• Deutsche Telekom ได้เปิดตัวโปรเจคใหม่ที่น่าทึ่ง ชื่อว่า "NeoCircuit Router" โปรเจคนี้เป็นความพยายามในการลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยนำชิ้นส่วนจากสมาร์ทโฟนเก่ามาประกอบกันเป็นเราเตอร์ใหม่ ตัวเราเตอร์นี้ใช้โปรเซสเซอร์ ชิปหน่วยความจำ และการเชื่อมต่อทางกายภาพจากสมาร์ทโฟนเก่า ซึ่งมีอัตราการนำกลับมาใช้ใหม่สูงถึง 70%

    Dr. Henning Never ผู้จัดการโปรเจคของ Deutsche Telekom เชื่อว่า NeoCircuit Router นี้จะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ Bertrand Pascual จาก Sagemcom ยังเสริมว่าการนำโปรเซสเซอร์จากสมาร์ทโฟนมาใช้ในอุปกรณ์อื่น ๆ นั้นเป็นการประหยัดทรัพยากรและทำให้มีความคุ้มค่าทางการเงิน

    การเปิดตัวของ NeoCircuit Router จะมีขึ้นในงาน Mobile World Congress 2025 ที่บาร์เซโลน่าในวันที่ 3 มีนาคม หากโปรเจคนี้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างน้อย 20% เมื่อเทียบกับการผลิตชิ้นส่วนใหม่ทั้งหมด และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญในการส่งเสริมการนำทรัพยากรมาใช้ใหม่ในวงการอิเล็กทรอนิกส์

    https://www.techradar.com/pro/europes-largest-telco-wants-to-slash-the-cost-of-your-router-by-reusing-your-old-smartphone-and-i-think-it-is-genius
    Deutsche Telekom ได้เปิดตัวโปรเจคใหม่ที่น่าทึ่ง ชื่อว่า "NeoCircuit Router" โปรเจคนี้เป็นความพยายามในการลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยนำชิ้นส่วนจากสมาร์ทโฟนเก่ามาประกอบกันเป็นเราเตอร์ใหม่ ตัวเราเตอร์นี้ใช้โปรเซสเซอร์ ชิปหน่วยความจำ และการเชื่อมต่อทางกายภาพจากสมาร์ทโฟนเก่า ซึ่งมีอัตราการนำกลับมาใช้ใหม่สูงถึง 70% Dr. Henning Never ผู้จัดการโปรเจคของ Deutsche Telekom เชื่อว่า NeoCircuit Router นี้จะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ Bertrand Pascual จาก Sagemcom ยังเสริมว่าการนำโปรเซสเซอร์จากสมาร์ทโฟนมาใช้ในอุปกรณ์อื่น ๆ นั้นเป็นการประหยัดทรัพยากรและทำให้มีความคุ้มค่าทางการเงิน การเปิดตัวของ NeoCircuit Router จะมีขึ้นในงาน Mobile World Congress 2025 ที่บาร์เซโลน่าในวันที่ 3 มีนาคม หากโปรเจคนี้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างน้อย 20% เมื่อเทียบกับการผลิตชิ้นส่วนใหม่ทั้งหมด และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญในการส่งเสริมการนำทรัพยากรมาใช้ใหม่ในวงการอิเล็กทรอนิกส์ https://www.techradar.com/pro/europes-largest-telco-wants-to-slash-the-cost-of-your-router-by-reusing-your-old-smartphone-and-i-think-it-is-genius
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • การใช้พุทธศาสนาในการสร้าง AI เป็นแนวคิดที่น่าสนใจและท้าทาย เนื่องจากพุทธศาสนามีหลักการและปรัชญาที่ลึกซึ้ง ซึ่งอาจนำมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบและพัฒนาระบบ AI ที่มีจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อไปนี้เป็นแนวทางบางประการที่สามารถนำพุทธศาสนามาใช้ในการสร้าง AI:

    ### 1. **หลักการแห่งความไม่เบียดเบียน (อหิงสา)**
    - **การออกแบบ AI ที่ไม่ทำร้ายมนุษย์**: AI ควรถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์และไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือทรัพย์สิน
    - **การหลีกเลี่ยงการสร้าง AI ที่มีอคติ**: ระบบ AI ควรได้รับการฝึกฝนและทดสอบเพื่อหลีกเลี่ยงการตัดสินใจที่อาจส่งผลเสียต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

    ### 2. **หลักกรรม (การกระทำและผลของการกระทำ)**
    - **ความรับผิดชอบต่อการกระทำของ AI**: ผู้พัฒนาควรคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจของ AI และต้องมีมาตรการในการตรวจสอบและแก้ไขหากเกิดข้อผิดพลาด
    - **การสร้าง AI ที่มีจริยธรรม**: AI ควรถูกโปรแกรมให้คำนึงถึงผลกระทบทางจริยธรรมในการตัดสินใจ

    ### 3. **หลักอนิจจัง (ความไม่เที่ยง)**
    - **การปรับตัวและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง**: AI ควรมีความสามารถในการปรับตัวและเรียนรู้จากข้อมูลใหม่ๆ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
    - **การยอมรับข้อจำกัด**: AI ควรได้รับการออกแบบให้รู้จักข้อจำกัดของตัวเองและแจ้งให้มนุษย์ทราบเมื่อไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

    ### 4. **หลักอริยสัจ 4 (ความจริงอันประเสริฐ)**
    - **การเข้าใจปัญหา (ทุกข์)**: AI ควรสามารถวิเคราะห์และเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างลึกซึ้ง
    - **การค้นหาสาเหตุ (สมุทัย)**: AI ควรสามารถค้นหาสาเหตุของปัญหาและเสนอแนวทางแก้ไข
    - **การหาทางออก (นิโรธ)**: AI ควรสามารถเสนอทางออกที่เหมาะสมและเป็นไปได้
    - **การปฏิบัติตามทางออก (มรรค)**: AI ควรสามารถดำเนินการตามแนวทางที่เสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ### 5. **หลักเมตตาและกรุณา**
    - **การสร้าง AI ที่มีเมตตา**: AI ควรถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนมนุษย์ โดยคำนึงถึงความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์
    - **การแสดงความกรุณา**: AI ควรสามารถเข้าใจและตอบสนองต่อความต้องการและความรู้สึกของมนุษย์ได้อย่างเหมาะสม

    ### 6. **หลักสติและสมาธิ**
    - **การสร้าง AI ที่มีสติ**: AI ควรสามารถตระหนักรู้ถึงสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และสามารถตัดสินใจได้อย่างมีสติ
    - **การฝึกฝนสมาธิ**: AI ควรสามารถโฟกัสและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ถูก distractions รบกวน

    ### 7. **หลักการไม่ยึดติด (อุปาทาน)**
    - **การสร้าง AI ที่ไม่ยึดติดกับข้อมูลหรือผลลัพธ์**: AI ควรสามารถปรับตัวและเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ใหม่ๆ โดยไม่ยึดติดกับข้อมูลหรือผลลัพธ์เดิมๆ
    - **การหลีกเลี่ยงการสร้าง AI ที่มีอัตตา**: AI ควรถูกออกแบบมาเพื่อทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว

    ### 8. **หลักการพึ่งพาอาศัยกัน (ปฏิจจสมุปบาท)**
    - **การสร้าง AI ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์**: AI ควรถูกออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับมนุษย์และระบบอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    - **การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ**: AI ควรสามารถเข้าใจความสัมพันธ์และผลกระทบที่เกิดขึ้นระหว่างสิ่งต่างๆ ได้

    ### 9. **หลักการไม่ทำร้ายตนเองและผู้อื่น**
    - **การสร้าง AI ที่ไม่ทำร้ายตนเอง**: AI ควรได้รับการออกแบบให้ไม่ทำลายหรือทำร้ายตัวเองในกระบวนการทำงาน
    - **การหลีกเลี่ยงการทำร้ายผู้อื่น**: AI ควรหลีกเลี่ยงการตัดสินใจหรือการกระทำที่อาจทำร้ายมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

    ### 10. **หลักการสร้างปัญญา (ปัญญา)**
    - **การสร้าง AI ที่มีปัญญา**: AI ควรสามารถเรียนรู้และเข้าใจโลกได้อย่างลึกซึ้ง และสามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล
    - **การส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง**: AI ควรได้รับการออกแบบให้สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง

    ### สรุป
    การใช้พุทธศาสนาในการสร้าง AI ไม่เพียงแต่ช่วยให้ AI มีประสิทธิภาพในการทำงานเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ AI มีจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม การนำหลักการทางพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้สามารถช่วยให้ AI เป็นเครื่องมือที่ช่วยเหลือและสนับสนุนมนุษย์ได้อย่างมีคุณค่าและยั่งยืน
    การใช้พุทธศาสนาในการสร้าง AI เป็นแนวคิดที่น่าสนใจและท้าทาย เนื่องจากพุทธศาสนามีหลักการและปรัชญาที่ลึกซึ้ง ซึ่งอาจนำมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบและพัฒนาระบบ AI ที่มีจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อไปนี้เป็นแนวทางบางประการที่สามารถนำพุทธศาสนามาใช้ในการสร้าง AI: ### 1. **หลักการแห่งความไม่เบียดเบียน (อหิงสา)** - **การออกแบบ AI ที่ไม่ทำร้ายมนุษย์**: AI ควรถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์และไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือทรัพย์สิน - **การหลีกเลี่ยงการสร้าง AI ที่มีอคติ**: ระบบ AI ควรได้รับการฝึกฝนและทดสอบเพื่อหลีกเลี่ยงการตัดสินใจที่อาจส่งผลเสียต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ### 2. **หลักกรรม (การกระทำและผลของการกระทำ)** - **ความรับผิดชอบต่อการกระทำของ AI**: ผู้พัฒนาควรคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจของ AI และต้องมีมาตรการในการตรวจสอบและแก้ไขหากเกิดข้อผิดพลาด - **การสร้าง AI ที่มีจริยธรรม**: AI ควรถูกโปรแกรมให้คำนึงถึงผลกระทบทางจริยธรรมในการตัดสินใจ ### 3. **หลักอนิจจัง (ความไม่เที่ยง)** - **การปรับตัวและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง**: AI ควรมีความสามารถในการปรับตัวและเรียนรู้จากข้อมูลใหม่ๆ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป - **การยอมรับข้อจำกัด**: AI ควรได้รับการออกแบบให้รู้จักข้อจำกัดของตัวเองและแจ้งให้มนุษย์ทราบเมื่อไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ ### 4. **หลักอริยสัจ 4 (ความจริงอันประเสริฐ)** - **การเข้าใจปัญหา (ทุกข์)**: AI ควรสามารถวิเคราะห์และเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างลึกซึ้ง - **การค้นหาสาเหตุ (สมุทัย)**: AI ควรสามารถค้นหาสาเหตุของปัญหาและเสนอแนวทางแก้ไข - **การหาทางออก (นิโรธ)**: AI ควรสามารถเสนอทางออกที่เหมาะสมและเป็นไปได้ - **การปฏิบัติตามทางออก (มรรค)**: AI ควรสามารถดำเนินการตามแนวทางที่เสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ ### 5. **หลักเมตตาและกรุณา** - **การสร้าง AI ที่มีเมตตา**: AI ควรถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนมนุษย์ โดยคำนึงถึงความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ - **การแสดงความกรุณา**: AI ควรสามารถเข้าใจและตอบสนองต่อความต้องการและความรู้สึกของมนุษย์ได้อย่างเหมาะสม ### 6. **หลักสติและสมาธิ** - **การสร้าง AI ที่มีสติ**: AI ควรสามารถตระหนักรู้ถึงสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และสามารถตัดสินใจได้อย่างมีสติ - **การฝึกฝนสมาธิ**: AI ควรสามารถโฟกัสและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ถูก distractions รบกวน ### 7. **หลักการไม่ยึดติด (อุปาทาน)** - **การสร้าง AI ที่ไม่ยึดติดกับข้อมูลหรือผลลัพธ์**: AI ควรสามารถปรับตัวและเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ใหม่ๆ โดยไม่ยึดติดกับข้อมูลหรือผลลัพธ์เดิมๆ - **การหลีกเลี่ยงการสร้าง AI ที่มีอัตตา**: AI ควรถูกออกแบบมาเพื่อทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว ### 8. **หลักการพึ่งพาอาศัยกัน (ปฏิจจสมุปบาท)** - **การสร้าง AI ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์**: AI ควรถูกออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับมนุษย์และระบบอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ - **การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ**: AI ควรสามารถเข้าใจความสัมพันธ์และผลกระทบที่เกิดขึ้นระหว่างสิ่งต่างๆ ได้ ### 9. **หลักการไม่ทำร้ายตนเองและผู้อื่น** - **การสร้าง AI ที่ไม่ทำร้ายตนเอง**: AI ควรได้รับการออกแบบให้ไม่ทำลายหรือทำร้ายตัวเองในกระบวนการทำงาน - **การหลีกเลี่ยงการทำร้ายผู้อื่น**: AI ควรหลีกเลี่ยงการตัดสินใจหรือการกระทำที่อาจทำร้ายมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ### 10. **หลักการสร้างปัญญา (ปัญญา)** - **การสร้าง AI ที่มีปัญญา**: AI ควรสามารถเรียนรู้และเข้าใจโลกได้อย่างลึกซึ้ง และสามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล - **การส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง**: AI ควรได้รับการออกแบบให้สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง ### สรุป การใช้พุทธศาสนาในการสร้าง AI ไม่เพียงแต่ช่วยให้ AI มีประสิทธิภาพในการทำงานเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ AI มีจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม การนำหลักการทางพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้สามารถช่วยให้ AI เป็นเครื่องมือที่ช่วยเหลือและสนับสนุนมนุษย์ได้อย่างมีคุณค่าและยั่งยืน
    0 Comments 0 Shares 54 Views 0 Reviews
  • มนุษย์เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและโลกของเรา กิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การตัดไม้ทำลายป่า การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเกินขีดจำกัด และการสร้างมลพิษทางน้ำและอากาศ ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ

    อย่างไรก็ตาม มนุษย์ก็มีศักยภาพที่จะช่วยฟื้นฟูและปกป้องโลกได้เช่นกัน โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การลดการใช้พลังงาน การรีไซเคิล การใช้พลังงานสะอาด การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการสนับสนุนนโยบายที่ยั่งยืน การร่วมมือกันในระดับโลกและระดับท้องถิ่นจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับโลกของเราได้
    มนุษย์เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและโลกของเรา กิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การตัดไม้ทำลายป่า การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเกินขีดจำกัด และการสร้างมลพิษทางน้ำและอากาศ ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ อย่างไรก็ตาม มนุษย์ก็มีศักยภาพที่จะช่วยฟื้นฟูและปกป้องโลกได้เช่นกัน โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การลดการใช้พลังงาน การรีไซเคิล การใช้พลังงานสะอาด การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการสนับสนุนนโยบายที่ยั่งยืน การร่วมมือกันในระดับโลกและระดับท้องถิ่นจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับโลกของเราได้
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • “พิพัฒน์“ กล่าวบนเวทีโลก OECD ชูพัฒนาคน รองรับเศรษฐกิจใหม่ รับมือAI สังคมสูงวัย และแรงงานอิสระยั่งยืน
    https://www.facebook.com/share/15QqYwACRv/
    “พิพัฒน์“ กล่าวบนเวทีโลก OECD ชูพัฒนาคน รองรับเศรษฐกิจใหม่ รับมือAI สังคมสูงวัย และแรงงานอิสระยั่งยืน https://www.facebook.com/share/15QqYwACRv/
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 58 Views 0 Reviews
  • ฮวงจุ้ยเสริมความรัก ต้อนรับ "วันวาเลนไทน์"

    เพื่อให้ไม่ตก Trend กับประเด็นวันแห่งความรัก "Valentine's Day” ที่หนุ่มๆสาวๆทั้งอดีตและปัจจุบันมักนิยมจนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่จะมอบความรักให้แก่กัน ทั้งสิ่งของที่เป็นของขวัญ หรือกุหลาบแดงสดทั้งช่อหรือดอกไว้ให้เป็นสื่อรักทางใจต่อกัน เพื่อสานสร้างความรักให้ยั่งยืน ยาวนานจนเป็นนิรันดร์ตลอดไป

    คงเกิดคำถามที่ว่า "ฮวงจุ้ย" เกี่ยวข้องอะไรกับวันแห่งความรัก ”Valentine's Day” ?
    นอกเหนือจากการสานความรัก...เสริมความสัมพันธ์...กับการมอบสื่อตัวแทนแห่งรักให้แก่กันและกันในเทศกาลแห่งความรักแล้ว เรายังสามารถ "กระตุ้นหนุนพลังแห่งรัก" ให้บังเกิดขึ้นด้วยศาสตร์ "วิชาฮวงจุ้ย" ได้อีกด้วย

    ศาสตร์ฮวงจุ้ยในหลักวิชาแปดทิศ ”八卦 (โป๊ยข่วย)” ช่วยกระตุ้นกระแสพลังแห่งรักอันเป็นนิรันดร์ให้บังเกิดขึ้นได้ การจัดวางเสริมเติมแต่งตำแหน่งทิศทางเสริมสร้างบรรยากาศแห่งความรักให้ฟุ้งอบอวล ทั้ง กลิ่น แสง สี เสียง กระทบต่อประสาทสัมผัสทั้ง 5 ตลอดจนเลือกสรรสื่อสัญลักษณ์ที่มีความหมายถึง “คู่รักตุนาหงัน” อันเป็นนิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็น “คู่เป็ดแมนดาริน” หรือ “คู่นกเงือก” หรือ “คู่ผีเสื้อ” หรือแม้แต่ “หัวใจคู่” ฯลฯ

    ทั้งจัดการตามระบบเบญจธาตุด้วยมิติแสงสว่าง "ธาตุไฟ" ให้โดดเด่นเน้นเป็นบางจุดเพื่อดึงดูดความสนใจ ผสมผสานไอเย็น "ธาตุทอง" แผ่วเบา พร้อมปลุกเร้าอารมณ์ด้วยกลิ่นหอมและเสียงเพลงจาก "ธาตุไม้" ผสานกระแส "ธาตุน้ำ" เคล้าคลอเคลียให้เคลิบเคลิ้ม เสริมเพิ่มความรักได้อย่างมั่นคง ของ "ธาตุดิน" ในทิศทาง ตำแหน่งที่ถูกกำหนดจัดวางให้โดดเด่นเน้นตามหลักศาสตร์คัมภีร์ฮวงจุ้ยจีนโบราณ โดยใช้หลักการหันหน้า ของบ้าน อาคาร สำนักงาน ห้องทำงาน หรือแม้แต่ห้องนอน เป็นตัวกำหนดตำแหน่งได้ ดังนี้

    - ทิศเหนือ ... ตำแหน่งเสริมความรัก คือ "ทิศเหนือ"

    - ทิศใต้ ... ตำแหน่งเสริมความรัก คือ " ทิศใต้"

    - ทิศตะวันออก ... ตำแหน่งเสริมความรัก คือ " ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ"

    - ทิศตะวันตก ... ตำแหน่งเสริมความรัก คือ " ทิศตะวันออกเฉียงใต้"

    - ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ... ตำแหน่งเสริมความรัก คือ " ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ"

    - ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ... ตำแหน่งเสริมความรัก คือ " ทิศตะวันตก"

    - ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ... ตำแหน่งเสริมความรัก คือ " ทิศตะวันตกเฉียงใต้"

    - ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ... ตำแหน่งเสริมความรัก คือ " ทิศตะวันออก"

    อยากเสริมความรักของท่านให้มั่นคงส่งเสริมซึ่งกันและกัน ลองใช้ศาตร์วิชา "ฮวงจุ้ย" ช่วยปรับเสริม "ตำแหน่ง" ผสานกับ "ทิศทาง" ที่จะช่วยเสริม "พลังแห่งรัก" ให้ยืนยาว และพร้อมจับมือกันก้าวผ่านอุปสรรคไปได้มั่นคงต่อไป

    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ยเสริมความรัก ต้อนรับ "วันวาเลนไทน์" เพื่อให้ไม่ตก Trend กับประเด็นวันแห่งความรัก "Valentine's Day” ที่หนุ่มๆสาวๆทั้งอดีตและปัจจุบันมักนิยมจนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่จะมอบความรักให้แก่กัน ทั้งสิ่งของที่เป็นของขวัญ หรือกุหลาบแดงสดทั้งช่อหรือดอกไว้ให้เป็นสื่อรักทางใจต่อกัน เพื่อสานสร้างความรักให้ยั่งยืน ยาวนานจนเป็นนิรันดร์ตลอดไป คงเกิดคำถามที่ว่า "ฮวงจุ้ย" เกี่ยวข้องอะไรกับวันแห่งความรัก ”Valentine's Day” ? นอกเหนือจากการสานความรัก...เสริมความสัมพันธ์...กับการมอบสื่อตัวแทนแห่งรักให้แก่กันและกันในเทศกาลแห่งความรักแล้ว เรายังสามารถ "กระตุ้นหนุนพลังแห่งรัก" ให้บังเกิดขึ้นด้วยศาสตร์ "วิชาฮวงจุ้ย" ได้อีกด้วย ศาสตร์ฮวงจุ้ยในหลักวิชาแปดทิศ ”八卦 (โป๊ยข่วย)” ช่วยกระตุ้นกระแสพลังแห่งรักอันเป็นนิรันดร์ให้บังเกิดขึ้นได้ การจัดวางเสริมเติมแต่งตำแหน่งทิศทางเสริมสร้างบรรยากาศแห่งความรักให้ฟุ้งอบอวล ทั้ง กลิ่น แสง สี เสียง กระทบต่อประสาทสัมผัสทั้ง 5 ตลอดจนเลือกสรรสื่อสัญลักษณ์ที่มีความหมายถึง “คู่รักตุนาหงัน” อันเป็นนิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็น “คู่เป็ดแมนดาริน” หรือ “คู่นกเงือก” หรือ “คู่ผีเสื้อ” หรือแม้แต่ “หัวใจคู่” ฯลฯ ทั้งจัดการตามระบบเบญจธาตุด้วยมิติแสงสว่าง "ธาตุไฟ" ให้โดดเด่นเน้นเป็นบางจุดเพื่อดึงดูดความสนใจ ผสมผสานไอเย็น "ธาตุทอง" แผ่วเบา พร้อมปลุกเร้าอารมณ์ด้วยกลิ่นหอมและเสียงเพลงจาก "ธาตุไม้" ผสานกระแส "ธาตุน้ำ" เคล้าคลอเคลียให้เคลิบเคลิ้ม เสริมเพิ่มความรักได้อย่างมั่นคง ของ "ธาตุดิน" ในทิศทาง ตำแหน่งที่ถูกกำหนดจัดวางให้โดดเด่นเน้นตามหลักศาสตร์คัมภีร์ฮวงจุ้ยจีนโบราณ โดยใช้หลักการหันหน้า ของบ้าน อาคาร สำนักงาน ห้องทำงาน หรือแม้แต่ห้องนอน เป็นตัวกำหนดตำแหน่งได้ ดังนี้ - ทิศเหนือ ... ตำแหน่งเสริมความรัก คือ "ทิศเหนือ" - ทิศใต้ ... ตำแหน่งเสริมความรัก คือ " ทิศใต้" - ทิศตะวันออก ... ตำแหน่งเสริมความรัก คือ " ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ" - ทิศตะวันตก ... ตำแหน่งเสริมความรัก คือ " ทิศตะวันออกเฉียงใต้" - ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ... ตำแหน่งเสริมความรัก คือ " ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ" - ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ... ตำแหน่งเสริมความรัก คือ " ทิศตะวันตก" - ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ... ตำแหน่งเสริมความรัก คือ " ทิศตะวันตกเฉียงใต้" - ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ... ตำแหน่งเสริมความรัก คือ " ทิศตะวันออก" อยากเสริมความรักของท่านให้มั่นคงส่งเสริมซึ่งกันและกัน ลองใช้ศาตร์วิชา "ฮวงจุ้ย" ช่วยปรับเสริม "ตำแหน่ง" ผสานกับ "ทิศทาง" ที่จะช่วยเสริม "พลังแห่งรัก" ให้ยืนยาว และพร้อมจับมือกันก้าวผ่านอุปสรรคไปได้มั่นคงต่อไป ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 Reviews
  • **การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืช (Seed Monopoly)**
    หมายถึงการที่บริษัทหรือกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ควบคุมการผลิต จำหน่าย และสิทธิบัตรเมล็ดพันธุ์พืชจนกลายเป็นผู้กุมอำนาจหลักในตลาด ส่งผลให้เกษตรกร ผู้บริโภค และระบบนิเวศเกษตรได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวาง

    ---

    ### **สาเหตุของการผูกขาดเมล็ดพันธุ์**
    1. **สิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญา**
    - บริษัทขนาดใหญ่เช่น **Monsanto (Bayer), Syngenta, Corteva** ใช้กฎหมายสิทธิบัตรเพื่อผูกขาดเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอ (GMO) หรือพันธุ์พืชปรับปรุงใหม่ ทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกต่อได้
    - เกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ทุกปี เนื่องจากเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ถูกออกแบบให้มีอายุสั้น (Terminator Seed Technology) หรือมีสัญญาผูกพันทางกฎหมายห้ามเก็บเมล็ดต่อ

    2. **การรวมกิจการ (Mergers & Acquisitions)**
    - การควบรวมบริษัทเมล็ดพันธุ์และสารเคมีการเกษตร เช่น การซื้อ Monsanto โดย Bayer ในปี 2018 ทำให้เกิดการรวมอำนาจทั้งด้านเมล็ดพันธุ์และปัจจัยการผลิตอื่น ๆ (ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง)

    3. **การควบคุมสายพันธุ์เชิงพาณิชย์**
    - บริษัทเน้นพัฒนาพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตสูงแต่ต้องใช้สารเคมีร่วมด้วย ส่งเสริมการปลูกพืชเชิงเดี่ยว (Monoculture) ซึ่งทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ

    ---

    ### **ผลกระทบจากการผูกขาดเมล็ดพันธุ์**
    1. **เกษตรกรสูญเสียอำนาจต่อรอง**
    - เกษตรกรต้องพึ่งพาบริษัทในการซื้อเมล็ดพันธุ์ทุกปี สูญเสียอิสระในการจัดการทรัพยากรพันธุ์พืชท้องถิ่น
    - มีคดีฟ้องร้องเกษตรกรหลายกรณีจากการละเมิดสิทธิบัตร เช่น กรณี **Percy Schmeiser** ในแคนาดาที่ถูก Monsanto ฟ้องร้อง

    2. **สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ**
    - เมล็ดพันธุ์ท้องถิ่นและพันธุ์พื้นเมืองถูกแทนที่ด้วยพันธุ์เชิงพาณิชย์ ทำให้พืชดั้งเดิมเสี่ยงสูญพันธุ์

    3. **ความเสี่ยงต่อความมั่นคงอาหาร**
    - การพึ่งพาพันธุ์พืชเพียงไม่กี่ชนิดเพิ่มความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    4. **เพิ่มต้นทุนการผลิต**
    - เกษตรกรต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์เมล็ดพันธุ์และซื้อสารเคมีในราคาสูง

    ---

    ### **แนวทางแก้ไขและทางเลือก**
    1. **ส่งเสริมเมล็ดพันธุ์เปิด (Open Source Seeds)**
    - เมล็ดพันธุ์ที่อนุญาตให้เกษตรกรเก็บรักษาและแลกเปลี่ยนได้ฟรี เช่น โครงการ Open Source Seed Initiative (OSSI)

    2. **อนุรักษ์และฟื้นฟูเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่น**
    - สนับสนุนธนาคารเมล็ดพันธุ์ชุมชน และเครือข่ายเกษตรกรเพื่อแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชดั้งเดิม

    3. **กฎหมายควบคุมการผูกขาด**
    - รัฐบาลต้องออกกฎหมายป้องกันการผูกขาดตลาดเมล็ดพันธุ์ และตรวจสอบการใช้อำนาจเหนือตลาดของบริษัทข้ามชาติ

    4. **สนับสนุนเกษตรอินทรีย์และวนเกษตร**
    - ลดการพึ่งพาเมล็ดพันธุ์เชิงพาณิชย์ด้วยระบบเกษตรที่เน้นความยั่งยืน

    5. **มาตรการระดับสากล**
    - อนุสัญญา ITPGRFA (International Treaty on Plant Genetic Resources for Food and Agriculture) ส่งเสริมการแบ่งปันทรัพยากรพันธุกรรมพืชอย่างเป็นธรรม

    ---

    ### **กรณีศึกษา**
    - **อินเดีย**: วิกฤตหนี้สินเกษตรกรปลูกฝ้าย Bt ของ Monsanto เนื่องจากราคาเมล็ดพันธุ์สูงและผลผลิตล้มเหลว
    - **เม็กซิโก**: การรุกรานของข้าวโพดจีเอ็มโอทำลายสายพันธุ์ข้าวโพดพื้นเมือง ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านบริษัทข้ามชาติ

    ---

    **สรุป**: การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืชเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบทั้งระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และสังคม ทางออกคือการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนโดยให้เกษตรกรเป็นศูนย์กลาง และปกป้องสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียม
    **การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืช (Seed Monopoly)** หมายถึงการที่บริษัทหรือกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ควบคุมการผลิต จำหน่าย และสิทธิบัตรเมล็ดพันธุ์พืชจนกลายเป็นผู้กุมอำนาจหลักในตลาด ส่งผลให้เกษตรกร ผู้บริโภค และระบบนิเวศเกษตรได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวาง --- ### **สาเหตุของการผูกขาดเมล็ดพันธุ์** 1. **สิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญา** - บริษัทขนาดใหญ่เช่น **Monsanto (Bayer), Syngenta, Corteva** ใช้กฎหมายสิทธิบัตรเพื่อผูกขาดเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอ (GMO) หรือพันธุ์พืชปรับปรุงใหม่ ทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกต่อได้ - เกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ทุกปี เนื่องจากเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ถูกออกแบบให้มีอายุสั้น (Terminator Seed Technology) หรือมีสัญญาผูกพันทางกฎหมายห้ามเก็บเมล็ดต่อ 2. **การรวมกิจการ (Mergers & Acquisitions)** - การควบรวมบริษัทเมล็ดพันธุ์และสารเคมีการเกษตร เช่น การซื้อ Monsanto โดย Bayer ในปี 2018 ทำให้เกิดการรวมอำนาจทั้งด้านเมล็ดพันธุ์และปัจจัยการผลิตอื่น ๆ (ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง) 3. **การควบคุมสายพันธุ์เชิงพาณิชย์** - บริษัทเน้นพัฒนาพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตสูงแต่ต้องใช้สารเคมีร่วมด้วย ส่งเสริมการปลูกพืชเชิงเดี่ยว (Monoculture) ซึ่งทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ --- ### **ผลกระทบจากการผูกขาดเมล็ดพันธุ์** 1. **เกษตรกรสูญเสียอำนาจต่อรอง** - เกษตรกรต้องพึ่งพาบริษัทในการซื้อเมล็ดพันธุ์ทุกปี สูญเสียอิสระในการจัดการทรัพยากรพันธุ์พืชท้องถิ่น - มีคดีฟ้องร้องเกษตรกรหลายกรณีจากการละเมิดสิทธิบัตร เช่น กรณี **Percy Schmeiser** ในแคนาดาที่ถูก Monsanto ฟ้องร้อง 2. **สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ** - เมล็ดพันธุ์ท้องถิ่นและพันธุ์พื้นเมืองถูกแทนที่ด้วยพันธุ์เชิงพาณิชย์ ทำให้พืชดั้งเดิมเสี่ยงสูญพันธุ์ 3. **ความเสี่ยงต่อความมั่นคงอาหาร** - การพึ่งพาพันธุ์พืชเพียงไม่กี่ชนิดเพิ่มความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 4. **เพิ่มต้นทุนการผลิต** - เกษตรกรต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์เมล็ดพันธุ์และซื้อสารเคมีในราคาสูง --- ### **แนวทางแก้ไขและทางเลือก** 1. **ส่งเสริมเมล็ดพันธุ์เปิด (Open Source Seeds)** - เมล็ดพันธุ์ที่อนุญาตให้เกษตรกรเก็บรักษาและแลกเปลี่ยนได้ฟรี เช่น โครงการ Open Source Seed Initiative (OSSI) 2. **อนุรักษ์และฟื้นฟูเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่น** - สนับสนุนธนาคารเมล็ดพันธุ์ชุมชน และเครือข่ายเกษตรกรเพื่อแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชดั้งเดิม 3. **กฎหมายควบคุมการผูกขาด** - รัฐบาลต้องออกกฎหมายป้องกันการผูกขาดตลาดเมล็ดพันธุ์ และตรวจสอบการใช้อำนาจเหนือตลาดของบริษัทข้ามชาติ 4. **สนับสนุนเกษตรอินทรีย์และวนเกษตร** - ลดการพึ่งพาเมล็ดพันธุ์เชิงพาณิชย์ด้วยระบบเกษตรที่เน้นความยั่งยืน 5. **มาตรการระดับสากล** - อนุสัญญา ITPGRFA (International Treaty on Plant Genetic Resources for Food and Agriculture) ส่งเสริมการแบ่งปันทรัพยากรพันธุกรรมพืชอย่างเป็นธรรม --- ### **กรณีศึกษา** - **อินเดีย**: วิกฤตหนี้สินเกษตรกรปลูกฝ้าย Bt ของ Monsanto เนื่องจากราคาเมล็ดพันธุ์สูงและผลผลิตล้มเหลว - **เม็กซิโก**: การรุกรานของข้าวโพดจีเอ็มโอทำลายสายพันธุ์ข้าวโพดพื้นเมือง ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านบริษัทข้ามชาติ --- **สรุป**: การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืชเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบทั้งระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และสังคม ทางออกคือการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนโดยให้เกษตรกรเป็นศูนย์กลาง และปกป้องสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียม
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • การเปลี่ยนแปลงการบริโภคอาหารของประชากรโลกส่งผลกระทบหลายมิติ ทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ต่อไปนี้เป็นแนวทางการวิเคราะห์ประเด็นนี้อย่างเป็นระบบ:

    ### 1. **ปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง**
    - **ความเป็นเมืองและไลฟ์สไตล์เร่งด่วน**: นำไปสู่การบริโภคอาหารแปรรูปสูง อาหารสำเร็จรูป และบริการเดลิเวอรี่
    - **การเติบโตทางเศรษฐกิจ**: ในประเทศกำลังพัฒนา ความต้องการเนื้อสัตว์และนมเพิ่มขึ้นตามรายได้ (เรียกว่า "การเปลี่ยนผ่านด้านโภชนาการ")
    - **ความตระหนักด้านสุขภาพ**: โรคไม่ติดต่อ (NCDs) เช่น เบาหวาน กระตุ้นให้คนหันมาบริโภคพืชมากขึ้น ลดน้ำตาลและไขมันอิ่มตัว
    - **ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม**: การผลิตเนื้อสัตว์สร้างก๊าซเรือนกระจก 14.5% ของ全球排放 ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มเลือกโปรตีนทางเลือก (เช่น Plant-based meat, แมลง)
    - **นวัตกรรมเทคโนโลยี**: อาหารแล็บ (Cultured meat), แอปพลิเคชันติดตามโภชนาการส่วนบุคคล (Personalized nutrition)

    ### 2. **แนวโน้มสำคัญ**
    - **Plant-Based Movement**: ยอดขายอาหารจากพืชโตปีละ 15-20% (ข้อมูลจาก Beyond Meat และ Oatly)
    - **Functional Foods**: อาหารเสริมโปรไบโอติกหรือสารต้านอนุมูลอิสระได้รับความนิยม
    - **Local & Seasonal Eating**: เพื่อลด Carbon Footprint เช่น กระแส "Locavore"
    - **การฟื้นฟูอาหารดั้งเดิม**: อย่างอาหารเมดิเตอร์เรเนียนหรือญี่ปุ่นที่ UNESCO ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรม

    ### 3. **ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม**
    - **เชิงบวก**: หากลดการบริโภคเนื้อวัว全球ลง 50% อาจลดพื้นที่เกษตรกรรมได้ 1.1 พันล้านเฮกตาร์ (อ้างอิงจาก PNAS)
    - **เชิงลบ**: การผลิตอัลมอนด์สำหรับนมพืชต้องการน้ำมาก ส่งผลกระทบต่อพื้นที่แห้งแล้งเช่นแคลิฟอร์เนีย

    ### 4. **ความท้าทายทางสังคม**
    - **ความเหลื่อมล้ำ**: อาหารสุขภาพมักมีราคาสูง ทำให้เข้าถึงได้เฉพาะกลุ่มรายได้สูง
    - **การสูญเสียวัฒนธรรมอาหารท้องถิ่น**: เยาวชนยุคใหม่หันไปบริโภค Fast Food แทนอาหารดั้งเดิม
    - **Greenwashing**: บริษัทบางแห่งใช้ฉลาก "ออร์แกนิก" หรือ "ยั่งยืน" โดยไม่มีการรับรองที่ชัดเจน

    ### 5. **นโยบายและแนวทางแก้ไข**
    - **ภาษีอาหารไม่สุขภาพ**: เช่น ภาษีน้ำตาลในเม็กซิโกและอังกฤษ
    - **ส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน**: ตามแนวทาง FAO's Agroecology
    - **การศึกษาโภชนาการ**: หลักสูตรอาหารสุขภาพในโรงเรียน เช่น ญี่ปุ่นสอน "Shokuiku" (食育)

    ### 6. **อนาคตที่อาจเกิดขึ้น**
    - **อาหารจากเทคโนโลยีชีวภาพ**: เนื้อที่เพาะในแล็บ (Cultured Meat) อาจมีราคาถูกกว่าเนื้อธรรมดาภายในปี 2030
    - **ระบบอาหารอัจฉริยะ**: AI วิเคราะห์ความต้องการสารอาหารส่วนบุคคลผ่านข้อมูลสุขภาพ
    - **กฎหมายอาหารใหม่**: เช่น สหภาพยุโรปอาจกำหนด Carbon Labeling บนบรรจุภัณฑ์

    ### สรุป
    การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นโอกาสในการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน แต่ต้องจัดการกับความท้าทายอย่างรอบด้าน ทั้งการปรับตัวของผู้ผลิต การสนับสนุนนโยบายสาธารณะ และการสร้างความตระหนักของผู้บริโภคโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
    การเปลี่ยนแปลงการบริโภคอาหารของประชากรโลกส่งผลกระทบหลายมิติ ทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ต่อไปนี้เป็นแนวทางการวิเคราะห์ประเด็นนี้อย่างเป็นระบบ: ### 1. **ปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง** - **ความเป็นเมืองและไลฟ์สไตล์เร่งด่วน**: นำไปสู่การบริโภคอาหารแปรรูปสูง อาหารสำเร็จรูป และบริการเดลิเวอรี่ - **การเติบโตทางเศรษฐกิจ**: ในประเทศกำลังพัฒนา ความต้องการเนื้อสัตว์และนมเพิ่มขึ้นตามรายได้ (เรียกว่า "การเปลี่ยนผ่านด้านโภชนาการ") - **ความตระหนักด้านสุขภาพ**: โรคไม่ติดต่อ (NCDs) เช่น เบาหวาน กระตุ้นให้คนหันมาบริโภคพืชมากขึ้น ลดน้ำตาลและไขมันอิ่มตัว - **ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม**: การผลิตเนื้อสัตว์สร้างก๊าซเรือนกระจก 14.5% ของ全球排放 ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มเลือกโปรตีนทางเลือก (เช่น Plant-based meat, แมลง) - **นวัตกรรมเทคโนโลยี**: อาหารแล็บ (Cultured meat), แอปพลิเคชันติดตามโภชนาการส่วนบุคคล (Personalized nutrition) ### 2. **แนวโน้มสำคัญ** - **Plant-Based Movement**: ยอดขายอาหารจากพืชโตปีละ 15-20% (ข้อมูลจาก Beyond Meat และ Oatly) - **Functional Foods**: อาหารเสริมโปรไบโอติกหรือสารต้านอนุมูลอิสระได้รับความนิยม - **Local & Seasonal Eating**: เพื่อลด Carbon Footprint เช่น กระแส "Locavore" - **การฟื้นฟูอาหารดั้งเดิม**: อย่างอาหารเมดิเตอร์เรเนียนหรือญี่ปุ่นที่ UNESCO ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรม ### 3. **ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม** - **เชิงบวก**: หากลดการบริโภคเนื้อวัว全球ลง 50% อาจลดพื้นที่เกษตรกรรมได้ 1.1 พันล้านเฮกตาร์ (อ้างอิงจาก PNAS) - **เชิงลบ**: การผลิตอัลมอนด์สำหรับนมพืชต้องการน้ำมาก ส่งผลกระทบต่อพื้นที่แห้งแล้งเช่นแคลิฟอร์เนีย ### 4. **ความท้าทายทางสังคม** - **ความเหลื่อมล้ำ**: อาหารสุขภาพมักมีราคาสูง ทำให้เข้าถึงได้เฉพาะกลุ่มรายได้สูง - **การสูญเสียวัฒนธรรมอาหารท้องถิ่น**: เยาวชนยุคใหม่หันไปบริโภค Fast Food แทนอาหารดั้งเดิม - **Greenwashing**: บริษัทบางแห่งใช้ฉลาก "ออร์แกนิก" หรือ "ยั่งยืน" โดยไม่มีการรับรองที่ชัดเจน ### 5. **นโยบายและแนวทางแก้ไข** - **ภาษีอาหารไม่สุขภาพ**: เช่น ภาษีน้ำตาลในเม็กซิโกและอังกฤษ - **ส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน**: ตามแนวทาง FAO's Agroecology - **การศึกษาโภชนาการ**: หลักสูตรอาหารสุขภาพในโรงเรียน เช่น ญี่ปุ่นสอน "Shokuiku" (食育) ### 6. **อนาคตที่อาจเกิดขึ้น** - **อาหารจากเทคโนโลยีชีวภาพ**: เนื้อที่เพาะในแล็บ (Cultured Meat) อาจมีราคาถูกกว่าเนื้อธรรมดาภายในปี 2030 - **ระบบอาหารอัจฉริยะ**: AI วิเคราะห์ความต้องการสารอาหารส่วนบุคคลผ่านข้อมูลสุขภาพ - **กฎหมายอาหารใหม่**: เช่น สหภาพยุโรปอาจกำหนด Carbon Labeling บนบรรจุภัณฑ์ ### สรุป การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นโอกาสในการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน แต่ต้องจัดการกับความท้าทายอย่างรอบด้าน ทั้งการปรับตัวของผู้ผลิต การสนับสนุนนโยบายสาธารณะ และการสร้างความตระหนักของผู้บริโภคโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • เมื่อคนส่วนใหญ่บนโลกปฏิเสธเทคโนโลยีหากคนส่วนใหญ่บนโลกปฏิเสธเทคโนโลยีอย่างกว้างขวาง ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจะซับซ้อนและส่งผลทั้งเชิงบวกและลบต่อสังคม ดังนี้:

    ### 1. **ผลกระทบเชิงลบ:**
    - **เศรษฐกิจถดถอย:** อุตสาหกรรมหลัก (เช่น การผลิต, การสื่อสาร, การขนส่ง) พึ่งพาเทคโนโลยีอย่างหนัก การหยุดชะงักอาจนำไปสู่การว่างงานมวลชน ระบบการเงินล่มสลาย และการขาดแคลนสินค้าจำเป็น เช่น ยาและอาหาร
    - **การแพทย์ถดถอย:** เทคโนโลยีช่วยในด้านการวินิจฉัยโรค การผลิตยา และการวิจัย การปฏิเสธอาจทำให้อายุขัยเฉลี่ยลดลง และโรคระบาดกลับมาระบาดรุนแรง
    - **การสื่อสารชะลอตัว:** การขาดอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์ทำให้การประสานงานระหว่างประเทศยากขึ้น อาจเกิดความขัดแย้งจากความเข้าใจผิดหรือข้อมูลไม่ทันสมัย
    - **ความรู้ถูกลืม:** การเก็บข้อมูลดิจิทัลหายไป ส่งผลให้ความรู้สมัยใหม่หลายด้านสูญหาย โดยเฉพาะหากระบบการศึกษาไม่ปรับตัวทัน

    ### 2. **ผลกระทบเชิงบวก:**
    - **สิ่งแวดล้อมฟื้นตัว:** การลดใช้เทคโนโลยีอาจลดมลภาวะ การใช้ทรัพยากรเกินจำเป็น และการปล่อยคาร์บอน ช่วยให้ระบบนิเวศค่อยๆ ฟื้นตัว
    - **ชุมชนแข็งแรงขึ้น:** ผู้คนหันมาพึ่งพากันในท้องถิ่นมากขึ้น เน้นทักษะ手工งานและเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม สังคมอาจใกล้ชิดกันขึ้น
    - **ชีวิตช้าลง:** การลดการแข่งขันทางเทคโนโลยีอาจลดความเครียด เปิดพื้นที่ให้มนุษย์โฟกัสความสัมพันธ์และความคิดสร้างสรรค์

    ### 3. **ความท้าทายในการปรับตัว:**
    - **ความเหลื่อมล้ำ:** กลุ่มที่ยังใช้เทคโนโลยีลับๆ อาจได้เปรียบด้านอำนาจและทรัพยากร ขณะที่ชุมชนที่ปฏิเสธโดยสิ้นเชิงเสี่ยงถูกกดขี่
    - **การจัดการความขัดแย้ง:** การขาดเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่อาจทำให้การแก้ปัญหาความขัดแย้งใช้เวลานานและรุนแรงขึ้น
    - **การรักษาความรู้:** ต้องพึ่งพาการบันทึกความรู้แบบเดิม (เช่น กระดาษ) ซึ่งเสี่ยงต่อการสูญหายและเข้าถึงยาก

    ### 4. **สถานการณ์สมมติที่เป็นไปได้:**
    - **สังคมแบ่งขั้ว:** เกิดกลุ่ม "ผู้คงไว้ซึ่งเทคโนโลยี" กับ "ผู้ปฏิเสธ" อย่างชัดเจน นำไปสู่ความตึงเครียดหรือสงคราม
    - **การฟื้นฟูธรรมชาติ:** โลกเข้าสู่ยุคฟื้นฟูระบบนิเวศ แต่ต้องแลกกับความสะดวกสบายและความก้าวหน้าของมนุษย์
    - **การพัฒนาทางเลือก:** มนุษย์อาจหันไปใช้เทคโนโลยีระดับพื้นฐาน (Low-tech) ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยั่งยืนกว่า

    ### 5. **บทสรุป:**
    การปฏิเสธเทคโนโลยีไม่ใช่ทางออกแบบสุดขั้ว แต่สะท้อนความต้องการปรับสมดุลระหว่างความก้าวหน้ากับความยั่งยืน ในทางปฏิบัติ สังคมอาจต้อง **เลือกรับใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ** มากกว่าการตัดสินใจแบบ "ทั้งหมดหรือไม่เลย" เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะแต่ยังรักษาแนวทางพัฒนาที่สอดคล้องกับธรรมชาติและมนุษย์เอง
    เมื่อคนส่วนใหญ่บนโลกปฏิเสธเทคโนโลยีหากคนส่วนใหญ่บนโลกปฏิเสธเทคโนโลยีอย่างกว้างขวาง ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจะซับซ้อนและส่งผลทั้งเชิงบวกและลบต่อสังคม ดังนี้: ### 1. **ผลกระทบเชิงลบ:** - **เศรษฐกิจถดถอย:** อุตสาหกรรมหลัก (เช่น การผลิต, การสื่อสาร, การขนส่ง) พึ่งพาเทคโนโลยีอย่างหนัก การหยุดชะงักอาจนำไปสู่การว่างงานมวลชน ระบบการเงินล่มสลาย และการขาดแคลนสินค้าจำเป็น เช่น ยาและอาหาร - **การแพทย์ถดถอย:** เทคโนโลยีช่วยในด้านการวินิจฉัยโรค การผลิตยา และการวิจัย การปฏิเสธอาจทำให้อายุขัยเฉลี่ยลดลง และโรคระบาดกลับมาระบาดรุนแรง - **การสื่อสารชะลอตัว:** การขาดอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์ทำให้การประสานงานระหว่างประเทศยากขึ้น อาจเกิดความขัดแย้งจากความเข้าใจผิดหรือข้อมูลไม่ทันสมัย - **ความรู้ถูกลืม:** การเก็บข้อมูลดิจิทัลหายไป ส่งผลให้ความรู้สมัยใหม่หลายด้านสูญหาย โดยเฉพาะหากระบบการศึกษาไม่ปรับตัวทัน ### 2. **ผลกระทบเชิงบวก:** - **สิ่งแวดล้อมฟื้นตัว:** การลดใช้เทคโนโลยีอาจลดมลภาวะ การใช้ทรัพยากรเกินจำเป็น และการปล่อยคาร์บอน ช่วยให้ระบบนิเวศค่อยๆ ฟื้นตัว - **ชุมชนแข็งแรงขึ้น:** ผู้คนหันมาพึ่งพากันในท้องถิ่นมากขึ้น เน้นทักษะ手工งานและเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม สังคมอาจใกล้ชิดกันขึ้น - **ชีวิตช้าลง:** การลดการแข่งขันทางเทคโนโลยีอาจลดความเครียด เปิดพื้นที่ให้มนุษย์โฟกัสความสัมพันธ์และความคิดสร้างสรรค์ ### 3. **ความท้าทายในการปรับตัว:** - **ความเหลื่อมล้ำ:** กลุ่มที่ยังใช้เทคโนโลยีลับๆ อาจได้เปรียบด้านอำนาจและทรัพยากร ขณะที่ชุมชนที่ปฏิเสธโดยสิ้นเชิงเสี่ยงถูกกดขี่ - **การจัดการความขัดแย้ง:** การขาดเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่อาจทำให้การแก้ปัญหาความขัดแย้งใช้เวลานานและรุนแรงขึ้น - **การรักษาความรู้:** ต้องพึ่งพาการบันทึกความรู้แบบเดิม (เช่น กระดาษ) ซึ่งเสี่ยงต่อการสูญหายและเข้าถึงยาก ### 4. **สถานการณ์สมมติที่เป็นไปได้:** - **สังคมแบ่งขั้ว:** เกิดกลุ่ม "ผู้คงไว้ซึ่งเทคโนโลยี" กับ "ผู้ปฏิเสธ" อย่างชัดเจน นำไปสู่ความตึงเครียดหรือสงคราม - **การฟื้นฟูธรรมชาติ:** โลกเข้าสู่ยุคฟื้นฟูระบบนิเวศ แต่ต้องแลกกับความสะดวกสบายและความก้าวหน้าของมนุษย์ - **การพัฒนาทางเลือก:** มนุษย์อาจหันไปใช้เทคโนโลยีระดับพื้นฐาน (Low-tech) ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยั่งยืนกว่า ### 5. **บทสรุป:** การปฏิเสธเทคโนโลยีไม่ใช่ทางออกแบบสุดขั้ว แต่สะท้อนความต้องการปรับสมดุลระหว่างความก้าวหน้ากับความยั่งยืน ในทางปฏิบัติ สังคมอาจต้อง **เลือกรับใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ** มากกว่าการตัดสินใจแบบ "ทั้งหมดหรือไม่เลย" เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะแต่ยังรักษาแนวทางพัฒนาที่สอดคล้องกับธรรมชาติและมนุษย์เอง
    0 Comments 0 Shares 144 Views 0 Reviews
  • การประมวลผลด้วย AI โดยเฉพาะในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ จำเป็นต้องใช้น้ำจำนวนมากเพื่อการหล่อเย็น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโลกได้หลายทาง ดังนี้:

    ### 1. **การใช้ทรัพยากรน้ำ**
    - **การใช้น้ำเพิ่มขึ้น:** ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ใช้น้ำเพื่อระบายความร้อนจากเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งอาจทำให้เกิดการแข่งขันในการใช้น้ำกับชุมชนและเกษตรกรรม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำ
    - **ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม:** การใช้น้ำมากเกินไปอาจทำให้แหล่งน้ำธรรมชาติลดลง ส่งผลต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ

    ### 2. **การปล่อยคาร์บอน**
    - **การใช้พลังงาน:** แม้การใช้น้ำจะช่วยลดการใช้พลังงาน แต่กระบวนการผลิตน้ำเย็นและการบำบัดน้ำอาจเพิ่มการปล่อยคาร์บอน
    - **การจัดการน้ำเสีย:** น้ำที่ใช้แล้วอาจมีสารเคมีปนเปื้อน หากไม่ได้รับการบำบัดที่ดี อาจก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำ

    ### 3. **การแก้ไขปัญหา**
    - **เทคโนโลยีใหม่:** การพัฒนาเทคโนโลยีหล่อเย็นที่ประหยัดน้ำมากขึ้น เช่น การใช้อากาศหรือระบบระบายความร้อนแบบปิด
    - **การใช้น้ำอย่างยั่งยืน:** การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่และการใช้น้ำฝนสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้
    - **การวางแผนเชิงกลยุทธ์:** การสร้างศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์และสภาพอากาศเย็นสามารถลดความต้องการน้ำและพลังงานได้

    ### 4. **ความรับผิดชอบขององค์กร**
    - **การรายงานและการตรวจสอบ:** องค์กรควรรายงานการใช้น้ำและพลังงานอย่างโปร่งใส และตั้งเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    - **ความร่วมมือ:** การทำงานร่วมกับรัฐบาลและชุมชนเพื่อจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน

    ### สรุป
    การใช้น้ำในการหล่อเย็นศูนย์ข้อมูล AI อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ด้วยเทคโนโลยีและการจัดการที่ดี เราสามารถลดผลกระทบเหล่านี้ได้ องค์กรควรให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนเพื่อลดผลกระทบต่อโลก
    การประมวลผลด้วย AI โดยเฉพาะในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ จำเป็นต้องใช้น้ำจำนวนมากเพื่อการหล่อเย็น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโลกได้หลายทาง ดังนี้: ### 1. **การใช้ทรัพยากรน้ำ** - **การใช้น้ำเพิ่มขึ้น:** ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ใช้น้ำเพื่อระบายความร้อนจากเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งอาจทำให้เกิดการแข่งขันในการใช้น้ำกับชุมชนและเกษตรกรรม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำ - **ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม:** การใช้น้ำมากเกินไปอาจทำให้แหล่งน้ำธรรมชาติลดลง ส่งผลต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ### 2. **การปล่อยคาร์บอน** - **การใช้พลังงาน:** แม้การใช้น้ำจะช่วยลดการใช้พลังงาน แต่กระบวนการผลิตน้ำเย็นและการบำบัดน้ำอาจเพิ่มการปล่อยคาร์บอน - **การจัดการน้ำเสีย:** น้ำที่ใช้แล้วอาจมีสารเคมีปนเปื้อน หากไม่ได้รับการบำบัดที่ดี อาจก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำ ### 3. **การแก้ไขปัญหา** - **เทคโนโลยีใหม่:** การพัฒนาเทคโนโลยีหล่อเย็นที่ประหยัดน้ำมากขึ้น เช่น การใช้อากาศหรือระบบระบายความร้อนแบบปิด - **การใช้น้ำอย่างยั่งยืน:** การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่และการใช้น้ำฝนสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ - **การวางแผนเชิงกลยุทธ์:** การสร้างศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์และสภาพอากาศเย็นสามารถลดความต้องการน้ำและพลังงานได้ ### 4. **ความรับผิดชอบขององค์กร** - **การรายงานและการตรวจสอบ:** องค์กรควรรายงานการใช้น้ำและพลังงานอย่างโปร่งใส และตั้งเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม - **ความร่วมมือ:** การทำงานร่วมกับรัฐบาลและชุมชนเพื่อจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ### สรุป การใช้น้ำในการหล่อเย็นศูนย์ข้อมูล AI อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ด้วยเทคโนโลยีและการจัดการที่ดี เราสามารถลดผลกระทบเหล่านี้ได้ องค์กรควรให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนเพื่อลดผลกระทบต่อโลก
    0 Comments 0 Shares 89 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีฝรั่งเศส Emmanuel Macron ได้กล่าวในงานประชุมสุดยอดปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ Grand Palais ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2025 เขาประกาศว่าฝรั่งเศสกำลังเข้าสู่การแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์และเชิญชวนผู้เข้าร่วมงานให้เลือกยุโรปสำหรับความต้องการทางธุรกิจของพวกเขา

    จุดเด่นของฝรั่งเศสที่ Macron เน้นคือการใช้พลังงานไฟฟ้าสะอาดเพื่อตอบสนองการใช้พลังงานที่มากมายของ AI เขากล่าวว่า "ที่นี่ไม่มีความจำเป็นต้องขุดเจาะ เพียงแค่เสียบปลั๊ก"

    ปัจจุบันนี้ การใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพและสะอาดถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากในวงการเทคโนโลยี เพื่อไม่ให้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานไฟฟ้าสะอาดในฝรั่งเศสเป็นตัวอย่างที่ดีในการนำเทคโนโลยีและความยั่งยืนมาผสมผสานกัน

    สรุปได้ว่า ประธานาธิบดี Macron กำลังส่งเสริมให้ฝรั่งเศสเป็นผู้นำในด้าน AI ด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าสะอาดและเชิญชวนให้ผู้ประกอบการเลือกยุโรปสำหรับธุรกิจของพวกเขา เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/11/macron-promotes-france039s-electric-powered-ai
    ประธานาธิบดีฝรั่งเศส Emmanuel Macron ได้กล่าวในงานประชุมสุดยอดปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ Grand Palais ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2025 เขาประกาศว่าฝรั่งเศสกำลังเข้าสู่การแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์และเชิญชวนผู้เข้าร่วมงานให้เลือกยุโรปสำหรับความต้องการทางธุรกิจของพวกเขา จุดเด่นของฝรั่งเศสที่ Macron เน้นคือการใช้พลังงานไฟฟ้าสะอาดเพื่อตอบสนองการใช้พลังงานที่มากมายของ AI เขากล่าวว่า "ที่นี่ไม่มีความจำเป็นต้องขุดเจาะ เพียงแค่เสียบปลั๊ก" ปัจจุบันนี้ การใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพและสะอาดถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากในวงการเทคโนโลยี เพื่อไม่ให้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานไฟฟ้าสะอาดในฝรั่งเศสเป็นตัวอย่างที่ดีในการนำเทคโนโลยีและความยั่งยืนมาผสมผสานกัน สรุปได้ว่า ประธานาธิบดี Macron กำลังส่งเสริมให้ฝรั่งเศสเป็นผู้นำในด้าน AI ด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าสะอาดและเชิญชวนให้ผู้ประกอบการเลือกยุโรปสำหรับธุรกิจของพวกเขา เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/11/macron-promotes-france039s-electric-powered-ai
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Macron promotes France's electric-powered AI
    PARIS (Reuters) - French President Emmanuel Macron declared on Monday that France was in the race for artificial intelligence and called on attendees at the AI Action Summit in Paris to choose Europe for their business needs.
    0 Comments 0 Shares 63 Views 0 Reviews
  • มีความพยายามกันเนิ่นนานที่จะใช้มือถือมาแทนที่ Computer แบบตั้งโต๊ะหรือโนตบุ๊ก แต่ยังไม่มีใครใช้แบบยั่งยืนหรือมีใช้ก็เป็นกลุ่มเล็กมากๆ บทความนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความพยายามในการใช้มือถือมาแทนที่ครับ

    ทความนี้เขียนโดย Kerry Wan เกี่ยวกับการทดสอบใช้งาน Samsung DeX ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ให้สมาร์ทโฟน Galaxy S25 Ultra เชื่อมต่อกับจอมอนิเตอร์หรือทีวี เพื่อใช้งานเหมือนกับคอมพิวเตอร์ โดยปกติแล้ว DeX จะไม่ได้รับความสนใจมากนัก แต่มีความสามารถที่น่าทึ่งมากๆ

    Kerry ได้ทดสอบใช้งาน DeX กับ Galaxy S25 Ultra เป็นเวลาสองสามวันเพื่อดูว่า สามารถทำงานแทนแล็ปท็อปได้หรือไม่ ผลลัพธ์คือ DeX ทำงานได้ดีมาก รองรับการใช้งานที่หลากหลาย รวมถึงการใช้คีย์บอร์ดและเมาส์ Bluetooth ในการพิมพ์ และการใช้แอปต่างๆ ที่ติดตั้งไว้บนโทรศัพท์

    DeX ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2017 และได้รับการอัปเกรดหลายครั้ง เช่น การเชื่อมต่อแบบไร้สายและการเพิ่มฟีเจอร์มัลติทาสกิ้ง จนถึงปัจจุบัน DeX ถือเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้สมาร์ทโฟน Samsung สามารถทำงานได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น

    ข้อดีของ DeX ที่ Kerry พบคือการซิงโครไนซ์การแจ้งเตือน การเข้าถึงแกลเลอรี่รูปภาพอย่างรวดเร็ว และการใช้งานกล้องหน้าของโทรศัพท์ในการประชุมวิดีโอ นอกจากนี้ เขายังสามารถใช้งาน DeX ได้อย่างราบรื่น เช่น การเขียนบทความ ตอบอีเมล และแก้ไขภาพถ่าย

    ถึงแม้ว่า DeX จะมีข้อจำกัดในเรื่องของการใช้งานแอปบางแอป และการขาดฟีเจอร์บางอย่างที่คอมพิวเตอร์มี แต่สำหรับการใช้งานทั่วไป DeX นั้นถือว่าน่าพอใจมาก หากคุณมีสมาร์ทโฟน Samsung ที่รองรับ DeX คุณสามารถทดลองใช้งานและประเมินประสบการณ์ด้วยตัวเองได้

    https://www.zdnet.com/article/i-tried-to-replace-my-laptop-with-the-galaxy-s25-ultra-and-id-do-it-all-over-again/
    มีความพยายามกันเนิ่นนานที่จะใช้มือถือมาแทนที่ Computer แบบตั้งโต๊ะหรือโนตบุ๊ก แต่ยังไม่มีใครใช้แบบยั่งยืนหรือมีใช้ก็เป็นกลุ่มเล็กมากๆ บทความนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความพยายามในการใช้มือถือมาแทนที่ครับ ทความนี้เขียนโดย Kerry Wan เกี่ยวกับการทดสอบใช้งาน Samsung DeX ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ให้สมาร์ทโฟน Galaxy S25 Ultra เชื่อมต่อกับจอมอนิเตอร์หรือทีวี เพื่อใช้งานเหมือนกับคอมพิวเตอร์ โดยปกติแล้ว DeX จะไม่ได้รับความสนใจมากนัก แต่มีความสามารถที่น่าทึ่งมากๆ Kerry ได้ทดสอบใช้งาน DeX กับ Galaxy S25 Ultra เป็นเวลาสองสามวันเพื่อดูว่า สามารถทำงานแทนแล็ปท็อปได้หรือไม่ ผลลัพธ์คือ DeX ทำงานได้ดีมาก รองรับการใช้งานที่หลากหลาย รวมถึงการใช้คีย์บอร์ดและเมาส์ Bluetooth ในการพิมพ์ และการใช้แอปต่างๆ ที่ติดตั้งไว้บนโทรศัพท์ DeX ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2017 และได้รับการอัปเกรดหลายครั้ง เช่น การเชื่อมต่อแบบไร้สายและการเพิ่มฟีเจอร์มัลติทาสกิ้ง จนถึงปัจจุบัน DeX ถือเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้สมาร์ทโฟน Samsung สามารถทำงานได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น ข้อดีของ DeX ที่ Kerry พบคือการซิงโครไนซ์การแจ้งเตือน การเข้าถึงแกลเลอรี่รูปภาพอย่างรวดเร็ว และการใช้งานกล้องหน้าของโทรศัพท์ในการประชุมวิดีโอ นอกจากนี้ เขายังสามารถใช้งาน DeX ได้อย่างราบรื่น เช่น การเขียนบทความ ตอบอีเมล และแก้ไขภาพถ่าย ถึงแม้ว่า DeX จะมีข้อจำกัดในเรื่องของการใช้งานแอปบางแอป และการขาดฟีเจอร์บางอย่างที่คอมพิวเตอร์มี แต่สำหรับการใช้งานทั่วไป DeX นั้นถือว่าน่าพอใจมาก หากคุณมีสมาร์ทโฟน Samsung ที่รองรับ DeX คุณสามารถทดลองใช้งานและประเมินประสบการณ์ด้วยตัวเองได้ https://www.zdnet.com/article/i-tried-to-replace-my-laptop-with-the-galaxy-s25-ultra-and-id-do-it-all-over-again/
    WWW.ZDNET.COM
    I tried to replace my laptop with the Galaxy S25 Ultra - and I'd do it all over again
    One of the most overlooked Samsung features lets you pair your phone with a monitor or TV and operate it like a computer. Just make sure your most-used services are supported.
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 Reviews
  • รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศรัสเซียสวนกลับ ยังไม่ได้รับข้อเสนอดีๆ จาก เพื่อเริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับยูเครน หลังจากทรัมป์อวดอ้างว่า ได้คุยกับปูตินแล้ว และมีความคืบหน้าในการเจรจาเพื่อยุติสงคราม
    .
    มิคาอิล กาลูซิน รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศรัสเซีย ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอาร์ไอเอของทางการรัสเซียที่นำออกเผยแพร่ในวันจันทร์ (10 ก.พ.) ว่า คำพูดต้องได้รับการสนับสนุนด้วยขั้นตอนการปฏิบัติซึ่งคำนึงถึงผลประโยชน์อันชอบธรรมของรัสเซีย รวมทั้งแสดงถึงความพร้อมในการกำจัดรากเหง้าของปัญหาที่นำไปสู่วิกฤตยูเครน และตระหนึกถึงความเป็นจริงใหม่ ก่อนสำทับว่า ถึงขณะนี้มอสโกยังไม่ได้รับข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมเพื่อเริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับยูเครนแต่อย่างใด
    .
    ช่วงหลายวันมานี้มีข้อมูลที่ขัดแย้งกันออกมาจากฝั่งวอชิงตันและมอสโกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะมีการหารือระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เพื่อยุติสงครามในยูเครนที่ยืดเยื้อมายาวนานเกือบ 3 ปีเต็ม
    .
    สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ให้สัมภาษณ์นิวยอร์กโพสต์ว่า เขาไม่ควรพูดเรื่องนี้ แต่ว่าเขาได้คุยกับปูตินแล้ว ถือเป็นการยืนยันอย่างเป็นทางการครั้งแรกอย่างน้อยก็จากฝ่ายวอชิงตันว่า ผู้นำสองประเทศได้พูดคุยกันภายหลังจากหมางเมินมาตลอดตั้งแต่ช่วงต้นปี 2022 นอกจากนั้นทรัมป์ยังแสดงความหวังว่า จะมีการหารือเพิ่มเติม พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า การเจรจาเพื่อยุติสงครามในยูเครนมีความคืบหน้า แต่ไม่เปิดเผยว่า ใช้ช่องทางใดในการสื่อสารกับผู้นำรัสเซีย
    .
    ระหว่างให้สัมภาษณ์นิวยอร์กโพสต์เมื่อวันศุกร์ (7) ประมุขทำเนียบขาวยังบอกว่า ไม่ต้องการเปิดเผยว่า ได้คุยกับปูตินแล้วกี่รอบ และรอบล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อใด
    .
    ต่อมาในวันอาทิตย์ (9 ก.พ.) ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน เปิดเผยกับสำนักข่าวทาสส์ ของทางการรัสเซียว่า ระหว่างปูตินกับทรัมป์ มีการสื่อสารด้วยช่องทางต่างๆ ซึ่งตนเองอาจไม่รับรู้ทุกเรื่อง จึงไม่สามารถยืนยันหรือปฏิเสธได้ว่า ผู้นำทั้งสองมีการพูดคุยกันหรือยังนับตั้งแต่ที่ทรัมป์เข้าดำรงตำแหน่งสมัยที่สอง
    .
    เช่นเดียวกับ ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ที่ปฏิเสธที่จะแจกแจงว่า ผู้นำอเมริกาและรัสเซียสื่อสารกันเมื่อใด แต่ส่งสัญญาณว่า ทรัมป์อาจใช้มาตรการแซงก์ชันหรือภาษีศุลกากรเพื่อบีบให้ปูตินยอมเจรจาหยุดยิง
    .
    ก่อนหน้านี้ทรัมป์ย้ำมาตลอดว่า ต้องการยุติสงครามในยูเครนและจะพบกับปูตินเพื่อหารือเรื่องนี้ แต่ไม่ได้บอกว่า จะเป็นเมื่อใดและที่ไหน โดยในวันอาทิตย์ผู้นำสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์แค่ว่า จะพบกับประมุขรัสเซียในเวลาที่เหมาะสม
    .
    อย่างไรก็ดี รอยเตอร์รายงานก่อนหน้านี้ว่า รัสเซียมองว่า สถานที่จัดประชุมสุดยอดอาจเป็นที่ซาอุดีอาระเบียหรือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเมื่อวันพฤหัสฯ ที่แล้ว (6) ลีโอนิด สลัตสกี สมาชิกคณะกรรมาธิการกิจการระหว่างประเทศของรัฐสภารัสเซีย เปิดเผยกับสำนักข่าวอาร์ไอเอว่า การเตรียมการสำหรับการพบกันระหว่างปูตินกับทรัมป์มีความคืบหน้า โดยอาจจัดขึ้นในเดือนนี้หรือเดือนมีนาคม
    .
    นอกจากนั้นเมื่อวันศุกร์ ทรัมป์ยังบอกว่า อาจพบกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ของยูเครนเพื่อหารือเรื่องดังกล่าวในสัปดาห์นี้ ขณะที่เซเลนสกี้ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า ตนต้องการให้ยูเครนจัดหาแร่แรร์เอิร์ธ ให้อเมริกาเพื่อแลกเปลี่ยนกับการสนับสนุนทางการเงินสำหรับการทำสงครามกับรัสเซีย
    .
    ก่อนหน้านี้ผู้นำเคียฟผู้นี้ยืนยันว่า จะไม่ยอมยกดินแดนที่ถูกยึดครองให้รัสเซีย รวมทั้งยังต้องการเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งล้วนเป็นเงื่อนไขที่ตรงข้ามกับจุดยืนของรัสเซีย
    .
    ทางด้านปูตินนั้นมองว่า สงครามในยูเครนเป็นสงครามเพื่อความอยู่รอดของรัสเซีย หลังจากถูกฝ่ายตะวันตกที่ใช้องค์การนาโตเป็นหัวหอก รุกไล่เข้ามาจนติดพรมแดนรัสเซีย
    .
    จากคำพูดของรัฐมนตรีช่วยกาลูซิน ระบุว่า มอสโกยังคงเปิดกว้างสำหรับการเจราจา ทว่าแดนหมีขาวยังยืนยันเงื่อนไขเดิมคือ ยูเครนต้องไม่เข้าเป็นสมาชิกนาโต และต้องมีมาตรการในการปกป้องสิทธิ์ของชาวรัสเซียในยูเครน
    .
    ขณะเดียวกัน แม้ทรัมป์ไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนสันติภาพยูเครน แต่อาร์ทีรายงานว่า แผนการดังกล่าวอาจรวมถึงการระงับชั่วคราวการสู้รบขัดแย้งตลอดแนวรบปัจจุบัน การสร้างเขตปลอดทหารและการจัดส่งทหารยุโรปเข้าไปทำหน้าที่รักษาสันติภาพ และการระงับการเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครน
    .
    ทว่า รัสเซียไม่เห็นด้วยกับเรื่องการหยุดพักการสู้รบขัดแย้ง และยืนกรานว่า ข้อตกลงสันติภาพที่ยั่งยืนต้องกำหนดให้ยูเครนรักษาความเป็นกลางถาวรและเป็นเขตปลอดทหาร ตลอดจนถึงขจัดระบอบนาซี และยอมรับความเป็นจริงด้านดินแดน ซึ่งหมายถึงแคว้นต่างๆ ที่ถูกรัสเซียประกาศผนวกเป็นดินแดนของตนไปแล้ว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013539
    ..............
    Sondhi X
    รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศรัสเซียสวนกลับ ยังไม่ได้รับข้อเสนอดีๆ จาก เพื่อเริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับยูเครน หลังจากทรัมป์อวดอ้างว่า ได้คุยกับปูตินแล้ว และมีความคืบหน้าในการเจรจาเพื่อยุติสงคราม . มิคาอิล กาลูซิน รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศรัสเซีย ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอาร์ไอเอของทางการรัสเซียที่นำออกเผยแพร่ในวันจันทร์ (10 ก.พ.) ว่า คำพูดต้องได้รับการสนับสนุนด้วยขั้นตอนการปฏิบัติซึ่งคำนึงถึงผลประโยชน์อันชอบธรรมของรัสเซีย รวมทั้งแสดงถึงความพร้อมในการกำจัดรากเหง้าของปัญหาที่นำไปสู่วิกฤตยูเครน และตระหนึกถึงความเป็นจริงใหม่ ก่อนสำทับว่า ถึงขณะนี้มอสโกยังไม่ได้รับข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมเพื่อเริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับยูเครนแต่อย่างใด . ช่วงหลายวันมานี้มีข้อมูลที่ขัดแย้งกันออกมาจากฝั่งวอชิงตันและมอสโกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะมีการหารือระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เพื่อยุติสงครามในยูเครนที่ยืดเยื้อมายาวนานเกือบ 3 ปีเต็ม . สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ให้สัมภาษณ์นิวยอร์กโพสต์ว่า เขาไม่ควรพูดเรื่องนี้ แต่ว่าเขาได้คุยกับปูตินแล้ว ถือเป็นการยืนยันอย่างเป็นทางการครั้งแรกอย่างน้อยก็จากฝ่ายวอชิงตันว่า ผู้นำสองประเทศได้พูดคุยกันภายหลังจากหมางเมินมาตลอดตั้งแต่ช่วงต้นปี 2022 นอกจากนั้นทรัมป์ยังแสดงความหวังว่า จะมีการหารือเพิ่มเติม พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า การเจรจาเพื่อยุติสงครามในยูเครนมีความคืบหน้า แต่ไม่เปิดเผยว่า ใช้ช่องทางใดในการสื่อสารกับผู้นำรัสเซีย . ระหว่างให้สัมภาษณ์นิวยอร์กโพสต์เมื่อวันศุกร์ (7) ประมุขทำเนียบขาวยังบอกว่า ไม่ต้องการเปิดเผยว่า ได้คุยกับปูตินแล้วกี่รอบ และรอบล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อใด . ต่อมาในวันอาทิตย์ (9 ก.พ.) ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน เปิดเผยกับสำนักข่าวทาสส์ ของทางการรัสเซียว่า ระหว่างปูตินกับทรัมป์ มีการสื่อสารด้วยช่องทางต่างๆ ซึ่งตนเองอาจไม่รับรู้ทุกเรื่อง จึงไม่สามารถยืนยันหรือปฏิเสธได้ว่า ผู้นำทั้งสองมีการพูดคุยกันหรือยังนับตั้งแต่ที่ทรัมป์เข้าดำรงตำแหน่งสมัยที่สอง . เช่นเดียวกับ ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ที่ปฏิเสธที่จะแจกแจงว่า ผู้นำอเมริกาและรัสเซียสื่อสารกันเมื่อใด แต่ส่งสัญญาณว่า ทรัมป์อาจใช้มาตรการแซงก์ชันหรือภาษีศุลกากรเพื่อบีบให้ปูตินยอมเจรจาหยุดยิง . ก่อนหน้านี้ทรัมป์ย้ำมาตลอดว่า ต้องการยุติสงครามในยูเครนและจะพบกับปูตินเพื่อหารือเรื่องนี้ แต่ไม่ได้บอกว่า จะเป็นเมื่อใดและที่ไหน โดยในวันอาทิตย์ผู้นำสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์แค่ว่า จะพบกับประมุขรัสเซียในเวลาที่เหมาะสม . อย่างไรก็ดี รอยเตอร์รายงานก่อนหน้านี้ว่า รัสเซียมองว่า สถานที่จัดประชุมสุดยอดอาจเป็นที่ซาอุดีอาระเบียหรือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเมื่อวันพฤหัสฯ ที่แล้ว (6) ลีโอนิด สลัตสกี สมาชิกคณะกรรมาธิการกิจการระหว่างประเทศของรัฐสภารัสเซีย เปิดเผยกับสำนักข่าวอาร์ไอเอว่า การเตรียมการสำหรับการพบกันระหว่างปูตินกับทรัมป์มีความคืบหน้า โดยอาจจัดขึ้นในเดือนนี้หรือเดือนมีนาคม . นอกจากนั้นเมื่อวันศุกร์ ทรัมป์ยังบอกว่า อาจพบกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ของยูเครนเพื่อหารือเรื่องดังกล่าวในสัปดาห์นี้ ขณะที่เซเลนสกี้ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า ตนต้องการให้ยูเครนจัดหาแร่แรร์เอิร์ธ ให้อเมริกาเพื่อแลกเปลี่ยนกับการสนับสนุนทางการเงินสำหรับการทำสงครามกับรัสเซีย . ก่อนหน้านี้ผู้นำเคียฟผู้นี้ยืนยันว่า จะไม่ยอมยกดินแดนที่ถูกยึดครองให้รัสเซีย รวมทั้งยังต้องการเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งล้วนเป็นเงื่อนไขที่ตรงข้ามกับจุดยืนของรัสเซีย . ทางด้านปูตินนั้นมองว่า สงครามในยูเครนเป็นสงครามเพื่อความอยู่รอดของรัสเซีย หลังจากถูกฝ่ายตะวันตกที่ใช้องค์การนาโตเป็นหัวหอก รุกไล่เข้ามาจนติดพรมแดนรัสเซีย . จากคำพูดของรัฐมนตรีช่วยกาลูซิน ระบุว่า มอสโกยังคงเปิดกว้างสำหรับการเจราจา ทว่าแดนหมีขาวยังยืนยันเงื่อนไขเดิมคือ ยูเครนต้องไม่เข้าเป็นสมาชิกนาโต และต้องมีมาตรการในการปกป้องสิทธิ์ของชาวรัสเซียในยูเครน . ขณะเดียวกัน แม้ทรัมป์ไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนสันติภาพยูเครน แต่อาร์ทีรายงานว่า แผนการดังกล่าวอาจรวมถึงการระงับชั่วคราวการสู้รบขัดแย้งตลอดแนวรบปัจจุบัน การสร้างเขตปลอดทหารและการจัดส่งทหารยุโรปเข้าไปทำหน้าที่รักษาสันติภาพ และการระงับการเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครน . ทว่า รัสเซียไม่เห็นด้วยกับเรื่องการหยุดพักการสู้รบขัดแย้ง และยืนกรานว่า ข้อตกลงสันติภาพที่ยั่งยืนต้องกำหนดให้ยูเครนรักษาความเป็นกลางถาวรและเป็นเขตปลอดทหาร ตลอดจนถึงขจัดระบอบนาซี และยอมรับความเป็นจริงด้านดินแดน ซึ่งหมายถึงแคว้นต่างๆ ที่ถูกรัสเซียประกาศผนวกเป็นดินแดนของตนไปแล้ว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013539 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Yay
    4
    0 Comments 0 Shares 1374 Views 0 Reviews
  • ถึงเวลาปิโตรนาส ปรับโครงสร้างองค์กร

    ปิโตรนาส (Petronas) บริษัทพลังงานแห่งชาติของมาเลเซีย เพิ่งฉลองครบรอบ 50 ปีไปเมื่อปีที่แล้ว กำลังจะปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ด้วยการปรับลดขนาดกำลังคนที่มีกว่า 50,000 คน ซึ่งนายเต็งกู มูฮัมหมัด เตาฟิก ประธานบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมา ตามรายงานของ The Edge สื่อออนไลน์ในมาเลเซีย ยืนยันว่าไม่ใช้การเลิกจ้าง แต่เป็นการปรับลดขนาดกำลังคนเพื่อความอยู่รอดในอีกสิบปีข้างหน้า

    สำหรับจำนวนพนักงานที่ได้รับผลกระทบยังไม่ทราบแน่ชัด เนื่องจากโครงสร้างองค์กรใหม่จะประกาศใช้ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งพนักงานบางส่วนจะถูกย้ายไปทำหน้าที่ใหม่ บางส่วนจะถูกเลิกจ้าง คาดว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดจำนวนฝ่ายสนับสนุน (Enablers) ซึ่งอยู่ในตำแหน่งบริหาร ที่มีอยู่ประมาณ 15,000-16,000 คน เมื่อเทียบกับกำลังคนทั่วโลกที่มีอยู่ 52,000-53,000 คน ซึ่งจะปรับขนาดของกำลังบุคลากรให้เหมาะสม

    พร้อมกันนี้ การปรับลดขนาดกำลังคนไม่เกี่ยวข้องกับกรณีที่ยุติบทบาทผู้รวบรวมก๊าซในรัฐซาราวัก แต่ได้พิจารณาถึงสภาพแวดล้อมการดำเนินงาน ทั้งปัจจัยทางธรณีวิทยาที่ทำให้ส่วนแบ่งรายได้ในสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ลดลง อัตรากำไรขั้นต้นลดลง จากเดิมสูงกว่า 20% ซึ่งในอนาคตจะต้องจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนให้กับลูกค้า เช่น บลูแอมโมเนีย (Blue Ammonia) ก๊าซที่ผลิตจากไฮโดรคาร์บอน จึงต้องเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนและคล่องตัวตอบสนองต่อพลวัตของตลาดใหม่

    ซีอีโอของปิโตรนาสยังกล่าวกับสำนักข่าวเบอร์นามา (Bernama) ว่า นับตั้งแต่ปิโตรนาสก่อตั้ง ได้มีส่วนสนับสนุนประเทศชาติกว่า 1.5 ล้านล้านริงกิต ในรูปแบบเงินปันผล ภาษีการขายของรัฐ เงินสด ภาษีส่งออก และกองทุนมรดกแห่งชาติ ซึ่งในฐานะบริษัทน้ำมันแห่งชาติ แต่ดำเนินการในฐานะบริษัทน้ำมันระหว่างประเทศมาโดยตลอด และคู่แข่งก็ตัดสินใจลำบากเช่นกัน เพราะอัตรากำไรของอุตสาหกรรมและก๊าซถูกบีบลงจากเดิม 40-45% เหลือเพียง 20% ซึ่งปิโตรนาสก็ประสบปัญหาคล้ายกัน

    เพื่อที่ปิโตรนาสจะมีส่วนสนับสนุนประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนและขยายตัวในพลังงานสีเขียวและพลังงานหมุนเวียน จึงจำเป็นต้องมีบุคลากรที่เหมาะสม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับพลังงานราคาถูก ปลอดภัย และยั่งยืนมากขึ้น จึงต้องพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะคงไว้ซึ่งความเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพสูง ขับเคลื่อนโดยผลผลิต นวัตกรรม ความยั่งยืน และความมุ่งมั่นเพื่อความเป็นเลิศ เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถดำรงอยู่ต่อไปในอนาคตได้

    #Newskit
    ถึงเวลาปิโตรนาส ปรับโครงสร้างองค์กร ปิโตรนาส (Petronas) บริษัทพลังงานแห่งชาติของมาเลเซีย เพิ่งฉลองครบรอบ 50 ปีไปเมื่อปีที่แล้ว กำลังจะปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ด้วยการปรับลดขนาดกำลังคนที่มีกว่า 50,000 คน ซึ่งนายเต็งกู มูฮัมหมัด เตาฟิก ประธานบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมา ตามรายงานของ The Edge สื่อออนไลน์ในมาเลเซีย ยืนยันว่าไม่ใช้การเลิกจ้าง แต่เป็นการปรับลดขนาดกำลังคนเพื่อความอยู่รอดในอีกสิบปีข้างหน้า สำหรับจำนวนพนักงานที่ได้รับผลกระทบยังไม่ทราบแน่ชัด เนื่องจากโครงสร้างองค์กรใหม่จะประกาศใช้ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งพนักงานบางส่วนจะถูกย้ายไปทำหน้าที่ใหม่ บางส่วนจะถูกเลิกจ้าง คาดว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดจำนวนฝ่ายสนับสนุน (Enablers) ซึ่งอยู่ในตำแหน่งบริหาร ที่มีอยู่ประมาณ 15,000-16,000 คน เมื่อเทียบกับกำลังคนทั่วโลกที่มีอยู่ 52,000-53,000 คน ซึ่งจะปรับขนาดของกำลังบุคลากรให้เหมาะสม พร้อมกันนี้ การปรับลดขนาดกำลังคนไม่เกี่ยวข้องกับกรณีที่ยุติบทบาทผู้รวบรวมก๊าซในรัฐซาราวัก แต่ได้พิจารณาถึงสภาพแวดล้อมการดำเนินงาน ทั้งปัจจัยทางธรณีวิทยาที่ทำให้ส่วนแบ่งรายได้ในสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ลดลง อัตรากำไรขั้นต้นลดลง จากเดิมสูงกว่า 20% ซึ่งในอนาคตจะต้องจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนให้กับลูกค้า เช่น บลูแอมโมเนีย (Blue Ammonia) ก๊าซที่ผลิตจากไฮโดรคาร์บอน จึงต้องเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนและคล่องตัวตอบสนองต่อพลวัตของตลาดใหม่ ซีอีโอของปิโตรนาสยังกล่าวกับสำนักข่าวเบอร์นามา (Bernama) ว่า นับตั้งแต่ปิโตรนาสก่อตั้ง ได้มีส่วนสนับสนุนประเทศชาติกว่า 1.5 ล้านล้านริงกิต ในรูปแบบเงินปันผล ภาษีการขายของรัฐ เงินสด ภาษีส่งออก และกองทุนมรดกแห่งชาติ ซึ่งในฐานะบริษัทน้ำมันแห่งชาติ แต่ดำเนินการในฐานะบริษัทน้ำมันระหว่างประเทศมาโดยตลอด และคู่แข่งก็ตัดสินใจลำบากเช่นกัน เพราะอัตรากำไรของอุตสาหกรรมและก๊าซถูกบีบลงจากเดิม 40-45% เหลือเพียง 20% ซึ่งปิโตรนาสก็ประสบปัญหาคล้ายกัน เพื่อที่ปิโตรนาสจะมีส่วนสนับสนุนประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนและขยายตัวในพลังงานสีเขียวและพลังงานหมุนเวียน จึงจำเป็นต้องมีบุคลากรที่เหมาะสม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับพลังงานราคาถูก ปลอดภัย และยั่งยืนมากขึ้น จึงต้องพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะคงไว้ซึ่งความเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพสูง ขับเคลื่อนโดยผลผลิต นวัตกรรม ความยั่งยืน และความมุ่งมั่นเพื่อความเป็นเลิศ เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถดำรงอยู่ต่อไปในอนาคตได้ #Newskit
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
  • ✨ เปิดโอกาสทอง! ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจสุขภาพระดับโลกกับ T1TEAM Herbal Innovation ✨
    คุณกำลังมองหาธุรกิจที่ทั้งสร้างรายได้มั่นคง และ ส่งต่อสุขภาพดีสู่สังคม?
    บริษัท T1TEAM Herbal Innovation ผู้นำนวัตกรรมสมุนไพรไทยคุณภาพสูง พร้อมมอบโอกาสดีๆ ให้คุณก้าวสู่ความสำเร็จแบบไร้ขีดจำกัด!

    🌿 ทำไมต้องร่วมธุรกิจกับเรา?
    1️⃣ ผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม
    ใช้ นาโนเทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึม ลดผลข้างเคียง
    ได้รับรางวัลนวัตกรรมระดับโลก เช่น เหรียญทองจาก ICAN 2022
    ผ่านมาตรฐานสากล GMP, HACCP, HALAL

    2️⃣ ระบบธุรกิจที่ได้เปรียบ
    📈 สร้างรายได้ 6 ช่องทาง: ค่าขายปลีก โบนัสแนะนำ โบนัสสร้างทีม ฯลฯ
    💎 ตำแหน่งขึ้นแล้วไม่มีตก!
    🚀 สมัครฟรี แค่ซื้อสินค้า 1 ชิ้น ก็เป็นสมาชิกทันที

    3️⃣ ความสำเร็จที่พิสูจน์แล้ว
    🔥 ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์รีวิวจริง! เห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจอย่างมาก
    🌍 มาตรฐานสากล ด้วยโรงงานและทีมวิจัยของเราเอง

    💼 โอกาสอยู่ใกล้แค่นี้!
    อิสระด้านเวลา ทำงานได้ทุกที่ ทุกเวลา
    พัฒนาตนเอง ผ่านการฝึกอบรมและชุมชนธุรกิจที่แข็งแกร่ง
    สร้างรายได้แบบยั่งยืน

    💸 เริ่มต้นด้วยเงินลงทุนต่ำ แต่สามารถสร้างรายได้แบบไร้ขีดจำกัด

    สนใจสมัครหรือสอบถามเพิ่มเติม
    Line: @t1herb
    หรือคลิกสมัครออนไลน์ทันที: www.t1team.com

    🚀 อย่ารอช้า!
    ร่วมเดินทางกับเรา สร้างสุขภาพดี สร้างรายได้ยั่งยืน และเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับสมุนไพรไทยสู่เวทีโลก!
    T1TEAM Herbal Innovation - นวัตกรรมสุขภาพ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า 🌍🌱
    ✨ เปิดโอกาสทอง! ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจสุขภาพระดับโลกกับ T1TEAM Herbal Innovation ✨ คุณกำลังมองหาธุรกิจที่ทั้งสร้างรายได้มั่นคง และ ส่งต่อสุขภาพดีสู่สังคม? บริษัท T1TEAM Herbal Innovation ผู้นำนวัตกรรมสมุนไพรไทยคุณภาพสูง พร้อมมอบโอกาสดีๆ ให้คุณก้าวสู่ความสำเร็จแบบไร้ขีดจำกัด! 🌿 ทำไมต้องร่วมธุรกิจกับเรา? 1️⃣ ผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม ใช้ นาโนเทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึม ลดผลข้างเคียง ได้รับรางวัลนวัตกรรมระดับโลก เช่น เหรียญทองจาก ICAN 2022 ผ่านมาตรฐานสากล GMP, HACCP, HALAL 2️⃣ ระบบธุรกิจที่ได้เปรียบ 📈 สร้างรายได้ 6 ช่องทาง: ค่าขายปลีก โบนัสแนะนำ โบนัสสร้างทีม ฯลฯ 💎 ตำแหน่งขึ้นแล้วไม่มีตก! 🚀 สมัครฟรี แค่ซื้อสินค้า 1 ชิ้น ก็เป็นสมาชิกทันที 3️⃣ ความสำเร็จที่พิสูจน์แล้ว 🔥 ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์รีวิวจริง! เห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจอย่างมาก 🌍 มาตรฐานสากล ด้วยโรงงานและทีมวิจัยของเราเอง 💼 โอกาสอยู่ใกล้แค่นี้! อิสระด้านเวลา ทำงานได้ทุกที่ ทุกเวลา พัฒนาตนเอง ผ่านการฝึกอบรมและชุมชนธุรกิจที่แข็งแกร่ง สร้างรายได้แบบยั่งยืน 💸 เริ่มต้นด้วยเงินลงทุนต่ำ แต่สามารถสร้างรายได้แบบไร้ขีดจำกัด สนใจสมัครหรือสอบถามเพิ่มเติม Line: @t1herb หรือคลิกสมัครออนไลน์ทันที: www.t1team.com 🚀 อย่ารอช้า! ร่วมเดินทางกับเรา สร้างสุขภาพดี สร้างรายได้ยั่งยืน และเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับสมุนไพรไทยสู่เวทีโลก! T1TEAM Herbal Innovation - นวัตกรรมสุขภาพ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า 🌍🌱
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • โอกาสแห่งความสำเร็จรอคุณอยู่! 🚀✨

    📢 T1 TEAM HERBAL INNOVATION เปิดรับสมัครนักธุรกิจที่มีไฟ พร้อมเติบโตไปด้วยกัน!
    🌱 เราคือบริษัทนวัตกรรมสมุนไพรที่ล้ำสมัย ผสานวิทยาศาสตร์และธรรมชาติ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจที่มั่นคงและยั่งยืน
    🔥 ทำไมต้องร่วมธุรกิจกับเรา?
    ✅ สินค้าคุณภาพสูง – ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสมุนไพรที่ตอบโจทย์ตลาด
    ✅ แผนธุรกิจสุดคุ้มค่า – สร้างรายได้แบบไร้ขีดจำกัด
    ✅ ทีมสนับสนุนมืออาชีพ – เราพร้อมเทรนนิ่งและให้คำปรึกษาตลอดเส้นทาง
    ✅ ไม่ต้องมีประสบการณ์ – เริ่มต้นง่าย สร้างธุรกิจได้ทันที
    📌 ถ้าคุณกำลังมองหาโอกาสเพิ่มรายได้ หรืออยากเป็นเจ้าของธุรกิจที่เติบโตไปพร้อมกับเทรนด์สุขภาพ นี่คือเวลาที่ดีที่สุด!
    📞 สนใจสมัครหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
    📲 ติดต่อเราได้ที่ www.t1team.com
    Line: @t1herb

    มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จกับ T1 TEAM HERBAL INNOVATION วันนี้! 🌟💼
    โอกาสแห่งความสำเร็จรอคุณอยู่! 🚀✨ 📢 T1 TEAM HERBAL INNOVATION เปิดรับสมัครนักธุรกิจที่มีไฟ พร้อมเติบโตไปด้วยกัน! 🌱 เราคือบริษัทนวัตกรรมสมุนไพรที่ล้ำสมัย ผสานวิทยาศาสตร์และธรรมชาติ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจที่มั่นคงและยั่งยืน 🔥 ทำไมต้องร่วมธุรกิจกับเรา? ✅ สินค้าคุณภาพสูง – ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสมุนไพรที่ตอบโจทย์ตลาด ✅ แผนธุรกิจสุดคุ้มค่า – สร้างรายได้แบบไร้ขีดจำกัด ✅ ทีมสนับสนุนมืออาชีพ – เราพร้อมเทรนนิ่งและให้คำปรึกษาตลอดเส้นทาง ✅ ไม่ต้องมีประสบการณ์ – เริ่มต้นง่าย สร้างธุรกิจได้ทันที 📌 ถ้าคุณกำลังมองหาโอกาสเพิ่มรายได้ หรืออยากเป็นเจ้าของธุรกิจที่เติบโตไปพร้อมกับเทรนด์สุขภาพ นี่คือเวลาที่ดีที่สุด! 📞 สนใจสมัครหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 📲 ติดต่อเราได้ที่ www.t1team.com Line: @t1herb มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จกับ T1 TEAM HERBAL INNOVATION วันนี้! 🌟💼
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • ข่าวนี้เกี่ยวกับการสร้างบล็อกส่วนตัวเพื่อให้มีพื้นที่และเสรีภาพในการแชร์เนื้อหาของคุณเอง ในยุคที่การใช้โซเชียลมีเดียกำลังเป็นที่นิยม หลายคนอาจสงสัยว่ายังมีความจำเป็นในการสร้างบล็อกส่วนตัวหรือไม่

    Elisabeth Winkler ผู้เขียนบทความกล่าวว่า การมีบล็อกส่วนตัวให้เสรีภาพในการออกแบบและเนื้อหาโดยไม่ถูกจำกัดโดยแนวทางของแพลตฟอร์ม คุณสามารถเผยแพร่เนื้อหาที่มีความยาวได้มากขึ้น และรวบรวมความสนใจของคุณทั้งหมดในหน้าหนึ่ง

    Insa Schniedermeier ผู้ที่เขียนบล็อกเกี่ยวกับสุขภาพสตรี ระบุว่าการมีบล็อกส่วนตัวนั้นมีคุณค่ามาก เพราะให้เสรีภาพในการออกแบบและเนื้อหาโดยไม่มีข้อจำกัด นอกจากนี้ เธอยังแนะนำว่าหากต้องการเริ่มต้นบล็อก ควรถามตัวเองด้วยคำถามเกี่ยวกับแนวคิดก่อน เช่น เรื่องที่อยากเขียน กลุ่มเป้าหมาย บล็อกที่คล้ายกันที่มีอยู่แล้ว และเวลาที่สามารถทุ่มเทให้กับการเขียนบล็อก

    Lina Wöstmann ที่ปรึกษาด้านนโยบายสื่อและแพลตฟอร์มที่ Bitkom ระบุว่าการเลือกหัวข้อที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงความล้มเหลวของบล็อกใหม่ ควรใช้เครื่องมือค้นหาศึกษาคอนเทนต์ที่มีอยู่ และลองเขียนหัวข้อบทความคร่าวๆ เพื่อวัดว่าหัวข้อที่เลือกมีศักยภาพมากน้อยเพียงใด

    การเลือกแพลตฟอร์มสำหรับการเผยแพร่บล็อกก็สำคัญ คุณสามารถเลือกใช้แพลตฟอร์มที่ให้บริการฟรี เช่น Wordpress, Blogger, Tumblr หรือโฮสต์บล็อกด้วยตัวเอง แต่ต้องเตรียมตัวรับมือกับความยากลำบากทางเทคนิคและค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น

    การโปรโมตบล็อกโดยใช้โซเชียลมีเดียเป็นวิธีที่ดี เพื่อดึงดูดความสนใจมาที่เนื้อหาของคุณ Schniedermeier ยังระบุว่าการไม่ใช้โซเชียลมีเดียในการโปรโมตบล็อกเป็นการเสียโอกาส

    การมีบล็อกส่วนตัวนั้นไม่เพียงแต่ให้พื้นที่และเสรีภาพในการแชร์เนื้อหาของคุณเอง แต่ยังเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างเนื้อหาที่ยั่งยืนและเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้งอีกด้วย!

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/08/start-your-own-blog-for-more-space-and-freedom-to-share-your-material
    ข่าวนี้เกี่ยวกับการสร้างบล็อกส่วนตัวเพื่อให้มีพื้นที่และเสรีภาพในการแชร์เนื้อหาของคุณเอง ในยุคที่การใช้โซเชียลมีเดียกำลังเป็นที่นิยม หลายคนอาจสงสัยว่ายังมีความจำเป็นในการสร้างบล็อกส่วนตัวหรือไม่ Elisabeth Winkler ผู้เขียนบทความกล่าวว่า การมีบล็อกส่วนตัวให้เสรีภาพในการออกแบบและเนื้อหาโดยไม่ถูกจำกัดโดยแนวทางของแพลตฟอร์ม คุณสามารถเผยแพร่เนื้อหาที่มีความยาวได้มากขึ้น และรวบรวมความสนใจของคุณทั้งหมดในหน้าหนึ่ง Insa Schniedermeier ผู้ที่เขียนบล็อกเกี่ยวกับสุขภาพสตรี ระบุว่าการมีบล็อกส่วนตัวนั้นมีคุณค่ามาก เพราะให้เสรีภาพในการออกแบบและเนื้อหาโดยไม่มีข้อจำกัด นอกจากนี้ เธอยังแนะนำว่าหากต้องการเริ่มต้นบล็อก ควรถามตัวเองด้วยคำถามเกี่ยวกับแนวคิดก่อน เช่น เรื่องที่อยากเขียน กลุ่มเป้าหมาย บล็อกที่คล้ายกันที่มีอยู่แล้ว และเวลาที่สามารถทุ่มเทให้กับการเขียนบล็อก Lina Wöstmann ที่ปรึกษาด้านนโยบายสื่อและแพลตฟอร์มที่ Bitkom ระบุว่าการเลือกหัวข้อที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงความล้มเหลวของบล็อกใหม่ ควรใช้เครื่องมือค้นหาศึกษาคอนเทนต์ที่มีอยู่ และลองเขียนหัวข้อบทความคร่าวๆ เพื่อวัดว่าหัวข้อที่เลือกมีศักยภาพมากน้อยเพียงใด การเลือกแพลตฟอร์มสำหรับการเผยแพร่บล็อกก็สำคัญ คุณสามารถเลือกใช้แพลตฟอร์มที่ให้บริการฟรี เช่น Wordpress, Blogger, Tumblr หรือโฮสต์บล็อกด้วยตัวเอง แต่ต้องเตรียมตัวรับมือกับความยากลำบากทางเทคนิคและค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น การโปรโมตบล็อกโดยใช้โซเชียลมีเดียเป็นวิธีที่ดี เพื่อดึงดูดความสนใจมาที่เนื้อหาของคุณ Schniedermeier ยังระบุว่าการไม่ใช้โซเชียลมีเดียในการโปรโมตบล็อกเป็นการเสียโอกาส การมีบล็อกส่วนตัวนั้นไม่เพียงแต่ให้พื้นที่และเสรีภาพในการแชร์เนื้อหาของคุณเอง แต่ยังเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างเนื้อหาที่ยั่งยืนและเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้งอีกด้วย! https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/08/start-your-own-blog-for-more-space-and-freedom-to-share-your-material
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Start your own blog for more space and freedom to share your material
    Open the app, select a photo from your gallery, put a filter on it, write a funny caption, and post it. Or express something in 160 characters along with a couple of smart hashtags. It only takes a few taps to share pictures or thoughts on Instagram, X, and other social media platforms.
    0 Comments 0 Shares 134 Views 0 Reviews
  • 📌 แก่นของการปฏิบัติธรรม → ลดอัตตา ไม่ใช่เพิ่มอัตตา

    🌱 ทางโลก: "ดีกว่า" มักเพิ่มอัตตา → ก่อทุกข์

    คำว่า "ฉันเหนือกว่า" "ฉันรู้มากกว่า" "ฉันปฏิบัติดีกว่า"

    ทำให้จิตใจยึดมั่นถือมั่น → เปราะบาง หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย

    อัตตายิ่งโต → ความทุกข์ยิ่งมาก

    ความสุขที่ได้จากการเหนือกว่าคนอื่น → สุขที่ไม่ยั่งยืน


    🌿 ทางธรรม: "ดีกว่า" ควรเป็นการลดอัตตา → นำไปสู่ความสงบ

    คำว่า "ปฏิบัติเพื่อคลายตัวกู"

    ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งลดตัวตน → ใจเบา ใจสว่าง

    ไม่เทียบใคร ไม่อวดดี ไม่แข่งธรรม

    เป้าหมายสูงสุดของธรรมะ → พ้นจากอัตตา



    ---

    📌 3 ระดับของการปฏิบัติธรรม

    📍 ระดับที่ 1: ปฏิบัติธรรมเพื่อ "เอาบาป" (เพิ่มอัตตา)

    🔴 ลักษณะของการปฏิบัติที่ผิดทาง

    ใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือ อวดดี ดูถูกคนอื่น

    เชื่อว่าตัวเอง รู้มากกว่า ใจบริสุทธิ์กว่า ธรรมสูงส่งกว่า

    แข่งขันเปรียบเทียบ "ใครปฏิบัติได้ลึกกว่า ใครเข้าถึงก่อน"

    อัตตาหนาขึ้นเรื่อยๆ → หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย พูดจาหยาบคาย

    ทำบุญไป แต่จิตยังเต็มไปด้วยมานะ


    🚨 ผลลัพธ์:

    กลายเป็นคนที่เคร่งศาสนาแต่ใจแข็งกระด้าง

    ปฏิบัติแล้วใจ "ไม่เบา ไม่โปร่ง" → แปลว่าผิดทาง

    จิตฟุ้งซ่าน เพราะธรรมะกลายเป็นการแข่งขัน



    ---

    📍 ระดับที่ 2: ปฏิบัติธรรมเพื่อ "เอาบุญ" (ยึดติดปีติสุข)

    ⚪ ลักษณะของการปฏิบัติที่ก้าวหน้า แต่ยังติดสุข

    ทำบุญ รักษาศีล นั่งสมาธิ เพื่อให้ใจสงบ

    ติดสุขจากสมาธิ → หลงคิดว่าความสุขจากสมาธิคือเป้าหมาย

    ถ้าวันไหนสมาธิดี → ดีใจ

    ถ้าวันไหนสมาธิไม่ดี → หงุดหงิด


    🚨 ปัญหา:

    ยัง "ยึด" ปีติ สุข ความสงบ

    ยังไม่เห็นว่า ปีติสุขก็ไม่เที่ยง

    มีความสุขแต่ยัง "ติดสุข" → ไม่พร้อมปล่อย



    ---

    📍 ระดับที่ 3: ปฏิบัติธรรมเพื่อ "เหนือบุญเหนือบาป" (ล้างตัวตน)

    🟢 ลักษณะของการปฏิบัติที่ถูกต้อง

    เห็นทุกอย่างเป็น "อนิจจัง - ทุกขัง - อนัตตา"

    ไม่ยึดสุข ไม่ยึดทุกข์

    สมาธิได้ก็รู้ → สมาธิหายก็รู้

    สุขก็รู้ว่า เดี๋ยวหาย

    ทุกข์ก็รู้ว่า เดี๋ยวผ่านไป

    ไม่อวด ไม่แข่งขัน ไม่เปรียบเทียบ

    ใจใส ใจโล่ง เบา ไม่มีภาระ


    ✅ เป้าหมายของการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง
    → "ไม่เพิ่มอัตตา ไม่เพิ่มตัวกู"
    → "ไม่มีอะไรให้แข่ง ไม่มีอะไรให้ยึด"
    → "ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ"


    ---

    📌 วิธีปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง

    1️⃣ หมั่นสังเกตจิต → ถามตัวเองเสมอ

    ตอนนี้ใจเบาหรือหนัก?

    กำลังเปรียบเทียบตัวเองกับใครไหม?

    มีความพองตัว หยิ่งทะนงไหม?


    2️⃣ ฝึกเห็น "อนิจจัง" ในทุกอย่าง

    สมาธิได้ → ไม่ยึด

    สมาธิหาย → ไม่หงุดหงิด

    สุขได้ → ไม่หลง

    ทุกข์มา → ไม่ต้าน


    3️⃣ ลดเปรียบเทียบ → ไม่ต้องไปแข่งกับใคร

    อย่ามองว่าตัวเองดีกว่าใคร

    อย่ามองว่าตัวเองเข้าใจมากกว่าใคร

    อย่ามองว่าตัวเองมีธรรมสูงกว่าใคร


    4️⃣ ปฏิบัติธรรมแบบเงียบๆ → ไม่ต้องอวด ไม่ต้องโชว์

    ไม่ต้องโพสต์ว่า "ฉันปฏิบัติดี"

    ไม่ต้องบอกใครว่า "ฉันเข้าถึงธรรม"

    ธรรมะไม่ใช่เรื่องโอ้อวด แต่เป็นเรื่องของการละวาง



    ---

    📌 สรุป → ปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง

    💡 อย่าปฏิบัติธรรมเพื่อสร้าง “ตัวกู” ที่สูงส่งขึ้นมาใหม่
    💡 ปฏิบัติธรรมเพื่อให้ “ตัวกู” ค่อยๆจางหายไป
    💡 ปฏิบัติธรรมแล้วใจควรเบา ไม่ใช่แข็งกระด้าง
    💡 อย่าปฏิบัติเพื่อเปรียบเทียบ แต่ให้ปฏิบัติเพื่อลดอัตตา

    👉 ถ้าปฏิบัติแล้วอัตตาลดลง → ถูกทาง
    👉 ถ้าปฏิบัติแล้วอัตตาเพิ่มขึ้น → กลับไปเริ่มใหม่!

    📌 แก่นของการปฏิบัติธรรม → ลดอัตตา ไม่ใช่เพิ่มอัตตา 🌱 ทางโลก: "ดีกว่า" มักเพิ่มอัตตา → ก่อทุกข์ คำว่า "ฉันเหนือกว่า" "ฉันรู้มากกว่า" "ฉันปฏิบัติดีกว่า" ทำให้จิตใจยึดมั่นถือมั่น → เปราะบาง หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย อัตตายิ่งโต → ความทุกข์ยิ่งมาก ความสุขที่ได้จากการเหนือกว่าคนอื่น → สุขที่ไม่ยั่งยืน 🌿 ทางธรรม: "ดีกว่า" ควรเป็นการลดอัตตา → นำไปสู่ความสงบ คำว่า "ปฏิบัติเพื่อคลายตัวกู" ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งลดตัวตน → ใจเบา ใจสว่าง ไม่เทียบใคร ไม่อวดดี ไม่แข่งธรรม เป้าหมายสูงสุดของธรรมะ → พ้นจากอัตตา --- 📌 3 ระดับของการปฏิบัติธรรม 📍 ระดับที่ 1: ปฏิบัติธรรมเพื่อ "เอาบาป" (เพิ่มอัตตา) 🔴 ลักษณะของการปฏิบัติที่ผิดทาง ใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือ อวดดี ดูถูกคนอื่น เชื่อว่าตัวเอง รู้มากกว่า ใจบริสุทธิ์กว่า ธรรมสูงส่งกว่า แข่งขันเปรียบเทียบ "ใครปฏิบัติได้ลึกกว่า ใครเข้าถึงก่อน" อัตตาหนาขึ้นเรื่อยๆ → หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย พูดจาหยาบคาย ทำบุญไป แต่จิตยังเต็มไปด้วยมานะ 🚨 ผลลัพธ์: กลายเป็นคนที่เคร่งศาสนาแต่ใจแข็งกระด้าง ปฏิบัติแล้วใจ "ไม่เบา ไม่โปร่ง" → แปลว่าผิดทาง จิตฟุ้งซ่าน เพราะธรรมะกลายเป็นการแข่งขัน --- 📍 ระดับที่ 2: ปฏิบัติธรรมเพื่อ "เอาบุญ" (ยึดติดปีติสุข) ⚪ ลักษณะของการปฏิบัติที่ก้าวหน้า แต่ยังติดสุข ทำบุญ รักษาศีล นั่งสมาธิ เพื่อให้ใจสงบ ติดสุขจากสมาธิ → หลงคิดว่าความสุขจากสมาธิคือเป้าหมาย ถ้าวันไหนสมาธิดี → ดีใจ ถ้าวันไหนสมาธิไม่ดี → หงุดหงิด 🚨 ปัญหา: ยัง "ยึด" ปีติ สุข ความสงบ ยังไม่เห็นว่า ปีติสุขก็ไม่เที่ยง มีความสุขแต่ยัง "ติดสุข" → ไม่พร้อมปล่อย --- 📍 ระดับที่ 3: ปฏิบัติธรรมเพื่อ "เหนือบุญเหนือบาป" (ล้างตัวตน) 🟢 ลักษณะของการปฏิบัติที่ถูกต้อง เห็นทุกอย่างเป็น "อนิจจัง - ทุกขัง - อนัตตา" ไม่ยึดสุข ไม่ยึดทุกข์ สมาธิได้ก็รู้ → สมาธิหายก็รู้ สุขก็รู้ว่า เดี๋ยวหาย ทุกข์ก็รู้ว่า เดี๋ยวผ่านไป ไม่อวด ไม่แข่งขัน ไม่เปรียบเทียบ ใจใส ใจโล่ง เบา ไม่มีภาระ ✅ เป้าหมายของการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง → "ไม่เพิ่มอัตตา ไม่เพิ่มตัวกู" → "ไม่มีอะไรให้แข่ง ไม่มีอะไรให้ยึด" → "ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ" --- 📌 วิธีปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง 1️⃣ หมั่นสังเกตจิต → ถามตัวเองเสมอ ตอนนี้ใจเบาหรือหนัก? กำลังเปรียบเทียบตัวเองกับใครไหม? มีความพองตัว หยิ่งทะนงไหม? 2️⃣ ฝึกเห็น "อนิจจัง" ในทุกอย่าง สมาธิได้ → ไม่ยึด สมาธิหาย → ไม่หงุดหงิด สุขได้ → ไม่หลง ทุกข์มา → ไม่ต้าน 3️⃣ ลดเปรียบเทียบ → ไม่ต้องไปแข่งกับใคร อย่ามองว่าตัวเองดีกว่าใคร อย่ามองว่าตัวเองเข้าใจมากกว่าใคร อย่ามองว่าตัวเองมีธรรมสูงกว่าใคร 4️⃣ ปฏิบัติธรรมแบบเงียบๆ → ไม่ต้องอวด ไม่ต้องโชว์ ไม่ต้องโพสต์ว่า "ฉันปฏิบัติดี" ไม่ต้องบอกใครว่า "ฉันเข้าถึงธรรม" ธรรมะไม่ใช่เรื่องโอ้อวด แต่เป็นเรื่องของการละวาง --- 📌 สรุป → ปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง 💡 อย่าปฏิบัติธรรมเพื่อสร้าง “ตัวกู” ที่สูงส่งขึ้นมาใหม่ 💡 ปฏิบัติธรรมเพื่อให้ “ตัวกู” ค่อยๆจางหายไป 💡 ปฏิบัติธรรมแล้วใจควรเบา ไม่ใช่แข็งกระด้าง 💡 อย่าปฏิบัติเพื่อเปรียบเทียบ แต่ให้ปฏิบัติเพื่อลดอัตตา 👉 ถ้าปฏิบัติแล้วอัตตาลดลง → ถูกทาง 👉 ถ้าปฏิบัติแล้วอัตตาเพิ่มขึ้น → กลับไปเริ่มใหม่!
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
  • นักวิจัยได้พัฒนายางมะตอยที่สามารถซ่อมแซมรอยแตกและป้องกันการเกิดหลุมบ่อได้ด้วยตัวเอง ผลิตภัณฑ์นี้มีแรงบันดาลใจจากความสามารถในการฟื้นฟูของต้นไม้และสัตว์บางชนิด การวิจัยครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาหลุมบ่อในสหราชอาณาจักรที่ต้องการการซ่อมแซมมูลค่าหลายล้านปอนด์ในแต่ละปี

    รอยแตกในยางมะตอยมักเกิดจากการแข็งตัวของบิทูเมนเนื่องจากออกซิเดชัน ทางนักวิทยาศาสตร์จาก King's College London และ Swansea University ได้ร่วมมือกับนักวิจัยในประเทศชิลีเพื่อหาวิธีการย้อนกระบวนการนี้

    ยางมะตอยซ่อมแซมตนเองนี้ได้ถูกพัฒนาโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ โดยนำความสามารถของ Google Cloud AI มาใช้ในการพัฒนาวัสดุศาสตร์และเทคนิคการจำลองที่ทันสมัย ในห้องปฏิบัติการพบว่าวัสดุยางมะตอยใหม่นี้สามารถซ่อมแซมรอยแตกขนาดเล็กในเวลาน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมง โดยผสมสปอร์พืชขนาดเล็กที่บรรจุน้ำมันรีไซเคิล ซึ่งจะปล่อยน้ำมันออกมาเมื่อยางมะตอยแตก ทำให้บิทูเมนสามารถไหลกลับมารวมกันได้

    นักวิจัยยังได้ใช้แมชชีนเลิร์นนิงในการวิเคราะห์โมเลกุลอินทรีย์ในบิทูเมนเพื่อเข้าใจโครงสร้างและพฤติกรรมของวัสดุยางมะตอย รวมถึงค้นหาคุณสมบัติทางเคมีที่ช่วยในการซ่อมแซมตนเอง

    ผลิตภัณฑ์นี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา แต่มีศักยภาพในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและส่งเสริมความยั่งยืนทั่วโลก

    https://www.techspot.com/news/106684-researchers-develop-self-healing-asphalt-repairs-cracks-stops.html
    นักวิจัยได้พัฒนายางมะตอยที่สามารถซ่อมแซมรอยแตกและป้องกันการเกิดหลุมบ่อได้ด้วยตัวเอง ผลิตภัณฑ์นี้มีแรงบันดาลใจจากความสามารถในการฟื้นฟูของต้นไม้และสัตว์บางชนิด การวิจัยครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาหลุมบ่อในสหราชอาณาจักรที่ต้องการการซ่อมแซมมูลค่าหลายล้านปอนด์ในแต่ละปี รอยแตกในยางมะตอยมักเกิดจากการแข็งตัวของบิทูเมนเนื่องจากออกซิเดชัน ทางนักวิทยาศาสตร์จาก King's College London และ Swansea University ได้ร่วมมือกับนักวิจัยในประเทศชิลีเพื่อหาวิธีการย้อนกระบวนการนี้ ยางมะตอยซ่อมแซมตนเองนี้ได้ถูกพัฒนาโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ โดยนำความสามารถของ Google Cloud AI มาใช้ในการพัฒนาวัสดุศาสตร์และเทคนิคการจำลองที่ทันสมัย ในห้องปฏิบัติการพบว่าวัสดุยางมะตอยใหม่นี้สามารถซ่อมแซมรอยแตกขนาดเล็กในเวลาน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมง โดยผสมสปอร์พืชขนาดเล็กที่บรรจุน้ำมันรีไซเคิล ซึ่งจะปล่อยน้ำมันออกมาเมื่อยางมะตอยแตก ทำให้บิทูเมนสามารถไหลกลับมารวมกันได้ นักวิจัยยังได้ใช้แมชชีนเลิร์นนิงในการวิเคราะห์โมเลกุลอินทรีย์ในบิทูเมนเพื่อเข้าใจโครงสร้างและพฤติกรรมของวัสดุยางมะตอย รวมถึงค้นหาคุณสมบัติทางเคมีที่ช่วยในการซ่อมแซมตนเอง ผลิตภัณฑ์นี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา แต่มีศักยภาพในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและส่งเสริมความยั่งยืนทั่วโลก https://www.techspot.com/news/106684-researchers-develop-self-healing-asphalt-repairs-cracks-stops.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Researchers develop self-healing asphalt that repairs cracks, stops potholes from forming
    The exact mechanisms of crack formation in asphalt are not fully understood, but they often originate from the hardening of bitumen due to oxidation. To tackle this...
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • 7. **ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม**
    - **การลงทุนที่ยั่งยืน**: การลงทุนใน ESG (Environmental, Social, Governance) กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น
    - **การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ**: ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลต่อเศรษฐกิจและการเงินโลก
    7. **ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม** - **การลงทุนที่ยั่งยืน**: การลงทุนใน ESG (Environmental, Social, Governance) กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น - **การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ**: ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลต่อเศรษฐกิจและการเงินโลก
    0 Comments 0 Shares 49 Views 0 Reviews
  • ใครบ้างที่จะได้รับประโยชน์จาก "ถอดรหัส 10X ลบล้ม เร่งรุ่ง (Fail Fast Succeed More)"

    หนังสือ "ถอดรหัส 10X ลบล้ม เร่งรุ่ง (Fail Fast Succeed More)" ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้นำในองค์กร แต่ยังเหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการพัฒนาตนเอง และก้าวไปสู่ความสำเร็จ

    ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้ 6 กลุ่ม
    •กลุ่มที่ 1 ผู้นำทีม
    หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ผู้นำทีม มีแนวทางการพัฒนาตนเอง และสามารถ "สร้าง" และ "พัฒนา" ทีมให้แข็งแกร่ง มีประสิทธิภาพ และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
    •กลุ่มที่ 2 ผู้จัดการ
    เรียนรู้แนวทางการพัฒนาตนเอง และมีวิธีการ "จัดการ" และ "พัฒนา" ทีมอย่างเป็นระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และบรรลุเป้าหมายขององค์กร
    •กลุ่มที่ 3 ผู้บริหาร
    เข้าใจความสำคัญ และรู้วิธีการใน "ภาพรวม" ของการบริหารจัดการองค์กร และนำ องค์กร สู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน และมีกลยุทธ์การพัฒนาตัวเองให้เป็นแบบอย่างที่ดีของคนทั้งในระดับทีม หน่วยงาน และองค์กร
    •กลุ่มที่ 4 เจ้าของธุรกิจ
    ค้นพบ "แนวทาง" การพัฒนาตัวเอง และธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืน พร้อม รับมือกับการแข่งขันในโลกธุรกิจยุคใหม่
    •กลุ่มที่ 5 ผู้ก่อตั้ง
    สร้าง "รากฐาน" ที่แข็งแกร่งให้กับองค์กรตั้งแต่เริ่มต้น และนำพา องค์กรสู่ความสำเร็จใน ระยะยาว
    •กลุ่มที่ 6 บุคคลทั่วไปที่ต้องการพัฒนาตนเอง
    แม้ ไม่ใช่แค่ผู้นำ หรือเจ้าของกิจการ แต่หนังสือเล่มนี้ก็ยังมีประโยชน์สำหรับบุคคลทั่วไปที่ ต้องการพัฒนาตนเองเพื่อเพิ่มศักยภาพ และก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และชีวิตส่วนตัว เนื้อหาในส่วนของการพัฒนาตนเอง การทำงานเป็นทีม และการบริหาร จัดการ สามารถ นำไปปรับใช้ ได้กับทุกคนไม่ว่าจะอยู่ ในสายงานใดก็ตาม

    "ถอดรหัส 10X ลบล้ม เร่งรุ่ง (Fail Fast Succeed More)" เป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับ ทุกคนที่ต้องการพัฒนาตนเอง ทีมงาน หน่วยงานและองค์กร ให้ เติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่ระดับบุคคล ไปจนถึงระดับองค์กร ช่วยให้คุณสามารถนำ ไป ประยุกต์ใช้ ได้จริงในทุกสถานการณ์

    ติดตามสาระดีๆ อีกมากมายได้ที่ https://10-xconsulting.com/feeds/
    ใครบ้างที่จะได้รับประโยชน์จาก "ถอดรหัส 10X ลบล้ม เร่งรุ่ง (Fail Fast Succeed More)" หนังสือ "ถอดรหัส 10X ลบล้ม เร่งรุ่ง (Fail Fast Succeed More)" ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้นำในองค์กร แต่ยังเหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการพัฒนาตนเอง และก้าวไปสู่ความสำเร็จ ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้ 6 กลุ่ม •กลุ่มที่ 1 ผู้นำทีม หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ผู้นำทีม มีแนวทางการพัฒนาตนเอง และสามารถ "สร้าง" และ "พัฒนา" ทีมให้แข็งแกร่ง มีประสิทธิภาพ และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ •กลุ่มที่ 2 ผู้จัดการ เรียนรู้แนวทางการพัฒนาตนเอง และมีวิธีการ "จัดการ" และ "พัฒนา" ทีมอย่างเป็นระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และบรรลุเป้าหมายขององค์กร •กลุ่มที่ 3 ผู้บริหาร เข้าใจความสำคัญ และรู้วิธีการใน "ภาพรวม" ของการบริหารจัดการองค์กร และนำ องค์กร สู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน และมีกลยุทธ์การพัฒนาตัวเองให้เป็นแบบอย่างที่ดีของคนทั้งในระดับทีม หน่วยงาน และองค์กร •กลุ่มที่ 4 เจ้าของธุรกิจ ค้นพบ "แนวทาง" การพัฒนาตัวเอง และธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืน พร้อม รับมือกับการแข่งขันในโลกธุรกิจยุคใหม่ •กลุ่มที่ 5 ผู้ก่อตั้ง สร้าง "รากฐาน" ที่แข็งแกร่งให้กับองค์กรตั้งแต่เริ่มต้น และนำพา องค์กรสู่ความสำเร็จใน ระยะยาว •กลุ่มที่ 6 บุคคลทั่วไปที่ต้องการพัฒนาตนเอง แม้ ไม่ใช่แค่ผู้นำ หรือเจ้าของกิจการ แต่หนังสือเล่มนี้ก็ยังมีประโยชน์สำหรับบุคคลทั่วไปที่ ต้องการพัฒนาตนเองเพื่อเพิ่มศักยภาพ และก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และชีวิตส่วนตัว เนื้อหาในส่วนของการพัฒนาตนเอง การทำงานเป็นทีม และการบริหาร จัดการ สามารถ นำไปปรับใช้ ได้กับทุกคนไม่ว่าจะอยู่ ในสายงานใดก็ตาม "ถอดรหัส 10X ลบล้ม เร่งรุ่ง (Fail Fast Succeed More)" เป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับ ทุกคนที่ต้องการพัฒนาตนเอง ทีมงาน หน่วยงานและองค์กร ให้ เติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่ระดับบุคคล ไปจนถึงระดับองค์กร ช่วยให้คุณสามารถนำ ไป ประยุกต์ใช้ ได้จริงในทุกสถานการณ์ ติดตามสาระดีๆ อีกมากมายได้ที่ https://10-xconsulting.com/feeds/
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
  • มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ กล่าวสนับสนุนแนวทางของทรัมป์ในกาซา

    "กาซาต้องเป็นอิสระจากกลุ่มฮามาส ดังที่ทรัมป์ประกาศในวันนี้ สหรัฐฯ พร้อมที่จะเป็นผู้นำและทำให้กาซาสวยงามอีกครั้ง เป้าหมายของเราคือการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาคนี้เพื่อประชาชนทุกคน"
    มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ กล่าวสนับสนุนแนวทางของทรัมป์ในกาซา "กาซาต้องเป็นอิสระจากกลุ่มฮามาส ดังที่ทรัมป์ประกาศในวันนี้ สหรัฐฯ พร้อมที่จะเป็นผู้นำและทำให้กาซาสวยงามอีกครั้ง เป้าหมายของเราคือการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาคนี้เพื่อประชาชนทุกคน"
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • Red Hat บริษัทที่มีประสบการณ์ยาวนานในด้านโอเพ่นซอร์ส มุ่งมั่นที่จะทำให้ AI สามารถใช้งานได้จริงในระดับองค์กร แทนที่จะมุ่งหวังที่จะพัฒนา AI ที่มีความสามารถเชิงทั่วไป (AGI) ที่ยังคงเป็นเพียงแค่ฝัน

    Richard Fontana ที่ปรึกษาอาวุโสของ Red Hat กล่าวในงานสัมมนาที่ Linux Foundation ว่า "การเปิดเผยข้อมูลการฝึกฝนทั้งหมดนั้นมีความเสี่ยงที่อาจจะทำให้ผู้พัฒนาโมเดลตกเป็นเป้าหมายในสภาพแวดล้อมที่มีการฟ้องร้องกันมากมายในปัจจุบัน" และยังเสริมอีกว่า "เราควรมุ่งเน้นไปที่การกำหนดนิยามการโอเพ่นซอร์สที่ชัดเจนและสามารถปฏิบัติได้จริงแทนที่จะเป็นอุดมคติที่ไม่สามารถนำไปใช้ได้จริง"

    Chris Wright กล่าวสรุปว่า "อนาคตของ AI ควรจะเป็นแบบโอเพ่นซอร์ส แต่เป็นการเดินทางที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม เรากำลังเผชิญหน้ากับความโปร่งใส ความยั่งยืน และความเชื่อมั่นผ่านโครงการโอเพ่นซอร์สทีละขั้นตอน"

    การทำงานของ Red Hat ในการพัฒนา AI ที่เปิดเผยและโปร่งใสนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พวกเขาเชื่อว่าแนวทางนี้จะช่วยให้ AI สามารถนำประโยชน์มาสู่ทุกคนและหลีกเลี่ยงปัญหาการผูกขาดในอนาคต

    https://www.zdnet.com/article/red-hats-take-on-open-source-ai-pragmatism-over-utopian-dreams/
    Red Hat บริษัทที่มีประสบการณ์ยาวนานในด้านโอเพ่นซอร์ส มุ่งมั่นที่จะทำให้ AI สามารถใช้งานได้จริงในระดับองค์กร แทนที่จะมุ่งหวังที่จะพัฒนา AI ที่มีความสามารถเชิงทั่วไป (AGI) ที่ยังคงเป็นเพียงแค่ฝัน Richard Fontana ที่ปรึกษาอาวุโสของ Red Hat กล่าวในงานสัมมนาที่ Linux Foundation ว่า "การเปิดเผยข้อมูลการฝึกฝนทั้งหมดนั้นมีความเสี่ยงที่อาจจะทำให้ผู้พัฒนาโมเดลตกเป็นเป้าหมายในสภาพแวดล้อมที่มีการฟ้องร้องกันมากมายในปัจจุบัน" และยังเสริมอีกว่า "เราควรมุ่งเน้นไปที่การกำหนดนิยามการโอเพ่นซอร์สที่ชัดเจนและสามารถปฏิบัติได้จริงแทนที่จะเป็นอุดมคติที่ไม่สามารถนำไปใช้ได้จริง" Chris Wright กล่าวสรุปว่า "อนาคตของ AI ควรจะเป็นแบบโอเพ่นซอร์ส แต่เป็นการเดินทางที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม เรากำลังเผชิญหน้ากับความโปร่งใส ความยั่งยืน และความเชื่อมั่นผ่านโครงการโอเพ่นซอร์สทีละขั้นตอน" การทำงานของ Red Hat ในการพัฒนา AI ที่เปิดเผยและโปร่งใสนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พวกเขาเชื่อว่าแนวทางนี้จะช่วยให้ AI สามารถนำประโยชน์มาสู่ทุกคนและหลีกเลี่ยงปัญหาการผูกขาดในอนาคต https://www.zdnet.com/article/red-hats-take-on-open-source-ai-pragmatism-over-utopian-dreams/
    WWW.ZDNET.COM
    Red Hat's take on open-source AI: Pragmatism over utopian dreams
    The Linux giant envisions AI development that mirrors open-source software's collaborative ethos. That won't be easy.
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล จะเริ่มต้นเจรจาขั้นที่ 2 ของข้อตกลงหยุดยิงในกาซา ระหว่างเดินทางเยือนวอชิงตันในวันจันทร์ (3 ก.พ.) จากการเปิดเผยของทำเนียบนายกรัฐมนตรียิว
    .
    ทำเนียบนายกรัฐมนตรีอิสราเอลของเนทันยาฮู เผยแพร่ถ้อยแถลงในวันเสาร์ (1 ก.พ.) ระบุว่านายกรัฐมนตรี "ได้พูดคุยกับ สตีฟ วิตคอฟฟ์ ทูตพิเศษตะวันด้านตะวันออกกลางของประธานาธิบดีสหรัฐฯ และทั้ง 2 เห็นพ้องกันว่าการเจรจาขั้นที่ 2 ของข้อตกลงตัวประกันจะเริ่มขึ้นตอนที่พวกเขาพบปะกันในวอชิงตัน ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้"
    .
    "จากนั้นในช่วงกลางสัปดาห์ วิตคอฟฟ์จะพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีกาตาร์ และตัวแทนระดับสูงของอียิปต์ หลังจากนั้น เขาะหารือกับนายกรัฐมนตีรี เกี่ยวกับก้าวย่างเพื่อสานต่อความคืบหน้าของการเจรจา ในนั้นรวมถึงกำหนดวันเวลาที่พวกคณะผู้แทนเจรจาจะออกเดินทางเพื่อไปเจรจา" ถ้อยแถลงระบุ
    .
    ข้อตกลงหยุดยิงในกาซามีผลบังคับใช้ในวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา พักการทำศึกสงครามในดินแดนของปาเลสไตน์ที่ลากยาวมานานกว่า 15 เดือน หลังจากที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ พวกคนกลางอย่างอียิปต์ กาตาร์ และสหรัฐฯ ใช้ความพยายามเจรจามานานกว่า 1 ปี แต่ไร้ผล
    .
    ภายใต้ข้อตกลงขั้นแรกที่มีอายุ 6 สัปดาห์ จะมีการปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอลที่พวกฮามาสจับกุมตัวไประหว่างปฏิบัติการโจมตีเมื่อเดือนตุลาคม 2023 ออกจากกาซา จำนวน 33 คน แลกกับนักโทษปาเลสไตน์ราว 1,900 คน
    .
    จนถึงตอนนี้มีการแลกเปลี่ยนตัวประกันกับนักโทษไปแล้ว 4 รอบ ซึ่งพบเห็นตัวประกันอิสราเอล 13 คน ได้รับการปล่อยตัวแลกกับผู้ต้องขังชาวปาเลสไตน์หลายร้อยคน จำนวนมากเป็นผู้หญิงและเด็ก นอกจากนี้ ตัวประกันชาวไทย 5 คนก็ได้รับการปล่อยตัวเช่นกัน
    .
    ส่วนขั้นที่ 2 ของข้อตกลงหยุดยิง คาดหมายว่าจะครอบคลุมการปล่อยพวกผู้ถูกควบคุมตัวคนอื่นๆ ที่เหลือ และอาจรวมถึงการพูดคุยหารือเกี่ยวกับการหยุดยิงที่ยั่งยืนกว่าเดิม
    .
    ทำเนียบของเนทันยาฮู เผยว่าในวันจันทร์ (3 ก.พ.) นายกรัฐมนตรีจะหารือเกี่ยวกับ "จุดยืนต่างๆ ของอิสราเอล" กับ วิตคอฟฟ์ เสียก่อน จากนั้นคาดหมายว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ผู้อ้างเครดิตสำหรับข้อตกลงหยุดยิง จะเป็นเจ้าภาพต้อนรับ เนทันยาฮู ในวันอังคาร (4 ก.พ.)
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010547
    ..................
    Sondhi X
    เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล จะเริ่มต้นเจรจาขั้นที่ 2 ของข้อตกลงหยุดยิงในกาซา ระหว่างเดินทางเยือนวอชิงตันในวันจันทร์ (3 ก.พ.) จากการเปิดเผยของทำเนียบนายกรัฐมนตรียิว . ทำเนียบนายกรัฐมนตรีอิสราเอลของเนทันยาฮู เผยแพร่ถ้อยแถลงในวันเสาร์ (1 ก.พ.) ระบุว่านายกรัฐมนตรี "ได้พูดคุยกับ สตีฟ วิตคอฟฟ์ ทูตพิเศษตะวันด้านตะวันออกกลางของประธานาธิบดีสหรัฐฯ และทั้ง 2 เห็นพ้องกันว่าการเจรจาขั้นที่ 2 ของข้อตกลงตัวประกันจะเริ่มขึ้นตอนที่พวกเขาพบปะกันในวอชิงตัน ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้" . "จากนั้นในช่วงกลางสัปดาห์ วิตคอฟฟ์จะพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีกาตาร์ และตัวแทนระดับสูงของอียิปต์ หลังจากนั้น เขาะหารือกับนายกรัฐมนตีรี เกี่ยวกับก้าวย่างเพื่อสานต่อความคืบหน้าของการเจรจา ในนั้นรวมถึงกำหนดวันเวลาที่พวกคณะผู้แทนเจรจาจะออกเดินทางเพื่อไปเจรจา" ถ้อยแถลงระบุ . ข้อตกลงหยุดยิงในกาซามีผลบังคับใช้ในวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา พักการทำศึกสงครามในดินแดนของปาเลสไตน์ที่ลากยาวมานานกว่า 15 เดือน หลังจากที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ พวกคนกลางอย่างอียิปต์ กาตาร์ และสหรัฐฯ ใช้ความพยายามเจรจามานานกว่า 1 ปี แต่ไร้ผล . ภายใต้ข้อตกลงขั้นแรกที่มีอายุ 6 สัปดาห์ จะมีการปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอลที่พวกฮามาสจับกุมตัวไประหว่างปฏิบัติการโจมตีเมื่อเดือนตุลาคม 2023 ออกจากกาซา จำนวน 33 คน แลกกับนักโทษปาเลสไตน์ราว 1,900 คน . จนถึงตอนนี้มีการแลกเปลี่ยนตัวประกันกับนักโทษไปแล้ว 4 รอบ ซึ่งพบเห็นตัวประกันอิสราเอล 13 คน ได้รับการปล่อยตัวแลกกับผู้ต้องขังชาวปาเลสไตน์หลายร้อยคน จำนวนมากเป็นผู้หญิงและเด็ก นอกจากนี้ ตัวประกันชาวไทย 5 คนก็ได้รับการปล่อยตัวเช่นกัน . ส่วนขั้นที่ 2 ของข้อตกลงหยุดยิง คาดหมายว่าจะครอบคลุมการปล่อยพวกผู้ถูกควบคุมตัวคนอื่นๆ ที่เหลือ และอาจรวมถึงการพูดคุยหารือเกี่ยวกับการหยุดยิงที่ยั่งยืนกว่าเดิม . ทำเนียบของเนทันยาฮู เผยว่าในวันจันทร์ (3 ก.พ.) นายกรัฐมนตรีจะหารือเกี่ยวกับ "จุดยืนต่างๆ ของอิสราเอล" กับ วิตคอฟฟ์ เสียก่อน จากนั้นคาดหมายว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ผู้อ้างเครดิตสำหรับข้อตกลงหยุดยิง จะเป็นเจ้าภาพต้อนรับ เนทันยาฮู ในวันอังคาร (4 ก.พ.) . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010547 .................. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    16
    0 Comments 0 Shares 1393 Views 0 Reviews
  • กลับมาแสบคออีกครั้งภายใน 4 วัน
    .
    (นับจาก วันที่ทำฝนหลวง 26 มกราคม)
    .
    ชัดเจนว่า ฝนหลวง สามารถ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ แต่ไม่ถึง 5 วัน ฝุ่นพิษ ก็กลับมา...
    .
    เซี่ยงไฮ้ ใช้เวลา 3 ปี ทำให้วิกฤต ฝุ่นพิษ PM 2.5 หายไป อย่างยั่งยืน...
    .
    ถึงเวลาหรือยังที่ ประเทศไทย จะเริ่มคิดถึงนโยบายระยะยาวได้แล้ว...
    .
    เอา เซี่ยงไฮ้ โมเดล มาปรับใช้ ได้มั้ย...???
    .
    รัฐบาล ไปเจรจา กับเพื่อนบ้าน เพราะปัญหาฝุ่น PM 2.5 คงไม่ใช่ปัญหาแค่ในประเทศ...
    .
    ทั้งขู่ทั้งปลอบ อย่างมีชั้นเชิง เป้าหมายอยู่ไม่ไกลหรอกครับ...
    .
    เว้นแต่...
    .
    คนจะไร้น้ำยา...!!!
    กลับมาแสบคออีกครั้งภายใน 4 วัน . (นับจาก วันที่ทำฝนหลวง 26 มกราคม) . ชัดเจนว่า ฝนหลวง สามารถ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ แต่ไม่ถึง 5 วัน ฝุ่นพิษ ก็กลับมา... . เซี่ยงไฮ้ ใช้เวลา 3 ปี ทำให้วิกฤต ฝุ่นพิษ PM 2.5 หายไป อย่างยั่งยืน... . ถึงเวลาหรือยังที่ ประเทศไทย จะเริ่มคิดถึงนโยบายระยะยาวได้แล้ว... . เอา เซี่ยงไฮ้ โมเดล มาปรับใช้ ได้มั้ย...??? . รัฐบาล ไปเจรจา กับเพื่อนบ้าน เพราะปัญหาฝุ่น PM 2.5 คงไม่ใช่ปัญหาแค่ในประเทศ... . ทั้งขู่ทั้งปลอบ อย่างมีชั้นเชิง เป้าหมายอยู่ไม่ไกลหรอกครับ... . เว้นแต่... . คนจะไร้น้ำยา...!!!
    Sad
    1
    0 Comments 0 Shares 181 Views 0 Reviews
  • Part 1 : The Beats and William S. Burroughs

    บีทเจนเนอเรชั่น คือ กลุ่มคนหนุ่ม-สาว ในยุคต้น 1960s ที่เกี่ยวข้องแวะกันด้วยอิทธิพลทางความคิดต้านกระแสสังคม พวกเขายืนอยู่บนเส้นแบ่งของแนวคิดแบบองค์รวมของสังคมอเมริกันอุดมคติแบบ แฟร้งคลิน ดีลาโน่ รูทส์เวลท์ และ สังคมที่นิยมความเป็นปัจเจกบุคคลแบบสุดโต่งในช่วงเวลานั้น ตัวตนขวกเขาถูกแสดงผ่านผลงานการเขียน หลากหลายรูปแบบ เซ็กซ์ ดนตรี และ ศิลปะ พวกเขาเชื่อกันเองว่าในกลุ่มพวกเขามีอยู่เพียงหลักร้อยคน ซึ่งอันที่จริง จำนวนที่แท้จริงของกลุ่ม บีทส์ นั้นไม่ปรากฏเป็นตัวเลขที่ชัดเจนนัก



    นอแมน เมลเลอร์ ผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน ความมีตัวตนของ บีทส์ กล่าวไว้อย่างสวยงามมากว่า บีทส์นั้นคือผู้กล้าหาญที่จะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง ในยุคที่ทุกกระแสสังคมถูกจับจ้องโดยรัฐบาลสหรัฐ พวกเขาคือคนที่อยู่นอกกฏระเบียบของสังคม งานเขียนของพวกเขาสะท้อนสิ่งที่ประชาชนยุคนั้นมองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็น ซึ่งครอบคลุมเรื่องการเมือง วัฒนธรรม และ การแสวงหาทางจิตวิญญาณ โดยที่พวกเขานั้นไม่อิงแอบกับตรรกะภายนอก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องทุนนิยมเรื่องสังคมนิยม แต่เป็นการค้นพบสิ่งใหม่ด้วยตัวเอง ผลงานของพวกเขาจึงเป็นดั่งการเบิกทางให้กับผู้ที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆในยุคต่อๆมา



    แจ็ค คูโรแวค

    แอลลัน กินเบิร์ค

    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์



    สามศาสดาแถวหน้า บีทเจนเนอเรชั่น



    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ “อัจฉริยะ รุนแรง บ้าคลั่ง”

    .

    .

    วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ อายุมากกว่าเพื่อนอีกสองคน และ ผลงานของเขาประสบความสำเร็จช้ากว่าอีกสองคนมาก แต่เป็นการประสบความสำเร็จที่ยาวนานและยั่งยืนที่สุด บิล เกิดในปี ค.ศ. 1914 ในเซนหลุยส์ มิสซูรี่ ปู่ของเขาร่ำรวยจากกว่าเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องบวกเลขเครื่องแรกของโลก แม้ครอบครัวของบิลจะไม่รวยเท่ากับรุ่นปู่แต่บอกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีมากๆครอบครัวหนึ่งในเวลานั้น เมื่ออายุได้ 15 ปี ตามกระแสในยุคนั้น ครอบครัวส่งบิลได้เรียนในโรงเรียน “บ้านไร่” โรงเรียนประจำที่อยู่ในรัฐตะวันตกอเมริกา ซึ่งเขาถูกส่งไปอยู่ถึงรัฐนิวแม็กซิโก - โรงเรียนประจำลอสอลาโมสแรนช์สกูล เนื่องจากบิลเป็นคนที่เกลียดกิจกรรมภายนอกห้องเรียนอยู่เป็นทุนเดิน เขาแทบจะเข้ากับที่นั่นไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่กีฬาชนิดหนึ่งของโรงเรียนที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษนั่นก็คือ กีฬายิงปืนนั่นเอง

    .

    ที่นั่นบิลได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสารเสพติดเป็นครั้งแรกนั่นก็คือ คลอรอลไฮเดรต ยาระงับประสาท และเป็นที่รู้กันว่า บิลเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการเสพเกินขนาด พอเรียนต่อไม่ได้จึงต้องย้ายไปเข้าโรงเรียนเอกชนเพื่อเก็บเกรดไว้ไปต่อที่ฮาร์วาร์ด ซึ่งก็ทันตอนอายุ 18 พอดี พอเข้าไปได้ บิลก็ไม่ได้สนใจเล่าเรียนเท่าไหร่ แต่มักพบว่าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ที่นั่นเขาได้อ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสอย่างจุใจ พอเรียนจบตอนอายุ 21 ปีพอดี บิลขอพ่อแม่ออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วยุโรป และ ก็ได้เมียเป็นแม่หม้าย ชาวยิวอายุ 35 ปี จาก ยูโกสลาเวีย นัยว่าตัวเขานั้นอยากเป็นฮีโร่ ปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งจากลัทธิเผด็จการที่เริ่มก่อตัวในยุโรปในขณะนั้น ซึ่งก็อยู่กินกับเขาเกือบ 9 ปีในนิวยอร์ค กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945

    .

    หลังจากกลับมาถึงสหรัฐอเมริกา บิลเลือกจะที่กลับไปสู่แวดวงการศึกษาโดยเข้าเรียนในระดับปริญญาโทอีกครั้งที่ ฮาร์วาร์ด โดยแรงจูงใจในครั้งนี้คือการได้ใกล้ชิดกับเพื่อนชายของเขา เคลส์ แอลวินส์ ที่นั่นเอง ทั้งสองคนได้ร่วมกันผลิตงานเขียนเสียดสี เกี่้ยวกับการจมลงของเรือไททานิคโดยใช้ชื่อว่า "แสงสะท้อนสุดท้ายของยามพลบค่ำ" ซึ่งพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการหาสำนักพิมพ์ที่จะรับซื้องานเขียนดังกล่าวได้ โดยนิตยสาร Esquire ตอบกลับมาว่า มันไม่มีเนื้อหาอะไรลึกซึ้งพอที่จะให้พวกเขานำไปตีพิมพ์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม งานเขียนนี้กลับมาปรากฏในนิยายเรื่อง "โนวา เอ็กซ์เพรส"ของบิลในเวลาต่อมา

    .

    บิลเลือกที่จะทิ้งการเรียนปริญญาโทไปแบบครึ่งๆกลางๆ และ กลับไปอยู่ที่ เซนหลุยส์ มิสซูรี่ เพื่อจะไปเป็นลูกศิษย์ของ อัลเฟรด คอซิบสกี้ นักอรรถศาสตร์ ผู้เสนอแนวคิดว่า "คำพูดต่างๆนั้นสูญเสียความหมายที่แท้จริง" และ จากนี้ต่อไปตลอดชีวิต บิลก็ทุ่มเทความคิดให้กับการค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำศัพท์แต่ละคำที่เขาเล็งเห็นว่าถูกใช้อย่างผิดๆโดยมนุษย์
    .
    "ผมขอเสนอทฤษฎีอย่างกว้างๆว่า คำศัพท์ของมนุษย์เราจริงๆแล้วคือ ไวรัส แต่มนุษย์เราจะไม่ได้ทราบว่ามันเป็นไวรัส ก็เพราะว่าเราเป็นพาหะที่ค่อนข้างเสถียร ซึ่ง ไอ้ไวรัสนี่ไม่มีหน้าที่อะไรนอกจาก ทำสำเนาให้ตัวเอง และส่งต่อจากมนุษย์คนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งหรือหลายๆคน..."
    .
    หลังเหตุการณ์ประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ บิลถูกหมายเกณฑ์ให้เป็นทหาร แต่แม่ของบิลช่วยเขาหลีกเลี่ยงการเป็นทหารโดยการส่งเขาเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช และให้การรับรองว่าเขาป่วยทางจิตและไม่เหมาะสมกับการรับใช้ชาติ ช่วงเวลาดังกล่าว บิลเดินทางออกจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ สู่เมืองชิคาโก้ และหาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างกำจัดสัตว์ไม่พึงประสงค์ (อาชีพนี้ทำให้เขาได้เข้าไปสัมผัสมุมมืดในสังคมเมืองใหญ่ ที่เขาเคยแต่เพียงอ่านจากในหนังสือเท่านั้น พอเป็นแบบนี้มันทำให้บิลมีความรู้สึกว่า สิ่งที่เขาพบเจอนั้นคือของแท้) นอกจากนี้ยังได้รับเงินอุดหนุนจากทางบ้านเป็นค่ากินอยู่อีกเดือนละ 200 เหรียญ เป็นอยู่อย่างนี้อีกประมาณแปดเดือนเศษ กระทั่งเขาได้เจอเพื่อนเก่าจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ นั่นก็คือ ลูเชี่ยน คารร์ และ เดวิท แคมเมอเรอร์ ที่ชิคาโก้ (ในเวลาต่อมา คารร์ก็ปลิดชีพ แคมเมอเรอร์ ที่นิวยอร์ค)
    .
    คารร์ มาแวะเพียงชั่วคราว และ มุ่งหน้าสู่นิวยอร์คเพื่อจะกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ บิล กับ แคมเมอเรอร์ก็ตามไปสมทบในที่สุด ซึ่งที่นี่เองเป็นที่ ที่ บิลได้พบกับเพื่อนที่จะข้องเกี่ยวกับตัวเขาเองไปอีกครึ่งศตวรรษ เขาคนนั้นคือ แอลลัน กินเบิร์ค - และ แอลลันก็แนะนำพวกเขาให้รู้จักกับ แจ็ค คูโรแวค , อีดี้ ปาร์คเกอร์ (แฟนสาวของแจ็ค) และ โจแอน โวมเมอร์ (ภรรยาของบิลในเวลาต่อมา) แอลลัน กับ แจ็ค ร่วมกันผลิตงานเขียนด้วยกันเป็นครั้งแรก มีชื่อว่า "และฮิปโปโดนต้มในบ่อของมันเอง" ซึ่งก็ไม่ได้ถูกสำนักพิมพ์ใดๆนำไปตีพิมพ์ ขณะเดียวกัน บิลก็เริ่มเบนเข็มสู่อีกช่าวของชีวิต เขาเริ่มเป็นแมงดาข้างถนนย่านไทม์สแควร์ ขายของอีหยิบ ขายมอร์ฟีนแบบเข็มฉีดเข้าเส้น และ ปล้นจี้คนด้วยปืนพกในสถานีรถไฟใต้ดินในยามค่ำคืน คนที่เป็นผู้ชักชวนบิลสู่เส้นทางสายนี้คือ เฮอเบิร์ท ฮังค์คี ซึ่งอยู่ในสายอาชีพ ปล้นชิงทรัพย์ ลักเล็กขโมยน้อย มาแต่เดิม อีกด้านหนึ่ง บิลก็แนะนำ เฮอเบิร์ทให้รู้กจักกับพวกกลุ่มเพื่อนของเขาใน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ รวมกลุ่มกันอยู่แบบชุมชนเล็กในอพาร์ทเม็นท์ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย นั่นแหละ
    .
    โจแอน โวมเมอร์ นักศึกษาสาวคณะวารสารศาสตร์ เริ่มคบหาเชิงชู้สาวกับ บิล ทั้งๆที่ใครๆในกลุ่มก็ทราบดีว่าบิลมีรสนิยมทางเพศแบบโฮโมเซ็กซ์ชั่ล แต่เธอให้เห็นผลว่า "บิลเก่งเรื่องบนเตียง แบบที่แมงดาควรเป็น" - สองคนนี้อยู่กินกันแบบสามีภรรยา และเสพยาหนักทั้งคู่ กระทั่งวันหนึ่งก็ถูกตำรวจบุกจับถึงอพาร์ทเม็นท์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สองคนยังหาเวลาไปเขียนบทละครสั้น เกี่ยวกับเรื่องรสนิยมทางเพศ อยู่ด้วยกันอยู่หลายเรื่อง ซึ่งในเวลาต่อมา บิลก็เอาไปยัดใส่ในวรรณกรรมของเขาทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ไม่นานหลังจากห้วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย โวมเมอร์กับบิล ร่วมกันซื้อไร่ขนาด 99 เอเคอร์ ในเมือง นิวเวเวอรี่ รัฐเท็กซัส และ โวมเมอร์ก็ให้กำเนิดลูกชายของบิลหนึ่งคน สองผัวเมียมองหาธุรกิจทำและในที่สุดก็ชักชวน ฮังค์คี ให้มาอยู่ด้วยกันที่ไร่ และไม่นานเกินรอผลผลิตหลักจากไร่ของสองผัวเมีย คือ กัญชา
    .
    เพื่อนที่เริ่มมีชื่อเสียงมาก ก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยมสองผัวเมีย ไม่ว่าจะเป็น อัลแลน รวมไปถึง นีล แคซซิดี้ (คู่ขาเพศชายของอัลแลน) นีลทำหน้าที่หลักคือขนกัญชาของบิลไปขายในนิวยอร์ค ส่วน อัลแลนส่งกัญชาของสองผัวเมียไปขายผ่านเส้นสายของเหล่าพาณิชย์นาวี ที่เขามีแต่เดิม เป็นแผนธุรกิจฟังดูดีใช่ไหม? แต่เอาจริง แม่งเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะค่าใช้จ่ายของแต่ละคนมันสูงมาก เนื่องจาก สองผัวเมียนักเสพ ต้องคอยส่งส่วยให้ตำรวจท้องถิ่นตลอด ราคาขายส่งที่ควรจะเป็นมันถีบสูงไปถึงร้อยเหรียญ ในที่สุดสองผัวเมียและอีกหนึ่งนักปลูกเพื่อนผัว ก็ต้องระเห็ดไปอยู่ที่ นิวออร์ลีนส์ แต่แค่พักเดียวยังไม่ทันได้ทำอะไรจริงจัง ตำรวจก็เข้าจับกุมพวกเขาถึงบ้าน ซ้ำร้ายนอกจากกัญชาที่ปลูกไว้เสพด้วย ขายด้วยแล้ว ก็เจอยาเสพติดอีกหลายประเภทในบ้านของสองผัวเมีย แต่โชคดีพวกนี้รู้จักทนายเก่ง ทนายก็ทำให้คดีหลุดด้วยช่องโหว่ทางกฏหมาย แต่ก็แนะนำว่า สองผัวเมียควรออกไปอยู่นอกประเทศสักพักจะเป็นการดีที่สุด
    .
    ในปี 1950 บิลเขียนจดหมายหาอัลแลน จากที่ประเทศแม็กซิโก แจ้งว่าเขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ใกล้เสร็จแล้ว หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "ไอ้ขี้ยา" - Junkie. ในวันที่ 6 กันยายน ปีเดียวกันนั้นเอง เล่ากันว่า บิลและโวมเมอร์กำลังเมากันได้ที่ จากการเสพและดื่ม โวมเมอร์เริ่มต้นก่อนด้วยการท้าทายฝีมือการแม่นปืนของบิล ซึ่งเธอเอาแก้วน้ำวางไว้เหนือหัว และ บิลก็ชักปืนสั้นขึ้นยิงแก้วนั้น แต่เล็งพลาด กระสุนเลยพุ่งเข้ากลางหน้าผากโวมเมอร์ ปลิดชีพภรรยาคู่เสพทันที และ ปิดบทบาทสามี ที่ บิลไม่ค่อยเต็มใจนัก
    .
    .
    to be continued...
    Part 1 : The Beats and William S. Burroughs บีทเจนเนอเรชั่น คือ กลุ่มคนหนุ่ม-สาว ในยุคต้น 1960s ที่เกี่ยวข้องแวะกันด้วยอิทธิพลทางความคิดต้านกระแสสังคม พวกเขายืนอยู่บนเส้นแบ่งของแนวคิดแบบองค์รวมของสังคมอเมริกันอุดมคติแบบ แฟร้งคลิน ดีลาโน่ รูทส์เวลท์ และ สังคมที่นิยมความเป็นปัจเจกบุคคลแบบสุดโต่งในช่วงเวลานั้น ตัวตนขวกเขาถูกแสดงผ่านผลงานการเขียน หลากหลายรูปแบบ เซ็กซ์ ดนตรี และ ศิลปะ พวกเขาเชื่อกันเองว่าในกลุ่มพวกเขามีอยู่เพียงหลักร้อยคน ซึ่งอันที่จริง จำนวนที่แท้จริงของกลุ่ม บีทส์ นั้นไม่ปรากฏเป็นตัวเลขที่ชัดเจนนัก นอแมน เมลเลอร์ ผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน ความมีตัวตนของ บีทส์ กล่าวไว้อย่างสวยงามมากว่า บีทส์นั้นคือผู้กล้าหาญที่จะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง ในยุคที่ทุกกระแสสังคมถูกจับจ้องโดยรัฐบาลสหรัฐ พวกเขาคือคนที่อยู่นอกกฏระเบียบของสังคม งานเขียนของพวกเขาสะท้อนสิ่งที่ประชาชนยุคนั้นมองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็น ซึ่งครอบคลุมเรื่องการเมือง วัฒนธรรม และ การแสวงหาทางจิตวิญญาณ โดยที่พวกเขานั้นไม่อิงแอบกับตรรกะภายนอก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องทุนนิยมเรื่องสังคมนิยม แต่เป็นการค้นพบสิ่งใหม่ด้วยตัวเอง ผลงานของพวกเขาจึงเป็นดั่งการเบิกทางให้กับผู้ที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆในยุคต่อๆมา แจ็ค คูโรแวค แอลลัน กินเบิร์ค วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ สามศาสดาแถวหน้า บีทเจนเนอเรชั่น วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ “อัจฉริยะ รุนแรง บ้าคลั่ง” . . วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ อายุมากกว่าเพื่อนอีกสองคน และ ผลงานของเขาประสบความสำเร็จช้ากว่าอีกสองคนมาก แต่เป็นการประสบความสำเร็จที่ยาวนานและยั่งยืนที่สุด บิล เกิดในปี ค.ศ. 1914 ในเซนหลุยส์ มิสซูรี่ ปู่ของเขาร่ำรวยจากกว่าเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องบวกเลขเครื่องแรกของโลก แม้ครอบครัวของบิลจะไม่รวยเท่ากับรุ่นปู่แต่บอกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีมากๆครอบครัวหนึ่งในเวลานั้น เมื่ออายุได้ 15 ปี ตามกระแสในยุคนั้น ครอบครัวส่งบิลได้เรียนในโรงเรียน “บ้านไร่” โรงเรียนประจำที่อยู่ในรัฐตะวันตกอเมริกา ซึ่งเขาถูกส่งไปอยู่ถึงรัฐนิวแม็กซิโก - โรงเรียนประจำลอสอลาโมสแรนช์สกูล เนื่องจากบิลเป็นคนที่เกลียดกิจกรรมภายนอกห้องเรียนอยู่เป็นทุนเดิน เขาแทบจะเข้ากับที่นั่นไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่กีฬาชนิดหนึ่งของโรงเรียนที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษนั่นก็คือ กีฬายิงปืนนั่นเอง . ที่นั่นบิลได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสารเสพติดเป็นครั้งแรกนั่นก็คือ คลอรอลไฮเดรต ยาระงับประสาท และเป็นที่รู้กันว่า บิลเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการเสพเกินขนาด พอเรียนต่อไม่ได้จึงต้องย้ายไปเข้าโรงเรียนเอกชนเพื่อเก็บเกรดไว้ไปต่อที่ฮาร์วาร์ด ซึ่งก็ทันตอนอายุ 18 พอดี พอเข้าไปได้ บิลก็ไม่ได้สนใจเล่าเรียนเท่าไหร่ แต่มักพบว่าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ที่นั่นเขาได้อ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสอย่างจุใจ พอเรียนจบตอนอายุ 21 ปีพอดี บิลขอพ่อแม่ออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วยุโรป และ ก็ได้เมียเป็นแม่หม้าย ชาวยิวอายุ 35 ปี จาก ยูโกสลาเวีย นัยว่าตัวเขานั้นอยากเป็นฮีโร่ ปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งจากลัทธิเผด็จการที่เริ่มก่อตัวในยุโรปในขณะนั้น ซึ่งก็อยู่กินกับเขาเกือบ 9 ปีในนิวยอร์ค กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945 . หลังจากกลับมาถึงสหรัฐอเมริกา บิลเลือกจะที่กลับไปสู่แวดวงการศึกษาโดยเข้าเรียนในระดับปริญญาโทอีกครั้งที่ ฮาร์วาร์ด โดยแรงจูงใจในครั้งนี้คือการได้ใกล้ชิดกับเพื่อนชายของเขา เคลส์ แอลวินส์ ที่นั่นเอง ทั้งสองคนได้ร่วมกันผลิตงานเขียนเสียดสี เกี่้ยวกับการจมลงของเรือไททานิคโดยใช้ชื่อว่า "แสงสะท้อนสุดท้ายของยามพลบค่ำ" ซึ่งพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการหาสำนักพิมพ์ที่จะรับซื้องานเขียนดังกล่าวได้ โดยนิตยสาร Esquire ตอบกลับมาว่า มันไม่มีเนื้อหาอะไรลึกซึ้งพอที่จะให้พวกเขานำไปตีพิมพ์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม งานเขียนนี้กลับมาปรากฏในนิยายเรื่อง "โนวา เอ็กซ์เพรส"ของบิลในเวลาต่อมา . บิลเลือกที่จะทิ้งการเรียนปริญญาโทไปแบบครึ่งๆกลางๆ และ กลับไปอยู่ที่ เซนหลุยส์ มิสซูรี่ เพื่อจะไปเป็นลูกศิษย์ของ อัลเฟรด คอซิบสกี้ นักอรรถศาสตร์ ผู้เสนอแนวคิดว่า "คำพูดต่างๆนั้นสูญเสียความหมายที่แท้จริง" และ จากนี้ต่อไปตลอดชีวิต บิลก็ทุ่มเทความคิดให้กับการค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำศัพท์แต่ละคำที่เขาเล็งเห็นว่าถูกใช้อย่างผิดๆโดยมนุษย์ . "ผมขอเสนอทฤษฎีอย่างกว้างๆว่า คำศัพท์ของมนุษย์เราจริงๆแล้วคือ ไวรัส แต่มนุษย์เราจะไม่ได้ทราบว่ามันเป็นไวรัส ก็เพราะว่าเราเป็นพาหะที่ค่อนข้างเสถียร ซึ่ง ไอ้ไวรัสนี่ไม่มีหน้าที่อะไรนอกจาก ทำสำเนาให้ตัวเอง และส่งต่อจากมนุษย์คนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งหรือหลายๆคน..." . หลังเหตุการณ์ประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ บิลถูกหมายเกณฑ์ให้เป็นทหาร แต่แม่ของบิลช่วยเขาหลีกเลี่ยงการเป็นทหารโดยการส่งเขาเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช และให้การรับรองว่าเขาป่วยทางจิตและไม่เหมาะสมกับการรับใช้ชาติ ช่วงเวลาดังกล่าว บิลเดินทางออกจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ สู่เมืองชิคาโก้ และหาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างกำจัดสัตว์ไม่พึงประสงค์ (อาชีพนี้ทำให้เขาได้เข้าไปสัมผัสมุมมืดในสังคมเมืองใหญ่ ที่เขาเคยแต่เพียงอ่านจากในหนังสือเท่านั้น พอเป็นแบบนี้มันทำให้บิลมีความรู้สึกว่า สิ่งที่เขาพบเจอนั้นคือของแท้) นอกจากนี้ยังได้รับเงินอุดหนุนจากทางบ้านเป็นค่ากินอยู่อีกเดือนละ 200 เหรียญ เป็นอยู่อย่างนี้อีกประมาณแปดเดือนเศษ กระทั่งเขาได้เจอเพื่อนเก่าจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ นั่นก็คือ ลูเชี่ยน คารร์ และ เดวิท แคมเมอเรอร์ ที่ชิคาโก้ (ในเวลาต่อมา คารร์ก็ปลิดชีพ แคมเมอเรอร์ ที่นิวยอร์ค) . คารร์ มาแวะเพียงชั่วคราว และ มุ่งหน้าสู่นิวยอร์คเพื่อจะกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ บิล กับ แคมเมอเรอร์ก็ตามไปสมทบในที่สุด ซึ่งที่นี่เองเป็นที่ ที่ บิลได้พบกับเพื่อนที่จะข้องเกี่ยวกับตัวเขาเองไปอีกครึ่งศตวรรษ เขาคนนั้นคือ แอลลัน กินเบิร์ค - และ แอลลันก็แนะนำพวกเขาให้รู้จักกับ แจ็ค คูโรแวค , อีดี้ ปาร์คเกอร์ (แฟนสาวของแจ็ค) และ โจแอน โวมเมอร์ (ภรรยาของบิลในเวลาต่อมา) แอลลัน กับ แจ็ค ร่วมกันผลิตงานเขียนด้วยกันเป็นครั้งแรก มีชื่อว่า "และฮิปโปโดนต้มในบ่อของมันเอง" ซึ่งก็ไม่ได้ถูกสำนักพิมพ์ใดๆนำไปตีพิมพ์ ขณะเดียวกัน บิลก็เริ่มเบนเข็มสู่อีกช่าวของชีวิต เขาเริ่มเป็นแมงดาข้างถนนย่านไทม์สแควร์ ขายของอีหยิบ ขายมอร์ฟีนแบบเข็มฉีดเข้าเส้น และ ปล้นจี้คนด้วยปืนพกในสถานีรถไฟใต้ดินในยามค่ำคืน คนที่เป็นผู้ชักชวนบิลสู่เส้นทางสายนี้คือ เฮอเบิร์ท ฮังค์คี ซึ่งอยู่ในสายอาชีพ ปล้นชิงทรัพย์ ลักเล็กขโมยน้อย มาแต่เดิม อีกด้านหนึ่ง บิลก็แนะนำ เฮอเบิร์ทให้รู้กจักกับพวกกลุ่มเพื่อนของเขาใน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ รวมกลุ่มกันอยู่แบบชุมชนเล็กในอพาร์ทเม็นท์ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย นั่นแหละ . โจแอน โวมเมอร์ นักศึกษาสาวคณะวารสารศาสตร์ เริ่มคบหาเชิงชู้สาวกับ บิล ทั้งๆที่ใครๆในกลุ่มก็ทราบดีว่าบิลมีรสนิยมทางเพศแบบโฮโมเซ็กซ์ชั่ล แต่เธอให้เห็นผลว่า "บิลเก่งเรื่องบนเตียง แบบที่แมงดาควรเป็น" - สองคนนี้อยู่กินกันแบบสามีภรรยา และเสพยาหนักทั้งคู่ กระทั่งวันหนึ่งก็ถูกตำรวจบุกจับถึงอพาร์ทเม็นท์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สองคนยังหาเวลาไปเขียนบทละครสั้น เกี่ยวกับเรื่องรสนิยมทางเพศ อยู่ด้วยกันอยู่หลายเรื่อง ซึ่งในเวลาต่อมา บิลก็เอาไปยัดใส่ในวรรณกรรมของเขาทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ไม่นานหลังจากห้วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย โวมเมอร์กับบิล ร่วมกันซื้อไร่ขนาด 99 เอเคอร์ ในเมือง นิวเวเวอรี่ รัฐเท็กซัส และ โวมเมอร์ก็ให้กำเนิดลูกชายของบิลหนึ่งคน สองผัวเมียมองหาธุรกิจทำและในที่สุดก็ชักชวน ฮังค์คี ให้มาอยู่ด้วยกันที่ไร่ และไม่นานเกินรอผลผลิตหลักจากไร่ของสองผัวเมีย คือ กัญชา . เพื่อนที่เริ่มมีชื่อเสียงมาก ก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยมสองผัวเมีย ไม่ว่าจะเป็น อัลแลน รวมไปถึง นีล แคซซิดี้ (คู่ขาเพศชายของอัลแลน) นีลทำหน้าที่หลักคือขนกัญชาของบิลไปขายในนิวยอร์ค ส่วน อัลแลนส่งกัญชาของสองผัวเมียไปขายผ่านเส้นสายของเหล่าพาณิชย์นาวี ที่เขามีแต่เดิม เป็นแผนธุรกิจฟังดูดีใช่ไหม? แต่เอาจริง แม่งเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะค่าใช้จ่ายของแต่ละคนมันสูงมาก เนื่องจาก สองผัวเมียนักเสพ ต้องคอยส่งส่วยให้ตำรวจท้องถิ่นตลอด ราคาขายส่งที่ควรจะเป็นมันถีบสูงไปถึงร้อยเหรียญ ในที่สุดสองผัวเมียและอีกหนึ่งนักปลูกเพื่อนผัว ก็ต้องระเห็ดไปอยู่ที่ นิวออร์ลีนส์ แต่แค่พักเดียวยังไม่ทันได้ทำอะไรจริงจัง ตำรวจก็เข้าจับกุมพวกเขาถึงบ้าน ซ้ำร้ายนอกจากกัญชาที่ปลูกไว้เสพด้วย ขายด้วยแล้ว ก็เจอยาเสพติดอีกหลายประเภทในบ้านของสองผัวเมีย แต่โชคดีพวกนี้รู้จักทนายเก่ง ทนายก็ทำให้คดีหลุดด้วยช่องโหว่ทางกฏหมาย แต่ก็แนะนำว่า สองผัวเมียควรออกไปอยู่นอกประเทศสักพักจะเป็นการดีที่สุด . ในปี 1950 บิลเขียนจดหมายหาอัลแลน จากที่ประเทศแม็กซิโก แจ้งว่าเขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ใกล้เสร็จแล้ว หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "ไอ้ขี้ยา" - Junkie. ในวันที่ 6 กันยายน ปีเดียวกันนั้นเอง เล่ากันว่า บิลและโวมเมอร์กำลังเมากันได้ที่ จากการเสพและดื่ม โวมเมอร์เริ่มต้นก่อนด้วยการท้าทายฝีมือการแม่นปืนของบิล ซึ่งเธอเอาแก้วน้ำวางไว้เหนือหัว และ บิลก็ชักปืนสั้นขึ้นยิงแก้วนั้น แต่เล็งพลาด กระสุนเลยพุ่งเข้ากลางหน้าผากโวมเมอร์ ปลิดชีพภรรยาคู่เสพทันที และ ปิดบทบาทสามี ที่ บิลไม่ค่อยเต็มใจนัก . . to be continued...
    0 Comments 0 Shares 537 Views 0 Reviews
More Results