• 20 ปี รถไฟฟ้าใต้ดินชนกัน ที่ศูนย์วัฒนธรรม โทษคนเพื่อปกป้องระบบ ความสูญเสียที่กลายเป็นบทเรียนราคาแพง

    ย้อนไปเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2548 เกิดเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือน วงการคมนาคมไทย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินสองขบวน ชนกันที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จนทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน และกลายเป็นกรณีศึกษา เรื่องความปลอดภัย ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย

    เช้าวันที่ 17 มกราคม 2548 เวลา 9.15 น. ในชั่วโมงเร่งด่วน รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน ขบวนลาดพร้าว-หัวลำโพง หมายเลข 1015 ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารกว่า 700 คน ได้จอดรับส่งผู้โดยสา รที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยมีนายวิภูติ จันทนภริน เป็นพนักงานขับรถ ระหว่างที่ขบวนกำลังจะเคลื่อนออกจากสถานี กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รถไฟฟ้าอีกขบวนหนึ่ง หมายเลข 1028 ซึ่งเป็นขบวนเปล่าสำหรับซ่อมบำรุง มีนายนิติพนธ์ นิธิโยสิยานนท์ เป็นพนักงานขับรถ ได้ไหลลงมาจากทางลาดชัน และพุ่งชนกับขบวนที่กำลังให้บริการ

    แรงชนทำให้หน้าขบวนรถ 1028 ยุบเข้าไปกว่า 70 เซนติเมตร อัดก๊อบปี้พนักงานขับรถ ติดคาซา ประตูฉุกเฉินของขบวน 1015 ไม่สามารถใช้งานได้ ส่งผลให้การอพยพผู้โดยสา รต้องรอกุญแจสำรองกว่า 10 นาที

    แรงจากการชน ส่งผลให้ผนังอุโมงค์ใต้ดินิพังถล่มลงมาทับขบวน 1015 ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วสถานี โชคดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ แต่ผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ถูกนำส่งโรงพยาบาลพระราม 9 จำนวน 124 คน โรงพยาบาลกรุงเทพ 21 คน โรงพยาบาลราชวิถี 15 คน โรงพยาบาลตำรวจ 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดีรามคำแหง 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดี 11 คน โรงพยาบาลพระมงกุฏ 11 คน โรงพยาบาลเปาโลสยาม 11 คน โรงพยาบาลสมิติเวช 8 คน โรงพยาบาลเมโย 4 คน โรงพยาบาลปิยะเวท 3 คน โดยมีผู้บาดเจ็บสาหัสถึง 10 คน ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ จากกระดูกแตก และแรงกระแทก

    สาเหตุที่แท้จริง เมื่อระบบและคน ทำงานผิดพลาดร่วมกัน
    หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้น มีการสืบสวนอย่างละเอียด ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน หลักฐานจากกล่องดำของรถไฟฟ้า เผยว่า การชนครั้งนี้ เกิดจากการผสมผสาน ความผิดพลาดของมนุษย์ และปัญหาของระบบควบคุมอัตโนมัติ

    1. ความผิดพลาดในการควบคุมการเดินรถ
    รถไฟขบวน 1028 ซึ่งจอดอยู่ในศูนย์ซ่อมบำรุง ถูกสั่งปลดเบรกมือ ในขณะที่รถยังอยู่บนทางลาด
    เจ้าหน้าที่ควบคุมการเดินรถได้สั่งการให้ "ดัน" ขบวน 1028 เพื่อกลับเข้าสู่รางที่ 3 ซึ่งเป็นรางจ่ายไฟ
    การสั่งการดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยง ที่รถอาจไหลลงมาด้วยความเร็วสูง

    2. ปัญหาจากระบบควบคุมอัตโนมัติ
    ระบบรถไฟฟ้าใต้ดินของกรุงเทพฯ ในขณะนั้น พึ่งพาระบบอัตโนมัติเป็นหลัก แต่กลับพบว่า เกิดการขัดข้องในระบบ ที่ทำให้การควบคุมทั้งสองขบวนรถ ทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ขบวนรถไฟฟ้า หลุดจากการควบคุม และไหลไปชน

    3. การจัดการเบรก และการตัดสินใจที่ผิดพลาด
    รถไฟฟ้าขบวน 1028 ถูกสั่งปลดเบรกมือ โดยไม่ควบคุมความเร็ว ส่งผลให้รถพุ่งชนขบวน 1015 ที่กำลังจอดรับผู้โดยสาร

    รถไฟฟ้าใต้ดิน สายเฉลิมรัชมงคล หรือสายสีน้ำเงิน เปิดใช้เร็วกว่ากำหนดถึง 4 เดือน แต่วิ่งได้เพียง 2 วัน ก็เกิดอุบัติเหตุครั้งแรกขึ้น เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2547 ที่สถานีคลองเตย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินออกจากสถานีหัวลำโพง มุ่งหน้าสถานีบางซื่อ เมื่อระบบเบรกล็อกเองอัตโนมัติ ทำให้ล้อยางเสียดสีกับยาง จนเกิดกลุ่มควันพวยพุ่ง สร้างความแตกตื่นให้กับผู้โดยสาร ต้องอพยพกันชุลมุน

    ต่อมาวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ก็เกิดเหตุการณ์​การจ่ายกระแสไฟฟ้าขัดข้อง ที่สถานีหัวลำโพงถึง 3 จุด ทำให้ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้า ไปยังจุดสับเปลี่ยนรางได้ ทำให้ผู้โดยสารกว่าพันคน ต้องตกค้างที่สถานีสามย่าน และสถานีหัวลำโพง

    เหตุครั้งล่าสุดเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา 17 มกราคม 2548 รถไฟฟ้าใต้ดินขบวน 1028 พุ่งชนประสานงานขบวน 1015 ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ส่วนพนักงานขับรถขบวน 1028 บาดเจ็บสาหัส เรียกได้ว่าเปิดใช้งานมายังไม่ถึง 1 ปี ก็มาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน

    เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงแต่ส่งผล ต่อภาพลักษณ์ของระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ยังทำให้เกิดการตั้งคำถาม ถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย

    1. ความเชื่อมั่นของประชาชนที่ลดลง
    หลังจากเหตุการณ์นี้ ผู้โดยสารจำนวนมาก เริ่มมีความกังวล เกี่ยวกับความปลอดภัย ของการใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการ ลดลงในช่วงเวลานั้น

    2. การปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย
    ตรวจสอบระบบควบคุมการเดินรถ หลังเหตุการณ์นี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้ามาเร่งตรวจสอบ ระบบความปลอดภัย ของรถไฟฟ้าใต้ดิน พนักงานควบคุมการเดินรถ และคนขับ รับการอบรมอย่างเข้มข้นมากขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดข้อผิดพลาด ในอนาคต

    ผลการสอบสวนชี้ว่า เป็นความผิดพลาดของพนักงานควบคุมการเดินรถ ที่อนุญาตให้ปลดเบรกขบวนรถ 1028 ได้ แต่ก็เชื่อได้ว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เป็นเพราะระบบ ไม่ใช่คน เพราะระบบจะควบคุมทั้งหมด สามารถสั่งให้รถวิ่ง หรือหยุดก็ได้คนขับมีหน้าที่เดียว หรือกดเปิดปิดเครื่องเท่านั้น

    แต่จำเป็นต้องมีความพยายามเบี่ยงประเด็น ให้คนเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะหากผลการสอบสอวนระบุว่า เกิดจากระบบ บริษัทที่เกี่ยวข้อง ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทางแพ่ง จำนวนหลายพันล้านบาท

    ทั้งนี้ผ่านมา เคยเกิดเหตุ ขบวนรถที่กลับเข้าศูนย์ซ่อม หยุดที่บริเวณดังกล่าว 2-3 ครั้ง และก็มีการลากจูงเพื่อแก้ปัญหา โชคดีที่ไม่มีการปลดเบรก แต่ครั้งนี้พนักงานปลดเบรกมือ จึงทำให้รถไหลเข้าไปในอุโมงค์ จนชนกันขึ้น

    เหตุการณ์ชนกันของรถไฟใต้ดิน ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความผิดพลาด แต่เป็นบทเรียนสำคัญ ที่ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญ ของมาตรฐานความปลอดภัย ในการขนส่งมวลชน

    1. ความสำคัญของระบบสำรองฉุกเฉิน
    การที่ประตูฉุกเฉิน ไม่สามารถเปิดใช้งานได้ในทันที เป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข อย่างเร่งด่วน เหตุการณ์นี้ จึงนำไปสู่การปรับปรุง ระบบฉุกเฉินในรถไฟฟ้าทุกขบวน

    2. การฝึกอบรม และการปฏิบัติตามมาตรฐาน
    พนักงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีความรู้ และการฝึกอบรมอย่างละเอียด ในทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

    3. การพัฒนาระบบควบคุมอัตโนมัติ
    การพึ่งพาระบบอัตโนมัติอย่างเดียว ไม่เพียงพอ ต้องมีการตรวจสอบระบบ และอัปเดตเทคโนโลยี อย่างสม่ำเสมอ

    การรับมือในอนาคต
    ตรวจสอบระบบอย่างต่อเนื่อง มีการตรวจสอบระบบรถไฟฟ้า และศูนย์ซ่อมบำรุงเป็นประจำ
    เพิ่มอุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น การติดตั้งระบบเบรกฉุกเฉิน ที่สามารถหยุดรถไฟได้ทันที ในกรณีฉุกเฉิน
    สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน การสื่อสารและรายงานความคืบหน้า เกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัย จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น ให้กับผู้ใช้บริการ

    เหตุการณ์รถไฟใต้ดินชนกัน เมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ในประวัติศาสตร์ของระบบขนส่งมวลชนไทย แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ก็เพียงพอที่จะทำให้เราตระหนักถึง ความสำคัญของมาตรการความปลอดภัย ที่เข้มงวดมากขึ้น

    การพัฒนา และปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน ให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ จะเป็นสิ่งที่ช่วยลดโอกาส ในการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคต ได้อย่างแน่นอน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 170912 ม.ค. 2568

    #รถไฟใต้ดิน #เหตุการณ์สำคัญ #ความปลอดภัยในระบบขนส่ง #บทเรียนราคาแพง #ระบบควบคุมอัตโนมัติ #20ปีแห่งบทเรียน #เหตุรถไฟชนกัน #การพัฒนาระบบขนส่ง #มาตรการความปลอดภัย
    20 ปี รถไฟฟ้าใต้ดินชนกัน ที่ศูนย์วัฒนธรรม โทษคนเพื่อปกป้องระบบ ความสูญเสียที่กลายเป็นบทเรียนราคาแพง ย้อนไปเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2548 เกิดเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือน วงการคมนาคมไทย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินสองขบวน ชนกันที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จนทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน และกลายเป็นกรณีศึกษา เรื่องความปลอดภัย ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย เช้าวันที่ 17 มกราคม 2548 เวลา 9.15 น. ในชั่วโมงเร่งด่วน รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน ขบวนลาดพร้าว-หัวลำโพง หมายเลข 1015 ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารกว่า 700 คน ได้จอดรับส่งผู้โดยสา รที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยมีนายวิภูติ จันทนภริน เป็นพนักงานขับรถ ระหว่างที่ขบวนกำลังจะเคลื่อนออกจากสถานี กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รถไฟฟ้าอีกขบวนหนึ่ง หมายเลข 1028 ซึ่งเป็นขบวนเปล่าสำหรับซ่อมบำรุง มีนายนิติพนธ์ นิธิโยสิยานนท์ เป็นพนักงานขับรถ ได้ไหลลงมาจากทางลาดชัน และพุ่งชนกับขบวนที่กำลังให้บริการ แรงชนทำให้หน้าขบวนรถ 1028 ยุบเข้าไปกว่า 70 เซนติเมตร อัดก๊อบปี้พนักงานขับรถ ติดคาซา ประตูฉุกเฉินของขบวน 1015 ไม่สามารถใช้งานได้ ส่งผลให้การอพยพผู้โดยสา รต้องรอกุญแจสำรองกว่า 10 นาที แรงจากการชน ส่งผลให้ผนังอุโมงค์ใต้ดินิพังถล่มลงมาทับขบวน 1015 ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วสถานี โชคดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ แต่ผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ถูกนำส่งโรงพยาบาลพระราม 9 จำนวน 124 คน โรงพยาบาลกรุงเทพ 21 คน โรงพยาบาลราชวิถี 15 คน โรงพยาบาลตำรวจ 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดีรามคำแหง 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดี 11 คน โรงพยาบาลพระมงกุฏ 11 คน โรงพยาบาลเปาโลสยาม 11 คน โรงพยาบาลสมิติเวช 8 คน โรงพยาบาลเมโย 4 คน โรงพยาบาลปิยะเวท 3 คน โดยมีผู้บาดเจ็บสาหัสถึง 10 คน ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ จากกระดูกแตก และแรงกระแทก สาเหตุที่แท้จริง เมื่อระบบและคน ทำงานผิดพลาดร่วมกัน หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้น มีการสืบสวนอย่างละเอียด ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน หลักฐานจากกล่องดำของรถไฟฟ้า เผยว่า การชนครั้งนี้ เกิดจากการผสมผสาน ความผิดพลาดของมนุษย์ และปัญหาของระบบควบคุมอัตโนมัติ 1. ความผิดพลาดในการควบคุมการเดินรถ รถไฟขบวน 1028 ซึ่งจอดอยู่ในศูนย์ซ่อมบำรุง ถูกสั่งปลดเบรกมือ ในขณะที่รถยังอยู่บนทางลาด เจ้าหน้าที่ควบคุมการเดินรถได้สั่งการให้ "ดัน" ขบวน 1028 เพื่อกลับเข้าสู่รางที่ 3 ซึ่งเป็นรางจ่ายไฟ การสั่งการดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยง ที่รถอาจไหลลงมาด้วยความเร็วสูง 2. ปัญหาจากระบบควบคุมอัตโนมัติ ระบบรถไฟฟ้าใต้ดินของกรุงเทพฯ ในขณะนั้น พึ่งพาระบบอัตโนมัติเป็นหลัก แต่กลับพบว่า เกิดการขัดข้องในระบบ ที่ทำให้การควบคุมทั้งสองขบวนรถ ทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ขบวนรถไฟฟ้า หลุดจากการควบคุม และไหลไปชน 3. การจัดการเบรก และการตัดสินใจที่ผิดพลาด รถไฟฟ้าขบวน 1028 ถูกสั่งปลดเบรกมือ โดยไม่ควบคุมความเร็ว ส่งผลให้รถพุ่งชนขบวน 1015 ที่กำลังจอดรับผู้โดยสาร รถไฟฟ้าใต้ดิน สายเฉลิมรัชมงคล หรือสายสีน้ำเงิน เปิดใช้เร็วกว่ากำหนดถึง 4 เดือน แต่วิ่งได้เพียง 2 วัน ก็เกิดอุบัติเหตุครั้งแรกขึ้น เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2547 ที่สถานีคลองเตย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินออกจากสถานีหัวลำโพง มุ่งหน้าสถานีบางซื่อ เมื่อระบบเบรกล็อกเองอัตโนมัติ ทำให้ล้อยางเสียดสีกับยาง จนเกิดกลุ่มควันพวยพุ่ง สร้างความแตกตื่นให้กับผู้โดยสาร ต้องอพยพกันชุลมุน ต่อมาวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ก็เกิดเหตุการณ์​การจ่ายกระแสไฟฟ้าขัดข้อง ที่สถานีหัวลำโพงถึง 3 จุด ทำให้ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้า ไปยังจุดสับเปลี่ยนรางได้ ทำให้ผู้โดยสารกว่าพันคน ต้องตกค้างที่สถานีสามย่าน และสถานีหัวลำโพง เหตุครั้งล่าสุดเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา 17 มกราคม 2548 รถไฟฟ้าใต้ดินขบวน 1028 พุ่งชนประสานงานขบวน 1015 ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ส่วนพนักงานขับรถขบวน 1028 บาดเจ็บสาหัส เรียกได้ว่าเปิดใช้งานมายังไม่ถึง 1 ปี ก็มาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงแต่ส่งผล ต่อภาพลักษณ์ของระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ยังทำให้เกิดการตั้งคำถาม ถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย 1. ความเชื่อมั่นของประชาชนที่ลดลง หลังจากเหตุการณ์นี้ ผู้โดยสารจำนวนมาก เริ่มมีความกังวล เกี่ยวกับความปลอดภัย ของการใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการ ลดลงในช่วงเวลานั้น 2. การปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย ตรวจสอบระบบควบคุมการเดินรถ หลังเหตุการณ์นี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้ามาเร่งตรวจสอบ ระบบความปลอดภัย ของรถไฟฟ้าใต้ดิน พนักงานควบคุมการเดินรถ และคนขับ รับการอบรมอย่างเข้มข้นมากขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดข้อผิดพลาด ในอนาคต ผลการสอบสวนชี้ว่า เป็นความผิดพลาดของพนักงานควบคุมการเดินรถ ที่อนุญาตให้ปลดเบรกขบวนรถ 1028 ได้ แต่ก็เชื่อได้ว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เป็นเพราะระบบ ไม่ใช่คน เพราะระบบจะควบคุมทั้งหมด สามารถสั่งให้รถวิ่ง หรือหยุดก็ได้คนขับมีหน้าที่เดียว หรือกดเปิดปิดเครื่องเท่านั้น แต่จำเป็นต้องมีความพยายามเบี่ยงประเด็น ให้คนเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะหากผลการสอบสอวนระบุว่า เกิดจากระบบ บริษัทที่เกี่ยวข้อง ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทางแพ่ง จำนวนหลายพันล้านบาท ทั้งนี้ผ่านมา เคยเกิดเหตุ ขบวนรถที่กลับเข้าศูนย์ซ่อม หยุดที่บริเวณดังกล่าว 2-3 ครั้ง และก็มีการลากจูงเพื่อแก้ปัญหา โชคดีที่ไม่มีการปลดเบรก แต่ครั้งนี้พนักงานปลดเบรกมือ จึงทำให้รถไหลเข้าไปในอุโมงค์ จนชนกันขึ้น เหตุการณ์ชนกันของรถไฟใต้ดิน ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความผิดพลาด แต่เป็นบทเรียนสำคัญ ที่ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญ ของมาตรฐานความปลอดภัย ในการขนส่งมวลชน 1. ความสำคัญของระบบสำรองฉุกเฉิน การที่ประตูฉุกเฉิน ไม่สามารถเปิดใช้งานได้ในทันที เป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข อย่างเร่งด่วน เหตุการณ์นี้ จึงนำไปสู่การปรับปรุง ระบบฉุกเฉินในรถไฟฟ้าทุกขบวน 2. การฝึกอบรม และการปฏิบัติตามมาตรฐาน พนักงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีความรู้ และการฝึกอบรมอย่างละเอียด ในทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น 3. การพัฒนาระบบควบคุมอัตโนมัติ การพึ่งพาระบบอัตโนมัติอย่างเดียว ไม่เพียงพอ ต้องมีการตรวจสอบระบบ และอัปเดตเทคโนโลยี อย่างสม่ำเสมอ การรับมือในอนาคต ตรวจสอบระบบอย่างต่อเนื่อง มีการตรวจสอบระบบรถไฟฟ้า และศูนย์ซ่อมบำรุงเป็นประจำ เพิ่มอุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น การติดตั้งระบบเบรกฉุกเฉิน ที่สามารถหยุดรถไฟได้ทันที ในกรณีฉุกเฉิน สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน การสื่อสารและรายงานความคืบหน้า เกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัย จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น ให้กับผู้ใช้บริการ เหตุการณ์รถไฟใต้ดินชนกัน เมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ในประวัติศาสตร์ของระบบขนส่งมวลชนไทย แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ก็เพียงพอที่จะทำให้เราตระหนักถึง ความสำคัญของมาตรการความปลอดภัย ที่เข้มงวดมากขึ้น การพัฒนา และปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน ให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ จะเป็นสิ่งที่ช่วยลดโอกาส ในการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคต ได้อย่างแน่นอน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 170912 ม.ค. 2568 #รถไฟใต้ดิน #เหตุการณ์สำคัญ #ความปลอดภัยในระบบขนส่ง #บทเรียนราคาแพง #ระบบควบคุมอัตโนมัติ #20ปีแห่งบทเรียน #เหตุรถไฟชนกัน #การพัฒนาระบบขนส่ง #มาตรการความปลอดภัย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 541 มุมมอง 0 รีวิว
  • #กรดไหลย้อน (ที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (1)

    ...คุณเคยมีประสบการณ์ของการเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือไม่....

    โรคที่อาจมีการวินิจฉัยผิดพลาดบ่อย ๆและถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ยาเม็ดลดกรด (Tums) อาจถูกนำมาใช้หรือบางทีคุณอาจมองหา Prilosec หรือ Prevacid หรือบางรายไปไกลกว่านั้นและอาจใช้ Nexium,Tagamet หรือ Zantac เพื่อควบคุมอาการของคุณและที่เลวร้ายไปกว่านั้นถ้าคุณใช้ยา MaaloxหรือMylanta ซึ่ง 2 ตัวหลังนี้เต็มไปด้วยอลูมิเนียมที่เป็นพิษต่อร่างกาย
    ..!! ถ้าคุณและที่ปรึกษาด้านสุขภาพของคุณเห็นร่วมกันวาเป็นเรื่องเล็ก....ไม่น่ากังวลอะไร...”คุณคิดผิด”
    ในความเป็นจริง ..กรดไหลย้อนเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก ๆ มันเป็นจุดเริ่มต้นของโรคร้ายแรงที่สามารถนำพาคุณไปสู่การทำงานที่ผิดพลาดของระบบในร่างกายและอาจไปไกลได้ถึง...”ความตาย”
    ..ชีวเคมี (Biochemistry)…
    อาจจะยากขึ้นสักเล็กน้อย..แต่จำเป็นต้องใส่ไว้ที่นี่...แต่ผมจะทำให้คุณเข้าใจได้ง่ายขึ้น..ตามมา..!!
    Digestive distress (ระบบทางเดินอาหารทำงานน้อยลง) สามารถนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงมากมาย คุณอาจเคยได้ยินมาว่า..กรดไหลย้อนเกิดจากการมีกรดเกินในกระเพาะอาหารเนื่องจากมีกรดไปเล่นงานหลอดอาหาร( esophagus) และทำให้เกิดอาการแสบร้อน...นั่นเป็นเพียงบางส่วนของเรื่องราวทั้งหมดและเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องมายาวนาน
    ความจริง : เราไม่สามารถย่อยอาหารได้อย่างสมบูรณ์จากการมีกรดน้อยเกินไปในเวลาที่ต้องมีกรดเพื่อทำหน้าที่ย่อยอาหารในกระเพาะอาหารของเรา Dr.Jonathan Wright ผู้เขียน : Stomach Acid is good for you
    (Evans,2001) กล่าวว่า”การผลิตกรดมากเกินไปมีอยู่จริงแต่เป็นจำนวนที่น้อยมาก ๆ และมากกว่า 44 ล้านคนประสบปัญหานี้จากการมีกรดน้อยเกินไป กรดในกระเพาะอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อการย่อยและการดูดซึมสารอาหารที่สำคัญเพื่อไปหล่อเลี้ยงร่างกายรวมถึงโปรตีนและแร่ธาตุ ดังนั้นการผลิตกรดมากจนเกินไปของกระเพาะอาหารจะมีส่วนในการรับผิดชอบต่อโรคกรดไหลย้อยได้อย่างไรกัน..มันไม่ใช่..!! หรืออย่างน้อยที่สุด....มันไม่ใช่ที่คุณคิด
    การใช้ยาที่เรียกว่า Proton pump inhibitors ซึ่งทำหน้าที่ลดการหลั่งกรดหรืออาจไปถึงหยุดการผลิตกรดเป็นสิ่งที่เลวร้ายเพราะนั่นหมายถึงการขัดขวางการย่อยอาหารและมันเป็นต้นเหตุของการนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง ซึมเศร้า วิตกกังวล ไมเกรนและนอนไม่หลับ
    การผลิตกรดในกระเพาะอาหาร (Hydrochloric Acid) ร่างกายจำเป็นต้องใช้โซเดียมคลอไรด์..ใช่มันคือ..เกลือ..!! และเกลือเป็นแหล่งคลอไรด์หลักที่ร่างกายต้องสร้างเซลล์ที่เรียกว่า parietal cell
    ที่น่าเสียใจที่สุดคือร้อยละ 90 ในผู้ป่วยของผมขาดโซเดียมเนื่องจากความรู้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโจมตีการกินเกลือด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ นา ๆ ”
    -แคลเซียมที่มากจนเกินไปทำให้ร่างกายสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมทางปัสสาวะและทำให้เซลล์สูญเสียแร่ธาตุ 2 ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง โพแทสเซียมเป็นหนึ่งในแร่ธาตุที่สำคัญต่อการสร้างกรดในกระเพาะอาหารเช่นกัน...แต่โซเดียมเป็นตัวหลักเสมอ ดังนั้นผลของการขาดทั้งโซเดียมและโพแทสเซียมจะทำให้เกิดการสูญเสียความสามารถในการย่อยอาหาร ความสามารถในการย่อยโปรตีน ความสามารถในการสร้างกรดอะมิโนให้กับเซลล์และความสามารถในการสร้างเซลล์โปรตีน เซลล์ประสาทและ Nitric Oxide และนำไปสู่ปัญหาที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น
    ขอย้อนกลับไปสู่บทความตอนแคลเซียมที่เคยโพสต์ไปแล้วอีกสักหน่อยที่ว่า การมีแคลเซียมมากเกินไปจะไปกดการทำงานของต่อมหมวกไต ดังนั้นไตจะสามารถไปจับกับแม็กนีเซียมเพื่อรักษาสมดุลแคลเซียมที่ต้องสูญเสียไปและยิ่งไปกว่านั้นการที่ต่อมหมวกไตถูกกดการทำงาน การสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องผ่านทางปัสสาวะจึงส่งผลให้เซลล์ขาดแร่ธาตุ 2 ตัวนี้ในเวลาต่อมา
    ปัญหาที่ใหญ่ไปกว่านั้น : Tums (ยาเม็ดลดกรด) ที่ผู้คนนิยมเคี้ยวเวลามีปัญหากรดไหลย้อน..
    Tums ประกอบด้วยอะไร..!! แคลเซียม...แม่เจ้า..!!นั่นหมายถึงการทำให้กระบวนการที่กล่าวมาด้านบนเกิดขึ้นและเป็นการทำร้ายตัวเอง...ใช่หรือไม่..
    ...จำไว้นะ..
    การมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปอนุญาตให้แคลเซียมที่เกินเหล่านั้นเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ของร่างกายและฝังตัวจนก่อปัญหาในระบบไม่ว่าจะเป็นที่หลอดเลือด ข้อต่อ ลิ้นหัวใจและที่ร้ายแรงที่สุดคือมันเป็นพิษต่อสมอง
    เมื่อเซลล์ในกระเพาะอาหารส่วนล่างและส่วนบนของลำไส้เล็กได้รับโปรตีนจากอาหารที่คุณกินเพื่อการย่อย พวกเขาจะส่งสัญญาณเพื่อให้มีการผลิตกรดและเพิ่มฮอร์โมนที่เรียกว่า Gastrin ฮอร์โมนนี้จะบอก Parietal cells ในกระเพาะอาหารให้สร้างกรดเพิ่ม
    เพื่อให้มองเห็นภาพ : มันเป็นเช่นเดียวกับเครื่องยนต์ที่ใช้คาบูเรเตอร์
    เพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ก็จำเป็นที่ต้องมีการจ่ายน้ำมันผ่านวาลว์และถ้าน้ำมันไม่เพียงพอวาล์วก็จะเปิดให้มีน้ำมันไหลเข้ามากขึ้น ๆ และถ้ายังสตาร์ทเครื่องไม่ได้วาล์วก็จะถูกเปิดจนน้ำมันท่วมคาบูเรเตอร์.....กรดไหลย้อนก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน...ถ้ากรดไม่ถูกสร้าง..การกระตุ้น Gastrin เพื่อให้ย่อยโปรตีนก็จะถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องและนำไปสู่การท่วมของกรด(กรดจำนวนมากถูกปล่อยมาในครั้งเดียวจากการกระตุ้นที่มากจนเกินไป)สิ่งนี้เกิดจากการมีกรดน้อยเกินในตอนเริ่มต้นเมื่อโปรตีนเดินทางไปถึงกระเพาะอาหาร
    ...อีกครั้ง..
    มันเกิดจากการขาดโซเดียมของ Parietal cells ที่พวกเขาต้องใช้เพื่อการทำงานที่ถูกต้องในขั้นตอนเริ่มต้นและต่อมาก็เกิดการท่วมและ...ท้ายที่สุดกรดจะถูกปล่อยออกมาจนไปก่ออาการแสบร้อนกลางอก ไอ ระคายคอและมีเสมหะตลอดเวลา
    แต่ถึงกระนั้น...การผลิตกรดที่มากจนเกินไปก็เกี่ยวโยงกับการมีโซเดียมในเซลล์ในระดับสูงเช่นกันและสามารถทำให้เกิดกรดเกินได้แต่เกิดขึ้นน้อยราวร้อยละ 10 ของผู้ป่วยกรดไหลย้อน ดังนั้นผมขอแนะนำให้ผู้ป่วยในโรคนี้หมั่นตรวจค่าอิเลคโทรไลท์ทุก 2 สัปดาห์ถ้าสามารถทำได้เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง
    ..ข้อสังเกตุ..
    ถ้าคุณมีปัญหากรดไหลย้อน...
    ให้หยุดกิน หวาน นมสัตว์ นมถั่วเหลือง เห็ด ผลไม้ ขนมปัง ถั่วทุกรูปแบบ มะเขือเทศ รสเปรี้ยวและรสเผ็ดและควรกินเกลือที่มีแร่ธาตุมากพอสักครึ่งช้อนชาร่วมกับผักที่มีโพแทสเซียมสูงอาทิ กล้วยดิบ บรอคโคลี่ ดอกกะหล่ำ แครอท แขนง กะหล่ำปลี ผักโขม ผักบุ้ง ผักกาดขาว ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ยอดฟักแม้ว ใบแค ใบคื่นช่าย มันเทศ มันฝรั่ง ฟักทองเป็นต้น ก่อนอาหารราว3 นาทีทุกมื้ออาหาร
    เพียงเท่านี้.... คุณอาจจะสตาร์ทเครื่องยนต์ของคุณได้โดยปราศจากการท่วมของน้ำมันในคาบูเรเตอร์ของคุณ
    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
    สวัสดี
    ขอบคุณหนังสือ Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you

    Cr. Santi Manadee
    #กรดไหลย้อน (ที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (1) ...คุณเคยมีประสบการณ์ของการเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือไม่.... โรคที่อาจมีการวินิจฉัยผิดพลาดบ่อย ๆและถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ยาเม็ดลดกรด (Tums) อาจถูกนำมาใช้หรือบางทีคุณอาจมองหา Prilosec หรือ Prevacid หรือบางรายไปไกลกว่านั้นและอาจใช้ Nexium,Tagamet หรือ Zantac เพื่อควบคุมอาการของคุณและที่เลวร้ายไปกว่านั้นถ้าคุณใช้ยา MaaloxหรือMylanta ซึ่ง 2 ตัวหลังนี้เต็มไปด้วยอลูมิเนียมที่เป็นพิษต่อร่างกาย ..!! ถ้าคุณและที่ปรึกษาด้านสุขภาพของคุณเห็นร่วมกันวาเป็นเรื่องเล็ก....ไม่น่ากังวลอะไร...”คุณคิดผิด” ในความเป็นจริง ..กรดไหลย้อนเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก ๆ มันเป็นจุดเริ่มต้นของโรคร้ายแรงที่สามารถนำพาคุณไปสู่การทำงานที่ผิดพลาดของระบบในร่างกายและอาจไปไกลได้ถึง...”ความตาย” ..ชีวเคมี (Biochemistry)… อาจจะยากขึ้นสักเล็กน้อย..แต่จำเป็นต้องใส่ไว้ที่นี่...แต่ผมจะทำให้คุณเข้าใจได้ง่ายขึ้น..ตามมา..!! Digestive distress (ระบบทางเดินอาหารทำงานน้อยลง) สามารถนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงมากมาย คุณอาจเคยได้ยินมาว่า..กรดไหลย้อนเกิดจากการมีกรดเกินในกระเพาะอาหารเนื่องจากมีกรดไปเล่นงานหลอดอาหาร( esophagus) และทำให้เกิดอาการแสบร้อน...นั่นเป็นเพียงบางส่วนของเรื่องราวทั้งหมดและเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องมายาวนาน ความจริง : เราไม่สามารถย่อยอาหารได้อย่างสมบูรณ์จากการมีกรดน้อยเกินไปในเวลาที่ต้องมีกรดเพื่อทำหน้าที่ย่อยอาหารในกระเพาะอาหารของเรา Dr.Jonathan Wright ผู้เขียน : Stomach Acid is good for you (Evans,2001) กล่าวว่า”การผลิตกรดมากเกินไปมีอยู่จริงแต่เป็นจำนวนที่น้อยมาก ๆ และมากกว่า 44 ล้านคนประสบปัญหานี้จากการมีกรดน้อยเกินไป กรดในกระเพาะอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อการย่อยและการดูดซึมสารอาหารที่สำคัญเพื่อไปหล่อเลี้ยงร่างกายรวมถึงโปรตีนและแร่ธาตุ ดังนั้นการผลิตกรดมากจนเกินไปของกระเพาะอาหารจะมีส่วนในการรับผิดชอบต่อโรคกรดไหลย้อยได้อย่างไรกัน..มันไม่ใช่..!! หรืออย่างน้อยที่สุด....มันไม่ใช่ที่คุณคิด การใช้ยาที่เรียกว่า Proton pump inhibitors ซึ่งทำหน้าที่ลดการหลั่งกรดหรืออาจไปถึงหยุดการผลิตกรดเป็นสิ่งที่เลวร้ายเพราะนั่นหมายถึงการขัดขวางการย่อยอาหารและมันเป็นต้นเหตุของการนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง ซึมเศร้า วิตกกังวล ไมเกรนและนอนไม่หลับ การผลิตกรดในกระเพาะอาหาร (Hydrochloric Acid) ร่างกายจำเป็นต้องใช้โซเดียมคลอไรด์..ใช่มันคือ..เกลือ..!! และเกลือเป็นแหล่งคลอไรด์หลักที่ร่างกายต้องสร้างเซลล์ที่เรียกว่า parietal cell ที่น่าเสียใจที่สุดคือร้อยละ 90 ในผู้ป่วยของผมขาดโซเดียมเนื่องจากความรู้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโจมตีการกินเกลือด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ นา ๆ ” -แคลเซียมที่มากจนเกินไปทำให้ร่างกายสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมทางปัสสาวะและทำให้เซลล์สูญเสียแร่ธาตุ 2 ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง โพแทสเซียมเป็นหนึ่งในแร่ธาตุที่สำคัญต่อการสร้างกรดในกระเพาะอาหารเช่นกัน...แต่โซเดียมเป็นตัวหลักเสมอ ดังนั้นผลของการขาดทั้งโซเดียมและโพแทสเซียมจะทำให้เกิดการสูญเสียความสามารถในการย่อยอาหาร ความสามารถในการย่อยโปรตีน ความสามารถในการสร้างกรดอะมิโนให้กับเซลล์และความสามารถในการสร้างเซลล์โปรตีน เซลล์ประสาทและ Nitric Oxide และนำไปสู่ปัญหาที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ขอย้อนกลับไปสู่บทความตอนแคลเซียมที่เคยโพสต์ไปแล้วอีกสักหน่อยที่ว่า การมีแคลเซียมมากเกินไปจะไปกดการทำงานของต่อมหมวกไต ดังนั้นไตจะสามารถไปจับกับแม็กนีเซียมเพื่อรักษาสมดุลแคลเซียมที่ต้องสูญเสียไปและยิ่งไปกว่านั้นการที่ต่อมหมวกไตถูกกดการทำงาน การสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องผ่านทางปัสสาวะจึงส่งผลให้เซลล์ขาดแร่ธาตุ 2 ตัวนี้ในเวลาต่อมา ปัญหาที่ใหญ่ไปกว่านั้น : Tums (ยาเม็ดลดกรด) ที่ผู้คนนิยมเคี้ยวเวลามีปัญหากรดไหลย้อน.. Tums ประกอบด้วยอะไร..!! แคลเซียม...แม่เจ้า..!!นั่นหมายถึงการทำให้กระบวนการที่กล่าวมาด้านบนเกิดขึ้นและเป็นการทำร้ายตัวเอง...ใช่หรือไม่.. ...จำไว้นะ.. การมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปอนุญาตให้แคลเซียมที่เกินเหล่านั้นเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ของร่างกายและฝังตัวจนก่อปัญหาในระบบไม่ว่าจะเป็นที่หลอดเลือด ข้อต่อ ลิ้นหัวใจและที่ร้ายแรงที่สุดคือมันเป็นพิษต่อสมอง เมื่อเซลล์ในกระเพาะอาหารส่วนล่างและส่วนบนของลำไส้เล็กได้รับโปรตีนจากอาหารที่คุณกินเพื่อการย่อย พวกเขาจะส่งสัญญาณเพื่อให้มีการผลิตกรดและเพิ่มฮอร์โมนที่เรียกว่า Gastrin ฮอร์โมนนี้จะบอก Parietal cells ในกระเพาะอาหารให้สร้างกรดเพิ่ม เพื่อให้มองเห็นภาพ : มันเป็นเช่นเดียวกับเครื่องยนต์ที่ใช้คาบูเรเตอร์ เพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ก็จำเป็นที่ต้องมีการจ่ายน้ำมันผ่านวาลว์และถ้าน้ำมันไม่เพียงพอวาล์วก็จะเปิดให้มีน้ำมันไหลเข้ามากขึ้น ๆ และถ้ายังสตาร์ทเครื่องไม่ได้วาล์วก็จะถูกเปิดจนน้ำมันท่วมคาบูเรเตอร์.....กรดไหลย้อนก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน...ถ้ากรดไม่ถูกสร้าง..การกระตุ้น Gastrin เพื่อให้ย่อยโปรตีนก็จะถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องและนำไปสู่การท่วมของกรด(กรดจำนวนมากถูกปล่อยมาในครั้งเดียวจากการกระตุ้นที่มากจนเกินไป)สิ่งนี้เกิดจากการมีกรดน้อยเกินในตอนเริ่มต้นเมื่อโปรตีนเดินทางไปถึงกระเพาะอาหาร ...อีกครั้ง.. มันเกิดจากการขาดโซเดียมของ Parietal cells ที่พวกเขาต้องใช้เพื่อการทำงานที่ถูกต้องในขั้นตอนเริ่มต้นและต่อมาก็เกิดการท่วมและ...ท้ายที่สุดกรดจะถูกปล่อยออกมาจนไปก่ออาการแสบร้อนกลางอก ไอ ระคายคอและมีเสมหะตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้น...การผลิตกรดที่มากจนเกินไปก็เกี่ยวโยงกับการมีโซเดียมในเซลล์ในระดับสูงเช่นกันและสามารถทำให้เกิดกรดเกินได้แต่เกิดขึ้นน้อยราวร้อยละ 10 ของผู้ป่วยกรดไหลย้อน ดังนั้นผมขอแนะนำให้ผู้ป่วยในโรคนี้หมั่นตรวจค่าอิเลคโทรไลท์ทุก 2 สัปดาห์ถ้าสามารถทำได้เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง ..ข้อสังเกตุ.. ถ้าคุณมีปัญหากรดไหลย้อน... ให้หยุดกิน หวาน นมสัตว์ นมถั่วเหลือง เห็ด ผลไม้ ขนมปัง ถั่วทุกรูปแบบ มะเขือเทศ รสเปรี้ยวและรสเผ็ดและควรกินเกลือที่มีแร่ธาตุมากพอสักครึ่งช้อนชาร่วมกับผักที่มีโพแทสเซียมสูงอาทิ กล้วยดิบ บรอคโคลี่ ดอกกะหล่ำ แครอท แขนง กะหล่ำปลี ผักโขม ผักบุ้ง ผักกาดขาว ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ยอดฟักแม้ว ใบแค ใบคื่นช่าย มันเทศ มันฝรั่ง ฟักทองเป็นต้น ก่อนอาหารราว3 นาทีทุกมื้ออาหาร เพียงเท่านี้.... คุณอาจจะสตาร์ทเครื่องยนต์ของคุณได้โดยปราศจากการท่วมของน้ำมันในคาบูเรเตอร์ของคุณ ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง สวัสดี ขอบคุณหนังสือ Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 467 มุมมอง 0 รีวิว
  • 4/
    เกิดเหตุการณ์รถไฟ 2 ขบวนชนกันในเมืองสตราสบูร์กของฝรั่งเศส มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 30 ราย และ 5 ราย มีอาการสาหัส

    อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นที่สถานี Gare Centrale

    ภาพเหตุการณ์บันทึกได้หลังจากเกิดเหตุไม่กี่นาที

    ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังหาสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ดังกล่าว
    4/ เกิดเหตุการณ์รถไฟ 2 ขบวนชนกันในเมืองสตราสบูร์กของฝรั่งเศส มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 30 ราย และ 5 ราย มีอาการสาหัส อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นที่สถานี Gare Centrale ภาพเหตุการณ์บันทึกได้หลังจากเกิดเหตุไม่กี่นาที ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังหาสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ดังกล่าว
    Like
    Sad
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3/
    เกิดเหตุการณ์รถไฟ 2 ขบวนชนกันในเมืองสตราสบูร์กของฝรั่งเศส มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 30 ราย และ 5 ราย มีอาการสาหัส

    อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นที่สถานี Gare Centrale

    ภาพเหตุการณ์บันทึกได้หลังจากเกิดเหตุไม่กี่นาที

    ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังหาสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ดังกล่าว
    3/ เกิดเหตุการณ์รถไฟ 2 ขบวนชนกันในเมืองสตราสบูร์กของฝรั่งเศส มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 30 ราย และ 5 ราย มีอาการสาหัส อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นที่สถานี Gare Centrale ภาพเหตุการณ์บันทึกได้หลังจากเกิดเหตุไม่กี่นาที ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังหาสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ดังกล่าว
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 372 มุมมอง 26 0 รีวิว
  • 2/
    เกิดเหตุการณ์รถไฟ 2 ขบวนชนกันในเมืองสตราสบูร์กของฝรั่งเศส มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 30 ราย และ 5 ราย มีอาการสาหัส

    อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นที่สถานี Gare Centrale

    ภาพเหตุการณ์บันทึกได้หลังจากเกิดเหตุไม่กี่นาที

    ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังหาสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ดังกล่าว
    2/ เกิดเหตุการณ์รถไฟ 2 ขบวนชนกันในเมืองสตราสบูร์กของฝรั่งเศส มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 30 ราย และ 5 ราย มีอาการสาหัส อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นที่สถานี Gare Centrale ภาพเหตุการณ์บันทึกได้หลังจากเกิดเหตุไม่กี่นาที ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังหาสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ดังกล่าว
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 361 มุมมอง 25 0 รีวิว
  • 1/
    เกิดเหตุการณ์รถไฟ 2 ขบวนชนกันในเมืองสตราสบูร์กของฝรั่งเศส มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 30 ราย และ 5 ราย มีอาการสาหัส

    อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นที่สถานี Gare Centrale

    ภาพเหตุการณ์บันทึกได้หลังจากเกิดเหตุไม่กี่นาที

    ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังหาสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ดังกล่าว
    1/ เกิดเหตุการณ์รถไฟ 2 ขบวนชนกันในเมืองสตราสบูร์กของฝรั่งเศส มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 30 ราย และ 5 ราย มีอาการสาหัส อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นที่สถานี Gare Centrale ภาพเหตุการณ์บันทึกได้หลังจากเกิดเหตุไม่กี่นาที ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังหาสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ดังกล่าว
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • 21/12/67

    เขียนโดยผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง…..

    3 ปีที่แล้ว ฉันแข็งแรงและสุขภาพดีมาก — ออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน และเดินป่า ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง!

    วันหนึ่งเมื่อฉันลุกขึ้นยืน สิ่งรอบตัวฉันรู้สึกเหมือนกำลังไหว มือและเท้าของฉันรู้สึกเสียวซ่า ฉันใช้เวลา 4 วันที่ ICCU และ 15 วันในห้องในโรงพยาบาล

    ผลการวินิจฉัย ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เลือดหนา หลอดเลือดสมองซีกขวาแตก

    เมื่อฉันออกจากโรงพยาบาล ทุกๆ วันฉันกินยาอย่างไม่สิ้นสุด และที่แย่ที่สุดคือต้องนั่งรถเข็น

    ฉันคิดว่าทำไมฉันถึงเป็นโรคหลอดเลือดสมองเมื่อออกกำลังกายเป็นประจำไม่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์?

    ฉันพบสาเหตุที่แท้จริงคือ
    กระหายน้ำนาน...ขาดน้ำ...!

    ดังนั้นผมจึงอยากจะเตือนทุกคนว่า:
    อย่าลืมดื่มน้ำเสมอเพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ! ทุกคนต้องดื่มน้ำปริมาณมาก:
    น้ำหนัก 1 กิโลกรัม = น้ำ 30 ซีซี
    น้ำหนัก 60 กก. = 60x30
    = 1800cc (อย่างน้อย)

    มีคนบอกว่าดื่มน้ำเยอะๆ เข้าห้องน้ำบ่อยๆ
    คำตอบของฉันคือ เข้าห้องน้ำบ่อยๆ ดีกว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมอง!

    จดจำ:
    • ก่อน/หลังออกกำลังกาย ควรดื่ม 1 แก้ว
    • ก่อน/หลังอาหาร ควรดื่ม 1 แก้ว
    • ก่อนนอนดื่ม 1 แก้ว
    (ควรเป็นน้ำอุ่น)
    • ตื่นนอนดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว
    น้ำ.

    หากเราดื่มน้ำเพียงพอ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เป็นวิธีป้องกันไม่ให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง ขอให้เราทุกคนมีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปจนแก่เฒ่า (เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำพูดข้างต้น....ช่วยแชร์ให้ทุกคนโดยเฉพาะเพื่อนๆ ญาติๆ และครอบครัวด้วยนะครับ)

    การแบ่งปันคือการดูแล!
    cr:จากห้องไลบ์
    21/12/67 เขียนโดยผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง….. 3 ปีที่แล้ว ฉันแข็งแรงและสุขภาพดีมาก — ออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน และเดินป่า ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง! วันหนึ่งเมื่อฉันลุกขึ้นยืน สิ่งรอบตัวฉันรู้สึกเหมือนกำลังไหว มือและเท้าของฉันรู้สึกเสียวซ่า ฉันใช้เวลา 4 วันที่ ICCU และ 15 วันในห้องในโรงพยาบาล ผลการวินิจฉัย ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เลือดหนา หลอดเลือดสมองซีกขวาแตก เมื่อฉันออกจากโรงพยาบาล ทุกๆ วันฉันกินยาอย่างไม่สิ้นสุด และที่แย่ที่สุดคือต้องนั่งรถเข็น ฉันคิดว่าทำไมฉันถึงเป็นโรคหลอดเลือดสมองเมื่อออกกำลังกายเป็นประจำไม่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์? ฉันพบสาเหตุที่แท้จริงคือ กระหายน้ำนาน...ขาดน้ำ...! ดังนั้นผมจึงอยากจะเตือนทุกคนว่า: อย่าลืมดื่มน้ำเสมอเพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ! ทุกคนต้องดื่มน้ำปริมาณมาก: น้ำหนัก 1 กิโลกรัม = น้ำ 30 ซีซี น้ำหนัก 60 กก. = 60x30 = 1800cc (อย่างน้อย) มีคนบอกว่าดื่มน้ำเยอะๆ เข้าห้องน้ำบ่อยๆ คำตอบของฉันคือ เข้าห้องน้ำบ่อยๆ ดีกว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมอง! จดจำ: • ก่อน/หลังออกกำลังกาย ควรดื่ม 1 แก้ว • ก่อน/หลังอาหาร ควรดื่ม 1 แก้ว • ก่อนนอนดื่ม 1 แก้ว (ควรเป็นน้ำอุ่น) • ตื่นนอนดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว น้ำ. หากเราดื่มน้ำเพียงพอ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เป็นวิธีป้องกันไม่ให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง ขอให้เราทุกคนมีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปจนแก่เฒ่า (เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำพูดข้างต้น....ช่วยแชร์ให้ทุกคนโดยเฉพาะเพื่อนๆ ญาติๆ และครอบครัวด้วยนะครับ) การแบ่งปันคือการดูแล! cr:จากห้องไลบ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 316 มุมมอง 0 รีวิว
  • MGR Online - กรมราชทัณฑ์ ชี้แจงผู้ต้องขังแข่งมวยไทยในเรือนจำกลางระยองเสียชีวิต ยุติยก 2 เพราะสู้ไม่ได้ พบมีอาการปวดหัว อาเจียน รีบนำส่ง รพ.แม่ข่าย ก่อนเสียชีวิต

    จากกรณี ญาติผู้ต้องขังรายหนึ่งของเรือนจำกลางระยองเสียชีวิต ซึ่งเป็นนักกีฬามวยไทย จึงร้องเรียนต้องการทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเสียชีวิตดังกล่าวว่าเกิดจาการแข่งขันชกมวย หรือ การถูกทำร้ายร่างกาย นั้น

    วันนี้ (9 ธ.ค.) กรมราชทัณฑ์ ได้รับรายงานจากเรือนจำกลางระยอง ว่า ได้ทำการแข่งขันมวยไทยในฝ่ายควบคุมแดน 7 เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.67 โดยเรือนจำฯ มีกระบวนการรับสมัคร โดยความสมัครใจของนักกีฬามีผู้ต้องขังเข้าร่วมรับชมประมาณ 200 คน อยู่ในการควบคุมดูแลของเจ้าหน้าที่ ก่อนการแข่งขันมีตรวจร่างกายตามมาตรฐานการชกมวยทุกขั้นตอน โดยทุกคนค่าสัญญาณชีพเป็นปกติ ไม่มีอาการเจ็บป่วย ทั้งนี้ หลังจากการแข่งขัน ในยกที่ 2 ผู้ต้องขังรายดังกล่าว ถูกกรรมการผู้ตัดสินยุติการชก เนื่องจากสู้ไม่ได้ จึงได้พามาจุดพักนักมวย เพื่อดูอาการและวัดค่าสัญญาญชีพ ซึ่งระหว่างนั่งพัก ผู้ต้องขังรายดังกล่าวมีอาการปวดศีรษะ อาเจียน จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตามลำดับ

    พัศดีเวรได้สั่งการให้นำตัวส่งไปยังสถานพยาบาลเรือนจำฯ และเวรพยาบาลเรือนจำฯ ได้ประสานกับแพทย์โรงพยาบาลบ้านค่าย ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแม่ข่าย มีความเห็นให้ส่งตัวผู้ต้องขังรายดังกล่าวออกไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบ้านค่าย ซึ่งทางโรงพยาบาลฯ ได้ทำการตรวจและมีความเห็นให้ส่งต่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลระยองและแพทย์ของโรงพยาบาลระยองได้รับตัวผู้ต้องขังรายดังกล่าวไว้รักษาตัว เนื่องจากมีอาการเลือดออกในสมองฉับพลัน และเรือนจำฯ ได้ให้พยาบาลติดต่อญาติ เพื่ออธิบายอาการเจ็บป่วยและแนวทางการรักษา รวมทั้งให้ญาติเข้าเยี่ยมดูอาการผู้ต้องขังรายดังกล่าวเนื่องจากมีอาการขั้นวิกฤต

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000118307

    #MGROnline #กรมราชทัณฑ์ #ผู้ต้องขัง #แข่งมวยไทย #เรือนจำกลางระยอง #เสียชีวิต
    MGR Online - กรมราชทัณฑ์ ชี้แจงผู้ต้องขังแข่งมวยไทยในเรือนจำกลางระยองเสียชีวิต ยุติยก 2 เพราะสู้ไม่ได้ พบมีอาการปวดหัว อาเจียน รีบนำส่ง รพ.แม่ข่าย ก่อนเสียชีวิต • จากกรณี ญาติผู้ต้องขังรายหนึ่งของเรือนจำกลางระยองเสียชีวิต ซึ่งเป็นนักกีฬามวยไทย จึงร้องเรียนต้องการทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเสียชีวิตดังกล่าวว่าเกิดจาการแข่งขันชกมวย หรือ การถูกทำร้ายร่างกาย นั้น • วันนี้ (9 ธ.ค.) กรมราชทัณฑ์ ได้รับรายงานจากเรือนจำกลางระยอง ว่า ได้ทำการแข่งขันมวยไทยในฝ่ายควบคุมแดน 7 เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.67 โดยเรือนจำฯ มีกระบวนการรับสมัคร โดยความสมัครใจของนักกีฬามีผู้ต้องขังเข้าร่วมรับชมประมาณ 200 คน อยู่ในการควบคุมดูแลของเจ้าหน้าที่ ก่อนการแข่งขันมีตรวจร่างกายตามมาตรฐานการชกมวยทุกขั้นตอน โดยทุกคนค่าสัญญาณชีพเป็นปกติ ไม่มีอาการเจ็บป่วย ทั้งนี้ หลังจากการแข่งขัน ในยกที่ 2 ผู้ต้องขังรายดังกล่าว ถูกกรรมการผู้ตัดสินยุติการชก เนื่องจากสู้ไม่ได้ จึงได้พามาจุดพักนักมวย เพื่อดูอาการและวัดค่าสัญญาญชีพ ซึ่งระหว่างนั่งพัก ผู้ต้องขังรายดังกล่าวมีอาการปวดศีรษะ อาเจียน จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตามลำดับ • พัศดีเวรได้สั่งการให้นำตัวส่งไปยังสถานพยาบาลเรือนจำฯ และเวรพยาบาลเรือนจำฯ ได้ประสานกับแพทย์โรงพยาบาลบ้านค่าย ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแม่ข่าย มีความเห็นให้ส่งตัวผู้ต้องขังรายดังกล่าวออกไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบ้านค่าย ซึ่งทางโรงพยาบาลฯ ได้ทำการตรวจและมีความเห็นให้ส่งต่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลระยองและแพทย์ของโรงพยาบาลระยองได้รับตัวผู้ต้องขังรายดังกล่าวไว้รักษาตัว เนื่องจากมีอาการเลือดออกในสมองฉับพลัน และเรือนจำฯ ได้ให้พยาบาลติดต่อญาติ เพื่ออธิบายอาการเจ็บป่วยและแนวทางการรักษา รวมทั้งให้ญาติเข้าเยี่ยมดูอาการผู้ต้องขังรายดังกล่าวเนื่องจากมีอาการขั้นวิกฤต • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000118307 • #MGROnline #กรมราชทัณฑ์ #ผู้ต้องขัง #แข่งมวยไทย #เรือนจำกลางระยอง #เสียชีวิต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 447 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประเมิน 2 สาเหตุใหญ่ โครงสร้างอ่อนแอ เครนถล่มพระราม 2
    .
    เหตุการณ์โครงถักเหล็กเลื่อน อุปกรณ์ใช้ก่อสร้างทางยกระดับโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 สายทางยกระดับบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว (ช่วงที่ 3) ตอนที่ 1 อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท อุดมศักดิ์เชียงใหม่ จำกัด พังถล่มลงมาบนพื้นที่ กม.21+600-กม.22+100 ถนนพระราม 2 ขาออกกรุงเทพฯ หมู่ 2 ต.คอกกระบือ อ.เมืองสมุทรสาคร มีคนงานเสียชีวิต 6 ศพ กลายเป็นโศกนาฎกรรมที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกครั้งบนถนนสายนี้ จนหลายฝ่ายเกิดข้อกังขาทำไมการก่อสร้างบนถนนพระราม 2 ถึงได้เกิดอุบัติเหตุหลายต่อหลายครั้ง
    .
    ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุสลดครั้งล่าสุดว่า จากการได้ลงพื้นที่เพื่อวิเคราะห์สาเหตุการวิบัติในทางวิศวกรรม โดยขณะนี้ มีการตั้งสมมุติฐานไว้ 2 แนวทางคือ 1.โครงเหล็กวิบัติที่ตัวโครงเหล็กเอง หรือ 2.ฐานรองรับโครงเหล็กหลุดจากเสา และทำให้โครงเหล็กวิบัติตามมา โดยส่วนตัวให้น้ำหนักไปที่สมมุติฐานข้อที่ 2 นั่นคือ ฐานรองโครงเหล็กหลุดจากเสาก่อน เพราะสามารถอธิบายได้ว่าหลังจากฐานรองรับหลุดแล้ว โครงเหล็กพังถล่มตามลงมาเนื่องจากการกระแทก และการกระชากของชิ้นส่วนที่ห้อยแขวนอยู่ ซึ่งจะอธิบายรูปแบบการวิบัติที่ปรากฏได้ อย่างไรก็ตามทั้งสองข้อข้างต้นเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเป็นผู้สรุปสาเหตุที่แท้จริงต่อไป
    .
    "เหตุการณ์นี้ สะท้อนให้เห็นว่า การก่อสร้างโครงสร้างขนาดใหญ่ ยังเต็มไปด้วยความไม่ปลอดภัย ไม่ว่าต่อคนงานหรือต่อประชาชนที่ต้องใช้ทางสัญจร ปัญหารากเหง้าคือการก่อสร้างโดยใช้โครงเหล็กเลื่อนเป็นงานที่มีความซับซ้อนและต้องใช้วิศวกรรมระดับสูง ที่ผู้ปฏิบัติงานทุกระดับจะต้องมีความรู้และเข้าใจอย่างแท้จริงถึง ไม่ใช่ปล่อยให้คนงานขึ้นไปทำกันเอง"
    .
    สำหรับมาตรการที่จำเป็นต้องมีเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ควรประกอบด้วย 1.ระยะสั้น ต้องทบทวนมาตรฐานการทำงาน ของโครงการก่อสร้างอื่นทุกโครงการ ที่ใช้โครงเหล็กเลื่อนในการก่อสร้าง ได้แก่ ขั้นตอนการปฏิบัติ รูปแบบการเชื่อมต่อ ความแข็งแรงของโครงเหล็ก ตลอดจนผู้ที่จะไปขึ้นทำงานต้องผ่านการอบรม ทั้งในด้านความปลอดภัยและในด้านการปฏิบัติทางวิศวกรรม 2.ระยะกลาง-ระยะยาว รัฐควรออกกฎหมายเพื่อควบคุมการก่อสร้างที่ใช้ระบบโครงเหล็กเลื่อน ให้เป็น “การก่อสร้างควบคุม” หรือ “Controlled Construction” โดยควบคุมตั้งแต่วิศวกรที่วางแผนและกำกับการทำงาน หัวหน้าคนงาน ผู้บังคับโครงเหล็กเลื่อน ตลอดจนคนงานที่ขึ้นไปปฏิบัติงาน จะต้องผ่านการอบรมและทดสอบได้รับใบอนุญาต จึงจะขึ้นไปปฏิบัติงานได้ และการขอขึ้นไปปฏิบัติงานแต่ละครั้งต้องจัดให้มีเจ้าพนักงานความปลอดภัยตรวจสอบใบอนุญาตการทำงานเสียก่อน 3.รัฐควรออกระเบียบ ให้ขึ้นทะเบียนผู้รับเหมาที่ทำงานโครงเหล็กเลื่อน เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่ไม่มีความรู้หรือไม่ได้ขึ้นทะเบียนมารับงานได้
    ...............
    Sondhi X
    ประเมิน 2 สาเหตุใหญ่ โครงสร้างอ่อนแอ เครนถล่มพระราม 2 . เหตุการณ์โครงถักเหล็กเลื่อน อุปกรณ์ใช้ก่อสร้างทางยกระดับโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 สายทางยกระดับบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว (ช่วงที่ 3) ตอนที่ 1 อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท อุดมศักดิ์เชียงใหม่ จำกัด พังถล่มลงมาบนพื้นที่ กม.21+600-กม.22+100 ถนนพระราม 2 ขาออกกรุงเทพฯ หมู่ 2 ต.คอกกระบือ อ.เมืองสมุทรสาคร มีคนงานเสียชีวิต 6 ศพ กลายเป็นโศกนาฎกรรมที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกครั้งบนถนนสายนี้ จนหลายฝ่ายเกิดข้อกังขาทำไมการก่อสร้างบนถนนพระราม 2 ถึงได้เกิดอุบัติเหตุหลายต่อหลายครั้ง . ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุสลดครั้งล่าสุดว่า จากการได้ลงพื้นที่เพื่อวิเคราะห์สาเหตุการวิบัติในทางวิศวกรรม โดยขณะนี้ มีการตั้งสมมุติฐานไว้ 2 แนวทางคือ 1.โครงเหล็กวิบัติที่ตัวโครงเหล็กเอง หรือ 2.ฐานรองรับโครงเหล็กหลุดจากเสา และทำให้โครงเหล็กวิบัติตามมา โดยส่วนตัวให้น้ำหนักไปที่สมมุติฐานข้อที่ 2 นั่นคือ ฐานรองโครงเหล็กหลุดจากเสาก่อน เพราะสามารถอธิบายได้ว่าหลังจากฐานรองรับหลุดแล้ว โครงเหล็กพังถล่มตามลงมาเนื่องจากการกระแทก และการกระชากของชิ้นส่วนที่ห้อยแขวนอยู่ ซึ่งจะอธิบายรูปแบบการวิบัติที่ปรากฏได้ อย่างไรก็ตามทั้งสองข้อข้างต้นเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเป็นผู้สรุปสาเหตุที่แท้จริงต่อไป . "เหตุการณ์นี้ สะท้อนให้เห็นว่า การก่อสร้างโครงสร้างขนาดใหญ่ ยังเต็มไปด้วยความไม่ปลอดภัย ไม่ว่าต่อคนงานหรือต่อประชาชนที่ต้องใช้ทางสัญจร ปัญหารากเหง้าคือการก่อสร้างโดยใช้โครงเหล็กเลื่อนเป็นงานที่มีความซับซ้อนและต้องใช้วิศวกรรมระดับสูง ที่ผู้ปฏิบัติงานทุกระดับจะต้องมีความรู้และเข้าใจอย่างแท้จริงถึง ไม่ใช่ปล่อยให้คนงานขึ้นไปทำกันเอง" . สำหรับมาตรการที่จำเป็นต้องมีเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ควรประกอบด้วย 1.ระยะสั้น ต้องทบทวนมาตรฐานการทำงาน ของโครงการก่อสร้างอื่นทุกโครงการ ที่ใช้โครงเหล็กเลื่อนในการก่อสร้าง ได้แก่ ขั้นตอนการปฏิบัติ รูปแบบการเชื่อมต่อ ความแข็งแรงของโครงเหล็ก ตลอดจนผู้ที่จะไปขึ้นทำงานต้องผ่านการอบรม ทั้งในด้านความปลอดภัยและในด้านการปฏิบัติทางวิศวกรรม 2.ระยะกลาง-ระยะยาว รัฐควรออกกฎหมายเพื่อควบคุมการก่อสร้างที่ใช้ระบบโครงเหล็กเลื่อน ให้เป็น “การก่อสร้างควบคุม” หรือ “Controlled Construction” โดยควบคุมตั้งแต่วิศวกรที่วางแผนและกำกับการทำงาน หัวหน้าคนงาน ผู้บังคับโครงเหล็กเลื่อน ตลอดจนคนงานที่ขึ้นไปปฏิบัติงาน จะต้องผ่านการอบรมและทดสอบได้รับใบอนุญาต จึงจะขึ้นไปปฏิบัติงานได้ และการขอขึ้นไปปฏิบัติงานแต่ละครั้งต้องจัดให้มีเจ้าพนักงานความปลอดภัยตรวจสอบใบอนุญาตการทำงานเสียก่อน 3.รัฐควรออกระเบียบ ให้ขึ้นทะเบียนผู้รับเหมาที่ทำงานโครงเหล็กเลื่อน เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่ไม่มีความรู้หรือไม่ได้ขึ้นทะเบียนมารับงานได้ ............... Sondhi X
    Like
    Sad
    Angry
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 852 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมาคมวิศวกรฯ ชี้สมมุติฐานสาเหตุการพังถล่มของโครงถักเหล็ก ถนนพระราม 2🚧ถนนพระราม 2 – จากเหตุการณ์การพังถล่มของโครงถักเหล็ก (Steel launching Truss) ก่อสร้างทางยกระดับบนถนนพระราม 2 ช่วงเช้าวันที่ 29 พ.ย.2567 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายรายนั้นศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย ได้อธิบายว่า โครงสร้างเหล็กที่พังถล่มลงไปนั้น เป็นโครงถักเหล็กเลื่อน (Steel launching truss) ใช้สำหรับยกชิ้นส่วนสะพานหรือเซ็กเมนต์ ให้วางตัวในแนวเดียวกัน จากนั้นจึงยึดชิ้นส่วนเข้าด้วยกันโดยการดึงลวดอัดแรงโครงถักเหล็กที่ใช้มีลักษณะเป็นรูป 3 เหลี่ยม ใช้คู่กัน 2 ตัวเพื่อยกชิ้นส่วนสะพาน การพังถล่มคาดว่าเกิดขึ้นในขณะที่ทำการติดตั้ง segment ไม่ใช่เป็นขั้นตอนการเลื่อนโครงถักไปข้างหน้า ส่วนสาเหตุที่เกิดการพังถล่ม ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่ชัดเจนได้ เพียงแต่มีการตั้งข้อสังเกตหรือข้อสมมุติฐานที่อาจจะเป็นไปได้ โดยพิจารณาจากรูปถ่าย ภาพเคลื่อนไหว และคำบอกเล่าจากผู้เห็นเหตุการณ์ ดังนี้1.ตำแหน่งที่เกิดการวิบัติของโครงถักเหล็กเกิดขึ้นที่ใกล้เสา ซึ่งเป็นจุดที่มีค่าแรงเฉือนสูง และขณะที่เกิดการพังถล่มมีข้อมูลว่า ได้ทำการยกชิ้นส่วนครบทั้งช่วงเสาและจัดแนวแล้ว แสดงให้เห็นว่าโครงถักเหล็กอยู่ในสภาวะที่รับน้ำหนักเต็มที่ ค่าแรงเฉือนที่เกิดขึ้นจึงมีค่าที่สูงจนอาจทำให้ชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งของโครงถักเกิดดุ้ง หักหรือขาด แล้วทำให้โครงถักเหล็กสูญเสียกำลังจนพังลงมา2.ท่อนเหล็ก PT bar ที่ใช้หิ้ว segment อาจเกิดการขาดหรือหลุด ทำให้น้ำหนักเสียสมดุล และทำให้เกิดการถ่ายแรงจากโครงถักหนึ่งไปยังอีกโครงถักหนึ่ง ทำให้โครงถักต้องรับน้ำหนักมากขึ้น จนเกิดการบิดตัวและพังถล่มตามมา3.โครงเหล็กวินช์ ที่ใช้ยก segment ที่ตั้งอยู่บนโครงถักเหล็ก และสามารถเลื่อนไปมาได้มีน้ำหนักมากหลายสิบตัน อาจหลุดออกจากรางในระหว่างที่ติดตั้งชิ้นส่วนและทำให้เกิดแรงกระแทกต่อโครงถักเหล็กจนพังถล่มลงมา4.จุดยึดหรือรอยต่อระหว่างโครงถักเหล็กโดยใช้สลักเกลียวหรือท่อนเหล็ก PT bar มีการใช้วัสดุที่ได้คุณภาพ มีกำลังรับน้ำหนักที่เพียงพอหรือไม่ และปฏิบัติตามขั้นตอนการทำงานที่กำหนดไว้หรือไม่ ตลอดจนฐานรองรับของโครงเหล็กมีการยึดเข้ากับเสาอย่างแข็งแรงหรือไม่ เพียงใดศ.ดร.อมร พิมานมาศ กล่าวต่อว่า ปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมานี้ยังเป็นเพียงข้อสังเกตขั้นต้นเท่านั้น ยังไม่สรุปว่าเป็นสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งอาจมีปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติมอีก และการที่จะระบุสาเหตุที่แท้จริงได้นั้นจะต้องรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เช่น แบบ รายการคำนวณ ข้อกำหนดวิธีการทำงาน และคุณภาพวัสดุ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การวิบัติของโครงถักเหล็กเป็นเรื่องที่กระทบต่อความเชื่อมั่นและความปลอดภัยของการก่อสร้างโครงสร้างขนาดใหญ่ และที่ผ่านมาก็เกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันหลายครั้งแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีมาตรการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันเหตุซ้ำรอยในอนาคตที่มา:matichon
    สมาคมวิศวกรฯ ชี้สมมุติฐานสาเหตุการพังถล่มของโครงถักเหล็ก ถนนพระราม 2🚧ถนนพระราม 2 – จากเหตุการณ์การพังถล่มของโครงถักเหล็ก (Steel launching Truss) ก่อสร้างทางยกระดับบนถนนพระราม 2 ช่วงเช้าวันที่ 29 พ.ย.2567 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายรายนั้นศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย ได้อธิบายว่า โครงสร้างเหล็กที่พังถล่มลงไปนั้น เป็นโครงถักเหล็กเลื่อน (Steel launching truss) ใช้สำหรับยกชิ้นส่วนสะพานหรือเซ็กเมนต์ ให้วางตัวในแนวเดียวกัน จากนั้นจึงยึดชิ้นส่วนเข้าด้วยกันโดยการดึงลวดอัดแรงโครงถักเหล็กที่ใช้มีลักษณะเป็นรูป 3 เหลี่ยม ใช้คู่กัน 2 ตัวเพื่อยกชิ้นส่วนสะพาน การพังถล่มคาดว่าเกิดขึ้นในขณะที่ทำการติดตั้ง segment ไม่ใช่เป็นขั้นตอนการเลื่อนโครงถักไปข้างหน้า ส่วนสาเหตุที่เกิดการพังถล่ม ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่ชัดเจนได้ เพียงแต่มีการตั้งข้อสังเกตหรือข้อสมมุติฐานที่อาจจะเป็นไปได้ โดยพิจารณาจากรูปถ่าย ภาพเคลื่อนไหว และคำบอกเล่าจากผู้เห็นเหตุการณ์ ดังนี้1.ตำแหน่งที่เกิดการวิบัติของโครงถักเหล็กเกิดขึ้นที่ใกล้เสา ซึ่งเป็นจุดที่มีค่าแรงเฉือนสูง และขณะที่เกิดการพังถล่มมีข้อมูลว่า ได้ทำการยกชิ้นส่วนครบทั้งช่วงเสาและจัดแนวแล้ว แสดงให้เห็นว่าโครงถักเหล็กอยู่ในสภาวะที่รับน้ำหนักเต็มที่ ค่าแรงเฉือนที่เกิดขึ้นจึงมีค่าที่สูงจนอาจทำให้ชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งของโครงถักเกิดดุ้ง หักหรือขาด แล้วทำให้โครงถักเหล็กสูญเสียกำลังจนพังลงมา2.ท่อนเหล็ก PT bar ที่ใช้หิ้ว segment อาจเกิดการขาดหรือหลุด ทำให้น้ำหนักเสียสมดุล และทำให้เกิดการถ่ายแรงจากโครงถักหนึ่งไปยังอีกโครงถักหนึ่ง ทำให้โครงถักต้องรับน้ำหนักมากขึ้น จนเกิดการบิดตัวและพังถล่มตามมา3.โครงเหล็กวินช์ ที่ใช้ยก segment ที่ตั้งอยู่บนโครงถักเหล็ก และสามารถเลื่อนไปมาได้มีน้ำหนักมากหลายสิบตัน อาจหลุดออกจากรางในระหว่างที่ติดตั้งชิ้นส่วนและทำให้เกิดแรงกระแทกต่อโครงถักเหล็กจนพังถล่มลงมา4.จุดยึดหรือรอยต่อระหว่างโครงถักเหล็กโดยใช้สลักเกลียวหรือท่อนเหล็ก PT bar มีการใช้วัสดุที่ได้คุณภาพ มีกำลังรับน้ำหนักที่เพียงพอหรือไม่ และปฏิบัติตามขั้นตอนการทำงานที่กำหนดไว้หรือไม่ ตลอดจนฐานรองรับของโครงเหล็กมีการยึดเข้ากับเสาอย่างแข็งแรงหรือไม่ เพียงใดศ.ดร.อมร พิมานมาศ กล่าวต่อว่า ปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมานี้ยังเป็นเพียงข้อสังเกตขั้นต้นเท่านั้น ยังไม่สรุปว่าเป็นสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งอาจมีปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติมอีก และการที่จะระบุสาเหตุที่แท้จริงได้นั้นจะต้องรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เช่น แบบ รายการคำนวณ ข้อกำหนดวิธีการทำงาน และคุณภาพวัสดุ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การวิบัติของโครงถักเหล็กเป็นเรื่องที่กระทบต่อความเชื่อมั่นและความปลอดภัยของการก่อสร้างโครงสร้างขนาดใหญ่ และที่ผ่านมาก็เกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันหลายครั้งแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีมาตรการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันเหตุซ้ำรอยในอนาคตที่มา:matichon
    Like
    Sad
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 346 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💬 สื่อเรียกผมว่าหัวหน้า ‘เครือข่ายปูตินในอิตาลี’ เพราะบอกความจริงเกี่ยวกับยูเครน – นักข่าวอิตาลี

    จอร์โจ เบียนคี ถูกพรากโอกาสที่จะพูดต่อสาธารณะเกี่ยวกับความขัดแย้งในยูเครนและเรียกเขาว่าสายลับรัสเซีย เพราะพยายามแจ้งให้ชาวอิตาลีทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครน หลังจากเริ่มปฏิบัติการพิเศษทางทหาร, นักข่าวบอกกับสปุตนิก

    นักข่าวรายงานเหตุการณ์ในยูเครนตั้งแต่ยูโรไมดานในปี ๒๐๑๔, และปรากฏตัวหลายครั้งในฐานะผู้เชี่ยวชาญในสื่อของอิตาลี หลังจากเริ่มปฏิบัติการพิเศษทางทหาร, เขาเดินทางไปดอนบาสเกือบสองเดือน, ซึ่งเขาได้เห็นการปลดปล่อยมาริอูโปลและโวลโนวาคาด้วยตาตนเอง

    🗨️“ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา, ฉันไม่สามารถจัดการประชุมในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยได้อีกต่อไป หนังสือพิมพ์ Corriere della Sera ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของอิตาลี ได้พิมพ์ชื่อฉันบนหน้าแรก, โดยอ้างว่าฉันเป็นหัวหน้าเครือข่ายของปูตินในอิตาลี,” เขาเล่าให้ฟัง, พร้อมทั้งเสริมว่า คดีที่ฟ้องเขานั้นได้ถูกส่งไปยัง มาริโอ ดรากี หัวหน้ารัฐบาลอิตาลีในขณะนั้น

    บิอันคีเน้นย้ำว่า เขายังคงพูดความจริงต่อไป, โดยอธิบายว่าข้อตกลงมินสค์ถูกใช้เพื่อติดอาวุธให้ยูเครนอย่างลับๆ และแนวคิดนีโอนาซีก็ถูกสังเกตในประเทศนี้จริงๆ, เนื่องจากนักข่าวเองก็เห็นสัญลักษณ์และวรรณกรรมนีโอนาซีเมื่อเขาอยู่ที่เมืองมาริอูโปล

    🗨️อย่างไรก็ตาม, หนังสือพิมพ์ทั้งหมดที่พูดถึงเรื่องนี้มาหลายปีก็ “เปลี่ยนใจในชั่วข้ามคืน,” และเริ่มอ้างว่าไม่มีอุดมการณ์ดังกล่าวในยูเครน, นักข่าวเน้นย้ำ
    .
    💬 MEDIA CALLED ME HEAD OF ‘PUTIN'S NETWORK IN ITALY’ FOR TELLING THE TRUTH ABOUT UKRAINE – Italian journalist

    Giorgio Bianchi was deprived of the opportunity to speak publicly about the Ukraine conflict and called a Russian spy for trying to inform Italians about the real reasons for what is happening in Ukraine after the start of the special military operation, the journalist told Sputnik.

    The reporter has been covering events in Ukraine since the Euromaidan in 2014, and has appeared several times as an expert in the Italian media. After the start of the special military operation, he went to Donbass for almost two months, where he witnessed the liberation of Mariupol and Volnovakha firsthand.

    🗨️“From that moment on, I could no longer hold conferences in schools and universities. Italy's most popular newspaper Corriere della Sera printed me on the front page, claiming that I was the head of 'Putin's network in Italy,'” he shared, adding that the case against him was sent to Italy's then-head of government Mario Draghi.

    Bianchi emphasized that he continued to tell the truth, explaining that the Minsk agreements were subversively used to arm Ukraine and that neo-Nazi ideas were actually observed in the country, as the journalist himself saw neo-Nazi symbols and literature when he was in Mariupol.

    🗨️However, all the newspapers that had been talking about it for years suddenly “changed their minds overnight,” and began to claim there was no such ideology in Ukraine, the journalist stressed.
    .
    12:19 PM · Nov 23, 2024 · 5,380 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1860191337099723243
    💬 สื่อเรียกผมว่าหัวหน้า ‘เครือข่ายปูตินในอิตาลี’ เพราะบอกความจริงเกี่ยวกับยูเครน – นักข่าวอิตาลี จอร์โจ เบียนคี ถูกพรากโอกาสที่จะพูดต่อสาธารณะเกี่ยวกับความขัดแย้งในยูเครนและเรียกเขาว่าสายลับรัสเซีย เพราะพยายามแจ้งให้ชาวอิตาลีทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครน หลังจากเริ่มปฏิบัติการพิเศษทางทหาร, นักข่าวบอกกับสปุตนิก นักข่าวรายงานเหตุการณ์ในยูเครนตั้งแต่ยูโรไมดานในปี ๒๐๑๔, และปรากฏตัวหลายครั้งในฐานะผู้เชี่ยวชาญในสื่อของอิตาลี หลังจากเริ่มปฏิบัติการพิเศษทางทหาร, เขาเดินทางไปดอนบาสเกือบสองเดือน, ซึ่งเขาได้เห็นการปลดปล่อยมาริอูโปลและโวลโนวาคาด้วยตาตนเอง 🗨️“ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา, ฉันไม่สามารถจัดการประชุมในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยได้อีกต่อไป หนังสือพิมพ์ Corriere della Sera ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของอิตาลี ได้พิมพ์ชื่อฉันบนหน้าแรก, โดยอ้างว่าฉันเป็นหัวหน้าเครือข่ายของปูตินในอิตาลี,” เขาเล่าให้ฟัง, พร้อมทั้งเสริมว่า คดีที่ฟ้องเขานั้นได้ถูกส่งไปยัง มาริโอ ดรากี หัวหน้ารัฐบาลอิตาลีในขณะนั้น บิอันคีเน้นย้ำว่า เขายังคงพูดความจริงต่อไป, โดยอธิบายว่าข้อตกลงมินสค์ถูกใช้เพื่อติดอาวุธให้ยูเครนอย่างลับๆ และแนวคิดนีโอนาซีก็ถูกสังเกตในประเทศนี้จริงๆ, เนื่องจากนักข่าวเองก็เห็นสัญลักษณ์และวรรณกรรมนีโอนาซีเมื่อเขาอยู่ที่เมืองมาริอูโปล 🗨️อย่างไรก็ตาม, หนังสือพิมพ์ทั้งหมดที่พูดถึงเรื่องนี้มาหลายปีก็ “เปลี่ยนใจในชั่วข้ามคืน,” และเริ่มอ้างว่าไม่มีอุดมการณ์ดังกล่าวในยูเครน, นักข่าวเน้นย้ำ . 💬 MEDIA CALLED ME HEAD OF ‘PUTIN'S NETWORK IN ITALY’ FOR TELLING THE TRUTH ABOUT UKRAINE – Italian journalist Giorgio Bianchi was deprived of the opportunity to speak publicly about the Ukraine conflict and called a Russian spy for trying to inform Italians about the real reasons for what is happening in Ukraine after the start of the special military operation, the journalist told Sputnik. The reporter has been covering events in Ukraine since the Euromaidan in 2014, and has appeared several times as an expert in the Italian media. After the start of the special military operation, he went to Donbass for almost two months, where he witnessed the liberation of Mariupol and Volnovakha firsthand. 🗨️“From that moment on, I could no longer hold conferences in schools and universities. Italy's most popular newspaper Corriere della Sera printed me on the front page, claiming that I was the head of 'Putin's network in Italy,'” he shared, adding that the case against him was sent to Italy's then-head of government Mario Draghi. Bianchi emphasized that he continued to tell the truth, explaining that the Minsk agreements were subversively used to arm Ukraine and that neo-Nazi ideas were actually observed in the country, as the journalist himself saw neo-Nazi symbols and literature when he was in Mariupol. 🗨️However, all the newspapers that had been talking about it for years suddenly “changed their minds overnight,” and began to claim there was no such ideology in Ukraine, the journalist stressed. . 12:19 PM · Nov 23, 2024 · 5,380 Views https://x.com/SputnikInt/status/1860191337099723243
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 549 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ประเทศไทยเราน่าจะถึงเวลาแล้วที่ประชาชนคนไทยโดยเฉพาะผู้ไปฉีดวัคซีนโควิด19กับบรรดาหมอทัังหมดที่เกี่ยวข้องไปร่วมกันหรือยื่นฟ้องหมอทั้งหมดโดยเฉพาะระดับชาติ สภาฯหมอๆทั้งหมดสมควรโดนถูกถอดถอนใบอนุญาตวิชาชีพหมอ&พยาบาล ที่ผิดจรรญาบรรณในวิชาชีพอย่างร้ายแรง จนถึงปัจจุบันหัวหอกชนชั้นนำพวกหมอระดับต้นๆของไทยยังไม่ออกมายอมรับความจริงว่าคนไทยเจ็บป่วยจริงและตายจริงมากมายจากผลของวัคซีนที่ฉีดกันไป,หมอพวกนีัรับคำสั่งจากส่วนกลางสภาฯหมอ และสมควรรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมดโดยเฉพาะระดับผอ.โรงพยาบาลทุกๆจังหวัดทั้งระดับอำเภอที่มีโรงพยาบาลด้วย,ไม่ซื่อสัตย์ต่อคนไข้ต่อวิชาชีพตนเองอย่างร้ายแรงขาดปัญญาความสามารถแยกแยะถูกผิดดีชั่วอย่างผิดคุณธรรม&จริยธรรมร้ายแรงซึ่งด้วยระดับสมองมีมันสมองเล่าเรียนสูงๆย่อมไม่สมควรกระจอก&กากในการรับรู้ข่าวข้อมูลทั้งทางในประเทศตนเองและข่าวสารมากมายจากต่างประเทศที่มีความจริงรอบโลกที่เปิดกว้างทางเสรีข้อมูลข่าวสารในยุคล้ำขนาดนี้แต่กาก&กระจอกด้อยทางปัญญารับรู้อัพเดททางวงการโรคมาก,ถูกว่าไม่สมควรมาทำอาชีพแพทย์&พยาบาลนี้อีกเลย,ไร้จริยธรรมความเป็นหมอเป็นพยายาลอย่างร้ายแรง ไม่สนใจการตายของชีวิตคนไทย,เมื่อโง่ไม่แสวงหามูลต้นเหตุของโรค หมอก็ย่อมไร้ความสามารถรักษาโรคอย่างตรงจุดชัดเจนเพราะไม่มีปัญญาหาสาเหตุที่แท้จริงได้เสมือนหาปมเงื่อนแก้ไม่เจอจะแก้เงื่อนเชือกเป็นก็ผีบ้ามากๆ,คือโง่ที่หาปมเงื่อนไม่เจอยังแสดงความฉลาดโง่รักษาแบบผีๆบ้าๆไปทั่วนั้นเอง,ไม่สมควรเป็นหมอเป็นพยาบาลอีกต่อไป,ทั้งไม่ยอมรับค่าความจริง ไม่ประกาศความจริงอีก ปกปิดชัดเจนอย่างเจตนาทางชั่วเลวร้ายแรงเสมือนฆาตกรซ่อนเร่นอำพรางศพมิให้ตำรวจดำเนินคดีตนได้,นี้คือการก่ออาชญากรรม&ฆาตกรรมหมู่คนไทยชัดเจน,เบื้องต้นต้องยกเลิกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหมอและพยาบาลถูกต้องที่สุดจากชนชั้นหมอหัวหอกระดับบนทั้งหมดก่อน,เพราะอาจารย์หมอมากมายหลายท่านทำไมจึงเข้าถึงค่าจริงได้ในช่วงเวลาเสมอเดียวกัน,เช่นนั้นพวกนี้ที่ชั่วเลวทั้งหมดต้องออกจากวงการชีวิตคนไข้ไปทั้งหมด,ให้คนดีๆมาทำหน้าที่แทนเพื่อดำรงวิชาชีพที่ดีงามนี้ต่อไป.
    ..ประเทศไทยเราน่าจะถึงเวลาแล้วที่ประชาชนคนไทยโดยเฉพาะผู้ไปฉีดวัคซีนโควิด19กับบรรดาหมอทัังหมดที่เกี่ยวข้องไปร่วมกันหรือยื่นฟ้องหมอทั้งหมดโดยเฉพาะระดับชาติ สภาฯหมอๆทั้งหมดสมควรโดนถูกถอดถอนใบอนุญาตวิชาชีพหมอ&พยาบาล ที่ผิดจรรญาบรรณในวิชาชีพอย่างร้ายแรง จนถึงปัจจุบันหัวหอกชนชั้นนำพวกหมอระดับต้นๆของไทยยังไม่ออกมายอมรับความจริงว่าคนไทยเจ็บป่วยจริงและตายจริงมากมายจากผลของวัคซีนที่ฉีดกันไป,หมอพวกนีัรับคำสั่งจากส่วนกลางสภาฯหมอ และสมควรรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมดโดยเฉพาะระดับผอ.โรงพยาบาลทุกๆจังหวัดทั้งระดับอำเภอที่มีโรงพยาบาลด้วย,ไม่ซื่อสัตย์ต่อคนไข้ต่อวิชาชีพตนเองอย่างร้ายแรงขาดปัญญาความสามารถแยกแยะถูกผิดดีชั่วอย่างผิดคุณธรรม&จริยธรรมร้ายแรงซึ่งด้วยระดับสมองมีมันสมองเล่าเรียนสูงๆย่อมไม่สมควรกระจอก&กากในการรับรู้ข่าวข้อมูลทั้งทางในประเทศตนเองและข่าวสารมากมายจากต่างประเทศที่มีความจริงรอบโลกที่เปิดกว้างทางเสรีข้อมูลข่าวสารในยุคล้ำขนาดนี้แต่กาก&กระจอกด้อยทางปัญญารับรู้อัพเดททางวงการโรคมาก,ถูกว่าไม่สมควรมาทำอาชีพแพทย์&พยาบาลนี้อีกเลย,ไร้จริยธรรมความเป็นหมอเป็นพยายาลอย่างร้ายแรง ไม่สนใจการตายของชีวิตคนไทย,เมื่อโง่ไม่แสวงหามูลต้นเหตุของโรค หมอก็ย่อมไร้ความสามารถรักษาโรคอย่างตรงจุดชัดเจนเพราะไม่มีปัญญาหาสาเหตุที่แท้จริงได้เสมือนหาปมเงื่อนแก้ไม่เจอจะแก้เงื่อนเชือกเป็นก็ผีบ้ามากๆ,คือโง่ที่หาปมเงื่อนไม่เจอยังแสดงความฉลาดโง่รักษาแบบผีๆบ้าๆไปทั่วนั้นเอง,ไม่สมควรเป็นหมอเป็นพยาบาลอีกต่อไป,ทั้งไม่ยอมรับค่าความจริง ไม่ประกาศความจริงอีก ปกปิดชัดเจนอย่างเจตนาทางชั่วเลวร้ายแรงเสมือนฆาตกรซ่อนเร่นอำพรางศพมิให้ตำรวจดำเนินคดีตนได้,นี้คือการก่ออาชญากรรม&ฆาตกรรมหมู่คนไทยชัดเจน,เบื้องต้นต้องยกเลิกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหมอและพยาบาลถูกต้องที่สุดจากชนชั้นหมอหัวหอกระดับบนทั้งหมดก่อน,เพราะอาจารย์หมอมากมายหลายท่านทำไมจึงเข้าถึงค่าจริงได้ในช่วงเวลาเสมอเดียวกัน,เช่นนั้นพวกนี้ที่ชั่วเลวทั้งหมดต้องออกจากวงการชีวิตคนไข้ไปทั้งหมด,ให้คนดีๆมาทำหน้าที่แทนเพื่อดำรงวิชาชีพที่ดีงามนี้ต่อไป.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 458 มุมมอง 27 0 รีวิว
  • Newsstory : สาเหตุที่แท้จริง ของเหตุไม่คาดฝันรถใช้แก๊สเริ่มต้นจาก.....
    #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่
    #รถบัส รถใช้แก๊ส #สาเหตุที่แท้จริง
    Newsstory : สาเหตุที่แท้จริง ของเหตุไม่คาดฝันรถใช้แก๊สเริ่มต้นจาก..... #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่ #รถบัส รถใช้แก๊ส #สาเหตุที่แท้จริง
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1337 มุมมอง 343 0 รีวิว