• วันนี้ไว้ลาย สามโทน อัลบั้ม โป๊ง โป๊ง ซิ่ง
    คนไทยด้วยกันผูกพันแน่นหนามาถึงเรือน มาเยือนถึงถิ่นเราต้องกินร่วมกันสักมื้อ
    คนไทยด้วยกันผูกพันแน่นหนามาถึงเรือน มาเยือนถึงถิ่นเราต้องกินร่วมกันสักแบน
    แม่โขงสุราของไทยคู่งานเลี้ยงไทยมานาน เนิ่นนาน

    ไม่ได้มากินฟรี ช่วยไปแล้ว

    ปล. ไปไหนไปด้วยขอช่วย 2 บาท ถ้าถ้าร่ำถ้ารวย ช่วยเลย 3 บาท
    วันนี้ไว้ลาย สามโทน อัลบั้ม โป๊ง โป๊ง ซิ่ง คนไทยด้วยกันผูกพันแน่นหนามาถึงเรือน มาเยือนถึงถิ่นเราต้องกินร่วมกันสักมื้อ คนไทยด้วยกันผูกพันแน่นหนามาถึงเรือน มาเยือนถึงถิ่นเราต้องกินร่วมกันสักแบน แม่โขงสุราของไทยคู่งานเลี้ยงไทยมานาน เนิ่นนาน ไม่ได้มากินฟรี ช่วยไปแล้ว ปล. ไปไหนไปด้วยขอช่วย 2 บาท ถ้าถ้าร่ำถ้ารวย ช่วยเลย 3 บาท
    0 Comments 0 Shares 2 Views 0 Reviews
  • ผู้ร่วมก่อตั้ง Gojek ถูกกล่าวหาทุจริต Chromebook

    เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (4 ก.ย.) สำนักงานอัยการสูงสุดของอินโดนีเซีย (AGO RI) ควบคุมตัวนายนาดีม มาคาริม (Nadiem Makarim) อดีต รมว.ศึกษาธิการ วัฒนธรรม การวิจัย และเทคโนโลยีของอินโดนีเซีย ไปกักขังเพื่อสอบสวนเพิ่มเติมเป็นเวลา 20 วัน หลังจากตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย คดีทุจริตการจัดซื้อคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปสำหรับโรงเรียน เชื่อมโยงกับ Chromebook ของ Google มูลค่า 9.3 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 18,161 ล้านบาท

    โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2563-2565 สมัยรัฐบาลประธานาธิบดีโจโค วิโดโด มีการแจกจ่าย Chromebook จำนวน 1.2 ล้านเครื่องให้กับโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล ตามนโยบายเปลี่ยนผ่านการศึกษาสู่ระบบดิจิทัล แต่อัยการชี้ว่าอุปกรณ์ดังกล่าวไม่เหมาะสำหรับโครงการนี้ เนื่องจาก Chromebook จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เสถียร แต่กลับไม่สามารถใช้ได้ในพื้นที่เป้าหมายหลายแห่ง ซึ่งมีไฟฟ้าจำกัดและการเชื่อมต่อที่ย่ำแย่ ส่งผลให้รัฐบาลอินโดนีเซียเสียหายกว่า 1.98 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 3,866 ล้านบาท

    จากการเปิดเผยของนายนูร์คาห์โย จุงกุง มาดโย (Nurcahyo Jungkung Madyo) ผู้อำนวยการฝ่ายสืบสวนการทุจริตของสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า นายนาดีม ถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีโดยมิชอบ มีการประชุมแบบปิดผ่าน Zoom เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2563 สั่งการให้คนใกล้ชิดนำระบบปฏิบัติการ Chrome ของ Google มาใช้ในการจัดซื้อแล็ปท็อปของกระทรวงศึกษาธิการฯ ทั่วประเทศ อีกทั้งในเดือน ก.พ.2564 นายนาดีมได้ออกกฎกระทรวง กำหนดให้ใช้ระบบปฎิบัติการ ChromeOS และฟีเจอร์ที่เชื่อมโยงกับบริการด้านการศึกษาของ Google กลายเป็นการล็อกสเปก ทำให้เกิดการแข่งขันไม่เป็นธรรม

    ด้านนายนาดีมตะโกนบอกผู้สื่อข่าวระหว่างถูกควบคุมตัวว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ขอพระเจ้าคุ้มครองผม ความจริงจะปรากฏ อัลลอฮ์จะทรงทราบความจริง” ขณะที่ทนายความของนายนาดีม ยืนยันว่านายนาดีมไม่ได้รับแม้แต่เซ็นต์เดียว ทั้งนี้ หากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง โทษสูงสุดคือจำคุกตลอดชีวิต

    สำหรับนายนาดีม มาคาริม อายุ 41 ปี เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทโกเจ็ก (Gojek) แพลตฟอร์มเรียกรถโดยสาร สั่งอาหาร และชำระเงินออนไลน์ของอินโดนีเซีย ก่อนจะลาออกในปี 2562 เพื่อเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี หลังจากนั้นบริษัทฯ ได้ควบรวมกิจการกับ Tokopedia ในปี 2564 เป็น GoTo Gojek Tokopedia บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ชี้แจงว่า หลังนายนาดีมลาออก เขาก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายบริหาร หรือการดำเนินงานของบริษัทฯ อีกต่อไป

    #Newskit
    ผู้ร่วมก่อตั้ง Gojek ถูกกล่าวหาทุจริต Chromebook เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (4 ก.ย.) สำนักงานอัยการสูงสุดของอินโดนีเซีย (AGO RI) ควบคุมตัวนายนาดีม มาคาริม (Nadiem Makarim) อดีต รมว.ศึกษาธิการ วัฒนธรรม การวิจัย และเทคโนโลยีของอินโดนีเซีย ไปกักขังเพื่อสอบสวนเพิ่มเติมเป็นเวลา 20 วัน หลังจากตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย คดีทุจริตการจัดซื้อคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปสำหรับโรงเรียน เชื่อมโยงกับ Chromebook ของ Google มูลค่า 9.3 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 18,161 ล้านบาท โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2563-2565 สมัยรัฐบาลประธานาธิบดีโจโค วิโดโด มีการแจกจ่าย Chromebook จำนวน 1.2 ล้านเครื่องให้กับโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล ตามนโยบายเปลี่ยนผ่านการศึกษาสู่ระบบดิจิทัล แต่อัยการชี้ว่าอุปกรณ์ดังกล่าวไม่เหมาะสำหรับโครงการนี้ เนื่องจาก Chromebook จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เสถียร แต่กลับไม่สามารถใช้ได้ในพื้นที่เป้าหมายหลายแห่ง ซึ่งมีไฟฟ้าจำกัดและการเชื่อมต่อที่ย่ำแย่ ส่งผลให้รัฐบาลอินโดนีเซียเสียหายกว่า 1.98 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 3,866 ล้านบาท จากการเปิดเผยของนายนูร์คาห์โย จุงกุง มาดโย (Nurcahyo Jungkung Madyo) ผู้อำนวยการฝ่ายสืบสวนการทุจริตของสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า นายนาดีม ถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีโดยมิชอบ มีการประชุมแบบปิดผ่าน Zoom เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2563 สั่งการให้คนใกล้ชิดนำระบบปฏิบัติการ Chrome ของ Google มาใช้ในการจัดซื้อแล็ปท็อปของกระทรวงศึกษาธิการฯ ทั่วประเทศ อีกทั้งในเดือน ก.พ.2564 นายนาดีมได้ออกกฎกระทรวง กำหนดให้ใช้ระบบปฎิบัติการ ChromeOS และฟีเจอร์ที่เชื่อมโยงกับบริการด้านการศึกษาของ Google กลายเป็นการล็อกสเปก ทำให้เกิดการแข่งขันไม่เป็นธรรม ด้านนายนาดีมตะโกนบอกผู้สื่อข่าวระหว่างถูกควบคุมตัวว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ขอพระเจ้าคุ้มครองผม ความจริงจะปรากฏ อัลลอฮ์จะทรงทราบความจริง” ขณะที่ทนายความของนายนาดีม ยืนยันว่านายนาดีมไม่ได้รับแม้แต่เซ็นต์เดียว ทั้งนี้ หากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง โทษสูงสุดคือจำคุกตลอดชีวิต สำหรับนายนาดีม มาคาริม อายุ 41 ปี เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทโกเจ็ก (Gojek) แพลตฟอร์มเรียกรถโดยสาร สั่งอาหาร และชำระเงินออนไลน์ของอินโดนีเซีย ก่อนจะลาออกในปี 2562 เพื่อเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี หลังจากนั้นบริษัทฯ ได้ควบรวมกิจการกับ Tokopedia ในปี 2564 เป็น GoTo Gojek Tokopedia บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ชี้แจงว่า หลังนายนาดีมลาออก เขาก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายบริหาร หรือการดำเนินงานของบริษัทฯ อีกต่อไป #Newskit
    1 Comments 0 Shares 32 Views 0 Reviews
  • 7 กันยายน 2568
    22.39 น.

    แอป Flightradar24 ตรวจพบเครื่องบิน Bombardier Global 7500 รหัส GL7T บนลานจอดสนามบินดูไบ โดยไม่ปรากฏข้อมูลเที่ยวบิน ไม่ว่าจะเป็นเวลาออกเดินทาง ปลายทาง หรือทะเบียนเครื่อง (ขึ้นว่า N/A) ระบบแสดงเพียงว่าจอดนิ่งที่ระดับความสูง 0 ฟุต ความเร็ว 0 นอต ใกล้อากาศยานลำอื่น
    ความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้รับการจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะก่อนหน้านี้มีรายงานว่านายทักษิณ ชินวัตร เคยใช้เครื่องรุ่นนี้ในการเดินทางไปดูไบ ล่าสุดสัญญาณได้หายไปแล้ว

    #MONONews
    7 กันยายน 2568 22.39 น. แอป Flightradar24 ตรวจพบเครื่องบิน Bombardier Global 7500 รหัส GL7T บนลานจอดสนามบินดูไบ โดยไม่ปรากฏข้อมูลเที่ยวบิน ไม่ว่าจะเป็นเวลาออกเดินทาง ปลายทาง หรือทะเบียนเครื่อง (ขึ้นว่า N/A) ระบบแสดงเพียงว่าจอดนิ่งที่ระดับความสูง 0 ฟุต ความเร็ว 0 นอต ใกล้อากาศยานลำอื่น ความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้รับการจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะก่อนหน้านี้มีรายงานว่านายทักษิณ ชินวัตร เคยใช้เครื่องรุ่นนี้ในการเดินทางไปดูไบ ล่าสุดสัญญาณได้หายไปแล้ว #MONONews
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • 4เดือนให้เวลามากไป,แค่1เดือนก็พอแล้ว วัดผลงานรัฐบาล32นี้เลย,เรื่องแรกคือยกเลิกmou43,44และtor46ด้วยให้เป็นทางการ,สองประกาศสร้างรั้วลวดหนามให้ชัดเจนตลอดแนวพรมแดนจากปากนายกฯรัฐบาล32นี้เลย,1เดือดแรก ใหญ่สุดเวลานี้เอาเรื่องนี้ก่อน ถ้าชัดเจนก็ต่อสมัยผ่านประเมินในเดือนที่2ได้,เพราะ1:50,000ทหารไทยยืนยันจบแล้วรัฐบาล32ต้องตอกฝาโลงเขมรจากตบหน้ายกเลิกmou43,44ไปก่อนหน้านั้นแล้ว,การปฏิบัติการทางก่อสร้างจะลุล่วงทันที,สามารถระดมทุนบริจาคจากประชาชนได้ นายกฯเป็นเจ้าภาพรับบริจาคเอง จะจบทันที.ได้ใจคนไทยด้วย เสียงมาตรึม,แต่ถ้าผิดไปจากนี้ก็ไม่ได้ไปต่อแค่นั้น อาจดับอนาถทั้งตัวเองและพรรคด้วย,หากยืนตรงข้ามประชาชนและอยู่ฝ่ายตรงข้ามทหารของประชาชน,เพราะนายกฯรัฐบาลเฉพาะกาลตั้งธงไว้รอแล้วมาแน่นอน,รัฐบาล33.

    https://youtube.com/watch?v=WugnxSGkLl8&si=ruRj94tr2tKdSyTR
    4เดือนให้เวลามากไป,แค่1เดือนก็พอแล้ว วัดผลงานรัฐบาล32นี้เลย,เรื่องแรกคือยกเลิกmou43,44และtor46ด้วยให้เป็นทางการ,สองประกาศสร้างรั้วลวดหนามให้ชัดเจนตลอดแนวพรมแดนจากปากนายกฯรัฐบาล32นี้เลย,1เดือดแรก ใหญ่สุดเวลานี้เอาเรื่องนี้ก่อน ถ้าชัดเจนก็ต่อสมัยผ่านประเมินในเดือนที่2ได้,เพราะ1:50,000ทหารไทยยืนยันจบแล้วรัฐบาล32ต้องตอกฝาโลงเขมรจากตบหน้ายกเลิกmou43,44ไปก่อนหน้านั้นแล้ว,การปฏิบัติการทางก่อสร้างจะลุล่วงทันที,สามารถระดมทุนบริจาคจากประชาชนได้ นายกฯเป็นเจ้าภาพรับบริจาคเอง จะจบทันที.ได้ใจคนไทยด้วย เสียงมาตรึม,แต่ถ้าผิดไปจากนี้ก็ไม่ได้ไปต่อแค่นั้น อาจดับอนาถทั้งตัวเองและพรรคด้วย,หากยืนตรงข้ามประชาชนและอยู่ฝ่ายตรงข้ามทหารของประชาชน,เพราะนายกฯรัฐบาลเฉพาะกาลตั้งธงไว้รอแล้วมาแน่นอน,รัฐบาล33. https://youtube.com/watch?v=WugnxSGkLl8&si=ruRj94tr2tKdSyTR
    0 Comments 0 Shares 43 Views 0 Reviews
  • อนุทินกำจัดจุดอ่อน ฟอร์ม ครม.คนนอก-ฟื้นคนละครึ่ง

    ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 สำหรับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หลังลาออกจากรองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ไปเมื่อกลางเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เพราะนายทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง ต้องการเก้าอี้คืน แล้วตกลงกันไม่ได้ กระทั่ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยข้อหาฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง กรณีคลิปเสียงคุยโทรศัพท์กับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในที่สุดดีลโหวตเลือกนายกฯ กับพรรคประชาชน เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ก็ลงตัว ชนะนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตพรรคเพื่อไทย 311 ต่อ 152 เสียง งดออกเสียง 27 เสียง ภายใต้เงื่อนไขต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน และเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ

    4 ปัญหาบ้านเมืองที่นายอนุทินจะแก้ไข คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความมั่นคง ปัญหาภัยธรรมชาติ และปัญหาภัยสังคม จึงได้พบเห็นการฟอร์มรัฐมนตรีคนนอก ได้แก่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ จะมาเป็น รมว.คลัง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตซีอีโอ ปตท. และ โออาร์ จะมาเป็น รมว.พลังงาน และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ จะมาเป็น รมว.ต่างประเทศ โดยให้เหตุผลว่า อยากได้คนที่มีความรู้ความสามารถ ทำงานได้เลย ไม่ต้องเรียนรู้งานอะไรมาก สร้างความมั่นใจว่าทุกอย่างจะเดินหน้าได้ และล่าสุด เปิดตัวนายวรภัค ธันยาวงษ์ ประธานที่ปรึกษา นายพิชัย ชุณหวชิร อดีต รมว.คลังในรัฐบาลแพทองธาร ที่เป็นหนึ่งในทีมเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จะมาเป็น รมช.คลัง

    นอกจากนี้ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า จะฟื้นโครงการคนละครึ่ง สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมา หลังนางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เรียกร้องให้สนับสนุนโครงการ Co-payment เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน และผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศกว่า 7 แสนราย ที่ต้องเผชิญพิษเศรษฐกิจและยอดขายตกต่ำ เรียกเสียงฮือฮาจากสังคม เพราะเป็นโครงการในตำนานที่เห็นภาพและจับต้องได้

    อีกทั้งระบบหลังบ้าน ธนาคารกรุงไทยมีประสบการณ์อยู่แล้ว มีฐานผู้ใช้งานแอปฯ เป๋าตังกว่า 40 ล้านราย เมื่อเทียบกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ต้องเขียนแอปฯ ใหม่ สุดท้ายทำไม่ได้จริง ได้แค่แจกเงินผู้สูงอายุ ผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางผ่านระบบพร้อมเพย์ แม้จะมีการปลุกกระแสทำให้ผู้ค้าส่วนหนึ่งกลัวถูกกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีย้อนหลังก็ตาม แต่การจ่ายภาษีเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน โดยปกติหากรายได้ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว

    #Newskit
    อนุทินกำจัดจุดอ่อน ฟอร์ม ครม.คนนอก-ฟื้นคนละครึ่ง ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 สำหรับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หลังลาออกจากรองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ไปเมื่อกลางเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เพราะนายทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง ต้องการเก้าอี้คืน แล้วตกลงกันไม่ได้ กระทั่ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยข้อหาฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง กรณีคลิปเสียงคุยโทรศัพท์กับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในที่สุดดีลโหวตเลือกนายกฯ กับพรรคประชาชน เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ก็ลงตัว ชนะนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตพรรคเพื่อไทย 311 ต่อ 152 เสียง งดออกเสียง 27 เสียง ภายใต้เงื่อนไขต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน และเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ 4 ปัญหาบ้านเมืองที่นายอนุทินจะแก้ไข คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความมั่นคง ปัญหาภัยธรรมชาติ และปัญหาภัยสังคม จึงได้พบเห็นการฟอร์มรัฐมนตรีคนนอก ได้แก่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ จะมาเป็น รมว.คลัง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตซีอีโอ ปตท. และ โออาร์ จะมาเป็น รมว.พลังงาน และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ จะมาเป็น รมว.ต่างประเทศ โดยให้เหตุผลว่า อยากได้คนที่มีความรู้ความสามารถ ทำงานได้เลย ไม่ต้องเรียนรู้งานอะไรมาก สร้างความมั่นใจว่าทุกอย่างจะเดินหน้าได้ และล่าสุด เปิดตัวนายวรภัค ธันยาวงษ์ ประธานที่ปรึกษา นายพิชัย ชุณหวชิร อดีต รมว.คลังในรัฐบาลแพทองธาร ที่เป็นหนึ่งในทีมเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จะมาเป็น รมช.คลัง นอกจากนี้ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า จะฟื้นโครงการคนละครึ่ง สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมา หลังนางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เรียกร้องให้สนับสนุนโครงการ Co-payment เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน และผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศกว่า 7 แสนราย ที่ต้องเผชิญพิษเศรษฐกิจและยอดขายตกต่ำ เรียกเสียงฮือฮาจากสังคม เพราะเป็นโครงการในตำนานที่เห็นภาพและจับต้องได้ อีกทั้งระบบหลังบ้าน ธนาคารกรุงไทยมีประสบการณ์อยู่แล้ว มีฐานผู้ใช้งานแอปฯ เป๋าตังกว่า 40 ล้านราย เมื่อเทียบกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ต้องเขียนแอปฯ ใหม่ สุดท้ายทำไม่ได้จริง ได้แค่แจกเงินผู้สูงอายุ ผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางผ่านระบบพร้อมเพย์ แม้จะมีการปลุกกระแสทำให้ผู้ค้าส่วนหนึ่งกลัวถูกกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีย้อนหลังก็ตาม แต่การจ่ายภาษีเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน โดยปกติหากรายได้ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว #Newskit
    1 Comments 0 Shares 60 Views 0 Reviews
  • เซเลนสกีประกาศยูเครนกำลังร่วมมือกับเดนมาร์กในการสร้างโรงงานผลิตอาวุธที่ส่งให้ยูเครนโดยเฉพาะ เพื่องเลี่ยงจากการถูกโจมตีจากรัสเซีย

    “เรากำลังสร้างโรงงานผลิตอาวุธร่วมกับพันธมิตรของเรา เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ยูเครนได้เริ่มสร้างโรงงานร่วมกับเดนมาร์กในดินแดนเดนมาร์ก และจะผลิตส่วนประกอบสำหรับขีปนาวุธและโดรนของเรา ซึ่งเป็นอาวุธที่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูง”
    เซเลนสกีประกาศยูเครนกำลังร่วมมือกับเดนมาร์กในการสร้างโรงงานผลิตอาวุธที่ส่งให้ยูเครนโดยเฉพาะ เพื่องเลี่ยงจากการถูกโจมตีจากรัสเซีย “เรากำลังสร้างโรงงานผลิตอาวุธร่วมกับพันธมิตรของเรา เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ยูเครนได้เริ่มสร้างโรงงานร่วมกับเดนมาร์กในดินแดนเดนมาร์ก และจะผลิตส่วนประกอบสำหรับขีปนาวุธและโดรนของเรา ซึ่งเป็นอาวุธที่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูง”
    0 Comments 0 Shares 46 Views 0 0 Reviews
  • เพจดังเผยจากใจคนในงาน! แฉยับพฤติกรรม สส. ‘หมิว สิริลภัส’ บูลลี่เจ้าบ่าว-ด่าเจ้าสาวในงานแต่งเพื่อน
    https://thai-tai.tv/news/21359/
    .
    #ไทยไท #หมิวสิริลภัส #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    เพจดังเผยจากใจคนในงาน! แฉยับพฤติกรรม สส. ‘หมิว สิริลภัส’ บูลลี่เจ้าบ่าว-ด่าเจ้าสาวในงานแต่งเพื่อน https://thai-tai.tv/news/21359/ . #ไทยไท #หมิวสิริลภัส #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • “หมิว สิริลภัส” โต้กลับ “แขก คำผกา” ลั่น "เป็นซึมเศร้าและรักษาอยู่ค่ะ" แนะอ่าน "สมบัติผู้ดี"
    https://www.thai-tai.tv/news/21358/
    .
    #ไทยไท #หมิวสิริลภัส #แขกคำผกา #โรคซึมเศร้า #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    “หมิว สิริลภัส” โต้กลับ “แขก คำผกา” ลั่น "เป็นซึมเศร้าและรักษาอยู่ค่ะ" แนะอ่าน "สมบัติผู้ดี" https://www.thai-tai.tv/news/21358/ . #ไทยไท #หมิวสิริลภัส #แขกคำผกา #โรคซึมเศร้า #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • ดราม่าร้อน! “แขก คำผกา” เหยียด สส. “หมิว สิริลภัส” กลางไลฟ์สด ลั่น “กูขอให้มึงซึมเศร้ากลางสภา”
    https://www.thai-tai.tv/news/21357/
    .
    #ไทยไท #หมิวสิริลภัส #แขกคำผกา #HateSpeech #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    ดราม่าร้อน! “แขก คำผกา” เหยียด สส. “หมิว สิริลภัส” กลางไลฟ์สด ลั่น “กูขอให้มึงซึมเศร้ากลางสภา” https://www.thai-tai.tv/news/21357/ . #ไทยไท #หมิวสิริลภัส #แขกคำผกา #HateSpeech #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • 'ฮุน มาเนต' ยินดี 'อนุทิน' เป็นนายกฯ ย้ำความหวังที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา หลังยิงถล่มประชาชนไทย-วางกับระเบิดชายแดนละเมิดข้อตกลง
    https://www.thai-tai.tv/news/21356/
    .
    #ไทยไท #ฮุนมาเนต #อนุทินชาญวีรกูล #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    'ฮุน มาเนต' ยินดี 'อนุทิน' เป็นนายกฯ ย้ำความหวังที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา หลังยิงถล่มประชาชนไทย-วางกับระเบิดชายแดนละเมิดข้อตกลง https://www.thai-tai.tv/news/21356/ . #ไทยไท #ฮุนมาเนต #อนุทินชาญวีรกูล #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • จีนส่งสารแสดงความยินดี ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ ได้รับโปรดเกล้าฯ นั่งนายกฯ คนที่ 32
    https://www.thai-tai.tv/news/21355/
    .
    #ไทยไท #อนุทินชาญวีรกูล #สถานทูตจีน #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    จีนส่งสารแสดงความยินดี ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ ได้รับโปรดเกล้าฯ นั่งนายกฯ คนที่ 32 https://www.thai-tai.tv/news/21355/ . #ไทยไท #อนุทินชาญวีรกูล #สถานทูตจีน #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 Comments 0 Shares 35 Views 0 Reviews
  • อดีตอธิบดีถูกเด้งยุค 'ภูมิธรรม' กลับมาแสดงความยินดี 'อนุทิน' นั่งนายกฯ คนที่ 32
    https://www.thai-tai.tv/news/21354/
    .
    #ไทยไท #อนุทินชาญวีรกูล #กระทรวงมหาดไทย #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    อดีตอธิบดีถูกเด้งยุค 'ภูมิธรรม' กลับมาแสดงความยินดี 'อนุทิน' นั่งนายกฯ คนที่ 32 https://www.thai-tai.tv/news/21354/ . #ไทยไท #อนุทินชาญวีรกูล #กระทรวงมหาดไทย #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก TikTok ถึงกฎหมายออสเตรเลีย: เมื่อโลกเริ่มตั้งคำถามว่าเด็กควรอยู่บนโซเชียลมีเดียจริงหรือ?

    ผลสำรวจจาก Ipsos ที่จัดทำใน 30 ประเทศทั่วโลกเผยว่า 71% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปีไม่ควรใช้โซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะในโรงเรียนหรือที่บ้าน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 65% ในปี 2024 โดยเฉพาะกลุ่มผู้ปกครองที่มีลูกวัยเรียน—74% สนับสนุนการแบนอย่างชัดเจน

    ประเทศที่มีแนวโน้มสนับสนุนการแบนมากที่สุดคืออินโดนีเซียและฝรั่งเศส ขณะที่ตุรกีและแอฟริกาใต้มีแนวโน้มต่อต้านมากที่สุด ส่วนประเทศไทยกลับเป็นหนึ่งในสามประเทศที่คะแนนสนับสนุนลดลงจากปีที่แล้ว ร่วมกับอินเดียและฮังการี

    ออสเตรเลียกลายเป็นประเทศแรกที่ออกกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้โซเชียลมีเดียในปี 2024 และอินโดนีเซียกำลังเตรียมเดินตามรอย โดยมีแรงสนับสนุนจากงานวิจัยหลายฉบับที่ชี้ว่าเด็กที่ใช้โซเชียลมีเดียเกิน 2 ชั่วโมงต่อวันมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้า

    แม้แพลตฟอร์มใหญ่อย่าง Meta และ Snapchat จะออกมาตรการป้องกัน เช่น การกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและระบบควบคุมผู้ปกครอง แต่ก็ยังมีข้อกังวลว่าเด็กสามารถหลบเลี่ยงข้อจำกัดได้ง่าย และระบบอายุขั้นต่ำยังไม่ถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง

    นอกจากโซเชียลมีเดียแล้ว ยังมีการสำรวจเรื่องการใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียนด้วย โดย 55% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าควรแบนสมาร์ทโฟนในโรงเรียน ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2024 โดยฝรั่งเศสมีคะแนนสนับสนุนสูงถึง 80% ขณะที่ไทยมีเพียง 35%

    แม้จะมีงานวิจัยที่ชี้ว่าการนำสมาร์ทโฟนออกจากห้องเรียนช่วยเพิ่มความเข้าใจและลดความเครียด แต่ก็มีงานวิจัยอีกด้านที่พบว่านักเรียนที่ใช้สมาร์ทโฟนมากกลับมีผลการเรียนดีกว่า ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนของปัญหานี้

    ผลสำรวจจาก Ipsos ปี 2025
    71% สนับสนุนการแบนเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปีจากโซเชียลมีเดีย
    ผู้ปกครองที่มีลูกวัยเรียนสนับสนุนสูงถึง 74%
    คะแนนสนับสนุนเพิ่มขึ้นในทุกประเทศ ยกเว้นอินเดีย ไทย และฮังการี

    ประเทศที่มีแนวโน้มสนับสนุนสูง
    อินโดนีเซียและฝรั่งเศสมีคะแนนสนับสนุนสูงสุด
    ตุรกีและแอฟริกาใต้มีคะแนนสนับสนุนต่ำสุด
    ออสเตรเลียออกกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้โซเชียลมีเดีย

    ผลกระทบจากการใช้โซเชียลมีเดีย
    เด็กที่ใช้เกิน 2 ชั่วโมงต่อวันมีความเสี่ยงต่อภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้า
    แพลตฟอร์มใหญ่ออกมาตรการป้องกัน เช่น ระบบกรองเนื้อหาและควบคุมผู้ปกครอง
    ระบบอายุขั้นต่ำยังไม่ถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง

    การใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียน
    55% สนับสนุนการแบนสมาร์ทโฟนในโรงเรียน
    ฝรั่งเศสมีคะแนนสนับสนุนสูงสุดที่ 80%
    ไทยมีคะแนนต่ำสุดที่ 35%

    งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
    การนำสมาร์ทโฟนออกจากห้องเรียนช่วยเพิ่มความเข้าใจและลดความเครียด
    นักเรียนที่ใช้สมาร์ทโฟนมากกลับมีผลการเรียนดีกว่าในบางกรณี

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/07/should-kids-use-social-media-global-opinion-has-shifted-new-poll-finds
    🎙️ เรื่องเล่าจาก TikTok ถึงกฎหมายออสเตรเลีย: เมื่อโลกเริ่มตั้งคำถามว่าเด็กควรอยู่บนโซเชียลมีเดียจริงหรือ? ผลสำรวจจาก Ipsos ที่จัดทำใน 30 ประเทศทั่วโลกเผยว่า 71% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปีไม่ควรใช้โซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะในโรงเรียนหรือที่บ้าน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 65% ในปี 2024 โดยเฉพาะกลุ่มผู้ปกครองที่มีลูกวัยเรียน—74% สนับสนุนการแบนอย่างชัดเจน ประเทศที่มีแนวโน้มสนับสนุนการแบนมากที่สุดคืออินโดนีเซียและฝรั่งเศส ขณะที่ตุรกีและแอฟริกาใต้มีแนวโน้มต่อต้านมากที่สุด ส่วนประเทศไทยกลับเป็นหนึ่งในสามประเทศที่คะแนนสนับสนุนลดลงจากปีที่แล้ว ร่วมกับอินเดียและฮังการี ออสเตรเลียกลายเป็นประเทศแรกที่ออกกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้โซเชียลมีเดียในปี 2024 และอินโดนีเซียกำลังเตรียมเดินตามรอย โดยมีแรงสนับสนุนจากงานวิจัยหลายฉบับที่ชี้ว่าเด็กที่ใช้โซเชียลมีเดียเกิน 2 ชั่วโมงต่อวันมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้า แม้แพลตฟอร์มใหญ่อย่าง Meta และ Snapchat จะออกมาตรการป้องกัน เช่น การกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและระบบควบคุมผู้ปกครอง แต่ก็ยังมีข้อกังวลว่าเด็กสามารถหลบเลี่ยงข้อจำกัดได้ง่าย และระบบอายุขั้นต่ำยังไม่ถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง นอกจากโซเชียลมีเดียแล้ว ยังมีการสำรวจเรื่องการใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียนด้วย โดย 55% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าควรแบนสมาร์ทโฟนในโรงเรียน ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2024 โดยฝรั่งเศสมีคะแนนสนับสนุนสูงถึง 80% ขณะที่ไทยมีเพียง 35% แม้จะมีงานวิจัยที่ชี้ว่าการนำสมาร์ทโฟนออกจากห้องเรียนช่วยเพิ่มความเข้าใจและลดความเครียด แต่ก็มีงานวิจัยอีกด้านที่พบว่านักเรียนที่ใช้สมาร์ทโฟนมากกลับมีผลการเรียนดีกว่า ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนของปัญหานี้ ✅ ผลสำรวจจาก Ipsos ปี 2025 ➡️ 71% สนับสนุนการแบนเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปีจากโซเชียลมีเดีย ➡️ ผู้ปกครองที่มีลูกวัยเรียนสนับสนุนสูงถึง 74% ➡️ คะแนนสนับสนุนเพิ่มขึ้นในทุกประเทศ ยกเว้นอินเดีย ไทย และฮังการี ✅ ประเทศที่มีแนวโน้มสนับสนุนสูง ➡️ อินโดนีเซียและฝรั่งเศสมีคะแนนสนับสนุนสูงสุด ➡️ ตุรกีและแอฟริกาใต้มีคะแนนสนับสนุนต่ำสุด ➡️ ออสเตรเลียออกกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้โซเชียลมีเดีย ✅ ผลกระทบจากการใช้โซเชียลมีเดีย ➡️ เด็กที่ใช้เกิน 2 ชั่วโมงต่อวันมีความเสี่ยงต่อภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้า ➡️ แพลตฟอร์มใหญ่ออกมาตรการป้องกัน เช่น ระบบกรองเนื้อหาและควบคุมผู้ปกครอง ➡️ ระบบอายุขั้นต่ำยังไม่ถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง ✅ การใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียน ➡️ 55% สนับสนุนการแบนสมาร์ทโฟนในโรงเรียน ➡️ ฝรั่งเศสมีคะแนนสนับสนุนสูงสุดที่ 80% ➡️ ไทยมีคะแนนต่ำสุดที่ 35% ✅ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ➡️ การนำสมาร์ทโฟนออกจากห้องเรียนช่วยเพิ่มความเข้าใจและลดความเครียด ➡️ นักเรียนที่ใช้สมาร์ทโฟนมากกลับมีผลการเรียนดีกว่าในบางกรณี https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/07/should-kids-use-social-media-global-opinion-has-shifted-new-poll-finds
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Should kids use social media? Global opinion has shifted, new poll finds
    The survey – fielded June 20 to July 4 with 23,700 adults – revealed at least 50% of respondents in all 30 countries favoured a social media ban, and support grew in every nation except three: India, Thailand and Hungary.
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Shark Tank ถึง ChatGPT: เมื่อการไม่เรียนรู้ AI กลายเป็นการเดินออกจากอนาคตด้วยตัวเอง

    Emma Grede ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Skims และนักลงทุนใน Shark Tank เคยใช้ AI แบบเบา ๆ แค่แทน Google Search ด้วย ChatGPT จนกระทั่งเธอเชิญ Mark Cuban มาคุยในพอดแคสต์ของเธอ และได้คำตอบสั้น ๆ แต่แรงมากจากเขาเมื่อถามว่า “ถ้าไม่อยากใช้ AI จะเป็นยังไง?” คำตอบของ Cuban คือ “You’re (expletive)” หรือแปลตรง ๆ ว่า “คุณจบแล้ว”

    Cuban เปรียบเทียบสถานการณ์ตอนนี้กับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC, อินเทอร์เน็ต หรือ Wi-Fi แล้วธุรกิจเหล่านั้นก็ตายไปจริง ๆ เขาย้ำว่า “การเริ่มต้นธุรกิจวันนี้ไม่มีทางแยกจากการใช้ AI ได้อีกแล้ว” และแนะนำให้ทุกคน “ใช้เวลาเยอะมาก ๆ กับการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก”

    หลังจากบทสนทนานั้น Grede เปลี่ยนพฤติกรรมทันที เธอเริ่มค้นหาคอร์สเรียน AI ดาวน์โหลดแอปใหม่ และบอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน” ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ฟังหลายคนเริ่มต้นตาม

    Harvard ก็ออกมาสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยระบุว่า “อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตและ PC ในช่วงเริ่มต้น” และเสริมว่า “คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อน จะได้ผลตอบแทนมหาศาลในอนาคต”

    แม้จะมีคำเตือนว่า AI อาจเข้าสู่ช่วง “ความผิดหวัง” หรือเกิดฟองสบู่ แต่ข้อมูลเชิงสถิติก็ชี้ว่า AI กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากของทุกอุตสาหกรรม และการไม่เรียนรู้มันคือการเดินออกจากโอกาสโดยไม่รู้ตัว

    คำแนะนำจาก Mark Cuban
    “The first thing you have to do is learn AI”
    ต้องใช้เวลาเยอะมากในการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก
    เปรียบเทียบกับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC และอินเทอร์เน็ต

    การเปลี่ยนแปลงของ Emma Grede
    เคยใช้ AI แค่แทน Google Search
    หลังคุยกับ Cuban เริ่มค้นหาคอร์สและดาวน์โหลดแอปทันที
    บอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน”

    ข้อมูลจาก Harvard
    อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น
    คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อนจะได้ผลตอบแทนมหาศาล
    เปรียบเทียบว่า AI จะกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากเหมือน PC

    วิธีเริ่มต้นเรียนรู้ AI
    ทดลองใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT, Gemini, Claude, Perplexity
    ฝึกการตั้งคำถามและการ prompt ให้มีประสิทธิภาพ
    ใช้ AI เป็นเหมือน “ทีมที่ปรึกษา” ในการทำงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/06/billionaire-entrepreneur-has-some-words-for-people-who-dont-want-to-learn-ai
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Shark Tank ถึง ChatGPT: เมื่อการไม่เรียนรู้ AI กลายเป็นการเดินออกจากอนาคตด้วยตัวเอง Emma Grede ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Skims และนักลงทุนใน Shark Tank เคยใช้ AI แบบเบา ๆ แค่แทน Google Search ด้วย ChatGPT จนกระทั่งเธอเชิญ Mark Cuban มาคุยในพอดแคสต์ของเธอ และได้คำตอบสั้น ๆ แต่แรงมากจากเขาเมื่อถามว่า “ถ้าไม่อยากใช้ AI จะเป็นยังไง?” คำตอบของ Cuban คือ “You’re (expletive)” หรือแปลตรง ๆ ว่า “คุณจบแล้ว” Cuban เปรียบเทียบสถานการณ์ตอนนี้กับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC, อินเทอร์เน็ต หรือ Wi-Fi แล้วธุรกิจเหล่านั้นก็ตายไปจริง ๆ เขาย้ำว่า “การเริ่มต้นธุรกิจวันนี้ไม่มีทางแยกจากการใช้ AI ได้อีกแล้ว” และแนะนำให้ทุกคน “ใช้เวลาเยอะมาก ๆ กับการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก” หลังจากบทสนทนานั้น Grede เปลี่ยนพฤติกรรมทันที เธอเริ่มค้นหาคอร์สเรียน AI ดาวน์โหลดแอปใหม่ และบอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน” ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ฟังหลายคนเริ่มต้นตาม Harvard ก็ออกมาสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยระบุว่า “อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตและ PC ในช่วงเริ่มต้น” และเสริมว่า “คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อน จะได้ผลตอบแทนมหาศาลในอนาคต” แม้จะมีคำเตือนว่า AI อาจเข้าสู่ช่วง “ความผิดหวัง” หรือเกิดฟองสบู่ แต่ข้อมูลเชิงสถิติก็ชี้ว่า AI กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากของทุกอุตสาหกรรม และการไม่เรียนรู้มันคือการเดินออกจากโอกาสโดยไม่รู้ตัว ✅ คำแนะนำจาก Mark Cuban ➡️ “The first thing you have to do is learn AI” ➡️ ต้องใช้เวลาเยอะมากในการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก ➡️ เปรียบเทียบกับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC และอินเทอร์เน็ต ✅ การเปลี่ยนแปลงของ Emma Grede ➡️ เคยใช้ AI แค่แทน Google Search ➡️ หลังคุยกับ Cuban เริ่มค้นหาคอร์สและดาวน์โหลดแอปทันที ➡️ บอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน” ✅ ข้อมูลจาก Harvard ➡️ อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น ➡️ คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อนจะได้ผลตอบแทนมหาศาล ➡️ เปรียบเทียบว่า AI จะกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากเหมือน PC ✅ วิธีเริ่มต้นเรียนรู้ AI ➡️ ทดลองใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT, Gemini, Claude, Perplexity ➡️ ฝึกการตั้งคำถามและการ prompt ให้มีประสิทธิภาพ ➡️ ใช้ AI เป็นเหมือน “ทีมที่ปรึกษา” ในการทำงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/06/billionaire-entrepreneur-has-some-words-for-people-who-dont-want-to-learn-ai
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Billionaire entrepreneur has some words for people who don’t want to learn AI
    Mark Cuban has a salty warning for people who are avoiding getting started on learning to use AI.
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก ChatGPT ถึง EisnerAmper: เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยเงาในออฟฟิศที่ไม่มีใครควบคุม

    ผลสำรวจล่าสุดจาก EisnerAmper พบว่าในสหรัฐฯ มีเพียง 22% ของพนักงานออฟฟิศที่ใช้ AI ระบุว่าบริษัทของตนมีการตรวจสอบการใช้งาน AI อย่างจริงจัง นั่นหมายความว่าอีก 78% ใช้ AI โดยไม่มี oversight ใด ๆ แม้บริษัทจะมีนโยบายหรือแนวทางด้านความปลอดภัยก็ตาม

    ที่น่าตกใจคือ 36% ของบริษัทเท่านั้นที่มีนโยบายการใช้ AI อย่างเป็นทางการ และ 28% ของพนักงานยอมรับว่าจะใช้ AI แม้บริษัทจะห้ามไว้ก็ตาม ซึ่งสะท้อนถึงช่องว่างระหว่างการบริหารจัดการกับพฤติกรรมจริงของพนักงาน

    แม้จะไม่มีการควบคุม แต่ 80% ของพนักงานกลับรายงานว่า AI ช่วยให้พวกเขาทำงานได้ดีขึ้น และ 64% ใช้เวลาที่ประหยัดได้จาก AI ไปทำงานอื่นต่อ ขณะที่บางคนใช้เวลาไปพักผ่อน เช่น เดินเล่น (19%) หรือไปทานข้าว (16%)

    อย่างไรก็ตาม 68% ของผู้ใช้ AI พบข้อผิดพลาดจากระบบเป็นประจำ แม้ 82% จะยังมั่นใจว่า AI ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นที่อาจเกินจริง และอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านกฎหมายหรือชื่อเสียงหากใช้ข้อมูลผิดพลาด

    ผู้เชี่ยวชาญจาก EisnerAmper เตือนว่า หากไม่มีการวางกลยุทธ์ด้าน AI ที่ชัดเจนและการสื่อสารภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทอาจสูญเสียโอกาสในการสร้างนวัตกรรม และอาจเผชิญกับปัญหาด้านความรับผิดชอบเมื่อเกิดข้อผิดพลาดจากการใช้ AI

    สถานการณ์การใช้ AI ในที่ทำงาน
    22% ของพนักงานระบุว่าบริษัทมีการตรวจสอบการใช้ AI
    36% ของบริษัทมีนโยบายการใช้ AI อย่างเป็นทางการ
    28% ของพนักงานยอมรับว่าจะใช้ AI แม้บริษัทห้าม

    พฤติกรรมและความเชื่อมั่นของพนักงาน
    80% รายงานว่า AI ช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้น
    64% ใช้เวลาที่ประหยัดได้ไปทำงานอื่น
    19% ใช้เวลาไปเดินเล่น และ 16% ไปทานข้าว
    82% มั่นใจในผลลัพธ์ของ AI แม้ 68% พบข้อผิดพลาดเป็นประจำ

    ความเสี่ยงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
    ช่องว่างระหว่างนโยบายกับพฤติกรรมจริงของพนักงาน
    ความเสี่ยงด้านกฎหมายและชื่อเสียงจากการใช้ AI โดยไม่มี oversight
    ความจำเป็นในการวางกลยุทธ์ด้าน AI และการสื่อสารภายในองค์กร

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/06/only-one-in-five-workers-say-their-ai-use-is-checked-at-work-that-needs-to-change
    🎙️ เรื่องเล่าจาก ChatGPT ถึง EisnerAmper: เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยเงาในออฟฟิศที่ไม่มีใครควบคุม ผลสำรวจล่าสุดจาก EisnerAmper พบว่าในสหรัฐฯ มีเพียง 22% ของพนักงานออฟฟิศที่ใช้ AI ระบุว่าบริษัทของตนมีการตรวจสอบการใช้งาน AI อย่างจริงจัง นั่นหมายความว่าอีก 78% ใช้ AI โดยไม่มี oversight ใด ๆ แม้บริษัทจะมีนโยบายหรือแนวทางด้านความปลอดภัยก็ตาม ที่น่าตกใจคือ 36% ของบริษัทเท่านั้นที่มีนโยบายการใช้ AI อย่างเป็นทางการ และ 28% ของพนักงานยอมรับว่าจะใช้ AI แม้บริษัทจะห้ามไว้ก็ตาม ซึ่งสะท้อนถึงช่องว่างระหว่างการบริหารจัดการกับพฤติกรรมจริงของพนักงาน แม้จะไม่มีการควบคุม แต่ 80% ของพนักงานกลับรายงานว่า AI ช่วยให้พวกเขาทำงานได้ดีขึ้น และ 64% ใช้เวลาที่ประหยัดได้จาก AI ไปทำงานอื่นต่อ ขณะที่บางคนใช้เวลาไปพักผ่อน เช่น เดินเล่น (19%) หรือไปทานข้าว (16%) อย่างไรก็ตาม 68% ของผู้ใช้ AI พบข้อผิดพลาดจากระบบเป็นประจำ แม้ 82% จะยังมั่นใจว่า AI ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นที่อาจเกินจริง และอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านกฎหมายหรือชื่อเสียงหากใช้ข้อมูลผิดพลาด ผู้เชี่ยวชาญจาก EisnerAmper เตือนว่า หากไม่มีการวางกลยุทธ์ด้าน AI ที่ชัดเจนและการสื่อสารภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทอาจสูญเสียโอกาสในการสร้างนวัตกรรม และอาจเผชิญกับปัญหาด้านความรับผิดชอบเมื่อเกิดข้อผิดพลาดจากการใช้ AI ✅ สถานการณ์การใช้ AI ในที่ทำงาน ➡️ 22% ของพนักงานระบุว่าบริษัทมีการตรวจสอบการใช้ AI ➡️ 36% ของบริษัทมีนโยบายการใช้ AI อย่างเป็นทางการ ➡️ 28% ของพนักงานยอมรับว่าจะใช้ AI แม้บริษัทห้าม ✅ พฤติกรรมและความเชื่อมั่นของพนักงาน ➡️ 80% รายงานว่า AI ช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้น ➡️ 64% ใช้เวลาที่ประหยัดได้ไปทำงานอื่น ➡️ 19% ใช้เวลาไปเดินเล่น และ 16% ไปทานข้าว ➡️ 82% มั่นใจในผลลัพธ์ของ AI แม้ 68% พบข้อผิดพลาดเป็นประจำ ✅ ความเสี่ยงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ช่องว่างระหว่างนโยบายกับพฤติกรรมจริงของพนักงาน ➡️ ความเสี่ยงด้านกฎหมายและชื่อเสียงจากการใช้ AI โดยไม่มี oversight ➡️ ความจำเป็นในการวางกลยุทธ์ด้าน AI และการสื่อสารภายในองค์กร https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/06/only-one-in-five-workers-say-their-ai-use-is-checked-at-work-that-needs-to-change
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Only one in five workers say their AI use is checked at work. That needs to change
    In the push to adopt the new technology to boost productivity, companies may open themselves to serious problems if they don't set rules for AI at work.
    0 Comments 0 Shares 63 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Egg Minder ถึงกล้องที่ไม่มี 2FA: เมื่อเทคโนโลยีในบ้านกลายเป็นดาบสองคม

    ในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ การเพิ่มสมาร์ทดีไวซ์เข้าไปในบ้านดูเหมือนจะเป็นทางลัดสู่ความสะดวกสบาย แต่บทความจาก SlashGear ได้เตือนว่า มีอุปกรณ์บางประเภทที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะมันอาจสร้างปัญหามากกว่าประโยชน์

    ตัวอย่างแรกคืออุปกรณ์ที่ต้องสมัครสมาชิกเพื่อใช้งาน เช่นชุด SmartHome ของ Telus ที่รวมกล้อง, ไฟ, และเทอร์โมสแตตไว้ในแพ็กเกจรายเดือน แม้จะดูคุ้มในตอนแรก แต่ฟีเจอร์หลักหลายอย่างถูกล็อกไว้หลัง paywall และหากเลิกจ่าย อุปกรณ์อาจกลายเป็นของไร้ประโยชน์ทันที

    อีกกลุ่มคืออุปกรณ์ที่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา เช่นกล้องจาก Wyze หรือ Google Nest ที่สูญเสียฟีเจอร์สำคัญเมื่อเน็ตหลุด ซึ่งอาจทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยในบ้านไร้ประโยชน์ในช่วงเวลาสำคัญ

    ที่น่าขำแต่จริงคือ Egg Minder—ถาดใส่ไข่ที่เชื่อมต่อแอปเพื่อบอกว่าไข่ไหนเก่า แต่กลับมีปัญหาเรื่องการซิงก์ข้อมูล, การแสดงวันหมดอายุผิด และต้องให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลเอง ทำให้มันกลายเป็นภาระมากกว่าผู้ช่วย

    ด้านความปลอดภัย กล้องหรืออุปกรณ์ล็อกที่ไม่มีระบบ two-factor authentication (2FA) ก็เป็นอีกจุดอ่อนสำคัญ เช่นกล้อง Echo ที่ไม่บังคับใช้ 2FA ทำให้ผู้ไม่หวังดีอาจเข้าถึงระบบได้ง่ายขึ้น

    สุดท้ายคือสถานีตรวจอากาศ AcuRite ที่แม้จะมีแผงโซลาร์ แต่ใช้แค่กับพัดลมภายใน ขณะที่หน้าจอยังต้องใช้แบตเตอรี่ และหากต้องการดูข้อมูลผ่านมือถือ ต้องเสียบสาย USB กับคอมพิวเตอร์ก่อน ซึ่งไม่สะดวกเลยเมื่อเทียบกับรุ่นที่เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi ได้โดยตรง

    สมาร์ทดีไวซ์ที่ควรหลีกเลี่ยง
    อุปกรณ์ที่ต้องสมัครสมาชิก เช่น Telus SmartHome bundle
    อุปกรณ์ที่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา เช่น Wyze, Google Nest
    Egg Minder ที่ต้องกรอกข้อมูลเองและซิงก์ผิดพลาดบ่อย
    กล้องหรืออุปกรณ์ล็อกที่ไม่มี 2FA เช่น Echo Camera
    สถานีอากาศ AcuRite ที่ไม่สามารถดูข้อมูลผ่านมือถือโดยตรง

    ปัญหาที่พบจากการใช้งานจริง
    ฟีเจอร์หลักถูกล็อกหลังระบบสมาชิก
    อุปกรณ์หยุดทำงานเมื่อเน็ตหลุด
    แอปซิงก์ข้อมูลผิดพลาดและต้องกรอกเอง
    ไม่มีระบบยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน
    ต้องเสียบสาย USB เพื่อดูข้อมูลจากสถานีอากาศ

    ทางเลือกที่ควรพิจารณา
    เลือกอุปกรณ์ที่ไม่มีระบบสมาชิก
    ใช้อุปกรณ์ที่ทำงานได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต
    เลือกกล้องหรืออุปกรณ์ล็อกที่มี 2FA
    ใช้สถานีอากาศที่เชื่อมต่อกับมือถือผ่าน Wi-Fi

    https://www.slashgear.com/1956282/smart-devices-to-avoid-at-home/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Egg Minder ถึงกล้องที่ไม่มี 2FA: เมื่อเทคโนโลยีในบ้านกลายเป็นดาบสองคม ในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ การเพิ่มสมาร์ทดีไวซ์เข้าไปในบ้านดูเหมือนจะเป็นทางลัดสู่ความสะดวกสบาย แต่บทความจาก SlashGear ได้เตือนว่า มีอุปกรณ์บางประเภทที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะมันอาจสร้างปัญหามากกว่าประโยชน์ ตัวอย่างแรกคืออุปกรณ์ที่ต้องสมัครสมาชิกเพื่อใช้งาน เช่นชุด SmartHome ของ Telus ที่รวมกล้อง, ไฟ, และเทอร์โมสแตตไว้ในแพ็กเกจรายเดือน แม้จะดูคุ้มในตอนแรก แต่ฟีเจอร์หลักหลายอย่างถูกล็อกไว้หลัง paywall และหากเลิกจ่าย อุปกรณ์อาจกลายเป็นของไร้ประโยชน์ทันที อีกกลุ่มคืออุปกรณ์ที่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา เช่นกล้องจาก Wyze หรือ Google Nest ที่สูญเสียฟีเจอร์สำคัญเมื่อเน็ตหลุด ซึ่งอาจทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยในบ้านไร้ประโยชน์ในช่วงเวลาสำคัญ ที่น่าขำแต่จริงคือ Egg Minder—ถาดใส่ไข่ที่เชื่อมต่อแอปเพื่อบอกว่าไข่ไหนเก่า แต่กลับมีปัญหาเรื่องการซิงก์ข้อมูล, การแสดงวันหมดอายุผิด และต้องให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลเอง ทำให้มันกลายเป็นภาระมากกว่าผู้ช่วย ด้านความปลอดภัย กล้องหรืออุปกรณ์ล็อกที่ไม่มีระบบ two-factor authentication (2FA) ก็เป็นอีกจุดอ่อนสำคัญ เช่นกล้อง Echo ที่ไม่บังคับใช้ 2FA ทำให้ผู้ไม่หวังดีอาจเข้าถึงระบบได้ง่ายขึ้น สุดท้ายคือสถานีตรวจอากาศ AcuRite ที่แม้จะมีแผงโซลาร์ แต่ใช้แค่กับพัดลมภายใน ขณะที่หน้าจอยังต้องใช้แบตเตอรี่ และหากต้องการดูข้อมูลผ่านมือถือ ต้องเสียบสาย USB กับคอมพิวเตอร์ก่อน ซึ่งไม่สะดวกเลยเมื่อเทียบกับรุ่นที่เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi ได้โดยตรง ✅ สมาร์ทดีไวซ์ที่ควรหลีกเลี่ยง ➡️ อุปกรณ์ที่ต้องสมัครสมาชิก เช่น Telus SmartHome bundle ➡️ อุปกรณ์ที่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา เช่น Wyze, Google Nest ➡️ Egg Minder ที่ต้องกรอกข้อมูลเองและซิงก์ผิดพลาดบ่อย ➡️ กล้องหรืออุปกรณ์ล็อกที่ไม่มี 2FA เช่น Echo Camera ➡️ สถานีอากาศ AcuRite ที่ไม่สามารถดูข้อมูลผ่านมือถือโดยตรง ✅ ปัญหาที่พบจากการใช้งานจริง ➡️ ฟีเจอร์หลักถูกล็อกหลังระบบสมาชิก ➡️ อุปกรณ์หยุดทำงานเมื่อเน็ตหลุด ➡️ แอปซิงก์ข้อมูลผิดพลาดและต้องกรอกเอง ➡️ ไม่มีระบบยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน ➡️ ต้องเสียบสาย USB เพื่อดูข้อมูลจากสถานีอากาศ ✅ ทางเลือกที่ควรพิจารณา ➡️ เลือกอุปกรณ์ที่ไม่มีระบบสมาชิก ➡️ ใช้อุปกรณ์ที่ทำงานได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต ➡️ เลือกกล้องหรืออุปกรณ์ล็อกที่มี 2FA ➡️ ใช้สถานีอากาศที่เชื่อมต่อกับมือถือผ่าน Wi-Fi https://www.slashgear.com/1956282/smart-devices-to-avoid-at-home/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Smart Devices You Should Avoid Having In Your Home - SlashGear
    Some smart devices create more hassle than help, from subscription-locked gadgets to weak security features and impractical trackers.
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากหลอด LED ถึงแผงโซลาร์บนหลังคา: เมื่อความคิดเล่น ๆ กลายเป็นบทเรียนเรื่องพลังงานและประสิทธิภาพ

    หลายคนสงสัยว่า “ถ้าแสงแดดทำให้แผงโซลาร์ผลิตไฟฟ้าได้ แล้วแสงจากหลอดไฟจะทำได้ไหม?” คำตอบคือ “ได้” แต่ต้องตามด้วยคำว่า “ไม่คุ้ม” เพราะแม้แผงโซลาร์จะตอบสนองต่อแสงประดิษฐ์ได้ แต่ประสิทธิภาพต่ำมากเมื่อเทียบกับแสงธรรมชาติ

    แสงแดดมีช่วงคลื่นกว้างตั้งแต่รังสี UV ไปจนถึงอินฟราเรด (400–1200 นาโนเมตร) ซึ่งครอบคลุมพลังงานที่แผงโซลาร์สามารถดูดซับได้ดี ขณะที่แสงจากหลอดไฟ เช่น LED หรือฟลูออเรสเซนต์ มีช่วงคลื่นแคบกว่า (300–800 นาโนเมตร) และความเข้มต่ำกว่า ทำให้แผงโซลาร์ผลิตไฟฟ้าได้น้อยลงอย่างมาก

    แม้หลอด LED จะสามารถกระตุ้นแผงโซลาร์ได้ในระดับหนึ่ง แต่ต้องวางใกล้มาก และใช้พลังงานจากไฟบ้านเพื่อให้หลอดทำงาน ซึ่งกลายเป็นการใช้พลังงานมากกว่าที่ผลิตได้จากแผง—เรียกได้ว่า “ขาดทุนพลังงาน”

    ในทางปฏิบัติ แผงโซลาร์จะหยุดทำงานเมื่อพระอาทิตย์ตก แต่ระบบโซลาร์สมัยใหม่มีแบตเตอรี่เก็บพลังงานไว้ใช้ตอนกลางคืน และยังมีระบบ “net metering” ที่ให้ผู้ใช้ขายไฟฟ้าส่วนเกินกลับไปยังระบบไฟฟ้าในตอนกลางวัน เพื่อชดเชยการใช้ไฟตอนกลางคืน

    การติดตั้งแผงโซลาร์ยังได้รับเครดิตภาษีในสหรัฐฯ จนถึงสิ้นปี 2025 ซึ่งช่วยลดต้นทุนจากประมาณ $30,000 ลงได้มาก และหลังจากคืนทุนแล้ว ผู้ใช้จะได้พลังงานราคาถูกหรือฟรีในระยะยาว

    หลักการทำงานของแผงโซลาร์
    แสงแดดกระตุ้นให้เกิดกระแสไฟฟ้าแบบ DC
    อินเวอร์เตอร์แปลงเป็นไฟฟ้าแบบ AC เพื่อใช้ในบ้าน
    พลังงานส่วนเกินสามารถเก็บในแบตเตอรี่หรือส่งกลับเข้าระบบไฟฟ้า

    การใช้แสงประดิษฐ์กับแผงโซลาร์
    แสงจากหลอดไฟสามารถกระตุ้นแผงโซลาร์ได้
    ช่วงคลื่นของแสงประดิษฐ์แคบกว่าธรรมชาติ ทำให้ประสิทธิภาพต่ำ
    ต้องวางหลอดไฟใกล้แผงมาก ซึ่งไม่เหมาะกับการติดตั้งจริง

    ทางเลือกหลังพระอาทิตย์ตก
    ใช้แบตเตอรี่เก็บพลังงานที่ผลิตได้ตอนกลางวัน
    ใช้ระบบ net metering เพื่อขายไฟฟ้าส่วนเกินกลับไปยังระบบ
    ช่วยลดค่าไฟตอนกลางคืน แม้จะไม่สามารถพึ่งพาได้ 100%

    สิทธิประโยชน์ด้านภาษี
    เครดิตภาษีสำหรับการติดตั้งแผงโซลาร์ในสหรัฐฯ หมดอายุปลายปี 2025
    ลดต้นทุนจากประมาณ $30,000 ได้อย่างมีนัยสำคัญ
    หลังคืนทุนแล้ว ได้พลังงานราคาถูกหรือฟรีในระยะยาว

    https://www.slashgear.com/1958212/can-light-bulb-power-solar-panel/
    🎙️ เรื่องเล่าจากหลอด LED ถึงแผงโซลาร์บนหลังคา: เมื่อความคิดเล่น ๆ กลายเป็นบทเรียนเรื่องพลังงานและประสิทธิภาพ หลายคนสงสัยว่า “ถ้าแสงแดดทำให้แผงโซลาร์ผลิตไฟฟ้าได้ แล้วแสงจากหลอดไฟจะทำได้ไหม?” คำตอบคือ “ได้” แต่ต้องตามด้วยคำว่า “ไม่คุ้ม” เพราะแม้แผงโซลาร์จะตอบสนองต่อแสงประดิษฐ์ได้ แต่ประสิทธิภาพต่ำมากเมื่อเทียบกับแสงธรรมชาติ แสงแดดมีช่วงคลื่นกว้างตั้งแต่รังสี UV ไปจนถึงอินฟราเรด (400–1200 นาโนเมตร) ซึ่งครอบคลุมพลังงานที่แผงโซลาร์สามารถดูดซับได้ดี ขณะที่แสงจากหลอดไฟ เช่น LED หรือฟลูออเรสเซนต์ มีช่วงคลื่นแคบกว่า (300–800 นาโนเมตร) และความเข้มต่ำกว่า ทำให้แผงโซลาร์ผลิตไฟฟ้าได้น้อยลงอย่างมาก แม้หลอด LED จะสามารถกระตุ้นแผงโซลาร์ได้ในระดับหนึ่ง แต่ต้องวางใกล้มาก และใช้พลังงานจากไฟบ้านเพื่อให้หลอดทำงาน ซึ่งกลายเป็นการใช้พลังงานมากกว่าที่ผลิตได้จากแผง—เรียกได้ว่า “ขาดทุนพลังงาน” ในทางปฏิบัติ แผงโซลาร์จะหยุดทำงานเมื่อพระอาทิตย์ตก แต่ระบบโซลาร์สมัยใหม่มีแบตเตอรี่เก็บพลังงานไว้ใช้ตอนกลางคืน และยังมีระบบ “net metering” ที่ให้ผู้ใช้ขายไฟฟ้าส่วนเกินกลับไปยังระบบไฟฟ้าในตอนกลางวัน เพื่อชดเชยการใช้ไฟตอนกลางคืน การติดตั้งแผงโซลาร์ยังได้รับเครดิตภาษีในสหรัฐฯ จนถึงสิ้นปี 2025 ซึ่งช่วยลดต้นทุนจากประมาณ $30,000 ลงได้มาก และหลังจากคืนทุนแล้ว ผู้ใช้จะได้พลังงานราคาถูกหรือฟรีในระยะยาว ✅ หลักการทำงานของแผงโซลาร์ ➡️ แสงแดดกระตุ้นให้เกิดกระแสไฟฟ้าแบบ DC ➡️ อินเวอร์เตอร์แปลงเป็นไฟฟ้าแบบ AC เพื่อใช้ในบ้าน ➡️ พลังงานส่วนเกินสามารถเก็บในแบตเตอรี่หรือส่งกลับเข้าระบบไฟฟ้า ✅ การใช้แสงประดิษฐ์กับแผงโซลาร์ ➡️ แสงจากหลอดไฟสามารถกระตุ้นแผงโซลาร์ได้ ➡️ ช่วงคลื่นของแสงประดิษฐ์แคบกว่าธรรมชาติ ทำให้ประสิทธิภาพต่ำ ➡️ ต้องวางหลอดไฟใกล้แผงมาก ซึ่งไม่เหมาะกับการติดตั้งจริง ✅ ทางเลือกหลังพระอาทิตย์ตก ➡️ ใช้แบตเตอรี่เก็บพลังงานที่ผลิตได้ตอนกลางวัน ➡️ ใช้ระบบ net metering เพื่อขายไฟฟ้าส่วนเกินกลับไปยังระบบ ➡️ ช่วยลดค่าไฟตอนกลางคืน แม้จะไม่สามารถพึ่งพาได้ 100% ✅ สิทธิประโยชน์ด้านภาษี ➡️ เครดิตภาษีสำหรับการติดตั้งแผงโซลาร์ในสหรัฐฯ หมดอายุปลายปี 2025 ➡️ ลดต้นทุนจากประมาณ $30,000 ได้อย่างมีนัยสำคัญ ➡️ หลังคืนทุนแล้ว ได้พลังงานราคาถูกหรือฟรีในระยะยาว https://www.slashgear.com/1958212/can-light-bulb-power-solar-panel/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Can A Light Bulb Power A Solar Panel? - SlashGear
    One of the biggest concerns with solar power is how it works when the sun is down or obscured. So in the event the sun isn't out, can you just use a light bulb?
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • การต่อสู้ที่น่ารักมาก,สถานศึกษาเรามีปัญหาด้านการส่งต่อองค์รอบรู้แก่รุ่นลูกรุ่นหลานเรามาก,ตลอดทั้งฝรั่งแทรกแซงการศึกษาเราก็ด้วยหรือต่างชาติที่ไม่หวังดีต่างๆนั้นล่ะ,แทรกแซงสถานการเรียนการสอนของเราให้เยาวชนไทยเราด้อยคุณค่าการเล่าเรียน,ต้นทุนการเล่าเรียนปั่นให้สูงขึ้น,ราคาต้องจ่ายมากขึันต่อความอยากเล่าเรียน,สร้างโปรแกรมผีบ้ามากมายหลอกค่าเรียนค่าเทอมผู้ปกครอง,อยากเรียนต้องเป็นหนี้แบบกยศ. แต่ให้เรียนฟรีแก่เด็กเขมร เด็กพม่า เด็กอิสลาม เด็กยิวหรือเด็กต่างชาติสาระพัดวิธี,ซึ่งภาระที่แท้จริงคือรัฐบาลต้องส่งเสริมเยาวชนไทยตนเองเรียนรู้สาระพัดวิชาให้ทันโลกทันชาติอื่นเพื่อกลับมาเป็นพลังสำคัญขับเคลื่อนประเทศไทยตนปกป้องร่วมสร้างชาติไทยตนให้เข้มแข็งมั่นคงต่ออริชาติชั่วเลวต่างๆที่หมายมาไม่ดีต่อชาติไทยเรา,เช่นเขมร อเมริกา ฝรั่งเศสซึ่งพวกมันพยายามอย่างมากมิให้คนไทยเล่าเรียนประวัติศาสตร์ตนเองแบบฝรั่งเศสมาปล้นชิงดินแดนไทยกี่ครั้งที่ไหนอย่างไรบ้าง,อเมริกาปล้นประเทศปล้นบ่อน้ำมันไทยทั้งประเทศแบบใดจนคนทัังชาติต้องยากจนมั่นคงดักดานขนาดนี้,วิชาตังวิชาเศรษฐกิจทำตัง วิชารู้เล่ห์เหลี่ยมทางอาชีพทำตังต่างๆจะกิจการ บริษัทแบบใดๆต่างๆสร้างอาชีพจริงๆสถานศึกษาแบบระดับมัธยมต้องเริ่มสอนนักเรียนเยาวชนเราจริงจังแล้ว,หรือวิชาทำเงินทำทองจริงๆในสังคมประเทศตนเมื่อจบการศึกษาไปต้องเจอทุกๆคนแน่นอน เยาวชนต้องมีภูมิรู้ภูมิเข้าใจพื้นฐานเบื้องต้นทั้งระดับภายในประเทศและระดับตลาดค้าขายเศรษฐกิจระดับต่างประเทศ,
    ..โครงสร้างการศึกษาเราต้องเปลี่ยนทั้งหมดจริงๆสู่ยุคสมัยใหม่AIที่มาแน่นอน,แต่เรา..ประเทศไทยยังแบ่งชนชั้นกันอยู่ด้านการศึกษาชัดเจน,มาตราฐานเดียวกันต้องมีจริงๆ,รัฐต้องเข้ามากำกับดูแลทั่วประเทศ โปรแกรมค่าเทอมเป็น10,000เป็น100,000ต้องยกเลิกทั่วประเทศทันที สร้างภาระผู้ปกครองตลอดม.ต้น ม.ปลาย.หรือประถมกันเลย,นักเรียนไม่มีตังเป็นหมื่นๆก็เข้าเรียนห้องพิเศษนั้นไม่ได้,ม.ต้นก็จ่ายค่าเทอม ม.ปลายก็จ่ายค่าเทอม,ม.มหาลัย วิลัย ก็จ่ายค่าเทอม,โครงสร้างการศึกษาเราไม่เคยเปลี่ยนแปลงจริงๆไม่นอมลงทุนด้านการศึกษาจริงต่อเยาวชนไทย นัยยะแฝงมุ่งให้เยาวชนตนเป็นทาสแรงงานกิจการเอกชนบริษัทหรือรัฐฐะ,องค์ความรู้จึงพยายามไม่ผลักดันเต็มที่ใครอยากเรียนสูงต้องเป็นนี้ คือนัยยะการสร้างกำแพงดีๆนี้เอง,แบบกีดกันทางภาษีนั้นล่ะ,ชัดเจนหน่อยก็กีดกันตำแหน่งการงานแบบกำแพงสอบ กพ.นั้นล่ะ,เสมือนกลุ่มโซนชนชั้นใครมัน เด็กจบมอใครมันแบบเดียวกัน,รุ่นมรึงรุ่นกูแบบเดียวกัน,สีกูสีมรึงแบบเดียวกัน,จึงอันตรายมาก.
    ..โครงสร้างการศึกษาเปลี่ยนแปลงสู่ยุคAIไม่พอ,เด็กๆเยาวชนเราต้องมีสัมมาอาชีพมั่นคงดูแลตัวเองและครอบครัวได้ด้วย มีรายได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ยืนด้วยขาตนเองได้จริงในทุกๆเยาวชนไทยที่จบการเล่าเรียนออกไป มิใช่ทิ้งขวางเขาเธอเหล่านั้นในสังคมที่ดิ้นรนหาแดกใช้จ่ายจริงด้วยตังจากรายรับที่เข้ามาจริง จ่ายออกไปจริงในแต่ละวัน สถานศึกษาพยายามบิดงอบิดเบือนหักเหค่าจริงตรงจุดๆนี้ทั่วไทย,เพื่อสะท้อนว่าเด็กๆมิอาจมีภาระสำนึกคิดด้านนี้เมื่อเล่าเรียน ให้มุ่งแสวงหาความรู้ ,แต่ค่าจริงมิเป็นเช่นนั้น ค่าจริงคือมหาลัยผลิตคนตกงานเป็นจำนวนมากนั้นเอง,มหาลัย โรงเรียนตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม ต่างมีห้องพิเศษเป็นว่าเล่น หรือนัยยะแบบมหาลัยคือมุ่งทำตังทำรายได้แล้วนั้นเอง นักศึกษาคือลูกค้าของมหาลัยวิลัยของโรงเรียน,ได้ทั้งจากรัฐช่วยเหลือค่าหัวเด็กๆและเก็บสาระพัดมุกเอาแต่มีเรี่ยไรสไตล์ใดโปรแกรมพิเศษไหนเกิดขึ้นเพื่อแสวงหารายรับรายได้เข้าสถาบัน ส่วนมรึงๆจบไปแล้วจะได้งานจะตกงานเป็นเรื่องของมรึงก็ว่า,เอกชนไทยนำเข้าเครื่องจักรเอย แรงงานต่างด้าวเอยจำนวนมากเข้ามาตลอดถึงปัจจุบัน,ด้อยค่าคนเยาวชนในชาติตนแต่เสือกมาตั้งโรงงาน เปิดบริษัท ย้ายฐานผลิตมาสร้างบนแผ่นดินไทยแต่รับต่างด้าวเข้าทำงานแทนคนไทยเป็นอันมาก สารพัดข้ออ้างกดคนไทยตน อ้างด้อยค่าคุณภาพคนไทยตน,บางกิจการนำเข้าคนของตนแบบจีนมาทำงานที่โรงงานไทยของทุนจีนกันเต็มโรงงานเลย, สถานศึกษาต้องประมาณการกำลังคนแรงงานกับกรมแรงงานให้ได้ ออกหลักสูตรอาชีพที่สามารถใกล้เคียงการเติบโตของเนื้องาน,บริหารคนงาน เด็กจบใหม่คนไทยตนก่อนเอาต่างด้าวมาทำ กระตุ้นองค์รู้ทั่วไทยทำไมเราต้องส่งเสริมเยาวชนไทยเราก่อนกับกิจการในบนแผ่นดินไทย,ทั้งของคนไทยเราเองและต่างชาติมาลงทุน,กำลังคนกรมแรงงานต้องประสานชัดเจนออนไลน์ได้,รวมๆต้องพลิกบทบาทบริหารจัดการครั้งใหญ่จริงๆจะมาเหี้ยแบบเดิมๆไม่ได้อีกแล้ว,แล้วเราคนไทยจะรอดจากสงครามตังสงครามจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันเรื่องปากท้องได้,ไม่ดักดานยากจนอีกแน่นอน,โครงสร้างการปกครองจึงต้องร่วมเปลี่ยนแปลงด้วย,ผู้นำต้องไม่กากๆนั้นเอง.หรือยิ่งเป็นผู้เหนือมนุษย์มากบารมียิ่งดี ยอมให้ขึ้นปกครองประเทศไทยร้อยปีพันปีก็ได้,หยั่งรู้อีกยิ่งเยี่ยม อ่านจิตอ่านใจคนออกยิ่งโหด,มรึงหนาวแน่ ใครคตใครโกงภายในสำนักนายกฯท่านๆเรียกไปคุยด้วยมีหนาว อาจประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตก็ได้ ยึดทรัพย์กันอนาถ,เชื่อมจิตได้ด้วย มรึงคุยกับใครทำชั่วที่ไหนดิวอะไรไว้,เชื่อมโยงถึงตัวพ่อหมด,คำสั่งลงไป สั่งเด็ดหัวทั้งหมด,ประเทศไทยคือผู้นำจิตวิญญาณแน่นอนไม่ต้องสงสัย,มิใช่สื่อบางช่องผีบ้ากากๆผู้นำจิตวิญญาณโทนี่ไปดูไบพะนะหรือแบบเสื้อแดงพะนะ ทางความคิดแบบส้มชูสามนิ้วก็โน้น,นี้ใช้นิยมผู้นำแห่งจิตวิญญาณที่ผิด,ที่ถูกคือสไตล์ทางโลกแบบนั้น สร้างมิตรไมตรีจึงไม่ใช่เรื่องยาก ตลอดผู้นำทางสงครามก็ไม่ยาก แว๊บเดียวหายตัวยืนอยู่หน้าศัตรูเด็ดหัวเลยก็ได้,ศัตรูไม่เกรงกลัวย่อมไม่ได้,ตานแน่นอนนั้นเองหากยังไม่พยายามเป็นคนดี,เพราะผู้นำทางจิตวิญญาณถอดจิตท่องจักรวาลทั่วทุกๆดวงดาวได้จริง,เชื่อมมิติที่สูงกว่าได้ แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีล้ำๆจึงมิใช่เรื่องยากอะไร,เรา..ประเทศไทยคนเหนือมนุษย์มีมากไม่น้อย,แต่ไม่ออกมา,จริงๆถึงเวลาอันสมควรแล้วจะที่ไทยหรือทั่วโลก ยอดมนุษย์เหล่านี้ควรแก่เวลาต้องเปิดเผยตัวตนจริงๆได้แล้วเพื่ออัพเลเวลโลกนี้ขึ้นอีกระดับจริงๆร่วมกันทั่วโลก,อย่าทำตัวผีบ้าหลบซ่อนตัวตนอีกเลย.



    https://youtube.com/shorts/mw78-XhjAQw?si=C9z2vO_AOjZJECMx
    การต่อสู้ที่น่ารักมาก,สถานศึกษาเรามีปัญหาด้านการส่งต่อองค์รอบรู้แก่รุ่นลูกรุ่นหลานเรามาก,ตลอดทั้งฝรั่งแทรกแซงการศึกษาเราก็ด้วยหรือต่างชาติที่ไม่หวังดีต่างๆนั้นล่ะ,แทรกแซงสถานการเรียนการสอนของเราให้เยาวชนไทยเราด้อยคุณค่าการเล่าเรียน,ต้นทุนการเล่าเรียนปั่นให้สูงขึ้น,ราคาต้องจ่ายมากขึันต่อความอยากเล่าเรียน,สร้างโปรแกรมผีบ้ามากมายหลอกค่าเรียนค่าเทอมผู้ปกครอง,อยากเรียนต้องเป็นหนี้แบบกยศ. แต่ให้เรียนฟรีแก่เด็กเขมร เด็กพม่า เด็กอิสลาม เด็กยิวหรือเด็กต่างชาติสาระพัดวิธี,ซึ่งภาระที่แท้จริงคือรัฐบาลต้องส่งเสริมเยาวชนไทยตนเองเรียนรู้สาระพัดวิชาให้ทันโลกทันชาติอื่นเพื่อกลับมาเป็นพลังสำคัญขับเคลื่อนประเทศไทยตนปกป้องร่วมสร้างชาติไทยตนให้เข้มแข็งมั่นคงต่ออริชาติชั่วเลวต่างๆที่หมายมาไม่ดีต่อชาติไทยเรา,เช่นเขมร อเมริกา ฝรั่งเศสซึ่งพวกมันพยายามอย่างมากมิให้คนไทยเล่าเรียนประวัติศาสตร์ตนเองแบบฝรั่งเศสมาปล้นชิงดินแดนไทยกี่ครั้งที่ไหนอย่างไรบ้าง,อเมริกาปล้นประเทศปล้นบ่อน้ำมันไทยทั้งประเทศแบบใดจนคนทัังชาติต้องยากจนมั่นคงดักดานขนาดนี้,วิชาตังวิชาเศรษฐกิจทำตัง วิชารู้เล่ห์เหลี่ยมทางอาชีพทำตังต่างๆจะกิจการ บริษัทแบบใดๆต่างๆสร้างอาชีพจริงๆสถานศึกษาแบบระดับมัธยมต้องเริ่มสอนนักเรียนเยาวชนเราจริงจังแล้ว,หรือวิชาทำเงินทำทองจริงๆในสังคมประเทศตนเมื่อจบการศึกษาไปต้องเจอทุกๆคนแน่นอน เยาวชนต้องมีภูมิรู้ภูมิเข้าใจพื้นฐานเบื้องต้นทั้งระดับภายในประเทศและระดับตลาดค้าขายเศรษฐกิจระดับต่างประเทศ, ..โครงสร้างการศึกษาเราต้องเปลี่ยนทั้งหมดจริงๆสู่ยุคสมัยใหม่AIที่มาแน่นอน,แต่เรา..ประเทศไทยยังแบ่งชนชั้นกันอยู่ด้านการศึกษาชัดเจน,มาตราฐานเดียวกันต้องมีจริงๆ,รัฐต้องเข้ามากำกับดูแลทั่วประเทศ โปรแกรมค่าเทอมเป็น10,000เป็น100,000ต้องยกเลิกทั่วประเทศทันที สร้างภาระผู้ปกครองตลอดม.ต้น ม.ปลาย.หรือประถมกันเลย,นักเรียนไม่มีตังเป็นหมื่นๆก็เข้าเรียนห้องพิเศษนั้นไม่ได้,ม.ต้นก็จ่ายค่าเทอม ม.ปลายก็จ่ายค่าเทอม,ม.มหาลัย วิลัย ก็จ่ายค่าเทอม,โครงสร้างการศึกษาเราไม่เคยเปลี่ยนแปลงจริงๆไม่นอมลงทุนด้านการศึกษาจริงต่อเยาวชนไทย นัยยะแฝงมุ่งให้เยาวชนตนเป็นทาสแรงงานกิจการเอกชนบริษัทหรือรัฐฐะ,องค์ความรู้จึงพยายามไม่ผลักดันเต็มที่ใครอยากเรียนสูงต้องเป็นนี้ คือนัยยะการสร้างกำแพงดีๆนี้เอง,แบบกีดกันทางภาษีนั้นล่ะ,ชัดเจนหน่อยก็กีดกันตำแหน่งการงานแบบกำแพงสอบ กพ.นั้นล่ะ,เสมือนกลุ่มโซนชนชั้นใครมัน เด็กจบมอใครมันแบบเดียวกัน,รุ่นมรึงรุ่นกูแบบเดียวกัน,สีกูสีมรึงแบบเดียวกัน,จึงอันตรายมาก. ..โครงสร้างการศึกษาเปลี่ยนแปลงสู่ยุคAIไม่พอ,เด็กๆเยาวชนเราต้องมีสัมมาอาชีพมั่นคงดูแลตัวเองและครอบครัวได้ด้วย มีรายได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ยืนด้วยขาตนเองได้จริงในทุกๆเยาวชนไทยที่จบการเล่าเรียนออกไป มิใช่ทิ้งขวางเขาเธอเหล่านั้นในสังคมที่ดิ้นรนหาแดกใช้จ่ายจริงด้วยตังจากรายรับที่เข้ามาจริง จ่ายออกไปจริงในแต่ละวัน สถานศึกษาพยายามบิดงอบิดเบือนหักเหค่าจริงตรงจุดๆนี้ทั่วไทย,เพื่อสะท้อนว่าเด็กๆมิอาจมีภาระสำนึกคิดด้านนี้เมื่อเล่าเรียน ให้มุ่งแสวงหาความรู้ ,แต่ค่าจริงมิเป็นเช่นนั้น ค่าจริงคือมหาลัยผลิตคนตกงานเป็นจำนวนมากนั้นเอง,มหาลัย โรงเรียนตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม ต่างมีห้องพิเศษเป็นว่าเล่น หรือนัยยะแบบมหาลัยคือมุ่งทำตังทำรายได้แล้วนั้นเอง นักศึกษาคือลูกค้าของมหาลัยวิลัยของโรงเรียน,ได้ทั้งจากรัฐช่วยเหลือค่าหัวเด็กๆและเก็บสาระพัดมุกเอาแต่มีเรี่ยไรสไตล์ใดโปรแกรมพิเศษไหนเกิดขึ้นเพื่อแสวงหารายรับรายได้เข้าสถาบัน ส่วนมรึงๆจบไปแล้วจะได้งานจะตกงานเป็นเรื่องของมรึงก็ว่า,เอกชนไทยนำเข้าเครื่องจักรเอย แรงงานต่างด้าวเอยจำนวนมากเข้ามาตลอดถึงปัจจุบัน,ด้อยค่าคนเยาวชนในชาติตนแต่เสือกมาตั้งโรงงาน เปิดบริษัท ย้ายฐานผลิตมาสร้างบนแผ่นดินไทยแต่รับต่างด้าวเข้าทำงานแทนคนไทยเป็นอันมาก สารพัดข้ออ้างกดคนไทยตน อ้างด้อยค่าคุณภาพคนไทยตน,บางกิจการนำเข้าคนของตนแบบจีนมาทำงานที่โรงงานไทยของทุนจีนกันเต็มโรงงานเลย, สถานศึกษาต้องประมาณการกำลังคนแรงงานกับกรมแรงงานให้ได้ ออกหลักสูตรอาชีพที่สามารถใกล้เคียงการเติบโตของเนื้องาน,บริหารคนงาน เด็กจบใหม่คนไทยตนก่อนเอาต่างด้าวมาทำ กระตุ้นองค์รู้ทั่วไทยทำไมเราต้องส่งเสริมเยาวชนไทยเราก่อนกับกิจการในบนแผ่นดินไทย,ทั้งของคนไทยเราเองและต่างชาติมาลงทุน,กำลังคนกรมแรงงานต้องประสานชัดเจนออนไลน์ได้,รวมๆต้องพลิกบทบาทบริหารจัดการครั้งใหญ่จริงๆจะมาเหี้ยแบบเดิมๆไม่ได้อีกแล้ว,แล้วเราคนไทยจะรอดจากสงครามตังสงครามจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันเรื่องปากท้องได้,ไม่ดักดานยากจนอีกแน่นอน,โครงสร้างการปกครองจึงต้องร่วมเปลี่ยนแปลงด้วย,ผู้นำต้องไม่กากๆนั้นเอง.หรือยิ่งเป็นผู้เหนือมนุษย์มากบารมียิ่งดี ยอมให้ขึ้นปกครองประเทศไทยร้อยปีพันปีก็ได้,หยั่งรู้อีกยิ่งเยี่ยม อ่านจิตอ่านใจคนออกยิ่งโหด,มรึงหนาวแน่ ใครคตใครโกงภายในสำนักนายกฯท่านๆเรียกไปคุยด้วยมีหนาว อาจประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตก็ได้ ยึดทรัพย์กันอนาถ,เชื่อมจิตได้ด้วย มรึงคุยกับใครทำชั่วที่ไหนดิวอะไรไว้,เชื่อมโยงถึงตัวพ่อหมด,คำสั่งลงไป สั่งเด็ดหัวทั้งหมด,ประเทศไทยคือผู้นำจิตวิญญาณแน่นอนไม่ต้องสงสัย,มิใช่สื่อบางช่องผีบ้ากากๆผู้นำจิตวิญญาณโทนี่ไปดูไบพะนะหรือแบบเสื้อแดงพะนะ ทางความคิดแบบส้มชูสามนิ้วก็โน้น,นี้ใช้นิยมผู้นำแห่งจิตวิญญาณที่ผิด,ที่ถูกคือสไตล์ทางโลกแบบนั้น สร้างมิตรไมตรีจึงไม่ใช่เรื่องยาก ตลอดผู้นำทางสงครามก็ไม่ยาก แว๊บเดียวหายตัวยืนอยู่หน้าศัตรูเด็ดหัวเลยก็ได้,ศัตรูไม่เกรงกลัวย่อมไม่ได้,ตานแน่นอนนั้นเองหากยังไม่พยายามเป็นคนดี,เพราะผู้นำทางจิตวิญญาณถอดจิตท่องจักรวาลทั่วทุกๆดวงดาวได้จริง,เชื่อมมิติที่สูงกว่าได้ แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีล้ำๆจึงมิใช่เรื่องยากอะไร,เรา..ประเทศไทยคนเหนือมนุษย์มีมากไม่น้อย,แต่ไม่ออกมา,จริงๆถึงเวลาอันสมควรแล้วจะที่ไทยหรือทั่วโลก ยอดมนุษย์เหล่านี้ควรแก่เวลาต้องเปิดเผยตัวตนจริงๆได้แล้วเพื่ออัพเลเวลโลกนี้ขึ้นอีกระดับจริงๆร่วมกันทั่วโลก,อย่าทำตัวผีบ้าหลบซ่อนตัวตนอีกเลย. https://youtube.com/shorts/mw78-XhjAQw?si=C9z2vO_AOjZJECMx
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก James Watt ถึง Porsche Turbo S: เมื่อหน่วยวัดพลังกลกลายเป็นเรื่องที่ต้องแปลก่อนเข้าใจ

    แรงม้า (horsepower) เป็นหน่วยวัดพลังงานที่ James Watt คิดค้นขึ้นในศตวรรษที่ 18 เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเครื่องจักรไอน้ำกับแรงของม้า โดยนิยามว่า 1 แรงม้าเท่ากับ 550 ฟุต-ปอนด์ต่อวินาที ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานในสหรัฐฯ

    แต่ในยุโรปกลับใช้ระบบเมตริก โดยนิยาม “แรงม้าเมตริก” หรือ PS (Pferdestärke ในเยอรมัน) และ CV (Cavalli Vapore ในอิตาลี) ว่าเท่ากับ 735.5 วัตต์ ขณะที่แรงม้าแบบอเมริกันเท่ากับ 745.7 วัตต์ ทำให้แรงม้าเมตริกต่ำกว่าประมาณ 1.4% ดังนั้นรถที่มี 100 PS จะเท่ากับประมาณ 98.6 hp แบบอเมริกัน

    ความต่างนี้สร้างความสับสนให้กับผู้ซื้อรถข้ามประเทศ เช่น Bugatti Veyron ที่เปิดตัวด้วยแรงม้า 1,000 PS แต่ในสหรัฐฯ ต้องระบุว่า 986 hp หรือ McLaren 765LT ที่ชื่อรุ่นอิงจาก 765 PS แต่ในอเมริกามีแรงม้าเพียง 755 hp

    เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้ผลิตรถยนต์เริ่มระบุพลังงานในหน่วยกิโลวัตต์ (kW) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล โดย 1 kW เท่ากับ 1,000 วัตต์ หรือประมาณ 1.341 hp และ 1.36 PS เช่น Porsche 911 Turbo S ที่ระบุว่า 478 kW, 641 hp และ 650 PS—ทั้งหมดคือค่าพลังงานเดียวกันแต่ต่างหน่วย

    ในรถยนต์ไฟฟ้า หน่วย kW กลายเป็นมาตรฐานหลัก เช่นมอเตอร์ 100 kW จะให้แรงม้า 134 hp หรือ 136 PS ซึ่งช่วยให้เปรียบเทียบได้ง่ายขึ้นระหว่างตลาดต่างประเทศ

    อย่างไรก็ตาม แม้แรงม้าจะเป็นตัวเลขที่คนชอบพูดถึง แต่ประสิทธิภาพของรถยังขึ้นอยู่กับแรงบิด (torque), น้ำหนัก, อัตราทดเกียร์ และแอโรไดนามิก ซึ่งมีผลต่อการเร่งและการขับขี่มากกว่าแรงม้าเพียงอย่างเดียว

    ความแตกต่างของหน่วยแรงม้า
    แรงม้าแบบอเมริกัน (hp) = 745.7 วัตต์
    แรงม้าเมตริก (PS/CV) = 735.5 วัตต์
    PS ต่ำกว่า hp ประมาณ 1.4%

    ตัวอย่างรถที่ใช้หน่วยต่างกัน
    Bugatti Veyron: 1,000 PS = 986 hp
    McLaren 765LT: 765 PS = 755 hp
    Porsche 911 Turbo S: 478 kW = 641 hp = 650 PS

    การใช้หน่วยกิโลวัตต์ (kW)
    1 kW = 1.341 hp และ 1.36 PS
    รถไฟฟ้าใช้ kW เป็นมาตรฐาน เช่น 100 kW = 134 hp
    ช่วยให้เปรียบเทียบข้ามประเทศได้ง่ายขึ้น

    ปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพรถ
    แรงบิด (torque) มีผลต่อการเร่งมากกว่าแรงม้า
    น้ำหนักรถและอัตราทดเกียร์มีผลต่อความเร็ว
    แอโรไดนามิกช่วยลดแรงต้านและเพิ่มประสิทธิภาพ

    https://www.slashgear.com/1958204/confusing-difference-between-american-european-horsepower/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก James Watt ถึง Porsche Turbo S: เมื่อหน่วยวัดพลังกลกลายเป็นเรื่องที่ต้องแปลก่อนเข้าใจ แรงม้า (horsepower) เป็นหน่วยวัดพลังงานที่ James Watt คิดค้นขึ้นในศตวรรษที่ 18 เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเครื่องจักรไอน้ำกับแรงของม้า โดยนิยามว่า 1 แรงม้าเท่ากับ 550 ฟุต-ปอนด์ต่อวินาที ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานในสหรัฐฯ แต่ในยุโรปกลับใช้ระบบเมตริก โดยนิยาม “แรงม้าเมตริก” หรือ PS (Pferdestärke ในเยอรมัน) และ CV (Cavalli Vapore ในอิตาลี) ว่าเท่ากับ 735.5 วัตต์ ขณะที่แรงม้าแบบอเมริกันเท่ากับ 745.7 วัตต์ ทำให้แรงม้าเมตริกต่ำกว่าประมาณ 1.4% ดังนั้นรถที่มี 100 PS จะเท่ากับประมาณ 98.6 hp แบบอเมริกัน ความต่างนี้สร้างความสับสนให้กับผู้ซื้อรถข้ามประเทศ เช่น Bugatti Veyron ที่เปิดตัวด้วยแรงม้า 1,000 PS แต่ในสหรัฐฯ ต้องระบุว่า 986 hp หรือ McLaren 765LT ที่ชื่อรุ่นอิงจาก 765 PS แต่ในอเมริกามีแรงม้าเพียง 755 hp เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้ผลิตรถยนต์เริ่มระบุพลังงานในหน่วยกิโลวัตต์ (kW) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล โดย 1 kW เท่ากับ 1,000 วัตต์ หรือประมาณ 1.341 hp และ 1.36 PS เช่น Porsche 911 Turbo S ที่ระบุว่า 478 kW, 641 hp และ 650 PS—ทั้งหมดคือค่าพลังงานเดียวกันแต่ต่างหน่วย ในรถยนต์ไฟฟ้า หน่วย kW กลายเป็นมาตรฐานหลัก เช่นมอเตอร์ 100 kW จะให้แรงม้า 134 hp หรือ 136 PS ซึ่งช่วยให้เปรียบเทียบได้ง่ายขึ้นระหว่างตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้แรงม้าจะเป็นตัวเลขที่คนชอบพูดถึง แต่ประสิทธิภาพของรถยังขึ้นอยู่กับแรงบิด (torque), น้ำหนัก, อัตราทดเกียร์ และแอโรไดนามิก ซึ่งมีผลต่อการเร่งและการขับขี่มากกว่าแรงม้าเพียงอย่างเดียว ✅ ความแตกต่างของหน่วยแรงม้า ➡️ แรงม้าแบบอเมริกัน (hp) = 745.7 วัตต์ ➡️ แรงม้าเมตริก (PS/CV) = 735.5 วัตต์ ➡️ PS ต่ำกว่า hp ประมาณ 1.4% ✅ ตัวอย่างรถที่ใช้หน่วยต่างกัน ➡️ Bugatti Veyron: 1,000 PS = 986 hp ➡️ McLaren 765LT: 765 PS = 755 hp ➡️ Porsche 911 Turbo S: 478 kW = 641 hp = 650 PS ✅ การใช้หน่วยกิโลวัตต์ (kW) ➡️ 1 kW = 1.341 hp และ 1.36 PS ➡️ รถไฟฟ้าใช้ kW เป็นมาตรฐาน เช่น 100 kW = 134 hp ➡️ ช่วยให้เปรียบเทียบข้ามประเทศได้ง่ายขึ้น ✅ ปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพรถ ➡️ แรงบิด (torque) มีผลต่อการเร่งมากกว่าแรงม้า ➡️ น้ำหนักรถและอัตราทดเกียร์มีผลต่อความเร็ว ➡️ แอโรไดนามิกช่วยลดแรงต้านและเพิ่มประสิทธิภาพ https://www.slashgear.com/1958204/confusing-difference-between-american-european-horsepower/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Confusing Difference Between American And European Horsepower - SlashGear
    Thanks to differences to the metric and imperial system of measurements, horsepower doesn't mean the exact same thing in all parts of the world.
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Sharpie ถึง TTF: เมื่อความพยายามสร้างฟอนต์จากลายมือกลายเป็นบทเรียนเรื่องเครื่องมือและความอดทน

    Chris Smith เจ้าของเว็บไซต์ Chameth.com อยากให้เว็บของเขาดู “เป็นตัวเขา” มากขึ้น ไม่ใช่แค่เว็บทั่วไปที่ดูเหมือนถูกผลิตจากแม่พิมพ์เดียวกัน เขาเริ่มจากการตกแต่งเล็ก ๆ เช่นภาพลอยที่ดูเหมือนติดด้วยเทป และขอบลิงก์ที่ขยับได้เมื่อเลื่อนเมาส์ ก่อนจะมาถึงไอเดียใหญ่—เปลี่ยนฟอนต์หัวข้อให้เป็นลายมือของตัวเอง

    เขาเริ่มด้วยความหวังว่า “มันคงไม่ยาก” และเลือกใช้เครื่องมือโอเพ่นซอร์สอย่าง Inkscape และ FontForge เพื่อสร้างฟอนต์จาก SVG ที่วาดด้วยแท็บเล็ต แต่พบว่า FontForge มี UI ที่ชวนให้หงุดหงิดอย่างมาก ทั้งการนำเข้าไฟล์ที่ซับซ้อน การจัดการ Bézier curve ที่ไม่แม่นยำ และการทำงานที่ขัดกับความคุ้นเคยของผู้ใช้ทั่วไป

    หลังจากพยายามกับ Inkscape และ FontForge แล้วไม่สำเร็จ เขาหันไปใช้ Calligraphr ซึ่งเป็นเครื่องมือออนไลน์ที่ให้ผู้ใช้พิมพ์เทมเพลต เขียนตัวอักษรด้วยปากกา (เขาใช้ Sharpie เพื่อให้ได้ลายเส้นชัดเจน) แล้วสแกนกลับเข้าไปในระบบ Calligraphr จะประมวลผลและสร้างฟอนต์ TTF ให้โดยอัตโนมัติ

    เขาเลือกจ่ายแบบครั้งเดียว £8 เพื่อใช้เวอร์ชันโปร 1 เดือน ซึ่งให้ฟีเจอร์เพิ่ม เช่น ligature และการปรับแต่ง glyph ได้ละเอียดขึ้น เขาเติมเทมเพลตทั้งหมดสองรอบเพื่อให้มีตัวเลือกหลายแบบ และเพิ่ม ligature พิเศษสำหรับคำที่ใช้บ่อยในบล็อก เช่น “Re”, “To”, “ey”, “ty” เพื่อให้ฟอนต์ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น

    หลังจากนั้นเขาใช้เครื่องมือใน Calligraphr ปรับตำแหน่งตัวอักษรให้ตรง baseline และลดระยะห่างระหว่างตัวอักษรเพื่อให้ดูเหมือนลายมือจริงมากขึ้น เขาพบปัญหาเล็ก ๆ เช่น glyph ที่มีพิกเซลหลงเหลือจากเส้นเทมเพลต ทำให้เกิดช่องว่างใหญ่ในคำ ซึ่งเขาแก้ด้วยการลบพิกเซลเหล่านั้นออก

    สุดท้าย เขาใช้ฟอนต์นี้ในเว็บไซต์ของตัวเอง และพบว่ามันสะท้อนตัวตนได้ดี แม้จะไม่เหมือนลายมือจริง 100% แต่ก็มี “น้ำเสียง” ที่เป็นเอกลักษณ์ และที่สำคัญคือ เขารู้สึกว่าการจ่ายเงินให้ Calligraphr นั้นคุ้มค่า เพราะบริการตรงไปตรงมา ไม่บังคับสมัครรายเดือน และยังส่งไฟล์สำรองให้เขาเมื่อบัญชีหมดอายุ

    จุดเริ่มต้นของโปรเจกต์ฟอนต์ลายมือ
    ต้องการให้เว็บไซต์ดูเป็นตัวเองมากขึ้น
    เริ่มจากตกแต่งเล็ก ๆ ก่อนมาถึงการเปลี่ยนฟอนต์หัวข้อ
    ตั้งใจใช้ลายมือจริงเพื่อสร้างฟอนต์ที่มีเอกลักษณ์

    ความพยายามกับเครื่องมือโอเพ่นซอร์ส
    ใช้ Inkscape วาดตัวอักษรเป็น SVG
    พยายามนำเข้า SVG ไปยัง FontForge แต่เจอปัญหา UI และการจัดการ curve
    ล้มเลิกการใช้ FontForge เพราะความซับซ้อนและไม่เป็นมิตร

    การเปลี่ยนมาใช้ Calligraphr
    พิมพ์เทมเพลต เขียนด้วย Sharpie แล้วสแกนกลับ
    ใช้เวอร์ชันโปร 1 เดือนเพื่อเพิ่ม ligature และปรับแต่ง glyph
    เพิ่ม ligature พิเศษเพื่อให้ฟอนต์ดูเป็นธรรมชาติ

    การปรับแต่งและแก้ไข
    ปรับ baseline และระยะห่างระหว่างตัวอักษร
    ลบพิกเซลหลงเหลือจากเทมเพลตเพื่อแก้ช่องว่างในคำ
    ใช้ฟอนต์จริงในเว็บไซต์เพื่อทดสอบและปรับปรุง

    ความประทับใจต่อ Calligraphr
    ระบบไม่บังคับสมัครรายเดือน
    ส่งไฟล์สำรองให้เมื่อบัญชีหมดอายุ
    UI เป็นมิตรและกระบวนการสร้างฟอนต์มีความชัดเจน

    https://chameth.com/making-a-font-of-my-handwriting/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Sharpie ถึง TTF: เมื่อความพยายามสร้างฟอนต์จากลายมือกลายเป็นบทเรียนเรื่องเครื่องมือและความอดทน Chris Smith เจ้าของเว็บไซต์ Chameth.com อยากให้เว็บของเขาดู “เป็นตัวเขา” มากขึ้น ไม่ใช่แค่เว็บทั่วไปที่ดูเหมือนถูกผลิตจากแม่พิมพ์เดียวกัน เขาเริ่มจากการตกแต่งเล็ก ๆ เช่นภาพลอยที่ดูเหมือนติดด้วยเทป และขอบลิงก์ที่ขยับได้เมื่อเลื่อนเมาส์ ก่อนจะมาถึงไอเดียใหญ่—เปลี่ยนฟอนต์หัวข้อให้เป็นลายมือของตัวเอง เขาเริ่มด้วยความหวังว่า “มันคงไม่ยาก” และเลือกใช้เครื่องมือโอเพ่นซอร์สอย่าง Inkscape และ FontForge เพื่อสร้างฟอนต์จาก SVG ที่วาดด้วยแท็บเล็ต แต่พบว่า FontForge มี UI ที่ชวนให้หงุดหงิดอย่างมาก ทั้งการนำเข้าไฟล์ที่ซับซ้อน การจัดการ Bézier curve ที่ไม่แม่นยำ และการทำงานที่ขัดกับความคุ้นเคยของผู้ใช้ทั่วไป หลังจากพยายามกับ Inkscape และ FontForge แล้วไม่สำเร็จ เขาหันไปใช้ Calligraphr ซึ่งเป็นเครื่องมือออนไลน์ที่ให้ผู้ใช้พิมพ์เทมเพลต เขียนตัวอักษรด้วยปากกา (เขาใช้ Sharpie เพื่อให้ได้ลายเส้นชัดเจน) แล้วสแกนกลับเข้าไปในระบบ Calligraphr จะประมวลผลและสร้างฟอนต์ TTF ให้โดยอัตโนมัติ เขาเลือกจ่ายแบบครั้งเดียว £8 เพื่อใช้เวอร์ชันโปร 1 เดือน ซึ่งให้ฟีเจอร์เพิ่ม เช่น ligature และการปรับแต่ง glyph ได้ละเอียดขึ้น เขาเติมเทมเพลตทั้งหมดสองรอบเพื่อให้มีตัวเลือกหลายแบบ และเพิ่ม ligature พิเศษสำหรับคำที่ใช้บ่อยในบล็อก เช่น “Re”, “To”, “ey”, “ty” เพื่อให้ฟอนต์ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น หลังจากนั้นเขาใช้เครื่องมือใน Calligraphr ปรับตำแหน่งตัวอักษรให้ตรง baseline และลดระยะห่างระหว่างตัวอักษรเพื่อให้ดูเหมือนลายมือจริงมากขึ้น เขาพบปัญหาเล็ก ๆ เช่น glyph ที่มีพิกเซลหลงเหลือจากเส้นเทมเพลต ทำให้เกิดช่องว่างใหญ่ในคำ ซึ่งเขาแก้ด้วยการลบพิกเซลเหล่านั้นออก สุดท้าย เขาใช้ฟอนต์นี้ในเว็บไซต์ของตัวเอง และพบว่ามันสะท้อนตัวตนได้ดี แม้จะไม่เหมือนลายมือจริง 100% แต่ก็มี “น้ำเสียง” ที่เป็นเอกลักษณ์ และที่สำคัญคือ เขารู้สึกว่าการจ่ายเงินให้ Calligraphr นั้นคุ้มค่า เพราะบริการตรงไปตรงมา ไม่บังคับสมัครรายเดือน และยังส่งไฟล์สำรองให้เขาเมื่อบัญชีหมดอายุ ✅ จุดเริ่มต้นของโปรเจกต์ฟอนต์ลายมือ ➡️ ต้องการให้เว็บไซต์ดูเป็นตัวเองมากขึ้น ➡️ เริ่มจากตกแต่งเล็ก ๆ ก่อนมาถึงการเปลี่ยนฟอนต์หัวข้อ ➡️ ตั้งใจใช้ลายมือจริงเพื่อสร้างฟอนต์ที่มีเอกลักษณ์ ✅ ความพยายามกับเครื่องมือโอเพ่นซอร์ส ➡️ ใช้ Inkscape วาดตัวอักษรเป็น SVG ➡️ พยายามนำเข้า SVG ไปยัง FontForge แต่เจอปัญหา UI และการจัดการ curve ➡️ ล้มเลิกการใช้ FontForge เพราะความซับซ้อนและไม่เป็นมิตร ✅ การเปลี่ยนมาใช้ Calligraphr ➡️ พิมพ์เทมเพลต เขียนด้วย Sharpie แล้วสแกนกลับ ➡️ ใช้เวอร์ชันโปร 1 เดือนเพื่อเพิ่ม ligature และปรับแต่ง glyph ➡️ เพิ่ม ligature พิเศษเพื่อให้ฟอนต์ดูเป็นธรรมชาติ ✅ การปรับแต่งและแก้ไข ➡️ ปรับ baseline และระยะห่างระหว่างตัวอักษร ➡️ ลบพิกเซลหลงเหลือจากเทมเพลตเพื่อแก้ช่องว่างในคำ ➡️ ใช้ฟอนต์จริงในเว็บไซต์เพื่อทดสอบและปรับปรุง ✅ ความประทับใจต่อ Calligraphr ➡️ ระบบไม่บังคับสมัครรายเดือน ➡️ ส่งไฟล์สำรองให้เมื่อบัญชีหมดอายุ ➡️ UI เป็นมิตรและกระบวนการสร้างฟอนต์มีความชัดเจน https://chameth.com/making-a-font-of-my-handwriting/
    0 Comments 0 Shares 57 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากคำสัญญาสู่คำจำกัดความใหม่: เมื่อ Tesla เปลี่ยนความหมายของ FSD และยอมรับว่า “ขับเองจริง” ยังมาไม่ถึง

    ย้อนกลับไปปี 2016 Tesla เคยประกาศว่า รถทุกคันที่ผลิตจะสามารถอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อให้ขับเองได้โดยไม่ต้องมีคนควบคุม และตั้งแต่ปี 2018 Elon Musk ก็พูดซ้ำทุกปีว่า “ภายในสิ้นปีนี้” ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะพร้อมใช้งานจริง

    Tesla ยังขายแพ็กเกจ “Full Self-Driving Capability” (FSD) ให้ลูกค้าราคา $15,000 พร้อมคำสัญญาว่าจะอัปเดตให้รถขับเองได้ในอนาคต แต่ในปี 2025 Tesla ยอมรับแล้วว่า รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเองโดยสมบูรณ์ และไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรด

    ล่าสุด Tesla ได้เปลี่ยนชื่อแพ็กเกจเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” พร้อมระบุในเงื่อนไขว่า “ไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ” และ “ไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต” ซึ่งหมายความว่าผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้ซื้อความสามารถขับเองแบบที่เคยสัญญาไว้

    ที่น่าจับตามองคือ Tesla ยังใช้คำว่า FSD ในแผนการจ่ายค่าตอบแทนให้ Elon Musk ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง $1 ล้านล้านดอลลาร์ หากบรรลุเป้าหมาย เช่น มีผู้สมัครใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย แต่ในเอกสารนั้น Tesla ได้เปลี่ยนคำจำกัดความของ FSD ให้คลุมเครือว่า “เป็นระบบช่วยขับที่สามารถทำงานคล้ายอัตโนมัติในบางสถานการณ์”

    นั่นหมายความว่า แม้ระบบจะยังต้องมีคนจับพวงมาลัยตลอดเวลา ก็ยังถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่ และ Musk ก็อาจได้รับหุ้นมูลค่ามหาศาลจากการเปลี่ยนคำจำกัดความนี้

    การเปลี่ยนแปลงของคำว่า FSD
    เดิมหมายถึงระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องมีคนควบคุม
    ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” ที่ยังต้องมีคนจับพวงมาลัย
    Tesla ระบุชัดว่าไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ และไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต

    ผลกระทบต่อผู้ซื้อ FSD
    รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเอง
    ไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ให้กับรถรุ่นเก่า
    ผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้รับคำสัญญาแบบเดียวกับผู้ซื้อในอดีต

    แผนค่าตอบแทนของ Elon Musk
    Tesla เสนอแพ็กเกจค่าตอบแทนสูงสุด $1 ล้านล้านดอลลาร์
    หนึ่งในเป้าหมายคือมีผู้ใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย
    คำจำกัดความของ FSD ในเอกสารถูกเปลี่ยนให้คลุมเครือ

    ความแตกต่างระหว่างการตลาดกับเอกสารทางกฎหมาย
    Tesla ใช้คำว่า “ขับเองได้” ในการขาย แต่ใช้คำว่า “ช่วยขับ” ในเอกสาร
    ระบบที่ยังต้องมีคนควบคุมก็ถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่
    อาจนำไปสู่การจ่ายหุ้นให้ Musk แม้ระบบยังไม่ขับเองจริง

    https://electrek.co/2025/09/05/tesla-changes-meaning-full-self-driving-give-up-promise-autonomy/
    🎙️ เรื่องเล่าจากคำสัญญาสู่คำจำกัดความใหม่: เมื่อ Tesla เปลี่ยนความหมายของ FSD และยอมรับว่า “ขับเองจริง” ยังมาไม่ถึง ย้อนกลับไปปี 2016 Tesla เคยประกาศว่า รถทุกคันที่ผลิตจะสามารถอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อให้ขับเองได้โดยไม่ต้องมีคนควบคุม และตั้งแต่ปี 2018 Elon Musk ก็พูดซ้ำทุกปีว่า “ภายในสิ้นปีนี้” ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะพร้อมใช้งานจริง Tesla ยังขายแพ็กเกจ “Full Self-Driving Capability” (FSD) ให้ลูกค้าราคา $15,000 พร้อมคำสัญญาว่าจะอัปเดตให้รถขับเองได้ในอนาคต แต่ในปี 2025 Tesla ยอมรับแล้วว่า รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเองโดยสมบูรณ์ และไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรด ล่าสุด Tesla ได้เปลี่ยนชื่อแพ็กเกจเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” พร้อมระบุในเงื่อนไขว่า “ไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ” และ “ไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต” ซึ่งหมายความว่าผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้ซื้อความสามารถขับเองแบบที่เคยสัญญาไว้ ที่น่าจับตามองคือ Tesla ยังใช้คำว่า FSD ในแผนการจ่ายค่าตอบแทนให้ Elon Musk ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง $1 ล้านล้านดอลลาร์ หากบรรลุเป้าหมาย เช่น มีผู้สมัครใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย แต่ในเอกสารนั้น Tesla ได้เปลี่ยนคำจำกัดความของ FSD ให้คลุมเครือว่า “เป็นระบบช่วยขับที่สามารถทำงานคล้ายอัตโนมัติในบางสถานการณ์” นั่นหมายความว่า แม้ระบบจะยังต้องมีคนจับพวงมาลัยตลอดเวลา ก็ยังถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่ และ Musk ก็อาจได้รับหุ้นมูลค่ามหาศาลจากการเปลี่ยนคำจำกัดความนี้ ✅ การเปลี่ยนแปลงของคำว่า FSD ➡️ เดิมหมายถึงระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องมีคนควบคุม ➡️ ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” ที่ยังต้องมีคนจับพวงมาลัย ➡️ Tesla ระบุชัดว่าไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ และไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต ✅ ผลกระทบต่อผู้ซื้อ FSD ➡️ รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเอง ➡️ ไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ให้กับรถรุ่นเก่า ➡️ ผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้รับคำสัญญาแบบเดียวกับผู้ซื้อในอดีต ✅ แผนค่าตอบแทนของ Elon Musk ➡️ Tesla เสนอแพ็กเกจค่าตอบแทนสูงสุด $1 ล้านล้านดอลลาร์ ➡️ หนึ่งในเป้าหมายคือมีผู้ใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย ➡️ คำจำกัดความของ FSD ในเอกสารถูกเปลี่ยนให้คลุมเครือ ✅ ความแตกต่างระหว่างการตลาดกับเอกสารทางกฎหมาย ➡️ Tesla ใช้คำว่า “ขับเองได้” ในการขาย แต่ใช้คำว่า “ช่วยขับ” ในเอกสาร ➡️ ระบบที่ยังต้องมีคนควบคุมก็ถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่ ➡️ อาจนำไปสู่การจ่ายหุ้นให้ Musk แม้ระบบยังไม่ขับเองจริง https://electrek.co/2025/09/05/tesla-changes-meaning-full-self-driving-give-up-promise-autonomy/
    ELECTREK.CO
    Tesla changes meaning of 'Full Self-Driving', gives up on promise of autonomy
    Tesla has changed the meaning of “Full Self-Driving”, also known as “FSD”, to give up on its original promise of...
    0 Comments 0 Shares 57 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก 9-9-6 ถึง 0-0-7: เมื่อความขยันกลายเป็นเครื่องมือกดดันมากกว่าความภาคภูมิใจ

    Armin Ronacher นักพัฒนาโอเพ่นซอร์สชื่อดังเขียนบทความสะท้อนถึงวัฒนธรรม “996” หรือการทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม 6 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็น “สูตรลับ” ของความสำเร็จในวงการสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะในจีน

    เขาเล่าว่าแม้ตัวเองจะรักการทำงานดึก รักการเขียนโค้ด และเคยทำงานจนไม่ได้นอนก่อนเที่ยงคืนเลยตลอดสัปดาห์ แต่เขาก็รักครอบครัว รักการเดินเล่น และการสนทนาอย่างลึกซึ้ง—สิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในชีวิตที่ถูกกำหนดด้วย 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

    Ronacher เตือนว่าแม้ผู้ก่อตั้งบริษัทจะมีแรงจูงใจสูง แต่การผลักดันให้พนักงานทำงานแบบ 996 โดยไม่มีอำนาจหรือผลตอบแทนเท่ากันนั้น “ไม่รับผิดชอบ” และไม่ควรเป็นวัฒนธรรมองค์กร

    เขาย้ำว่า “ความเข้มข้น” ในการทำงานไม่ควรวัดจากจำนวนชั่วโมง แต่จากผลลัพธ์ที่สร้างได้ และการทำงานหนักควรเป็น “ทางเลือกส่วนตัว” ไม่ใช่ “ข้อบังคับทางวัฒนธรรม”

    ในขณะเดียวกัน บทวิเคราะห์จาก Forbes และ CNBC ก็ชี้ว่า 996 กำลังถูกนำมาใช้ในสหรัฐฯ โดยบางบริษัทสตาร์ทอัพในซิลิคอนวัลเลย์เริ่มใช้เป็น “ตัวกรอง” ในการคัดเลือกพนักงาน โดยถามตรง ๆ ว่า “คุณพร้อมทำงาน 996 ไหม”

    แม้จะถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์เร่งการเติบโต แต่ผลกระทบกลับรุนแรง ทั้งด้านสุขภาพจิต ความเหนื่อยล้า และอัตราการลาออกที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในทีมเล็กที่การเสียคนหนึ่งอาจทำให้ทั้งโปรเจกต์หยุดชะงัก

    ในจีนเอง แม้ 996 จะเคยถูกยกย่องโดยผู้ก่อตั้งอย่าง Jack Ma ว่าเป็น “พร” แต่ตอนนี้เริ่มมีการต่อต้านมากขึ้น โดยศาลสูงสุดของจีนประกาศว่า 996 ขัดต่อกฎหมายแรงงาน และนักวิชาการบางคนถึงกับเปรียบเทียบว่าเป็น “แรงงานกึ่งบังคับ”

    ความหมายและต้นกำเนิดของวัฒนธรรม 996
    หมายถึงการทำงาน 9am–9pm, 6 วันต่อสัปดาห์ รวม 72 ชั่วโมง
    เริ่มจากวงการเทคโนโลยีในจีน เช่น Alibaba, Huawei
    ถูกมองว่าเป็นสูตรเร่งการเติบโตของสตาร์ทอัพ

    มุมมองจาก Armin Ronacher
    รักการทำงานหนัก แต่ไม่สนับสนุนการบังคับให้คนอื่นทำแบบเดียวกัน
    ชี้ว่าความเข้มข้นควรวัดจากผลลัพธ์ ไม่ใช่จำนวนชั่วโมง
    การทำงานหนักควรเป็นทางเลือก ไม่ใช่วัฒนธรรมองค์กร

    การแพร่กระจายของ 996 สู่ตะวันตก
    บางบริษัทในสหรัฐฯ ใช้ 996 เป็นเกณฑ์คัดเลือกพนักงาน
    มีการโฆษณาในประกาศรับสมัครว่า “ต้องตื่นเต้นกับการทำงาน 70+ ชั่วโมง”
    ถูกมองว่าเป็น hustle culture ที่อาจย้อนกลับมาทำลายองค์กรเอง

    การต่อต้านและผลกระทบ
    ศาลจีนประกาศว่า 996 ขัดต่อกฎหมายแรงงาน
    นักวิชาการเปรียบเทียบว่าเป็นแรงงานกึ่งบังคับ
    ส่งผลต่อสุขภาพจิต ความเหนื่อยล้า และอัตราการลาออก

    https://lucumr.pocoo.org/2025/9/4/996/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก 9-9-6 ถึง 0-0-7: เมื่อความขยันกลายเป็นเครื่องมือกดดันมากกว่าความภาคภูมิใจ Armin Ronacher นักพัฒนาโอเพ่นซอร์สชื่อดังเขียนบทความสะท้อนถึงวัฒนธรรม “996” หรือการทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม 6 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็น “สูตรลับ” ของความสำเร็จในวงการสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะในจีน เขาเล่าว่าแม้ตัวเองจะรักการทำงานดึก รักการเขียนโค้ด และเคยทำงานจนไม่ได้นอนก่อนเที่ยงคืนเลยตลอดสัปดาห์ แต่เขาก็รักครอบครัว รักการเดินเล่น และการสนทนาอย่างลึกซึ้ง—สิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในชีวิตที่ถูกกำหนดด้วย 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ Ronacher เตือนว่าแม้ผู้ก่อตั้งบริษัทจะมีแรงจูงใจสูง แต่การผลักดันให้พนักงานทำงานแบบ 996 โดยไม่มีอำนาจหรือผลตอบแทนเท่ากันนั้น “ไม่รับผิดชอบ” และไม่ควรเป็นวัฒนธรรมองค์กร เขาย้ำว่า “ความเข้มข้น” ในการทำงานไม่ควรวัดจากจำนวนชั่วโมง แต่จากผลลัพธ์ที่สร้างได้ และการทำงานหนักควรเป็น “ทางเลือกส่วนตัว” ไม่ใช่ “ข้อบังคับทางวัฒนธรรม” ในขณะเดียวกัน บทวิเคราะห์จาก Forbes และ CNBC ก็ชี้ว่า 996 กำลังถูกนำมาใช้ในสหรัฐฯ โดยบางบริษัทสตาร์ทอัพในซิลิคอนวัลเลย์เริ่มใช้เป็น “ตัวกรอง” ในการคัดเลือกพนักงาน โดยถามตรง ๆ ว่า “คุณพร้อมทำงาน 996 ไหม” แม้จะถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์เร่งการเติบโต แต่ผลกระทบกลับรุนแรง ทั้งด้านสุขภาพจิต ความเหนื่อยล้า และอัตราการลาออกที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในทีมเล็กที่การเสียคนหนึ่งอาจทำให้ทั้งโปรเจกต์หยุดชะงัก ในจีนเอง แม้ 996 จะเคยถูกยกย่องโดยผู้ก่อตั้งอย่าง Jack Ma ว่าเป็น “พร” แต่ตอนนี้เริ่มมีการต่อต้านมากขึ้น โดยศาลสูงสุดของจีนประกาศว่า 996 ขัดต่อกฎหมายแรงงาน และนักวิชาการบางคนถึงกับเปรียบเทียบว่าเป็น “แรงงานกึ่งบังคับ” ✅ ความหมายและต้นกำเนิดของวัฒนธรรม 996 ➡️ หมายถึงการทำงาน 9am–9pm, 6 วันต่อสัปดาห์ รวม 72 ชั่วโมง ➡️ เริ่มจากวงการเทคโนโลยีในจีน เช่น Alibaba, Huawei ➡️ ถูกมองว่าเป็นสูตรเร่งการเติบโตของสตาร์ทอัพ ✅ มุมมองจาก Armin Ronacher ➡️ รักการทำงานหนัก แต่ไม่สนับสนุนการบังคับให้คนอื่นทำแบบเดียวกัน ➡️ ชี้ว่าความเข้มข้นควรวัดจากผลลัพธ์ ไม่ใช่จำนวนชั่วโมง ➡️ การทำงานหนักควรเป็นทางเลือก ไม่ใช่วัฒนธรรมองค์กร ✅ การแพร่กระจายของ 996 สู่ตะวันตก ➡️ บางบริษัทในสหรัฐฯ ใช้ 996 เป็นเกณฑ์คัดเลือกพนักงาน ➡️ มีการโฆษณาในประกาศรับสมัครว่า “ต้องตื่นเต้นกับการทำงาน 70+ ชั่วโมง” ➡️ ถูกมองว่าเป็น hustle culture ที่อาจย้อนกลับมาทำลายองค์กรเอง ✅ การต่อต้านและผลกระทบ ➡️ ศาลจีนประกาศว่า 996 ขัดต่อกฎหมายแรงงาน ➡️ นักวิชาการเปรียบเทียบว่าเป็นแรงงานกึ่งบังคับ ➡️ ส่งผลต่อสุขภาพจิต ความเหนื่อยล้า และอัตราการลาออก https://lucumr.pocoo.org/2025/9/4/996/
    LUCUMR.POCOO.ORG
    996
    There is cost to your lifestyle.
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • โผ ครม.อนุทิน 1 รื้อยกวง หลัง ‘ธรรมนัส’ ชวดกห.ไปคุมท่องเที่ยวแทน ทำภูมิใจไทยต้องเกลี่ยใหม่ "ไชยชนก" ดีอี "ซาบีดา" วัฒนธรรม รอเปิดคนนอก ‘กลาโหม-ยุติธรรม’ แว่วพลตำรวจโท อดีตรองผู้บัญชาการภาค 3 ติดโผ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000085629

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    โผ ครม.อนุทิน 1 รื้อยกวง หลัง ‘ธรรมนัส’ ชวดกห.ไปคุมท่องเที่ยวแทน ทำภูมิใจไทยต้องเกลี่ยใหม่ "ไชยชนก" ดีอี "ซาบีดา" วัฒนธรรม รอเปิดคนนอก ‘กลาโหม-ยุติธรรม’ แว่วพลตำรวจโท อดีตรองผู้บัญชาการภาค 3 ติดโผ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000085629 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
  • มาดูกัน 4เดือนมีเวลาเยอะแยะ,ยกเลิกmou43,44,tor46หากไม่ทำทันทีหลังเข้ารับตำแหน่ง,บอกเลยว่า ไม่สามารถคาดหวังใดๆได้ในเรื่องอื่นๆอีก,ไม่น่าไว้วางใจเหมือนเดิม,เพราะนี้คือเรื่องเร่งด่วนจริงของชาติ มันคือดินแดนอธิปไตยไทยและภัยรุกรานจากศัตรูจริง จนเขมรยิงระเบิดใส่คนไทยเราตายจริง ผู้บริสุทธิ์เช่นประชาชนนอกแนวรบตายจริง,หากนายกฯคนที่32มองข้ามว่าเล็กน้อยล่อเล่น,โอกาสที่ให้อาจไม่มีอีกต่อไป,อำนาจที่ไม่ธรรมดารอลงดาบอยู่.

    https://youtube.com/shorts/bdytYjrO65Y?si=CVC-KoU9iZtOnvfc
    มาดูกัน 4เดือนมีเวลาเยอะแยะ,ยกเลิกmou43,44,tor46หากไม่ทำทันทีหลังเข้ารับตำแหน่ง,บอกเลยว่า ไม่สามารถคาดหวังใดๆได้ในเรื่องอื่นๆอีก,ไม่น่าไว้วางใจเหมือนเดิม,เพราะนี้คือเรื่องเร่งด่วนจริงของชาติ มันคือดินแดนอธิปไตยไทยและภัยรุกรานจากศัตรูจริง จนเขมรยิงระเบิดใส่คนไทยเราตายจริง ผู้บริสุทธิ์เช่นประชาชนนอกแนวรบตายจริง,หากนายกฯคนที่32มองข้ามว่าเล็กน้อยล่อเล่น,โอกาสที่ให้อาจไม่มีอีกต่อไป,อำนาจที่ไม่ธรรมดารอลงดาบอยู่. https://youtube.com/shorts/bdytYjrO65Y?si=CVC-KoU9iZtOnvfc
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • ถ้าคนนี้ได้ขึ้นรมต. คือ "ฝันร้ายของทักษิณ" (7 ก.ย. 2568)

    #ทักษิณ #การเมืองไทย #รมต #ข่าวการเมือง #ฝันร้ายของทักษิณ #ข่าววันนี้ #ข่าวด่วน #ThaiTimes #news1short
    ถ้าคนนี้ได้ขึ้นรมต. คือ "ฝันร้ายของทักษิณ" (7 ก.ย. 2568) #ทักษิณ #การเมืองไทย #รมต #ข่าวการเมือง #ฝันร้ายของทักษิณ #ข่าววันนี้ #ข่าวด่วน #ThaiTimes #news1short
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 0 Reviews
More Results