• Ubuntu LTS ได้รับการสนับสนุนยาวนานถึง 15 ปี

    Canonical ผู้พัฒนา Ubuntu ได้เปิดตัวการขยายระยะเวลาการสนับสนุนใหม่สำหรับ Ubuntu Long-Term Support (LTS) โดยเพิ่มการดูแลความปลอดภัยและการบำรุงรักษาเป็น 15 ปีเต็ม ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับระบบปฏิบัติการที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในองค์กรและโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีทั่วโลก

    ก่อนหน้านี้ Ubuntu LTS มีการสนับสนุนมาตรฐาน 5 ปี และสามารถขยายได้อีก 5 ปีผ่านบริการ Expanded Security Maintenance (ESM) รวมเป็น 10 ปี แต่ในปี 2024 Canonical ได้เปิดตัว Legacy add-on ที่เพิ่มการสนับสนุนอีก 2 ปี รวมเป็น 12 ปี และล่าสุดได้ขยายเพิ่มอีก 3 ปี ทำให้รวมทั้งหมดเป็น 15 ปี

    การเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มต้นกับ Ubuntu 14.04 LTS ซึ่งจะได้รับการดูแลต่อเนื่องจนถึง เมษายน 2029 โดยองค์กรที่ต้องการใช้ Legacy add-on จะต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มขึ้น 50% จาก Ubuntu Pro ปกติ และสามารถติดต่อทีมขายของ Canonical เพื่อเปิดใช้งานได้

    นโยบายใหม่นี้สะท้อนถึงความต้องการขององค์กรที่ใช้ระบบระยะยาว เช่น ภาคการเงิน, การผลิต, และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ที่ไม่สามารถเปลี่ยนระบบได้บ่อย การสนับสนุน 15 ปีจึงช่วยลดความเสี่ยงและต้นทุนในการอัปเกรดระบบบ่อยครั้ง พร้อมสร้างความมั่นใจในเสถียรภาพของแพลตฟอร์ม

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Ubuntu LTS ได้รับการสนับสนุน 15 ปี
    5 ปีมาตรฐาน + 5 ปี ESM + 5 ปี Legacy add-on
    เริ่มใช้กับ Ubuntu 14.04 LTS และรุ่นถัดไปทั้งหมด

    รายละเอียดการใช้งาน Legacy add-on
    มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 50% จาก Ubuntu Pro
    ต้องติดต่อทีมขายหรือ Account Manager ของ Canonical

    ผลกระทบต่อองค์กร
    ลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนระบบบ่อย
    เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการเสถียรภาพระยะยาว เช่น ภาคการเงินและพลังงาน

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน
    หากไม่ต่ออายุ Legacy add-on ระบบจะหมดการสนับสนุนหลัง 10 ปี
    การละเลยการอัปเดตอาจทำให้เสี่ยงต่อช่องโหว่ความปลอดภัยในระบบที่ยังใช้งานอยู่

    https://itsfoss.com/news/ubuntu-15-year-support-commitment/
    🐧 Ubuntu LTS ได้รับการสนับสนุนยาวนานถึง 15 ปี Canonical ผู้พัฒนา Ubuntu ได้เปิดตัวการขยายระยะเวลาการสนับสนุนใหม่สำหรับ Ubuntu Long-Term Support (LTS) โดยเพิ่มการดูแลความปลอดภัยและการบำรุงรักษาเป็น 15 ปีเต็ม ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับระบบปฏิบัติการที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในองค์กรและโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีทั่วโลก ก่อนหน้านี้ Ubuntu LTS มีการสนับสนุนมาตรฐาน 5 ปี และสามารถขยายได้อีก 5 ปีผ่านบริการ Expanded Security Maintenance (ESM) รวมเป็น 10 ปี แต่ในปี 2024 Canonical ได้เปิดตัว Legacy add-on ที่เพิ่มการสนับสนุนอีก 2 ปี รวมเป็น 12 ปี และล่าสุดได้ขยายเพิ่มอีก 3 ปี ทำให้รวมทั้งหมดเป็น 15 ปี การเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มต้นกับ Ubuntu 14.04 LTS ซึ่งจะได้รับการดูแลต่อเนื่องจนถึง เมษายน 2029 โดยองค์กรที่ต้องการใช้ Legacy add-on จะต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มขึ้น 50% จาก Ubuntu Pro ปกติ และสามารถติดต่อทีมขายของ Canonical เพื่อเปิดใช้งานได้ นโยบายใหม่นี้สะท้อนถึงความต้องการขององค์กรที่ใช้ระบบระยะยาว เช่น ภาคการเงิน, การผลิต, และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ที่ไม่สามารถเปลี่ยนระบบได้บ่อย การสนับสนุน 15 ปีจึงช่วยลดความเสี่ยงและต้นทุนในการอัปเกรดระบบบ่อยครั้ง พร้อมสร้างความมั่นใจในเสถียรภาพของแพลตฟอร์ม 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Ubuntu LTS ได้รับการสนับสนุน 15 ปี ➡️ 5 ปีมาตรฐาน + 5 ปี ESM + 5 ปี Legacy add-on ➡️ เริ่มใช้กับ Ubuntu 14.04 LTS และรุ่นถัดไปทั้งหมด ✅ รายละเอียดการใช้งาน Legacy add-on ➡️ มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 50% จาก Ubuntu Pro ➡️ ต้องติดต่อทีมขายหรือ Account Manager ของ Canonical ✅ ผลกระทบต่อองค์กร ➡️ ลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนระบบบ่อย ➡️ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการเสถียรภาพระยะยาว เช่น ภาคการเงินและพลังงาน ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน ⛔ หากไม่ต่ออายุ Legacy add-on ระบบจะหมดการสนับสนุนหลัง 10 ปี ⛔ การละเลยการอัปเดตอาจทำให้เสี่ยงต่อช่องโหว่ความปลอดภัยในระบบที่ยังใช้งานอยู่ https://itsfoss.com/news/ubuntu-15-year-support-commitment/
    ITSFOSS.COM
    Ubuntu's New 15-Year Commitment Targets Long-Lived Enterprise Systems
    Legacy add-on extended to five years, starting with Ubuntu 14.04 LTS.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple ลดค่าคอมมิชชั่น App Store สำหรับ Mini Apps

    Apple ได้เปิดตัว Mini Apps Partner Program โดยลดค่าคอมมิชชั่นจากเดิม 30% เหลือเพียง 15% สำหรับนักพัฒนาที่สร้าง Mini Apps ซึ่งเป็นแอปย่อยที่ทำงานภายในแอปหลัก เช่น เกมหรือบริการเสริมที่ฝังอยู่ในแพลตฟอร์มใหญ่ การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งสำคัญของ App Store ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักพัฒนาและลดแรงกดดันจากข้อกล่าวหาว่า Apple มีพฤติกรรมผูกขาด

    เพื่อให้ได้รับสิทธิ์ค่าคอมมิชชั่นที่ลดลง นักพัฒนาต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดใหม่ เช่น รองรับการทำงานทั้ง iOS และ iPadOS, ใช้ Advanced Commerce API ของ Apple และต้องระบุ Declared Age Range API เพื่อป้องกันการเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมโดยผู้ใช้งานที่อายุน้อยกว่า

    การปรับลดค่าคอมมิชชั่นครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Apple กำลังเผชิญแรงกดดันจากหลายฝ่าย ทั้งการฟ้องร้องจาก Epic Games และการตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศ การลดค่าธรรมเนียมจึงถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อทั้งนักพัฒนาและรัฐบาลว่า Apple พร้อมปรับตัวเพื่อสร้างความโปร่งใสและแข่งขันอย่างเป็นธรรม

    ในภาพรวม การเปลี่ยนแปลงนี้อาจช่วยให้ Mini Apps เติบโตมากขึ้น และเปิดโอกาสให้นักพัฒนารายเล็กสามารถสร้างรายได้โดยไม่ถูกกดดันจากค่าธรรมเนียมสูง ขณะเดียวกัน Apple ยังคงรักษาการควบคุมระบบนิเวศของตนไว้ได้อย่างเข้มแข็ง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Apple เปิดตัว Mini Apps Partner Program
    ลดค่าคอมมิชชั่นจาก 30% เหลือ 15% สำหรับ Mini Apps
    มุ่งสร้างแรงจูงใจให้นักพัฒนาและลดแรงกดดันจากข้อกล่าวหาผูกขาด

    เงื่อนไขสำหรับนักพัฒนา
    ต้องรองรับการทำงานทั้ง iOS และ iPadOS
    ใช้ Advanced Commerce API และ Declared Age Range API

    บริบททางธุรกิจและกฎหมาย
    Apple กำลังเผชิญแรงกดดันจาก Epic Games และหน่วยงานกำกับดูแล
    การลดค่าธรรมเนียมถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อทั้งนักพัฒนาและรัฐบาล

    คำเตือนต่อผู้พัฒนา
    หากไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดใหม่ จะไม่ได้รับสิทธิ์ค่าคอมมิชชั่นที่ลดลง
    การพึ่งพา Mini Apps โดยไม่อัปเดตตามนโยบาย อาจทำให้เสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธการเผยแพร่ใน App Store

    https://securityonline.info/app-store-cuts-commission-to-15-for-mini-apps-to-expand-services/
    🍎 Apple ลดค่าคอมมิชชั่น App Store สำหรับ Mini Apps Apple ได้เปิดตัว Mini Apps Partner Program โดยลดค่าคอมมิชชั่นจากเดิม 30% เหลือเพียง 15% สำหรับนักพัฒนาที่สร้าง Mini Apps ซึ่งเป็นแอปย่อยที่ทำงานภายในแอปหลัก เช่น เกมหรือบริการเสริมที่ฝังอยู่ในแพลตฟอร์มใหญ่ การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งสำคัญของ App Store ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักพัฒนาและลดแรงกดดันจากข้อกล่าวหาว่า Apple มีพฤติกรรมผูกขาด เพื่อให้ได้รับสิทธิ์ค่าคอมมิชชั่นที่ลดลง นักพัฒนาต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดใหม่ เช่น รองรับการทำงานทั้ง iOS และ iPadOS, ใช้ Advanced Commerce API ของ Apple และต้องระบุ Declared Age Range API เพื่อป้องกันการเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมโดยผู้ใช้งานที่อายุน้อยกว่า การปรับลดค่าคอมมิชชั่นครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Apple กำลังเผชิญแรงกดดันจากหลายฝ่าย ทั้งการฟ้องร้องจาก Epic Games และการตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศ การลดค่าธรรมเนียมจึงถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อทั้งนักพัฒนาและรัฐบาลว่า Apple พร้อมปรับตัวเพื่อสร้างความโปร่งใสและแข่งขันอย่างเป็นธรรม ในภาพรวม การเปลี่ยนแปลงนี้อาจช่วยให้ Mini Apps เติบโตมากขึ้น และเปิดโอกาสให้นักพัฒนารายเล็กสามารถสร้างรายได้โดยไม่ถูกกดดันจากค่าธรรมเนียมสูง ขณะเดียวกัน Apple ยังคงรักษาการควบคุมระบบนิเวศของตนไว้ได้อย่างเข้มแข็ง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Apple เปิดตัว Mini Apps Partner Program ➡️ ลดค่าคอมมิชชั่นจาก 30% เหลือ 15% สำหรับ Mini Apps ➡️ มุ่งสร้างแรงจูงใจให้นักพัฒนาและลดแรงกดดันจากข้อกล่าวหาผูกขาด ✅ เงื่อนไขสำหรับนักพัฒนา ➡️ ต้องรองรับการทำงานทั้ง iOS และ iPadOS ➡️ ใช้ Advanced Commerce API และ Declared Age Range API ✅ บริบททางธุรกิจและกฎหมาย ➡️ Apple กำลังเผชิญแรงกดดันจาก Epic Games และหน่วยงานกำกับดูแล ➡️ การลดค่าธรรมเนียมถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อทั้งนักพัฒนาและรัฐบาล ‼️ คำเตือนต่อผู้พัฒนา ⛔ หากไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดใหม่ จะไม่ได้รับสิทธิ์ค่าคอมมิชชั่นที่ลดลง ⛔ การพึ่งพา Mini Apps โดยไม่อัปเดตตามนโยบาย อาจทำให้เสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธการเผยแพร่ใน App Store https://securityonline.info/app-store-cuts-commission-to-15-for-mini-apps-to-expand-services/
    SECURITYONLINE.INFO
    App Store Cuts Commission to 15% for Mini Apps to Expand Services
    Apple launched the Mini Apps Partner Program, cutting the App Store commission fee in half—from 30% to 15%—for eligible developers of self-contained web-based services.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • สตาร์ทอัพจีนชื่อ INF Tech สามารถเข้าถึง GPU รุ่นใหม่ของ Nvidia (Blackwell) จำนวนกว่า 2,300 ตัว

    แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะสั่งห้ามขาย GPU รุ่น Blackwell ให้จีน แต่ INF Tech ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพจากเซี่ยงไฮ้ กลับหาทางเข้าถึงได้ผ่านการเช่าซื้อจากบริษัทอินโดนีเซียชื่อ Indosat Ooredoo Hutchison ที่เพิ่งซื้อเซิร์ฟเวอร์ Nvidia GB200 จำนวน 32 แร็ค (รวมกว่า 2,300 GPU) จากพันธมิตร Nvidia ในสหรัฐฯ

    โครงสร้างการเชื่อมโยงที่ซับซ้อน
    เส้นทางการซื้อขายเริ่มจากบริษัท Aivres ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรของ Nvidia ที่จัดหาเซิร์ฟเวอร์ให้ Indosat โดยมีข่าวลือว่า Aivres อาจมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำ แต่เนื่องจากเป็นบริษัทในสหรัฐฯ จึงไม่ถูกจำกัดการส่งออกโดยตรง ทำให้สามารถขายต่อไปยังอินโดนีเซียได้อย่างถูกกฎหมาย

    ความกังวลด้านความมั่นคง
    แม้ INF Tech จะยืนยันว่าไม่ได้ทำงานด้านการทหาร แต่หลายฝ่ายกังวลว่าบริษัทจีนสามารถถูกบังคับให้ร่วมมือกับรัฐบาลกลางในอนาคต การเข้าถึง GPU ระดับสูงเช่นนี้อาจทำให้จีนมีศักยภาพด้าน AI ที่ทัดเทียมกับสหรัฐฯ และพันธมิตร

    มุมมองจากนโยบายสหรัฐฯ
    ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นเพราะสหรัฐฯ ยังไม่บังคับใช้กฎควบคุมการแพร่กระจาย AI (AI Diffusion Rule) ที่รัฐบาลก่อนหน้านี้เสนอไว้ Nvidia เองก็สนับสนุนการผ่อนปรนข้อจำกัด โดยให้เหตุผลว่าการเปิดตลาดจะช่วยรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    INF Tech เข้าถึง GPU Blackwell กว่า 2,300 ตัว
    ผ่านการเช่าซื้อจาก Indosat อินโดนีเซีย

    เส้นทางการซื้อขายผ่าน Aivres สหรัฐฯ
    บริษัทพันธมิตร Nvidia ที่ไม่ถูกจำกัดการส่งออก

    Nvidia สนับสนุนการผ่อนปรนข้อจำกัด
    เชื่อว่าการเปิดตลาดช่วยรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI

    ความเสี่ยงด้านความมั่นคง
    บริษัทจีนอาจถูกบังคับให้ร่วมมือกับรัฐบาลกลางในอนาคต

    ช่องโหว่ด้านกฎหมายการส่งออก
    ทำให้จีนยังสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีแม้ถูกห้ามโดยตรง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinese-ai-startup-gets-access-to-2-300-banned-blackwell-gpus-by-exploiting-cloud-loophole-rents-compute-from-indonesian-firm-with-32-nvidia-gb200-server-racks
    🌏 สตาร์ทอัพจีนชื่อ INF Tech สามารถเข้าถึง GPU รุ่นใหม่ของ Nvidia (Blackwell) จำนวนกว่า 2,300 ตัว แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะสั่งห้ามขาย GPU รุ่น Blackwell ให้จีน แต่ INF Tech ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพจากเซี่ยงไฮ้ กลับหาทางเข้าถึงได้ผ่านการเช่าซื้อจากบริษัทอินโดนีเซียชื่อ Indosat Ooredoo Hutchison ที่เพิ่งซื้อเซิร์ฟเวอร์ Nvidia GB200 จำนวน 32 แร็ค (รวมกว่า 2,300 GPU) จากพันธมิตร Nvidia ในสหรัฐฯ ⚙️ โครงสร้างการเชื่อมโยงที่ซับซ้อน เส้นทางการซื้อขายเริ่มจากบริษัท Aivres ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรของ Nvidia ที่จัดหาเซิร์ฟเวอร์ให้ Indosat โดยมีข่าวลือว่า Aivres อาจมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำ แต่เนื่องจากเป็นบริษัทในสหรัฐฯ จึงไม่ถูกจำกัดการส่งออกโดยตรง ทำให้สามารถขายต่อไปยังอินโดนีเซียได้อย่างถูกกฎหมาย 🔒 ความกังวลด้านความมั่นคง แม้ INF Tech จะยืนยันว่าไม่ได้ทำงานด้านการทหาร แต่หลายฝ่ายกังวลว่าบริษัทจีนสามารถถูกบังคับให้ร่วมมือกับรัฐบาลกลางในอนาคต การเข้าถึง GPU ระดับสูงเช่นนี้อาจทำให้จีนมีศักยภาพด้าน AI ที่ทัดเทียมกับสหรัฐฯ และพันธมิตร 🏛️ มุมมองจากนโยบายสหรัฐฯ ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นเพราะสหรัฐฯ ยังไม่บังคับใช้กฎควบคุมการแพร่กระจาย AI (AI Diffusion Rule) ที่รัฐบาลก่อนหน้านี้เสนอไว้ Nvidia เองก็สนับสนุนการผ่อนปรนข้อจำกัด โดยให้เหตุผลว่าการเปิดตลาดจะช่วยรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ INF Tech เข้าถึง GPU Blackwell กว่า 2,300 ตัว ➡️ ผ่านการเช่าซื้อจาก Indosat อินโดนีเซีย ✅ เส้นทางการซื้อขายผ่าน Aivres สหรัฐฯ ➡️ บริษัทพันธมิตร Nvidia ที่ไม่ถูกจำกัดการส่งออก ✅ Nvidia สนับสนุนการผ่อนปรนข้อจำกัด ➡️ เชื่อว่าการเปิดตลาดช่วยรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI ‼️ ความเสี่ยงด้านความมั่นคง ⛔ บริษัทจีนอาจถูกบังคับให้ร่วมมือกับรัฐบาลกลางในอนาคต ‼️ ช่องโหว่ด้านกฎหมายการส่งออก ⛔ ทำให้จีนยังสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีแม้ถูกห้ามโดยตรง https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinese-ai-startup-gets-access-to-2-300-banned-blackwell-gpus-by-exploiting-cloud-loophole-rents-compute-from-indonesian-firm-with-32-nvidia-gb200-server-racks
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Chinese AI startup gets access to 2,300 banned Blackwell GPUs by exploiting cloud loophole — rents compute from Indonesian firm with 32 Nvidia GB200 server racks
    The company isn't listed in the U.S. Entity List, but some are concerned that blacklisted companies might use this route to gain access to the latest Nvidia hardware.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวฮาร์ดแวร์เดือด: เมนบอร์ด X870 ทำ CPU พองไหม้

    ASRock X870 Riptide กลายเป็นกระแสร้อน เมื่อมีผู้ใช้รายงานภาพ Ryzen 7 7800X3D พองบวมและซ็อกเก็ตไหม้ โดยใช้ BIOS เวอร์ชันเก่ากว่าหนึ่งปี (3.06) ซึ่งไม่มีแพตช์ลดความเสี่ยง ชี้ให้เห็นว่าการไม่อัปเดตเฟิร์มแวร์อาจเพิ่มโอกาสเกิดเหตุรุนแรง แม้อัปเดตใหม่จะไม่ได้การันตีความปลอดภัย 100% แต่ทั้ง AMD และ ASRock ต่างแนะนำให้ใช้ BIOS ล่าสุด (เช่น 3.40–3.50) เพื่อปรับเสถียรภาพและตั้งค่า PBO ให้ปลอดภัยขึ้น.

    เคสคล้ายกันเคยเกิดกับ Ryzen 9800X3D บนเมนบอร์ด ASRock X870E ที่ไหม้ทั้ง CPU และซ็อกเก็ตในสภาพค่าโรงงาน เปิดแค่ EXPO ซึ่งสร้างข้อสงสัยถึงสาเหตุจริง บางรายอัปเดต BIOS ใหม่ (เช่น 3.18) แล้วไม่มีปัญหา อย่างไรก็ดี ยังมีเสียงเตือนว่าเป็นปัญหาเฉพาะบางล็อตหรือบางคอนฟิก และชุมชนยังถกเถียงว่ากรณีเดี่ยวไม่ควรตัดสินทั้งแพลตฟอร์ม.

    อีกด้านหนึ่ง มีผู้ใช้รายงานอาการ “ถูกล็อกกำลัง” ที่ 75W บน ASRock หลายรุ่น ทำให้เฟรมเรตตก ทั้งที่ไม่ได้เปิด Eco mode หรือจำกัด TDP สาเหตุถูกตั้งข้อสังเกตตั้งแต่การต่อ EPS 4-pin เดียว ไปจนถึงบั๊กเฟิร์มแวร์ที่กด PBO/แพลตฟอร์มสายจ่ายพลังงาน แม้แก้ด้วยอัปเดต BIOS และเคลียร์ CMOS ก็ยังติดเพดาน 75W ในบางเครื่อง แสดงให้เห็นว่าปัญหาอาจหลากปัจจัยและเฉพาะรุ่น.

    ข่าวดีคือ ASRock (เกาหลี) ออก BIOS 3.25 (AGESA 1.2.0.3d) ที่ระบุชัดว่า “รับผิดชอบ” กรณีเกิดความเสียหายจากปัญหานี้ พร้อมปรับปรุงเสถียรภาพและ PBO สำหรับ Ryzen 9000 แม้มีข่าวว่าประสิทธิภาพเกมและการกินไฟอาจลดลงเล็กน้อย แต่เป้าหมายคือความปลอดภัย และสัญญาว่าจะช่วยดูแล RMA ทั้ง CPU และเมนบอร์ดที่จัดจำหน่ายผ่านผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการ.

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ภาพรวมเหตุการณ์: ผู้ใช้รายงาน 7800X3D พองและซ็อกเก็ตไหม้บน ASRock X870 Riptide
    เฟิร์มแวร์เก่า: ใช้ BIOS 3.06 ไม่มีแพตช์ลดความเสี่ยง ทำให้โอกาสเกิดเหตุสูงขึ้น

    เคส 9800X3D: เกิดความเสียหายภายใต้ค่าโรงงาน เปิดเพียง EXPO
    บทเรียน: บางรายอัปเดต BIOS ใหม่แล้วทำงานปกติ แต่ยังถกเถียงสาเหตุที่แท้จริง

    อาการ 75W cap: หลายเครื่องบน ASRock ติดเพดาน “Package Power” ที่ 75W
    ข้อสังเกต: อาจเกี่ยวกับการต่อ EPS หรือบั๊กที่กด PBO/นโยบายพลังงานใน BIOS

    การแก้ไข: ASRock ปล่อย BIOS 3.25 ปรับ PBO และประกาศรับผิดชอบ RMA
    ผลข้างเคียง: ประสิทธิภาพเกม/การกินไฟอาจลดลงเล็กน้อย เพื่อแลกความปลอดภัย

    คำเตือนสำคัญ: ไม่อัปเดต BIOS เสี่ยงต่อการไหม้และความเสียหายถาวร
    หลีกเลี่ยง: ใช้โปรไฟล์ OC/PBO รุนแรงโดยไม่ตรวจเสถียรภาพและอุณหภูมิ

    การต่อไฟผิด: ต่อ EPS 4-pin เดียวอาจทำให้ระบบกดกำลังและไม่เสถียร
    ตรวจสอบ: สาย EPS 8-pin/8+4-pin ต่อครบแน่นทุกหัว ไม่ใช้โหมด Eco ของ PSU โดยไม่ได้ตั้งใจ

    การตั้งค่าแรม: เปิด EXPO/XMP โดยไม่ผ่าน stress test อาจเพิ่มความเสี่ยง
    แนวทาง: ทดสอบเสถียรภาพ (TM5/HCI/OCCT) และเฝ้าค่ากระแส-อุณหภูมิ VRM/SoC เป็นระยะ

    https://wccftech.com/asrock-x870-riptide-pops-ryzen-7800x3d-and-burns-socket-horribly/
    🔥 ข่าวฮาร์ดแวร์เดือด: เมนบอร์ด X870 ทำ CPU พองไหม้ 🔥 ASRock X870 Riptide กลายเป็นกระแสร้อน เมื่อมีผู้ใช้รายงานภาพ Ryzen 7 7800X3D พองบวมและซ็อกเก็ตไหม้ โดยใช้ BIOS เวอร์ชันเก่ากว่าหนึ่งปี (3.06) ซึ่งไม่มีแพตช์ลดความเสี่ยง ชี้ให้เห็นว่าการไม่อัปเดตเฟิร์มแวร์อาจเพิ่มโอกาสเกิดเหตุรุนแรง แม้อัปเดตใหม่จะไม่ได้การันตีความปลอดภัย 100% แต่ทั้ง AMD และ ASRock ต่างแนะนำให้ใช้ BIOS ล่าสุด (เช่น 3.40–3.50) เพื่อปรับเสถียรภาพและตั้งค่า PBO ให้ปลอดภัยขึ้น. เคสคล้ายกันเคยเกิดกับ Ryzen 9800X3D บนเมนบอร์ด ASRock X870E ที่ไหม้ทั้ง CPU และซ็อกเก็ตในสภาพค่าโรงงาน เปิดแค่ EXPO ซึ่งสร้างข้อสงสัยถึงสาเหตุจริง บางรายอัปเดต BIOS ใหม่ (เช่น 3.18) แล้วไม่มีปัญหา อย่างไรก็ดี ยังมีเสียงเตือนว่าเป็นปัญหาเฉพาะบางล็อตหรือบางคอนฟิก และชุมชนยังถกเถียงว่ากรณีเดี่ยวไม่ควรตัดสินทั้งแพลตฟอร์ม. อีกด้านหนึ่ง มีผู้ใช้รายงานอาการ “ถูกล็อกกำลัง” ที่ 75W บน ASRock หลายรุ่น ทำให้เฟรมเรตตก ทั้งที่ไม่ได้เปิด Eco mode หรือจำกัด TDP สาเหตุถูกตั้งข้อสังเกตตั้งแต่การต่อ EPS 4-pin เดียว ไปจนถึงบั๊กเฟิร์มแวร์ที่กด PBO/แพลตฟอร์มสายจ่ายพลังงาน แม้แก้ด้วยอัปเดต BIOS และเคลียร์ CMOS ก็ยังติดเพดาน 75W ในบางเครื่อง แสดงให้เห็นว่าปัญหาอาจหลากปัจจัยและเฉพาะรุ่น. ข่าวดีคือ ASRock (เกาหลี) ออก BIOS 3.25 (AGESA 1.2.0.3d) ที่ระบุชัดว่า “รับผิดชอบ” กรณีเกิดความเสียหายจากปัญหานี้ พร้อมปรับปรุงเสถียรภาพและ PBO สำหรับ Ryzen 9000 แม้มีข่าวว่าประสิทธิภาพเกมและการกินไฟอาจลดลงเล็กน้อย แต่เป้าหมายคือความปลอดภัย และสัญญาว่าจะช่วยดูแล RMA ทั้ง CPU และเมนบอร์ดที่จัดจำหน่ายผ่านผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการ. 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ภาพรวมเหตุการณ์: ผู้ใช้รายงาน 7800X3D พองและซ็อกเก็ตไหม้บน ASRock X870 Riptide ➡️ เฟิร์มแวร์เก่า: ใช้ BIOS 3.06 ไม่มีแพตช์ลดความเสี่ยง ทำให้โอกาสเกิดเหตุสูงขึ้น ✅ เคส 9800X3D: เกิดความเสียหายภายใต้ค่าโรงงาน เปิดเพียง EXPO ➡️ บทเรียน: บางรายอัปเดต BIOS ใหม่แล้วทำงานปกติ แต่ยังถกเถียงสาเหตุที่แท้จริง ✅ อาการ 75W cap: หลายเครื่องบน ASRock ติดเพดาน “Package Power” ที่ 75W ➡️ ข้อสังเกต: อาจเกี่ยวกับการต่อ EPS หรือบั๊กที่กด PBO/นโยบายพลังงานใน BIOS ✅ การแก้ไข: ASRock ปล่อย BIOS 3.25 ปรับ PBO และประกาศรับผิดชอบ RMA ➡️ ผลข้างเคียง: ประสิทธิภาพเกม/การกินไฟอาจลดลงเล็กน้อย เพื่อแลกความปลอดภัย ‼️ คำเตือนสำคัญ: ไม่อัปเดต BIOS เสี่ยงต่อการไหม้และความเสียหายถาวร ⛔ หลีกเลี่ยง: ใช้โปรไฟล์ OC/PBO รุนแรงโดยไม่ตรวจเสถียรภาพและอุณหภูมิ ‼️ การต่อไฟผิด: ต่อ EPS 4-pin เดียวอาจทำให้ระบบกดกำลังและไม่เสถียร ⛔ ตรวจสอบ: สาย EPS 8-pin/8+4-pin ต่อครบแน่นทุกหัว ไม่ใช้โหมด Eco ของ PSU โดยไม่ได้ตั้งใจ ‼️ การตั้งค่าแรม: เปิด EXPO/XMP โดยไม่ผ่าน stress test อาจเพิ่มความเสี่ยง ⛔ แนวทาง: ทดสอบเสถียรภาพ (TM5/HCI/OCCT) และเฝ้าค่ากระแส-อุณหภูมิ VRM/SoC เป็นระยะ https://wccftech.com/asrock-x870-riptide-pops-ryzen-7800x3d-and-burns-socket-horribly/
    WCCFTECH.COM
    ASRock X870 Riptide Pops Ryzen 7800X3D And Burns Socket Horribly
    Another burnt Ryzen 7000 CPU surfaces: The user witnessed a horribly damaged Ryzen 7 7800X3D on ASRock X870 Riptide.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ PAN-OS (CVE-2025-4619) เสี่ยงรีบูต Firewall ด้วยแพ็กเก็ตเดียว

    Palo Alto Networks ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ CVE-2025-4619 ซึ่งเป็น Denial-of-Service (DoS) บนระบบปฏิบัติการ PAN-OS ที่ใช้ใน Firewall หลายรุ่น (PA-Series, VM-Series และ Prisma Access) โดยผู้โจมตีสามารถส่ง แพ็กเก็ตที่ถูกสร้างขึ้นมาเฉพาะ ผ่าน dataplane เพื่อทำให้ Firewall รีบูตได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีการยืนยันตัวตนใด ๆ

    ความรุนแรงและผลกระทบ
    แม้ช่องโหว่นี้จะถูกจัดระดับ CVSS 6.6 (Medium Severity) แต่หากผู้โจมตีส่งแพ็กเก็ตซ้ำ ๆ จะทำให้ Firewall เข้าสู่ Maintenance Mode ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการทำงาน เช่น การหยุดการไหลของทราฟฟิก การสูญเสียการบังคับใช้นโยบายความปลอดภัย และอาจต้องใช้การกู้คืนด้วยมือ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงสูงสำหรับองค์กรที่พึ่งพา Firewall ในการป้องกันภัยคุกคาม

    เงื่อนไขการโจมตี
    ช่องโหว่นี้จะเกิดขึ้นเฉพาะ Firewall ที่มีการตั้งค่า URL Proxy หรือ Decrypt Policy ไม่ว่าจะเป็น explicit decrypt, explicit no-decrypt หรือการตั้งค่าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการถอดรหัสทราฟฟิก หากไม่มีการตั้งค่าเหล่านี้ ระบบจะไม่ถูกโจมตี

    แนวทางแก้ไข
    Palo Alto Networks ได้ออก Hotfix และ Maintenance Release สำหรับ PAN-OS เวอร์ชัน 11.2, 11.1 และ 10.2 รวมถึง Prisma Access โดยแนะนำให้องค์กรรีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันความเสี่ยง ขณะที่ Cloud NGFW และ PAN-OS 12.1 ไม่ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่นี้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-4619
    เป็น DoS ที่ทำให้ Firewall รีบูตด้วยแพ็กเก็ตเดียว
    ไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนในการโจมตี

    ผลกระทบต่อระบบ
    Firewall อาจเข้าสู่ Maintenance Mode หากถูกโจมตีซ้ำ
    ส่งผลให้ทราฟฟิกหยุดชะงักและต้องกู้คืนด้วยมือ

    เงื่อนไขการโจมตี
    เกิดขึ้นเฉพาะ Firewall ที่ตั้งค่า URL Proxy หรือ Decrypt Policy
    Cloud NGFW และ PAN-OS 12.1 ไม่ได้รับผลกระทบ

    แนวทางแก้ไข
    อัปเดตเป็น Hotfix หรือ Maintenance Release ที่ Palo Alto Networks แนะนำ
    ตรวจสอบการตั้งค่า Decrypt Policy เพื่อลดความเสี่ยง

    คำเตือนสำหรับองค์กร
    หากไม่อัปเดต Firewall อาจถูกโจมตีจนระบบหยุดทำงาน
    การโจมตีซ้ำ ๆ สามารถทำให้ระบบเข้าสู่ Maintenance Mode และหยุดการป้องกันภัย

    https://securityonline.info/pan-os-flaw-cve-2025-4619-allows-unauthenticated-firewall-reboot-via-single-crafted-packet/
    🔥 ช่องโหว่ PAN-OS (CVE-2025-4619) เสี่ยงรีบูต Firewall ด้วยแพ็กเก็ตเดียว Palo Alto Networks ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ CVE-2025-4619 ซึ่งเป็น Denial-of-Service (DoS) บนระบบปฏิบัติการ PAN-OS ที่ใช้ใน Firewall หลายรุ่น (PA-Series, VM-Series และ Prisma Access) โดยผู้โจมตีสามารถส่ง แพ็กเก็ตที่ถูกสร้างขึ้นมาเฉพาะ ผ่าน dataplane เพื่อทำให้ Firewall รีบูตได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีการยืนยันตัวตนใด ๆ ⚠️ ความรุนแรงและผลกระทบ แม้ช่องโหว่นี้จะถูกจัดระดับ CVSS 6.6 (Medium Severity) แต่หากผู้โจมตีส่งแพ็กเก็ตซ้ำ ๆ จะทำให้ Firewall เข้าสู่ Maintenance Mode ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการทำงาน เช่น การหยุดการไหลของทราฟฟิก การสูญเสียการบังคับใช้นโยบายความปลอดภัย และอาจต้องใช้การกู้คืนด้วยมือ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงสูงสำหรับองค์กรที่พึ่งพา Firewall ในการป้องกันภัยคุกคาม 🔧 เงื่อนไขการโจมตี ช่องโหว่นี้จะเกิดขึ้นเฉพาะ Firewall ที่มีการตั้งค่า URL Proxy หรือ Decrypt Policy ไม่ว่าจะเป็น explicit decrypt, explicit no-decrypt หรือการตั้งค่าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการถอดรหัสทราฟฟิก หากไม่มีการตั้งค่าเหล่านี้ ระบบจะไม่ถูกโจมตี 🛠️ แนวทางแก้ไข Palo Alto Networks ได้ออก Hotfix และ Maintenance Release สำหรับ PAN-OS เวอร์ชัน 11.2, 11.1 และ 10.2 รวมถึง Prisma Access โดยแนะนำให้องค์กรรีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันความเสี่ยง ขณะที่ Cloud NGFW และ PAN-OS 12.1 ไม่ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่นี้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-4619 ➡️ เป็น DoS ที่ทำให้ Firewall รีบูตด้วยแพ็กเก็ตเดียว ➡️ ไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนในการโจมตี ✅ ผลกระทบต่อระบบ ➡️ Firewall อาจเข้าสู่ Maintenance Mode หากถูกโจมตีซ้ำ ➡️ ส่งผลให้ทราฟฟิกหยุดชะงักและต้องกู้คืนด้วยมือ ✅ เงื่อนไขการโจมตี ➡️ เกิดขึ้นเฉพาะ Firewall ที่ตั้งค่า URL Proxy หรือ Decrypt Policy ➡️ Cloud NGFW และ PAN-OS 12.1 ไม่ได้รับผลกระทบ ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ อัปเดตเป็น Hotfix หรือ Maintenance Release ที่ Palo Alto Networks แนะนำ ➡️ ตรวจสอบการตั้งค่า Decrypt Policy เพื่อลดความเสี่ยง ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กร ⛔ หากไม่อัปเดต Firewall อาจถูกโจมตีจนระบบหยุดทำงาน ⛔ การโจมตีซ้ำ ๆ สามารถทำให้ระบบเข้าสู่ Maintenance Mode และหยุดการป้องกันภัย https://securityonline.info/pan-os-flaw-cve-2025-4619-allows-unauthenticated-firewall-reboot-via-single-crafted-packet/
    SECURITYONLINE.INFO
    PAN-OS Flaw (CVE-2025-4619) Allows Unauthenticated Firewall Reboot via Single Crafted Packet
    Palo Alto patched a DoS flaw (CVE-2025-4619) in PAN-OS. An unauthenticated attacker can remotely reboot the firewall if URL proxy or decryption policies are enabled.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวเด่น: Google เตรียมตรวจสอบการ Sideload แอป Android พร้อมช่องทางพิเศษสำหรับ Power Users

    Google ประกาศนโยบายใหม่ที่จะบังคับให้แอปที่ติดตั้งนอก Play Store ต้องผ่านการตรวจสอบตัวตนและการเซ็นโค้ดก่อน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของแอปที่เป็นอันตราย โดยมีการเตรียม “ช่องทางพิเศษ” สำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ระดับสูงที่ยังต้องการติดตั้งแอปโดยไม่ผ่านการตรวจสอบเต็มรูปแบบ

    นโยบายนี้สร้างเสียงวิจารณ์อย่างมาก เนื่องจากอาจกระทบต่อความเปิดกว้างของระบบ Android ที่เคยเป็นจุดแข็ง แต่ Google ยืนยันว่ามาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการหลอกลวงและการโจมตีทางไซเบอร์ที่กำลังแพร่หลาย โดยเฉพาะในภูมิภาคที่ผู้ใช้ใหม่จำนวนมากเพิ่งเข้าถึงโลกดิจิทัล

    นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยว่า Google จะจัดทำบัญชีพิเศษสำหรับนักเรียนและผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการทดลอง เพื่อให้สามารถแจกจ่ายแอปได้ในวงจำกัดโดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบเต็มรูปแบบ

    สาระเพิ่มเติมจาก Internet
    แนวโน้มการควบคุมการ sideload แอปกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก เช่น Apple ก็มีมาตรการเข้มงวดกับการติดตั้งแอปนอก App Store
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่าการบังคับตรวจสอบอาจช่วยลดการโจมตีแบบ phishing และ malware ได้ แต่ก็อาจทำให้ผู้ใช้สูญเสียเสรีภาพในการเลือกใช้แอป
    มีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมแอปพลิเคชันอิสระ (indie apps) อาจได้รับผลกระทบหนัก เพราะต้นทุนการตรวจสอบและการยืนยันตัวตนสูงขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ
    นโยบายใหม่ของ Google เกี่ยวกับการ sideload แอป Android
    ต้องมีการตรวจสอบตัวตนและการเซ็นโค้ดก่อนติดตั้ง
    มีช่องทางพิเศษสำหรับนักพัฒนาและ Power Users

    บัญชีพิเศษสำหรับนักเรียนและผู้ใช้ทั่วไป
    สามารถแจกจ่ายแอปได้ในวงจำกัดโดยไม่ต้องตรวจสอบเต็มรูปแบบ

    เป้าหมายหลักของนโยบาย
    ลดการแพร่กระจายของแอปที่เป็นอันตราย
    ป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์และการหลอกลวง

    คำเตือนจากนักวิจัยด้านความปลอดภัย
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจสูญเสียเสรีภาพในการติดตั้งแอปจากแหล่งใดก็ได้
    อุตสาหกรรมแอปอิสระอาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนการตรวจสอบที่สูงขึ้น

    https://securityonline.info/android-sideloading-crackdown-google-to-verify-all-apps-but-promises-power-user-bypass/
    🛡️ ข่าวเด่น: Google เตรียมตรวจสอบการ Sideload แอป Android พร้อมช่องทางพิเศษสำหรับ Power Users Google ประกาศนโยบายใหม่ที่จะบังคับให้แอปที่ติดตั้งนอก Play Store ต้องผ่านการตรวจสอบตัวตนและการเซ็นโค้ดก่อน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของแอปที่เป็นอันตราย โดยมีการเตรียม “ช่องทางพิเศษ” สำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ระดับสูงที่ยังต้องการติดตั้งแอปโดยไม่ผ่านการตรวจสอบเต็มรูปแบบ นโยบายนี้สร้างเสียงวิจารณ์อย่างมาก เนื่องจากอาจกระทบต่อความเปิดกว้างของระบบ Android ที่เคยเป็นจุดแข็ง แต่ Google ยืนยันว่ามาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการหลอกลวงและการโจมตีทางไซเบอร์ที่กำลังแพร่หลาย โดยเฉพาะในภูมิภาคที่ผู้ใช้ใหม่จำนวนมากเพิ่งเข้าถึงโลกดิจิทัล นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยว่า Google จะจัดทำบัญชีพิเศษสำหรับนักเรียนและผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการทดลอง เพื่อให้สามารถแจกจ่ายแอปได้ในวงจำกัดโดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบเต็มรูปแบบ 🔎 สาระเพิ่มเติมจาก Internet 🔰 แนวโน้มการควบคุมการ sideload แอปกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก เช่น Apple ก็มีมาตรการเข้มงวดกับการติดตั้งแอปนอก App Store 🔰 นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่าการบังคับตรวจสอบอาจช่วยลดการโจมตีแบบ phishing และ malware ได้ แต่ก็อาจทำให้ผู้ใช้สูญเสียเสรีภาพในการเลือกใช้แอป 🔰 มีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมแอปพลิเคชันอิสระ (indie apps) อาจได้รับผลกระทบหนัก เพราะต้นทุนการตรวจสอบและการยืนยันตัวตนสูงขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ นโยบายใหม่ของ Google เกี่ยวกับการ sideload แอป Android ➡️ ต้องมีการตรวจสอบตัวตนและการเซ็นโค้ดก่อนติดตั้ง ➡️ มีช่องทางพิเศษสำหรับนักพัฒนาและ Power Users ✅ บัญชีพิเศษสำหรับนักเรียนและผู้ใช้ทั่วไป ➡️ สามารถแจกจ่ายแอปได้ในวงจำกัดโดยไม่ต้องตรวจสอบเต็มรูปแบบ ✅ เป้าหมายหลักของนโยบาย ➡️ ลดการแพร่กระจายของแอปที่เป็นอันตราย ➡️ ป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์และการหลอกลวง ‼️ คำเตือนจากนักวิจัยด้านความปลอดภัย ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจสูญเสียเสรีภาพในการติดตั้งแอปจากแหล่งใดก็ได้ ⛔ อุตสาหกรรมแอปอิสระอาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนการตรวจสอบที่สูงขึ้น https://securityonline.info/android-sideloading-crackdown-google-to-verify-all-apps-but-promises-power-user-bypass/
    SECURITYONLINE.INFO
    Android Sideloading Crackdown: Google to Verify All Apps, But Promises Power-User Bypass
    Google will soon require all sideloaded Android apps to pass verification and code signing to combat fraud. However, the company is developing an "advanced process" for power users to bypass this.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิกฤต IPO ต้องแก้นโยบายรับหุ้นใหม่ (13/11/68) #news1 #คุยคุ้ยหุ้น #วิกฤตIPO #หุ้น
    วิกฤต IPO ต้องแก้นโยบายรับหุ้นใหม่ (13/11/68) #news1 #คุยคุ้ยหุ้น #วิกฤตIPO #หุ้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Homelab Starter Pack: 5 เครื่องมือสำหรับการ Self-hosting

    การสร้าง Homelab กลายเป็นกระแสที่ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลและบริการของตัวเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพา cloud สาธารณะ บทความนี้แนะนำ 5 เครื่องมือที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น ได้แก่ Jellyfin, Kavita, Nextcloud, Immich และ Navidrome ซึ่งเปรียบเสมือน Netflix, Kindle, Google Drive, Google Photos และ Spotify เวอร์ชันส่วนตัว

    การเริ่มต้นไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องใหม่ เพียงแค่คอมเก่าหรือ Raspberry Pi ก็สามารถทำได้ โดยแนะนำให้ใช้ Debian server หรือ YunoHost เพื่อความง่ายในการติดตั้ง จุดสำคัญคือการเริ่มจากหนึ่งบริการก่อน แล้วค่อยเพิ่มทีละขั้น เพื่อไม่ให้ซับซ้อนเกินไป

    สิ่งที่น่าสนใจคือการ self-hosting ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเทคนิค แต่ยังเป็นการสร้างความเป็นเจ้าของข้อมูลจริง ๆ เช่น การเก็บรูปภาพ เพลง หนังสือ และไฟล์งาน โดยไม่ต้องกังวลว่าบริการ cloud จะปิดหรือเปลี่ยนนโยบาย

    Homelab Starter Pack มี 5 เครื่องมือหลัก
    Jellyfin, Kavita, Nextcloud, Immich, Navidrome

    ใช้คอมเก่าหรือ Raspberry Pi ก็ทำได้
    แนะนำ Debian หรือ YunoHost

    ต้องจัดการระบบเองทั้งหมด
    หากไม่สำรองข้อมูล อาจเสี่ยงสูญหาย

    https://itsfoss.com/self-hosting-starting-projects/
    🏠 Homelab Starter Pack: 5 เครื่องมือสำหรับการ Self-hosting การสร้าง Homelab กลายเป็นกระแสที่ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลและบริการของตัวเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพา cloud สาธารณะ บทความนี้แนะนำ 5 เครื่องมือที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น ได้แก่ Jellyfin, Kavita, Nextcloud, Immich และ Navidrome ซึ่งเปรียบเสมือน Netflix, Kindle, Google Drive, Google Photos และ Spotify เวอร์ชันส่วนตัว การเริ่มต้นไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องใหม่ เพียงแค่คอมเก่าหรือ Raspberry Pi ก็สามารถทำได้ โดยแนะนำให้ใช้ Debian server หรือ YunoHost เพื่อความง่ายในการติดตั้ง จุดสำคัญคือการเริ่มจากหนึ่งบริการก่อน แล้วค่อยเพิ่มทีละขั้น เพื่อไม่ให้ซับซ้อนเกินไป สิ่งที่น่าสนใจคือการ self-hosting ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเทคนิค แต่ยังเป็นการสร้างความเป็นเจ้าของข้อมูลจริง ๆ เช่น การเก็บรูปภาพ เพลง หนังสือ และไฟล์งาน โดยไม่ต้องกังวลว่าบริการ cloud จะปิดหรือเปลี่ยนนโยบาย ✅ Homelab Starter Pack มี 5 เครื่องมือหลัก ➡️ Jellyfin, Kavita, Nextcloud, Immich, Navidrome ✅ ใช้คอมเก่าหรือ Raspberry Pi ก็ทำได้ ➡️ แนะนำ Debian หรือ YunoHost ‼️ ต้องจัดการระบบเองทั้งหมด ⛔ หากไม่สำรองข้อมูล อาจเสี่ยงสูญหาย https://itsfoss.com/self-hosting-starting-projects/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลุม ตอนที่ 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หลุม”

    ตอน 3

    คุณช๊อกโกแลต ไปได้ยาโด๊ปมาจากไหนไม่ทราบแน่ แต่ต้องถอยหลังไปเล่าบางเรื่องของยูเครน เมื่อปลายปี ค.ศ.2014 เสียหน่อย เผื่อจะหาแหล่งขายยาโด๊ปเจอ

    ปลายเดือนตุลาคม 2014 คุณช๊อกโกแลต ประธานาธืบดียูเครน จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อคัดเด็กในคาถาเข้าสภาตามใจนายใหญ่ เพราะว่าสมาชิกสภาชุดที่มีอยู่ มันสั่งให้ยกมือกางแขนนอนกลิ้งยาก และกว่าจะหมดวาระ ว่าเข้าไปถึงปี 2017 โน่น ไม่ทันการแน่ ข่าวว่าการให้จัดเลือกตั้งใหม่ เป็นใบสั่งของนางเหยี่ยว Victoria Nuland เจ้าของวลีอันโด่งดัง **** the EU แห่งกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา (อ่านรายละเอียดของสาเหตุการให้ F ของนางเหยี่ยวได้ในนิทานเรื่อง หักหน้าหักหลัง )

    เขาสั่งได้ จัดได้กันจริงๆ แล้วยูเครนก็ได้สมาชิกสภาใหม่ ที่อยู่ในแถว ภายใต้การควบคุมของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่หน้าเก่า เด็กในกระเป๋าใส่เศษสตางค์ของนางเหยี่ยว ชื่อนาย Arseniy Yatsenyuk หนุ่มยิวหน้ามน อดีตนายกรัฐมนตรียูเครนสมัยหนึ่ง ที่นางเหยี่ยวเป็นผู้เลือกกับมือ ตัดหน้าอียู และเป็นอดีตรัฐมนตรีคลังอีกสมัย เรียกว่าเป็นตัวโปรดตัวจริงของนางเหยี่ยว ซึ่งข่าวบอกว่า เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงาน ชื่อ “Church of Scientology” ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรอง แขนงหนึ่งของอเมริกา อีกด้วย

    นาย Yats ไม่มาคนเดียว เขาเสนอชื่อรัฐมนตรีน่าสนใจ 3 คน

    คนแรก ชื่อ นาง Natalie Jaresko ให้เป็นรัฐมนตรีการคลัง

    คุณนาย Ja แม้จะพูดภาษายูเครนคล่องปรื้อ เพราะมาอยู่เมืองเคียฟ ( Kyiv) ต้ังแต่ปี 1992 ในฐานะเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกัน ใช่ครับสถานทูตอเมริกัน ก็คุณนายเป็นคนอเมริกัน แม้จะอ้างว่ามีรากเหง้างอกจากยูเครน แต่คุณนาย Ja ก็ถือสัญชาติอเมริกัน เรียนจบ ป โท จาก ฮาร์วาด
    ปี 1995 คุณนาย Ja ลาออกจากสถานทูต ไปคุมกองทุนชื่อ Western NIS Enterprise Fund (WNISEF) ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน ตั้งโดยสภาสูงของอเมริกัน และเป็นเงินทุนอุดหนุนผ่าน USAID มีขนาดเงินกองทุน จำนวน 150 ล้านเหรียญ
    นอกจากนี้ คุณนาย Ja ยังบริหารกองทุน ชื่อ Horizon Capital Associates, LLC. (ไม่รู้ขนาดของกองทุน)

    ทั้ง 2 กองทุน มีวัตถุประสงค์ที่จะลงทุนในธุรกิจบริการ ธุรกิจอุตสาหกรรม ธุรกิจด้านของกินของใช้ โดยจะลงทุนในบริษัทขนาดกลาง ทั้งในยูเครน เบลาลุส และมอนโดวา เรียกว่า เป็นรายการกวาดกิจการ แถบยูเครนเข้ากระเป๋า ดูๆ ก็ไม่ต่างกับการบังคับให้แปรรูปรัฐวิสากิจ แต่ยูเครนไม่ค่อยมีรัฐวิสาหกิจจะให้แปร เลยต้องใช้กองทุนเข้าไปซื้อบริษัทแบบดื้อๆ ด้านๆ ง่ายกว่าแยะ

    เมื่อคุณนาย Ja แถลงรับตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง คุณนายบอกว่า ทีมเราต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ ให้มีความโปร่งใส และขจัดทุจริต ฟังคุ้นหูดีไหมครับ สงสัยพวกโพยนี่ เขาอัดโรเนียวแจกทั่วโลก และไอ้พฤติกรรมที่ทำ กับคำพูดนี่ มันก็สับปรับเหมือนกันหมด

    ผู้คนสงสัย แล้วคนอเมริกันไปเป็นรัฐมนตรีที่ยูเครนได้ยังไง เขียนมั่วหรือเปล่า ไม่มั่วครับ

    1 วันก่อนการสาบานตัวเข้ารับตำแหน่ง คุณช๊อกโกแลต ก็จัดการออกสัญชาติยูเครนให้คุณนาย Ja ก็แค่นั้นเอง คุณนายก็ถือ 2 สัญชาติควบ มีปัญหาอะไรไหม

    โปรดเชื่อมั่นในความเป็นประชาธิปไตย ของอเมริกา ที่จะเข้าไปล้วง ไปขุด ไปออกเสียง สั่งการที่ไหน แม้แต่ไปอยู่ในรัฐบาลประเทศอื่น ก็ได้ในโลก เยี่ยมจังพี่ ผมไม่เคยเห็นใครตวัดได้เก่งอย่างนี้เลย เขียนชมขนาดนี้แล้วจะเลิกป่วน เพจผมไหมครับ ไอ้เรื่องทำให้เครื่องค้าง กดอะไรไม่ได้เลย สลับข้อความ ข้อความหายนี่ ฯลฯ เล่นแบบนี้มานานแล้วนะ เบื่อฉิบหายเลย ให้มันสร้างสรรกว่านี้ได้ไหมครับ

    ส่งคุณนาย Ja มาคนเดียว คงกลัวจ่ายตลาดไม่ทัน นาย Yats เลยเสนอชื่อ นาย Aviras Abromavicius นักการเงินชาวลิทัวเนีย ให้มารับตำแหน่งรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ นาย Ab นี่ เป็นหุ้นส่วนและผู้จัดการกองทุน ชื่อ East Capital ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในสวีเดน มีกองทุนอยู่ใน ประเทศตลาดเกิดใหม่ 25 ประเทศ ขนาดของแต่กองทุน ประมาณ 100 ล้านเหรียญขึ้นไป

    ถ้าผมเป็นชาวยูเครน ผมจะยุให้มีการอารยะขัดขืน (ฮา) ไม่จ่ายภาษีจนกว่า บรรดารัฐมนตรีต่างชาตินี่ จะออกไปให้พ้นจากคณะรัฐบาล เพราะมันเป็นการดูหมิ่นประชาชนในชาติมาก ที่เอาคนต่างชาติมาบริหารชาติตนเองน่ะ ชาวยูเครนทนได้ยังไงครับ

    แล้วคุณช๊อกโกแลต ก็ออกสัญชาติยูเครนให้ นาย Ab พร้อมๆกับ คุณนาย Ja ไม่มีปัญหากับประชาธิปไตยของยูเครน แม้แต่น้อย และไม่มีไอ้พวกใบตองแห้ง มาด่าวันละ 3 เวลาหลังอาหาร เพราะมันเป็นคนจัดมาให้ (ฮา และ โห่) ต้องการประชาธิปไตยอย่างนี้ใช่ไหม ใช่ไหม ใช่ไหม

    ยังครับ ยัง ยังไม่เป็นประชาธิปไตยพอ นาย Yats เลยไปสรรหามาอีกหนึ่ง คราวนี้ได้ชาวจอร์เจีย ชื่อ Alexander Kvitashvili เขาเป็นอดีตรัฐมนตรีสาธารณะสุข ของจอร์เจีย สมัยที่ นาย Saak, Mikheil Saakashvili เป็นประธานาธิบดี ของ จอร์เจีย ( Georgia)
    นาย Kvit นี่น่าชื่นชมที่สุด ถือว่าเป็นผู้กล้าหาญจริง เป็นคนต่างชาติ ยังไม่พอ พูดภาษายูเครนไม่ได้ ฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว แต่รับหน้าที่จะมาปราบการทุจริต ในวงการสาธารณสุขของยูเครน ถ้าทำงานนี้สำเร็จ ควรต้องตกรางวัล ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี แทนนาย Yats เสียเลย ถ้านางเหยี่ยว Nuland ยอม

    อ้อ ตกความไปหน่อย นายKvit นี่ก็เรียนจบ ป โทที่อเมริกา และทำงานที่ Atlanta Medical Center ในอเมริกาอยู่พักหนึ่ง ก่อนกลับมาทำงานกับ United Nations Development Program ที่จอร์เจีย และทำงานร่วมกับหลายองค์กรทางด้านสาธารณสุขของอเมริกา

    ช่างเลือกกันดีนะครับ

    ##############
    ตอน 4

    เห็นแหล่งส่งยาโด๊ปของคุณช๊อกโกแลตแวบแวบ แต่ มันยังไม่ชัดเจน

    Loli Kantor เป็นนักข่าวประเภท ทั้งถ่าย(รูป)ทั้งเล่า ชาวอิสราเอล/อเมริกัน เล่าว่า เธอเดินทางไปโปแลนด์ เมื่อปี ค.ศ.2004 เพื่อไปค้นหาด้วยตัวเอง ว่าเกิดอะไรกับครอบครัวของตัวบ้างระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2

    Kantor บอกว่า พ่อแม่ของเธอรอดตายจาก Holocaust แต่ก็เห็นชื่อปู่ยาตายาย ลุงป้า ตายเกลี้ยง ตามรายชื่อที่พวกนาซีรวบรวมไว้ เธอบอกว่า ชื่อคนตาย มีแต่ ยิว ยิว ยิว ฉันเดินไปถ่ายรูปสถานที่ฆ่าหมู่ชาวยิวทั้งหลาย ฉันถามตัวเองว่า แล้วชาวยิว ที่ยังเป็นๆอยู่ในยุโรปตะวันออกมีไหม เขาอยู่ที่ไหนกัน แล้วฉันก็พบพวกเขาที่ยูเครน หลังจากน้ันเจ้าตัวก็เทียวไปเทียวมายูเครนต่อมาอีก 8 ปี และเขียนหนังสือ ชื่อ Beyond the Forest ที่มีรูปภาพเกี่ยวกับชีวิตชาวยิวรุ่นเก่า

    ระหว่างที่ถ่ายรูปทำหนังสือ Kantor ก็ได้เห็นการเกิดใหม่ของชุมชน ชาวยิว rebirth of Jewish communities ในยูเครน Kantor ตื่นเต้น เธอกลับไปคุยกับ David Fisherman ศาสตราจารย์ชาวยิว ที่ Theological Seminary of America ซึ่งก็สอนที่มหาวิทยาลัย Kiew ของยูเครนด้วย
    ท่าน ศจ บอกว่า ตอนนี้ เหมือนเป็นช่วงเวลาของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ของชาวยิวกับยูเครน ไม่เคยมีช่วงไหนที่ดีอย่างนี้มาก่อนเลย มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ Kantor ถ้าจะตกข่าวแยะ

    ท่าน ศจ บอกว่า มันคงมีส่วน มาจากการพุ่งเป็นพลุ ของนาย Ihor Kolomoyski มหาเศรษฐีใหญ่ชาวยิวนั่นแหละ ซึ่งได้รับเลือก ตั้งแต่ปีก่อน ให้เป็นผู้ว่าการเมือง Dnipropetrovsk (ถ้าสะกดผิดก็ขออำไพนะครับ เขียนยากชะมัด) ซึ่งเป็นเสมือนเมือง ศูนย์กลางของยูเครนเลยนะ ก่อนหน้านั้น นาย มอยสกี้ (Kolomoyski) สร้างศูนย์สันทนาการ มูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญ ขึ้นที่กลางเมือง ต้ังชื่อว่า Menorah Center (menorah คือเชิงเทียน 7 กิ่ง ที่ใช้ในพิธีของชาวยิว และเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาชาวยิว) มีของทุกอย่างเกี่ยวกับชาวยิว รวมทั้ง Holocaust Museum เรียกว่า เป็นศูนย์สันทนาการของชาวยิว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เข้าใจไหม… อ้อ อย่างนี้นี่เอง อันนี้ผมรำพึง

    นายมอยสกี้นี่ เป็นคนพูดจาไม่อ้อมค้อม เสียงดังฟังชัด ก็ทั้งรวย ทั้งเป็นผู้ว่าฯ เราๆก็น่าจะคุ้นกับการพูดแบบนี้ของคนอย่างนี้นะครับ เขาบอกว่า เมืองนี้ ไม่มีที่ให้สำหรับพวกที่อยากไปอยู่กับรัสเซีย …เด็ดขาดจริง

    ท่าน ศจ บอก เขาพูดแบบนี้ มันเลยทำให้ภาพพจน์ของรัฐบาลใหม่ ออกกลิ่นยิวแรงไปหน่อย ไม่หน่อยหรอก ท่าน ศจ คุณประธานาธิบดี ช๊อกโกแลต เองก็เพิ่งจัดงานรำลึก 70 ปี ของ Auschwitz แถมตั้งนาย Vladimir Grossman ซึ่งเป็นชาวยิว ให้เป็นประธานสภาใหม่เอี่ยมนี่ด้วย

    Kantor ยังไม่แน่ใจ เธอไปถาม Igor Shchupak หัวหน้าพิพิธภัณฑ์ Holocaust ว่า ตกลงตอนนี้ พวกยิวที่นี่มีความสุขมากเลยใช่ไหม หัวหน้า บอก ใช่แล้ว มันเป็น golden age ของชาวยิวในยูเครนเชียวล่ะ มันเป็นฝีมือเขาละ ฝีมือของนายมอยสกี้

    นายมอยสกี้ เป็นใครมาจากไหน ข่าวบอกเขารวยมาจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันใหญ่ที่สุดในแถบนั้น เป็นเจ้าของสื่อ เจ้าของโรงแรม สาระพัด ฯลฯ แต่เรื่องรวย สำหรับบางคนมันอาจจะน่าตื่นเต้น แต่สำหรับชาวยิว เรื่องรวย คงไม่ใช่เป็นเรื่องต้องตื่นเต้น รวยและมีอำนาจต่างหาก ที่เป็นเรื่องจำเป็น เป็นสูตรบังคับ นายมอยสกี้จึงตั้งตัวเป็นมาเฟียใหญ่ประจำยูเครน ถนัดในการเก็บกวาดฝ่ายตรงกันข้าม ธุรกิจสีเทาอยู่ในมือเขาทั้งนั้น นายกเล็กของเมืองที่อยู่ฝั่งที่เชียร์รัสเซีย อีก 2 คน ที่ชาวบ้านเรียกชื่อว่า Dopa กับ Gepa ซึ่งแม้จะเป็นชาวยิวด้วยกัน แต่เมื่ออุดมการณ์ต่างกับเจ้าพ่อมอยสกี้ ผลปรากฏว่า คนหนึ่งจึงถูกยิง และอีกคนถูกจับติดคุก ยิวด้วยกัน ยังเล่นดุขนาดนี้
    เรื่องของนายมอยสกี้ ยังมีที่น่าสนใจ เกี่ยวพันกับสถานการณ์ปัจจุบันของยูเครนคือ นอกจากเป็นผู้ว่าการนครที่เป็นศูนย์กลางของยูเครน เป็นผู้ก่อตั้งสหภาพชาวยิวยุโรป (European Jewish Union) และประกาศชัดเจนว่าไม่เอารัสเซียแล้ว ยังมีข่าวว่า เขามีกองกำลังของตัวเอง จัดตั้งแบบพวกนาซีเยอรมัน (แต่ไม่เกี่ยวกับนาซีเยอรมัน) จำนวนประมาณ 2 หมื่นคน มีนโยบายชัดเจนว่า ถ้าอยู่คนละฝ่าย หรือไม่พอใจ ก็อย่าอยู่ร่วมกัน และนโยบายของเขาคือไม่เอารัสเซียแค่นั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเตรียมกองกำลังนี้ไว้ทำอะไร

    ยาโด๊ป ยี่ห้อ นาย Saak นายYats นายมอยสกี้ นี่เองหรือ ที่ทำให้ คุณช๊อกโกแลต เกิดฟิตจัด คิดขุดหลุมล่อรัสเซีย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    14 มิ.ย. 2558
    หลุม ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หลุม” ตอน 3 คุณช๊อกโกแลต ไปได้ยาโด๊ปมาจากไหนไม่ทราบแน่ แต่ต้องถอยหลังไปเล่าบางเรื่องของยูเครน เมื่อปลายปี ค.ศ.2014 เสียหน่อย เผื่อจะหาแหล่งขายยาโด๊ปเจอ ปลายเดือนตุลาคม 2014 คุณช๊อกโกแลต ประธานาธืบดียูเครน จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อคัดเด็กในคาถาเข้าสภาตามใจนายใหญ่ เพราะว่าสมาชิกสภาชุดที่มีอยู่ มันสั่งให้ยกมือกางแขนนอนกลิ้งยาก และกว่าจะหมดวาระ ว่าเข้าไปถึงปี 2017 โน่น ไม่ทันการแน่ ข่าวว่าการให้จัดเลือกตั้งใหม่ เป็นใบสั่งของนางเหยี่ยว Victoria Nuland เจ้าของวลีอันโด่งดัง Fuck the EU แห่งกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา (อ่านรายละเอียดของสาเหตุการให้ F ของนางเหยี่ยวได้ในนิทานเรื่อง หักหน้าหักหลัง ) เขาสั่งได้ จัดได้กันจริงๆ แล้วยูเครนก็ได้สมาชิกสภาใหม่ ที่อยู่ในแถว ภายใต้การควบคุมของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่หน้าเก่า เด็กในกระเป๋าใส่เศษสตางค์ของนางเหยี่ยว ชื่อนาย Arseniy Yatsenyuk หนุ่มยิวหน้ามน อดีตนายกรัฐมนตรียูเครนสมัยหนึ่ง ที่นางเหยี่ยวเป็นผู้เลือกกับมือ ตัดหน้าอียู และเป็นอดีตรัฐมนตรีคลังอีกสมัย เรียกว่าเป็นตัวโปรดตัวจริงของนางเหยี่ยว ซึ่งข่าวบอกว่า เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงาน ชื่อ “Church of Scientology” ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรอง แขนงหนึ่งของอเมริกา อีกด้วย นาย Yats ไม่มาคนเดียว เขาเสนอชื่อรัฐมนตรีน่าสนใจ 3 คน คนแรก ชื่อ นาง Natalie Jaresko ให้เป็นรัฐมนตรีการคลัง คุณนาย Ja แม้จะพูดภาษายูเครนคล่องปรื้อ เพราะมาอยู่เมืองเคียฟ ( Kyiv) ต้ังแต่ปี 1992 ในฐานะเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกัน ใช่ครับสถานทูตอเมริกัน ก็คุณนายเป็นคนอเมริกัน แม้จะอ้างว่ามีรากเหง้างอกจากยูเครน แต่คุณนาย Ja ก็ถือสัญชาติอเมริกัน เรียนจบ ป โท จาก ฮาร์วาด ปี 1995 คุณนาย Ja ลาออกจากสถานทูต ไปคุมกองทุนชื่อ Western NIS Enterprise Fund (WNISEF) ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน ตั้งโดยสภาสูงของอเมริกัน และเป็นเงินทุนอุดหนุนผ่าน USAID มีขนาดเงินกองทุน จำนวน 150 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ คุณนาย Ja ยังบริหารกองทุน ชื่อ Horizon Capital Associates, LLC. (ไม่รู้ขนาดของกองทุน) ทั้ง 2 กองทุน มีวัตถุประสงค์ที่จะลงทุนในธุรกิจบริการ ธุรกิจอุตสาหกรรม ธุรกิจด้านของกินของใช้ โดยจะลงทุนในบริษัทขนาดกลาง ทั้งในยูเครน เบลาลุส และมอนโดวา เรียกว่า เป็นรายการกวาดกิจการ แถบยูเครนเข้ากระเป๋า ดูๆ ก็ไม่ต่างกับการบังคับให้แปรรูปรัฐวิสากิจ แต่ยูเครนไม่ค่อยมีรัฐวิสาหกิจจะให้แปร เลยต้องใช้กองทุนเข้าไปซื้อบริษัทแบบดื้อๆ ด้านๆ ง่ายกว่าแยะ เมื่อคุณนาย Ja แถลงรับตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง คุณนายบอกว่า ทีมเราต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ ให้มีความโปร่งใส และขจัดทุจริต ฟังคุ้นหูดีไหมครับ สงสัยพวกโพยนี่ เขาอัดโรเนียวแจกทั่วโลก และไอ้พฤติกรรมที่ทำ กับคำพูดนี่ มันก็สับปรับเหมือนกันหมด ผู้คนสงสัย แล้วคนอเมริกันไปเป็นรัฐมนตรีที่ยูเครนได้ยังไง เขียนมั่วหรือเปล่า ไม่มั่วครับ 1 วันก่อนการสาบานตัวเข้ารับตำแหน่ง คุณช๊อกโกแลต ก็จัดการออกสัญชาติยูเครนให้คุณนาย Ja ก็แค่นั้นเอง คุณนายก็ถือ 2 สัญชาติควบ มีปัญหาอะไรไหม โปรดเชื่อมั่นในความเป็นประชาธิปไตย ของอเมริกา ที่จะเข้าไปล้วง ไปขุด ไปออกเสียง สั่งการที่ไหน แม้แต่ไปอยู่ในรัฐบาลประเทศอื่น ก็ได้ในโลก เยี่ยมจังพี่ ผมไม่เคยเห็นใครตวัดได้เก่งอย่างนี้เลย เขียนชมขนาดนี้แล้วจะเลิกป่วน เพจผมไหมครับ ไอ้เรื่องทำให้เครื่องค้าง กดอะไรไม่ได้เลย สลับข้อความ ข้อความหายนี่ ฯลฯ เล่นแบบนี้มานานแล้วนะ เบื่อฉิบหายเลย ให้มันสร้างสรรกว่านี้ได้ไหมครับ ส่งคุณนาย Ja มาคนเดียว คงกลัวจ่ายตลาดไม่ทัน นาย Yats เลยเสนอชื่อ นาย Aviras Abromavicius นักการเงินชาวลิทัวเนีย ให้มารับตำแหน่งรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ นาย Ab นี่ เป็นหุ้นส่วนและผู้จัดการกองทุน ชื่อ East Capital ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในสวีเดน มีกองทุนอยู่ใน ประเทศตลาดเกิดใหม่ 25 ประเทศ ขนาดของแต่กองทุน ประมาณ 100 ล้านเหรียญขึ้นไป ถ้าผมเป็นชาวยูเครน ผมจะยุให้มีการอารยะขัดขืน (ฮา) ไม่จ่ายภาษีจนกว่า บรรดารัฐมนตรีต่างชาตินี่ จะออกไปให้พ้นจากคณะรัฐบาล เพราะมันเป็นการดูหมิ่นประชาชนในชาติมาก ที่เอาคนต่างชาติมาบริหารชาติตนเองน่ะ ชาวยูเครนทนได้ยังไงครับ แล้วคุณช๊อกโกแลต ก็ออกสัญชาติยูเครนให้ นาย Ab พร้อมๆกับ คุณนาย Ja ไม่มีปัญหากับประชาธิปไตยของยูเครน แม้แต่น้อย และไม่มีไอ้พวกใบตองแห้ง มาด่าวันละ 3 เวลาหลังอาหาร เพราะมันเป็นคนจัดมาให้ (ฮา และ โห่) ต้องการประชาธิปไตยอย่างนี้ใช่ไหม ใช่ไหม ใช่ไหม ยังครับ ยัง ยังไม่เป็นประชาธิปไตยพอ นาย Yats เลยไปสรรหามาอีกหนึ่ง คราวนี้ได้ชาวจอร์เจีย ชื่อ Alexander Kvitashvili เขาเป็นอดีตรัฐมนตรีสาธารณะสุข ของจอร์เจีย สมัยที่ นาย Saak, Mikheil Saakashvili เป็นประธานาธิบดี ของ จอร์เจีย ( Georgia) นาย Kvit นี่น่าชื่นชมที่สุด ถือว่าเป็นผู้กล้าหาญจริง เป็นคนต่างชาติ ยังไม่พอ พูดภาษายูเครนไม่ได้ ฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว แต่รับหน้าที่จะมาปราบการทุจริต ในวงการสาธารณสุขของยูเครน ถ้าทำงานนี้สำเร็จ ควรต้องตกรางวัล ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี แทนนาย Yats เสียเลย ถ้านางเหยี่ยว Nuland ยอม อ้อ ตกความไปหน่อย นายKvit นี่ก็เรียนจบ ป โทที่อเมริกา และทำงานที่ Atlanta Medical Center ในอเมริกาอยู่พักหนึ่ง ก่อนกลับมาทำงานกับ United Nations Development Program ที่จอร์เจีย และทำงานร่วมกับหลายองค์กรทางด้านสาธารณสุขของอเมริกา ช่างเลือกกันดีนะครับ ############## ตอน 4 เห็นแหล่งส่งยาโด๊ปของคุณช๊อกโกแลตแวบแวบ แต่ มันยังไม่ชัดเจน Loli Kantor เป็นนักข่าวประเภท ทั้งถ่าย(รูป)ทั้งเล่า ชาวอิสราเอล/อเมริกัน เล่าว่า เธอเดินทางไปโปแลนด์ เมื่อปี ค.ศ.2004 เพื่อไปค้นหาด้วยตัวเอง ว่าเกิดอะไรกับครอบครัวของตัวบ้างระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 Kantor บอกว่า พ่อแม่ของเธอรอดตายจาก Holocaust แต่ก็เห็นชื่อปู่ยาตายาย ลุงป้า ตายเกลี้ยง ตามรายชื่อที่พวกนาซีรวบรวมไว้ เธอบอกว่า ชื่อคนตาย มีแต่ ยิว ยิว ยิว ฉันเดินไปถ่ายรูปสถานที่ฆ่าหมู่ชาวยิวทั้งหลาย ฉันถามตัวเองว่า แล้วชาวยิว ที่ยังเป็นๆอยู่ในยุโรปตะวันออกมีไหม เขาอยู่ที่ไหนกัน แล้วฉันก็พบพวกเขาที่ยูเครน หลังจากน้ันเจ้าตัวก็เทียวไปเทียวมายูเครนต่อมาอีก 8 ปี และเขียนหนังสือ ชื่อ Beyond the Forest ที่มีรูปภาพเกี่ยวกับชีวิตชาวยิวรุ่นเก่า ระหว่างที่ถ่ายรูปทำหนังสือ Kantor ก็ได้เห็นการเกิดใหม่ของชุมชน ชาวยิว rebirth of Jewish communities ในยูเครน Kantor ตื่นเต้น เธอกลับไปคุยกับ David Fisherman ศาสตราจารย์ชาวยิว ที่ Theological Seminary of America ซึ่งก็สอนที่มหาวิทยาลัย Kiew ของยูเครนด้วย ท่าน ศจ บอกว่า ตอนนี้ เหมือนเป็นช่วงเวลาของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ของชาวยิวกับยูเครน ไม่เคยมีช่วงไหนที่ดีอย่างนี้มาก่อนเลย มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ Kantor ถ้าจะตกข่าวแยะ ท่าน ศจ บอกว่า มันคงมีส่วน มาจากการพุ่งเป็นพลุ ของนาย Ihor Kolomoyski มหาเศรษฐีใหญ่ชาวยิวนั่นแหละ ซึ่งได้รับเลือก ตั้งแต่ปีก่อน ให้เป็นผู้ว่าการเมือง Dnipropetrovsk (ถ้าสะกดผิดก็ขออำไพนะครับ เขียนยากชะมัด) ซึ่งเป็นเสมือนเมือง ศูนย์กลางของยูเครนเลยนะ ก่อนหน้านั้น นาย มอยสกี้ (Kolomoyski) สร้างศูนย์สันทนาการ มูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญ ขึ้นที่กลางเมือง ต้ังชื่อว่า Menorah Center (menorah คือเชิงเทียน 7 กิ่ง ที่ใช้ในพิธีของชาวยิว และเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาชาวยิว) มีของทุกอย่างเกี่ยวกับชาวยิว รวมทั้ง Holocaust Museum เรียกว่า เป็นศูนย์สันทนาการของชาวยิว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เข้าใจไหม… อ้อ อย่างนี้นี่เอง อันนี้ผมรำพึง นายมอยสกี้นี่ เป็นคนพูดจาไม่อ้อมค้อม เสียงดังฟังชัด ก็ทั้งรวย ทั้งเป็นผู้ว่าฯ เราๆก็น่าจะคุ้นกับการพูดแบบนี้ของคนอย่างนี้นะครับ เขาบอกว่า เมืองนี้ ไม่มีที่ให้สำหรับพวกที่อยากไปอยู่กับรัสเซีย …เด็ดขาดจริง ท่าน ศจ บอก เขาพูดแบบนี้ มันเลยทำให้ภาพพจน์ของรัฐบาลใหม่ ออกกลิ่นยิวแรงไปหน่อย ไม่หน่อยหรอก ท่าน ศจ คุณประธานาธิบดี ช๊อกโกแลต เองก็เพิ่งจัดงานรำลึก 70 ปี ของ Auschwitz แถมตั้งนาย Vladimir Grossman ซึ่งเป็นชาวยิว ให้เป็นประธานสภาใหม่เอี่ยมนี่ด้วย Kantor ยังไม่แน่ใจ เธอไปถาม Igor Shchupak หัวหน้าพิพิธภัณฑ์ Holocaust ว่า ตกลงตอนนี้ พวกยิวที่นี่มีความสุขมากเลยใช่ไหม หัวหน้า บอก ใช่แล้ว มันเป็น golden age ของชาวยิวในยูเครนเชียวล่ะ มันเป็นฝีมือเขาละ ฝีมือของนายมอยสกี้ นายมอยสกี้ เป็นใครมาจากไหน ข่าวบอกเขารวยมาจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันใหญ่ที่สุดในแถบนั้น เป็นเจ้าของสื่อ เจ้าของโรงแรม สาระพัด ฯลฯ แต่เรื่องรวย สำหรับบางคนมันอาจจะน่าตื่นเต้น แต่สำหรับชาวยิว เรื่องรวย คงไม่ใช่เป็นเรื่องต้องตื่นเต้น รวยและมีอำนาจต่างหาก ที่เป็นเรื่องจำเป็น เป็นสูตรบังคับ นายมอยสกี้จึงตั้งตัวเป็นมาเฟียใหญ่ประจำยูเครน ถนัดในการเก็บกวาดฝ่ายตรงกันข้าม ธุรกิจสีเทาอยู่ในมือเขาทั้งนั้น นายกเล็กของเมืองที่อยู่ฝั่งที่เชียร์รัสเซีย อีก 2 คน ที่ชาวบ้านเรียกชื่อว่า Dopa กับ Gepa ซึ่งแม้จะเป็นชาวยิวด้วยกัน แต่เมื่ออุดมการณ์ต่างกับเจ้าพ่อมอยสกี้ ผลปรากฏว่า คนหนึ่งจึงถูกยิง และอีกคนถูกจับติดคุก ยิวด้วยกัน ยังเล่นดุขนาดนี้ เรื่องของนายมอยสกี้ ยังมีที่น่าสนใจ เกี่ยวพันกับสถานการณ์ปัจจุบันของยูเครนคือ นอกจากเป็นผู้ว่าการนครที่เป็นศูนย์กลางของยูเครน เป็นผู้ก่อตั้งสหภาพชาวยิวยุโรป (European Jewish Union) และประกาศชัดเจนว่าไม่เอารัสเซียแล้ว ยังมีข่าวว่า เขามีกองกำลังของตัวเอง จัดตั้งแบบพวกนาซีเยอรมัน (แต่ไม่เกี่ยวกับนาซีเยอรมัน) จำนวนประมาณ 2 หมื่นคน มีนโยบายชัดเจนว่า ถ้าอยู่คนละฝ่าย หรือไม่พอใจ ก็อย่าอยู่ร่วมกัน และนโยบายของเขาคือไม่เอารัสเซียแค่นั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเตรียมกองกำลังนี้ไว้ทำอะไร ยาโด๊ป ยี่ห้อ นาย Saak นายYats นายมอยสกี้ นี่เองหรือ ที่ทำให้ คุณช๊อกโกแลต เกิดฟิตจัด คิดขุดหลุมล่อรัสเซีย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 14 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • พรรคโอกาสใหม่ จตุพร นำทัพพร้อมลงเลือกตั้ง เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ,จตุพร บุรุษพัฒน์ เปิดตัวพรรคโอกาสใหม่ ชูนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ฟื้นฟูศักยภาพประเทศ เตรียมพร้อมลงสนามเลือกตั้งปี 2569 พร้อมประกาศเป็นพรรคทางเลือกใหม่เพื่อคนทุกเจเนอเรชัน

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000108097

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #ข่าว #พรรคโอกาสใหม่ #จตุพรบุรุษพัฒน์ #การเมืองไทย #truthfromthailand #newsupdate
    พรรคโอกาสใหม่ จตุพร นำทัพพร้อมลงเลือกตั้ง เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ,จตุพร บุรุษพัฒน์ เปิดตัวพรรคโอกาสใหม่ ชูนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ฟื้นฟูศักยภาพประเทศ เตรียมพร้อมลงสนามเลือกตั้งปี 2569 พร้อมประกาศเป็นพรรคทางเลือกใหม่เพื่อคนทุกเจเนอเรชัน อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000108097 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #ข่าว #พรรคโอกาสใหม่ #จตุพรบุรุษพัฒน์ #การเมืองไทย #truthfromthailand #newsupdate
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 290 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “Stablecoin เยนเตรียมบุกตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น – ผู้เล่นใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมการเงิน”

    บริษัท JPYC เปิดตัว Stablecoin ที่ผูกกับเงินเยนเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ถือเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นที่มีการออก Stablecoin แบบเต็มรูปแบบในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือการชำระเงินและการลงทุนที่สะดวกและปลอดภัย

    ผู้บริหารของ JPYC ระบุว่า Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นในอนาคต เพราะการถือครองพันธบัตรจะช่วยสร้างความมั่นคงและความน่าเชื่อถือให้กับเหรียญดิจิทัลที่ออกมา ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต้องปรับวิธีการควบคุมตลาดการเงินใหม่ เนื่องจากผู้เล่นรายใหม่เข้ามามีบทบาทสำคัญ

    แม้ญี่ปุ่นยังเป็นสังคมที่นิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต แต่การเปิดตัว Stablecoin เยนถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินสมัยใหม่

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการกำกับดูแลคริปโตเข้มงวดที่สุด แต่ก็เปิดรับนวัตกรรมการเงินดิจิทัลมากขึ้น
    หาก Stablecoin เยนถูกนำไปใช้จริงในตลาดพันธบัตร อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ
    อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ สูญเสียความสามารถในการควบคุมอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน

    JPYC เปิดตัว Stablecoin เยนครั้งแรกในญี่ปุ่น
    เปิดตัวเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025
    มีเป้าหมายเพื่อใช้ในการชำระเงินและการลงทุน

    บทบาทในตลาดพันธบัตร
    Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น
    ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ BOJ

    ความสำคัญต่อระบบการเงิน
    สะท้อนการเปลี่ยนแปลงจากสังคมที่นิยมเงินสดสู่การเงินดิจิทัล
    อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ ควบคุมนโยบายการเงินได้ยากขึ้น
    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อาจถูกโจมตีหรือหยุดทำงาน
    การยอมรับจากผู้ใช้ทั่วไปยังไม่แน่นอน เพราะญี่ปุ่นยังนิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/yen-stablecoin-issuer-predicts-growing-presence-in-japan039s-bond-market
    💴 หัวข้อข่าว: “Stablecoin เยนเตรียมบุกตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น – ผู้เล่นใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมการเงิน” บริษัท JPYC เปิดตัว Stablecoin ที่ผูกกับเงินเยนเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ถือเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นที่มีการออก Stablecoin แบบเต็มรูปแบบในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือการชำระเงินและการลงทุนที่สะดวกและปลอดภัย ผู้บริหารของ JPYC ระบุว่า Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นในอนาคต เพราะการถือครองพันธบัตรจะช่วยสร้างความมั่นคงและความน่าเชื่อถือให้กับเหรียญดิจิทัลที่ออกมา ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต้องปรับวิธีการควบคุมตลาดการเงินใหม่ เนื่องจากผู้เล่นรายใหม่เข้ามามีบทบาทสำคัญ แม้ญี่ปุ่นยังเป็นสังคมที่นิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต แต่การเปิดตัว Stablecoin เยนถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินสมัยใหม่ 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการกำกับดูแลคริปโตเข้มงวดที่สุด แต่ก็เปิดรับนวัตกรรมการเงินดิจิทัลมากขึ้น 🔰 หาก Stablecoin เยนถูกนำไปใช้จริงในตลาดพันธบัตร อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ 🔰 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ สูญเสียความสามารถในการควบคุมอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน ✅ JPYC เปิดตัว Stablecoin เยนครั้งแรกในญี่ปุ่น ➡️ เปิดตัวเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ➡️ มีเป้าหมายเพื่อใช้ในการชำระเงินและการลงทุน ✅ บทบาทในตลาดพันธบัตร ➡️ Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น ➡️ ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ BOJ ✅ ความสำคัญต่อระบบการเงิน ➡️ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงจากสังคมที่นิยมเงินสดสู่การเงินดิจิทัล ➡️ อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ ควบคุมนโยบายการเงินได้ยากขึ้น ⛔ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อาจถูกโจมตีหรือหยุดทำงาน ⛔ การยอมรับจากผู้ใช้ทั่วไปยังไม่แน่นอน เพราะญี่ปุ่นยังนิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/yen-stablecoin-issuer-predicts-growing-presence-in-japan039s-bond-market
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Yen stablecoin issuer predicts growing presence in Japan's bond market
    TOKYO (Reuters) -Stablecoin issuers could become major buyers of Japanese government bonds in several years and influence the central bank's control over monetary policy, the head of Japan's first domestic issuer of yen-pegged stablecoins told Reuters.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • FFmpeg vs Google: เมื่อโอเพ่นซอร์สต้องการมากกว่าแรงอาสา

    ลองนึกภาพว่าโปรแกรมที่คุณใช้ดูหนัง ฟังเพลง หรือแม้แต่เบราว์เซอร์ที่เปิดทุกวัน ต่างก็พึ่งพา FFmpeg — เครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ทำหน้าที่แปลงและประมวลผลสื่อมัลติมีเดียแทบทุกชนิดบนโลกใบนี้ แต่เบื้องหลังความสะดวกสบายนี้คือทีมอาสาสมัครที่ทำงานฟรี และกำลังเผชิญแรงกดดันมหาศาลจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่

    เรื่องราวเริ่มจากการที่ Google ใช้ AI ตรวจพบช่องโหว่เล็ก ๆ ใน FFmpeg ซึ่งแม้จะเป็นบั๊กที่เกี่ยวข้องกับเกมเก่าจากปี 1995 แต่ก็ถูกบังคับให้ต้องแก้ไขภายใต้กรอบเวลาเข้มงวดตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero นี่จึงกลายเป็นการถกเถียงใหญ่ในชุมชนโอเพ่นซอร์สว่า “ใครควรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและแรงงานในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้”

    น่าสนใจคือ FFmpeg ไม่ใช่รายเดียวที่เจอปัญหาแบบนี้ — ไลบรารีสำคัญอย่าง libxml2 ก็เพิ่งเสียผู้ดูแลหลักไป เพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีค่าตอบแทนได้อีกต่อไป

    มุมมองเพิ่มเติมจากภายนอก
    ปัญหานี้สะท้อนความจริงว่า โอเพ่นซอร์สคือโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่โลกพึ่งพา แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ
    หลายองค์กรเริ่มพูดถึงแนวคิด “Open Source Sustainability” เช่นการจัดตั้งกองทุนสนับสนุน หรือการบังคับให้บริษัทที่ใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สต้องมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา
    หากไม่มีการแก้ไขเชิงโครงสร้าง เราอาจเห็นซอฟต์แวร์สำคัญ ๆ ถูกทิ้งร้าง และนั่นหมายถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยระดับโลก

    FFmpeg ถูกใช้ทั่วโลก
    เป็นหัวใจของการเล่นและแปลงไฟล์วิดีโอ/เสียงใน VLC, Chrome, Firefox, YouTube ฯลฯ

    ทีมพัฒนาเป็นอาสาสมัครเกือบทั้งหมด
    ไม่มีสัญญา ไม่มีงบประมาณจากองค์กรใหญ่ แต่ต้องรับภาระการแก้ไขช่องโหว่

    Google ใช้ AI ตรวจพบบั๊กเก่าใน FFmpeg
    แม้เป็นปัญหากับเกมปี 1995 แต่ก็ต้องแก้ไขตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่

    กรณี libxml2 แสดงให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง
    ผู้ดูแลลาออกเพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่โดยไม่มีค่าตอบแทน

    แรงกดดันจากนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero
    กำหนดเวลา 90 วันในการแก้ไข แม้ทีมอาสาสมัครไม่มีทรัพยากรเพียงพอ

    ความเสี่ยงต่อความมั่นคงของระบบดิจิทัลโลก
    หากโครงการโอเพ่นซอร์สสำคัญถูกทิ้งร้าง อาจเกิดช่องโหว่ใหญ่ที่กระทบผู้ใช้ทั่วโลก

    https://thenewstack.io/ffmpeg-to-google-fund-us-or-stop-sending-bugs/
    📰 FFmpeg vs Google: เมื่อโอเพ่นซอร์สต้องการมากกว่าแรงอาสา ลองนึกภาพว่าโปรแกรมที่คุณใช้ดูหนัง ฟังเพลง หรือแม้แต่เบราว์เซอร์ที่เปิดทุกวัน ต่างก็พึ่งพา FFmpeg — เครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ทำหน้าที่แปลงและประมวลผลสื่อมัลติมีเดียแทบทุกชนิดบนโลกใบนี้ แต่เบื้องหลังความสะดวกสบายนี้คือทีมอาสาสมัครที่ทำงานฟรี และกำลังเผชิญแรงกดดันมหาศาลจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เรื่องราวเริ่มจากการที่ Google ใช้ AI ตรวจพบช่องโหว่เล็ก ๆ ใน FFmpeg ซึ่งแม้จะเป็นบั๊กที่เกี่ยวข้องกับเกมเก่าจากปี 1995 แต่ก็ถูกบังคับให้ต้องแก้ไขภายใต้กรอบเวลาเข้มงวดตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero นี่จึงกลายเป็นการถกเถียงใหญ่ในชุมชนโอเพ่นซอร์สว่า “ใครควรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและแรงงานในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้” น่าสนใจคือ FFmpeg ไม่ใช่รายเดียวที่เจอปัญหาแบบนี้ — ไลบรารีสำคัญอย่าง libxml2 ก็เพิ่งเสียผู้ดูแลหลักไป เพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีค่าตอบแทนได้อีกต่อไป มุมมองเพิ่มเติมจากภายนอก 🌍 🔰 ปัญหานี้สะท้อนความจริงว่า โอเพ่นซอร์สคือโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่โลกพึ่งพา แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ 🔰 หลายองค์กรเริ่มพูดถึงแนวคิด “Open Source Sustainability” เช่นการจัดตั้งกองทุนสนับสนุน หรือการบังคับให้บริษัทที่ใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สต้องมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา 🔰 หากไม่มีการแก้ไขเชิงโครงสร้าง เราอาจเห็นซอฟต์แวร์สำคัญ ๆ ถูกทิ้งร้าง และนั่นหมายถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยระดับโลก ✅ FFmpeg ถูกใช้ทั่วโลก ➡️ เป็นหัวใจของการเล่นและแปลงไฟล์วิดีโอ/เสียงใน VLC, Chrome, Firefox, YouTube ฯลฯ ✅ ทีมพัฒนาเป็นอาสาสมัครเกือบทั้งหมด ➡️ ไม่มีสัญญา ไม่มีงบประมาณจากองค์กรใหญ่ แต่ต้องรับภาระการแก้ไขช่องโหว่ ✅ Google ใช้ AI ตรวจพบบั๊กเก่าใน FFmpeg ➡️ แม้เป็นปัญหากับเกมปี 1995 แต่ก็ต้องแก้ไขตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ ✅ กรณี libxml2 แสดงให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ➡️ ผู้ดูแลลาออกเพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่โดยไม่มีค่าตอบแทน ‼️ แรงกดดันจากนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero ⛔ กำหนดเวลา 90 วันในการแก้ไข แม้ทีมอาสาสมัครไม่มีทรัพยากรเพียงพอ ‼️ ความเสี่ยงต่อความมั่นคงของระบบดิจิทัลโลก ⛔ หากโครงการโอเพ่นซอร์สสำคัญถูกทิ้งร้าง อาจเกิดช่องโหว่ใหญ่ที่กระทบผู้ใช้ทั่วโลก https://thenewstack.io/ffmpeg-to-google-fund-us-or-stop-sending-bugs/
    THENEWSTACK.IO
    FFmpeg to Google: Fund Us or Stop Sending Bugs
    A lively discussion about open source, security, and who pays the bills has erupted on Twitter.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทแถม
    “ฤทธิ์ยิว”

    (5)

    นี่เล่ามา เป็นการเจริญเติบโตของอิทธิพลยิว ก่อนอเมริกาจะมีประธานาธิบดี ชื่อ Woodlow Wilson ที่ได้รับสมญาว่า “สุดยอดตัวสำรอง” รองจากประธานาธิบดี Franklin D Roosevelt ที่ได้รับขนานนามว่า “เป็นสุดยอดขวัญใจ” ของอเมริกันยิว Wilson นั้น เป็นที่รู้กันว่าเขาใกล้ชิดกับพวกยิว และรัฐบาลของเขาอยู่ในมือพวกยิว Wilson รู้สึกจะเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาคนแรก ที่ยิวให้การสนับสนุนเต็มที่ ดันเต็มหลัง ทั้งด้านการเงิน และการอื่น นับเป็นม้าแข่ง ที่พวกยิวบอกว่า นำถ้วยรางวัลมาให้พวกเขาอย่างคุ้มการลงทุน

    พวกยิวมีจำนวนไม่กี่หยิบมือ แต่ไม่กี่หยิบมือนี้ ได้หยิบชิ้นปลามัน สร้างฐานอำนาจในปี 1912 เรียบร้อย Herzl อายุสั้น เลยไม่ได้นั่งบัลลังก์ใด แต่ผู้ที่เดินตามเจตนารมย์ของเขาดูเหมือนจะดำเนินการไม่พลาดเป้าหมาย ที่ Herzl กำหนดไว้

    – Oscar Straus ยิวเยอรมัน เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีในอเมริกา เขาได้ในสมัยประธานาธิบดี Roosevelt และต่อมาได้ไปเป็นทูต ประจำออตโตมาน ในสมัยของ Taft
    – Jacob Schiff หัวหน้าใหญ่ ของบริษัทการเงิน Kuhn, Loeb รายนี้คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ
    – Louis Marshall ไซออนนิสต์ ผู้ก่อตั้ง AJC
    – พี่น้องตระกูล Warburg: Paul, Felix และ Max ตระกูลนี้ก็คงไม่ต้องบรรยาย
    – Henry Morgenthau, Sr. ทนายความ พ่อของ Henry ซึ่งต่อมามีอิทธิพลมากกว่าพ่อ
    – Louis Brandeis ทนายความ ไซออนนิสต์ชนิดเข้ม ซึ่งต่อมามีอิทธิพลสูงยิ่ง
    – Samuel Untermyer ทนายความเขี้ยวยาว
    – Bernard Baruch นักการเงินจาก วอลสตรีท สุดยอดนักชักใย
    – Stephen Wise นักบวชยิวออสเตรียนและ ไซออนนิสต์อย่างเข้มข้น
    – Richard Gottheil นักบวชยิวอังกฤษ และ ไซออนนิสต์

    นี่เป็นตาข่ายยิวตัวสำคัญ เฉพาะฝั่งอเมริกาเท่านั้น ยังมีทางฝั่งอังกฤษ และยุโรปที่ทำงานกันเป็นเครือข่ายอีกไม่น้อย

    พวกที่ใช้อำนาจอันร้ายกาจของก ระเป๋าเงิน รายใหญ่ที่สำแดงเดชช่วย Wilson คือ Henry Morgenthau, Jacob Schiff, Samuel Untermyer และหน้าใหม่แต่มาแรง คือ Bernard Baruch ส่วนบทบาทของ Warburg นั้นน่าสนใจ เขาน่าจะเป็นมันสมองให้ยิว ทั้งฝั่งอเมริกา ยุโรป โดยเฉพาะเยอรมัน และ Federal Reserve System ของอเมริกา เป็นผลงานของ Paul Warburg ล้วนๆ

    Morgenthau สนับสนุน ม้าชื่อ Wilson ตั้งแต่ Wilson ยังเป็นผู้ว่าการนิวเจอร์ซี เขาจ่ายเงินดูแล Wilson เป็นรายเดือน เป็นที่รู้กันว่า Morgenthau สนับสนุน Wilson แบบไม่มีอั้น และเมื่อ Wilson ได้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1912 เขาก็ตอบแทน Morgenthau แบบไม่อั้นเช่นเดียวกัน Morgenthau ได้ไปเป็นทูตอเมริกา ประจำที่ออตโตมานตามคาด เพื่อดูแลปาเลสไตน์

    ส่วน Louise Brandis ได้รับเสนอชื่อให้เป็นผู้พิพากษาศาลสูง เป็นยิวคนแรกในวงการยุติธรรม เขาเป็นอยู่ 23 ปีและมีบทบาทสำคัญในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง แต่ที่มาของการได้ตำแหน่งของเขา ค่อนข้างพิเศษกว่าใคร

    มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อ Wilson ได้นั่งเก้าอี้ตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี 1914 ไม่กี่วัน เขามียิวรุ่นใหญ่ ที่อยู่ในกลุ่มเจ้าของกระเป๋าที่ สนับสนุน Wilson มาขอพบ คือ Samuel Untermeyer ซึ่งเป็นทนาย ของสำนักงาน Guggemheim, Untermeyer & Marshall ที่ดูแลด้านกฏหมายให้แก่ Kuhn, Loeb & Co
    Untermeyer บอกกับ Wilson ว่า เขามีลูกความที่เป็นภรรยา ของอาจารย์ ที่สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Princton ช่วงเดียวกับที่ Wilson สอน และลูกความของเขาขอให้แจ้งกับ Wilson ว่า เธอยินดีที่จะรับเงิน 40,000 เหรียญ แทนการฟ้องร้อง Wilson เรื่องการผิดสัญญา แล้ว Untermeyer ก็ควักจดหมายมัดใหญ่ ยื่นให้ Wilson มันเป็นจดหมายที่ Wilson เขียนถึงเมียของเพื่อนร่วมงาน Wilson จำลายมือตัวเองได้ แต่เขาบอกว่า เขาไม่มีเงิน 40,000 เหรียญที่จะจ่ายให้กับคนที่แบล๊กเมล์เขา Untermeyer บอกไม่เป็นไรหรอก ท่านประธานาธิบดี เรื่องเงินจำนวนนี้ ผมจะเป็นคนจัดการแทนท่านเอง แต่ผมขอให้ท่านรับปากว่า เมื่อมีตำแหน่งในศาลสูงว่างเมื่อ ไหร่ ขอให้แต่งตั้ง ไซออนนิสต์ ยิวเคร่ง ชื่อ Louise Dembitz Brandeis ก็แล้วกัน Wilson ก็รับปาก หลังจากนั้น ไม่ถึงปี วันที่ 5 มิถุนายน 1915 Louise Brandeis ก็ได้รับเลือกเป็นผู้พิพากษาศาลสูง

    แต่คนที่ได้ตำแหน่ง และมีบทบาทโดดเด่นที่สุด คือ Bernard Baruch ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 Baruch โผล่มาจากไหนไม่มีใครรู้ อยู่ดีๆ ก็หยิบชิ้นปลามัน ในปี คศ 1915 อังกฤษทำสงครามกับเยอรมันแล้ว แต่อเมริกายังเป็นกลาง Baruch เตือนให้อเมริกาเตรียมพร้อมสำหรับเข้าสงคราม เขาหงุดหงิดว่า อเมริกาไม่เตรียมอะไรเลย เขาเชื่อว่าอเมริกาต้องถูกลากเข้าไปทำสงครามแน่นอน และจะมาเร็วกว่าที่คิด และคงเป็นเรื่องของนางฟ้าเศก Baruch ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า สภากลาโหม Council of National Defense ในต้นปี คศ 1916 เขาเข้าไปควบคุม หน่วยงานน่าสนใจคือ คณกรรมการสำหรับกิจการสงคราม War Industries Board (WIB) ซึ่งในเวลาสงคราม หน่วยงานนี้จะมีอำนาจล้นฟ้า และ Baruch คนเดียวโดดๆ เป็นคนคุม และกุมแน่นหน่วยงานนี้ตลอดช่วงเวลาสงคราม

    ในคำให้การของ Baruch ต่อวุฒิสมาชิก Albert Jefferies เขาสรุป บทบาทของเขาดังนี้:

    ” ผมเป็นคนดูแลตัดสินใจ ว่า จะให้ใคร หน่วยงานไหน ได้อะไร การตัดสินใจอยู่ที่ผม ท่านประธานาธิบดี มอบหมายให้ผมเป็นคนตัดสินใจ ว่า กองทัพบก หรือ กองทัพเรือ ควรจะได้อะไร หรือ การรถไฟ ควรมีอะไร หรือ ฝ่ายสัมพันธมิตร หรือ ท่านนายพล Allenby ควรมีรถไฟหรือไม่ หรือควรเอาไปใช้ที่รัสเซีย หรือใช้ที่ฝรั่งเศส ใช่ ผมมีอำนาจมาก ผมอาจมีอำนาจมากกว่าที่ใครๆเคยมีในสงคราม มันน่าสงสัย แต่มันเป็นเรื่องจริง”
    ก็น่าสงสัยจริงอยู่หรอก ว่า คนหนุ่มชาวยิว ที่ไม่เคยได้ลงเลือกตั้งอะไรเลย ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองแม้แต่น้อย แต่ในยามวิกฤติ เขากลายเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในรัฐบาล รองมาจากประธานาธิบดี บทบาทของเขาตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ว่าใหญ่แล้ว แต่นั่นมันเป็นแค่การซ้อมใหญ่ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Franklin D Roosevelt เป็นประธานาธิบดี Baruch ในฐานะ หัวหน้า สำนักงาน War Mobilization ดูเหมือนจะใหญ่มากกว่า และในฐานะที่เขาได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของท่านหลอด Winston Churchill ของอังกฤษด้วย “Barney” ก็กลายเป็นชื่อ ที่ใครๆ ก็ต้องเรียกหา

    ####################
    “ฤทธิ์ยิว”

    (6)

    สงครามโลกครั้งที่ 1 ตีระฆังเริ่ม ในเดือนสิงหาคม 1914 เมื่อกองทัพเยอรมันเคลื่อนพลผ่านเข้าไปในเขตแดนของเบลเยี่ยม ที่ประกาศตัวเป็นกลาง โดยมีเป้าหมายปลายทางคือฝรั่งเศส หลังจากนั้นหลายประเทศก็ทยอยกันเข้าสู่สงคราม ถึงปลายปี 1914 ประมาณ 10 ประเทศ ก็อยู่ในสภาวะสงคราม แต่อเมริกา ยังใช้ยโนบายเป็นกลางอยู่ต่อไป อีกเกือบ 2 ปีครึ่ง สุนทรพจน์ของ Wilson เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม คศ 1914 หลังจากสงครามเริ่มหมาดๆ ประกาศชัดหูคนอเมริกัน ว่า”…เรามีหน้าที่ ที่จะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ ที่มีความสงบ…” และเมื่อตอนหาเสียง ที่จะเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 ในปี 1916 คำขวัญของ Wilson ที่บอกว่า เขาไม่พาเราเข้าสงคราม he kept us out of war ยังก้องหูคนอเมริกันอยู่

    แต่แล้วในวันที่ 2 เมษายน 1917 Wilson ก็เลี้ยวออกนอกเส้นทางกระทันหัน ประกาศสงครามกับเยอรมัน ชาวบ้านอเมริกันตามไม่ทันหัวทิ่มกันเป็นแถว โผคำอธิบาย ที่วงในรัฐบาลสั่งให้สื่อกระป๋องสีตรายิว ช่วยกันโหม คือ เนื่องมาจากการกระทำอันป่าเถื่อนของเยอรมัน ที่ใช้ตอร์ปิโดยิงเรือโดยสารและเรือบรรทุกสินค้าของอเมริกัน และเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออีกแล้ว นอกจากทำสงครามกับไอ้พวกเถื่อนนั้น ทั้งข่าว ทั้งภาพ ดุเดือดถึงใจ
    อันที่จริงเมื่อเริ่มสงครามใหม่ๆ เยอรมันยิงตอร์ปิโดร์ใส่เรือบรรทุกสินค้าของฝ่ายสัมพันธมิตรจริง แต่เมื่อ Wilson ทำการประท้วงเมื่อเดือนสิงหาคม 1915 เยอรมันก็หยุดยิง เยอรมันหยุดยิงไปนานพอสมควร จนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 1917 และตลอดเวลาที่เยอรมันหยุดยิง อเมริกาก็ค้าขายกับอังกฤษ ศัตรูของเยอรมัน อย่างสบายใจ ส่งสินค้าเพื่อสงครามให้อังกฤษ แถมช่วยอังกฤษ บล๊อกเส้นทางเดินเรือส่งสินค้าของเยอรมันอีกด้วย ก็ไม่น่าแปลกใจ ที่ในที่สุดเยอรมัน ก็กลับมายิงเรือทุกลำไม่ว่าของชาติไหน ที่ผ่านมาในเขต war zone

    แล้วตกลงสาเหตุ ของการประกาศเข้าสู่สงครามของอเมริกา จริงๆมันคืออะไรกันแน่

    วุฒิสมาชิก George Norris บอกว่า คนอเมริกัน ถูกทำให้เข้วจากประวัติศาสตร์ และจากความจริงที่มาจากการที่พวกนักการเงินวอลสตรีท ให้เงินกู้จำนวนมหึมากับพวกสัมพันธมิตร และแน่นอนพวกนี้กลัวหนี้สูญ ทั้งๆที่พวกเขาก็ทำกำไรได้มากมายจากการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ กลุ่มพวกนี้แหละ ที่ใช้ให้พวกสื่อกระป๋องสี ละเลงเสียจนคนอเมริกัน เปลี่ยนใจ อยากจะทำสงครามกันไปหมด ทุกสงครามมีแต่ความหายนะ…. เรา เข้าสู่สงครามเพราะคำสั่งของทอง และใครล่ะที่มีทอง …

    อำนาจ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ บางทีการสร้างภาพว่า มีอำนาจ ก็ทำให้กลายเป็นมีอำนาจจริงไปได้ ถ้ามีคนเชื่อ พวกยิวขณะนั้น ไม่มีกองทัพของตนเอง ไม่มีประเทศของตนเอง แถม มีเรื่องขัดแย้งเกิดอยู่ในหลายประเทศ และในหลายประเทศนั้น มีชาวยิว อยู่จำนวนน้อยมาก ไม่เกิน 1 หรือ 2 % ของจำนวนพลเมืองในประเทศนั้นๆ แต่คนจำนวนเท่าหยิบมือนี้ สามารถบงการนโยบายต่างประเทศได้ สามารถจุดชนวนสงครามได้ และสามารถชี้นำ หรือคัดท้ายผลของสงครามนั้นได้อีกด้วย ตัวอย่างที่เห็น คือ การที่อเมริกายกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ในปี 1911, การเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกา ในปี 1912 และอีกหลายเรื่องที่จะเล่าต่อไป

    แต่สิ่งสำคัญ ที่ทำให้คน “เชื่อ” ในภาพที่สร้างนั้น เป็นผลงานของสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทใด พวกยิวซื้อ ครอบครอง และควบคุมไว้หมดสิ้น และใช้อย่างได้ผลเลิศ เป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้าม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    8 มิ.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทแถม “ฤทธิ์ยิว” (5) นี่เล่ามา เป็นการเจริญเติบโตของอิทธิพลยิว ก่อนอเมริกาจะมีประธานาธิบดี ชื่อ Woodlow Wilson ที่ได้รับสมญาว่า “สุดยอดตัวสำรอง” รองจากประธานาธิบดี Franklin D Roosevelt ที่ได้รับขนานนามว่า “เป็นสุดยอดขวัญใจ” ของอเมริกันยิว Wilson นั้น เป็นที่รู้กันว่าเขาใกล้ชิดกับพวกยิว และรัฐบาลของเขาอยู่ในมือพวกยิว Wilson รู้สึกจะเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาคนแรก ที่ยิวให้การสนับสนุนเต็มที่ ดันเต็มหลัง ทั้งด้านการเงิน และการอื่น นับเป็นม้าแข่ง ที่พวกยิวบอกว่า นำถ้วยรางวัลมาให้พวกเขาอย่างคุ้มการลงทุน พวกยิวมีจำนวนไม่กี่หยิบมือ แต่ไม่กี่หยิบมือนี้ ได้หยิบชิ้นปลามัน สร้างฐานอำนาจในปี 1912 เรียบร้อย Herzl อายุสั้น เลยไม่ได้นั่งบัลลังก์ใด แต่ผู้ที่เดินตามเจตนารมย์ของเขาดูเหมือนจะดำเนินการไม่พลาดเป้าหมาย ที่ Herzl กำหนดไว้ – Oscar Straus ยิวเยอรมัน เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีในอเมริกา เขาได้ในสมัยประธานาธิบดี Roosevelt และต่อมาได้ไปเป็นทูต ประจำออตโตมาน ในสมัยของ Taft – Jacob Schiff หัวหน้าใหญ่ ของบริษัทการเงิน Kuhn, Loeb รายนี้คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ – Louis Marshall ไซออนนิสต์ ผู้ก่อตั้ง AJC – พี่น้องตระกูล Warburg: Paul, Felix และ Max ตระกูลนี้ก็คงไม่ต้องบรรยาย – Henry Morgenthau, Sr. ทนายความ พ่อของ Henry ซึ่งต่อมามีอิทธิพลมากกว่าพ่อ – Louis Brandeis ทนายความ ไซออนนิสต์ชนิดเข้ม ซึ่งต่อมามีอิทธิพลสูงยิ่ง – Samuel Untermyer ทนายความเขี้ยวยาว – Bernard Baruch นักการเงินจาก วอลสตรีท สุดยอดนักชักใย – Stephen Wise นักบวชยิวออสเตรียนและ ไซออนนิสต์อย่างเข้มข้น – Richard Gottheil นักบวชยิวอังกฤษ และ ไซออนนิสต์ นี่เป็นตาข่ายยิวตัวสำคัญ เฉพาะฝั่งอเมริกาเท่านั้น ยังมีทางฝั่งอังกฤษ และยุโรปที่ทำงานกันเป็นเครือข่ายอีกไม่น้อย พวกที่ใช้อำนาจอันร้ายกาจของก ระเป๋าเงิน รายใหญ่ที่สำแดงเดชช่วย Wilson คือ Henry Morgenthau, Jacob Schiff, Samuel Untermyer และหน้าใหม่แต่มาแรง คือ Bernard Baruch ส่วนบทบาทของ Warburg นั้นน่าสนใจ เขาน่าจะเป็นมันสมองให้ยิว ทั้งฝั่งอเมริกา ยุโรป โดยเฉพาะเยอรมัน และ Federal Reserve System ของอเมริกา เป็นผลงานของ Paul Warburg ล้วนๆ Morgenthau สนับสนุน ม้าชื่อ Wilson ตั้งแต่ Wilson ยังเป็นผู้ว่าการนิวเจอร์ซี เขาจ่ายเงินดูแล Wilson เป็นรายเดือน เป็นที่รู้กันว่า Morgenthau สนับสนุน Wilson แบบไม่มีอั้น และเมื่อ Wilson ได้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1912 เขาก็ตอบแทน Morgenthau แบบไม่อั้นเช่นเดียวกัน Morgenthau ได้ไปเป็นทูตอเมริกา ประจำที่ออตโตมานตามคาด เพื่อดูแลปาเลสไตน์ ส่วน Louise Brandis ได้รับเสนอชื่อให้เป็นผู้พิพากษาศาลสูง เป็นยิวคนแรกในวงการยุติธรรม เขาเป็นอยู่ 23 ปีและมีบทบาทสำคัญในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง แต่ที่มาของการได้ตำแหน่งของเขา ค่อนข้างพิเศษกว่าใคร มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อ Wilson ได้นั่งเก้าอี้ตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี 1914 ไม่กี่วัน เขามียิวรุ่นใหญ่ ที่อยู่ในกลุ่มเจ้าของกระเป๋าที่ สนับสนุน Wilson มาขอพบ คือ Samuel Untermeyer ซึ่งเป็นทนาย ของสำนักงาน Guggemheim, Untermeyer & Marshall ที่ดูแลด้านกฏหมายให้แก่ Kuhn, Loeb & Co Untermeyer บอกกับ Wilson ว่า เขามีลูกความที่เป็นภรรยา ของอาจารย์ ที่สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Princton ช่วงเดียวกับที่ Wilson สอน และลูกความของเขาขอให้แจ้งกับ Wilson ว่า เธอยินดีที่จะรับเงิน 40,000 เหรียญ แทนการฟ้องร้อง Wilson เรื่องการผิดสัญญา แล้ว Untermeyer ก็ควักจดหมายมัดใหญ่ ยื่นให้ Wilson มันเป็นจดหมายที่ Wilson เขียนถึงเมียของเพื่อนร่วมงาน Wilson จำลายมือตัวเองได้ แต่เขาบอกว่า เขาไม่มีเงิน 40,000 เหรียญที่จะจ่ายให้กับคนที่แบล๊กเมล์เขา Untermeyer บอกไม่เป็นไรหรอก ท่านประธานาธิบดี เรื่องเงินจำนวนนี้ ผมจะเป็นคนจัดการแทนท่านเอง แต่ผมขอให้ท่านรับปากว่า เมื่อมีตำแหน่งในศาลสูงว่างเมื่อ ไหร่ ขอให้แต่งตั้ง ไซออนนิสต์ ยิวเคร่ง ชื่อ Louise Dembitz Brandeis ก็แล้วกัน Wilson ก็รับปาก หลังจากนั้น ไม่ถึงปี วันที่ 5 มิถุนายน 1915 Louise Brandeis ก็ได้รับเลือกเป็นผู้พิพากษาศาลสูง แต่คนที่ได้ตำแหน่ง และมีบทบาทโดดเด่นที่สุด คือ Bernard Baruch ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 Baruch โผล่มาจากไหนไม่มีใครรู้ อยู่ดีๆ ก็หยิบชิ้นปลามัน ในปี คศ 1915 อังกฤษทำสงครามกับเยอรมันแล้ว แต่อเมริกายังเป็นกลาง Baruch เตือนให้อเมริกาเตรียมพร้อมสำหรับเข้าสงคราม เขาหงุดหงิดว่า อเมริกาไม่เตรียมอะไรเลย เขาเชื่อว่าอเมริกาต้องถูกลากเข้าไปทำสงครามแน่นอน และจะมาเร็วกว่าที่คิด และคงเป็นเรื่องของนางฟ้าเศก Baruch ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า สภากลาโหม Council of National Defense ในต้นปี คศ 1916 เขาเข้าไปควบคุม หน่วยงานน่าสนใจคือ คณกรรมการสำหรับกิจการสงคราม War Industries Board (WIB) ซึ่งในเวลาสงคราม หน่วยงานนี้จะมีอำนาจล้นฟ้า และ Baruch คนเดียวโดดๆ เป็นคนคุม และกุมแน่นหน่วยงานนี้ตลอดช่วงเวลาสงคราม ในคำให้การของ Baruch ต่อวุฒิสมาชิก Albert Jefferies เขาสรุป บทบาทของเขาดังนี้: ” ผมเป็นคนดูแลตัดสินใจ ว่า จะให้ใคร หน่วยงานไหน ได้อะไร การตัดสินใจอยู่ที่ผม ท่านประธานาธิบดี มอบหมายให้ผมเป็นคนตัดสินใจ ว่า กองทัพบก หรือ กองทัพเรือ ควรจะได้อะไร หรือ การรถไฟ ควรมีอะไร หรือ ฝ่ายสัมพันธมิตร หรือ ท่านนายพล Allenby ควรมีรถไฟหรือไม่ หรือควรเอาไปใช้ที่รัสเซีย หรือใช้ที่ฝรั่งเศส ใช่ ผมมีอำนาจมาก ผมอาจมีอำนาจมากกว่าที่ใครๆเคยมีในสงคราม มันน่าสงสัย แต่มันเป็นเรื่องจริง” ก็น่าสงสัยจริงอยู่หรอก ว่า คนหนุ่มชาวยิว ที่ไม่เคยได้ลงเลือกตั้งอะไรเลย ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองแม้แต่น้อย แต่ในยามวิกฤติ เขากลายเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในรัฐบาล รองมาจากประธานาธิบดี บทบาทของเขาตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ว่าใหญ่แล้ว แต่นั่นมันเป็นแค่การซ้อมใหญ่ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Franklin D Roosevelt เป็นประธานาธิบดี Baruch ในฐานะ หัวหน้า สำนักงาน War Mobilization ดูเหมือนจะใหญ่มากกว่า และในฐานะที่เขาได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของท่านหลอด Winston Churchill ของอังกฤษด้วย “Barney” ก็กลายเป็นชื่อ ที่ใครๆ ก็ต้องเรียกหา #################### “ฤทธิ์ยิว” (6) สงครามโลกครั้งที่ 1 ตีระฆังเริ่ม ในเดือนสิงหาคม 1914 เมื่อกองทัพเยอรมันเคลื่อนพลผ่านเข้าไปในเขตแดนของเบลเยี่ยม ที่ประกาศตัวเป็นกลาง โดยมีเป้าหมายปลายทางคือฝรั่งเศส หลังจากนั้นหลายประเทศก็ทยอยกันเข้าสู่สงคราม ถึงปลายปี 1914 ประมาณ 10 ประเทศ ก็อยู่ในสภาวะสงคราม แต่อเมริกา ยังใช้ยโนบายเป็นกลางอยู่ต่อไป อีกเกือบ 2 ปีครึ่ง สุนทรพจน์ของ Wilson เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม คศ 1914 หลังจากสงครามเริ่มหมาดๆ ประกาศชัดหูคนอเมริกัน ว่า”…เรามีหน้าที่ ที่จะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ ที่มีความสงบ…” และเมื่อตอนหาเสียง ที่จะเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 ในปี 1916 คำขวัญของ Wilson ที่บอกว่า เขาไม่พาเราเข้าสงคราม he kept us out of war ยังก้องหูคนอเมริกันอยู่ แต่แล้วในวันที่ 2 เมษายน 1917 Wilson ก็เลี้ยวออกนอกเส้นทางกระทันหัน ประกาศสงครามกับเยอรมัน ชาวบ้านอเมริกันตามไม่ทันหัวทิ่มกันเป็นแถว โผคำอธิบาย ที่วงในรัฐบาลสั่งให้สื่อกระป๋องสีตรายิว ช่วยกันโหม คือ เนื่องมาจากการกระทำอันป่าเถื่อนของเยอรมัน ที่ใช้ตอร์ปิโดยิงเรือโดยสารและเรือบรรทุกสินค้าของอเมริกัน และเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออีกแล้ว นอกจากทำสงครามกับไอ้พวกเถื่อนนั้น ทั้งข่าว ทั้งภาพ ดุเดือดถึงใจ อันที่จริงเมื่อเริ่มสงครามใหม่ๆ เยอรมันยิงตอร์ปิโดร์ใส่เรือบรรทุกสินค้าของฝ่ายสัมพันธมิตรจริง แต่เมื่อ Wilson ทำการประท้วงเมื่อเดือนสิงหาคม 1915 เยอรมันก็หยุดยิง เยอรมันหยุดยิงไปนานพอสมควร จนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 1917 และตลอดเวลาที่เยอรมันหยุดยิง อเมริกาก็ค้าขายกับอังกฤษ ศัตรูของเยอรมัน อย่างสบายใจ ส่งสินค้าเพื่อสงครามให้อังกฤษ แถมช่วยอังกฤษ บล๊อกเส้นทางเดินเรือส่งสินค้าของเยอรมันอีกด้วย ก็ไม่น่าแปลกใจ ที่ในที่สุดเยอรมัน ก็กลับมายิงเรือทุกลำไม่ว่าของชาติไหน ที่ผ่านมาในเขต war zone แล้วตกลงสาเหตุ ของการประกาศเข้าสู่สงครามของอเมริกา จริงๆมันคืออะไรกันแน่ วุฒิสมาชิก George Norris บอกว่า คนอเมริกัน ถูกทำให้เข้วจากประวัติศาสตร์ และจากความจริงที่มาจากการที่พวกนักการเงินวอลสตรีท ให้เงินกู้จำนวนมหึมากับพวกสัมพันธมิตร และแน่นอนพวกนี้กลัวหนี้สูญ ทั้งๆที่พวกเขาก็ทำกำไรได้มากมายจากการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ กลุ่มพวกนี้แหละ ที่ใช้ให้พวกสื่อกระป๋องสี ละเลงเสียจนคนอเมริกัน เปลี่ยนใจ อยากจะทำสงครามกันไปหมด ทุกสงครามมีแต่ความหายนะ…. เรา เข้าสู่สงครามเพราะคำสั่งของทอง และใครล่ะที่มีทอง … อำนาจ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ บางทีการสร้างภาพว่า มีอำนาจ ก็ทำให้กลายเป็นมีอำนาจจริงไปได้ ถ้ามีคนเชื่อ พวกยิวขณะนั้น ไม่มีกองทัพของตนเอง ไม่มีประเทศของตนเอง แถม มีเรื่องขัดแย้งเกิดอยู่ในหลายประเทศ และในหลายประเทศนั้น มีชาวยิว อยู่จำนวนน้อยมาก ไม่เกิน 1 หรือ 2 % ของจำนวนพลเมืองในประเทศนั้นๆ แต่คนจำนวนเท่าหยิบมือนี้ สามารถบงการนโยบายต่างประเทศได้ สามารถจุดชนวนสงครามได้ และสามารถชี้นำ หรือคัดท้ายผลของสงครามนั้นได้อีกด้วย ตัวอย่างที่เห็น คือ การที่อเมริกายกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ในปี 1911, การเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกา ในปี 1912 และอีกหลายเรื่องที่จะเล่าต่อไป แต่สิ่งสำคัญ ที่ทำให้คน “เชื่อ” ในภาพที่สร้างนั้น เป็นผลงานของสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทใด พวกยิวซื้อ ครอบครอง และควบคุมไว้หมดสิ้น และใช้อย่างได้ผลเลิศ เป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้าม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 8 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เมื่อข้อมูลส่วนตัวออนไลน์ กลายเป็นเป้าหมายของตำรวจ "

    คุณอาจคิดว่าข้อมูลส่วนตัวของคุณบนโลกออนไลน์ปลอดภัย แต่ความจริงคือ ตำรวจสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้หลายวิธี—ทั้งแบบมีหมายศาลและแบบไม่ต้องขออนุญาตจากใครเลย! มาดูกันว่าเขาทำได้อย่างไร และเราจะป้องกันตัวเองได้อย่างไร

    วิธีที่ตำรวจใช้เข้าถึงข้อมูลของคุณ
    ข้อมูลผู้ใช้งาน (Subscriber Info)
    ใช้ “หมายเรียก” (Subpoena) ซึ่งไม่ต้องผ่านศาลก่อน
    สามารถถูกท้าทายก่อนเปิดเผยได้

    ข้อมูลเมตา (Metadata)
    ใช้ “คำสั่งศาล” หรือ “หมายเรียก” ต้องมีเหตุผลเฉพาะเจาะจง

    ข้อมูลที่เก็บไว้ (Stored Content)
    ใช้ “หมายค้น” (Search Warrant) ต้องมี “เหตุอันควรเชื่อ” ว่ามีหลักฐาน
    ไม่สามารถท้าทายก่อนเปิดเผยได้

    ข้อมูลระหว่างส่ง (Content in Transit)
    ใช้ “Super Warrant” ต้องมีเหตุผลมากกว่าแบบอื่น
    ต้องพิสูจน์ว่าไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่า และต้องลดการเก็บข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้อง

    วิธีที่ตำรวจใช้เก็บข้อมูลโดยไม่ต้องผ่านศาล
    ใช้เครื่องมือเฝ้าระวังโซเชียลมีเดียและบัญชีปลอม
    เพื่อดูข้อมูลที่คุณโพสต์ แม้จะอยู่ในกลุ่ม “ส่วนตัว”

    ดักฟังการสื่อสารผ่านเครือข่าย
    เก็บข้อมูลเมตาและอาจถอดรหัสบางส่วนได้

    ซื้อข้อมูลจาก “นายหน้าข้อมูล” (Data Brokers)
    ไม่มีข้อจำกัดหรือการกำกับดูแลที่ชัดเจน

    วิธีที่ผู้ให้บริการควรปกป้องคุณ
    ทำตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด
    ไม่ให้ข้อมูลโดยสมัครใจหรือยกเว้นกฎ

    ท้าทายคำขอที่ไม่เหมาะสม
    หากคำขอเกินขอบเขตหรือละเมิดสิทธิ์ ควรสู้ในศาล

    แจ้งผู้ใช้เมื่อมีคำขอข้อมูล (ถ้าไม่ถูกห้าม)
    เพื่อให้ผู้ใช้เตรียมตัวและขอความช่วยเหลือทางกฎหมาย

    เขียนนโยบายความเป็นส่วนตัวให้ชัดเจน
    ไม่ใช้ถ้อยคำคลุมเครือ เช่น “เมื่อเหมาะสม”

    ลดการเก็บข้อมูลที่ไม่จำเป็น
    ยิ่งเก็บมาก ยิ่งเสี่ยงถูกเรียกข้อมูลหรือถูกแฮก

    ลบข้อมูลอัตโนมัติเมื่อไม่จำเป็น
    เช่น ลบ log การใช้งานหลัง 30 วัน

    หลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลกับบริการอื่น
    โดยเฉพาะบริการโฆษณาหรือ third-party login

    ใช้การเข้ารหัสแบบปลายทางถึงปลายทาง (End-to-End Encryption)
    เช่น แอป Signal ที่เปิดเผยข้อมูลได้เพียงเบอร์โทร วันสร้างบัญชี และวันเข้าใช้งานล่าสุด

    สิ่งที่ผู้ใช้ควรทำเพื่อปกป้องตัวเอง
    เลือกใช้บริการที่เชื่อถือได้และมีนโยบายชัดเจน
    ตรวจสอบว่าผู้ให้บริการมีแนวทางปกป้องข้อมูล

    ปรับตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้รัดกุม
    ปิดการแชร์ข้อมูลที่ไม่จำเป็น

    ใช้เครื่องมือเสริม เช่น Privacy Badger
    เพื่อบล็อกการติดตามจากเว็บไซต์ต่างๆ

    ให้ความรู้และแบ่งปันกับคนรอบข้าง
    เพราะความเป็นส่วนตัวคือ “กีฬาทีม” ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว

    https://www.eff.org/deeplinks/2025/06/how-cops-can-get-your-private-online-data
    🔐 "เมื่อข้อมูลส่วนตัวออนไลน์ กลายเป็นเป้าหมายของตำรวจ 👮‍♂️💻" คุณอาจคิดว่าข้อมูลส่วนตัวของคุณบนโลกออนไลน์ปลอดภัย แต่ความจริงคือ ตำรวจสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้หลายวิธี—ทั้งแบบมีหมายศาลและแบบไม่ต้องขออนุญาตจากใครเลย! มาดูกันว่าเขาทำได้อย่างไร และเราจะป้องกันตัวเองได้อย่างไร 📥 วิธีที่ตำรวจใช้เข้าถึงข้อมูลของคุณ ✅ ข้อมูลผู้ใช้งาน (Subscriber Info) ➡️ ใช้ “หมายเรียก” (Subpoena) ซึ่งไม่ต้องผ่านศาลก่อน ➡️ สามารถถูกท้าทายก่อนเปิดเผยได้ ✅ ข้อมูลเมตา (Metadata) ➡️ ใช้ “คำสั่งศาล” หรือ “หมายเรียก” ต้องมีเหตุผลเฉพาะเจาะจง ✅ ข้อมูลที่เก็บไว้ (Stored Content) ➡️ ใช้ “หมายค้น” (Search Warrant) ต้องมี “เหตุอันควรเชื่อ” ว่ามีหลักฐาน ➡️ ไม่สามารถท้าทายก่อนเปิดเผยได้ ✅ ข้อมูลระหว่างส่ง (Content in Transit) ➡️ ใช้ “Super Warrant” ต้องมีเหตุผลมากกว่าแบบอื่น ➡️ ต้องพิสูจน์ว่าไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่า และต้องลดการเก็บข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้อง 🕵️‍♂️ วิธีที่ตำรวจใช้เก็บข้อมูลโดยไม่ต้องผ่านศาล ‼️ ใช้เครื่องมือเฝ้าระวังโซเชียลมีเดียและบัญชีปลอม ⛔ เพื่อดูข้อมูลที่คุณโพสต์ แม้จะอยู่ในกลุ่ม “ส่วนตัว” ‼️ ดักฟังการสื่อสารผ่านเครือข่าย ⛔ เก็บข้อมูลเมตาและอาจถอดรหัสบางส่วนได้ ‼️ ซื้อข้อมูลจาก “นายหน้าข้อมูล” (Data Brokers) ⛔ ไม่มีข้อจำกัดหรือการกำกับดูแลที่ชัดเจน 🛡️ วิธีที่ผู้ให้บริการควรปกป้องคุณ ✅ ทำตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด ➡️ ไม่ให้ข้อมูลโดยสมัครใจหรือยกเว้นกฎ ✅ ท้าทายคำขอที่ไม่เหมาะสม ➡️ หากคำขอเกินขอบเขตหรือละเมิดสิทธิ์ ควรสู้ในศาล ✅ แจ้งผู้ใช้เมื่อมีคำขอข้อมูล (ถ้าไม่ถูกห้าม) ➡️ เพื่อให้ผู้ใช้เตรียมตัวและขอความช่วยเหลือทางกฎหมาย ✅ เขียนนโยบายความเป็นส่วนตัวให้ชัดเจน ➡️ ไม่ใช้ถ้อยคำคลุมเครือ เช่น “เมื่อเหมาะสม” ✅ ลดการเก็บข้อมูลที่ไม่จำเป็น ➡️ ยิ่งเก็บมาก ยิ่งเสี่ยงถูกเรียกข้อมูลหรือถูกแฮก ✅ ลบข้อมูลอัตโนมัติเมื่อไม่จำเป็น ➡️ เช่น ลบ log การใช้งานหลัง 30 วัน ✅ หลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลกับบริการอื่น ➡️ โดยเฉพาะบริการโฆษณาหรือ third-party login ✅ ใช้การเข้ารหัสแบบปลายทางถึงปลายทาง (End-to-End Encryption) ➡️ เช่น แอป Signal ที่เปิดเผยข้อมูลได้เพียงเบอร์โทร วันสร้างบัญชี และวันเข้าใช้งานล่าสุด 🧍‍♀️ สิ่งที่ผู้ใช้ควรทำเพื่อปกป้องตัวเอง ✅ เลือกใช้บริการที่เชื่อถือได้และมีนโยบายชัดเจน ➡️ ตรวจสอบว่าผู้ให้บริการมีแนวทางปกป้องข้อมูล ✅ ปรับตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้รัดกุม ➡️ ปิดการแชร์ข้อมูลที่ไม่จำเป็น ✅ ใช้เครื่องมือเสริม เช่น Privacy Badger ➡️ เพื่อบล็อกการติดตามจากเว็บไซต์ต่างๆ ✅ ให้ความรู้และแบ่งปันกับคนรอบข้าง ➡️ เพราะความเป็นส่วนตัวคือ “กีฬาทีม” ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว https://www.eff.org/deeplinks/2025/06/how-cops-can-get-your-private-online-data
    WWW.EFF.ORG
    How Cops Can Get Your Private Online Data
    Can the cops get your online data? In short, yes. There are a variety of US federal and state laws which give law enforcement powers to obtain information that you provided to online services. But, there are steps you as a user and/or as a service provider can take to improve online privacy.Law...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทแถม
    “ฤทธิ์ยิว”

    (1)

    เรามักจะได้ยินการกล่าวถึงยิวในเชิงลบมากกว่าบวก สำหรับเราส่วนใหญ่ในแดนสยาม ชาวยิวที่เราพอคุ้นหู รุ่นแรกๆ คือ ไชล๊อก พ่อค้าชาวยิว ในหนังสือเรื่อง เวนิสวาณิช ซึ่งพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงแปลจาก The Merchant of Venice ของเชคสปียร์ เป็นหนังสืออ่านอยู่ในหลักสูตรก ระทรวงศึกษา สำหรับชั้นมัธยม เมื่อประมาณกว่า 60 ปีมาแล้ว ผมก็ต้องเรียน และจำได้ว่า จะมีคำพูดติดปากคนรุ่นผม เวลาใครเค็มจัด หรือเห็นแก่ตัว จะถูกเพื่อนด่า ว่า อย่ายิวนักซิโว้ย หรือมึงนี่มันไชล๊อกจริง แสดงว่านิสัยชาวยิวที่โด่งดังในสมัยเชคสปียร์ และในสายตาของชาวอังกฤษ รวมทั้งในบ้านเรา ที่รู้จักยิวน้อยมาก คงไม่ได้นึกถึงชาวยิวในทางบวก

    ยิวถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทเกี่ยวกับสงคราม หรือความขัดแย้งในสังคมอยู่เรื่อย แน่นอนมันไม่ใช่บทบาททางสร้างสันติภาพ หรือประนีประนอม แต่มันไปในทางจุดชนวน หรือสร้างกำไร และหาประโยชน์เสียมากกว่า

    นักประวัติศาสตร์บางค่าย ถึงกับแจงว่า นิสัยทางลบนี้ของชาวยิว เป็นมาตั้งแต่สมัยยิวรุ่นแรกๆย้อนไปถึง โจเซฟ บุตรของ เจคอบ ที่ถูกขายเป็นทาสตั้งแต่สมัย ฟาโรห์ของ อียิปต์นั่นเชียว โจเซฟ ทำงานเข้าตานายทาส จนฟาโรห์เรียกไปใช้งาน ให้เป็นหัวหน้าทาส เมื่อเกิดข้าวยากหมากแพง อดอยากกันไปทั่วเมือง ชาวนาก็กระด้างกระเดื่องไม่ยอมทำนา จนกว่าจะมีอาหารมาให้กิน โจเซฟจึงจัดการแบบลูกโหด ใช้นโยบายเอาที่ดินกับปศุสัตว์ มาแลกกับอาหาร ชาวนาทนอดอยากไม่ไหว ยอมขายนา ขายสัตว์ราคาถูก แลกกับอาหาร แล้วโจเซฟก็เปลี่ยนสถานะ จากทาส เป็นคนรวย ด้วยนโยบาย ที่น่าจะเป็นต้นแบบของ “สร้างความรวยจากความหายนะของผู้อื่น”
    เวลาผ่านไป ชาวยิวยิ่งสร้างชื่อเสียงว่า เป็นผู้ถนัดสร้างความวุ่นวายทางการเมือง และเป็นนักฉวยโอกาส จนจักรพรรดิคลอดิอุสของโรมัน ออกประกาศว่า ชาวยิวจากเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นต้นเชื้อแห่งความวุ่นวายที่ระบาดไปจนทั่วโลก และในที่สุด ก็ประกาศขับไล่ชาวยิวออกไปจากโรม แต่ชาวยิวก็ไปก่อความวุ่นวายในนครเยรูซาเลมต่อ ครั้งแล้วครั้งเล่า และแสดงอาการเป็นศัตรูกับโรมอย่างเปิดเผย โรมถึงกับด่าชาวยิวว่า เป็นเผ่าพันธ์ที่สร้างแต่ความจัญไรให้แก่ผู้อื่น (Quintilian, a race which is a curse to other) หรือเผ่าพันธ์ที่ถูกสาปแช่ง (Seneca, an accursed race)

    มาจนถึงสมัยยุคกลาง Middle Ages จนถึง ยุค เกิดใหม่ Renaissance ชื่อเสียงเชิงลบของชาวยิวก็ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 1770 บรรดานักปราชญ์ ชื่อดังของยุโรป ต่างออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับชาวยืว Baron d’Holbach (นักปราชญ์ และนักเขียน ชาวฝรั่งเศส/เยอรมัน) กล่าวว่า ชาวยิวสร้างตนเองขึ้นมาจากการฆ่าฟัน จากความอยุติธรรม ความโหดร้าย ความเอาเปรียบ และความอดอยากของผู้อื่น ส่วน Voltaire (นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส) บอกว่า เขาจะไม่เแปลกใจเลยว่า คนพวกนี้ วันหนึ่งจะเป็นเผ่าพันธ์ที่อันตรายยิ่งต่อมนุษยชาติ ส่วน Immanuel Kant (นักปราชญ์ชาวเยอรมัน) บอกว่า ชาวยิว เป็นชาติพันธุ์แห่งการหลอกลวง

    และจากข้อสังเกต หรือความเห็น ของผู้ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับชาวยิว ส่วนใหญ่ก็สรุปไปในทำนองเดียวกันว่า เป็นศตวรรษมาแล้ว ที่ชาวยิววุ่นวายอยู่กับการทำสงคราม การก่อความขัดแย้งทางสังคม การสร้างความกดดันทางเศรษฐกิจ และทำกำไร จากสิ่งเหล่านั้น

    ####################
    “ฤทธิ์ยิว”

    (2)
    ดูจากจำนวนชาวยิวที่กระจายอยู่ตามประเทศต่างๆ ซึ่งจะว่าไป มีจำนวนน้อยมาก พวกเขาน่าจะเป็นพวกที่ถูกเอาเปรียบมากกว่า แต่ดูเหมือนเรื่องมันจะกลับตาลปัตร ชาวยิวแสดงให้เห็นฤทธิ์เดชของพวกเขา ในการสร้างความวุ่นวายแก่สังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์กับพวกตนได้อย่างมหัศจรรย์

    ฤทธิ์เดชของชาวยิว ที่เข้ามามีส่วนสร้างสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง มีบันทึกให้เห็นอยู่ในประวัติศาสตร์ เริ่มตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ยิวเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในรัฐบาลอเมริกัน ปี ค.ศ. 1845 ยิวรุ่นแรก ที่เข้ามาอยู่ในสภาสูงของอเมริกา คือ Levis Levin และ David Yulee ปี 1887 Washington Barlette ได้เป็นผู้ว่าการรัฐ คาลิฟอร์เนีย และปี 1889 Solomon Hirsch เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตของอเมริกา ไปประจำอยู่ที่อาณาจักรออตโตมาน โดยประธานาธิบดี Harrison

    ในส่วนอื่นของโลก เช่นที่รัสเซีย ยิวเป็นผู้เร่งอุณภูมิในรัสเซียให้สูงขี้นอย่างมาก จากการที่พวกก่อความวุ่นวาย ซึ่งมีชาวยิวร่วมด้วย 2,3 คน ลอบปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ Alexander ที่ 2 สำเร็จ ในปี ค.ศ.1881 และเหตุการณ์นี้ ทำให้ชาวยิวถูกล้างแค้น โดนลอบสังหารเป็นประจำ ต่อเนื่องอีกเป็นสิบปี และมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และปี 1882 รัสเซียก็ออกกฏหมายที่เรียกว่า May Law of 1883 ห้ามชาวยิวอาศัยอยู่ และทำธุรกิจในบริเวณที่เรียกว่า Pale of Settlement พวกยิวจึงเริ่มอพยพออกจากรัสเซีย หนีกฏ Pale มุ่งหน้าไปเยอรมัน เป็นที่หมายแรก

    ก่อนหน้าที่พวกชาวยิว ที่สร้างความปั่นป่วนในรัสเซีย จะมุ่งหน้ามาเยอรมัน ชาวยิวที่อยู่ในเยอรมันเอง ก็มีอิทธิพลในเยอรมันไม่น้อยแล้ว Richard Wagner ผู้ประพันธ์เพลงอมตะ ของเยอรมันยังออกปากว่า หนังสือพิมพ์ในเยอรมันอยู่ในมือชาวยิวเกือบหมดแล้ว นอกจากนี้ ยังเป็นที่พูดกันว่า ทุกวันนี้ พวกยิวกลายเป็นผู้กำหนดทิศทางของสังคมและการเมืองในเยอรมันไปแล้ว ช่วงปลาย ค.ศ.1800 ถึง ต้น 1900 ดูเหมือนชาวยิวจะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นอีก จำนวนยิวที่เป็นกรรมการในบริษัทใหญ่ๆ หรืออยู่ในตำแหน่งบริหาร มีถึง 24% ในขณะที่ชาวยิวมีไม่เกิน 2 % ของจำนวนพลเมืองของเยอรมันทั้งหมด
    แต่ที่สำคัญที่สุด คือการกำเนิด ของกลุ่มไซออนนิสม์ Zionism ซึ่ง Theodor Herzl เป็นผู้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการ เมื่อ ค.ศ.1897 หลักการพื้นฐานของ ไซออนนิสม์ ที่เขาเขียนไว้ในหนังสือ Der Judenstaat (The Jewish State) สรุปคร่าวๆความคิดของเขา ที่บอกว่า ชาวยิวไม่มีวันพ้นจากการถูกข่มเหง ตราบใดที่ยังมีสถานะเป็นคนต่างชาติอยู่ในทุกๆแห่ง ดังนั้น ยิวจึงจำเป็นต้องมีรัฐของตนเอง พวกเขาหารือถึงสถานที่ต่างๆแต่ไม่ลงตัว จนเมื่อมีการประชุม World Zionist Organization ครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.1897 ก็ได้ข้อยุติว่า มันควรเป็น Palestine

    แต่มันมีปัญหาว่า บริเวณดังกล่าวอยู่ในอาณัติของอาณาจักรออตโตมาน และประชากรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนั้น ส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และคริสเตียนอาหรับ ถึงกระนั้นพวกไซออนนิสต์ก็ตั้งใจว่า พวกเขาจะไปปักหลักที่นั่น ยึดปาเลสไตน์มาจากออตโตมานให้ได้ไม่ว่าด้วยวิธีใด ก็วิธีหนึ่ง มันดูเหมือนเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย แต่พวกเขาก็มุ่งมั่นจนน่าตกใจ

    พวกเขาคิดว่า ทางเดียวที่จะทำให้มันเป็นไปได้ ก็โดยต้องใช้กำลังเท่านั้น และมันต้องใช้ผ่านสถานการณ์ที่เป็นวิกฤติ เช่น ผ่านการทำสงคราม ซึ่งจะทำให้พวกเขามีโอกาสชักใย สร้างความได้เปรียบ และนั่นเป็นต้นกำเนิดของหลักการ สร้างกำไรจากความหายนะ ” profit through distress” มันจะทำได้จากทั้งภายใน และภายนอกประเทศ ในประเทศที่มีชาวยิวมากพอ แต่มีอำนาจรัฐน้อย พวกเขาคิดใช้วิธีปลุกระดม สร้างความวุ่นวายภายในประเทศ และสำหรับประเทศที่พวกเขามีอำนาจ เขาจะใช้อำนาจนั้นสร้างความร่ำรวย และใช้ความร่ำรวยนั้น ไปกำหนดนโยบายของประเทศ ส่วนในประเทศที่พวกเขาไม่มีทั้งจำนวนประชาชน และไม่มีอำนาจ เขาก็จะใช้อำนาจจากภายนอก มากดดันให้ได้การสนับสนุนเพื่อวัตถุประสงค์ของพวกเขา

    พวกไซออนนิสต์เอาจริงกับยุทธศาสตร์ ป่วนข้างใน/ ปั่นข้างนอก internal/extentnal ตามคำพูดของ Herzl ที่เขียนไว้เองว่า

    ” When we sink, we become a revolutionary proletariat, the subordinate officers of the revolutionary party; when we rise, there rises also our terrible power of purse”
    เมื่อเราล่ม เราจะกลายเป็นกรรมกรผู้ปฏิวัติ ผู้สนับสนุนของพรรคปฏิวัติ
    เมื่อเรารุ่ง เงินในกระเป๋าของเรา ก็จะแสดงอำนาจอันร้ายกาจออกมาด้วย

    อันที่จริง Herzl ได้คาดการณ์ไว้ด้วยซ้ำว่า จะต้องเกิดสงครามโลก ไซออนนิสต์รุ่นแรก Litman Rosenthal เขียนไว้ในบันทึกของเขา เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 1914 ว่า เขาจำได้ถึงการสนทนากับ Herzl เมื่อปี ค.ศ. 1897 ซึ่งเขาอ้างว่า Herzl พูดว่า:

    “ตุรกีอาจปฏิเสธ หรือไม่ยอมเข้าใจเรา เราจะต้องไม่ถอดใจ เราจะต้องหาทางที่จะได้ตามที่เราต้องการ ไม่ช้าก็เร็ว จะต้องมีความขัดแย้งระหว่างประเทศ สงครามในยุโรปจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ผมจะถือนาฬิกาคอยดูเวลาหายนะนั้น หลังจากสงครามจบสิ้น การประชุมเพื่อสันติภาพจะต้องเกิดขึ้น เราจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับเวลานั้น เราจะต้องทำให้เขาเขิญเราเข้าไปร่วมการประชุมกับประเทศต่างๆ และเราจะต้องพิสูจน์ ให้เขาเห็นถึงทางออกที่สำคัญเร่งด่วน ของพวกไซออนนิสต์ ที่เขาจะต้องตอบกับชาวยิว”

    พวกยิวเอาจริงกับการดำเนินการตามแผนข้างต้น พวกเขาเดินหน้าเรื่องการปฏิวัติในรัสเซีย เพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่เขาเกลียดชัง และพยายามที่จะก่อความวุ่นวายในออตโตมานด้วย ส่วนในเยอรมัน ในอังกฤษ และ อเมริกา พวกเขาใช้อำนาจเงินอันร้ายกาจในกระเป๋า อย่างเต็มที่ เพื่อที่จะให้มีการนำทางไปสู่นโยบาย ที่จะต้องมีจัดการระเบียบของโลกเสียใหม่ ที่เป็นประโยชน์กับพวกเขา พวกเขาพยายามตัดตอนพวกที่คัดค้าน ขวางทางพวกเขา แต่ให้การสนับสนุน พวกที่เห็นด้วยกับแนวทางของพวกเขา พร้อมกับเพิ่มความมั่งคั่งให้พวกยิวด้วยกัน

    ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การจัดตั้ง รัฐปาเลสไตน์ ที่จะเป็นศูนย์กลางของยิวทั่วโลก

    การปฏิวัติ และสงคราม จึงเป็นภาระกิจเร่งด่วน อันดับแรกของพวกเขา

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 มิ.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทแถม “ฤทธิ์ยิว” (1) เรามักจะได้ยินการกล่าวถึงยิวในเชิงลบมากกว่าบวก สำหรับเราส่วนใหญ่ในแดนสยาม ชาวยิวที่เราพอคุ้นหู รุ่นแรกๆ คือ ไชล๊อก พ่อค้าชาวยิว ในหนังสือเรื่อง เวนิสวาณิช ซึ่งพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงแปลจาก The Merchant of Venice ของเชคสปียร์ เป็นหนังสืออ่านอยู่ในหลักสูตรก ระทรวงศึกษา สำหรับชั้นมัธยม เมื่อประมาณกว่า 60 ปีมาแล้ว ผมก็ต้องเรียน และจำได้ว่า จะมีคำพูดติดปากคนรุ่นผม เวลาใครเค็มจัด หรือเห็นแก่ตัว จะถูกเพื่อนด่า ว่า อย่ายิวนักซิโว้ย หรือมึงนี่มันไชล๊อกจริง แสดงว่านิสัยชาวยิวที่โด่งดังในสมัยเชคสปียร์ และในสายตาของชาวอังกฤษ รวมทั้งในบ้านเรา ที่รู้จักยิวน้อยมาก คงไม่ได้นึกถึงชาวยิวในทางบวก ยิวถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทเกี่ยวกับสงคราม หรือความขัดแย้งในสังคมอยู่เรื่อย แน่นอนมันไม่ใช่บทบาททางสร้างสันติภาพ หรือประนีประนอม แต่มันไปในทางจุดชนวน หรือสร้างกำไร และหาประโยชน์เสียมากกว่า นักประวัติศาสตร์บางค่าย ถึงกับแจงว่า นิสัยทางลบนี้ของชาวยิว เป็นมาตั้งแต่สมัยยิวรุ่นแรกๆย้อนไปถึง โจเซฟ บุตรของ เจคอบ ที่ถูกขายเป็นทาสตั้งแต่สมัย ฟาโรห์ของ อียิปต์นั่นเชียว โจเซฟ ทำงานเข้าตานายทาส จนฟาโรห์เรียกไปใช้งาน ให้เป็นหัวหน้าทาส เมื่อเกิดข้าวยากหมากแพง อดอยากกันไปทั่วเมือง ชาวนาก็กระด้างกระเดื่องไม่ยอมทำนา จนกว่าจะมีอาหารมาให้กิน โจเซฟจึงจัดการแบบลูกโหด ใช้นโยบายเอาที่ดินกับปศุสัตว์ มาแลกกับอาหาร ชาวนาทนอดอยากไม่ไหว ยอมขายนา ขายสัตว์ราคาถูก แลกกับอาหาร แล้วโจเซฟก็เปลี่ยนสถานะ จากทาส เป็นคนรวย ด้วยนโยบาย ที่น่าจะเป็นต้นแบบของ “สร้างความรวยจากความหายนะของผู้อื่น” เวลาผ่านไป ชาวยิวยิ่งสร้างชื่อเสียงว่า เป็นผู้ถนัดสร้างความวุ่นวายทางการเมือง และเป็นนักฉวยโอกาส จนจักรพรรดิคลอดิอุสของโรมัน ออกประกาศว่า ชาวยิวจากเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นต้นเชื้อแห่งความวุ่นวายที่ระบาดไปจนทั่วโลก และในที่สุด ก็ประกาศขับไล่ชาวยิวออกไปจากโรม แต่ชาวยิวก็ไปก่อความวุ่นวายในนครเยรูซาเลมต่อ ครั้งแล้วครั้งเล่า และแสดงอาการเป็นศัตรูกับโรมอย่างเปิดเผย โรมถึงกับด่าชาวยิวว่า เป็นเผ่าพันธ์ที่สร้างแต่ความจัญไรให้แก่ผู้อื่น (Quintilian, a race which is a curse to other) หรือเผ่าพันธ์ที่ถูกสาปแช่ง (Seneca, an accursed race) มาจนถึงสมัยยุคกลาง Middle Ages จนถึง ยุค เกิดใหม่ Renaissance ชื่อเสียงเชิงลบของชาวยิวก็ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 1770 บรรดานักปราชญ์ ชื่อดังของยุโรป ต่างออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับชาวยืว Baron d’Holbach (นักปราชญ์ และนักเขียน ชาวฝรั่งเศส/เยอรมัน) กล่าวว่า ชาวยิวสร้างตนเองขึ้นมาจากการฆ่าฟัน จากความอยุติธรรม ความโหดร้าย ความเอาเปรียบ และความอดอยากของผู้อื่น ส่วน Voltaire (นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส) บอกว่า เขาจะไม่เแปลกใจเลยว่า คนพวกนี้ วันหนึ่งจะเป็นเผ่าพันธ์ที่อันตรายยิ่งต่อมนุษยชาติ ส่วน Immanuel Kant (นักปราชญ์ชาวเยอรมัน) บอกว่า ชาวยิว เป็นชาติพันธุ์แห่งการหลอกลวง และจากข้อสังเกต หรือความเห็น ของผู้ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับชาวยิว ส่วนใหญ่ก็สรุปไปในทำนองเดียวกันว่า เป็นศตวรรษมาแล้ว ที่ชาวยิววุ่นวายอยู่กับการทำสงคราม การก่อความขัดแย้งทางสังคม การสร้างความกดดันทางเศรษฐกิจ และทำกำไร จากสิ่งเหล่านั้น #################### “ฤทธิ์ยิว” (2) ดูจากจำนวนชาวยิวที่กระจายอยู่ตามประเทศต่างๆ ซึ่งจะว่าไป มีจำนวนน้อยมาก พวกเขาน่าจะเป็นพวกที่ถูกเอาเปรียบมากกว่า แต่ดูเหมือนเรื่องมันจะกลับตาลปัตร ชาวยิวแสดงให้เห็นฤทธิ์เดชของพวกเขา ในการสร้างความวุ่นวายแก่สังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์กับพวกตนได้อย่างมหัศจรรย์ ฤทธิ์เดชของชาวยิว ที่เข้ามามีส่วนสร้างสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง มีบันทึกให้เห็นอยู่ในประวัติศาสตร์ เริ่มตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ยิวเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในรัฐบาลอเมริกัน ปี ค.ศ. 1845 ยิวรุ่นแรก ที่เข้ามาอยู่ในสภาสูงของอเมริกา คือ Levis Levin และ David Yulee ปี 1887 Washington Barlette ได้เป็นผู้ว่าการรัฐ คาลิฟอร์เนีย และปี 1889 Solomon Hirsch เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตของอเมริกา ไปประจำอยู่ที่อาณาจักรออตโตมาน โดยประธานาธิบดี Harrison ในส่วนอื่นของโลก เช่นที่รัสเซีย ยิวเป็นผู้เร่งอุณภูมิในรัสเซียให้สูงขี้นอย่างมาก จากการที่พวกก่อความวุ่นวาย ซึ่งมีชาวยิวร่วมด้วย 2,3 คน ลอบปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ Alexander ที่ 2 สำเร็จ ในปี ค.ศ.1881 และเหตุการณ์นี้ ทำให้ชาวยิวถูกล้างแค้น โดนลอบสังหารเป็นประจำ ต่อเนื่องอีกเป็นสิบปี และมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และปี 1882 รัสเซียก็ออกกฏหมายที่เรียกว่า May Law of 1883 ห้ามชาวยิวอาศัยอยู่ และทำธุรกิจในบริเวณที่เรียกว่า Pale of Settlement พวกยิวจึงเริ่มอพยพออกจากรัสเซีย หนีกฏ Pale มุ่งหน้าไปเยอรมัน เป็นที่หมายแรก ก่อนหน้าที่พวกชาวยิว ที่สร้างความปั่นป่วนในรัสเซีย จะมุ่งหน้ามาเยอรมัน ชาวยิวที่อยู่ในเยอรมันเอง ก็มีอิทธิพลในเยอรมันไม่น้อยแล้ว Richard Wagner ผู้ประพันธ์เพลงอมตะ ของเยอรมันยังออกปากว่า หนังสือพิมพ์ในเยอรมันอยู่ในมือชาวยิวเกือบหมดแล้ว นอกจากนี้ ยังเป็นที่พูดกันว่า ทุกวันนี้ พวกยิวกลายเป็นผู้กำหนดทิศทางของสังคมและการเมืองในเยอรมันไปแล้ว ช่วงปลาย ค.ศ.1800 ถึง ต้น 1900 ดูเหมือนชาวยิวจะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นอีก จำนวนยิวที่เป็นกรรมการในบริษัทใหญ่ๆ หรืออยู่ในตำแหน่งบริหาร มีถึง 24% ในขณะที่ชาวยิวมีไม่เกิน 2 % ของจำนวนพลเมืองของเยอรมันทั้งหมด แต่ที่สำคัญที่สุด คือการกำเนิด ของกลุ่มไซออนนิสม์ Zionism ซึ่ง Theodor Herzl เป็นผู้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการ เมื่อ ค.ศ.1897 หลักการพื้นฐานของ ไซออนนิสม์ ที่เขาเขียนไว้ในหนังสือ Der Judenstaat (The Jewish State) สรุปคร่าวๆความคิดของเขา ที่บอกว่า ชาวยิวไม่มีวันพ้นจากการถูกข่มเหง ตราบใดที่ยังมีสถานะเป็นคนต่างชาติอยู่ในทุกๆแห่ง ดังนั้น ยิวจึงจำเป็นต้องมีรัฐของตนเอง พวกเขาหารือถึงสถานที่ต่างๆแต่ไม่ลงตัว จนเมื่อมีการประชุม World Zionist Organization ครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.1897 ก็ได้ข้อยุติว่า มันควรเป็น Palestine แต่มันมีปัญหาว่า บริเวณดังกล่าวอยู่ในอาณัติของอาณาจักรออตโตมาน และประชากรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนั้น ส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และคริสเตียนอาหรับ ถึงกระนั้นพวกไซออนนิสต์ก็ตั้งใจว่า พวกเขาจะไปปักหลักที่นั่น ยึดปาเลสไตน์มาจากออตโตมานให้ได้ไม่ว่าด้วยวิธีใด ก็วิธีหนึ่ง มันดูเหมือนเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย แต่พวกเขาก็มุ่งมั่นจนน่าตกใจ พวกเขาคิดว่า ทางเดียวที่จะทำให้มันเป็นไปได้ ก็โดยต้องใช้กำลังเท่านั้น และมันต้องใช้ผ่านสถานการณ์ที่เป็นวิกฤติ เช่น ผ่านการทำสงคราม ซึ่งจะทำให้พวกเขามีโอกาสชักใย สร้างความได้เปรียบ และนั่นเป็นต้นกำเนิดของหลักการ สร้างกำไรจากความหายนะ ” profit through distress” มันจะทำได้จากทั้งภายใน และภายนอกประเทศ ในประเทศที่มีชาวยิวมากพอ แต่มีอำนาจรัฐน้อย พวกเขาคิดใช้วิธีปลุกระดม สร้างความวุ่นวายภายในประเทศ และสำหรับประเทศที่พวกเขามีอำนาจ เขาจะใช้อำนาจนั้นสร้างความร่ำรวย และใช้ความร่ำรวยนั้น ไปกำหนดนโยบายของประเทศ ส่วนในประเทศที่พวกเขาไม่มีทั้งจำนวนประชาชน และไม่มีอำนาจ เขาก็จะใช้อำนาจจากภายนอก มากดดันให้ได้การสนับสนุนเพื่อวัตถุประสงค์ของพวกเขา พวกไซออนนิสต์เอาจริงกับยุทธศาสตร์ ป่วนข้างใน/ ปั่นข้างนอก internal/extentnal ตามคำพูดของ Herzl ที่เขียนไว้เองว่า ” When we sink, we become a revolutionary proletariat, the subordinate officers of the revolutionary party; when we rise, there rises also our terrible power of purse” เมื่อเราล่ม เราจะกลายเป็นกรรมกรผู้ปฏิวัติ ผู้สนับสนุนของพรรคปฏิวัติ เมื่อเรารุ่ง เงินในกระเป๋าของเรา ก็จะแสดงอำนาจอันร้ายกาจออกมาด้วย อันที่จริง Herzl ได้คาดการณ์ไว้ด้วยซ้ำว่า จะต้องเกิดสงครามโลก ไซออนนิสต์รุ่นแรก Litman Rosenthal เขียนไว้ในบันทึกของเขา เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 1914 ว่า เขาจำได้ถึงการสนทนากับ Herzl เมื่อปี ค.ศ. 1897 ซึ่งเขาอ้างว่า Herzl พูดว่า: “ตุรกีอาจปฏิเสธ หรือไม่ยอมเข้าใจเรา เราจะต้องไม่ถอดใจ เราจะต้องหาทางที่จะได้ตามที่เราต้องการ ไม่ช้าก็เร็ว จะต้องมีความขัดแย้งระหว่างประเทศ สงครามในยุโรปจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ผมจะถือนาฬิกาคอยดูเวลาหายนะนั้น หลังจากสงครามจบสิ้น การประชุมเพื่อสันติภาพจะต้องเกิดขึ้น เราจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับเวลานั้น เราจะต้องทำให้เขาเขิญเราเข้าไปร่วมการประชุมกับประเทศต่างๆ และเราจะต้องพิสูจน์ ให้เขาเห็นถึงทางออกที่สำคัญเร่งด่วน ของพวกไซออนนิสต์ ที่เขาจะต้องตอบกับชาวยิว” พวกยิวเอาจริงกับการดำเนินการตามแผนข้างต้น พวกเขาเดินหน้าเรื่องการปฏิวัติในรัสเซีย เพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่เขาเกลียดชัง และพยายามที่จะก่อความวุ่นวายในออตโตมานด้วย ส่วนในเยอรมัน ในอังกฤษ และ อเมริกา พวกเขาใช้อำนาจเงินอันร้ายกาจในกระเป๋า อย่างเต็มที่ เพื่อที่จะให้มีการนำทางไปสู่นโยบาย ที่จะต้องมีจัดการระเบียบของโลกเสียใหม่ ที่เป็นประโยชน์กับพวกเขา พวกเขาพยายามตัดตอนพวกที่คัดค้าน ขวางทางพวกเขา แต่ให้การสนับสนุน พวกที่เห็นด้วยกับแนวทางของพวกเขา พร้อมกับเพิ่มความมั่งคั่งให้พวกยิวด้วยกัน ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การจัดตั้ง รัฐปาเลสไตน์ ที่จะเป็นศูนย์กลางของยิวทั่วโลก การปฏิวัติ และสงคราม จึงเป็นภาระกิจเร่งด่วน อันดับแรกของพวกเขา สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 0 รีวิว
  • งานวิจัยชี้จุดอ่อนของการประเมิน AI: เมื่อแบบทดสอบอาจไม่ได้วัดสิ่งที่เราคิดว่าใช่

    งานวิจัยจาก Oxford Internet Institute (OII) และพันธมิตรระดับโลกกว่า 42 คน เผยให้เห็นว่าการประเมินระบบ AI โดยเฉพาะโมเดลภาษาใหญ่ (LLMs) ยังขาดความแม่นยำทางวิทยาศาสตร์ และอาจทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับความสามารถหรือความปลอดภัยของโมเดลเหล่านี้

    งานวิจัยนี้ตรวจสอบ benchmark จำนวน 445 รายการที่ใช้วัดความสามารถของ AI และพบว่า:
    มีเพียง 16% เท่านั้นที่ใช้สถิติในการเปรียบเทียบผลลัพธ์ หมายความว่าความแตกต่างที่รายงานอาจเกิดจากความบังเอิญ ไม่ใช่ความสามารถจริง
    คำที่ใช้วัด เช่น “เหตุผล” หรือ “ไม่เป็นอันตราย” มักไม่มีคำนิยามชัดเจน ทำให้ไม่แน่ใจว่าแบบทดสอบวัดสิ่งที่ตั้งใจไว้จริงหรือไม่
    ตัวอย่างที่ทำให้เข้าใจผิด เช่น:
    โมเดลตอบคำถามถูกแต่พลาดเพราะจัดรูปแบบไม่ตรง
    โมเดลทำโจทย์เลขง่ายๆ ได้ แต่เปลี่ยนคำถามนิดเดียวก็ตอบผิด
    โมเดลสอบผ่านข้อสอบแพทย์ แต่ไม่ได้หมายความว่ามีความสามารถเท่าหมอจริงๆ

    ข้อเสนอแนะจากทีมวิจัย
    นักวิจัยเสนอแนวทาง 8 ข้อเพื่อปรับปรุง benchmark เช่น:
    กำหนดนิยามให้ชัดเจน และควบคุมปัจจัยอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง
    สร้างแบบทดสอบที่สะท้อนสถานการณ์จริง และครอบคลุมพฤติกรรมที่ต้องการวัด
    ใช้สถิติและวิเคราะห์ข้อผิดพลาด เพื่อเข้าใจว่าทำไมโมเดลถึงล้มเหลว
    ใช้ Construct Validity Checklist ที่พัฒนาโดยทีมวิจัย เพื่อช่วยนักพัฒนาและผู้กำกับดูแลประเมินความน่าเชื่อถือของ benchmark

    สิ่งที่งานวิจัยค้นพบ
    มีเพียง 16% ของ benchmark ที่ใช้สถิติในการเปรียบเทียบ
    คำที่ใช้วัดความสามารถของ AI มักไม่มีนิยามชัดเจน
    แบบทดสอบบางอย่างอาจวัด “การจัดรูปแบบ” มากกว่าความเข้าใจ
    โมเดลอาจจำ pattern ได้ แต่ไม่เข้าใจจริง
    การสอบผ่านไม่เท่ากับความสามารถในโลกจริง

    ข้อเสนอแนะเพื่อการประเมินที่ดีขึ้น
    กำหนดนิยามที่ชัดเจนและควบคุมปัจจัยแทรกซ้อน
    ใช้สถานการณ์จริงในการออกแบบแบบทดสอบ
    วิเคราะห์ข้อผิดพลาดและใช้สถิติอย่างเป็นระบบ
    ใช้ Construct Validity Checklist เพื่อประเมิน benchmark

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    การใช้ benchmark ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ อาจทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับความปลอดภัยของ AI
    การอ้างอิง benchmark ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ อาจส่งผลต่อการกำกับดูแลและนโยบาย

    https://www.oii.ox.ac.uk/news-events/study-identifies-weaknesses-in-how-ai-systems-are-evaluated/
    🧪 งานวิจัยชี้จุดอ่อนของการประเมิน AI: เมื่อแบบทดสอบอาจไม่ได้วัดสิ่งที่เราคิดว่าใช่ งานวิจัยจาก Oxford Internet Institute (OII) และพันธมิตรระดับโลกกว่า 42 คน เผยให้เห็นว่าการประเมินระบบ AI โดยเฉพาะโมเดลภาษาใหญ่ (LLMs) ยังขาดความแม่นยำทางวิทยาศาสตร์ และอาจทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับความสามารถหรือความปลอดภัยของโมเดลเหล่านี้ งานวิจัยนี้ตรวจสอบ benchmark จำนวน 445 รายการที่ใช้วัดความสามารถของ AI และพบว่า: 🔰 มีเพียง 16% เท่านั้นที่ใช้สถิติในการเปรียบเทียบผลลัพธ์ หมายความว่าความแตกต่างที่รายงานอาจเกิดจากความบังเอิญ ไม่ใช่ความสามารถจริง 🔰 คำที่ใช้วัด เช่น “เหตุผล” หรือ “ไม่เป็นอันตราย” มักไม่มีคำนิยามชัดเจน ทำให้ไม่แน่ใจว่าแบบทดสอบวัดสิ่งที่ตั้งใจไว้จริงหรือไม่ 🔰 ตัวอย่างที่ทำให้เข้าใจผิด เช่น: 📍 โมเดลตอบคำถามถูกแต่พลาดเพราะจัดรูปแบบไม่ตรง 📍 โมเดลทำโจทย์เลขง่ายๆ ได้ แต่เปลี่ยนคำถามนิดเดียวก็ตอบผิด 📍 โมเดลสอบผ่านข้อสอบแพทย์ แต่ไม่ได้หมายความว่ามีความสามารถเท่าหมอจริงๆ 🧰 ข้อเสนอแนะจากทีมวิจัย นักวิจัยเสนอแนวทาง 8 ข้อเพื่อปรับปรุง benchmark เช่น: 💠 กำหนดนิยามให้ชัดเจน และควบคุมปัจจัยอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง 💠 สร้างแบบทดสอบที่สะท้อนสถานการณ์จริง และครอบคลุมพฤติกรรมที่ต้องการวัด 💠 ใช้สถิติและวิเคราะห์ข้อผิดพลาด เพื่อเข้าใจว่าทำไมโมเดลถึงล้มเหลว 💠 ใช้ Construct Validity Checklist ที่พัฒนาโดยทีมวิจัย เพื่อช่วยนักพัฒนาและผู้กำกับดูแลประเมินความน่าเชื่อถือของ benchmark ✅ สิ่งที่งานวิจัยค้นพบ ➡️ มีเพียง 16% ของ benchmark ที่ใช้สถิติในการเปรียบเทียบ ➡️ คำที่ใช้วัดความสามารถของ AI มักไม่มีนิยามชัดเจน ➡️ แบบทดสอบบางอย่างอาจวัด “การจัดรูปแบบ” มากกว่าความเข้าใจ ➡️ โมเดลอาจจำ pattern ได้ แต่ไม่เข้าใจจริง ➡️ การสอบผ่านไม่เท่ากับความสามารถในโลกจริง ✅ ข้อเสนอแนะเพื่อการประเมินที่ดีขึ้น ➡️ กำหนดนิยามที่ชัดเจนและควบคุมปัจจัยแทรกซ้อน ➡️ ใช้สถานการณ์จริงในการออกแบบแบบทดสอบ ➡️ วิเคราะห์ข้อผิดพลาดและใช้สถิติอย่างเป็นระบบ ➡️ ใช้ Construct Validity Checklist เพื่อประเมิน benchmark ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ การใช้ benchmark ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ อาจทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับความปลอดภัยของ AI ⛔ การอ้างอิง benchmark ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ อาจส่งผลต่อการกำกับดูแลและนโยบาย https://www.oii.ox.ac.uk/news-events/study-identifies-weaknesses-in-how-ai-systems-are-evaluated/
    WWW.OII.OX.AC.UK
    Study identifies weaknesses in how AI systems are evaluated
    Largest systematic review of AI benchmarks highlights need for clearer definitions and stronger scientific standards.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปฏิบัติการเงียบจากแดนมังกร: แฮกเกอร์จีนแฝงตัวในองค์กรนโยบายสหรัฐฯ นานนับเดือน

    การสืบสวนล่าสุดโดยทีม Broadcom Threat Hunter เผยให้เห็นการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนจากกลุ่ม APT (Advanced Persistent Threat) ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน โดยเจาะเข้าองค์กรไม่แสวงกำไรในสหรัฐฯ ที่มีบทบาทด้านนโยบายระหว่างประเทศ

    การโจมตีเริ่มต้นในเดือนเมษายน 2025 ด้วยการสแกนช่องโหว่ที่รู้จักกันดี เช่น Log4j, Apache Struts และ Atlassian OGNL Injection ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการแฝงตัวอย่างแนบเนียนผ่าน Scheduled Task และการใช้โปรแกรมระบบ Windows เช่น msbuild.exe และ csc.exe เพื่อรันโค้ดอันตรายโดยไม่ถูกตรวจจับ

    หนึ่งในเทคนิคที่โดดเด่นคือ DLL Sideloading โดยใช้ไฟล์ vetysafe.exe จาก Vipre Antivirus เพื่อโหลด DLL ปลอมชื่อ sbamres.dll ซึ่งเคยถูกใช้ในแคมเปญของกลุ่มแฮกเกอร์จีนหลายกลุ่ม เช่น Space Pirates, Kelp (Salt Typhoon) และ Earth Longzhi (กลุ่มย่อยของ APT41)

    เสริมความรู้: DLL Sideloading และ Living-off-the-Land คืออะไร?
    DLL Sideloading คือการใช้โปรแกรมที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อโหลด DLL ปลอมที่แฮกเกอร์สร้างขึ้น ทำให้ระบบเข้าใจผิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมจริง
    Living-off-the-Land (LOTL) คือการใช้เครื่องมือหรือโปรแกรมที่มีอยู่ในระบบอยู่แล้ว เช่น msbuild.exe, certutil.exe เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากโปรแกรมป้องกันไวรัส

    กลุ่มผู้โจมตี
    เป็นกลุ่ม APT ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน เช่น APT41, Space Pirates, Kelp
    มีเป้าหมายเพื่อสอดแนมนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ

    เทคนิคที่ใช้
    สแกนช่องโหว่ที่รู้จักกันดี เช่น Log4j, Apache Struts
    ใช้ msbuild.exe และ csc.exe เพื่อรันโค้ดอันตรายแบบ LOTL
    สร้าง Scheduled Task ที่รันทุกชั่วโมงในระดับ SYSTEM
    ใช้ DLL Sideloading ผ่าน vetysafe.exe เพื่อโหลด sbamres.dll

    ความสามารถของมัลแวร์
    สร้าง C2 connection เพื่อควบคุมเครื่องจากระยะไกล
    ใช้ msascui.exe ปลอมตัวเป็น MicrosoftRuntime เพื่อรัน payload
    ใช้ DCSync เพื่อขโมยข้อมูลจาก Active Directory
    ใช้ Imjpuexc.exe เพื่อหลบซ่อนในระบบ

    ความเสี่ยงต่อองค์กร
    องค์กรที่เกี่ยวข้องกับนโยบายหรือการทูตมีความเสี่ยงสูง
    การใช้โปรแกรมระบบทำให้การตรวจจับยากขึ้น
    การโจมตีแบบยาวนานอาจทำให้ข้อมูลสำคัญรั่วไหลโดยไม่รู้ตัว

    คำแนะนำด้านความปลอดภัย
    ตรวจสอบ Scheduled Task ที่รันในระดับ SYSTEM
    ตรวจสอบการใช้โปรแกรมระบบที่ผิดปกติ เช่น msbuild.exe
    ใช้ระบบ EDR ที่สามารถตรวจจับ DLL Sideloading และ LOTL ได้

    https://securityonline.info/china-apt-infiltrates-us-policy-nonprofit-in-months-long-espionage-campaign-using-dll-sideloading/
    🧨 ปฏิบัติการเงียบจากแดนมังกร: แฮกเกอร์จีนแฝงตัวในองค์กรนโยบายสหรัฐฯ นานนับเดือน การสืบสวนล่าสุดโดยทีม Broadcom Threat Hunter เผยให้เห็นการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนจากกลุ่ม APT (Advanced Persistent Threat) ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน โดยเจาะเข้าองค์กรไม่แสวงกำไรในสหรัฐฯ ที่มีบทบาทด้านนโยบายระหว่างประเทศ การโจมตีเริ่มต้นในเดือนเมษายน 2025 ด้วยการสแกนช่องโหว่ที่รู้จักกันดี เช่น Log4j, Apache Struts และ Atlassian OGNL Injection ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการแฝงตัวอย่างแนบเนียนผ่าน Scheduled Task และการใช้โปรแกรมระบบ Windows เช่น msbuild.exe และ csc.exe เพื่อรันโค้ดอันตรายโดยไม่ถูกตรวจจับ หนึ่งในเทคนิคที่โดดเด่นคือ DLL Sideloading โดยใช้ไฟล์ vetysafe.exe จาก Vipre Antivirus เพื่อโหลด DLL ปลอมชื่อ sbamres.dll ซึ่งเคยถูกใช้ในแคมเปญของกลุ่มแฮกเกอร์จีนหลายกลุ่ม เช่น Space Pirates, Kelp (Salt Typhoon) และ Earth Longzhi (กลุ่มย่อยของ APT41) 🧠 เสริมความรู้: DLL Sideloading และ Living-off-the-Land คืออะไร? 🎗️ DLL Sideloading คือการใช้โปรแกรมที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อโหลด DLL ปลอมที่แฮกเกอร์สร้างขึ้น ทำให้ระบบเข้าใจผิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมจริง 🎗️ Living-off-the-Land (LOTL) คือการใช้เครื่องมือหรือโปรแกรมที่มีอยู่ในระบบอยู่แล้ว เช่น msbuild.exe, certutil.exe เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากโปรแกรมป้องกันไวรัส ✅ กลุ่มผู้โจมตี ➡️ เป็นกลุ่ม APT ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน เช่น APT41, Space Pirates, Kelp ➡️ มีเป้าหมายเพื่อสอดแนมนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ✅ เทคนิคที่ใช้ ➡️ สแกนช่องโหว่ที่รู้จักกันดี เช่น Log4j, Apache Struts ➡️ ใช้ msbuild.exe และ csc.exe เพื่อรันโค้ดอันตรายแบบ LOTL ➡️ สร้าง Scheduled Task ที่รันทุกชั่วโมงในระดับ SYSTEM ➡️ ใช้ DLL Sideloading ผ่าน vetysafe.exe เพื่อโหลด sbamres.dll ✅ ความสามารถของมัลแวร์ ➡️ สร้าง C2 connection เพื่อควบคุมเครื่องจากระยะไกล ➡️ ใช้ msascui.exe ปลอมตัวเป็น MicrosoftRuntime เพื่อรัน payload ➡️ ใช้ DCSync เพื่อขโมยข้อมูลจาก Active Directory ➡️ ใช้ Imjpuexc.exe เพื่อหลบซ่อนในระบบ ‼️ ความเสี่ยงต่อองค์กร ⛔ องค์กรที่เกี่ยวข้องกับนโยบายหรือการทูตมีความเสี่ยงสูง ⛔ การใช้โปรแกรมระบบทำให้การตรวจจับยากขึ้น ⛔ การโจมตีแบบยาวนานอาจทำให้ข้อมูลสำคัญรั่วไหลโดยไม่รู้ตัว ‼️ คำแนะนำด้านความปลอดภัย ⛔ ตรวจสอบ Scheduled Task ที่รันในระดับ SYSTEM ⛔ ตรวจสอบการใช้โปรแกรมระบบที่ผิดปกติ เช่น msbuild.exe ⛔ ใช้ระบบ EDR ที่สามารถตรวจจับ DLL Sideloading และ LOTL ได้ https://securityonline.info/china-apt-infiltrates-us-policy-nonprofit-in-months-long-espionage-campaign-using-dll-sideloading/
    SECURITYONLINE.INFO
    China APT Infiltrates US Policy Nonprofit in Months-Long Espionage Campaign Using DLL Sideloading
    A China-linked APT targeted a U.S. policy nonprofit for weeks in April 2025. The group used DLL sideloading via a VipreAV binary and msbuild.exe scheduled tasks to achieve SYSTEM persistence for espionage.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • Kimsuky กลับมาอีกครั้ง: ใช้ JavaScript และ certutil ฝังตัวใน Windows แบบแนบเนียน

    กลุ่ม APT (Advanced Persistent Threat) จากเกาหลีเหนือที่รู้จักกันในชื่อ Kimsuky ได้เปิดตัวแคมเปญจารกรรมไซเบอร์ล่าสุด โดยใช้ JavaScript loader และเครื่องมือในระบบ Windows อย่าง certutil เพื่อสร้างความคงอยู่ (persistence) ในเครื่องเหยื่อทุกๆ นาทีผ่าน Scheduled Task

    แคมเปญนี้เริ่มต้นด้วยไฟล์ชื่อ Themes.js ซึ่งเป็น JavaScript ที่ดาวน์โหลด payload ถัดไปจากโดเมนที่ควบคุมโดยผู้โจมตี จากนั้นจะมีการรวบรวมข้อมูลระบบ รายการโปรเซส และไฟล์ในไดเรกทอรีของผู้ใช้ แล้วบีบอัดเป็นไฟล์ .cab และเข้ารหัสด้วย certutil ก่อนส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์

    สิ่งที่น่ากลัวคือการสร้าง Scheduled Task ที่ชื่อว่า Windows Theme Manager ซึ่งจะรันไฟล์ Themes.js ทุกๆ 1 นาที! พร้อมกับการปล่อยไฟล์ Word ปลอมที่ดูเหมือนไม่มีอะไร เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเหยื่อ

    เสริมความรู้: certutil และ Scheduled Task คืออะไร?
    certutil เป็นเครื่องมือใน Windows ที่ใช้จัดการใบรับรองดิจิทัล แต่แฮกเกอร์มักใช้มันเป็น LOLBIN (Living Off the Land Binary) เพื่อเข้ารหัส/ถอดรหัสไฟล์โดยไม่ต้องใช้มัลแวร์ภายนอก
    Scheduled Task คือระบบตั้งเวลาให้ Windows รันคำสั่งหรือโปรแกรมตามช่วงเวลาที่กำหนด เช่น ทุกนาที ทุกวัน ฯลฯ ซึ่งหากถูกใช้ในทางที่ผิด ก็สามารถทำให้มัลแวร์รันซ้ำได้ตลอดเวลา

    กลุ่ม Kimsuky และเป้าหมาย
    เป็นกลุ่ม APT จากเกาหลีเหนือที่เน้นจารกรรมข้อมูลจากรัฐบาลและองค์กรนโยบาย
    ใช้เทคนิคใหม่ที่เน้นความแนบเนียนและต่อเนื่อง

    ขั้นตอนการโจมตี
    เริ่มจากไฟล์ Themes.js ที่ดาวน์โหลด payload จากโดเมนปลอม
    ใช้ JavaScript รวบรวมข้อมูลระบบและส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์
    ใช้ certutil เข้ารหัสข้อมูลก่อนส่งออก
    สร้าง Scheduled Task ให้รัน Themes.js ทุกนาที
    ปล่อยไฟล์ Word ปลอมเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

    เทคนิคที่ใช้
    ใช้ LOLBIN (certutil) เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ
    ใช้ Scheduled Task เพื่อความคงอยู่แบบต่อเนื่อง
    ใช้ subdomain ของเว็บจริงเพื่อหลอกระบบรักษาความปลอดภัย

    ความเสี่ยงต่อองค์กร
    หากระบบไม่มีการตรวจสอบ Scheduled Task อย่างสม่ำเสมอ อาจถูกฝังมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว
    การใช้ certutil ทำให้การตรวจจับยากขึ้น เพราะเป็นเครื่องมือของระบบเอง

    คำแนะนำด้านความปลอดภัย
    ควรตรวจสอบ Scheduled Task ที่รันถี่ผิดปกติ
    ควรจำกัดการใช้ certutil และตรวจสอบการเข้ารหัส/ถอดรหัสที่ไม่ปกติ
    ใช้ระบบ EDR ที่สามารถตรวจจับพฤติกรรมแบบ LOLBIN ได้

    https://securityonline.info/kimsuky-apt-uses-javascript-loader-and-certutil-to-achieve-minute-by-minute-persistence-via-windows-scheduled-task/
    🕵️‍♂️ Kimsuky กลับมาอีกครั้ง: ใช้ JavaScript และ certutil ฝังตัวใน Windows แบบแนบเนียน กลุ่ม APT (Advanced Persistent Threat) จากเกาหลีเหนือที่รู้จักกันในชื่อ Kimsuky ได้เปิดตัวแคมเปญจารกรรมไซเบอร์ล่าสุด โดยใช้ JavaScript loader และเครื่องมือในระบบ Windows อย่าง certutil เพื่อสร้างความคงอยู่ (persistence) ในเครื่องเหยื่อทุกๆ นาทีผ่าน Scheduled Task แคมเปญนี้เริ่มต้นด้วยไฟล์ชื่อ Themes.js ซึ่งเป็น JavaScript ที่ดาวน์โหลด payload ถัดไปจากโดเมนที่ควบคุมโดยผู้โจมตี จากนั้นจะมีการรวบรวมข้อมูลระบบ รายการโปรเซส และไฟล์ในไดเรกทอรีของผู้ใช้ แล้วบีบอัดเป็นไฟล์ .cab และเข้ารหัสด้วย certutil ก่อนส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ สิ่งที่น่ากลัวคือการสร้าง Scheduled Task ที่ชื่อว่า Windows Theme Manager ซึ่งจะรันไฟล์ Themes.js ทุกๆ 1 นาที! พร้อมกับการปล่อยไฟล์ Word ปลอมที่ดูเหมือนไม่มีอะไร เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเหยื่อ 🧠 เสริมความรู้: certutil และ Scheduled Task คืออะไร? 🎗️ certutil เป็นเครื่องมือใน Windows ที่ใช้จัดการใบรับรองดิจิทัล แต่แฮกเกอร์มักใช้มันเป็น LOLBIN (Living Off the Land Binary) เพื่อเข้ารหัส/ถอดรหัสไฟล์โดยไม่ต้องใช้มัลแวร์ภายนอก 🎗️ Scheduled Task คือระบบตั้งเวลาให้ Windows รันคำสั่งหรือโปรแกรมตามช่วงเวลาที่กำหนด เช่น ทุกนาที ทุกวัน ฯลฯ ซึ่งหากถูกใช้ในทางที่ผิด ก็สามารถทำให้มัลแวร์รันซ้ำได้ตลอดเวลา ✅ กลุ่ม Kimsuky และเป้าหมาย ➡️ เป็นกลุ่ม APT จากเกาหลีเหนือที่เน้นจารกรรมข้อมูลจากรัฐบาลและองค์กรนโยบาย ➡️ ใช้เทคนิคใหม่ที่เน้นความแนบเนียนและต่อเนื่อง ✅ ขั้นตอนการโจมตี ➡️ เริ่มจากไฟล์ Themes.js ที่ดาวน์โหลด payload จากโดเมนปลอม ➡️ ใช้ JavaScript รวบรวมข้อมูลระบบและส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ ➡️ ใช้ certutil เข้ารหัสข้อมูลก่อนส่งออก ➡️ สร้าง Scheduled Task ให้รัน Themes.js ทุกนาที ➡️ ปล่อยไฟล์ Word ปลอมเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ✅ เทคนิคที่ใช้ ➡️ ใช้ LOLBIN (certutil) เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ ใช้ Scheduled Task เพื่อความคงอยู่แบบต่อเนื่อง ➡️ ใช้ subdomain ของเว็บจริงเพื่อหลอกระบบรักษาความปลอดภัย ‼️ ความเสี่ยงต่อองค์กร ⛔ หากระบบไม่มีการตรวจสอบ Scheduled Task อย่างสม่ำเสมอ อาจถูกฝังมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว ⛔ การใช้ certutil ทำให้การตรวจจับยากขึ้น เพราะเป็นเครื่องมือของระบบเอง ‼️ คำแนะนำด้านความปลอดภัย ⛔ ควรตรวจสอบ Scheduled Task ที่รันถี่ผิดปกติ ⛔ ควรจำกัดการใช้ certutil และตรวจสอบการเข้ารหัส/ถอดรหัสที่ไม่ปกติ ⛔ ใช้ระบบ EDR ที่สามารถตรวจจับพฤติกรรมแบบ LOLBIN ได้ https://securityonline.info/kimsuky-apt-uses-javascript-loader-and-certutil-to-achieve-minute-by-minute-persistence-via-windows-scheduled-task/
    SECURITYONLINE.INFO
    Kimsuky APT Uses JavaScript Loader and Certutil to Achieve Minute-by-Minute Persistence via Windows Scheduled Task
    Kimsuky APT is using a Themes.js JavaScript loader and certutil LOLBIN to gain minute-by-minute persistence via a Windows Scheduled Task. The APT is targeting think tanks for espionage.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • พรรคส้มเตรียมนโยบาย มีเรา ไม่มีเทา แต่มีสิ่งนี้แน่นอน...??? (9/11/68)
    .
    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #พรรคส้ม #การเมืองไทย #นโยบายพรรค #ฝ่ายค้าน #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate #ข่าวtiktok
    พรรคส้มเตรียมนโยบาย มีเรา ไม่มีเทา แต่มีสิ่งนี้แน่นอน...??? (9/11/68) . #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #พรรคส้ม #การเมืองไทย #นโยบายพรรค #ฝ่ายค้าน #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate #ข่าวtiktok
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • O.P.K.
    คดีเณรน้อยจอมซน: คนหลายร่างแห่งวัดร้าง

    การปรากฏตัวของเณรน้อยพิศวง

    การค้นพบในวัดร้าง

    ร.ต.อ. สิงห์ ได้รับแจ้งเหตุการณ์ประหลาดจากชาวบ้านใกล้ วัดร้างศรีมหาวิหาร:

    · ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะแต่ไม่เห็นตัว
    · วัตถุในวัดเคลื่อนไหวได้เอง
    · มีเห็นเด็กน้อยในชุดเณรปรากฏแล้วหายไป

    ```mermaid
    graph TB
    A[ชาวบ้าน<br>แจ้งเหตุประหลาด] --> B[ร.ต.อ.สิงห์<br>และหนูดีออกสืบ]
    B --> C[พบเณรน้อย<br>หลายร่างในวัดเดียวกัน]
    C --> D[ค้นพบความลับ<br>การเกิดหลายร่าง]
    ```

    การพบกันครั้งแรก

    เมื่อสิงห์และหนูดีไปถึงวัด ก็พบกับเณรน้อยนั่งเล่นอยู่กลางลานวัด
    แต่ทันใดนั้น...มีเณรน้อยโผล่ออกมาจากรอบทิศทาง

    สิงห์: "นี่... มีเด็กกี่คนกันแน่?"
    หนูดี:"พ่อคะ... นี่คือเด็กคนเดียวกันทั้งหมด"

    ความลับของเณรน้อยหลายร่าง

    ต้นกำเนิดแห่งพลัง

    เณรน้อยชื่อ "เณรพุทธ" อายุ 8 ขวบ
    เป็นโอปปาติกะรุ่นพิเศษที่เกิดจากพลังงานศรัทธา ในวัดร้าง

    ```python
    class LittleMonkAbilities:
    def __init__(self):
    self.background = {
    "origin": "เกิดจากพลังงานศรัทธาที่สะสมในวัด",
    "age": "8 ปี (ร่างกาย), ไม่แน่นอน (จิตวิญญาณ)",
    "nature": "บริสุทธิ์แต่ซนตามประสาเด็ก"
    }

    self.powers = {
    "multi_body": "สร้างร่างย่อยได้สูงสุด 5 ร่าง",
    "object_animation": "ทำให้วัตถุไม่มีชีวิตเคลื่อนไหวได้",
    "faith_energy": "ดูดกลืนพลังงานศรัทธามาใช้",
    "temple_connection": "เชื่อมโยงกับวัดเป็นแหล่งพลัง"
    }
    ```

    เหตุผลของการหลายร่าง

    หนูดีอธิบายให้สิงห์ฟัง:
    "เขาไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างปัญหา...
    แต่เป็นเพราะพลังงานศรัทธาที่ล้นเกิน
    ทำให้เขาต้องปล่อยร่างย่อยออกมา"

    ปัญหาที่เณรพุทธสร้างขึ้น

    เรื่องร้องเรียนจากชาวบ้าน

    1. ขโมยของ: แต่เป็นการเล่นสนุก ไม่ได้ต้องการจริงๆ
    2. ทำให้ตกใจ: ปรากฏตัวแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
    3. เคลื่อนย้ายสิ่งของ: ย้ายเฟอร์นิเจอร์ในบ้านโดยไม่บอก

    พฤติกรรมเฉพาะตัว

    แต่ละร่างของเณรพุทธมีนิสัยต่างกัน:

    ```mermaid
    graph LR
    A[ร่างหลัก<br>เณรพุทธ] --> B[ร่างที่ 1<br>ขี้เล่น]
    A --> C[ร่างที่ 2<br>ขี้สงสัย]
    A --> D[ร่างที่ 3<br>ขี้อาย]
    A --> E[ร่างที่ 4<br>ขี้แกล้ง]
    ```

    จุดอ่อนของเณรพุทธ

    · ชอบขนม: ขบเคี้ยวนมเปรี้ยวและข้าวเกรียบ
    · ต้องการเพื่อน: รู้สึกโดดเดี่ยวเพราะไม่มีใครมองเห็น
    · อยากช่วยเหลือ: แต่ไม่รู้วิธีที่ถูกต้อง

    กระบวนการช่วยเหลือ

    การเข้าใจของหนูดี

    หนูดีเข้าถึงจิตใจของเณรพุทธ:
    "เขาแค่ต้องการเล่นเหมือนเด็กทั่วไป...
    แต่ไม่มีใครมองเห็นหรือเล่นด้วย"

    การเสนอทางออก

    สิงห์เสนอ
    "เราต้องหาที่อยู่ใหม่ให้เขา...
    ที่เขาสามารถเล่นและเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม"

    การมีส่วนร่วมของสถาบัน

    หนูดีชวนเณรพุทธมาอยู่ที่ สถาบันวิวัฒนาการจิต

    · มีเด็กโอปปาติกะรุ่นอื่นๆ เป็นเพื่อน
    · มีครูคอยสอนการควบคุมพลัง
    · มีพื้นที่ให้เล่นอย่างอิสระ

    บทเรียนสำหรับเณรพุทธ

    การสอนการควบคุมพลัง

    ```python
    def training_program():
    lessons = [
    "การรวมร่างเมื่อไม่จำเป็น",
    "การขออนุญาตก่อนใช้พลัง",
    "การช่วยเหลือผู้อื่นแทนการแกล้ง",
    "การเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์"
    ]

    teachers = [
    "หนูดี: การควบคุมพลังงาน",
    "เทพตณู: การมีสติ",
    "ร.ต.อ.สิงห์: การอยู่ร่วมกันในสังคม"
    ]

    return lessons, teachers
    ```

    พัฒนาการของเณรพุทธ

    หลังการฝึก 1 เดือน:

    · ลดร่างย่อย จาก 5 เหลือ 2 ร่าง
    · เรียนรู้มารยาท ในการอยู่ร่วมกับมนุษย์
    · เริ่มช่วยงาน ในสถาบันแทนการสร้างปัญหา

    ผลกระทบเชิงบวก

    บทบาทใหม่ในสถาบัน

    เณรพุทธกลายเป็น:

    · ผู้ช่วยครู: ช่วยสอนเด็กโอปปาติกะรุ่นใหม่
    · นักเล่น: นำความรื่นเริงมาสู่สถาบัน
    · สะพานเชื่อม: ระหว่างโอปปาติกะกับมนุษย์

    ความสัมพันธ์ใหม่

    กับหนูดี: เหมือนพี่น้อง
    กับสิงห์:เหมือนพ่อ
    กับโอปปาติกะอื่น:เพื่อนร่วมชั้น

    บทเรียนจากคดี

    🪷 สำหรับสังคม

    ```python
    def societal_lessons():
    return {
    "understanding": "การเข้าใจในความแตกต่าง",
    "patience": "ความอดทนต่อพฤติกรรมเด็ก",
    "guidance": "การชี้นำที่ถูกต้องสำคัญกว่าการลงโทษ",
    "compassion": "ความเมตตาต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด"
    }
    ```

    สำหรับเณรพุทธ

    "ฉันเรียนรู้ว่า...
    การมีพลังพิเศษอาจไม่เป็นคำสาป
    แต่คือของขวัญที่ต้องใช้อย่างมีความรับผิดชอบ"

    สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์

    "คดีนี้สอนฉันว่า...
    บางครั้ง'ปัญหา' ที่แท้จริงอาจเป็นพฤติกรรม
    แต่คือสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม"

    การเปลี่ยนแปลงนโยบาย

    ข้อเสนอใหม่

    หลังคดีนี้ มีการเสนอตั้ง "ศูนย์ดูแลโอปปาติกะเด็ก"

    · ให้การดูแลอย่างเหมาะสมตามวัย
    · สอนการควบคุมพลังและเข้าสังคม
    · มีกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการ

    ความร่วมมือใหม่

    วัดต่างๆ เริ่มร่วมมือกับสถาบัน:

    · ดูแลโอปปาติกะที่เกิดจากพลังงานศรัทธา
    · สอนธรรมะและการมีสติ
    · เป็นแหล่งพลังงานที่เหมาะสม

    ตอนจบแห่งความสุข

    การกลับไปเยี่ยมวัด

    เณรพุทธกลับไปเยี่ยมวัดร้างพร้อมหนูดี:
    "ขอบคุณที่ให้ฉันเกิดมาครับ...
    ฉันมีบ้านใหม่แล้ว"

    ของขวัญแห่งความทรงจำ

    เณรพุทธสร้าง ดอกไม้พลังงาน ให้วัด:

    · จะเบ่งบานเมื่อมีผู้มาทำบุญ
    · แสดงสีตามระดับพลังงานศรัทธา
    · เป็นเครื่องเตือนใจถึงเขา

    บทสรุป: จากปัญหาเป็นพลังสร้างสรรค์

    คำคมจากเณรพุทธ

    "ฉันเคยคิดว่าการเล่นสนุกคือการสร้างปัญหา...
    แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า
    การเล่นสนุกที่แท้คือการทำให้他人ยิ้มได้"

    ความสำเร็จ

    จากเณรน้อยจอมซน สู่...
    "ผู้ช่วยครูแห่งสถาบันวิวัฒนาการจิต"

    ---

    คำคมสุดท้ายจากคดี:
    "เด็กทุกคน deserve โอกาสที่จะเติบโต
    ไม่ว่าจะเกิดมาอย่างไร
    และบางครั้ง...
    การเล่นสนุกที่ดูเหมือนเป็นปัญหา
    ก็คือวิธีการเรียนรู้โลกของพวกเขา"

    การเดินทางของเณรพุทธสอนเราว่า...
    "Behind every 'problem child'
    there is just a child seeking love and guidance"
    O.P.K. 🏯 คดีเณรน้อยจอมซน: คนหลายร่างแห่งวัดร้าง 👦 การปรากฏตัวของเณรน้อยพิศวง 🏮 การค้นพบในวัดร้าง ร.ต.อ. สิงห์ ได้รับแจ้งเหตุการณ์ประหลาดจากชาวบ้านใกล้ วัดร้างศรีมหาวิหาร: · ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะแต่ไม่เห็นตัว · วัตถุในวัดเคลื่อนไหวได้เอง · มีเห็นเด็กน้อยในชุดเณรปรากฏแล้วหายไป ```mermaid graph TB A[ชาวบ้าน<br>แจ้งเหตุประหลาด] --> B[ร.ต.อ.สิงห์<br>และหนูดีออกสืบ] B --> C[พบเณรน้อย<br>หลายร่างในวัดเดียวกัน] C --> D[ค้นพบความลับ<br>การเกิดหลายร่าง] ``` 🎭 การพบกันครั้งแรก เมื่อสิงห์และหนูดีไปถึงวัด ก็พบกับเณรน้อยนั่งเล่นอยู่กลางลานวัด แต่ทันใดนั้น...มีเณรน้อยโผล่ออกมาจากรอบทิศทาง สิงห์: "นี่... มีเด็กกี่คนกันแน่?" หนูดี:"พ่อคะ... นี่คือเด็กคนเดียวกันทั้งหมด" 🔮 ความลับของเณรน้อยหลายร่าง 🧘 ต้นกำเนิดแห่งพลัง เณรน้อยชื่อ "เณรพุทธ" อายุ 8 ขวบ เป็นโอปปาติกะรุ่นพิเศษที่เกิดจากพลังงานศรัทธา ในวัดร้าง ```python class LittleMonkAbilities: def __init__(self): self.background = { "origin": "เกิดจากพลังงานศรัทธาที่สะสมในวัด", "age": "8 ปี (ร่างกาย), ไม่แน่นอน (จิตวิญญาณ)", "nature": "บริสุทธิ์แต่ซนตามประสาเด็ก" } self.powers = { "multi_body": "สร้างร่างย่อยได้สูงสุด 5 ร่าง", "object_animation": "ทำให้วัตถุไม่มีชีวิตเคลื่อนไหวได้", "faith_energy": "ดูดกลืนพลังงานศรัทธามาใช้", "temple_connection": "เชื่อมโยงกับวัดเป็นแหล่งพลัง" } ``` 💫 เหตุผลของการหลายร่าง หนูดีอธิบายให้สิงห์ฟัง: "เขาไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างปัญหา... แต่เป็นเพราะพลังงานศรัทธาที่ล้นเกิน ทำให้เขาต้องปล่อยร่างย่อยออกมา" 🎪 ปัญหาที่เณรพุทธสร้างขึ้น 🏘️ เรื่องร้องเรียนจากชาวบ้าน 1. ขโมยของ: แต่เป็นการเล่นสนุก ไม่ได้ต้องการจริงๆ 2. ทำให้ตกใจ: ปรากฏตัวแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว 3. เคลื่อนย้ายสิ่งของ: ย้ายเฟอร์นิเจอร์ในบ้านโดยไม่บอก 🎯 พฤติกรรมเฉพาะตัว แต่ละร่างของเณรพุทธมีนิสัยต่างกัน: ```mermaid graph LR A[ร่างหลัก<br>เณรพุทธ] --> B[ร่างที่ 1<br>ขี้เล่น] A --> C[ร่างที่ 2<br>ขี้สงสัย] A --> D[ร่างที่ 3<br>ขี้อาย] A --> E[ร่างที่ 4<br>ขี้แกล้ง] ``` 🍬 จุดอ่อนของเณรพุทธ · ชอบขนม: ขบเคี้ยวนมเปรี้ยวและข้าวเกรียบ · ต้องการเพื่อน: รู้สึกโดดเดี่ยวเพราะไม่มีใครมองเห็น · อยากช่วยเหลือ: แต่ไม่รู้วิธีที่ถูกต้อง 💞 กระบวนการช่วยเหลือ 🧠 การเข้าใจของหนูดี หนูดีเข้าถึงจิตใจของเณรพุทธ: "เขาแค่ต้องการเล่นเหมือนเด็กทั่วไป... แต่ไม่มีใครมองเห็นหรือเล่นด้วย" 🏡 การเสนอทางออก สิงห์เสนอ "เราต้องหาที่อยู่ใหม่ให้เขา... ที่เขาสามารถเล่นและเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม" 🌟 การมีส่วนร่วมของสถาบัน หนูดีชวนเณรพุทธมาอยู่ที่ สถาบันวิวัฒนาการจิต · มีเด็กโอปปาติกะรุ่นอื่นๆ เป็นเพื่อน · มีครูคอยสอนการควบคุมพลัง · มีพื้นที่ให้เล่นอย่างอิสระ 📚 บทเรียนสำหรับเณรพุทธ 🎓 การสอนการควบคุมพลัง ```python def training_program(): lessons = [ "การรวมร่างเมื่อไม่จำเป็น", "การขออนุญาตก่อนใช้พลัง", "การช่วยเหลือผู้อื่นแทนการแกล้ง", "การเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์" ] teachers = [ "หนูดี: การควบคุมพลังงาน", "เทพตณู: การมีสติ", "ร.ต.อ.สิงห์: การอยู่ร่วมกันในสังคม" ] return lessons, teachers ``` 🎭 พัฒนาการของเณรพุทธ หลังการฝึก 1 เดือน: · ลดร่างย่อย จาก 5 เหลือ 2 ร่าง · เรียนรู้มารยาท ในการอยู่ร่วมกับมนุษย์ · เริ่มช่วยงาน ในสถาบันแทนการสร้างปัญหา 🌈 ผลกระทบเชิงบวก 🏫 บทบาทใหม่ในสถาบัน เณรพุทธกลายเป็น: · ผู้ช่วยครู: ช่วยสอนเด็กโอปปาติกะรุ่นใหม่ · นักเล่น: นำความรื่นเริงมาสู่สถาบัน · สะพานเชื่อม: ระหว่างโอปปาติกะกับมนุษย์ 💝 ความสัมพันธ์ใหม่ กับหนูดี: เหมือนพี่น้อง กับสิงห์:เหมือนพ่อ กับโอปปาติกะอื่น:เพื่อนร่วมชั้น 🎯 บทเรียนจากคดี 🪷 สำหรับสังคม ```python def societal_lessons(): return { "understanding": "การเข้าใจในความแตกต่าง", "patience": "ความอดทนต่อพฤติกรรมเด็ก", "guidance": "การชี้นำที่ถูกต้องสำคัญกว่าการลงโทษ", "compassion": "ความเมตตาต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด" } ``` 🌟 สำหรับเณรพุทธ "ฉันเรียนรู้ว่า... การมีพลังพิเศษอาจไม่เป็นคำสาป แต่คือของขวัญที่ต้องใช้อย่างมีความรับผิดชอบ" 👮 สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์ "คดีนี้สอนฉันว่า... บางครั้ง'ปัญหา' ที่แท้จริงอาจเป็นพฤติกรรม แต่คือสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม" 🏛️ การเปลี่ยนแปลงนโยบาย 📜 ข้อเสนอใหม่ หลังคดีนี้ มีการเสนอตั้ง "ศูนย์ดูแลโอปปาติกะเด็ก" · ให้การดูแลอย่างเหมาะสมตามวัย · สอนการควบคุมพลังและเข้าสังคม · มีกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการ 🌍 ความร่วมมือใหม่ วัดต่างๆ เริ่มร่วมมือกับสถาบัน: · ดูแลโอปปาติกะที่เกิดจากพลังงานศรัทธา · สอนธรรมะและการมีสติ · เป็นแหล่งพลังงานที่เหมาะสม 🎉 ตอนจบแห่งความสุข 🏮 การกลับไปเยี่ยมวัด เณรพุทธกลับไปเยี่ยมวัดร้างพร้อมหนูดี: "ขอบคุณที่ให้ฉันเกิดมาครับ... ฉันมีบ้านใหม่แล้ว" 💫 ของขวัญแห่งความทรงจำ เณรพุทธสร้าง ดอกไม้พลังงาน ให้วัด: · จะเบ่งบานเมื่อมีผู้มาทำบุญ · แสดงสีตามระดับพลังงานศรัทธา · เป็นเครื่องเตือนใจถึงเขา 🌟 บทสรุป: จากปัญหาเป็นพลังสร้างสรรค์ 💞 คำคมจากเณรพุทธ "ฉันเคยคิดว่าการเล่นสนุกคือการสร้างปัญหา... แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า การเล่นสนุกที่แท้คือการทำให้他人ยิ้มได้" 🏆 ความสำเร็จ จากเณรน้อยจอมซน สู่... "ผู้ช่วยครูแห่งสถาบันวิวัฒนาการจิต" --- คำคมสุดท้ายจากคดี: "เด็กทุกคน deserve โอกาสที่จะเติบโต ไม่ว่าจะเกิดมาอย่างไร และบางครั้ง... การเล่นสนุกที่ดูเหมือนเป็นปัญหา ก็คือวิธีการเรียนรู้โลกของพวกเขา"🏯✨ การเดินทางของเณรพุทธสอนเราว่า... "Behind every 'problem child' there is just a child seeking love and guidance"🌈
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 5
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 5 (จบ)

    นายอาเบะ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสมัยที่ 2 ในเดือนธันวาคม 2012 เขามาจากครอบครัวนักการเมืองขนานแท้ดั้งเดิม ท้ังพ่อและปู่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ส่วนแม่ของอาเบะ เป็นลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังระดับประเทศ นาย Nobusuke Kishi อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วง 1957-1960 ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยนายพลโตโจที่นำการรบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Kishi เป็นผู้ต้ังพรรค Democratic Party ต่อมาพรรคนี้ไปรวมกับพรรค Liberty ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shigaru Yoshida พรรคขวาจัด ชาตินิยม และเปลี่ยนชื่อเป็นพรรค LDP ซึ่งครองอำนาจในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน

    นายอาเบะ นี่ เคยไปเรียนหนังสือที่ University of Southern California แต่ไม่จบ กลับมาทำงานการเมืองในญี่ปุ่นต่อ เขานับเป็นลูกหม้อของพรรค LDP ถูกวางตัวให้เป็นดาราดาวรุ่ง ในที่สุดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจคนดันในช่วงปี 2005-2006 เขาดูเหมือนนิยมตะวันตก และมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือมาตลอด โดยพยายามหาทางคว่ำบาตรเกาหลีเหนือผ่านสหประชาติ และเมื่อตอนหาเสียงเลือกต้ังในปี ค.ศ.2012 เขาชูประเด็นเรื่องข้อพิพาทกับจีน และการขึ้นมาของจีนแทนที่ญี่ปุ่น ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าในเอเซีย

    นับว่า สุดกร่าง CFR มีสายตายาวไกล และลึกซึ้ง การเลือกไพ่แต่ละใบของนักล่าใบตองแห้ง ดูเหมือนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบ่อน หรือสร้างรังโจรที่ประเทศใด ไม่ว่าจะหัวนอก หรือหัวใน ต้องพร้อมรับใช้จนสุดทาง และสุดตัว
    คงจำกันได้ว่า CFR นั้นเป็นผลผลิตของกลุ่มอิลิต นักการเงิน และนักธุรกิจ แองโกลอเมริกัน จาก 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ความใหญ่ของ CFR นั้น เกินจินตนาการของเราๆ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่า CFR คืออะไร มีอิทธิพลแค่ไหน อิทธิพล และอำนาจของ CFR เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้น เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีอิทธิพลครอบงำการเมือง และรัฐบาลของอเมริกา ต้ังแต่ประมาณปี 1950 เป็นต้นมา และเมื่ออำนาจของอเมริกาครอบงำโลก ก็คงไม่เกินไปที่จะบอกว่า CFR นั้นก็มีส่วนครอบงำโลกด้วย

    (เรื่อง ของ CFR นั้น ผมเขียนเล่าไว้ในนิทาน เรื่อง “มายากลยุทธ” และ “แกะรอยนักล่า” สำหรับท่านผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านตอนหลังๆ ถ้าอยากเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ อีกมุมมอง อีกชุดของข้อมูล ลองอ่านนิทาน 2 เรื่องนี้นะครับ)

    ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับ CFR (เปิดดูจากกูเกิลได้ครับ) คือ ก่อตั้งในปี ค.ศ.1921 มีสมาชิก เริ่มแรกประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นชาวอังกฤษและอเมริกัน ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกประมา ณ 5 พันคน สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกฝรั่งแองโกลแซกซอน และชาวยุโรป ใน 5 พันคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้นำ หัวหน้า และผู้บริหารระดับสูงของประเทศ และบรรษัทข้ามชาติ มีหลายคน เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา หลายคน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็นรัฐมนตรีการคลัง เป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง เป็นหัวหน้าซีไอเอและหลายคนเป็นพระราชวงศ์ในยุโรปและอังกฤษ ฯลฯ

    สำหรับไทยแลนด์แดนสมันน้อย เรามีคนไทยที่ถูกลาก หรือ สมัครใจ เข้าไปเกี่ยวกับ CFR โดยเป็นสมาชิกขององค์กร ชื่อ Trilatteral Commission ซึ่งเป็นองค์กรลูกของ CFR ที่ต้ังขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 ขณะน้ัน นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นประธาน CFR เห็นว่า ควรจะเอานักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในความดูแลของ CFR ด้วย เลยพ่วงเอาชาวเอเซีย ลาติน และอาฟริกา ที่เข้าข่ายน่าจะเป็นประโยชน์ และมีแนวความคิด เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกแนวทางเดียวกันกับ CFR เข้ามาร่วมด้วย
    จากเอกสารของ Trilateral Commissionเอง ปี ค.ศ.2014 ปรากฏมีรายชื่อ คนไทย เป็นสมาชิก Trilatteral Commission 4 คน คือ

    1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี
    2. นายสมเกียรติ ต้ังกิจวานิชย์ (ผู้อำนวยการ สถาบัน TDRI ของไทย)
    3. นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีต ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย)
    4. นายกานต์ ตระกูลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ไทย)

    ปี ค.ศ.2015 รายชื่อ ซึ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน นี้เอง เหลือ 2 ชื่อ ดังนี้

    1. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
    2. นางธาริษา วัฒนเกศ

    ทำไมผมพูดเรื่องญี่ปุ่น นายอาเบะ และเครือข่ายของ CFR เพราะมันเกี่ยวกัน และมันเป็นตัวอย่าง ที่น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพหลายภาพชัดเจนขึ้น

    CFR นั้น เริ่มมีคนพูดถึงกันในช่วงประมาณปี ค.ศ.1960 แต่ช่วงนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ของ CFR ยังไม่มีออกมาแพร่หลายมากนัก นักวิเคราะห์การเมือง และคนทั่วไป จึงมอง CFR ไปในแนวทฤษฏีสมคบคิด ซึ่งมักทำให้ที่ผู้ได้ยินเรื่อง CFR ไม่ให้น้ำหนัก ไม่ให้ความเชื่อถือ ถึงอำนาจและอิทธิพลจริงขององค์กรนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ง่ายขึ้น และลึกขึ้น มีเอกสารที่เหมือนเป็นใบเสร็จ ออกมาให้เราศึกษามากขึ้น อย่างเช่นรายงานการวิเคราะห์ของ CFR เอง ที่ออกมาให้เห็นแนวความคิดของ CFR และกลายมาเป็นนโยบายของรัฐบาลอเมริกา และการดำเนินงานของอเมริกาตามนโยบาย ที่เสนอแนะโดย CFR อย่างจริงจังในหลายส่วนของโลก จึงทำให้ผู้ที่ติดตามดูความเป็น ไปขององค์กร CFR เชื่อมากขึ้นว่า การครอบงำโลกโดย CFR ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฏี แต่มันเป็นของจริง อำนาจจริง อิทธิพลจริง ที่ครอบงำโลกนี้อยู่

    และถ้ามันเป็นของจริงเช่นนั้น เรื่อง Grand Stategy แผนสอยมังกร ของ CFR ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะอ่านเล่น หรืออ่านแล้วก็แล้วกัน เราน่าจะต้อง อ่าน และวิเคราะห์เองต่อไปอีกด้วยว่า เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งถูก Grand Strategy กำหนดให้มีบทบาทสำคัญ ในการสอยมังกรให้ร่วงนั้น ญี่ปุ่นเอาจริง เดินหน้าตามแผนที่ CFR กำหนดขนาดไหน และการเดินตามแผนนั้น เราคงจะพอมองเห็นได้ว่า อเมริกา กำลัง “ใช้” ญี่ปุ่น และไม่ได้ใช้ไปเดินเล่น จ่ายตลาด แต่ เป็นการ “ใช้” ให้ญี่ปุ่นไปรบแทน และอาจไปตายแทน ด้วยค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นเงินภาษี หรือเงินกู้ของญี่ปุ่น แต่มันเป็น “ราคา” ที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจ่าย
    ขณะเดียวกัน ถ้าอเมริกลากเอาแดนสยาม เข้าไปร่วมขบวนการกับญี่ปุ่น ให้ช่วยกันสอยจีน เราจะถูก “ใช้” ไปรบแทน จนถึงตายแทน ร่วมกับญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง ที่ต้องคิดกัน แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า ลุงตู่ของผมคงมองออก ไม่คิดเป็นคนรับใช้ต่างชาติ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ผันแปร มีการบีบไข่กัน จนต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ช่วยกันมอง ช่วยกันคิดให้ดีๆ นะครับ รูปแบบที่ไอ้นักล่ามันชอบใช้ ไพ่ที่มันชอบเล่นมีอยู่ อย่าตกหลุมมันง่ายๆอีก นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง

    แต่อีกเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่าคือ กรณีที่ญี่ปุ่นเดินหน้า ตาม CFR อย่างไม่หยุดนั่นแหละครับ ถ้าเกิดถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกาสั่งให้ญี่ปุ่นเคลื่อนพล ไปปะทะจีน หรือตอนนั้นสถานการณ์ในเอเซียมันตึงเครียดได้ที่ ตามความต้องการของอเมริกาแล้ว แม้เราจะฉีกตัวออกมาจากการไปช่วยเขาแบกถาดได้ แต่ถ้าบรรดาคุณยุ่น ที่ขณะนี้ กระจายกันอยู่ในแดนสยามของเราไม่น้อย ไม่ว่าในกรุงเทพ โดยเฉพาะแถบสุขุมวิท ซึ่งใกล้จะเปลี่ยนเป็นแดนปลาดิบ แล้ว ยังมีที่ต่างจังหวัด ทางภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ศรีราชา หรือภาคใต้ เช่น ชุมพร ถ้าคุณยุ่นเขาพากันเปลี่ยนชุด หยิบเครื่องแบบทหารมาใส่ เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ที่กองทหารญี่ปุ่นบุกเข้าเมือง ไทย ยกพลมาจากทางภาคใต้ของไทย มาจาก สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พอถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2484 ชาวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ก็แต่งชุดทหารเดินเต็มอยู่ในกรุงเทพฯกันหมด แม้แต่หมอฟันของแม่ผม ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์เช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก

    และแม้ว่า ข้อสังเกตที่ว่า นายอาเบะอาจจะเล่นบท 2 หน้า จะเป็นซามูไรแบกถาด หรือซามูไรทิ้งถาด สิ่งที่ผมเขียนเล่ามา ผลกระทบต่อบ้านเรา ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงยังน่าเป็นห่วงเช่นเดิม บางส่วน บางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยน ถ้าเขาหักหลังกันเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอะไรขึ้นมา เพราะไม่น่าไว้วางใจทั้งคนใช้ให้แบกถาด และคนแบกถาด หรือจะเป็นคนทิ้งถาด
    ในชีวิตคนเรา เห็นสงครามโลกครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 2 ผมยังไม่โตพอที่จะไปรบ แต่โตพอที่จะรู้เรื่องว่า บ้านเมืองเราอยู่ในสภาพบ้านพัง สาแหร่กขาดอย่างไร ครอบครัวเราส่วนใหญ่ลำบากอย่างไร และมันทิ้งอะไรไว้กับบ้านเมืองเราครอบครัวเรา ผ่านไป 70 ปี ยังจำได้ไม่ลืม

    เราชาวสยาม จะต้องตื่นรู้เสียที ไม่ใช่เขียนให้แตกตื่น แต่ต้องตื่นมารับรู้ ทันเหตุการณ์นอกบ้าน ที่จะมีผลกระทบในบ้านเราเสียบ้าง ช่วยกันปลุก ช่วยกันให้ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่รู้แล้วเอาไปหาข้อมูลต่อ ว่า ที่อ่านกันมานี้ จริงเท็จอย่างไร แล้วคิดต่อ ดีกว่าไม่รู้จะคิดอะไร มันเป็นสมัยโลกาภิวัฒน์มิใช่หรือ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่ามัวเพลิดเพลินอยู่แต่กับการดูละครน้ำเน่า กับข่าวย้อมสี จนลืมสนใจภัยใหญ่ ที่อาจใกล้เราเข้ามาทุกทีแล้วนะครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 5 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 5 (จบ) นายอาเบะ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสมัยที่ 2 ในเดือนธันวาคม 2012 เขามาจากครอบครัวนักการเมืองขนานแท้ดั้งเดิม ท้ังพ่อและปู่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ส่วนแม่ของอาเบะ เป็นลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังระดับประเทศ นาย Nobusuke Kishi อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วง 1957-1960 ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยนายพลโตโจที่นำการรบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Kishi เป็นผู้ต้ังพรรค Democratic Party ต่อมาพรรคนี้ไปรวมกับพรรค Liberty ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shigaru Yoshida พรรคขวาจัด ชาตินิยม และเปลี่ยนชื่อเป็นพรรค LDP ซึ่งครองอำนาจในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน นายอาเบะ นี่ เคยไปเรียนหนังสือที่ University of Southern California แต่ไม่จบ กลับมาทำงานการเมืองในญี่ปุ่นต่อ เขานับเป็นลูกหม้อของพรรค LDP ถูกวางตัวให้เป็นดาราดาวรุ่ง ในที่สุดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจคนดันในช่วงปี 2005-2006 เขาดูเหมือนนิยมตะวันตก และมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือมาตลอด โดยพยายามหาทางคว่ำบาตรเกาหลีเหนือผ่านสหประชาติ และเมื่อตอนหาเสียงเลือกต้ังในปี ค.ศ.2012 เขาชูประเด็นเรื่องข้อพิพาทกับจีน และการขึ้นมาของจีนแทนที่ญี่ปุ่น ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าในเอเซีย นับว่า สุดกร่าง CFR มีสายตายาวไกล และลึกซึ้ง การเลือกไพ่แต่ละใบของนักล่าใบตองแห้ง ดูเหมือนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบ่อน หรือสร้างรังโจรที่ประเทศใด ไม่ว่าจะหัวนอก หรือหัวใน ต้องพร้อมรับใช้จนสุดทาง และสุดตัว คงจำกันได้ว่า CFR นั้นเป็นผลผลิตของกลุ่มอิลิต นักการเงิน และนักธุรกิจ แองโกลอเมริกัน จาก 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ความใหญ่ของ CFR นั้น เกินจินตนาการของเราๆ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่า CFR คืออะไร มีอิทธิพลแค่ไหน อิทธิพล และอำนาจของ CFR เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้น เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีอิทธิพลครอบงำการเมือง และรัฐบาลของอเมริกา ต้ังแต่ประมาณปี 1950 เป็นต้นมา และเมื่ออำนาจของอเมริกาครอบงำโลก ก็คงไม่เกินไปที่จะบอกว่า CFR นั้นก็มีส่วนครอบงำโลกด้วย (เรื่อง ของ CFR นั้น ผมเขียนเล่าไว้ในนิทาน เรื่อง “มายากลยุทธ” และ “แกะรอยนักล่า” สำหรับท่านผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านตอนหลังๆ ถ้าอยากเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ อีกมุมมอง อีกชุดของข้อมูล ลองอ่านนิทาน 2 เรื่องนี้นะครับ) ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับ CFR (เปิดดูจากกูเกิลได้ครับ) คือ ก่อตั้งในปี ค.ศ.1921 มีสมาชิก เริ่มแรกประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นชาวอังกฤษและอเมริกัน ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกประมา ณ 5 พันคน สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกฝรั่งแองโกลแซกซอน และชาวยุโรป ใน 5 พันคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้นำ หัวหน้า และผู้บริหารระดับสูงของประเทศ และบรรษัทข้ามชาติ มีหลายคน เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา หลายคน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็นรัฐมนตรีการคลัง เป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง เป็นหัวหน้าซีไอเอและหลายคนเป็นพระราชวงศ์ในยุโรปและอังกฤษ ฯลฯ สำหรับไทยแลนด์แดนสมันน้อย เรามีคนไทยที่ถูกลาก หรือ สมัครใจ เข้าไปเกี่ยวกับ CFR โดยเป็นสมาชิกขององค์กร ชื่อ Trilatteral Commission ซึ่งเป็นองค์กรลูกของ CFR ที่ต้ังขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 ขณะน้ัน นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นประธาน CFR เห็นว่า ควรจะเอานักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในความดูแลของ CFR ด้วย เลยพ่วงเอาชาวเอเซีย ลาติน และอาฟริกา ที่เข้าข่ายน่าจะเป็นประโยชน์ และมีแนวความคิด เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกแนวทางเดียวกันกับ CFR เข้ามาร่วมด้วย จากเอกสารของ Trilateral Commissionเอง ปี ค.ศ.2014 ปรากฏมีรายชื่อ คนไทย เป็นสมาชิก Trilatteral Commission 4 คน คือ 1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี 2. นายสมเกียรติ ต้ังกิจวานิชย์ (ผู้อำนวยการ สถาบัน TDRI ของไทย) 3. นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีต ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย) 4. นายกานต์ ตระกูลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ไทย) ปี ค.ศ.2015 รายชื่อ ซึ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน นี้เอง เหลือ 2 ชื่อ ดังนี้ 1. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ 2. นางธาริษา วัฒนเกศ ทำไมผมพูดเรื่องญี่ปุ่น นายอาเบะ และเครือข่ายของ CFR เพราะมันเกี่ยวกัน และมันเป็นตัวอย่าง ที่น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพหลายภาพชัดเจนขึ้น CFR นั้น เริ่มมีคนพูดถึงกันในช่วงประมาณปี ค.ศ.1960 แต่ช่วงนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ของ CFR ยังไม่มีออกมาแพร่หลายมากนัก นักวิเคราะห์การเมือง และคนทั่วไป จึงมอง CFR ไปในแนวทฤษฏีสมคบคิด ซึ่งมักทำให้ที่ผู้ได้ยินเรื่อง CFR ไม่ให้น้ำหนัก ไม่ให้ความเชื่อถือ ถึงอำนาจและอิทธิพลจริงขององค์กรนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ง่ายขึ้น และลึกขึ้น มีเอกสารที่เหมือนเป็นใบเสร็จ ออกมาให้เราศึกษามากขึ้น อย่างเช่นรายงานการวิเคราะห์ของ CFR เอง ที่ออกมาให้เห็นแนวความคิดของ CFR และกลายมาเป็นนโยบายของรัฐบาลอเมริกา และการดำเนินงานของอเมริกาตามนโยบาย ที่เสนอแนะโดย CFR อย่างจริงจังในหลายส่วนของโลก จึงทำให้ผู้ที่ติดตามดูความเป็น ไปขององค์กร CFR เชื่อมากขึ้นว่า การครอบงำโลกโดย CFR ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฏี แต่มันเป็นของจริง อำนาจจริง อิทธิพลจริง ที่ครอบงำโลกนี้อยู่ และถ้ามันเป็นของจริงเช่นนั้น เรื่อง Grand Stategy แผนสอยมังกร ของ CFR ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะอ่านเล่น หรืออ่านแล้วก็แล้วกัน เราน่าจะต้อง อ่าน และวิเคราะห์เองต่อไปอีกด้วยว่า เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งถูก Grand Strategy กำหนดให้มีบทบาทสำคัญ ในการสอยมังกรให้ร่วงนั้น ญี่ปุ่นเอาจริง เดินหน้าตามแผนที่ CFR กำหนดขนาดไหน และการเดินตามแผนนั้น เราคงจะพอมองเห็นได้ว่า อเมริกา กำลัง “ใช้” ญี่ปุ่น และไม่ได้ใช้ไปเดินเล่น จ่ายตลาด แต่ เป็นการ “ใช้” ให้ญี่ปุ่นไปรบแทน และอาจไปตายแทน ด้วยค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นเงินภาษี หรือเงินกู้ของญี่ปุ่น แต่มันเป็น “ราคา” ที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจ่าย ขณะเดียวกัน ถ้าอเมริกลากเอาแดนสยาม เข้าไปร่วมขบวนการกับญี่ปุ่น ให้ช่วยกันสอยจีน เราจะถูก “ใช้” ไปรบแทน จนถึงตายแทน ร่วมกับญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง ที่ต้องคิดกัน แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า ลุงตู่ของผมคงมองออก ไม่คิดเป็นคนรับใช้ต่างชาติ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ผันแปร มีการบีบไข่กัน จนต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ช่วยกันมอง ช่วยกันคิดให้ดีๆ นะครับ รูปแบบที่ไอ้นักล่ามันชอบใช้ ไพ่ที่มันชอบเล่นมีอยู่ อย่าตกหลุมมันง่ายๆอีก นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่าคือ กรณีที่ญี่ปุ่นเดินหน้า ตาม CFR อย่างไม่หยุดนั่นแหละครับ ถ้าเกิดถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกาสั่งให้ญี่ปุ่นเคลื่อนพล ไปปะทะจีน หรือตอนนั้นสถานการณ์ในเอเซียมันตึงเครียดได้ที่ ตามความต้องการของอเมริกาแล้ว แม้เราจะฉีกตัวออกมาจากการไปช่วยเขาแบกถาดได้ แต่ถ้าบรรดาคุณยุ่น ที่ขณะนี้ กระจายกันอยู่ในแดนสยามของเราไม่น้อย ไม่ว่าในกรุงเทพ โดยเฉพาะแถบสุขุมวิท ซึ่งใกล้จะเปลี่ยนเป็นแดนปลาดิบ แล้ว ยังมีที่ต่างจังหวัด ทางภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ศรีราชา หรือภาคใต้ เช่น ชุมพร ถ้าคุณยุ่นเขาพากันเปลี่ยนชุด หยิบเครื่องแบบทหารมาใส่ เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ที่กองทหารญี่ปุ่นบุกเข้าเมือง ไทย ยกพลมาจากทางภาคใต้ของไทย มาจาก สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พอถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2484 ชาวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ก็แต่งชุดทหารเดินเต็มอยู่ในกรุงเทพฯกันหมด แม้แต่หมอฟันของแม่ผม ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์เช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก และแม้ว่า ข้อสังเกตที่ว่า นายอาเบะอาจจะเล่นบท 2 หน้า จะเป็นซามูไรแบกถาด หรือซามูไรทิ้งถาด สิ่งที่ผมเขียนเล่ามา ผลกระทบต่อบ้านเรา ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงยังน่าเป็นห่วงเช่นเดิม บางส่วน บางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยน ถ้าเขาหักหลังกันเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอะไรขึ้นมา เพราะไม่น่าไว้วางใจทั้งคนใช้ให้แบกถาด และคนแบกถาด หรือจะเป็นคนทิ้งถาด ในชีวิตคนเรา เห็นสงครามโลกครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 2 ผมยังไม่โตพอที่จะไปรบ แต่โตพอที่จะรู้เรื่องว่า บ้านเมืองเราอยู่ในสภาพบ้านพัง สาแหร่กขาดอย่างไร ครอบครัวเราส่วนใหญ่ลำบากอย่างไร และมันทิ้งอะไรไว้กับบ้านเมืองเราครอบครัวเรา ผ่านไป 70 ปี ยังจำได้ไม่ลืม เราชาวสยาม จะต้องตื่นรู้เสียที ไม่ใช่เขียนให้แตกตื่น แต่ต้องตื่นมารับรู้ ทันเหตุการณ์นอกบ้าน ที่จะมีผลกระทบในบ้านเราเสียบ้าง ช่วยกันปลุก ช่วยกันให้ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่รู้แล้วเอาไปหาข้อมูลต่อ ว่า ที่อ่านกันมานี้ จริงเท็จอย่างไร แล้วคิดต่อ ดีกว่าไม่รู้จะคิดอะไร มันเป็นสมัยโลกาภิวัฒน์มิใช่หรือ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่ามัวเพลิดเพลินอยู่แต่กับการดูละครน้ำเน่า กับข่าวย้อมสี จนลืมสนใจภัยใหญ่ ที่อาจใกล้เราเข้ามาทุกทีแล้วนะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 4
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 4

    อังกฤษ ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่นมานานกว่าร้อยปี Anglo-Japanese Alliance มีมาตั้งแต่ ค.ศ.1902 ถ้าจำกันได้ การที่ญี่ปุ่นลุกขึ้นทำสงครามกับรัสเซีย ในปี ค.ศ.1904 ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงยุของอังกฤษ ทำให้อังกฤษยังชื่นชมญี่ปุ่นอยู่จนทุกวันนี้ สัมพันธ์อังกฤษ-ญี่ปุ่นสะดุดชั่วคราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ไม่ได้ทำให้อังกฤษตัดจนขาดกับญี่ปุ่นอย่างจริงจัง

    ล่าสุด เมื่ออังกฤษจะมีการเลือกตั้งทั่ว ไป ในต้นเดือนพฤษาคม และผลของการเลือกต้ัง ทำให้ได้นายเดวิด แคมารอน คนชอบจีบปากเวลาพูด กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อีกรอบหนึ่ง Chatham House ถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่ง ของอังกฤษ แฝดตัวพี่ของไอ้สุดกร่าง CFR เจ้าของแผนสอยมังกร ซึ่งก็มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอังกฤษ ไม่ต่างกับที่ CFR มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอเมริกา ก็ได้เขียนบทความ ออกมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2015 เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ ไอ้สุดกร่าง เขียนแผนสอยมังกร ออกมาตบหน้าอาเฮีย ยังกับนัดกัน…

    รายงานของ Chatham House เป็นข้อเสนอต่อรัฐบาลอังกฤษ ชุดใหม่ ที่จะได้มาจากการเลือกตั้ง สรุปว่า

    …ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงของประเทศ โดยพยายามจัดทำนโยบายในแนวทางรุกมากขึ้น โดยมีเป้าหมายทั้งระดับภูมิภาค และระดับโลก นโยบายนี้น่าจะสอดคล้องกับความต้องการของอังกฤษ …

    …ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ยอมรับว่า ตนเองมี (หรือ หวัง?!) ผลประโยชน์มากมายในเอเซีย เช่นที่อินโดนีเซีย เกี่ยวกับธุรกิจการเงิน และการประกันภัย หรือเกี่ยวกับเรื่องน้ำมัน และแก๊ส ในส่วนอื่นของภูมิภาค ที่อยู่ทั้งในระยะสำรวจและขุดเจาะ และธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย ความมั่นคงของภูมิภาคเอเซีย จึงเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นเรื่องหนึ่ง ที่อังกฤษให้ความสำคัญ โดยเฉพาะ จะต้องพยายามรักษาเส้นทางเดินเรือ จากอังกฤษไปถึงเอเซีย ในบริเวณต่างๆเอาไว้ แต่นโยบายของจีน เกี่ยวกับข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ และตะวันออก การไม่สามัคคีกันในเอเซียอาคเณย์ และการถูกข่มขู่จากผู้ก่อการร้าย และสลัดทะเล ทำให้ผลประโยชน์ของอังกฤษมีความ เสี่ยงเพิ่มขึ้น … พูดภาษาชาวบ้าน ก็หมายความว่า อังกฤษ ทำท่าจะไม่รวยขึ้น หรือจะจนลงด้วยซ้ำ จากการที่ควบคุม ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเด็กแถวเอเซีย ไม่อยู่หมัด เหมือนสมัยเป็นนายท่านของพวกอาณานิคม
    แต่มันติดปัญหา … ชาวเกาะใหญ่ฯ สารภาพอย่างหมดท่า แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็คงจะส่งกองกำลังของตนเอง ไปดูแลอย่างเดิมไม่ได้ เพราะงบด้านความมั่นคง ถูกตัดเสียเหลือสั้นกว่านิ้วก้อย และถ้าพรรคอนุรักษ์นิยม เจ้าของนโยบายการตัดงบด้านความมั่นคง กลับมาเป็นรัฐบาล (ซึ่งก็กลับมาจริงๆ) งบนี้ก็คงถูกตัดเหมือนเดิม ทางออกที่ดีที่สุดของรัฐบาลใหม่ คือไปจับมือกับญี่ปุ่นเสียให้แน่น เพราะญี่ปุ่นเองก็ต้องจับตาจ้อง คอยกันท่าไม่ให้จีนแหยมหน้า เข้ามาใกล้ตัวเองอยู่แล้ว...

    ….ข่าวเรื่องญี่ปุ่นต้ังงบด้าน ความมั่นคงสำหรับปี 2015 เสียสูงลิ่วถึง 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ ทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯ ตาโตเท่าไข่ห่าน งบขนาดนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ บอก เราไปเอี่ยวกับเขาน่ะ ดีที่สุดแล้ว …..

    นอกจากนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ ได้ยินมาว่า อเมริกากับญี่ปุ่น กำลังร่างยุทธศาสตร์ที่จะใช้ฐานทัพของญี่ปุ่นที่ Djibouti (ที่โซมาเลีย) ซึ่งเป็นฐานทัพนอกบ้านฐานแรกของญี่ปุ่น เพื่อใช้การปราบสลัดแถบนั้น ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์มาก กับเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ของอังกฤษ และดูแลผลประโยชน์ของอังกฤษ ได้ทั้งแถบตะวันออกกลาง และเอเซีย …. ซึ่งนายอาเบะ ก็แบะท่าไว้แล้ว ตั้งแต่มาคารวะอังกฤษในปี 2014 ว่า อยากจะเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงกับอังกฤษมากขึ้น เป็นท่าทีใหม่ของญี่ปุ่นที่มีกับชาวเกาะใหญ่ฯ ในรอบหลายปีเลยทีเดียว…

    Chatham House ฝาแฝดตัวพี่ ของสุดกร่าง CFR บอกว่า เราน่าจะชวน ญี่ปุ่น ชาวเกาะด้วยกัน มาทำสัญญาความร่วมมือสาระพัด แต่ดูๆไปแล้ว มันเป็นการกลบเกลื่อนความต้องการ จริงของชาวเกาะใหญ่ ที่ต้องการให้ญี่ปุ่น เป็นตัวแทน เป็นยาม เป็นหน่วยลาดตะเวน เป็นหน่วยปะทะ ถือถาดบริการชาวเกาะใหญ่ ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ยาวไปถึงโซมาเลียได้ยิ่งดี เหมือนกับที่ญี่ปุ่น กำลังเตรียมตัวทำให้นักล่าใบตองแห้ง แต่ ชาวเกาะใหญ่ฯ ถือไพ่เหนือมือคุณยุ่นเขา เหมือนนักล่าฯ หรือเปล่าล่ะ อาจจะถือไพ่ใต้มือเขาเสียด้วยซ้ำ ถ้าเขารู้ว่า บ้อท่า ถังแตก งบหดสั้นกว่านิ้วก้อยอย่างนั้น

    คิดไปคิดมา Chatham House แนะนำให้ชาวเกาะใหญ่กัดฟัน เสนอให้ร่วมมือด้านข่าวกรองกับญี่ปุ่นไปเลย และจริงๆ ถ้าจะปกป้องผลประโยชน์ของเราได้ดี เราก็น่าจะให้เขารู้ข้อมูลข่าวกรอง ของฝ่ายตรงกันข้ามมากกว่านี้ ….แสดงว่าชาวเกาะฝีมือไม่เบา จารกรรมจนได้ข้อมูลดีๆมาแยะ แต่อมแอบไว้ก่อน
    อืม… นี่มันเรื่องใหญ่มากนะครับ อังกฤษ มีระบบการจารกรรมข้อมูลข่าวสารและสัญญานทั่วโลก เช่นระบบ Echelon ที่โด่งดังมาก และมีระบบอื่นๆอีกมาก เขาว่ามันมีถึง 10 ระบบแล้ว จากหลายหน่วยงานข่าวกรองของอังกฤษ และข้อมูลทั้งหมดที่ไปล้วงได้มา จะถูกส่งไปที่ศูนย์รวม ที่เรียกว่า Government Communications Headquarters (GCHQ) ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับระบบจารก รรมข่าวกรองของ National Security Council (NSC) ของอเมริกา เช่น ระบบ Prism ที่นายEdward Snowden เอามาแฉ เมื่อ 2,3 ปีก่อน จนเป็นเรื่องครึกโครม ด่าทอ ต่อว่า พวกกันเอง แอบดักฟังกันเอง

    ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ มีข้อตกลงให้ความร่วมมือกัน ว่าข้อมูลที่ล้วงมาได้จากการจาร กรรมของ ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ ตกลงที่จะแชร์กัน กับ เฉพาะไม่กี่ประเทศ ที่เรียกว่า 5 ตา 7 ตา (5ตา five eyes มีเฉพาะพวกแองโกลแซกซอน คือ อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ส่วน 7 ตา เพิ่ม สวีเดน กับ เดนมาร์ก เข้าไปด้วย รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง ผลัดกันล้วง)

    ถ้าอังกฤษ และญี่ปุ่นตกลงให้ความร่วมมือกันด้านข่าวกรอง ญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรข่าวกรองของกลุ่มแองโกลแซกซอน จากเอเซียชาติแรก และมันน่าจะทำให้เห็นชัดเจนว่า ญี่ปุ่นเลือกยืนอยู่ที่ใด และการแบ่งข้างในภูมิภาคเอเซี ยคงยิ่งกว่าชัดเจน และ ผู้ที่จะเป็นเป้าใหญ่ ของการเล่นเป็นทีม ของแฝดพี่น้องตัวแสบของโลก Chatham House และ CFR คงไม่พ้นอาเฮียแห่งแดนมังกร และน่าเป็นห่วงว่า เอเซียคงร้อนระอุไม่แพ้ตะวันออกกลาง สมใจอเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศในเอเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนน่วม ก่อนที่อเมริกา จะยาตราเข้ามาเก็บกวาด
    และถ้าคิดถึงความต่อเนื่อง ของเรื่องราว ระยะเวลาของการปล่อยรายงาน สู่สาธารณะ และสันดานของผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นการสมคบกัน ระหว่างฝาแฝดสุดแสบ ที่ CFR จะวางแผนร่วมกับ Chatham House คิดหาวิธีการที่จะสู้กับระบบป้องกัน A2/AD ของจีน ซึ่งอเมริกากำลังหนักใจอยู่ โดยการเอาระบบการเจาะข่าวกรอง ด้านสัญญาณ ทุกรูปแบบ รวมทั้งด้านไซเบอร์ ของอังกฤษ ร่วมกับของอเมริกา และออกข่าวกดดันจีน และไม่แน่ว่า อังกฤษ จะแอบมาติดต้ังระบบให้ญี่ปุ่น ที่เกาะ Yonaguni เรียบร้อยไปแล้วก็ได้ ป่านนี้คุณพี่อาเบะ อาจจะนับขนจมูกอาเฮียไปหลายรอบ แล้ว เหมือนกับฐานทัพของญี่ปุ่น ที่ Djibuti ที่อังกฤษออกมาปูดว่า ญี่ปุ่นมีแล้ว โดยที่เรื่อง การขยายกองทัพ SDF ของญี่ปุ่นยังไม่ผ่านสภาสูงเลย แต่ญี่ปุ่นก็เดินหน้าทำไปจนเสร็จแล้ว

    ถ้าพวกเขา จับมือเล่นละครกันแบบนี้จริง เรื่อง Grand Strategy แผนสอยมังกร ของอเมริกา ก็ยิ่งน่าจับตามากขึ้น และเราก็คงต้องติดตามดูความเคลื่อนไหว ในภูมิภาคเอเซียของเรา กันอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องมันใกล้บ้านเรามากนะครับ

    (เรื่องระบบ A2/AD นี้ รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง แผนสอยมังกร ครับ)

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 4 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 4 อังกฤษ ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่นมานานกว่าร้อยปี Anglo-Japanese Alliance มีมาตั้งแต่ ค.ศ.1902 ถ้าจำกันได้ การที่ญี่ปุ่นลุกขึ้นทำสงครามกับรัสเซีย ในปี ค.ศ.1904 ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงยุของอังกฤษ ทำให้อังกฤษยังชื่นชมญี่ปุ่นอยู่จนทุกวันนี้ สัมพันธ์อังกฤษ-ญี่ปุ่นสะดุดชั่วคราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ไม่ได้ทำให้อังกฤษตัดจนขาดกับญี่ปุ่นอย่างจริงจัง ล่าสุด เมื่ออังกฤษจะมีการเลือกตั้งทั่ว ไป ในต้นเดือนพฤษาคม และผลของการเลือกต้ัง ทำให้ได้นายเดวิด แคมารอน คนชอบจีบปากเวลาพูด กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อีกรอบหนึ่ง Chatham House ถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่ง ของอังกฤษ แฝดตัวพี่ของไอ้สุดกร่าง CFR เจ้าของแผนสอยมังกร ซึ่งก็มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอังกฤษ ไม่ต่างกับที่ CFR มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอเมริกา ก็ได้เขียนบทความ ออกมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2015 เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ ไอ้สุดกร่าง เขียนแผนสอยมังกร ออกมาตบหน้าอาเฮีย ยังกับนัดกัน… รายงานของ Chatham House เป็นข้อเสนอต่อรัฐบาลอังกฤษ ชุดใหม่ ที่จะได้มาจากการเลือกตั้ง สรุปว่า …ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงของประเทศ โดยพยายามจัดทำนโยบายในแนวทางรุกมากขึ้น โดยมีเป้าหมายทั้งระดับภูมิภาค และระดับโลก นโยบายนี้น่าจะสอดคล้องกับความต้องการของอังกฤษ … …ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ยอมรับว่า ตนเองมี (หรือ หวัง?!) ผลประโยชน์มากมายในเอเซีย เช่นที่อินโดนีเซีย เกี่ยวกับธุรกิจการเงิน และการประกันภัย หรือเกี่ยวกับเรื่องน้ำมัน และแก๊ส ในส่วนอื่นของภูมิภาค ที่อยู่ทั้งในระยะสำรวจและขุดเจาะ และธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย ความมั่นคงของภูมิภาคเอเซีย จึงเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นเรื่องหนึ่ง ที่อังกฤษให้ความสำคัญ โดยเฉพาะ จะต้องพยายามรักษาเส้นทางเดินเรือ จากอังกฤษไปถึงเอเซีย ในบริเวณต่างๆเอาไว้ แต่นโยบายของจีน เกี่ยวกับข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ และตะวันออก การไม่สามัคคีกันในเอเซียอาคเณย์ และการถูกข่มขู่จากผู้ก่อการร้าย และสลัดทะเล ทำให้ผลประโยชน์ของอังกฤษมีความ เสี่ยงเพิ่มขึ้น … พูดภาษาชาวบ้าน ก็หมายความว่า อังกฤษ ทำท่าจะไม่รวยขึ้น หรือจะจนลงด้วยซ้ำ จากการที่ควบคุม ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเด็กแถวเอเซีย ไม่อยู่หมัด เหมือนสมัยเป็นนายท่านของพวกอาณานิคม แต่มันติดปัญหา … ชาวเกาะใหญ่ฯ สารภาพอย่างหมดท่า แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็คงจะส่งกองกำลังของตนเอง ไปดูแลอย่างเดิมไม่ได้ เพราะงบด้านความมั่นคง ถูกตัดเสียเหลือสั้นกว่านิ้วก้อย และถ้าพรรคอนุรักษ์นิยม เจ้าของนโยบายการตัดงบด้านความมั่นคง กลับมาเป็นรัฐบาล (ซึ่งก็กลับมาจริงๆ) งบนี้ก็คงถูกตัดเหมือนเดิม ทางออกที่ดีที่สุดของรัฐบาลใหม่ คือไปจับมือกับญี่ปุ่นเสียให้แน่น เพราะญี่ปุ่นเองก็ต้องจับตาจ้อง คอยกันท่าไม่ให้จีนแหยมหน้า เข้ามาใกล้ตัวเองอยู่แล้ว... ….ข่าวเรื่องญี่ปุ่นต้ังงบด้าน ความมั่นคงสำหรับปี 2015 เสียสูงลิ่วถึง 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ ทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯ ตาโตเท่าไข่ห่าน งบขนาดนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ บอก เราไปเอี่ยวกับเขาน่ะ ดีที่สุดแล้ว ….. นอกจากนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ ได้ยินมาว่า อเมริกากับญี่ปุ่น กำลังร่างยุทธศาสตร์ที่จะใช้ฐานทัพของญี่ปุ่นที่ Djibouti (ที่โซมาเลีย) ซึ่งเป็นฐานทัพนอกบ้านฐานแรกของญี่ปุ่น เพื่อใช้การปราบสลัดแถบนั้น ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์มาก กับเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ของอังกฤษ และดูแลผลประโยชน์ของอังกฤษ ได้ทั้งแถบตะวันออกกลาง และเอเซีย …. ซึ่งนายอาเบะ ก็แบะท่าไว้แล้ว ตั้งแต่มาคารวะอังกฤษในปี 2014 ว่า อยากจะเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงกับอังกฤษมากขึ้น เป็นท่าทีใหม่ของญี่ปุ่นที่มีกับชาวเกาะใหญ่ฯ ในรอบหลายปีเลยทีเดียว… Chatham House ฝาแฝดตัวพี่ ของสุดกร่าง CFR บอกว่า เราน่าจะชวน ญี่ปุ่น ชาวเกาะด้วยกัน มาทำสัญญาความร่วมมือสาระพัด แต่ดูๆไปแล้ว มันเป็นการกลบเกลื่อนความต้องการ จริงของชาวเกาะใหญ่ ที่ต้องการให้ญี่ปุ่น เป็นตัวแทน เป็นยาม เป็นหน่วยลาดตะเวน เป็นหน่วยปะทะ ถือถาดบริการชาวเกาะใหญ่ ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ยาวไปถึงโซมาเลียได้ยิ่งดี เหมือนกับที่ญี่ปุ่น กำลังเตรียมตัวทำให้นักล่าใบตองแห้ง แต่ ชาวเกาะใหญ่ฯ ถือไพ่เหนือมือคุณยุ่นเขา เหมือนนักล่าฯ หรือเปล่าล่ะ อาจจะถือไพ่ใต้มือเขาเสียด้วยซ้ำ ถ้าเขารู้ว่า บ้อท่า ถังแตก งบหดสั้นกว่านิ้วก้อยอย่างนั้น คิดไปคิดมา Chatham House แนะนำให้ชาวเกาะใหญ่กัดฟัน เสนอให้ร่วมมือด้านข่าวกรองกับญี่ปุ่นไปเลย และจริงๆ ถ้าจะปกป้องผลประโยชน์ของเราได้ดี เราก็น่าจะให้เขารู้ข้อมูลข่าวกรอง ของฝ่ายตรงกันข้ามมากกว่านี้ ….แสดงว่าชาวเกาะฝีมือไม่เบา จารกรรมจนได้ข้อมูลดีๆมาแยะ แต่อมแอบไว้ก่อน อืม… นี่มันเรื่องใหญ่มากนะครับ อังกฤษ มีระบบการจารกรรมข้อมูลข่าวสารและสัญญานทั่วโลก เช่นระบบ Echelon ที่โด่งดังมาก และมีระบบอื่นๆอีกมาก เขาว่ามันมีถึง 10 ระบบแล้ว จากหลายหน่วยงานข่าวกรองของอังกฤษ และข้อมูลทั้งหมดที่ไปล้วงได้มา จะถูกส่งไปที่ศูนย์รวม ที่เรียกว่า Government Communications Headquarters (GCHQ) ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับระบบจารก รรมข่าวกรองของ National Security Council (NSC) ของอเมริกา เช่น ระบบ Prism ที่นายEdward Snowden เอามาแฉ เมื่อ 2,3 ปีก่อน จนเป็นเรื่องครึกโครม ด่าทอ ต่อว่า พวกกันเอง แอบดักฟังกันเอง ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ มีข้อตกลงให้ความร่วมมือกัน ว่าข้อมูลที่ล้วงมาได้จากการจาร กรรมของ ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ ตกลงที่จะแชร์กัน กับ เฉพาะไม่กี่ประเทศ ที่เรียกว่า 5 ตา 7 ตา (5ตา five eyes มีเฉพาะพวกแองโกลแซกซอน คือ อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ส่วน 7 ตา เพิ่ม สวีเดน กับ เดนมาร์ก เข้าไปด้วย รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง ผลัดกันล้วง) ถ้าอังกฤษ และญี่ปุ่นตกลงให้ความร่วมมือกันด้านข่าวกรอง ญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรข่าวกรองของกลุ่มแองโกลแซกซอน จากเอเซียชาติแรก และมันน่าจะทำให้เห็นชัดเจนว่า ญี่ปุ่นเลือกยืนอยู่ที่ใด และการแบ่งข้างในภูมิภาคเอเซี ยคงยิ่งกว่าชัดเจน และ ผู้ที่จะเป็นเป้าใหญ่ ของการเล่นเป็นทีม ของแฝดพี่น้องตัวแสบของโลก Chatham House และ CFR คงไม่พ้นอาเฮียแห่งแดนมังกร และน่าเป็นห่วงว่า เอเซียคงร้อนระอุไม่แพ้ตะวันออกกลาง สมใจอเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศในเอเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนน่วม ก่อนที่อเมริกา จะยาตราเข้ามาเก็บกวาด และถ้าคิดถึงความต่อเนื่อง ของเรื่องราว ระยะเวลาของการปล่อยรายงาน สู่สาธารณะ และสันดานของผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นการสมคบกัน ระหว่างฝาแฝดสุดแสบ ที่ CFR จะวางแผนร่วมกับ Chatham House คิดหาวิธีการที่จะสู้กับระบบป้องกัน A2/AD ของจีน ซึ่งอเมริกากำลังหนักใจอยู่ โดยการเอาระบบการเจาะข่าวกรอง ด้านสัญญาณ ทุกรูปแบบ รวมทั้งด้านไซเบอร์ ของอังกฤษ ร่วมกับของอเมริกา และออกข่าวกดดันจีน และไม่แน่ว่า อังกฤษ จะแอบมาติดต้ังระบบให้ญี่ปุ่น ที่เกาะ Yonaguni เรียบร้อยไปแล้วก็ได้ ป่านนี้คุณพี่อาเบะ อาจจะนับขนจมูกอาเฮียไปหลายรอบ แล้ว เหมือนกับฐานทัพของญี่ปุ่น ที่ Djibuti ที่อังกฤษออกมาปูดว่า ญี่ปุ่นมีแล้ว โดยที่เรื่อง การขยายกองทัพ SDF ของญี่ปุ่นยังไม่ผ่านสภาสูงเลย แต่ญี่ปุ่นก็เดินหน้าทำไปจนเสร็จแล้ว ถ้าพวกเขา จับมือเล่นละครกันแบบนี้จริง เรื่อง Grand Strategy แผนสอยมังกร ของอเมริกา ก็ยิ่งน่าจับตามากขึ้น และเราก็คงต้องติดตามดูความเคลื่อนไหว ในภูมิภาคเอเซียของเรา กันอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องมันใกล้บ้านเรามากนะครับ (เรื่องระบบ A2/AD นี้ รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง แผนสอยมังกร ครับ) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 3
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 3

    น่าสนใจว่า เมื่อนายอาเบะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี รอบ 2 ในปี ค.ศ.2012 นั้น เหมือนกับเขามากับภาระกิจพิเศษ รู้งานล่วงหน้าว่า จะต้องทำอะไรบ้าง และทำอะไรก่อนหลัง

    จากประเทศที่ประกาศตัวว่ารักสงบ และไม่ฝักฝ่ายการทำสงคราม เมื่อรับตำแหน่งใหม่ๆ นายอาเบะ ฉลองเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยการตั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ National Security Council (NSC) ขึ้น เป็นครั้งแรกของญี่ปุ่น (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ญี่ปุ่นใช้ สภาความมั่นคงของอเมริกา เป็นแม่แบบ และวัตถุประสงค์หลัก ของการจัดตั้ง NSC ตอนนึง ระบุว่า หนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุด ที่กระทบความมั่นคงของญี่ปุ่นคือ การเจริญเติบโตของจีน ญี่ปุ่นจะต้องมีนโยบายที่แก้ไขเรื่องนี้ อย่างครอบคลุมทุกด้าน ไม่ใช่แต่ทางวิธีการทูตเท่านั้น แต่จะต้องรวมนโยบายด้านการป้องกัน และการใช้นโยบายการค้า การเงิน และอื่นๆด้วย …สงสัยไอ้สุดกร่าง ช่วยร่างให้ เขียนแบบกร่างๆอย่างนี้….

    หลังจากนั้น เขาเสนอกฏหมายเกี่ยวกับการรักษาความลับของชาติเข้าสภา ต่อมาก็จัดร่างยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติและ พยายามที่จะให้มีการตีความรัฐธรรมนูญ ขยายขอบเขตนิยาม การปกป้องตนเอง ของประเทศให้กว้างขวางขึ้น …นี่เดินตามพิมพ์เขียว ของใครนะ

    นอกจากนั้น นายอาเบะยังเดินสาย แวะไปจับเข่าถึง 49 เข่า 49 ประเทศ แน่นอน ยกเว้นไม่ไปแดนมังกร กับไม่ไปเยี่ยมน้องคิมของผมที่เกาหลีเหนือ ดูเหมือนนายอาเบะนี่ แกจะชอบเข่าฝรั่งมากกว่าเข่าเอเซียด้วยกัน ข่าวว่า แกไปทำข้อตกลงความร่วมมือด้านความ มั่นคง กับออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และนาโต้ เรียบร้อยหมดแล้ว นับว่า สุดกร่าง CFR เป็นพี่เลี้ยง ที่ชำนาญการเลี้ยงเด็กสร้างจริงๆ

    การขยับดาบซามูไรของนายอาเบะในช่วงนั้น ทำให้สื่อคอการเมืองหันขวับ พาดหัวข่าวตัวโตว่า “Japan is back” ญี่ปุ่นกลับมาแล้ว กลับมาทำอะไร ตอนนั้นยังไม่มีใครตายาว มองเห็นว่า ญี่ปุ่น หรือนายอาเบะ มีแผนการอะไรกันแน่
    ระหว่างนั้น นายอาเบะ ก็ขยับงบประมาณด้านความมั่นคง ของประเทศ เขยิบขึ้นไปทุกปี และงบประมาณในปี 2015 สูงลิ่วไปถึง 4.98 ล้านล้านเย็น หรือ 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ เพื่อเตรียมจ่ายค่า เครื่องบินรบ เรือรบ ฯลฯ ที่พวกนายหน้าค้าอาวุธ (ต้ม) เตรียมไว้ให้

    งบประมาณสูงลิ่วนี้ มิได้ลอยมาง่ายๆ นายอาเบะ ต้องออกแรง ให้มีการตีความรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน

    นาย James R. Holmes ศาสตราจารย์ด้านการวางยุทธศาสตร์ของ Naval War College เขียนถึง ภารกิจแบกถาดของนายอาเบะไว้อย่างน่าคิด เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2015 หัวเรื่อง” This Brave New U.S – Japan Alliance”

    ” …นาย ชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เดินทางมาวอชิงตันสัปดาห์นี้ .. เป้าหมายหนึ่งคือ เพื่อมายกเครื่อง แนวทางความมั่นคงระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น ซึ่งมีผลเกี่ยวกับการเมือง และการทหาร ของทั้ง 2 ประเทศ … ทั้ง 2 ฝ่ายสัญญากันว่า จะรักษาสันติภาพและความมั่นคงของญี่ปุนในทุกขั้นตอน รวมทั้งในสถานการณ์ที่ญี่ปุ่นไม่ได้ถูกโจมตีทางอาวุธ... ทั้งสองฝ่าย ตกลงว่า ต่างมีสิทธิที่จะตอบโต้ ผู้ที่ใช้อาวุธโจมตีอเมริกา หรือโจมตีประเทศอื่น ที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่น และแม้ญี่ปุ่นเองจะไม่ได้ถูกโจมตีอย่างรุนแรง..”

    ท่านศาสตราจารย์มีความเห็นว่า ข้อตกลงแบบนี้ออกจะจืดชืด...ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น อย่างที่ตีปิ๊บกัน

    ท่าน ศจ ว่า การเป็นพันธมิตร มีหลายแบบ แบบเท่าเทียมกัน หรือแบบ who has the gold makes the rule ใครมีทองก็นับเป็นพี่ ซึ่งในความคิดของ ท่าน ศจ ว่า สัมพันธ์ วอชิงตัน-โตเกียวตั้งแต่ ค.ศ.1951 มาแล้ว เป็นแบบหลัง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แม้อเมริกาจะเอาอดีตศัตรูมาเป็นพันธมิตร มันก็แค่เป็นการเอามาอยู่ใกล้ตัว เพื่อให้แน่ใจว่า นักฆ่าจะไม่ฟื้นคืนชีพมากกว่า อเมริกาทำอย่างนั้น กับทั้งญี่ปุ่น และเยอรมัน … คุณป้าเข็มขัดเหล็กรับทราบด้วยนะครับ ว่าท่าน ศจ เขามองคุณป้าอย่างไร…

    ….ความคิดแบบนี้ ยังมีอยู่ตลอด ผู้คนยังจำได้เสมอ ถึงคำพูดอันโด่งดังของ Lord Ismay เลขาธิการนาโต้คนแรก ที่บอกว่า ..กลุ่มพันธมิตรแอตแลนติก Atlantic Alliance ยังมีอยู่ก็เพื่อ ให้อเมริกาคงอยู่ รัสเซียไป และเยอรมันล่ม the Americans in, the Russians out and the Germans down… เช่นเดียวกับ พันธมิตรของอเมริกา-ญี่ปุ่น ก็มีไว้ เพื่อให้อเมริกาคงอยู่ คอมมิวนิสต์ เช่นรัสเซีย จีน ไป และญี่ปุ่นล่ม…
    …อเมริกา ต้องการคุมญี่ปุ่น ไม่ให้เอาเงินไปสร้างกองทัพใหญ่โต ขณะเดียวกับรัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา ดันไปเดินประโคมข่าวในญี่ปุ่นว่า การปรับแนวทางด้านความมั่นคงใหม่ของญี่ปุ่นนี่ เยี่ยมยอด…. มันคงเยี่ยมจริง เพราะวอชิงตันยังไม่ต้องควักกระเป็าสักเหรียญเดียว แต่ญี่ปุ่นต้องแก้กฏหมายเกี่ยวกับการควบคุมงบประมาณด้านความมั่นคง ซึ่งกำหนดเพดานไว้ว่า ต้องไม่เกินกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี …. นี่แปลว่า อเมริกาเปลี่ยนใจเลิกคุมเข้มนักฆ่าแล้วหรือ เปล่าหรอก ท่าน ศจ บอกว่า อเมริกายังคุมญี่ปุ่นเข้มเหมือนเดิม ถึงจะสนับสนุนให้ญี่ปุ่นขยายกองกำลังอย่างไร สุดท้าย อเมริกาก็จะเป็นผู้ออกคำสั่งกับกองทัพญี่ปุ่นเอง … และไม่ว่า ต่อไปข้างหน้า ญี่ปุ่นจะมีเศรษฐกิจโตขี้นในเอเซียขนาดไหน เชื่อเถอะว่า วอชิงตัน ก็ยังมีวิธีคุมญี่ปุ่นได้อยู่ดี..

    … ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นความกล้าของทั้ง 2 ฝ่าย ที่เล่มเกมนี้กัน ก็หวังว่า ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมที่จะเล่นเกมนี้...ท่าน ศจ สรุป

    ท่าน ศจ นี่ เขียนได้กวนใจจริงๆ ชวนให้คิดว่า อเมริกาก็รู้ดีอยู่ว่า ญี่ปุ่นเองก็อาจคิดแหกคอก ถือโอกาสจากการที่อเมริกายกขึ้นเป็นหัวหมู่ สร้างกองกำลังของตัวเองขึ้นมาใหม่ เพื่อกลับมา เป็นญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่ เหมือนสมัยสงครามโลก แต่ อเมริกาก็สนับสนุนให้ญี่ปุ่นทำ แสดงว่าอเมริกาน่าจะมีแผนสกัดสับคอ รออยู่ หรือหลอกให้ญี่ปุ่นลงเหวลึกไปเลย ญี่ปุ่นเอง ก็น่าจะรู้ว่าอเมริกาคิดกับตนเองอย่างไร รู้แล้วยังคิดแหกคอกไหม ถ้าคิดจะแหกคอก มันก็ต้องเล่นกันตอนนี้แหละ เนียนไปกับบทแบกถาด ถึงเวลาก็ค่อยโยนถาดทิ้ง

    แต่ไม่ว่าญี่ปุ่นจะคิดเล่นบทแบกถาด บริการอเมริกาต่อไป หรือคิดแหกคอก กลับมาสวมวิญญาณนักรบ หรือนักฆ่า เหมือนสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นก่อศัตรูคู่แค้นอย่าง จีน และเกาหลี ชนิดยากจะให้อภัยกัน ญี่ปุ่นก็ไม่เคยเป็นแบบอย่างของ การเป็นเพื่อนแท้กับใคร
    ปลาดิบ ทำจากปลาปักเป้า เขาว่าน่ากิน อร่อยหนักหนา มองไม่มีพิษ ไม่มีภัย แต่ถ้าเอาพิษปลาปักเป้าออกไม่เป็น คนกินก็ถูกนำส่งวัดมาหลายรายแล้ว

    สัมพันธ์ญี่ปุ่นอเมริกาน่าศึกษา และน่าจับตา ไม่ใช่เป็นเรื่องเข้าใจ และวางใจได้ง่ายๆ

    แต่ญี่ปุ่นคงต้องมีคุณสมบัติบางอย่าง ซึ่งเป็นที่น่าต้องการ ของผู้ที่มุ่งหมายจะให้การปฏิบัติภาระกิจสำเร็จลุล่วงอย่างไม่มีโอกาสพลาด เมื่อรับปากแล้วก็ต้องทำจนถึงที่สุด แม้ที่สุด จะหมายถึงจบชีวิต หรือความหายนะ มันคงเป็นนิสัยซามูไร ที่รับใช้ “นาย” จนถึงที่สุด หรืออย่างไร

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 3 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 3 น่าสนใจว่า เมื่อนายอาเบะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี รอบ 2 ในปี ค.ศ.2012 นั้น เหมือนกับเขามากับภาระกิจพิเศษ รู้งานล่วงหน้าว่า จะต้องทำอะไรบ้าง และทำอะไรก่อนหลัง จากประเทศที่ประกาศตัวว่ารักสงบ และไม่ฝักฝ่ายการทำสงคราม เมื่อรับตำแหน่งใหม่ๆ นายอาเบะ ฉลองเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยการตั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ National Security Council (NSC) ขึ้น เป็นครั้งแรกของญี่ปุ่น (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ญี่ปุ่นใช้ สภาความมั่นคงของอเมริกา เป็นแม่แบบ และวัตถุประสงค์หลัก ของการจัดตั้ง NSC ตอนนึง ระบุว่า หนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุด ที่กระทบความมั่นคงของญี่ปุ่นคือ การเจริญเติบโตของจีน ญี่ปุ่นจะต้องมีนโยบายที่แก้ไขเรื่องนี้ อย่างครอบคลุมทุกด้าน ไม่ใช่แต่ทางวิธีการทูตเท่านั้น แต่จะต้องรวมนโยบายด้านการป้องกัน และการใช้นโยบายการค้า การเงิน และอื่นๆด้วย …สงสัยไอ้สุดกร่าง ช่วยร่างให้ เขียนแบบกร่างๆอย่างนี้…. หลังจากนั้น เขาเสนอกฏหมายเกี่ยวกับการรักษาความลับของชาติเข้าสภา ต่อมาก็จัดร่างยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติและ พยายามที่จะให้มีการตีความรัฐธรรมนูญ ขยายขอบเขตนิยาม การปกป้องตนเอง ของประเทศให้กว้างขวางขึ้น …นี่เดินตามพิมพ์เขียว ของใครนะ นอกจากนั้น นายอาเบะยังเดินสาย แวะไปจับเข่าถึง 49 เข่า 49 ประเทศ แน่นอน ยกเว้นไม่ไปแดนมังกร กับไม่ไปเยี่ยมน้องคิมของผมที่เกาหลีเหนือ ดูเหมือนนายอาเบะนี่ แกจะชอบเข่าฝรั่งมากกว่าเข่าเอเซียด้วยกัน ข่าวว่า แกไปทำข้อตกลงความร่วมมือด้านความ มั่นคง กับออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และนาโต้ เรียบร้อยหมดแล้ว นับว่า สุดกร่าง CFR เป็นพี่เลี้ยง ที่ชำนาญการเลี้ยงเด็กสร้างจริงๆ การขยับดาบซามูไรของนายอาเบะในช่วงนั้น ทำให้สื่อคอการเมืองหันขวับ พาดหัวข่าวตัวโตว่า “Japan is back” ญี่ปุ่นกลับมาแล้ว กลับมาทำอะไร ตอนนั้นยังไม่มีใครตายาว มองเห็นว่า ญี่ปุ่น หรือนายอาเบะ มีแผนการอะไรกันแน่ ระหว่างนั้น นายอาเบะ ก็ขยับงบประมาณด้านความมั่นคง ของประเทศ เขยิบขึ้นไปทุกปี และงบประมาณในปี 2015 สูงลิ่วไปถึง 4.98 ล้านล้านเย็น หรือ 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ เพื่อเตรียมจ่ายค่า เครื่องบินรบ เรือรบ ฯลฯ ที่พวกนายหน้าค้าอาวุธ (ต้ม) เตรียมไว้ให้ งบประมาณสูงลิ่วนี้ มิได้ลอยมาง่ายๆ นายอาเบะ ต้องออกแรง ให้มีการตีความรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน นาย James R. Holmes ศาสตราจารย์ด้านการวางยุทธศาสตร์ของ Naval War College เขียนถึง ภารกิจแบกถาดของนายอาเบะไว้อย่างน่าคิด เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2015 หัวเรื่อง” This Brave New U.S – Japan Alliance” ” …นาย ชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เดินทางมาวอชิงตันสัปดาห์นี้ .. เป้าหมายหนึ่งคือ เพื่อมายกเครื่อง แนวทางความมั่นคงระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น ซึ่งมีผลเกี่ยวกับการเมือง และการทหาร ของทั้ง 2 ประเทศ … ทั้ง 2 ฝ่ายสัญญากันว่า จะรักษาสันติภาพและความมั่นคงของญี่ปุนในทุกขั้นตอน รวมทั้งในสถานการณ์ที่ญี่ปุ่นไม่ได้ถูกโจมตีทางอาวุธ... ทั้งสองฝ่าย ตกลงว่า ต่างมีสิทธิที่จะตอบโต้ ผู้ที่ใช้อาวุธโจมตีอเมริกา หรือโจมตีประเทศอื่น ที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่น และแม้ญี่ปุ่นเองจะไม่ได้ถูกโจมตีอย่างรุนแรง..” ท่านศาสตราจารย์มีความเห็นว่า ข้อตกลงแบบนี้ออกจะจืดชืด...ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น อย่างที่ตีปิ๊บกัน ท่าน ศจ ว่า การเป็นพันธมิตร มีหลายแบบ แบบเท่าเทียมกัน หรือแบบ who has the gold makes the rule ใครมีทองก็นับเป็นพี่ ซึ่งในความคิดของ ท่าน ศจ ว่า สัมพันธ์ วอชิงตัน-โตเกียวตั้งแต่ ค.ศ.1951 มาแล้ว เป็นแบบหลัง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แม้อเมริกาจะเอาอดีตศัตรูมาเป็นพันธมิตร มันก็แค่เป็นการเอามาอยู่ใกล้ตัว เพื่อให้แน่ใจว่า นักฆ่าจะไม่ฟื้นคืนชีพมากกว่า อเมริกาทำอย่างนั้น กับทั้งญี่ปุ่น และเยอรมัน … คุณป้าเข็มขัดเหล็กรับทราบด้วยนะครับ ว่าท่าน ศจ เขามองคุณป้าอย่างไร… ….ความคิดแบบนี้ ยังมีอยู่ตลอด ผู้คนยังจำได้เสมอ ถึงคำพูดอันโด่งดังของ Lord Ismay เลขาธิการนาโต้คนแรก ที่บอกว่า ..กลุ่มพันธมิตรแอตแลนติก Atlantic Alliance ยังมีอยู่ก็เพื่อ ให้อเมริกาคงอยู่ รัสเซียไป และเยอรมันล่ม the Americans in, the Russians out and the Germans down… เช่นเดียวกับ พันธมิตรของอเมริกา-ญี่ปุ่น ก็มีไว้ เพื่อให้อเมริกาคงอยู่ คอมมิวนิสต์ เช่นรัสเซีย จีน ไป และญี่ปุ่นล่ม… …อเมริกา ต้องการคุมญี่ปุ่น ไม่ให้เอาเงินไปสร้างกองทัพใหญ่โต ขณะเดียวกับรัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา ดันไปเดินประโคมข่าวในญี่ปุ่นว่า การปรับแนวทางด้านความมั่นคงใหม่ของญี่ปุ่นนี่ เยี่ยมยอด…. มันคงเยี่ยมจริง เพราะวอชิงตันยังไม่ต้องควักกระเป็าสักเหรียญเดียว แต่ญี่ปุ่นต้องแก้กฏหมายเกี่ยวกับการควบคุมงบประมาณด้านความมั่นคง ซึ่งกำหนดเพดานไว้ว่า ต้องไม่เกินกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี …. นี่แปลว่า อเมริกาเปลี่ยนใจเลิกคุมเข้มนักฆ่าแล้วหรือ เปล่าหรอก ท่าน ศจ บอกว่า อเมริกายังคุมญี่ปุ่นเข้มเหมือนเดิม ถึงจะสนับสนุนให้ญี่ปุ่นขยายกองกำลังอย่างไร สุดท้าย อเมริกาก็จะเป็นผู้ออกคำสั่งกับกองทัพญี่ปุ่นเอง … และไม่ว่า ต่อไปข้างหน้า ญี่ปุ่นจะมีเศรษฐกิจโตขี้นในเอเซียขนาดไหน เชื่อเถอะว่า วอชิงตัน ก็ยังมีวิธีคุมญี่ปุ่นได้อยู่ดี.. … ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นความกล้าของทั้ง 2 ฝ่าย ที่เล่มเกมนี้กัน ก็หวังว่า ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมที่จะเล่นเกมนี้...ท่าน ศจ สรุป ท่าน ศจ นี่ เขียนได้กวนใจจริงๆ ชวนให้คิดว่า อเมริกาก็รู้ดีอยู่ว่า ญี่ปุ่นเองก็อาจคิดแหกคอก ถือโอกาสจากการที่อเมริกายกขึ้นเป็นหัวหมู่ สร้างกองกำลังของตัวเองขึ้นมาใหม่ เพื่อกลับมา เป็นญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่ เหมือนสมัยสงครามโลก แต่ อเมริกาก็สนับสนุนให้ญี่ปุ่นทำ แสดงว่าอเมริกาน่าจะมีแผนสกัดสับคอ รออยู่ หรือหลอกให้ญี่ปุ่นลงเหวลึกไปเลย ญี่ปุ่นเอง ก็น่าจะรู้ว่าอเมริกาคิดกับตนเองอย่างไร รู้แล้วยังคิดแหกคอกไหม ถ้าคิดจะแหกคอก มันก็ต้องเล่นกันตอนนี้แหละ เนียนไปกับบทแบกถาด ถึงเวลาก็ค่อยโยนถาดทิ้ง แต่ไม่ว่าญี่ปุ่นจะคิดเล่นบทแบกถาด บริการอเมริกาต่อไป หรือคิดแหกคอก กลับมาสวมวิญญาณนักรบ หรือนักฆ่า เหมือนสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นก่อศัตรูคู่แค้นอย่าง จีน และเกาหลี ชนิดยากจะให้อภัยกัน ญี่ปุ่นก็ไม่เคยเป็นแบบอย่างของ การเป็นเพื่อนแท้กับใคร ปลาดิบ ทำจากปลาปักเป้า เขาว่าน่ากิน อร่อยหนักหนา มองไม่มีพิษ ไม่มีภัย แต่ถ้าเอาพิษปลาปักเป้าออกไม่เป็น คนกินก็ถูกนำส่งวัดมาหลายรายแล้ว สัมพันธ์ญี่ปุ่นอเมริกาน่าศึกษา และน่าจับตา ไม่ใช่เป็นเรื่องเข้าใจ และวางใจได้ง่ายๆ แต่ญี่ปุ่นคงต้องมีคุณสมบัติบางอย่าง ซึ่งเป็นที่น่าต้องการ ของผู้ที่มุ่งหมายจะให้การปฏิบัติภาระกิจสำเร็จลุล่วงอย่างไม่มีโอกาสพลาด เมื่อรับปากแล้วก็ต้องทำจนถึงที่สุด แม้ที่สุด จะหมายถึงจบชีวิต หรือความหายนะ มันคงเป็นนิสัยซามูไร ที่รับใช้ “นาย” จนถึงที่สุด หรืออย่างไร สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เดนมาร์กประกาศแผนห้ามเด็กต่ำกว่า 15 ปีใช้โซเชียล – ยุโรปขยับเพื่อปกป้องอนาคตเยาวชน”

    รัฐบาลเดนมาร์กประกาศข้อตกลงทางการเมืองเพื่อออกกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีเข้าถึงโซเชียลมีเดีย โดยมีข้อยกเว้นให้ผู้ปกครองสามารถอนุญาตให้เด็กอายุ 13 ปีขึ้นไปใช้งานได้หลังผ่านการประเมินเฉพาะบุคคล

    รัฐมนตรีดิจิทัล Caroline Stage เผยว่า กว่า 94% ของเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีในเดนมาร์กมีบัญชีโซเชียลมีเดีย และ มากกว่าครึ่งของเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ก็ใช้งานแล้ว ซึ่งทำให้พวกเขาเผชิญกับเนื้อหารุนแรงและการชักจูงที่เป็นอันตราย

    เดนมาร์กวางแผนใช้ระบบยืนยันตัวตนผ่านแอปอายุ (age-verification app) โดยอิงจากระบบบัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์ที่ประชาชนใช้กันอยู่แล้ว เพื่อบังคับให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียตรวจสอบอายุอย่างจริงจัง หากไม่ทำตามอาจถูกปรับสูงสุดถึง 6% ของรายได้ทั่วโลก

    แผนการของรัฐบาลเดนมาร์ก
    เตรียมออกกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีใช้โซเชียลมีเดีย
    ผู้ปกครองสามารถอนุญาตให้เด็กอายุ 13 ปีขึ้นไปใช้งานได้หลังผ่านการประเมิน
    ใช้ระบบยืนยันอายุผ่านแอปที่เชื่อมกับบัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์
    บังคับให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียตรวจสอบอายุอย่างเข้มงวด
    หากไม่ปฏิบัติตาม อาจถูกปรับสูงสุด 6% ของรายได้ทั่วโลก

    เหตุผลเบื้องหลังนโยบาย
    เด็กจำนวนมากใช้งานโซเชียลตั้งแต่อายุน้อย
    เผชิญกับเนื้อหารุนแรง เช่น ความรุนแรงและการทำร้ายตนเอง
    ส่งผลต่อสุขภาพจิต การนอนหลับ และความสัมพันธ์ทางสังคม
    ผู้ปกครองและครูไม่สามารถควบคุมผลกระทบได้เพียงลำพัง

    ความเคลื่อนไหวในระดับโลก
    ออสเตรเลียออกกฎหมายห้ามเด็กต่ำกว่า 16 ปีใช้โซเชียลในปี 2024
    จีนจำกัดเวลาใช้งานเกมและสมาร์ทโฟนสำหรับเด็ก
    หลายประเทศในยุโรปกำลังทดสอบระบบยืนยันอายุแบบใหม่

    https://apnews.com/article/denmark-social-media-ban-children-7862d2a8cc590b4969c8931a01adc7f4
    📵 “เดนมาร์กประกาศแผนห้ามเด็กต่ำกว่า 15 ปีใช้โซเชียล – ยุโรปขยับเพื่อปกป้องอนาคตเยาวชน” รัฐบาลเดนมาร์กประกาศข้อตกลงทางการเมืองเพื่อออกกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีเข้าถึงโซเชียลมีเดีย โดยมีข้อยกเว้นให้ผู้ปกครองสามารถอนุญาตให้เด็กอายุ 13 ปีขึ้นไปใช้งานได้หลังผ่านการประเมินเฉพาะบุคคล รัฐมนตรีดิจิทัล Caroline Stage เผยว่า กว่า 94% ของเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีในเดนมาร์กมีบัญชีโซเชียลมีเดีย และ มากกว่าครึ่งของเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ก็ใช้งานแล้ว ซึ่งทำให้พวกเขาเผชิญกับเนื้อหารุนแรงและการชักจูงที่เป็นอันตราย เดนมาร์กวางแผนใช้ระบบยืนยันตัวตนผ่านแอปอายุ (age-verification app) โดยอิงจากระบบบัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์ที่ประชาชนใช้กันอยู่แล้ว เพื่อบังคับให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียตรวจสอบอายุอย่างจริงจัง หากไม่ทำตามอาจถูกปรับสูงสุดถึง 6% ของรายได้ทั่วโลก ✅ แผนการของรัฐบาลเดนมาร์ก ➡️ เตรียมออกกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีใช้โซเชียลมีเดีย ➡️ ผู้ปกครองสามารถอนุญาตให้เด็กอายุ 13 ปีขึ้นไปใช้งานได้หลังผ่านการประเมิน ➡️ ใช้ระบบยืนยันอายุผ่านแอปที่เชื่อมกับบัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์ ➡️ บังคับให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียตรวจสอบอายุอย่างเข้มงวด ➡️ หากไม่ปฏิบัติตาม อาจถูกปรับสูงสุด 6% ของรายได้ทั่วโลก ✅ เหตุผลเบื้องหลังนโยบาย ➡️ เด็กจำนวนมากใช้งานโซเชียลตั้งแต่อายุน้อย ➡️ เผชิญกับเนื้อหารุนแรง เช่น ความรุนแรงและการทำร้ายตนเอง ➡️ ส่งผลต่อสุขภาพจิต การนอนหลับ และความสัมพันธ์ทางสังคม ➡️ ผู้ปกครองและครูไม่สามารถควบคุมผลกระทบได้เพียงลำพัง ✅ ความเคลื่อนไหวในระดับโลก ➡️ ออสเตรเลียออกกฎหมายห้ามเด็กต่ำกว่า 16 ปีใช้โซเชียลในปี 2024 ➡️ จีนจำกัดเวลาใช้งานเกมและสมาร์ทโฟนสำหรับเด็ก ➡️ หลายประเทศในยุโรปกำลังทดสอบระบบยืนยันอายุแบบใหม่ https://apnews.com/article/denmark-social-media-ban-children-7862d2a8cc590b4969c8931a01adc7f4
    APNEWS.COM
    Denmark's government aims to ban access to social media for children under 15
    Denmark's government has announced a plan to ban social media access for anyone under 15. The Ministry of Digitalization has led the move, allowing some parents to consent for children as young as 13 after assessment.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • “รมว.นฤมล“บุกพัทลุง ขับเคลื่อน ‘เรียนดี มีคุณธรรม’ แก้หนี้ครู 1 แสนล้าน , รมว.ศึกษาธิการลงพื้นที่พัทลุง เดินหน้านโยบาย “เรียนดี มีคุณธรรม” พร้อมเร่งแก้หนี้ครูกว่า 1 แสนล้าน จัดตั้งสหกรณ์กลางลดดอกเบี้ยเหลือ 0–4% ควบคู่ลดภาระงานครูและส่งเสริมการเรียนรู้อาชีพ

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000106993

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #ข่าว
    #ข่าวการเมือง #ข่าวเศรษฐกิจ #ข่าวสังคม #truthfromthailand #newsupdate
    “รมว.นฤมล“บุกพัทลุง ขับเคลื่อน ‘เรียนดี มีคุณธรรม’ แก้หนี้ครู 1 แสนล้าน , รมว.ศึกษาธิการลงพื้นที่พัทลุง เดินหน้านโยบาย “เรียนดี มีคุณธรรม” พร้อมเร่งแก้หนี้ครูกว่า 1 แสนล้าน จัดตั้งสหกรณ์กลางลดดอกเบี้ยเหลือ 0–4% ควบคู่ลดภาระงานครูและส่งเสริมการเรียนรู้อาชีพ อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000106993 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #ข่าว #ข่าวการเมือง #ข่าวเศรษฐกิจ #ข่าวสังคม #truthfromthailand #newsupdate
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts