• https://www.youtube.com/watch?v=-ZD91wEbT2Q
    แบบทดสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษระดับความยากปานกลาง ชุดที่ 12 ออกแบบมาเพื่อทดสอบความรู้และทักษะด้านไวยากรณ์ของคุณ โดยมีคำถาม 10 ข้อ พร้อมเฉลยและอธิบายคำตอบเป็นภาษาไทย
    #englishgrammar #grammartest #learnenglish
    https://www.youtube.com/watch?v=-ZD91wEbT2Q แบบทดสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษระดับความยากปานกลาง ชุดที่ 12 ออกแบบมาเพื่อทดสอบความรู้และทักษะด้านไวยากรณ์ของคุณ โดยมีคำถาม 10 ข้อ พร้อมเฉลยและอธิบายคำตอบเป็นภาษาไทย #englishgrammar #grammartest #learnenglish
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนท้าทาย OpenAI! Qwen AI เปิดตัวฟรี เน้นมัลติโมดัล-วิเคราะห์รูปภาพแม่นยำระดับเซียน

    เมื่อเร็ว ๆ นี้ วงการ AI ของจีนได้สร้างความตื่นตัวด้วยการเปิดตัว DeepSeek R1 โมเดลปัญญาประดิษฐ์ ที่ทำคะแนนเหนือ openAI ที่ทำคะแนนเหนือ ChatGPT-o1 (โมเดลที่เก่งที่สุดของ OpenAI ณ ปัจจุบัน) และ Claude 3.5 ในหลาย ๆ มิติเช่น งานด้านคณิตศาสตร์และเหตุผลเชิงตรรกะ รวมถึงการประมวลผลข้อความและโค้ดที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังใช้งานได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เพราะเป็นโมเดลที่กระชับกว่า ไม่ได้ใช้ทรัพยากรมากเหมือน chatGPT และ จุดเด่นที่ทำให้ DeepSeek R1 แตกต่างจากโมเดลอื่น ๆ คือการเป็น โอเพนซอร์ส ที่สามารถดาวน์โหลดโค้ดต้นฉบับมาใช้งานบนคอมพิวเตอร์ส่วนตัวได้ทันที (ต่างกับ openAI ที่ไม่เปิดเผย code แม้ว่าจะมีคำว่า open อยู่บนชื่อก็ตาม) แต่ถึงกระนั้น DeepSeek R1 ยังมีจุดอ่อนสำคัญคือ ปัจจุบันไม่สามารถวิเคราะห์รูปภาพได้ และนี่คือช่องว่างที่ Qwen โมเดล AI จาก Alibaba Cloud ฉีกกฎด้วยการเปิดตัว Qwen2.5-VL โมเดลที่สามารถประมวลผลภาษากับภาพร่วมกัน ใช้งานฟรี ซึ่งอาจเป็นมาตรฐานใหม่ให้กับ AI ยุคนี้!

    Qwen2.5-VL: ความสามารถที่ DeepSeek R1 ทำไม่ได้
    1. วิเคราะห์ภาพระดับเทพ
    Qwen2.5-VL ไม่ใช่แค่ตรวจจับวัตถุทั่วไป เช่น ดอกไม้หรือสัตว์ แต่ยังเข้าใจ แผนภูมิ กราฟิก ไอคอน และแม้แต่ โครงสร้างเอกสาร ในรูปภาพได้อย่างแม่นยำ พร้อมระบุตำแหน่งวัตถุ เพื่อใช้ต่อในระบบอัตโนมัติ เช่น
    o ตรวจจับนักบิดในภาพพร้อมสถานะสวมหมวกนิรภัย
    o นับจำนวนนกในภาพแม้เห็นแค่ส่วนหัว
    o แยกข้อมูลจากใบแจ้งหนี้หรือตารางในภาพ ส่งออกเป็นโครงสร้างข้อมูลเพื่อใช้ในงานธุรกิจ
    2. ประมวลผลวิดีโอยาว 1 ชั่วโมง + จับเหตุการณ์เฉพาะช่วงเวลา
    ด้วยเทคโนโลยี Dynamic Frame Rate และ Absolute Time Encoding โมเดลนี้สามารถสรุปเนื้อหาวิดีโอยาวระดับชั่วโมง และระบุเหตุการณ์สำคัญได้แม่นยำถึงระดับวินาที เช่น การโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับฟีเจอร์สร้างภาพในวิดีโอ
    3. ดึงข้อความจากภาพ รองรับมือหลายภาษา
    เพิ่มความแม่นยำในการอ่านข้อความจากภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาษาจีน ภาษาอังกฤษ หรือภาษาอื่น ๆ แม้ข้อความจะเอียงหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมซับซ้อน เช่น ตรวจสอบที่อยู่บนใบจัดส่งกับป้ายหน้าบ้านเพื่อยืนยันความถูกต้อง
    4. Visual Agent
    Qwen2.5-VL ทำหน้าที่เป็น "ตัวแทนอัจฉริยะ" ที่เชื่อมต่อกับเครื่องมือต่าง ๆ โดยตรง เช่น ควบคุมคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนผ่านการประมวลผลภาพ และสร้างผลลัพธ์แบบมีโครงสร้างเพื่อส่งต่อให้ระบบอื่น

    ในขณะที่ DeepSeek R1 โดดเด่นด้านคณิตศาสตร์และเหตุผล Qwen2.5-VL ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดด้วยความสามารถมัลติโมดัลที่สมบูรณ์แบบ พร้อมการสนับสนุนจากระบบ Cloud ของ Alibaba

    ผู้ก่อตั้งและข่าวสาร :
    https://x.com/huybery
    https://x.com/Alibaba_Qwen

    ใช้งาน AI ในข่าวฟรี สมัครฟรี ไม่มีโฆษณาที่: https://chat.qwenlm.ai/
    อ้างอิง: https://x.com/huybery

    คำอธิบายภาพ
    ภาพแรกแสดงการเปรียบเทียบระหว่างการแข่งขันของ โมเดล Qwen2.5-VL 72B เช่น การแก้ปัญหาในระดับมหาวิทยาลัย การอ่านเอกสารและแผนภูมิ การตอบคำถามทางภาพทั่วไป การคำนวณคณิตศาสตร์ การเข้าใจวิดีโอ และการควบคุมอุปกรณ์ผ่านภาพ ซึ่ง โมเดล Qwen2.5-VL 72B เก่งที่สุดในงานจำพวกการอ่านเอกสารและแผนภูมิ นอกจากนี้ยังทำได้ดีในงานตอบคำถามทางภาพทั่วไป

    คลิปมาจาก โมเดล Qwen2.5-plus แปลงข้อความ “Generate Thai people using the ThaiTime.co app everywhere!” เป็นวีดีโอ

    ภาพที่ 2 แสดงการถาม Qwen2.5-plus ว่า “รู้จัก Thaitimes.co ไหม” เพื่อทดสอบว่ามันสามารถหาข้อมูลใน internet ได้ลึกและเข้าใจภาษาไทย


    จีนท้าทาย OpenAI! Qwen AI เปิดตัวฟรี เน้นมัลติโมดัล-วิเคราะห์รูปภาพแม่นยำระดับเซียน เมื่อเร็ว ๆ นี้ วงการ AI ของจีนได้สร้างความตื่นตัวด้วยการเปิดตัว DeepSeek R1 โมเดลปัญญาประดิษฐ์ ที่ทำคะแนนเหนือ openAI ที่ทำคะแนนเหนือ ChatGPT-o1 (โมเดลที่เก่งที่สุดของ OpenAI ณ ปัจจุบัน) และ Claude 3.5 ในหลาย ๆ มิติเช่น งานด้านคณิตศาสตร์และเหตุผลเชิงตรรกะ รวมถึงการประมวลผลข้อความและโค้ดที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังใช้งานได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เพราะเป็นโมเดลที่กระชับกว่า ไม่ได้ใช้ทรัพยากรมากเหมือน chatGPT และ จุดเด่นที่ทำให้ DeepSeek R1 แตกต่างจากโมเดลอื่น ๆ คือการเป็น โอเพนซอร์ส ที่สามารถดาวน์โหลดโค้ดต้นฉบับมาใช้งานบนคอมพิวเตอร์ส่วนตัวได้ทันที (ต่างกับ openAI ที่ไม่เปิดเผย code แม้ว่าจะมีคำว่า open อยู่บนชื่อก็ตาม) แต่ถึงกระนั้น DeepSeek R1 ยังมีจุดอ่อนสำคัญคือ ปัจจุบันไม่สามารถวิเคราะห์รูปภาพได้ และนี่คือช่องว่างที่ Qwen โมเดล AI จาก Alibaba Cloud ฉีกกฎด้วยการเปิดตัว Qwen2.5-VL โมเดลที่สามารถประมวลผลภาษากับภาพร่วมกัน ใช้งานฟรี ซึ่งอาจเป็นมาตรฐานใหม่ให้กับ AI ยุคนี้! Qwen2.5-VL: ความสามารถที่ DeepSeek R1 ทำไม่ได้ 1. วิเคราะห์ภาพระดับเทพ Qwen2.5-VL ไม่ใช่แค่ตรวจจับวัตถุทั่วไป เช่น ดอกไม้หรือสัตว์ แต่ยังเข้าใจ แผนภูมิ กราฟิก ไอคอน และแม้แต่ โครงสร้างเอกสาร ในรูปภาพได้อย่างแม่นยำ พร้อมระบุตำแหน่งวัตถุ เพื่อใช้ต่อในระบบอัตโนมัติ เช่น o ตรวจจับนักบิดในภาพพร้อมสถานะสวมหมวกนิรภัย o นับจำนวนนกในภาพแม้เห็นแค่ส่วนหัว o แยกข้อมูลจากใบแจ้งหนี้หรือตารางในภาพ ส่งออกเป็นโครงสร้างข้อมูลเพื่อใช้ในงานธุรกิจ 2. ประมวลผลวิดีโอยาว 1 ชั่วโมง + จับเหตุการณ์เฉพาะช่วงเวลา ด้วยเทคโนโลยี Dynamic Frame Rate และ Absolute Time Encoding โมเดลนี้สามารถสรุปเนื้อหาวิดีโอยาวระดับชั่วโมง และระบุเหตุการณ์สำคัญได้แม่นยำถึงระดับวินาที เช่น การโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับฟีเจอร์สร้างภาพในวิดีโอ 3. ดึงข้อความจากภาพ รองรับมือหลายภาษา เพิ่มความแม่นยำในการอ่านข้อความจากภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาษาจีน ภาษาอังกฤษ หรือภาษาอื่น ๆ แม้ข้อความจะเอียงหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมซับซ้อน เช่น ตรวจสอบที่อยู่บนใบจัดส่งกับป้ายหน้าบ้านเพื่อยืนยันความถูกต้อง 4. Visual Agent Qwen2.5-VL ทำหน้าที่เป็น "ตัวแทนอัจฉริยะ" ที่เชื่อมต่อกับเครื่องมือต่าง ๆ โดยตรง เช่น ควบคุมคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนผ่านการประมวลผลภาพ และสร้างผลลัพธ์แบบมีโครงสร้างเพื่อส่งต่อให้ระบบอื่น ในขณะที่ DeepSeek R1 โดดเด่นด้านคณิตศาสตร์และเหตุผล Qwen2.5-VL ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดด้วยความสามารถมัลติโมดัลที่สมบูรณ์แบบ พร้อมการสนับสนุนจากระบบ Cloud ของ Alibaba ผู้ก่อตั้งและข่าวสาร : https://x.com/huybery https://x.com/Alibaba_Qwen ใช้งาน AI ในข่าวฟรี สมัครฟรี ไม่มีโฆษณาที่: https://chat.qwenlm.ai/ อ้างอิง: https://x.com/huybery คำอธิบายภาพ ภาพแรกแสดงการเปรียบเทียบระหว่างการแข่งขันของ โมเดล Qwen2.5-VL 72B เช่น การแก้ปัญหาในระดับมหาวิทยาลัย การอ่านเอกสารและแผนภูมิ การตอบคำถามทางภาพทั่วไป การคำนวณคณิตศาสตร์ การเข้าใจวิดีโอ และการควบคุมอุปกรณ์ผ่านภาพ ซึ่ง โมเดล Qwen2.5-VL 72B เก่งที่สุดในงานจำพวกการอ่านเอกสารและแผนภูมิ นอกจากนี้ยังทำได้ดีในงานตอบคำถามทางภาพทั่วไป คลิปมาจาก โมเดล Qwen2.5-plus แปลงข้อความ “Generate Thai people using the ThaiTime.co app everywhere!” เป็นวีดีโอ ภาพที่ 2 แสดงการถาม Qwen2.5-plus ว่า “รู้จัก Thaitimes.co ไหม” เพื่อทดสอบว่ามันสามารถหาข้อมูลใน internet ได้ลึกและเข้าใจภาษาไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • Beat Generation
    .
    Epilogue
    .
    .
    ผมเริ่มใช้ชีวิตในต่างประเทศตั้งแต่อายุ 10 ขวบ การที่ต้องอยู่ในประเทศสิงคโปร์และเข้าเรียนในโรงเรียนสามัญแบบคนสิงคโปร์ทั่วไปภาษาหลักที่ผมใช้สื่อสารคือภาษาอังกฤษและภาษาจีน ต่อมาเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษา จึงกลับมาที่ประเทศไทย และ เริ่มเรียนภาษาไทยแบบจริงจัง ตอนอายุ 18 ปี เพราะอยากเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย อย่างมหาวิทยาจุฬาลงกรณ์ เหมือนเด็กไทยที่จบจากประเทศสิงคโปร์คนอื่นๆ แต่ผมอยู่เมืองไทยได้เพียงแปดเดือนเศษและก็ย้ายไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี-โท-เอกในเมืองโคโลราโด้สปริง รัฐโคโลราโด้ ประเทศสหรัฐอเมริกา และใช้เวลาตั้งแต่ปี 2008 ถึง 2013 ในฐานะนักวิจัยมนุษยวิทยาในมหาวิทยาลัย

    เมืองโคโลราโด้สปริงนั้นอยู่ในสถานะเมืองหลวงของรัฐแห่งที่สองรองจากเมืองเดนเวอร์ มีอากาศหนาวเย็น 8 เดือนต่อปี เนื่องจากอยู่ใต้เทือกเขาร็อคกี้ และอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมาก ใกล้ๆ เมืองที่ผมอาศัยอยู่กว่าทศวรรษ มีเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งซึ่งผมได้ไปอยู่ เรียกว่า เมืองเก่า หรือ โอลด์ทาวน์ จริงๆชื่อว่า มานีทูสปริง เมืองนี้เป็นเมืองที่ บุปฝาชน อาศัยอยู่ พวกเขามาจากหลายที่ทั่วโลก แต่เลือกที่จะมาอาศัยอยู่เมืองเงียบๆ ตีนเขาไพคส์พีคส์ เลือกเป็นรังนอนสุดท้าย ผมชอบชีวิตแบบพวกเขามาก และเป็นที่ที่ผมไป แฮงค์เอาท์บ่อยสุด นอนอ่านหนังสือในคาเฟ่ สูบกัญชา (ซึ่งยังไม่เสรีและ ทางการปิดตาข้างเดียวในตอนนั้น) ดื่มเยอบามัตเต้ แบบบุฟเฟ่ต์ ฟังเพลงแบบนิวเอจแจ๊ส ผมยังเคยคิดว่า ตัวผมในช่วงปริญญาเอกควร ไปอยู่ที่ มหาวิทยาลัยนโรปะ หรือ มหาวิทยาลัยทางจิตวิญญาณของเหล่าผู้แสวงหาความจริงในชีวิต (ในยุคที่ ส.ศิวรักษ์ เป็นอาจารย์รับเชิญพิเศษ) ซึ่งห่างออกไปเพียงร้อยกว่าไมล์ หากขับแลนด์ครูเซอร์คันดำคันนั้นของผมไปก็เพียง 2 ชั่วโมง อาจจะไปเรียนสัปดาห์ละ 3-4 วันได้

    แต่คนวัยผมสีดอกเลา ที่อยู่รอบตัวผมบ่อยๆนั้นคือใคร ใครคือผู้เริ่มต้นขบวนการบุปฝาชน? เราอาจจะตอบไม่ได้ชัดเจนนัก แต่กระแสย่อมมีที่มาที่ไป และคงจบลงหรือไม่ หลังจากฮิปปี้คนสุดท้ายตายจากไป จาก มานิทูสปริง …
    Beat Generation . Epilogue . . ผมเริ่มใช้ชีวิตในต่างประเทศตั้งแต่อายุ 10 ขวบ การที่ต้องอยู่ในประเทศสิงคโปร์และเข้าเรียนในโรงเรียนสามัญแบบคนสิงคโปร์ทั่วไปภาษาหลักที่ผมใช้สื่อสารคือภาษาอังกฤษและภาษาจีน ต่อมาเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษา จึงกลับมาที่ประเทศไทย และ เริ่มเรียนภาษาไทยแบบจริงจัง ตอนอายุ 18 ปี เพราะอยากเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย อย่างมหาวิทยาจุฬาลงกรณ์ เหมือนเด็กไทยที่จบจากประเทศสิงคโปร์คนอื่นๆ แต่ผมอยู่เมืองไทยได้เพียงแปดเดือนเศษและก็ย้ายไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี-โท-เอกในเมืองโคโลราโด้สปริง รัฐโคโลราโด้ ประเทศสหรัฐอเมริกา และใช้เวลาตั้งแต่ปี 2008 ถึง 2013 ในฐานะนักวิจัยมนุษยวิทยาในมหาวิทยาลัย เมืองโคโลราโด้สปริงนั้นอยู่ในสถานะเมืองหลวงของรัฐแห่งที่สองรองจากเมืองเดนเวอร์ มีอากาศหนาวเย็น 8 เดือนต่อปี เนื่องจากอยู่ใต้เทือกเขาร็อคกี้ และอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมาก ใกล้ๆ เมืองที่ผมอาศัยอยู่กว่าทศวรรษ มีเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งซึ่งผมได้ไปอยู่ เรียกว่า เมืองเก่า หรือ โอลด์ทาวน์ จริงๆชื่อว่า มานีทูสปริง เมืองนี้เป็นเมืองที่ บุปฝาชน อาศัยอยู่ พวกเขามาจากหลายที่ทั่วโลก แต่เลือกที่จะมาอาศัยอยู่เมืองเงียบๆ ตีนเขาไพคส์พีคส์ เลือกเป็นรังนอนสุดท้าย ผมชอบชีวิตแบบพวกเขามาก และเป็นที่ที่ผมไป แฮงค์เอาท์บ่อยสุด นอนอ่านหนังสือในคาเฟ่ สูบกัญชา (ซึ่งยังไม่เสรีและ ทางการปิดตาข้างเดียวในตอนนั้น) ดื่มเยอบามัตเต้ แบบบุฟเฟ่ต์ ฟังเพลงแบบนิวเอจแจ๊ส ผมยังเคยคิดว่า ตัวผมในช่วงปริญญาเอกควร ไปอยู่ที่ มหาวิทยาลัยนโรปะ หรือ มหาวิทยาลัยทางจิตวิญญาณของเหล่าผู้แสวงหาความจริงในชีวิต (ในยุคที่ ส.ศิวรักษ์ เป็นอาจารย์รับเชิญพิเศษ) ซึ่งห่างออกไปเพียงร้อยกว่าไมล์ หากขับแลนด์ครูเซอร์คันดำคันนั้นของผมไปก็เพียง 2 ชั่วโมง อาจจะไปเรียนสัปดาห์ละ 3-4 วันได้ แต่คนวัยผมสีดอกเลา ที่อยู่รอบตัวผมบ่อยๆนั้นคือใคร ใครคือผู้เริ่มต้นขบวนการบุปฝาชน? เราอาจจะตอบไม่ได้ชัดเจนนัก แต่กระแสย่อมมีที่มาที่ไป และคงจบลงหรือไม่ หลังจากฮิปปี้คนสุดท้ายตายจากไป จาก มานิทูสปริง …
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • 82 ปี “สวัสดี” คำทักทายอย่างเป็นทางการของไทย

    ย้อนไปเมื่อ 82 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2486 ถือเป็นวันสำคัญ ในประวัติศาสตร์ภาษา และวัฒนธรรมของไทย เนื่องจากรัฐบาลไทยในยุคนั้น ได้กำหนดให้คำว่า “สวัสดี” เป็นคำทักทาย ที่ใช้อย่างเป็นทางการ ทั้งในยามพบปะและลาจาก คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดธรรมดา แต่ยังสื่อถึงความหวังดี และความปรารถนาดีระหว่างผู้คน ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิญญาณอันงดงาม ของวัฒนธรรมไทย

    ความหมายของ “สวัสดี”
    คำว่า “สวัสดี” มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต โดยคำนี้ประกอบด้วยสองส่วนสำคัญ ได้แก่
    “สุ” ซึ่งเป็นคำอุปสรรค หมายถึง "ดี" หรือ "งดงาม"
    “อสฺติ” ซึ่งเป็นคำกริยา หมายถึง "มี"

    เมื่อรวมกันจึงแปลว่า “ขอความดีงามจงมีแก่ท่าน” หรือกล่าวในความหมายกว้างว่า “ขอให้คุณมีความสุข ปลอดภัย และรุ่งเรือง”

    ตามที่พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ระบุไว้ คำว่า “สวัสดี” หมายถึง ความดี ความงาม ความเจริญรุ่งเรือง และความปลอดภัย คำนี้ถูกนำมาใช้ เพื่อเป็นทั้งคำอวยพร และคำทักทาย ทำให้ทุกครั้ง ที่มีการกล่าวคำว่า "สวัสดี" ผู้พูดและผู้ฟัง ต่างได้รับความรู้สึกดี ๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ของภาษาไทย

    จุดเริ่มต้นของคำว่า “สวัสดี”
    คำว่า “สวัสดี” ได้ถูกนำมาใช้ อย่างเป็นทางการครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2486 โดยพระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในขณะนั้น พระยาอุปกิตฯ ได้แรงบันดาลใจจากคำว่า “โสตฺถิ” ในภาษาบาลี หรือ “สฺวสฺติ” ในภาษาสันสกฤต และได้นำมาปรับเปลี่ยนเสียง ให้เหมาะสม กับการออกเสียงของคนไทย

    หลังจากนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในยุคนั้น ได้เห็นความเหมาะสมของคำนี้ และสนับสนุนให้ใช้คำว่า “สวัสดี” เป็นคำทักทายอย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2486 เป็นต้นมา

    ความแตกต่างของ “สวัสดี” กับคำทักทายอื่นในยุคนั้น
    ก่อนที่คำว่า “สวัสดี” จะถูกกำหนดให้เป็นคำทักทาย อย่างเป็นทางการ คนไทยนิยมใช้คำทักทาย ตามโอกาส เช่น

    “ไปไหนมา?” หรือ “กินข้าวหรือยัง?” ในชีวิตประจำวัน
    “กราบเรียน” หรือ “คารวะ” เมื่อพูดกับผู้ใหญ่

    คำว่า “สวัสดี” จึงเข้ามาเติมเต็มบทบาท ของคำทักทาย ที่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ ทั้งในเชิงความหมาย และความสะดวกในการใช้งาน โดยสามารถใช้ได้ทั้งในชีวิตประจำวัน และในพิธีการ อย่างเป็นทางการ

    การพัฒนาคำว่า “สวัสดี” ในยุคปัจจุบัน
    แม้คำว่า “สวัสดี” จะถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง ในประเทศไทย แต่ในช่วงยุคแรก ๆ มีการกำหนดคำทักทายเพิ่มเติม ในช่วงเวลาต่าง ๆ ของวัน เช่น

    “อรุณสวัสดิ์” (Good morning) สำหรับทักทายในตอนเช้า
    “ทิวาสวัสดิ์” (Good afternoon) สำหรับทักทายในตอนกลางวัน
    “สายัณห์สวัสดิ์” (Good evening) สำหรับทักทายในตอนเย็น
    “ราตรีสวัสดิ์” (Good night) สำหรับกล่าวลาก่อนเข้านอน

    อย่างไรก็ตาม คำว่า “สวัสดี” ยังคงได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะสามารถใช้ได้ทุกช่วงเวลา ไม่ต้องระบุเวลาเฉพาะเจาะจง

    การทักทายด้วย “สวัสดี” สะท้อนถึงวัฒนธรรมไทย
    การกล่าวคำว่า “สวัสดี” มักจะมาพร้อมกับการ ไหว้ ซึ่งเป็นการยกมือขึ้นประนมไว้ที่อก ในลักษณะคล้ายดอกบัวตูม ท่าทางนี้ไม่ได้เป็นเพียง การแสดงความเคารพเท่านั้น แต่ยังแฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง เช่น

    ความบริสุทธิ์ใจ การประนมมือไว้ที่อก แสดงถึงการพูดจากใจ
    ความเคารพผู้อื่น แสดงความนอบน้อมและให้เกียรติผู้ฟัง
    ความปรารถนาดี การกล่าวคำ “สวัสดี” พร้อมกับการไหว้ เป็นการส่งต่อความหวังดีไปยังผู้อื่น

    นอกจากนี้ การไหว้ยังแบ่งระดับ ตามสถานะของผู้พูดและผู้ฟัง เช่น
    ไหว้แบบสูงสุด สำหรับการแสดงความเคารพต่อพระสงฆ์
    ไหว้แบบกลาง สำหรับผู้ใหญ่ และผู้มีตำแหน่งสูงกว่า
    ไหว้แบบต่ำ สำหรับเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อน

    “สวัสดี” ในยุคดิจิทัล
    แม้ในยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในชีวิตประจำวัน คนไทยยังคงใช้คำว่า “สวัสดี” ในการสื่อสาร ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น

    - ส่งข้อความทักทาย ในแอปพลิเคชันแชต
    - ใช้คำว่า “สวัสดีค่ะ/ครับ” เป็นคำเปิดหัวข้อในอีเมล
    - ใช้คำว่า “สวัสดี” ในโพสต์ หรือแคปชันบนโซเชียลมีเดีย

    การใช้งานคำนี้ในยุคดิจิทัล ช่วยสะท้อนถึงการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ในโลกออนไลน์ และยังสร้างความประทับใจ แก่ชาวต่างชาติที่พบเห็น

    “สวัสดี” คำทักทายที่ไม่เคยล้าสมัย
    การเดินทางของคำว่า “สวัสดี” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2486 จนถึงปัจจุบัน เป็นเครื่องยืนยันถึงความงดงาม ของภาษาไทย และวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำพูด ที่ใช้ในการทักทาย หรืออำลาเท่านั้น แต่ยังเป็นการสื่อสาร ถึงความปรารถนาดี ความเคารพ และความจริงใจ ที่คนไทยมีต่อกัน

    “สวัสดี” จึงไม่ใช่เพียงคำพูดธรรมดา แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ ของความงดงามทางวัฒนธรรม ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ และส่งต่อให้คนรุ่นหลัง

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221015 ม.ค. 2568

    #สวัสดี #ภาษาไทย #วัฒนธรรมไทย #คำทักทายไทย #คำทักทาย #วันสวัสดี #รากศัพท์สันสกฤต #ประวัติศาสตร์ไทย #ความงดงามของไทย #มรดกทางวัฒนธรรม ✨ 😊
    82 ปี “สวัสดี” คำทักทายอย่างเป็นทางการของไทย ย้อนไปเมื่อ 82 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2486 ถือเป็นวันสำคัญ ในประวัติศาสตร์ภาษา และวัฒนธรรมของไทย เนื่องจากรัฐบาลไทยในยุคนั้น ได้กำหนดให้คำว่า “สวัสดี” เป็นคำทักทาย ที่ใช้อย่างเป็นทางการ ทั้งในยามพบปะและลาจาก คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดธรรมดา แต่ยังสื่อถึงความหวังดี และความปรารถนาดีระหว่างผู้คน ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิญญาณอันงดงาม ของวัฒนธรรมไทย ความหมายของ “สวัสดี” คำว่า “สวัสดี” มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต โดยคำนี้ประกอบด้วยสองส่วนสำคัญ ได้แก่ “สุ” ซึ่งเป็นคำอุปสรรค หมายถึง "ดี" หรือ "งดงาม" “อสฺติ” ซึ่งเป็นคำกริยา หมายถึง "มี" เมื่อรวมกันจึงแปลว่า “ขอความดีงามจงมีแก่ท่าน” หรือกล่าวในความหมายกว้างว่า “ขอให้คุณมีความสุข ปลอดภัย และรุ่งเรือง” ตามที่พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ระบุไว้ คำว่า “สวัสดี” หมายถึง ความดี ความงาม ความเจริญรุ่งเรือง และความปลอดภัย คำนี้ถูกนำมาใช้ เพื่อเป็นทั้งคำอวยพร และคำทักทาย ทำให้ทุกครั้ง ที่มีการกล่าวคำว่า "สวัสดี" ผู้พูดและผู้ฟัง ต่างได้รับความรู้สึกดี ๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ของภาษาไทย จุดเริ่มต้นของคำว่า “สวัสดี” คำว่า “สวัสดี” ได้ถูกนำมาใช้ อย่างเป็นทางการครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2486 โดยพระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในขณะนั้น พระยาอุปกิตฯ ได้แรงบันดาลใจจากคำว่า “โสตฺถิ” ในภาษาบาลี หรือ “สฺวสฺติ” ในภาษาสันสกฤต และได้นำมาปรับเปลี่ยนเสียง ให้เหมาะสม กับการออกเสียงของคนไทย หลังจากนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในยุคนั้น ได้เห็นความเหมาะสมของคำนี้ และสนับสนุนให้ใช้คำว่า “สวัสดี” เป็นคำทักทายอย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2486 เป็นต้นมา ความแตกต่างของ “สวัสดี” กับคำทักทายอื่นในยุคนั้น ก่อนที่คำว่า “สวัสดี” จะถูกกำหนดให้เป็นคำทักทาย อย่างเป็นทางการ คนไทยนิยมใช้คำทักทาย ตามโอกาส เช่น “ไปไหนมา?” หรือ “กินข้าวหรือยัง?” ในชีวิตประจำวัน “กราบเรียน” หรือ “คารวะ” เมื่อพูดกับผู้ใหญ่ คำว่า “สวัสดี” จึงเข้ามาเติมเต็มบทบาท ของคำทักทาย ที่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ ทั้งในเชิงความหมาย และความสะดวกในการใช้งาน โดยสามารถใช้ได้ทั้งในชีวิตประจำวัน และในพิธีการ อย่างเป็นทางการ การพัฒนาคำว่า “สวัสดี” ในยุคปัจจุบัน แม้คำว่า “สวัสดี” จะถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง ในประเทศไทย แต่ในช่วงยุคแรก ๆ มีการกำหนดคำทักทายเพิ่มเติม ในช่วงเวลาต่าง ๆ ของวัน เช่น “อรุณสวัสดิ์” (Good morning) สำหรับทักทายในตอนเช้า “ทิวาสวัสดิ์” (Good afternoon) สำหรับทักทายในตอนกลางวัน “สายัณห์สวัสดิ์” (Good evening) สำหรับทักทายในตอนเย็น “ราตรีสวัสดิ์” (Good night) สำหรับกล่าวลาก่อนเข้านอน อย่างไรก็ตาม คำว่า “สวัสดี” ยังคงได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะสามารถใช้ได้ทุกช่วงเวลา ไม่ต้องระบุเวลาเฉพาะเจาะจง การทักทายด้วย “สวัสดี” สะท้อนถึงวัฒนธรรมไทย การกล่าวคำว่า “สวัสดี” มักจะมาพร้อมกับการ ไหว้ ซึ่งเป็นการยกมือขึ้นประนมไว้ที่อก ในลักษณะคล้ายดอกบัวตูม ท่าทางนี้ไม่ได้เป็นเพียง การแสดงความเคารพเท่านั้น แต่ยังแฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง เช่น ความบริสุทธิ์ใจ การประนมมือไว้ที่อก แสดงถึงการพูดจากใจ ความเคารพผู้อื่น แสดงความนอบน้อมและให้เกียรติผู้ฟัง ความปรารถนาดี การกล่าวคำ “สวัสดี” พร้อมกับการไหว้ เป็นการส่งต่อความหวังดีไปยังผู้อื่น นอกจากนี้ การไหว้ยังแบ่งระดับ ตามสถานะของผู้พูดและผู้ฟัง เช่น ไหว้แบบสูงสุด สำหรับการแสดงความเคารพต่อพระสงฆ์ ไหว้แบบกลาง สำหรับผู้ใหญ่ และผู้มีตำแหน่งสูงกว่า ไหว้แบบต่ำ สำหรับเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อน “สวัสดี” ในยุคดิจิทัล แม้ในยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในชีวิตประจำวัน คนไทยยังคงใช้คำว่า “สวัสดี” ในการสื่อสาร ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น - ส่งข้อความทักทาย ในแอปพลิเคชันแชต - ใช้คำว่า “สวัสดีค่ะ/ครับ” เป็นคำเปิดหัวข้อในอีเมล - ใช้คำว่า “สวัสดี” ในโพสต์ หรือแคปชันบนโซเชียลมีเดีย การใช้งานคำนี้ในยุคดิจิทัล ช่วยสะท้อนถึงการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ในโลกออนไลน์ และยังสร้างความประทับใจ แก่ชาวต่างชาติที่พบเห็น “สวัสดี” คำทักทายที่ไม่เคยล้าสมัย การเดินทางของคำว่า “สวัสดี” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2486 จนถึงปัจจุบัน เป็นเครื่องยืนยันถึงความงดงาม ของภาษาไทย และวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำพูด ที่ใช้ในการทักทาย หรืออำลาเท่านั้น แต่ยังเป็นการสื่อสาร ถึงความปรารถนาดี ความเคารพ และความจริงใจ ที่คนไทยมีต่อกัน “สวัสดี” จึงไม่ใช่เพียงคำพูดธรรมดา แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ ของความงดงามทางวัฒนธรรม ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ และส่งต่อให้คนรุ่นหลัง ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221015 ม.ค. 2568 #สวัสดี #ภาษาไทย #วัฒนธรรมไทย #คำทักทายไทย #คำทักทาย #วันสวัสดี #รากศัพท์สันสกฤต #ประวัติศาสตร์ไทย #ความงดงามของไทย #มรดกทางวัฒนธรรม ✨ 😊
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพลง 2
    ช่วงนี้วันคริสต์มาส เรามาร้องเพลงกันดีกว่า ด้วยความสนุกกับเพลงนี้
    เพลง คริสต์มาส(ฉบับภาษาไทย)
    คำร้อง แดน
    ทำนอง เพลงคริสต์มาส
    พวกเราอวยพรให้เธอมีความสุข(ในวันคริสต์มาส)
    พวกเราอวยพรให้เธอมีความสุข(ในวันคริสต์มาส)
    พวกเราอวยพรให้เธอมีความสุข(ในวันคริสต์มาส)
    ขอให้โชคดีมีชัย(ในวันปีใหม่)

    ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก D.D.T. of E.U.O.
    ป.ล.หวังว่าทุกคนคงจะสนุกกับเพลงนี้กันนะครับ
    เพลง 2 ช่วงนี้วันคริสต์มาส เรามาร้องเพลงกันดีกว่า ด้วยความสนุกกับเพลงนี้ เพลง คริสต์มาส(ฉบับภาษาไทย) คำร้อง แดน ทำนอง เพลงคริสต์มาส พวกเราอวยพรให้เธอมีความสุข(ในวันคริสต์มาส) พวกเราอวยพรให้เธอมีความสุข(ในวันคริสต์มาส) พวกเราอวยพรให้เธอมีความสุข(ในวันคริสต์มาส) ขอให้โชคดีมีชัย(ในวันปีใหม่) ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก D.D.T. of E.U.O. ป.ล.หวังว่าทุกคนคงจะสนุกกับเพลงนี้กันนะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=eqAOhcVxIwE
    แบบทดสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษระดับความยากปานกลาง ชุดที่ 11 ออกแบบมาเพื่อทดสอบความรู้และทักษะด้านไวยากรณ์ของคุณ โดยมีคำถาม 10 ข้อ พร้อมเฉลยและอธิบายคำตอบเป็นภาษาไทย
    #englishgrammar #grammartest #learnenglish
    https://www.youtube.com/watch?v=eqAOhcVxIwE แบบทดสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษระดับความยากปานกลาง ชุดที่ 11 ออกแบบมาเพื่อทดสอบความรู้และทักษะด้านไวยากรณ์ของคุณ โดยมีคำถาม 10 ข้อ พร้อมเฉลยและอธิบายคำตอบเป็นภาษาไทย #englishgrammar #grammartest #learnenglish
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด่านปาดังเบซาร์ วันนี้ที่เปลี่ยนไป

    ใกล้จะครบรอบ 1 ปี สำหรับการกลับมาเปิดใช้สะพานลอยปาดังเบซาร์ (Padang Besar) รัฐปะลิส ประเทศมาเลเซีย นับตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ.2567 เป็นต้นมา ซึ่งเชื่อมระหว่างศูนย์ ICQS ปาดังเบซาร์ ตรงข้ามด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา กับสถานีรถไฟปาดังเบซาร์ ของการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ที่มีรถไฟ KTM Komuter ไปสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ (Butterworth) รัฐปีนัง และรถไฟ ETS ไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ พบว่าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

    ถ้ามาจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ หรือรัฐปีนังด้วยรถไฟ ถึงสถานีปาดังเบซาร์ เมื่อออกจากประตูอัตโนมัติ (ACG) จะพบกับบรรดาโชเฟอร์แท็กซี่และรถตู้ไปหาดใหญ่ คนละ 30 ริงกิต (ประมาณ 231 บาท) แต่มีป้ายบอกทางระบุเป็นภาษาไทยและภาษามาเลย์ว่า "ออกจากเมือง ไปด่านตรวจคนเข้าเมือง (ICQS) และไปศูนย์การค้า NIAGA ปาดังเบซาร์" โดยลูกศรชี้ไปที่สะพานลอยที่เปิดขึ้นมา ถ้าไม่ได้ใช้บริการรถไฟไปยังสถานีชุมทางหาดใหญ่ก็ใช้สะพานลอยแห่งนี้

    สะพานลอยดังกล่าวไปออกวงเวียนปาดังเบซาร์ ซึ่งจะมีรถจักรยานยนต์รับจ้างไปส่งถึงฝั่งประเทศไทย ค่าโดยสาร 10 ริงกิต แต่ถ้าจะเดินเข้าไปเองก็ทำได้แต่ไกลหน่อย ศูนย์ ICQS ปาดังเบซาร์ เปิดเวลา 06.00-22.00 น. ส่วนด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ ประเทศไทย เปิด 05.00-21.00 น. (เวลาไทย)

    ด้านพื้นที่การค้าย่านวงเวียนปาดังเบซาร์ พบว่ามีร้านมิสเตอร์ดีไอวาย (มาเลเซีย) เปิดอยู่ใกล้กับวงเวียน ตามมาด้วยอาคารพาณิชย์ ศูนย์การค้า Arked Niaga ศูนย์การค้า Plaza Niaga และศูนย์การค้า Padang Waremart แต่ก็มีศูนย์การค้าเปิดใหม่ด้านในสุด คือ Padang Besar Street ที่มีศูนย์อาหาร Border Kitchen และร้าน Tealive ตั้งอยู่

    สำหรับร้านค้าปลอดภาษี (Duty Free) มีอยู่ 2 แห่ง ได้แก่ ร้าน Warisan Limpahan เป็นอาคารพาณิชย์ใกล้ Arked Niaga จำหน่ายน้ำหอม สุรา และบุหรี่ แต่การรับสินค้าหลังชำระเงินแล้ว ต้องนำใบเสร็จไปรับที่ห้องกระจกหลังผ่านจุดลงตราประทับ โดยจะมีพนักงานตามไปส่งสินค้าด้วยจักรยานยนต์ ส่วนอีกแห่งหนึ่งคือ The ZON Duty Free อยู่เลยศูนย์ ICQS ปาดังเบซาร์ไปแล้ว ก่อนถึงด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ ประเทศไทย ด้านในคล้ายกับห้างสรรพสินค้า

    เมื่อออกจากด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ ประเทศไทยแล้ว มีจุดจอดรถตู้บริเวณตรงข้ามด่าน ค่าโดยสารคนละ 70 บาท รถออกเที่ยวแรก 06.30 น. เที่ยวสุดท้าย 17.30 น. (เวลาไทย) หากต้องการส่งพัสดุไปรษณีย์ จะมีที่ทำการไปรษณีย์ปาดังเบซาร์ อยู่ตรงข้ามสถานีตำรวจภูธรปาดังเบซาร์ เปิดวันจันทร์-ศุกร์ 08.30-17.00 น. วันเสาร์ 09.00-15.00 น. หยุดวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์

    #Newskit
    -----
    ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    ด่านปาดังเบซาร์ วันนี้ที่เปลี่ยนไป ใกล้จะครบรอบ 1 ปี สำหรับการกลับมาเปิดใช้สะพานลอยปาดังเบซาร์ (Padang Besar) รัฐปะลิส ประเทศมาเลเซีย นับตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ.2567 เป็นต้นมา ซึ่งเชื่อมระหว่างศูนย์ ICQS ปาดังเบซาร์ ตรงข้ามด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา กับสถานีรถไฟปาดังเบซาร์ ของการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ที่มีรถไฟ KTM Komuter ไปสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ (Butterworth) รัฐปีนัง และรถไฟ ETS ไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ พบว่าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ถ้ามาจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ หรือรัฐปีนังด้วยรถไฟ ถึงสถานีปาดังเบซาร์ เมื่อออกจากประตูอัตโนมัติ (ACG) จะพบกับบรรดาโชเฟอร์แท็กซี่และรถตู้ไปหาดใหญ่ คนละ 30 ริงกิต (ประมาณ 231 บาท) แต่มีป้ายบอกทางระบุเป็นภาษาไทยและภาษามาเลย์ว่า "ออกจากเมือง ไปด่านตรวจคนเข้าเมือง (ICQS) และไปศูนย์การค้า NIAGA ปาดังเบซาร์" โดยลูกศรชี้ไปที่สะพานลอยที่เปิดขึ้นมา ถ้าไม่ได้ใช้บริการรถไฟไปยังสถานีชุมทางหาดใหญ่ก็ใช้สะพานลอยแห่งนี้ สะพานลอยดังกล่าวไปออกวงเวียนปาดังเบซาร์ ซึ่งจะมีรถจักรยานยนต์รับจ้างไปส่งถึงฝั่งประเทศไทย ค่าโดยสาร 10 ริงกิต แต่ถ้าจะเดินเข้าไปเองก็ทำได้แต่ไกลหน่อย ศูนย์ ICQS ปาดังเบซาร์ เปิดเวลา 06.00-22.00 น. ส่วนด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ ประเทศไทย เปิด 05.00-21.00 น. (เวลาไทย) ด้านพื้นที่การค้าย่านวงเวียนปาดังเบซาร์ พบว่ามีร้านมิสเตอร์ดีไอวาย (มาเลเซีย) เปิดอยู่ใกล้กับวงเวียน ตามมาด้วยอาคารพาณิชย์ ศูนย์การค้า Arked Niaga ศูนย์การค้า Plaza Niaga และศูนย์การค้า Padang Waremart แต่ก็มีศูนย์การค้าเปิดใหม่ด้านในสุด คือ Padang Besar Street ที่มีศูนย์อาหาร Border Kitchen และร้าน Tealive ตั้งอยู่ สำหรับร้านค้าปลอดภาษี (Duty Free) มีอยู่ 2 แห่ง ได้แก่ ร้าน Warisan Limpahan เป็นอาคารพาณิชย์ใกล้ Arked Niaga จำหน่ายน้ำหอม สุรา และบุหรี่ แต่การรับสินค้าหลังชำระเงินแล้ว ต้องนำใบเสร็จไปรับที่ห้องกระจกหลังผ่านจุดลงตราประทับ โดยจะมีพนักงานตามไปส่งสินค้าด้วยจักรยานยนต์ ส่วนอีกแห่งหนึ่งคือ The ZON Duty Free อยู่เลยศูนย์ ICQS ปาดังเบซาร์ไปแล้ว ก่อนถึงด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ ประเทศไทย ด้านในคล้ายกับห้างสรรพสินค้า เมื่อออกจากด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ ประเทศไทยแล้ว มีจุดจอดรถตู้บริเวณตรงข้ามด่าน ค่าโดยสารคนละ 70 บาท รถออกเที่ยวแรก 06.30 น. เที่ยวสุดท้าย 17.30 น. (เวลาไทย) หากต้องการส่งพัสดุไปรษณีย์ จะมีที่ทำการไปรษณีย์ปาดังเบซาร์ อยู่ตรงข้ามสถานีตำรวจภูธรปาดังเบซาร์ เปิดวันจันทร์-ศุกร์ 08.30-17.00 น. วันเสาร์ 09.00-15.00 น. หยุดวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ #Newskit ----- ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 512 มุมมอง 0 รีวิว
  • 33 ปี สิ้น “หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง” พระเถราจารย์แห่งอุบลราชธานี ผู้สร้างวัดสาขาต่างประเทศมากมาย

    ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ และทั่วโลกต้องเศร้าโศก เมื่อหลวงปู่ชา สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พระเถราจารย์ผู้เป็นที่เคารพรัก ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ละสังขารอย่างสงบ หลังจากอาพาธ มายาวนาน

    หลวงปู่ชาไม่เพียงเป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณ แต่ยังเป็นบุคคลสำคัญ ที่ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปสู่ชาวต่างชาติ ผ่านการปฏิบัติธรรม และการสร้างวัดสาขามากมาย ทั้งในและนอกประเทศไทย แม้ว่าท่านจะพูดได้เพียงภาษาไทย แต่ด้วยคำสอน และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย กลับสร้างแรงศรัทธา ให้แก่คนทั่วโลก

    วัยเยาว์หลวงปู่
    หลวงปู่ชา สุภัทโท เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับวันแรม 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ตามปฏิทินจันทรคติ ที่บ้านก่อ (เดิมชื่อบ้านก้นถ้วย) อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดามารดาของท่านคือนายมา และนางพิมพ์ ช่วงโชติ หลวงปู่ชาเป็นบุตรคนที่ 5 จากพี่น้องทั้งหมด 10 คน

    เริ่มต้นชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์
    เมื่อหลวงปู่ชามีอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาที่วัดบ้านก่อนอก ร่วมกับเพื่อนๆ หลายคน แต่ไม่นานท่านก็ลาสิกขาออกมา เพื่อช่วยครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส ได้ผลักดันให้ท่าน หันกลับมาสู่เส้นทางธรรมอีกครั้ง

    เมื่ออายุครบ 21 ปี หลังทราบว่า ไม่ติดทหารเกณฑ์ หลวงปู่ชาจึงได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 ณ วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ โดยมี พระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "สุภัทโท" ซึ่งแปลว่า "ผู้เจริญด้วยดี"

    ธุดงค์พบทางธรรม
    หลวงปู่ชาได้ออกเดินธุดงค์ เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้มีความรู้ทั้งด้านปริยัติ และปฏิบัติ โดยเดินทางไกล ผ่านหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงการไปศึกษาธรรมกับ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ สายวิปัสสนากรรมฐาน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น

    หลวงปู่ชาเล่าถึงความประทับใจ เมื่อได้พบหลวงปู่มั่นว่า การได้ฟังธรรมะจากท่าน ทำให้จิตใจของหลวงปู่ชา สงบลึกในทันที และทำให้เกิดความมั่นใจ ในแนวทางการปฏิบัติธรรม

    ตั้งวัดหนองป่าพง
    หลังจากธุดงค์ ยาวนานกว่า 8 ปี ในที่สุดหลวงปู่ชา ได้กลับมาที่บ้านเกิด และก่อตั้งวัดหนองป่าพง ขึ้นในปี พ.ศ. 2497 โดยพื้นที่ดั้งเดิมของวัด เป็นป่าอันเงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม หลวงปู่ชาใช้วิถีชีวิตเรียบง่าย และเน้นการปฏิบัติ เพื่อสร้างแบบอย่างให้ศิษย์เห็น

    วัดหนองป่าพง เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในหมู่คนไทย แต่ยังรวมถึงชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาศึกษาธรรม กับหลวงปู่ชา

    เผยแผ่พุทธศาสนาไปต่างประเทศ
    หนึ่งในสิ่งที่น่าทึ่งที่สุด เกี่ยวกับหลวงปู่ชา คือความสามารถ ในการถ่ายทอดธรรมะ ให้แก่ชาวต่างชาติ แม้ว่าท่าน จะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษก็ตาม ท่านสอนด้วยการกระทำเป็นหลัก โดยมักกล่าวว่า

    “น้ำร้อนก็มี น้ำฮ้อนก็มี ฮอตวอเตอร์ก็มี มันเป็นแต่ชื่อหรอก ถ้าเอามือจุ่มลงไป ก็ไม่ต้องใช้ภาษาหรอก คนชาติไหนก็รู้ได้เอง”

    วัดหนองป่าพง และวัดสาขาของหลวงปู่ชา กลายเป็นจุดหมายของชาวต่างชาติ ที่สนใจปฏิบัติธรรม ปัจจุบันวัดหนองป่าพง มีวัดสาขาทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศรวมกว่า 141 แห่ง โดยแบ่งเป็น 133 สาขา ในประเทศไทย และ 8 สาขา ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และสวิตเซอร์แลนด์

    คำสอนเรียบง่ายลึกซึ้ง
    คำสอนของหลวงปู่ชา เน้นไปที่การปฏิบัติจริง ในชีวิตประจำวัน ท่านสอนให้ศิษย์รักษาศีล เจริญสมาธิ และใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาในชีวิต โดยหลวงปู่ชาเคยกล่าวไว้ว่า

    “พึงทำตน ให้ตั้งอยู่ในคุณธรรม อันสมควรเสียก่อน จึงค่อยสอนผู้อื่นทีหลัง จึงจักไม่เป็นบัณฑิตทราม”

    ท่านยังเน้นย้ำว่า การปฏิบัติธรรมจะสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากการรักษาศีล เพราะศีลจะนำไปสู่สมาธิ และสมาธิจะนำไปสู่ปัญญา ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ ต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน

    บั้นปลายชีวิต
    ในปี พ.ศ. 2520 หลวงปู่ชาเริ่มอาพาธ และแม้ว่าท่าน จะมีอาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ แต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ และเผยแผ่ธรรมะจนถึงที่สุด

    หลวงปู่ชาได้ละสังขารเมื่อ วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ณ วัดหนองป่าพง โดยทิ้งมรดกทางธรรม และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย ให้แก่ศิษยานุศิษย์ทั่วโลก

    33 ปี หลังการละสังขารของหลวงปู่ชา คำสอนและวัตรปฏิบัติของท่าน ยังคงมีชีวิตอยู่ในใจ ของศิษยานุศิษย์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั่วโลก วัดหนองป่าพง ยังคงเป็นศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนา และแหล่งเผยแผ่ธรรมะ ที่ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่ขยายไปสู่ชาวต่างชาติ

    หลวงปู่ชาเป็นตัวอย่าง ของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ใช้ชีวิตเรียบง่าย และยึดมั่นในคำสอน ของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161017 ม.ค. 2568

    #หลวงปู่ชา #วัดหนองป่าพง #ธรรมะ #พระป่ากรรมฐาน #ปฏิบัติธรรม #ศาสนาพุทธ #คำสอนหลวงปู่ชา #พระพุทธศาสนา #ธรรมะอินเตอร์ #วัดสาขาต่างประเทศ
    33 ปี สิ้น “หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง” พระเถราจารย์แห่งอุบลราชธานี ผู้สร้างวัดสาขาต่างประเทศมากมาย ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ และทั่วโลกต้องเศร้าโศก เมื่อหลวงปู่ชา สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พระเถราจารย์ผู้เป็นที่เคารพรัก ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ละสังขารอย่างสงบ หลังจากอาพาธ มายาวนาน หลวงปู่ชาไม่เพียงเป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณ แต่ยังเป็นบุคคลสำคัญ ที่ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปสู่ชาวต่างชาติ ผ่านการปฏิบัติธรรม และการสร้างวัดสาขามากมาย ทั้งในและนอกประเทศไทย แม้ว่าท่านจะพูดได้เพียงภาษาไทย แต่ด้วยคำสอน และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย กลับสร้างแรงศรัทธา ให้แก่คนทั่วโลก วัยเยาว์หลวงปู่ หลวงปู่ชา สุภัทโท เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับวันแรม 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ตามปฏิทินจันทรคติ ที่บ้านก่อ (เดิมชื่อบ้านก้นถ้วย) อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดามารดาของท่านคือนายมา และนางพิมพ์ ช่วงโชติ หลวงปู่ชาเป็นบุตรคนที่ 5 จากพี่น้องทั้งหมด 10 คน เริ่มต้นชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ เมื่อหลวงปู่ชามีอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาที่วัดบ้านก่อนอก ร่วมกับเพื่อนๆ หลายคน แต่ไม่นานท่านก็ลาสิกขาออกมา เพื่อช่วยครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส ได้ผลักดันให้ท่าน หันกลับมาสู่เส้นทางธรรมอีกครั้ง เมื่ออายุครบ 21 ปี หลังทราบว่า ไม่ติดทหารเกณฑ์ หลวงปู่ชาจึงได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 ณ วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ โดยมี พระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "สุภัทโท" ซึ่งแปลว่า "ผู้เจริญด้วยดี" ธุดงค์พบทางธรรม หลวงปู่ชาได้ออกเดินธุดงค์ เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้มีความรู้ทั้งด้านปริยัติ และปฏิบัติ โดยเดินทางไกล ผ่านหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงการไปศึกษาธรรมกับ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ สายวิปัสสนากรรมฐาน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น หลวงปู่ชาเล่าถึงความประทับใจ เมื่อได้พบหลวงปู่มั่นว่า การได้ฟังธรรมะจากท่าน ทำให้จิตใจของหลวงปู่ชา สงบลึกในทันที และทำให้เกิดความมั่นใจ ในแนวทางการปฏิบัติธรรม ตั้งวัดหนองป่าพง หลังจากธุดงค์ ยาวนานกว่า 8 ปี ในที่สุดหลวงปู่ชา ได้กลับมาที่บ้านเกิด และก่อตั้งวัดหนองป่าพง ขึ้นในปี พ.ศ. 2497 โดยพื้นที่ดั้งเดิมของวัด เป็นป่าอันเงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม หลวงปู่ชาใช้วิถีชีวิตเรียบง่าย และเน้นการปฏิบัติ เพื่อสร้างแบบอย่างให้ศิษย์เห็น วัดหนองป่าพง เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในหมู่คนไทย แต่ยังรวมถึงชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาศึกษาธรรม กับหลวงปู่ชา เผยแผ่พุทธศาสนาไปต่างประเทศ หนึ่งในสิ่งที่น่าทึ่งที่สุด เกี่ยวกับหลวงปู่ชา คือความสามารถ ในการถ่ายทอดธรรมะ ให้แก่ชาวต่างชาติ แม้ว่าท่าน จะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษก็ตาม ท่านสอนด้วยการกระทำเป็นหลัก โดยมักกล่าวว่า “น้ำร้อนก็มี น้ำฮ้อนก็มี ฮอตวอเตอร์ก็มี มันเป็นแต่ชื่อหรอก ถ้าเอามือจุ่มลงไป ก็ไม่ต้องใช้ภาษาหรอก คนชาติไหนก็รู้ได้เอง” วัดหนองป่าพง และวัดสาขาของหลวงปู่ชา กลายเป็นจุดหมายของชาวต่างชาติ ที่สนใจปฏิบัติธรรม ปัจจุบันวัดหนองป่าพง มีวัดสาขาทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศรวมกว่า 141 แห่ง โดยแบ่งเป็น 133 สาขา ในประเทศไทย และ 8 สาขา ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และสวิตเซอร์แลนด์ คำสอนเรียบง่ายลึกซึ้ง คำสอนของหลวงปู่ชา เน้นไปที่การปฏิบัติจริง ในชีวิตประจำวัน ท่านสอนให้ศิษย์รักษาศีล เจริญสมาธิ และใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาในชีวิต โดยหลวงปู่ชาเคยกล่าวไว้ว่า “พึงทำตน ให้ตั้งอยู่ในคุณธรรม อันสมควรเสียก่อน จึงค่อยสอนผู้อื่นทีหลัง จึงจักไม่เป็นบัณฑิตทราม” ท่านยังเน้นย้ำว่า การปฏิบัติธรรมจะสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากการรักษาศีล เพราะศีลจะนำไปสู่สมาธิ และสมาธิจะนำไปสู่ปัญญา ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ ต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน บั้นปลายชีวิต ในปี พ.ศ. 2520 หลวงปู่ชาเริ่มอาพาธ และแม้ว่าท่าน จะมีอาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ แต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ และเผยแผ่ธรรมะจนถึงที่สุด หลวงปู่ชาได้ละสังขารเมื่อ วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ณ วัดหนองป่าพง โดยทิ้งมรดกทางธรรม และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย ให้แก่ศิษยานุศิษย์ทั่วโลก 33 ปี หลังการละสังขารของหลวงปู่ชา คำสอนและวัตรปฏิบัติของท่าน ยังคงมีชีวิตอยู่ในใจ ของศิษยานุศิษย์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั่วโลก วัดหนองป่าพง ยังคงเป็นศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนา และแหล่งเผยแผ่ธรรมะ ที่ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่ขยายไปสู่ชาวต่างชาติ หลวงปู่ชาเป็นตัวอย่าง ของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ใช้ชีวิตเรียบง่าย และยึดมั่นในคำสอน ของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161017 ม.ค. 2568 #หลวงปู่ชา #วัดหนองป่าพง #ธรรมะ #พระป่ากรรมฐาน #ปฏิบัติธรรม #ศาสนาพุทธ #คำสอนหลวงปู่ชา #พระพุทธศาสนา #ธรรมะอินเตอร์ #วัดสาขาต่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 435 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=p9rw9yoT5ic
    แบบทดสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน ชุดที่ 10 สำหรับผู้เริ่มเรียน และทบทวนความรู้เบื้องต้น โดยมีคำถาม 10 ข้อ พร้อมเฉลยและอธิบายคำตอบเป็นภาษาไทย
    #englishgrammar #grammartest #learnenglish
    https://www.youtube.com/watch?v=p9rw9yoT5ic แบบทดสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน ชุดที่ 10 สำหรับผู้เริ่มเรียน และทบทวนความรู้เบื้องต้น โดยมีคำถาม 10 ข้อ พร้อมเฉลยและอธิบายคำตอบเป็นภาษาไทย #englishgrammar #grammartest #learnenglish
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=JwyG1Nj74N4
    แบบทดสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน ชุดที่ 9 สำหรับผู้เริ่มเรียน และทบทวนความรู้เบื้องต้น โดยมีคำถาม 10 ข้อ พร้อมเฉลยและอธิบายคำตอบเป็นภาษาไทย
    #englishgrammar #grammartest #learnenglish
    https://www.youtube.com/watch?v=JwyG1Nj74N4 แบบทดสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน ชุดที่ 9 สำหรับผู้เริ่มเรียน และทบทวนความรู้เบื้องต้น โดยมีคำถาม 10 ข้อ พร้อมเฉลยและอธิบายคำตอบเป็นภาษาไทย #englishgrammar #grammartest #learnenglish
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=e5DNgfb_Dss
    แบบทดสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน ชุดที่ 8 สำหรับผู้เริ่มเรียน และทบทวนความรู้เบื้องต้น โดยมีคำถาม 10 ข้อ พร้อมเฉลยและอธิบายคำตอบเป็นภาษาไทย
    #englishgrammar #grammartest #learnenglish
    https://www.youtube.com/watch?v=e5DNgfb_Dss แบบทดสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน ชุดที่ 8 สำหรับผู้เริ่มเรียน และทบทวนความรู้เบื้องต้น โดยมีคำถาม 10 ข้อ พร้อมเฉลยและอธิบายคำตอบเป็นภาษาไทย #englishgrammar #grammartest #learnenglish
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก Art of Pipop พิภพ บุษราคัมวดี

    “ไม่เหมาะ มิบังควรอย่างยิ่ง!
    เมื่อคืนนี้เราไปเจอสินค้าชิ้นหนึ่งในแอป Temu เป็นพรมที่วางอยู่บนพื้น รูปธนบัตรไทยด้านที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ 10

    โดยเขียนคำบรรยายผลิตภัณฑ์เป็นภาษาไทยไว้ว่า
    “พรมห้องครัวดีไซน์เหรียญบาทไทย, โพลีเอสเตอร์ 100%, ไม่ลื่น, สามารถซักเครื่อง, ผูกผ้า, ทนทาน, ใช้ได้ทั้งประตู/ห้องน้ำ”

    ส่วนคำบรรยายผลิตภัณฑ์เป็นภาษาอังกฤษคือ
    “Thai Baht Coin Design Kitchen Mat, Soft Polyester 100%, Non-Slip, Machine Washable, Knit Weave, Durab”

    * หมายเหตุ: ขอเบลอภาพบางส่วนเพื่อความเหมาะสม

    ภาพทั้งหมดนี้ไม่เหมาะสม เป็นการนำพระบรมฉายาลักษณ์ไว้ในที่ต่ำ ทั้งๆ ที่ควรประดับพระบรมฉายาลักษณ์ในที่สูง

    นอกจากนี้การนำพระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะมาทำเป็นพรมหรือพรมเช็ดเท้า ถือเป็นการไม่เคารพและดูหมิ่น

    ใครที่ซื้อไปแล้วนำไปวางบนพื้น ก็มีโอกาสที่เท้าจะไปเหยียบย่ำ!

    ในขณะเดียวกัน พรมหรือพรมเช็ดเท้าเป็นสิ่งที่ต้องสัมผัสกับสิ่งสกปรก และอาจเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา การนำพระบรมฉายาลักษณ์มาใช้ในลักษณะนี้ จึงเป็นการแสดงออกถึงความไม่เหมาะสมและไม่สมควรที่สุด

    ประชาชนชาวไทยมีความเคารพและเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ การกระทำเช่นนี้อาจสร้างความไม่พอใจและความรู้สึกที่ไม่ดีให้กับประชาชนทั่วไป

    Temu และเจ้าของผลิตภัณฑ์ควรมีวิจารณญาณในการใช้พระบรมฉายาลักษณ์ในทุกกรณี

    ขอเรียกร้องให้ Temu ระงับการจำหน่ายสินค้านี้

    ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดต่อกับ Temu โดยด่วน

    รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก Art of Pipop พิภพ บุษราคัมวดี “ไม่เหมาะ มิบังควรอย่างยิ่ง! เมื่อคืนนี้เราไปเจอสินค้าชิ้นหนึ่งในแอป Temu เป็นพรมที่วางอยู่บนพื้น รูปธนบัตรไทยด้านที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ 10 โดยเขียนคำบรรยายผลิตภัณฑ์เป็นภาษาไทยไว้ว่า “พรมห้องครัวดีไซน์เหรียญบาทไทย, โพลีเอสเตอร์ 100%, ไม่ลื่น, สามารถซักเครื่อง, ผูกผ้า, ทนทาน, ใช้ได้ทั้งประตู/ห้องน้ำ” ส่วนคำบรรยายผลิตภัณฑ์เป็นภาษาอังกฤษคือ “Thai Baht Coin Design Kitchen Mat, Soft Polyester 100%, Non-Slip, Machine Washable, Knit Weave, Durab” * หมายเหตุ: ขอเบลอภาพบางส่วนเพื่อความเหมาะสม ภาพทั้งหมดนี้ไม่เหมาะสม เป็นการนำพระบรมฉายาลักษณ์ไว้ในที่ต่ำ ทั้งๆ ที่ควรประดับพระบรมฉายาลักษณ์ในที่สูง นอกจากนี้การนำพระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะมาทำเป็นพรมหรือพรมเช็ดเท้า ถือเป็นการไม่เคารพและดูหมิ่น ใครที่ซื้อไปแล้วนำไปวางบนพื้น ก็มีโอกาสที่เท้าจะไปเหยียบย่ำ! ในขณะเดียวกัน พรมหรือพรมเช็ดเท้าเป็นสิ่งที่ต้องสัมผัสกับสิ่งสกปรก และอาจเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา การนำพระบรมฉายาลักษณ์มาใช้ในลักษณะนี้ จึงเป็นการแสดงออกถึงความไม่เหมาะสมและไม่สมควรที่สุด ประชาชนชาวไทยมีความเคารพและเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ การกระทำเช่นนี้อาจสร้างความไม่พอใจและความรู้สึกที่ไม่ดีให้กับประชาชนทั่วไป Temu และเจ้าของผลิตภัณฑ์ควรมีวิจารณญาณในการใช้พระบรมฉายาลักษณ์ในทุกกรณี ขอเรียกร้องให้ Temu ระงับการจำหน่ายสินค้านี้ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดต่อกับ Temu โดยด่วน
    Angry
    Like
    Sad
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 342 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=tWnNmdcUwg4
    แบบทดสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน ชุดที่ 7 สำหรับผู้เริ่มเรียน และทบทวนความรู้เบื้องต้น โดยมีคำถาม 10 ข้อ พร้อมเฉลยและอธิบายคำตอบเป็นภาษาไทย
    #englishgrammar #grammartest #learnenglish
    https://www.youtube.com/watch?v=tWnNmdcUwg4 แบบทดสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน ชุดที่ 7 สำหรับผู้เริ่มเรียน และทบทวนความรู้เบื้องต้น โดยมีคำถาม 10 ข้อ พร้อมเฉลยและอธิบายคำตอบเป็นภาษาไทย #englishgrammar #grammartest #learnenglish
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 234 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=MqtJuEv6SBs
    แบบทดสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน ชุดที่ 6 สำหรับผู้เริ่มเรียน และทบทวนความรู้เบื้องต้น โดยมีคำถาม 10 ข้อ พร้อมเฉลยและอธิบายคำตอบเป็นภาษาไทย
    #englishgrammar #grammartest #learnenglish
    https://www.youtube.com/watch?v=MqtJuEv6SBs แบบทดสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน ชุดที่ 6 สำหรับผู้เริ่มเรียน และทบทวนความรู้เบื้องต้น โดยมีคำถาม 10 ข้อ พร้อมเฉลยและอธิบายคำตอบเป็นภาษาไทย #englishgrammar #grammartest #learnenglish
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 0 รีวิว
  • อบรมอาสาตำรวจจีน ฉาวอธิบายไม่เคลียร์ ภาพพจน์โปลิศไทยพัง
    .
    กลายเป็นเรื่องอลหม่านที่ต่างฝ่ายต่างโยนกันไปมาแล้วสำหรับกรณีที่ 'ทนายแจม' ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ออกมาเปิดเผยผ่านสื่อสังคมออนไลน์พร้อมภาพประกาศข้อความภาษาจีน ลักษณะเป็นการเปิดรับสมัครคนจีนมาอบรม ‘อาสาตำรวจคนจีน’ อ้างต้นสังกัดทั้งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบังคับการตำรวจนครบาล 3 โดย มีค่าใช้จ่ายต่อหัวคนละ 38,000 บาท
    .
    ภาพที่ปรากฏออกมามีการอ้างว่าเป็นการดำเนินการของ Dr. Zhang Li ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนานาชาติ มหาวิทยาลัยสยาม ร่วมกับกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 ถ้าเป็นการอบรมให้ความรู้ทั่วไปก็คงไม่เป็นอะไร แต่นี่มีข้อมูลออกมาว่ามีการแจกใบประกาศและป้ายห้อยคอที่มีตราสัญลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้กับผู้สำเร็จการอบรม ทำให้ถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในเรื่องนี้
    .
    พอเรื่องเริ่มแดงขึ้นมาแทนที่สังคมจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ มหาวิทยาลัยสยาม แต่กลับปรากฏว่าแต่ละฝ่ายเลือกที่จะตอบคำถามแบบไม่ตอบคำถามที่ไร้ซึ่งคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น
    .
    สำนักตำรวจแห่งชาติ ก็ออกมาอ้างแค่ว่าได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรเท่านั้น ซึ่งการระบุในทำนองนี้แม้จะเป็นการทำให้ปัญหาถูกปัดพ้นตัวออกไป แต่ก็ยังมีคำถามตามมาว่าจำเป็นหรือไม่ที่ต้องมอบใบประกาศและป้ายห้อยคอเช่นนั้น
    .
    พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 3 ชี้แจงว่า"เบื้องต้น ได้เห็นพยานหลักฐาน เป็นจดหมายเชิญจากทางมหาวิทยาลัย ฝึกอบรมนักศึกษานานาชาติมหาวิทยาลัยสยาม เขาขอความอนุเคราะห์วิทยากรพิเศษไปบรรยาย จึงได้ส่งรองผู้กำกับสืบสวนไปบรรยาย และ ปรากฏตามสื่อ ไปบรรยาย เข้ารับการอบรมจริง แต่ไม่ทราบว่ากี่วัน เบื้องต้นไปบรรยายเพียง 1 วัน"
    .
    ขณะที่ ในฝั่งของผู้บริหารมหาวิทยาลัยสยามเองก็ยังไม่ให้ความชัดเจนเช่นเดียวกัน โดยผู้บริหารมหาวิทยาลัยบางรายออกมาระบุว่าไม่ได้มีการเก็บค่าใช้จ่ายในการอบรม หรือแม้แต่อำนาจหน้าที่ของDr. Zhang Li ภายในมหาวิทยาลัยสยามนั้นก็ยังเป็นประเด็นที่ผู้บริหารก็ออกมายืนยันว่าไม่มีตำแหน่งผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนานาชาติแต่อย่างใด และที่สำคัญมหาวิทยาลัยสยามเองอาจถูกนำชื่อไปแอบอ้างหรือไม่ ภายหลังพบว่าเอกสารที่มีการเผยแพร่ออกมานั้นเขียนขื่อว่าของมหาวิทยาลัยสยามเป็น 'มหาลัยสยาม' ซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักการใช้ภาษาไทย
    .
    ประเด็นใหญ่และสำคัญของเรื่องนี้ คือ ข้อห่วงกังวลที่ว่าจะมีการนำเอาใบประกาศหรือตราสัญลักษณ์ของทางราชการนี้ที่ได้รับจากการอบรมนำไปแอบอ้างเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบหรือใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการก่ออาชญากรรมหรือไม่
    .
    ทั้งนี้ เป็นเพราะต่างทราบกันดีว่าปัจจุบันมีคนจีนเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ทั้งการเดินทางมาในรูปแบบของนักท่องเที่ยว ประกอบธุรกิจ หรือ นักศึกษาตามโครงการต่างๆของสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่ง ไม่เพียงเท่านี้ ที่ผ่านมาก็เคยเกิดเหตุการณ์ที่มีคนจีนแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรมในหลายรูปแบบ รวมไปถึงการตั้งตัวเป็นมาเฟียเสียเองเพื่อประทุษร้ายคนจีนในประเทศไทย หรือที่เรียกกันจนติดปากว่า 'แก๊งจีนเทา' หลายกรณีตำรวจไทยก็ตามจับได้ แต่ยังมีอีกหลายกรณีที่ตำรวจไทยยังตามไม่ถึงต้นตอ
    .
    ดังนั้น การอบรมในลักษณะนี้ อาจเป็นช่องทางหนึ่งที่ให้มีการแอบอ้างเอาชื่อของหน่วยงานภาครัฐของไทยไปกระทำความผิดตามกฎหมายอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะกับเหยื่อที่คนจีนที่เพิ่งเข้ามาในประเทศไทยที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของขบวนการนอกกฎหมายเท่าใดนัก
    .
    ประเทศไทยกำลังเดินไปได้สวยในฐานะเป็นประเทศปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก อย่าให้ภาพลักษณ์ที่ดีต้องเสียไปเพราะการกระทำในลักษณะเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้ ทางออกที่ดีที่สุดในเบื้องต้นที่จะทำได้ในเวลานี้ คือ การที่ทุกฝ่ายออกมาชี้แจงให้เกิดความชัดเจน เพื่อปิดโอกาสของผู้ไม่หวังดีนำเรื่องนี้ไปแสวงหาประโยชน์ในทางที่ผิดต่อไป
    ..........
    Sondhi X
    อบรมอาสาตำรวจจีน ฉาวอธิบายไม่เคลียร์ ภาพพจน์โปลิศไทยพัง . กลายเป็นเรื่องอลหม่านที่ต่างฝ่ายต่างโยนกันไปมาแล้วสำหรับกรณีที่ 'ทนายแจม' ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ออกมาเปิดเผยผ่านสื่อสังคมออนไลน์พร้อมภาพประกาศข้อความภาษาจีน ลักษณะเป็นการเปิดรับสมัครคนจีนมาอบรม ‘อาสาตำรวจคนจีน’ อ้างต้นสังกัดทั้งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบังคับการตำรวจนครบาล 3 โดย มีค่าใช้จ่ายต่อหัวคนละ 38,000 บาท . ภาพที่ปรากฏออกมามีการอ้างว่าเป็นการดำเนินการของ Dr. Zhang Li ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนานาชาติ มหาวิทยาลัยสยาม ร่วมกับกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 ถ้าเป็นการอบรมให้ความรู้ทั่วไปก็คงไม่เป็นอะไร แต่นี่มีข้อมูลออกมาว่ามีการแจกใบประกาศและป้ายห้อยคอที่มีตราสัญลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้กับผู้สำเร็จการอบรม ทำให้ถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในเรื่องนี้ . พอเรื่องเริ่มแดงขึ้นมาแทนที่สังคมจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ มหาวิทยาลัยสยาม แต่กลับปรากฏว่าแต่ละฝ่ายเลือกที่จะตอบคำถามแบบไม่ตอบคำถามที่ไร้ซึ่งคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น . สำนักตำรวจแห่งชาติ ก็ออกมาอ้างแค่ว่าได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรเท่านั้น ซึ่งการระบุในทำนองนี้แม้จะเป็นการทำให้ปัญหาถูกปัดพ้นตัวออกไป แต่ก็ยังมีคำถามตามมาว่าจำเป็นหรือไม่ที่ต้องมอบใบประกาศและป้ายห้อยคอเช่นนั้น . พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 3 ชี้แจงว่า"เบื้องต้น ได้เห็นพยานหลักฐาน เป็นจดหมายเชิญจากทางมหาวิทยาลัย ฝึกอบรมนักศึกษานานาชาติมหาวิทยาลัยสยาม เขาขอความอนุเคราะห์วิทยากรพิเศษไปบรรยาย จึงได้ส่งรองผู้กำกับสืบสวนไปบรรยาย และ ปรากฏตามสื่อ ไปบรรยาย เข้ารับการอบรมจริง แต่ไม่ทราบว่ากี่วัน เบื้องต้นไปบรรยายเพียง 1 วัน" . ขณะที่ ในฝั่งของผู้บริหารมหาวิทยาลัยสยามเองก็ยังไม่ให้ความชัดเจนเช่นเดียวกัน โดยผู้บริหารมหาวิทยาลัยบางรายออกมาระบุว่าไม่ได้มีการเก็บค่าใช้จ่ายในการอบรม หรือแม้แต่อำนาจหน้าที่ของDr. Zhang Li ภายในมหาวิทยาลัยสยามนั้นก็ยังเป็นประเด็นที่ผู้บริหารก็ออกมายืนยันว่าไม่มีตำแหน่งผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนานาชาติแต่อย่างใด และที่สำคัญมหาวิทยาลัยสยามเองอาจถูกนำชื่อไปแอบอ้างหรือไม่ ภายหลังพบว่าเอกสารที่มีการเผยแพร่ออกมานั้นเขียนขื่อว่าของมหาวิทยาลัยสยามเป็น 'มหาลัยสยาม' ซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักการใช้ภาษาไทย . ประเด็นใหญ่และสำคัญของเรื่องนี้ คือ ข้อห่วงกังวลที่ว่าจะมีการนำเอาใบประกาศหรือตราสัญลักษณ์ของทางราชการนี้ที่ได้รับจากการอบรมนำไปแอบอ้างเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบหรือใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการก่ออาชญากรรมหรือไม่ . ทั้งนี้ เป็นเพราะต่างทราบกันดีว่าปัจจุบันมีคนจีนเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ทั้งการเดินทางมาในรูปแบบของนักท่องเที่ยว ประกอบธุรกิจ หรือ นักศึกษาตามโครงการต่างๆของสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่ง ไม่เพียงเท่านี้ ที่ผ่านมาก็เคยเกิดเหตุการณ์ที่มีคนจีนแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรมในหลายรูปแบบ รวมไปถึงการตั้งตัวเป็นมาเฟียเสียเองเพื่อประทุษร้ายคนจีนในประเทศไทย หรือที่เรียกกันจนติดปากว่า 'แก๊งจีนเทา' หลายกรณีตำรวจไทยก็ตามจับได้ แต่ยังมีอีกหลายกรณีที่ตำรวจไทยยังตามไม่ถึงต้นตอ . ดังนั้น การอบรมในลักษณะนี้ อาจเป็นช่องทางหนึ่งที่ให้มีการแอบอ้างเอาชื่อของหน่วยงานภาครัฐของไทยไปกระทำความผิดตามกฎหมายอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะกับเหยื่อที่คนจีนที่เพิ่งเข้ามาในประเทศไทยที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของขบวนการนอกกฎหมายเท่าใดนัก . ประเทศไทยกำลังเดินไปได้สวยในฐานะเป็นประเทศปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก อย่าให้ภาพลักษณ์ที่ดีต้องเสียไปเพราะการกระทำในลักษณะเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้ ทางออกที่ดีที่สุดในเบื้องต้นที่จะทำได้ในเวลานี้ คือ การที่ทุกฝ่ายออกมาชี้แจงให้เกิดความชัดเจน เพื่อปิดโอกาสของผู้ไม่หวังดีนำเรื่องนี้ไปแสวงหาประโยชน์ในทางที่ผิดต่อไป .......... Sondhi X
    Like
    Haha
    Angry
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1497 มุมมอง 1 รีวิว
  • ประวัติ และ ที่มาของ..ไส้อั่ว
    คำแปล(ภาษาไทย)อยู่ล่างสุด

    "Sai Oua" (Thai: ไส้อั่ว) or "Northern Thai Sausage" is a traditional food of the northern part of Thailand.
    .
    The culture of stuffing meat into the intestines is a way to preserve food since ancient times. It was found that this method of food preservation began in the Babylonian Empire tens of thousands of years ago. It is said that the Babylonians used finely ground meat to stuff into the intestines of goats and dried them in the sun until they were dry and stored as supplies when traveling to transport goods across the desert to sell in various lands before spreading to Europe and Asia, especially in southern China where there were many tribes such as the Tai Yai, Zhuang and Bai Yue, etc., which became the origin of the Silk Road in the later era.
    .
    "Sai Oua" in the northern part of Thailand, some people assume that this type of food was influenced by the Shan people or Tai Yai people who added spices to season the meat and grilled it until it had a fragrant smell. Later, the Shan people or Tai Yai had to flee from the war to settle in a new place in the northern part of Thailand. The Shan people brought this type of cooking culture with them, making "Sai Oua" a local food of the northern part of Thailand by default.
    .
    But some people assume that in ancient times, when it was a merit-making festival, villagers often brought a lot of pork to cook. But sometimes there was too much pork. Therefore, there is leftover pork, so there is a method of food preservation to prevent spoilage. Originally, it was cut into pieces and grilled or dried in the sun to store for later consumption. However, it was later developed and modified to be stored for a longer period of time by making fermented pork sausage and "Sai Oua", etc.
    .
    How to make "Sai Oua" It can be made by mixing finely ground pork with herbs and spices such as galangal, lemongrass, coriander root, garlic, shallots, kaffir lime peel, shrimp paste, turmeric and coriander. Then stuff it into the pork intestines and grill until cooked, which is popularly eaten with sticky rice and "Nam Prik Num" (Northern Thai Green Chilli Dip), which is a Thai sauce from the northern part of Thailand. Herbs and spices are what give "Sai Oua" its distinctive flavor and aroma. However, there is no fixed recipe for making "Sai Oua" because each region has its own unique flavoring, but the basics are still similar.
    .
    Note: The meaning of the word "Sai Oua" in the northern language, by starting with the word "Sai" which means "Intestines". The word "Oua" means to insert or stuff or stuff ingredients into the intestines.
    .

    “ไส้อั่ว” อาหารพื้นเมืองทางภาคเหนือของประเทศไทย
    .
    วัฒนธรรมการยัดเนื้อและไขมันสัตว์ เข้าไปในลำไส้เป็นวิธีถนอมอาหาร มีมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรบาบิลอนเมื่อหลายหมื่นปีก่อน กล่าวกันว่าชาวบาบิลอนใช้เนื้อบดละเอียดยัดเข้าไปในลำไส้แพะแล้วตากแดดให้แห้ง จากนั้นจึงเก็บเอาไว้เป็นเสบียงในการเดินทางเพื่อขนส่งสินค้าข้ามทะเลทรายไปขายในดินแดนต่างๆ ก่อนจะแพร่หลายไปสู่ทวีปยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะทางตอนใต้ของจีนซึ่งมีชนเผ่าหลายเผ่า เช่น ไทใหญ่ จ้วง และไป๋เยว่ บนเส้นทางสายไหม
    .
    “ไส้อั่ว” ในภาคเหนือของไทย สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากรัฐฉาน หรือ ชาวไทใหญ่ที่ปรุงรสเนื้อด้วยเครื่องเทศและย่างจนมีกลิ่นหอม ต่อมาชาวไทใหญ่หรือชาวไทใหญ่ต้องอพยพหนีสงครามไปตั้งถิ่นฐานใหม่ทางภาคเหนือของประเทศไทย ชาวไทใหญ่ได้นำวัฒนธรรมการทำอาหารแบบนี้ติดตัวมาด้วย ทำให้ "ไส้อั่ว" เป็นอาหารพื้นเมืองของภาคเหนือของประเทศไทยโดยปริยาย
    .
    แต่บางคนก็เข้าใจว่าในสมัยโบราณเมื่อเป็นงานบุญชาวบ้านมักจะนำเนื้อหมูมาทำอาหารเป็นจำนวนมาก แต่บางครั้งก็มีเนื้อหมูมากเกินไป จึงมีเนื้อหมูเหลือ จึงมีวิธีถนอมอาหารไม่ให้เน่าเสีย เดิมทีจะหั่นเป็นชิ้นแล้วย่างหรือตากแห้งเพื่อเก็บไว้รับประทานภายหลัง แต่ภายหลังได้มีการพัฒนาและดัดแปลงให้เก็บไว้ได้นานขึ้นโดยทำเป็นไส้กรอกหมูหมักและ "ไส้อั่ว" เป็นต้น

    วิธีทำ “ไส้อั่ว” ทำได้โดยนำเนื้อหมูบดละเอียดมาผสมกับสมุนไพรและเครื่องเทศ เช่น ข่า ตะไคร้ รากผักชี กระเทียม หอมแดง เปลือกมะกรูด กะปิ ขมิ้น ผักชี แล้วนำไปยัดใส่เครื่องในหมูแล้วปิ้งให้สุก นิยมทานคู่กับข้าวเหนียวและ “น้ำพริกหนุ่ม” ซึ่งเป็นน้ำจิ้มไทยภาคเหนือของประเทศไทย สมุนไพรและเครื่องเทศเป็นส่วนประกอบที่ทำให้ “ไส้อั่ว” มีรสชาติและกลิ่นหอมเฉพาะตัว แต่ไม่มีสูตรการทำ “ไส้อั่ว” ตายตัว เพราะแต่ละภาคจะมีรสชาติเฉพาะตัว แต่หลักการทำยังคงคล้ายๆ กัน
    .
    หมายเหตุ: ความหมายของคำว่า “ไส้อั่ว” ในภาษาเหนือ โดยขึ้นต้นด้วยคำว่า “ไส้” คำว่า “ไส้อั่ว” แปลว่า การสอดหรือยัดวัตถุดิบเข้าไปในไส้

    ไส้อั่ว รสลิ้นคนไทย ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดี รสเข้มข้น หอมมาก
    แนะนำ "ไส้อั่วเม็งราย" ของ ร้านอัมพร
    เปิดมานานหลายสิบปี (เดิม)ร้านตั้งอยู่ที่ เชิงสะพานเม็งราย ฝั่งหนองหอย
    ปัจจุบันกลายเป็นโรงแรมหรูของกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนา
    ปัจจุบัน ย้ายยาอยู่ริมถนนมหิดล ตรงข้ามปากทางเข้าเชียงใหม่แลนด์
    มี ไส้อั่ว แหนม แหนมหม้อ น้ำพริกหนุ่ม แค๊บหมู หมูกระจก แกงฮังเล..

    https://maps.app.goo.gl/jfhXDnJbQL1w8Kk9A
    .
    ประวัติ และ ที่มาของ..ไส้อั่ว คำแปล(ภาษาไทย)อยู่ล่างสุด "Sai Oua" (Thai: ไส้อั่ว) or "Northern Thai Sausage" is a traditional food of the northern part of Thailand. . The culture of stuffing meat into the intestines is a way to preserve food since ancient times. It was found that this method of food preservation began in the Babylonian Empire tens of thousands of years ago. It is said that the Babylonians used finely ground meat to stuff into the intestines of goats and dried them in the sun until they were dry and stored as supplies when traveling to transport goods across the desert to sell in various lands before spreading to Europe and Asia, especially in southern China where there were many tribes such as the Tai Yai, Zhuang and Bai Yue, etc., which became the origin of the Silk Road in the later era. . "Sai Oua" in the northern part of Thailand, some people assume that this type of food was influenced by the Shan people or Tai Yai people who added spices to season the meat and grilled it until it had a fragrant smell. Later, the Shan people or Tai Yai had to flee from the war to settle in a new place in the northern part of Thailand. The Shan people brought this type of cooking culture with them, making "Sai Oua" a local food of the northern part of Thailand by default. . But some people assume that in ancient times, when it was a merit-making festival, villagers often brought a lot of pork to cook. But sometimes there was too much pork. Therefore, there is leftover pork, so there is a method of food preservation to prevent spoilage. Originally, it was cut into pieces and grilled or dried in the sun to store for later consumption. However, it was later developed and modified to be stored for a longer period of time by making fermented pork sausage and "Sai Oua", etc. . How to make "Sai Oua" It can be made by mixing finely ground pork with herbs and spices such as galangal, lemongrass, coriander root, garlic, shallots, kaffir lime peel, shrimp paste, turmeric and coriander. Then stuff it into the pork intestines and grill until cooked, which is popularly eaten with sticky rice and "Nam Prik Num" (Northern Thai Green Chilli Dip), which is a Thai sauce from the northern part of Thailand. Herbs and spices are what give "Sai Oua" its distinctive flavor and aroma. However, there is no fixed recipe for making "Sai Oua" because each region has its own unique flavoring, but the basics are still similar. . Note: The meaning of the word "Sai Oua" in the northern language, by starting with the word "Sai" which means "Intestines". The word "Oua" means to insert or stuff or stuff ingredients into the intestines. . “ไส้อั่ว” อาหารพื้นเมืองทางภาคเหนือของประเทศไทย . วัฒนธรรมการยัดเนื้อและไขมันสัตว์ เข้าไปในลำไส้เป็นวิธีถนอมอาหาร มีมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรบาบิลอนเมื่อหลายหมื่นปีก่อน กล่าวกันว่าชาวบาบิลอนใช้เนื้อบดละเอียดยัดเข้าไปในลำไส้แพะแล้วตากแดดให้แห้ง จากนั้นจึงเก็บเอาไว้เป็นเสบียงในการเดินทางเพื่อขนส่งสินค้าข้ามทะเลทรายไปขายในดินแดนต่างๆ ก่อนจะแพร่หลายไปสู่ทวีปยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะทางตอนใต้ของจีนซึ่งมีชนเผ่าหลายเผ่า เช่น ไทใหญ่ จ้วง และไป๋เยว่ บนเส้นทางสายไหม . “ไส้อั่ว” ในภาคเหนือของไทย สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากรัฐฉาน หรือ ชาวไทใหญ่ที่ปรุงรสเนื้อด้วยเครื่องเทศและย่างจนมีกลิ่นหอม ต่อมาชาวไทใหญ่หรือชาวไทใหญ่ต้องอพยพหนีสงครามไปตั้งถิ่นฐานใหม่ทางภาคเหนือของประเทศไทย ชาวไทใหญ่ได้นำวัฒนธรรมการทำอาหารแบบนี้ติดตัวมาด้วย ทำให้ "ไส้อั่ว" เป็นอาหารพื้นเมืองของภาคเหนือของประเทศไทยโดยปริยาย . แต่บางคนก็เข้าใจว่าในสมัยโบราณเมื่อเป็นงานบุญชาวบ้านมักจะนำเนื้อหมูมาทำอาหารเป็นจำนวนมาก แต่บางครั้งก็มีเนื้อหมูมากเกินไป จึงมีเนื้อหมูเหลือ จึงมีวิธีถนอมอาหารไม่ให้เน่าเสีย เดิมทีจะหั่นเป็นชิ้นแล้วย่างหรือตากแห้งเพื่อเก็บไว้รับประทานภายหลัง แต่ภายหลังได้มีการพัฒนาและดัดแปลงให้เก็บไว้ได้นานขึ้นโดยทำเป็นไส้กรอกหมูหมักและ "ไส้อั่ว" เป็นต้น วิธีทำ “ไส้อั่ว” ทำได้โดยนำเนื้อหมูบดละเอียดมาผสมกับสมุนไพรและเครื่องเทศ เช่น ข่า ตะไคร้ รากผักชี กระเทียม หอมแดง เปลือกมะกรูด กะปิ ขมิ้น ผักชี แล้วนำไปยัดใส่เครื่องในหมูแล้วปิ้งให้สุก นิยมทานคู่กับข้าวเหนียวและ “น้ำพริกหนุ่ม” ซึ่งเป็นน้ำจิ้มไทยภาคเหนือของประเทศไทย สมุนไพรและเครื่องเทศเป็นส่วนประกอบที่ทำให้ “ไส้อั่ว” มีรสชาติและกลิ่นหอมเฉพาะตัว แต่ไม่มีสูตรการทำ “ไส้อั่ว” ตายตัว เพราะแต่ละภาคจะมีรสชาติเฉพาะตัว แต่หลักการทำยังคงคล้ายๆ กัน . หมายเหตุ: ความหมายของคำว่า “ไส้อั่ว” ในภาษาเหนือ โดยขึ้นต้นด้วยคำว่า “ไส้” คำว่า “ไส้อั่ว” แปลว่า การสอดหรือยัดวัตถุดิบเข้าไปในไส้ ไส้อั่ว รสลิ้นคนไทย ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดี รสเข้มข้น หอมมาก แนะนำ "ไส้อั่วเม็งราย" ของ ร้านอัมพร เปิดมานานหลายสิบปี (เดิม)ร้านตั้งอยู่ที่ เชิงสะพานเม็งราย ฝั่งหนองหอย ปัจจุบันกลายเป็นโรงแรมหรูของกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนา ปัจจุบัน ย้ายยาอยู่ริมถนนมหิดล ตรงข้ามปากทางเข้าเชียงใหม่แลนด์ มี ไส้อั่ว แหนม แหนมหม้อ น้ำพริกหนุ่ม แค๊บหมู หมูกระจก แกงฮังเล.. https://maps.app.goo.gl/jfhXDnJbQL1w8Kk9A .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 558 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากโพสต์ของ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(ไบโอเทค) โพสต์ขเกี่ยวกับงานวิจัยวัคซีน mRNA สำหรับรักษามะเร็ง

    และ Dr.Somrot หมอสมรส ได้มาแสดงความเห็นไว้ในโพสต์ของ ดร.อนันต์ ดังนี้:
    ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ ในฐานะที่เป็นมะเร็งเอง ก็แอบมีหวัง😇 🙏🏻
    ขออนุญาตแปลภาษาไทย ให้เพื่อนๆคนทั่วไปอ่านนะครับ (ChatGPT4o)
    สรุปใจความสำคัญ
    1. วัคซีนมะเร็งแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Cancer Vaccine): ใช้เทคโนโลยี mRNA เดียวกับที่ใช้ในวัคซีน COVID-19 โดยวัคซีนนี้ออกแบบให้เข้ารหัส neoantigens ซึ่งเป็นโปรตีนเฉพาะที่พบในเซลล์มะเร็งของผู้ป่วยแต่ละคน เพื่อฝึกระบบภูมิคุ้มกันให้โจมตีเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่หลังการผ่าตัด

    2. ผลการทดลองเบื้องต้น: การใช้วัคซีนร่วมกับยา checkpoint inhibitor ในผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังชนิด Melanoma ลดความเสี่ยงการกลับมาเป็นซ้ำได้เกือบ 50% และมีแนวโน้มช่วยยืดอายุผู้ป่วยเมื่อเทียบกับการใช้ยาชนิดเดียว นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยสามารถเข้าสู่ภาวะปลอดมะเร็งได้นานกว่า 3 ปี

    3. ขั้นตอนการผลิต: บริษัท Moderna พัฒนาวัคซีนในโรงงานขนาดใหญ่ โดยใช้เครื่องจักรอัจฉริยะที่ออกแบบวัคซีนเฉพาะบุคคลในเวลาอันรวดเร็ว พร้อมทั้งใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลทางคลินิกและห้องทดลอง เพื่อคัดเลือก neoantigens ที่มีศักยภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุด

    4. ขอบเขตของการใช้งาน: วัคซีนถูกทดสอบในผู้ป่วยที่ผ่านการผ่าตัดมะเร็งในระยะเริ่มต้นและมีความเสี่ยงสูงต่อการกลับมาเป็นซ้ำ เช่น มะเร็งผิวหนัง (Melanoma) มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีการทดลองในมะเร็งตับอ่อนและมะเร็งระยะลุกลาม (metastasis) แต่ยังมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพในระยะที่มะเร็งแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง

    5. ข้อดีและข้อจำกัด: วัคซีนเหมาะสมกับมะเร็งระยะเริ่มต้นหรือหลังผ่าตัด เนื่องจากสามารถควบคุมการเติบโตของมะเร็งที่หลงเหลือ แต่ยังขาดประสิทธิภาพในกรณีมะเร็งระยะลุกลาม ซึ่งเซลล์มะเร็งมีการปรับตัวและป้องกันตัวเองจากภูมิคุ้มกัน

    6. แนวทางในอนาคต: การพัฒนาวัคซีนยังต้องการการทดลองเพิ่มเติมในผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น เพื่อยืนยันผลลัพธ์และรองรับการใช้งานจริงในตลาด นักวิจัยยังคงมุ่งเน้นการปรับปรุงวัคซีนให้ตอบสนองได้เร็วและครอบคลุมชนิดของมะเร็งที่หลากหลายขึ้น

    https://web.facebook.com/share/p/19cpPdVbFe/
    จากโพสต์ของ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(ไบโอเทค) โพสต์ขเกี่ยวกับงานวิจัยวัคซีน mRNA สำหรับรักษามะเร็ง และ Dr.Somrot หมอสมรส ได้มาแสดงความเห็นไว้ในโพสต์ของ ดร.อนันต์ ดังนี้: ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ ในฐานะที่เป็นมะเร็งเอง ก็แอบมีหวัง😇 🙏🏻 ขออนุญาตแปลภาษาไทย ให้เพื่อนๆคนทั่วไปอ่านนะครับ (ChatGPT4o) สรุปใจความสำคัญ 1. วัคซีนมะเร็งแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Cancer Vaccine): ใช้เทคโนโลยี mRNA เดียวกับที่ใช้ในวัคซีน COVID-19 โดยวัคซีนนี้ออกแบบให้เข้ารหัส neoantigens ซึ่งเป็นโปรตีนเฉพาะที่พบในเซลล์มะเร็งของผู้ป่วยแต่ละคน เพื่อฝึกระบบภูมิคุ้มกันให้โจมตีเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่หลังการผ่าตัด 2. ผลการทดลองเบื้องต้น: การใช้วัคซีนร่วมกับยา checkpoint inhibitor ในผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังชนิด Melanoma ลดความเสี่ยงการกลับมาเป็นซ้ำได้เกือบ 50% และมีแนวโน้มช่วยยืดอายุผู้ป่วยเมื่อเทียบกับการใช้ยาชนิดเดียว นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยสามารถเข้าสู่ภาวะปลอดมะเร็งได้นานกว่า 3 ปี 3. ขั้นตอนการผลิต: บริษัท Moderna พัฒนาวัคซีนในโรงงานขนาดใหญ่ โดยใช้เครื่องจักรอัจฉริยะที่ออกแบบวัคซีนเฉพาะบุคคลในเวลาอันรวดเร็ว พร้อมทั้งใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลทางคลินิกและห้องทดลอง เพื่อคัดเลือก neoantigens ที่มีศักยภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุด 4. ขอบเขตของการใช้งาน: วัคซีนถูกทดสอบในผู้ป่วยที่ผ่านการผ่าตัดมะเร็งในระยะเริ่มต้นและมีความเสี่ยงสูงต่อการกลับมาเป็นซ้ำ เช่น มะเร็งผิวหนัง (Melanoma) มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีการทดลองในมะเร็งตับอ่อนและมะเร็งระยะลุกลาม (metastasis) แต่ยังมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพในระยะที่มะเร็งแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง 5. ข้อดีและข้อจำกัด: วัคซีนเหมาะสมกับมะเร็งระยะเริ่มต้นหรือหลังผ่าตัด เนื่องจากสามารถควบคุมการเติบโตของมะเร็งที่หลงเหลือ แต่ยังขาดประสิทธิภาพในกรณีมะเร็งระยะลุกลาม ซึ่งเซลล์มะเร็งมีการปรับตัวและป้องกันตัวเองจากภูมิคุ้มกัน 6. แนวทางในอนาคต: การพัฒนาวัคซีนยังต้องการการทดลองเพิ่มเติมในผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น เพื่อยืนยันผลลัพธ์และรองรับการใช้งานจริงในตลาด นักวิจัยยังคงมุ่งเน้นการปรับปรุงวัคซีนให้ตอบสนองได้เร็วและครอบคลุมชนิดของมะเร็งที่หลากหลายขึ้น https://web.facebook.com/share/p/19cpPdVbFe/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 482 มุมมอง 0 รีวิว
  • การหย่าร้างในสมัยจีนโบราณ

    สวัสดีค่ะ ในเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> พูดถึงการหย่าร้างแบบสมัครใจทั้งสองฝ่ายหรือที่เรียกว่า ‘เหอหลี’ (和离) บ่อยครั้ง ชวนให้ Storyฯ คิดถึงนิยายและซีรีส์ไม่น้อยที่กล่าวถึงการเลิกรากันด้วยวิธีต่างๆ

    วันนี้เรามาคุยกันเรื่องการหย่าร้างหรือเลิกราของสามีภรรยาในจีนโบราณว่ามีกี่วิธี

    วิธีแรกคือบุรุษเป็นฝ่ายทิ้งสตรี หรือที่เรียกว่า ‘ซิว’ (休) หรือ ‘ชู’ (出) หรือ ‘ชวี่’ (去) โดยมีหลักการว่า ‘เจ็ดขับสามไม่ไป’ (七出,三不去) ซึ่งเป็นหลักการที่เริ่มขึ้นในสมัยราชวงศ์โจว (1046-256 ปีก่อนคริสตกาล) และพัฒนาขึ้นมาเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ผ่านหลายยุคหลายสมัย

    มีบทความภาษาไทยหลายบทความที่กล่าวถึงหลักการ ‘เจ็ดขับสามไม่ไป’ นี้โดยละเอียด เพื่อนเพจสามารถหาอ่านดูได้ Storyฯ ขอพูดแบบสรุปว่า หากภรรยาเข้าข่ายประการใดประการหนึ่งในเจ็ดประการนี้สามีและ/หรือพ่อแม่สามีสามารถขับภรรยาได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายหญิง ขอเพียงสองฝ่ายรับทราบและมีพยานลงนามรับรู้ถือว่าจบ แต่หากฝ่ายชายทิ้งเมียโดยไม่เข้าข่ายเจ็ดข้อนี้ ก็จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย อย่างในสมัยถังคือให้ไปเป็นแรงงานหนักหนึ่งปีครึ่ง และเจ็ดประการนี้คือ (1) ไม่เชื่อฟังพ่อแม่สามี (2) ไม่มีบุตรชาย (3) คบชู้สู่ชาย (4) หึงหวงสามี (5) มีโรคร้ายหรือพิการ (6) ปากไม่ดี และ (7) ลักขโมย

    และแม้ว่าภรรยาจะเข้าข่ายเจ็ดประการนี้ แต่หากมีความจำเป็นหนึ่งในสามลักษณะนี้ กฎหมายก็ห้ามไม่ให้บุรุษทิ้งเมีย กล่าวคือ (ก) ภรรยาเมื่อถูกทิ้งและขับออกจากเรือนของสามีแล้วจะไม่มีที่ไป เช่น ตอนแต่งงานพ่อแม่ของสตรียังมีชีวิตอยู่แต่ตอนนี้เสียไปแล้ว (ข) ได้เคยร่วมไว้ทุกข์ให้พ่อแม่สามีนานสามปีแล้ว ถือว่ามีความกตัญญูอย่างยิ่งยวดจนไม่อาจขับไล่ และ (ค) สามีแต่งภรรยามาตอนยากจน พอรวยแล้วจะทิ้งเมีย ทำไม่ได้ หากใครฝ่าฝืนก็มีบทลงโทษทางกฎหมายเช่นกัน อย่างในสมัยถังคือโบยหนึ่งร้อยครั้ง

    การเลิกราแบบที่สองคือ ‘อี้เจวี๋ย’ (义绝 /ตัดสัมพันธ์) หรือการบังคับหย่าโดยอำนาจศาลหรือที่ว่าการท้องถิ่น ปรากฏครั้งแรกในประมวลกฎหมายถัง ซึ่งถูกประกาศใช้ในยุคถังเกาจง (ฮ่องเต้องค์ที่สามแห่งราชวงศ์ถัง) เมื่อปีค.ศ. 653 เป็นกรณีที่ฝ่ายหญิงถูกสามีหรือคนในบ้านสามีกระทำรุนแรง เช่น ตบตีทำร้ายร่างกายฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด บังคับให้ภรรยาไปหลับนอนกับชายอื่น เอาเมียไปขาย หรือมีการประทุษร้ายรุนแรงต่อครอบครัวจนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้แล้ว เช่น ฆ่าพ่อแม่ของอีกฝ่าย เป็นต้น เมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงลักษณะนี้ ไม่ว่าฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงอาจฟ้องหย่าได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีกฎหมายนี้ แม้ว่าสตรีจะร้องทุกข์เพื่อขอหย่ายังมักถูกตัดสินให้รับโทษด้วยเพราะถูกมองว่าการร้องเรียนสามีหรือครอบครัวสามีเป็นการกระทำที่ไม่ถูกจรรยาของสตรี แต่เมื่อมีกฎหมายรองรับแล้ว การบังคับหย่าจึงเป็นเส้นทางสู่อิสรภาพของสตรีวิธีหนึ่ง และเป็นการตัดสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลอีกด้วย

    และการเลิกราแบบสุดท้ายคือการหย่าร้างแบบสมัครใจทั้งสองฝ่ายหรือที่เรียกว่า ‘เหอหลี’ (和离) ซึ่งว่ากันว่ามีปฏิบัติกันมาตั้งแต่ก่อนยุคสมัยราชวงศ์ฉิน แต่... มันไม่ได้เป็นกฎหมายบังคับใช้จวบจนสมัยถัง โดยประมวลกฎหมายแห่งถังบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อสามีภรรยาไม่พอใจซึ่งกันและกันจนไม่สามารถอยู่ร่วมครองเรือนกันต่อไปได้แล้วนั้น ให้เลิกรากันได้โดยไม่ถือว่าขัดต่อกฎหมาย

    แม้ว่าบทกฎหมายดังกล่าวจะถูกใช้ต่อมาอีกหลายยุคสมัย แต่ไม่มีการอธิบายหลักการนี้เพิ่มเติม และในปัจจุบันยังมีบทความวิเคราะห์ที่ให้ความคิดเห็นแตกต่างกันไปเกี่ยวกับเลิกโดยสมัครใจนี้ในบริบทของสังคมจีนโบราณ ทั้งนี้ ในบริบทของสังคมจีนโบราณ การแต่งงานถูกมองว่าเป็นการเกี่ยวดองของสองตระกูลที่ได้รับการยินยอมจากพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายและไม่ใช่เรื่องของคนสองคนเท่านั้น อย่างที่กล่าวในตอนต้น การเลิกหรือขับเมียยังสามารถทำได้โดยพ่อแม่ของฝ่ายชาย และการถูกบังคับหย่าโดยคำสั่งของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นการกระทำที่ตัดสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูล จึงเป็นที่กังขาว่า การเลิกราโดยสมัครใจเป็นการตัดสินใจร่วมของคนสองคนเท่านั้นจริงหรือ

    จะเห็นได้ว่า นับแต่สมัยถังมามีบทกฎหมายที่คุ้มครองสตรีในการสมรสมากขึ้น แต่กระนั้น บุรุษก็ยังมีทางเลือกมากกว่าสตรี โดยอาจใช้ข้ออ้างของ ‘เจ็ดขับสามไม่ไป’ มาใช้เป็นเหตุผลในการทิ้งเมีย และหากบุรุษไม่ยินยอมเลิกรา สตรีก็หย่าขาดจากสามีไม่ได้ยกเว้นเกิดกรณีร้ายแรงพอที่จะฟ้องหย่าได้

    อย่างไรก็ดี ในยุคสมัยต่อๆ มามีการเพิ่มเติมข้ออนุโลมให้สตรีใช้เป็นเหตุผลการหย่าร้างได้อีกแต่ไม่มาก ตัวอย่างเช่น ในสมัยหมิงมีการกำหนดไว้ว่า หากสามีหายตัวไปไม่กลับบ้านนานเกินสามปี ภรรยาสามารถยกเลิกพันธะสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายโดยมีเอกสารราชการยืนยัน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.manmankan.com/dy2013/202401/20764.shtml
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.chinacourt.org/article/detail/2022/11/id/7011234.shtml
    https://www.legal-theory.org/?mod=info&act=view&id=21560
    http://www.legaldaily.com.cn/fxjy/content/2021-05/12/content_8503165.html
    http://law.newdu.com/uploads/202401/31/201005130115.pdf
    https://bjgy.bjcourt.gov.cn/article/detail/2020/11/id/5563896.shtml

    #ทำนองรักกังวานแดนดิน #การหย่าร้าง #เหอหลี #สาระจีน
    การหย่าร้างในสมัยจีนโบราณ สวัสดีค่ะ ในเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> พูดถึงการหย่าร้างแบบสมัครใจทั้งสองฝ่ายหรือที่เรียกว่า ‘เหอหลี’ (和离) บ่อยครั้ง ชวนให้ Storyฯ คิดถึงนิยายและซีรีส์ไม่น้อยที่กล่าวถึงการเลิกรากันด้วยวิธีต่างๆ วันนี้เรามาคุยกันเรื่องการหย่าร้างหรือเลิกราของสามีภรรยาในจีนโบราณว่ามีกี่วิธี วิธีแรกคือบุรุษเป็นฝ่ายทิ้งสตรี หรือที่เรียกว่า ‘ซิว’ (休) หรือ ‘ชู’ (出) หรือ ‘ชวี่’ (去) โดยมีหลักการว่า ‘เจ็ดขับสามไม่ไป’ (七出,三不去) ซึ่งเป็นหลักการที่เริ่มขึ้นในสมัยราชวงศ์โจว (1046-256 ปีก่อนคริสตกาล) และพัฒนาขึ้นมาเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ผ่านหลายยุคหลายสมัย มีบทความภาษาไทยหลายบทความที่กล่าวถึงหลักการ ‘เจ็ดขับสามไม่ไป’ นี้โดยละเอียด เพื่อนเพจสามารถหาอ่านดูได้ Storyฯ ขอพูดแบบสรุปว่า หากภรรยาเข้าข่ายประการใดประการหนึ่งในเจ็ดประการนี้สามีและ/หรือพ่อแม่สามีสามารถขับภรรยาได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายหญิง ขอเพียงสองฝ่ายรับทราบและมีพยานลงนามรับรู้ถือว่าจบ แต่หากฝ่ายชายทิ้งเมียโดยไม่เข้าข่ายเจ็ดข้อนี้ ก็จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย อย่างในสมัยถังคือให้ไปเป็นแรงงานหนักหนึ่งปีครึ่ง และเจ็ดประการนี้คือ (1) ไม่เชื่อฟังพ่อแม่สามี (2) ไม่มีบุตรชาย (3) คบชู้สู่ชาย (4) หึงหวงสามี (5) มีโรคร้ายหรือพิการ (6) ปากไม่ดี และ (7) ลักขโมย และแม้ว่าภรรยาจะเข้าข่ายเจ็ดประการนี้ แต่หากมีความจำเป็นหนึ่งในสามลักษณะนี้ กฎหมายก็ห้ามไม่ให้บุรุษทิ้งเมีย กล่าวคือ (ก) ภรรยาเมื่อถูกทิ้งและขับออกจากเรือนของสามีแล้วจะไม่มีที่ไป เช่น ตอนแต่งงานพ่อแม่ของสตรียังมีชีวิตอยู่แต่ตอนนี้เสียไปแล้ว (ข) ได้เคยร่วมไว้ทุกข์ให้พ่อแม่สามีนานสามปีแล้ว ถือว่ามีความกตัญญูอย่างยิ่งยวดจนไม่อาจขับไล่ และ (ค) สามีแต่งภรรยามาตอนยากจน พอรวยแล้วจะทิ้งเมีย ทำไม่ได้ หากใครฝ่าฝืนก็มีบทลงโทษทางกฎหมายเช่นกัน อย่างในสมัยถังคือโบยหนึ่งร้อยครั้ง การเลิกราแบบที่สองคือ ‘อี้เจวี๋ย’ (义绝 /ตัดสัมพันธ์) หรือการบังคับหย่าโดยอำนาจศาลหรือที่ว่าการท้องถิ่น ปรากฏครั้งแรกในประมวลกฎหมายถัง ซึ่งถูกประกาศใช้ในยุคถังเกาจง (ฮ่องเต้องค์ที่สามแห่งราชวงศ์ถัง) เมื่อปีค.ศ. 653 เป็นกรณีที่ฝ่ายหญิงถูกสามีหรือคนในบ้านสามีกระทำรุนแรง เช่น ตบตีทำร้ายร่างกายฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด บังคับให้ภรรยาไปหลับนอนกับชายอื่น เอาเมียไปขาย หรือมีการประทุษร้ายรุนแรงต่อครอบครัวจนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้แล้ว เช่น ฆ่าพ่อแม่ของอีกฝ่าย เป็นต้น เมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงลักษณะนี้ ไม่ว่าฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงอาจฟ้องหย่าได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีกฎหมายนี้ แม้ว่าสตรีจะร้องทุกข์เพื่อขอหย่ายังมักถูกตัดสินให้รับโทษด้วยเพราะถูกมองว่าการร้องเรียนสามีหรือครอบครัวสามีเป็นการกระทำที่ไม่ถูกจรรยาของสตรี แต่เมื่อมีกฎหมายรองรับแล้ว การบังคับหย่าจึงเป็นเส้นทางสู่อิสรภาพของสตรีวิธีหนึ่ง และเป็นการตัดสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลอีกด้วย และการเลิกราแบบสุดท้ายคือการหย่าร้างแบบสมัครใจทั้งสองฝ่ายหรือที่เรียกว่า ‘เหอหลี’ (和离) ซึ่งว่ากันว่ามีปฏิบัติกันมาตั้งแต่ก่อนยุคสมัยราชวงศ์ฉิน แต่... มันไม่ได้เป็นกฎหมายบังคับใช้จวบจนสมัยถัง โดยประมวลกฎหมายแห่งถังบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อสามีภรรยาไม่พอใจซึ่งกันและกันจนไม่สามารถอยู่ร่วมครองเรือนกันต่อไปได้แล้วนั้น ให้เลิกรากันได้โดยไม่ถือว่าขัดต่อกฎหมาย แม้ว่าบทกฎหมายดังกล่าวจะถูกใช้ต่อมาอีกหลายยุคสมัย แต่ไม่มีการอธิบายหลักการนี้เพิ่มเติม และในปัจจุบันยังมีบทความวิเคราะห์ที่ให้ความคิดเห็นแตกต่างกันไปเกี่ยวกับเลิกโดยสมัครใจนี้ในบริบทของสังคมจีนโบราณ ทั้งนี้ ในบริบทของสังคมจีนโบราณ การแต่งงานถูกมองว่าเป็นการเกี่ยวดองของสองตระกูลที่ได้รับการยินยอมจากพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายและไม่ใช่เรื่องของคนสองคนเท่านั้น อย่างที่กล่าวในตอนต้น การเลิกหรือขับเมียยังสามารถทำได้โดยพ่อแม่ของฝ่ายชาย และการถูกบังคับหย่าโดยคำสั่งของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นการกระทำที่ตัดสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูล จึงเป็นที่กังขาว่า การเลิกราโดยสมัครใจเป็นการตัดสินใจร่วมของคนสองคนเท่านั้นจริงหรือ จะเห็นได้ว่า นับแต่สมัยถังมามีบทกฎหมายที่คุ้มครองสตรีในการสมรสมากขึ้น แต่กระนั้น บุรุษก็ยังมีทางเลือกมากกว่าสตรี โดยอาจใช้ข้ออ้างของ ‘เจ็ดขับสามไม่ไป’ มาใช้เป็นเหตุผลในการทิ้งเมีย และหากบุรุษไม่ยินยอมเลิกรา สตรีก็หย่าขาดจากสามีไม่ได้ยกเว้นเกิดกรณีร้ายแรงพอที่จะฟ้องหย่าได้ อย่างไรก็ดี ในยุคสมัยต่อๆ มามีการเพิ่มเติมข้ออนุโลมให้สตรีใช้เป็นเหตุผลการหย่าร้างได้อีกแต่ไม่มาก ตัวอย่างเช่น ในสมัยหมิงมีการกำหนดไว้ว่า หากสามีหายตัวไปไม่กลับบ้านนานเกินสามปี ภรรยาสามารถยกเลิกพันธะสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายโดยมีเอกสารราชการยืนยัน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.manmankan.com/dy2013/202401/20764.shtml Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.chinacourt.org/article/detail/2022/11/id/7011234.shtml https://www.legal-theory.org/?mod=info&act=view&id=21560 http://www.legaldaily.com.cn/fxjy/content/2021-05/12/content_8503165.html http://law.newdu.com/uploads/202401/31/201005130115.pdf https://bjgy.bjcourt.gov.cn/article/detail/2020/11/id/5563896.shtml #ทำนองรักกังวานแดนดิน #การหย่าร้าง #เหอหลี #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 539 มุมมอง 0 รีวิว
  • มิจฉ่าชีพพ ทุกตัว เหมือนกันหมด
    พอถูกเปิด ถูกโปง ขู่ววฟ๊องงง
    ไอ่ฉัด งั้นกรรูชมเมิงก็ได้
    ไอ่ หนี้หา = คนดี
    ไอ่ ฟวยหัวคีม = คนเก่ง
    ไอ่ ฟิล์มบี้หา = คนซื่อสัตย์
    ไอ่ หอกระดัว = คนจิตใจดี
    ไอ่ เนียตัวม่า = คนจริงใจ
    ไอ่ จวยหัวโคน = คนสมองดี
    ไอ่ เขียกปี๊ = คนรักความสะอาด
    ไอ่ แตหลอ = คนพูดจากไพเราะ
    ส่วนคำว่า ฆวย อ่านเป็นภาษาไทยว่า คะ -วะ- ยะ
    รากศัพย์จากภาษา อินเดียตอนใต้ แปลว่า ความวัยเยาว์ครับ
    ชมเป็นภาษาประเทศ ทางโซนยุโรปสมารถกับคำโบราณตะวันออก
    เราแฟนคลับนายนะฟิล์ม ชมจากใจ
    Cr.คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2
    #คิงส์โพธิ์แดง
    มิจฉ่าชีพพ ทุกตัว เหมือนกันหมด พอถูกเปิด ถูกโปง ขู่ววฟ๊องงง ไอ่ฉัด งั้นกรรูชมเมิงก็ได้ ไอ่ หนี้หา = คนดี ไอ่ ฟวยหัวคีม = คนเก่ง ไอ่ ฟิล์มบี้หา = คนซื่อสัตย์ ไอ่ หอกระดัว = คนจิตใจดี ไอ่ เนียตัวม่า = คนจริงใจ ไอ่ จวยหัวโคน = คนสมองดี ไอ่ เขียกปี๊ = คนรักความสะอาด ไอ่ แตหลอ = คนพูดจากไพเราะ ส่วนคำว่า ฆวย อ่านเป็นภาษาไทยว่า คะ -วะ- ยะ รากศัพย์จากภาษา อินเดียตอนใต้ แปลว่า ความวัยเยาว์ครับ ชมเป็นภาษาประเทศ ทางโซนยุโรปสมารถกับคำโบราณตะวันออก เราแฟนคลับนายนะฟิล์ม ชมจากใจ Cr.คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 0 รีวิว
  • 14/12/67

    มาดูความมหัศจรรย์ของลิงตัวนี้ ลุงคนนี้เล่าประวัติที่น่าเศร้ามากสำหรับครอบครัวของตัวเองก่อนที่จะมาเจอลิงซึ่งเป็นเพื่อนรักที่อาศัยกันมาจนถึงปัจจุบันนี้

    ลุงคนนี้เป็นชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านในรัฐฟลอริดาของสหรัฐอเมริกา เมื่อเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวขึ้นทำให้ครอบครัวของลุงเสียชีวิตกันหมดไม่ว่าลูกภรรยา

    แล้วลุงคนนี้คิดที่จะฆ่าตัวตายเดินเข้าไปในป่าเพื่อที่จะปลิดชีวิตตัวเองแต่ในขณะนั้นได้ไปเจอลูกลิงตัวน้อยตัวหนึ่งที่ติดอยู่กับบนต้นไม้ก็เข้าไปช่วยชีวิตลิงตัวนั้นโดยที่ในขณะนั้นตัวเองมีความเศร้ามาก

    แต่เมื่อได้เห็นลิงก็เลยลืมเรื่องที่ตัวเองคิดที่จะฆ่าตัวตายในขณะนั้น และก็ได้รับลิงตัวน้อยนั้นกลับมาอยู่ที่บ้านจนกระทั่งตัวเองได้เอาไวโอลินที่ทิ้งไว้ซึ่งมีฝุ่นเกาะเต็มไปหมดมาเล่นเป็นประจำและลิงตัวนี้ได้เห็นก็ฝึกเล่นไวโอลิน จนเล่นไวโอลินได้อย่างมหัศจรรย์มากก็ลองดูนะครับ

    ถ้าใครสามารถฟังภาษาอังกฤษได้หรือใช้วิธีการแปลภาษาอังกฤษบนหน้าจอเป็นภาษาไทยก็จะเข้าใจเรื่องราวที่ผมเล่าคร่าวๆนะครับก็ถือว่าเป็นเรื่องเศร้ามากนะครับ

    สำหรับครอบครัวลุงแต่ก็ได้ลิงตัวนี้เป็นเพื่อนปลอบประโลมใจและมีกำลังใจมาก

    cr: TOP TALENTS STARS

    https://youtu.be/JkaCYZS5N58?si=zsv3fxRKv_YZ67V5
    14/12/67 มาดูความมหัศจรรย์ของลิงตัวนี้ ลุงคนนี้เล่าประวัติที่น่าเศร้ามากสำหรับครอบครัวของตัวเองก่อนที่จะมาเจอลิงซึ่งเป็นเพื่อนรักที่อาศัยกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ ลุงคนนี้เป็นชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านในรัฐฟลอริดาของสหรัฐอเมริกา เมื่อเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวขึ้นทำให้ครอบครัวของลุงเสียชีวิตกันหมดไม่ว่าลูกภรรยา แล้วลุงคนนี้คิดที่จะฆ่าตัวตายเดินเข้าไปในป่าเพื่อที่จะปลิดชีวิตตัวเองแต่ในขณะนั้นได้ไปเจอลูกลิงตัวน้อยตัวหนึ่งที่ติดอยู่กับบนต้นไม้ก็เข้าไปช่วยชีวิตลิงตัวนั้นโดยที่ในขณะนั้นตัวเองมีความเศร้ามาก แต่เมื่อได้เห็นลิงก็เลยลืมเรื่องที่ตัวเองคิดที่จะฆ่าตัวตายในขณะนั้น และก็ได้รับลิงตัวน้อยนั้นกลับมาอยู่ที่บ้านจนกระทั่งตัวเองได้เอาไวโอลินที่ทิ้งไว้ซึ่งมีฝุ่นเกาะเต็มไปหมดมาเล่นเป็นประจำและลิงตัวนี้ได้เห็นก็ฝึกเล่นไวโอลิน จนเล่นไวโอลินได้อย่างมหัศจรรย์มากก็ลองดูนะครับ ถ้าใครสามารถฟังภาษาอังกฤษได้หรือใช้วิธีการแปลภาษาอังกฤษบนหน้าจอเป็นภาษาไทยก็จะเข้าใจเรื่องราวที่ผมเล่าคร่าวๆนะครับก็ถือว่าเป็นเรื่องเศร้ามากนะครับ สำหรับครอบครัวลุงแต่ก็ได้ลิงตัวนี้เป็นเพื่อนปลอบประโลมใจและมีกำลังใจมาก cr: TOP TALENTS STARS https://youtu.be/JkaCYZS5N58?si=zsv3fxRKv_YZ67V5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=ThWtHJLJbNM
    แบบทดสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน ชุดที่ 5 สำหรับผู้เริ่มเรียน และทบทวนความรู้เบื้องต้น โดยมีคำถาม 10 ข้อ พร้อมเฉลยและอธิบายคำตอบเป็นภาษาไทย
    #englishgrammar #grammartest #learnenglish
    https://www.youtube.com/watch?v=ThWtHJLJbNM แบบทดสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน ชุดที่ 5 สำหรับผู้เริ่มเรียน และทบทวนความรู้เบื้องต้น โดยมีคำถาม 10 ข้อ พร้อมเฉลยและอธิบายคำตอบเป็นภาษาไทย #englishgrammar #grammartest #learnenglish
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 293 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=kthCgiwWKn4
    แบบทดสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน ชุดที่ 4 สำหรับผู้เริ่มเรียน และทบทวนความรู้เบื้องต้น โดยมีคำถาม 10 ข้อ พร้อมเฉลยและอธิบายคำตอบเป็นภาษาไทย
    #englishgrammar #grammartest #learnenglish
    https://www.youtube.com/watch?v=kthCgiwWKn4 แบบทดสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน ชุดที่ 4 สำหรับผู้เริ่มเรียน และทบทวนความรู้เบื้องต้น โดยมีคำถาม 10 ข้อ พร้อมเฉลยและอธิบายคำตอบเป็นภาษาไทย #englishgrammar #grammartest #learnenglish
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 290 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/kftf5FM7CLU?si=MeSyU5sKCDCuQDUB
    คลิปนี้มีทุกสิ่งที่ผมอยากพูดครบถ้วนเลย ลองดูนะครับ ใครไม่ถนัดอังกฤษลองกดปุ่ม cc บนมุมขวาบนของวิดีโอแล้วปรับภาษาเป็น auto-generate แล้วเลือกภาษาไทย มันจะเพิ่มซับไทยให้ครับ
    daddy's onfire
    https://youtu.be/kftf5FM7CLU?si=MeSyU5sKCDCuQDUB คลิปนี้มีทุกสิ่งที่ผมอยากพูดครบถ้วนเลย ลองดูนะครับ ใครไม่ถนัดอังกฤษลองกดปุ่ม cc บนมุมขวาบนของวิดีโอแล้วปรับภาษาเป็น auto-generate แล้วเลือกภาษาไทย มันจะเพิ่มซับไทยให้ครับ daddy's onfire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • การสมาทานศีล การอธิษฐาน การอุทิศบุญ ฯลฯ ต้องพูดเป็นภาษาบาลีหรือไม่ "สังคมถาม ครูนัทตอบ แบบวิภัชชวาท ตอบโดยรอบ ไม่กระทบใคร"ตอบว่า ไม่ต้อง สามารถพูดเป็นภาษาไทยได้เลย ข้าพเจ้าขอสมาทานรักษาศีล โดย เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการเอาทรัพย์ของผู้อื่น ฯลฯ ว่าไป การอธิษฐาน พูดเป็นภาษาไทยได้เลย การอธิษฐานคือ เราพูดกับตัวเราเอง เป็นการตั้งความปรารถนาโดยอาศัยผลบุญของตัวเราเอง การอธิษฐานไม่ใช่การไหว้วอนร้องขอ การอุทิศบุญ พูดเป็นภาษาไทยได้เลย คำถามเพิ่มเติม แบบนี้เวลาบวชนาคจะมีการสมาทานศีลในอุโบสถต่อหน้าพระอุปัชฌาย์ก็สามารถเป่งวาจาเป็นภาษาไทยได้ใช่ไหมครับ?☺️ตอบ ไม่ได้ค่ะ การทำสังฆกรรมของสงฆ์ต้องใช้ภาษาบาลีค่ะ #ครูนัท #หนอนพระไตรปิฎก#การสมาทานศีล #การอธิษฐาน #การอุทิศบุญ ฯลฯ #ต้องพูดเป็นภาษาบาลีหรือไม่ อนุโมทนาภาพประกอบจาก Ai ที่สมาชิกช่วยทำให้ค่ะ
    การสมาทานศีล การอธิษฐาน การอุทิศบุญ ฯลฯ ต้องพูดเป็นภาษาบาลีหรือไม่ "สังคมถาม ครูนัทตอบ แบบวิภัชชวาท ตอบโดยรอบ ไม่กระทบใคร"ตอบว่า ไม่ต้อง สามารถพูดเป็นภาษาไทยได้เลย ข้าพเจ้าขอสมาทานรักษาศีล โดย เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการเอาทรัพย์ของผู้อื่น ฯลฯ ว่าไป การอธิษฐาน พูดเป็นภาษาไทยได้เลย การอธิษฐานคือ เราพูดกับตัวเราเอง เป็นการตั้งความปรารถนาโดยอาศัยผลบุญของตัวเราเอง การอธิษฐานไม่ใช่การไหว้วอนร้องขอ การอุทิศบุญ พูดเป็นภาษาไทยได้เลย คำถามเพิ่มเติม แบบนี้เวลาบวชนาคจะมีการสมาทานศีลในอุโบสถต่อหน้าพระอุปัชฌาย์ก็สามารถเป่งวาจาเป็นภาษาไทยได้ใช่ไหมครับ?☺️ตอบ ไม่ได้ค่ะ การทำสังฆกรรมของสงฆ์ต้องใช้ภาษาบาลีค่ะ #ครูนัท #หนอนพระไตรปิฎก#การสมาทานศีล #การอธิษฐาน #การอุทิศบุญ ฯลฯ #ต้องพูดเป็นภาษาบาลีหรือไม่ อนุโมทนาภาพประกอบจาก Ai ที่สมาชิกช่วยทำให้ค่ะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 363 มุมมอง 0 รีวิว
  • 喜欢你 เพลงจีนกวางตุ้งอ่านว่า Hei Foon Nei
    ( จีนกลาง = xi huan ni ) แปลว่า ฉันชอบเธอ
    หรือ มีความหมายในภาษาฝาหรั่ง = Loving You
    ทำให้เพลงนี้..กลายเป็นเพลงยอดนิยมตลอดกาลของชาวจีนทั้งประเทศ
    สำหรับหนุ่มใช้ขับร้องเพลงนี้..เพื่อจีบสาว หรือ สาวจีบหนุ่มก็ได้
    ------------------------------
    ขับร้อง คลอเคลีย..ตามไป ด้วยกัน นะคะ

    ความหมายในภาษาไทย และ เนื้อเพลง(ภาษาจีนกวางตุ้ง)
    ฝนตกปรอยๆและลมพัดปกคลุมถนนในเวลาพลบค่ำ
    细雨带风湿透黄昏的街道

    ปัดน้ำฝนตาของฉันเงยหน้าขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
    抹去雨水双眼无故地仰望

    การมองแสงไฟยามค่ำคืนอันโดดเดี่ยวคือความทรงจำอันแสนเศร้า
    望向孤单的晚灯 是那伤感的记忆

    ความโหยหาในใจฉันนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นอีกครั้ง
    再次泛起心里无数的思念

    เสียงหัวเราะจากช่วงเวลาที่ผ่านมายังคงอยู่บนใบหน้าของฉัน
    以往片刻欢笑仍挂在脸上

    ฉันหวังว่าคุณจะรู้ในขณะนี้ว่าเป็นคำพูดจากใจของฉัน
    愿你此刻可会知 是我衷心的说声

    ฉันชอบคุณ ดวงตาคู่นั้นกำลังเคลื่อนไหว และเสียงหัวเราะของคุณก็มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
    喜欢你 那双眼动人 笑声更迷人

    ฉันหวังว่าฉันจะได้สัมผัสใบหน้าที่น่ารักของคุณอีกครั้ง
    愿再可 轻抚你 那可爱面容

    จับมือคุยกันตอนหลับก็เหมือนเมื่อวานที่เธอกับฉันอยู่ด้วยกัน
    挽手说梦话 像昨天 你共我

    ฉันหุนหันพลันแล่นมากเมื่อเต็มไปด้วยอุดมคติ
    满带理想的我曾经多冲动

    ฉันมักจะบ่นว่าการตกหลุมรักเธอเป็นเรื่องยากที่จะมีอิสระ
    屡怨与她相爱难有自由

    ฉันหวังว่าคุณจะรู้ในขณะนี้ว่าเป็นคำพูดจากใจของฉัน
    愿你此刻可会知 是我衷心的说声

    ฉันชอบคุณ ดวงตาคู่นั้นกำลังเคลื่อนไหว และเสียงหัวเราะของคุณก็มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
    喜欢你 那双眼动人 笑声更迷人

    ฉันหวังว่าฉันจะได้สัมผัสใบหน้าที่น่ารักของคุณอีกครั้ง
    愿再可 轻抚你 那可爱面容

    จับมือคุยกันตอนหลับก็เหมือนเมื่อวานที่เธอกับฉันอยู่ด้วยกัน
    挽手说梦话 像昨天 你共我

    เดินคนเดียวทุกคืน
    每晚夜里自我独行

    เดินวนไปวนมา หนาวมาก
    随处荡 多冰冷

    ฉันต่อสู้กับตัวเองในอดีต
    已往为了自我挣扎

    ไม่เคยรู้ถึงความเจ็บปวดของเธอ
    从不知 她的痛苦

    ฉันชอบคุณ ดวงตาคู่นั้นกำลังเคลื่อนไหว และเสียงหัวเราะของคุณก็มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
    喜欢你 那双眼动人 笑声更迷人

    ฉันหวังว่าฉันจะได้สัมผัสใบหน้าที่น่ารักของคุณอีกครั้ง
    愿再可 轻抚你 那可爱面容

    จับมือคุยกันตอนหลับก็เหมือนเมื่อวานที่เธอกับฉันอยู่ด้วยกัน
    挽手说梦话 像昨天 你共我

    เธอจงทำ เธอจงทำ จงทำ โอ้ โอ้
    She be do she be do she be do oh oh

    เธอจงทำ เธอจงทำ จงทำ โอ้ โอ้
    She be do she be do she be do oh oh

    เธอจงทำ เธอจงทำ จงทำ โอ้ โอ้
    She be do she be do she be do oh oh

    เธอจงทำ เธอจงทำ จงทำ โอ้ โอ้
    She be do she be do she be do oh oh

    https://www.youtube.com/watch?v=IQ1g8ShGaVU
    喜欢你 เพลงจีนกวางตุ้งอ่านว่า Hei Foon Nei ( จีนกลาง = xi huan ni ) แปลว่า ฉันชอบเธอ หรือ มีความหมายในภาษาฝาหรั่ง = Loving You ทำให้เพลงนี้..กลายเป็นเพลงยอดนิยมตลอดกาลของชาวจีนทั้งประเทศ สำหรับหนุ่มใช้ขับร้องเพลงนี้..เพื่อจีบสาว หรือ สาวจีบหนุ่มก็ได้ ------------------------------ ขับร้อง คลอเคลีย..ตามไป ด้วยกัน นะคะ ความหมายในภาษาไทย และ เนื้อเพลง(ภาษาจีนกวางตุ้ง) ฝนตกปรอยๆและลมพัดปกคลุมถนนในเวลาพลบค่ำ 细雨带风湿透黄昏的街道 ปัดน้ำฝนตาของฉันเงยหน้าขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล 抹去雨水双眼无故地仰望 การมองแสงไฟยามค่ำคืนอันโดดเดี่ยวคือความทรงจำอันแสนเศร้า 望向孤单的晚灯 是那伤感的记忆 ความโหยหาในใจฉันนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นอีกครั้ง 再次泛起心里无数的思念 เสียงหัวเราะจากช่วงเวลาที่ผ่านมายังคงอยู่บนใบหน้าของฉัน 以往片刻欢笑仍挂在脸上 ฉันหวังว่าคุณจะรู้ในขณะนี้ว่าเป็นคำพูดจากใจของฉัน 愿你此刻可会知 是我衷心的说声 ฉันชอบคุณ ดวงตาคู่นั้นกำลังเคลื่อนไหว และเสียงหัวเราะของคุณก็มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น 喜欢你 那双眼动人 笑声更迷人 ฉันหวังว่าฉันจะได้สัมผัสใบหน้าที่น่ารักของคุณอีกครั้ง 愿再可 轻抚你 那可爱面容 จับมือคุยกันตอนหลับก็เหมือนเมื่อวานที่เธอกับฉันอยู่ด้วยกัน 挽手说梦话 像昨天 你共我 ฉันหุนหันพลันแล่นมากเมื่อเต็มไปด้วยอุดมคติ 满带理想的我曾经多冲动 ฉันมักจะบ่นว่าการตกหลุมรักเธอเป็นเรื่องยากที่จะมีอิสระ 屡怨与她相爱难有自由 ฉันหวังว่าคุณจะรู้ในขณะนี้ว่าเป็นคำพูดจากใจของฉัน 愿你此刻可会知 是我衷心的说声 ฉันชอบคุณ ดวงตาคู่นั้นกำลังเคลื่อนไหว และเสียงหัวเราะของคุณก็มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น 喜欢你 那双眼动人 笑声更迷人 ฉันหวังว่าฉันจะได้สัมผัสใบหน้าที่น่ารักของคุณอีกครั้ง 愿再可 轻抚你 那可爱面容 จับมือคุยกันตอนหลับก็เหมือนเมื่อวานที่เธอกับฉันอยู่ด้วยกัน 挽手说梦话 像昨天 你共我 เดินคนเดียวทุกคืน 每晚夜里自我独行 เดินวนไปวนมา หนาวมาก 随处荡 多冰冷 ฉันต่อสู้กับตัวเองในอดีต 已往为了自我挣扎 ไม่เคยรู้ถึงความเจ็บปวดของเธอ 从不知 她的痛苦 ฉันชอบคุณ ดวงตาคู่นั้นกำลังเคลื่อนไหว และเสียงหัวเราะของคุณก็มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น 喜欢你 那双眼动人 笑声更迷人 ฉันหวังว่าฉันจะได้สัมผัสใบหน้าที่น่ารักของคุณอีกครั้ง 愿再可 轻抚你 那可爱面容 จับมือคุยกันตอนหลับก็เหมือนเมื่อวานที่เธอกับฉันอยู่ด้วยกัน 挽手说梦话 像昨天 你共我 เธอจงทำ เธอจงทำ จงทำ โอ้ โอ้ She be do she be do she be do oh oh เธอจงทำ เธอจงทำ จงทำ โอ้ โอ้ She be do she be do she be do oh oh เธอจงทำ เธอจงทำ จงทำ โอ้ โอ้ She be do she be do she be do oh oh เธอจงทำ เธอจงทำ จงทำ โอ้ โอ้ She be do she be do she be do oh oh https://www.youtube.com/watch?v=IQ1g8ShGaVU
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts