาผลตอบแทนที่สูงกว่า

    Ethereum ETF เพียงอย่างเดียวสามารถดึงเงินลงทุนได้ถึง 3 พันล้านดอลลาร์ภายในสัปดาห์เดียว และตลาด Altcoin โดยรวม (TOTAL3) เติบโตขึ้นกว่า 109% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาด ที่ไม่ได้พึ่งพาแค่ Bitcoin อีกต่อไป

    DeFi และ Stablecoin ก็เป็นอีกสองกลุ่มที่เติบโตโดดเด่น โดย DeFi มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 44.5% และ Stablecoin เพิ่มขึ้น 38.6% ในปีเดียว ขณะที่ DEX (Decentralized Exchange) มีปริมาณการซื้อขายรวมกว่า 1.15 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2025 ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์ไปสู่โครงสร้างแบบกระจายอำนาจ

    การขยายตัวของสภาพคล่องทั่วโลก (M2) กว่า 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ และการลดดอกเบี้ยในหลายประเทศ ทำให้เงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะ Altcoin ที่มีความผันผวนสูงแต่ให้ผลตอบแทนมากกว่า Bitcoin ถึง 200% ในบางช่วง

    Bitcoin สูญเสียความเป็นผู้นำในตลาดคริปโต
    Dominance ลดลงต่ำกว่า 58% เป็นครั้งแรกในปี 2025
    นักลงทุนสถาบันเริ่มหันไปลงทุนใน Altcoin และ DeFi

    Ethereum ETF ดึงเงินลงทุนมหาศาล
    มี inflow ถึง $3 พันล้านในสัปดาห์เดียว
    สะท้อนความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ใช่ Bitcoin

    Altcoin เติบโตเหนือความคาดหมาย
    TOTAL3 เพิ่มขึ้น 109.43% เมื่อเทียบกับปีก่อน
    Altcoin ให้ผลตอบแทนสูงกว่า Bitcoin ในช่วงดอกเบี้ยต่ำ

    DeFi และ Stablecoin เป็นกลุ่มที่เติบโตเร็ว
    DeFi เพิ่มขึ้น 44.5% / Stablecoin เพิ่มขึ้น 38.6%
    สะท้อนการใช้งานจริงและความเชื่อมั่นจากนักลงทุน

    DEX กลายเป็นโครงสร้างหลักของการซื้อขาย
    ปริมาณซื้อขายรวมกว่า $1.15 ล้านล้านในปีเดียว
    Ethereum มี volume สูงสุดในเดือนสิงหาคมที่ $139.63 พันล้าน

    On-chain lending และ staking เติบโตต่อเนื่อง
    Lending TVL เพิ่มขึ้น 65% เป็น $79.8B / AAVE ครองครึ่งตลาด
    ETH ที่ถูก stake รวมกว่า 35.8 ล้าน ETH

    สภาพคล่องทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากนโยบายการเงิน
    M2 ขยายตัว $5.6 ล้านล้านในปีเดียว
    เงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะ Altcoin

    https://hackread.com/shifting-pivot-toward-altcoins-bitcoin-slowdown/
    📰 เมื่อ Bitcoin เริ่มชะลอ… นักลงทุนสถาบันหันหลังให้ BTC แล้วหันหน้าสู่ Altcoin และ DeFi ปี 2025 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดคริปโต เมื่อ Bitcoin ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของการลงทุน เริ่มสูญเสียความเป็นผู้นำในด้าน “dominance” โดยลดลงต่ำกว่า 58% เป็นครั้งแรกในรอบปี ขณะที่ Altcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ กลับได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและหาผลตอบแทนที่สูงกว่า Ethereum ETF เพียงอย่างเดียวสามารถดึงเงินลงทุนได้ถึง 3 พันล้านดอลลาร์ภายในสัปดาห์เดียว และตลาด Altcoin โดยรวม (TOTAL3) เติบโตขึ้นกว่า 109% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาด ที่ไม่ได้พึ่งพาแค่ Bitcoin อีกต่อไป DeFi และ Stablecoin ก็เป็นอีกสองกลุ่มที่เติบโตโดดเด่น โดย DeFi มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 44.5% และ Stablecoin เพิ่มขึ้น 38.6% ในปีเดียว ขณะที่ DEX (Decentralized Exchange) มีปริมาณการซื้อขายรวมกว่า 1.15 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2025 ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์ไปสู่โครงสร้างแบบกระจายอำนาจ การขยายตัวของสภาพคล่องทั่วโลก (M2) กว่า 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ และการลดดอกเบี้ยในหลายประเทศ ทำให้เงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะ Altcoin ที่มีความผันผวนสูงแต่ให้ผลตอบแทนมากกว่า Bitcoin ถึง 200% ในบางช่วง ✅ Bitcoin สูญเสียความเป็นผู้นำในตลาดคริปโต ➡️ Dominance ลดลงต่ำกว่า 58% เป็นครั้งแรกในปี 2025 ➡️ นักลงทุนสถาบันเริ่มหันไปลงทุนใน Altcoin และ DeFi ✅ Ethereum ETF ดึงเงินลงทุนมหาศาล ➡️ มี inflow ถึง $3 พันล้านในสัปดาห์เดียว ➡️ สะท้อนความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ใช่ Bitcoin ✅ Altcoin เติบโตเหนือความคาดหมาย ➡️ TOTAL3 เพิ่มขึ้น 109.43% เมื่อเทียบกับปีก่อน ➡️ Altcoin ให้ผลตอบแทนสูงกว่า Bitcoin ในช่วงดอกเบี้ยต่ำ ✅ DeFi และ Stablecoin เป็นกลุ่มที่เติบโตเร็ว ➡️ DeFi เพิ่มขึ้น 44.5% / Stablecoin เพิ่มขึ้น 38.6% ➡️ สะท้อนการใช้งานจริงและความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ✅ DEX กลายเป็นโครงสร้างหลักของการซื้อขาย ➡️ ปริมาณซื้อขายรวมกว่า $1.15 ล้านล้านในปีเดียว ➡️ Ethereum มี volume สูงสุดในเดือนสิงหาคมที่ $139.63 พันล้าน ✅ On-chain lending และ staking เติบโตต่อเนื่อง ➡️ Lending TVL เพิ่มขึ้น 65% เป็น $79.8B / AAVE ครองครึ่งตลาด ➡️ ETH ที่ถูก stake รวมกว่า 35.8 ล้าน ETH ✅ สภาพคล่องทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากนโยบายการเงิน ➡️ M2 ขยายตัว $5.6 ล้านล้านในปีเดียว ➡️ เงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะ Altcoin https://hackread.com/shifting-pivot-toward-altcoins-bitcoin-slowdown/
    HACKREAD.COM
    Shifting Tides: Investors Pivot Toward Altcoins Amid Bitcoin Slowdown
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 424 Views 0 Reviews
  • เชื่อ! ต่างชาติเมิน ‘TouristDigiPay’ ไม่แลก ‘เงินดิจิทัล’ เป็น ‘บาท’ แน่นอน แนะทำ ‘Blockchain Analytics’ ป้องกันฟอกเงิน
    https://www.thai-tai.tv/news/21058/
    .
    #TouristDigiPay #สินทรัพย์ดิจิทัล #คริปโต #ข่าวเศรษฐกิจ #ธนาคารแห่งประเทศไทย #นักวิชาการ #ไทยไทด้วย

    เชื่อ! ต่างชาติเมิน ‘TouristDigiPay’ ไม่แลก ‘เงินดิจิทัล’ เป็น ‘บาท’ แน่นอน แนะทำ ‘Blockchain Analytics’ ป้องกันฟอกเงิน https://www.thai-tai.tv/news/21058/ . #TouristDigiPay #สินทรัพย์ดิจิทัล #คริปโต #ข่าวเศรษฐกิจ #ธนาคารแห่งประเทศไทย #นักวิชาการ #ไทยไทด้วย
    0 Comments 0 Shares 393 Views 0 Reviews
  • TouristDigiPay – เมื่อคริปโตกลายเป็นกุญแจฟื้นการท่องเที่ยวไทย

    ประเทศไทยกำลังเดิมพันครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่ซบเซา ด้วยโครงการ “TouristDigiPay” มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet เพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิต

    โครงการนี้จะเริ่มในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 และดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ “regulatory sandbox” ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงาน ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ

    นักท่องเที่ยวจะไม่จ่ายเงินด้วยคริปโตโดยตรง แต่จะต้องแปลงผ่านแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตเข้าสู่ e-wallet ที่ใช้จ่ายเป็นเงินบาทเท่านั้น โดยจำกัดการใช้จ่ายรายเดือนสูงสุด 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กจะถูกจำกัดไว้ที่ 50,000 บาท ส่วนธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ

    เหตุผลหลักคือการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ หลังจากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง โดยเฉพาะจากจีนที่ลดลงถึง 34% ในครึ่งปีแรกของ 2025

    นอกจากนี้ ประเทศอื่นก็เริ่มใช้คริปโตในภาคการท่องเที่ยวเช่นกัน เช่น ภูฏานที่ร่วมมือกับ Binance Pay, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโต และแม้แต่ Blue Origin ของ Jeff Bezos ก็รับ Bitcoin กับ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    โครงการ TouristDigiPay เปิดให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet
    ดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ regulatory sandbox
    หน่วยงานกำกับดูแลประกอบด้วยกระทรวงการคลัง, ธปท., ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยว
    นักท่องเที่ยวไม่จ่ายคริปโตโดยตรง แต่ใช้เงินบาทผ่านระบบหลังบ้าน
    จำกัดการใช้จ่ายรายเดือนที่ 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กที่ 50,000 บาท
    ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ
    เป้าหมายคือกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่ซบเซา โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน
    ตัวเลขนักท่องเที่ยวครึ่งปีแรก 2025 อยู่ที่ 16.8 ล้านคน ลดลงจาก 17.7 ล้านคนในปีที่แล้ว
    รัฐบาลลดเป้าหมายการท่องเที่ยวปี 2025 จาก 37 ล้านคน เหลือ 33 ล้านคน
    รองนายกฯ และ รมว.คลังระบุว่าโครงการนี้ช่วยลดการพึ่งพาเงินสดและบัตรเครดิต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ภูฏานร่วมมือกับ Binance Pay เพื่อเปิดรับคริปโตในภาคการท่องเที่ยว
    สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโตผ่าน Crypto.com
    Blue Origin รับ Bitcoin และ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ
    ประเทศไทยกำลังพิจารณาให้คริปโตเชื่อมกับบัตรเครดิตเพื่อใช้จ่ายในประเทศ
    มีแผนรวมตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้กฎหมายเดียวเพื่อความคล่องตัวของนักลงทุน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/thailands-usd15b-touristdigipay-scheme-will-let-visitors-convert-crypto-to-baht-18-month-pilot-program-is-engineered-to-revive-slumping-tourism-in-the-region
    🎙️ TouristDigiPay – เมื่อคริปโตกลายเป็นกุญแจฟื้นการท่องเที่ยวไทย ประเทศไทยกำลังเดิมพันครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่ซบเซา ด้วยโครงการ “TouristDigiPay” มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet เพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิต โครงการนี้จะเริ่มในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 และดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ “regulatory sandbox” ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงาน ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ นักท่องเที่ยวจะไม่จ่ายเงินด้วยคริปโตโดยตรง แต่จะต้องแปลงผ่านแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตเข้าสู่ e-wallet ที่ใช้จ่ายเป็นเงินบาทเท่านั้น โดยจำกัดการใช้จ่ายรายเดือนสูงสุด 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กจะถูกจำกัดไว้ที่ 50,000 บาท ส่วนธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ เหตุผลหลักคือการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ หลังจากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง โดยเฉพาะจากจีนที่ลดลงถึง 34% ในครึ่งปีแรกของ 2025 นอกจากนี้ ประเทศอื่นก็เริ่มใช้คริปโตในภาคการท่องเที่ยวเช่นกัน เช่น ภูฏานที่ร่วมมือกับ Binance Pay, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโต และแม้แต่ Blue Origin ของ Jeff Bezos ก็รับ Bitcoin กับ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ โครงการ TouristDigiPay เปิดให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet ➡️ ดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ regulatory sandbox ➡️ หน่วยงานกำกับดูแลประกอบด้วยกระทรวงการคลัง, ธปท., ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยว ➡️ นักท่องเที่ยวไม่จ่ายคริปโตโดยตรง แต่ใช้เงินบาทผ่านระบบหลังบ้าน ➡️ จำกัดการใช้จ่ายรายเดือนที่ 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กที่ 50,000 บาท ➡️ ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ ➡️ เป้าหมายคือกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่ซบเซา โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน ➡️ ตัวเลขนักท่องเที่ยวครึ่งปีแรก 2025 อยู่ที่ 16.8 ล้านคน ลดลงจาก 17.7 ล้านคนในปีที่แล้ว ➡️ รัฐบาลลดเป้าหมายการท่องเที่ยวปี 2025 จาก 37 ล้านคน เหลือ 33 ล้านคน ➡️ รองนายกฯ และ รมว.คลังระบุว่าโครงการนี้ช่วยลดการพึ่งพาเงินสดและบัตรเครดิต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ภูฏานร่วมมือกับ Binance Pay เพื่อเปิดรับคริปโตในภาคการท่องเที่ยว ➡️ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโตผ่าน Crypto.com ➡️ Blue Origin รับ Bitcoin และ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ ➡️ ประเทศไทยกำลังพิจารณาให้คริปโตเชื่อมกับบัตรเครดิตเพื่อใช้จ่ายในประเทศ ➡️ มีแผนรวมตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้กฎหมายเดียวเพื่อความคล่องตัวของนักลงทุน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/thailands-usd15b-touristdigipay-scheme-will-let-visitors-convert-crypto-to-baht-18-month-pilot-program-is-engineered-to-revive-slumping-tourism-in-the-region
    0 Comments 0 Shares 793 Views 0 Reviews
  • ♣ พิชัยหอกหักเตรียมเปิดตัว “TouristDigiPay” ระบบชำระเงินผ่านคริปโตเคอร์เรนซีสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ แปลงสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาท ใช้จ่ายได้ทั่วไทย ทั้งที่ยังไม่มีมาตรการตรวจสอบและควบคุม ส่อสร้างความเสียหายแก่ผู้ประกอบการห้างร้านและธุรกิจท่องเที่ยวไทย
    #7ดอกจิก
    ♣ พิชัยหอกหักเตรียมเปิดตัว “TouristDigiPay” ระบบชำระเงินผ่านคริปโตเคอร์เรนซีสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ แปลงสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาท ใช้จ่ายได้ทั่วไทย ทั้งที่ยังไม่มีมาตรการตรวจสอบและควบคุม ส่อสร้างความเสียหายแก่ผู้ประกอบการห้างร้านและธุรกิจท่องเที่ยวไทย #7ดอกจิก
    0 Comments 0 Shares 495 Views 0 Reviews
  • เมื่อคริปโตกลายเป็นเงินจ่ายค่าข้าวมันไก่: ไทยเปิดตัว TouristDigiPay

    รัฐบาลไทยเปิดตัวโครงการนำร่องชื่อ “TouristDigiPay” ที่ให้ชาวต่างชาติสามารถแปลงคริปโตเป็นเงินบาทเพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิตจากต่างประเทศ

    โครงการนี้จะดำเนินการในรูปแบบ sandbox เป็นเวลา 18 เดือน โดยมีการกำหนดวงเงินแปลงคริปโตไว้ที่ 550,000 บาทต่อเดือน เพื่อป้องกันการฟอกเงินและควบคุมความเสี่ยง

    นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และผู้ให้บริการ e-money ที่อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML อย่างเข้มงวด

    หลังแปลงคริปโตเป็นเงินบาท เงินจะถูกเก็บไว้ใน Tourist Wallet ซึ่งสามารถใช้จ่ายผ่าน QR code กับร้านค้าในไทยได้ โดยร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต

    รัฐบาลหวังว่าโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มที่คุ้นเคยกับคริปโต เช่น นักเดินทางรุ่นใหม่ และผู้ที่ไม่สะดวกใช้บัตรเครดิตข้ามประเทศ

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    โครงการ TouristDigiPay เปิดตัวเมื่อ 18 ส.ค. 2025 เพื่อให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาท
    ดำเนินการใน sandbox เป็นเวลา 18 เดือน พร้อมกำหนดวงเงินแปลงที่ 550,000 บาทต่อเดือน
    นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลและ e-money ที่ได้รับอนุญาต
    ต้องผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML ตามมาตรฐานของ AMLO
    เงินที่แปลงจะถูกเก็บใน Tourist Wallet และใช้จ่ายผ่าน QR code
    ร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต
    ไม่อนุญาตให้ถอนเงินสดระหว่างการเข้าร่วมโครงการ
    การใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กจำกัดที่ 50,000 บาทต่อเดือน ส่วนร้านใหญ่ได้ถึง 500,000 บาท
    ห้ามใช้จ่ายกับธุรกิจที่ถูกจัดว่าเป็นความเสี่ยงสูงตามเกณฑ์ของ AMLO
    รัฐบาลหวังเพิ่มการใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยว 5,000 บาทต่อคน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    โครงการนี้ถือเป็นครั้งแรกในโลกที่ใช้โมเดล “แปลงคริปโตเป็น fiat” สำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ
    QR code เป็นช่องทางจ่ายเงินที่นิยมที่สุดในไทย โดยเฉพาะร้านอาหารและร้านค้าขนาดเล็ก
    การใช้ sandbox ช่วยให้รัฐบาลทดสอบเทคโนโลยีใหม่โดยไม่กระทบระบบการเงินหลัก
    การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนยังช้า ทำให้ไทยต้องหาทางดึงนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและอาเซียน
    การใช้คริปโตช่วยลดต้นทุนการแลกเปลี่ยนเงินตราและค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต
    หากโครงการสำเร็จ อาจขยายไปสู่การซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสินค้าหรูในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/18/thailand-to-launch-crypto-to-baht-conversion-for-foreign-tourists
    🏖️ เมื่อคริปโตกลายเป็นเงินจ่ายค่าข้าวมันไก่: ไทยเปิดตัว TouristDigiPay รัฐบาลไทยเปิดตัวโครงการนำร่องชื่อ “TouristDigiPay” ที่ให้ชาวต่างชาติสามารถแปลงคริปโตเป็นเงินบาทเพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิตจากต่างประเทศ โครงการนี้จะดำเนินการในรูปแบบ sandbox เป็นเวลา 18 เดือน โดยมีการกำหนดวงเงินแปลงคริปโตไว้ที่ 550,000 บาทต่อเดือน เพื่อป้องกันการฟอกเงินและควบคุมความเสี่ยง นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และผู้ให้บริการ e-money ที่อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML อย่างเข้มงวด หลังแปลงคริปโตเป็นเงินบาท เงินจะถูกเก็บไว้ใน Tourist Wallet ซึ่งสามารถใช้จ่ายผ่าน QR code กับร้านค้าในไทยได้ โดยร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต รัฐบาลหวังว่าโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มที่คุ้นเคยกับคริปโต เช่น นักเดินทางรุ่นใหม่ และผู้ที่ไม่สะดวกใช้บัตรเครดิตข้ามประเทศ ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ โครงการ TouristDigiPay เปิดตัวเมื่อ 18 ส.ค. 2025 เพื่อให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาท ➡️ ดำเนินการใน sandbox เป็นเวลา 18 เดือน พร้อมกำหนดวงเงินแปลงที่ 550,000 บาทต่อเดือน ➡️ นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลและ e-money ที่ได้รับอนุญาต ➡️ ต้องผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML ตามมาตรฐานของ AMLO ➡️ เงินที่แปลงจะถูกเก็บใน Tourist Wallet และใช้จ่ายผ่าน QR code ➡️ ร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต ➡️ ไม่อนุญาตให้ถอนเงินสดระหว่างการเข้าร่วมโครงการ ➡️ การใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กจำกัดที่ 50,000 บาทต่อเดือน ส่วนร้านใหญ่ได้ถึง 500,000 บาท ➡️ ห้ามใช้จ่ายกับธุรกิจที่ถูกจัดว่าเป็นความเสี่ยงสูงตามเกณฑ์ของ AMLO ➡️ รัฐบาลหวังเพิ่มการใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยว 5,000 บาทต่อคน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ โครงการนี้ถือเป็นครั้งแรกในโลกที่ใช้โมเดล “แปลงคริปโตเป็น fiat” สำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ➡️ QR code เป็นช่องทางจ่ายเงินที่นิยมที่สุดในไทย โดยเฉพาะร้านอาหารและร้านค้าขนาดเล็ก ➡️ การใช้ sandbox ช่วยให้รัฐบาลทดสอบเทคโนโลยีใหม่โดยไม่กระทบระบบการเงินหลัก ➡️ การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนยังช้า ทำให้ไทยต้องหาทางดึงนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและอาเซียน ➡️ การใช้คริปโตช่วยลดต้นทุนการแลกเปลี่ยนเงินตราและค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต ➡️ หากโครงการสำเร็จ อาจขยายไปสู่การซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสินค้าหรูในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/18/thailand-to-launch-crypto-to-baht-conversion-for-foreign-tourists
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Thailand to launch crypto-to-baht conversion for foreign tourists
    BANGKOK (Reuters) -Thailand will launch an 18-month pilot programme to allow foreign visitors to convert cryptocurrencies into baht to make payments locally, officials said on Monday, part of efforts to rejuvenate the country's critical tourist sector.
    0 Comments 0 Shares 569 Views 0 Reviews
  • ทดลองคริปโตฯสแกนจ่าย หนุนต่างชาติเที่ยวไทย

    กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมมือเปิดตัวโครงการทดสอบการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเปลี่ยนเป็นเงินบาท เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการในประเทศ หรือ ทัวริสต์ดิจิเพย์ (TouristDigiPay) ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ นำสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ คริปโตเคอเรนซี่ หรือโทเคนดิจิทัลที่ถือครองอยู่แปลงเป็นเงินบาท เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าต่างๆ ในประเทศไทย โดยมีระยะเวลาทดสอบเบื้องต้น 18 เดือน คาดว่าจะเริ่มใช้บริการได้ในไตรมาส 4 ปี 2568

    ทัวริสต์ดิจิเพย์ ไม่ได้เป็นการนำคริปโตเคอเรนซี่ หรือโทเคนดิจิทัลมาชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าทั้งทางตรงหรือทางอ้อม แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต้องนำไปแลกผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ออกมาเป็นเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) ในบัญชีที่ชื่อว่า ทัวริสต์วอลเล็ต (Tourist Wallet) แล้วนำไปสแกนจ่ายตามร้านค้าอีกที จำกัดวงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือนสำหรับร้านค้ารายย่อย และไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน สำหรับร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ Know Your Merchant (KYM) โดยร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาท เช่นเดียวกับรับเงินโอนทั่วไป หากใช้ไม่หมด แลกคืนได้ไม่เกินวงเงินแลกขาเข้า

    นักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจจะต้องเปิดบัญชีและทำ KYC กับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) ในไทย และเปิดบัญชีทัวริสต์วอลเล็ต กับผู้ให้บริการ e-money จากนั้นโอนสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าบัญชี Exchange ในไทย แล้วขายออกมาเป็นเงินบาท รับเงินเข้าบัญชีทัวริสต์วอลเล็ต ก่อนสแกนจ่ายตามร้านค้า นอกจากจะจำกัดวงเงินต่อเดือนแล้ว สำนักงาน ปปง. จะดูแลธุรกรรมอย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้กลายเป็นการฟอกเงิน กลุ่มเป้าหมายเน้นไปที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีศักยภาพ มีสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่แล้วมาใช้จ่าย เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทย

    ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมใช้บัตรพรีเพดการ์ด (Prepaid Card) ที่ผูกกับสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านเครือข่ายร้านค้ารับบัตรยอดนิยมในไทยอย่าง VISA และ Mastercard ถือเป็นการจำกัดเฉพาะร้านค้าขนาดใหญ่หรือร้านค้าที่มีเครื่องรูดบัตร (EDC) เท่านั้น แต่เนื่องจากชาวต่างชาติที่มีสินทรัพย์ดิจิทัลคุ้นเคยกับวิธีการนี้อยู่แล้ว อีกทั้งทุกวันนี้ร้านค้าขนาดเล็กนิยมรับเงินสดเพราะไม่อยากนำรายได้จากการรับเงินโอนไปเข้าระบบภาษี ต้องคอยดูว่าโครงการนี้จะรอดหรือจะแป๊ก เฉกเช่นโครงการอื่นของรัฐบาล เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง หรือไม่?

    #Newskit
    ทดลองคริปโตฯสแกนจ่าย หนุนต่างชาติเที่ยวไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมมือเปิดตัวโครงการทดสอบการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเปลี่ยนเป็นเงินบาท เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการในประเทศ หรือ ทัวริสต์ดิจิเพย์ (TouristDigiPay) ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ นำสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ คริปโตเคอเรนซี่ หรือโทเคนดิจิทัลที่ถือครองอยู่แปลงเป็นเงินบาท เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าต่างๆ ในประเทศไทย โดยมีระยะเวลาทดสอบเบื้องต้น 18 เดือน คาดว่าจะเริ่มใช้บริการได้ในไตรมาส 4 ปี 2568 ทัวริสต์ดิจิเพย์ ไม่ได้เป็นการนำคริปโตเคอเรนซี่ หรือโทเคนดิจิทัลมาชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าทั้งทางตรงหรือทางอ้อม แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต้องนำไปแลกผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ออกมาเป็นเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) ในบัญชีที่ชื่อว่า ทัวริสต์วอลเล็ต (Tourist Wallet) แล้วนำไปสแกนจ่ายตามร้านค้าอีกที จำกัดวงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือนสำหรับร้านค้ารายย่อย และไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน สำหรับร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ Know Your Merchant (KYM) โดยร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาท เช่นเดียวกับรับเงินโอนทั่วไป หากใช้ไม่หมด แลกคืนได้ไม่เกินวงเงินแลกขาเข้า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจจะต้องเปิดบัญชีและทำ KYC กับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) ในไทย และเปิดบัญชีทัวริสต์วอลเล็ต กับผู้ให้บริการ e-money จากนั้นโอนสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าบัญชี Exchange ในไทย แล้วขายออกมาเป็นเงินบาท รับเงินเข้าบัญชีทัวริสต์วอลเล็ต ก่อนสแกนจ่ายตามร้านค้า นอกจากจะจำกัดวงเงินต่อเดือนแล้ว สำนักงาน ปปง. จะดูแลธุรกรรมอย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้กลายเป็นการฟอกเงิน กลุ่มเป้าหมายเน้นไปที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีศักยภาพ มีสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่แล้วมาใช้จ่าย เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทย ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมใช้บัตรพรีเพดการ์ด (Prepaid Card) ที่ผูกกับสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านเครือข่ายร้านค้ารับบัตรยอดนิยมในไทยอย่าง VISA และ Mastercard ถือเป็นการจำกัดเฉพาะร้านค้าขนาดใหญ่หรือร้านค้าที่มีเครื่องรูดบัตร (EDC) เท่านั้น แต่เนื่องจากชาวต่างชาติที่มีสินทรัพย์ดิจิทัลคุ้นเคยกับวิธีการนี้อยู่แล้ว อีกทั้งทุกวันนี้ร้านค้าขนาดเล็กนิยมรับเงินสดเพราะไม่อยากนำรายได้จากการรับเงินโอนไปเข้าระบบภาษี ต้องคอยดูว่าโครงการนี้จะรอดหรือจะแป๊ก เฉกเช่นโครงการอื่นของรัฐบาล เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง หรือไม่? #Newskit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 719 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกคริปโต: เมื่อการกู้เงินด้วยเหรียญดิจิทัลต้องเผชิญภัยไซเบอร์

    ในยุคที่คริปโตไม่ใช่แค่การลงทุน แต่กลายเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันเงินกู้ได้ “Crypto-backed lending” จึงกลายเป็นเทรนด์ที่ทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบันต่างหันมาใช้กันมากขึ้น เพราะมันเปิดโอกาสให้ผู้ถือเหรียญสามารถกู้เงินโดยไม่ต้องขายเหรียญออกไป

    แต่ในความสะดวกนั้น ก็มีเงามืดของภัยไซเบอร์ที่ซ่อนอยู่ เพราะเมื่อมีสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ถูกล็อกไว้ในแพลตฟอร์มเหล่านี้ แฮกเกอร์ก็ยิ่งพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อเจาะระบบให้ได้

    ภัยที่พบได้บ่อยคือการเจาะ smart contract ที่มีช่องโหว่ เช่นกรณี Inverse Finance ที่ถูกแฮกผ่านการบิดเบือนข้อมูลจาก oracle จนสูญเงินกว่า 15 ล้านดอลลาร์ หรือกรณี Atomic Wallet ที่สูญเงินกว่า 35 ล้านดอลลาร์เพราะการจัดการ private key ที่หละหลวม

    นอกจากนี้ยังมีการปลอมเว็บกู้เงินบน Telegram และ Discord เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอก seed phrase หรือ key รวมถึงมัลแวร์ที่แอบเปลี่ยน address ใน clipboard เพื่อขโมยเหรียญแบบเนียน ๆ

    บทเรียนจากอดีต เช่นการล่มของ Celsius Network และการถูกเจาะซ้ำของ Cream Finance แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่โค้ดที่ต้องแข็งแรง แต่กระบวนการภายในและการตรวจสอบความเสี่ยงก็ต้องเข้มงวดด้วย

    แนวทางป้องกันที่ดีคือการใช้ multi-signature wallet เช่น Gnosis Safe, การตรวจสอบ smart contract ด้วย formal verification, การตั้งระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติแบบ real-time และการให้ผู้ใช้ใช้ hardware wallet ร่วมกับ 2FA เป็นมาตรฐาน

    Crypto-backed lending เติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2024
    มีสินทรัพย์กว่า $80B ถูกล็อกใน DeFi lending pools

    ผู้ใช้สามารถกู้ stablecoin โดยใช้ BTC หรือ ETH เป็นหลักประกัน
    ไม่ต้องขายเหรียญเพื่อแลกเป็นเงินสด

    ช่องโหว่ใน smart contract เป็นจุดเสี่ยงหลัก
    เช่นกรณี Inverse Finance สูญเงิน $15M จาก oracle manipulation

    การจัดการ private key ที่ไม่ปลอดภัยนำไปสู่การสูญเงินมหาศาล
    Atomic Wallet สูญเงิน $35M จาก vendor ที่เก็บ key ไม่ดี

    การปลอมเว็บกู้เงินและมัลแวร์ clipboard เป็นภัยที่พุ่งเป้าผู้ใช้ทั่วไป
    พบมากใน Telegram, Discord และ browser extensions

    Celsius Network และ Cream Finance เคยถูกแฮกจากการควบคุมภายในที่อ่อนแอ
    เช่นการไม่อัปเดตระบบและการละเลย audit findings

    แนวทางป้องกันที่แนะนำคือ multi-sig wallet, formal verification และ anomaly detection
    Gnosis Safe เป็นเครื่องมือยอดนิยมใน DeFi

    ตลาด crypto lending มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
    คาดว่าจะกลายเป็นเครื่องมือการเงินหลักในอนาคต

    Blockchain ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดการพึ่งพาตัวกลาง
    แต่ก็ยังต้องพึ่งระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแรง

    End-to-end encryption และ biometric login เป็นแนวทางเสริมความปลอดภัย
    ช่วยลดความเสี่ยงจาก phishing และ social engineering

    การใช้ระบบ real-time monitoring และ kill switch ช่วยหยุดการโจมตีทันที
    ลดความเสียหายจากการเจาะระบบแบบ flash attack

    https://hackread.com/navigating-cybersecurity-risks-crypto-backed-lending/
    🛡️💸 เรื่องเล่าจากโลกคริปโต: เมื่อการกู้เงินด้วยเหรียญดิจิทัลต้องเผชิญภัยไซเบอร์ ในยุคที่คริปโตไม่ใช่แค่การลงทุน แต่กลายเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันเงินกู้ได้ “Crypto-backed lending” จึงกลายเป็นเทรนด์ที่ทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบันต่างหันมาใช้กันมากขึ้น เพราะมันเปิดโอกาสให้ผู้ถือเหรียญสามารถกู้เงินโดยไม่ต้องขายเหรียญออกไป แต่ในความสะดวกนั้น ก็มีเงามืดของภัยไซเบอร์ที่ซ่อนอยู่ เพราะเมื่อมีสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ถูกล็อกไว้ในแพลตฟอร์มเหล่านี้ แฮกเกอร์ก็ยิ่งพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อเจาะระบบให้ได้ ภัยที่พบได้บ่อยคือการเจาะ smart contract ที่มีช่องโหว่ เช่นกรณี Inverse Finance ที่ถูกแฮกผ่านการบิดเบือนข้อมูลจาก oracle จนสูญเงินกว่า 15 ล้านดอลลาร์ หรือกรณี Atomic Wallet ที่สูญเงินกว่า 35 ล้านดอลลาร์เพราะการจัดการ private key ที่หละหลวม นอกจากนี้ยังมีการปลอมเว็บกู้เงินบน Telegram และ Discord เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอก seed phrase หรือ key รวมถึงมัลแวร์ที่แอบเปลี่ยน address ใน clipboard เพื่อขโมยเหรียญแบบเนียน ๆ บทเรียนจากอดีต เช่นการล่มของ Celsius Network และการถูกเจาะซ้ำของ Cream Finance แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่โค้ดที่ต้องแข็งแรง แต่กระบวนการภายในและการตรวจสอบความเสี่ยงก็ต้องเข้มงวดด้วย แนวทางป้องกันที่ดีคือการใช้ multi-signature wallet เช่น Gnosis Safe, การตรวจสอบ smart contract ด้วย formal verification, การตั้งระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติแบบ real-time และการให้ผู้ใช้ใช้ hardware wallet ร่วมกับ 2FA เป็นมาตรฐาน ✅ Crypto-backed lending เติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2024 ➡️ มีสินทรัพย์กว่า $80B ถูกล็อกใน DeFi lending pools ✅ ผู้ใช้สามารถกู้ stablecoin โดยใช้ BTC หรือ ETH เป็นหลักประกัน ➡️ ไม่ต้องขายเหรียญเพื่อแลกเป็นเงินสด ✅ ช่องโหว่ใน smart contract เป็นจุดเสี่ยงหลัก ➡️ เช่นกรณี Inverse Finance สูญเงิน $15M จาก oracle manipulation ✅ การจัดการ private key ที่ไม่ปลอดภัยนำไปสู่การสูญเงินมหาศาล ➡️ Atomic Wallet สูญเงิน $35M จาก vendor ที่เก็บ key ไม่ดี ✅ การปลอมเว็บกู้เงินและมัลแวร์ clipboard เป็นภัยที่พุ่งเป้าผู้ใช้ทั่วไป ➡️ พบมากใน Telegram, Discord และ browser extensions ✅ Celsius Network และ Cream Finance เคยถูกแฮกจากการควบคุมภายในที่อ่อนแอ ➡️ เช่นการไม่อัปเดตระบบและการละเลย audit findings ✅ แนวทางป้องกันที่แนะนำคือ multi-sig wallet, formal verification และ anomaly detection ➡️ Gnosis Safe เป็นเครื่องมือยอดนิยมใน DeFi ✅ ตลาด crypto lending มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ➡️ คาดว่าจะกลายเป็นเครื่องมือการเงินหลักในอนาคต ✅ Blockchain ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดการพึ่งพาตัวกลาง ➡️ แต่ก็ยังต้องพึ่งระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแรง ✅ End-to-end encryption และ biometric login เป็นแนวทางเสริมความปลอดภัย ➡️ ช่วยลดความเสี่ยงจาก phishing และ social engineering ✅ การใช้ระบบ real-time monitoring และ kill switch ช่วยหยุดการโจมตีทันที ➡️ ลดความเสียหายจากการเจาะระบบแบบ flash attack https://hackread.com/navigating-cybersecurity-risks-crypto-backed-lending/
    HACKREAD.COM
    Navigating Cybersecurity Risks in Crypto-Backed Lending
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 695 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกการเงิน: Citigroup อาจออก Stablecoin ของตัวเองเพื่อเร่งระบบการชำระเงินดิจิทัล

    ในโลกที่การเงินดิจิทัลเติบโตอย่างรวดเร็ว ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง Citigroup ก็ไม่ยอมตกขบวน ล่าสุด Jane Fraser ซีอีโอของ Citi ได้เปิดเผยว่า ธนาคารกำลังพิจารณาออก “Citi Stablecoin” เพื่อใช้ในการชำระเงินดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    แต่ที่น่าสนใจกว่าคือ Citi ไม่ได้มองแค่การออกเหรียญเท่านั้น พวกเขายังเน้นไปที่ “tokenized deposit” หรือการแปลงเงินฝากให้เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ธนาคารกำลังลงทุนอย่างจริงจัง

    นอกจากนี้ Citi ยังสำรวจการบริหารทุนสำรองสำหรับ stablecoin และการให้บริการดูแลสินทรัพย์คริปโต (custody) เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในยุคใหม่

    ข่าวนี้ออกมาหลังจาก Citi รายงานผลประกอบการไตรมาสสองที่ดีกว่าคาด และประกาศแผนซื้อหุ้นคืนอย่างน้อย 4 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008

    Stablecoin ของ Citi ยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา
    ยังไม่มีการประกาศวันเปิดตัวหรือรายละเอียดเชิงเทคนิค

    การเข้าสู่ตลาด stablecoin ต้องเผชิญกับข้อกำกับทางกฎหมาย
    โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบคริปโต

    การแข่งขันในตลาด stablecoin มีผู้เล่นรายใหญ่อยู่แล้ว
    เช่น USDC, USDT และโครงการจากธนาคารอื่น ๆ

    การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเงินดิจิทัลอาจกระทบระบบธนาคารแบบดั้งเดิม
    ต้องมีการปรับตัวทั้งในด้านเทคโนโลยีและความเชื่อมั่นจากลูกค้า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/16/citigroup-considers-issuing-its-own-stablecoin-ceo-says
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกการเงิน: Citigroup อาจออก Stablecoin ของตัวเองเพื่อเร่งระบบการชำระเงินดิจิทัล ในโลกที่การเงินดิจิทัลเติบโตอย่างรวดเร็ว ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง Citigroup ก็ไม่ยอมตกขบวน ล่าสุด Jane Fraser ซีอีโอของ Citi ได้เปิดเผยว่า ธนาคารกำลังพิจารณาออก “Citi Stablecoin” เพื่อใช้ในการชำระเงินดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ที่น่าสนใจกว่าคือ Citi ไม่ได้มองแค่การออกเหรียญเท่านั้น พวกเขายังเน้นไปที่ “tokenized deposit” หรือการแปลงเงินฝากให้เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ธนาคารกำลังลงทุนอย่างจริงจัง นอกจากนี้ Citi ยังสำรวจการบริหารทุนสำรองสำหรับ stablecoin และการให้บริการดูแลสินทรัพย์คริปโต (custody) เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในยุคใหม่ ข่าวนี้ออกมาหลังจาก Citi รายงานผลประกอบการไตรมาสสองที่ดีกว่าคาด และประกาศแผนซื้อหุ้นคืนอย่างน้อย 4 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008 ‼️ Stablecoin ของ Citi ยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา 👉 ยังไม่มีการประกาศวันเปิดตัวหรือรายละเอียดเชิงเทคนิค ‼️ การเข้าสู่ตลาด stablecoin ต้องเผชิญกับข้อกำกับทางกฎหมาย 👉 โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบคริปโต ‼️ การแข่งขันในตลาด stablecoin มีผู้เล่นรายใหญ่อยู่แล้ว 👉 เช่น USDC, USDT และโครงการจากธนาคารอื่น ๆ ‼️ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเงินดิจิทัลอาจกระทบระบบธนาคารแบบดั้งเดิม 👉 ต้องมีการปรับตัวทั้งในด้านเทคโนโลยีและความเชื่อมั่นจากลูกค้า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/16/citigroup-considers-issuing-its-own-stablecoin-ceo-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Citigroup considers issuing its own stablecoin, CEO says
    NEW YORK (Reuters) -Citigroup may issue its own stablecoin in an effort to facilitate digital payments, the bank's CEO, Jane Fraser, told analysts on a post-earnings conference call on Tuesday.
    0 Comments 0 Shares 442 Views 0 Reviews
  • การล่มสลายไม่ได้ถูกแสดงทางโทรทัศน์ แต่ได้รับการวางแผนไว้แล้ว ฟอรัมเศรษฐกิจโลกซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราการที่ไม่มีใครแตะต้องได้ของการปกครองแบบเทคโนแครต ถูกแฮ็ก รื้อถอน และเปิดโปงจากภายใน ไม่มีเรื่องอื้อฉาวใดๆ เกิดขึ้น แต่เป็นเพียงการทำลายล้าง เจ้าหน้าที่หมวกขาวภายในเครื่องจักรของดาวอสได้ทำลายภาพลวงตาของความสามัคคีทั่วโลก และเปิดโปงว่าอาชญากรรมต่างๆ เช่น การแทรกแซงการเลือกตั้ง การบังคับให้ผู้คนเข้ารับการรักษาพยาบาล การยึดครองที่ดินภายใต้ข้ออ้างของนโยบายด้านสภาพอากาศ และการติดป้ายชื่อบุคคลแต่ละคนอย่างเงียบๆ เพื่อให้ตรวจสอบนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร

    ในช่วงต้นปี 2024 กลุ่มหมวกขาวได้ยึดเอกสารภายใน บันทึกเสียงลับ และการสื่อสารที่เป็นความลับ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าผู้นำฟอรัมเศรษฐกิจโลก (WEF) มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินกองทุน "ด้านสภาพอากาศ" กว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ผ่านองค์กรพัฒนาเอกชนปลอม กับดักหนี้ และการขโมยสินทรัพย์ดิจิทัล โลกไม่เคยเป็นเป้าหมายของพวกเขา เป้าหมายของพวกเขาคือที่ดิน อาหาร และพลังงาน ภายใต้หน้ากากของ "ความยุติธรรม" พวกเขากดขี่ชาวนา ลิดรอนสิทธิของชนพื้นเมือง และใช้องค์กรการกุศลปลอมเพื่อจัดการรัฐประหารทางการเมือง แต่มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ไฟล์เซิร์ฟเวอร์ WEF ในยุค COVID-19 ซึ่งค้นพบในช่วงปลายปี 2024 แสดงให้เห็นว่ามีการวางแผนการล็อกดาวน์ไว้ล่วงหน้า มีเครือข่ายการทุจริตในสื่อ และมีแผนที่จะนำไบโอเมตริกส์มาใช้ตั้งแต่ปี 2017 วัคซีนเป็นเครื่องมือ วิกฤตได้รับการวางแผน

    ในช่วงต้นปี 2025 ผู้แจ้งเบาะแสเริ่มเปิดเผยด้านมืด: การทดสอบตัวตนดิจิทัลแบบลับในแคนาดา ออสเตรเลีย และเยอรมนี โปรแกรมนำร่องเหล่านี้ผสมผสานสถานะสุขภาพ พฤติกรรมเครดิต และการติดตามโซเชียลมีเดียโดยไม่ได้ขออนุญาต ผู้คนไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นบุคคล แต่เป็นหน่วยที่ตั้งโปรแกรมได้ บันทึกการวางแผนภายในของฟอรัมเศรษฐกิจโลกเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า "คลัสเตอร์พฤติกรรม" และ "โหนดการผลิตข้อมูล" คุกอัจฉริยะของชวาบมีอยู่จริงและเกือบจะพร้อมแล้ว

    ความเย่อหยิ่งครอบงำเมืองดาวอส เสียงจากการประชุมโต๊ะกลมในเดือนมกราคม 2024 เผยให้เห็นซีอีโอพูดเล่นเกี่ยวกับการล่มสลายของตลาด "ตามต้องการ" และการขู่กรรโชกเจ้าหน้าที่เพื่อให้ผ่านกฎหมายภาษีคาร์บอน ปัจจุบัน กลุ่มหมวกขาวมีหลักฐานว่า WEF ให้ทุนสนับสนุนการจลาจล การทุจริตการเลือกตั้ง และใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อปิดปากผู้เห็นต่าง กำแพงถูกพังทลายลงในเดือนมีนาคม 2025 การ "เกษียณอายุ" ของ Schwab เป็นการออกจากตำแหน่งโดยถูกบังคับ พันธมิตรที่สำคัญเปลี่ยนฝ่าย ประเทศต่างๆ มากกว่าสิบประเทศได้เริ่มการสอบสวนทางอาญา ภาพลักษณ์ของภูมิคุ้มกันของชนชั้นนำพังทลายลง

    ผลกระทบได้เริ่มขึ้นแล้วในวันที่ 21 มิถุนายน ข้อตกลงการค้าที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายของฟอรัมเศรษฐกิจโลกกำลังล้มเหลว การหลอกลวง ESG กำลังล้มเหลว การสืบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์กำลังดำเนินการอยู่ที่ Deutsche Bank, HSBC และธนาคารใหญ่ๆ อื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับ Davos ผู้ที่รับผิดชอบกำลังลาออก ระบบระบุตัวตนดิจิทัลกำลังปิดตัวลง ศูนย์กลางการประสานงานของกลุ่มลับสูญเสียไปแล้ว และความตื่นตระหนกกำลังแพร่กระจายไปทั่วห้องโถงของอำนาจระดับโลก

    นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ข้อมูลที่ได้มาหลังจากการยุบ WEF ถูกนำมาใช้โจมตี WHO, BIS และกลุ่มมนุษยธรรมปลอมทั้งหมดที่ร่วมมือกับ Davos เพื่อแสวงหากำไร การเปิดเผยนี้จะเกิดขึ้นในฤดูร้อนนี้ ซึ่งจะครอบคลุมทั่วโลกและไม่อาจปฏิเสธได้ และจะเป็นเครื่องหมายจุดจบของระบบเก่า เมื่อครั้งหนึ่งเคยทำงานในเงามืด ตอนนี้มันกลับถูกเผาไหม้ต่อหน้าต่อตา

    WEF ล่มสลาย ภาพลวงตาถูกทำลาย และจากเถ้าถ่านของมัน ยุคฟื้นฟูที่แท้จริงได้ถือกำเนิดขึ้น ยุคฟื้นฟูที่ไม่ได้เขียนโดยผู้เผด็จการ แต่เขียนโดยประชาชนที่เป็นอิสระ
    การล่มสลายไม่ได้ถูกแสดงทางโทรทัศน์ แต่ได้รับการวางแผนไว้แล้ว ฟอรัมเศรษฐกิจโลกซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราการที่ไม่มีใครแตะต้องได้ของการปกครองแบบเทคโนแครต ถูกแฮ็ก รื้อถอน และเปิดโปงจากภายใน ไม่มีเรื่องอื้อฉาวใดๆ เกิดขึ้น แต่เป็นเพียงการทำลายล้าง เจ้าหน้าที่หมวกขาวภายในเครื่องจักรของดาวอสได้ทำลายภาพลวงตาของความสามัคคีทั่วโลก และเปิดโปงว่าอาชญากรรมต่างๆ เช่น การแทรกแซงการเลือกตั้ง การบังคับให้ผู้คนเข้ารับการรักษาพยาบาล การยึดครองที่ดินภายใต้ข้ออ้างของนโยบายด้านสภาพอากาศ และการติดป้ายชื่อบุคคลแต่ละคนอย่างเงียบๆ เพื่อให้ตรวจสอบนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ในช่วงต้นปี 2024 กลุ่มหมวกขาวได้ยึดเอกสารภายใน บันทึกเสียงลับ และการสื่อสารที่เป็นความลับ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าผู้นำฟอรัมเศรษฐกิจโลก (WEF) มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินกองทุน "ด้านสภาพอากาศ" กว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ผ่านองค์กรพัฒนาเอกชนปลอม กับดักหนี้ และการขโมยสินทรัพย์ดิจิทัล โลกไม่เคยเป็นเป้าหมายของพวกเขา เป้าหมายของพวกเขาคือที่ดิน อาหาร และพลังงาน ภายใต้หน้ากากของ "ความยุติธรรม" พวกเขากดขี่ชาวนา ลิดรอนสิทธิของชนพื้นเมือง และใช้องค์กรการกุศลปลอมเพื่อจัดการรัฐประหารทางการเมือง แต่มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ไฟล์เซิร์ฟเวอร์ WEF ในยุค COVID-19 ซึ่งค้นพบในช่วงปลายปี 2024 แสดงให้เห็นว่ามีการวางแผนการล็อกดาวน์ไว้ล่วงหน้า มีเครือข่ายการทุจริตในสื่อ และมีแผนที่จะนำไบโอเมตริกส์มาใช้ตั้งแต่ปี 2017 วัคซีนเป็นเครื่องมือ วิกฤตได้รับการวางแผน ในช่วงต้นปี 2025 ผู้แจ้งเบาะแสเริ่มเปิดเผยด้านมืด: การทดสอบตัวตนดิจิทัลแบบลับในแคนาดา ออสเตรเลีย และเยอรมนี โปรแกรมนำร่องเหล่านี้ผสมผสานสถานะสุขภาพ พฤติกรรมเครดิต และการติดตามโซเชียลมีเดียโดยไม่ได้ขออนุญาต ผู้คนไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นบุคคล แต่เป็นหน่วยที่ตั้งโปรแกรมได้ บันทึกการวางแผนภายในของฟอรัมเศรษฐกิจโลกเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า "คลัสเตอร์พฤติกรรม" และ "โหนดการผลิตข้อมูล" คุกอัจฉริยะของชวาบมีอยู่จริงและเกือบจะพร้อมแล้ว ความเย่อหยิ่งครอบงำเมืองดาวอส เสียงจากการประชุมโต๊ะกลมในเดือนมกราคม 2024 เผยให้เห็นซีอีโอพูดเล่นเกี่ยวกับการล่มสลายของตลาด "ตามต้องการ" และการขู่กรรโชกเจ้าหน้าที่เพื่อให้ผ่านกฎหมายภาษีคาร์บอน ปัจจุบัน กลุ่มหมวกขาวมีหลักฐานว่า WEF ให้ทุนสนับสนุนการจลาจล การทุจริตการเลือกตั้ง และใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อปิดปากผู้เห็นต่าง กำแพงถูกพังทลายลงในเดือนมีนาคม 2025 การ "เกษียณอายุ" ของ Schwab เป็นการออกจากตำแหน่งโดยถูกบังคับ พันธมิตรที่สำคัญเปลี่ยนฝ่าย ประเทศต่างๆ มากกว่าสิบประเทศได้เริ่มการสอบสวนทางอาญา ภาพลักษณ์ของภูมิคุ้มกันของชนชั้นนำพังทลายลง ผลกระทบได้เริ่มขึ้นแล้วในวันที่ 21 มิถุนายน ข้อตกลงการค้าที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายของฟอรัมเศรษฐกิจโลกกำลังล้มเหลว การหลอกลวง ESG กำลังล้มเหลว การสืบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์กำลังดำเนินการอยู่ที่ Deutsche Bank, HSBC และธนาคารใหญ่ๆ อื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับ Davos ผู้ที่รับผิดชอบกำลังลาออก ระบบระบุตัวตนดิจิทัลกำลังปิดตัวลง ศูนย์กลางการประสานงานของกลุ่มลับสูญเสียไปแล้ว และความตื่นตระหนกกำลังแพร่กระจายไปทั่วห้องโถงของอำนาจระดับโลก นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ข้อมูลที่ได้มาหลังจากการยุบ WEF ถูกนำมาใช้โจมตี WHO, BIS และกลุ่มมนุษยธรรมปลอมทั้งหมดที่ร่วมมือกับ Davos เพื่อแสวงหากำไร การเปิดเผยนี้จะเกิดขึ้นในฤดูร้อนนี้ ซึ่งจะครอบคลุมทั่วโลกและไม่อาจปฏิเสธได้ และจะเป็นเครื่องหมายจุดจบของระบบเก่า เมื่อครั้งหนึ่งเคยทำงานในเงามืด ตอนนี้มันกลับถูกเผาไหม้ต่อหน้าต่อตา WEF ล่มสลาย ภาพลวงตาถูกทำลาย และจากเถ้าถ่านของมัน ยุคฟื้นฟูที่แท้จริงได้ถือกำเนิดขึ้น ยุคฟื้นฟูที่ไม่ได้เขียนโดยผู้เผด็จการ แต่เขียนโดยประชาชนที่เป็นอิสระ
    0 Comments 0 Shares 874 Views 0 Reviews
  • สินทรัพย์ดิจิทัลคืออนาคตของผู้ปกครองผู้นำผู้มีอำนาจในประเทศไทย เพราะสินทรัพย์ดิจิดัลมันบ่งบอกชัดเจนว่าประเทศชาติไทยของเราจะเป็นเจ้าของมันจริงแต่เพียงผู้เดียว ควบคุมโดยเราส่วนอำนาจกลางเด็ดขาด,เรียกคืนจากประชาชนที่ถือครองไปแล้วได้ในทันที,อายัติระงับยุติการถือครองสิทธิและสาระพัดจัดการประชาชนนั้นๆให้อยู่ในควบคุมการควบคุมได้โดยง่ายสะดวกสบายสงบสุขแก่ผู้ปกครอง.
    สินทรัพย์ดิจิทัลคืออนาคตของผู้ปกครองผู้นำผู้มีอำนาจในประเทศไทย เพราะสินทรัพย์ดิจิดัลมันบ่งบอกชัดเจนว่าประเทศชาติไทยของเราจะเป็นเจ้าของมันจริงแต่เพียงผู้เดียว ควบคุมโดยเราส่วนอำนาจกลางเด็ดขาด,เรียกคืนจากประชาชนที่ถือครองไปแล้วได้ในทันที,อายัติระงับยุติการถือครองสิทธิและสาระพัดจัดการประชาชนนั้นๆให้อยู่ในควบคุมการควบคุมได้โดยง่ายสะดวกสบายสงบสุขแก่ผู้ปกครอง.
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • กัมพูชาสหรัฐฯ เปิดศึก “ตัดเส้นเลือด” อาชญากรรมไซเบอร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อ Huione Group จากกัมพูชา บริษัทของญาติฮุน เซน กลายเป็นตัวอย่างของสงครามการเงินยุคดิจิทัลเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ขยับหมากชุดใหญ่ ด้วยการออกประกาศตาม มาตรา 311 ของกฎหมาย PATRIOT Actเพื่อตัดการเชื่อมต่อกลุ่มทุนจากกัมพูชาที่ชื่อว่า Huione Groupออกจากระบบการเงินสหรัฐฯ อย่างถาวรนี่ไม่ใช่การคว่ำบาตรแบบที่เราคุ้นชินจาก OFAC ที่แค่ “แช่แข็งบัญชี”แต่นี่คือการ ตัดเส้นเลือดใหญ่ ขององค์กรอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติที่ผูกโยงกันระหว่างโลกเงินสด ธนาคารดั้งเดิม และโลกคริปโตเคอร์เรนซีHuione Group คือ “หัวใจโลกการเงิน” ของอุตสาหกรรมโกงออนไลน์ในเอเชียตามประกาศของ FinCEN (หน่วยงานปราบปรามการฟอกเงิน)Huione Group ฟอกเงินรวมกันกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ ในเวลาไม่ถึง 4 ปี!•37 ล้านดอลลาร์ มาจากปฏิบัติการไซเบอร์ที่ได้รับการหนุนหลังโดยรัฐเกาหลีเหนือ•36 ล้านดอลลาร์ จากกลโกงลงทุนแบบ “Pig Butchering” (หลอกลงทุนจนหมดตัว)•และ 300 ล้านดอลลาร์ จากอาชญากรรมไซเบอร์รูปแบบอื่นๆสิ่งที่น่ากลัวคือ Huione ไม่ได้ทำแค่ในโลกออนไลน์แต่มันมีทั้งสาขาในโลกจริง และโครงสร้างที่ดูเหมือนถูกกฎหมาย เช่น• Huione Pay สถาบันประมวลผลการชำระเงินในกัมพูชาที่มีใบอนุญาต•Huione Crypto แพลตฟอร์มบริการสินทรัพย์ดิจิทัล•Haowang Guarantee ตลาดออนไลน์ขายบริการผิดกฎหมายเว็บไซต์ของ Huione Guarantee ถูกอ้างถึงในรายงานของ UN ว่าเป็น “กลไกกลาง” ของอุตสาหกรรมโกงออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเคยประมวลผลธุรกรรมไปมากกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ตั้งแต่ปี 2021!มาตรา 311 คือ อาวุธลับที่ไม่มีใครพูดถึงหลายคนรู้จักมาตรการคว่ำบาตรของ OFACแต่น้อยคนนักจะรู้ว่า “มาตรการแรงที่สุด” ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ คือ Section 311เพราะมันไม่ได้แค่แช่แข็งเงิน แต่เป็นการ ตัดการเชื่อมต่อโดยสิ้นเชิง กับระบบดอลลาร์ความต่างระหว่าง 311 vs OFACหัวข้อมาตรา 311OFAC Sanctionsบังคับใช้โดย FinCENOFACจุดประสงค์เพื่อต่อต้านฟอกเงิน & ก่อการร้ายความมั่นคงชาติ (การค้า อาวุธ มนุษยชน)สิ่วที่จะเกิดขึ้น คือการจำกัดการเข้าถึงระบบธนาคารสหรัฐฯอายัดทรัพย์สินทันที (หากเป็น “interim final rule”)หลังประกาศธนาคารทั่วโลกจะ “เลิกยุ่ง” โดยสมัครใจ เพราะไม่คุ้มเสี่ยงต้องปฏิบัติตามทันทีกล่าวง่ายๆ คือ ถ้า OFAC เป็น “ตำรวจล้อมจับ” Section 311 คือ “ตัดสายเลือด” ไม่ให้เงินไหลเข้า-ออกระบบเลยทำไม Huione ถึงน่ากลัว?เพราะ Huione ไม่ได้เป็นแค่แพลตฟอร์มแต่มันคือ ระบบนิเวศของอาชญากรรม ที่เชื่อมโลกการเงินดั้งเดิมเข้ากับคริปโตอย่างแนบเนียน•มีทั้ง Stablecoin (USDH) ที่โฆษณาชัดว่า “ไม่มีระบบอายัดทรัพย์สิน”•มี Blockchain ของตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการติดตามธุรกรรม•มีการเคลื่อนย้ายเงิน ข้าม Chain (Ethereum, BSC, Tron, Huione Chain)•และยังมีบริการแปลง Fiat → Crypto → Fiat ที่ทำให้ธนาคารตามไม่ทันระบบธนาคารทั่วไปเห็นแค่ “ถอนเงินปกติ” แต่ Blockchain วิเคราะห์ลึกถึงขั้นพบว่าเงินมาจากการโกงออนไลน์ดังนั้น ถ้าไม่มีระบบที่เชื่อมต่อข้อมูลโลก “on-chain” และ “off-chain”ธนาคารก็จะมองไม่เห็นความเสี่ยงเลยแม้ว่า Section 311 จะมีเวลาให้แสดงความเห็น 30 วันแต่ในทางปฏิบัติผลกระทบจะเริ่มต้นทันทีเพราะธนาคารต้อง1.รีบตรวจสอบ ว่ามีลูกค้าหรือพาร์ทเนอร์ที่เกี่ยวข้องกับ Huione หรือไม่2.ย้อนดูธุรกรรมย้อนหลัง หลายปี เพื่อทำ Suspicious Activity Report (SAR)3.ขยายขอบเขต ไปยังบุคคลที่ 3 ที่อาจเกี่ยวข้องโดยอ้อม4.รับมือกับข่าวสารใหม่ ที่หลั่งไหลเข้ามาทุกวันเกี่ยวกับเครือข่ายนี้กรณี Huione สอนเราว่าการฟอกเงินยุคใหม่ ไม่ใช่แค่ใส่เงินเข้าเครื่องซัก แล้วออกมาใหม่ แต่มันคือกาใช้กลไกซับซ้อนระหว่างโลกคริปโต และธนาคาร ซ่อนเงินไว้หลาย Layer ที่ไม่มีใครคนเดียวมองเห็นทั้งหมด ต้องใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย องค์กรที่ไม่มี ระบบ compliance ที่เชื่อมโลกเก่ากับโลกใหม่เข้าด้วยกันจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป ไม่ใช่แค่เสียชื่อเสียง แต่อาจถูกตั้งข้อหา “ละเลยความเสี่ยง” และเสียใบอนุญาตได้Huione Group ไม่ใช่แค่บริษัทหนึ่งแต่มันคือสัญลักษณ์ของยุคที่อาชญากรใช้เทคโนโลยีล้ำหน้ากว่า Regulatorและโลกการเงินต้องตื่นตัว ปรับตัวอย่างไม่รีรอตัดท่อน้ำเลี้ยงให้เร็ว ก่อนที่ระบบจะล่มทั้งเครือข่าย ที่มา : https://x.com/galadriel_tx/status/1934425378522828961?s=46&t=nn3z3yuHSlOFcPbFyzmrQA
    กัมพูชาสหรัฐฯ เปิดศึก “ตัดเส้นเลือด” อาชญากรรมไซเบอร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อ Huione Group จากกัมพูชา บริษัทของญาติฮุน เซน กลายเป็นตัวอย่างของสงครามการเงินยุคดิจิทัลเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ขยับหมากชุดใหญ่ ด้วยการออกประกาศตาม มาตรา 311 ของกฎหมาย PATRIOT Actเพื่อตัดการเชื่อมต่อกลุ่มทุนจากกัมพูชาที่ชื่อว่า Huione Groupออกจากระบบการเงินสหรัฐฯ อย่างถาวรนี่ไม่ใช่การคว่ำบาตรแบบที่เราคุ้นชินจาก OFAC ที่แค่ “แช่แข็งบัญชี”แต่นี่คือการ ตัดเส้นเลือดใหญ่ ขององค์กรอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติที่ผูกโยงกันระหว่างโลกเงินสด ธนาคารดั้งเดิม และโลกคริปโตเคอร์เรนซีHuione Group คือ “หัวใจโลกการเงิน” ของอุตสาหกรรมโกงออนไลน์ในเอเชียตามประกาศของ FinCEN (หน่วยงานปราบปรามการฟอกเงิน)Huione Group ฟอกเงินรวมกันกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ ในเวลาไม่ถึง 4 ปี!•37 ล้านดอลลาร์ มาจากปฏิบัติการไซเบอร์ที่ได้รับการหนุนหลังโดยรัฐเกาหลีเหนือ•36 ล้านดอลลาร์ จากกลโกงลงทุนแบบ “Pig Butchering” (หลอกลงทุนจนหมดตัว)•และ 300 ล้านดอลลาร์ จากอาชญากรรมไซเบอร์รูปแบบอื่นๆสิ่งที่น่ากลัวคือ Huione ไม่ได้ทำแค่ในโลกออนไลน์แต่มันมีทั้งสาขาในโลกจริง และโครงสร้างที่ดูเหมือนถูกกฎหมาย เช่น• Huione Pay สถาบันประมวลผลการชำระเงินในกัมพูชาที่มีใบอนุญาต•Huione Crypto แพลตฟอร์มบริการสินทรัพย์ดิจิทัล•Haowang Guarantee ตลาดออนไลน์ขายบริการผิดกฎหมายเว็บไซต์ของ Huione Guarantee ถูกอ้างถึงในรายงานของ UN ว่าเป็น “กลไกกลาง” ของอุตสาหกรรมโกงออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเคยประมวลผลธุรกรรมไปมากกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ตั้งแต่ปี 2021!มาตรา 311 คือ อาวุธลับที่ไม่มีใครพูดถึงหลายคนรู้จักมาตรการคว่ำบาตรของ OFACแต่น้อยคนนักจะรู้ว่า “มาตรการแรงที่สุด” ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ คือ Section 311เพราะมันไม่ได้แค่แช่แข็งเงิน แต่เป็นการ ตัดการเชื่อมต่อโดยสิ้นเชิง กับระบบดอลลาร์ความต่างระหว่าง 311 vs OFACหัวข้อมาตรา 311OFAC Sanctionsบังคับใช้โดย FinCENOFACจุดประสงค์เพื่อต่อต้านฟอกเงิน & ก่อการร้ายความมั่นคงชาติ (การค้า อาวุธ มนุษยชน)สิ่วที่จะเกิดขึ้น คือการจำกัดการเข้าถึงระบบธนาคารสหรัฐฯอายัดทรัพย์สินทันที (หากเป็น “interim final rule”)หลังประกาศธนาคารทั่วโลกจะ “เลิกยุ่ง” โดยสมัครใจ เพราะไม่คุ้มเสี่ยงต้องปฏิบัติตามทันทีกล่าวง่ายๆ คือ ถ้า OFAC เป็น “ตำรวจล้อมจับ” Section 311 คือ “ตัดสายเลือด” ไม่ให้เงินไหลเข้า-ออกระบบเลยทำไม Huione ถึงน่ากลัว?เพราะ Huione ไม่ได้เป็นแค่แพลตฟอร์มแต่มันคือ ระบบนิเวศของอาชญากรรม ที่เชื่อมโลกการเงินดั้งเดิมเข้ากับคริปโตอย่างแนบเนียน•มีทั้ง Stablecoin (USDH) ที่โฆษณาชัดว่า “ไม่มีระบบอายัดทรัพย์สิน”•มี Blockchain ของตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการติดตามธุรกรรม•มีการเคลื่อนย้ายเงิน ข้าม Chain (Ethereum, BSC, Tron, Huione Chain)•และยังมีบริการแปลง Fiat → Crypto → Fiat ที่ทำให้ธนาคารตามไม่ทันระบบธนาคารทั่วไปเห็นแค่ “ถอนเงินปกติ” แต่ Blockchain วิเคราะห์ลึกถึงขั้นพบว่าเงินมาจากการโกงออนไลน์ดังนั้น ถ้าไม่มีระบบที่เชื่อมต่อข้อมูลโลก “on-chain” และ “off-chain”ธนาคารก็จะมองไม่เห็นความเสี่ยงเลยแม้ว่า Section 311 จะมีเวลาให้แสดงความเห็น 30 วันแต่ในทางปฏิบัติผลกระทบจะเริ่มต้นทันทีเพราะธนาคารต้อง1.รีบตรวจสอบ ว่ามีลูกค้าหรือพาร์ทเนอร์ที่เกี่ยวข้องกับ Huione หรือไม่2.ย้อนดูธุรกรรมย้อนหลัง หลายปี เพื่อทำ Suspicious Activity Report (SAR)3.ขยายขอบเขต ไปยังบุคคลที่ 3 ที่อาจเกี่ยวข้องโดยอ้อม4.รับมือกับข่าวสารใหม่ ที่หลั่งไหลเข้ามาทุกวันเกี่ยวกับเครือข่ายนี้กรณี Huione สอนเราว่าการฟอกเงินยุคใหม่ ไม่ใช่แค่ใส่เงินเข้าเครื่องซัก แล้วออกมาใหม่ แต่มันคือกาใช้กลไกซับซ้อนระหว่างโลกคริปโต และธนาคาร ซ่อนเงินไว้หลาย Layer ที่ไม่มีใครคนเดียวมองเห็นทั้งหมด ต้องใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย องค์กรที่ไม่มี ระบบ compliance ที่เชื่อมโลกเก่ากับโลกใหม่เข้าด้วยกันจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป ไม่ใช่แค่เสียชื่อเสียง แต่อาจถูกตั้งข้อหา “ละเลยความเสี่ยง” และเสียใบอนุญาตได้Huione Group ไม่ใช่แค่บริษัทหนึ่งแต่มันคือสัญลักษณ์ของยุคที่อาชญากรใช้เทคโนโลยีล้ำหน้ากว่า Regulatorและโลกการเงินต้องตื่นตัว ปรับตัวอย่างไม่รีรอตัดท่อน้ำเลี้ยงให้เร็ว ก่อนที่ระบบจะล่มทั้งเครือข่าย ที่มา : https://x.com/galadriel_tx/status/1934425378522828961?s=46&t=nn3z3yuHSlOFcPbFyzmrQA
    0 Comments 0 Shares 912 Views 0 Reviews
More Results