• กู้ไฟล์กล้องรถแตงโม โป๊ะ! โกหกไม่เนียน : [THE MESSAGE]
    พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เผยคดีการเสียชีวิตของแตงโมมีการสับขาหลอกและปล่อยข่าวเยอะ คนใกล้ชิดและตำรวจไม่ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง การตรวจสอบของภาคประชาชนถูกดิสเครดิต ตนเองเคยไปที่บ้านแอนนาเพื่อพูดคุยกัน ซึ่งก็มีหลายคนร่วมด้วย ขณะนั้นแอนนาบอกว่า "จะจัดการ" มดดำก็บอกว่า "ฝ่ายโน้นมีเงินเยอะ เรามีเป็นพันล้านหมื่นล้านเหมือนเขาหรือเปล่า" คนที่นั่งฟังอยู่ด้วยก็คิดว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ อยากให้ทุกคนกล้าออกมาพูด ส่วนคนรักของแตงโมก็ไม่ออกมาให้ข่าวเลย กลัวพิกุลจะร่วงหรืออย่างไร คนที่ช่วยค้นหาความจริงควรได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก็กลับไม่ได้ เกิดความสับสน มีการให้ข่าวผิด พูดความจริงยังไงฟ้าก็ไม่ผ่า ถ้าไม่มีดีเอสไอเราคงยังไม่ตาสว่าง ส่วนข้อมูลในกล้องหน้ารถของแตงโมได้มีการกู้คืน ทำให้รู้ว่าการโกหกแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน แสดงถึงความไม่ตรงไปตรงมาของคนบนเรือและข้าราชการ
    กู้ไฟล์กล้องรถแตงโม โป๊ะ! โกหกไม่เนียน : [THE MESSAGE] พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เผยคดีการเสียชีวิตของแตงโมมีการสับขาหลอกและปล่อยข่าวเยอะ คนใกล้ชิดและตำรวจไม่ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง การตรวจสอบของภาคประชาชนถูกดิสเครดิต ตนเองเคยไปที่บ้านแอนนาเพื่อพูดคุยกัน ซึ่งก็มีหลายคนร่วมด้วย ขณะนั้นแอนนาบอกว่า "จะจัดการ" มดดำก็บอกว่า "ฝ่ายโน้นมีเงินเยอะ เรามีเป็นพันล้านหมื่นล้านเหมือนเขาหรือเปล่า" คนที่นั่งฟังอยู่ด้วยก็คิดว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ อยากให้ทุกคนกล้าออกมาพูด ส่วนคนรักของแตงโมก็ไม่ออกมาให้ข่าวเลย กลัวพิกุลจะร่วงหรืออย่างไร คนที่ช่วยค้นหาความจริงควรได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก็กลับไม่ได้ เกิดความสับสน มีการให้ข่าวผิด พูดความจริงยังไงฟ้าก็ไม่ผ่า ถ้าไม่มีดีเอสไอเราคงยังไม่ตาสว่าง ส่วนข้อมูลในกล้องหน้ารถของแตงโมได้มีการกู้คืน ทำให้รู้ว่าการโกหกแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน แสดงถึงความไม่ตรงไปตรงมาของคนบนเรือและข้าราชการ
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 108 Views 9 0 Reviews
  • ในปีพุทธศักราช 2552
    ได้ร่วมเดินทางไปทำกิจกรรมต่างจังหวัด กับกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
    มีการสแกนกรรม และรักษาโรคด้วยพลังจากต่างดาว
    ให้กับผู้มาร่วมงานตามจังหวัดต่างๆ
    ครั้งนั้น มีผู้สแกนกรรมเพียงคนเดียว นอกนั้น5-10 คนเป็นผู้ใช้พลังต่างดาวรักษาโรค

    การสแกนกรรม ให้กับผู้เจ็บป่วยที่รักษาที่ไหนก็ไม่หาย
    เนื่องจากมีเจ้ากรรมนายเวรคุมอยู่ จึงต้องอาศัยการสแกนกรรม เพื่อให้ทราบถึงเหตุแห่งการเจ็บป่วยที่เกิดจากเจ้ากรรมนายเวร
    เมื่อเจ้ากรรมนายเวรอนุญาต
    ก็จะรู้ว่า ผู้ป่วยเคยไปก่อกรรมกับเจ้ากรรมฯไว้อย่างไร
    จากนั้นก็แนะนำให้ผู้ป่วย
    ขอขมากรรม ทำบุญอุทิศกุศลไปให้ อย่างน้อย 3 เดือนๆละครั้ง
    และให้ตั้งจิตส่งน้ำบุญไปให้ก่อนทันที

    วิธีส่งน้ำบุญให้เจ้ากรรมนายเวร

    น้ำภาชนะแก้วน้ำ หรือขันน้ำ
    ใส่น้ำให้ได้3ใน4ส่วน หรือเต็มภาชนะ
    ถือไว้ในมือ กล่าววาจาว่า

    "ขอให้บุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้วทั้งหมด ลงสู่น้ำในแก้ว(ขัน) นี้ ขอให้น้ำนี้เป็นน้ำบุญของข้าพเจ้า
    ขอส่งน้ำบุญนี้ ให้เจ้ากรรมนายเวรที่กำลังให้ผลต่อชีวิต
    ของข้าพเจ้า(เอ่ยลักษณะหรือชื่อของเจ้ากรรมฯถ้ารู้ว่าเป็นใคร) ขอให้ได้รับกุศล บังเกิดความสุข
    ขออโหสิกรรมต่อกรรมที่ได้เคยล่วงเกินกันมา
    ข้าพเจ้าจะทำบุญอุทิศกุศลไปให้อีก
    ขอให้พระแม่คงคา พระแม่ธรณี เป็นสักขีพยาน ในการส่งอุทิศกุศลผ่านน้ำบุญนี้"

    จากนั้นให้นำน้ำบุญไปเทใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีรากหยั่งลงดิน
    (ห้ามเทในกระถางปลูกต้นไม้ จะไม่ได้ผล มีตัวอย่างมาแล้ว)

    HOS.HOLY HIFT
    13 มีนาคม 2568
    ในปีพุทธศักราช 2552 ได้ร่วมเดินทางไปทำกิจกรรมต่างจังหวัด กับกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) มีการสแกนกรรม และรักษาโรคด้วยพลังจากต่างดาว ให้กับผู้มาร่วมงานตามจังหวัดต่างๆ ครั้งนั้น มีผู้สแกนกรรมเพียงคนเดียว นอกนั้น5-10 คนเป็นผู้ใช้พลังต่างดาวรักษาโรค การสแกนกรรม ให้กับผู้เจ็บป่วยที่รักษาที่ไหนก็ไม่หาย เนื่องจากมีเจ้ากรรมนายเวรคุมอยู่ จึงต้องอาศัยการสแกนกรรม เพื่อให้ทราบถึงเหตุแห่งการเจ็บป่วยที่เกิดจากเจ้ากรรมนายเวร เมื่อเจ้ากรรมนายเวรอนุญาต ก็จะรู้ว่า ผู้ป่วยเคยไปก่อกรรมกับเจ้ากรรมฯไว้อย่างไร จากนั้นก็แนะนำให้ผู้ป่วย ขอขมากรรม ทำบุญอุทิศกุศลไปให้ อย่างน้อย 3 เดือนๆละครั้ง และให้ตั้งจิตส่งน้ำบุญไปให้ก่อนทันที วิธีส่งน้ำบุญให้เจ้ากรรมนายเวร น้ำภาชนะแก้วน้ำ หรือขันน้ำ ใส่น้ำให้ได้3ใน4ส่วน หรือเต็มภาชนะ ถือไว้ในมือ กล่าววาจาว่า "ขอให้บุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้วทั้งหมด ลงสู่น้ำในแก้ว(ขัน) นี้ ขอให้น้ำนี้เป็นน้ำบุญของข้าพเจ้า ขอส่งน้ำบุญนี้ ให้เจ้ากรรมนายเวรที่กำลังให้ผลต่อชีวิต ของข้าพเจ้า(เอ่ยลักษณะหรือชื่อของเจ้ากรรมฯถ้ารู้ว่าเป็นใคร) ขอให้ได้รับกุศล บังเกิดความสุข ขออโหสิกรรมต่อกรรมที่ได้เคยล่วงเกินกันมา ข้าพเจ้าจะทำบุญอุทิศกุศลไปให้อีก ขอให้พระแม่คงคา พระแม่ธรณี เป็นสักขีพยาน ในการส่งอุทิศกุศลผ่านน้ำบุญนี้" จากนั้นให้นำน้ำบุญไปเทใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีรากหยั่งลงดิน (ห้ามเทในกระถางปลูกต้นไม้ จะไม่ได้ผล มีตัวอย่างมาแล้ว) HOS.HOLY HIFT 13 มีนาคม 2568
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยจำได้ว่า Storyฯ เคยเขียนว่าพระเอกในเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> ‘ลู่อี้’ นั้นมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ วันนี้มาคุยกันกับเกร็ดประวัติศาสตร์จากละครเรื่องนี้ที่ Storyฯ เพิ่งได้กลับมาตั้งใจดูอีกครั้งและพบว่าตัวเองตกหล่นรายละเอียดไปไม่น้อย

    เพื่อนเพจที่ได้ดูละครเรื่องนี้อาจพอจำได้ว่าในเนื้อเรื่องมีตัวร้ายคือ ‘เหยียนซื่อฟาน’ ซึ่งเป็นลูกชายของขุนนางตัวโกงนาม ‘เหยียนซง’ ซึ่งทั้งสองคนนี้มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ในรัชสมัยขององค์หมิงซื่อจงแห่งราชวง์หมิง โดยเหยียนซงรับตำแหน่งหัวหน้าของคณะขุนนางสูงสุดหรือที่เรียกว่า ‘เน่ยเก๋อ’ (内阁 จึงเป็นที่มาของการเรียกขาน เหยียนซื่อฟานว่า ‘เสี่ยวเก๋อเหล่า’) ในละครมีฉากที่เหยียนซื่อฟานได้ภาพวาด ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ มาและมีการถกกันว่าเป็นภาพของแท้หรือไม่

    Storyฯ เคยเขียนถึงภาพวาด ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ มาแล้วตอนที่คุยกันเกี่ยวกับละคร <สามบุปผาลิขิตฝัน> แต่วันนี้มีรายละเอียดเพิ่มเติม ขอถอดบทสนทนาจากในละครเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> มาดังนี้
    ... “ได้ยินมาว่าจางเจ๋อตวนใช้เวลาหนึ่งปีก็วาดภาพม้วนยาวนี้เสร็จ นับว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถหายาก... ท่านใต้เท่าสวี่... เชิญท่านลองคุยๆ ดูภาพนี้จริงปลอมหรือไม่อย่างไร” เหยียนซงกล่าว
    ใต้เท้าสวี่เอ่ย “...ตามที่ข้าน้อยทราบมา ภาพนี้ควรมีลายพระอักษรรูปแบบโซ่วจินขององค์ซ่งฮุยจงเป็นคำว่า ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ ห้าอักษร... และมีตราประทับมังกรคู่ อีกทั้งมีบทกลอนนำ ภาพนี้ดูแล้วไม่คล้ายเป็นภาพวาดเลียนแบบ” (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า)

    ภาพวาด ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ ยาว 528 ซม. สูง 24.8 ซม. เป็นหนึ่งในสิบของภาพโบราณที่มีค่าที่สุดของจีน ถูกวาดขึ้นโดยจางเจ๋อตวน เขาใช้เวลาหนึ่งปีในการวาดภาพนี้จริงหรือไม่ ไม่ปรากฏหลักฐานหรือบันทึกใดกล่าวชัด แต่ภาพนี้เคยตกอยู่ในมือของเหยียนซงจริง! ตอนที่ตระกูลเหยียนถูกลงทัณฑ์และยึดสมบัตินั้น รายชื่อของสมบัติที่ริบได้นั้นยาวถึง 140 หน้ากระดาษและหนึ่งในนั้นก็คือ ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ นี้

    จากบันทึกที่พอแกะรอยกันได้ ว่ากันว่าภาพนี้แรกเริ่มถูกนำถวายองค์ซ่งฮุยจง (ค.ศ. 1522-1566) และพระองค์ทรงเขียนชื่อ ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ ขึ้นบนภาพด้วยอักษรในรูปแบบ ‘โซ่วจิน’ ซึ่งเป็นรูปแบบอักษรที่ทรงคิดประดิษฐ์ขึ้นเอง (ดูตัวอย่างจากรูป2 ขวา) เป็นที่ถกเถียงกันต่อมาว่าทรงโปรดภาพนี้หรือไม่เพราะมันไม่ได้ถูกเก็บไว้ในท้องพระคลังแต่ถูกพระราชทานให้ขุนนาง

    หลังจากนั้น ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ ผ่านการเดินทางอย่างโชกโชน ในช่วงที่ราชวงศ์จินยึดแผ่นดินซ่งได้สำเร็จนั้น ว่ากันว่ามันถูกเก็บเข้าท้องพระคลังและถูกยักยอกออกมาขายทอดตลาด เป็นช่วงที่มีการเขียนบทนำลงไปหน้าภาพ ต่อมาในสมัยหยวนก็ถูกซื้อเก็บเข้าท้องพระคลังอีกครั้งและถูกยักยอกออกมาขายอีก มีการเสาะหามันเรื่อยมาจนตกมาอยู่ในมือของเหยียนซงในสมัยหมิง โดยที่ก่อนหน้านั้นปรากฏงานลอกเลียนแบบออกมาจำนวนไม่น้อย ต่อมามันถูกริบเป็นสมบัติหลวงอีกครั้งโดยมีการลบตราประทับที่แสดงความเป็นเจ้าของของตระกูลเหยียนออกจากภาพ หลังจากนั้นมันถูกเปลี่ยนมือไปมาในแวดวงขุนนาง โดยไม่แน่ว่าเป็นการได้รับพระราชทานหรือยักยอก และปรากฏบทความนำหน้าภาพขึ้นมาเพิ่มอีก โดยที่ลายพระหัตถ์ขององค์หมิงซื่อจงไม่ทราบว่าหายไปจากภาพตั้งแต่เมื่อใด ผู้ที่ถือครองครั้งสุดท้ายว่ากันว่าคือขันทีนามว่า ‘เฝิงเป่า’ ซึ่งต่อมาถูกลงทัณฑ์ริบสมบัติ

    ภาพนี้หายสาบสูญไปนานกว่าสองร้อยปี แน่นอนว่ามีภาพปลอมจำนวนไม่น้อยปรากฏขึ้น และภาพที่เชื่อว่าเป็นฉบับจริงนี้ปรากฏในตลาดและมาถึงมือของพิพิธภัณฑ์มณฑลเหลียวหนิงในปีค.ศ. 1950 ปัจจุบันถูกเก็บอยู่ในพิพิธภัณฑ์พระราชวังต้องห้าม

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    บทความของ Storyฯ เกี่ยวกับลู่อี้: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0QA8xxCRgWSD6jP6PexAdnrZmEdGAHVxGTu3UXj3CpZfkovdY37ft9rQbauD6KfQzl
    บทความของ Storyฯ เกี่ยวกับชิงหมิงซ่างเหอถู: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid01MbyBtawx6X9xEHogRvHY8NesM2MVWHUBgYeuujQnFrPFA39dgddSihm4jjXrfiPl

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    http://www.zgsshh.com/Works_body.asp?id=1190&amp;qx=137
    http://www.fengxuelin.com/tougao/16546.html
    http://ent.sina.com.cn/v/m/2017-10-12/doc-ifymviyp0369720.shtml
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.chinanews.com.cn/cul/news/2010/06-21/2352544.shtml
    http://collection.sina.com.cn/jczs/2016-10-26/doc-ifxwztrt0466746.shtml
    https://baike.baidu.com/item/瘦金体/884949

    #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #ชิงหมิงซ่างเหอถู #เหยียนซื่อฟาน #ซ่งฮุยจง #อักษรโซ่วจิน
    เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยจำได้ว่า Storyฯ เคยเขียนว่าพระเอกในเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> ‘ลู่อี้’ นั้นมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ วันนี้มาคุยกันกับเกร็ดประวัติศาสตร์จากละครเรื่องนี้ที่ Storyฯ เพิ่งได้กลับมาตั้งใจดูอีกครั้งและพบว่าตัวเองตกหล่นรายละเอียดไปไม่น้อย เพื่อนเพจที่ได้ดูละครเรื่องนี้อาจพอจำได้ว่าในเนื้อเรื่องมีตัวร้ายคือ ‘เหยียนซื่อฟาน’ ซึ่งเป็นลูกชายของขุนนางตัวโกงนาม ‘เหยียนซง’ ซึ่งทั้งสองคนนี้มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ในรัชสมัยขององค์หมิงซื่อจงแห่งราชวง์หมิง โดยเหยียนซงรับตำแหน่งหัวหน้าของคณะขุนนางสูงสุดหรือที่เรียกว่า ‘เน่ยเก๋อ’ (内阁 จึงเป็นที่มาของการเรียกขาน เหยียนซื่อฟานว่า ‘เสี่ยวเก๋อเหล่า’) ในละครมีฉากที่เหยียนซื่อฟานได้ภาพวาด ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ มาและมีการถกกันว่าเป็นภาพของแท้หรือไม่ Storyฯ เคยเขียนถึงภาพวาด ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ มาแล้วตอนที่คุยกันเกี่ยวกับละคร <สามบุปผาลิขิตฝัน> แต่วันนี้มีรายละเอียดเพิ่มเติม ขอถอดบทสนทนาจากในละครเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> มาดังนี้ ... “ได้ยินมาว่าจางเจ๋อตวนใช้เวลาหนึ่งปีก็วาดภาพม้วนยาวนี้เสร็จ นับว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถหายาก... ท่านใต้เท่าสวี่... เชิญท่านลองคุยๆ ดูภาพนี้จริงปลอมหรือไม่อย่างไร” เหยียนซงกล่าว ใต้เท้าสวี่เอ่ย “...ตามที่ข้าน้อยทราบมา ภาพนี้ควรมีลายพระอักษรรูปแบบโซ่วจินขององค์ซ่งฮุยจงเป็นคำว่า ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ ห้าอักษร... และมีตราประทับมังกรคู่ อีกทั้งมีบทกลอนนำ ภาพนี้ดูแล้วไม่คล้ายเป็นภาพวาดเลียนแบบ” (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า) ภาพวาด ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ ยาว 528 ซม. สูง 24.8 ซม. เป็นหนึ่งในสิบของภาพโบราณที่มีค่าที่สุดของจีน ถูกวาดขึ้นโดยจางเจ๋อตวน เขาใช้เวลาหนึ่งปีในการวาดภาพนี้จริงหรือไม่ ไม่ปรากฏหลักฐานหรือบันทึกใดกล่าวชัด แต่ภาพนี้เคยตกอยู่ในมือของเหยียนซงจริง! ตอนที่ตระกูลเหยียนถูกลงทัณฑ์และยึดสมบัตินั้น รายชื่อของสมบัติที่ริบได้นั้นยาวถึง 140 หน้ากระดาษและหนึ่งในนั้นก็คือ ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ นี้ จากบันทึกที่พอแกะรอยกันได้ ว่ากันว่าภาพนี้แรกเริ่มถูกนำถวายองค์ซ่งฮุยจง (ค.ศ. 1522-1566) และพระองค์ทรงเขียนชื่อ ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ ขึ้นบนภาพด้วยอักษรในรูปแบบ ‘โซ่วจิน’ ซึ่งเป็นรูปแบบอักษรที่ทรงคิดประดิษฐ์ขึ้นเอง (ดูตัวอย่างจากรูป2 ขวา) เป็นที่ถกเถียงกันต่อมาว่าทรงโปรดภาพนี้หรือไม่เพราะมันไม่ได้ถูกเก็บไว้ในท้องพระคลังแต่ถูกพระราชทานให้ขุนนาง หลังจากนั้น ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ ผ่านการเดินทางอย่างโชกโชน ในช่วงที่ราชวงศ์จินยึดแผ่นดินซ่งได้สำเร็จนั้น ว่ากันว่ามันถูกเก็บเข้าท้องพระคลังและถูกยักยอกออกมาขายทอดตลาด เป็นช่วงที่มีการเขียนบทนำลงไปหน้าภาพ ต่อมาในสมัยหยวนก็ถูกซื้อเก็บเข้าท้องพระคลังอีกครั้งและถูกยักยอกออกมาขายอีก มีการเสาะหามันเรื่อยมาจนตกมาอยู่ในมือของเหยียนซงในสมัยหมิง โดยที่ก่อนหน้านั้นปรากฏงานลอกเลียนแบบออกมาจำนวนไม่น้อย ต่อมามันถูกริบเป็นสมบัติหลวงอีกครั้งโดยมีการลบตราประทับที่แสดงความเป็นเจ้าของของตระกูลเหยียนออกจากภาพ หลังจากนั้นมันถูกเปลี่ยนมือไปมาในแวดวงขุนนาง โดยไม่แน่ว่าเป็นการได้รับพระราชทานหรือยักยอก และปรากฏบทความนำหน้าภาพขึ้นมาเพิ่มอีก โดยที่ลายพระหัตถ์ขององค์หมิงซื่อจงไม่ทราบว่าหายไปจากภาพตั้งแต่เมื่อใด ผู้ที่ถือครองครั้งสุดท้ายว่ากันว่าคือขันทีนามว่า ‘เฝิงเป่า’ ซึ่งต่อมาถูกลงทัณฑ์ริบสมบัติ ภาพนี้หายสาบสูญไปนานกว่าสองร้อยปี แน่นอนว่ามีภาพปลอมจำนวนไม่น้อยปรากฏขึ้น และภาพที่เชื่อว่าเป็นฉบับจริงนี้ปรากฏในตลาดและมาถึงมือของพิพิธภัณฑ์มณฑลเหลียวหนิงในปีค.ศ. 1950 ปัจจุบันถูกเก็บอยู่ในพิพิธภัณฑ์พระราชวังต้องห้าม (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) บทความของ Storyฯ เกี่ยวกับลู่อี้: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0QA8xxCRgWSD6jP6PexAdnrZmEdGAHVxGTu3UXj3CpZfkovdY37ft9rQbauD6KfQzl บทความของ Storyฯ เกี่ยวกับชิงหมิงซ่างเหอถู: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid01MbyBtawx6X9xEHogRvHY8NesM2MVWHUBgYeuujQnFrPFA39dgddSihm4jjXrfiPl Credit รูปภาพจากในละครและจาก: http://www.zgsshh.com/Works_body.asp?id=1190&amp;qx=137 http://www.fengxuelin.com/tougao/16546.html http://ent.sina.com.cn/v/m/2017-10-12/doc-ifymviyp0369720.shtml Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.chinanews.com.cn/cul/news/2010/06-21/2352544.shtml http://collection.sina.com.cn/jczs/2016-10-26/doc-ifxwztrt0466746.shtml https://baike.baidu.com/item/瘦金体/884949 #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #ชิงหมิงซ่างเหอถู #เหยียนซื่อฟาน #ซ่งฮุยจง #อักษรโซ่วจิน
    0 Comments 0 Shares 55 Views 0 Reviews
  • “โจอี้ ภูวศิษฐ์” เผยไม่ได้เป็นคนคลั่งรัก แต่เป็นคนน่ารักให้แฟน “เจน เนลินญาน์” บอกชิลๆ ใส่เสื้อยืดเก่าๆ กางเกงยีนส์ออกเดต ไม่ซีเรียสหากใครจะมองดูสบายเกิน ขอแค่เป็นคนน่ารัก เป็นคนเมตตาต่อคนในสังคมก็พอแล้ว

    เปิดตัวคบหาดูใจกับนางเอกเอ็มวีของตัวเองมาได้พักใหญ่แล้วสำหรับ “โจอี้ ภูวศิษฐ์ อนันต์พรสิริ” และ “เจน เนลินญาน์ อภินารานิธิวงศ์” นางเอกเอ็มวีเพลงฮิต “นะหน้าทอง” ทำหลายคนมองโจอี้เปลี่ยนไป เพราะดูโจอี้เป็นคนคลั่งรักเอามากๆ ซึ่ง โจอี้ เผยเรื่องนี้ว่า…

    “ผมไม่เคยปิดเลย ผมรู้สึกว่าใช้ชีวิตประจำวัน การมีแฟนมีคู่เป็นธรรมชาติของวัยรุ่น หลังๆ ก็ลงโซเชียลเหมือนวัยรุ่น เราไม่ได้บอกว่าเรามีแฟนหรือไม่มีแฟน ก็เห็นเดินตามตลาดจูงมือกัน ก็นั่นแหละแฟนผม หรือผมโพสต์รูปลงก็เป็นแฟน ผมว่าเป็นธรรมดาปกติของชีวิตวัยหนุ่มของผม ผมไม่ได้เป็นคนโรแมนติกเลย เป็นคนน่ารักให้เขา แบบที่เห็นนี่แหละครับ เขาชอบผมครับ เราจีบกันและกันนั่นแหละ”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000023874

    #MGROnline #โจอี้ภูวศิษฐ์ #เจนเนลินญาน์
    “โจอี้ ภูวศิษฐ์” เผยไม่ได้เป็นคนคลั่งรัก แต่เป็นคนน่ารักให้แฟน “เจน เนลินญาน์” บอกชิลๆ ใส่เสื้อยืดเก่าๆ กางเกงยีนส์ออกเดต ไม่ซีเรียสหากใครจะมองดูสบายเกิน ขอแค่เป็นคนน่ารัก เป็นคนเมตตาต่อคนในสังคมก็พอแล้ว • เปิดตัวคบหาดูใจกับนางเอกเอ็มวีของตัวเองมาได้พักใหญ่แล้วสำหรับ “โจอี้ ภูวศิษฐ์ อนันต์พรสิริ” และ “เจน เนลินญาน์ อภินารานิธิวงศ์” นางเอกเอ็มวีเพลงฮิต “นะหน้าทอง” ทำหลายคนมองโจอี้เปลี่ยนไป เพราะดูโจอี้เป็นคนคลั่งรักเอามากๆ ซึ่ง โจอี้ เผยเรื่องนี้ว่า… • “ผมไม่เคยปิดเลย ผมรู้สึกว่าใช้ชีวิตประจำวัน การมีแฟนมีคู่เป็นธรรมชาติของวัยรุ่น หลังๆ ก็ลงโซเชียลเหมือนวัยรุ่น เราไม่ได้บอกว่าเรามีแฟนหรือไม่มีแฟน ก็เห็นเดินตามตลาดจูงมือกัน ก็นั่นแหละแฟนผม หรือผมโพสต์รูปลงก็เป็นแฟน ผมว่าเป็นธรรมดาปกติของชีวิตวัยหนุ่มของผม ผมไม่ได้เป็นคนโรแมนติกเลย เป็นคนน่ารักให้เขา แบบที่เห็นนี่แหละครับ เขาชอบผมครับ เราจีบกันและกันนั่นแหละ” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000023874 • #MGROnline #โจอี้ภูวศิษฐ์ #เจนเนลินญาน์
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 Reviews
  • 15 ปี สิ้น “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ผู้กำกับนักสู้แห่งเทือกเขาบูโด ตำนานย้ายยากเย็น เซ่นสลับบัญชี โชคร้ายตายก่อนขึ้นรองผู้การ

    🚔 “คงอยากจะขอยศพันตำรวจเอกให้ผม ตอนที่ผมตายแล้ว” คำพูดที่ยังคงก้องในหัวใจคนไทยหลายคน… 🕊️

    🌿 ตำนานที่ยังไม่ลืม ผ่านมากว่า 15 ปี แล้ว... แต่เรื่องราวของ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” หรือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา ภ.จว.ยะลา ยังถูกเล่าขานในฐานะ “นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด” ผู้ทุ่มเทชีวิตเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินปลายด้ามขวาน 🗡️ แม้จะแลกด้วยความเหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด และสุดท้าย... ชีวิต

    👮‍♂️ “สมเพียร เอกสมญา” หรือชื่อเล่นว่า “เนี้ยบ” เกิดเมื่อปี 2493 ในครอบครัวยากจนที่จังหวัดสงขลา ชีวิตในวัยเด็กเต็มไปด้วยความลำบาก ต้องช่วยพ่อแม่กรีดยาง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว แต่ความยากจน ไม่สามารถปิดกั้นความฝันได้ 🎓

    หลังเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 สมเพียรตัดสินใจเป็นศิษย์วัดเพื่อเรียนต่อ และก้าวขึ้นสู่การเป็นนักเรียนตำรวจ ต้องเปลี่ยนนามสกุลจาก “แซ่เจ่ง” เป็น “เอกสมญา” เพื่อเข้ารับราชการในยุคนั้น

    จุดเริ่มต้นของนักรบแดนใต้ ปี 2513 สมเพียรเริ่มต้นอาชีพตำรวจที่ สถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ภ.จว.ยะลา ในช่วงเวลาที่ภาคใต้ร้อนระอุ จากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พคม.) และกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน

    ชีวิตของสมเพียร ไม่ใช่แค่การจับผู้ร้ายทั่วไป แต่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามกองโจร และการลอบสังหารเกือบทุกวัน 😔

    🔥 วีรกรรมและตำนาน “ขาเหล็ก” เหตุการณ์ปะทะที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ปี 2519 ขณะที่ครองยศ "จ่าสิบตำรวจ" ได้เข้าปะทะกับขบวนการก่อการไม่สงบ ที่จับตำรวจและครอบครัวเป็นตัวประกัน บนเขาเจาะปันตัง เหตุการณ์นั้นทำให้ จ่าเพียรเกือบเสียขาข้างซ้าย ต้องใส่เหล็กดามขามาตลอดชีวิต จนได้ฉายาว่า “จ่าเพียร ขาเหล็ก” 🦿

    🦾 “ผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ และจะไม่ขอตายในชุดนักรบ” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา

    🦅 ปฏิบัติการ “ยูงทอง” ชุดปฏิบัติการปราบปราม กลุ่มก่อการไม่สงบในบันนังสตา มีชื่อเสียงอย่างมากภาย ใต้การนำของจ่าเพียร เคยนำทีมเข้าปะทะกองกำลังกว่า 30 คน ในปี 2526 แม้ตัวเองจะโดนยิงที่ต้นขาขวา แต่ยังสู้ไม่ถอย ✊

    🏡 ความฝันสุดท้ายของจ่าเพียร อยากกลับบ้าน...แค่ใช้ชีวิตกับครอบครัว ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พ.ต.อ.สมเพียร ยื่นเรื่องขอย้ายกลับไปอยู่ สภ.กันตัง จ.ตรัง บ้านเกิดของภรรยา เพื่อใช้ชีวิตเงียบสงบช่วง 18 เดือนก่อนเกษียณ แต่การโยกย้ายกลับไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีชื่อติดในโผโยกย้ายตั้งแต่แรก แต่ในขั้นตอนสุดท้าย กลับถูกสับเปลี่ยนชื่อ สลับบัญชี เพื่อหลีกทางให้คนของนักการเมือง 🍃

    จ่าเพียรไม่ยอมรับโผอัปยศ จึงเดินทางจากชายแดนใต้สู่กรุงเทพฯ ไปทวงถามความเป็นธรรม ถึงทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับคำปลอบใจว่า จะเยียวยาโดยให้ขึ้นตำแหน่ง "รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด" ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ

    💬 “ไม่มีการแต่งตั้งตำรวจครั้งไหนที่แย่เท่าครั้งนี้อีกแล้ว” แม้ว่าจ่าเพยีจะพูดด้วยน้ำตา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

    💔 วันแห่งความสูญเสีย ปฏิบัติการสุดท้ายที่บ้านทับช้าง ในเช้าวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553 จ่าเพียร พร้อมด้วยลูกน้อง 4 นาย และ อส.คนสนิทอีก 1 นาย นั่งรถยนต์ปิกอัพ โตโยต้าไฮลักซ์วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา และอส.คนสนิท อีก 1 นาย ออกลาดตระเวนในพื้นที่บ้านทับช้าง แต่ถูกกลุ่มก่อการไม่สงบ กดระเบิด และกราดยิงด้วยอาวุธสงครามอย่างหนัก จ่าเพียรได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ลูกน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 นาย และอีก 1 นายเสียชีวิต 🔫

    ⚰️ อายุ 59 ปี สิ้นสุดเส้นทางของนักรบผู้ภักดีต่อหน้าที่ บทเรียนชีวิตและความจริงที่เจ็บปวด การต่อสู้ของจ่าเพียร ไม่ใช่แค่ศึกในสนามรบ แต่ยังเป็นศึกในระบบราชการที่ซับซ้อน และมีปัญหาเรื่องอุปถัมภ์ จ่าเพียรไม่ได้รับโอกาสเลื่อนยศหรือโยกย้าย จนกว่าจะเสียชีวิตแล้ว ถึงได้เลื่อนยศ 7 ขั้น เป็น "พลตำรวจเอก" 🕊️

    ⚖️ ระบบที่ควรตอบแทนคนทุ่มเท กลับถูกแทนที่ด้วยสายสัมพันธ์และอำนาจ มรดกและแรงบันดาลใจ
    หลังจากการเสียชีวิตของจ่าเพียร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวจำนวน 3 ล้านบาท และรับผิดชอบการศึกษาของลูก จนจบปริญญาตรี แต่สิ่งที่จ่าเพียรทิ้งไว้ไม่ใช่แค่เงินทอง

    ❤️ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” กลายเป็นสัญลักษณ์ของตำรวจที่ทุ่มเท และไม่ยอมแพ้ต่ออุปถัมภ์

    🗣️ คำพูดสุดท้ายที่ยังตราตรึง "ผมไม่ได้อยากย้ายเพื่อความก้าวหน้า แต่อยากกลับไปอยู่กับครอบครัว ผมทำงานมา 40 ปี แทบไม่มีเวลาให้พวกเขาเลย"

    ❓ คำถามที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปี แต่เรื่องราวของจ่าเพียร ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาระบบราชการไทย หลายคนยังสงสัยว่า…

    - ทำไมตำรวจน้ำดี ต้องตายก่อนจึงได้รับการยกย่อง?
    - ทำไมระบบโยกย้าย ถึงเต็มไปด้วยข้อครหา?
    - ใครจะปกป้องผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ไม่มีเส้นสาย?

    🤝 เสียงจากคนในพื้นที่ “จ่าเพียรกลับมาแล้ว” ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน

    🕊️ “กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส รู้จักจ่าเพียรในฐานะคนที่ไม่เคยทิ้งพื้นที่”

    🌳 "คนที่เคยเป็นเยาวชนไม่มีอนาคต กลายมาเป็นอาสาสมัครในทีมของจ่าเพียร ด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่น"

    🕯️ ตำนานที่ไม่ควรจางหาย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ชื่อ "สมเพียร เอกสมญา" ไม่ได้ตายเพราะกระสุนหรือระเบิด แต่เพราะระบบที่ล้มเหลวในการดูแลคนดี 💐

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121155 มี.ค. 2568

    #จ่าเพียรขาเหล็ก #ฮีโร่แดนใต้ #ผู้กำกับนักสู้ #สมเพียรเอกสมญา #ชายแดนใต้ #นักรบแห่งบูโด #ตำรวจไทย #ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ #วีรบุรุษแดนใต้ #ระบบอุปถัมภ์

    15 ปี สิ้น “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ผู้กำกับนักสู้แห่งเทือกเขาบูโด ตำนานย้ายยากเย็น เซ่นสลับบัญชี โชคร้ายตายก่อนขึ้นรองผู้การ 🚔 “คงอยากจะขอยศพันตำรวจเอกให้ผม ตอนที่ผมตายแล้ว” คำพูดที่ยังคงก้องในหัวใจคนไทยหลายคน… 🕊️ 🌿 ตำนานที่ยังไม่ลืม ผ่านมากว่า 15 ปี แล้ว... แต่เรื่องราวของ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” หรือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา ภ.จว.ยะลา ยังถูกเล่าขานในฐานะ “นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด” ผู้ทุ่มเทชีวิตเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินปลายด้ามขวาน 🗡️ แม้จะแลกด้วยความเหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด และสุดท้าย... ชีวิต 👮‍♂️ “สมเพียร เอกสมญา” หรือชื่อเล่นว่า “เนี้ยบ” เกิดเมื่อปี 2493 ในครอบครัวยากจนที่จังหวัดสงขลา ชีวิตในวัยเด็กเต็มไปด้วยความลำบาก ต้องช่วยพ่อแม่กรีดยาง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว แต่ความยากจน ไม่สามารถปิดกั้นความฝันได้ 🎓 หลังเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 สมเพียรตัดสินใจเป็นศิษย์วัดเพื่อเรียนต่อ และก้าวขึ้นสู่การเป็นนักเรียนตำรวจ ต้องเปลี่ยนนามสกุลจาก “แซ่เจ่ง” เป็น “เอกสมญา” เพื่อเข้ารับราชการในยุคนั้น จุดเริ่มต้นของนักรบแดนใต้ ปี 2513 สมเพียรเริ่มต้นอาชีพตำรวจที่ สถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ภ.จว.ยะลา ในช่วงเวลาที่ภาคใต้ร้อนระอุ จากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พคม.) และกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน ชีวิตของสมเพียร ไม่ใช่แค่การจับผู้ร้ายทั่วไป แต่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามกองโจร และการลอบสังหารเกือบทุกวัน 😔 🔥 วีรกรรมและตำนาน “ขาเหล็ก” เหตุการณ์ปะทะที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ปี 2519 ขณะที่ครองยศ "จ่าสิบตำรวจ" ได้เข้าปะทะกับขบวนการก่อการไม่สงบ ที่จับตำรวจและครอบครัวเป็นตัวประกัน บนเขาเจาะปันตัง เหตุการณ์นั้นทำให้ จ่าเพียรเกือบเสียขาข้างซ้าย ต้องใส่เหล็กดามขามาตลอดชีวิต จนได้ฉายาว่า “จ่าเพียร ขาเหล็ก” 🦿 🦾 “ผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ และจะไม่ขอตายในชุดนักรบ” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา 🦅 ปฏิบัติการ “ยูงทอง” ชุดปฏิบัติการปราบปราม กลุ่มก่อการไม่สงบในบันนังสตา มีชื่อเสียงอย่างมากภาย ใต้การนำของจ่าเพียร เคยนำทีมเข้าปะทะกองกำลังกว่า 30 คน ในปี 2526 แม้ตัวเองจะโดนยิงที่ต้นขาขวา แต่ยังสู้ไม่ถอย ✊ 🏡 ความฝันสุดท้ายของจ่าเพียร อยากกลับบ้าน...แค่ใช้ชีวิตกับครอบครัว ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พ.ต.อ.สมเพียร ยื่นเรื่องขอย้ายกลับไปอยู่ สภ.กันตัง จ.ตรัง บ้านเกิดของภรรยา เพื่อใช้ชีวิตเงียบสงบช่วง 18 เดือนก่อนเกษียณ แต่การโยกย้ายกลับไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีชื่อติดในโผโยกย้ายตั้งแต่แรก แต่ในขั้นตอนสุดท้าย กลับถูกสับเปลี่ยนชื่อ สลับบัญชี เพื่อหลีกทางให้คนของนักการเมือง 🍃 จ่าเพียรไม่ยอมรับโผอัปยศ จึงเดินทางจากชายแดนใต้สู่กรุงเทพฯ ไปทวงถามความเป็นธรรม ถึงทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับคำปลอบใจว่า จะเยียวยาโดยให้ขึ้นตำแหน่ง "รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด" ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ 💬 “ไม่มีการแต่งตั้งตำรวจครั้งไหนที่แย่เท่าครั้งนี้อีกแล้ว” แม้ว่าจ่าเพยีจะพูดด้วยน้ำตา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง 💔 วันแห่งความสูญเสีย ปฏิบัติการสุดท้ายที่บ้านทับช้าง ในเช้าวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553 จ่าเพียร พร้อมด้วยลูกน้อง 4 นาย และ อส.คนสนิทอีก 1 นาย นั่งรถยนต์ปิกอัพ โตโยต้าไฮลักซ์วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา และอส.คนสนิท อีก 1 นาย ออกลาดตระเวนในพื้นที่บ้านทับช้าง แต่ถูกกลุ่มก่อการไม่สงบ กดระเบิด และกราดยิงด้วยอาวุธสงครามอย่างหนัก จ่าเพียรได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ลูกน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 นาย และอีก 1 นายเสียชีวิต 🔫 ⚰️ อายุ 59 ปี สิ้นสุดเส้นทางของนักรบผู้ภักดีต่อหน้าที่ บทเรียนชีวิตและความจริงที่เจ็บปวด การต่อสู้ของจ่าเพียร ไม่ใช่แค่ศึกในสนามรบ แต่ยังเป็นศึกในระบบราชการที่ซับซ้อน และมีปัญหาเรื่องอุปถัมภ์ จ่าเพียรไม่ได้รับโอกาสเลื่อนยศหรือโยกย้าย จนกว่าจะเสียชีวิตแล้ว ถึงได้เลื่อนยศ 7 ขั้น เป็น "พลตำรวจเอก" 🕊️ ⚖️ ระบบที่ควรตอบแทนคนทุ่มเท กลับถูกแทนที่ด้วยสายสัมพันธ์และอำนาจ มรดกและแรงบันดาลใจ หลังจากการเสียชีวิตของจ่าเพียร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวจำนวน 3 ล้านบาท และรับผิดชอบการศึกษาของลูก จนจบปริญญาตรี แต่สิ่งที่จ่าเพียรทิ้งไว้ไม่ใช่แค่เงินทอง ❤️ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” กลายเป็นสัญลักษณ์ของตำรวจที่ทุ่มเท และไม่ยอมแพ้ต่ออุปถัมภ์ 🗣️ คำพูดสุดท้ายที่ยังตราตรึง "ผมไม่ได้อยากย้ายเพื่อความก้าวหน้า แต่อยากกลับไปอยู่กับครอบครัว ผมทำงานมา 40 ปี แทบไม่มีเวลาให้พวกเขาเลย" ❓ คำถามที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปี แต่เรื่องราวของจ่าเพียร ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาระบบราชการไทย หลายคนยังสงสัยว่า… - ทำไมตำรวจน้ำดี ต้องตายก่อนจึงได้รับการยกย่อง? - ทำไมระบบโยกย้าย ถึงเต็มไปด้วยข้อครหา? - ใครจะปกป้องผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ไม่มีเส้นสาย? 🤝 เสียงจากคนในพื้นที่ “จ่าเพียรกลับมาแล้ว” ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน 🕊️ “กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส รู้จักจ่าเพียรในฐานะคนที่ไม่เคยทิ้งพื้นที่” 🌳 "คนที่เคยเป็นเยาวชนไม่มีอนาคต กลายมาเป็นอาสาสมัครในทีมของจ่าเพียร ด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่น" 🕯️ ตำนานที่ไม่ควรจางหาย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ชื่อ "สมเพียร เอกสมญา" ไม่ได้ตายเพราะกระสุนหรือระเบิด แต่เพราะระบบที่ล้มเหลวในการดูแลคนดี 💐 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121155 มี.ค. 2568 #จ่าเพียรขาเหล็ก #ฮีโร่แดนใต้ #ผู้กำกับนักสู้ #สมเพียรเอกสมญา #ชายแดนใต้ #นักรบแห่งบูโด #ตำรวจไทย #ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ #วีรบุรุษแดนใต้ #ระบบอุปถัมภ์
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews
  • วันนี้มาคุยกันต่ออีกสักนิดกับเกร็ดความรู้ทางวัฒนธรรมจีนจากละครเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร>

    Storyฯ ขอถอดบทสนทนาจากในละครมาคุยกัน เป็นฉากที่พระเอกลู่อี้กับนางเอกจินเซี่ยไปเดินเที่ยวกันแล้วจินเซี่ยเห็นจี้หยกรูปปลา ก็ซื้อให้ลู่อี้เป็นของขวัญ เป็นฉากที่ใต้เท้าลู่สาดน้ำตาลมากมายด้วยสายตา ในฉากนี้จินเซี่ยอธิบายว่า “ทะเลเหนือมีปลา เรียกว่า ‘คุ้น’ ความใหญ่ของคุ้นนั้นมิทราบว่ากี่พันหลี่ เมื่อแปลงร่างเป็นนก เรียกว่า ‘เผิง’ ... ใต้เท้า นี่เป็นปลาที่เหินฟ้าและดำน้ำได้” (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า)

    นอกจากเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> แล้ว ยังมีในละครจีนมีอีกไม่น้อยที่มีการกล่าวถึงปลาคุนนี้ อย่างเช่นในเรื่อง <อวลกลิ่นละอองรัก> ก็เช่นกัน

    ‘คุ้น’ (鲲) แรกปรากฏอยู่ในหนังสือ ‘เลี่ยจื่อทังเวิ่น’ (列子·汤问) ซึ่งเป็นหนังสือรวมเรื่องเล่าตำนานปรัมปราในยุคสมัยชุนชิว ถูกบรรยายไว้ว่าเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่มหาศาล และปรากฏอีกครั้งในบทประพันธ์ ‘เซียวเหยาโหยว’ (ทัศนาจรไร้กังวล / 逍遥游) ของจวงจื่อ (庄子 ปี 369-286 ก่อนคริสตกาล) ผู้นำด้านความคิดและปรัชญาเต๋าในยุคสมัยรณรัฐ

    ‘เซียวเหยาโหยว’ เป็นหนึ่งในบทความที่รวมเล่มอยู่ในหนังสือปรัชญาของจวงจื่อโดยหนังสือนี้มีชื่อว่า ‘จวงจื่อ’ ตามผู้แต่ง (ต่อมาภายหลังถูกเรียกขานว่าคัมภีร์ ‘หนานหัวเจินจิง’) โดยเป็นการเล่าถึงปลาคุ้นที่กลายร่างเป็นนกเผิงขนาดมหึมาบินจากทะเลเหนือลงใต้ กระพือปีกทีหนึ่งก็เกิดคลื่นลม ระหว่างการเดินทางนี้เล่าถึงการกระทำของนกเล็กต่างๆ รวมถึงกล่าวถึงผู้คนในเมืองที่เป็นทางผ่าน เป็นการเปรียบเทียบเชิงปรัชญาว่า สิ่งที่ใหญ่มีผลกระทบได้กว้างไกล สิ่งที่เล็กมีผลกระทบได้น้อย ไม่เพียงแต่สัตว์ มนุษย์ก็เช่นกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกสรรพสิ่งไม่ว่าเล็กใหญ่ล้วนมีขีดจำกัดของมันและถูกจองจำด้วยวิถีชีวิตและหน้าที่ของมัน เมื่อใดที่เราสามารถปล่อยวางทุกสิ่งได้จึงจะสามารถท่องโลกกว้างนี้ได้ไร้กังวลอย่างแท้จริง และ ‘คุ้น’ จึงเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณที่ไร้พันธนาการ

    ในเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> จินเซี่ยเปรียบใต้เท้าลู่เป็นปลายักษ์ที่เรียกว่า ‘คุ้น’ หลายครั้ง ทั้งตอนตัดกระดาษเป็นรูปปลา ทั้งตอนเลือกไม้เสียบผม ‘เน่าร้างร้าง’ (ที่ Storyฯ เคยเขียนถึงเมื่อนานมาแล้ว) และในฉากที่กล่าวถึงข้างต้น ปลาคุ้นยักษ์ที่บินได้นี้ ไม่เพียงสะท้อนถึงชุดมัจฉาบินอันเป็นสัญลักษณ์ขององครักษ์เสื้อแพร แต่ยังเปรียบถึงความเก่งกาจของลู่อี้ที่เป็นดังปลาที่เหินฟ้าได้และดำน้ำได้ และเป็นคนที่ไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมาตีกรอบให้ตนเองได้

    เพื่อนเพจผ่านตาเรื่อง ‘คุ้น’ ในละครเรื่องใดกันอีกบ้าง พอจำกันได้ไหม?
    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.sohu.com/a/372005451_120549941
    https://aiko933227.pixnet.net/blog/post/355134478
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.zdic.net/hans/%E9%80%8D%E9%81%A5%E6%B8%B8
    https://so.gushiwen.cn/shiwenv_5bfecbe60620.aspx
    https://baike.baidu.com/item/逍遥游/1506
    https://baike.baidu.com/item/列子·汤问/6023097

    #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #อวลกลิ่นละอองรัก #ปลาคุ้น #นกเผิง #เลี่ยจื่อทังเวิ่น #เซียวเหยาโหยว
    วันนี้มาคุยกันต่ออีกสักนิดกับเกร็ดความรู้ทางวัฒนธรรมจีนจากละครเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> Storyฯ ขอถอดบทสนทนาจากในละครมาคุยกัน เป็นฉากที่พระเอกลู่อี้กับนางเอกจินเซี่ยไปเดินเที่ยวกันแล้วจินเซี่ยเห็นจี้หยกรูปปลา ก็ซื้อให้ลู่อี้เป็นของขวัญ เป็นฉากที่ใต้เท้าลู่สาดน้ำตาลมากมายด้วยสายตา ในฉากนี้จินเซี่ยอธิบายว่า “ทะเลเหนือมีปลา เรียกว่า ‘คุ้น’ ความใหญ่ของคุ้นนั้นมิทราบว่ากี่พันหลี่ เมื่อแปลงร่างเป็นนก เรียกว่า ‘เผิง’ ... ใต้เท้า นี่เป็นปลาที่เหินฟ้าและดำน้ำได้” (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า) นอกจากเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> แล้ว ยังมีในละครจีนมีอีกไม่น้อยที่มีการกล่าวถึงปลาคุนนี้ อย่างเช่นในเรื่อง <อวลกลิ่นละอองรัก> ก็เช่นกัน ‘คุ้น’ (鲲) แรกปรากฏอยู่ในหนังสือ ‘เลี่ยจื่อทังเวิ่น’ (列子·汤问) ซึ่งเป็นหนังสือรวมเรื่องเล่าตำนานปรัมปราในยุคสมัยชุนชิว ถูกบรรยายไว้ว่าเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่มหาศาล และปรากฏอีกครั้งในบทประพันธ์ ‘เซียวเหยาโหยว’ (ทัศนาจรไร้กังวล / 逍遥游) ของจวงจื่อ (庄子 ปี 369-286 ก่อนคริสตกาล) ผู้นำด้านความคิดและปรัชญาเต๋าในยุคสมัยรณรัฐ ‘เซียวเหยาโหยว’ เป็นหนึ่งในบทความที่รวมเล่มอยู่ในหนังสือปรัชญาของจวงจื่อโดยหนังสือนี้มีชื่อว่า ‘จวงจื่อ’ ตามผู้แต่ง (ต่อมาภายหลังถูกเรียกขานว่าคัมภีร์ ‘หนานหัวเจินจิง’) โดยเป็นการเล่าถึงปลาคุ้นที่กลายร่างเป็นนกเผิงขนาดมหึมาบินจากทะเลเหนือลงใต้ กระพือปีกทีหนึ่งก็เกิดคลื่นลม ระหว่างการเดินทางนี้เล่าถึงการกระทำของนกเล็กต่างๆ รวมถึงกล่าวถึงผู้คนในเมืองที่เป็นทางผ่าน เป็นการเปรียบเทียบเชิงปรัชญาว่า สิ่งที่ใหญ่มีผลกระทบได้กว้างไกล สิ่งที่เล็กมีผลกระทบได้น้อย ไม่เพียงแต่สัตว์ มนุษย์ก็เช่นกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกสรรพสิ่งไม่ว่าเล็กใหญ่ล้วนมีขีดจำกัดของมันและถูกจองจำด้วยวิถีชีวิตและหน้าที่ของมัน เมื่อใดที่เราสามารถปล่อยวางทุกสิ่งได้จึงจะสามารถท่องโลกกว้างนี้ได้ไร้กังวลอย่างแท้จริง และ ‘คุ้น’ จึงเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณที่ไร้พันธนาการ ในเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> จินเซี่ยเปรียบใต้เท้าลู่เป็นปลายักษ์ที่เรียกว่า ‘คุ้น’ หลายครั้ง ทั้งตอนตัดกระดาษเป็นรูปปลา ทั้งตอนเลือกไม้เสียบผม ‘เน่าร้างร้าง’ (ที่ Storyฯ เคยเขียนถึงเมื่อนานมาแล้ว) และในฉากที่กล่าวถึงข้างต้น ปลาคุ้นยักษ์ที่บินได้นี้ ไม่เพียงสะท้อนถึงชุดมัจฉาบินอันเป็นสัญลักษณ์ขององครักษ์เสื้อแพร แต่ยังเปรียบถึงความเก่งกาจของลู่อี้ที่เป็นดังปลาที่เหินฟ้าได้และดำน้ำได้ และเป็นคนที่ไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมาตีกรอบให้ตนเองได้ เพื่อนเพจผ่านตาเรื่อง ‘คุ้น’ ในละครเรื่องใดกันอีกบ้าง พอจำกันได้ไหม? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.sohu.com/a/372005451_120549941 https://aiko933227.pixnet.net/blog/post/355134478 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.zdic.net/hans/%E9%80%8D%E9%81%A5%E6%B8%B8 https://so.gushiwen.cn/shiwenv_5bfecbe60620.aspx https://baike.baidu.com/item/逍遥游/1506 https://baike.baidu.com/item/列子·汤问/6023097 #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #อวลกลิ่นละอองรัก #ปลาคุ้น #นกเผิง #เลี่ยจื่อทังเวิ่น #เซียวเหยาโหยว
    WWW.SOHU.COM
    锦衣之下:袁今夏身世显贵,小蓝真实身份更是显赫_严世蕃
    陆绎替袁今夏挡毒镖之后,袁今夏身上的正义感爆棚,就算下大雨被追杀,也从没有放开过陆绎的手。 袁今夏的真实身份是前首辅夏然的后人,如果不是当年夏家被陷害,袁今夏的身份应该和现在的严世蕃一样高高在上…
    0 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • ไอ้เต้พระราม 7 ปากหมาไม่เข้าเรื่อง หาความจริงใจจากมันไม่ได้เลยสักแต้ม สู้พี่เต้อาชีวะเขาไม่ได้ ทั้งเรื่องของสปิริตและความใจถึงที่พี่เต้อาชีวะมีแต้มต่ออย่างเยอะ ส่วนไอ้เต้พระราม7หมดราคาละ ตั้งแต่อวดความเป็นศิษย์เก่าพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จน ศิษย์เก่าและปัจจุบันของ มจพ. พากันยี้ เอือมระอาและไม่เอาคนๆนี้ ไม่ใช่แค่ มจพ. นะ ทั้ง 3 พระจอมเลยแหละครับ ผมศิษย์เก่าจบใหม่ๆจากพระจอมเกล้าลาดกระบังก็ไม่เอามนุษย์กลับกลอกอย่างไอ้เต้พระราม7เช่นกัน
    ไอ้เต้พระราม 7 ปากหมาไม่เข้าเรื่อง หาความจริงใจจากมันไม่ได้เลยสักแต้ม สู้พี่เต้อาชีวะเขาไม่ได้ ทั้งเรื่องของสปิริตและความใจถึงที่พี่เต้อาชีวะมีแต้มต่ออย่างเยอะ ส่วนไอ้เต้พระราม7หมดราคาละ ตั้งแต่อวดความเป็นศิษย์เก่าพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จน ศิษย์เก่าและปัจจุบันของ มจพ. พากันยี้ เอือมระอาและไม่เอาคนๆนี้ ไม่ใช่แค่ มจพ. นะ ทั้ง 3 พระจอมเลยแหละครับ ผมศิษย์เก่าจบใหม่ๆจากพระจอมเกล้าลาดกระบังก็ไม่เอามนุษย์กลับกลอกอย่างไอ้เต้พระราม7เช่นกัน
    สะพัด! ป.ป.ช.เอกฉันท์ 7:0 ชี้มูล “เต้ มงคลกิตติ์“ ผิดจริยธรรม โพสต์ใส่ร้าย "ศักดิ์สยาม" แพร่โควิดโดยการไปเที่ยวสถานบันเทิงย่านทองหล่อ เตรียมยื่นฟ้องศาลฏีกาโดยตรง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000023170

    #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • บทนี้พูดถึงการเปรียบเทียบสองระบบปฏิบัติการ Linux ยอดนิยมอย่าง Ubuntu และ Debian ที่ถึงแม้จะมีความเกี่ยวข้องกัน โดย Ubuntu พัฒนาต่อมาจาก Debian แต่ทั้งสองก็มีความแตกต่างในหลายด้านที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถช่วยผู้ใช้งานตัดสินใจเลือกใช้งานระบบปฏิบัติการที่เหมาะสมกับความต้องการได้

    จุดเด่นและข้อแตกต่างสำคัญ
    1) ปรัชญาการพัฒนา Debian เน้นความมั่นคงและหลักการของซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ในความเสถียร ขณะที่ Ubuntu มุ่งเน้นการใช้งานที่ง่ายและรองรับซอฟต์แวร์ที่หลากหลาย รวมถึงซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์

    2) รอบการออกเวอร์ชัน Debian ใช้เวลาประมาณ 2 ปีต่อการอัพเดตแต่ละครั้งเพื่อความมั่นคง ส่วน Ubuntu มีการอัพเดตทุก 6 เดือน และมี Long-Term Support (LTS) ทุก 2 ปี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความทันสมัย

    3) การใช้งานที่ง่าย Ubuntu ได้รับการยกย่องว่าใช้งานง่ายที่สุดในบรรดาระบบปฏิบัติการ Linux เหมาะสำหรับมือใหม่ ในขณะที่ Debian อาจต้องการความเข้าใจพื้นฐานเล็กน้อยก่อนใช้งาน

    4) การจัดการแพ็คเกจซอฟต์แวร์ Debian ให้ความสำคัญกับความเสถียรของซอฟต์แวร์ แต่ Ubuntu มีซอฟต์แวร์ให้เลือกใช้งานมากกว่า เนื่องจากสนับสนุน Snap ทำให้ติดตั้งซอฟต์แวร์ได้สะดวก

    5) การสนับสนุน Debian อาศัยการสนับสนุนจากชุมชน ส่วน Ubuntu มีทั้งการสนับสนุนแบบมืออาชีพจาก Canonical และชุมชน

    6) ซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งมากับระบบ Debian มีซอฟต์แวร์น้อยและเป็นระบบเบา ในขณะที่ Ubuntu มีซอฟต์แวร์หลากหลาย พร้อมด้วยไดรเวอร์และโค้ดสำหรับใช้งานทันที

    7) การจัดการสิทธิ์ Root Debian ต้องเพิ่มผู้ใช้งานในกลุ่ม sudo เอง แต่ Ubuntu ตั้งค่าผู้ใช้ในกลุ่มนี้อัตโนมัติ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน

    Debian ถูกเรียกว่า "ต้นน้ำของ Linux" เพราะมีระบบปฏิบัติการอื่น ๆ พัฒนาต่อจากมันจำนวนมาก รวมถึง Ubuntu และสายพันธุ์ย่อยของ Ubuntu เช่น Ubuntu Budgie

    สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาเลือกใช้งาน หากคุณเป็นมือใหม่ Ubuntu อาจเหมาะสมกว่า แต่ถ้าคุณต้องการความมั่นคงและมีความรู้ด้านเทคนิคเล็กน้อย Debian ก็น่าสนใจมาก

    https://www.zdnet.com/article/ubuntu-vs-debian-7-key-differences-help-determine-which-distro-is-right-for-you/
    บทนี้พูดถึงการเปรียบเทียบสองระบบปฏิบัติการ Linux ยอดนิยมอย่าง Ubuntu และ Debian ที่ถึงแม้จะมีความเกี่ยวข้องกัน โดย Ubuntu พัฒนาต่อมาจาก Debian แต่ทั้งสองก็มีความแตกต่างในหลายด้านที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถช่วยผู้ใช้งานตัดสินใจเลือกใช้งานระบบปฏิบัติการที่เหมาะสมกับความต้องการได้ จุดเด่นและข้อแตกต่างสำคัญ 1) ปรัชญาการพัฒนา Debian เน้นความมั่นคงและหลักการของซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ในความเสถียร ขณะที่ Ubuntu มุ่งเน้นการใช้งานที่ง่ายและรองรับซอฟต์แวร์ที่หลากหลาย รวมถึงซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ 2) รอบการออกเวอร์ชัน Debian ใช้เวลาประมาณ 2 ปีต่อการอัพเดตแต่ละครั้งเพื่อความมั่นคง ส่วน Ubuntu มีการอัพเดตทุก 6 เดือน และมี Long-Term Support (LTS) ทุก 2 ปี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความทันสมัย 3) การใช้งานที่ง่าย Ubuntu ได้รับการยกย่องว่าใช้งานง่ายที่สุดในบรรดาระบบปฏิบัติการ Linux เหมาะสำหรับมือใหม่ ในขณะที่ Debian อาจต้องการความเข้าใจพื้นฐานเล็กน้อยก่อนใช้งาน 4) การจัดการแพ็คเกจซอฟต์แวร์ Debian ให้ความสำคัญกับความเสถียรของซอฟต์แวร์ แต่ Ubuntu มีซอฟต์แวร์ให้เลือกใช้งานมากกว่า เนื่องจากสนับสนุน Snap ทำให้ติดตั้งซอฟต์แวร์ได้สะดวก 5) การสนับสนุน Debian อาศัยการสนับสนุนจากชุมชน ส่วน Ubuntu มีทั้งการสนับสนุนแบบมืออาชีพจาก Canonical และชุมชน 6) ซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งมากับระบบ Debian มีซอฟต์แวร์น้อยและเป็นระบบเบา ในขณะที่ Ubuntu มีซอฟต์แวร์หลากหลาย พร้อมด้วยไดรเวอร์และโค้ดสำหรับใช้งานทันที 7) การจัดการสิทธิ์ Root Debian ต้องเพิ่มผู้ใช้งานในกลุ่ม sudo เอง แต่ Ubuntu ตั้งค่าผู้ใช้ในกลุ่มนี้อัตโนมัติ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน Debian ถูกเรียกว่า "ต้นน้ำของ Linux" เพราะมีระบบปฏิบัติการอื่น ๆ พัฒนาต่อจากมันจำนวนมาก รวมถึง Ubuntu และสายพันธุ์ย่อยของ Ubuntu เช่น Ubuntu Budgie สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาเลือกใช้งาน หากคุณเป็นมือใหม่ Ubuntu อาจเหมาะสมกว่า แต่ถ้าคุณต้องการความมั่นคงและมีความรู้ด้านเทคนิคเล็กน้อย Debian ก็น่าสนใจมาก https://www.zdnet.com/article/ubuntu-vs-debian-7-key-differences-help-determine-which-distro-is-right-for-you/
    WWW.ZDNET.COM
    Ubuntu vs. Debian: 7 key differences help determine which distro is right for you
    Ubuntu is based on Debian, but they're not the same. To help you choose which to install, we compare support, pre-installed software, release cycle, user-friendliness, and more.
    0 Comments 0 Shares 63 Views 0 Reviews
  • เมื่อสองวันก่อน อยู่ดีๆ ยูทูปก็โผล่คลิปสั้นจากเรื่อง <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> มาให้ดูจน Storyฯ น้ำตาร่วงเผาะ วันนี้เลยเอามาแบ่งปันเผื่อว่าเพื่อนเพจจะ ‘อิน’ ตามไปด้วย

    เป็นฉากที่หรูอี้เอ่ยกับเฉียนหลงฮ่องเต้ว่า “ทรงทราบถึงวลี ‘หลันอินซวี่กั่ว’ หรือไม่เพคะ? วลีนี้... ตอนหม่อมฉันเรียนเมื่อยังเด็กได้แต่รู้สึกเสียใจเสียดาย แต่วันนี้หม่อมฉันเข้าใจแล้ว... บุปผาผลิบานแล้วโรยร่วงตามเวลาของมัน...” (หมายเหตุ ถอดบทสนทนามาจากในละคร แต่ Storyฯ แปลเองจ้า) เป็นประโยคที่สร้างความเจ็บปวดให้กับเฉียนหลงในภายหลังไม่น้อย

    ทั้ง ‘หลันอินซวี่กั่ว’ และ “บุปผาผลิบานแล้วโรยร่วงตามเวลาของมัน” ล้วนเป็นประโยคเด็ดที่มีมาแต่วรรณกรรมโบราณ และมีเรื่องราวให้เล่าถึง แต่อาจต้องแบ่งคุยเป็นสองตอน

    วันนี้คุยกันเรื่องวลี ‘หลันอินซวี่กั่ว’ (兰因絮果) ซึ่งเป็นสุภาษิตจีน บางทีสลับตำแหน่งเป็น ‘ซวี่กั่วหลันอิน’ ก็ได้ ความหมายของมันเป็นดังที่ในละครมีอธิบายไว้ว่า หมายถึงชีวิตคู่ที่เริ่มต้นสวยงามแต่จบลงอย่างขมขื่น เป็นวลีที่แปลยาก เพราะ ‘หลัน’ อาจแปลว่าดอกกล้วยไม้ (หลันฮวา) หรือดอกแม็กโนเลีย (อวี้หลันหรือมู่หลัน) และ ‘ซวี่’ แปลว่าปุยฝ้ายหรือดอกของต้นหลิ่วเรียกว่า ‘หลิ่วซวี่’ ส่วน ‘อิน’ นั้นแปลว่าต้นตอหรือสาเหตุ และ ‘กั่ว’ คือผล ดังนั้น วลีนี้แปลตรงตัวไม่ได้เพราะมันเป็นวลีเชิงอุปมาอุปไมย เลยขอเล่าความเป็นมาของมันก่อน เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

    ที่มาของการเรียกชีวิตคู่ที่หวานชื่นว่า ‘หลันอิน’ นั้น เป็นเรื่องราวในยุคสมัยชุนชิวของเจิ้งเหวินกง เจ้าผู้ปกครองแคว้นเจิ้งและอนุภรรยานามว่าเยี่ยนจี๋ นางผู้นี้มาจากเมืองเล็กๆ และเป็นอนุภรรยาที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของเจิ้งเหวินกง แต่ต่อมานางฝันว่ามีเทพธิดานำดอกหลันฮวามามอบให้และบอกว่าดอกไม้นี้จะทำให้นางได้รับความรักจากเจิ้งเหวินกงและจะได้บุตรที่โดดเด่นมาเป็นผู้สืบทอดแผ่นดินต่อไป ครั้นวันถัดไปนางได้พบกับเจิ้งเหวินกงโดยบังเอิญก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้เจิ้งเหวินกงฟัง ก่อเกิดเป็นความสนใจในตัวนาง จนต่อมานางได้เป็นที่โปรดปรานมากมายของเจิ้งเหวินกง และภายหลังคลอดบุตรชายนามว่า ‘หลัน’ เรื่องนี้จึงเป็นการเล่าขานกันต่อในแง่ที่ว่าเป็นความรักที่งอกงามอันมีสาเหตุมาจากดอกหลันฮวาหรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘หลันอิน’ นั่นเอง และ ‘หลันอิน’ ถูกนำมาใช้ในบทประพันธ์ไม่น้อยเพื่อเรียกการครองคู่ที่เกิดขึ้นจากความรักอันสุกงอม

    มีเรื่องเล่าต่อมาว่า เจิ้งเหวินกงมีอนุภรรยามากมาย ความโปรดปรานในตัวเยี่ยนจี๋ลดเลือนไปตามกาลเวลา อีกทั้งเขาเป็นคนอำมหิต เพื่อรักษาอำนาจของตัวเองถึงกับฆ่าลูกชายไปสองคน ส่วนเจิ้งหลันนั้นถูกขับออกจากแคว้น แต่ต่อมาได้กลับมาครองแคว้นเจิ้งในที่สุด เป็นที่รู้จักกันในนามเจิ้งมู่กง ภายใต้การปกครองของเจิ้งมู่กงและลูกชายของเขา แคว้นเจิ้งกลายเป็นหนึ่งในแคว้นที่เข้มแข็งที่สุดของยุคสมัยนั้น

    ส่วนคำว่า ‘ซวี่’ นั้น ว่ากันว่าแรกเริ่มมาจากบทกวีของหลานสาวของเซี่ยไท่ฟู่ (ไท่ฟู่คือตำแหน่งราชครู) ในสมัยราชวงศ์จิ้น ผู้ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นสตรีที่เชี่ยวชาญด้านอักษร นางเปรียบเปรยหิมะขาวที่โปรยปรายด้วยวลีที่ว่า ‘ดุจดอกหลิ่วเริงระบำในสายลม’ (未若柳絮因风起) (ขอเรียกว่าดอก แต่จริงๆ เป็นเมล็ดของต้นหลิ่ว)

    ต่อมา ‘ซวี่กั่ว’ และ ‘หลันอินซวี่กั่ว’ ปรากฏขึ้นในบทประพันธ์ยุคสมัยชิง เป็นส่วนหนึ่งของวลีที่ว่า ‘หลันอินซวี่กั่ว เซี่ยนเยี่ยสุยเซิน’ (兰因絮果, 现业谁深) Storyฯ ขอแปลและเรียบเรียงประโยคนี้ว่า ‘รักแรกผลิบานงดงามดุจหลันฮวา สุดท้ายมลายหายดุจดอกหลิ่วพลิ้วสลาย ผู้ใดเล่าจะกล่าวได้ว่า สลักลึกลงบนใจผู้ใดมากกว่ากัน’

    ‘หลันอินซวี่กั่ว’ ในเรื่อง <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> จึงเป็นการสรุปเรื่องราวความรักของเฉียนหลงและหรูอี้ได้อย่างชัดเจนด้วยอักษรเพียงสี่ตัว

    เพื่อให้อินกับประโยคนี้ ขอเชิญเพื่อนเพจหลับตาและนึกภาพดอกไม้ผลิบานพร้อมกับรอยยิ้มสุขสดชื่นให้แก่กันของหรูอี้และเฉียนหลงในละคร แล้วตัดมาเป็นภาพปุยสีขาวๆ ที่ถูกสายลมพัดแตกไปพร้อมๆ กับภาพของหรูอี้ที่สิ้นลมอย่างสงบข้างๆ กระถางต้นเหมยที่แห้งกรอบ...

    “คัท!” อาทิตย์หน้ามาคุยกันต่อกับประโยคถัดไปที่ว่า ‘บุปผาผลิบานแล้วโรยร่วงตามเวลาของมัน’ ค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://okapi.books.com.tw/article/11422
    https://ent.tom.com/201807/1011240093.html
    https://www.sohu.com/a/230867588_100149137
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.xiumu.cn/ts/2018/0824/4278239.html
    https://www.163.com/dy/article/G0GD3GUH0537ML11.html
    https://baike.baidu.com/item/未若柳絮因风起/8776864

    #หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์ #หลันอินซวี่กั่ว #เจิ้งเหวินกง #เยี่ยนจี๋
    เมื่อสองวันก่อน อยู่ดีๆ ยูทูปก็โผล่คลิปสั้นจากเรื่อง <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> มาให้ดูจน Storyฯ น้ำตาร่วงเผาะ วันนี้เลยเอามาแบ่งปันเผื่อว่าเพื่อนเพจจะ ‘อิน’ ตามไปด้วย เป็นฉากที่หรูอี้เอ่ยกับเฉียนหลงฮ่องเต้ว่า “ทรงทราบถึงวลี ‘หลันอินซวี่กั่ว’ หรือไม่เพคะ? วลีนี้... ตอนหม่อมฉันเรียนเมื่อยังเด็กได้แต่รู้สึกเสียใจเสียดาย แต่วันนี้หม่อมฉันเข้าใจแล้ว... บุปผาผลิบานแล้วโรยร่วงตามเวลาของมัน...” (หมายเหตุ ถอดบทสนทนามาจากในละคร แต่ Storyฯ แปลเองจ้า) เป็นประโยคที่สร้างความเจ็บปวดให้กับเฉียนหลงในภายหลังไม่น้อย ทั้ง ‘หลันอินซวี่กั่ว’ และ “บุปผาผลิบานแล้วโรยร่วงตามเวลาของมัน” ล้วนเป็นประโยคเด็ดที่มีมาแต่วรรณกรรมโบราณ และมีเรื่องราวให้เล่าถึง แต่อาจต้องแบ่งคุยเป็นสองตอน วันนี้คุยกันเรื่องวลี ‘หลันอินซวี่กั่ว’ (兰因絮果) ซึ่งเป็นสุภาษิตจีน บางทีสลับตำแหน่งเป็น ‘ซวี่กั่วหลันอิน’ ก็ได้ ความหมายของมันเป็นดังที่ในละครมีอธิบายไว้ว่า หมายถึงชีวิตคู่ที่เริ่มต้นสวยงามแต่จบลงอย่างขมขื่น เป็นวลีที่แปลยาก เพราะ ‘หลัน’ อาจแปลว่าดอกกล้วยไม้ (หลันฮวา) หรือดอกแม็กโนเลีย (อวี้หลันหรือมู่หลัน) และ ‘ซวี่’ แปลว่าปุยฝ้ายหรือดอกของต้นหลิ่วเรียกว่า ‘หลิ่วซวี่’ ส่วน ‘อิน’ นั้นแปลว่าต้นตอหรือสาเหตุ และ ‘กั่ว’ คือผล ดังนั้น วลีนี้แปลตรงตัวไม่ได้เพราะมันเป็นวลีเชิงอุปมาอุปไมย เลยขอเล่าความเป็นมาของมันก่อน เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ที่มาของการเรียกชีวิตคู่ที่หวานชื่นว่า ‘หลันอิน’ นั้น เป็นเรื่องราวในยุคสมัยชุนชิวของเจิ้งเหวินกง เจ้าผู้ปกครองแคว้นเจิ้งและอนุภรรยานามว่าเยี่ยนจี๋ นางผู้นี้มาจากเมืองเล็กๆ และเป็นอนุภรรยาที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของเจิ้งเหวินกง แต่ต่อมานางฝันว่ามีเทพธิดานำดอกหลันฮวามามอบให้และบอกว่าดอกไม้นี้จะทำให้นางได้รับความรักจากเจิ้งเหวินกงและจะได้บุตรที่โดดเด่นมาเป็นผู้สืบทอดแผ่นดินต่อไป ครั้นวันถัดไปนางได้พบกับเจิ้งเหวินกงโดยบังเอิญก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้เจิ้งเหวินกงฟัง ก่อเกิดเป็นความสนใจในตัวนาง จนต่อมานางได้เป็นที่โปรดปรานมากมายของเจิ้งเหวินกง และภายหลังคลอดบุตรชายนามว่า ‘หลัน’ เรื่องนี้จึงเป็นการเล่าขานกันต่อในแง่ที่ว่าเป็นความรักที่งอกงามอันมีสาเหตุมาจากดอกหลันฮวาหรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘หลันอิน’ นั่นเอง และ ‘หลันอิน’ ถูกนำมาใช้ในบทประพันธ์ไม่น้อยเพื่อเรียกการครองคู่ที่เกิดขึ้นจากความรักอันสุกงอม มีเรื่องเล่าต่อมาว่า เจิ้งเหวินกงมีอนุภรรยามากมาย ความโปรดปรานในตัวเยี่ยนจี๋ลดเลือนไปตามกาลเวลา อีกทั้งเขาเป็นคนอำมหิต เพื่อรักษาอำนาจของตัวเองถึงกับฆ่าลูกชายไปสองคน ส่วนเจิ้งหลันนั้นถูกขับออกจากแคว้น แต่ต่อมาได้กลับมาครองแคว้นเจิ้งในที่สุด เป็นที่รู้จักกันในนามเจิ้งมู่กง ภายใต้การปกครองของเจิ้งมู่กงและลูกชายของเขา แคว้นเจิ้งกลายเป็นหนึ่งในแคว้นที่เข้มแข็งที่สุดของยุคสมัยนั้น ส่วนคำว่า ‘ซวี่’ นั้น ว่ากันว่าแรกเริ่มมาจากบทกวีของหลานสาวของเซี่ยไท่ฟู่ (ไท่ฟู่คือตำแหน่งราชครู) ในสมัยราชวงศ์จิ้น ผู้ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นสตรีที่เชี่ยวชาญด้านอักษร นางเปรียบเปรยหิมะขาวที่โปรยปรายด้วยวลีที่ว่า ‘ดุจดอกหลิ่วเริงระบำในสายลม’ (未若柳絮因风起) (ขอเรียกว่าดอก แต่จริงๆ เป็นเมล็ดของต้นหลิ่ว) ต่อมา ‘ซวี่กั่ว’ และ ‘หลันอินซวี่กั่ว’ ปรากฏขึ้นในบทประพันธ์ยุคสมัยชิง เป็นส่วนหนึ่งของวลีที่ว่า ‘หลันอินซวี่กั่ว เซี่ยนเยี่ยสุยเซิน’ (兰因絮果, 现业谁深) Storyฯ ขอแปลและเรียบเรียงประโยคนี้ว่า ‘รักแรกผลิบานงดงามดุจหลันฮวา สุดท้ายมลายหายดุจดอกหลิ่วพลิ้วสลาย ผู้ใดเล่าจะกล่าวได้ว่า สลักลึกลงบนใจผู้ใดมากกว่ากัน’ ‘หลันอินซวี่กั่ว’ ในเรื่อง <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> จึงเป็นการสรุปเรื่องราวความรักของเฉียนหลงและหรูอี้ได้อย่างชัดเจนด้วยอักษรเพียงสี่ตัว เพื่อให้อินกับประโยคนี้ ขอเชิญเพื่อนเพจหลับตาและนึกภาพดอกไม้ผลิบานพร้อมกับรอยยิ้มสุขสดชื่นให้แก่กันของหรูอี้และเฉียนหลงในละคร แล้วตัดมาเป็นภาพปุยสีขาวๆ ที่ถูกสายลมพัดแตกไปพร้อมๆ กับภาพของหรูอี้ที่สิ้นลมอย่างสงบข้างๆ กระถางต้นเหมยที่แห้งกรอบ... “คัท!” อาทิตย์หน้ามาคุยกันต่อกับประโยคถัดไปที่ว่า ‘บุปผาผลิบานแล้วโรยร่วงตามเวลาของมัน’ ค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://okapi.books.com.tw/article/11422 https://ent.tom.com/201807/1011240093.html https://www.sohu.com/a/230867588_100149137 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.xiumu.cn/ts/2018/0824/4278239.html https://www.163.com/dy/article/G0GD3GUH0537ML11.html https://baike.baidu.com/item/未若柳絮因风起/8776864 #หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์ #หลันอินซวี่กั่ว #เจิ้งเหวินกง #เยี่ยนจี๋
    OKAPI.BOOKS.COM.TW
    個人意見:演出深情演得最好也最落力的,往往都是渣男──《如懿傳》教會我的事
    《如懿傳》講的就是婚姻。該宮鬥的情節雖一樣不少,但心機只是這部小說的點綴,真正著力的...
    0 Comments 0 Shares 88 Views 0 Reviews
  • กลุ่มสังเกตการซีเรียเพื่อมนุษยธรรม SOHR แถลงยอดเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 1,130 คน ตั้งแต่วันพฤหัสบดี(6 มี.ค)หลังปะทะระหว่างกองกำลังกบฏซีเรียของดามัสกัสและกองกำลังจงรักภักดีอดีตประธานาธิบดีซีเรีย บาชาร์ อัล-อัสสาด ตั้งคำถามถึงรัฐบาลใหม่ดามัสกัสว่าจะปกครองประเทศได้หรือไม่ ด้านอิหร่านรีบออกตัวไม่ได้อยู่เบื้องหลังความปั่นป่วน
    .
    เอพีรายงานวันนี้(10 มี.ค)ว่า กลุ่มสังเกตการซีเรียเพื่อมนุษยธรรม SOHR ที่มีฐานในอังกฤษรายงานยอดเสียชีวิตในการปะทะอยู่ที่ 1,130 คนรวมพลเรือน 830 คน เอพีไม่สามารถยืนตัวเลขนี้ได้ เกิดขึ้นในขณะที่บีบีซีของอังกฤษให้ตัวเลขที่กว่า 1,400 คน และพลเรือน 973 คน ส่วนเอเอฟพีให้ตัวเลขกว่า 1,300 คน
    .
    รัฐบาลรักษาการซีเรียของประธานาธิบดี อาเหม็ด อัล-ชาอะรา( Ahmed al-Sharaa) กล่าวผ่านแถลงการณ์วันจันทร์(10)ว่า ปฎิบัติการทหารที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่วันพฤหัสบดี(6)ต่อกองกำลังจงรักภักดีอดีตประธานาธิบดีซีเรีย บาชาห์ อัล-อัสสาดและครอบครัวของเขาในการต่อสู้ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามกลางเมืองซีเรีย 13 ปีสิ้นสุดลงในธันวาคมปีที่แล้ว
    .
    ซึ่งประธานาธิบดีซีเรียคนปัจจุบันนั้นเป็นผู้นำกบฎซีเรียที่มีนามแฝงคือ อาบู โมฮัมหมัด อัล-โจลานี (Abu Mohammed al-Jolani) โค่นล้มอดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสสาดสำเร็จเมื่อวันที่ 8 ธ.คปีที่แล้ว เขาประกาศที่จะตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนการสังหารครั้งนี้พร้อมยืนยันว่าผู้อยู่เบื้องหลังต้องรับผิดชอบ
    .
    แถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมซีเรียออกมาหลังการโจมตีไม่คาดฝันจากกลุ่มมือปืนจากชุมชน Alawite ต่อการตรวจการของตำรวจซีเรียใกล้เมืองลัตตาเกีย (Lattakia) ซึ่งเป็นเมืองท่าในวันพฤหัสบดี(6)ก่อนที่จะขยายไปสู่ความรุนแรงมีการปะทะเป็นวงกว้างทั่วเขตภูมิภาคชายฝั่งของซีเรียที่กลุ่มสังเกตการณ์ไม่ต่ำกว่า 1 กลุ่มยืนยันตัวเลขพลเรือนหลายร้อยโดนสังหาร
    .
    ฮัสซาน อับเดล-กานี (Hassan Abdel Ghani)โฆษกกระทรวงกลาโหมซีเรียแถลงว่า กองกำลังความมั่นคงซีเรียจะยังคงค้นหาเซลล์นอนหลับฝังตัวและที่ยังคงหลงเหลือของกลุ่มจงรักภักดีต่อรัฐบาลซีเรียชุดเดิม
    .
    เอเอฟพีรายงานเพิ่มเติมว่า อิหร่านในวันจันทร์(10)ออกมาปฎิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังความปั่นป่วนในซีเรีย
    .
    การต่อสู้ทำให้กองกำลังความมั่นคงซีเรียและกลุ่มติดอาวุธสนับสนุนอัสสาดเสียชีวิตหลายร้อยคน อ้างอิงจากกลุ่มสังเกตการณ์ที่รายงานว่ายอดเสียชีวิตทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่า 1,300 คน เอเอฟพีรายงาน
    .
    โฆษกกระทรวงต่างประเทศอิหร่าน อิสมาอิล บาคาอี (Esmaeil Baqaei) ปฎิเสธโดยสิ้นเชิงต่อข้อกล่าวหาในการแถลงวันจันทร์(10)
    .
    ข้อกล่าวหาเป็นสิ่งที่น่าขบขันโดยสิ้นเชิงและเป็นการปฎิเสธ พร้อมกล่าวว่า การชี้นิ้วขอมาที่อิหร่านและพันธมิตรของอิหร่านเป็นการตอบที่ผิดพลาด และเป็นเทรนด์ที่เบี่ยงเบนรวมไปถึงเป็นการทำให้สำคัญผิด 100%
    .
    เอเอฟพีชี้ว่า การปะทะที่นำไปสู่การเสียชีวิตกว่า 1,000 คนส่งผลทำให้เกิดความสงสัยต่อความสามารถในการปกครองซีเรียของรัฐบาลกลุ่มกบฎรักษาการในสายตาต่างประเทศ
    .
    ไฮโก วิมเมน (Heiko Wimmen ) จากองค์กรธิงแทงก์ International Crisis Group แสดงความเห็นว่า ความรุนแรงล่าสุดแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลซีเรียชุดใหม่ไม่มีความสามารถในการจัดการกับความท้าทายมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023234
    ..............
    Sondhi X
    กลุ่มสังเกตการซีเรียเพื่อมนุษยธรรม SOHR แถลงยอดเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 1,130 คน ตั้งแต่วันพฤหัสบดี(6 มี.ค)หลังปะทะระหว่างกองกำลังกบฏซีเรียของดามัสกัสและกองกำลังจงรักภักดีอดีตประธานาธิบดีซีเรีย บาชาร์ อัล-อัสสาด ตั้งคำถามถึงรัฐบาลใหม่ดามัสกัสว่าจะปกครองประเทศได้หรือไม่ ด้านอิหร่านรีบออกตัวไม่ได้อยู่เบื้องหลังความปั่นป่วน . เอพีรายงานวันนี้(10 มี.ค)ว่า กลุ่มสังเกตการซีเรียเพื่อมนุษยธรรม SOHR ที่มีฐานในอังกฤษรายงานยอดเสียชีวิตในการปะทะอยู่ที่ 1,130 คนรวมพลเรือน 830 คน เอพีไม่สามารถยืนตัวเลขนี้ได้ เกิดขึ้นในขณะที่บีบีซีของอังกฤษให้ตัวเลขที่กว่า 1,400 คน และพลเรือน 973 คน ส่วนเอเอฟพีให้ตัวเลขกว่า 1,300 คน . รัฐบาลรักษาการซีเรียของประธานาธิบดี อาเหม็ด อัล-ชาอะรา( Ahmed al-Sharaa) กล่าวผ่านแถลงการณ์วันจันทร์(10)ว่า ปฎิบัติการทหารที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่วันพฤหัสบดี(6)ต่อกองกำลังจงรักภักดีอดีตประธานาธิบดีซีเรีย บาชาห์ อัล-อัสสาดและครอบครัวของเขาในการต่อสู้ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามกลางเมืองซีเรีย 13 ปีสิ้นสุดลงในธันวาคมปีที่แล้ว . ซึ่งประธานาธิบดีซีเรียคนปัจจุบันนั้นเป็นผู้นำกบฎซีเรียที่มีนามแฝงคือ อาบู โมฮัมหมัด อัล-โจลานี (Abu Mohammed al-Jolani) โค่นล้มอดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสสาดสำเร็จเมื่อวันที่ 8 ธ.คปีที่แล้ว เขาประกาศที่จะตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนการสังหารครั้งนี้พร้อมยืนยันว่าผู้อยู่เบื้องหลังต้องรับผิดชอบ . แถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมซีเรียออกมาหลังการโจมตีไม่คาดฝันจากกลุ่มมือปืนจากชุมชน Alawite ต่อการตรวจการของตำรวจซีเรียใกล้เมืองลัตตาเกีย (Lattakia) ซึ่งเป็นเมืองท่าในวันพฤหัสบดี(6)ก่อนที่จะขยายไปสู่ความรุนแรงมีการปะทะเป็นวงกว้างทั่วเขตภูมิภาคชายฝั่งของซีเรียที่กลุ่มสังเกตการณ์ไม่ต่ำกว่า 1 กลุ่มยืนยันตัวเลขพลเรือนหลายร้อยโดนสังหาร . ฮัสซาน อับเดล-กานี (Hassan Abdel Ghani)โฆษกกระทรวงกลาโหมซีเรียแถลงว่า กองกำลังความมั่นคงซีเรียจะยังคงค้นหาเซลล์นอนหลับฝังตัวและที่ยังคงหลงเหลือของกลุ่มจงรักภักดีต่อรัฐบาลซีเรียชุดเดิม . เอเอฟพีรายงานเพิ่มเติมว่า อิหร่านในวันจันทร์(10)ออกมาปฎิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังความปั่นป่วนในซีเรีย . การต่อสู้ทำให้กองกำลังความมั่นคงซีเรียและกลุ่มติดอาวุธสนับสนุนอัสสาดเสียชีวิตหลายร้อยคน อ้างอิงจากกลุ่มสังเกตการณ์ที่รายงานว่ายอดเสียชีวิตทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่า 1,300 คน เอเอฟพีรายงาน . โฆษกกระทรวงต่างประเทศอิหร่าน อิสมาอิล บาคาอี (Esmaeil Baqaei) ปฎิเสธโดยสิ้นเชิงต่อข้อกล่าวหาในการแถลงวันจันทร์(10) . ข้อกล่าวหาเป็นสิ่งที่น่าขบขันโดยสิ้นเชิงและเป็นการปฎิเสธ พร้อมกล่าวว่า การชี้นิ้วขอมาที่อิหร่านและพันธมิตรของอิหร่านเป็นการตอบที่ผิดพลาด และเป็นเทรนด์ที่เบี่ยงเบนรวมไปถึงเป็นการทำให้สำคัญผิด 100% . เอเอฟพีชี้ว่า การปะทะที่นำไปสู่การเสียชีวิตกว่า 1,000 คนส่งผลทำให้เกิดความสงสัยต่อความสามารถในการปกครองซีเรียของรัฐบาลกลุ่มกบฎรักษาการในสายตาต่างประเทศ . ไฮโก วิมเมน (Heiko Wimmen ) จากองค์กรธิงแทงก์ International Crisis Group แสดงความเห็นว่า ความรุนแรงล่าสุดแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลซีเรียชุดใหม่ไม่มีความสามารถในการจัดการกับความท้าทายมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023234 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    7
    0 Comments 0 Shares 841 Views 0 Reviews
  • หลังจากที่ “ปุ้ย Lกฮ.” ศรีสกล สมทรง เลิกรากับลูกทุ่งสาว “ลำไย ไหทองคำ”สุพรรณษา เวชกามา ปิดฉากรัก 9 ปี โดยฝ่ายลำไย มีเรื่องราวอีนุงตุงนัง พัวพันกับแดนเซอร์ ล่าสุดวันนี้ (10 มี.ค.) ปุ้ยได้ออกมาเผยเรื่องราวบทเรียนของตัวเองบางส่วน ในรายการ คุยแซ่บshow ช่องวัน 31 ซึ่งถือว่าเป็นรายการแรก พร้อมลั่นตนเองไม่ได้รู้สึกเสียอะไรไป

    “สภาพจิตใจตอนนี้ปกติดีครับ ถามว่าเครียดถึงขั้นร้องไห้บ้างไหม ไม่หรอกครับ เพราะว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น ถ้าเราจัดการความรู้สึกตัวเองได้ก็ไม่น่ามีปัญหาครับ ส่วนที่ผ่านมาได้ ผมคิดว่ามันเป็นธรรมดาของธรรมชาติแหละครับ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผมหรือใครก็แล้วแต่ ก็มีปัญหากันทุกคน อยู่ที่เราจะวางยังไง วางได้เร็วก็จะทุกข์ไม่นาน แต่ถ้าวางได้ช้าก็จะทุกข์กันนานๆ

    เทคนิคคือวางให้เร็ว ทุกข์ได้แต่อย่าไปยึดติดอะไร เดี๋ยวพอหมดเรื่องนี้ ชีวิตคนเราผมก็ต้องทุกข์ใหม่อีก ทุกข์ต่อไปอีกเรื่อยๆ ครับ ส่วนสิ่งที่โพสต์เรื่องปัญหาเล็กหรือใหญ่ ก็แค่ความรู้สึกหนึ่ง อยากให้กำลังใจคนอื่นกลับบ้าง เพราะคนอื่นให้กำลังใจผมเยอะแล้ว ที่ผมโพสต์ก็อยากจะให้กำลังใจคนอื่นว่าไม่ว่าเรามีปัญหายังไง ทุกอย่างอยู่ที่ใจเรา อยู่ที่ความคิดเรา การที่เราหยุดที่ตัวเองจะไม่เหนื่อย ถ้าเราไปหยุดคนอื่นมันหยุดยาก หยุดที่เรา (จบที่เราเบาที่สุด?) ครับ”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000023060

    #MGROnline #ลำไยไหทองคำ #ปุ้ยLกฮ.
    หลังจากที่ “ปุ้ย Lกฮ.” ศรีสกล สมทรง เลิกรากับลูกทุ่งสาว “ลำไย ไหทองคำ”สุพรรณษา เวชกามา ปิดฉากรัก 9 ปี โดยฝ่ายลำไย มีเรื่องราวอีนุงตุงนัง พัวพันกับแดนเซอร์ ล่าสุดวันนี้ (10 มี.ค.) ปุ้ยได้ออกมาเผยเรื่องราวบทเรียนของตัวเองบางส่วน ในรายการ คุยแซ่บshow ช่องวัน 31 ซึ่งถือว่าเป็นรายการแรก พร้อมลั่นตนเองไม่ได้รู้สึกเสียอะไรไป • “สภาพจิตใจตอนนี้ปกติดีครับ ถามว่าเครียดถึงขั้นร้องไห้บ้างไหม ไม่หรอกครับ เพราะว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น ถ้าเราจัดการความรู้สึกตัวเองได้ก็ไม่น่ามีปัญหาครับ ส่วนที่ผ่านมาได้ ผมคิดว่ามันเป็นธรรมดาของธรรมชาติแหละครับ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผมหรือใครก็แล้วแต่ ก็มีปัญหากันทุกคน อยู่ที่เราจะวางยังไง วางได้เร็วก็จะทุกข์ไม่นาน แต่ถ้าวางได้ช้าก็จะทุกข์กันนานๆ • เทคนิคคือวางให้เร็ว ทุกข์ได้แต่อย่าไปยึดติดอะไร เดี๋ยวพอหมดเรื่องนี้ ชีวิตคนเราผมก็ต้องทุกข์ใหม่อีก ทุกข์ต่อไปอีกเรื่อยๆ ครับ ส่วนสิ่งที่โพสต์เรื่องปัญหาเล็กหรือใหญ่ ก็แค่ความรู้สึกหนึ่ง อยากให้กำลังใจคนอื่นกลับบ้าง เพราะคนอื่นให้กำลังใจผมเยอะแล้ว ที่ผมโพสต์ก็อยากจะให้กำลังใจคนอื่นว่าไม่ว่าเรามีปัญหายังไง ทุกอย่างอยู่ที่ใจเรา อยู่ที่ความคิดเรา การที่เราหยุดที่ตัวเองจะไม่เหนื่อย ถ้าเราไปหยุดคนอื่นมันหยุดยาก หยุดที่เรา (จบที่เราเบาที่สุด?) ครับ” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000023060 • #MGROnline #ลำไยไหทองคำ #ปุ้ยLกฮ.
    0 Comments 0 Shares 152 Views 0 Reviews
  • Mon. Mar. 10, 2025

    เช้านี้เราดูคลิปใน youtube ที่ลงไว้เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน เป็นคลิปที่ Trump Voters ออกมาเสียใจที่เลือก Trump เข้ามา...แต่เราเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะมันอาจเป็นการแสดงของคนเกลียด Trump หรือเกลียดนักการเมืองทุกคนแบบเราก็ได้ เพราะดูการพูดจา กิริยามารยาท และการแต่งตัว อาจจะไม่ใช่สาวกของ Trump ตัวจริงเสียงจริงนะ อันนี้ความคิดเราเอง สิ่งที่เราเห็นกันทุกวันนี้ มันเชื่อยากขึ้นไปทุกที

    แล้วเราก็ดูภาพนี้...
    แล้วก็ลองหาจุดเหมือนระหว่าง 2 ภาพนี้😆

    - คนซ้ายในทั้งสองภาพ ฉลาดคดโกงมากๆเหมือนกัน
    - คนขวาในทั้งสองภาพ สมองกลวงมากๆเหมือนกัน
    - คนขวาในทั้งสองภาพ หลังขึ้นรับตำแหน่ง ทั้งสองจะปั่นหุ้นบ้าง ปั่น Crypto บ้างในเดือนแรกๆ และจะเกิด free fall หลังจากนั้นเรื้อรังยาวนานเหมือนกัน
    - ทั้งสี่คนในภาพ รวยล้นฟ้า และคนแก่ทั้งสองในภาพใช้เงินและตำแหน่งลบล้างความผิดเหมือนกัน
    - ทั้งสี่คนในภาพ มีท่อน้ำเลี้ยงคือนายทุน ข้าราชการใหญ่ๆ และคนในเครื่องแบบ และได้คะแนนเสียง vote ส่วนใหญ่มาจากคนรากหญ้าเหมือนกัน
    - คนขวาในทั้งสองภาพ มีบุคลิก no สน no care กร่าง และหลงระเริงในอำนาจหลังจากได้ตำแหน่งเหมือนกัน
    - คนที่โชคร้ายที่สุดส่วนใหญ่คือ คะแนนเสียง vote ส่วนใหญ่ และประชาชนทั่วไปทั้งประเทศเหมือนกัน
    - ทั้งสองทีม ไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเหมือนกัน

    และก็หาจุดแตกต่าง (ที่ไม่อยู่ในภาพ) ระหว่าง 2 ภาพนี้😆

    - ทีมซ้ายเป็นมิตรกับเพื่อนบ้านเพราะผลประโยชน์ และเปิดประตูให้ต่างชาติ เดินเข้ามาปล้นทางทำกิน และฆ่าคนในประเทศตัวเองทั้งเป็นตรงๆ
    ส่วนทีมขวาปิดประตูและไม่เป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน และฆ่าคนในประเทศตัวเองทั้งเป็นทางอ้อม
    - ประชากรในประเทศซ้าย (66 ล้านคน) ความรู้สึกช้ามาก กว่าจะรู้สึกตัวว่าถูกขายฝัน และตั้งแต่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เป็นต้นมา ผ่านมา 19 เดือนจนถึงทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ หวาดกลัวเพราะไร้การศึกษา ไร้ที่ยึดเหนี่ยว ไร้ผู้นำและข้อมูลที่ดี และจมดิ่งด้วยหนี้สินเกินกว่าจะลุกขึ้นสู้ และก็ถูกมัดมือชกๆๆ จนกว่าจะหมดลมหายใจ
    ในขณะที่ประชาชนในประเทศขวา (340 ล้านคน) แม้รู้ตัวว่าถูกขายฝัน ตั้งแต่เดือนที่สามของการเปลี่ยนผู้นำ แต่ถึงจะรู้ตัวเร็วกว่า แต่ความเสียหายนั้นมากมายมหาศาลและบาดลึกกว่ามากหลายเท่า

    ต้องขอโทษเพื่อนๆที่รักชอบพี่ Trump นะคะ แต่เอาเป็นว่าเดี๋ยวมารอดูกันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แล้วจะรู้ว่าการมอบอำนาจให้เด็ก 5 ขวบที่สติวิปลาสดูแลประเทศใหญ่ๆ จะเป็นอย่างไร เราอยู่ NY ช่วง Covid19 มาแล้ว ช่วงที่คนตายวันละ 900 กว่าศพ (ที่เจอ) ช่วงที่บริษัทยายังคิดเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสไม่ออก ช่วงที่พี่ Trump แกพูดออกสื่อแบบไม่อายทุกวันด้วยตรรกะที่ป่วยหนักมาก ผ่านไป 4 ปี เราว่าคนเราที่อายุเท่านั้นแล้ว ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ทันก่อนลาโลกแล้ว เพราะฉะนั้น อย่าตื่นเต้นว่าเขาจะขมขู่ประเทศใดๆเลยค่ะ เขาเป็นคนเขลา ขี้ขลาด มักมากในกาม และรักตัวกลัวตายค่ะ รอดูปลาหมอปากแจ๋วและพรรคพวกเขาจมน้ำตายดีกว่า
    ส่วนพี่ทักกี้ ไม่ต้องเป็นห่วงแกนะคะ เพราะพี่ทักกี้แกไม่ขึ้นอยู่กับความผันผวนของพี่ Trump เลยค่ะ แก focus กับการสร้างโครงการปอกลอกประชาชนในประเทศเล็กๆ เก็บเล็กผสมน้อยให้วงศ์ตระกูลไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจว่าต้องมีโครงการอะไรสำเร็จเลยก็ได้จ้า

    เราขอสรุปความคิดเห็นของเรานะคะว่า
    ทุกประเทศในโลกใบนี้จะมีกลุ่มการเมืองแค่ 2 ฝ่าย
    ฝ่ายนึง ประกอบด้วย นักการเมืองทุกพรรค (รวมฝ่ายค้านด้วย) ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นายทุน และมาเฟียท้องถิ่น ผู้ใช้เงินและอำนาจผลัดกันมาขับเคลื่อนเงินทองเข้ากระเป๋าพรรคพวกและครอบครัวตนเองให้ได้มากและนานที่สุด
    .....
    อีกฝ่ายนึง ประกอบไปด้วยประชากรของประเทศนั้นๆ ผู้ดิ้นรนต่อสู้ใช้แรงกายแรงใจทั้งชีวิตเพื่อปากท้องของครอบครัว และปากท้องของประเทศชาติ
    #คนจนผู้ยิ่งใหญ่มีให้เห็นดาษดื่นในทุกวัน
    Mon. Mar. 10, 2025 เช้านี้เราดูคลิปใน youtube ที่ลงไว้เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน เป็นคลิปที่ Trump Voters ออกมาเสียใจที่เลือก Trump เข้ามา...แต่เราเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะมันอาจเป็นการแสดงของคนเกลียด Trump หรือเกลียดนักการเมืองทุกคนแบบเราก็ได้ เพราะดูการพูดจา กิริยามารยาท และการแต่งตัว อาจจะไม่ใช่สาวกของ Trump ตัวจริงเสียงจริงนะ อันนี้ความคิดเราเอง สิ่งที่เราเห็นกันทุกวันนี้ มันเชื่อยากขึ้นไปทุกที แล้วเราก็ดูภาพนี้... แล้วก็ลองหาจุดเหมือนระหว่าง 2 ภาพนี้😆 - คนซ้ายในทั้งสองภาพ ฉลาดคดโกงมากๆเหมือนกัน - คนขวาในทั้งสองภาพ สมองกลวงมากๆเหมือนกัน - คนขวาในทั้งสองภาพ หลังขึ้นรับตำแหน่ง ทั้งสองจะปั่นหุ้นบ้าง ปั่น Crypto บ้างในเดือนแรกๆ และจะเกิด free fall หลังจากนั้นเรื้อรังยาวนานเหมือนกัน - ทั้งสี่คนในภาพ รวยล้นฟ้า และคนแก่ทั้งสองในภาพใช้เงินและตำแหน่งลบล้างความผิดเหมือนกัน - ทั้งสี่คนในภาพ มีท่อน้ำเลี้ยงคือนายทุน ข้าราชการใหญ่ๆ และคนในเครื่องแบบ และได้คะแนนเสียง vote ส่วนใหญ่มาจากคนรากหญ้าเหมือนกัน - คนขวาในทั้งสองภาพ มีบุคลิก no สน no care กร่าง และหลงระเริงในอำนาจหลังจากได้ตำแหน่งเหมือนกัน - คนที่โชคร้ายที่สุดส่วนใหญ่คือ คะแนนเสียง vote ส่วนใหญ่ และประชาชนทั่วไปทั้งประเทศเหมือนกัน - ทั้งสองทีม ไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเหมือนกัน และก็หาจุดแตกต่าง (ที่ไม่อยู่ในภาพ) ระหว่าง 2 ภาพนี้😆 - ทีมซ้ายเป็นมิตรกับเพื่อนบ้านเพราะผลประโยชน์ และเปิดประตูให้ต่างชาติ เดินเข้ามาปล้นทางทำกิน และฆ่าคนในประเทศตัวเองทั้งเป็นตรงๆ ส่วนทีมขวาปิดประตูและไม่เป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน และฆ่าคนในประเทศตัวเองทั้งเป็นทางอ้อม - ประชากรในประเทศซ้าย (66 ล้านคน) ความรู้สึกช้ามาก กว่าจะรู้สึกตัวว่าถูกขายฝัน และตั้งแต่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เป็นต้นมา ผ่านมา 19 เดือนจนถึงทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ หวาดกลัวเพราะไร้การศึกษา ไร้ที่ยึดเหนี่ยว ไร้ผู้นำและข้อมูลที่ดี และจมดิ่งด้วยหนี้สินเกินกว่าจะลุกขึ้นสู้ และก็ถูกมัดมือชกๆๆ จนกว่าจะหมดลมหายใจ ในขณะที่ประชาชนในประเทศขวา (340 ล้านคน) แม้รู้ตัวว่าถูกขายฝัน ตั้งแต่เดือนที่สามของการเปลี่ยนผู้นำ แต่ถึงจะรู้ตัวเร็วกว่า แต่ความเสียหายนั้นมากมายมหาศาลและบาดลึกกว่ามากหลายเท่า ต้องขอโทษเพื่อนๆที่รักชอบพี่ Trump นะคะ แต่เอาเป็นว่าเดี๋ยวมารอดูกันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แล้วจะรู้ว่าการมอบอำนาจให้เด็ก 5 ขวบที่สติวิปลาสดูแลประเทศใหญ่ๆ จะเป็นอย่างไร เราอยู่ NY ช่วง Covid19 มาแล้ว ช่วงที่คนตายวันละ 900 กว่าศพ (ที่เจอ) ช่วงที่บริษัทยายังคิดเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสไม่ออก ช่วงที่พี่ Trump แกพูดออกสื่อแบบไม่อายทุกวันด้วยตรรกะที่ป่วยหนักมาก ผ่านไป 4 ปี เราว่าคนเราที่อายุเท่านั้นแล้ว ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ทันก่อนลาโลกแล้ว เพราะฉะนั้น อย่าตื่นเต้นว่าเขาจะขมขู่ประเทศใดๆเลยค่ะ เขาเป็นคนเขลา ขี้ขลาด มักมากในกาม และรักตัวกลัวตายค่ะ รอดูปลาหมอปากแจ๋วและพรรคพวกเขาจมน้ำตายดีกว่า ส่วนพี่ทักกี้ ไม่ต้องเป็นห่วงแกนะคะ เพราะพี่ทักกี้แกไม่ขึ้นอยู่กับความผันผวนของพี่ Trump เลยค่ะ แก focus กับการสร้างโครงการปอกลอกประชาชนในประเทศเล็กๆ เก็บเล็กผสมน้อยให้วงศ์ตระกูลไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจว่าต้องมีโครงการอะไรสำเร็จเลยก็ได้จ้า เราขอสรุปความคิดเห็นของเรานะคะว่า ทุกประเทศในโลกใบนี้จะมีกลุ่มการเมืองแค่ 2 ฝ่าย ฝ่ายนึง ประกอบด้วย นักการเมืองทุกพรรค (รวมฝ่ายค้านด้วย) ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นายทุน และมาเฟียท้องถิ่น ผู้ใช้เงินและอำนาจผลัดกันมาขับเคลื่อนเงินทองเข้ากระเป๋าพรรคพวกและครอบครัวตนเองให้ได้มากและนานที่สุด ..... อีกฝ่ายนึง ประกอบไปด้วยประชากรของประเทศนั้นๆ ผู้ดิ้นรนต่อสู้ใช้แรงกายแรงใจทั้งชีวิตเพื่อปากท้องของครอบครัว และปากท้องของประเทศชาติ #คนจนผู้ยิ่งใหญ่มีให้เห็นดาษดื่นในทุกวัน
    0 Comments 0 Shares 131 Views 0 Reviews
  • เขมรไม่ยอมหยุด! ยั่วยุเยาะเย้ย “ผู้การเนี๊ยะ” จากร้องเพลงปลุกใจ ในปราสาทตาเมือนธม สู่ยกพล 3 กองร้อย ประชิดพรมแดน

    🔥 สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากประเทศไทย เริ่มปราบปราม "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" อย่างจริงจัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ที่มีเครือข่ายอยู่ในกัมพูชา 🇰🇭

    แม้ว่าทางการกัมพูชา จะออกมาสนับสนุนไทยอย่างเป็นทางการ แต่กลับมีเหตุการณ์ไม่สงบ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามแนวชายแดน โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดสุรินทร์ และอุบลราชธานี

    และล่าสุด... 💥

    เมื่อวันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2568 กองกำลังติดอาวุธทหารกัมพูชา จำนวน 3 กองร้อย รวม 528 นาย ได้เคลื่อนกำลังเข้าใกล้ชายแดน ด้านอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ อ้างว่า “พากำลังทหารมากราบไหว้ สักการะปราสาทตาเมือนธม” แต่กลับไม่มีการเตรียมดอกไม้ ธูปเทียน หรือสิ่งของบูชาใด ๆ

    🔴 นี่คือการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ หรือเป็นมากกว่านั้น?

    👤 พล.ต.เนี๊ยะ วงษ์ (Neak Vong) หรือผู้การเยี๊ยะ ผู้บังคับการกองพลน้อยทหารราบที่ 42 ของกัมพูชา เป็นตัวละครสำคัญในเหตุการณ์ครั้งนี้

    📌 ย้อนรอยเหตุการณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาตึงเครียด

    5 ตุลาคม 2567 ผู้การเนี๊ยะนำพระสงฆ์ และเด็กนักเรียนกัมพูชา เข้ามาในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม พร้อมร้องเพลงชาติกัมพูชา

    ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผู้การเนี๊ยะนำคณะแม่บ้าน 25 คน มาร้องเพลงปลุกใจ ในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม สร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายไทย ทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ 2 กรมทหารราบที่ 23 กองทัพภาคที่ 2 ที่ประจำการรักษาอธิปไตยไทยในบริเวณนั้น ต้องกล่าวแจ้งเตือนไม่ให้ผู้การเนี้ยะ ทำกิจกรรมในเชิงสัญลักษณ์ สร้างความไม่พอใจให้ผู้การเนี๊ยะเป็นอย่างมาก ถึงขั้นโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง หลุดปากกล่าวท้าทายทหารไทย "ให้มายิงกัน!"

    บ่ายวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 15.00 น. นายเนียม จันญาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ได้นำคณะทหารกัมพูชา รวมถึงผู้การเนี๊ยะ เดินทางมาเจรจากับ พันโท จักรกฤษ ปิยะศุภฤกษ์ ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 23 (ผบ.ร.23 พัน.4) ที่ปราสาทตาเมือนธม เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาระดับสูง ในกองทัพภูมิภาคที่ 4 กัมพูชา เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อาจจะด้วยความเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม

    วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม 2568 กองกำลังติดอาวุธ ทหารกัมพูชา 3 กองร้อย 528 นาย เคลื่อนพลมาประชิดพรมแดน ด้านอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แล้วปลดอาวุธเดินข้ามพรมแดน อ้างว่ามากราบไหว้สักการะปราสาทตาเหมือนธม โดยที่ไม่มีการเตรียมธูปเทียนดอกไม้ หรือสิ่งของเซ่นไหว้มาด้วย จนคล้ายกับเป็นการยั่วยุเยาะเย้ยทหารไทย

    🇹🇭 ฝ่ายไทยพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง โดยการเจรจาผ่านทางการทูต แต่กัมพูชากลับใช้วิธี ปลุกกระแสรักชาติในประเทศตนเอง

    🔴 แล้วอะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของ “ผู้การเนี้ยะ” และรัฐบาลกัมพูชา?

    📍 ปราสาทตาเมือนธม จุดยุทธศาสตร์และประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในเขต อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์

    🏛️ เป็นหนึ่งในปราสาทสำคัญ ของกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วย 3 ปราสาทหลัก ได้แก่
    1️⃣ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทหลักและใหญ่ที่สุด
    2️⃣ ปราสาทตาเมือนโต๊ด เชื่อว่าเคยเป็นโรงพยาบาลโบราณ
    3️⃣ ปราสาทตาเมือน หรือบายกรีม เป็นธรรมศาลา หรือสถานที่พักของนักเดินทาง

    🔎 ปราสาทแห่งนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อเส้นทางโบราณ จากกัมพูชาสู่ภาคอีสานของไทย มีความสำคัญทางวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่พิพาททางพรมแดน ที่ยังไม่ได้ข้อยุติ

    👉 นี่อาจเป็นเหตุผลที่กัมพูชา พยายามเข้ามาสร้างอิทธิพล ในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม

    🎭 เบื้องหลังความขัดแย้ง การเมืองหรือศักดิ์ศรีชาติ? การเคลื่อนไหวของกัมพูชา ไม่ใช่แค่เรื่องประวัติศาสตร์หรือพรมแดน แต่นี่คือ "เกมการเมือง"

    📌 เชื่อมโยงกับปัญหาการเมืองภายในของกัมพูชา ปัจจุบันรัฐบาล "ฮุน มาเนต" ลูกชายของฮุน เซน กำลังเผชิญแรงกดดันจากฝ่ายค้าน ที่ผ่านมา "ฮุน เซน" เคยใช้ประเด็นความขัดแย้งชายแดน ปลุกกระแสรักชาติ เพื่อรักษาอำนาจของตระกูลตนเอง การกระทำของผู้การเนี๊ยะ อาจเป็นแผนสร้างแรงสนับสนุนให้รัฐบาลกัมพูชา

    📌 เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ไทย-กัมพูชา? ไทยและกัมพูชามีแผนขุดเจาะทรัพยากรน้ำมัน ในเขตทับซ้อนทางทะเล ข้อพิพาทชายแดน อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเจรจาต่อรอง ทางเศรษฐกิจและการเมือง

    🇰🇭 หรือแท้จริงแล้ว นี่คือแผนของกัมพูชา ในการกดดันไทย?

    🔴 กัมพูชากำลังเล่นเกมอะไร? การกระทำของผู้การเนี๊ยะ และทหารกัมพูชา อาจเป็นเพียงแค่ หมากตัวหนึ่งของรัฐบาลกัมพูชา

    📌 วิเคราะห์แนวทางที่เป็นไปได้ของกัมพูชา
    - สร้างกระแสรักชาติเพื่อดึงความสนใจ จากปัญหาการเมืองภายใน
    - กดดันไทยในประเด็นพรมแดน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือเจรจาทางเศรษฐกิจ
    - ทดสอบปฏิกิริยาของรัฐบาลไทย ก่อนเดินเกมต่อไป

    🇹🇭 ทางออกของไทยควรเป็นอย่างไร?
    ✅ รักษาความสัมพันธ์ทางการทูต หลีกเลี่ยงการใช้กำลัง
    ✅ เฝ้าระวังการเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชา อย่างใกล้ชิด
    ✅ ใช้การเจรจาในระดับสูง เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลาม

    🔥 นี่คือเกมการเมือง หรือสงครามชายแดนรอบใหม่? ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด!

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 090905 มี.ค. 2568

    #เขมรไม่หยุด #ตาเมือนธม #ชายแดนไทยกัมพูชา #สงครามชายแดน #ผู้การเนี้ยะ #กัมพูชา #ข่าวด่วน #ความขัดแย้งชายแดน #ไทยกัมพูชา #ปราสาทตาเมือน
    เขมรไม่ยอมหยุด! ยั่วยุเยาะเย้ย “ผู้การเนี๊ยะ” จากร้องเพลงปลุกใจ ในปราสาทตาเมือนธม สู่ยกพล 3 กองร้อย ประชิดพรมแดน 🔥 สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากประเทศไทย เริ่มปราบปราม "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" อย่างจริงจัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ที่มีเครือข่ายอยู่ในกัมพูชา 🇰🇭 แม้ว่าทางการกัมพูชา จะออกมาสนับสนุนไทยอย่างเป็นทางการ แต่กลับมีเหตุการณ์ไม่สงบ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามแนวชายแดน โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดสุรินทร์ และอุบลราชธานี และล่าสุด... 💥 เมื่อวันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2568 กองกำลังติดอาวุธทหารกัมพูชา จำนวน 3 กองร้อย รวม 528 นาย ได้เคลื่อนกำลังเข้าใกล้ชายแดน ด้านอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ อ้างว่า “พากำลังทหารมากราบไหว้ สักการะปราสาทตาเมือนธม” แต่กลับไม่มีการเตรียมดอกไม้ ธูปเทียน หรือสิ่งของบูชาใด ๆ 🔴 นี่คือการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ หรือเป็นมากกว่านั้น? 👤 พล.ต.เนี๊ยะ วงษ์ (Neak Vong) หรือผู้การเยี๊ยะ ผู้บังคับการกองพลน้อยทหารราบที่ 42 ของกัมพูชา เป็นตัวละครสำคัญในเหตุการณ์ครั้งนี้ 📌 ย้อนรอยเหตุการณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาตึงเครียด 5 ตุลาคม 2567 ผู้การเนี๊ยะนำพระสงฆ์ และเด็กนักเรียนกัมพูชา เข้ามาในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม พร้อมร้องเพลงชาติกัมพูชา ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผู้การเนี๊ยะนำคณะแม่บ้าน 25 คน มาร้องเพลงปลุกใจ ในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม สร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายไทย ทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ 2 กรมทหารราบที่ 23 กองทัพภาคที่ 2 ที่ประจำการรักษาอธิปไตยไทยในบริเวณนั้น ต้องกล่าวแจ้งเตือนไม่ให้ผู้การเนี้ยะ ทำกิจกรรมในเชิงสัญลักษณ์ สร้างความไม่พอใจให้ผู้การเนี๊ยะเป็นอย่างมาก ถึงขั้นโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง หลุดปากกล่าวท้าทายทหารไทย "ให้มายิงกัน!" บ่ายวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 15.00 น. นายเนียม จันญาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ได้นำคณะทหารกัมพูชา รวมถึงผู้การเนี๊ยะ เดินทางมาเจรจากับ พันโท จักรกฤษ ปิยะศุภฤกษ์ ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 23 (ผบ.ร.23 พัน.4) ที่ปราสาทตาเมือนธม เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาระดับสูง ในกองทัพภูมิภาคที่ 4 กัมพูชา เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อาจจะด้วยความเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม 2568 กองกำลังติดอาวุธ ทหารกัมพูชา 3 กองร้อย 528 นาย เคลื่อนพลมาประชิดพรมแดน ด้านอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แล้วปลดอาวุธเดินข้ามพรมแดน อ้างว่ามากราบไหว้สักการะปราสาทตาเหมือนธม โดยที่ไม่มีการเตรียมธูปเทียนดอกไม้ หรือสิ่งของเซ่นไหว้มาด้วย จนคล้ายกับเป็นการยั่วยุเยาะเย้ยทหารไทย 🇹🇭 ฝ่ายไทยพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง โดยการเจรจาผ่านทางการทูต แต่กัมพูชากลับใช้วิธี ปลุกกระแสรักชาติในประเทศตนเอง 🔴 แล้วอะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของ “ผู้การเนี้ยะ” และรัฐบาลกัมพูชา? 📍 ปราสาทตาเมือนธม จุดยุทธศาสตร์และประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในเขต อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ 🏛️ เป็นหนึ่งในปราสาทสำคัญ ของกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วย 3 ปราสาทหลัก ได้แก่ 1️⃣ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทหลักและใหญ่ที่สุด 2️⃣ ปราสาทตาเมือนโต๊ด เชื่อว่าเคยเป็นโรงพยาบาลโบราณ 3️⃣ ปราสาทตาเมือน หรือบายกรีม เป็นธรรมศาลา หรือสถานที่พักของนักเดินทาง 🔎 ปราสาทแห่งนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อเส้นทางโบราณ จากกัมพูชาสู่ภาคอีสานของไทย มีความสำคัญทางวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่พิพาททางพรมแดน ที่ยังไม่ได้ข้อยุติ 👉 นี่อาจเป็นเหตุผลที่กัมพูชา พยายามเข้ามาสร้างอิทธิพล ในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม 🎭 เบื้องหลังความขัดแย้ง การเมืองหรือศักดิ์ศรีชาติ? การเคลื่อนไหวของกัมพูชา ไม่ใช่แค่เรื่องประวัติศาสตร์หรือพรมแดน แต่นี่คือ "เกมการเมือง" 📌 เชื่อมโยงกับปัญหาการเมืองภายในของกัมพูชา ปัจจุบันรัฐบาล "ฮุน มาเนต" ลูกชายของฮุน เซน กำลังเผชิญแรงกดดันจากฝ่ายค้าน ที่ผ่านมา "ฮุน เซน" เคยใช้ประเด็นความขัดแย้งชายแดน ปลุกกระแสรักชาติ เพื่อรักษาอำนาจของตระกูลตนเอง การกระทำของผู้การเนี๊ยะ อาจเป็นแผนสร้างแรงสนับสนุนให้รัฐบาลกัมพูชา 📌 เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ไทย-กัมพูชา? ไทยและกัมพูชามีแผนขุดเจาะทรัพยากรน้ำมัน ในเขตทับซ้อนทางทะเล ข้อพิพาทชายแดน อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเจรจาต่อรอง ทางเศรษฐกิจและการเมือง 🇰🇭 หรือแท้จริงแล้ว นี่คือแผนของกัมพูชา ในการกดดันไทย? 🔴 กัมพูชากำลังเล่นเกมอะไร? การกระทำของผู้การเนี๊ยะ และทหารกัมพูชา อาจเป็นเพียงแค่ หมากตัวหนึ่งของรัฐบาลกัมพูชา 📌 วิเคราะห์แนวทางที่เป็นไปได้ของกัมพูชา - สร้างกระแสรักชาติเพื่อดึงความสนใจ จากปัญหาการเมืองภายใน - กดดันไทยในประเด็นพรมแดน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือเจรจาทางเศรษฐกิจ - ทดสอบปฏิกิริยาของรัฐบาลไทย ก่อนเดินเกมต่อไป 🇹🇭 ทางออกของไทยควรเป็นอย่างไร? ✅ รักษาความสัมพันธ์ทางการทูต หลีกเลี่ยงการใช้กำลัง ✅ เฝ้าระวังการเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชา อย่างใกล้ชิด ✅ ใช้การเจรจาในระดับสูง เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลาม 🔥 นี่คือเกมการเมือง หรือสงครามชายแดนรอบใหม่? ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด! ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 090905 มี.ค. 2568 #เขมรไม่หยุด #ตาเมือนธม #ชายแดนไทยกัมพูชา #สงครามชายแดน #ผู้การเนี้ยะ #กัมพูชา #ข่าวด่วน #ความขัดแย้งชายแดน #ไทยกัมพูชา #ปราสาทตาเมือน
    0 Comments 0 Shares 315 Views 0 Reviews
  • สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ Storyฯ คุยถึงที่มาของวลีเด็ดจากซีรีส์ <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> มีเพื่อนเพจถามถึงเรื่องละครงิ้วที่หรูอี้พูดถึงบ่อยๆ ในเรื่อง ซึ่งก็คือ ‘เฉียงโถวหม่าซ่าง’ (墙头马上) ขอใช้คำแปลตรงตัวว่า ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ ซึ่งในซีรีส์เท้าความว่า การชมงิ้วเรื่องนี้เป็นครั้งแรกที่หรูอี้และเฉียนหลงได้พบกัน และต่อมามีฉากที่เฉียนหลงบอกว่าจะไม่อ่อนแอเหมือนคุณชายสกุลเผย และหรูอี้บอกว่าไม่อยากต้องเจอสภาพแบบคุณหนูหลี่ที่ถูกบังคับให้ต้องทิ้งลูกไป ทำเอาผู้ชมงงไปตามๆ กันว่าเขาคุยอะไรกัน

    วันนี้เรามาคุยกันเรื่อง ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ นี้

    ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ เป็นละครงิ้วสมัยราชวงศ์หยวนมีชื่อเต็มว่า ‘เผยส้าวจวิ้น เฉียงโถวหม่าซ่าง’ (裴少俊墙头马上) ต่อมาตัดชื่อสั้นลงเหลือเพียง ‘เฉียงโถวหม่าซ่าง’ เป็นผลงานของ ‘ไป๋ผ้อ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ยอดผู้แต่งบทละครงิ้วในสมัยนั้นและผลงานของเขายังได้รับการสืบทอดและจัดแสดงในปัจจุบันอีกหลายเรื่อง และ ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ นี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสี่ยอดละครงิ้วแนวรักโรแมนติกสมัยหยวน

    ละครงิ้วนี้ดัดแปลงมาจากบทกวีสมัยถังของไป๋จวีอี (ค.ศ. 772-846) (หมายเหตุ คือเขาคือนักการเมืองผู้เคยสร้างผลงานบทกวีชื่นชมความงามของดอกซากุระหรืออิงฮวาที่ Storyฯ เคยเขียนถึง https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/686842736777355 )
    บทกวีที่ว่านี้มีชื่อว่า ‘งมขวดเงินจากก้นบ่อ’ (井底引银瓶) เป็นหนึ่งในผลงานที่เลื่องชื่อที่สุดของเขา ยาวถึง 34 วรรค สรุปเนื้อหาเป็นเรื่องราวความรักรันทด โดยมีอารัมภบทว่า ใช้ด้ายผูกขวดเงินดึงขึ้นเกือบจะพ้นบ่อ แต่ด้ายก็ขาดเสียก่อน เอาหยกมาเจียรด้วยหิน กำลังจะได้ปิ่นปักผมก็มาหักเสียก่อน เป็นการหวนรำลึกถึงความรักในอดีตที่ขาดสะบั้นลง อดีตที่ว่านี้ก็คือเรื่องคุณหนูนางหนึ่งที่ถูกเลี้ยงมาอย่างริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม วันๆ ถูกขังอยู่แต่ในสวนหลังบ้าน จึงชอบปีนขึ้นไปเกาะสันกำแพงมองดูโลกภายนอก อยู่มาวันหนึ่งยืนมองอยู่อย่างนี้ก็สบตาเข้ากับคุณชายท่านหนึ่งที่ขี่ม้าขาวผ่านมา เกิดเป็นรักแรกพบ ต่อมาก็หนีตามคุณชายผู้นั้นกลับไปยังบ้านของเขาที่อีกเมืองหนึ่ง แต่ด้วยเป็นการหนีตาม ไม่ได้มีตบแต่งตามพิธีการ นางจึงไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวฝ่ายชาย ถูกมองว่าเป็นเพียงอนุ ไม่ใช่ภรรยาเอก สุดท้ายถูกบีบให้ทิ้งลูกและไล่ออกไป คุณชายนั้นก็ไม่ได้ปกป้อง นางจึงต้องออกมาผจญชีวิตตามลำพังเพราะละอายเกินกว่าจะแบกหน้ากลับบ้านเกิด บทกวีจบลงด้วยการรำพันของนางว่า ความรักเพียงชั่วขณะของบุรุษ กลับเป็นความพลาดทั้งชีวิตของสตรี และเตือนเหล่าหญิงสาวไร้เดียงสาที่กำลังมีความรักให้จงสังวรไว้ว่า อย่าได้เอาชีวิตทั้งชีวิตของตนมาทุ่มเทให้กับชายใดได้โดยง่าย

    วรรคที่กล่าวถึงตอนสบตากันข้ามกำแพงและตกหลุมรักนั้น ก็คือวรรคที่หรูอี้มักเอ่ยติดปากยามที่นางและเฉียนหลงพูดถึงละครงิ้ว ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ นี้ ซึ่ง Storyฯ ขอแปลและเรียบเรียงวรรคนี้ว่า ‘เหนือกำแพงประสานตาหลังอาชา หนึ่งพานพบคนึงหาเจียนวางวาย’ (墙头马上遥相顾,一见知君即断肠 หมายเหตุ ภาษาจีนใช้คำประมาณว่า ‘รักและคิดถึงจนทำให้ไส้ขาดจนตายได้!’) เป็นคำพูดที่หรูอี้พยายามสื่อให้เฉียนหลงเข้าใจว่านางรักเขามากมาย

    นับว่าเป็นบทกวีที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าและความผิดหวัง แต่ทำไมหรูอี้และเฉียนหลงจึงคุยกันราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่มีความหมายดี?

    นั่นเป็นเพราะว่าละครงิ้วและบทกวีมีความแตกต่าง ละครงิ้วที่นิยมในสมัยหยวนนั้น เป็นสไตล์แบบ ‘จ๋าจวี้’ (Mixed Play ที่ Storyฯ เคยพูดถึงตอนคุยเรื่อง <สามบุปผาลิขิตฝัน>) กล่าวคือมีหลากหลายอรรถรส ละครเรื่องนี้จึงถูกแต่งเติมให้มีทั้งความเศร้า ความตลกและจบแบบสุขนิยม มีการต่อเติมเรื่องราวว่า สตรีนางนี้คือคุณหนูหลี่เชียนจิน แต่นางโหยหาความรักและต่อต้านการถูกกักขัง นางหนีตามเผยส้าวจวิ้นมาถึงเรือนสกุลเผย แต่ต้องแอบอยู่ในเรือนสวนของสามีไม่ให้พ่อของสามีรู้ อยู่มาเจ็ดปีมีบุตรชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ความลับก็ถูกเปิดเผย นางถูกกล่าวหาว่าเป็นนางโลมและถูกบีบให้ต้องทิ้งลูกกลับบ้านเกิดไปโดยที่เผยส้าวจวิ้นทำอะไรไม่ได้ ต่อมาเผยส้าวจวิ้นสอบได้เป็นราชบัณฑิตเป็นขุนนางติดยศ ทางบ้านไม่กล้าขัดเขาอีก เขาก็มาง้อนาง ง้ออยู่นานจนสุดท้ายนางใจอ่อนยอมคืนดีด้วย และได้ครองรักกันอย่างมีความสุขในที่สุด เป็นเรื่องราวความรักหลากหลายอรรถรสที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่จะฝ่าฟันอุปสรรคให้หลุดพ้นจากกรอบสังคม จึงเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมตลอดหลายยุคหลายสมัย

    ‘เหนือกำแพงประสานตาหลังอาชา หนึ่งพานพบคนึงหาเจียนวางวาย’ ... ไม่แน่ว่าหรูอี้อาจต้องการเพียงใช้ประโยคนี้แสดงถึงความรักอย่างยิ่งยวดที่มีต่อเฉียนหลง แต่บทสรุปเรื่องราวชีวิตของนางผ่านซีรีส์เรื่องนี้กลับกลายเป็นอย่างที่บทกวีว่าไว้... ความรักเพียงชั่วขณะของบุรุษ กลับเป็นความพลาดทั้งชีวิตของสตรี

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://kknews.cc/history/xeg9gx8.html
    https://www.sgss8.net/tpdq/21724747/
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://so.gushiwen.cn/shiwenv_5487665ffe0a.aspx
    https://baike.baidu.com/item/井底引银瓶/10214172
    https://www.sohu.com/a/260464211_801417
    https://baike.baidu.com/item/裴少俊墙头马上/754408

    #หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์ #จ๋าจวี้ #งิ้วสมัยหยวน #เฉียงโถวหม่าซ่าง #สันกำแพงหลังอาชา
    สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ Storyฯ คุยถึงที่มาของวลีเด็ดจากซีรีส์ <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> มีเพื่อนเพจถามถึงเรื่องละครงิ้วที่หรูอี้พูดถึงบ่อยๆ ในเรื่อง ซึ่งก็คือ ‘เฉียงโถวหม่าซ่าง’ (墙头马上) ขอใช้คำแปลตรงตัวว่า ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ ซึ่งในซีรีส์เท้าความว่า การชมงิ้วเรื่องนี้เป็นครั้งแรกที่หรูอี้และเฉียนหลงได้พบกัน และต่อมามีฉากที่เฉียนหลงบอกว่าจะไม่อ่อนแอเหมือนคุณชายสกุลเผย และหรูอี้บอกว่าไม่อยากต้องเจอสภาพแบบคุณหนูหลี่ที่ถูกบังคับให้ต้องทิ้งลูกไป ทำเอาผู้ชมงงไปตามๆ กันว่าเขาคุยอะไรกัน วันนี้เรามาคุยกันเรื่อง ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ นี้ ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ เป็นละครงิ้วสมัยราชวงศ์หยวนมีชื่อเต็มว่า ‘เผยส้าวจวิ้น เฉียงโถวหม่าซ่าง’ (裴少俊墙头马上) ต่อมาตัดชื่อสั้นลงเหลือเพียง ‘เฉียงโถวหม่าซ่าง’ เป็นผลงานของ ‘ไป๋ผ้อ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ยอดผู้แต่งบทละครงิ้วในสมัยนั้นและผลงานของเขายังได้รับการสืบทอดและจัดแสดงในปัจจุบันอีกหลายเรื่อง และ ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ นี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสี่ยอดละครงิ้วแนวรักโรแมนติกสมัยหยวน ละครงิ้วนี้ดัดแปลงมาจากบทกวีสมัยถังของไป๋จวีอี (ค.ศ. 772-846) (หมายเหตุ คือเขาคือนักการเมืองผู้เคยสร้างผลงานบทกวีชื่นชมความงามของดอกซากุระหรืออิงฮวาที่ Storyฯ เคยเขียนถึง https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/686842736777355 ) บทกวีที่ว่านี้มีชื่อว่า ‘งมขวดเงินจากก้นบ่อ’ (井底引银瓶) เป็นหนึ่งในผลงานที่เลื่องชื่อที่สุดของเขา ยาวถึง 34 วรรค สรุปเนื้อหาเป็นเรื่องราวความรักรันทด โดยมีอารัมภบทว่า ใช้ด้ายผูกขวดเงินดึงขึ้นเกือบจะพ้นบ่อ แต่ด้ายก็ขาดเสียก่อน เอาหยกมาเจียรด้วยหิน กำลังจะได้ปิ่นปักผมก็มาหักเสียก่อน เป็นการหวนรำลึกถึงความรักในอดีตที่ขาดสะบั้นลง อดีตที่ว่านี้ก็คือเรื่องคุณหนูนางหนึ่งที่ถูกเลี้ยงมาอย่างริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม วันๆ ถูกขังอยู่แต่ในสวนหลังบ้าน จึงชอบปีนขึ้นไปเกาะสันกำแพงมองดูโลกภายนอก อยู่มาวันหนึ่งยืนมองอยู่อย่างนี้ก็สบตาเข้ากับคุณชายท่านหนึ่งที่ขี่ม้าขาวผ่านมา เกิดเป็นรักแรกพบ ต่อมาก็หนีตามคุณชายผู้นั้นกลับไปยังบ้านของเขาที่อีกเมืองหนึ่ง แต่ด้วยเป็นการหนีตาม ไม่ได้มีตบแต่งตามพิธีการ นางจึงไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวฝ่ายชาย ถูกมองว่าเป็นเพียงอนุ ไม่ใช่ภรรยาเอก สุดท้ายถูกบีบให้ทิ้งลูกและไล่ออกไป คุณชายนั้นก็ไม่ได้ปกป้อง นางจึงต้องออกมาผจญชีวิตตามลำพังเพราะละอายเกินกว่าจะแบกหน้ากลับบ้านเกิด บทกวีจบลงด้วยการรำพันของนางว่า ความรักเพียงชั่วขณะของบุรุษ กลับเป็นความพลาดทั้งชีวิตของสตรี และเตือนเหล่าหญิงสาวไร้เดียงสาที่กำลังมีความรักให้จงสังวรไว้ว่า อย่าได้เอาชีวิตทั้งชีวิตของตนมาทุ่มเทให้กับชายใดได้โดยง่าย วรรคที่กล่าวถึงตอนสบตากันข้ามกำแพงและตกหลุมรักนั้น ก็คือวรรคที่หรูอี้มักเอ่ยติดปากยามที่นางและเฉียนหลงพูดถึงละครงิ้ว ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ นี้ ซึ่ง Storyฯ ขอแปลและเรียบเรียงวรรคนี้ว่า ‘เหนือกำแพงประสานตาหลังอาชา หนึ่งพานพบคนึงหาเจียนวางวาย’ (墙头马上遥相顾,一见知君即断肠 หมายเหตุ ภาษาจีนใช้คำประมาณว่า ‘รักและคิดถึงจนทำให้ไส้ขาดจนตายได้!’) เป็นคำพูดที่หรูอี้พยายามสื่อให้เฉียนหลงเข้าใจว่านางรักเขามากมาย นับว่าเป็นบทกวีที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าและความผิดหวัง แต่ทำไมหรูอี้และเฉียนหลงจึงคุยกันราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่มีความหมายดี? นั่นเป็นเพราะว่าละครงิ้วและบทกวีมีความแตกต่าง ละครงิ้วที่นิยมในสมัยหยวนนั้น เป็นสไตล์แบบ ‘จ๋าจวี้’ (Mixed Play ที่ Storyฯ เคยพูดถึงตอนคุยเรื่อง <สามบุปผาลิขิตฝัน>) กล่าวคือมีหลากหลายอรรถรส ละครเรื่องนี้จึงถูกแต่งเติมให้มีทั้งความเศร้า ความตลกและจบแบบสุขนิยม มีการต่อเติมเรื่องราวว่า สตรีนางนี้คือคุณหนูหลี่เชียนจิน แต่นางโหยหาความรักและต่อต้านการถูกกักขัง นางหนีตามเผยส้าวจวิ้นมาถึงเรือนสกุลเผย แต่ต้องแอบอยู่ในเรือนสวนของสามีไม่ให้พ่อของสามีรู้ อยู่มาเจ็ดปีมีบุตรชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ความลับก็ถูกเปิดเผย นางถูกกล่าวหาว่าเป็นนางโลมและถูกบีบให้ต้องทิ้งลูกกลับบ้านเกิดไปโดยที่เผยส้าวจวิ้นทำอะไรไม่ได้ ต่อมาเผยส้าวจวิ้นสอบได้เป็นราชบัณฑิตเป็นขุนนางติดยศ ทางบ้านไม่กล้าขัดเขาอีก เขาก็มาง้อนาง ง้ออยู่นานจนสุดท้ายนางใจอ่อนยอมคืนดีด้วย และได้ครองรักกันอย่างมีความสุขในที่สุด เป็นเรื่องราวความรักหลากหลายอรรถรสที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่จะฝ่าฟันอุปสรรคให้หลุดพ้นจากกรอบสังคม จึงเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมตลอดหลายยุคหลายสมัย ‘เหนือกำแพงประสานตาหลังอาชา หนึ่งพานพบคนึงหาเจียนวางวาย’ ... ไม่แน่ว่าหรูอี้อาจต้องการเพียงใช้ประโยคนี้แสดงถึงความรักอย่างยิ่งยวดที่มีต่อเฉียนหลง แต่บทสรุปเรื่องราวชีวิตของนางผ่านซีรีส์เรื่องนี้กลับกลายเป็นอย่างที่บทกวีว่าไว้... ความรักเพียงชั่วขณะของบุรุษ กลับเป็นความพลาดทั้งชีวิตของสตรี (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://kknews.cc/history/xeg9gx8.html https://www.sgss8.net/tpdq/21724747/ Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://so.gushiwen.cn/shiwenv_5487665ffe0a.aspx https://baike.baidu.com/item/井底引银瓶/10214172 https://www.sohu.com/a/260464211_801417 https://baike.baidu.com/item/裴少俊墙头马上/754408 #หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์ #จ๋าจวี้ #งิ้วสมัยหยวน #เฉียงโถวหม่าซ่าง #สันกำแพงหลังอาชา
    0 Comments 0 Shares 329 Views 0 Reviews
  • ปิดตำนานถุงดำอำมหิต! เสียชีวิตปริศนาในเรือนจำ “ผู้กำกับโจ้” ถูกปองร้าย หรือว่า... ฆ่าตัวตาย?

    📌 การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผู้กำกับโจ้" อดีตผู้กำกับการ สภ.เมืองนครสวรรค์ ในเรือนจำกลางคลองเปรม ได้สร้างข้อกังขามากมายให้กับสังคม เกิดคำถามว่า เป็นการฆ่าตัวตายจริง หรือถูกปองร้าย? โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากประวัติ ที่เต็มไปด้วยความอื้อฉาว ทั้งคดีรีดไถ และการคลุมถุงดำผู้ต้องหาจนเสียชีวิต

    แม้ว่ากรมราชทัณฑ์จะออกมาแถลงว่า "ผู้กำกับโจ้เสียชีวิต จากการผูกคอภายในห้องขัง" แต่ญาติและทนายความ กลับสงสัยถึงความเป็นไปได้ ของการถูกทำร้ายในเรือนจำ เรื่องราวนี้จะลงเอยอย่างไร? และมีเงื่อนงำอะไรที่ต้องจับตา?

    📍 ผู้กำกับโจ้เสียชีวิตปริศนาในเรือนจำ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 เวลา 20.50 น. เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางคลองเปรมพบ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผู้กำกับโจ้" นั่งพิงประตูห้องขังในท่าทีผิดปกติ เมื่อตรวจสอบพบว่า ใช้ผ้าขนหนูผูกคอ และไม่มีชีพจร จึงเร่งนำตัวส่งแพทย์ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้

    💬 เรือนจำกลางคลองเปรมยืนยันว่า
    - ไม่พบร่องรอยถูกทำร้ายบนร่างกาย
    - กล้องวงจรปิดไม่พบใครเข้าออกห้องขัง ในช่วงเวลาก่อนเสียชีวิต
    - ผู้กำกับโจ้มีประวัติ "วิตกกังวลและหวาดระแวง" เนื่องจากเป็นอดีตตำรวจ จึงถูกแยกขังเดี่ยว เพื่อความปลอดภัย

    แต่อีกด้านหนึ่ง ทนายความ และครอบครัวของผู้กำกับโจ้ กลับตั้งข้อสังเกตว่า การเสียชีวิตอาจมีเงื่อนงำ เนื่องจากก่อนหน้านี้ มีการแจ้งความว่า ถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำ 🚨

    🔍 คำถามที่สังคมสงสัย ผู้กำกับโจ้ถูกสังหาร หรือว่า... ฆ่าตัวตาย?
    📌 หลักฐานที่สนับสนุนว่า เป็นการฆ่าตัวตาย
    ✔️ ถูกขังเดี่ยว ไม่มีผู้ต้องขังคนอื่นในห้องขัง
    ✔️ ภาพจากกล้องวงจรปิด ไม่มีใครเข้าออกห้องขัง
    ✔️ ประวัติอาการทางจิตเวช มีภาวะเครียด วิตกกังวล และหวาดระแวง
    ✔️ คำให้การของเรือนจำระบุว่า ผู้กำกับโจ้มีพฤติกรรมซึมเศร้า และวิตกกังวลมานาน

    ❗ หลักฐานที่บ่งชี้ว่า อาจถูกฆาตกรรม
    ❌ เคยแจ้งความว่า ถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำ มีใบรับรองแพทย์ยืนยันรอยฟกช้ำ
    ❌ ถูกปฏิเสธการเข้าเยี่ยมจากทนาย ก่อนเสียชีวิต ทนายของผู้กำกับโจ้ ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปพบ
    ❌ ปริศนาเรื่องอาวุธที่ใช้ฆ่าตัวตาย ใช้เพียง "ผ้าขนหนู" ผูกคอซึ่งอาจไม่แข็งแรงพอ

    🔎 ข้อสังเกต หากการเสียชีวิตของผู้กำกับโจ้ เป็น "การฆ่าตัวตาย" จริง คำถามสำคัญคือ เหตุใดคนที่เคยเป็นตำรวจผู้มีอิทธิพล และมีเครือข่ายมากมาย จึงตัดสินใจเช่นนี้? หรืออาจเป็นไปได้ว่า มีผู้ไม่ต้องการให้ผู้กำกับโจ้ เปิดเผยข้อมูลบางอย่าง?

    📜 ย้อนรอยคดี "ถุงดำอำมหิต" ต้นเหตุของโศกนาฏกรรม "ผู้กำกับโจ้" กับคดีฆาตกรรม ที่สะเทือนขวัญทั้งประเทศ 🔴

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2564 เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อ พันตำรวจเอกธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ ถูกเปิดโปงว่า ใช้ถุงดำคลุมหัวรีดเงินผู้ต้องหาคดียาเสพติด จนเสียชีวิต ภายในห้องสอบสวน สภ.เมืองนครสวรรค์

    💣 หลักฐานสำคัญ กล้องวงจรปิดเผยให้เห็นชัดว่า ผู้ต้องหาถูกทรมานจนขาดอากาศหายใจ ซึ่งขัดแย้งกับคำชี้แจงของตำรวจ ที่อ้างว่าผู้ต้องหาเสียชีวิต เพราะเสพยาเสพติดเกินขนาด

    ⚖️ ศาลชั้นต้นพิพากษา "ประหารชีวิต" ผู้กำกับโจ้ แต่ลดโทษเหลือ จำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ ส่วนลูกน้องตำรวจที่ร่วมกระทำผิด ได้รับโทษแตกต่างกัน

    ⚡ ชีวิตในเรือนจำ ผู้กำกับโจ้ถูกคุมขังตั้งแต่ 27 สิงหาคม 2564 มีทรัพย์สินมากมายกว่า สองพันล้านบาท จากคดีทุจริตต่างๆ เคยหวังว่า จะสามารถใช้เส้นสาย และทรัพย์สินช่วยให้พ้นโทษ

    📌 สุดท้ายแล้ว… แม้จะรอดพ้นจากโทษประหาร แต่ชีวิตของผู้กำกับโจ้ ก็ต้องจบลงในเรือนจำ

    🏛️ ความลับที่อาจถูกฝังไปพร้อมกับ "ผู้กำกับโจ้" คำถามสำคัญที่ต้องจับตาต่อไปคือ 🕵🏻‍♂️
    - ผู้กำกับโจ้กำลังซ่อนความลับอะไรอยู่?
    - มีใครต้องการปิดปากผู้กำกับโจ้หรือไม่?
    - มีเครือข่ายอำนาจ หรือกลุ่มผลประโยชน์ ที่เกี่ยวข้องหรือเปล่า?

    🔥 หรือท้ายที่สุดแล้ว การเสียชีวิตของผู้กำกับโจ้ จะเป็นเพียงโศกนาฏกรรมของ "อดีตตำรวจใหญ่" ที่เคยคิดว่า ตัวเองจะอยู่เหนือกฎหมาย?

    🔮 "คดีนี้จบแล้วจริงหรือ?" การเสียชีวิตของ "ผู้กำกับโจ้" ได้สร้างคำถาม ที่ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด แม้ว่าทางกรมราชทัณฑ์ จะยืนยันว่าเป็น "การฆ่าตัวตาย" แต่หลักฐานหลายอย่าง ทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า "มีใครบางคน อยู่เบื้องหลังหรือไม่?" 📢

    ⏳ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลชันสูตรศพ ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการไขปริศนาครั้งนี้

    ❗ คดีนี้ยังไม่จบ... และอาจมีเงื่อนงำที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง รอวันถูกเปิดเผย!

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 081808 มี.ค. 2568

    📢 #ผู้กำกับโจ้ #ถุงดำอำมหิต #ตายปริศนา #คดีดัง #ตำรวจไทย #เรือนจำคลองเปรม #ฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรม #เปิดโปงความจริง #อำนาจมืด #สะเทือนขวัญ
    ปิดตำนานถุงดำอำมหิต! เสียชีวิตปริศนาในเรือนจำ “ผู้กำกับโจ้” ถูกปองร้าย หรือว่า... ฆ่าตัวตาย? 📌 การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผู้กำกับโจ้" อดีตผู้กำกับการ สภ.เมืองนครสวรรค์ ในเรือนจำกลางคลองเปรม ได้สร้างข้อกังขามากมายให้กับสังคม เกิดคำถามว่า เป็นการฆ่าตัวตายจริง หรือถูกปองร้าย? โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากประวัติ ที่เต็มไปด้วยความอื้อฉาว ทั้งคดีรีดไถ และการคลุมถุงดำผู้ต้องหาจนเสียชีวิต แม้ว่ากรมราชทัณฑ์จะออกมาแถลงว่า "ผู้กำกับโจ้เสียชีวิต จากการผูกคอภายในห้องขัง" แต่ญาติและทนายความ กลับสงสัยถึงความเป็นไปได้ ของการถูกทำร้ายในเรือนจำ เรื่องราวนี้จะลงเอยอย่างไร? และมีเงื่อนงำอะไรที่ต้องจับตา? 📍 ผู้กำกับโจ้เสียชีวิตปริศนาในเรือนจำ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 เวลา 20.50 น. เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางคลองเปรมพบ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผู้กำกับโจ้" นั่งพิงประตูห้องขังในท่าทีผิดปกติ เมื่อตรวจสอบพบว่า ใช้ผ้าขนหนูผูกคอ และไม่มีชีพจร จึงเร่งนำตัวส่งแพทย์ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ 💬 เรือนจำกลางคลองเปรมยืนยันว่า - ไม่พบร่องรอยถูกทำร้ายบนร่างกาย - กล้องวงจรปิดไม่พบใครเข้าออกห้องขัง ในช่วงเวลาก่อนเสียชีวิต - ผู้กำกับโจ้มีประวัติ "วิตกกังวลและหวาดระแวง" เนื่องจากเป็นอดีตตำรวจ จึงถูกแยกขังเดี่ยว เพื่อความปลอดภัย แต่อีกด้านหนึ่ง ทนายความ และครอบครัวของผู้กำกับโจ้ กลับตั้งข้อสังเกตว่า การเสียชีวิตอาจมีเงื่อนงำ เนื่องจากก่อนหน้านี้ มีการแจ้งความว่า ถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำ 🚨 🔍 คำถามที่สังคมสงสัย ผู้กำกับโจ้ถูกสังหาร หรือว่า... ฆ่าตัวตาย? 📌 หลักฐานที่สนับสนุนว่า เป็นการฆ่าตัวตาย ✔️ ถูกขังเดี่ยว ไม่มีผู้ต้องขังคนอื่นในห้องขัง ✔️ ภาพจากกล้องวงจรปิด ไม่มีใครเข้าออกห้องขัง ✔️ ประวัติอาการทางจิตเวช มีภาวะเครียด วิตกกังวล และหวาดระแวง ✔️ คำให้การของเรือนจำระบุว่า ผู้กำกับโจ้มีพฤติกรรมซึมเศร้า และวิตกกังวลมานาน ❗ หลักฐานที่บ่งชี้ว่า อาจถูกฆาตกรรม ❌ เคยแจ้งความว่า ถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำ มีใบรับรองแพทย์ยืนยันรอยฟกช้ำ ❌ ถูกปฏิเสธการเข้าเยี่ยมจากทนาย ก่อนเสียชีวิต ทนายของผู้กำกับโจ้ ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปพบ ❌ ปริศนาเรื่องอาวุธที่ใช้ฆ่าตัวตาย ใช้เพียง "ผ้าขนหนู" ผูกคอซึ่งอาจไม่แข็งแรงพอ 🔎 ข้อสังเกต หากการเสียชีวิตของผู้กำกับโจ้ เป็น "การฆ่าตัวตาย" จริง คำถามสำคัญคือ เหตุใดคนที่เคยเป็นตำรวจผู้มีอิทธิพล และมีเครือข่ายมากมาย จึงตัดสินใจเช่นนี้? หรืออาจเป็นไปได้ว่า มีผู้ไม่ต้องการให้ผู้กำกับโจ้ เปิดเผยข้อมูลบางอย่าง? 📜 ย้อนรอยคดี "ถุงดำอำมหิต" ต้นเหตุของโศกนาฏกรรม "ผู้กำกับโจ้" กับคดีฆาตกรรม ที่สะเทือนขวัญทั้งประเทศ 🔴 ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2564 เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อ พันตำรวจเอกธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ ถูกเปิดโปงว่า ใช้ถุงดำคลุมหัวรีดเงินผู้ต้องหาคดียาเสพติด จนเสียชีวิต ภายในห้องสอบสวน สภ.เมืองนครสวรรค์ 💣 หลักฐานสำคัญ กล้องวงจรปิดเผยให้เห็นชัดว่า ผู้ต้องหาถูกทรมานจนขาดอากาศหายใจ ซึ่งขัดแย้งกับคำชี้แจงของตำรวจ ที่อ้างว่าผู้ต้องหาเสียชีวิต เพราะเสพยาเสพติดเกินขนาด ⚖️ ศาลชั้นต้นพิพากษา "ประหารชีวิต" ผู้กำกับโจ้ แต่ลดโทษเหลือ จำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ ส่วนลูกน้องตำรวจที่ร่วมกระทำผิด ได้รับโทษแตกต่างกัน ⚡ ชีวิตในเรือนจำ ผู้กำกับโจ้ถูกคุมขังตั้งแต่ 27 สิงหาคม 2564 มีทรัพย์สินมากมายกว่า สองพันล้านบาท จากคดีทุจริตต่างๆ เคยหวังว่า จะสามารถใช้เส้นสาย และทรัพย์สินช่วยให้พ้นโทษ 📌 สุดท้ายแล้ว… แม้จะรอดพ้นจากโทษประหาร แต่ชีวิตของผู้กำกับโจ้ ก็ต้องจบลงในเรือนจำ 🏛️ ความลับที่อาจถูกฝังไปพร้อมกับ "ผู้กำกับโจ้" คำถามสำคัญที่ต้องจับตาต่อไปคือ 🕵🏻‍♂️ - ผู้กำกับโจ้กำลังซ่อนความลับอะไรอยู่? - มีใครต้องการปิดปากผู้กำกับโจ้หรือไม่? - มีเครือข่ายอำนาจ หรือกลุ่มผลประโยชน์ ที่เกี่ยวข้องหรือเปล่า? 🔥 หรือท้ายที่สุดแล้ว การเสียชีวิตของผู้กำกับโจ้ จะเป็นเพียงโศกนาฏกรรมของ "อดีตตำรวจใหญ่" ที่เคยคิดว่า ตัวเองจะอยู่เหนือกฎหมาย? 🔮 "คดีนี้จบแล้วจริงหรือ?" การเสียชีวิตของ "ผู้กำกับโจ้" ได้สร้างคำถาม ที่ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด แม้ว่าทางกรมราชทัณฑ์ จะยืนยันว่าเป็น "การฆ่าตัวตาย" แต่หลักฐานหลายอย่าง ทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า "มีใครบางคน อยู่เบื้องหลังหรือไม่?" 📢 ⏳ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลชันสูตรศพ ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการไขปริศนาครั้งนี้ ❗ คดีนี้ยังไม่จบ... และอาจมีเงื่อนงำที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง รอวันถูกเปิดเผย! ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 081808 มี.ค. 2568 📢 #ผู้กำกับโจ้ #ถุงดำอำมหิต #ตายปริศนา #คดีดัง #ตำรวจไทย #เรือนจำคลองเปรม #ฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรม #เปิดโปงความจริง #อำนาจมืด #สะเทือนขวัญ
    0 Comments 0 Shares 333 Views 0 Reviews
  • ขายครับขาย
    อาคารพินิชย์​ 1​คูหา
    2​ ชั้น​ + ดาษฟ้า​ 1​ชั้น
    อยู่​่ถนนบ้านไร่​
    ใกล้​โรงเรียน​เบญจ​มราชูทิศ​ราชบุรี
    บ้าน​พร้อม​อยู่​อาศัย​ ร่มรื่น​
    เดินทาง​สะดวก​สบาย​
    จอดรถยนต์​หน้า​บ้าน​ได้​หนึ่ง​คัน
    ราคา 2.5​​ล้าuuาn ค่าโอuคนละครึ่v
    สนใจ​โทร​สอบถาม​ (0946494298​)
    ต่อรองได้นิดหน่อย
    นัดดูบ้าน​ แจ้งล่วงห​น้า​ครับ​ผม
    ขายครับขาย อาคารพินิชย์​ 1​คูหา 2​ ชั้น​ + ดาษฟ้า​ 1​ชั้น อยู่​่ถนนบ้านไร่​ ใกล้​โรงเรียน​เบญจ​มราชูทิศ​ราชบุรี บ้าน​พร้อม​อยู่​อาศัย​ ร่มรื่น​ เดินทาง​สะดวก​สบาย​ จอดรถยนต์​หน้า​บ้าน​ได้​หนึ่ง​คัน ราคา 2.5​​ล้าuuาn ค่าโอuคนละครึ่v สนใจ​โทร​สอบถาม​ (0946494298​) ต่อรองได้นิดหน่อย นัดดูบ้าน​ แจ้งล่วงห​น้า​ครับ​ผม
    0 Comments 0 Shares 80 Views 0 Reviews
  • ขาย... อาคารพานิชใจกลางเมือง
    ติดถนนหลัก เดินทางสะดวกสบาย​
    อยู่ใกล้ โรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี
    ใกล้ศูนย์ราชการ
    ใกล้สถานศึกษาประจำจังหวัด
    อยู่ในเขตเทศบาล​เมือง​
    สาธารณูปโภค​ครบครัน​
    1 คูหา สูง 4 ชั้น + ชั้นดาดฟ้า
    กว้าง 6 เมตร ลึก 23 เมตร
    เข้าออกได้หน้าหลัง จอดรถหลังบ้านได้
    หลังบ้าน​มีถนน​สาธารณะ​ของ​หมู่บ้าน​
    มี รปภ รักษาความปลอดภัย
    ตัวอาคาร​อยู่ตรงข้ามตลาดเมืองทองเซ็นเตอร์พอยท์
    ใกล้ตลาดของกินทั้งเช้า, กลางวัน, เย็น
    เดินทางสะดวก ใกล้ถนนบายพาส
    สามารถเดินทางลงใต้ผ่านเพชรบุรี
    หรือไปกทม. ก็สะดวก
    ตัวบ้านยกสูงกว่าระดับถนน​
    หายห่วงเรื่องน้ำท่วม​
    ซึ่งจังหวัด​ราชบุรี​ไม่เคยมีน้ำท่วม
    สนนราคา 14.5 ล้านบาทถ้วน
    ค่าโอนคนละครึ่งกับเจ้าของ​บ้าน
    มีการต่อเติม​โครงสร้าง​บ้านให้แข็งแรง​ขึ้น​
    เจ้าของ​ขาย​ เพราะต้อง​การ​ย้ายทำเล
    บ้านพร้อมที่ดิน
    สนใจดูตัวบ้าน นัดเจอ​ต่อรอง​ได้​นิดหน่อย​นัดหมายล่วงหน้า
    ขอคนพร้อม พาชมบ้านจริง
    สนใจ 📞 ติดต่อ ไช้สมบูรณ์​กุล​(0946494298)
    ขาย... อาคารพานิชใจกลางเมือง ติดถนนหลัก เดินทางสะดวกสบาย​ อยู่ใกล้ โรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี ใกล้ศูนย์ราชการ ใกล้สถานศึกษาประจำจังหวัด อยู่ในเขตเทศบาล​เมือง​ สาธารณูปโภค​ครบครัน​ 1 คูหา สูง 4 ชั้น + ชั้นดาดฟ้า กว้าง 6 เมตร ลึก 23 เมตร เข้าออกได้หน้าหลัง จอดรถหลังบ้านได้ หลังบ้าน​มีถนน​สาธารณะ​ของ​หมู่บ้าน​ มี รปภ รักษาความปลอดภัย ตัวอาคาร​อยู่ตรงข้ามตลาดเมืองทองเซ็นเตอร์พอยท์ ใกล้ตลาดของกินทั้งเช้า, กลางวัน, เย็น เดินทางสะดวก ใกล้ถนนบายพาส สามารถเดินทางลงใต้ผ่านเพชรบุรี หรือไปกทม. ก็สะดวก ตัวบ้านยกสูงกว่าระดับถนน​ หายห่วงเรื่องน้ำท่วม​ ซึ่งจังหวัด​ราชบุรี​ไม่เคยมีน้ำท่วม สนนราคา 14.5 ล้านบาทถ้วน ค่าโอนคนละครึ่งกับเจ้าของ​บ้าน มีการต่อเติม​โครงสร้าง​บ้านให้แข็งแรง​ขึ้น​ เจ้าของ​ขาย​ เพราะต้อง​การ​ย้ายทำเล บ้านพร้อมที่ดิน สนใจดูตัวบ้าน นัดเจอ​ต่อรอง​ได้​นิดหน่อย​นัดหมายล่วงหน้า ขอคนพร้อม พาชมบ้านจริง สนใจ 📞 ติดต่อ ไช้สมบูรณ์​กุล​(0946494298)
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
  • รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊กPaisan Apacnews ของ ไพสันต์พรหมน้อย 8 มีนาคม 2568“คาสิโนเหรอ...ผมสั่งรื้อมาแล้ว โดย นาวิน ขันธหิรัญเมื่อปี 2541กระทรวงได้ย้ายผมจากนครพนมมาเป็นผู้ว่าสระแก้ว ขณะนั้นปอยเปตในฝั่งเขมรกำลังบูมการก่อสร้างเมืองขนานใหญ่มีการสร้างEntertainment Complexขนาดใหญ่ที่มีCasinoอยู่ด้วยทุกแห่งและมีนักการเมืองใหญ่ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเขมรเป็นหุ้นส่วนและมีนายซ๊ก อาน มหาเศรษฐีชาวเขมรเป็นผู้ประสานงานเมื่อสร้างเสร็จก็มีการเชิญผู้ใหญ่ฝั่งไทยไปเยี่ยมชมและประชาสัมพันธ์ว่าสร้างขึ้น มาเพื่อรับแขกชาวไทยเป็นหลัก เพื่อเห็นแก่สัมพันธภาพผมก็ไปร่วมชมความเจริญของเพื่อนบ้าน เดินชมไปมาไปพบว่าคาสิโนแห่งหนึ่งปลูกล้ำคลองพรมแดนเข้ามาในเขตไทย ผมจึงเรียกผู้จัดการมาแจ้งให้ทราบว่าคุณสร้างคาสิโนรุกแผ่นดินไทยแล้วยื่นคำขาดให้รื้อถอนออกไป ผู้จัดการเถึยงคอเป็นเอ็นแล้วยืนยันว่าไม่มีใครรื้อได้เพราะเจ้าของใหญ่มากอยู่ในพนมเปญ ผมไม่อยากเถียงกับผู้จัดการจึงตัดบทไปว่า...ไม่เป็นไรถ้าไม่รื้อผมจะปิดพรมแดนไม่ให้คนไทยข้ามมา(ผู้ว่าสามารถเสนอรัฐบาลปิดพรมแดนได้) จากนั้นผมก็เดินทางกลับเช้าวันรุ่งขึ้น11.00น.หน้าห้องได้เข้ามารายงานว่า นายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกฮุนเซนขอเข้าพบอะไรจะรวดเร็วขนาดนั้น ผมพูดเรื่องปิดพรมแดนไม่ถึง24ชั่วโมงประธานที่ปรึกษานายกเขมรก็ถึงตัวผมแล้วถึงตรงนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของสถานบริการครบวงจรที่ปอยเปตฝั่งเขมร แล้วฝั่งไทยล่ะ ประเดี๋ยวตัวละครจะค่อยๆโผล่ออกมาเองครับผมออกไปเชิญนายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกด้วยตัวเองแล้วทักทายด้วยอัธยาศัยไมตรีแล้วเชิญเข้ามานั่งเจรจากันในห้องนายจุม คาดาล เล่าให้ผมฟังว่าเมื่อวานนี้เมื่อทราบข่าวว่าคาสิโนแห่งหนึ่งสร้างล้ำเข้าไปในแผ่นดินไทยท่านนายกได้สั่งการให้ผมไปดูข้อเท็จจริงและแก้ปัญหาโดยด่วน เช้านี้ผมเลยใช้ฮ.บินจากพนมเปญมาดูข้อเท็จจริงที่หน้างานพบว่าเป็นไปตามที่ท่านผู้ว่าทักท้วงจริงผมจึงนัดรถแบคโฮลเข้าพื้นที่เพื่อทำการรื้อถอนคาสิโนในส่วนที่ล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทยและขอเชิญท่านผู้ว่าไปชี้ว่าจะให้รื้อเข้าไปแค่ไหน บ่ายวันนั้นผมและนายจุม คาดาล จึงไปควบคุมการรื้อคาสิโนเป็นที่เรียบร้อย ผมทวงแผ่นดินไทยกลับมาได้ด้วยศิลปของนักปกครองโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อและชีวิต ซึ่งน่าจะได้รับคำชมเชยแต่มันไม่เป็นเช่นนั้นครับไม่ถึงเดือนต่อมาก็มีคำสั่งย้ายผมจากสระแก้วไปสมุทรสงครามซึ่งเป็นจังหวัดเล็กกว่าในสายตาของชาวมหาดไทยถือว่าเป็นการลงโทษผมจึงถามผู้บังคับบัญชาว่าย้ายผมทำไมครับท่านตอบว่าคุณไม่รู้หรือว่าคาสิโนนี้เป็นของใคร ท่านขอให้ย้ายคุณเป็นผู้ตรวจด้วยซ้ำ แต่ทางกระทรวงทักท้วงไว้ว่าคุณไม่ได้มีความผิดอะไร แถมยังรักษาแผ่นดินไว้ให้คนไทย เอาแค่ย้ายออกจากสระแก้วและให้ลงจังหวัดเล็กลงก็น่าจะเพียงพอสำหรับผมย้ายไปจังหวัดไหนก็ทำงานได้ทั้งนั้นจังหวัดเล็กลงยิ่งทำงานง่ายขึ้นเมื่อไปรับงานที่สมุทรสงครามผมก็ทำงานอย่างมีความสุข แต่มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านข้องใจไม่หายว่าทำไมผมถูกย้ายลงจังหวัดเล็กลง ทั้งๆที่ผมไม่เคยบอกท่าน ท่านผู้นั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ………………………..ถึงตอนนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่านักการเมืองใหญ่ที่เป็นหุ้นส่วนสถานบันเทิงครบวงจรในปอยเปตนั้นคือใครถ้านึกไม่ออกผมจะบอกให้เจ้าพ่อวังน้ำเย็นไงครับและเป็นคนที่สั่งย้ายผมด้วย ..ถามว่าก่อนสั่งผมรู้ไหมว่าคาสิโนแห่งนี้เป็นของสองผู้ยิ่งใหญ่คู่นี้รู้ครับวันที่ผมสั่งผู้จัดการให้รื้ิอคาสิโนแกตกใจปากคอสั่นและยืนยีนว่ารื้อไม่ได้เป็นอันขาดเพราะเป็นของผู้ใหญ่ในพนมเปญ ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร จึงตัดบทไม่เจรจาด้วยส่วนเจ้าพ่อรู้สึกเสียฟอร์มที่คุ้มครองคาสิโนไม่ได้โดยเฉพาะกับฮุนเซนทางเดียวที่พอจะกู้หน้าได้คือเตะโด่งผู้ว่าไปให้พ้นหูพ้นตาเสียจะได้ไม่มายุ่งกับสถานบันเทิงของท่านอีกสะใจจริงๆนาวินใช้ชีวิตได้ผาดโผนน่าสนุกรื้อคาสิโนของนายกบ้าง ของเจ้าพ่อบ้างปัจจุบันรัฐบาลไทยกำลังจะสร้างสถานบันเทิงครบวงจรตามอย่างเขมร ผมอาจจะต้องออกมาช่วยพี่น้องชาวไทยรื้อคาสิโนในเมืองไทยอีกครั้งก็ได้ครับก่อนจบภาคแรกไปผมโปรยทิ้งไว้ว่า มีผู้ใหญ้ท่านหนึ่งข้องใจไม่หายว่าผมถูกย้ายเพราะอะไรท่านนั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์เพื่อนๆคงสงสัยว่าท่านมาเกี่ยวข้องกับผมได้อย่างไรจึงขอย้อนอดีตเล็กน้อย..เมื่อปี 2530กรมย้ายผมมาเป็นนายอำเภอสามพรานโดยอธิบดีดำรง สุนทรศาลทูล เลือกเอามาเองเพราะว่าบ้านอธิบดีอยู่สามพราน เมื่อมารับงานก็พบว่าพลเอกเปรม..รัฐบุรุษท่านตีกอล์ฟอยู่ที่สนามสามพรานทุกอาทิตย์ผมเป็นเจ้าของพื้นที่จึงไปต้อนรับท่าน ปรากฏว่าท่านถูกใจอะไรไม่ทราบชวนผมไปตีกอล์ฟก๊วนเดียวกับท่าน ซึ่งปกติจะไม่มีใครมีโอกาสเข้าร่วมก๊วนเลย ท่านจะตีอยู่กับหมอประสบ รัตนากร เพื่อนท่านและนายทหารคนสนิทเท่านั้นในก๊วนไม่มีการพนันเล่นเพื่อออกกำลังกายเฉยๆ ผมเล่นก๊อล์ฟกับท่านรัฐบุรุษเป็นเวลาหลายปีจนสนิทกันเหมือนญาติผู้ใหญ่ผมได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่านครพนมท่านก็เดินทางไปเยี่ยมผม พอผมถูกย้ายมาสมุทรสงครามท่านก็มาอีกและบอกผู้ติดตามทั้งหลายว่าขอคุยกับท่านผู้ว่าเป็นการส่วนตัวดังภาพ...ทันทีที่อยู่กันสองต่อสองท่านก็ยิงคำถามใส่ผมทันที ...ผู้ว่าถูกย้ายเพราะไร ผมไปสั่งรื้อคาสิโนของนายกเขมรและนักการเมืองไทยที่ปลูกล้ำพรมแดนไทยครับ.,..ผมตอบ ...เอางั้นเลยเหรอ แล้วใครสั่งย้ายนักการเมืองไทยครับเขาคงเสียหน้า ท่านพยักหน้ารับทราบและดูยิ้มแย้มขี้น จากนั้นผมก็ส่งท่านขึ้นรถกลับพรัอมทั้งผมถอนหายใจใหญ่โล่งอกที่ไม่ได้ทำให้ท่านรัฐบุรุษผิดหวังท่านเป็นคนสะอาดมากนะครับและจะไม่ยอมให้คนสีเทาเข้ามาใกล้ตัว………………………..ขอคารวะคุณนาวิน ขันธหิรัญ อดีตผู้ว่าสระแก้วที่หาญกล้าทำให้ 2 มหามาเฟียทั้งไทยและเขมรยอมรื้อคาสิโนเขมรที่รุกล้ำพรมแดนไทย สุดยอดจริง ๆ ขอให้ท่านนำการรื้อในไทยอีกนะ ถ้ามาเฟียคนเดิมของเขมรและคนใหม่ไทยในก๊วนเก่าลงมือสร้างขึ้นอีก เท่าที่รวบรวมได้คุณนาวินเป็นผู้ว่าฯจ.นครพนม,จ.สระแก้ว จ.สมุทรสงคราม และเกษียณอายุราชการวันที่ 1 ตุลาคม 2547จากผู้ว่าฯจ.นครปฐม (นักปกครอง 10 ) เพราะอายุครบ 60 ปี ปัจจุบันท่านจะมีอายุ 80 ปีเศษ( บรรยายภาพ - เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2556 นายนาวิน ขันธหิรัญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้เกียรติมาบรรยายพิเศษให้แก่นักศึกษาหลักสูตรปลัดอำเภอ รุ่นที่ 201 รุ่นที่ 202 และรุ่นที่ 203 ในหัวข้อ "ประสบการณ์นักปกครองในการแก้ไขปัญหายาเสพติด" ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 4 อาคารสำนักอธิการ วิทยาลัยการปกครอง)”
    รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊กPaisan Apacnews ของ ไพสันต์พรหมน้อย 8 มีนาคม 2568“คาสิโนเหรอ...ผมสั่งรื้อมาแล้ว โดย นาวิน ขันธหิรัญเมื่อปี 2541กระทรวงได้ย้ายผมจากนครพนมมาเป็นผู้ว่าสระแก้ว ขณะนั้นปอยเปตในฝั่งเขมรกำลังบูมการก่อสร้างเมืองขนานใหญ่มีการสร้างEntertainment Complexขนาดใหญ่ที่มีCasinoอยู่ด้วยทุกแห่งและมีนักการเมืองใหญ่ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเขมรเป็นหุ้นส่วนและมีนายซ๊ก อาน มหาเศรษฐีชาวเขมรเป็นผู้ประสานงานเมื่อสร้างเสร็จก็มีการเชิญผู้ใหญ่ฝั่งไทยไปเยี่ยมชมและประชาสัมพันธ์ว่าสร้างขึ้น มาเพื่อรับแขกชาวไทยเป็นหลัก เพื่อเห็นแก่สัมพันธภาพผมก็ไปร่วมชมความเจริญของเพื่อนบ้าน เดินชมไปมาไปพบว่าคาสิโนแห่งหนึ่งปลูกล้ำคลองพรมแดนเข้ามาในเขตไทย ผมจึงเรียกผู้จัดการมาแจ้งให้ทราบว่าคุณสร้างคาสิโนรุกแผ่นดินไทยแล้วยื่นคำขาดให้รื้อถอนออกไป ผู้จัดการเถึยงคอเป็นเอ็นแล้วยืนยันว่าไม่มีใครรื้อได้เพราะเจ้าของใหญ่มากอยู่ในพนมเปญ ผมไม่อยากเถียงกับผู้จัดการจึงตัดบทไปว่า...ไม่เป็นไรถ้าไม่รื้อผมจะปิดพรมแดนไม่ให้คนไทยข้ามมา(ผู้ว่าสามารถเสนอรัฐบาลปิดพรมแดนได้) จากนั้นผมก็เดินทางกลับเช้าวันรุ่งขึ้น11.00น.หน้าห้องได้เข้ามารายงานว่า นายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกฮุนเซนขอเข้าพบอะไรจะรวดเร็วขนาดนั้น ผมพูดเรื่องปิดพรมแดนไม่ถึง24ชั่วโมงประธานที่ปรึกษานายกเขมรก็ถึงตัวผมแล้วถึงตรงนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของสถานบริการครบวงจรที่ปอยเปตฝั่งเขมร แล้วฝั่งไทยล่ะ ประเดี๋ยวตัวละครจะค่อยๆโผล่ออกมาเองครับผมออกไปเชิญนายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกด้วยตัวเองแล้วทักทายด้วยอัธยาศัยไมตรีแล้วเชิญเข้ามานั่งเจรจากันในห้องนายจุม คาดาล เล่าให้ผมฟังว่าเมื่อวานนี้เมื่อทราบข่าวว่าคาสิโนแห่งหนึ่งสร้างล้ำเข้าไปในแผ่นดินไทยท่านนายกได้สั่งการให้ผมไปดูข้อเท็จจริงและแก้ปัญหาโดยด่วน เช้านี้ผมเลยใช้ฮ.บินจากพนมเปญมาดูข้อเท็จจริงที่หน้างานพบว่าเป็นไปตามที่ท่านผู้ว่าทักท้วงจริงผมจึงนัดรถแบคโฮลเข้าพื้นที่เพื่อทำการรื้อถอนคาสิโนในส่วนที่ล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทยและขอเชิญท่านผู้ว่าไปชี้ว่าจะให้รื้อเข้าไปแค่ไหน บ่ายวันนั้นผมและนายจุม คาดาล จึงไปควบคุมการรื้อคาสิโนเป็นที่เรียบร้อย ผมทวงแผ่นดินไทยกลับมาได้ด้วยศิลปของนักปกครองโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อและชีวิต ซึ่งน่าจะได้รับคำชมเชยแต่มันไม่เป็นเช่นนั้นครับไม่ถึงเดือนต่อมาก็มีคำสั่งย้ายผมจากสระแก้วไปสมุทรสงครามซึ่งเป็นจังหวัดเล็กกว่าในสายตาของชาวมหาดไทยถือว่าเป็นการลงโทษผมจึงถามผู้บังคับบัญชาว่าย้ายผมทำไมครับท่านตอบว่าคุณไม่รู้หรือว่าคาสิโนนี้เป็นของใคร ท่านขอให้ย้ายคุณเป็นผู้ตรวจด้วยซ้ำ แต่ทางกระทรวงทักท้วงไว้ว่าคุณไม่ได้มีความผิดอะไร แถมยังรักษาแผ่นดินไว้ให้คนไทย เอาแค่ย้ายออกจากสระแก้วและให้ลงจังหวัดเล็กลงก็น่าจะเพียงพอสำหรับผมย้ายไปจังหวัดไหนก็ทำงานได้ทั้งนั้นจังหวัดเล็กลงยิ่งทำงานง่ายขึ้นเมื่อไปรับงานที่สมุทรสงครามผมก็ทำงานอย่างมีความสุข แต่มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านข้องใจไม่หายว่าทำไมผมถูกย้ายลงจังหวัดเล็กลง ทั้งๆที่ผมไม่เคยบอกท่าน ท่านผู้นั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ………………………..ถึงตอนนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่านักการเมืองใหญ่ที่เป็นหุ้นส่วนสถานบันเทิงครบวงจรในปอยเปตนั้นคือใครถ้านึกไม่ออกผมจะบอกให้เจ้าพ่อวังน้ำเย็นไงครับและเป็นคนที่สั่งย้ายผมด้วย ..ถามว่าก่อนสั่งผมรู้ไหมว่าคาสิโนแห่งนี้เป็นของสองผู้ยิ่งใหญ่คู่นี้รู้ครับวันที่ผมสั่งผู้จัดการให้รื้ิอคาสิโนแกตกใจปากคอสั่นและยืนยีนว่ารื้อไม่ได้เป็นอันขาดเพราะเป็นของผู้ใหญ่ในพนมเปญ ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร จึงตัดบทไม่เจรจาด้วยส่วนเจ้าพ่อรู้สึกเสียฟอร์มที่คุ้มครองคาสิโนไม่ได้โดยเฉพาะกับฮุนเซนทางเดียวที่พอจะกู้หน้าได้คือเตะโด่งผู้ว่าไปให้พ้นหูพ้นตาเสียจะได้ไม่มายุ่งกับสถานบันเทิงของท่านอีกสะใจจริงๆนาวินใช้ชีวิตได้ผาดโผนน่าสนุกรื้อคาสิโนของนายกบ้าง ของเจ้าพ่อบ้างปัจจุบันรัฐบาลไทยกำลังจะสร้างสถานบันเทิงครบวงจรตามอย่างเขมร ผมอาจจะต้องออกมาช่วยพี่น้องชาวไทยรื้อคาสิโนในเมืองไทยอีกครั้งก็ได้ครับก่อนจบภาคแรกไปผมโปรยทิ้งไว้ว่า มีผู้ใหญ้ท่านหนึ่งข้องใจไม่หายว่าผมถูกย้ายเพราะอะไรท่านนั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์เพื่อนๆคงสงสัยว่าท่านมาเกี่ยวข้องกับผมได้อย่างไรจึงขอย้อนอดีตเล็กน้อย..เมื่อปี 2530กรมย้ายผมมาเป็นนายอำเภอสามพรานโดยอธิบดีดำรง สุนทรศาลทูล เลือกเอามาเองเพราะว่าบ้านอธิบดีอยู่สามพราน เมื่อมารับงานก็พบว่าพลเอกเปรม..รัฐบุรุษท่านตีกอล์ฟอยู่ที่สนามสามพรานทุกอาทิตย์ผมเป็นเจ้าของพื้นที่จึงไปต้อนรับท่าน ปรากฏว่าท่านถูกใจอะไรไม่ทราบชวนผมไปตีกอล์ฟก๊วนเดียวกับท่าน ซึ่งปกติจะไม่มีใครมีโอกาสเข้าร่วมก๊วนเลย ท่านจะตีอยู่กับหมอประสบ รัตนากร เพื่อนท่านและนายทหารคนสนิทเท่านั้นในก๊วนไม่มีการพนันเล่นเพื่อออกกำลังกายเฉยๆ ผมเล่นก๊อล์ฟกับท่านรัฐบุรุษเป็นเวลาหลายปีจนสนิทกันเหมือนญาติผู้ใหญ่ผมได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่านครพนมท่านก็เดินทางไปเยี่ยมผม พอผมถูกย้ายมาสมุทรสงครามท่านก็มาอีกและบอกผู้ติดตามทั้งหลายว่าขอคุยกับท่านผู้ว่าเป็นการส่วนตัวดังภาพ...ทันทีที่อยู่กันสองต่อสองท่านก็ยิงคำถามใส่ผมทันที ...ผู้ว่าถูกย้ายเพราะไร ผมไปสั่งรื้อคาสิโนของนายกเขมรและนักการเมืองไทยที่ปลูกล้ำพรมแดนไทยครับ.,..ผมตอบ ...เอางั้นเลยเหรอ แล้วใครสั่งย้ายนักการเมืองไทยครับเขาคงเสียหน้า ท่านพยักหน้ารับทราบและดูยิ้มแย้มขี้น จากนั้นผมก็ส่งท่านขึ้นรถกลับพรัอมทั้งผมถอนหายใจใหญ่โล่งอกที่ไม่ได้ทำให้ท่านรัฐบุรุษผิดหวังท่านเป็นคนสะอาดมากนะครับและจะไม่ยอมให้คนสีเทาเข้ามาใกล้ตัว………………………..ขอคารวะคุณนาวิน ขันธหิรัญ อดีตผู้ว่าสระแก้วที่หาญกล้าทำให้ 2 มหามาเฟียทั้งไทยและเขมรยอมรื้อคาสิโนเขมรที่รุกล้ำพรมแดนไทย สุดยอดจริง ๆ ขอให้ท่านนำการรื้อในไทยอีกนะ ถ้ามาเฟียคนเดิมของเขมรและคนใหม่ไทยในก๊วนเก่าลงมือสร้างขึ้นอีก เท่าที่รวบรวมได้คุณนาวินเป็นผู้ว่าฯจ.นครพนม,จ.สระแก้ว จ.สมุทรสงคราม และเกษียณอายุราชการวันที่ 1 ตุลาคม 2547จากผู้ว่าฯจ.นครปฐม (นักปกครอง 10 ) เพราะอายุครบ 60 ปี ปัจจุบันท่านจะมีอายุ 80 ปีเศษ( บรรยายภาพ - เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2556 นายนาวิน ขันธหิรัญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้เกียรติมาบรรยายพิเศษให้แก่นักศึกษาหลักสูตรปลัดอำเภอ รุ่นที่ 201 รุ่นที่ 202 และรุ่นที่ 203 ในหัวข้อ "ประสบการณ์นักปกครองในการแก้ไขปัญหายาเสพติด" ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 4 อาคารสำนักอธิการ วิทยาลัยการปกครอง)”
    0 Comments 0 Shares 286 Views 0 Reviews
  • สำนักตรวจการธนาคารสหรัฐฯ (OCC) ประกาศว่า ธนาคารในสหรัฐฯ สามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตบางประเภทได้ โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตล่วงหน้าจากผู้กำกับดูแล การประกาศนี้ช่วยลดภาระของธนาคารในการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโตและช่วยให้การดำเนินการธนาคารมีความชัดเจนและมั่นคง

    ธนาคารสามารถเข้าร่วมกิจกรรมคริปโตได้ เช่น การเก็บรักษาทรัพย์สินคริปโต (crypto-asset custody) การทำกิจกรรมกับ stablecoin และการเข้าร่วมในเครือข่ายบัญชีแยกประเภทแบบกระจาย (distributed ledger networks) นอกจากนี้ การประกาศนี้ยกเลิกแนวทางที่เคยกำหนดให้ธนาคารต้องแสดงความพร้อมในการจัดการความเสี่ยงก่อนเข้าร่วมกิจกรรมคริปโต

    Rodney Hood ผู้ตรวจการธนาคารสหรัฐฯ กล่าวว่า แนวทางใหม่นี้ช่วยลดภาระของธนาคารในการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโต และทำให้การดำเนินงานของธนาคารมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย

    การประกาศในครั้งนี้มีการยกเลิกแนวทางการกำกับดูแลที่ออกในยุคประธานาธิบดี Joe Biden ที่กำหนดให้ธนาคารต้องรายงานการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโตและแสดงวิธีการจัดการความเสี่ยงก่อน โดยทาง OCC ยังได้ถอนตัวจากแถลงการณ์ร่วมกับผู้กำกับดูแลของสหรัฐฯ ที่เคยเตือนธนาคารเกี่ยวกับความเสี่ยงของการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโต เช่น ความผันผวนที่สูงของตลาดคริปโต

    การประกาศนี้มีผลให้ธนาคารมีความคล่องตัวในการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโตมากขึ้น และลดความยุ่งยากในการดำเนินการ แต่ยังคงต้องมีมาตรการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลให้ธนาคารสามารถนำนวัตกรรมทางการเงินเข้ามาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น

    การประกาศนี้เกิดขึ้นในวันที่ทำเนียบขาวจัดการประชุมสุดยอดคริปโต และประธานาธิบดี Donald Trump ลงนามในคำสั่งบริหารสร้างทุนสำรองเชิงกลยุทธ์สำหรับบิตคอยน์และคริปโตอื่น ๆ การยกเลิกแนวทางการกำกับดูแลเก่าช่วยเพิ่มความมั่นใจในตลาดคริปโต ซึ่งเป็นผลดีต่อนักลงทุนและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคริปโตในสหรัฐฯ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/08/us-bank-regulator-reaffirms-banks-can-engage-in-some-crypto-activities
    สำนักตรวจการธนาคารสหรัฐฯ (OCC) ประกาศว่า ธนาคารในสหรัฐฯ สามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตบางประเภทได้ โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตล่วงหน้าจากผู้กำกับดูแล การประกาศนี้ช่วยลดภาระของธนาคารในการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโตและช่วยให้การดำเนินการธนาคารมีความชัดเจนและมั่นคง ธนาคารสามารถเข้าร่วมกิจกรรมคริปโตได้ เช่น การเก็บรักษาทรัพย์สินคริปโต (crypto-asset custody) การทำกิจกรรมกับ stablecoin และการเข้าร่วมในเครือข่ายบัญชีแยกประเภทแบบกระจาย (distributed ledger networks) นอกจากนี้ การประกาศนี้ยกเลิกแนวทางที่เคยกำหนดให้ธนาคารต้องแสดงความพร้อมในการจัดการความเสี่ยงก่อนเข้าร่วมกิจกรรมคริปโต Rodney Hood ผู้ตรวจการธนาคารสหรัฐฯ กล่าวว่า แนวทางใหม่นี้ช่วยลดภาระของธนาคารในการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโต และทำให้การดำเนินงานของธนาคารมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย การประกาศในครั้งนี้มีการยกเลิกแนวทางการกำกับดูแลที่ออกในยุคประธานาธิบดี Joe Biden ที่กำหนดให้ธนาคารต้องรายงานการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโตและแสดงวิธีการจัดการความเสี่ยงก่อน โดยทาง OCC ยังได้ถอนตัวจากแถลงการณ์ร่วมกับผู้กำกับดูแลของสหรัฐฯ ที่เคยเตือนธนาคารเกี่ยวกับความเสี่ยงของการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโต เช่น ความผันผวนที่สูงของตลาดคริปโต การประกาศนี้มีผลให้ธนาคารมีความคล่องตัวในการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโตมากขึ้น และลดความยุ่งยากในการดำเนินการ แต่ยังคงต้องมีมาตรการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลให้ธนาคารสามารถนำนวัตกรรมทางการเงินเข้ามาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น การประกาศนี้เกิดขึ้นในวันที่ทำเนียบขาวจัดการประชุมสุดยอดคริปโต และประธานาธิบดี Donald Trump ลงนามในคำสั่งบริหารสร้างทุนสำรองเชิงกลยุทธ์สำหรับบิตคอยน์และคริปโตอื่น ๆ การยกเลิกแนวทางการกำกับดูแลเก่าช่วยเพิ่มความมั่นใจในตลาดคริปโต ซึ่งเป็นผลดีต่อนักลงทุนและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคริปโตในสหรัฐฯ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/08/us-bank-regulator-reaffirms-banks-can-engage-in-some-crypto-activities
    WWW.THESTAR.COM.MY
    US regulator clears path for banks to engage in some crypto activities
    WASHINGTON (Reuters) -The U.S. regulator overseeing national banks clarified Friday that banks can engage in some crypto activities, and removed expectations firms should receive advance permission from regulators before doing so.
    0 Comments 0 Shares 160 Views 0 Reviews
  • ตามรอยเรื่อง <ม่านมุกม่านหยก> ผ่านเส้นทางสายไหม

    สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ม่านมุกม่านหยก> คงจำได้ว่าฉากหลังของเรื่องคือการค้าอัญมณีในสมัยถัง ซึ่งเส้นทางการเดินทางมีทั้งการเดินเรือทะเลและข้ามทะเลทรายเข้าเขตซีอวี้ ชวนให้ Storyฯ งงไม่น้อยเลยลองไปหาข้อมูลดู

    มีบทสัมภาษณ์ของศาสตราจารย์ท่านหนึ่งของมหาวิทยาลัยเหอหนานกล่าวไว้ว่าจริงๆ แล้วซีรีส์เรื่อง <ม่านมุกม่านหยก> นี้คือการเดินทางผ่านเส้นทางสายไหม ซึ่งก็ตรงกับตอนจบของเรื่องที่กล่าวถึงการพัฒนาด้านการค้าผ่านเส้นทางสายไหม

    Storyฯ เลยลองเอาการเดินทางของพระเอกนางเอกจากในซีรีส์มาปักหมุดลง เราลองมาดูกันค่ะ

    มีบทความและแผนที่เกี่ยวกับเส้นทางสายไหมจำนวนไม่น้อยในหลากหลายภาษา ดังนั้น Storyฯ ขอไม่ลงรายละเอียด แต่จากการเปรียบเทียบดู Storyฯ พบว่ามีความแตกต่างกันบ้าง จึงขอใช้เวอร์ชั่นที่แสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์หนิงเซี่ยกู้หยวนเป็นหลักเพราะถือว่าเป็นไปตามข้อมูลประวัติศาสตร์ที่จีนบันทึกเอง (ดูรูปประกอบ 2) เราจะเห็นว่าเส้นทางสายไหมมีเส้นทางบกและเส้นทางทะเล และเส้นทางบกไม่ได้จบลงที่เมืองฉางอัน (ซีอันปัจจุบัน) อย่างที่หลายคนเข้าใจ หากแต่มีการเชื่อมต่อไปจรดทะเลเชื่อมต่อเข้ากับเส้นทางทะเล

    Storyฯ ลองใส่ข้อมูลอื่นเพิ่มเข้าไปในแผนที่เต็มนี้ (ดูรูปประกอบ 1) ก่อนอื่นคือใส่แผนที่ของราชวงศ์ถังซ้อนลงไปเพื่อให้เห็นภาพอาณาเขตโดยคร่าว ทั้งนี้ตลอดสามร้อยกว่าปีการปกครองของถังในเขตซีอวี้ (ซินเกียงปัจจุบัน) แตกต่างกันไป เลยลองใช้แผนที่ของช่วงประมาณปีค.ศ. 700 ก็จะเห็นเขตพื้นที่ซีอวี้ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือที่มีเมืองตุนหวงเป็นเสมือนประตูทางผ่าน จากนั้นใส่เขตพื้นที่มณฑลหยางโจวในสมัยนั้นซึ่งอยู่ทางใต้ของแผนที่ติดทะเล (คือเส้นประเล็กๆ) (หมายเหตุ เส้นขอบทั้งหมดอาจไม่เป๊ะด้วยข้อจำกัดการวาดของ Storyฯ เอง)

    เมื่อใส่เสร็จแล้วก็เห็นได้เลยว่าตวนอู่และเยี่ยจื่อจิงของเราในเรื่อง <ม่านมุกม่านหยก> เขาเดินทางตามเส้นทางสายใหม่จริงๆ

    เริ่มกันที่ด้านล่างของแผนที่ซึ่งเป็นแถบพื้นที่เหอผู่อันเป็นแหล่งเก็บมุกทะเล (ปัจจุบันเรียกเป๋ยไห่ คือพื้นที่สีแดง) ที่นี่เป็นฉากเริ่มต้นของเรื่อง (ย้อนอ่านเรื่องการเก็บมุกได้จากบทความสัปดาห์ที่แล้ว) จากนั้นเดินทางผ่านกวางเจาขึ้นเหนือและสู้รบปรบมือกับคนตระกูลชุยและศัตรูอื่นเป็นระยะตั้งแต่เมืองซ่าวโจวถึงเมืองอู่หลิง จากนั้นเดินทางเรื่อยขึ้นไปจนถึงเมืองเปี้ยนโจวซึ่งคือเมืองไคฟงปัจจุบัน แล้วเลี้ยวซ้ายผ่านนครฉางอัน ข้ามเขตทะเลทรายเข้าเขตซีอวี้ซึ่งการเข้าเขตซีอวี้ในสมัยนั้นจะผ่านเมืองตุนหวง ณ จุดนี้ เรื่องราวผ่านไปแล้วประมาณ 1/3 ของเรื่อง

    หลังจากนั้นเหล่าตัวละครกลับมาจากซีอวี้แล้วเดินทางมาถึงเมืองหยางโจวข้ามผ่านระยะทางอย่างไกลได้อย่างไรไม่ทราบได้ Storyฯ ดูจากแผนที่แล้วน่าจะย้อนกลับมาทางเมืองเปี้ยนเฉิงและจากจุดนั้นมีเส้นทาง (ที่ไม่ใช่เส้นทางสายไหมและไม่ได้วาดไว้ในรูปประกอบ) เชื่อมลงมายังเมืองหยางโจว ซึ่งมีทั้งเส้นทางบกและเส้นทางคลองใหญ่ต้าอวิ้นเหอที่สามารถใช้ได้ (หมายเหตุ เส้นทางต้าอวิ้นเหอมีการเปลี่ยนแปลงไปในยุคสมัยหมิงเป็นต้นมา) และเรื่องราวที่เหลือของเรื่องก็จะมีฉากหลังอยู่ที่การค้าอัญมณีที่เมืองหยางโจวนี้

    ในเรื่องมีกล่าวถึงอัญมณีหนึ่งที่น่าสนใจชื่อว่า ‘เซ่อเซ่อ’ (瑟瑟 ไม่แน่ใจว่าแปลซับไทยไว้ว่าอย่างไร) ซึ่งเป็นพลอยประเภท Beryl Stone มีสีเขียวฟ้าและฟ้า บอกว่าเป็นพลอยที่มีค่าหายากมาก ในความเป็นจริง Beryl Stone แบ่งเป็นประเภทย่อยอีกตามสี แต่เรามักเรียกรวมพลอยสีฟ้าเขียวว่าพลอยอะความารีน (Aquamarine) และในละครมีการกล่าวว่าพลอยเซ่อเซ่อเกรดดีส่วนใหญ่มาจากเขตซีอวี้ แต่แถวหยางโจวก็พอให้หาซื้อได้ ซึ่งเป็นข้อมูลจริงตามประวัติศาสตร์ เพราะพลอยเซ่อเซ่อในจีนหาได้ในสามพื้นที่หลักคือซินเกียง (ซีอวี้) ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ และที่ยูนนานและหูเป่ย (ไม่ไกลจากเมืองอู่หลิงในภาพ ซึ่งเป็นจุดที่น้องชุยสือจิ่วของเราถูกจับขังในเหมือง)

    เมืองหยางโจวเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการคมนาคมทั้งทางบกและทางเรือของจีนโบราณ จึงไม่แปลกที่เรามักเห็นในซีรีส์และนิยายจีนโบราณกล่าวถึงหยางโจวว่าเป็นเขตค้าขายมีตระกูลพ่อค้าร่ำรวย ที่นี่ไม่เพียงเป็นจุดเชื่อมเส้นทางสายไหมทางบกและทะเลโดยผ่านแม่น้ำแยงซีเกียง และยังมีคลองต้าอวิ้นเหอเชื่อมขึ้นเหนือ ในสมัยถังที่นี่เป็นศูนย์กลางการค้าเสบียงอาหาร เกลือและเหล็กไปยังพื้นที่ต่างๆ ของจีน อีกทั้งค้าขายส่งออกผ้าไหมและงานกระเบื้องรวมถึงนำเข้าสินค้าหลากชนิดผ่านเส้นทางบกและเรือ นอกจากนี้ที่นี่ยังขึ้นชื่อเรื่องงานช่างงานฝีมือและมีการพบเจอซากเรือสมัยถังพร้อมเครื่องประดับมากมายที่แสดงให้เห็นว่าในสมัยถังมีการค้าขายเครื่องประดับด้วยเช่นกัน

    หวังว่าเพื่อนเพจจะเห็นภาพแล้วว่าการเดินเรื่องของ <ม่านมุกม่านหยก> ผ่านพื้นที่ไหนบ้าง และทำไมเหล่าคู่อริทางการค้าจึงพบหน้ากันบ่อย... เพราะทุกคนล้วนค้าขายและใช้เส้นทางสายไหมกันนั่นเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://m.bjnews.com.cn/detail/1730788116168379.html
    https://www.chinadiscovery.com/assets/images/silk-road/history/tang-silk-road-map-llsboc-qunar.jpg
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.163.com/dy/article/JG5GE87L0512D3VJ.html
    https://www.163.com/dy/article/JGCT7TAP0530WJTO.html
    https://baike.baidu.com/item/扬州市
    https://turnstone.ca/rom186be.htm

    #ม่านมุกม่านหยก #เส้นทางสายไหม #พลอยจีน #หยางโจว #สาระจีน
    ตามรอยเรื่อง <ม่านมุกม่านหยก> ผ่านเส้นทางสายไหม สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ม่านมุกม่านหยก> คงจำได้ว่าฉากหลังของเรื่องคือการค้าอัญมณีในสมัยถัง ซึ่งเส้นทางการเดินทางมีทั้งการเดินเรือทะเลและข้ามทะเลทรายเข้าเขตซีอวี้ ชวนให้ Storyฯ งงไม่น้อยเลยลองไปหาข้อมูลดู มีบทสัมภาษณ์ของศาสตราจารย์ท่านหนึ่งของมหาวิทยาลัยเหอหนานกล่าวไว้ว่าจริงๆ แล้วซีรีส์เรื่อง <ม่านมุกม่านหยก> นี้คือการเดินทางผ่านเส้นทางสายไหม ซึ่งก็ตรงกับตอนจบของเรื่องที่กล่าวถึงการพัฒนาด้านการค้าผ่านเส้นทางสายไหม Storyฯ เลยลองเอาการเดินทางของพระเอกนางเอกจากในซีรีส์มาปักหมุดลง เราลองมาดูกันค่ะ มีบทความและแผนที่เกี่ยวกับเส้นทางสายไหมจำนวนไม่น้อยในหลากหลายภาษา ดังนั้น Storyฯ ขอไม่ลงรายละเอียด แต่จากการเปรียบเทียบดู Storyฯ พบว่ามีความแตกต่างกันบ้าง จึงขอใช้เวอร์ชั่นที่แสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์หนิงเซี่ยกู้หยวนเป็นหลักเพราะถือว่าเป็นไปตามข้อมูลประวัติศาสตร์ที่จีนบันทึกเอง (ดูรูปประกอบ 2) เราจะเห็นว่าเส้นทางสายไหมมีเส้นทางบกและเส้นทางทะเล และเส้นทางบกไม่ได้จบลงที่เมืองฉางอัน (ซีอันปัจจุบัน) อย่างที่หลายคนเข้าใจ หากแต่มีการเชื่อมต่อไปจรดทะเลเชื่อมต่อเข้ากับเส้นทางทะเล Storyฯ ลองใส่ข้อมูลอื่นเพิ่มเข้าไปในแผนที่เต็มนี้ (ดูรูปประกอบ 1) ก่อนอื่นคือใส่แผนที่ของราชวงศ์ถังซ้อนลงไปเพื่อให้เห็นภาพอาณาเขตโดยคร่าว ทั้งนี้ตลอดสามร้อยกว่าปีการปกครองของถังในเขตซีอวี้ (ซินเกียงปัจจุบัน) แตกต่างกันไป เลยลองใช้แผนที่ของช่วงประมาณปีค.ศ. 700 ก็จะเห็นเขตพื้นที่ซีอวี้ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือที่มีเมืองตุนหวงเป็นเสมือนประตูทางผ่าน จากนั้นใส่เขตพื้นที่มณฑลหยางโจวในสมัยนั้นซึ่งอยู่ทางใต้ของแผนที่ติดทะเล (คือเส้นประเล็กๆ) (หมายเหตุ เส้นขอบทั้งหมดอาจไม่เป๊ะด้วยข้อจำกัดการวาดของ Storyฯ เอง) เมื่อใส่เสร็จแล้วก็เห็นได้เลยว่าตวนอู่และเยี่ยจื่อจิงของเราในเรื่อง <ม่านมุกม่านหยก> เขาเดินทางตามเส้นทางสายใหม่จริงๆ เริ่มกันที่ด้านล่างของแผนที่ซึ่งเป็นแถบพื้นที่เหอผู่อันเป็นแหล่งเก็บมุกทะเล (ปัจจุบันเรียกเป๋ยไห่ คือพื้นที่สีแดง) ที่นี่เป็นฉากเริ่มต้นของเรื่อง (ย้อนอ่านเรื่องการเก็บมุกได้จากบทความสัปดาห์ที่แล้ว) จากนั้นเดินทางผ่านกวางเจาขึ้นเหนือและสู้รบปรบมือกับคนตระกูลชุยและศัตรูอื่นเป็นระยะตั้งแต่เมืองซ่าวโจวถึงเมืองอู่หลิง จากนั้นเดินทางเรื่อยขึ้นไปจนถึงเมืองเปี้ยนโจวซึ่งคือเมืองไคฟงปัจจุบัน แล้วเลี้ยวซ้ายผ่านนครฉางอัน ข้ามเขตทะเลทรายเข้าเขตซีอวี้ซึ่งการเข้าเขตซีอวี้ในสมัยนั้นจะผ่านเมืองตุนหวง ณ จุดนี้ เรื่องราวผ่านไปแล้วประมาณ 1/3 ของเรื่อง หลังจากนั้นเหล่าตัวละครกลับมาจากซีอวี้แล้วเดินทางมาถึงเมืองหยางโจวข้ามผ่านระยะทางอย่างไกลได้อย่างไรไม่ทราบได้ Storyฯ ดูจากแผนที่แล้วน่าจะย้อนกลับมาทางเมืองเปี้ยนเฉิงและจากจุดนั้นมีเส้นทาง (ที่ไม่ใช่เส้นทางสายไหมและไม่ได้วาดไว้ในรูปประกอบ) เชื่อมลงมายังเมืองหยางโจว ซึ่งมีทั้งเส้นทางบกและเส้นทางคลองใหญ่ต้าอวิ้นเหอที่สามารถใช้ได้ (หมายเหตุ เส้นทางต้าอวิ้นเหอมีการเปลี่ยนแปลงไปในยุคสมัยหมิงเป็นต้นมา) และเรื่องราวที่เหลือของเรื่องก็จะมีฉากหลังอยู่ที่การค้าอัญมณีที่เมืองหยางโจวนี้ ในเรื่องมีกล่าวถึงอัญมณีหนึ่งที่น่าสนใจชื่อว่า ‘เซ่อเซ่อ’ (瑟瑟 ไม่แน่ใจว่าแปลซับไทยไว้ว่าอย่างไร) ซึ่งเป็นพลอยประเภท Beryl Stone มีสีเขียวฟ้าและฟ้า บอกว่าเป็นพลอยที่มีค่าหายากมาก ในความเป็นจริง Beryl Stone แบ่งเป็นประเภทย่อยอีกตามสี แต่เรามักเรียกรวมพลอยสีฟ้าเขียวว่าพลอยอะความารีน (Aquamarine) และในละครมีการกล่าวว่าพลอยเซ่อเซ่อเกรดดีส่วนใหญ่มาจากเขตซีอวี้ แต่แถวหยางโจวก็พอให้หาซื้อได้ ซึ่งเป็นข้อมูลจริงตามประวัติศาสตร์ เพราะพลอยเซ่อเซ่อในจีนหาได้ในสามพื้นที่หลักคือซินเกียง (ซีอวี้) ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ และที่ยูนนานและหูเป่ย (ไม่ไกลจากเมืองอู่หลิงในภาพ ซึ่งเป็นจุดที่น้องชุยสือจิ่วของเราถูกจับขังในเหมือง) เมืองหยางโจวเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการคมนาคมทั้งทางบกและทางเรือของจีนโบราณ จึงไม่แปลกที่เรามักเห็นในซีรีส์และนิยายจีนโบราณกล่าวถึงหยางโจวว่าเป็นเขตค้าขายมีตระกูลพ่อค้าร่ำรวย ที่นี่ไม่เพียงเป็นจุดเชื่อมเส้นทางสายไหมทางบกและทะเลโดยผ่านแม่น้ำแยงซีเกียง และยังมีคลองต้าอวิ้นเหอเชื่อมขึ้นเหนือ ในสมัยถังที่นี่เป็นศูนย์กลางการค้าเสบียงอาหาร เกลือและเหล็กไปยังพื้นที่ต่างๆ ของจีน อีกทั้งค้าขายส่งออกผ้าไหมและงานกระเบื้องรวมถึงนำเข้าสินค้าหลากชนิดผ่านเส้นทางบกและเรือ นอกจากนี้ที่นี่ยังขึ้นชื่อเรื่องงานช่างงานฝีมือและมีการพบเจอซากเรือสมัยถังพร้อมเครื่องประดับมากมายที่แสดงให้เห็นว่าในสมัยถังมีการค้าขายเครื่องประดับด้วยเช่นกัน หวังว่าเพื่อนเพจจะเห็นภาพแล้วว่าการเดินเรื่องของ <ม่านมุกม่านหยก> ผ่านพื้นที่ไหนบ้าง และทำไมเหล่าคู่อริทางการค้าจึงพบหน้ากันบ่อย... เพราะทุกคนล้วนค้าขายและใช้เส้นทางสายไหมกันนั่นเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://m.bjnews.com.cn/detail/1730788116168379.html https://www.chinadiscovery.com/assets/images/silk-road/history/tang-silk-road-map-llsboc-qunar.jpg Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.163.com/dy/article/JG5GE87L0512D3VJ.html https://www.163.com/dy/article/JGCT7TAP0530WJTO.html https://baike.baidu.com/item/扬州市 https://turnstone.ca/rom186be.htm #ม่านมุกม่านหยก #เส้นทางสายไหม #พลอยจีน #หยางโจว #สาระจีน
    M.BJNEWS.COM.CN
    赵露思、刘宇宁新剧《珠帘玉幕》今日卫视开播
    赵露思、刘宇宁新剧《珠帘玉幕》今日卫视开播
    0 Comments 0 Shares 280 Views 0 Reviews
  • ราชทัณฑ์ แจง สว. อภิปรายในสภาฯ พาดพิงเกี่ยวกับในเรือนจำมี ‘สมเด็จ’ ขบวนการหากินกับคุก ไม่เป็นความจริง ยืนยันมีการตรวจสอบเข้มงวด

    ตามที่สื่อมวลชนได้มีการเผยแพร่ข่าว กรณี นายสิทธิกร ธงยศ สมาชิกวุฒิสภา ได้มีการอภิปราย พร้อมภาพที่มีข้อความว่า “ขบวนการหากินกับคุก” สร้างความไม่เท่าเทียมกันในเรือนจำและยังกล่าวว่า มีตัวละครที่ใช้ชื่อว่า “สมเด็จในกรมราชทัณฑ์และเรือนจำ” ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้ให้สิทธิพิเศษกับผู้ต้องขังรายอื่นๆ ได้ นั้น

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000022176

    #MGROnline #กรมราชทัณฑ์ #เรือนจำ
    ราชทัณฑ์ แจง สว. อภิปรายในสภาฯ พาดพิงเกี่ยวกับในเรือนจำมี ‘สมเด็จ’ ขบวนการหากินกับคุก ไม่เป็นความจริง ยืนยันมีการตรวจสอบเข้มงวด • ตามที่สื่อมวลชนได้มีการเผยแพร่ข่าว กรณี นายสิทธิกร ธงยศ สมาชิกวุฒิสภา ได้มีการอภิปราย พร้อมภาพที่มีข้อความว่า “ขบวนการหากินกับคุก” สร้างความไม่เท่าเทียมกันในเรือนจำและยังกล่าวว่า มีตัวละครที่ใช้ชื่อว่า “สมเด็จในกรมราชทัณฑ์และเรือนจำ” ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้ให้สิทธิพิเศษกับผู้ต้องขังรายอื่นๆ ได้ นั้น • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000022176 • #MGROnline #กรมราชทัณฑ์ #เรือนจำ
    0 Comments 0 Shares 174 Views 0 Reviews
  • ทีมนักวิจัยจาก Nisos ได้เผยแพร่รายงานที่น่าตกใจเกี่ยวกับเครือข่ายของแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือที่กำลังปลอมแปลงตัวตนเพื่อสมัครงานในบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ทั้งในเอเชียและตะวันตก การกระทำนี้มุ่งเน้นหารายได้เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของรัฐบาลเกาหลีเหนือ

    วิธีการที่แฮกเกอร์ใช้
    1) สร้างตัวตนปลอม: แฮกเกอร์ใช้ GitHub และเนื้อหาผลงานจากบัญชีเก่าเพื่อสร้างโปรไฟล์ที่ดูเหมือนจริง
    2) เทคนิคการปลอมแปลง: ใช้รูปภาพที่ผ่านการตัดต่อ (Photoshop) และโปรไฟล์ที่ไม่มีบัญชีโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่าสงสัย
    3) การสมัครงานในบริษัทเล็ก: เป้าหมายคือบริษัทที่มีพนักงานน้อยกว่า 50 คน ทำให้ง่ายต่อการแทรกซึมข้อมูล

    การจ้างงานช่วยให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบภายในของบริษัท เป้าหมายไม่เพียงแค่ขโมยข้อมูลที่สำคัญ แต่ยังรวมถึงเงินทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฮกเกอร์กลุ่มนี้มุ่งเน้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับบล็อกเชนและคริปโตเคอเรนซี ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีประวัติการโจรกรรมครั้งใหญ่ในวงการนี้

    แม้จะไม่สามารถระบุตัวตนได้แน่นอน แต่พฤติกรรมและรูปแบบการโจมตีที่แสดงออกมามีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่ม Lazarus ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลีเหนือ และเคยเกี่ยวข้องกับการโจมตีด้วยมัลแวร์และการสร้างบริษัทปลอมเพื่อหลอกลวงนักพัฒนาซอฟต์แวร์

    การป้องกันและข้อควรรู้
    ผู้ว่าจ้างควรระวังข้อมูลที่ดูผิดปกติในโปรไฟล์ผู้สมัคร เช่น:
    - การใช้รูปภาพที่ดูไม่สมจริง
    - ไม่มีบัญชีโซเชียลมีเดีย หรืออีเมลที่คล้ายคลึงกันทั้งหมด
    - พิจารณาการตรวจสอบประวัติผู้สมัครอย่างละเอียด

    เรื่องนี้ไม่เพียงแค่สะท้อนถึงความซับซ้อนในโลกไซเบอร์ แต่ยังเตือนให้บริษัทในวงการเทคโนโลยีเพิ่มการตรวจสอบและตื่นตัวกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกเมื่อ

    https://www.techradar.com/pro/security/north-korean-fake-job-hackers-are-going-the-extra-mile-to-make-sure-their-scams-seem-legit
    ทีมนักวิจัยจาก Nisos ได้เผยแพร่รายงานที่น่าตกใจเกี่ยวกับเครือข่ายของแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือที่กำลังปลอมแปลงตัวตนเพื่อสมัครงานในบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ทั้งในเอเชียและตะวันตก การกระทำนี้มุ่งเน้นหารายได้เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของรัฐบาลเกาหลีเหนือ วิธีการที่แฮกเกอร์ใช้ 1) สร้างตัวตนปลอม: แฮกเกอร์ใช้ GitHub และเนื้อหาผลงานจากบัญชีเก่าเพื่อสร้างโปรไฟล์ที่ดูเหมือนจริง 2) เทคนิคการปลอมแปลง: ใช้รูปภาพที่ผ่านการตัดต่อ (Photoshop) และโปรไฟล์ที่ไม่มีบัญชีโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่าสงสัย 3) การสมัครงานในบริษัทเล็ก: เป้าหมายคือบริษัทที่มีพนักงานน้อยกว่า 50 คน ทำให้ง่ายต่อการแทรกซึมข้อมูล การจ้างงานช่วยให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบภายในของบริษัท เป้าหมายไม่เพียงแค่ขโมยข้อมูลที่สำคัญ แต่ยังรวมถึงเงินทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฮกเกอร์กลุ่มนี้มุ่งเน้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับบล็อกเชนและคริปโตเคอเรนซี ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีประวัติการโจรกรรมครั้งใหญ่ในวงการนี้ แม้จะไม่สามารถระบุตัวตนได้แน่นอน แต่พฤติกรรมและรูปแบบการโจมตีที่แสดงออกมามีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่ม Lazarus ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลีเหนือ และเคยเกี่ยวข้องกับการโจมตีด้วยมัลแวร์และการสร้างบริษัทปลอมเพื่อหลอกลวงนักพัฒนาซอฟต์แวร์ การป้องกันและข้อควรรู้ ผู้ว่าจ้างควรระวังข้อมูลที่ดูผิดปกติในโปรไฟล์ผู้สมัคร เช่น: - การใช้รูปภาพที่ดูไม่สมจริง - ไม่มีบัญชีโซเชียลมีเดีย หรืออีเมลที่คล้ายคลึงกันทั้งหมด - พิจารณาการตรวจสอบประวัติผู้สมัครอย่างละเอียด เรื่องนี้ไม่เพียงแค่สะท้อนถึงความซับซ้อนในโลกไซเบอร์ แต่ยังเตือนให้บริษัทในวงการเทคโนโลยีเพิ่มการตรวจสอบและตื่นตัวกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกเมื่อ https://www.techradar.com/pro/security/north-korean-fake-job-hackers-are-going-the-extra-mile-to-make-sure-their-scams-seem-legit
    0 Comments 0 Shares 181 Views 0 Reviews
  • บทความเอ็ดดี้ อัษฎางค์นี้มีความหมายที่ควรค่าการอ่านเกี่ยวกับอคติของวัฒนธรรมของฝรั่งเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น กรณีนาย Jimmy Kimmel พิธีกรรายการดังสัมภาษณ์ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล เมื่อรายการ Jimmy Kimmel Live บอกกับลิซ่าว่า ชื่อ มุก ของเธอใน #TheWhiteLotus แปลว่า โง่งี่เง่า#อัษฎางค์ยมนาค“Ethnocentrism“แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น ลิซ่า ไปออกรายการ Jimmy Kimmel Live แล้วพิธีกร Jimmy ถามถึงการสวมบทเป็น “มุก” ใน #TheWhiteLotus ว่าตัวละครที่้ที่ชื่อ “มุก” ในภาษาไทยมุก (Mook) แปลว่าอะไร?ลิซ่า ตอบว่า Pearl (ไข่มุก) แต่ Jimmy สวนกลับว่า Mook มันเป็นแสลงประมาณว่า Dumb นะ ไม่มีใครบอกเธอหรอ ลิซ่า บอกไม่มีนะ แต่มันเป็นชื่อคนไทยไง Jimmy พูดต่อว่าคงไม่มีปัญหาที่ไทย แต่ที่นี่อ่ะมีแน่ ลิซ่าตอบกลับว่า ถ้าอย่างนั้นอย่าเรียกว่ามุกที่นี่แล้วกัน ในภาษาไทย “มุก” หมายถึง ไข่มุก ซึ่งเป็นของมีค่า สวยงาม และมีความหมายดี ในขณะที่ มุก เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย แต่เสียงของคำนี้ไปพ้องกับคำในภาษาอังกฤษที่มีความหมายแย่ คำว่า “Mook” เป็นแสลงที่ใช้ดูถูกคน แปลประมาณว่า “คนโง่, ไร้ค่า”การที่ Jimmy Kimmel แซวชื่อว่า “Mook” แปลว่า Dumb (โง่) ในภาษาอังกฤษ อาจดูเหมือนเป็นมุกตลกของเขา แต่จริง ๆ แล้วเป็น การแสดงออกถึง Ethnocentrism (แนวคิดที่เอาวัฒนธรรมของตัวเองเป็นศูนย์กลาง) หรือไม่? Jimmy Kimmel มีสิทธิ์บอกว่า ควรเปลี่ยนชื่อไทยเพื่อให้เข้ากับภาษาอังกฤษ หรือไม่ชื่อเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ไม่ควรถูกลดค่าหรือถูกทำให้เป็นเรื่องตลก คนไทย ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ เพียงเพราะมันไปพ้องเสียงกับคำที่ไม่ดีในภาษาอื่น จริงมั้ย?Ethnocentrism หรือ แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมตะวันตกและมักปรากฏในวงการบันเทิง สื่อมวลชน และชีวิตประจำวันของผู้คนที่ไม่ตระหนักถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมกรณีของ Jimmy Kimmel และชื่อ “มุก” (Mook) เป็นตัวอย่างที่ดีของ ethnocentric bias หรืออคติทางวัฒนธรรมที่ตะวันตกเป็นศูนย์กลาง Jimmy ตั้งคำถามถึงชื่อไทยโดยไม่ได้พยายามทำความเข้าใจวัฒนธรรมไทยก่อน เมื่อ Lisa อธิบายว่า “Mook” แปลว่า Pearl (ไข่มุก) ซึ่งเป็นชื่อที่มีความหมายดี Jimmy กลับ ตอบโต้โดยอ้างถึงความหมายในภาษาอังกฤษ เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าชื่อนี้เป็นเรื่องปกติในประเทศไทย และไม่มีเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนชื่อ “มุก” เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพียงเพราะมันไปพ้องกับคำที่ไม่ดีในภาษาอังกฤษ และ Jimmy Kimmel ไม่ควรใช้มุกตลกที่อาจเป็นการลดค่าชื่อของคนไทย คนไทยควรภาคภูมิใจในชื่อของตัวเอง และมีสิทธิ์ใช้ชื่อตามวัฒนธรรมของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อให้ใครพอใจทำไม Ethnocentrism เป็นปัญหา?Ethnocentrism ทำให้เกิดแนวคิดว่าคนจากวัฒนธรรมอื่นต้องปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานของตะวันตก แทนที่จะเคารพความแตกต่างสร้างอคติทางภาษา เช่น “ชื่อของคุณฟังดูแปลกในภาษาเรา ดังนั้นมันต้องผิด”ลดทอนคุณค่าทางวัฒนธรรม แทนที่จะเรียนรู้จากวัฒนธรรมอื่น และส่งเสริมแนวคิด “อารยธรรมของฉันสูงกว่า วัฒนธรรมของคุณต้องเปลี่ยน” ซึ่งเคยถูกใช้เป็นข้ออ้างในยุคล่าอาณานิคมสื่อมวลชนตะวันตกควรรับผิดชอบอย่างไร?Jimmy Kimmel เป็นพิธีกรระดับโลก ควรมีตระหนักถึงอิทธิพลของตนเอง คำพูดของเขามีผลกระทบต่อความคิดของผู้ชม ซึ่งควรให้เคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม การถามคำถามที่สะท้อนอคติทางวัฒนธรรมทำให้ผู้คนจากวัฒนธรรมอื่นรู้สึกถูกลดค่า Jimmy ควรเรียนรู้และให้เกียรติชื่อและอัตลักษณ์ของผู้อื่น ไม่ใช่ทุกอย่างต้องเข้ากับมาตรฐานของตะวันตกหาก Jimmy Kimmel เรียนรู้ที่จะเคารพวัฒนธรรมอื่นเพียงพอ เขาอาจเปลี่ยนมุกตลกที่เหยียดคนอื่นของเขานี้เป็นโอกาสอธิบายให้ผู้ชมรู้ว่า "มุก" คือไข่มุกอันทรงคุณค่าในภาษาไทย แทนที่จะลดทอนมันให้เป็นคำหยาบคาย ซึ่งนั่นคือบทบาทของสื่อที่ควรเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจข้ามวัฒนธรรมมากกว่าสร้างกำแพงในขณะที่ น้องลิซ่าถูกอบรมสั่งสอนมาดีทั้งจากเมืองไทยและเกาหลี ไม่งั้นเธอคงพูดสวนกับคุณว่า ชื่อ Jimmy ของคุณก็ฟังพ้องเสียงกับคำว่า “จิมิ” ซึ่งเป็นคำแสลงในภาษาไทย ซึ่งหมายถึง……จุดซ่อนเร้นของคุณผู้หญิง คุณจะรู้สึกอย่างไร? จิมิโชว์?รายการจิมิโชว์?https://youtu.be/ga7NkYeqh_A?si=C5yYwJEBKo-0Gvuh………………………………………………………………………………….“Ethnocentrism”Lisa appeared on Jimmy Kimmel Live, and the host, Jimmy, asked about her role as “Mook” in The White Lotus, specifically what the name “Mook” means in Thai.Lisa answered that it means “Pearl”, but Jimmy responded that “Mook” is slang for something like “Dumb.” “No one told you?” he asked.Lisa replied, “No, they didn’t, but it’s a Thai name.” Jimmy then said, “Maybe it’s not a problem in Thailand, but here, it definitely is.” Lisa responded, “Then don’t call me Mook here.”In Thai, “Mook” means pearl, which is valuable, beautiful, and meaningful. While “Mook” is a good name in Thai, the pronunciation of this word coincidentally resembles an English slang term with a negative meaning. In American English, “Mook” is slang used to insult someone, meaning something like “a fool” or “a worthless person.”When Jimmy Kimmel joked that “Mook” means “Dumb” in English, it might have seemed like a joke to him. But is it actually an expression of ethnocentrism—the belief that one’s own culture is the center of everything?Does Jimmy Kimmel have the right to say that a Thai name should be changed to fit the English language?A name is a part of cultural identity. It should not be devalued or turned into a joke. Thai people do not need to change their names just because they sound similar to an undesirable word in another language. Isn’t that true?Ethnocentrism, or the belief that one’s culture is superior to others, is a deeply rooted issue in Western society. It often appears in entertainment, media, and daily life among people who are unaware of cultural differences.The case of Jimmy Kimmel and the name “Mook” is a prime example of ethnocentric bias, where Western perspectives are centered, ignoring non-Western cultures.Jimmy questioned a Thai name without trying to understand Thai culture first. When Lisa explained that “Mook” means Pearl, a meaningful and positive name, Jimmy instead argued based on the English slang meaning. He did not recognize that this name is completely normal in Thailand and that there is no reason to change it.The name “Mook” is a good Thai name. There is no need to change it just because it coincidentally matches an English word with a bad meaning. And Jimmy Kimmel should not make jokes that diminish the value of Thai names.Thai people should be proud of their names and have the right to use them according to their culture without needing to change them for anyone else’s comfort.Why is Ethnocentrism a Problem?Ethnocentrism creates the belief that people from other cultures must adjust to Western standards instead of respecting diversity. • It creates linguistic bias, implying that “Your name sounds strange in our language, so it must be wrong.” • It devalues cultural identity, instead of encouraging learning from other cultures. • It promotes the idea that “My civilization is superior; your culture must change,” which was historically used as a justification for colonialism.How Should Western Media Be More Responsible?Jimmy Kimmel is a globally recognized host. He should be aware of his influence. His words impact public perception.Asking a question that reflects cultural bias makes people from other cultures feel devalued.Jimmy Kimmel should learn and respect other people’s names and identities. Not everything has to fit into Western standards.If Jimmy Kimmel had learned to respect other cultures more, he might have turned his joke into an opportunity to educate his audience that ‘Mook’ means a precious pearl in Thai, rather than reducing it to a vulgar term. That is the true role of the media—to serve as a bridge for cross-cultural understanding rather than building walls.On the other hand, Lisa has been well-raised and well-trained, both in Thailand and Korea. Otherwise, she might have responded to you by saying, ‘Your name, Jimmy, also sounds like ‘Jimi’ in Thai slang, which refers to… a woman’s private part. How would you feel? Jimi show!”"https://www.facebook.com/share/v/16CtwRaMG4/?mibextid=wwXIfr
    บทความเอ็ดดี้ อัษฎางค์นี้มีความหมายที่ควรค่าการอ่านเกี่ยวกับอคติของวัฒนธรรมของฝรั่งเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น กรณีนาย Jimmy Kimmel พิธีกรรายการดังสัมภาษณ์ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล เมื่อรายการ Jimmy Kimmel Live บอกกับลิซ่าว่า ชื่อ มุก ของเธอใน #TheWhiteLotus แปลว่า โง่งี่เง่า#อัษฎางค์ยมนาค“Ethnocentrism“แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น ลิซ่า ไปออกรายการ Jimmy Kimmel Live แล้วพิธีกร Jimmy ถามถึงการสวมบทเป็น “มุก” ใน #TheWhiteLotus ว่าตัวละครที่้ที่ชื่อ “มุก” ในภาษาไทยมุก (Mook) แปลว่าอะไร?ลิซ่า ตอบว่า Pearl (ไข่มุก) แต่ Jimmy สวนกลับว่า Mook มันเป็นแสลงประมาณว่า Dumb นะ ไม่มีใครบอกเธอหรอ ลิซ่า บอกไม่มีนะ แต่มันเป็นชื่อคนไทยไง Jimmy พูดต่อว่าคงไม่มีปัญหาที่ไทย แต่ที่นี่อ่ะมีแน่ ลิซ่าตอบกลับว่า ถ้าอย่างนั้นอย่าเรียกว่ามุกที่นี่แล้วกัน ในภาษาไทย “มุก” หมายถึง ไข่มุก ซึ่งเป็นของมีค่า สวยงาม และมีความหมายดี ในขณะที่ มุก เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย แต่เสียงของคำนี้ไปพ้องกับคำในภาษาอังกฤษที่มีความหมายแย่ คำว่า “Mook” เป็นแสลงที่ใช้ดูถูกคน แปลประมาณว่า “คนโง่, ไร้ค่า”การที่ Jimmy Kimmel แซวชื่อว่า “Mook” แปลว่า Dumb (โง่) ในภาษาอังกฤษ อาจดูเหมือนเป็นมุกตลกของเขา แต่จริง ๆ แล้วเป็น การแสดงออกถึง Ethnocentrism (แนวคิดที่เอาวัฒนธรรมของตัวเองเป็นศูนย์กลาง) หรือไม่? Jimmy Kimmel มีสิทธิ์บอกว่า ควรเปลี่ยนชื่อไทยเพื่อให้เข้ากับภาษาอังกฤษ หรือไม่ชื่อเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ไม่ควรถูกลดค่าหรือถูกทำให้เป็นเรื่องตลก คนไทย ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ เพียงเพราะมันไปพ้องเสียงกับคำที่ไม่ดีในภาษาอื่น จริงมั้ย?Ethnocentrism หรือ แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมตะวันตกและมักปรากฏในวงการบันเทิง สื่อมวลชน และชีวิตประจำวันของผู้คนที่ไม่ตระหนักถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมกรณีของ Jimmy Kimmel และชื่อ “มุก” (Mook) เป็นตัวอย่างที่ดีของ ethnocentric bias หรืออคติทางวัฒนธรรมที่ตะวันตกเป็นศูนย์กลาง Jimmy ตั้งคำถามถึงชื่อไทยโดยไม่ได้พยายามทำความเข้าใจวัฒนธรรมไทยก่อน เมื่อ Lisa อธิบายว่า “Mook” แปลว่า Pearl (ไข่มุก) ซึ่งเป็นชื่อที่มีความหมายดี Jimmy กลับ ตอบโต้โดยอ้างถึงความหมายในภาษาอังกฤษ เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าชื่อนี้เป็นเรื่องปกติในประเทศไทย และไม่มีเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนชื่อ “มุก” เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพียงเพราะมันไปพ้องกับคำที่ไม่ดีในภาษาอังกฤษ และ Jimmy Kimmel ไม่ควรใช้มุกตลกที่อาจเป็นการลดค่าชื่อของคนไทย คนไทยควรภาคภูมิใจในชื่อของตัวเอง และมีสิทธิ์ใช้ชื่อตามวัฒนธรรมของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อให้ใครพอใจทำไม Ethnocentrism เป็นปัญหา?Ethnocentrism ทำให้เกิดแนวคิดว่าคนจากวัฒนธรรมอื่นต้องปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานของตะวันตก แทนที่จะเคารพความแตกต่างสร้างอคติทางภาษา เช่น “ชื่อของคุณฟังดูแปลกในภาษาเรา ดังนั้นมันต้องผิด”ลดทอนคุณค่าทางวัฒนธรรม แทนที่จะเรียนรู้จากวัฒนธรรมอื่น และส่งเสริมแนวคิด “อารยธรรมของฉันสูงกว่า วัฒนธรรมของคุณต้องเปลี่ยน” ซึ่งเคยถูกใช้เป็นข้ออ้างในยุคล่าอาณานิคมสื่อมวลชนตะวันตกควรรับผิดชอบอย่างไร?Jimmy Kimmel เป็นพิธีกรระดับโลก ควรมีตระหนักถึงอิทธิพลของตนเอง คำพูดของเขามีผลกระทบต่อความคิดของผู้ชม ซึ่งควรให้เคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม การถามคำถามที่สะท้อนอคติทางวัฒนธรรมทำให้ผู้คนจากวัฒนธรรมอื่นรู้สึกถูกลดค่า Jimmy ควรเรียนรู้และให้เกียรติชื่อและอัตลักษณ์ของผู้อื่น ไม่ใช่ทุกอย่างต้องเข้ากับมาตรฐานของตะวันตกหาก Jimmy Kimmel เรียนรู้ที่จะเคารพวัฒนธรรมอื่นเพียงพอ เขาอาจเปลี่ยนมุกตลกที่เหยียดคนอื่นของเขานี้เป็นโอกาสอธิบายให้ผู้ชมรู้ว่า "มุก" คือไข่มุกอันทรงคุณค่าในภาษาไทย แทนที่จะลดทอนมันให้เป็นคำหยาบคาย ซึ่งนั่นคือบทบาทของสื่อที่ควรเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจข้ามวัฒนธรรมมากกว่าสร้างกำแพงในขณะที่ น้องลิซ่าถูกอบรมสั่งสอนมาดีทั้งจากเมืองไทยและเกาหลี ไม่งั้นเธอคงพูดสวนกับคุณว่า ชื่อ Jimmy ของคุณก็ฟังพ้องเสียงกับคำว่า “จิมิ” ซึ่งเป็นคำแสลงในภาษาไทย ซึ่งหมายถึง……จุดซ่อนเร้นของคุณผู้หญิง คุณจะรู้สึกอย่างไร? จิมิโชว์?รายการจิมิโชว์?https://youtu.be/ga7NkYeqh_A?si=C5yYwJEBKo-0Gvuh………………………………………………………………………………….“Ethnocentrism”Lisa appeared on Jimmy Kimmel Live, and the host, Jimmy, asked about her role as “Mook” in The White Lotus, specifically what the name “Mook” means in Thai.Lisa answered that it means “Pearl”, but Jimmy responded that “Mook” is slang for something like “Dumb.” “No one told you?” he asked.Lisa replied, “No, they didn’t, but it’s a Thai name.” Jimmy then said, “Maybe it’s not a problem in Thailand, but here, it definitely is.” Lisa responded, “Then don’t call me Mook here.”In Thai, “Mook” means pearl, which is valuable, beautiful, and meaningful. While “Mook” is a good name in Thai, the pronunciation of this word coincidentally resembles an English slang term with a negative meaning. In American English, “Mook” is slang used to insult someone, meaning something like “a fool” or “a worthless person.”When Jimmy Kimmel joked that “Mook” means “Dumb” in English, it might have seemed like a joke to him. But is it actually an expression of ethnocentrism—the belief that one’s own culture is the center of everything?Does Jimmy Kimmel have the right to say that a Thai name should be changed to fit the English language?A name is a part of cultural identity. It should not be devalued or turned into a joke. Thai people do not need to change their names just because they sound similar to an undesirable word in another language. Isn’t that true?Ethnocentrism, or the belief that one’s culture is superior to others, is a deeply rooted issue in Western society. It often appears in entertainment, media, and daily life among people who are unaware of cultural differences.The case of Jimmy Kimmel and the name “Mook” is a prime example of ethnocentric bias, where Western perspectives are centered, ignoring non-Western cultures.Jimmy questioned a Thai name without trying to understand Thai culture first. When Lisa explained that “Mook” means Pearl, a meaningful and positive name, Jimmy instead argued based on the English slang meaning. He did not recognize that this name is completely normal in Thailand and that there is no reason to change it.The name “Mook” is a good Thai name. There is no need to change it just because it coincidentally matches an English word with a bad meaning. And Jimmy Kimmel should not make jokes that diminish the value of Thai names.Thai people should be proud of their names and have the right to use them according to their culture without needing to change them for anyone else’s comfort.Why is Ethnocentrism a Problem?Ethnocentrism creates the belief that people from other cultures must adjust to Western standards instead of respecting diversity. • It creates linguistic bias, implying that “Your name sounds strange in our language, so it must be wrong.” • It devalues cultural identity, instead of encouraging learning from other cultures. • It promotes the idea that “My civilization is superior; your culture must change,” which was historically used as a justification for colonialism.How Should Western Media Be More Responsible?Jimmy Kimmel is a globally recognized host. He should be aware of his influence. His words impact public perception.Asking a question that reflects cultural bias makes people from other cultures feel devalued.Jimmy Kimmel should learn and respect other people’s names and identities. Not everything has to fit into Western standards.If Jimmy Kimmel had learned to respect other cultures more, he might have turned his joke into an opportunity to educate his audience that ‘Mook’ means a precious pearl in Thai, rather than reducing it to a vulgar term. That is the true role of the media—to serve as a bridge for cross-cultural understanding rather than building walls.On the other hand, Lisa has been well-raised and well-trained, both in Thailand and Korea. Otherwise, she might have responded to you by saying, ‘Your name, Jimmy, also sounds like ‘Jimi’ in Thai slang, which refers to… a woman’s private part. How would you feel? Jimi show!”"https://www.facebook.com/share/v/16CtwRaMG4/?mibextid=wwXIfr
    0 Comments 0 Shares 374 Views 0 Reviews
  • และแล้วเราก็คุยกันมาถึงภาพสุดท้ายของสิบสองภาพวาดกงซวิ่นถู (宫训图) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก โดยเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวของพระภรรยาในประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ซึ่งคุณงามความดี

    ภาพที่จะกล่าวถึงในวันนี้เป็นภาพที่ถูกพระราชทานไปยังพระตำหนักจิ่งเหรินกง ดูจากไทม์ไลน์แล้วน่าจะเป็นที่ประทับของฉุนเฟย แต่ในเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฉุนเฟยประทับที่พระตำหนักจงชุ่ยกง ภาพนี้มีชื่อว่า ‘เยี่ยนจี๋เมิ่งหลัน’ (燕姞梦兰图) หน้าตาแท้จริงเป็นอย่างไรไม่ทราบได้ เพราะว่าสูญหายไปแล้ว ภาพที่แปะมาให้ดูเป็นภาพวาดโดยจิตรกรญี่ปุ่น

    เรื่องราวของภาพคือเรื่องของเยี่ยนจี๋ อนุภรรยาของเจิ้งเหวินกง เจ้าผู้ปกครองแคว้นเจิ้งในยุคสมัยชุนชิว (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์ในบทความ) นางฝันว่ามีเทพธิดานำดอกหลันฮวามามอบให้และบอกว่าดอกไม้นี้จะทำให้นางได้รับความรักจากเจิ้งเหวินกงและจะได้บุตรที่โดดเด่นมาเป็นผู้สืบทอดแผ่นดินต่อไป และวลี ‘เยี่ยนจี๋เมิ่งหลัน’ ต่อมาถูกใช้เปรียบเปรยถึงความรักที่ออกดอกออกผลเป็นลูกหลาน และสะท้อนความนัยว่า ฝันที่ดีนำมาซึ่งเรื่องราวดีๆ และภาพนี้ถูกตีความว่า หมายถึงการทำสิ่งที่ฝันให้เป็นจริง

    เรื่องนี้คุ้นหูกันบ้างไหม? Storyฯ เคยเล่าถึงเรื่องนี้แล้วตอนที่คุยถึงวลี ‘หลันอินซวี่กั่ว’ ลองกลับไปอ่านดูกันนะคะ (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/731814662280162)

    ป้ายที่พระราชทานคู่กับภาพนี้คือ ‘จ้านเต๋อกงเหวย’ (赞德宫闱) แปลได้ประมาณว่า ศีลธรรมดีงามได้รับการยกย่องไปทั่วพระราชฐานนางใน

    จบแล้วกับสิบสองภาพวาด Storyฯ นำมาเรียบเรียงอีกครั้ง โดยเรียงลำดับจากพระตำหนักที่อยู่ใกล้พระที่นั่งหยั่งซินเตี้ยน (ที่ประทับฮ่องเต้) ตามนี้ค่ะ

    1. ตำหนักฉี่เสียงกง หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ไท่จี๋เตี้ยน (Hall of Supreme Principle) ภาพ ‘เจียงโฮ่วทัวจาน’ (姜后脱簪 / มเหสีเจียงปลดปิ่น) ความหมายคือคล้อยตามสามี ภาพจริงสูญหายไปแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/791887496272878)
    2. ตำหนักฉางชุนกง (Palace of Eternal Spring) ภาพ ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ (太姒诲子/ไท่ซึสอนบุตร) ความหมายคือ สั่งสอนบุตร ภาพจริงสูญหายไปแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/746257530835875)
    3. ตำหนักหย่งโซ่วกง (Palace of Eternal Longevity) ภาพ ‘ปันจีฉือเหนี่ยน’ (班姬辞辇图 / ปันจีผู้งามมารยาท) ความหมายคือ รู้มารยาทและพิธีการ ภาพจริงสูญหายไปแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/750792533715708)
    4. ตำหนักอี้คุนกง (Palace of Earthly Honor) ภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ (昭容评诗图 / จาวหรงตัดสินบทกวี) ความหมายคือ การศึกษา ภาพจริงสูญหายไปแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/764297899031838)
    5. ตำหนักเสียนฝูกง (Palace of Universal Happiness) ภาพ ‘เจี๋ยอวี๋ตั่งสยง’ (婕妤当熊图 / เจี๋ยอวี๋ขวางหมี) ความหมายคือ กล้าหาญ ภาพจริงสูญหายไปแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/768864935241801)
    6. ตำหนักฉู่ซิ่วกง (Palace of Gathered Elegance) ภาพ ‘ซีหลิงเจียวฉาน’ (西陵教蚕图 /ซีหลิงสอนเลี้ยงไหม) ความหมายคือ นวัตกรรม ภาพจริงสูญหายไปแล้ว(https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/754042176724077)
    7. ตำหนักจิ่งเหรินกง (Palace of Great Benevolence) ภาพ ‘เยี่ยนจี๋เมิ่งหลัน’ (燕姞梦兰 / เยี่ยนจี๋ฝันถึงหลันฮวา) ความหมายคือ วิสัยทัศน์ ภาพจริงสูญหายไปแล้ว ก็คือบทความที่เล่าถึงข้างต้นในวันนี้
    8. ตำหนักเฉินเฉียนกง (Palace of Celestial Favor) ภาพ ‘สวีเฟยจื๋อเจี้ยน’ (徐妃直谏 / สวีเฟยวิพากษ์) ความหมายคือ จงรักภักดีตรงไปตรงมา ภาพจริงสูญหายไปแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/759313216196973)
    9. ตำหนักจงชุ่ยกง (Palace of Accumulated Purity) ภาพ ‘สวี่โฮ่วเฟิ่งอ้าน’ (许后奉案/ สวี่ฮองเฮาถวายพระกระยาหาร) ความหมายคือ เคารพผู้อาวุโส ภาพจริงเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กู้พระราชวังต้องห้าม (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/773395164788778)
    10. ตำหนักจิ่งหยางกง (Palace of Great Brilliance) ภาพ ‘หม่าโฮ่วเลี่ยนอี’ (马后练衣图 / หม่าฮองเฮาสวมผ้า) ความหมายคือ มัธยัสถ์ ภาพจริงสูญหายไปแล้ว (https://web.facebook.com/StoryfromStory/posts/797174585744169)
    11. ตำหนักหย่งเหอกง (Palace of Eternal Harmony) ภาพ ‘ฝานจีเจี้ยนเลี่ย’ (樊姬谏猎 / ฝานจีเตือนสติให้หยุดล่าสัตว์) ความหมายคือเตือนสติ ภาพจริงสูญหายไปแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/786677160127245)
    12. ตำหนักเหยียนสี่กง (Palace of Prolonging Happiness) ภาพ ‘เฉาโฮ่วจ้งหนง’ (曹后重农图 / เฉาฮองเฮาให้ความสำคัญกับการเกษตร) ความหมายคือ ขยันขันแข็ง ภาพจริงสูญหายไปแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/777707414357553)

    สรุปว่าในบรรดาสิบสองภาพวาดนี้ เหลือของจริงอยู่เพียงภาพเดียวคือ ‘สวี่โฮ่วเฟิ่งอ้าน’ ภาพจริงเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กู้กง Storyฯ อาจเล่าสะเปะสะปะไปหน่อยและใช้เวลาเล่านานกว่าจะจบครบสิบสองภาพ หวังว่าเรื่องราวในภาพวาดกงซวิ่นถูจะเป็นที่เพลิดเพลินของเพื่อนเพจไม่มากก็น้อย

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)
    (ป.ล. 2 ชื่อพระตำหนัก Storyฯ แปลเป็นไทยแล้วรู้สึกว่าจั๊กจี้ เลยเอาเป็นคำแปลภาษาอังกฤษมาฝากแทน)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.baike.com/wikiid/2576687878101900972?view_id=y3t51nqv02o00
    Metropolitan Museum of Arts
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.163.com/dy/article/G0GD3GUH0537ML11.html
    https://www.xiumu.cn/ts/2018/0824/4278239.html
    https://www.travelchinaguide.com/attraction/beijing/forbidden/six_eastern.htm
    https://www.travelchinaguide.com/attraction/beijing/forbidden/six_western.htm

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เยี่ยนจี๋ #เจิ้งเหวินกง #เยี่ยนจี๋เมิ่งหลัน #หลันอินซวี่กั่ว #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    และแล้วเราก็คุยกันมาถึงภาพสุดท้ายของสิบสองภาพวาดกงซวิ่นถู (宫训图) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก โดยเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวของพระภรรยาในประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ซึ่งคุณงามความดี ภาพที่จะกล่าวถึงในวันนี้เป็นภาพที่ถูกพระราชทานไปยังพระตำหนักจิ่งเหรินกง ดูจากไทม์ไลน์แล้วน่าจะเป็นที่ประทับของฉุนเฟย แต่ในเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฉุนเฟยประทับที่พระตำหนักจงชุ่ยกง ภาพนี้มีชื่อว่า ‘เยี่ยนจี๋เมิ่งหลัน’ (燕姞梦兰图) หน้าตาแท้จริงเป็นอย่างไรไม่ทราบได้ เพราะว่าสูญหายไปแล้ว ภาพที่แปะมาให้ดูเป็นภาพวาดโดยจิตรกรญี่ปุ่น เรื่องราวของภาพคือเรื่องของเยี่ยนจี๋ อนุภรรยาของเจิ้งเหวินกง เจ้าผู้ปกครองแคว้นเจิ้งในยุคสมัยชุนชิว (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์ในบทความ) นางฝันว่ามีเทพธิดานำดอกหลันฮวามามอบให้และบอกว่าดอกไม้นี้จะทำให้นางได้รับความรักจากเจิ้งเหวินกงและจะได้บุตรที่โดดเด่นมาเป็นผู้สืบทอดแผ่นดินต่อไป และวลี ‘เยี่ยนจี๋เมิ่งหลัน’ ต่อมาถูกใช้เปรียบเปรยถึงความรักที่ออกดอกออกผลเป็นลูกหลาน และสะท้อนความนัยว่า ฝันที่ดีนำมาซึ่งเรื่องราวดีๆ และภาพนี้ถูกตีความว่า หมายถึงการทำสิ่งที่ฝันให้เป็นจริง เรื่องนี้คุ้นหูกันบ้างไหม? Storyฯ เคยเล่าถึงเรื่องนี้แล้วตอนที่คุยถึงวลี ‘หลันอินซวี่กั่ว’ ลองกลับไปอ่านดูกันนะคะ (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/731814662280162) ป้ายที่พระราชทานคู่กับภาพนี้คือ ‘จ้านเต๋อกงเหวย’ (赞德宫闱) แปลได้ประมาณว่า ศีลธรรมดีงามได้รับการยกย่องไปทั่วพระราชฐานนางใน จบแล้วกับสิบสองภาพวาด Storyฯ นำมาเรียบเรียงอีกครั้ง โดยเรียงลำดับจากพระตำหนักที่อยู่ใกล้พระที่นั่งหยั่งซินเตี้ยน (ที่ประทับฮ่องเต้) ตามนี้ค่ะ 1. ตำหนักฉี่เสียงกง หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ไท่จี๋เตี้ยน (Hall of Supreme Principle) ภาพ ‘เจียงโฮ่วทัวจาน’ (姜后脱簪 / มเหสีเจียงปลดปิ่น) ความหมายคือคล้อยตามสามี ภาพจริงสูญหายไปแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/791887496272878) 2. ตำหนักฉางชุนกง (Palace of Eternal Spring) ภาพ ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ (太姒诲子/ไท่ซึสอนบุตร) ความหมายคือ สั่งสอนบุตร ภาพจริงสูญหายไปแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/746257530835875) 3. ตำหนักหย่งโซ่วกง (Palace of Eternal Longevity) ภาพ ‘ปันจีฉือเหนี่ยน’ (班姬辞辇图 / ปันจีผู้งามมารยาท) ความหมายคือ รู้มารยาทและพิธีการ ภาพจริงสูญหายไปแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/750792533715708) 4. ตำหนักอี้คุนกง (Palace of Earthly Honor) ภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ (昭容评诗图 / จาวหรงตัดสินบทกวี) ความหมายคือ การศึกษา ภาพจริงสูญหายไปแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/764297899031838) 5. ตำหนักเสียนฝูกง (Palace of Universal Happiness) ภาพ ‘เจี๋ยอวี๋ตั่งสยง’ (婕妤当熊图 / เจี๋ยอวี๋ขวางหมี) ความหมายคือ กล้าหาญ ภาพจริงสูญหายไปแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/768864935241801) 6. ตำหนักฉู่ซิ่วกง (Palace of Gathered Elegance) ภาพ ‘ซีหลิงเจียวฉาน’ (西陵教蚕图 /ซีหลิงสอนเลี้ยงไหม) ความหมายคือ นวัตกรรม ภาพจริงสูญหายไปแล้ว(https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/754042176724077) 7. ตำหนักจิ่งเหรินกง (Palace of Great Benevolence) ภาพ ‘เยี่ยนจี๋เมิ่งหลัน’ (燕姞梦兰 / เยี่ยนจี๋ฝันถึงหลันฮวา) ความหมายคือ วิสัยทัศน์ ภาพจริงสูญหายไปแล้ว ก็คือบทความที่เล่าถึงข้างต้นในวันนี้ 8. ตำหนักเฉินเฉียนกง (Palace of Celestial Favor) ภาพ ‘สวีเฟยจื๋อเจี้ยน’ (徐妃直谏 / สวีเฟยวิพากษ์) ความหมายคือ จงรักภักดีตรงไปตรงมา ภาพจริงสูญหายไปแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/759313216196973) 9. ตำหนักจงชุ่ยกง (Palace of Accumulated Purity) ภาพ ‘สวี่โฮ่วเฟิ่งอ้าน’ (许后奉案/ สวี่ฮองเฮาถวายพระกระยาหาร) ความหมายคือ เคารพผู้อาวุโส ภาพจริงเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กู้พระราชวังต้องห้าม (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/773395164788778) 10. ตำหนักจิ่งหยางกง (Palace of Great Brilliance) ภาพ ‘หม่าโฮ่วเลี่ยนอี’ (马后练衣图 / หม่าฮองเฮาสวมผ้า) ความหมายคือ มัธยัสถ์ ภาพจริงสูญหายไปแล้ว (https://web.facebook.com/StoryfromStory/posts/797174585744169) 11. ตำหนักหย่งเหอกง (Palace of Eternal Harmony) ภาพ ‘ฝานจีเจี้ยนเลี่ย’ (樊姬谏猎 / ฝานจีเตือนสติให้หยุดล่าสัตว์) ความหมายคือเตือนสติ ภาพจริงสูญหายไปแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/786677160127245) 12. ตำหนักเหยียนสี่กง (Palace of Prolonging Happiness) ภาพ ‘เฉาโฮ่วจ้งหนง’ (曹后重农图 / เฉาฮองเฮาให้ความสำคัญกับการเกษตร) ความหมายคือ ขยันขันแข็ง ภาพจริงสูญหายไปแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/777707414357553) สรุปว่าในบรรดาสิบสองภาพวาดนี้ เหลือของจริงอยู่เพียงภาพเดียวคือ ‘สวี่โฮ่วเฟิ่งอ้าน’ ภาพจริงเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กู้กง Storyฯ อาจเล่าสะเปะสะปะไปหน่อยและใช้เวลาเล่านานกว่าจะจบครบสิบสองภาพ หวังว่าเรื่องราวในภาพวาดกงซวิ่นถูจะเป็นที่เพลิดเพลินของเพื่อนเพจไม่มากก็น้อย (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) (ป.ล. 2 ชื่อพระตำหนัก Storyฯ แปลเป็นไทยแล้วรู้สึกว่าจั๊กจี้ เลยเอาเป็นคำแปลภาษาอังกฤษมาฝากแทน) Credit รูปภาพจาก: https://www.baike.com/wikiid/2576687878101900972?view_id=y3t51nqv02o00 Metropolitan Museum of Arts Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.163.com/dy/article/G0GD3GUH0537ML11.html https://www.xiumu.cn/ts/2018/0824/4278239.html https://www.travelchinaguide.com/attraction/beijing/forbidden/six_eastern.htm https://www.travelchinaguide.com/attraction/beijing/forbidden/six_western.htm #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เยี่ยนจี๋ #เจิ้งเหวินกง #เยี่ยนจี๋เมิ่งหลัน #หลันอินซวี่กั่ว #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    0 Comments 0 Shares 311 Views 0 Reviews
  • เช้าวันที่ 3 มีนาคม 2568 เวลา 09.30 น. ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKEX) กึกก้องไปด้วยเสียงระฆังเมื่อ "มี่เสวี่ยปิงเฉิง" แบรนด์เครื่องดื่มชานมและน้ำแข็งไสที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เข้าสู่ตลาดหุ้นฮ่องกงอย่างเป็นทางการภายใต้รหัสหุ้น HK02097 โดยเปิดตัวที่ราคา 284.4 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อหุ้น ดันมูลค่าบริษัทพุ่งแตะ 1,071 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 4.88 ล้านล้านบาท)

    สิ่งที่แตกต่างจากพิธีเปิดตัวบริษัทจดทะเบียนทั่วไป คือ ผู้ก่อตั้งบริษัท "จางหงเชา" และ "จางหงฝู่" ไม่ได้ปรากฏตัวในพิธี รวมถึงผู้บริหารระดับสูงก็ไม่มีใครขึ้นเวทีเคาะระฆังเปิดตลาด โดยตัวแทนที่ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์กลับเป็น "ราชาหิมะ" มาสคอตประจำแบรนด์ที่เดินขึ้นเวทีพร้อมกับตัวละครอื่นๆ ในแฟรนไชส์

    "ราชาหิมะ" กล่าวระหว่างพิธีว่า "การเข้าตลาดหุ้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น รหัสหุ้น 2097 ไม่ใช่จุดสิ้นสุด" พร้อมกันนี้ ทีมงานได้เปิดเพลงธีมของแบรนด์ซึ่งเป็นเพลงที่ติดหูผู้บริโภคไปทั่วจีน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000020914

    #MGROnline #มี่เสวี่ยปิงเฉิง
    เช้าวันที่ 3 มีนาคม 2568 เวลา 09.30 น. ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKEX) กึกก้องไปด้วยเสียงระฆังเมื่อ "มี่เสวี่ยปิงเฉิง" แบรนด์เครื่องดื่มชานมและน้ำแข็งไสที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เข้าสู่ตลาดหุ้นฮ่องกงอย่างเป็นทางการภายใต้รหัสหุ้น HK02097 โดยเปิดตัวที่ราคา 284.4 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อหุ้น ดันมูลค่าบริษัทพุ่งแตะ 1,071 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 4.88 ล้านล้านบาท) • สิ่งที่แตกต่างจากพิธีเปิดตัวบริษัทจดทะเบียนทั่วไป คือ ผู้ก่อตั้งบริษัท "จางหงเชา" และ "จางหงฝู่" ไม่ได้ปรากฏตัวในพิธี รวมถึงผู้บริหารระดับสูงก็ไม่มีใครขึ้นเวทีเคาะระฆังเปิดตลาด โดยตัวแทนที่ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์กลับเป็น "ราชาหิมะ" มาสคอตประจำแบรนด์ที่เดินขึ้นเวทีพร้อมกับตัวละครอื่นๆ ในแฟรนไชส์ • "ราชาหิมะ" กล่าวระหว่างพิธีว่า "การเข้าตลาดหุ้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น รหัสหุ้น 2097 ไม่ใช่จุดสิ้นสุด" พร้อมกันนี้ ทีมงานได้เปิดเพลงธีมของแบรนด์ซึ่งเป็นเพลงที่ติดหูผู้บริโภคไปทั่วจีน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000020914 • #MGROnline #มี่เสวี่ยปิงเฉิง
    0 Comments 0 Shares 189 Views 0 Reviews
More Results