• เพลงที่ทำให้ Evangelion เป็นมากกว่าอนิเมะ: เปิดตำนาน A Cruel Angel’s Thesis

    เพลง “A Cruel Angel’s Thesis” หรือที่รู้จักในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า “Zankoku na Tenshi no Tēze” ถือเป็นหนึ่งในเพลงประกอบอนิเมะที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่นและทั่วโลก เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงเปิดของอนิเมะ Neon Genesis Evangelion ที่ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 1995 ทางสถานี TV Tokyo เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงยุคทองของอนิเมะในทศวรรษ 1990s ซึ่งผสมผสานธีมปรัชญา จิตวิทยา และแอ็กชันได้อย่างลงตัว บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติการสร้าง ผลงาน และความโด่งดังของเพลงนี้อย่างละเอียด โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้เห็นภาพรวมการเดินทางจากเพลงประกอบอนิเมะธรรมดาสู่ไอคอนระดับโลก

    ต้นกำเนิดและแรงบันดาลใจของเพลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อนิเมะ Neon Genesis Evangelion กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิต โดยผู้กำกับ Hideaki Anno จากสตูดิโอ Gainax เดิมที Anno ต้องการใช้เพลงคลาสสิกจากโอเปร่ารัสเซียเรื่อง Prince Igor ชื่อ “Polovtsian Dances” ของ Alexander Borodin เป็นเพลงเปิด เพื่อสร้างความแปลกใหม่และทดลอง แต่สถานีโทรทัศน์ปฏิเสธเพราะเห็นว่าเพลงนั้น “ก้าวหน้าจนเกินไป” สำหรับอนิเมะที่ออกอากาศช่วงดึก จึงเปลี่ยนมาใช้เพลง J-Pop ซึ่งเป็นแนวเพลงยอดนิยมในญี่ปุ่นในเวลานั้น

    คำร้องของเพลงเขียนโดย Neko Oikawa ที่ได้รับมอบหมายให้สร้างเนื้อหาที่ “ยากและปรัชญา” เพื่อสะท้อนธีมของอนิเมะที่เกี่ยวกับการต่อสู้ภายในจิตใจมนุษย์ ชะตากรรม และการเติบโต แม้ว่า Oikawa จะมีข้อมูลจำกัด เธอเพียงแค่ได้อ่านแผนเสนอโครงการและดูตอนแรกๆ ของอนิเมะแบบเร่งความเร็ว ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงในการเขียนคำร้องทั้งหมด โดยมองผ่านมุมมองของ “แม่” ที่ไม่อยากให้ลูกเติบโตและออกจากรัง แต่ต้องยอมรับชะตากรรม ชื่อเพลงได้รับแรงบันดาลใจจากมังงะ “A Cruel God Reigns” (Zankoku na Kami ga Shihai Suru) ของ Moto Hagio ซึ่งมีเนื้อหามืดมนเกี่ยวกับเด็กชายวัย 15 ปีที่เผชิญกับความทุกข์ทรมานจากความผิด การใช้ยาเสพติด และการค้าประเวณี แต่ Oikawa เลือกเน้นธีม “แม่และลูก” แทนโดยไม่ใช้ส่วนที่มืดมนเหล่านั้น

    ทำนองเพลงแต่งโดย Hidetoshi Sato และจัดโดย Toshiyuki Omori โดยการผลิตทั้งหมดเกิดขึ้นแยกจากทีมอนิเมะเพื่อรักษาความเป็นอิสระและความสดใหม่ เพลงนี้มีส่วน instrumental ที่น่าสนใจ เช่น คอรัสในภาษาที่ไม่สามารถแปลได้ ซึ่งบางคนเชื่อว่าได้รับแรงบันดาลใจจากภาษาโบราณหรือ Dead Sea Scrolls นอกจากนี้ Anno ยังขอปรับคำร้องบางส่วน เช่น เปลี่ยนจาก “กลายเป็นอาวุธ” เป็น “กลายเป็นตำนาน” เพื่อเน้นความรักของแม่มากขึ้น และตัดคอรัสชายออกไป

    Yoko Takahashi นักร้องนำ ได้รับเลือกแบบสุ่มและบันทึกเสียงโดยไม่ทราบรายละเอียดของอนิเมะมากนัก เธอพบกับ Anno ครั้งแรกในวันบันทึกเสียง และได้ยินเพลงเปิดตัวพร้อมเสียงของตัวเองครั้งแรกตอนออกอากาศทางทีวี เพลงนี้เป็นซิงเกิลที่ 11 ของเธอ และปล่อยออกมาในวันที่ 25 ตุลาคม 1995 ภายใต้ catalog KIDA-116 พร้อมเพลง “Fly Me to the Moon” ซึ่งเป็นเพลงปิดเรื่อง

    กระบวนการผลิตเพลงเกิดขึ้นก่อนที่อนิเมะจะเสร็จสิ้น โดย Toshimichi Otsuki จาก King Records เป็นผู้ดูแลทีมดนตรีแยกต่างหากจาก Anno เพื่อหลีกเลี่ยงการแทรกแซง แม้กระบวนการจะเร่งรีบ เพลงกลับเข้ากับภาพเปิดเรื่องได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีเวอร์ชัน instrumental สองเวอร์ชันในตอนจบของอนิเมะ ได้แก่ “The Heady Feeling of Freedom” ซึ่งเป็นชิ้นเศร้าๆ สำหรับเครื่องสายและกีตาร์ และ “Good, or Don’t Be” ที่เล่นด้วยเปียโนและกีตาร์เบาๆ เวอร์ชันคล้ายกันยังปรากฏในภาพยนตร์ Evangelion: Death and Rebirth

    ตลอดหลายปี เพลงนี้มีเวอร์ชันรีมิกซ์และ cover มากมาย รวมถึงเวอร์ชัน Director’s Edit และเวอร์ชันในภาพยนตร์ Rebuild of Evangelion Takahashi ยังคงฝึกซ้อมร้องเพลงนี้ทุกวัน สูงสุด 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะส่วน a cappella ที่ยาก เพื่อให้การแสดงสดยังคงความสดใหม่เหมือนเดิม ในปี 2021 เธอออกหนังสือสอนร้องเพลงนี้และ “Soul’s Refrain” โดยแนะนำให้เริ่มจาก tempo ช้าๆ และฝึก melody ก่อน

    ความสำเร็จของเพลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังปล่อยออกมา เพลงขึ้นอันดับ 17 ในชาร์ต Oricon และอยู่ในชาร์ตนานถึง 61 สัปดาห์ กลายเป็นเพลงอนิเมะที่ได้รับความนิยมสูงสุดในญี่ปุ่น โดยติดอันดับต้นๆ ในโพล anisong และคาราโอเกะอย่างต่อเนื่อง ในปี 2025 เพลงนี้ยังติดอันดับ 4 ในชาร์ตคาราโอเกะ JOYSOUND สำหรับครึ่งปีแรก แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนแม้ผ่านไปเกือบ 30 ปี ตามข้อมูลจาก Japanese Society for Rights of Authors, Composers and Publishers เพลงนี้ยังคงเป็นเพลงที่สร้างรายได้จากลิขสิทธิ์สูงสุดในญี่ปุ่น

    ในระดับสากล เพลงนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นเพลงเปิดอนิเมะที่จดจำได้มากที่สุด แม้แต่คนที่ไม่เคยดูอนิเมะก็รู้จัก มันกลายเป็น meme บนอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในวิดีโอ YouTube และ Reddit ที่นำไป remix หรือ parody นอกจากนี้ยังถูกนำไป sample ในเพลงฮิปฮอป เช่น ในเพลง “Evangelica” ของศิลปินอเมริกัน Albe Back ในปี 2022 ความนิยมยังขยายไปสู่การแสดงสด โดย Takahashi แสดงเพลงนี้ในงานใหญ่ๆ เช่น Anime NYC 2025 ที่เธอชักชวนแฟนๆ ร้องตามทั้งฮอลล์, AnimagiC 2025 ในเยอรมนี และแม้แต่ในรายการปีใหม่ของสถานีโทรทัศน์ตุรกีในปี 2024

    กว่าเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมา “A Cruel Angel’s Thesis” ไม่ได้เป็นเพียงเพลงเปิดของ Neon Genesis Evangelion เท่านั้น แต่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมอนิเมะญี่ปุ่นที่หลอมรวมปรัชญา ดนตรี และอารมณ์ของยุคสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างงดงาม เสียงร้องของ Yoko Takahashi ไม่ได้เพียงปลุกผู้ชมให้ตื่นขึ้นในตอนต้นของทุกตอน แต่ยังปลุกให้คนทั้งรุ่นหันกลับมามอง “ตัวตน” และ “ความหมายของการเติบโต” ที่ Evangelion ต้องการสื่อ

    ทุกครั้งที่เสียงอินโทรแรกดังขึ้น ความทรงจำของแฟน ๆ ทั่วโลกก็ยังคงถ่ายทอดต่อกันเหมือนเทวทูตที่ไม่เคยหลับใหล เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า “ดนตรี” สามารถสร้างพลังให้ภาพยนตร์หรืออนิเมะกลายเป็นตำนานได้จริง และแม้โลกจะเปลี่ยนไปเพียงใด ท่วงทำนองแห่งเทวทูตผู้โหดร้ายนี้…ก็จะยังคงก้องอยู่ในใจผู้คนตราบนานเท่านาน

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/y5wkebBCwAE
    🎶 เพลงที่ทำให้ Evangelion เป็นมากกว่าอนิเมะ: เปิดตำนาน A Cruel Angel’s Thesis ▶️ เพลง “A Cruel Angel’s Thesis” หรือที่รู้จักในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า “Zankoku na Tenshi no Tēze” ถือเป็นหนึ่งในเพลงประกอบอนิเมะที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่นและทั่วโลก เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงเปิดของอนิเมะ Neon Genesis Evangelion ที่ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 1995 ทางสถานี TV Tokyo เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงยุคทองของอนิเมะในทศวรรษ 1990s ซึ่งผสมผสานธีมปรัชญา จิตวิทยา และแอ็กชันได้อย่างลงตัว บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติการสร้าง ผลงาน และความโด่งดังของเพลงนี้อย่างละเอียด โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้เห็นภาพรวมการเดินทางจากเพลงประกอบอนิเมะธรรมดาสู่ไอคอนระดับโลก 🎂 ต้นกำเนิดและแรงบันดาลใจของเพลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อนิเมะ Neon Genesis Evangelion กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิต โดยผู้กำกับ Hideaki Anno จากสตูดิโอ Gainax เดิมที Anno ต้องการใช้เพลงคลาสสิกจากโอเปร่ารัสเซียเรื่อง Prince Igor ชื่อ “Polovtsian Dances” ของ Alexander Borodin เป็นเพลงเปิด เพื่อสร้างความแปลกใหม่และทดลอง แต่สถานีโทรทัศน์ปฏิเสธเพราะเห็นว่าเพลงนั้น “ก้าวหน้าจนเกินไป” สำหรับอนิเมะที่ออกอากาศช่วงดึก จึงเปลี่ยนมาใช้เพลง J-Pop ซึ่งเป็นแนวเพลงยอดนิยมในญี่ปุ่นในเวลานั้น ✍️ คำร้องของเพลงเขียนโดย Neko Oikawa ที่ได้รับมอบหมายให้สร้างเนื้อหาที่ “ยากและปรัชญา” เพื่อสะท้อนธีมของอนิเมะที่เกี่ยวกับการต่อสู้ภายในจิตใจมนุษย์ ชะตากรรม และการเติบโต แม้ว่า Oikawa จะมีข้อมูลจำกัด เธอเพียงแค่ได้อ่านแผนเสนอโครงการและดูตอนแรกๆ ของอนิเมะแบบเร่งความเร็ว ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงในการเขียนคำร้องทั้งหมด โดยมองผ่านมุมมองของ “แม่” ที่ไม่อยากให้ลูกเติบโตและออกจากรัง แต่ต้องยอมรับชะตากรรม ชื่อเพลงได้รับแรงบันดาลใจจากมังงะ “A Cruel God Reigns” (Zankoku na Kami ga Shihai Suru) ของ Moto Hagio ซึ่งมีเนื้อหามืดมนเกี่ยวกับเด็กชายวัย 15 ปีที่เผชิญกับความทุกข์ทรมานจากความผิด การใช้ยาเสพติด และการค้าประเวณี แต่ Oikawa เลือกเน้นธีม “แม่และลูก” แทนโดยไม่ใช้ส่วนที่มืดมนเหล่านั้น 🎼 ทำนองเพลงแต่งโดย Hidetoshi Sato และจัดโดย Toshiyuki Omori โดยการผลิตทั้งหมดเกิดขึ้นแยกจากทีมอนิเมะเพื่อรักษาความเป็นอิสระและความสดใหม่ เพลงนี้มีส่วน instrumental ที่น่าสนใจ เช่น คอรัสในภาษาที่ไม่สามารถแปลได้ ซึ่งบางคนเชื่อว่าได้รับแรงบันดาลใจจากภาษาโบราณหรือ Dead Sea Scrolls นอกจากนี้ Anno ยังขอปรับคำร้องบางส่วน เช่น เปลี่ยนจาก “กลายเป็นอาวุธ” เป็น “กลายเป็นตำนาน” เพื่อเน้นความรักของแม่มากขึ้น และตัดคอรัสชายออกไป 🎤 Yoko Takahashi นักร้องนำ ได้รับเลือกแบบสุ่มและบันทึกเสียงโดยไม่ทราบรายละเอียดของอนิเมะมากนัก เธอพบกับ Anno ครั้งแรกในวันบันทึกเสียง และได้ยินเพลงเปิดตัวพร้อมเสียงของตัวเองครั้งแรกตอนออกอากาศทางทีวี เพลงนี้เป็นซิงเกิลที่ 11 ของเธอ และปล่อยออกมาในวันที่ 25 ตุลาคม 1995 ภายใต้ catalog KIDA-116 พร้อมเพลง “Fly Me to the Moon” ซึ่งเป็นเพลงปิดเรื่อง 💿 กระบวนการผลิตเพลงเกิดขึ้นก่อนที่อนิเมะจะเสร็จสิ้น โดย Toshimichi Otsuki จาก King Records เป็นผู้ดูแลทีมดนตรีแยกต่างหากจาก Anno เพื่อหลีกเลี่ยงการแทรกแซง แม้กระบวนการจะเร่งรีบ เพลงกลับเข้ากับภาพเปิดเรื่องได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีเวอร์ชัน instrumental สองเวอร์ชันในตอนจบของอนิเมะ ได้แก่ “The Heady Feeling of Freedom” ซึ่งเป็นชิ้นเศร้าๆ สำหรับเครื่องสายและกีตาร์ และ “Good, or Don’t Be” ที่เล่นด้วยเปียโนและกีตาร์เบาๆ เวอร์ชันคล้ายกันยังปรากฏในภาพยนตร์ Evangelion: Death and Rebirth 🎗️ตลอดหลายปี เพลงนี้มีเวอร์ชันรีมิกซ์และ cover มากมาย รวมถึงเวอร์ชัน Director’s Edit และเวอร์ชันในภาพยนตร์ Rebuild of Evangelion Takahashi ยังคงฝึกซ้อมร้องเพลงนี้ทุกวัน สูงสุด 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะส่วน a cappella ที่ยาก เพื่อให้การแสดงสดยังคงความสดใหม่เหมือนเดิม ในปี 2021 เธอออกหนังสือสอนร้องเพลงนี้และ “Soul’s Refrain” โดยแนะนำให้เริ่มจาก tempo ช้าๆ และฝึก melody ก่อน 🏆 ความสำเร็จของเพลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังปล่อยออกมา เพลงขึ้นอันดับ 17 ในชาร์ต Oricon และอยู่ในชาร์ตนานถึง 61 สัปดาห์ กลายเป็นเพลงอนิเมะที่ได้รับความนิยมสูงสุดในญี่ปุ่น โดยติดอันดับต้นๆ ในโพล anisong และคาราโอเกะอย่างต่อเนื่อง ในปี 2025 เพลงนี้ยังติดอันดับ 4 ในชาร์ตคาราโอเกะ JOYSOUND สำหรับครึ่งปีแรก แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนแม้ผ่านไปเกือบ 30 ปี ตามข้อมูลจาก Japanese Society for Rights of Authors, Composers and Publishers เพลงนี้ยังคงเป็นเพลงที่สร้างรายได้จากลิขสิทธิ์สูงสุดในญี่ปุ่น 🌏 ในระดับสากล เพลงนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นเพลงเปิดอนิเมะที่จดจำได้มากที่สุด แม้แต่คนที่ไม่เคยดูอนิเมะก็รู้จัก มันกลายเป็น meme บนอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในวิดีโอ YouTube และ Reddit ที่นำไป remix หรือ parody นอกจากนี้ยังถูกนำไป sample ในเพลงฮิปฮอป เช่น ในเพลง “Evangelica” ของศิลปินอเมริกัน Albe Back ในปี 2022 ความนิยมยังขยายไปสู่การแสดงสด โดย Takahashi แสดงเพลงนี้ในงานใหญ่ๆ เช่น Anime NYC 2025 ที่เธอชักชวนแฟนๆ ร้องตามทั้งฮอลล์, AnimagiC 2025 ในเยอรมนี และแม้แต่ในรายการปีใหม่ของสถานีโทรทัศน์ตุรกีในปี 2024 ⌛ กว่าเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมา “A Cruel Angel’s Thesis” ไม่ได้เป็นเพียงเพลงเปิดของ Neon Genesis Evangelion เท่านั้น แต่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมอนิเมะญี่ปุ่นที่หลอมรวมปรัชญา ดนตรี และอารมณ์ของยุคสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างงดงาม เสียงร้องของ Yoko Takahashi ไม่ได้เพียงปลุกผู้ชมให้ตื่นขึ้นในตอนต้นของทุกตอน แต่ยังปลุกให้คนทั้งรุ่นหันกลับมามอง “ตัวตน” และ “ความหมายของการเติบโต” ที่ Evangelion ต้องการสื่อ 📻 ทุกครั้งที่เสียงอินโทรแรกดังขึ้น ความทรงจำของแฟน ๆ ทั่วโลกก็ยังคงถ่ายทอดต่อกันเหมือนเทวทูตที่ไม่เคยหลับใหล เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า “ดนตรี” สามารถสร้างพลังให้ภาพยนตร์หรืออนิเมะกลายเป็นตำนานได้จริง และแม้โลกจะเปลี่ยนไปเพียงใด ท่วงทำนองแห่งเทวทูตผู้โหดร้ายนี้…ก็จะยังคงก้องอยู่ในใจผู้คนตราบนานเท่านาน 💫 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/y5wkebBCwAE
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews
  • เรื่อง สันดาน
    “สันดาน”

    (1)

    ผมหายไปจากหน้าจอหลายวันมาก เพราะขี้เกียจดูข่าวและเขียนถึงไอ้นักล่าตอนนี้ บทมันซ้ำจนน่าเบื่อ แถมสะอิดสะเอียน เวลาดูมันพูด เล่นบทเป็นวีรบุรุษ ผู้เสียสละ จำเป็นต้องรักษาสันติสุขของมนุษยชาติ ฯลฯ ขืนดูต่อ ยาแก้คลื่นไส้ก็เอาไม่อยู่ ผมเลยไปค้นหาหนังสือเก่าๆมาอ่านประเทืองปัญญา ดีกว่าดูไอ้นักล่าตอแหล

    ปรากฏว่า อาการผมหนักกว่าคลื่นไส้!

    ผมไปเจอเอกสารเก่า เกือบ 100 ปี “The American and Russian Missions” ปี ค.ศ.1917 เป็นเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศ อเมริกัน ที่เรียกว่า Foreign Relations of the United States (FRUS) ทนไม่ไหว ต้องเอามาเล่าสู่กันฟัง ถ้าไม่บอกว่า คนเขียนเอกสาร เขียนเมื่อไหร่ ท่านผู้อ่านอาจนึกว่าเป็นเรื่องในสมัยปัจจุบัน ผ่านมาเกือบ 100 ปี มันก็ยังใช้วิธีเดิมๆ ตามสันดาน…

    ปี ค.ศ.1917 ตามวิชาประวัติศาสตร์สากล สมัยที่ผมยังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยม เขาบอกว่า มีการปฏิวัติเกิดขึ้นในรัสเซีย คือการปฏิวัติอันโด่งดังของพวกบอลเชวิก (Bolsheviks) ที่โค่นพระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ 2 นั่นแหละ

    แต่ความจริง ในปี ค.ศ.1917 รัสเซีย มีการปฏิวัติ 2 ครั้ง ครั้งแรก ในเดือนมีนาคม ผู้นำการปฏิวัติ คือ นาย Aleksandr Kerensky ซึ่งยึดอำนาจจากพระเจ้าซาร์ ทำให้พระเจ้าซาร์ประกาศสละบัลลังก์ แต่ต่อมาพวกปฏิวัติก็จับท่านและราชวงค์ไปกักขัง ส่วนพวก Bolsheviks มาทำการปฏิวัติซ้ำในพฤศจิกายน ค.ศ.1917 ไล่คณะ นาย Kerensky ออกไป แล้วพวก Bolsheviks ก็ปกครองรัสเซียต่อ

    ในตอนที่ นาย Kerensky ทำการปฏิวัตินั้น สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ ปี ค.ศ.1914 กำลังโซ้ยกันอย่างดุเดือด สงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ ความจริงเริ่มมาจากชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เป็นฝ่ายกระสัน อยากจะทำสงครามนะครับ เพราะอังกฤษหมั่นไส้ ปนปอดแหกว่า เยอรมันกำลังจะโตใหญ่เกินหน้า ส่วนเรื่องอาชดยุกค์เฟอร์ดินานด์ แห่งปรัสเซียถูกยิง นั่นมันสาเหตุของสงครามโลก ตามประวัติศาสตร์หลักสูตรกระทรวงศึกษาฯ ลองไปหาประวัติศาสตร์นอกหลักสูตรมาอ่านกันบ้าง จะได้เห็นโลกกว้าง และลึกขึ้น

    ประมาณปี คศ 1899 เยอรมันส้มหล่นใส่ ไปได้สัมปทานจากออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ยาวประมาณ 2,500 ไมล์ ภาพรางรถไฟวิ่งยาวจาก Berlin ผ่านไปกลางตะวันออกกลาง ที่เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันไปจนถึง Bagdad เลยไปอีกหน่อย ก็ถึงอ่าวเปอร์เซีย ที่อังกฤษตีตั๋วจองไว้ ภาพนี้มันทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯนอนฝันร้าย ที่นอนเปียกชุ่มทุกคืน ตั้งแต่รู้ข่าว ชาวเกาะฯทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาวางแผนเตะตัดขาเยอรมัน ด้วยการไปชวนพรรคพวกมาร่วมรายการถล่มนักสร้างราง แต่ถ้ามีแค่พวกขาประจำอย่างฝรั่งเศส อืตาลีร่วม ชาวเกาะไม่แน่ใจว่า จะถีบนักสร้างรางให้ตกรางได้ ชาวเกาะเลยไปหลอกรัสเซีย ถึงจะอยู่ใกลหน่อย แต่ข่าวว่ากองทัพอึด ให้มาร่วมรายการถล่มนักสร้างรางด้วยกัน (รายละเอียดอยู่ในนิทาน เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือนก 2 หัว” และ นิทานชุด “เหยื่อ”)

    รัสเซีย จริงๆไม่มีเรื่องชังหน้ากับเยอรมันซักหน่อย แต่พออังกฤษเอาของขวัญมาล่อว่า ถ้าถีบมันตกรางได้ เอาไปเลย อาณาจักรออโตมาน เรายกให้ท่าน ไม่รู้รัสเซียกำลังมึนอะไร เดินหล่นพลั่กลงหลุม ที่ชาวเกาะขุดล่อ ออโตมานก็ไม่ใช่ของชาวเกาะใหญ่ฯ ซะหน่อย เขาเอาของคนอื่นมาล่อ ไปตกลงกับเขาได้ยังไง เนี่ย เหมือนเวลาคนดวงไม่ดี มีดาวประเภท เสาร์ ราหู ทับลัคน์อะไรทำนองนั้น เวลาดาวแรงอย่างนี้ทับลัคน์ อย่าไปเชื่ออะไรใครเขาง่ายๆนะครับ
    เมื่อ นาย Kerensky ทำปฏิวัติรัสเซีย สงครามเล่นไปแล้ว 3 ปี แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิก คนจัดรายการ ออกตั๋วเสริมมาขายเพิ่มอยู่เรื่อย แม้บ้านช่องจะพังพินาศฉิบหายกันเป็นแถบๆ แต่ชาวเกาะก็บอกให้สู้ต่อ ก็บทมันเขียนไว้อย่างนั้น ทีนี้ รัสเซียแนวร่วม ดันมีปฏิวัติ รัฐบาลใหม่จะเล่นสงครามต่อหรือ เปล่า ชาวเกาะชักเหงื่อแตก อเมริกาเด็กเรา (ตอนนั้น ไอ้นักล่ายังเป็นเด็ก อยู่ในอาณัติของอังกฤษ เรื่องมัน 100 ปีมาแล้วนะครับ แต่ผมก็ไม่แน่ใจ ตอนนี้ ถึงไม่ใช่เด็กแล้ว แต่ก็อาจจะยังอยู่ ในอาณัติกันเหมือนเดิม) ก็ดันประกาศอยู่นั่นว่า เราเป็นกลาง (ยัง) ไม่เข้ามาช่วยรบ จำเราต้องใช้มันไปสืบความว่า รัสเซียหลังปฏิวัตินี่ จะสู้ต่อ หรือจะฝ่อหนี

    ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ไม้หลักปักเลน จึงจัดคณะละครเร่ ไปเจริญสัมพันธไมตรี ชื่อ The Roots Mission ให้ไปดูลาดเลารัสเซีย หลังปฏิวัติครั้งแรก ว่าหน้าตาเป็นยังไง หล่อเหลา หรือเหลาเหย่ คณะละครเร่เจริญสัมพันธไมตรีที่นำโดย นาย Elihu Roots ซึ่งมีตำแหน่งเป็นอดีตทูต อดีตรัฐมนตรี อดีตอะไรเยอะแยะไปหมด ไปเปิดดูกูเกิลเอาแล้วกันนะครับ น่าเชื่อถือดี แต่คราวนี้ดูเหมือนจะไปทำหน้าที่เล่นละคร และทำหน้าที่นักสืบมากกว่า

    คณะนาย Roots มีด้วยกันกว่าสิบคน มีทั้ง นักการทูต นักธุรกิจ วิศวกร นักหนังสือพิมพ์ นักกิจกรรมสังคม (YMCA) นายทหารบก นายทหารเรือ เบิ้มๆทั้งนั้น มันเป็นคณะที่ต้องไปแสดงละครจริงๆ พวกเขาไปถึง เมือง Petrograd ของรัสเซีย เดือนพฤษภาคม 1917 ใช้เวลาเจริญสัมพันธไมตรีกับคณะปฏิวัติ Kerensky ประมาณ 4 เดือน ไปมันทั่วรัสเซียอันกว้างใหญ่ไพศาล ไปจนถึงไซบีเรียโน่น ต้องยอมรับว่า คณะนี้เขาเล่นละครเก่ง

    คงสงสัยกัน พวก YMCA ( Young Men’s Christain Association) นี่คณะละคร เอาไปทำอะไร ในสมัยนั้น (และสมัยนี้ ?!) เขาใช้ YMCA ทำหน้าที่เหมือน CIA ในคราบทูตวัฒนธรรม ใช้ศาสนา การกีฬา การบรรเทิง บังหน้า เข้าไปคลุกคลี กับชาวบ้าน ชาวเมือง และนักเรียนนักศึกษา มีทั้ง YMCA และ YWCA ของฝ่ายหญิง การจะเอาเจ้าหน้าที่ หน่วยงานราชการทหาร ไปคลุกกับชาวบ้านนี่ บางทีไม่ได้ผล ชาวบ้านไม่เปิดใจ ก็ใช้กิจกรรมนำโดยกลุ่มแบบนี้ สมัยนี้ ก็คงไม่ใช้ YMCA แล้ว เขามาในรูปแบบของกลุ่มอะไร ลองเดาดู

    (2)

    เดือนสิงหาคม คณะละครเร่ แสดงเสร็จ ก็ทำรายงานยาวเหยียด ส่งให้รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ นาย Robert Lansing พิจารณา
    ผมจะขอยกมาเฉพาะบางส่วน ที่น่าสนใจ แต่จะเอาฉบับเต็มลงให้อ่านกันด้วย เผื่อท่านใดอยากจะตั้งคณะละคร จะได้ใช้เป็นตัวอย่าง

    คณะละครได้ไปพบทั้งพวกทำปฏิวัติ ทหารฝ่ายเก่า ฝ่ายใหม่ ชาวบ้าน ชาววัด ครู นักเรียน พ่อค้า นักธุรกิจ สายลับ ฯลฯ พบมันหมด ไปคุย ไปถาม ไปเสือก ก็เหมือนที่ไอ้บ้าอะไรที่เพิ่ง มาเสือกที่บ้านเรา เมื่อต้นเดือนนี้ละครับ มันคงมาจากคณะละครเดียวกัน รูปแบบ การเจรจา ถึงได้ทำนองเดียวกัน เล่นกันแบบนี้มา 100 ปีแล้ว ยังไม่เลิก

    ข้อสรุปที่คณะละคร ได้จากการสำรวจ คือ ชาวรัสเซีย ถอดใจไม่อยากเล่นสงครามแล้ว ขนมปังก็จะไม่มีกิน บ้านก็พัง จนแทบไม่เหลือที่ให้ซุกหัว จะไปรบทำไมอีก คณะละครอ้างว่า เพราะฝ่ายเยอรมันขนสายลับเข้ามา เต็มเมืองรัสเซีย มากรอกหูชาวรัสเซีย และทหารรัสเซียว่า จะไปรบทำไม คนอยากรบน่ะ คือพระเจ้าซาร์ ตอนนี้ท่านก็ไปแล้ว พี่น้องก็ไม่ต้องไปรบแล้ว กลับบ้านไปทำไร่ทำนาต่อแล้วกัน

    ฝ่ายคณะละครได้ยินเข้าก็ลมแทบใส่ นี่ใกล้จะถึงคิวเราเข้าฉากไปรบต่อ ถ้าไม่มีรัสเซียอยู่แถวหน้าตายก่อน พวกเราก็ ฉ. ห. ละซิ เพราะฉนั้น สิ่งที่ฝ่ายเราต้องทำด่วน (ที่เปิดเผยได้) มี 2 เรื่อง

    เรื่องที่ 1 เราต้องเอาทีมอเมริกัน เข้ามาดูแลเรื่องถนนหนทาง รางรถไฟ ในรัสเซีย เพราะขณะนี้ อาวุธยุทธภัณท์ ที่ฝ่ายเราขนมาให้ ยังกองค้างอยูที่เมืองท่า Vladivostok ประมาณ 700,000 ตัน จะขนผ่านข้ามไป Moscow ยังไม่ได้ เพราะทั้งถนน ทั้งทางรถไฟ รับน้ำหนักไม่ไหว แล้วเมื่อเราจะเข้าทำสงคราม ของมันจะต้องขนมาอีกมากมาย เราจะทำยังไง ต้องแก้ไขเรื่องนี้ด่วนจี๋

    อืม คณะละครนี่ ไม่ใช่ย่อย ไม่ใช่มารำเฉิบๆ อย่างเดียว เขาไปสำรวจหมด ระยะทางรถไฟจาก Vladivostok ถึง Moscow น่ะ ประมาณ 5 ถึง 6,000 ไมล์ เชียวนะ รำไป สำรวจไปนี่ไม่ใช่งานเล็กๆ

    แล้วจำกันได้ไหมครับ เมื่อเขาจะรบกับเวียตนาม เขาใช้บ้านเราเป็นฐานทัพ แต่ก่อนจะยกโขยงกองทัพกันเข้ามา เขาส่งคณะละครเร่แบบนี้ มาสำรวจบ้านเราไม่รู้กี่คณะ สำรวจอะไรไปบ้างก็ไม่รู้ แล้วเขาก็สร้างถนน จากสระบุรี กว้างขวางยาวเรียบไปถึงโคราช ให้เราชาวบ้านดีใจ แหม อเมริกาใจดีจัง ถนนเลยมีชื่อว่า มิตรภาพ เปล่าหรอกครับ เขาเตรียมไว้ขนส่ง อาวุธ ยุทธภัณท์ ที่เขาจะขนมาทางเรือ แต่กลัวมากองเป็นภูเขา อยู่แถวท่าเรือคลองเตย แบบ Vladivostock! มันก็เลย ต้องสร้างถนน สร้างสนามบิน ให้ประเทศไทย ฯลฯ (รายละเอียดมีอยู่ในนิทานเรื่อง “จิกโก๋ปากซอย” ถ้าอยากอ่านประวัติศาสตร์ นอกหลักสูตร กระทรวงศึกษาฯ)

    เรื่องที่ 2 ที่คณะละคร บอกสำคัญอย่างยิ่ง คือ เราต้องย้อมความคิค ย้อมสมองคนรัสเซียให้ “อยากทำสงคราม” ไม่ให้เชื่อฟังเยอรมัน อเมริกาจะทำได้อย่างไร รัสเซียไม่ใช่สมันน้อยนะ คณะละครบอกไม่มีปัญหา คนรัสเซีย ก็เหมือนเด็ก ที่ตัวโตนั่นแหละ
    เอ้า เจ้าหน้าที่รัสเซียที่ตามอ่านนิทาน ช่วยขีดเส้นใต้ 2 เส้น แล้วรายงานส่งคุณพี่ปูตินของผมด้วยนะครับ ว่าอเมริกาพูดแบบนี้ แปลว่าเห็นคนรัสเซียเป็นยังไง (เสี้ยม ซะหน่อย)

    คณะละครเร่ เขียนแผนการฟอกย้อมให้เสร็จ เขาระบุว่า เป้าหมายของแผนคือ:

    “To influence the attitude of the people of Russia for the prosecution of war as the only way of perpetuating their democracy ”

    ใครแปลเก่งๆ ลองแปลดูครับ

    สำหรับผม ผมเข้าใจความว่า เพื่อเป็นการย้อมความคิดของคนรัสเซีย ให้เชื่อว่า การเข้าทำสงคราม เป็นทางเดียวที่จะทำให้ประชาธิปไตยของเขาอยู่อย่างยั่งยืน

    ผมเขียนปูพื้น เล่ามาเสียยืดยาว เพื่อจะให้อ่านประโยคนี้กัน อ่านแล้วโปรดพิเคราะห์กันให้ดีๆ จะได้เห็น “สันดาน” อันอำมหิต ของอเมริกา (และของอังกฤษ) ที่ผ่านมาแล้วเกือบ 100 ปี แล้วก็ยังไม่เปลี่ยน และอีกกี่ร้อยปี ก็คงไม่มีวันเปลี่ยนความอำมหิต นี้ โดยใช้ความตอแหล แบบหน้าด้านๆ อ้างเรื่องประชาธิปไตย แบบตะหวักตะบวย เพื่อประโยชน์ของมัน หรือพวกมันเท่านั้น ใครจะเจ็บ ใครจะตาย ใครจะฉิบหาย ใครจะวิบัติ ขนาดไหน มันไม่สนใจ เลวถึงขนาดนี้ อำมหิต อย่างนี้ ยังมีคนอยากให้อเมริกา ครอบหัวสี่เหลี่ยมต่อไปอีกหรือครับ

    แผนการฟอกย้อม จะใช้วิธีหลักๆ อยู่ 5 อย่าง

    1. จัดกระบวนการ “สร้าง และย้อมข่าว” แล้วกระจายข่าว ที่สร้างและย้อมแล้ว ไปทั่วรัสเซีย โดยจะเอาทีมงานมาจากอเมริกา ทั้งด้านการเขียน และการแปล

    คือเอาช่างชำนาญการย้อมของอเมริกา มาตั้งโรงงานที่รัสเซีย เหมือนที่มีอยู่เกลื่อนในบ้านสมันน้อย ซื้อมันทุกช่อง ครอบมันทุกฉบับ

    2. การใช้เอกสารประเภทแผ่นพับ และใบปลิว เพื่อง่ายแก่การเสพข่าว
    สมัยนี้ก็คงเปลี่ยนเป็น เครื่องมือ ไอ้ป๊อด ไอ้แป้ด ไอ้โฟน โดยเฉพาะ พวกเล่นไลน์นี่เหยื่อชั้นดี ส่งข่าวย้อมอะไรเข้าไปแพลบเดียว กระจายทั่ว เรื่องโกหกทั้งนั้น เสพกันได้แยะและเร็วกว่า

    3. สร้างหนังประเภทต่างๆ เพื่อให้ชาวรัสเซียเสพ เช่น หนังเกี่ยวกับสงคราม หนังชีวิตคนอเมริกันในชนบท ในเมือง หนังเกี่ยวกับการทำอุตสาหกรรม การค้า หนังตลก และที่สำคัญ หนังที่แสดงถึงความรักชาติและการแสวงหาประชาธิปไตย

    ฮอลลีวู้ดรับไป เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นโรงย้อมที่สำคัญหมายเลขหนึ่ง

    4. การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะทำเป็นแผ่นโปสเตอร์สีสวยสดุดตา สื่อหัวข้อที่เหมาะสมกับรัสเซีย โดยให้สำนักงานประชาสัมพันธ์ ฝีมือเยี่ยมของอเมริกา

    รู้ไหมครับ พวกประชาสัมพันธ์เก่งๆ เขาย้อมโลกใบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว เขาเอาอะไรมาใส่หัวสมันน้อยบ้าง

    5. วิธีการที่แนบเนียนและใช้แพร่หลาย คือการพูด ซึ่งจำเป็นต้องใช้ นักพูด นักประชาสัมพันธ์ และครู เป็นจำนวนมาก โดยอเมริกาอาจจะเลือกอย่างเหมาะสม จากชาวรัสเซียก็ได้ นักพูดและครูนี้ ถือว่าเป็นเครื่องมือย้อมที่เยี่ยมที่สุด

    วิธีการนี้ บ้านสมันน้อยใช้แยะมาก ยิ่งตอนนี้ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของบ้านเมือง ช่างย้อมถูกจ้างมาทำหน้าที่เพิ่มขึ้นอีกมาก มาในสาระพัดคราบ หัดสังเกตกันบ้าง ใครของจริง ใครของปลอม ใครช่างย้อมฝีมือเนียน

    เป็นไงครับ 5 วิธีการหลัก ยังอยู่ครบในศตวรรษนี้ แค่เปลี่ยน เสื้อผ้า หน้าผม ถ้อยคำ ท่าทาง ให้เข้ากับสมัย ละครฉากเดิมๆก็ยังใช้ได้ เครื่องมือย้อมก็ยังใช้อยู่ แค่เปลี่ยนรุ่นใหม่ไปเรื่อยๆ เท่านั้น นี่ตกลงเราจะให้เขาเล่นแบบนี้ ไปเรื่อยๆ อีก 100 ปีหรือไงครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 กพ. 2558

    ####################
    เอกสารประกอบ
    FRUS
    https://www.dropbox.com/s/
    เรื่อง สันดาน “สันดาน” (1) ผมหายไปจากหน้าจอหลายวันมาก เพราะขี้เกียจดูข่าวและเขียนถึงไอ้นักล่าตอนนี้ บทมันซ้ำจนน่าเบื่อ แถมสะอิดสะเอียน เวลาดูมันพูด เล่นบทเป็นวีรบุรุษ ผู้เสียสละ จำเป็นต้องรักษาสันติสุขของมนุษยชาติ ฯลฯ ขืนดูต่อ ยาแก้คลื่นไส้ก็เอาไม่อยู่ ผมเลยไปค้นหาหนังสือเก่าๆมาอ่านประเทืองปัญญา ดีกว่าดูไอ้นักล่าตอแหล ปรากฏว่า อาการผมหนักกว่าคลื่นไส้! ผมไปเจอเอกสารเก่า เกือบ 100 ปี “The American and Russian Missions” ปี ค.ศ.1917 เป็นเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศ อเมริกัน ที่เรียกว่า Foreign Relations of the United States (FRUS) ทนไม่ไหว ต้องเอามาเล่าสู่กันฟัง ถ้าไม่บอกว่า คนเขียนเอกสาร เขียนเมื่อไหร่ ท่านผู้อ่านอาจนึกว่าเป็นเรื่องในสมัยปัจจุบัน ผ่านมาเกือบ 100 ปี มันก็ยังใช้วิธีเดิมๆ ตามสันดาน… ปี ค.ศ.1917 ตามวิชาประวัติศาสตร์สากล สมัยที่ผมยังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยม เขาบอกว่า มีการปฏิวัติเกิดขึ้นในรัสเซีย คือการปฏิวัติอันโด่งดังของพวกบอลเชวิก (Bolsheviks) ที่โค่นพระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ 2 นั่นแหละ แต่ความจริง ในปี ค.ศ.1917 รัสเซีย มีการปฏิวัติ 2 ครั้ง ครั้งแรก ในเดือนมีนาคม ผู้นำการปฏิวัติ คือ นาย Aleksandr Kerensky ซึ่งยึดอำนาจจากพระเจ้าซาร์ ทำให้พระเจ้าซาร์ประกาศสละบัลลังก์ แต่ต่อมาพวกปฏิวัติก็จับท่านและราชวงค์ไปกักขัง ส่วนพวก Bolsheviks มาทำการปฏิวัติซ้ำในพฤศจิกายน ค.ศ.1917 ไล่คณะ นาย Kerensky ออกไป แล้วพวก Bolsheviks ก็ปกครองรัสเซียต่อ ในตอนที่ นาย Kerensky ทำการปฏิวัตินั้น สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ ปี ค.ศ.1914 กำลังโซ้ยกันอย่างดุเดือด สงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ ความจริงเริ่มมาจากชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เป็นฝ่ายกระสัน อยากจะทำสงครามนะครับ เพราะอังกฤษหมั่นไส้ ปนปอดแหกว่า เยอรมันกำลังจะโตใหญ่เกินหน้า ส่วนเรื่องอาชดยุกค์เฟอร์ดินานด์ แห่งปรัสเซียถูกยิง นั่นมันสาเหตุของสงครามโลก ตามประวัติศาสตร์หลักสูตรกระทรวงศึกษาฯ ลองไปหาประวัติศาสตร์นอกหลักสูตรมาอ่านกันบ้าง จะได้เห็นโลกกว้าง และลึกขึ้น ประมาณปี คศ 1899 เยอรมันส้มหล่นใส่ ไปได้สัมปทานจากออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ยาวประมาณ 2,500 ไมล์ ภาพรางรถไฟวิ่งยาวจาก Berlin ผ่านไปกลางตะวันออกกลาง ที่เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันไปจนถึง Bagdad เลยไปอีกหน่อย ก็ถึงอ่าวเปอร์เซีย ที่อังกฤษตีตั๋วจองไว้ ภาพนี้มันทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯนอนฝันร้าย ที่นอนเปียกชุ่มทุกคืน ตั้งแต่รู้ข่าว ชาวเกาะฯทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาวางแผนเตะตัดขาเยอรมัน ด้วยการไปชวนพรรคพวกมาร่วมรายการถล่มนักสร้างราง แต่ถ้ามีแค่พวกขาประจำอย่างฝรั่งเศส อืตาลีร่วม ชาวเกาะไม่แน่ใจว่า จะถีบนักสร้างรางให้ตกรางได้ ชาวเกาะเลยไปหลอกรัสเซีย ถึงจะอยู่ใกลหน่อย แต่ข่าวว่ากองทัพอึด ให้มาร่วมรายการถล่มนักสร้างรางด้วยกัน (รายละเอียดอยู่ในนิทาน เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือนก 2 หัว” และ นิทานชุด “เหยื่อ”) รัสเซีย จริงๆไม่มีเรื่องชังหน้ากับเยอรมันซักหน่อย แต่พออังกฤษเอาของขวัญมาล่อว่า ถ้าถีบมันตกรางได้ เอาไปเลย อาณาจักรออโตมาน เรายกให้ท่าน ไม่รู้รัสเซียกำลังมึนอะไร เดินหล่นพลั่กลงหลุม ที่ชาวเกาะขุดล่อ ออโตมานก็ไม่ใช่ของชาวเกาะใหญ่ฯ ซะหน่อย เขาเอาของคนอื่นมาล่อ ไปตกลงกับเขาได้ยังไง เนี่ย เหมือนเวลาคนดวงไม่ดี มีดาวประเภท เสาร์ ราหู ทับลัคน์อะไรทำนองนั้น เวลาดาวแรงอย่างนี้ทับลัคน์ อย่าไปเชื่ออะไรใครเขาง่ายๆนะครับ เมื่อ นาย Kerensky ทำปฏิวัติรัสเซีย สงครามเล่นไปแล้ว 3 ปี แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิก คนจัดรายการ ออกตั๋วเสริมมาขายเพิ่มอยู่เรื่อย แม้บ้านช่องจะพังพินาศฉิบหายกันเป็นแถบๆ แต่ชาวเกาะก็บอกให้สู้ต่อ ก็บทมันเขียนไว้อย่างนั้น ทีนี้ รัสเซียแนวร่วม ดันมีปฏิวัติ รัฐบาลใหม่จะเล่นสงครามต่อหรือ เปล่า ชาวเกาะชักเหงื่อแตก อเมริกาเด็กเรา (ตอนนั้น ไอ้นักล่ายังเป็นเด็ก อยู่ในอาณัติของอังกฤษ เรื่องมัน 100 ปีมาแล้วนะครับ แต่ผมก็ไม่แน่ใจ ตอนนี้ ถึงไม่ใช่เด็กแล้ว แต่ก็อาจจะยังอยู่ ในอาณัติกันเหมือนเดิม) ก็ดันประกาศอยู่นั่นว่า เราเป็นกลาง (ยัง) ไม่เข้ามาช่วยรบ จำเราต้องใช้มันไปสืบความว่า รัสเซียหลังปฏิวัตินี่ จะสู้ต่อ หรือจะฝ่อหนี ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ไม้หลักปักเลน จึงจัดคณะละครเร่ ไปเจริญสัมพันธไมตรี ชื่อ The Roots Mission ให้ไปดูลาดเลารัสเซีย หลังปฏิวัติครั้งแรก ว่าหน้าตาเป็นยังไง หล่อเหลา หรือเหลาเหย่ คณะละครเร่เจริญสัมพันธไมตรีที่นำโดย นาย Elihu Roots ซึ่งมีตำแหน่งเป็นอดีตทูต อดีตรัฐมนตรี อดีตอะไรเยอะแยะไปหมด ไปเปิดดูกูเกิลเอาแล้วกันนะครับ น่าเชื่อถือดี แต่คราวนี้ดูเหมือนจะไปทำหน้าที่เล่นละคร และทำหน้าที่นักสืบมากกว่า คณะนาย Roots มีด้วยกันกว่าสิบคน มีทั้ง นักการทูต นักธุรกิจ วิศวกร นักหนังสือพิมพ์ นักกิจกรรมสังคม (YMCA) นายทหารบก นายทหารเรือ เบิ้มๆทั้งนั้น มันเป็นคณะที่ต้องไปแสดงละครจริงๆ พวกเขาไปถึง เมือง Petrograd ของรัสเซีย เดือนพฤษภาคม 1917 ใช้เวลาเจริญสัมพันธไมตรีกับคณะปฏิวัติ Kerensky ประมาณ 4 เดือน ไปมันทั่วรัสเซียอันกว้างใหญ่ไพศาล ไปจนถึงไซบีเรียโน่น ต้องยอมรับว่า คณะนี้เขาเล่นละครเก่ง คงสงสัยกัน พวก YMCA ( Young Men’s Christain Association) นี่คณะละคร เอาไปทำอะไร ในสมัยนั้น (และสมัยนี้ ?!) เขาใช้ YMCA ทำหน้าที่เหมือน CIA ในคราบทูตวัฒนธรรม ใช้ศาสนา การกีฬา การบรรเทิง บังหน้า เข้าไปคลุกคลี กับชาวบ้าน ชาวเมือง และนักเรียนนักศึกษา มีทั้ง YMCA และ YWCA ของฝ่ายหญิง การจะเอาเจ้าหน้าที่ หน่วยงานราชการทหาร ไปคลุกกับชาวบ้านนี่ บางทีไม่ได้ผล ชาวบ้านไม่เปิดใจ ก็ใช้กิจกรรมนำโดยกลุ่มแบบนี้ สมัยนี้ ก็คงไม่ใช้ YMCA แล้ว เขามาในรูปแบบของกลุ่มอะไร ลองเดาดู (2) เดือนสิงหาคม คณะละครเร่ แสดงเสร็จ ก็ทำรายงานยาวเหยียด ส่งให้รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ นาย Robert Lansing พิจารณา ผมจะขอยกมาเฉพาะบางส่วน ที่น่าสนใจ แต่จะเอาฉบับเต็มลงให้อ่านกันด้วย เผื่อท่านใดอยากจะตั้งคณะละคร จะได้ใช้เป็นตัวอย่าง คณะละครได้ไปพบทั้งพวกทำปฏิวัติ ทหารฝ่ายเก่า ฝ่ายใหม่ ชาวบ้าน ชาววัด ครู นักเรียน พ่อค้า นักธุรกิจ สายลับ ฯลฯ พบมันหมด ไปคุย ไปถาม ไปเสือก ก็เหมือนที่ไอ้บ้าอะไรที่เพิ่ง มาเสือกที่บ้านเรา เมื่อต้นเดือนนี้ละครับ มันคงมาจากคณะละครเดียวกัน รูปแบบ การเจรจา ถึงได้ทำนองเดียวกัน เล่นกันแบบนี้มา 100 ปีแล้ว ยังไม่เลิก ข้อสรุปที่คณะละคร ได้จากการสำรวจ คือ ชาวรัสเซีย ถอดใจไม่อยากเล่นสงครามแล้ว ขนมปังก็จะไม่มีกิน บ้านก็พัง จนแทบไม่เหลือที่ให้ซุกหัว จะไปรบทำไมอีก คณะละครอ้างว่า เพราะฝ่ายเยอรมันขนสายลับเข้ามา เต็มเมืองรัสเซีย มากรอกหูชาวรัสเซีย และทหารรัสเซียว่า จะไปรบทำไม คนอยากรบน่ะ คือพระเจ้าซาร์ ตอนนี้ท่านก็ไปแล้ว พี่น้องก็ไม่ต้องไปรบแล้ว กลับบ้านไปทำไร่ทำนาต่อแล้วกัน ฝ่ายคณะละครได้ยินเข้าก็ลมแทบใส่ นี่ใกล้จะถึงคิวเราเข้าฉากไปรบต่อ ถ้าไม่มีรัสเซียอยู่แถวหน้าตายก่อน พวกเราก็ ฉ. ห. ละซิ เพราะฉนั้น สิ่งที่ฝ่ายเราต้องทำด่วน (ที่เปิดเผยได้) มี 2 เรื่อง เรื่องที่ 1 เราต้องเอาทีมอเมริกัน เข้ามาดูแลเรื่องถนนหนทาง รางรถไฟ ในรัสเซีย เพราะขณะนี้ อาวุธยุทธภัณท์ ที่ฝ่ายเราขนมาให้ ยังกองค้างอยูที่เมืองท่า Vladivostok ประมาณ 700,000 ตัน จะขนผ่านข้ามไป Moscow ยังไม่ได้ เพราะทั้งถนน ทั้งทางรถไฟ รับน้ำหนักไม่ไหว แล้วเมื่อเราจะเข้าทำสงคราม ของมันจะต้องขนมาอีกมากมาย เราจะทำยังไง ต้องแก้ไขเรื่องนี้ด่วนจี๋ อืม คณะละครนี่ ไม่ใช่ย่อย ไม่ใช่มารำเฉิบๆ อย่างเดียว เขาไปสำรวจหมด ระยะทางรถไฟจาก Vladivostok ถึง Moscow น่ะ ประมาณ 5 ถึง 6,000 ไมล์ เชียวนะ รำไป สำรวจไปนี่ไม่ใช่งานเล็กๆ แล้วจำกันได้ไหมครับ เมื่อเขาจะรบกับเวียตนาม เขาใช้บ้านเราเป็นฐานทัพ แต่ก่อนจะยกโขยงกองทัพกันเข้ามา เขาส่งคณะละครเร่แบบนี้ มาสำรวจบ้านเราไม่รู้กี่คณะ สำรวจอะไรไปบ้างก็ไม่รู้ แล้วเขาก็สร้างถนน จากสระบุรี กว้างขวางยาวเรียบไปถึงโคราช ให้เราชาวบ้านดีใจ แหม อเมริกาใจดีจัง ถนนเลยมีชื่อว่า มิตรภาพ เปล่าหรอกครับ เขาเตรียมไว้ขนส่ง อาวุธ ยุทธภัณท์ ที่เขาจะขนมาทางเรือ แต่กลัวมากองเป็นภูเขา อยู่แถวท่าเรือคลองเตย แบบ Vladivostock! มันก็เลย ต้องสร้างถนน สร้างสนามบิน ให้ประเทศไทย ฯลฯ (รายละเอียดมีอยู่ในนิทานเรื่อง “จิกโก๋ปากซอย” ถ้าอยากอ่านประวัติศาสตร์ นอกหลักสูตร กระทรวงศึกษาฯ) เรื่องที่ 2 ที่คณะละคร บอกสำคัญอย่างยิ่ง คือ เราต้องย้อมความคิค ย้อมสมองคนรัสเซียให้ “อยากทำสงคราม” ไม่ให้เชื่อฟังเยอรมัน อเมริกาจะทำได้อย่างไร รัสเซียไม่ใช่สมันน้อยนะ คณะละครบอกไม่มีปัญหา คนรัสเซีย ก็เหมือนเด็ก ที่ตัวโตนั่นแหละ เอ้า เจ้าหน้าที่รัสเซียที่ตามอ่านนิทาน ช่วยขีดเส้นใต้ 2 เส้น แล้วรายงานส่งคุณพี่ปูตินของผมด้วยนะครับ ว่าอเมริกาพูดแบบนี้ แปลว่าเห็นคนรัสเซียเป็นยังไง (เสี้ยม ซะหน่อย) คณะละครเร่ เขียนแผนการฟอกย้อมให้เสร็จ เขาระบุว่า เป้าหมายของแผนคือ: “To influence the attitude of the people of Russia for the prosecution of war as the only way of perpetuating their democracy ” ใครแปลเก่งๆ ลองแปลดูครับ สำหรับผม ผมเข้าใจความว่า เพื่อเป็นการย้อมความคิดของคนรัสเซีย ให้เชื่อว่า การเข้าทำสงคราม เป็นทางเดียวที่จะทำให้ประชาธิปไตยของเขาอยู่อย่างยั่งยืน ผมเขียนปูพื้น เล่ามาเสียยืดยาว เพื่อจะให้อ่านประโยคนี้กัน อ่านแล้วโปรดพิเคราะห์กันให้ดีๆ จะได้เห็น “สันดาน” อันอำมหิต ของอเมริกา (และของอังกฤษ) ที่ผ่านมาแล้วเกือบ 100 ปี แล้วก็ยังไม่เปลี่ยน และอีกกี่ร้อยปี ก็คงไม่มีวันเปลี่ยนความอำมหิต นี้ โดยใช้ความตอแหล แบบหน้าด้านๆ อ้างเรื่องประชาธิปไตย แบบตะหวักตะบวย เพื่อประโยชน์ของมัน หรือพวกมันเท่านั้น ใครจะเจ็บ ใครจะตาย ใครจะฉิบหาย ใครจะวิบัติ ขนาดไหน มันไม่สนใจ เลวถึงขนาดนี้ อำมหิต อย่างนี้ ยังมีคนอยากให้อเมริกา ครอบหัวสี่เหลี่ยมต่อไปอีกหรือครับ แผนการฟอกย้อม จะใช้วิธีหลักๆ อยู่ 5 อย่าง 1. จัดกระบวนการ “สร้าง และย้อมข่าว” แล้วกระจายข่าว ที่สร้างและย้อมแล้ว ไปทั่วรัสเซีย โดยจะเอาทีมงานมาจากอเมริกา ทั้งด้านการเขียน และการแปล คือเอาช่างชำนาญการย้อมของอเมริกา มาตั้งโรงงานที่รัสเซีย เหมือนที่มีอยู่เกลื่อนในบ้านสมันน้อย ซื้อมันทุกช่อง ครอบมันทุกฉบับ 2. การใช้เอกสารประเภทแผ่นพับ และใบปลิว เพื่อง่ายแก่การเสพข่าว สมัยนี้ก็คงเปลี่ยนเป็น เครื่องมือ ไอ้ป๊อด ไอ้แป้ด ไอ้โฟน โดยเฉพาะ พวกเล่นไลน์นี่เหยื่อชั้นดี ส่งข่าวย้อมอะไรเข้าไปแพลบเดียว กระจายทั่ว เรื่องโกหกทั้งนั้น เสพกันได้แยะและเร็วกว่า 3. สร้างหนังประเภทต่างๆ เพื่อให้ชาวรัสเซียเสพ เช่น หนังเกี่ยวกับสงคราม หนังชีวิตคนอเมริกันในชนบท ในเมือง หนังเกี่ยวกับการทำอุตสาหกรรม การค้า หนังตลก และที่สำคัญ หนังที่แสดงถึงความรักชาติและการแสวงหาประชาธิปไตย ฮอลลีวู้ดรับไป เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นโรงย้อมที่สำคัญหมายเลขหนึ่ง 4. การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะทำเป็นแผ่นโปสเตอร์สีสวยสดุดตา สื่อหัวข้อที่เหมาะสมกับรัสเซีย โดยให้สำนักงานประชาสัมพันธ์ ฝีมือเยี่ยมของอเมริกา รู้ไหมครับ พวกประชาสัมพันธ์เก่งๆ เขาย้อมโลกใบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว เขาเอาอะไรมาใส่หัวสมันน้อยบ้าง 5. วิธีการที่แนบเนียนและใช้แพร่หลาย คือการพูด ซึ่งจำเป็นต้องใช้ นักพูด นักประชาสัมพันธ์ และครู เป็นจำนวนมาก โดยอเมริกาอาจจะเลือกอย่างเหมาะสม จากชาวรัสเซียก็ได้ นักพูดและครูนี้ ถือว่าเป็นเครื่องมือย้อมที่เยี่ยมที่สุด วิธีการนี้ บ้านสมันน้อยใช้แยะมาก ยิ่งตอนนี้ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของบ้านเมือง ช่างย้อมถูกจ้างมาทำหน้าที่เพิ่มขึ้นอีกมาก มาในสาระพัดคราบ หัดสังเกตกันบ้าง ใครของจริง ใครของปลอม ใครช่างย้อมฝีมือเนียน เป็นไงครับ 5 วิธีการหลัก ยังอยู่ครบในศตวรรษนี้ แค่เปลี่ยน เสื้อผ้า หน้าผม ถ้อยคำ ท่าทาง ให้เข้ากับสมัย ละครฉากเดิมๆก็ยังใช้ได้ เครื่องมือย้อมก็ยังใช้อยู่ แค่เปลี่ยนรุ่นใหม่ไปเรื่อยๆ เท่านั้น นี่ตกลงเราจะให้เขาเล่นแบบนี้ ไปเรื่อยๆ อีก 100 ปีหรือไงครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 กพ. 2558 #################### เอกสารประกอบ FRUS https://www.dropbox.com/s/
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • “Wikipedia เผยทราฟฟิกลดฮวบ – คนหันไปดูคลิปกับใช้ AI ตอบแทนการคลิก”

    Wikipedia ซึ่งเคยเป็นแหล่งข้อมูลอันดับหนึ่งของโลก กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในพฤติกรรมผู้ใช้ โดย Marshall Miller จาก Wikimedia Foundation เผยว่า จำนวนผู้เข้าชมลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง

    สาเหตุหลักคือการเปลี่ยนวิธี “ค้นหาความรู้” ของผู้คน โดยเฉพาะจากสองกระแสใหญ่:

    1️⃣ AI search summaries – เครื่องมือค้นหาหลายเจ้าตอนนี้ใช้ AI สรุปคำตอบให้ทันทีโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บ เช่น Google’s SGE หรือ Bing Copilot ทำให้ผู้ใช้ได้คำตอบจาก Wikipedia โดยไม่เคยเข้า Wikipedia จริง ๆ

    2️⃣ Social video platforms – คนรุ่นใหม่หันไปใช้ TikTok, YouTube Shorts และ Instagram Reels เพื่อหาความรู้แบบเร็ว ๆ แทนการอ่านบทความยาว ๆ บนเว็บ

    Wikipedia เองเคยทดลองใช้ AI สรุปบทความ แต่ต้องหยุดไปเพราะชุมชนผู้แก้ไขไม่พอใจเรื่องความแม่นยำและการควบคุมเนื้อหา

    สิ่งที่น่ากังวลคือ หากคนไม่เข้า Wikipedia โดยตรง ก็จะมีผู้แก้ไขน้อยลง และยอดบริจาคก็ลดลงตามไปด้วย ซึ่งอาจกระทบต่อคุณภาพและความยั่งยืนของเนื้อหาในระยะยาว

    Miller จึงเรียกร้องให้บริษัท AI และแพลตฟอร์มค้นหา “ส่งคนกลับเข้า Wikipedia” และกำลังพัฒนา framework ใหม่เพื่อให้การอ้างอิงเนื้อหาจาก Wikipedia มีความชัดเจนและเป็นธรรมมากขึ้น

    สถานการณ์ปัจจุบันของ Wikipedia
    จำนวนผู้เข้าชมลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน
    การลดลงเกิดหลังจากปรับระบบตรวจจับ bot ใหม่
    พบว่าทราฟฟิกสูงช่วงพฤษภาคม–มิถุนายนมาจาก bot ที่หลบการตรวจจับ

    สาเหตุของการลดลง
    AI search summaries ให้คำตอบโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บ
    คนรุ่นใหม่หันไปใช้ social video เพื่อหาความรู้
    พฤติกรรมการค้นหาข้อมูลเปลี่ยนจาก “อ่าน” เป็น “ดู” และ “ฟัง”

    ผลกระทบต่อ Wikipedia
    ผู้เข้าชมน้อยลง = ผู้แก้ไขน้อยลง
    ยอดบริจาคลดลงตามจำนวนผู้ใช้
    เสี่ยงต่อคุณภาพและความยั่งยืนของเนื้อหา
    ความเข้าใจของผู้ใช้ต่อแหล่งที่มาของข้อมูลลดลง

    การตอบสนองจาก Wikimedia Foundation
    เรียกร้องให้ AI และ search engine ส่งคนกลับเข้า Wikipedia
    พัฒนา framework ใหม่สำหรับการอ้างอิงเนื้อหา
    มีทีมงาน 2 ทีมช่วยผลักดัน Wikipedia สู่กลุ่มผู้ใช้ใหม่
    หยุดการใช้ AI สรุปบทความหลังชุมชนไม่พอใจ

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    หากคนไม่เข้า Wikipedia โดยตรง อาจไม่รู้ว่าเนื้อหามาจากไหน
    การลดจำนวนผู้แก้ไขอาจทำให้เนื้อหาล้าสมัยหรือผิดพลาด
    การพึ่งพา AI summaries อาจลดความหลากหลายของมุมมอง
    หากยอดบริจาคลดลง อาจกระทบต่อการดำเนินงานของ Wikimedia
    การใช้ social video เพื่อหาความรู้อาจทำให้ข้อมูลผิดพลาดแพร่กระจายง่ายขึ้น

    https://techcrunch.com/2025/10/18/wikipedia-says-traffic-is-falling-due-to-ai-search-summaries-and-social-video/
    📉 “Wikipedia เผยทราฟฟิกลดฮวบ – คนหันไปดูคลิปกับใช้ AI ตอบแทนการคลิก” Wikipedia ซึ่งเคยเป็นแหล่งข้อมูลอันดับหนึ่งของโลก กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในพฤติกรรมผู้ใช้ โดย Marshall Miller จาก Wikimedia Foundation เผยว่า จำนวนผู้เข้าชมลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง สาเหตุหลักคือการเปลี่ยนวิธี “ค้นหาความรู้” ของผู้คน โดยเฉพาะจากสองกระแสใหญ่: 1️⃣ AI search summaries – เครื่องมือค้นหาหลายเจ้าตอนนี้ใช้ AI สรุปคำตอบให้ทันทีโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บ เช่น Google’s SGE หรือ Bing Copilot ทำให้ผู้ใช้ได้คำตอบจาก Wikipedia โดยไม่เคยเข้า Wikipedia จริง ๆ 2️⃣ Social video platforms – คนรุ่นใหม่หันไปใช้ TikTok, YouTube Shorts และ Instagram Reels เพื่อหาความรู้แบบเร็ว ๆ แทนการอ่านบทความยาว ๆ บนเว็บ Wikipedia เองเคยทดลองใช้ AI สรุปบทความ แต่ต้องหยุดไปเพราะชุมชนผู้แก้ไขไม่พอใจเรื่องความแม่นยำและการควบคุมเนื้อหา สิ่งที่น่ากังวลคือ หากคนไม่เข้า Wikipedia โดยตรง ก็จะมีผู้แก้ไขน้อยลง และยอดบริจาคก็ลดลงตามไปด้วย ซึ่งอาจกระทบต่อคุณภาพและความยั่งยืนของเนื้อหาในระยะยาว Miller จึงเรียกร้องให้บริษัท AI และแพลตฟอร์มค้นหา “ส่งคนกลับเข้า Wikipedia” และกำลังพัฒนา framework ใหม่เพื่อให้การอ้างอิงเนื้อหาจาก Wikipedia มีความชัดเจนและเป็นธรรมมากขึ้น ✅ สถานการณ์ปัจจุบันของ Wikipedia ➡️ จำนวนผู้เข้าชมลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน ➡️ การลดลงเกิดหลังจากปรับระบบตรวจจับ bot ใหม่ ➡️ พบว่าทราฟฟิกสูงช่วงพฤษภาคม–มิถุนายนมาจาก bot ที่หลบการตรวจจับ ✅ สาเหตุของการลดลง ➡️ AI search summaries ให้คำตอบโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บ ➡️ คนรุ่นใหม่หันไปใช้ social video เพื่อหาความรู้ ➡️ พฤติกรรมการค้นหาข้อมูลเปลี่ยนจาก “อ่าน” เป็น “ดู” และ “ฟัง” ✅ ผลกระทบต่อ Wikipedia ➡️ ผู้เข้าชมน้อยลง = ผู้แก้ไขน้อยลง ➡️ ยอดบริจาคลดลงตามจำนวนผู้ใช้ ➡️ เสี่ยงต่อคุณภาพและความยั่งยืนของเนื้อหา ➡️ ความเข้าใจของผู้ใช้ต่อแหล่งที่มาของข้อมูลลดลง ✅ การตอบสนองจาก Wikimedia Foundation ➡️ เรียกร้องให้ AI และ search engine ส่งคนกลับเข้า Wikipedia ➡️ พัฒนา framework ใหม่สำหรับการอ้างอิงเนื้อหา ➡️ มีทีมงาน 2 ทีมช่วยผลักดัน Wikipedia สู่กลุ่มผู้ใช้ใหม่ ➡️ หยุดการใช้ AI สรุปบทความหลังชุมชนไม่พอใจ ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ หากคนไม่เข้า Wikipedia โดยตรง อาจไม่รู้ว่าเนื้อหามาจากไหน ⛔ การลดจำนวนผู้แก้ไขอาจทำให้เนื้อหาล้าสมัยหรือผิดพลาด ⛔ การพึ่งพา AI summaries อาจลดความหลากหลายของมุมมอง ⛔ หากยอดบริจาคลดลง อาจกระทบต่อการดำเนินงานของ Wikimedia ⛔ การใช้ social video เพื่อหาความรู้อาจทำให้ข้อมูลผิดพลาดแพร่กระจายง่ายขึ้น https://techcrunch.com/2025/10/18/wikipedia-says-traffic-is-falling-due-to-ai-search-summaries-and-social-video/
    TECHCRUNCH.COM
    Wikipedia says traffic is falling due to AI search summaries and social video | TechCrunch
    Looks like Wikipedia isn't immune to broader online trends, with human page views falling 8% year-over-year, according to a new blog post from Marshall Miller of the Wikimedia Foundation.
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • กู้อุดมการณ์ ประชาธิปัตย์ ท่ามกลางความสิ้นหวังประชาชน : คนเคาะข่าว 22-10-68

    ร่วมสนทนา
    คุณรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ด้านสตรี เยาวชน ความยั่งยืน)

    ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์

    https://www.youtube.com/watch?v=aTe5ReVeXLU
    กู้อุดมการณ์ ประชาธิปัตย์ ท่ามกลางความสิ้นหวังประชาชน : คนเคาะข่าว 22-10-68 ร่วมสนทนา คุณรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ด้านสตรี เยาวชน ความยั่งยืน) ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์ https://www.youtube.com/watch?v=aTe5ReVeXLU
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • “ByteDance จับมือ AMD, Intel, Arm และ Google สร้างมาตรฐานใหม่ให้เฟิร์มแวร์ – เปิดตัวโครงการ openSFI”

    ใครจะคิดว่าเจ้าของ TikTok อย่าง ByteDance จะมาร่วมวงกับยักษ์ใหญ่สายฮาร์ดแวร์อย่าง AMD, Intel, Arm และ Google ในการพัฒนาเฟิร์มแวร์ระดับล่างของระบบคอมพิวเตอร์ ล่าสุดพวกเขาร่วมกันเปิดตัวโครงการชื่อว่า “openSFI” (Open Silicon Firmware Interface) ซึ่งเป็นความพยายามครั้งใหญ่ในการสร้างมาตรฐานกลางสำหรับการสื่อสารระหว่างเฟิร์มแวร์กับชิป CPU

    openSFI มีเป้าหมายเพื่อให้เฟิร์มแวร์สามารถทำงานร่วมกับชิปจากผู้ผลิตต่าง ๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ โดยไม่ต้องเขียนโค้ดใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนแพลตฟอร์ม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน ลดเวลาในการพัฒนา และเพิ่มความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรม

    โครงการนี้ต่อยอดจากความพยายามของ AMD ที่ชื่อว่า openSIL ซึ่งเป็นเฟิร์มแวร์แบบโอเพ่นซอร์สที่มาแทน AGESA และของ Intel ที่ชื่อว่า FSP (Firmware Support Package) โดย openSFI จะเป็นเลเยอร์กลางที่นั่งอยู่เหนือ openSIL และ FSP เพื่อให้เฟิร์มแวร์เรียกใช้ฟังก์ชันต่าง ๆ ได้แบบมาตรฐานเดียว

    ที่น่าสนใจคือ ByteDance เป็นบริษัทจีนเพียงรายเดียวที่เข้าร่วมโครงการนี้ ท่ามกลางบริษัทตะวันตกยักษ์ใหญ่มากมาย เช่น Microsoft, HPE, MiTAC และ Google ซึ่งถือเป็นความร่วมมือข้ามชาติที่หาได้ยากในยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์

    โครงการ openSFI คืออะไร
    เป็นมาตรฐานกลางสำหรับการเชื่อมต่อระหว่างเฟิร์มแวร์กับชิป CPU
    ช่วยให้เฟิร์มแวร์ทำงานร่วมกับชิปจากหลายค่ายได้ง่ายขึ้น
    ลดต้นทุนและเวลาในการพัฒนาเฟิร์มแวร์
    เพิ่มความสามารถในการนำกลับมาใช้ซ้ำ (reusability)
    ส่งเสริมความยั่งยืนในอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์

    ความร่วมมือระดับโลก
    นำโดย AMD, Intel, Arm, Google และ ByteDance
    ByteDance เป็นบริษัทจีนเพียงรายเดียวในโครงการ
    มีบริษัทอื่นร่วมด้วย เช่น Microsoft, HPE, MiTAC
    โครงการต่อยอดจาก AMD openSIL และ Intel FSP
    openSFI จะเป็นเลเยอร์กลางที่เชื่อมทั้งสองระบบเข้าด้วยกัน

    เป้าหมายของ openSFI
    สร้าง API ที่เสถียรและเป็นมาตรฐาน
    ให้ host firmware เรียกใช้ฟังก์ชันของชิปได้แบบไม่ขึ้นกับผู้ผลิต
    ลดความซ้ำซ้อนในการพัฒนาและการตรวจสอบระบบ
    สนับสนุนการพัฒนาเฟิร์มแวร์แบบโมดูลาร์และขยายได้

    https://www.techradar.com/pro/tiktok-owner-is-collaborating-with-amd-arm-and-intel-on-making-firmware-solutions-better-bytedance-is-the-only-chinese-company-participating-in-this-major-project
    🤝 “ByteDance จับมือ AMD, Intel, Arm และ Google สร้างมาตรฐานใหม่ให้เฟิร์มแวร์ – เปิดตัวโครงการ openSFI” ใครจะคิดว่าเจ้าของ TikTok อย่าง ByteDance จะมาร่วมวงกับยักษ์ใหญ่สายฮาร์ดแวร์อย่าง AMD, Intel, Arm และ Google ในการพัฒนาเฟิร์มแวร์ระดับล่างของระบบคอมพิวเตอร์ ล่าสุดพวกเขาร่วมกันเปิดตัวโครงการชื่อว่า “openSFI” (Open Silicon Firmware Interface) ซึ่งเป็นความพยายามครั้งใหญ่ในการสร้างมาตรฐานกลางสำหรับการสื่อสารระหว่างเฟิร์มแวร์กับชิป CPU openSFI มีเป้าหมายเพื่อให้เฟิร์มแวร์สามารถทำงานร่วมกับชิปจากผู้ผลิตต่าง ๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ โดยไม่ต้องเขียนโค้ดใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนแพลตฟอร์ม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน ลดเวลาในการพัฒนา และเพิ่มความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรม โครงการนี้ต่อยอดจากความพยายามของ AMD ที่ชื่อว่า openSIL ซึ่งเป็นเฟิร์มแวร์แบบโอเพ่นซอร์สที่มาแทน AGESA และของ Intel ที่ชื่อว่า FSP (Firmware Support Package) โดย openSFI จะเป็นเลเยอร์กลางที่นั่งอยู่เหนือ openSIL และ FSP เพื่อให้เฟิร์มแวร์เรียกใช้ฟังก์ชันต่าง ๆ ได้แบบมาตรฐานเดียว ที่น่าสนใจคือ ByteDance เป็นบริษัทจีนเพียงรายเดียวที่เข้าร่วมโครงการนี้ ท่ามกลางบริษัทตะวันตกยักษ์ใหญ่มากมาย เช่น Microsoft, HPE, MiTAC และ Google ซึ่งถือเป็นความร่วมมือข้ามชาติที่หาได้ยากในยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ✅ โครงการ openSFI คืออะไร ➡️ เป็นมาตรฐานกลางสำหรับการเชื่อมต่อระหว่างเฟิร์มแวร์กับชิป CPU ➡️ ช่วยให้เฟิร์มแวร์ทำงานร่วมกับชิปจากหลายค่ายได้ง่ายขึ้น ➡️ ลดต้นทุนและเวลาในการพัฒนาเฟิร์มแวร์ ➡️ เพิ่มความสามารถในการนำกลับมาใช้ซ้ำ (reusability) ➡️ ส่งเสริมความยั่งยืนในอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ ✅ ความร่วมมือระดับโลก ➡️ นำโดย AMD, Intel, Arm, Google และ ByteDance ➡️ ByteDance เป็นบริษัทจีนเพียงรายเดียวในโครงการ ➡️ มีบริษัทอื่นร่วมด้วย เช่น Microsoft, HPE, MiTAC ➡️ โครงการต่อยอดจาก AMD openSIL และ Intel FSP ➡️ openSFI จะเป็นเลเยอร์กลางที่เชื่อมทั้งสองระบบเข้าด้วยกัน ✅ เป้าหมายของ openSFI ➡️ สร้าง API ที่เสถียรและเป็นมาตรฐาน ➡️ ให้ host firmware เรียกใช้ฟังก์ชันของชิปได้แบบไม่ขึ้นกับผู้ผลิต ➡️ ลดความซ้ำซ้อนในการพัฒนาและการตรวจสอบระบบ ➡️ สนับสนุนการพัฒนาเฟิร์มแวร์แบบโมดูลาร์และขยายได้ https://www.techradar.com/pro/tiktok-owner-is-collaborating-with-amd-arm-and-intel-on-making-firmware-solutions-better-bytedance-is-the-only-chinese-company-participating-in-this-major-project
    WWW.TECHRADAR.COM
    Firmware wars take a new turn as openSFI promises to break vendor barriers
    OpenSFI layers above AMD’s openSIL and Intel’s FSP for unified function calls
    0 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews
  • “อภิสิทธิ์“ เผย ส.ส.บางส่วนแจ้งเตรียมไม่ร่วมทีมต่อ ยันเป็นสุภาพบุรุษพอ เข้าใจดี ไม่ถือเป็นอุปสรรคมั่นใจเดินหน้าฟื้นพรรค พร้อมสรรหาผู้สมัครลงสนามแข่งกับเวลาชูนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโตยั่งยืน ยกเครื่องเกษตรลดเหลื่อมล้ำ สู่เศรษฐกิจสีเขียวและดิจิทัล ลั่นจะทำให้การเมืองกลับมาแก้ปัญหาประชาชนจริง ไม่ใช่เวทีต่อรองผลประโยชน์

    เมื่อวันที่ 20 ต.ค. เวลา 10.40 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ ภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่ ว่า วันนี้เป็นการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการบริหารพรรคฯ ที่ได้รับเลือกเมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้เราต้องรอการรับรองของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อนทํางานอย่างเป็นทางการ แต่ได้มีการปรึกษาหารือกันแล้ว ว่าเรามีเวลามันน้อยมาก สําหรับเรื่องหลักที่ได้พูดคุยกันในวันนี้ คือ 1.นโยบาย เพราะสิ่งสําคัญที่สุดในการทํางานของคณะกรรมการบริหารพรรคชุดนี้ คือ 1.ต้องสร้างความหวังให้ประชาชนให้ได้ หัวใจหลักของนโยบายของพรรคนั้น เรายืนยันว่ามีสิ่งดีๆ และความคิดดีๆ มากมาย แต่วันนี้ประเทศไทยจะยังทําไม่ได้ ถ้าเศรษฐกิจไม่โต เพราะเศรษฐกิจไทยติดหล่มมานานแล้ว เพราะฉะนั้น แนวคิดที่เราจะผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตซึ่งจะเกี่ยวพันไปถึงการยกเครื่องภาคการเกษตร การทําให้เศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว และเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงลดความเหลื่อมล้ํา ลดการผูกขาด จะเป็นเรื่องที่เราต้องเร่งผลักดัน โดยได้มีการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิที่จะมาให้ความคิดเห็นกับเรา ในวันที่ 28 ต.ค.นี้ ซึ่งเรามีการตั้งโจทย์ให้กับผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านี้ว่าประเทศไทยต้องการอะไรจากการเมือง ซึ่งกระบวนการดังกล่าว นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค นี้จะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนโยบายของพรรค

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000100055

    #MGROnline #พรรคประชาธิปัตย์
    “อภิสิทธิ์“ เผย ส.ส.บางส่วนแจ้งเตรียมไม่ร่วมทีมต่อ ยันเป็นสุภาพบุรุษพอ เข้าใจดี ไม่ถือเป็นอุปสรรคมั่นใจเดินหน้าฟื้นพรรค พร้อมสรรหาผู้สมัครลงสนามแข่งกับเวลาชูนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโตยั่งยืน ยกเครื่องเกษตรลดเหลื่อมล้ำ สู่เศรษฐกิจสีเขียวและดิจิทัล ลั่นจะทำให้การเมืองกลับมาแก้ปัญหาประชาชนจริง ไม่ใช่เวทีต่อรองผลประโยชน์ • เมื่อวันที่ 20 ต.ค. เวลา 10.40 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ ภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่ ว่า วันนี้เป็นการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการบริหารพรรคฯ ที่ได้รับเลือกเมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้เราต้องรอการรับรองของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อนทํางานอย่างเป็นทางการ แต่ได้มีการปรึกษาหารือกันแล้ว ว่าเรามีเวลามันน้อยมาก สําหรับเรื่องหลักที่ได้พูดคุยกันในวันนี้ คือ 1.นโยบาย เพราะสิ่งสําคัญที่สุดในการทํางานของคณะกรรมการบริหารพรรคชุดนี้ คือ 1.ต้องสร้างความหวังให้ประชาชนให้ได้ หัวใจหลักของนโยบายของพรรคนั้น เรายืนยันว่ามีสิ่งดีๆ และความคิดดีๆ มากมาย แต่วันนี้ประเทศไทยจะยังทําไม่ได้ ถ้าเศรษฐกิจไม่โต เพราะเศรษฐกิจไทยติดหล่มมานานแล้ว เพราะฉะนั้น แนวคิดที่เราจะผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตซึ่งจะเกี่ยวพันไปถึงการยกเครื่องภาคการเกษตร การทําให้เศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว และเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงลดความเหลื่อมล้ํา ลดการผูกขาด จะเป็นเรื่องที่เราต้องเร่งผลักดัน โดยได้มีการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิที่จะมาให้ความคิดเห็นกับเรา ในวันที่ 28 ต.ค.นี้ ซึ่งเรามีการตั้งโจทย์ให้กับผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านี้ว่าประเทศไทยต้องการอะไรจากการเมือง ซึ่งกระบวนการดังกล่าว นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค นี้จะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนโยบายของพรรค • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000100055 • #MGROnline #พรรคประชาธิปัตย์
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • “Captery Ultra: แบตเตอรี่ AA ที่ชาร์จไว ใช้ได้นานหลายสิบปี และเป็นมิตรต่อโลก”

    ลองจินตนาการว่าแบตเตอรี่ AA ที่คุณใช้ในรีโมทหรือคีย์บอร์ดไร้สาย สามารถชาร์จเต็มในเวลาแค่ 160 วินาที ใช้ได้นานหลายสิบปี และไม่สร้างขยะพิษให้โลก—นี่คือสิ่งที่สตาร์ทอัพจากอิตาลีชื่อ Captery กำลังทำให้เป็นจริง

    Captery Ultra คือแบตเตอรี่ AA และ AAA ที่ใช้เทคโนโลยี “ซุปเปอร์คาปาซิเตอร์” แทนเคมีแบบดั้งเดิมอย่างลิเธียมหรือนิกเกิลเมทัลไฮไดรด์ ซึ่งทำให้สามารถชาร์จซ้ำได้มากกว่าถ่านทั่วไปถึง 500 เท่า และเสื่อมสภาพช้ากว่ามาก เพราะใช้กระบวนการทางกายภาพในการเก็บพลังงาน ไม่ใช่เคมี

    ที่น่าสนใจคือแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่นี้อยู่ที่ 3.2V ซึ่งเพียงพอสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ถ่าน AA สองก้อน และยังมีอุปกรณ์เสริมชื่อ “Bridge” ที่ช่วยให้ใช้งานร่วมกับถ่านเก่าได้อย่างสมดุล

    แม้จะยังอยู่ในช่วงระดมทุนผ่าน Kickstarter แต่ก็ได้รับการสนับสนุนเกินเป้าหมายแล้ว และมีชุดเริ่มต้นราคา €54 (~$63) ที่รวมแบตเตอรี่ AA, AAA, เครื่องชาร์จ S-Charge Plus และอุปกรณ์ Bridge พร้อมจัดส่งทั่วโลก

    เทคโนโลยีนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนของการใช้พลังงานแบบพกพาในอนาคต โดยเฉพาะในยุคที่โลกต้องการลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และหาทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น

    เทคโนโลยีซุปเปอร์คาปาซิเตอร์
    ใช้กระบวนการทางกายภาพในการเก็บพลังงาน ทำให้ชาร์จเร็วและเสื่อมช้ากว่าแบตเตอรี่ทั่วไป
    ชาร์จเต็มใน 160 วินาที และใช้งานได้นานหลายสิบปี
    ชาร์จซ้ำได้มากกว่าถ่านทั่วไปถึง 500 เท่า

    ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม
    วัสดุที่ใช้มีความยั่งยืนมากกว่าถ่านทั่วไปถึง 90%
    ลดการสร้างขยะพิษจากแบตเตอรี่ที่ทิ้งปีละหลายพันล้านก้อน

    การใช้งานและอุปกรณ์เสริม
    แรงดันไฟฟ้า 3.2V ใช้ได้กับอุปกรณ์ที่ต้องการถ่าน AA สองก้อน
    ใช้กับรีโมท, คีย์บอร์ดไร้สาย, ของเล่น และอุปกรณ์ทั่วไป
    มีอุปกรณ์ “Bridge” สำหรับใช้งานร่วมกับถ่านเก่า
    เครื่องชาร์จ S-Charge Plus รองรับทั้ง AA และ AAA พร้อมอะแดปเตอร์

    การระดมทุนและการจัดจำหน่าย
    ระดมทุนผ่าน Kickstarter ได้เกินเป้าหมายแล้ว
    ชุดเริ่มต้นราคา €54 (~$63) พร้อมจัดส่งทั่วโลก
    วางแผนผลิตรุ่น 1.5V สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ถ่านก้อนเดียว

    https://www.techradar.com/pro/this-tiny-startup-wants-to-produce-the-worlds-best-aa-battery-capterys-supercapacitor-recharges-in-160-seconds-pollutes-less-and-can-last-decades-and-i-want-one
    🔋 “Captery Ultra: แบตเตอรี่ AA ที่ชาร์จไว ใช้ได้นานหลายสิบปี และเป็นมิตรต่อโลก” ลองจินตนาการว่าแบตเตอรี่ AA ที่คุณใช้ในรีโมทหรือคีย์บอร์ดไร้สาย สามารถชาร์จเต็มในเวลาแค่ 160 วินาที ใช้ได้นานหลายสิบปี และไม่สร้างขยะพิษให้โลก—นี่คือสิ่งที่สตาร์ทอัพจากอิตาลีชื่อ Captery กำลังทำให้เป็นจริง Captery Ultra คือแบตเตอรี่ AA และ AAA ที่ใช้เทคโนโลยี “ซุปเปอร์คาปาซิเตอร์” แทนเคมีแบบดั้งเดิมอย่างลิเธียมหรือนิกเกิลเมทัลไฮไดรด์ ซึ่งทำให้สามารถชาร์จซ้ำได้มากกว่าถ่านทั่วไปถึง 500 เท่า และเสื่อมสภาพช้ากว่ามาก เพราะใช้กระบวนการทางกายภาพในการเก็บพลังงาน ไม่ใช่เคมี ที่น่าสนใจคือแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่นี้อยู่ที่ 3.2V ซึ่งเพียงพอสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ถ่าน AA สองก้อน และยังมีอุปกรณ์เสริมชื่อ “Bridge” ที่ช่วยให้ใช้งานร่วมกับถ่านเก่าได้อย่างสมดุล แม้จะยังอยู่ในช่วงระดมทุนผ่าน Kickstarter แต่ก็ได้รับการสนับสนุนเกินเป้าหมายแล้ว และมีชุดเริ่มต้นราคา €54 (~$63) ที่รวมแบตเตอรี่ AA, AAA, เครื่องชาร์จ S-Charge Plus และอุปกรณ์ Bridge พร้อมจัดส่งทั่วโลก เทคโนโลยีนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนของการใช้พลังงานแบบพกพาในอนาคต โดยเฉพาะในยุคที่โลกต้องการลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และหาทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น ✅ เทคโนโลยีซุปเปอร์คาปาซิเตอร์ ➡️ ใช้กระบวนการทางกายภาพในการเก็บพลังงาน ทำให้ชาร์จเร็วและเสื่อมช้ากว่าแบตเตอรี่ทั่วไป ➡️ ชาร์จเต็มใน 160 วินาที และใช้งานได้นานหลายสิบปี ➡️ ชาร์จซ้ำได้มากกว่าถ่านทั่วไปถึง 500 เท่า ✅ ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม ➡️ วัสดุที่ใช้มีความยั่งยืนมากกว่าถ่านทั่วไปถึง 90% ➡️ ลดการสร้างขยะพิษจากแบตเตอรี่ที่ทิ้งปีละหลายพันล้านก้อน ✅ การใช้งานและอุปกรณ์เสริม ➡️ แรงดันไฟฟ้า 3.2V ใช้ได้กับอุปกรณ์ที่ต้องการถ่าน AA สองก้อน ➡️ ใช้กับรีโมท, คีย์บอร์ดไร้สาย, ของเล่น และอุปกรณ์ทั่วไป ➡️ มีอุปกรณ์ “Bridge” สำหรับใช้งานร่วมกับถ่านเก่า ➡️ เครื่องชาร์จ S-Charge Plus รองรับทั้ง AA และ AAA พร้อมอะแดปเตอร์ ✅ การระดมทุนและการจัดจำหน่าย ➡️ ระดมทุนผ่าน Kickstarter ได้เกินเป้าหมายแล้ว ➡️ ชุดเริ่มต้นราคา €54 (~$63) พร้อมจัดส่งทั่วโลก ➡️ วางแผนผลิตรุ่น 1.5V สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ถ่านก้อนเดียว https://www.techradar.com/pro/this-tiny-startup-wants-to-produce-the-worlds-best-aa-battery-capterys-supercapacitor-recharges-in-160-seconds-pollutes-less-and-can-last-decades-and-i-want-one
    WWW.TECHRADAR.COM
    Startup Captery proposes quick-charging AA battery with decades of use
    Captery battery even comes with a special, dedicated charger
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 Reviews
  • "Cerabyte เปิดตัวสื่อบันทึกข้อมูลแบบเซรามิกบนกระจก: เก็บรัฐธรรมนูญสหรัฐไว้ในวัสดุที่อยู่เหนือกาลเวลา"

    ในงาน OCP Global Summit ปี 2025 ที่ซานโฮเซ่ รัฐแคลิฟอร์เนีย บริษัท Cerabyte ได้เปิดตัวเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่ใช้วัสดุ “เซรามิกบนกระจก” ซึ่งมีความทนทานสูงและไม่ต้องใช้พลังงานในการเก็บรักษา โดยแจกตัวอย่างสื่อบันทึกที่บรรจุสำเนารัฐธรรมนูญสหรัฐให้กับผู้เข้าร่วมงานในรูปแบบกรอบโชว์สุดล้ำ

    เทคโนโลยีนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการเก็บข้อมูลระยะยาวในยุคที่ข้อมูลมีปริมาณมหาศาลและต้องการความมั่นคงสูง โดย Cerabyte ชูจุดเด่นว่า “ไม่ต้องบำรุงรักษา ไม่ต้องใช้พลังงาน และไม่ต้องย้ายข้อมูลซ้ำ” ซึ่งต่างจากระบบเก็บข้อมูลทั่วไปที่ต้องเปลี่ยนสื่อทุกไม่กี่ปี

    ที่น่าทึ่งคือ ตัวอย่างสื่อบันทึกสามารถอ่านข้อมูลได้ด้วยสมาร์ทโฟนทั่วไป แสดงให้เห็นถึงความเข้าถึงง่ายของเทคโนโลยีนี้ แม้จะยังอยู่ในขั้นต้น แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การเก็บข้อมูลแบบถาวรที่ยั่งยืน

    เทคโนโลยีเซรามิกบนกระจกของ Cerabyte
    ใช้วัสดุเซรามิกบนแผ่นกระจกเพื่อบันทึกข้อมูล
    ไม่ต้องใช้พลังงานหรือการบำรุงรักษา
    ออกแบบมาเพื่อการเก็บข้อมูลถาวรและลดต้นทุนระยะยาว

    การเปิดตัวในงาน OCP Summit 2025
    แจกตัวอย่างที่บรรจุสำเนารัฐธรรมนูญสหรัฐในกรอบโชว์
    แสดงการอ่านข้อมูลผ่านสมาร์ทโฟนแบบเรียลไทม์
    เป็นส่วนหนึ่งของ Innovation Village ที่เน้นเทคโนโลยีแห่งอนาคต

    จุดเด่นของเทคโนโลยี
    ทนทานต่อเวลาและสภาพแวดล้อม
    ลดการปล่อยคาร์บอนจากการเก็บข้อมูล
    เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ เช่น hyperscalers และสถาบันวิจัย

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    ยังอยู่ในขั้นต้นของการพัฒนา ไม่พร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ
    ความจุยังจำกัดในระดับกิกะไบต์
    ต้องพิสูจน์ความสามารถในการผลิตในระดับอุตสาหกรรม

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความสำคัญของการเก็บข้อมูลถาวร
    ข้อมูลวิจัย, ประวัติศาสตร์, และหลักฐานทางกฎหมายต้องการสื่อที่มั่นคง
    สื่อแบบเทป, ฮาร์ดดิสก์ และ SSD มีอายุการใช้งานจำกัด

    แนวโน้มการพัฒนาในอนาคต
    การรวมเทคโนโลยีเซรามิกกับระบบ AI เพื่อจัดการข้อมูลถาวร
    การใช้วัสดุใหม่ เช่น sapphire, diamond-like carbon และ optical glass

    https://www.techradar.com/pro/own-a-piece-of-storage-history-as-cerabyte-gives-way-framed-ceramic-on-glass-media-samples-containing-copies-of-the-us-constitution
    📀 "Cerabyte เปิดตัวสื่อบันทึกข้อมูลแบบเซรามิกบนกระจก: เก็บรัฐธรรมนูญสหรัฐไว้ในวัสดุที่อยู่เหนือกาลเวลา" ในงาน OCP Global Summit ปี 2025 ที่ซานโฮเซ่ รัฐแคลิฟอร์เนีย บริษัท Cerabyte ได้เปิดตัวเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่ใช้วัสดุ “เซรามิกบนกระจก” ซึ่งมีความทนทานสูงและไม่ต้องใช้พลังงานในการเก็บรักษา โดยแจกตัวอย่างสื่อบันทึกที่บรรจุสำเนารัฐธรรมนูญสหรัฐให้กับผู้เข้าร่วมงานในรูปแบบกรอบโชว์สุดล้ำ เทคโนโลยีนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการเก็บข้อมูลระยะยาวในยุคที่ข้อมูลมีปริมาณมหาศาลและต้องการความมั่นคงสูง โดย Cerabyte ชูจุดเด่นว่า “ไม่ต้องบำรุงรักษา ไม่ต้องใช้พลังงาน และไม่ต้องย้ายข้อมูลซ้ำ” ซึ่งต่างจากระบบเก็บข้อมูลทั่วไปที่ต้องเปลี่ยนสื่อทุกไม่กี่ปี ที่น่าทึ่งคือ ตัวอย่างสื่อบันทึกสามารถอ่านข้อมูลได้ด้วยสมาร์ทโฟนทั่วไป แสดงให้เห็นถึงความเข้าถึงง่ายของเทคโนโลยีนี้ แม้จะยังอยู่ในขั้นต้น แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การเก็บข้อมูลแบบถาวรที่ยั่งยืน ✅ เทคโนโลยีเซรามิกบนกระจกของ Cerabyte ➡️ ใช้วัสดุเซรามิกบนแผ่นกระจกเพื่อบันทึกข้อมูล ➡️ ไม่ต้องใช้พลังงานหรือการบำรุงรักษา ➡️ ออกแบบมาเพื่อการเก็บข้อมูลถาวรและลดต้นทุนระยะยาว ✅ การเปิดตัวในงาน OCP Summit 2025 ➡️ แจกตัวอย่างที่บรรจุสำเนารัฐธรรมนูญสหรัฐในกรอบโชว์ ➡️ แสดงการอ่านข้อมูลผ่านสมาร์ทโฟนแบบเรียลไทม์ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของ Innovation Village ที่เน้นเทคโนโลยีแห่งอนาคต ✅ จุดเด่นของเทคโนโลยี ➡️ ทนทานต่อเวลาและสภาพแวดล้อม ➡️ ลดการปล่อยคาร์บอนจากการเก็บข้อมูล ➡️ เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ เช่น hyperscalers และสถาบันวิจัย ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ ยังอยู่ในขั้นต้นของการพัฒนา ไม่พร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ ⛔ ความจุยังจำกัดในระดับกิกะไบต์ ⛔ ต้องพิสูจน์ความสามารถในการผลิตในระดับอุตสาหกรรม 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความสำคัญของการเก็บข้อมูลถาวร ➡️ ข้อมูลวิจัย, ประวัติศาสตร์, และหลักฐานทางกฎหมายต้องการสื่อที่มั่นคง ➡️ สื่อแบบเทป, ฮาร์ดดิสก์ และ SSD มีอายุการใช้งานจำกัด ✅ แนวโน้มการพัฒนาในอนาคต ➡️ การรวมเทคโนโลยีเซรามิกกับระบบ AI เพื่อจัดการข้อมูลถาวร ➡️ การใช้วัสดุใหม่ เช่น sapphire, diamond-like carbon และ optical glass https://www.techradar.com/pro/own-a-piece-of-storage-history-as-cerabyte-gives-way-framed-ceramic-on-glass-media-samples-containing-copies-of-the-us-constitution
    WWW.TECHRADAR.COM
    This framed piece of glass could outlast your hard drives
    Gigabyte-scale prototypes signal early progress toward scalable, glass-based storage
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • “The Pivot: ปี 2025 จุดเปลี่ยนของอารยธรรมมนุษย์” — เมื่อ Charlie Stross มองโลกปัจจุบันผ่านเลนส์ไซไฟดิสโทเปีย และชี้ว่า ‘นี่คือปีที่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยน’

    ในบทความ “The Pivot” นักเขียนไซไฟชื่อดัง Charlie Stross สะท้อนภาพโลกในปี 2025 ว่าเป็น “จุดเปลี่ยน” ของอารยธรรมมนุษย์ คล้ายกับปี 1968 ที่เคยเป็นจุดเปลี่ยนหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเปรียบเทียบโลกปัจจุบันกับนิยายไซไฟยุค 70s ที่เต็มไปด้วยมหาเศรษฐีผู้แยกตัวไปอวกาศ, สงคราม, ภาวะโลกร้อน และระบบเศรษฐกิจที่ใกล้ล่มสลาย

    Stross ชี้ว่าเรากำลังอยู่ในช่วง “การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน” ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยพลังงานจากฟอสซิลกำลังถูกแทนที่ด้วยพลังงานหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว — จีนติดตั้งแผงโซลาร์ 198GW ภายใน 5 เดือน, EU มีไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเกิน 50% แล้ว และราคาพลังงานแสงอาทิตย์ถูกลงจน “ถูกเกินกว่าจะเพิกเฉย”

    เขาย้อนประวัติศาสตร์พลังงานจากยุคถ่านหิน → น้ำมัน → พลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างเศรษฐกิจโลกที่ผูกกับเชื้อเพลิงฟอสซิลกำลังพังทลายลงอย่างช้า ๆ และจะกลายเป็น “สินทรัพย์ไร้ค่า” (stranded assets) ภายในไม่กี่ทศวรรษ

    Stross ยังเตือนถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงนี้:
    ความไม่มั่นคงทางการเมือง
    สงครามทรัพยากร
    การล่มสลายของระบบเกษตรกรรมจากภาวะโลกร้อน
    การสิ้นสุดของกฎ “กฎของมัวร์” (Moore’s Law) ที่เคยขับเคลื่อนเทคโนโลยี
    และการล่มสลายของระบบทุนนิยมแบบเสรีนิยมใหม่ (neoliberalism)

    เขาเรียกระบบเศรษฐกิจปัจจุบันว่า “Crapitalism” — ระบบที่เน้นการรีดกำไรจากผู้ใช้และธุรกิจรายย่อย โดยไม่สนใจความยั่งยืนหรืออนาคตของโลก

    สุดท้าย Stross สรุปว่า “สิ่งนี้จะหยุดลง เพราะมันไม่สามารถดำเนินต่อไปได้” — และปี 2025 คือจุดเริ่มต้นของการหยุดนั้น

    ปี 2025 คือ “จุดเปลี่ยน” ของอารยธรรมมนุษย์
    เปรียบเทียบกับปี 1968 ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงระบบโลก

    การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานจากฟอสซิลสู่พลังงานหมุนเวียนกำลังเกิดขึ้น
    จีนติดตั้งโซลาร์ 198GW ใน 5 เดือน, EU มีไฟฟ้าหมุนเวียนเกิน 50%

    ราคาพลังงานแสงอาทิตย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง
    ถูกกว่าการเผาถ่านหินในหลายกรณี

    ระบบเศรษฐกิจที่ผูกกับน้ำมันกำลังล่มสลาย
    สินทรัพย์น้ำมันจะกลายเป็น “stranded assets” ภายในไม่กี่ทศวรรษ

    ภาวะโลกร้อนส่งผลต่อการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร
    เกิด “too-hot days” ที่พืชไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้

    Moore’s Law กำลังสิ้นสุด
    ความก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์ชะลอตัวลง

    ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ (neoliberalism) กำลังล่มสลาย
    ถูกแทนที่ด้วยระบบที่เน้นการรีดกำไรจากผู้ใช้และธุรกิจรายย่อย

    https://www.antipope.org/charlie/blog-static/2025/10/the-pivot-1.html
    🌍 “The Pivot: ปี 2025 จุดเปลี่ยนของอารยธรรมมนุษย์” — เมื่อ Charlie Stross มองโลกปัจจุบันผ่านเลนส์ไซไฟดิสโทเปีย และชี้ว่า ‘นี่คือปีที่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยน’ ในบทความ “The Pivot” นักเขียนไซไฟชื่อดัง Charlie Stross สะท้อนภาพโลกในปี 2025 ว่าเป็น “จุดเปลี่ยน” ของอารยธรรมมนุษย์ คล้ายกับปี 1968 ที่เคยเป็นจุดเปลี่ยนหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเปรียบเทียบโลกปัจจุบันกับนิยายไซไฟยุค 70s ที่เต็มไปด้วยมหาเศรษฐีผู้แยกตัวไปอวกาศ, สงคราม, ภาวะโลกร้อน และระบบเศรษฐกิจที่ใกล้ล่มสลาย Stross ชี้ว่าเรากำลังอยู่ในช่วง “การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน” ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยพลังงานจากฟอสซิลกำลังถูกแทนที่ด้วยพลังงานหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว — จีนติดตั้งแผงโซลาร์ 198GW ภายใน 5 เดือน, EU มีไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเกิน 50% แล้ว และราคาพลังงานแสงอาทิตย์ถูกลงจน “ถูกเกินกว่าจะเพิกเฉย” เขาย้อนประวัติศาสตร์พลังงานจากยุคถ่านหิน → น้ำมัน → พลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างเศรษฐกิจโลกที่ผูกกับเชื้อเพลิงฟอสซิลกำลังพังทลายลงอย่างช้า ๆ และจะกลายเป็น “สินทรัพย์ไร้ค่า” (stranded assets) ภายในไม่กี่ทศวรรษ Stross ยังเตือนถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงนี้: 🌏 ความไม่มั่นคงทางการเมือง 🌏 สงครามทรัพยากร 🌏 การล่มสลายของระบบเกษตรกรรมจากภาวะโลกร้อน 🌏 การสิ้นสุดของกฎ “กฎของมัวร์” (Moore’s Law) ที่เคยขับเคลื่อนเทคโนโลยี 🌏 และการล่มสลายของระบบทุนนิยมแบบเสรีนิยมใหม่ (neoliberalism) เขาเรียกระบบเศรษฐกิจปัจจุบันว่า “Crapitalism” — ระบบที่เน้นการรีดกำไรจากผู้ใช้และธุรกิจรายย่อย โดยไม่สนใจความยั่งยืนหรืออนาคตของโลก สุดท้าย Stross สรุปว่า “สิ่งนี้จะหยุดลง เพราะมันไม่สามารถดำเนินต่อไปได้” — และปี 2025 คือจุดเริ่มต้นของการหยุดนั้น ✅ ปี 2025 คือ “จุดเปลี่ยน” ของอารยธรรมมนุษย์ ➡️ เปรียบเทียบกับปี 1968 ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงระบบโลก ✅ การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานจากฟอสซิลสู่พลังงานหมุนเวียนกำลังเกิดขึ้น ➡️ จีนติดตั้งโซลาร์ 198GW ใน 5 เดือน, EU มีไฟฟ้าหมุนเวียนเกิน 50% ✅ ราคาพลังงานแสงอาทิตย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง ➡️ ถูกกว่าการเผาถ่านหินในหลายกรณี ✅ ระบบเศรษฐกิจที่ผูกกับน้ำมันกำลังล่มสลาย ➡️ สินทรัพย์น้ำมันจะกลายเป็น “stranded assets” ภายในไม่กี่ทศวรรษ ✅ ภาวะโลกร้อนส่งผลต่อการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร ➡️ เกิด “too-hot days” ที่พืชไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ✅ Moore’s Law กำลังสิ้นสุด ➡️ ความก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์ชะลอตัวลง ✅ ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ (neoliberalism) กำลังล่มสลาย ➡️ ถูกแทนที่ด้วยระบบที่เน้นการรีดกำไรจากผู้ใช้และธุรกิจรายย่อย https://www.antipope.org/charlie/blog-static/2025/10/the-pivot-1.html
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 Reviews
  • 'ดร.อิสระ' ต้อนรับนักศึกษา ปบถ.รุ่น 7 ชี้หลักสูตรมุ่งสร้างธรรมาภิบาล-ความยั่งยืนในท้องถิ่น
    https://www.thai-tai.tv/news/21968/
    .
    #ไทยไท #สถาบันพระปกเกล้า #ปบถ #LowCarbon #NoPlastic #บริหารงานท้องถิ่น

    'ดร.อิสระ' ต้อนรับนักศึกษา ปบถ.รุ่น 7 ชี้หลักสูตรมุ่งสร้างธรรมาภิบาล-ความยั่งยืนในท้องถิ่น https://www.thai-tai.tv/news/21968/ . #ไทยไท #สถาบันพระปกเกล้า #ปบถ #LowCarbon #NoPlastic #บริหารงานท้องถิ่น
    0 Comments 0 Shares 89 Views 0 Reviews
  • “EU บังคับใช้ USB-C สำหรับอะแดปเตอร์ทุกชนิดภายในปี 2028 — พร้อมติดฉลากกำลังไฟบนสายและหัวชาร์จ”

    สหภาพยุโรปออกกฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ “External Power Supplies” (EPS) หรืออะแดปเตอร์ไฟฟ้าทุกชนิดต้องใช้พอร์ต USB-C พร้อมสายถอดได้ภายในปี 2028 โดยครอบคลุมอุปกรณ์หลากหลายประเภท เช่น คอนโซลเกม, จอมอนิเตอร์, เราเตอร์, กล่องรับสัญญาณ, เครื่องชาร์จไร้สาย และแม้แต่ PoE injectors

    เป้าหมายหลักคือการสร้างความ “interoperability” หรือความเข้ากันได้ระหว่างอุปกรณ์ และส่งเสริมความยั่งยืน โดยผู้ใช้สามารถใช้สายและหัวชาร์จเดียวกันกับหลายอุปกรณ์ได้

    กฎหมายยังบังคับให้ผู้ผลิตแสดง “กำลังไฟ” (power rating) บนตัวอะแดปเตอร์, พอร์ตชาร์จ และสายไฟ เพื่อป้องกันการโฆษณาเกินจริง และช่วยให้ผู้ใช้เลือกใช้อุปกรณ์ได้อย่างปลอดภัย

    นอกจากนี้ EPS ที่จ่ายไฟเกิน 10W ต้องผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพขั้นต่ำทั้งในสภาวะโหลดต่ำ, เฉลี่ย และไม่มีโหลด ส่วนแท่นชาร์จไร้สายต้องลดการใช้พลังงานขณะ idle และมีวงจรจ่ายไฟแยกต่างหากเพื่อให้สามารถเปลี่ยนหรือใช้ซ้ำได้

    อุปกรณ์บางประเภทได้รับการยกเว้น เช่น UPS, อุปกรณ์ทางการแพทย์, ของเล่นบางชนิด, สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า, ระบบไฟฉุกเฉิน และอุปกรณ์ที่ใช้ในสภาพแวดล้อมเปียก

    EU คาดว่ากฎหมายนี้จะช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 1,070 TWh ต่อปีภายในปี 2030 โดยอิงจากข้อมูลว่ามี EPS ขายมากถึง 400 ล้านชิ้นต่อปี

    EU ออกกฎหมายบังคับให้ EPS ทุกชนิดใช้ USB-C พร้อมสายถอดได้ภายในปี 2028
    ครอบคลุมอุปกรณ์หลากหลาย เช่น คอนโซล, เราเตอร์, กล่องรับสัญญาณ ฯลฯ

    ต้องแสดงกำลังไฟบนตัวอะแดปเตอร์, พอร์ต และสาย
    เพื่อความปลอดภัยและความโปร่งใสในการใช้งาน

    EPS ที่จ่ายไฟเกิน 10W ต้องผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพขั้นต่ำ
    ทั้งในโหลดต่ำ, เฉลี่ย และไม่มีโหลด

    แท่นชาร์จไร้สายต้องลด idle power และมีวงจรจ่ายไฟแยก
    เพื่อให้สามารถเปลี่ยนหรือใช้ซ้ำได้

    มีการออกโลโก้ “Common Charger” เพื่อระบุอุปกรณ์ที่ผ่านเกณฑ์
    ช่วยให้ผู้ใช้เลือกใช้งานได้ง่ายขึ้น

    คาดว่าจะลดการใช้พลังงานได้ 1,070 TWh ต่อปีภายในปี 2030
    จากการลดจำนวน EPS ที่ผลิตและใช้งานซ้ำ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/power-bricks-and-wall-warts-must-be-usb-c-by-2028-new-eu-legislation-also-adds-power-rating-labels-for-power-units-and-cables
    🔌 “EU บังคับใช้ USB-C สำหรับอะแดปเตอร์ทุกชนิดภายในปี 2028 — พร้อมติดฉลากกำลังไฟบนสายและหัวชาร์จ” สหภาพยุโรปออกกฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ “External Power Supplies” (EPS) หรืออะแดปเตอร์ไฟฟ้าทุกชนิดต้องใช้พอร์ต USB-C พร้อมสายถอดได้ภายในปี 2028 โดยครอบคลุมอุปกรณ์หลากหลายประเภท เช่น คอนโซลเกม, จอมอนิเตอร์, เราเตอร์, กล่องรับสัญญาณ, เครื่องชาร์จไร้สาย และแม้แต่ PoE injectors เป้าหมายหลักคือการสร้างความ “interoperability” หรือความเข้ากันได้ระหว่างอุปกรณ์ และส่งเสริมความยั่งยืน โดยผู้ใช้สามารถใช้สายและหัวชาร์จเดียวกันกับหลายอุปกรณ์ได้ กฎหมายยังบังคับให้ผู้ผลิตแสดง “กำลังไฟ” (power rating) บนตัวอะแดปเตอร์, พอร์ตชาร์จ และสายไฟ เพื่อป้องกันการโฆษณาเกินจริง และช่วยให้ผู้ใช้เลือกใช้อุปกรณ์ได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ EPS ที่จ่ายไฟเกิน 10W ต้องผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพขั้นต่ำทั้งในสภาวะโหลดต่ำ, เฉลี่ย และไม่มีโหลด ส่วนแท่นชาร์จไร้สายต้องลดการใช้พลังงานขณะ idle และมีวงจรจ่ายไฟแยกต่างหากเพื่อให้สามารถเปลี่ยนหรือใช้ซ้ำได้ อุปกรณ์บางประเภทได้รับการยกเว้น เช่น UPS, อุปกรณ์ทางการแพทย์, ของเล่นบางชนิด, สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า, ระบบไฟฉุกเฉิน และอุปกรณ์ที่ใช้ในสภาพแวดล้อมเปียก EU คาดว่ากฎหมายนี้จะช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 1,070 TWh ต่อปีภายในปี 2030 โดยอิงจากข้อมูลว่ามี EPS ขายมากถึง 400 ล้านชิ้นต่อปี ✅ EU ออกกฎหมายบังคับให้ EPS ทุกชนิดใช้ USB-C พร้อมสายถอดได้ภายในปี 2028 ➡️ ครอบคลุมอุปกรณ์หลากหลาย เช่น คอนโซล, เราเตอร์, กล่องรับสัญญาณ ฯลฯ ✅ ต้องแสดงกำลังไฟบนตัวอะแดปเตอร์, พอร์ต และสาย ➡️ เพื่อความปลอดภัยและความโปร่งใสในการใช้งาน ✅ EPS ที่จ่ายไฟเกิน 10W ต้องผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพขั้นต่ำ ➡️ ทั้งในโหลดต่ำ, เฉลี่ย และไม่มีโหลด ✅ แท่นชาร์จไร้สายต้องลด idle power และมีวงจรจ่ายไฟแยก ➡️ เพื่อให้สามารถเปลี่ยนหรือใช้ซ้ำได้ ✅ มีการออกโลโก้ “Common Charger” เพื่อระบุอุปกรณ์ที่ผ่านเกณฑ์ ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้เลือกใช้งานได้ง่ายขึ้น ✅ คาดว่าจะลดการใช้พลังงานได้ 1,070 TWh ต่อปีภายในปี 2030 ➡️ จากการลดจำนวน EPS ที่ผลิตและใช้งานซ้ำ https://www.tomshardware.com/tech-industry/power-bricks-and-wall-warts-must-be-usb-c-by-2028-new-eu-legislation-also-adds-power-rating-labels-for-power-units-and-cables
    0 Comments 0 Shares 156 Views 0 Reviews
  • "รองนายกฯ สุชาติ" วอนทุกภาคส่วนร่วมปกป้องท้องทะเล ชี้เป็นแหล่งสร้างรายได้สำคัญ ผลักดันไทยเป็นจุดหมายปลายทาง "ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ยั่งยืน"
    https://www.thai-tai.tv/news/21958/
    .
    #ไทยไท #สุชาติชมกลิ่น #ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ #ทรัพยากรทางทะเล #สิ่งแวดล้อม #ท่องเที่ยวทางทะเล

    "รองนายกฯ สุชาติ" วอนทุกภาคส่วนร่วมปกป้องท้องทะเล ชี้เป็นแหล่งสร้างรายได้สำคัญ ผลักดันไทยเป็นจุดหมายปลายทาง "ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ยั่งยืน" https://www.thai-tai.tv/news/21958/ . #ไทยไท #สุชาติชมกลิ่น #ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ #ทรัพยากรทางทะเล #สิ่งแวดล้อม #ท่องเที่ยวทางทะเล
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • “TSMC เร่งแผนผลิตชิป 2nm ในแอริโซนา พร้อมขยายโรงงานเกินงบ $165 พันล้าน” — เมื่อดีมานด์ AI ดันโรงงานสหรัฐฯ สู่ระดับ Gigafab

    TSMC ประกาศเร่งแผนการผลิตชิปขนาด 2 นาโนเมตร (2nm) ที่โรงงานในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา โดยอ้างอิงจากความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าในสหรัฐฯ เช่น Apple, Nvidia และ Broadcom

    เดิมที TSMC คาดว่าจะเริ่มผลิตชิป 2nm ในสหรัฐฯ ได้ภายในปี 2030 แต่ตอนนี้มีแนวโน้มว่าจะเลื่อนขึ้นมาเร็วขึ้นราว 1 ปี โดยยังไม่ระบุไทม์ไลน์ที่แน่นอน

    นอกจากนี้ C.C. Wei ซีอีโอของ TSMC ยังเผยว่าบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดินเพิ่มเติมใกล้กับโรงงานเดิม เพื่อขยายเป็น “Gigafab cluster” ที่สามารถผลิตเวเฟอร์ 12 นิ้วได้ถึง 100,000 แผ่นต่อเดือน พร้อมมีระบบบรรจุภัณฑ์และทดสอบชิปในพื้นที่เดียวกัน

    TSMC ยังลงทุนในโครงการฝึกงานในแอริโซนาเพื่อสร้างบุคลากรในท้องถิ่น โดยเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมจาก 130 เป็น 200 คน และมองว่าแผนนี้จะช่วยสร้างระบบนิเวศด้านเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ ได้อย่างยั่งยืน

    TSMC เร่งแผนผลิตชิป 2nm ในโรงงานแอริโซนา
    เดิมคาดเริ่มผลิตปี 2030 แต่จะเลื่อนขึ้นราว 1 ปี

    ความต้องการชิป AI จากลูกค้าในสหรัฐฯ เป็นแรงผลักดันหลัก
    ลูกค้าหลักได้แก่ Apple, Nvidia, Broadcom

    กำลังเจรจาซื้อที่ดินเพิ่มเติมเพื่อขยายโรงงาน
    เป้าหมายคือสร้าง “Gigafab cluster” ที่ผลิตได้ 100,000 เวเฟอร์/เดือน

    จะมีระบบบรรจุภัณฑ์และทดสอบชิปในพื้นที่เดียวกัน
    ลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานต่างประเทศ

    โครงการฝึกงานในแอริโซนาเพิ่มจาก 130 เป็น 200 คน
    สร้างบุคลากรท้องถิ่นรองรับการขยายโรงงาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/tsmc-moves-up-2nm-production-plans-in-arizona-ceo-also-hints-at-further-site-expansion-beyond-usd165-billion-commitment
    🏭 “TSMC เร่งแผนผลิตชิป 2nm ในแอริโซนา พร้อมขยายโรงงานเกินงบ $165 พันล้าน” — เมื่อดีมานด์ AI ดันโรงงานสหรัฐฯ สู่ระดับ Gigafab TSMC ประกาศเร่งแผนการผลิตชิปขนาด 2 นาโนเมตร (2nm) ที่โรงงานในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา โดยอ้างอิงจากความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าในสหรัฐฯ เช่น Apple, Nvidia และ Broadcom เดิมที TSMC คาดว่าจะเริ่มผลิตชิป 2nm ในสหรัฐฯ ได้ภายในปี 2030 แต่ตอนนี้มีแนวโน้มว่าจะเลื่อนขึ้นมาเร็วขึ้นราว 1 ปี โดยยังไม่ระบุไทม์ไลน์ที่แน่นอน นอกจากนี้ C.C. Wei ซีอีโอของ TSMC ยังเผยว่าบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดินเพิ่มเติมใกล้กับโรงงานเดิม เพื่อขยายเป็น “Gigafab cluster” ที่สามารถผลิตเวเฟอร์ 12 นิ้วได้ถึง 100,000 แผ่นต่อเดือน พร้อมมีระบบบรรจุภัณฑ์และทดสอบชิปในพื้นที่เดียวกัน TSMC ยังลงทุนในโครงการฝึกงานในแอริโซนาเพื่อสร้างบุคลากรในท้องถิ่น โดยเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมจาก 130 เป็น 200 คน และมองว่าแผนนี้จะช่วยสร้างระบบนิเวศด้านเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ ได้อย่างยั่งยืน ✅ TSMC เร่งแผนผลิตชิป 2nm ในโรงงานแอริโซนา ➡️ เดิมคาดเริ่มผลิตปี 2030 แต่จะเลื่อนขึ้นราว 1 ปี ✅ ความต้องการชิป AI จากลูกค้าในสหรัฐฯ เป็นแรงผลักดันหลัก ➡️ ลูกค้าหลักได้แก่ Apple, Nvidia, Broadcom ✅ กำลังเจรจาซื้อที่ดินเพิ่มเติมเพื่อขยายโรงงาน ➡️ เป้าหมายคือสร้าง “Gigafab cluster” ที่ผลิตได้ 100,000 เวเฟอร์/เดือน ✅ จะมีระบบบรรจุภัณฑ์และทดสอบชิปในพื้นที่เดียวกัน ➡️ ลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานต่างประเทศ ✅ โครงการฝึกงานในแอริโซนาเพิ่มจาก 130 เป็น 200 คน ➡️ สร้างบุคลากรท้องถิ่นรองรับการขยายโรงงาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/tsmc-moves-up-2nm-production-plans-in-arizona-ceo-also-hints-at-further-site-expansion-beyond-usd165-billion-commitment
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • วชิรพยาบาล เปิดโครงการ "Vajira Handwashing Day 2025" เดินหน้ารณรงค์ "ล้างมือบ่อยๆ" สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยยั่งยืน
    https://www.thai-tai.tv/news/21923/
    .
    #ไทยไท #VajiraHandwashingDay #วชิรพยาบาล #ล้างมือบ่อยๆ #สุขอนามัย #สาธารณสุข

    วชิรพยาบาล เปิดโครงการ "Vajira Handwashing Day 2025" เดินหน้ารณรงค์ "ล้างมือบ่อยๆ" สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยยั่งยืน https://www.thai-tai.tv/news/21923/ . #ไทยไท #VajiraHandwashingDay #วชิรพยาบาล #ล้างมือบ่อยๆ #สุขอนามัย #สาธารณสุข
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • SME D Bank หารือ BDMS หนุนผู้ประกอบการกลุ่ม Health Tech เข้าถึงการพัฒนาคู่เงินทุน ยกระดับสู่มาตรฐานสากล เติบโตยั่งยืน
    https://www.thai-tai.tv/news/21921/
    .
    #ไทยไท #SMEDBank #BDMS #HealthTech #นวัตกรรมสุขภาพ #SME #สตาร์ทอัพไทย

    SME D Bank หารือ BDMS หนุนผู้ประกอบการกลุ่ม Health Tech เข้าถึงการพัฒนาคู่เงินทุน ยกระดับสู่มาตรฐานสากล เติบโตยั่งยืน https://www.thai-tai.tv/news/21921/ . #ไทยไท #SMEDBank #BDMS #HealthTech #นวัตกรรมสุขภาพ #SME #สตาร์ทอัพไทย
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • “D-Link เปิดตัวชุดอุปกรณ์ 5G/4G Mobile Access ใหม่” — เชื่อมต่อโลกเคลื่อนที่ด้วย Wi-Fi 6 และดีไซน์เพื่อชีวิตดิจิทัล

    D-Link ประกาศขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ 5G/4G Mobile Access Series เพื่อตอบโจทย์การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ยืดหยุ่นและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งานยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นนักเดินทาง, คนทำงานระยะไกล หรือครอบครัวที่ต้องการอินเทอร์เน็ตแบบพกพา

    ซีรีส์ใหม่นี้ประกอบด้วยอุปกรณ์หลากหลายประเภท เช่น mobile hotspot, mobile router และ USB adapter โดยทุกตัวรองรับ Wi-Fi 6 เพื่อความเร็วและความปลอดภัยที่เหนือกว่า

    ไฮไลต์ของผลิตภัณฑ์:

    F530 5G NR AX3000 Mobile Hotspot: หน้าจอสัมผัสควบคุมง่าย พร้อมฟีเจอร์แชร์ไฟล์ในตัว เหมาะสำหรับมืออาชีพที่ต้องการความเร็วและความคล่องตัว

    F518 5G NR AX1800 Mobile Hotspot: แบตเตอรี่ความจุสูง ใช้งานได้ทั้งวัน และสามารถใช้เป็น power bank ได้

    DBR-330-G 5G NR AX3000 Mobile Router: เหมาะสำหรับบ้านหรือออฟฟิศขนาดเล็ก รองรับ VPN และการแชร์ไฟล์

    DWR-932W 4G LTE AX300 Mobile Hotspot: ขนาดกะทัดรัด ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    D501 5G NR USB Adapter: เสาอากาศพับได้ เชื่อมต่อผ่าน USB สำหรับโน้ตบุ๊กและพีซี

    DWM-222W 4G LTE USB Adapter: ตัวเลือกแบบ plug-and-play ที่รองรับหลายแพลตฟอร์ม

    ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดออกแบบภายใต้แนวคิด “One Connection – Infinite Possibilities” โดยเน้นความยั่งยืน ความคิดสร้างสรรค์ และการบริการแบบครบวงจร

    ข้อมูลในข่าว
    D-Link เปิดตัวชุดอุปกรณ์ 5G/4G Mobile Access Series ใหม่
    รองรับ Wi-Fi 6 เพื่อความเร็วและความปลอดภัยที่เหนือกว่า
    F530 มีหน้าจอสัมผัสและฟีเจอร์แชร์ไฟล์ในตัว
    F518 มีแบตเตอรี่ความจุสูงและใช้เป็น power bank ได้
    DBR-330-G รองรับ VPN และเหมาะสำหรับบ้านหรือออฟฟิศ
    DWR-932W เป็น 4G hotspot ขนาดเล็ก ใช้งานง่าย
    D501 เป็น USB adapter 5G พร้อมเสาอากาศพับได้
    DWM-222W เป็น USB adapter 4G แบบ plug-and-play
    อุปกรณ์ทั้งหมดออกแบบเพื่อชีวิตเคลื่อนที่และการใช้งานที่หลากหลาย
    แนวคิด “One Connection – Infinite Possibilities” สะท้อนความยืดหยุ่นของผลิตภัณฑ์

    https://www.techpowerup.com/341925/d-link-expands-its-5g-4g-mobile-access-series
    📶 “D-Link เปิดตัวชุดอุปกรณ์ 5G/4G Mobile Access ใหม่” — เชื่อมต่อโลกเคลื่อนที่ด้วย Wi-Fi 6 และดีไซน์เพื่อชีวิตดิจิทัล D-Link ประกาศขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ 5G/4G Mobile Access Series เพื่อตอบโจทย์การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ยืดหยุ่นและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งานยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นนักเดินทาง, คนทำงานระยะไกล หรือครอบครัวที่ต้องการอินเทอร์เน็ตแบบพกพา ซีรีส์ใหม่นี้ประกอบด้วยอุปกรณ์หลากหลายประเภท เช่น mobile hotspot, mobile router และ USB adapter โดยทุกตัวรองรับ Wi-Fi 6 เพื่อความเร็วและความปลอดภัยที่เหนือกว่า ไฮไลต์ของผลิตภัณฑ์: 🔋 F530 5G NR AX3000 Mobile Hotspot: หน้าจอสัมผัสควบคุมง่าย พร้อมฟีเจอร์แชร์ไฟล์ในตัว เหมาะสำหรับมืออาชีพที่ต้องการความเร็วและความคล่องตัว 🔋 F518 5G NR AX1800 Mobile Hotspot: แบตเตอรี่ความจุสูง ใช้งานได้ทั้งวัน และสามารถใช้เป็น power bank ได้ 🏠 DBR-330-G 5G NR AX3000 Mobile Router: เหมาะสำหรับบ้านหรือออฟฟิศขนาดเล็ก รองรับ VPN และการแชร์ไฟล์ 📱 DWR-932W 4G LTE AX300 Mobile Hotspot: ขนาดกะทัดรัด ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป 💻 D501 5G NR USB Adapter: เสาอากาศพับได้ เชื่อมต่อผ่าน USB สำหรับโน้ตบุ๊กและพีซี 💻 DWM-222W 4G LTE USB Adapter: ตัวเลือกแบบ plug-and-play ที่รองรับหลายแพลตฟอร์ม ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดออกแบบภายใต้แนวคิด “One Connection – Infinite Possibilities” โดยเน้นความยั่งยืน ความคิดสร้างสรรค์ และการบริการแบบครบวงจร ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ D-Link เปิดตัวชุดอุปกรณ์ 5G/4G Mobile Access Series ใหม่ ➡️ รองรับ Wi-Fi 6 เพื่อความเร็วและความปลอดภัยที่เหนือกว่า ➡️ F530 มีหน้าจอสัมผัสและฟีเจอร์แชร์ไฟล์ในตัว ➡️ F518 มีแบตเตอรี่ความจุสูงและใช้เป็น power bank ได้ ➡️ DBR-330-G รองรับ VPN และเหมาะสำหรับบ้านหรือออฟฟิศ ➡️ DWR-932W เป็น 4G hotspot ขนาดเล็ก ใช้งานง่าย ➡️ D501 เป็น USB adapter 5G พร้อมเสาอากาศพับได้ ➡️ DWM-222W เป็น USB adapter 4G แบบ plug-and-play ➡️ อุปกรณ์ทั้งหมดออกแบบเพื่อชีวิตเคลื่อนที่และการใช้งานที่หลากหลาย ➡️ แนวคิด “One Connection – Infinite Possibilities” สะท้อนความยืดหยุ่นของผลิตภัณฑ์ https://www.techpowerup.com/341925/d-link-expands-its-5g-4g-mobile-access-series
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    D-Link Expands Its 5G/4G Mobile Access Series
    D-Link Corporation (TWSE: 2332), one of the global leaders in networking solutions, today announced its expanded 5G/4G Mobile Access Series, a comprehensive lineup designed to meet the growing demand for flexible, high-speed connectivity. The new portfolio empowers users to overcome the limitations ...
    0 Comments 0 Shares 157 Views 0 Reviews
  • “Silicon Box ส่งมอบชิปครบ 100 ล้านชิ้น” — ยืนยันความพร้อมของเทคโนโลยี Panel-Level Packaging สำหรับยุค AI และ HPC

    Silicon Box บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการบรรจุภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์แบบขั้นสูง ประกาศความสำเร็จในการผลิตและส่งมอบชิปครบ 100 ล้านชิ้นจากโรงงานหลักในสิงคโปร์ ซึ่งใช้เทคโนโลยี Panel-Level Packaging (PLP) ที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก

    PLP เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถรวมชิปหลายตัว (chiplets) เข้าด้วยกันบนแผงขนาดใหญ่ (panel) แทนที่จะใช้เวเฟอร์แบบดั้งเดิม ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และรองรับการผลิตในปริมาณมาก เหมาะอย่างยิ่งกับความต้องการของอุตสาหกรรม AI, การประมวลผลสมรรถนะสูง (HPC), ยานยนต์ และหุ่นยนต์

    โรงงานของ Silicon Box ในสิงคโปร์เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปลายปี 2023 และสามารถทำลายสถิติเดิมของบริษัทในด้านอัตราผลิตสำเร็จ (yield) ที่เคยอยู่ที่ 99.7% ในระดับเวเฟอร์ โดยตอนนี้สามารถรักษาระดับ yield ที่สูงมากแม้ในระดับ panel ซึ่งใหญ่และซับซ้อนกว่า

    บริษัทกำลังขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนสร้างโรงงานแห่งที่สองในเมืองโนวารา ประเทศอิตาลี ซึ่งจะเริ่มผลิตในปี 2028 และมีขนาดใหญ่กว่าสิงคโปร์ พร้อมระบบทดสอบภายในประเทศยุโรป

    Silicon Box ยังได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001, 14001 และ 45001 ซึ่งครอบคลุมคุณภาพ ความยั่งยืน และความปลอดภัยของพนักงาน

    ข้อมูลในข่าว
    Silicon Box ส่งมอบชิปครบ 100 ล้านชิ้นจากโรงงานในสิงคโปร์
    ใช้เทคโนโลยี Panel-Level Packaging (PLP) สำหรับการรวม chiplets
    PLP ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และรองรับการผลิตจำนวนมาก
    โรงงานในสิงคโปร์เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ปลายปี 2023
    อัตราผลิตสำเร็จ (yield) สูงกว่า 99.7% แม้ในระดับ panel
    ได้รับการรับรอง ISO 9001, 14001 และ 45001
    แผนสร้างโรงงานแห่งที่สองในอิตาลี เริ่มผลิตปี 2028
    โรงงานใหม่จะมีระบบทดสอบภายในยุโรป และรองรับอุตสาหกรรม AI, HPC, ยานยนต์, หุ่นยนต์
    เป็นบริษัทอิสระรายเดียวที่สามารถผลิต chiplet ที่ระดับ panel ได้ในปริมาณมาก

    https://www.techpowerup.com/341914/silicon-box-ships-100m-units-proves-advanced-panel-level-packaging-ready-for-ai-hpc-era
    📦 “Silicon Box ส่งมอบชิปครบ 100 ล้านชิ้น” — ยืนยันความพร้อมของเทคโนโลยี Panel-Level Packaging สำหรับยุค AI และ HPC Silicon Box บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการบรรจุภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์แบบขั้นสูง ประกาศความสำเร็จในการผลิตและส่งมอบชิปครบ 100 ล้านชิ้นจากโรงงานหลักในสิงคโปร์ ซึ่งใช้เทคโนโลยี Panel-Level Packaging (PLP) ที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก PLP เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถรวมชิปหลายตัว (chiplets) เข้าด้วยกันบนแผงขนาดใหญ่ (panel) แทนที่จะใช้เวเฟอร์แบบดั้งเดิม ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และรองรับการผลิตในปริมาณมาก เหมาะอย่างยิ่งกับความต้องการของอุตสาหกรรม AI, การประมวลผลสมรรถนะสูง (HPC), ยานยนต์ และหุ่นยนต์ โรงงานของ Silicon Box ในสิงคโปร์เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปลายปี 2023 และสามารถทำลายสถิติเดิมของบริษัทในด้านอัตราผลิตสำเร็จ (yield) ที่เคยอยู่ที่ 99.7% ในระดับเวเฟอร์ โดยตอนนี้สามารถรักษาระดับ yield ที่สูงมากแม้ในระดับ panel ซึ่งใหญ่และซับซ้อนกว่า บริษัทกำลังขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนสร้างโรงงานแห่งที่สองในเมืองโนวารา ประเทศอิตาลี ซึ่งจะเริ่มผลิตในปี 2028 และมีขนาดใหญ่กว่าสิงคโปร์ พร้อมระบบทดสอบภายในประเทศยุโรป Silicon Box ยังได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001, 14001 และ 45001 ซึ่งครอบคลุมคุณภาพ ความยั่งยืน และความปลอดภัยของพนักงาน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Silicon Box ส่งมอบชิปครบ 100 ล้านชิ้นจากโรงงานในสิงคโปร์ ➡️ ใช้เทคโนโลยี Panel-Level Packaging (PLP) สำหรับการรวม chiplets ➡️ PLP ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และรองรับการผลิตจำนวนมาก ➡️ โรงงานในสิงคโปร์เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ปลายปี 2023 ➡️ อัตราผลิตสำเร็จ (yield) สูงกว่า 99.7% แม้ในระดับ panel ➡️ ได้รับการรับรอง ISO 9001, 14001 และ 45001 ➡️ แผนสร้างโรงงานแห่งที่สองในอิตาลี เริ่มผลิตปี 2028 ➡️ โรงงานใหม่จะมีระบบทดสอบภายในยุโรป และรองรับอุตสาหกรรม AI, HPC, ยานยนต์, หุ่นยนต์ ➡️ เป็นบริษัทอิสระรายเดียวที่สามารถผลิต chiplet ที่ระดับ panel ได้ในปริมาณมาก https://www.techpowerup.com/341914/silicon-box-ships-100m-units-proves-advanced-panel-level-packaging-ready-for-ai-hpc-era
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Silicon Box Ships 100M Units, Proves Advanced Panel-Level Packaging Ready for AI, HPC era
    Silicon Box, a global leader in chiplet integration and advanced semiconductor packaging, announced it has shipped 100-million-units from its flagship factory in Singapore's Tampines Wafer Park. The state-of-the-art facility, which began mass production in late 2023, produces advanced panel-level pa...
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • “ไอร์แลนด์ประกาศรายได้พื้นฐานถาวรสำหรับศิลปิน” — โมเดลสนับสนุนศิลปะที่สร้างผลตอบแทนทางสังคมและเศรษฐกิจ

    รัฐบาลไอร์แลนด์ประกาศให้โครงการ Basic Income for the Arts (BIA) เป็นนโยบายถาวร เริ่มตั้งแต่ปี 2026 หลังจากประสบความสำเร็จในการทดลองเป็นเวลา 3 ปี โดยมีศิลปินและผู้ทำงานด้านศิลปะกว่า 2,000 คนได้รับเงินสนับสนุนรายสัปดาห์จำนวน €325 โดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบรายได้หรือเงื่อนไขสวัสดิการอื่น ๆ

    รายงานประเมินผลจาก Alma Economics พบว่าโครงการนี้สร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างชัดเจน เช่น การมีส่วนร่วมของผู้ชมที่เพิ่มขึ้น การลดภาระสวัสดิการ และการพัฒนาสุขภาพจิตของผู้เข้าร่วม โดยทุก €1 ที่ลงทุนในศิลปิน สร้างผลตอบแทนกลับมา €1.39 รวมมูลค่ากว่า €100 ล้านในช่วง 3 ปี

    นอกจากผลทางเศรษฐกิจแล้ว โครงการยังช่วยให้ศิลปินสามารถทุ่มเทเวลาให้กับงานสร้างสรรค์มากขึ้นถึง 8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และสร้างผลงานใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 40% พร้อมทั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น ความสามารถในการจ่ายค่าเช่าและการมีส่วนร่วมทางสังคม

    รัฐบาลยังประกาศเพิ่มงบประมาณด้านวัฒนธรรมในปี 2026 เช่น สนับสนุนสถานที่จัดแสดงดนตรีอิสระ, ภาพยนตร์, การท่องเที่ยวศิลปิน และการอนุรักษ์ดนตรีพื้นบ้าน เพื่อสร้างระบบนิเวศทางวัฒนธรรมที่ยั่งยืน

    ข้อมูลในข่าว
    ไอร์แลนด์ประกาศให้โครงการ Basic Income for the Arts เป็นนโยบายถาวรในปี 2026
    ผู้เข้าร่วมได้รับเงิน €325 ต่อสัปดาห์ โดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบรายได้
    โครงการทดลองมีผู้เข้าร่วมกว่า 2,000 คน ระหว่างปี 2022–2025
    รายงานพบว่าโครงการสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ €1.39 ต่อการลงทุน €1
    สร้างมูลค่าทางสังคมกว่า €16.9 ล้าน และสุขภาพจิตดีขึ้นกว่า €80 ล้าน
    ศิลปินใช้เวลาเพิ่มขึ้น 8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในงานสร้างสรรค์
    ผลิตผลงานใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 40% และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
    รัฐบาลเพิ่มงบประมาณด้านวัฒนธรรม เช่น ดนตรีอิสระ ภาพยนตร์ และศิลปะพื้นบ้าน
    โครงการได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกจากภาคศิลปะและผู้กำหนดนโยบาย

    https://www.artnews.com/art-news/news/ireland-basic-income-artists-program-permanent-1234756981/
    🎨 “ไอร์แลนด์ประกาศรายได้พื้นฐานถาวรสำหรับศิลปิน” — โมเดลสนับสนุนศิลปะที่สร้างผลตอบแทนทางสังคมและเศรษฐกิจ รัฐบาลไอร์แลนด์ประกาศให้โครงการ Basic Income for the Arts (BIA) เป็นนโยบายถาวร เริ่มตั้งแต่ปี 2026 หลังจากประสบความสำเร็จในการทดลองเป็นเวลา 3 ปี โดยมีศิลปินและผู้ทำงานด้านศิลปะกว่า 2,000 คนได้รับเงินสนับสนุนรายสัปดาห์จำนวน €325 โดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบรายได้หรือเงื่อนไขสวัสดิการอื่น ๆ รายงานประเมินผลจาก Alma Economics พบว่าโครงการนี้สร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างชัดเจน เช่น การมีส่วนร่วมของผู้ชมที่เพิ่มขึ้น การลดภาระสวัสดิการ และการพัฒนาสุขภาพจิตของผู้เข้าร่วม โดยทุก €1 ที่ลงทุนในศิลปิน สร้างผลตอบแทนกลับมา €1.39 รวมมูลค่ากว่า €100 ล้านในช่วง 3 ปี นอกจากผลทางเศรษฐกิจแล้ว โครงการยังช่วยให้ศิลปินสามารถทุ่มเทเวลาให้กับงานสร้างสรรค์มากขึ้นถึง 8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และสร้างผลงานใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 40% พร้อมทั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น ความสามารถในการจ่ายค่าเช่าและการมีส่วนร่วมทางสังคม รัฐบาลยังประกาศเพิ่มงบประมาณด้านวัฒนธรรมในปี 2026 เช่น สนับสนุนสถานที่จัดแสดงดนตรีอิสระ, ภาพยนตร์, การท่องเที่ยวศิลปิน และการอนุรักษ์ดนตรีพื้นบ้าน เพื่อสร้างระบบนิเวศทางวัฒนธรรมที่ยั่งยืน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ ไอร์แลนด์ประกาศให้โครงการ Basic Income for the Arts เป็นนโยบายถาวรในปี 2026 ➡️ ผู้เข้าร่วมได้รับเงิน €325 ต่อสัปดาห์ โดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบรายได้ ➡️ โครงการทดลองมีผู้เข้าร่วมกว่า 2,000 คน ระหว่างปี 2022–2025 ➡️ รายงานพบว่าโครงการสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ €1.39 ต่อการลงทุน €1 ➡️ สร้างมูลค่าทางสังคมกว่า €16.9 ล้าน และสุขภาพจิตดีขึ้นกว่า €80 ล้าน ➡️ ศิลปินใช้เวลาเพิ่มขึ้น 8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในงานสร้างสรรค์ ➡️ ผลิตผลงานใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 40% และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ➡️ รัฐบาลเพิ่มงบประมาณด้านวัฒนธรรม เช่น ดนตรีอิสระ ภาพยนตร์ และศิลปะพื้นบ้าน ➡️ โครงการได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกจากภาคศิลปะและผู้กำหนดนโยบาย https://www.artnews.com/art-news/news/ireland-basic-income-artists-program-permanent-1234756981/
    WWW.ARTNEWS.COM
    Three Years After Trial Launch, Ireland Is Making Basic Income for Artists Program Permanent
    Several years after launching a trial, Ireland is set to make its basic income for artists program permanent starting in 2026.
    0 Comments 0 Shares 181 Views 0 Reviews
  • “KDE ครบรอบ 29 ปี — เปิดระดมทุนปี 2025 เพื่อซอฟต์แวร์เสรีที่ยั่งยืนและโลกที่สะอาดขึ้น”

    ในวาระครบรอบ 29 ปีของ KDE โครงการโอเพ่นซอร์สที่ทรงพลังและเป็นอิสระที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้เปิดตัวแคมเปญระดมทุนประจำปี 2025 โดยตั้งเป้ายอดบริจาคขั้นต่ำที่ €50,000 เพื่อสนับสนุนการพัฒนาซอฟต์แวร์เสรีที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรต่อความเป็นส่วนตัว

    KDE เน้นย้ำว่าเงินบริจาคจากผู้ใช้คือหัวใจของความเป็นอิสระทางการเงิน ซึ่งช่วยให้โครงการไม่ต้องพึ่งพาบริษัทใดบริษัทหนึ่ง และสามารถพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อทุกคนได้อย่างแท้จริง

    นอกจากนี้ แคมเปญปีนี้ยังตรงกับสัปดาห์ของ “วันลดขยะอิเล็กทรอนิกส์สากล” KDE จึงเปิดตัวแคมเปญ “End of 10” เพื่อรณรงค์ให้ผู้คนไม่ทิ้งอุปกรณ์เก่าเพียงเพราะไม่สามารถอัปเกรด Windows 10 ได้ โดยเสนอทางเลือกผ่านซอฟต์แวร์ KDE ที่เบาและไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตตลอดเวลา

    KDE ครบรอบ 29 ปีในปี 2025
    เป็นโครงการโอเพ่นซอร์สที่ขับเคลื่อนด้วยชุมชน

    เปิดแคมเปญระดมทุนประจำปี
    ตั้งเป้ายอดบริจาคขั้นต่ำ €50,000 ภายในสิ้นปี

    เงินบริจาคช่วยให้ KDE มีอิสระทางการเงิน
    ไม่ต้องพึ่งพาบริษัทใหญ่ และพัฒนาเพื่อทุกคน

    KDE ผลิตซอฟต์แวร์ที่เบาและไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตตลอดเวลา
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ถูกละเลยโดยอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

    แคมเปญ “End of 10” รณรงค์ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์
    ตอบโต้การหยุดสนับสนุน Windows 10 โดย Microsoft

    KDE สนับสนุนการนำซอฟต์แวร์เสรีไปใช้ในหน่วยงานรัฐ
    เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลและอธิปไตยทางเทคโนโลยี

    ผู้บริจาคจะได้รับของขวัญดิจิทัล เช่น badge และการ์ดพิมพ์ได้
    เป็นการขอบคุณจากชุมชน KDE

    https://kde.org/fundraisers/yearend2025/
    🎉 “KDE ครบรอบ 29 ปี — เปิดระดมทุนปี 2025 เพื่อซอฟต์แวร์เสรีที่ยั่งยืนและโลกที่สะอาดขึ้น” ในวาระครบรอบ 29 ปีของ KDE โครงการโอเพ่นซอร์สที่ทรงพลังและเป็นอิสระที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้เปิดตัวแคมเปญระดมทุนประจำปี 2025 โดยตั้งเป้ายอดบริจาคขั้นต่ำที่ €50,000 เพื่อสนับสนุนการพัฒนาซอฟต์แวร์เสรีที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรต่อความเป็นส่วนตัว KDE เน้นย้ำว่าเงินบริจาคจากผู้ใช้คือหัวใจของความเป็นอิสระทางการเงิน ซึ่งช่วยให้โครงการไม่ต้องพึ่งพาบริษัทใดบริษัทหนึ่ง และสามารถพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อทุกคนได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ แคมเปญปีนี้ยังตรงกับสัปดาห์ของ “วันลดขยะอิเล็กทรอนิกส์สากล” KDE จึงเปิดตัวแคมเปญ “End of 10” เพื่อรณรงค์ให้ผู้คนไม่ทิ้งอุปกรณ์เก่าเพียงเพราะไม่สามารถอัปเกรด Windows 10 ได้ โดยเสนอทางเลือกผ่านซอฟต์แวร์ KDE ที่เบาและไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ✅ KDE ครบรอบ 29 ปีในปี 2025 ➡️ เป็นโครงการโอเพ่นซอร์สที่ขับเคลื่อนด้วยชุมชน ✅ เปิดแคมเปญระดมทุนประจำปี ➡️ ตั้งเป้ายอดบริจาคขั้นต่ำ €50,000 ภายในสิ้นปี ✅ เงินบริจาคช่วยให้ KDE มีอิสระทางการเงิน ➡️ ไม่ต้องพึ่งพาบริษัทใหญ่ และพัฒนาเพื่อทุกคน ✅ KDE ผลิตซอฟต์แวร์ที่เบาและไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ถูกละเลยโดยอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ✅ แคมเปญ “End of 10” รณรงค์ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ ➡️ ตอบโต้การหยุดสนับสนุน Windows 10 โดย Microsoft ✅ KDE สนับสนุนการนำซอฟต์แวร์เสรีไปใช้ในหน่วยงานรัฐ ➡️ เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลและอธิปไตยทางเทคโนโลยี ✅ ผู้บริจาคจะได้รับของขวัญดิจิทัล เช่น badge และการ์ดพิมพ์ได้ ➡️ เป็นการขอบคุณจากชุมชน KDE https://kde.org/fundraisers/yearend2025/
    KDE.ORG
    Happy Birthday to KDE
    This week is KDE’s 29th anniversary. It may not be a nice round number like 25 or 30, but whenever another birthday rolls around for an independent project the size and scope of KDE — powered by the goodwill of its contributors and users — that’s really quite something!
    0 Comments 0 Shares 146 Views 0 Reviews
  • พ่อสู้เรื่องระบบน้ำชลประทาน ให้น้ำหมุนเวียนไปทั่ว
    พ่อสู้เรื่องเขื่อน เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามแล้ง ยามท่วม
    พ่อสู้เรื่องฝนเทียม ให้ชาวนา ชาวไร่ มีน้ำใช้ยามแล้งหนัก
    พ่อสู้เรื่องความยากจน กระจายรายได้ โครงการท้องถิ่น
    พ่อสู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง พึ่งพาตนเอง สอนช่วยตัวเอง
    พ่อสู้เรื่องความช่วยเหลือ อุทกภัย วาตภัย แผ่นดินไหว
    พ่อสู้เรื่องการเกษตร การใช้พื้นที่ การพัฒนายั่งยืน
    พ่อสู้เรื่องความเท่าเทียม แบ่งปัน และยกระดับการศึกษา
    พ่อสู้เรื่องการดนตรี ศิลปะ รากเหง้า อนุรักษ์ประเพณีไทย
    พ่อสู้เรื่องแนวคิด ปรัชญา สติ ปัญญา เหตุและผล สั่งสอน
    พ่อสู้เรื่องความประหยัด อดออมคุ้มค่า รีไซเคิล กลับมาใช้
    พ่อสู้เรื่องป่าไม้ สัตว์ป่า สมดุลธรรมชาติ พันธุ์ไทย ปลูกป่า
    พ่อสู้เรื่องสินค้าไทย แปรรูป อาหาร ทะเล ผ้าไหม ผ้าฝ้าย
    พ่อสู้เรื่องความสามัคคี ปองครอง ยุติความขัดแย้งภายใน
    พ่อสู้เรื่องความเป็นชาตินิยม ภูมิใจความเป็นไทย ชื่อเสียง
    พ่อปกป้องแผ่นดินไทย การรุกรานจากต่างชาติ และมั่นคง
    พ่อเสียสละตนเอง เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย
    พ่อเตือนสติ ให้ปัญญา พระบรมราโชวาททุกปี ตื่นคิด มีสติ
    พ่อแบ่งปันความรัก ความรู้ ไปยังเพื่อนบ้านรอบข้างด้วย
    พ่อสร้างมิตร เป็นที่รักชื่นชอบของทุกราชวงศ์ทั่วโลก
    พ่อไม่เคยโอ้อวดตนเอง และไม่ใช้อำนาจที่มี เพื่อแสดง
    พ่อทำนุบำรุงทุกศาสนาในชาติ อยู่ร่วมกันอย่างสันติได้
    พ่อเยี่ยมเยียนชาวบ้านทุกพื้นที่ทั้งแผ่นดิน ไปเยี่ยมเสมอ
    พ่อยึดถือทศพิษราชธรรมได้อย่างสมบูรณ์ จนวันสุดท้าย
    พ่อรู้ทุกอย่าง เข้าใจ เข้าถึง แก้ปัญหา พระบารมีเปี่ยมล้น

    มีอีกมากมายมหาศาล จนระลึกถึงน้ำพระคุณได้ไม่หมดสิ้น เป็นบุญของปวงชนชาวไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ที่หัวใจหล่อมว๊ากที่สุดใน 3 โลก ไม่มีพ่อ ก็คงไม่มีวันนี้ ไม่มีบรรพกษัตริย์ไทย ก็คงไม่มีวันนี้เช่นกัน "ราชวงศ์จักรี" จงเจริญยิ่งยืนนาน ตราบชั่วฟ้าดินสลาย!
    พ่อสู้เรื่องระบบน้ำชลประทาน ให้น้ำหมุนเวียนไปทั่ว พ่อสู้เรื่องเขื่อน เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามแล้ง ยามท่วม พ่อสู้เรื่องฝนเทียม ให้ชาวนา ชาวไร่ มีน้ำใช้ยามแล้งหนัก พ่อสู้เรื่องความยากจน กระจายรายได้ โครงการท้องถิ่น พ่อสู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง พึ่งพาตนเอง สอนช่วยตัวเอง พ่อสู้เรื่องความช่วยเหลือ อุทกภัย วาตภัย แผ่นดินไหว พ่อสู้เรื่องการเกษตร การใช้พื้นที่ การพัฒนายั่งยืน พ่อสู้เรื่องความเท่าเทียม แบ่งปัน และยกระดับการศึกษา พ่อสู้เรื่องการดนตรี ศิลปะ รากเหง้า อนุรักษ์ประเพณีไทย พ่อสู้เรื่องแนวคิด ปรัชญา สติ ปัญญา เหตุและผล สั่งสอน พ่อสู้เรื่องความประหยัด อดออมคุ้มค่า รีไซเคิล กลับมาใช้ พ่อสู้เรื่องป่าไม้ สัตว์ป่า สมดุลธรรมชาติ พันธุ์ไทย ปลูกป่า พ่อสู้เรื่องสินค้าไทย แปรรูป อาหาร ทะเล ผ้าไหม ผ้าฝ้าย พ่อสู้เรื่องความสามัคคี ปองครอง ยุติความขัดแย้งภายใน พ่อสู้เรื่องความเป็นชาตินิยม ภูมิใจความเป็นไทย ชื่อเสียง พ่อปกป้องแผ่นดินไทย การรุกรานจากต่างชาติ และมั่นคง พ่อเสียสละตนเอง เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย พ่อเตือนสติ ให้ปัญญา พระบรมราโชวาททุกปี ตื่นคิด มีสติ พ่อแบ่งปันความรัก ความรู้ ไปยังเพื่อนบ้านรอบข้างด้วย พ่อสร้างมิตร เป็นที่รักชื่นชอบของทุกราชวงศ์ทั่วโลก พ่อไม่เคยโอ้อวดตนเอง และไม่ใช้อำนาจที่มี เพื่อแสดง พ่อทำนุบำรุงทุกศาสนาในชาติ อยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ พ่อเยี่ยมเยียนชาวบ้านทุกพื้นที่ทั้งแผ่นดิน ไปเยี่ยมเสมอ พ่อยึดถือทศพิษราชธรรมได้อย่างสมบูรณ์ จนวันสุดท้าย พ่อรู้ทุกอย่าง เข้าใจ เข้าถึง แก้ปัญหา พระบารมีเปี่ยมล้น มีอีกมากมายมหาศาล จนระลึกถึงน้ำพระคุณได้ไม่หมดสิ้น เป็นบุญของปวงชนชาวไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ที่หัวใจหล่อมว๊ากที่สุดใน 3 โลก ไม่มีพ่อ ก็คงไม่มีวันนี้ ไม่มีบรรพกษัตริย์ไทย ก็คงไม่มีวันนี้เช่นกัน "ราชวงศ์จักรี" จงเจริญยิ่งยืนนาน ตราบชั่วฟ้าดินสลาย!
    0 Comments 0 Shares 255 Views 0 Reviews
  • บ้านน็อคดาวน์ยุคใหม่ คุ้มค่า ประหยัดไฟ พร้อมชีวิตที่ยั่งยืนด้วย "โซล่าเซลล์"
    https://www.thai-tai.tv/shop/21865/
    .
    #น็อคดาวน์โมเดิร์น #บ้านน็อคดาวน์โมเดิร์นราคาถูก #ออกแบบบ้านน็อคดาวน์ #บ้านสไตล์นอร์ดิก #บ้านสไตล์นอร์ดิกกรุงเทพ
    💡 บ้านน็อคดาวน์ยุคใหม่ คุ้มค่า ประหยัดไฟ พร้อมชีวิตที่ยั่งยืนด้วย "โซล่าเซลล์" https://www.thai-tai.tv/shop/21865/ . #น็อคดาวน์โมเดิร์น #บ้านน็อคดาวน์โมเดิร์นราคาถูก #ออกแบบบ้านน็อคดาวน์ #บ้านสไตล์นอร์ดิก #บ้านสไตล์นอร์ดิกกรุงเทพ
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • “AI เปลี่ยนชีวิตช่างภาพ — ลูกค้าไม่รู้ว่าใช้ AI แก้ภาพ แต่ช่างภาพรู้ว่าได้ชีวิตคืน”

    ในยุคที่ความเร็วกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของงานสร้างสรรค์ รายงาน Aftershoot Photography Workflow Report ปี 2025 เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการถ่ายภาพมืออาชีพทั่วโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากการใช้ AI ในการจัดการงานหลังกล้อง ที่ไม่เพียงช่วยลดเวลา แต่ยังเปลี่ยนวิธีคิดของช่างภาพเกี่ยวกับ “ความสร้างสรรค์” และ “ความยั่งยืน” ในอาชีพ

    จากการสำรวจช่างภาพกว่า 1,000 คนทั่วโลก พบว่า 81% ของผู้ที่ใช้ AI ใน workflow รายงานว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการลดเวลาการแก้ภาพและการจัดการหลังงานถ่าย ส่วนที่น่าตกใจคือ 64% ระบุว่าลูกค้า “ไม่รู้เลย” ว่าภาพที่ได้รับผ่านการแก้ด้วย AI และมีเพียง 1% เท่านั้นที่ให้ feedback เชิงลบ

    สิ่งนี้สะท้อนว่า AI ไม่ได้ลดคุณภาพงาน แต่กลับช่วยให้ช่างภาพสามารถส่งงานได้เร็วขึ้น โดย 28% ของผู้ตอบแบบสอบถามสามารถส่งภาพครบชุดภายในหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปี 2024

    นอกจากเรื่องเวลา ช่างภาพยังใช้เวลาที่ได้คืนจาก AI ไปกับการพัฒนาทักษะใหม่ สร้างโปรเจกต์ส่วนตัว หรือแม้แต่ฟื้นฟูสุขภาพจิตและความสัมพันธ์กับลูกค้า โดย 32% ระบุว่าใช้เวลานี้เพื่อขยายธุรกิจหรือเรียนรู้เพิ่มเติม

    แม้จะยังมีข้อถกเถียงเรื่อง “AI กับความสร้างสรรค์” แต่รายงานชี้ว่าช่างภาพที่ประสบความสำเร็จคือผู้ที่ใช้ AI อย่างมีกลยุทธ์ โดยเลือกใช้ในส่วนที่ซ้ำซาก เช่น การคัดภาพหรือแก้แสง แต่ยังคงควบคุมด้านศิลปะด้วยตัวเอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รายงาน Aftershoot ปี 2025 สำรวจช่างภาพกว่า 1,000 คนทั่วโลก
    81% ของผู้ใช้ AI รายงานว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้น
    64% ระบุว่าลูกค้าไม่รู้ว่าภาพผ่านการแก้ด้วย AI
    มีเพียง 1% ที่ให้ feedback เชิงลบเกี่ยวกับภาพที่ใช้ AI
    28% ส่งภาพครบชุดภายในหนึ่งสัปดาห์ เพิ่มขึ้นจากปี 2024
    32% ใช้เวลาที่ได้คืนจาก AI ไปกับโปรเจกต์สร้างสรรค์หรือพัฒนาธุรกิจ
    ช่างภาพใช้ AI เพื่อจัดการงานหลังกล้อง เช่น คัดภาพและแก้แสง
    AI ช่วยเปลี่ยนแนวคิดจาก “ทำงานหนัก” เป็น “ทำงานอย่างยั่งยืน”

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Aftershoot เป็นแพลตฟอร์ม AI ที่ช่วยคัดภาพและแก้แสงอัตโนมัติ
    Lightroom และ Photoshop ยังเป็นเครื่องมือหลักในการรีทัชภาพ
    AI video editor และ photo editor ช่วยเร่งการผลิตคอนเทนต์ในหลายอุตสาหกรรม
    RAG (Retrieval-Augmented Generation) เป็นเทคนิค AI ที่ใช้ข้อมูลภายนอกช่วยตอบคำถาม
    การใช้ AI ในงานสร้างสรรค์กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมภาพนิ่งและวิดีโอ

    https://www.techradar.com/pro/a-wake-up-call-shocking-ai-survey-finds-that-clients-of-most-photographers-dont-notice-any-difference-in-ai-edited-work-and-thats-making-these-pros-less-stressed
    📸 “AI เปลี่ยนชีวิตช่างภาพ — ลูกค้าไม่รู้ว่าใช้ AI แก้ภาพ แต่ช่างภาพรู้ว่าได้ชีวิตคืน” ในยุคที่ความเร็วกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของงานสร้างสรรค์ รายงาน Aftershoot Photography Workflow Report ปี 2025 เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการถ่ายภาพมืออาชีพทั่วโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากการใช้ AI ในการจัดการงานหลังกล้อง ที่ไม่เพียงช่วยลดเวลา แต่ยังเปลี่ยนวิธีคิดของช่างภาพเกี่ยวกับ “ความสร้างสรรค์” และ “ความยั่งยืน” ในอาชีพ จากการสำรวจช่างภาพกว่า 1,000 คนทั่วโลก พบว่า 81% ของผู้ที่ใช้ AI ใน workflow รายงานว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการลดเวลาการแก้ภาพและการจัดการหลังงานถ่าย ส่วนที่น่าตกใจคือ 64% ระบุว่าลูกค้า “ไม่รู้เลย” ว่าภาพที่ได้รับผ่านการแก้ด้วย AI และมีเพียง 1% เท่านั้นที่ให้ feedback เชิงลบ สิ่งนี้สะท้อนว่า AI ไม่ได้ลดคุณภาพงาน แต่กลับช่วยให้ช่างภาพสามารถส่งงานได้เร็วขึ้น โดย 28% ของผู้ตอบแบบสอบถามสามารถส่งภาพครบชุดภายในหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปี 2024 นอกจากเรื่องเวลา ช่างภาพยังใช้เวลาที่ได้คืนจาก AI ไปกับการพัฒนาทักษะใหม่ สร้างโปรเจกต์ส่วนตัว หรือแม้แต่ฟื้นฟูสุขภาพจิตและความสัมพันธ์กับลูกค้า โดย 32% ระบุว่าใช้เวลานี้เพื่อขยายธุรกิจหรือเรียนรู้เพิ่มเติม แม้จะยังมีข้อถกเถียงเรื่อง “AI กับความสร้างสรรค์” แต่รายงานชี้ว่าช่างภาพที่ประสบความสำเร็จคือผู้ที่ใช้ AI อย่างมีกลยุทธ์ โดยเลือกใช้ในส่วนที่ซ้ำซาก เช่น การคัดภาพหรือแก้แสง แต่ยังคงควบคุมด้านศิลปะด้วยตัวเอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รายงาน Aftershoot ปี 2025 สำรวจช่างภาพกว่า 1,000 คนทั่วโลก ➡️ 81% ของผู้ใช้ AI รายงานว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้น ➡️ 64% ระบุว่าลูกค้าไม่รู้ว่าภาพผ่านการแก้ด้วย AI ➡️ มีเพียง 1% ที่ให้ feedback เชิงลบเกี่ยวกับภาพที่ใช้ AI ➡️ 28% ส่งภาพครบชุดภายในหนึ่งสัปดาห์ เพิ่มขึ้นจากปี 2024 ➡️ 32% ใช้เวลาที่ได้คืนจาก AI ไปกับโปรเจกต์สร้างสรรค์หรือพัฒนาธุรกิจ ➡️ ช่างภาพใช้ AI เพื่อจัดการงานหลังกล้อง เช่น คัดภาพและแก้แสง ➡️ AI ช่วยเปลี่ยนแนวคิดจาก “ทำงานหนัก” เป็น “ทำงานอย่างยั่งยืน” ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Aftershoot เป็นแพลตฟอร์ม AI ที่ช่วยคัดภาพและแก้แสงอัตโนมัติ ➡️ Lightroom และ Photoshop ยังเป็นเครื่องมือหลักในการรีทัชภาพ ➡️ AI video editor และ photo editor ช่วยเร่งการผลิตคอนเทนต์ในหลายอุตสาหกรรม ➡️ RAG (Retrieval-Augmented Generation) เป็นเทคนิค AI ที่ใช้ข้อมูลภายนอกช่วยตอบคำถาม ➡️ การใช้ AI ในงานสร้างสรรค์กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมภาพนิ่งและวิดีโอ https://www.techradar.com/pro/a-wake-up-call-shocking-ai-survey-finds-that-clients-of-most-photographers-dont-notice-any-difference-in-ai-edited-work-and-thats-making-these-pros-less-stressed
    WWW.TECHRADAR.COM
    AI is rewriting photography’s future
    AI-driven consistency is turning speed and reliability into new creative currencies
    0 Comments 0 Shares 290 Views 0 Reviews
  • “SMEs ในยุโรปเร่งใช้ AI แต่ขาดเครื่องมือดิจิทัลพื้นฐาน — เสี่ยงเสียเปรียบในยุคแข่งขันสูง”

    ผลการศึกษาล่าสุดจาก Qonto และ Appinio เผยให้เห็นภาพน่ากังวลของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMEs) ในยุโรป ที่กำลังเร่งนำ AI มาใช้ในองค์กรอย่างแพร่หลาย แต่กลับละเลยการวางรากฐานด้านดิจิทัลที่จำเป็น เช่น ระบบบัญชีดิจิทัล การประชุมออนไลน์ การจัดการเอกสาร หรือการวิเคราะห์ข้อมูล

    จากการสำรวจผู้บริหารระดับสูงกว่า 1,600 รายในฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และสเปน พบว่า 46% ของ SMEs ใช้เครื่องมือ AI อย่าง ChatGPT เป็นประจำทุกวัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ใช้เครื่องมือดิจิทัลพื้นฐาน ซึ่งสร้าง “ความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง” ที่อาจทำให้ SMEs เสียเปรียบเมื่อเทียบกับบริษัทขนาดใหญ่ที่ลงทุนในระบบดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง

    เยอรมนีเป็นประเทศที่มีความพร้อมสูงที่สุด โดย 76% ของธุรกิจรู้สึกว่าตนเองพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ขณะที่ฝรั่งเศสมีเกือบครึ่งหนึ่งของธุรกิจที่รู้สึกว่าไม่พร้อมเลย

    การเร่งใช้ AI โดยไม่มีระบบพื้นฐานรองรับ อาจนำไปสู่การลดต้นทุนแบบฉับพลัน เช่น การลดพนักงานโดยไม่ปรับโครงสร้างองค์กรให้เหมาะสม ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโดยรวม

    Qonto แนะนำว่า SMEs ควรสร้าง “รากฐานดิจิทัลที่แข็งแรง” ก่อนนำ AI มาใช้เต็มรูปแบบ เพื่อให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนและแข่งขันได้ในระยะยาว โดยเสนอแนวทางเฉพาะสำหรับแต่ละประเทศ เช่น ลดภาระกฎระเบียบในเยอรมนี แก้ปัญหาทักษะในสเปน และปรับทัศนคติในฝรั่งเศส

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SMEs ในยุโรปเร่งใช้ AI โดยเฉพาะ ChatGPT แต่ขาดเครื่องมือดิจิทัลพื้นฐาน
    46% ของ SMEs ใช้ AI ทุกวัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ใช้ระบบบัญชีหรือการประชุมออนไลน์
    เยอรมนีมีความพร้อมสูงสุด (76%) ขณะที่ฝรั่งเศสมีเกือบครึ่งที่ไม่พร้อม
    การใช้ AI เพื่อลดต้นทุนอาจนำไปสู่การลดพนักงานแบบไม่ยั่งยืน
    Qonto แนะนำให้สร้างรากฐานดิจิทัลก่อนนำ AI มาใช้เต็มรูปแบบ
    เสนอแนวทางเฉพาะประเทศ เช่น ลดกฎระเบียบในเยอรมนี แก้ทักษะในสเปน ปรับวัฒนธรรมในฝรั่งเศส
    SMEs เป็น “กระดูกสันหลัง” ของเศรษฐกิจยุโรป แต่กำลังเผชิญความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การใช้ AI โดยไม่มีระบบพื้นฐาน อาจทำให้ข้อมูลไม่ถูกจัดเก็บหรือวิเคราะห์อย่างมีประสิทธิภาพ
    Digital Innovation Hubs ของ EU กำลังช่วย SMEs พัฒนาทักษะและระบบดิจิทัล
    การประชุมออนไลน์และการจัดการเอกสารดิจิทัลช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความคล่องตัว
    การวางระบบบัญชีดิจิทัลช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจสอบและวางแผนการเงินได้แม่นยำ
    การใช้ AI อย่างมีโครงสร้างช่วยเพิ่ม productivity และลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/08/european-small-businesses-rush-into-ai-without-basic-digital-tools-study-shows
    📊 “SMEs ในยุโรปเร่งใช้ AI แต่ขาดเครื่องมือดิจิทัลพื้นฐาน — เสี่ยงเสียเปรียบในยุคแข่งขันสูง” ผลการศึกษาล่าสุดจาก Qonto และ Appinio เผยให้เห็นภาพน่ากังวลของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMEs) ในยุโรป ที่กำลังเร่งนำ AI มาใช้ในองค์กรอย่างแพร่หลาย แต่กลับละเลยการวางรากฐานด้านดิจิทัลที่จำเป็น เช่น ระบบบัญชีดิจิทัล การประชุมออนไลน์ การจัดการเอกสาร หรือการวิเคราะห์ข้อมูล จากการสำรวจผู้บริหารระดับสูงกว่า 1,600 รายในฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และสเปน พบว่า 46% ของ SMEs ใช้เครื่องมือ AI อย่าง ChatGPT เป็นประจำทุกวัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ใช้เครื่องมือดิจิทัลพื้นฐาน ซึ่งสร้าง “ความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง” ที่อาจทำให้ SMEs เสียเปรียบเมื่อเทียบกับบริษัทขนาดใหญ่ที่ลงทุนในระบบดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง เยอรมนีเป็นประเทศที่มีความพร้อมสูงที่สุด โดย 76% ของธุรกิจรู้สึกว่าตนเองพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ขณะที่ฝรั่งเศสมีเกือบครึ่งหนึ่งของธุรกิจที่รู้สึกว่าไม่พร้อมเลย การเร่งใช้ AI โดยไม่มีระบบพื้นฐานรองรับ อาจนำไปสู่การลดต้นทุนแบบฉับพลัน เช่น การลดพนักงานโดยไม่ปรับโครงสร้างองค์กรให้เหมาะสม ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโดยรวม Qonto แนะนำว่า SMEs ควรสร้าง “รากฐานดิจิทัลที่แข็งแรง” ก่อนนำ AI มาใช้เต็มรูปแบบ เพื่อให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนและแข่งขันได้ในระยะยาว โดยเสนอแนวทางเฉพาะสำหรับแต่ละประเทศ เช่น ลดภาระกฎระเบียบในเยอรมนี แก้ปัญหาทักษะในสเปน และปรับทัศนคติในฝรั่งเศส ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SMEs ในยุโรปเร่งใช้ AI โดยเฉพาะ ChatGPT แต่ขาดเครื่องมือดิจิทัลพื้นฐาน ➡️ 46% ของ SMEs ใช้ AI ทุกวัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ใช้ระบบบัญชีหรือการประชุมออนไลน์ ➡️ เยอรมนีมีความพร้อมสูงสุด (76%) ขณะที่ฝรั่งเศสมีเกือบครึ่งที่ไม่พร้อม ➡️ การใช้ AI เพื่อลดต้นทุนอาจนำไปสู่การลดพนักงานแบบไม่ยั่งยืน ➡️ Qonto แนะนำให้สร้างรากฐานดิจิทัลก่อนนำ AI มาใช้เต็มรูปแบบ ➡️ เสนอแนวทางเฉพาะประเทศ เช่น ลดกฎระเบียบในเยอรมนี แก้ทักษะในสเปน ปรับวัฒนธรรมในฝรั่งเศส ➡️ SMEs เป็น “กระดูกสันหลัง” ของเศรษฐกิจยุโรป แต่กำลังเผชิญความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การใช้ AI โดยไม่มีระบบพื้นฐาน อาจทำให้ข้อมูลไม่ถูกจัดเก็บหรือวิเคราะห์อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ Digital Innovation Hubs ของ EU กำลังช่วย SMEs พัฒนาทักษะและระบบดิจิทัล ➡️ การประชุมออนไลน์และการจัดการเอกสารดิจิทัลช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความคล่องตัว ➡️ การวางระบบบัญชีดิจิทัลช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจสอบและวางแผนการเงินได้แม่นยำ ➡️ การใช้ AI อย่างมีโครงสร้างช่วยเพิ่ม productivity และลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/08/european-small-businesses-rush-into-ai-without-basic-digital-tools-study-shows
    WWW.THESTAR.COM.MY
    European small businesses rush into AI without basic digital tools, study shows
    (Reuters) -Most European small and mid-sized enterprises are prioritizing artificial intelligence systems over basic digital tools across their businesses, losing ground to bigger firms investing in core digital systems, a study published on Wednesday showed.
    0 Comments 0 Shares 312 Views 0 Reviews
  • “พบซีพียู Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ที่ไม่เคยวางขาย — หลักฐานสุดท้ายของยุค NetBurst ก่อน Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์”

    ในโลกของนักสะสมฮาร์ดแวร์ มีการค้นพบซีพียูหายากที่ไม่เคยถูกวางขายจริง — Intel Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ซึ่งเป็นตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) จากยุคสุดท้ายของสถาปัตยกรรม NetBurst ที่เคยเป็นความหวังของ Intel ในช่วงต้นยุค 2000

    ผู้ใช้ Reddit ชื่อ diegunguyman ได้โพสต์ภาพซีพียูตัวนี้ พร้อมข้อมูลจาก CPU-Z ซึ่งระบุว่าเป็นชิปแบบ dual-core พร้อม Hyper-Threading ใช้โค้ดเนม “Presler” และมีความเร็วสูงถึง 4.0 GHz แม้ CPU-Z จะไม่สามารถ validate ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ผู้เชี่ยวชาญในชุมชนต่างยืนยันว่าเป็นของจริง และน่าจะเป็น “loaner chip” ที่เคยถูกให้พนักงานยืมใช้งานภายใน

    ชิปนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นรุ่นสุดท้ายของ NetBurst ซึ่งถูกยกเลิกก่อนวางขายจริง เนื่องจากปัญหาด้านความร้อนและประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่ต่ำ ทำให้ Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปสู่สถาปัตยกรรม Core 2 ที่เน้นประสิทธิภาพต่อพลังงาน และสามารถหยุดการเติบโตของ AMD Athlon 64 ได้ในเวลานั้น

    ความหายากของชิปนี้ไม่ใช่แค่เพราะไม่วางขาย แต่ยังเป็นเพราะระบบการควบคุม loaner chip ของ Intel ที่เคยเข้มงวด แต่เริ่มหลวมลงหลังจากมีการปลดพนักงานจำนวนมากในช่วงหลัง ทำให้ชิปบางตัวหลุดออกสู่ตลาดมือสอง

    การค้นพบนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของฮาร์ดแวร์ — แต่มันคือ “หลักฐานทางประวัติศาสตร์” ที่บอกเล่าการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของ Intel จากยุคที่เน้นความเร็ว GHz สู่ยุคที่เน้นประสิทธิภาพและการออกแบบที่ยั่งยืน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    พบซีพียู Intel Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ที่ไม่เคยวางขาย
    เป็นตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) ที่น่าจะเป็น loaner chip สำหรับพนักงาน
    ใช้สถาปัตยกรรม NetBurst โค้ดเนม “Presler” พร้อม Hyper-Threading
    CPU-Z ไม่สามารถ validate ได้เต็มรูปแบบ แต่ข้อมูลตรงกับชิปจริง
    ความเร็ว 4.0 GHz ถือว่าสูงมากในยุคนั้น แต่มีปัญหาด้านความร้อนและประสิทธิภาพ
    Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปใช้สถาปัตยกรรม Core 2 ที่เน้น performance-per-watt
    การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยหยุดการเติบโตของ AMD Athlon 64 ในตลาดเดสก์ท็อป
    ระบบควบคุม loaner chip ของ Intel เริ่มหลวมลงหลังการปลดพนักงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NetBurst เป็นสถาปัตยกรรมที่เน้นความเร็วสัญญาณนาฬิกา แต่มีข้อเสียด้านพลังงาน
    Core 2 ถูกพัฒนาโดยทีม Haifa ของ Intel และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
    Engineering sample มักมีพฤติกรรมไม่เสถียร และไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป
    Loaner chip มีข้อจำกัดด้านการใช้งานและไม่ควรหลุดออกสู่ตลาด
    ชิปนี้มี cache L2 ขนาด 2MB และ FSB 1066 MHz ซึ่งถือว่าล้ำหน้าในยุคนั้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/ultra-rare-unreleased-pentium-4-with-4-0-ghz-clock-speed-discovered-cpu-z-confirms-it-is-an-intel-pentium-extreme-edition-980
    🧠 “พบซีพียู Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ที่ไม่เคยวางขาย — หลักฐานสุดท้ายของยุค NetBurst ก่อน Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์” ในโลกของนักสะสมฮาร์ดแวร์ มีการค้นพบซีพียูหายากที่ไม่เคยถูกวางขายจริง — Intel Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ซึ่งเป็นตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) จากยุคสุดท้ายของสถาปัตยกรรม NetBurst ที่เคยเป็นความหวังของ Intel ในช่วงต้นยุค 2000 ผู้ใช้ Reddit ชื่อ diegunguyman ได้โพสต์ภาพซีพียูตัวนี้ พร้อมข้อมูลจาก CPU-Z ซึ่งระบุว่าเป็นชิปแบบ dual-core พร้อม Hyper-Threading ใช้โค้ดเนม “Presler” และมีความเร็วสูงถึง 4.0 GHz แม้ CPU-Z จะไม่สามารถ validate ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ผู้เชี่ยวชาญในชุมชนต่างยืนยันว่าเป็นของจริง และน่าจะเป็น “loaner chip” ที่เคยถูกให้พนักงานยืมใช้งานภายใน ชิปนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นรุ่นสุดท้ายของ NetBurst ซึ่งถูกยกเลิกก่อนวางขายจริง เนื่องจากปัญหาด้านความร้อนและประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่ต่ำ ทำให้ Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปสู่สถาปัตยกรรม Core 2 ที่เน้นประสิทธิภาพต่อพลังงาน และสามารถหยุดการเติบโตของ AMD Athlon 64 ได้ในเวลานั้น ความหายากของชิปนี้ไม่ใช่แค่เพราะไม่วางขาย แต่ยังเป็นเพราะระบบการควบคุม loaner chip ของ Intel ที่เคยเข้มงวด แต่เริ่มหลวมลงหลังจากมีการปลดพนักงานจำนวนมากในช่วงหลัง ทำให้ชิปบางตัวหลุดออกสู่ตลาดมือสอง การค้นพบนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของฮาร์ดแวร์ — แต่มันคือ “หลักฐานทางประวัติศาสตร์” ที่บอกเล่าการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของ Intel จากยุคที่เน้นความเร็ว GHz สู่ยุคที่เน้นประสิทธิภาพและการออกแบบที่ยั่งยืน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ พบซีพียู Intel Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ที่ไม่เคยวางขาย ➡️ เป็นตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) ที่น่าจะเป็น loaner chip สำหรับพนักงาน ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม NetBurst โค้ดเนม “Presler” พร้อม Hyper-Threading ➡️ CPU-Z ไม่สามารถ validate ได้เต็มรูปแบบ แต่ข้อมูลตรงกับชิปจริง ➡️ ความเร็ว 4.0 GHz ถือว่าสูงมากในยุคนั้น แต่มีปัญหาด้านความร้อนและประสิทธิภาพ ➡️ Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปใช้สถาปัตยกรรม Core 2 ที่เน้น performance-per-watt ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยหยุดการเติบโตของ AMD Athlon 64 ในตลาดเดสก์ท็อป ➡️ ระบบควบคุม loaner chip ของ Intel เริ่มหลวมลงหลังการปลดพนักงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NetBurst เป็นสถาปัตยกรรมที่เน้นความเร็วสัญญาณนาฬิกา แต่มีข้อเสียด้านพลังงาน ➡️ Core 2 ถูกพัฒนาโดยทีม Haifa ของ Intel และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ➡️ Engineering sample มักมีพฤติกรรมไม่เสถียร และไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป ➡️ Loaner chip มีข้อจำกัดด้านการใช้งานและไม่ควรหลุดออกสู่ตลาด ➡️ ชิปนี้มี cache L2 ขนาด 2MB และ FSB 1066 MHz ซึ่งถือว่าล้ำหน้าในยุคนั้น https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/ultra-rare-unreleased-pentium-4-with-4-0-ghz-clock-speed-discovered-cpu-z-confirms-it-is-an-intel-pentium-extreme-edition-980
    0 Comments 0 Shares 239 Views 0 Reviews
  • “Florida เปิดตัวศูนย์กลาง AI มูลค่า 1.8 พันล้านดอลลาร์ — เปลี่ยนชายฝั่งทองให้กลายเป็นเมืองหลวงแห่งนวัตกรรม”

    West Palm Beach เมืองชายฝั่งที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของรีสอร์ตหรูและอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ กำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของเศรษฐกิจ AI ในสหรัฐฯ เมื่อ ServiceNow บริษัทด้านแพลตฟอร์ม AI สำหรับธุรกิจ ประกาศเปิดตัว “AI Hub” ขนาด 200,000 ตารางฟุต พร้อม AI Institute, Startup Accelerator และศูนย์ฝึกอบรมที่ครอบคลุมทุกมิติของการพัฒนาเทคโนโลยี

    โครงการนี้คาดว่าจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจมูลค่า 1.8 พันล้านดอลลาร์ภายใน 5 ปี และสร้างงานใหม่กว่า 850 ตำแหน่งภายในปี 2030 โดยเน้นการพัฒนาทักษะให้กับประชาชนในท้องถิ่น ทั้งทหารผ่านศึก คนเปลี่ยนอาชีพ และนักศึกษา ผ่านโปรแกรมฝึกอบรมจาก ServiceNow University

    AI Hub แห่งนี้จะเป็นพื้นที่สำหรับการทดลองใช้เครื่องมือ AI จริงในภาคธุรกิจและภาครัฐ พร้อมเปิดพื้นที่ให้ลูกค้า พาร์ตเนอร์ และนักคิดร่วมกันออกแบบอนาคตของ AI สำหรับองค์กร นอกจากนี้ยังมี Startup Accelerator ที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจเกิดใหม่เข้าถึงทรัพยากรและการให้คำปรึกษา

    การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ Florida ในการท้าทายเมืองเทคโนโลยีดั้งเดิมอย่าง Silicon Valley และ Austin โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการสร้างระบบนิเวศด้านนวัตกรรมที่ยั่งยืน และหากประสบความสำเร็จ อาจกลายเป็นต้นแบบให้รัฐอื่น ๆ ใช้ในการดึงดูดการลงทุนด้าน AI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ServiceNow เปิดตัว AI Hub ขนาด 200,000 ตารางฟุตใน West Palm Beach
    โครงการคาดว่าจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจมูลค่า $1.8 พันล้านภายใน 5 ปี
    คาดว่าจะสร้างงานใหม่กว่า 850 ตำแหน่งภายในปี 2030
    มี AI Institute, Startup Accelerator และศูนย์ฝึกอบรม ServiceNow University
    เน้นการฝึกทักษะให้กับทหารผ่านศึก คนเปลี่ยนอาชีพ และนักศึกษา
    เปิดพื้นที่ให้ธุรกิจและภาครัฐทดลองใช้เครื่องมือ AI จริง
    Startup Accelerator สนับสนุนธุรกิจเกิดใหม่ด้วยทรัพยากรและคำปรึกษา
    ตั้งเป้าให้ Florida เป็นศูนย์กลาง AI แข่งกับ Silicon Valley และ Austin

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    West Palm Beach มีการเติบโตด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
    ServiceNow เป็นหนึ่งในบริษัทที่ลงทุนด้าน AI สำหรับองค์กรอย่างจริงจัง
    การมี AI Hub ช่วยลดช่องว่างทักษะและเพิ่มโอกาสให้กับแรงงานท้องถิ่น
    Startup Accelerator เป็นกลไกสำคัญในการสร้างนวัตกรรมจากระดับรากหญ้า
    การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ช่วยให้รัฐมีความสามารถแข่งขันระดับโลก

    https://www.slashgear.com/1982848/florida-servicenow-ai-hub-details/
    🏗️ “Florida เปิดตัวศูนย์กลาง AI มูลค่า 1.8 พันล้านดอลลาร์ — เปลี่ยนชายฝั่งทองให้กลายเป็นเมืองหลวงแห่งนวัตกรรม” West Palm Beach เมืองชายฝั่งที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของรีสอร์ตหรูและอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ กำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของเศรษฐกิจ AI ในสหรัฐฯ เมื่อ ServiceNow บริษัทด้านแพลตฟอร์ม AI สำหรับธุรกิจ ประกาศเปิดตัว “AI Hub” ขนาด 200,000 ตารางฟุต พร้อม AI Institute, Startup Accelerator และศูนย์ฝึกอบรมที่ครอบคลุมทุกมิติของการพัฒนาเทคโนโลยี โครงการนี้คาดว่าจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจมูลค่า 1.8 พันล้านดอลลาร์ภายใน 5 ปี และสร้างงานใหม่กว่า 850 ตำแหน่งภายในปี 2030 โดยเน้นการพัฒนาทักษะให้กับประชาชนในท้องถิ่น ทั้งทหารผ่านศึก คนเปลี่ยนอาชีพ และนักศึกษา ผ่านโปรแกรมฝึกอบรมจาก ServiceNow University AI Hub แห่งนี้จะเป็นพื้นที่สำหรับการทดลองใช้เครื่องมือ AI จริงในภาคธุรกิจและภาครัฐ พร้อมเปิดพื้นที่ให้ลูกค้า พาร์ตเนอร์ และนักคิดร่วมกันออกแบบอนาคตของ AI สำหรับองค์กร นอกจากนี้ยังมี Startup Accelerator ที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจเกิดใหม่เข้าถึงทรัพยากรและการให้คำปรึกษา การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ Florida ในการท้าทายเมืองเทคโนโลยีดั้งเดิมอย่าง Silicon Valley และ Austin โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการสร้างระบบนิเวศด้านนวัตกรรมที่ยั่งยืน และหากประสบความสำเร็จ อาจกลายเป็นต้นแบบให้รัฐอื่น ๆ ใช้ในการดึงดูดการลงทุนด้าน AI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ServiceNow เปิดตัว AI Hub ขนาด 200,000 ตารางฟุตใน West Palm Beach ➡️ โครงการคาดว่าจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจมูลค่า $1.8 พันล้านภายใน 5 ปี ➡️ คาดว่าจะสร้างงานใหม่กว่า 850 ตำแหน่งภายในปี 2030 ➡️ มี AI Institute, Startup Accelerator และศูนย์ฝึกอบรม ServiceNow University ➡️ เน้นการฝึกทักษะให้กับทหารผ่านศึก คนเปลี่ยนอาชีพ และนักศึกษา ➡️ เปิดพื้นที่ให้ธุรกิจและภาครัฐทดลองใช้เครื่องมือ AI จริง ➡️ Startup Accelerator สนับสนุนธุรกิจเกิดใหม่ด้วยทรัพยากรและคำปรึกษา ➡️ ตั้งเป้าให้ Florida เป็นศูนย์กลาง AI แข่งกับ Silicon Valley และ Austin ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ West Palm Beach มีการเติบโตด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ➡️ ServiceNow เป็นหนึ่งในบริษัทที่ลงทุนด้าน AI สำหรับองค์กรอย่างจริงจัง ➡️ การมี AI Hub ช่วยลดช่องว่างทักษะและเพิ่มโอกาสให้กับแรงงานท้องถิ่น ➡️ Startup Accelerator เป็นกลไกสำคัญในการสร้างนวัตกรรมจากระดับรากหญ้า ➡️ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ช่วยให้รัฐมีความสามารถแข่งขันระดับโลก https://www.slashgear.com/1982848/florida-servicenow-ai-hub-details/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Florida Is Getting A Massive New AI Hub – Here's What It Will Be Used For - SlashGear
    A development project for Florida aims to bring an ambitious, AI-driven enterprise to West Palm Beach, promising benefits for both businesses and communities.
    0 Comments 0 Shares 267 Views 0 Reviews
More Results