• อิสราเอลปฏิบัติการโจมตีทางอากาศระลอกหนึ่ง ถล่มอาคารที่พักอาศัยหลังเดี่ยวแห่งหนึ่ง ปลิดชีพผู้คนไปเกือบ 100 ราย จากการเปิดเผยของหน่วยงานป้องกันพลเรือนกาซา เหตุสลดซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่รัฐยิวยังคงเดินหน้าการรุกรานทั้งในฉนวนแห่งนี้และเลบานอน ส่วนฮิซบอลเลาะห์ คู่ต่อกรของอิสราเอลในเลบานอน ได้แต่งตั้งผู้นำคนใหม่ หลังจากคนก่อนถูกปลิดชีพเมื่อเดือนที่แล้ว
    .
    สหรัฐฯ พันธมิตรและผู้สนับสนุนสำคัญของอิสราเอล เรียกเหตุโจมตีครั้งนี้ซึ่งปลิดชีพผู้คนไปเกือบ 100 ราย และในนั้นเป็นเด็กจำนวนมาก ว่า "น่าสยดสยอง"
    .
    ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศระลอกนี้มีขึ้นแม้ว่าอิสราเอลกำลังเผชิญเสียงเกรี้ยวกราดจากนานาชาติ หลังจากรัฐสภาของพวกเขาเพิ่งลงมติอย่างท่วมท้น ห้าม UNRWA หน่วยงานของสหประชาชาติที่รับผิดชอบดำเนินงานด้านบรรเทาทุกข์แก่ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ ปฏิบัติงานภายในอิสราเอล และดินแดนยึดครอง
    .
    ทีมกู้ภัยปาเลสไตน์และสมาชิกครอบครัวที่อยู่ในอาการสิ้นหวัง รวมตัวกันบริเวณอาคาร 5 ชั้นที่พักถล่มลงมา ในเขตเบอิต ลาเฮีย ทางเหนือของกาซา "จำนวนผู้เสียชีวิตนเหตุสังหารหมู่ในเบอิต ลาเฮีย เพิ่มเป็น 93 คน และราว 40 คน ยังคงสูญหายภายใต้ซากปรักหักพัง จากการเปิดเผยของ มาห์มูด บาสซาล โฆษกของสำนักงานป้องกันพลเรือนกาซา ที่ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี
    .
    กองทัพอิสราเอลบอกว่าพวกเขากำลังดำเนินการตรวจสอบรายงานข่าวต่างๆ เกี่ยวกับการโจมตีในเบอิต ลาเฮีย หลังก่อนหน้านี้พวกเขารายงานว่ากองกำลังอิสราเอลปลิดชีพนักรบฮามาส 40 ราย และสูญเสียกำลังพลไป 4 รายในกาซา
    .
    แมตธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าว แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "มันเป็นเหตุการณ์ที่น่าสยดสยอง และก่อผลลัพธ์ที่น่าสยดสยอง เราติดต่อไปยังรัฐบาลอิสราเอล เพื่อสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น"
    .
    กองทัพอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีทั้งทางอากาศและทางภาคพื้นในภาคเหนือของกาซา มาตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแถวๆ เขตจาบาเลีย เบอิต บาเฮีย และเบอิต ฮานูน อ้างว่ามีเป้าหมายเพื่อขัดขวางไม่ให้ฮามาสรวมกลุ่มใหม่
    .
    ประชาชนชาวปาเลสไตน์หลายแสนคนหลบหนีออกจากพื้นที่แถบนี้ ท่ามกลางวิกฤตที่ไม่มีทีท่าจบลงง่ายๆ ในสงครามที่ลากยาวมานานกว่า 12 เดือน นับตั้งแต่พวกนักรบฮามาสบุกจู่โจมเล่นงานอิสราเอลแบบไม่ทันตั้งตัว เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีที่แล้ว ปลิดชีพผู้คนไปราว 1,206 ราย และจับตัวประกันไปประมาณ 251 คน ในนั้น 97 คน ยังอยู่ในกาซา แต่ทางกองทัพอิสราเอลเชื่อว่าในนั้น 34 ราย เสียชีวิตแล้ว
    .
    อิสราเอลแก้แค้นด้วยการเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศและรุกรานทางภาคพื้น สังหารชาวปาเลสไตน์ในกาซาไปแล้วอย่างน้อย 43,061 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน อ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุของฉนวนแห่งนี้
    .
    นานาชาติมีความกังวลมากขึ้น หลังจากรัฐสภาอิสราเอลลงมติอย่างท่วมท้นในการแบน UNRWA หน่วยงานของสหประชาชาติที่รับผิดชอบดำเนินงานด้านบรรเทาทุกข์แก่ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ ขณะเดียวกัน บรรดาสมาชิกรัฐสภายังผ่านมาตรการหนึ่งที่ห้ามพวกเจ้าหน้าที่อิสราเอลทำงานร่วมกับ UNRWA
    .
    พันธมิตรตะวัตกหลายชาติของอิสราเอล ในนั้นรวมถึงสหรัฐฯ ส่งเสียงแสดงความกังวลต่อความเคลื่อนไหวดังกล่าว โดย มิลเลอร์ เน้นย้ำคำเตือนที่ส่งถึงอิสราเอล ว่าวอชิงตันอาจระงับความช่วยเหลือด้านการทหาร หากสถานการณ์ความช่วยเหลือด้านมนุษยชนที่ป้อนเข้าสู่ฉนวนกาซาไม่ดีขึ้น
    .
    เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร แสดงความกังวลใหญ่หลวงเช่นกัน ส่วนกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส บอกว่าพวกเขาเสียใจอย่างยิ่งต่อการผ่านกฎหมายดังกล่าว ขณะที่ เยอรมนี เตือนว่ามาตรการนี้ เท่ากับทำให้การทำงานของ UNRWA ในกาซา เวสต์แบงก์ และเยรูซาเลมตะวันออก เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
    .
    อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่แห่งสหประชาชาติ บอกว่ากฎหมายของอิสราเอลอาจก่อผลลัพธ์หายนะหากมีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เขียนบนสื่อสังคมออนไลน์ ยืนยันว่าอิสราเอลพร้อมเดินหน้าป้อนความช่วยเหลือเข้าสู่กาซา ในหนทางที่ไม่ก่อความเสี่ยงด้านความมั่นคงแก่อิสราเอล
    .
    ในเลบานอน รถถังอิสราเอลบุกเข้าไปยังแถบรอบนอกของหมู่บ้านเคียม ซึ่งถือเป็นการรุกรานที่ลึกที่สุด นับตั้งแต่ที่พวกเขาเปิดปฏิบัติการจู่โจมเลบานอน เป้าหมายเพื่อเล่นงานพวกฮิซบอลเลาะห์ เมื่อเดือนที่แล้ว
    .
    ช่วงค่ำวันอังคาร (29 ต.ค.) กระทรวงสาธารณสุขเลบานอน เปิดเผยว่าปฏิบัติการโจมตีของอิสราเอลที่เล่นงานเมืองซาราฟันด์ ทางใต้ของเลบานอน ได้สังหารผู้คนอย่างน้อย 8 ราย นอกจากนี้ ยังมีผู้เสียชีวิตอีก 6 ราย ในเหตุโจมตีก่อนหน้านี้ที่เมืองฮาเร็ต ไซดา ใกล้กับเมืองไซดอน เมืองหลักทางภาคใต้ของประเทศ
    .
    ขณะเดียวกัน ฮิซบอลเลาะห์ แถลงว่าพวกเขาได้เลือก นาอิม กัสเซม รองผู้นำ ขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ สืบทอดตำแหน่งต่อจาก ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ที่ถูกปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลปลิดชีพ ทางใต้ของกรุงเบรุต เมื่อเดือนที่แล้ว
    .
    โยอาฟ กัลแลนท์ รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอล โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ว่า "กัสเซม จะได้รับการแต่งตั้งเพียงชั่วคราว เนื่องจากเขาคงมีชีวิตอยู่ไม่นานนัก" และโพสต์ข้อความหลังจากนั้นในภาษาฮีบรู เขาระบุเพิ่มเติมว่า "การนับถอยหลังได้เริ่มขึ้นแล้ว"
    .
    เว็บไซต์ทำเนียบประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียน แห่งอิหร่าน ระบุว่าการแต่งตั้ง กัสเซม จะช่วยเสริมความเข้มแข็งแก่เจตจำนงของฝ่ายต่อต้าน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000104393
    ..............
    Sondhi X
    อิสราเอลปฏิบัติการโจมตีทางอากาศระลอกหนึ่ง ถล่มอาคารที่พักอาศัยหลังเดี่ยวแห่งหนึ่ง ปลิดชีพผู้คนไปเกือบ 100 ราย จากการเปิดเผยของหน่วยงานป้องกันพลเรือนกาซา เหตุสลดซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่รัฐยิวยังคงเดินหน้าการรุกรานทั้งในฉนวนแห่งนี้และเลบานอน ส่วนฮิซบอลเลาะห์ คู่ต่อกรของอิสราเอลในเลบานอน ได้แต่งตั้งผู้นำคนใหม่ หลังจากคนก่อนถูกปลิดชีพเมื่อเดือนที่แล้ว . สหรัฐฯ พันธมิตรและผู้สนับสนุนสำคัญของอิสราเอล เรียกเหตุโจมตีครั้งนี้ซึ่งปลิดชีพผู้คนไปเกือบ 100 ราย และในนั้นเป็นเด็กจำนวนมาก ว่า "น่าสยดสยอง" . ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศระลอกนี้มีขึ้นแม้ว่าอิสราเอลกำลังเผชิญเสียงเกรี้ยวกราดจากนานาชาติ หลังจากรัฐสภาของพวกเขาเพิ่งลงมติอย่างท่วมท้น ห้าม UNRWA หน่วยงานของสหประชาชาติที่รับผิดชอบดำเนินงานด้านบรรเทาทุกข์แก่ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ ปฏิบัติงานภายในอิสราเอล และดินแดนยึดครอง . ทีมกู้ภัยปาเลสไตน์และสมาชิกครอบครัวที่อยู่ในอาการสิ้นหวัง รวมตัวกันบริเวณอาคาร 5 ชั้นที่พักถล่มลงมา ในเขตเบอิต ลาเฮีย ทางเหนือของกาซา "จำนวนผู้เสียชีวิตนเหตุสังหารหมู่ในเบอิต ลาเฮีย เพิ่มเป็น 93 คน และราว 40 คน ยังคงสูญหายภายใต้ซากปรักหักพัง จากการเปิดเผยของ มาห์มูด บาสซาล โฆษกของสำนักงานป้องกันพลเรือนกาซา ที่ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี . กองทัพอิสราเอลบอกว่าพวกเขากำลังดำเนินการตรวจสอบรายงานข่าวต่างๆ เกี่ยวกับการโจมตีในเบอิต ลาเฮีย หลังก่อนหน้านี้พวกเขารายงานว่ากองกำลังอิสราเอลปลิดชีพนักรบฮามาส 40 ราย และสูญเสียกำลังพลไป 4 รายในกาซา . แมตธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าว แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "มันเป็นเหตุการณ์ที่น่าสยดสยอง และก่อผลลัพธ์ที่น่าสยดสยอง เราติดต่อไปยังรัฐบาลอิสราเอล เพื่อสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น" . กองทัพอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีทั้งทางอากาศและทางภาคพื้นในภาคเหนือของกาซา มาตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแถวๆ เขตจาบาเลีย เบอิต บาเฮีย และเบอิต ฮานูน อ้างว่ามีเป้าหมายเพื่อขัดขวางไม่ให้ฮามาสรวมกลุ่มใหม่ . ประชาชนชาวปาเลสไตน์หลายแสนคนหลบหนีออกจากพื้นที่แถบนี้ ท่ามกลางวิกฤตที่ไม่มีทีท่าจบลงง่ายๆ ในสงครามที่ลากยาวมานานกว่า 12 เดือน นับตั้งแต่พวกนักรบฮามาสบุกจู่โจมเล่นงานอิสราเอลแบบไม่ทันตั้งตัว เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีที่แล้ว ปลิดชีพผู้คนไปราว 1,206 ราย และจับตัวประกันไปประมาณ 251 คน ในนั้น 97 คน ยังอยู่ในกาซา แต่ทางกองทัพอิสราเอลเชื่อว่าในนั้น 34 ราย เสียชีวิตแล้ว . อิสราเอลแก้แค้นด้วยการเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศและรุกรานทางภาคพื้น สังหารชาวปาเลสไตน์ในกาซาไปแล้วอย่างน้อย 43,061 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน อ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุของฉนวนแห่งนี้ . นานาชาติมีความกังวลมากขึ้น หลังจากรัฐสภาอิสราเอลลงมติอย่างท่วมท้นในการแบน UNRWA หน่วยงานของสหประชาชาติที่รับผิดชอบดำเนินงานด้านบรรเทาทุกข์แก่ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ ขณะเดียวกัน บรรดาสมาชิกรัฐสภายังผ่านมาตรการหนึ่งที่ห้ามพวกเจ้าหน้าที่อิสราเอลทำงานร่วมกับ UNRWA . พันธมิตรตะวัตกหลายชาติของอิสราเอล ในนั้นรวมถึงสหรัฐฯ ส่งเสียงแสดงความกังวลต่อความเคลื่อนไหวดังกล่าว โดย มิลเลอร์ เน้นย้ำคำเตือนที่ส่งถึงอิสราเอล ว่าวอชิงตันอาจระงับความช่วยเหลือด้านการทหาร หากสถานการณ์ความช่วยเหลือด้านมนุษยชนที่ป้อนเข้าสู่ฉนวนกาซาไม่ดีขึ้น . เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร แสดงความกังวลใหญ่หลวงเช่นกัน ส่วนกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส บอกว่าพวกเขาเสียใจอย่างยิ่งต่อการผ่านกฎหมายดังกล่าว ขณะที่ เยอรมนี เตือนว่ามาตรการนี้ เท่ากับทำให้การทำงานของ UNRWA ในกาซา เวสต์แบงก์ และเยรูซาเลมตะวันออก เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ . อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่แห่งสหประชาชาติ บอกว่ากฎหมายของอิสราเอลอาจก่อผลลัพธ์หายนะหากมีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เขียนบนสื่อสังคมออนไลน์ ยืนยันว่าอิสราเอลพร้อมเดินหน้าป้อนความช่วยเหลือเข้าสู่กาซา ในหนทางที่ไม่ก่อความเสี่ยงด้านความมั่นคงแก่อิสราเอล . ในเลบานอน รถถังอิสราเอลบุกเข้าไปยังแถบรอบนอกของหมู่บ้านเคียม ซึ่งถือเป็นการรุกรานที่ลึกที่สุด นับตั้งแต่ที่พวกเขาเปิดปฏิบัติการจู่โจมเลบานอน เป้าหมายเพื่อเล่นงานพวกฮิซบอลเลาะห์ เมื่อเดือนที่แล้ว . ช่วงค่ำวันอังคาร (29 ต.ค.) กระทรวงสาธารณสุขเลบานอน เปิดเผยว่าปฏิบัติการโจมตีของอิสราเอลที่เล่นงานเมืองซาราฟันด์ ทางใต้ของเลบานอน ได้สังหารผู้คนอย่างน้อย 8 ราย นอกจากนี้ ยังมีผู้เสียชีวิตอีก 6 ราย ในเหตุโจมตีก่อนหน้านี้ที่เมืองฮาเร็ต ไซดา ใกล้กับเมืองไซดอน เมืองหลักทางภาคใต้ของประเทศ . ขณะเดียวกัน ฮิซบอลเลาะห์ แถลงว่าพวกเขาได้เลือก นาอิม กัสเซม รองผู้นำ ขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ สืบทอดตำแหน่งต่อจาก ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ที่ถูกปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลปลิดชีพ ทางใต้ของกรุงเบรุต เมื่อเดือนที่แล้ว . โยอาฟ กัลแลนท์ รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอล โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ว่า "กัสเซม จะได้รับการแต่งตั้งเพียงชั่วคราว เนื่องจากเขาคงมีชีวิตอยู่ไม่นานนัก" และโพสต์ข้อความหลังจากนั้นในภาษาฮีบรู เขาระบุเพิ่มเติมว่า "การนับถอยหลังได้เริ่มขึ้นแล้ว" . เว็บไซต์ทำเนียบประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียน แห่งอิหร่าน ระบุว่าการแต่งตั้ง กัสเซม จะช่วยเสริมความเข้มแข็งแก่เจตจำนงของฝ่ายต่อต้าน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000104393 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    6
    0 Comments 0 Shares 1238 Views 0 Reviews
  • อิหร่านเตือนว่าพวกเขาจะปกป้องตนเองหลังอิสราเอลโจมตีทางทหารสังหารทหารไป 4 นาย และโหมกระพือความกังวลเกี่ยวกับสงครามเต็มรูปแบบในตะวันออกกลาง
    .
    อิสราเอลเตือนอิหรานว่าจะ "ต้องชดใช้ราคาแพง" หากว่าตอบโต้การโจมตี ในขณะที่สหรัฐฯ เยอรมนี และสหราชอาณาจักรเรียกร้องเตหะรานอย่าได้ขยายความขัดแย้งให้ลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้
    .
    ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แสดงความหวังว่า "เรื่องนี้จบลง" ตามหลังอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีช่วงรุ่งสางของวันเสาร์ (26 ต.ค.) เน้นย้ำว่า "มันดูเหมือนพวกเขาไม่ได้โจมตีเป้าหมายอื่นใดนอกเหนือไปจากเป้าหมายด้านการทหาร"
    .
    ไบเดน เคยเรียกร้องอิสราเอลให้ละเว้นเล่นงานที่ตั้งทางนิวเคลียร์และน้ำมันในการโจมตีแก้แค้น และทบวงพลังงานปรมาณูสากลยืนยันว่าไม่มีที่ตั้งทางนิวเคลียร์ถูกโจมตี
    .
    สหภาพยุโรปเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอดทนอดกลั้นอย่างที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ลุกลามบายปลายจนไม่อาจควบคุมได้ ส่วนประเทศอื่นๆ ในนั้นรวมถึงบรรดาชาติเพื่อนบ้านของอิหร่าน ประณามการโจมตีของอิสราเอล และบางชาติอย่างเช่นรัสเซีย เรียกร้องทั้ง 2 ฝ่ายอดทนอดกลั้น และหลีกเลี่ยงในสิ่งที่มอสโกเรียกว่า "สถานการณ์หายนะ"
    .
    อิหร่านยืนยันว่าพวกเขา "มีสิทธิและหน้าที่" ในการปกป้องตนเอง ขณะเดียวกัน ทางฮิซบอลเลาะห์ พันธมิตรของเตหะราน เปิดเผยว่าได้ยิงจรวด 5 ลูก ใส่เป้าหมายพื้นที่ชุมชน 5 แห่ง ทางเหนือของอิสราเอล
    .
    กองทัพอิสราเอลระบุว่า มีจรวดทั้งหมด 80 ลูก ถูกยิงข้ามชายแดนเข้ามาในวันเสาร์ (26 ต.ค.) ก่อนที่ในเวลาต่อมา พวกฮิซบอลเลาะห์จะออกประกาศเตือนอพยพ ครอบคลุมที่ตั้งหลายสิบแห่งที่อยู่ในอิสราเอล ในความเคลื่อนไหวย้อนศรกองทัพอิสราเอลที่ดำเนินการมานานแล้ว ในการประกาศเตือนล่วงหน้าว่าพื้นที่ใดในกาซาและเลบานอนจะอยู่ภายใต้ปฏิบัติการของพวกเขา
    .
    ในการยืนยันการโจมตีของตนเอง หลังเสียงระเบิดและอาวุธต่อต้านอากาศยานดังสนั่นหวั่นไหวทั่งกรุงเตหะราน ทางกองทัพอิสราเอลเผยว่าพวกเขาเล็งเป้าโจมตีโรงงานขีปนาวุธและที่ตั้งทางทหารของอิหร่านหลายแห่ง ในหลายจังหวัด
    .
    "การโจมตีแก้แค้นเสร็จสิ้นแล้ว และภารกิจทำได้ตามเป้าหมาย เครื่องบินรบของอิสราเอลกลับมาอย่างปลอดภัย" โฆษกของกองทัพระบุ พร้อมยืนยันว่าอิสราเอลเล็งเป้าหมายเล่นงานที่ตั้งทางทหารแถวๆ เมืองหลวงและในจังหวัดอื่นๆ ซึ่งก่อความเสียหายเล็กน้อย แต่ปลิดชีพทหารอิหร่านไป 4 นาย
    .
    เสนาธิการทหารแห่งกองทัพอิหร่าน ระบุว่ามีเพียงระบบเรดาร์เท่านั้นที่ได้รับความเสียหายในเหตุโจมตี และยังไม่ถึงขั้นขู่โจมตีแก้แค้นในทันที "ในขณะที่เราขอสงวนสิทธิและความชอบทางกฎหมายในการตอบโต้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม อิหร่านให้ความสำคัญลำดับต้นๆ ในการสถาปนาข้อตกลงหยุดยิงที่ยั่งยืนในกาซาและเลบานอน"
    .
    อิสราเอลประกาศแก้แค้น หลังถูกอิหร่านรัวยิงขปานาวุธกว่า 200 ลูกเข้าใส่เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ถือเป็นเพียงครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ ที่เตหะรานโจมตีเล่นงานศัตรูตัวฉกาจโดยตรง ขีปนาวุธส่วนใหญ่ถูกสกัดไว้ได้ แต่มีบางส่วนเล็ดลอดไปและปลิดชีพผู้คนไป 1 ราย
    .
    การแก้แค้นของอิสราเอลเรียกเสียงประณามจากตุรกี อิรัก ปากีสถาน ซีเรีย และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์ลุกลามบานปลาย ส่วนจอร์แดนออกมาชี้แจงว่าเครื่องบินรบของอิสราเอลไม่ได้ใช้น่านฟ้าของพวกเขา
    .
    การโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นในณะที่อิหร่านกำลังพัวพันในศึกการสู้รบ 2 แนวหน้า โดยนับตั้งแต่เดือนที่แล้ว พวกเขายกระดับทำสงครามกับฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน ในนั้นรวมถึงปฏิบัติการโจมตีพวกผู้นำระดับสูงของกลุ่ม และรุกรานทางภาคพื้นเพื่อทำลายที่ตั้งขีปนาวุธ
    .
    นับตั้งแต่ถูกฮามาสบุกจู่โจมไม่คาดคิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 อิสราเอลเปิดฉากสู้รบกับพวกนักรบกลุ่มนี้ในฉนวนกาซามานานกว่า 1 ปี ที่ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตจำนวนมากในฉนวนปาเลสไตน์ที่มีประชาชนพักอาศัยอยู่หนาแน่น
    .
    สหประชาชาติเคยเตือนว่าช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดของความขัดแย้งกำลังปรากฏออกมา ด้วยชาวปาเลสไตน์กำลังเผชิญกับวิกฤตด้านมนุษยธรรมเลวร้าย ท่ามกลางปฏิบัติการทิ้งบอมบ์ของอิสราเอลที่เกิดขึ้นในทุกวัน
    .
    เจ้าหน้าที่กลาโหมของอเมริการายหนึ่ง ชี้แจงว่า "สหรัฐฯ ไม่มีความเกี่ยวข้อง" กับปฏิบัติการโจมตีเล่นงานอิหร่าน แต่หลังจากนั้นประธานาธิบดีไอแซก เฮอร์ซอก ของอิสราเอล ได้กล่าวยกย่อง "เพื่อนที่ดีที่สุดของเรา อเมริกา สำหรับการเป็นพันธมิตรที่แท้จริง และสำหรับความร่วมมือลับๆ" แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ
    .
    ฌอน ซาเวตต์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่าการตอบโต้ของอิสราเอลเป็นการป้องกันตนเอง พร้อมเรียกร้องอิหร่าน "หยุดโจมตีอิสราเอล เพื่อที่วงจรแห่งการสู้รบนี้จะสามารถยุติลงได้ โดยที่สถานการณ์ไม่ลุกลามบานปลาย"
    .
    กองทัพอิสราเอล กล่าวโทษ "อิหร่านและบรรดากลุ่มตัวแทน" ในภูมิภาคสำหรับการโจมตีเล่นงานอิสราเอลอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม ตามหลังฮามาสจู่โจมเล่นงานอิสราเอลแบบไม่คาดคิด โหมกระพือสงครามในกาซา
    .
    การบุกจู่โจมของฮามาสได้สังหารผู้คนในอิสราเอลไป 1,206 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และจับตัวประกันกลับไปหลายร้อยคน ซึ่งปัจจุบันยังมีอีกหลายสิบคนที่ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมตัวของนักรบกลุ่มนี้ในกาซา
    .
    ปฏิบัติการทิ้งบอมบ์ทางอากาศและรุกรานทางภาคพื้นแก้แค้นของอิสราเอลในกาซา ได้สังหารผู้คนไปแล้วกว่า 42,924 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน ก่อนที่ในช่วงปลายเดือนกันยายน อิสราเอลได้เบนเป้าเข้าหาเลบานอน โจมตีเป้าหมายต่างๆ ของฮิซบอลเลาะห์และบรรดาผู้นำกลุ่ม จากนั้นก็ส่งทหารรุกรานทางภาคพื้นเช่นกัน
    .
    อิสราเอลบอกว่ามีเป้าหมายเพื่อทำให้ทางเหนือของประเทศมีความปลอดภัยมากขึ้น เปิดทางให้พลเมืองหลายหมื่นที่อพยพหลบหนีการสู้รบเดินทางกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน
    .
    ในเดือนเมษายน อิหร่านทำการปล่อยโดรนและยิงขีปนาวุธมากกว่า 300 ลูก เข้าเล่นงานอิสราเอล ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เตหะรานโจมตีถล่มดินแดนของอิสราเอล ศัตรูตัวฉกาจ
    .
    เตหะรานบอกว่าห่าการโจมตีดังกล่าว เป็นการแก้แค้นอิสราเอลต่อกรณีที่โจมตีสถานกงสุลอิหร่านในกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย ทำให้บรรดาผู้บัญชาการของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน เสียชีวิตไปหลายคน
    .
    อิหร่านระบุว่าปฏิบัติการยิงขีปนาวุธโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม เป็นการแก้แค้นปฏิบัติการโจมตีทางอากาศหนึ่งของอิสราเอล ที่สังหารฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำฮิซบอลเลาะห์ เช่นเดียวกับเหตุลอบสังหาร อิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำทางการเมืองของฮามาสในเตหะราน ที่พวกเขากล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของอิสราเอล
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000103351
    ..............
    Sondhi X
    อิหร่านเตือนว่าพวกเขาจะปกป้องตนเองหลังอิสราเอลโจมตีทางทหารสังหารทหารไป 4 นาย และโหมกระพือความกังวลเกี่ยวกับสงครามเต็มรูปแบบในตะวันออกกลาง . อิสราเอลเตือนอิหรานว่าจะ "ต้องชดใช้ราคาแพง" หากว่าตอบโต้การโจมตี ในขณะที่สหรัฐฯ เยอรมนี และสหราชอาณาจักรเรียกร้องเตหะรานอย่าได้ขยายความขัดแย้งให้ลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้ . ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แสดงความหวังว่า "เรื่องนี้จบลง" ตามหลังอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีช่วงรุ่งสางของวันเสาร์ (26 ต.ค.) เน้นย้ำว่า "มันดูเหมือนพวกเขาไม่ได้โจมตีเป้าหมายอื่นใดนอกเหนือไปจากเป้าหมายด้านการทหาร" . ไบเดน เคยเรียกร้องอิสราเอลให้ละเว้นเล่นงานที่ตั้งทางนิวเคลียร์และน้ำมันในการโจมตีแก้แค้น และทบวงพลังงานปรมาณูสากลยืนยันว่าไม่มีที่ตั้งทางนิวเคลียร์ถูกโจมตี . สหภาพยุโรปเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอดทนอดกลั้นอย่างที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ลุกลามบายปลายจนไม่อาจควบคุมได้ ส่วนประเทศอื่นๆ ในนั้นรวมถึงบรรดาชาติเพื่อนบ้านของอิหร่าน ประณามการโจมตีของอิสราเอล และบางชาติอย่างเช่นรัสเซีย เรียกร้องทั้ง 2 ฝ่ายอดทนอดกลั้น และหลีกเลี่ยงในสิ่งที่มอสโกเรียกว่า "สถานการณ์หายนะ" . อิหร่านยืนยันว่าพวกเขา "มีสิทธิและหน้าที่" ในการปกป้องตนเอง ขณะเดียวกัน ทางฮิซบอลเลาะห์ พันธมิตรของเตหะราน เปิดเผยว่าได้ยิงจรวด 5 ลูก ใส่เป้าหมายพื้นที่ชุมชน 5 แห่ง ทางเหนือของอิสราเอล . กองทัพอิสราเอลระบุว่า มีจรวดทั้งหมด 80 ลูก ถูกยิงข้ามชายแดนเข้ามาในวันเสาร์ (26 ต.ค.) ก่อนที่ในเวลาต่อมา พวกฮิซบอลเลาะห์จะออกประกาศเตือนอพยพ ครอบคลุมที่ตั้งหลายสิบแห่งที่อยู่ในอิสราเอล ในความเคลื่อนไหวย้อนศรกองทัพอิสราเอลที่ดำเนินการมานานแล้ว ในการประกาศเตือนล่วงหน้าว่าพื้นที่ใดในกาซาและเลบานอนจะอยู่ภายใต้ปฏิบัติการของพวกเขา . ในการยืนยันการโจมตีของตนเอง หลังเสียงระเบิดและอาวุธต่อต้านอากาศยานดังสนั่นหวั่นไหวทั่งกรุงเตหะราน ทางกองทัพอิสราเอลเผยว่าพวกเขาเล็งเป้าโจมตีโรงงานขีปนาวุธและที่ตั้งทางทหารของอิหร่านหลายแห่ง ในหลายจังหวัด . "การโจมตีแก้แค้นเสร็จสิ้นแล้ว และภารกิจทำได้ตามเป้าหมาย เครื่องบินรบของอิสราเอลกลับมาอย่างปลอดภัย" โฆษกของกองทัพระบุ พร้อมยืนยันว่าอิสราเอลเล็งเป้าหมายเล่นงานที่ตั้งทางทหารแถวๆ เมืองหลวงและในจังหวัดอื่นๆ ซึ่งก่อความเสียหายเล็กน้อย แต่ปลิดชีพทหารอิหร่านไป 4 นาย . เสนาธิการทหารแห่งกองทัพอิหร่าน ระบุว่ามีเพียงระบบเรดาร์เท่านั้นที่ได้รับความเสียหายในเหตุโจมตี และยังไม่ถึงขั้นขู่โจมตีแก้แค้นในทันที "ในขณะที่เราขอสงวนสิทธิและความชอบทางกฎหมายในการตอบโต้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม อิหร่านให้ความสำคัญลำดับต้นๆ ในการสถาปนาข้อตกลงหยุดยิงที่ยั่งยืนในกาซาและเลบานอน" . อิสราเอลประกาศแก้แค้น หลังถูกอิหร่านรัวยิงขปานาวุธกว่า 200 ลูกเข้าใส่เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ถือเป็นเพียงครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ ที่เตหะรานโจมตีเล่นงานศัตรูตัวฉกาจโดยตรง ขีปนาวุธส่วนใหญ่ถูกสกัดไว้ได้ แต่มีบางส่วนเล็ดลอดไปและปลิดชีพผู้คนไป 1 ราย . การแก้แค้นของอิสราเอลเรียกเสียงประณามจากตุรกี อิรัก ปากีสถาน ซีเรีย และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์ลุกลามบานปลาย ส่วนจอร์แดนออกมาชี้แจงว่าเครื่องบินรบของอิสราเอลไม่ได้ใช้น่านฟ้าของพวกเขา . การโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นในณะที่อิหร่านกำลังพัวพันในศึกการสู้รบ 2 แนวหน้า โดยนับตั้งแต่เดือนที่แล้ว พวกเขายกระดับทำสงครามกับฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน ในนั้นรวมถึงปฏิบัติการโจมตีพวกผู้นำระดับสูงของกลุ่ม และรุกรานทางภาคพื้นเพื่อทำลายที่ตั้งขีปนาวุธ . นับตั้งแต่ถูกฮามาสบุกจู่โจมไม่คาดคิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 อิสราเอลเปิดฉากสู้รบกับพวกนักรบกลุ่มนี้ในฉนวนกาซามานานกว่า 1 ปี ที่ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตจำนวนมากในฉนวนปาเลสไตน์ที่มีประชาชนพักอาศัยอยู่หนาแน่น . สหประชาชาติเคยเตือนว่าช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดของความขัดแย้งกำลังปรากฏออกมา ด้วยชาวปาเลสไตน์กำลังเผชิญกับวิกฤตด้านมนุษยธรรมเลวร้าย ท่ามกลางปฏิบัติการทิ้งบอมบ์ของอิสราเอลที่เกิดขึ้นในทุกวัน . เจ้าหน้าที่กลาโหมของอเมริการายหนึ่ง ชี้แจงว่า "สหรัฐฯ ไม่มีความเกี่ยวข้อง" กับปฏิบัติการโจมตีเล่นงานอิหร่าน แต่หลังจากนั้นประธานาธิบดีไอแซก เฮอร์ซอก ของอิสราเอล ได้กล่าวยกย่อง "เพื่อนที่ดีที่สุดของเรา อเมริกา สำหรับการเป็นพันธมิตรที่แท้จริง และสำหรับความร่วมมือลับๆ" แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ . ฌอน ซาเวตต์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่าการตอบโต้ของอิสราเอลเป็นการป้องกันตนเอง พร้อมเรียกร้องอิหร่าน "หยุดโจมตีอิสราเอล เพื่อที่วงจรแห่งการสู้รบนี้จะสามารถยุติลงได้ โดยที่สถานการณ์ไม่ลุกลามบานปลาย" . กองทัพอิสราเอล กล่าวโทษ "อิหร่านและบรรดากลุ่มตัวแทน" ในภูมิภาคสำหรับการโจมตีเล่นงานอิสราเอลอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม ตามหลังฮามาสจู่โจมเล่นงานอิสราเอลแบบไม่คาดคิด โหมกระพือสงครามในกาซา . การบุกจู่โจมของฮามาสได้สังหารผู้คนในอิสราเอลไป 1,206 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และจับตัวประกันกลับไปหลายร้อยคน ซึ่งปัจจุบันยังมีอีกหลายสิบคนที่ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมตัวของนักรบกลุ่มนี้ในกาซา . ปฏิบัติการทิ้งบอมบ์ทางอากาศและรุกรานทางภาคพื้นแก้แค้นของอิสราเอลในกาซา ได้สังหารผู้คนไปแล้วกว่า 42,924 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน ก่อนที่ในช่วงปลายเดือนกันยายน อิสราเอลได้เบนเป้าเข้าหาเลบานอน โจมตีเป้าหมายต่างๆ ของฮิซบอลเลาะห์และบรรดาผู้นำกลุ่ม จากนั้นก็ส่งทหารรุกรานทางภาคพื้นเช่นกัน . อิสราเอลบอกว่ามีเป้าหมายเพื่อทำให้ทางเหนือของประเทศมีความปลอดภัยมากขึ้น เปิดทางให้พลเมืองหลายหมื่นที่อพยพหลบหนีการสู้รบเดินทางกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน . ในเดือนเมษายน อิหร่านทำการปล่อยโดรนและยิงขีปนาวุธมากกว่า 300 ลูก เข้าเล่นงานอิสราเอล ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เตหะรานโจมตีถล่มดินแดนของอิสราเอล ศัตรูตัวฉกาจ . เตหะรานบอกว่าห่าการโจมตีดังกล่าว เป็นการแก้แค้นอิสราเอลต่อกรณีที่โจมตีสถานกงสุลอิหร่านในกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย ทำให้บรรดาผู้บัญชาการของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน เสียชีวิตไปหลายคน . อิหร่านระบุว่าปฏิบัติการยิงขีปนาวุธโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม เป็นการแก้แค้นปฏิบัติการโจมตีทางอากาศหนึ่งของอิสราเอล ที่สังหารฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำฮิซบอลเลาะห์ เช่นเดียวกับเหตุลอบสังหาร อิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำทางการเมืองของฮามาสในเตหะราน ที่พวกเขากล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของอิสราเอล . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000103351 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Angry
    8
    0 Comments 0 Shares 1325 Views 0 Reviews
  • ยาห์ยา ซินวาร์ ผู้นำฮามาส ผู้บงการเหตุโจมตีอิสราเอลแบบไม่ทันตั้งตัวเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 จุดชนวนสงครามในกาซา ถูกสังหารแล้วโดยกองกำลังอิสราเอล ในฉนวนปาเลสไตน์ จากการเปิดเผยของอิสราเอลเมื่อวันพฤหัสบดี (17 ต.ค.)

    การปลิดชีพผู้นำรายนี้ถือเป็นความสำเร็จใหญ่หลวงของอิสราเอล และเป็นเหตุการณ์สำคัญในความขัดแย้งที่ลากยาวมานานกว่า 1 ปี ในขณะที่พวกผู้นำตะวันตกมองว่าการเสียชีวิตของ ซินวาร์ มอบโอกาสที่จะทำให้สงครามยุติลง ทว่า เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลประกาศจะเดินหน้าต่อไป

    กองทัพอิสราเอลเปิดเผยว่าพวกเขาสังหาร ซินวาร์ ในปฏิบัติการหนึ่งทางใต้ของฉนวนกาซา เมื่อวันพุธ (16 ต.ค.) "หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการระบุเอกลักษณ์บุคคลศพ สามารถยืนยันได้ว่า ยาห์ยา ซินวาร์ ถูกกำจัดแล้ว"

    ยังไม่มีความเห็นออกมาจากฮามาส แต่รอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวในพวกนักรบกลุ่มนี้ในกาซา บ่งชี้ว่า ซินวาร์ เสียชีวิตแล้วในปฏิบัติการของอิสราเอล

    ในอิสราเอลบรรดาครอบครัวตัวประกันที่ถูกฮามาสควบคุมตัวในกาซา แสดงความหวังว่าจะเกิดข้อตกลงหยุดยิงเดี๋ยวนี้เลย เพื่อพาตัวประกันเหล่านั้นกลับบ้าน แต่อีกด้านหนึ่งก็หวั่นเกรงว่าบุคคลที่พวกเขารักนั้นจะอยู่ในอันตรายมากกว่าเดิม

    ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับ เนทันยาฮู แสดงความยินดีกับ เนทันยาฮู ในเรื่องนี้ เช่นเดียวกับประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส จากนั้น ไบเดน บอกว่าการตายของ ซินวาร์ มอบโอกาสแห่งการยุติความขัดแย้งในกาซาที่ลากยาวมานานกว่า 1 ปี และพาตัวประกันอิสราเอลกลับบ้าน

    แมตธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เผยว่าอเมริกาต้องการเริ่มต้นการพูดคุยเกี่ยวกับข้อเสนอหนึ่งที่นำไปสู้การบรรลุข้อตกลงหยุดยิง และรับประกันการปล่อยตัวประกัน และเรียก ซินวาร์ ว่าเป็นอุปสรรคหลักที่ขัดขวางการยุติสงคราม

    เนทันยาฮู กล่าวในเยรูซาเลม ไม่นานหลังข่าวการตายของ ซินวาร์ ได้รับการยืนยันเช่นกันว่าการตายของ ซินวาร์ มอบโอกาสแห่งสันติภาพในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตามเขาเตือนว่าสงครามในกาซายังไม่ถึงจุดจบ และอิสราเอลจะเดินหน้าต่อไปจนกว่าจะได้ตัวประกันกลับมา

    "วันนี้เราได้ชำระแค้น วันนี้พวกปีศาจได้รับความเสียหายใหญ่หลวง แต่ภารกิจของเรายังไม่เสร็จสมบูรณ์" เนทันยาฮูกล่าวในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ผ่านวิดีโอที่บันทึกไว้ล่วงหน้า "ถึงครอบครัวตัวประกันที่รักทุกคน ผมอยากบอกว่านี่คือช่วงเวลาสำคัญของสงคราม เราจะเดินหน้าเต็มกำลังจนกว่าบุคคลอันเป็นที่รักของคุณ เป็นที่รักของเขาได้กลับบ้าน"

    อิสราเอล คาตช์ รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล บอกวา "นี่คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ทั้งในด้านกองทัพและขวัญกำลังใจสำหรับอิสราเอล" เขาเรียก ซินวาร์ ว่าเป็นฆาตกรสังหารหมู่ที่อยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่อย่างโหดร้ายป่าเถื่อนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม การโจมตีของพวกฮามาสที่เล่นงานอิสราเอล ที่กระตุ้นให้อิสราเอลปลดปล่อยปฏิบัติการแก้แค้นถล่มฉนวนกาซา

    สถานีวิทยุกองทัพอิสราเอล รายงานว่าเหตุสังหารซินวาร์ เกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติการทางภาคพื้นในเมืองราฟาห์ ทางใต้ของกาซา ซึ่งระหว่างนั้นทหารอิสราเอลได้ปลิดชีพนักรบ 3 ราย และนำศพกลับมาด้วย

    ซินวาร์ ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้นำโดยรวมของฮามาส ตามหลังเหตุลอบสังหาร อิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำทางการเมืองของกลุ่มในเตหะรานเมื่อเดือนกรกฎาคม ทั้งนี้เชื่อว่าเขาหลบซ่อนอยู่ในเครือข่ายอุโมงค์ของฮามาส ที่สร้างไว้ใต้กาซา ตลอดช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา

    แม้ตะวันตกแสดงความหวังเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง แต่การตายของ ซินวาร์ อาจกระพือความเป็นปรปักษ์ในตะวันออกกลาง ดินแดนที่มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่ก่อนแล้ว ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งจะลุกลามบานปลาย หลัง อิสราเอล เริ่มเปิดปฏิบัติการทางภาคพื้นในเลบานอน ในเดือนที่แล้ว และตอนนี้กำลังวางแผนตอบโต้อิหร่าน พันธมิตรของฮามาสและฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน กรณีที่เตหะรานรัวยิงขีปนาวุธเข้าใส่เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม

    กระนั้นอีกมิติของการเสียชีวิตของ ซินวาร์ ผู้วางแผนโจมตีเมื่อปีที่แล้ว ที่พวกนักรบฮามาสสังหารผู้คนไปมากกว่า 1,200 คน ในอิสราเอล และจับตัวประกันไปประมาณ 250 คน อาจช่วยผลักดันให้ความพยายามยุติสงครามที่หยุดชะงักกลับมาเดินหน้าอีกครั้ง ในขณะที่ปฏิบัติการรุกรานแก้แค้นของอิสราเอล ได้ปลิดชีพชาวปาเลสไตน์ไปแล้วมากกว่า 42,000 คน

    อย่างไรก็ตาม การตายของ ซินวาร์ ได้ก่อคำถามใหม่ขึ้นมาเช่นกันเกี่ยวกับชะตากรรมของพวกตัวประกันที่อยู่ภายใต้การควบคุมตัวของกาซา เนื่องจาก ซินวาร์ เกี่ยวข้องในการเจรจาต่างๆ ที่จะนำมาสู่การปล่อยตัวของพวกเขา

    ครอบครัวตัวประกันชาวอิสราเอล บอกว่าในขณะที่ปฏิบัติการสังหาร ซินวาร์ ถือเป็นความสำเร็จสำคัญ แต่มันจะไม่ใช่ความสำเร็จที่สมบูรณ์ หากว่าตัวประกันยังอยู่ในกาซา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000100482
    ..............
    Sondhi X
    ยาห์ยา ซินวาร์ ผู้นำฮามาส ผู้บงการเหตุโจมตีอิสราเอลแบบไม่ทันตั้งตัวเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 จุดชนวนสงครามในกาซา ถูกสังหารแล้วโดยกองกำลังอิสราเอล ในฉนวนปาเลสไตน์ จากการเปิดเผยของอิสราเอลเมื่อวันพฤหัสบดี (17 ต.ค.) การปลิดชีพผู้นำรายนี้ถือเป็นความสำเร็จใหญ่หลวงของอิสราเอล และเป็นเหตุการณ์สำคัญในความขัดแย้งที่ลากยาวมานานกว่า 1 ปี ในขณะที่พวกผู้นำตะวันตกมองว่าการเสียชีวิตของ ซินวาร์ มอบโอกาสที่จะทำให้สงครามยุติลง ทว่า เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลประกาศจะเดินหน้าต่อไป กองทัพอิสราเอลเปิดเผยว่าพวกเขาสังหาร ซินวาร์ ในปฏิบัติการหนึ่งทางใต้ของฉนวนกาซา เมื่อวันพุธ (16 ต.ค.) "หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการระบุเอกลักษณ์บุคคลศพ สามารถยืนยันได้ว่า ยาห์ยา ซินวาร์ ถูกกำจัดแล้ว" ยังไม่มีความเห็นออกมาจากฮามาส แต่รอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวในพวกนักรบกลุ่มนี้ในกาซา บ่งชี้ว่า ซินวาร์ เสียชีวิตแล้วในปฏิบัติการของอิสราเอล ในอิสราเอลบรรดาครอบครัวตัวประกันที่ถูกฮามาสควบคุมตัวในกาซา แสดงความหวังว่าจะเกิดข้อตกลงหยุดยิงเดี๋ยวนี้เลย เพื่อพาตัวประกันเหล่านั้นกลับบ้าน แต่อีกด้านหนึ่งก็หวั่นเกรงว่าบุคคลที่พวกเขารักนั้นจะอยู่ในอันตรายมากกว่าเดิม ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับ เนทันยาฮู แสดงความยินดีกับ เนทันยาฮู ในเรื่องนี้ เช่นเดียวกับประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส จากนั้น ไบเดน บอกว่าการตายของ ซินวาร์ มอบโอกาสแห่งการยุติความขัดแย้งในกาซาที่ลากยาวมานานกว่า 1 ปี และพาตัวประกันอิสราเอลกลับบ้าน แมตธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เผยว่าอเมริกาต้องการเริ่มต้นการพูดคุยเกี่ยวกับข้อเสนอหนึ่งที่นำไปสู้การบรรลุข้อตกลงหยุดยิง และรับประกันการปล่อยตัวประกัน และเรียก ซินวาร์ ว่าเป็นอุปสรรคหลักที่ขัดขวางการยุติสงคราม เนทันยาฮู กล่าวในเยรูซาเลม ไม่นานหลังข่าวการตายของ ซินวาร์ ได้รับการยืนยันเช่นกันว่าการตายของ ซินวาร์ มอบโอกาสแห่งสันติภาพในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตามเขาเตือนว่าสงครามในกาซายังไม่ถึงจุดจบ และอิสราเอลจะเดินหน้าต่อไปจนกว่าจะได้ตัวประกันกลับมา "วันนี้เราได้ชำระแค้น วันนี้พวกปีศาจได้รับความเสียหายใหญ่หลวง แต่ภารกิจของเรายังไม่เสร็จสมบูรณ์" เนทันยาฮูกล่าวในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ผ่านวิดีโอที่บันทึกไว้ล่วงหน้า "ถึงครอบครัวตัวประกันที่รักทุกคน ผมอยากบอกว่านี่คือช่วงเวลาสำคัญของสงคราม เราจะเดินหน้าเต็มกำลังจนกว่าบุคคลอันเป็นที่รักของคุณ เป็นที่รักของเขาได้กลับบ้าน" อิสราเอล คาตช์ รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล บอกวา "นี่คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ทั้งในด้านกองทัพและขวัญกำลังใจสำหรับอิสราเอล" เขาเรียก ซินวาร์ ว่าเป็นฆาตกรสังหารหมู่ที่อยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่อย่างโหดร้ายป่าเถื่อนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม การโจมตีของพวกฮามาสที่เล่นงานอิสราเอล ที่กระตุ้นให้อิสราเอลปลดปล่อยปฏิบัติการแก้แค้นถล่มฉนวนกาซา สถานีวิทยุกองทัพอิสราเอล รายงานว่าเหตุสังหารซินวาร์ เกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติการทางภาคพื้นในเมืองราฟาห์ ทางใต้ของกาซา ซึ่งระหว่างนั้นทหารอิสราเอลได้ปลิดชีพนักรบ 3 ราย และนำศพกลับมาด้วย ซินวาร์ ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้นำโดยรวมของฮามาส ตามหลังเหตุลอบสังหาร อิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำทางการเมืองของกลุ่มในเตหะรานเมื่อเดือนกรกฎาคม ทั้งนี้เชื่อว่าเขาหลบซ่อนอยู่ในเครือข่ายอุโมงค์ของฮามาส ที่สร้างไว้ใต้กาซา ตลอดช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา แม้ตะวันตกแสดงความหวังเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง แต่การตายของ ซินวาร์ อาจกระพือความเป็นปรปักษ์ในตะวันออกกลาง ดินแดนที่มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่ก่อนแล้ว ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งจะลุกลามบานปลาย หลัง อิสราเอล เริ่มเปิดปฏิบัติการทางภาคพื้นในเลบานอน ในเดือนที่แล้ว และตอนนี้กำลังวางแผนตอบโต้อิหร่าน พันธมิตรของฮามาสและฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน กรณีที่เตหะรานรัวยิงขีปนาวุธเข้าใส่เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม กระนั้นอีกมิติของการเสียชีวิตของ ซินวาร์ ผู้วางแผนโจมตีเมื่อปีที่แล้ว ที่พวกนักรบฮามาสสังหารผู้คนไปมากกว่า 1,200 คน ในอิสราเอล และจับตัวประกันไปประมาณ 250 คน อาจช่วยผลักดันให้ความพยายามยุติสงครามที่หยุดชะงักกลับมาเดินหน้าอีกครั้ง ในขณะที่ปฏิบัติการรุกรานแก้แค้นของอิสราเอล ได้ปลิดชีพชาวปาเลสไตน์ไปแล้วมากกว่า 42,000 คน อย่างไรก็ตาม การตายของ ซินวาร์ ได้ก่อคำถามใหม่ขึ้นมาเช่นกันเกี่ยวกับชะตากรรมของพวกตัวประกันที่อยู่ภายใต้การควบคุมตัวของกาซา เนื่องจาก ซินวาร์ เกี่ยวข้องในการเจรจาต่างๆ ที่จะนำมาสู่การปล่อยตัวของพวกเขา ครอบครัวตัวประกันชาวอิสราเอล บอกว่าในขณะที่ปฏิบัติการสังหาร ซินวาร์ ถือเป็นความสำเร็จสำคัญ แต่มันจะไม่ใช่ความสำเร็จที่สมบูรณ์ หากว่าตัวประกันยังอยู่ในกาซา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000100482 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    8
    0 Comments 0 Shares 1271 Views 0 Reviews
  • เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เตือนเลบานอน ว่าอาจถูกทำลายล้างเหมือนกับ "ฉนวนกาซา" ในขณะที่รัฐยิงยกระดับปฏิบัติการทางภาคพื้นจัดการกับพวกฮิซบอลเลาะห์ ในพื้นที่ส่วนตอนใต้ตามแนวชายฝั่งของเลบานอน
    .
    เสียงเตือนอันแข็งกร้าวของเนทันยาฮู มีขึ้นในขณะที่กองทัพอิสราเอลส่งทหารเข้าไปเพิ่มเติม และเรียกร้องพลเรือนที่อยู่ตามพื้นที่ชายฝั่งให้อพยพออกมา
    .
    "คุณมีโอกาสปกป้องเลบานอนก่อนที่จะล่มสลายกลายเป็นนรกอเวจีในสงครามที่ยืดเยื้อยาวนาน ที่จะนำมาซึ่งการทำลายล้างและความทุกข์ทรมานแบบเดียวกับที่เราเห็นในกาซา" เนทันยาฮูกล่าวในวิดีโอ ซึ่งเป็นการพูดกับประชาชนชาวเลบานอนโดยตรง "ผมอยากบอกกับพวกคุณว่า ประชาชนชาวเลบานอน จงปลดปล่อยประเทศของคุณจากฮิซบอลเลาะห์ เพื่อที่สงครามนี้จะสามารถจบลงได้"
    .
    ก่อนหน้านี้ฮิซบอลเลาะห์ยืนยันได้ยิงจรวดหลายลูกเข้าใส่เมืองไฮฟาของอิสราเอล หลังจากกองทัพอิสราเอลเปิดเผยว่ามีจรวดราวๆ 85 ลูกที่ยิงออกมาจากเลบานอน ขณะที่ฮิซบอลเลาะห์ขู่ยิงจรวดใส่เมืองต่างๆของอิสราเอลมากกว่านี้ หากว่าอิสราเอลไม่หยุดทิ้งบอมบ์ถล่มพื้นที่ศูนย์กลางประชากรของเลบานอน
    .
    ความเคลื่อนไหวของอิสราเอลในการยกระดับปฏิบัติการในเลบานอน มีขึ้นเกือบ 1 ปี หลังจากฮิซบอลเลาะห์เริ่มเปิดฉากยิงตอบโต้ตามแนวชายแดนกับอิสราเอล เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนฮามาส พันธมิตรของพวกเขา ตามหลังกลุ่มนักรบปาเลสไตน์ บุกจู่โจมนองเลือดเล่นงานอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ที่กระตุ้นให้อสราเอลเปิดปฏิบัติการรุกรานฉนวนกาซา
    .
    นอกเหนือจากการต่อสู้กับฮามาสในกาซา ทางอิสราเอลประกาศคุ้มกันชายแดนทางเหนือของประเทศที่ติดกับเลบานอน เพื่อเปิดทางให้ประชาชนชาวอิสราเอลหลายหมื่นคนที่พลัดถิ่นจากการยิงถล่มข้ามชายแดนโดยฮิซบอลเลาะห์ สามารถเดินทางกลับบ้านได้
    .
    ทั้ง ฮามาส และ ฮิซบอลเเลาะห์ ประกาศไม่ยอมจำนนต่ออิสราเอล และในวันอังคาร(8ต.ค.) นาอิม กัสเซม รองหัวหน้าฮิซบอลเลาะห์ระบุว่าทางกลุ่มจะทำให้การเดินทางกลับสู่ทางเหนือของชาวอิสราเอล เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
    .
    อิสราเอล เปิดฉากโจมตีป้อมปราการต่างๆของฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน เมื่อวันที่ 23 กันยายน ส่งผลให้นับตั้งแต่นั้นมีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 1,150 รายและอีกมากกว่า 1 ล้านคนต้องหลบหนี
    .
    การโจมตีส่วนใหญ่ของอิสราเอลเล็งเป้าหมายเล่นงานป้อมปราการต่างๆของฮิซบอลเลาะห์ ทางใต้และทางตะวันออกของเลบานอน เช่นเดียวกับทางใต้ของกรุงเบรุต แต่ล่าสุดตามแนวชายฝั่งก็ไม่รอดพ้นเช่นกัน หลังประกาศเตือนอพยพล่าสุดของอิสราเอล บ่งชี้ว่าพวกเขากำลังขยายปฏิบัติการรุกรานไปยังทิศเหนือด้วย
    .
    หนึ่งวันก่อนหน้านี้ กองทัพอิสราเอลเตือนประชาชนให้อยู่ห่างจากพื้นที่ทางใต้ของแนวชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของเลบานอน โดยทางโฆษกบอกว่าอิสราเอล "จะปฏิบัติการในพื้นที่ทางทะเลจัดการกับความเคลื่อนไหวก่อการร้ายของพวกฮิซบอลเลาะห์ บริเวณทางใต้ของแม่น้ำอาวาลี เร็วๆนี้"
    .
    รองหัวหน้าฮิซบอลเลาะห์ บอกว่าการโจมตีของอิสราเอลได้สร้างความเจ็บปาด แต่โครงสร้างผู้นำของกลุ่มยังคงปฏิบัติการต่อไปได้และศักยภาพด้านการทหารของพวกเขายังคงไม่เป็นไร
    .
    อย่างไรก็ตาม โยอาฟ กัลแลนท์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล เชื่อว่าฮิซบอลเลาะห์กำลังสั่นสะท้านและเป็นองค์กรที่แตกสลาย ที่ไม่เหลือสายบังคับบัญชาสำคัญๆและแสนยานุภาพการโจมตี ขณะที่โครงสร้างผู้นำอยู่ในภาวะพังครืน หลังจาก ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ถูกกำจัด"
    .
    กัลแลนท์ มีกำหนดเดินทางเยือนวอชิงตัน เพื่อพูดคุยหารือกับ ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯในวันพุธ(9ต.ค.) ซึ่งคาดหมายว่าจะมุ่งเน้นไปที่แนวทางการตอบโต้ของอิสราเอล ต่อกรณีที่ถูกอิหร่านยิงห่าขีปนาวุธโจมตีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
    .
    อย่างไรก็ตามเพนตากอน ยืนยันว่าการเดินทางเยือนดังกล่าวถูกเลื่อนออกไปแล้ว หลังสื่อมวลชนอิสราเอลรายงานว่า เนทันยาฮู ต้องการให้คณะรัฐมนนตรีทำการตัดสินใจในเรื่องแนวทางการตอบโต้ให้ได้ก่อนที่รัฐมนตรีต่างประเทศจะออกเดินทางเยือนวอชิงตัน
    .
    การสู้รบที่ขยายวงกว้างมีขึ้น 1 วันหลังจากอิสราเอลและประชาชนทั่วโลก รำลึกวาระครบรอบ 1 ปี ของเหตุการณ์พวกนักรบฮามาสบุกจู่โจมเล่นงานอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีก่อน สังหารผู้คนไปราวๆ 1,200 รายและจับตัวประกันไปประมาณ 251 คน ในนั้น 97 คน ยังคงถูกคุมตัวในกาซา แต่กองทัพอิสราเอลเชื่อว่า มี 34 รายในนั้น เสียชีวิตแล้ว
    .
    ปฏิบัติการรุกรานทางทหารแก้แค้นของอิสราเอล ได้สังหารผู้คนในกาซาไปแล้วอย่างน้อย 41,965 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน
    .
    นับตั้งแต่นั้นความขัดแย้งได้ลุกลามไปเกือบทั่วภูมิภาค โดยกองกำลังอิสราเอลสู้รบกับกลุ่มต่างๆที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ทั้งในเลบานอน เยเมนและซีเรีย
    .
    หนึ่งปีนับตั้งแต่อิสราเอล เปิดปฏิบัติการรุกรานทางทหารเข้าไปยังกาซา พื้นที่อันกว้างขวางในดินแดนแห่งนี้กลายสภาพเหลือแต่ซากหักพัง และประชากรเกือบทุกคน จากทั้งหมด 2.4 ล้านคน ต้องพลัดถิ่นอย่างน้อย 1 รอบ
    .
    คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศเปิดเผยว่าหลังจากสงครามลากยาวมากว่า 1 ปี พลเมืองในกาซายังคงใช้ชีวิตอยู่ตามศูนย์พักพิงที่ง่อนแง่น และประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร
    .
    ในวันอังคาร(8ต.ค.) สำนักงานป้องกันพลเรือนของฉนวนแห่งนี้ เปิดเผยว่าอิสราเอลได้โจมตีถล่มค่ายผู้ลี้ภัยแห่งหนึ่ง ในย่านใจกลางกาซา ปลิดชีพผู้คนไปอีกอย่างน้อย 17 ราย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000096125
    ..............
    Sondhi X
    เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เตือนเลบานอน ว่าอาจถูกทำลายล้างเหมือนกับ "ฉนวนกาซา" ในขณะที่รัฐยิงยกระดับปฏิบัติการทางภาคพื้นจัดการกับพวกฮิซบอลเลาะห์ ในพื้นที่ส่วนตอนใต้ตามแนวชายฝั่งของเลบานอน . เสียงเตือนอันแข็งกร้าวของเนทันยาฮู มีขึ้นในขณะที่กองทัพอิสราเอลส่งทหารเข้าไปเพิ่มเติม และเรียกร้องพลเรือนที่อยู่ตามพื้นที่ชายฝั่งให้อพยพออกมา . "คุณมีโอกาสปกป้องเลบานอนก่อนที่จะล่มสลายกลายเป็นนรกอเวจีในสงครามที่ยืดเยื้อยาวนาน ที่จะนำมาซึ่งการทำลายล้างและความทุกข์ทรมานแบบเดียวกับที่เราเห็นในกาซา" เนทันยาฮูกล่าวในวิดีโอ ซึ่งเป็นการพูดกับประชาชนชาวเลบานอนโดยตรง "ผมอยากบอกกับพวกคุณว่า ประชาชนชาวเลบานอน จงปลดปล่อยประเทศของคุณจากฮิซบอลเลาะห์ เพื่อที่สงครามนี้จะสามารถจบลงได้" . ก่อนหน้านี้ฮิซบอลเลาะห์ยืนยันได้ยิงจรวดหลายลูกเข้าใส่เมืองไฮฟาของอิสราเอล หลังจากกองทัพอิสราเอลเปิดเผยว่ามีจรวดราวๆ 85 ลูกที่ยิงออกมาจากเลบานอน ขณะที่ฮิซบอลเลาะห์ขู่ยิงจรวดใส่เมืองต่างๆของอิสราเอลมากกว่านี้ หากว่าอิสราเอลไม่หยุดทิ้งบอมบ์ถล่มพื้นที่ศูนย์กลางประชากรของเลบานอน . ความเคลื่อนไหวของอิสราเอลในการยกระดับปฏิบัติการในเลบานอน มีขึ้นเกือบ 1 ปี หลังจากฮิซบอลเลาะห์เริ่มเปิดฉากยิงตอบโต้ตามแนวชายแดนกับอิสราเอล เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนฮามาส พันธมิตรของพวกเขา ตามหลังกลุ่มนักรบปาเลสไตน์ บุกจู่โจมนองเลือดเล่นงานอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ที่กระตุ้นให้อสราเอลเปิดปฏิบัติการรุกรานฉนวนกาซา . นอกเหนือจากการต่อสู้กับฮามาสในกาซา ทางอิสราเอลประกาศคุ้มกันชายแดนทางเหนือของประเทศที่ติดกับเลบานอน เพื่อเปิดทางให้ประชาชนชาวอิสราเอลหลายหมื่นคนที่พลัดถิ่นจากการยิงถล่มข้ามชายแดนโดยฮิซบอลเลาะห์ สามารถเดินทางกลับบ้านได้ . ทั้ง ฮามาส และ ฮิซบอลเเลาะห์ ประกาศไม่ยอมจำนนต่ออิสราเอล และในวันอังคาร(8ต.ค.) นาอิม กัสเซม รองหัวหน้าฮิซบอลเลาะห์ระบุว่าทางกลุ่มจะทำให้การเดินทางกลับสู่ทางเหนือของชาวอิสราเอล เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ . อิสราเอล เปิดฉากโจมตีป้อมปราการต่างๆของฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน เมื่อวันที่ 23 กันยายน ส่งผลให้นับตั้งแต่นั้นมีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 1,150 รายและอีกมากกว่า 1 ล้านคนต้องหลบหนี . การโจมตีส่วนใหญ่ของอิสราเอลเล็งเป้าหมายเล่นงานป้อมปราการต่างๆของฮิซบอลเลาะห์ ทางใต้และทางตะวันออกของเลบานอน เช่นเดียวกับทางใต้ของกรุงเบรุต แต่ล่าสุดตามแนวชายฝั่งก็ไม่รอดพ้นเช่นกัน หลังประกาศเตือนอพยพล่าสุดของอิสราเอล บ่งชี้ว่าพวกเขากำลังขยายปฏิบัติการรุกรานไปยังทิศเหนือด้วย . หนึ่งวันก่อนหน้านี้ กองทัพอิสราเอลเตือนประชาชนให้อยู่ห่างจากพื้นที่ทางใต้ของแนวชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของเลบานอน โดยทางโฆษกบอกว่าอิสราเอล "จะปฏิบัติการในพื้นที่ทางทะเลจัดการกับความเคลื่อนไหวก่อการร้ายของพวกฮิซบอลเลาะห์ บริเวณทางใต้ของแม่น้ำอาวาลี เร็วๆนี้" . รองหัวหน้าฮิซบอลเลาะห์ บอกว่าการโจมตีของอิสราเอลได้สร้างความเจ็บปาด แต่โครงสร้างผู้นำของกลุ่มยังคงปฏิบัติการต่อไปได้และศักยภาพด้านการทหารของพวกเขายังคงไม่เป็นไร . อย่างไรก็ตาม โยอาฟ กัลแลนท์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล เชื่อว่าฮิซบอลเลาะห์กำลังสั่นสะท้านและเป็นองค์กรที่แตกสลาย ที่ไม่เหลือสายบังคับบัญชาสำคัญๆและแสนยานุภาพการโจมตี ขณะที่โครงสร้างผู้นำอยู่ในภาวะพังครืน หลังจาก ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ถูกกำจัด" . กัลแลนท์ มีกำหนดเดินทางเยือนวอชิงตัน เพื่อพูดคุยหารือกับ ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯในวันพุธ(9ต.ค.) ซึ่งคาดหมายว่าจะมุ่งเน้นไปที่แนวทางการตอบโต้ของอิสราเอล ต่อกรณีที่ถูกอิหร่านยิงห่าขีปนาวุธโจมตีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว . อย่างไรก็ตามเพนตากอน ยืนยันว่าการเดินทางเยือนดังกล่าวถูกเลื่อนออกไปแล้ว หลังสื่อมวลชนอิสราเอลรายงานว่า เนทันยาฮู ต้องการให้คณะรัฐมนนตรีทำการตัดสินใจในเรื่องแนวทางการตอบโต้ให้ได้ก่อนที่รัฐมนตรีต่างประเทศจะออกเดินทางเยือนวอชิงตัน . การสู้รบที่ขยายวงกว้างมีขึ้น 1 วันหลังจากอิสราเอลและประชาชนทั่วโลก รำลึกวาระครบรอบ 1 ปี ของเหตุการณ์พวกนักรบฮามาสบุกจู่โจมเล่นงานอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีก่อน สังหารผู้คนไปราวๆ 1,200 รายและจับตัวประกันไปประมาณ 251 คน ในนั้น 97 คน ยังคงถูกคุมตัวในกาซา แต่กองทัพอิสราเอลเชื่อว่า มี 34 รายในนั้น เสียชีวิตแล้ว . ปฏิบัติการรุกรานทางทหารแก้แค้นของอิสราเอล ได้สังหารผู้คนในกาซาไปแล้วอย่างน้อย 41,965 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน . นับตั้งแต่นั้นความขัดแย้งได้ลุกลามไปเกือบทั่วภูมิภาค โดยกองกำลังอิสราเอลสู้รบกับกลุ่มต่างๆที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ทั้งในเลบานอน เยเมนและซีเรีย . หนึ่งปีนับตั้งแต่อิสราเอล เปิดปฏิบัติการรุกรานทางทหารเข้าไปยังกาซา พื้นที่อันกว้างขวางในดินแดนแห่งนี้กลายสภาพเหลือแต่ซากหักพัง และประชากรเกือบทุกคน จากทั้งหมด 2.4 ล้านคน ต้องพลัดถิ่นอย่างน้อย 1 รอบ . คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศเปิดเผยว่าหลังจากสงครามลากยาวมากว่า 1 ปี พลเมืองในกาซายังคงใช้ชีวิตอยู่ตามศูนย์พักพิงที่ง่อนแง่น และประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร . ในวันอังคาร(8ต.ค.) สำนักงานป้องกันพลเรือนของฉนวนแห่งนี้ เปิดเผยว่าอิสราเอลได้โจมตีถล่มค่ายผู้ลี้ภัยแห่งหนึ่ง ในย่านใจกลางกาซา ปลิดชีพผู้คนไปอีกอย่างน้อย 17 ราย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000096125 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    7
    0 Comments 0 Shares 1244 Views 0 Reviews
  • เผยในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา อเมริกาอัดฉีดความช่วยเหลือทางทหารให้อิสราเอล ซึ่งกำลังทำสงครามหฤโหดในฉนวนกาซา และเวลานี้ขยายวงสู่เลบานอน เป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 17,900 ล้านดอลลาร์เป็นอย่างต่ำ ไม่รวมค่าใช้จ่ายอีก 4,860 ล้านดอลลาร์ในการเสริมปฏิบัติการทางทหารของตนเองในตะวันออกกลาง ที่รวมถึงการจัดการกลุ่มกบฏฮูตีที่ลอบโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดง
    .
    รายงานจากโครงการค่าใช้จ่ายสงคราม (Costs of War project) ของมหาวิทยาลัยบราวน์ ในสหรัฐฯ ที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (7 ต.ค.) เนื่องในวาระครบรอบ 1 ปีที่นักรบฮามาสจู่โจมบุกอิสราเอล ถือเป็นรายงานฉบับแรกที่มีการประเมินมูลค่าความช่วยเหลือที่อเมริกาให้อิสราเอล ขณะที่คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ให้การสนับสนุนอิสราเอลในการสู้รบในกาซาและเลบานอน และพยายามจำกัดการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธที่เป็นพันธมิตรของอิหร่านภายในตะวันออกกลาง
    .
    ตัวเลขทางการเงินเหล่านี้ยังไม่รวมความสูญเสียด้านชีวิตมนุษย์ ทั้งเหยื่อกว่า 1,200 คนที่ถูกฮามาสสังหารระหว่างการบุกโจมตีอิสราเอลชนิดช็อกโลกเมื่อปีที่แล้ว พร้อมจับตัวประกัน 250 คนกลับไปคุมขังในกาซา และผู้เสียชีวิตเกือบ 42,000 คนในกาซาจากปฏิบัติการล้างแค้นของอิสราเอล
    .
    นอกจากนั้นยังมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1,400 คนในเลบานอน ซึ่งมีทั้งนักรบฮิซบอลเลาะห์และพลเรือน นับจากอิสราเอลขยายการโจมตีเข้าสู่ประเทศนี้เมื่อปลายเดือนที่แล้ว
    .
    ค่าใช้จ่ายทางการเงินในรายงานฉบับนี้ที่จัดทำแล้วเสร็จก่อนที่อิสราเอลจะเปิดแนวรบที่สองในเลบานอนนั้น คำนวณโดย ลินดา เจ. บิลม์ส ศาสตราจารย์จากวิทยาลัยรัฐกิจ จอห์น เอฟ. เคนเนดี ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่เคยศึกษาประเมินค่าใช้จ่ายในสงครามทั้งหมดของอเมริกา นับจากวินาศกรรม 11 ก.ย. 2001 และนักวิจัยอีก 2 คนคือ วิลเลียม ดี. ฮาร์เติง และสตีเฟน เซมเลอร์ โดยมีรายละเอียดคร่าวๆ ดังต่อไปนี้:
    .
    ความช่วยเหลือทางทหารสูงสุดเป็นประวัติการณ์
    .
    อิสราเอลที่ได้รับการอุปถัมภ์จากอเมริกานับจากก่อตั้งประเทศในปี 1948 เป็นประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือทางทหารจากอเมริกามูลค่าสูงสุดคือ 251,200 ล้านดอลลาร์ นับจากปี 1959 เป็นต้นมา ทั้งนี้เมื่อปรับตัวเลขตามอัตราเงินเฟ้อ
    .
    ขณะที่ ความช่วยเหลือ 17,900 ล้านดอลลาร์ที่ปรับตัวเลขตามอัตราเงินเฟ้อแล้ว ซึ่งอเมริกามอบให้นับจากวันที่ 7 ต.ค. 2023 ถือเป็นความช่วยเหลือทางทหารมูลค่าสูงสุดที่อัดฉีดให้อิสราเอลในปีเดียว
    .
    ทั้งนี้ อเมริกามีพันธะกรณีในการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่อิสราเอลและอียิปต์ปีละหลายพันล้านดอลลาร์นับจากที่สองประเทศนี้ลงนามสนธิสัญญาสันติภาพที่วอชิงตันเป็นตัวกลางเมื่อปี 1979 นอกจากนั้น ในเวลาต่อมา คณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ยังทำข้อตกลงให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่อิสราเอลปีละ 3,800 ล้านดอลลาร์จนถึงปี 2028
    .
    ความช่วยเหลือของอเมริกานับจากสงครามกาซาปะทุขึ้นนี้ ครอบคลุมถึงการให้เงินสนับสนุนทางการทหาร การขายอาวุธ อาวุธจากคลังสำรองของอเมริกาและอาวุธยุทโธปกรณ์มือสอง รวมเป็นมูลค่าอย่างน้อย 4,400 ล้านดอลลาร์
    .
    อาวุธจำนวนมากที่อเมริกาส่งมอบให้อิสราเอลในรอบปีที่ผ่านมาคือพวกเครื่องกระสุน ตั้งแต่กระสุนปืนใหญ่จนถึงระเบิดบังเกอร์บัสเตอร์เจาะพื้นดินขนาด 2,000 ปอนด์ และระเบิดนำวิถี
    .
    นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่าย 4,000 ล้านดอลลาร์สำหรับการฟื้นคืนความสมบูรณ์ของระบบป้องกันภัยทางอากาศ “ไอออนโดม” และระบบป้องกันขีปนาวุธ “เดวิดส์ สลิง” ของอิสราเอล ตลอดจนการจัดซื้อปืนไรเฟิลจู่โจม และเชื้อเพลิงเครื่องบิน
    .
    อย่างไรก็ดี นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่า พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงรายละเอียดที่ครบถ้วนเกี่ยวกับสิ่งที่อเมริกาจัดส่งให้อิสราเอลนับจากวันที่ 7 ต.ค. ปีที่แล้ว ดังนั้น ตัวเลข 17,900 ล้านดอลลาร์จึงเป็นเพียงมูลค่าความช่วยเหลือส่วนหนึ่งเท่านั้น และสำทับว่า คณะบริหารของไบเดนพยายามปิดบังมูลค่าความช่วยเหลือทั้งหมดและประเภทอาวุธที่จัดหาให้อิสราเอลผ่านขั้นตอนการดำเนินการของระบบราชการ
    .
    ปฏิบัติการทางทหารของอเมริกาเองในตะวันออกกลาง
    .
    คณะบริหารของไบเดนยังเสริมแสนยานุภาพทางทหารของอเมริกาเองในตะวันออกกลางนับตั้งแต่สงครามกาซาเริ่มต้นขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องปรามและตอบโต้พวกที่เข้าโจมตีกองกำลังอิสราเอลและอเมริกา
    .
    ปฏิบัติการเพิ่มเติมเหล่านี้มีมูลค่าอย่างน้อย 4,860 ล้านดอลลาร์
    .
    ทั้งนี้ อเมริกามีทหาร 34,000 นายในภูมิภาคนี้ ณ วันที่ฮามาสบุกโจมตีอิสราเอล และจากนั้นได้เพิ่มเป็นราว 50,000 นายในเดือนสิงหาคม เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำเข้าประจำการในตะวันออกกลางเพื่อป้องปรามการล้างแค้นอิสราเอล หลังจาก อิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำฝ่ายการเมืองของฮามาสถูกสังหารในอิหร่าน และปัจจุบันอเมริกามีทหารประจำอยู่ราว 43,000 นาย
    .
    การสู้รบกับฮูตี
    .
    นับจากสงครามกาซาเริ่มต้น กองทัพอเมริกายังพยายามตอบโต้การโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดงของกบฏฮูตีในเยเมน โดยนักวิจัยระบุว่า อเมริกามีค่าใช้จ่าย 4,860 ล้านดอลลาร์สำหรับ “ความท้าทายอสมมาตรที่ซับซ้อน ราคาแพง และคาดไม่ถึง” และถือเป็นปฏิบัติการสู้รบที่ตึงเครียดที่สุดที่กองทัพเรือสหรัฐฯ เผชิญมานับจากสงครามโลกครั้งที่ 2
    .
    นักวิจัยเสริมว่า อเมริกาส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือพิฆาต เรือลาดตระเวน และขีปนาวุธราคาหลายล้านดอลลาร์ไปต่อสู้กับโดรนของฮูตีที่ผลิตในอิหร่านราคาแค่ลำละ 2,000 ดอลลาร์
    .
    การคำนวณของนักวิจัยกลุ่มนี้ยังรวมถึงเงินค่าสู้รบที่เพิ่มเติมขึ้นมาอย่างน้อย 55 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสหรัฐฯต้องจ่ายมากขึ้นสืบเนื่องจากปฏิบัติการที่เข้มข้นในตะวันออกกลาง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000095609
    ..............
    Sondhi X
    เผยในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา อเมริกาอัดฉีดความช่วยเหลือทางทหารให้อิสราเอล ซึ่งกำลังทำสงครามหฤโหดในฉนวนกาซา และเวลานี้ขยายวงสู่เลบานอน เป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 17,900 ล้านดอลลาร์เป็นอย่างต่ำ ไม่รวมค่าใช้จ่ายอีก 4,860 ล้านดอลลาร์ในการเสริมปฏิบัติการทางทหารของตนเองในตะวันออกกลาง ที่รวมถึงการจัดการกลุ่มกบฏฮูตีที่ลอบโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดง . รายงานจากโครงการค่าใช้จ่ายสงคราม (Costs of War project) ของมหาวิทยาลัยบราวน์ ในสหรัฐฯ ที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (7 ต.ค.) เนื่องในวาระครบรอบ 1 ปีที่นักรบฮามาสจู่โจมบุกอิสราเอล ถือเป็นรายงานฉบับแรกที่มีการประเมินมูลค่าความช่วยเหลือที่อเมริกาให้อิสราเอล ขณะที่คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ให้การสนับสนุนอิสราเอลในการสู้รบในกาซาและเลบานอน และพยายามจำกัดการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธที่เป็นพันธมิตรของอิหร่านภายในตะวันออกกลาง . ตัวเลขทางการเงินเหล่านี้ยังไม่รวมความสูญเสียด้านชีวิตมนุษย์ ทั้งเหยื่อกว่า 1,200 คนที่ถูกฮามาสสังหารระหว่างการบุกโจมตีอิสราเอลชนิดช็อกโลกเมื่อปีที่แล้ว พร้อมจับตัวประกัน 250 คนกลับไปคุมขังในกาซา และผู้เสียชีวิตเกือบ 42,000 คนในกาซาจากปฏิบัติการล้างแค้นของอิสราเอล . นอกจากนั้นยังมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1,400 คนในเลบานอน ซึ่งมีทั้งนักรบฮิซบอลเลาะห์และพลเรือน นับจากอิสราเอลขยายการโจมตีเข้าสู่ประเทศนี้เมื่อปลายเดือนที่แล้ว . ค่าใช้จ่ายทางการเงินในรายงานฉบับนี้ที่จัดทำแล้วเสร็จก่อนที่อิสราเอลจะเปิดแนวรบที่สองในเลบานอนนั้น คำนวณโดย ลินดา เจ. บิลม์ส ศาสตราจารย์จากวิทยาลัยรัฐกิจ จอห์น เอฟ. เคนเนดี ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่เคยศึกษาประเมินค่าใช้จ่ายในสงครามทั้งหมดของอเมริกา นับจากวินาศกรรม 11 ก.ย. 2001 และนักวิจัยอีก 2 คนคือ วิลเลียม ดี. ฮาร์เติง และสตีเฟน เซมเลอร์ โดยมีรายละเอียดคร่าวๆ ดังต่อไปนี้: . ความช่วยเหลือทางทหารสูงสุดเป็นประวัติการณ์ . อิสราเอลที่ได้รับการอุปถัมภ์จากอเมริกานับจากก่อตั้งประเทศในปี 1948 เป็นประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือทางทหารจากอเมริกามูลค่าสูงสุดคือ 251,200 ล้านดอลลาร์ นับจากปี 1959 เป็นต้นมา ทั้งนี้เมื่อปรับตัวเลขตามอัตราเงินเฟ้อ . ขณะที่ ความช่วยเหลือ 17,900 ล้านดอลลาร์ที่ปรับตัวเลขตามอัตราเงินเฟ้อแล้ว ซึ่งอเมริกามอบให้นับจากวันที่ 7 ต.ค. 2023 ถือเป็นความช่วยเหลือทางทหารมูลค่าสูงสุดที่อัดฉีดให้อิสราเอลในปีเดียว . ทั้งนี้ อเมริกามีพันธะกรณีในการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่อิสราเอลและอียิปต์ปีละหลายพันล้านดอลลาร์นับจากที่สองประเทศนี้ลงนามสนธิสัญญาสันติภาพที่วอชิงตันเป็นตัวกลางเมื่อปี 1979 นอกจากนั้น ในเวลาต่อมา คณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ยังทำข้อตกลงให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่อิสราเอลปีละ 3,800 ล้านดอลลาร์จนถึงปี 2028 . ความช่วยเหลือของอเมริกานับจากสงครามกาซาปะทุขึ้นนี้ ครอบคลุมถึงการให้เงินสนับสนุนทางการทหาร การขายอาวุธ อาวุธจากคลังสำรองของอเมริกาและอาวุธยุทโธปกรณ์มือสอง รวมเป็นมูลค่าอย่างน้อย 4,400 ล้านดอลลาร์ . อาวุธจำนวนมากที่อเมริกาส่งมอบให้อิสราเอลในรอบปีที่ผ่านมาคือพวกเครื่องกระสุน ตั้งแต่กระสุนปืนใหญ่จนถึงระเบิดบังเกอร์บัสเตอร์เจาะพื้นดินขนาด 2,000 ปอนด์ และระเบิดนำวิถี . นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่าย 4,000 ล้านดอลลาร์สำหรับการฟื้นคืนความสมบูรณ์ของระบบป้องกันภัยทางอากาศ “ไอออนโดม” และระบบป้องกันขีปนาวุธ “เดวิดส์ สลิง” ของอิสราเอล ตลอดจนการจัดซื้อปืนไรเฟิลจู่โจม และเชื้อเพลิงเครื่องบิน . อย่างไรก็ดี นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่า พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงรายละเอียดที่ครบถ้วนเกี่ยวกับสิ่งที่อเมริกาจัดส่งให้อิสราเอลนับจากวันที่ 7 ต.ค. ปีที่แล้ว ดังนั้น ตัวเลข 17,900 ล้านดอลลาร์จึงเป็นเพียงมูลค่าความช่วยเหลือส่วนหนึ่งเท่านั้น และสำทับว่า คณะบริหารของไบเดนพยายามปิดบังมูลค่าความช่วยเหลือทั้งหมดและประเภทอาวุธที่จัดหาให้อิสราเอลผ่านขั้นตอนการดำเนินการของระบบราชการ . ปฏิบัติการทางทหารของอเมริกาเองในตะวันออกกลาง . คณะบริหารของไบเดนยังเสริมแสนยานุภาพทางทหารของอเมริกาเองในตะวันออกกลางนับตั้งแต่สงครามกาซาเริ่มต้นขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องปรามและตอบโต้พวกที่เข้าโจมตีกองกำลังอิสราเอลและอเมริกา . ปฏิบัติการเพิ่มเติมเหล่านี้มีมูลค่าอย่างน้อย 4,860 ล้านดอลลาร์ . ทั้งนี้ อเมริกามีทหาร 34,000 นายในภูมิภาคนี้ ณ วันที่ฮามาสบุกโจมตีอิสราเอล และจากนั้นได้เพิ่มเป็นราว 50,000 นายในเดือนสิงหาคม เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำเข้าประจำการในตะวันออกกลางเพื่อป้องปรามการล้างแค้นอิสราเอล หลังจาก อิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำฝ่ายการเมืองของฮามาสถูกสังหารในอิหร่าน และปัจจุบันอเมริกามีทหารประจำอยู่ราว 43,000 นาย . การสู้รบกับฮูตี . นับจากสงครามกาซาเริ่มต้น กองทัพอเมริกายังพยายามตอบโต้การโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดงของกบฏฮูตีในเยเมน โดยนักวิจัยระบุว่า อเมริกามีค่าใช้จ่าย 4,860 ล้านดอลลาร์สำหรับ “ความท้าทายอสมมาตรที่ซับซ้อน ราคาแพง และคาดไม่ถึง” และถือเป็นปฏิบัติการสู้รบที่ตึงเครียดที่สุดที่กองทัพเรือสหรัฐฯ เผชิญมานับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 . นักวิจัยเสริมว่า อเมริกาส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือพิฆาต เรือลาดตระเวน และขีปนาวุธราคาหลายล้านดอลลาร์ไปต่อสู้กับโดรนของฮูตีที่ผลิตในอิหร่านราคาแค่ลำละ 2,000 ดอลลาร์ . การคำนวณของนักวิจัยกลุ่มนี้ยังรวมถึงเงินค่าสู้รบที่เพิ่มเติมขึ้นมาอย่างน้อย 55 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสหรัฐฯต้องจ่ายมากขึ้นสืบเนื่องจากปฏิบัติการที่เข้มข้นในตะวันออกกลาง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000095609 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    6
    0 Comments 0 Shares 1002 Views 0 Reviews
  • กรณีศึกษา : คนร้ายบุกบ้านจับตัวประกัน

    เหตุการณ์ที่นายสันติ เจ๊ะอะหลี อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาหลบหนีการจับกุมของตำรวจ ปีนเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ภายในซอยอินทามาระ 29 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ เมื่อคืนวันที่ 3 ต.ค. 2567 ภายในบ้านมีแม่และลูกชาย 2 คน มีการนำเสนอข่าวว่ามีการจับตัวประกัน โดยมีแม่พักอยู่กับลูกชาย 2 คน แต่พบว่าแม่หลบหนีออกมาตั้งแต่ช่วงแรกที่เกิดเหตุ ส่วนลูกชายทั้งสองคนอยู่ภายในห้อง จากนั้นสถานการณ์คลี่คลายเมื่อเวลาประมาณ 00.50 น. วันที่ 4 ต.ค. 2567

    พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. (ขณะนั้น) ระบุว่า คนร้ายไม่ได้จับใครเป็นตัวประกัน ไม่มีตำรวจได้รับบาดเจ็บจากการปะทะ ส่วนคนในบ้านทั้งสองคนเป็นหมอ สภาพจิตใจค่อนข้างดีมาก ขณะเกิดเหตุหมอทั้ง 2 คนอยู่ในห้อง ตำรวจแนะนำว่าให้ล็อกห้องและหาอะไรดันเอาไว้ อย่าอยู่ในแนวของประตู ซึ่งทั้งสองก็ให้ความร่วมมือดี และขวัญกำลังใจดีมาก ส่วนผู้ต้องหาพบว่าหลบหนีไปผ่านทางช่องระบายอากาศ ช่องทางเดียวกับที่เข้ามาตอนแรก ก่อนปีนออกไปที่หลังบ้าน

    เหตุการณ์ผ่านไป 3 วัน ในที่สุดวันที่ 7 ต.ค. 2567 ตำรวจ สภ.โพธิ์กลาง จ.นครราชสีมา ได้รับการประสานจาก สน.เตาปูน สกัดจับรถแท็กซี่ต้องสงสัย ที่นายสันติจ้างให้ไปส่งที่จังหวัดอำนาจเจริญในราคา 8,000 บาท นายสันติวิ่งหนีออกจากรถ แต่สะดุดล้มได้รับบาดเจ็บ ตำรวจจับกุมเอาไว้ได้ ตอนหนึ่งเจ้าตัวกล่าวว่า ที่ยิงสวนตำรวจเพราะเปิดทางเพื่อหนีเท่านั้น ส่วนที่เข้าไปที่บ้านของตัวประกัน อ้างว่าแค่หิวน้ำเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจับตัวประกัน และถ้าหมอเปิดประตูออกมา ก็คงจับเป็นตัวประกัน

    บทเรียนจากเหตุโจรขึ้นบ้าน นอกจากหมั่นล็อกประตูบ้านทุกครั้งแล้ว อาจเสริมความแข็งแรงให้กับบ้าน ด้วยการสร้างรั้วให้สูงขึ้น อาจมีเหล็กแหลมด้านบนกำแพงเพื่อป้องกันคนร้ายปีนขึ้นไป ติดตั้งเหล็กดัดที่ประตู หน้าต่าง รวมทั้งช่องระบายอากาศ ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยในบ้าน เช่น กล้องวงจรปิด (CCTV) สัญญาณเตือนผู้บุกรุก จัดภูมิทัศน์รอบบ้านเพื่อลดจุดอับสายตา ติดตั้งไฟส่องสว่างรอบบ้าน รวมทั้งเลี้ยงสุนัขพันธุ์ใหญ่ไว้เฝ้าบ้าน

    กรณีที่มีคนร้ายเข้ามาในบ้าน จับคนในบ้านเป็นตัวประกัน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือต่อรองกับตำรวจ ช่วงแรกคนร้ายจะอยู่ในภาวะตึงเครียด หากตกอยู่ในเหตุการณ์แล้วหลบหนีไม่ทัน ให้พยายามตั้งสติ อยู่ในความสงบ ไม่ตื่นตระหนก ไม่ต่อสู้ขัดขืน อย่าพยายามหลบหนีด้วยตัวเอง สังเกตลักษณะของคนร้ายให้ได้มากที่สุด เช่น รูปร่าง หน้าตา เสื้อผ้า อาวุธ เส้นทางหลบหนี แล้วรอจังหวะตำรวจเข้าช่วยเหลือ

    #Newskit #อินทามาระ29 #จับตัวประกัน
    กรณีศึกษา : คนร้ายบุกบ้านจับตัวประกัน เหตุการณ์ที่นายสันติ เจ๊ะอะหลี อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาหลบหนีการจับกุมของตำรวจ ปีนเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ภายในซอยอินทามาระ 29 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ เมื่อคืนวันที่ 3 ต.ค. 2567 ภายในบ้านมีแม่และลูกชาย 2 คน มีการนำเสนอข่าวว่ามีการจับตัวประกัน โดยมีแม่พักอยู่กับลูกชาย 2 คน แต่พบว่าแม่หลบหนีออกมาตั้งแต่ช่วงแรกที่เกิดเหตุ ส่วนลูกชายทั้งสองคนอยู่ภายในห้อง จากนั้นสถานการณ์คลี่คลายเมื่อเวลาประมาณ 00.50 น. วันที่ 4 ต.ค. 2567 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. (ขณะนั้น) ระบุว่า คนร้ายไม่ได้จับใครเป็นตัวประกัน ไม่มีตำรวจได้รับบาดเจ็บจากการปะทะ ส่วนคนในบ้านทั้งสองคนเป็นหมอ สภาพจิตใจค่อนข้างดีมาก ขณะเกิดเหตุหมอทั้ง 2 คนอยู่ในห้อง ตำรวจแนะนำว่าให้ล็อกห้องและหาอะไรดันเอาไว้ อย่าอยู่ในแนวของประตู ซึ่งทั้งสองก็ให้ความร่วมมือดี และขวัญกำลังใจดีมาก ส่วนผู้ต้องหาพบว่าหลบหนีไปผ่านทางช่องระบายอากาศ ช่องทางเดียวกับที่เข้ามาตอนแรก ก่อนปีนออกไปที่หลังบ้าน เหตุการณ์ผ่านไป 3 วัน ในที่สุดวันที่ 7 ต.ค. 2567 ตำรวจ สภ.โพธิ์กลาง จ.นครราชสีมา ได้รับการประสานจาก สน.เตาปูน สกัดจับรถแท็กซี่ต้องสงสัย ที่นายสันติจ้างให้ไปส่งที่จังหวัดอำนาจเจริญในราคา 8,000 บาท นายสันติวิ่งหนีออกจากรถ แต่สะดุดล้มได้รับบาดเจ็บ ตำรวจจับกุมเอาไว้ได้ ตอนหนึ่งเจ้าตัวกล่าวว่า ที่ยิงสวนตำรวจเพราะเปิดทางเพื่อหนีเท่านั้น ส่วนที่เข้าไปที่บ้านของตัวประกัน อ้างว่าแค่หิวน้ำเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจับตัวประกัน และถ้าหมอเปิดประตูออกมา ก็คงจับเป็นตัวประกัน บทเรียนจากเหตุโจรขึ้นบ้าน นอกจากหมั่นล็อกประตูบ้านทุกครั้งแล้ว อาจเสริมความแข็งแรงให้กับบ้าน ด้วยการสร้างรั้วให้สูงขึ้น อาจมีเหล็กแหลมด้านบนกำแพงเพื่อป้องกันคนร้ายปีนขึ้นไป ติดตั้งเหล็กดัดที่ประตู หน้าต่าง รวมทั้งช่องระบายอากาศ ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยในบ้าน เช่น กล้องวงจรปิด (CCTV) สัญญาณเตือนผู้บุกรุก จัดภูมิทัศน์รอบบ้านเพื่อลดจุดอับสายตา ติดตั้งไฟส่องสว่างรอบบ้าน รวมทั้งเลี้ยงสุนัขพันธุ์ใหญ่ไว้เฝ้าบ้าน กรณีที่มีคนร้ายเข้ามาในบ้าน จับคนในบ้านเป็นตัวประกัน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือต่อรองกับตำรวจ ช่วงแรกคนร้ายจะอยู่ในภาวะตึงเครียด หากตกอยู่ในเหตุการณ์แล้วหลบหนีไม่ทัน ให้พยายามตั้งสติ อยู่ในความสงบ ไม่ตื่นตระหนก ไม่ต่อสู้ขัดขืน อย่าพยายามหลบหนีด้วยตัวเอง สังเกตลักษณะของคนร้ายให้ได้มากที่สุด เช่น รูปร่าง หน้าตา เสื้อผ้า อาวุธ เส้นทางหลบหนี แล้วรอจังหวะตำรวจเข้าช่วยเหลือ #Newskit #อินทามาระ29 #จับตัวประกัน
    Like
    8
    0 Comments 1 Shares 387 Views 0 Reviews
  • ชายคนหนึ่งพยายามจุดไฟเผาตัวเองระหว่างการชุมนุมที่กรุงวอชิงตันเรียกร้องอเมริกายุติการช่วยเหลืออิสราเอลเมื่อวันเสาร์ (5 ต.ค.) นอกจากนั้น ยังมีผู้คนหลายหมื่นชุมนุมตามเมืองใหญ่ๆ หลายแห่งทั่วโลก เรียกร้องให้ยุติสงครามนองเลือดในกาซาที่กำลังจะครบรอบ 1 ปี ในวันจันทร์ (7 ต.ค.) รวมทั้งการสู้รบที่กำลังลุกลามไปในตะวันออกกลาง
    .
    ที่กรุงลอนดอน ผู้สนับสนุนปาเลสไตน์ราว 40,000 คนเดินขบวนไปตามถนนใจกลางเมือง ขณะที่มีผู้ประท้วงจำนวนหลายพันคนรวมตัวกันในหลายเมืองหลวงของยุโรปอย่าง ปารีส โรม มาดริด เมืองหลวงของเอเชียอย่าง มะนิลา จาการ์ตา เมืองใหญ่ๆ ในออสเตรเลียอย่างซิดนีย์ เมืองใหญ่ในแอฟริกา อย่างเคป ทาวน์ ของแอฟริกาใต้ และเมืองหลวงของอเมริกาใต้อย่างบัวโนสไอเรส ตลอดจนหลายเมืองของสหรัฐฯ อย่างนิวยอร์กซิตี้ และกรุงวอชิงตัน โดยที่เมืองหลวงสหรัฐฯ นั้นมีการชุมนุมใกล้ทำเนียบขาวเพื่อประท้วงที่อเมริกายังคงให้การสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลทั้งในกาซาและเลบานอน
    .
    การสู้รบนองเลือดและการเข่นฆ่าพลเรือนกันอย่างไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์ทางมนุษยธรรมครั้งล่าสุดนี้ เปิดฉากขึ้นด้วยการสู้รบขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ซึ่งปะทุจากเหตุการณ์กลุ่มนักรบฮามาสบุกข้ามแดนเข้าไปโจมตีทางใต้ของอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ปีที่แล้ว สังหารเหยื่อ 1,200 คน และจับตัวประกันราว 250 คนกลับไปคุมขังในกาซา แล้วอิสราเอลตอบโต้ทันทีด้วยการเปิดปฏิบัติการถล่มโจมตีทางอากาศและการใช้กำลังทหารรุกทางภาคพื้นดินในดินแดนฉนวนกาซา ทำให้มีผู้เสียชีวิตจนถึงขณะนี้เกือบ 42,000 คน รวมทั้งมีชาวปาเลสไตน์เกือบ 2.3 ล้านคนต้องทิ้งบ้านเรือน ตลอดจนถูกกองทหารรัฐยิวสั่งอพยพโยกย้ายไปเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน นำไปสู่วิกฤตความอดอยาก และหลายฝ่ายตั้งข้อกล่าวหาอิสราเอลว่ามีพฤติการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จากนั้นกองทหารอิสราเอลยังปฏิบัติการกวาดล้างในระดับที่เบาบางลงมาในเขตเวสต์แบงก์ และล่าสุดในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐยิวได้เปิดการโจมตีทางอากาศ ตลอดจนส่งกำลังภาคพื้นดินบุกเข้าไปในเลบานอน
    .
    ในวันเสาร์ ที่กรุงวอชิงตัน ผู้ประท้วงที่โกรธแค้นกว่าพันคนชุมนุมหน้าทำเนียบขาว เรียกร้องให้อเมริกายุติการช่วยเหลือทางทหารและด้านอื่นๆ แก่อิสราเอล หลายคนชูธงปาเลสไตน์และเลบานอน
    .
    หลังจากการชุมนุมผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมง มีชายผู้หนึ่งได้เข้าไปยังบริเวณที่มีการชุมนุม และพยายามจุดไฟเผาตัวเอง เขาประสบความสำเร็จในการจุดไฟให้เผาไหม้แขนซ้ายของตัวเอง ก่อนถูกผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ และตำรวจเข้าไปช่วยดับไฟได้ทันและนำส่งโรงพยาบาล โดยมีอาการบาดเจ็บที่ตำรวจระบุว่า ไม่มีอันตรายถึงชีวิต
    .
    ที่นิวยอร์ก คนนับพันชุมนุมกันที่ย่านไทม์สแควร์ บางคนถือรูปผู้เสียชีวิตในการโจมตีกาซาของอิสราเอล นอกจากนี้ ยังมีผู้ประท้วงในลอสแองเจลิสเรียกร้องให้ยุติ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ในกาซา
    .
    สำหรับที่ลอนดอน แอ็กเนส คอรี หนึ่งในผู้เข้าร่วมประท้วงที่นี่บอกว่า รัฐบาลอิสราเอลไม่รับฟังความหวังดีจากทั่วโลก แต่กลับเดินหน้ากระทำการป่าเถื่อนโหดร้ายในกาซา และขยายไปยังเลบานอนและเยเมน นอกจากนั้นยังอาจลามไปถึงอิหร่าน ขณะที่รัฐบาลอังกฤษป่าวประกาศว่า ไม่เห็นด้วย ทว่า ยังคงป้อนอาวุธให้อิสราเอลเช่นเดิม
    .
    อย่างไรก็ดี มีกลุ่มต่อต้านการประท้วงยืนโบกธงชาติอิสราเอลในบางจุดที่ขบวนผู้สนับสนุนปาเลสไตน์เดินขบวนผ่าน และตำรวจเผยว่า มีผู้ถูกจับกุม 15 คน แต่ไม่ได้ระบุสาเหตุการจับกุม และไม่ได้ระบุว่า ผู้ถูกจับเป็นฝ่ายใด
    .
    ที่โรม อิตาลี ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาและฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าใส่ฝูงชนหลังมีการปะทะกับตำรวจ รายงานระบุว่า ผู้ประท้วงราว 6,000 คนฝ่าฝืนคำสั่งห้ามเดินขบวนในย่านใจกลางเมืองก่อนถึงวันครบรอบ 1 ปีการโจมตีอิสราเอลของฮามาส
    .
    ที่เบอร์ลิน ผู้ประท้วงราว 1,000 คนโบกธงปาเลสไตน์ พร้อมตะโกน “1 ปีของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” และมีการปะทะกับตำรวจ นอกจากนั้นยังมีการชุมนุมของกลุ่มประท้วงกระแสต่อต้านชาวยิวที่กำลังปะทุขึ้นในเยอรมนี
    .
    ในฝรั่งเศส ผู้คนหลายพันออกมาเดินขบวนในกรุงปารีส ลียง ตูลุส บอร์กโด และสตาร์สบูร์ก เพื่อแดสงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับชาวปาเลสไตน์
    .
    ที่กรุงมาดริด ผู้คนราว 5,000 คนเข้าร่วมการประท้วงเพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจชาวปาเลสไตน์ โดยถือป้ายเขียนข้อความอย่างเช่น “บอยคอตต์อิสราเอล”
    .
    ที่มะนิลา นักเคลื่อนไหวปะทะกับตำรวจปราบจลาจล หลังถูกห้ามไม่ให้ชุมนุมหน้าสถานเอกอัครราชทูตอเมริกาเพื่อแสดงการคัดค้านที่วอชิงตันสนับสนุนอิสราเอล
    .
    ที่จาการ์ตา ผู้สนับสนุนปาเลสไตน์อย่างน้อย 1,000 คนชุมนุมใกล้สถานเอกอัครราชทูตอเมริกาเมื่อเช้าวันอาทิตย์ (6 ต.ค.) เรียกร้องให้วอชิงตันยุติการจัดหาอาวุธให้อิสราเอล
    .
    รายงานยังคาดว่า จะยังคงมีการชุมนุมต่อต้านสงครามกาซาในหลายเมืองในวันอาทิตย์ (6 ต.ค.)
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000095168
    ..............
    Sondhi X
    ชายคนหนึ่งพยายามจุดไฟเผาตัวเองระหว่างการชุมนุมที่กรุงวอชิงตันเรียกร้องอเมริกายุติการช่วยเหลืออิสราเอลเมื่อวันเสาร์ (5 ต.ค.) นอกจากนั้น ยังมีผู้คนหลายหมื่นชุมนุมตามเมืองใหญ่ๆ หลายแห่งทั่วโลก เรียกร้องให้ยุติสงครามนองเลือดในกาซาที่กำลังจะครบรอบ 1 ปี ในวันจันทร์ (7 ต.ค.) รวมทั้งการสู้รบที่กำลังลุกลามไปในตะวันออกกลาง . ที่กรุงลอนดอน ผู้สนับสนุนปาเลสไตน์ราว 40,000 คนเดินขบวนไปตามถนนใจกลางเมือง ขณะที่มีผู้ประท้วงจำนวนหลายพันคนรวมตัวกันในหลายเมืองหลวงของยุโรปอย่าง ปารีส โรม มาดริด เมืองหลวงของเอเชียอย่าง มะนิลา จาการ์ตา เมืองใหญ่ๆ ในออสเตรเลียอย่างซิดนีย์ เมืองใหญ่ในแอฟริกา อย่างเคป ทาวน์ ของแอฟริกาใต้ และเมืองหลวงของอเมริกาใต้อย่างบัวโนสไอเรส ตลอดจนหลายเมืองของสหรัฐฯ อย่างนิวยอร์กซิตี้ และกรุงวอชิงตัน โดยที่เมืองหลวงสหรัฐฯ นั้นมีการชุมนุมใกล้ทำเนียบขาวเพื่อประท้วงที่อเมริกายังคงให้การสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลทั้งในกาซาและเลบานอน . การสู้รบนองเลือดและการเข่นฆ่าพลเรือนกันอย่างไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์ทางมนุษยธรรมครั้งล่าสุดนี้ เปิดฉากขึ้นด้วยการสู้รบขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ซึ่งปะทุจากเหตุการณ์กลุ่มนักรบฮามาสบุกข้ามแดนเข้าไปโจมตีทางใต้ของอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ปีที่แล้ว สังหารเหยื่อ 1,200 คน และจับตัวประกันราว 250 คนกลับไปคุมขังในกาซา แล้วอิสราเอลตอบโต้ทันทีด้วยการเปิดปฏิบัติการถล่มโจมตีทางอากาศและการใช้กำลังทหารรุกทางภาคพื้นดินในดินแดนฉนวนกาซา ทำให้มีผู้เสียชีวิตจนถึงขณะนี้เกือบ 42,000 คน รวมทั้งมีชาวปาเลสไตน์เกือบ 2.3 ล้านคนต้องทิ้งบ้านเรือน ตลอดจนถูกกองทหารรัฐยิวสั่งอพยพโยกย้ายไปเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน นำไปสู่วิกฤตความอดอยาก และหลายฝ่ายตั้งข้อกล่าวหาอิสราเอลว่ามีพฤติการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จากนั้นกองทหารอิสราเอลยังปฏิบัติการกวาดล้างในระดับที่เบาบางลงมาในเขตเวสต์แบงก์ และล่าสุดในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐยิวได้เปิดการโจมตีทางอากาศ ตลอดจนส่งกำลังภาคพื้นดินบุกเข้าไปในเลบานอน . ในวันเสาร์ ที่กรุงวอชิงตัน ผู้ประท้วงที่โกรธแค้นกว่าพันคนชุมนุมหน้าทำเนียบขาว เรียกร้องให้อเมริกายุติการช่วยเหลือทางทหารและด้านอื่นๆ แก่อิสราเอล หลายคนชูธงปาเลสไตน์และเลบานอน . หลังจากการชุมนุมผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมง มีชายผู้หนึ่งได้เข้าไปยังบริเวณที่มีการชุมนุม และพยายามจุดไฟเผาตัวเอง เขาประสบความสำเร็จในการจุดไฟให้เผาไหม้แขนซ้ายของตัวเอง ก่อนถูกผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ และตำรวจเข้าไปช่วยดับไฟได้ทันและนำส่งโรงพยาบาล โดยมีอาการบาดเจ็บที่ตำรวจระบุว่า ไม่มีอันตรายถึงชีวิต . ที่นิวยอร์ก คนนับพันชุมนุมกันที่ย่านไทม์สแควร์ บางคนถือรูปผู้เสียชีวิตในการโจมตีกาซาของอิสราเอล นอกจากนี้ ยังมีผู้ประท้วงในลอสแองเจลิสเรียกร้องให้ยุติ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ในกาซา . สำหรับที่ลอนดอน แอ็กเนส คอรี หนึ่งในผู้เข้าร่วมประท้วงที่นี่บอกว่า รัฐบาลอิสราเอลไม่รับฟังความหวังดีจากทั่วโลก แต่กลับเดินหน้ากระทำการป่าเถื่อนโหดร้ายในกาซา และขยายไปยังเลบานอนและเยเมน นอกจากนั้นยังอาจลามไปถึงอิหร่าน ขณะที่รัฐบาลอังกฤษป่าวประกาศว่า ไม่เห็นด้วย ทว่า ยังคงป้อนอาวุธให้อิสราเอลเช่นเดิม . อย่างไรก็ดี มีกลุ่มต่อต้านการประท้วงยืนโบกธงชาติอิสราเอลในบางจุดที่ขบวนผู้สนับสนุนปาเลสไตน์เดินขบวนผ่าน และตำรวจเผยว่า มีผู้ถูกจับกุม 15 คน แต่ไม่ได้ระบุสาเหตุการจับกุม และไม่ได้ระบุว่า ผู้ถูกจับเป็นฝ่ายใด . ที่โรม อิตาลี ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาและฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าใส่ฝูงชนหลังมีการปะทะกับตำรวจ รายงานระบุว่า ผู้ประท้วงราว 6,000 คนฝ่าฝืนคำสั่งห้ามเดินขบวนในย่านใจกลางเมืองก่อนถึงวันครบรอบ 1 ปีการโจมตีอิสราเอลของฮามาส . ที่เบอร์ลิน ผู้ประท้วงราว 1,000 คนโบกธงปาเลสไตน์ พร้อมตะโกน “1 ปีของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” และมีการปะทะกับตำรวจ นอกจากนั้นยังมีการชุมนุมของกลุ่มประท้วงกระแสต่อต้านชาวยิวที่กำลังปะทุขึ้นในเยอรมนี . ในฝรั่งเศส ผู้คนหลายพันออกมาเดินขบวนในกรุงปารีส ลียง ตูลุส บอร์กโด และสตาร์สบูร์ก เพื่อแดสงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับชาวปาเลสไตน์ . ที่กรุงมาดริด ผู้คนราว 5,000 คนเข้าร่วมการประท้วงเพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจชาวปาเลสไตน์ โดยถือป้ายเขียนข้อความอย่างเช่น “บอยคอตต์อิสราเอล” . ที่มะนิลา นักเคลื่อนไหวปะทะกับตำรวจปราบจลาจล หลังถูกห้ามไม่ให้ชุมนุมหน้าสถานเอกอัครราชทูตอเมริกาเพื่อแสดงการคัดค้านที่วอชิงตันสนับสนุนอิสราเอล . ที่จาการ์ตา ผู้สนับสนุนปาเลสไตน์อย่างน้อย 1,000 คนชุมนุมใกล้สถานเอกอัครราชทูตอเมริกาเมื่อเช้าวันอาทิตย์ (6 ต.ค.) เรียกร้องให้วอชิงตันยุติการจัดหาอาวุธให้อิสราเอล . รายงานยังคาดว่า จะยังคงมีการชุมนุมต่อต้านสงครามกาซาในหลายเมืองในวันอาทิตย์ (6 ต.ค.) . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000095168 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Love
    16
    2 Comments 0 Shares 1200 Views 0 Reviews
  • อิสราเอลถล่มหนักทั้งเลบานอนและกาซา ขณะกองทัพประกาศเตรียมพร้อมเต็มอัตราศึกก่อนถึงวันครบรอบ 1 ปีเหตุการณ์ฮามาสบุกโจมตีเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ปีที่แล้ว รวมทั้งเตรียมพร้อมเอาคืนการโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่านเมื่อเร็วๆ นี้
    .
    พลเรือตรีแดเนียล ฮาการี โฆษกกองทัพอิสราเอล กล่าวเมื่อวันเสาร์ (5 ต.ค.) ว่า กองทัพเตรียมพร้อมและได้ระดมกำลังเพิ่มก่อนถึงวันครบรอบ 1 ปีการบุกโจมตีของฮามาสในวันจันทร์ (7 ต.ค.)
    .
    เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิต 1,205 คนในอิสราเอล ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน นอกจากนั้น ฮามาสยังจับตัวประกันราว 250 คนไปคุมขังในกาซา และผ่านมาหนึ่งปี สงครามการแก้แค้นของอิสราเอลในกาซายังคงดำเนินอยู่ และอิสราเอลยังขยายเป้าหมายไปโจมตีกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน
    .
    กองทัพอิสราเอลระบุว่า สังหารนักรบฮิซบอลเลาะห์ราว 440 คนจากปฏิบัติการบุกภาคพื้นดินและการโจมตีทางอากาศนับจากวันจันทร์ที่แล้ว (29 ก.ย.) ที่กองทัพเริ่มบุกภาคพื้นดินเข้าสู่เลบานอน โดยมีเป้าหมายเพื่อนำชาวอิสราเอลกลับคืนถิ่นฐานบริเวณชายแดนด้านเหนือติดกับเลบานอนอย่างปลอดภัย หลังจากต้องทิ้งไปเกือบปีเนื่องจากบริเวณดังกล่าวถูกฮิซบอลเลาะห์ระดมโจมตีด้วยจรวดอย่างต่อเนื่อง
    .
    ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีไอแซก เฮอร์ซ็อก ของอิสราเอล ประกาศว่า อิหร่านเป็น “ภัยคุกคามอย่างต่อเนื่อง” หลังจากเตหะรานที่ให้การสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธทั่วตะวันออกกลาง ยิงขีปนาวุธราว 200 ลูกโจมตีอิสราเอลเมื่อวันอังคารที่แล้ว (30 ก.ย.) เพื่อล้างแค้นที่อิสราเอลสังหารผู้นำระดับสูงหลายคนของฮิซบอลเลาะห์และฮามาส
    .
    การโจมตีดังกล่าวทำให้ชาวปาเลสไตน์ในเขตยึดครองเวสต์แบงก์เสียชีวิต 1 คน และฐานทัพอากาศอิสราเอลแห่งหนึ่งเสียหาย
    .
    เจ้าหน้าที่ทหารอิสราเอลคนหนึ่งเผยว่า กองทัพกำลังเตรียมการตอบโต้อิหร่าน
    .
    ทางด้านนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล ระบุว่าอิหร่านโจมตีดินแดนอิสราเอล 2 ครั้งด้วยขีปนาวุธหลายร้อยลูกนับจากเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา อิสราเอลจึงมีหน้าที่และมีสิทธิในการปกป้องตนเองและตอบโต้การโจมตีเหล่านั้น
    .
    ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวอาวุโสของฮิซบอลเลาะห์เปิดเผยเมื่อวันเสาร์ว่า ทางกลุ่มไม่สามารถติดต่อฮาเชม ซาฟิดดีน ที่คาดว่าจะได้รับแต่งตั้งเป็นผู้นำกลุ่มคนใหม่ หลังจากอิสราเอลโจมตีใกล้สนามบินนานาชาติในกรุงเบรุตของเลบานอนเมื่อวันศุกร์ (4 ต.ค.)
    .
    ทั้งนี้ ฮิซบอลเลาะห์ยังไม่ได้แต่งตั้งผู้นำใหม่แทนฮัสซัน นาสรัลเลาะห์ ที่เสียชีวิตเมื่อปลายเดือนที่แล้วจากการโจมตีครั้งใหญ่ในเบรุต
    .
    กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ยังเผยว่า นักรบของกลุ่มได้ปะทะกับกองทัพอิสราเอลบริเวณชายแดนทางใต้ของเลบานอน และอ้างว่า สามารถขับไล่ทหารอิสราเอลออกจากหมู่บ้านชายแดนแห่งหนึ่งเมื่อเช้าวันอาทิตย์ นอกจากนั้น ยังยิงจรวดโจมตีขณะกองกำลังอิสราเอลอพยพผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งส่งโดรนโจมตีฐานทัพแห่งหนึ่งของอิสราเอล
    .
    อย่างไรก็ดี สำนักข่าวแห่งชาติของรัฐบาลเลบานอนรายงานว่า ที่มั่นของฮิซบอลเลาะห์ทางใต้ของเบรุตถูกโจมตีกว่า 30 ระลอก โดยปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งและคลังจัดเก็บเวชภัณฑ์อีกแห่งถูกโจมตีด้วย
    .
    ด้านกองทัพอิสราเอลแถลงว่า ได้โจมตีคลังอาวุธและโครงสร้างพื้นฐานของฮิซบอลเลาะห์ โดยพยายามลดความเสี่ยงต่อพลเรือน
    .
    ข้อมูลจากทางการเลบานอนระบุว่า การโจมตีฮิซบอลเลาะห์ของอิสราเอลทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,110 คนทั่วเลบานอนนับตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย.
    .
    นายกรัฐมนตรีนาจิบ มิกาติ ของเลบานอน เรียกร้องนานาชาติกดดันอิสราเอลให้หยุดยิง
    .
    ฟิลิปโป กรันดี ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แถลงว่า เลบานอนกำลังเผชิญวิฤตร้ายแรง และเตือนว่า การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลส่งผลให้ประชาชนนับแสนต้องยากจนขัดสนหรือทิ้งถิ่นฐาน และโรงพยาบาลอย่างน้อย 4 แห่งปิดทำการ
    .
    นอกจากนั้น กองกำลังรักษาสันติภาพของยูเอ็นในเลบานอนยังเผยว่า ได้ปฏิเสธการร้องขอของกองทัพอิสราเอลให้ย้ายที่ตั้งบางแห่งออกจากตอนใต้ของเลบานอน
    .
    อับบาส อารากชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน เรียกร้องอีกครั้งให้หยุดยิงทั้งในกาซาและเลบานอน พร้อมขู่อิสราเอลจะถูกตอบโต้รุนแรงขึ้นหากโจมตีอิหร่าน
    .
    ที่กาซา สำนักงานป้องกันภัยพลเรือนเปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ว่า อิสราเอลได้โจมตีมัสยิดและโรงเรียนแห่งหนึ่งในเดียร์ อัล-บาลาห์ตอนกลางของกาซา ซึ่งเป็นที่หลบภัยของประชาชน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 26 คน และบาดเจ็บ 93 คน
    .
    ขณะที่อิสราเอลยืนยันว่า ได้โจมตีอย่างแม่นยำต่อกลุ่มก่อการร้ายฮามาสในศูนย์บัญชาการในโรงเรียนและมัสยิดดังกล่าว
    .
    เจ้าหน้าที่สาธารณสุขปาเลสไตน์ยังเผยว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 คนทางตอนเหนือของกาซานับจากคืนวันเสาร์ หลังจากอิสราเอลเตือนให้ชาวบ้านอพยพออกไปก่อนส่งรถถังเข้าโจมตี ขณะที่สำนักงานประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลกาซาแถลงว่า ช่วง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา อิสราเอลโจมตีบ้านเรือน โรงเรียน และที่หลบภัย 27 แห่งทั่วกาซา
    .
    นอกจากนั้นในวันเสาร์ กองทัพอิสราเอลยังออกคำสั่งอพยพครั้งใหม่ในพื้นที่หลายส่วนในค่ายผู้ลี้ภัยนูเซรัตตอนกลางของกาซา รวมทั้งนำรถถังบุกเข้าสู่เบตลาฮิยา และจาบาเลียทางเหนือของกาซาเมื่อคืนวันเสาร์ พร้อมส่งเครื่องบินโจมตีบ้านหลายหลัง ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 คน
    .
    ต่อมาในวันอาทิตย์ กองทัพอิสราเอลเผยว่า ได้ปิดล้อมจาบาเลียหลังได้รับข่าวกรองว่า ฮามาสกำลังพยายามซ่องสุมกำลังขึ้นมาใหม่ในพื้นที่ดังกล่าว
    .
    ทั้งนี้ ปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในกาซา ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 41,780 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000095167
    ..............
    Sondhi X
    อิสราเอลถล่มหนักทั้งเลบานอนและกาซา ขณะกองทัพประกาศเตรียมพร้อมเต็มอัตราศึกก่อนถึงวันครบรอบ 1 ปีเหตุการณ์ฮามาสบุกโจมตีเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ปีที่แล้ว รวมทั้งเตรียมพร้อมเอาคืนการโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่านเมื่อเร็วๆ นี้ . พลเรือตรีแดเนียล ฮาการี โฆษกกองทัพอิสราเอล กล่าวเมื่อวันเสาร์ (5 ต.ค.) ว่า กองทัพเตรียมพร้อมและได้ระดมกำลังเพิ่มก่อนถึงวันครบรอบ 1 ปีการบุกโจมตีของฮามาสในวันจันทร์ (7 ต.ค.) . เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิต 1,205 คนในอิสราเอล ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน นอกจากนั้น ฮามาสยังจับตัวประกันราว 250 คนไปคุมขังในกาซา และผ่านมาหนึ่งปี สงครามการแก้แค้นของอิสราเอลในกาซายังคงดำเนินอยู่ และอิสราเอลยังขยายเป้าหมายไปโจมตีกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน . กองทัพอิสราเอลระบุว่า สังหารนักรบฮิซบอลเลาะห์ราว 440 คนจากปฏิบัติการบุกภาคพื้นดินและการโจมตีทางอากาศนับจากวันจันทร์ที่แล้ว (29 ก.ย.) ที่กองทัพเริ่มบุกภาคพื้นดินเข้าสู่เลบานอน โดยมีเป้าหมายเพื่อนำชาวอิสราเอลกลับคืนถิ่นฐานบริเวณชายแดนด้านเหนือติดกับเลบานอนอย่างปลอดภัย หลังจากต้องทิ้งไปเกือบปีเนื่องจากบริเวณดังกล่าวถูกฮิซบอลเลาะห์ระดมโจมตีด้วยจรวดอย่างต่อเนื่อง . ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีไอแซก เฮอร์ซ็อก ของอิสราเอล ประกาศว่า อิหร่านเป็น “ภัยคุกคามอย่างต่อเนื่อง” หลังจากเตหะรานที่ให้การสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธทั่วตะวันออกกลาง ยิงขีปนาวุธราว 200 ลูกโจมตีอิสราเอลเมื่อวันอังคารที่แล้ว (30 ก.ย.) เพื่อล้างแค้นที่อิสราเอลสังหารผู้นำระดับสูงหลายคนของฮิซบอลเลาะห์และฮามาส . การโจมตีดังกล่าวทำให้ชาวปาเลสไตน์ในเขตยึดครองเวสต์แบงก์เสียชีวิต 1 คน และฐานทัพอากาศอิสราเอลแห่งหนึ่งเสียหาย . เจ้าหน้าที่ทหารอิสราเอลคนหนึ่งเผยว่า กองทัพกำลังเตรียมการตอบโต้อิหร่าน . ทางด้านนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล ระบุว่าอิหร่านโจมตีดินแดนอิสราเอล 2 ครั้งด้วยขีปนาวุธหลายร้อยลูกนับจากเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา อิสราเอลจึงมีหน้าที่และมีสิทธิในการปกป้องตนเองและตอบโต้การโจมตีเหล่านั้น . ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวอาวุโสของฮิซบอลเลาะห์เปิดเผยเมื่อวันเสาร์ว่า ทางกลุ่มไม่สามารถติดต่อฮาเชม ซาฟิดดีน ที่คาดว่าจะได้รับแต่งตั้งเป็นผู้นำกลุ่มคนใหม่ หลังจากอิสราเอลโจมตีใกล้สนามบินนานาชาติในกรุงเบรุตของเลบานอนเมื่อวันศุกร์ (4 ต.ค.) . ทั้งนี้ ฮิซบอลเลาะห์ยังไม่ได้แต่งตั้งผู้นำใหม่แทนฮัสซัน นาสรัลเลาะห์ ที่เสียชีวิตเมื่อปลายเดือนที่แล้วจากการโจมตีครั้งใหญ่ในเบรุต . กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ยังเผยว่า นักรบของกลุ่มได้ปะทะกับกองทัพอิสราเอลบริเวณชายแดนทางใต้ของเลบานอน และอ้างว่า สามารถขับไล่ทหารอิสราเอลออกจากหมู่บ้านชายแดนแห่งหนึ่งเมื่อเช้าวันอาทิตย์ นอกจากนั้น ยังยิงจรวดโจมตีขณะกองกำลังอิสราเอลอพยพผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งส่งโดรนโจมตีฐานทัพแห่งหนึ่งของอิสราเอล . อย่างไรก็ดี สำนักข่าวแห่งชาติของรัฐบาลเลบานอนรายงานว่า ที่มั่นของฮิซบอลเลาะห์ทางใต้ของเบรุตถูกโจมตีกว่า 30 ระลอก โดยปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งและคลังจัดเก็บเวชภัณฑ์อีกแห่งถูกโจมตีด้วย . ด้านกองทัพอิสราเอลแถลงว่า ได้โจมตีคลังอาวุธและโครงสร้างพื้นฐานของฮิซบอลเลาะห์ โดยพยายามลดความเสี่ยงต่อพลเรือน . ข้อมูลจากทางการเลบานอนระบุว่า การโจมตีฮิซบอลเลาะห์ของอิสราเอลทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,110 คนทั่วเลบานอนนับตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย. . นายกรัฐมนตรีนาจิบ มิกาติ ของเลบานอน เรียกร้องนานาชาติกดดันอิสราเอลให้หยุดยิง . ฟิลิปโป กรันดี ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แถลงว่า เลบานอนกำลังเผชิญวิฤตร้ายแรง และเตือนว่า การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลส่งผลให้ประชาชนนับแสนต้องยากจนขัดสนหรือทิ้งถิ่นฐาน และโรงพยาบาลอย่างน้อย 4 แห่งปิดทำการ . นอกจากนั้น กองกำลังรักษาสันติภาพของยูเอ็นในเลบานอนยังเผยว่า ได้ปฏิเสธการร้องขอของกองทัพอิสราเอลให้ย้ายที่ตั้งบางแห่งออกจากตอนใต้ของเลบานอน . อับบาส อารากชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน เรียกร้องอีกครั้งให้หยุดยิงทั้งในกาซาและเลบานอน พร้อมขู่อิสราเอลจะถูกตอบโต้รุนแรงขึ้นหากโจมตีอิหร่าน . ที่กาซา สำนักงานป้องกันภัยพลเรือนเปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ว่า อิสราเอลได้โจมตีมัสยิดและโรงเรียนแห่งหนึ่งในเดียร์ อัล-บาลาห์ตอนกลางของกาซา ซึ่งเป็นที่หลบภัยของประชาชน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 26 คน และบาดเจ็บ 93 คน . ขณะที่อิสราเอลยืนยันว่า ได้โจมตีอย่างแม่นยำต่อกลุ่มก่อการร้ายฮามาสในศูนย์บัญชาการในโรงเรียนและมัสยิดดังกล่าว . เจ้าหน้าที่สาธารณสุขปาเลสไตน์ยังเผยว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 คนทางตอนเหนือของกาซานับจากคืนวันเสาร์ หลังจากอิสราเอลเตือนให้ชาวบ้านอพยพออกไปก่อนส่งรถถังเข้าโจมตี ขณะที่สำนักงานประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลกาซาแถลงว่า ช่วง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา อิสราเอลโจมตีบ้านเรือน โรงเรียน และที่หลบภัย 27 แห่งทั่วกาซา . นอกจากนั้นในวันเสาร์ กองทัพอิสราเอลยังออกคำสั่งอพยพครั้งใหม่ในพื้นที่หลายส่วนในค่ายผู้ลี้ภัยนูเซรัตตอนกลางของกาซา รวมทั้งนำรถถังบุกเข้าสู่เบตลาฮิยา และจาบาเลียทางเหนือของกาซาเมื่อคืนวันเสาร์ พร้อมส่งเครื่องบินโจมตีบ้านหลายหลัง ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 คน . ต่อมาในวันอาทิตย์ กองทัพอิสราเอลเผยว่า ได้ปิดล้อมจาบาเลียหลังได้รับข่าวกรองว่า ฮามาสกำลังพยายามซ่องสุมกำลังขึ้นมาใหม่ในพื้นที่ดังกล่าว . ทั้งนี้ ปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในกาซา ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 41,780 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000095167 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Angry
    Love
    Yay
    10
    0 Comments 0 Shares 1185 Views 0 Reviews
  • 🇵🇸 ⚔️ 🇮🇱 1 ปีในฉนวนกาซาตั้งแต่การโจมตี 7 ตุลาคม – เรียงความภาพ
    .
    Ali Jadallah ช่างภาพจาก Anadolu Agency ประจำกาซา พูดถึงภาพถ่ายทรงพลังที่สุดบางส่วนที่เขาถ่ายไว้ในปีนี้ นับตั้งแต่การโจมตีของกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่จุดชนวนให้เกิดสงครามกาซา

    🔘 คำเตือน : มีเนื้อหาที่รุนแรง รวมถึงการเสียชีวิต

    #Jadallah : เป็นช่างภาพชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่ในฉนวนกาซา ซึ่งทำงานให้กับ Anadolu Agency ตั้งแต่ปี 2012 เขาบันทึกภาพสงครามอิสราเอล-ฉนวนกาซาตั้งแต่เริ่มต้น โดยเผชิญกับความท้าทายมากมาย

    • Jadallah ได้รับรางวัลระดับนานาชาติ และระดับท้องถิ่นหลายรางวัลจากภาพถ่ายของเขา
    • สูญเสียญาติไป 4 คน จากการโจมตีของอิสราเอลในฉนวนกาซา
    • เขายังคงรายงานเกี่ยวกับสงครามในภูมิภาคนี้ต่อไป
    .
    ▪ ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอุ้มเด็กกำลังหลบหนีการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลที่โจมตีพื้นที่หนึ่งในเมืองกาซา เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม
    ▪ จนท.ป้องกันพลเรือนชาวปาเลสไตน์ที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของอิสราเอลกำลังได้รับการ CPR บนเปลที่โรงพยาบาลอัลชิฟาในกาซา เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 66
    ▪ หญิงและเด็กที่ได้รับบาดเจ็บรวมอยู่ในกลุ่มผู้คนจำนวนมากที่ถูกนำส่งร.พ.อัลชิฟา หลังเกิดระเบิดที่ร.พ.แบปทิสต์ ในเมืองกาซา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 500 ราย เมื่อ 17 ต.ค.
    ▪ เปลวไฟและควันพวยพุ่งขึ้นในย่านเทลอัลฮาวา ขณะที่การโจมตีของอิสราเอลยังคงดำเนินต่อไป ในวันที่ 30 ต.ค.
    ▪ ชาวปาเลสไตน์ดำเนินการค้นหาและกู้ภัยหลังจากถูกโจมตีเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 24 ชม. ที่ค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลียในเมืองกาซา เมื่อ 1 พ.ย.
    ▪ พลุสัญญาณส่องสว่างขึ้นบนท้องฟ้าเหนือค่ายผู้ลี้ภัยอัลชาติ ในฉนวนกาซา ในระหว่างการโจมตีของอิสราเอล เมื่อ 6 พ.ย.
    ▪ ทารกวัย 2 เดือน ซึ่งเสียชีวิตในการโจมตีบ้านหลังหนึ่งของอิสราเอล 17 มี.ค.
    ▪ ฟาดี ซานต์ วัย 9 ขวบ ได้รับการรักษาภาวะทุพโภชนาการ หลังจากได้รับการอพยพจากกาซาตอนเหนือไปยังร.พ.สนามในเมืองราฟาห์ เมื่อ 24 มี.ค.
    ▪ ชาวปาเลสไตน์บางส่วนเริ่มเดินทางกลับบ้านของตนที่เมืองคานยูนิส หลังจากที่อิสราเอลถอนกำลังออกไป และทิ้งร่องรอยการทำลายล้างอันยิ่งใหญ่ไว้ เมื่อวันที่ 7 เม.ษ.
    ▪ ชาวปาเลสไตน์มองดูประกายไฟ เปลวไฟ และควันที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าหลังการโจมตีของอิสราเอลในเมืองเดียร์ อัล บาลาห์ เมื่อ 6 มิ.ย.
    ▪ ผู้รอดชีวิตกำลังหนีจากซากปรักหักพังของอาคารที่ถูกทำลายหลังจากการโจมตีบ้านของครอบครัวอาบูไอชาในเดียร์อัลบาลาห์ เมื่อ 14 มิ.ย.
    ...........................................................
    Amir Levy เป็นช่างภาพข่าวชาวอเมริกันเชื้อสายอิสราเอลที่มีประสบการณ์ 15 ปี ช่างภาพของ Getty Images พูดถึงภาพถ่ายทรงพลังที่สุดของเขาที่ถ่ายตลอดทั้งปี

    ▪ ผู้คนซ่อนตัวอยู่ในบันไดอาคารขณะที่เสียงไซเรนดังขึ้น เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 66 ในเมืองเทลอาวีฟ อิสราเอล
    ▪ ทหารอิสราเอลนำศพของพลเรือนที่เสียชีวิตก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ในการโจมตีของปาเลสไตน์ในคิบบุตซ์ ใกล้พรมแดนกาซา เมื่อ 10 ต.ค. 66 ในเมืองคฟาร์อาซา อิสราเอล
    ▪ ทหารอิสราเอลกำลังรักษาความปลอดภัยในอุโมงค์ใกล้ชายแดนอิสราเอลในฉนวนกาซาตอนเหนือ เมื่อ ธ.ค. 66 กองทัพอิสราเอลกล่าวว่า นี่คืออุโมงค์ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยพบในกาซา โดยประกอบด้วยสาขาที่ทอดยาวกว่า 4 กม.
    ▪ อามิต ซูสซานา (ขวา) ซึ่งถูกกลุ่มฮามาสจับเป็นตัวประกัน และได้รับการปล่อยตัว เมื่อ 29 ม.ค. 67 ในเมืองคฟาร์อาซา
    ▪ ชาวยิวออร์โธดอกซ์สุดโต่งกับเศษซากขีปนาวุธใกล้เมืองอารัด เมื่อ 30 เม.ษ. 67 ซึ่งเป็นผลมาจากการโจมตีทางอากาศของอิหร่าน เมื่อวันที่ 13 เม.ษ. ซึ่งมีรายงานว่าอิหร่านได้ยิงโดรน 170 ลำ และขีปนาวุธกว่า 150 ลูกโจมตีประเทศและบริเวณที่ราบสูงโกลันที่ถูกอิสราเอลยึดครอง
    ▪ จนท.ดับเพลิงกำลังดับไฟ หลังจากถูกโจมตีด้วยจรวดจากเลบานอน เมื่อ 4 ก.ค. 67 ทางตอนเหนือของอิสราเอล
    ▪ ผู้ไว้อาลัยเข้าร่วมงานศพที่จัดขึ้นเพื่อเหยื่อจากการโจมตีด้วยจรวด เมื่อ 28 ก.ค. ใน Majdal Shams บนที่ราบสูงโกลัน
    ▪ ชายชาวยิวออร์โธดอกซ์สุดโต่ง ปะทะกับตำรวจขี่ม้าระหว่างการชุมนุมประท้วงการเกณฑ์ทหารของอิสราเอล ใกล้ฐานรับสมัคร เมื่อ 5 ส.ค. ในพื้นที่เทลฮาโชเมอร์ เมืองรามัตกัน ประเทศอิสราเอล
    ▪ ครอบครัวของตัวประกันที่ถูกจับกุมในฉนวนกาซาและผู้สนับสนุน จุดพลุสัญญาณขณะปิดกั้นถนนสายหลักระหว่างการชุมนุมเรียกร้องให้มีข้อตกลงจับตัวประกัน เมื่อ 13 ก.ย. ในเมืองเทลอาวีฟ
    .
    แหล่งข้อมูลภาพทั้งหมด มาจากสื่อหลักอังกฤษ The Guardian 🇬🇧

    อ่านคำบรรยายในแต่ละภาพเพิ่มเติมได้ที่
    https://www.theguardian.com/world/2024/oct/05/one-year-in-gaza-since-the-7-october-attack-photo-essay

    https://www.theguardian.com/world/2024/oct/05/one-year-in-israel-since-the-7-october-attack-photo-essay



    Noraseth Tuntasiri
    🇵🇸 ⚔️ 🇮🇱 1 ปีในฉนวนกาซาตั้งแต่การโจมตี 7 ตุลาคม – เรียงความภาพ . Ali Jadallah ช่างภาพจาก Anadolu Agency ประจำกาซา พูดถึงภาพถ่ายทรงพลังที่สุดบางส่วนที่เขาถ่ายไว้ในปีนี้ นับตั้งแต่การโจมตีของกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่จุดชนวนให้เกิดสงครามกาซา 🔘 คำเตือน : มีเนื้อหาที่รุนแรง รวมถึงการเสียชีวิต #Jadallah : เป็นช่างภาพชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่ในฉนวนกาซา ซึ่งทำงานให้กับ Anadolu Agency ตั้งแต่ปี 2012 เขาบันทึกภาพสงครามอิสราเอล-ฉนวนกาซาตั้งแต่เริ่มต้น โดยเผชิญกับความท้าทายมากมาย • Jadallah ได้รับรางวัลระดับนานาชาติ และระดับท้องถิ่นหลายรางวัลจากภาพถ่ายของเขา • สูญเสียญาติไป 4 คน จากการโจมตีของอิสราเอลในฉนวนกาซา • เขายังคงรายงานเกี่ยวกับสงครามในภูมิภาคนี้ต่อไป . ▪ ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอุ้มเด็กกำลังหลบหนีการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลที่โจมตีพื้นที่หนึ่งในเมืองกาซา เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ▪ จนท.ป้องกันพลเรือนชาวปาเลสไตน์ที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของอิสราเอลกำลังได้รับการ CPR บนเปลที่โรงพยาบาลอัลชิฟาในกาซา เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 66 ▪ หญิงและเด็กที่ได้รับบาดเจ็บรวมอยู่ในกลุ่มผู้คนจำนวนมากที่ถูกนำส่งร.พ.อัลชิฟา หลังเกิดระเบิดที่ร.พ.แบปทิสต์ ในเมืองกาซา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 500 ราย เมื่อ 17 ต.ค. ▪ เปลวไฟและควันพวยพุ่งขึ้นในย่านเทลอัลฮาวา ขณะที่การโจมตีของอิสราเอลยังคงดำเนินต่อไป ในวันที่ 30 ต.ค. ▪ ชาวปาเลสไตน์ดำเนินการค้นหาและกู้ภัยหลังจากถูกโจมตีเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 24 ชม. ที่ค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลียในเมืองกาซา เมื่อ 1 พ.ย. ▪ พลุสัญญาณส่องสว่างขึ้นบนท้องฟ้าเหนือค่ายผู้ลี้ภัยอัลชาติ ในฉนวนกาซา ในระหว่างการโจมตีของอิสราเอล เมื่อ 6 พ.ย. ▪ ทารกวัย 2 เดือน ซึ่งเสียชีวิตในการโจมตีบ้านหลังหนึ่งของอิสราเอล 17 มี.ค. ▪ ฟาดี ซานต์ วัย 9 ขวบ ได้รับการรักษาภาวะทุพโภชนาการ หลังจากได้รับการอพยพจากกาซาตอนเหนือไปยังร.พ.สนามในเมืองราฟาห์ เมื่อ 24 มี.ค. ▪ ชาวปาเลสไตน์บางส่วนเริ่มเดินทางกลับบ้านของตนที่เมืองคานยูนิส หลังจากที่อิสราเอลถอนกำลังออกไป และทิ้งร่องรอยการทำลายล้างอันยิ่งใหญ่ไว้ เมื่อวันที่ 7 เม.ษ. ▪ ชาวปาเลสไตน์มองดูประกายไฟ เปลวไฟ และควันที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าหลังการโจมตีของอิสราเอลในเมืองเดียร์ อัล บาลาห์ เมื่อ 6 มิ.ย. ▪ ผู้รอดชีวิตกำลังหนีจากซากปรักหักพังของอาคารที่ถูกทำลายหลังจากการโจมตีบ้านของครอบครัวอาบูไอชาในเดียร์อัลบาลาห์ เมื่อ 14 มิ.ย. ........................................................... Amir Levy เป็นช่างภาพข่าวชาวอเมริกันเชื้อสายอิสราเอลที่มีประสบการณ์ 15 ปี ช่างภาพของ Getty Images พูดถึงภาพถ่ายทรงพลังที่สุดของเขาที่ถ่ายตลอดทั้งปี ▪ ผู้คนซ่อนตัวอยู่ในบันไดอาคารขณะที่เสียงไซเรนดังขึ้น เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 66 ในเมืองเทลอาวีฟ อิสราเอล ▪ ทหารอิสราเอลนำศพของพลเรือนที่เสียชีวิตก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ในการโจมตีของปาเลสไตน์ในคิบบุตซ์ ใกล้พรมแดนกาซา เมื่อ 10 ต.ค. 66 ในเมืองคฟาร์อาซา อิสราเอล ▪ ทหารอิสราเอลกำลังรักษาความปลอดภัยในอุโมงค์ใกล้ชายแดนอิสราเอลในฉนวนกาซาตอนเหนือ เมื่อ ธ.ค. 66 กองทัพอิสราเอลกล่าวว่า นี่คืออุโมงค์ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยพบในกาซา โดยประกอบด้วยสาขาที่ทอดยาวกว่า 4 กม. ▪ อามิต ซูสซานา (ขวา) ซึ่งถูกกลุ่มฮามาสจับเป็นตัวประกัน และได้รับการปล่อยตัว เมื่อ 29 ม.ค. 67 ในเมืองคฟาร์อาซา ▪ ชาวยิวออร์โธดอกซ์สุดโต่งกับเศษซากขีปนาวุธใกล้เมืองอารัด เมื่อ 30 เม.ษ. 67 ซึ่งเป็นผลมาจากการโจมตีทางอากาศของอิหร่าน เมื่อวันที่ 13 เม.ษ. ซึ่งมีรายงานว่าอิหร่านได้ยิงโดรน 170 ลำ และขีปนาวุธกว่า 150 ลูกโจมตีประเทศและบริเวณที่ราบสูงโกลันที่ถูกอิสราเอลยึดครอง ▪ จนท.ดับเพลิงกำลังดับไฟ หลังจากถูกโจมตีด้วยจรวดจากเลบานอน เมื่อ 4 ก.ค. 67 ทางตอนเหนือของอิสราเอล ▪ ผู้ไว้อาลัยเข้าร่วมงานศพที่จัดขึ้นเพื่อเหยื่อจากการโจมตีด้วยจรวด เมื่อ 28 ก.ค. ใน Majdal Shams บนที่ราบสูงโกลัน ▪ ชายชาวยิวออร์โธดอกซ์สุดโต่ง ปะทะกับตำรวจขี่ม้าระหว่างการชุมนุมประท้วงการเกณฑ์ทหารของอิสราเอล ใกล้ฐานรับสมัคร เมื่อ 5 ส.ค. ในพื้นที่เทลฮาโชเมอร์ เมืองรามัตกัน ประเทศอิสราเอล ▪ ครอบครัวของตัวประกันที่ถูกจับกุมในฉนวนกาซาและผู้สนับสนุน จุดพลุสัญญาณขณะปิดกั้นถนนสายหลักระหว่างการชุมนุมเรียกร้องให้มีข้อตกลงจับตัวประกัน เมื่อ 13 ก.ย. ในเมืองเทลอาวีฟ . แหล่งข้อมูลภาพทั้งหมด มาจากสื่อหลักอังกฤษ The Guardian 🇬🇧 อ่านคำบรรยายในแต่ละภาพเพิ่มเติมได้ที่ https://www.theguardian.com/world/2024/oct/05/one-year-in-gaza-since-the-7-october-attack-photo-essay https://www.theguardian.com/world/2024/oct/05/one-year-in-israel-since-the-7-october-attack-photo-essay Noraseth Tuntasiri
    0 Comments 0 Shares 55 Views 0 Reviews
  • หัวเลี้ยวแห่งความเป็นใหญ่……หัวต่อแห่งความโหดร้าย………
    ติ่งขา……พี่ปูแบกไว้ทั้งหมด……!!

    ตอนสิบสี่………ปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกและจดจำ…….!!!

    หลังจากที่ปูตินได้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย
    วันที่ 1 กันยายน 2004 ได้เดินทางไปที่ Sochi อีกครั้งเพื่อหวังว่าจะได้พักร่าง พักสมอง เพราะที่ผ่านมาต้องพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆจนไม่มีเวลาพักผ่อน เช่น กับ Jacques Chirac (ฝรั่งเศส) Gerhard Schröder (เยอรมัน)
    ผู้คนส่วนใหญ่จะพักร้อนกันในเดือนสิงหาคม……แต่ปูตินไม่ได้พักเลยเพราะกลุ่มกบฏในเชเชนได้ก่อตัวขึ้นในการปฎิบัติการก่อการร้ายที่หนักข้อขึ้นทุกวัน โดยมีตัวการเป็นหญิงสาวสี่คน คือ Rosa Nagayeva และน้องสาว Amanat….โดยมีเพื่อนสาว Satsita Dzhbirkhanova และ Maryam Taburova ที่ร่วมมือกันวางระเบิดก่อความไม่สงบในหลายพื้นที่

    ในวันที่ปิดหีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาจเปรียบเสมือนลางร้ายของผู้นำคนใหม่ นั่นคือ ไฟไหม้ที่ อาคาร Manezh ที่ตั้งอยู่ใน Alexsandr Gardens ที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตรงข้ามกับเครมลิน ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนทะลายลงมาทั้งหลัง
    ปูตินได้ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ที่ขั้นบนของสภา การกล่าวคำปราศรัยต้องเลื่อนออกไป เพราะไม่เช่นนั้นฉากหลังของการปราศรัยจะเป็นฉากที่เพลิงลุกไหม้ที่พร่าชีวิตของนักดับเพลิงไปสองนาย……

    เพื่อแสดงสปิริตของความเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยรุ่นใหม่ เขาจึงลดกระแสด้วยการปล่อยตัว MK ให้มาสู้คดีหลังจากที่อยู่ในที่คุมขังประมาณห้าเดือน
    และ……นั่นคือการเปิดศึกระหว่าง ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ที่มีเงิน (จนถึงทุกวันนี้)

    เป็นช่วงเดียวกันกับที่ปูตินกำลังก้าวขึ้นมาในเส้นทางของนักการเมืองเต็มตัว โดยที่ไม่มีพี่เลี้ยงคอยประกบเหมือนเมื่อก่อน (เยลซิน)
    และนับว่าเป็นปีทดสอบความเป็นผู้นำที่แสนโหด และแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวและชาติรอดมาได้อย่างไร..…?!!
    เริ่มจาก กระแสความเคลื่อนไหวในการจับกุม MK อภิมหาเศรษฐีคนดัง
    ที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเขาเอง Mikhaïl Kesyanov ก็ยังแสดงความไม่พอใจ ถึงกับไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ว่า MK ไม่ได้โกงภาษี…เพียงแต่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น……

    อย่างไรก็ตาม……ไม่ได้มีใครสนใจกับข้อโต้แย้งของเขานัก เพราะทั้งรัสเซียกำลังตื่นเต้นกับ ราคาน้ำมันส่งออกทะยานขึ้นเกินสิบเท่าของที่เคยได้ จาก หกพันล้าน พุ่งขึ้นมาเป็น แปดหมื่นล้านเหรียญ
    และรัสเซียได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดิ อะเรเบีย
    และสินค้าอื่นๆเริ่มมีใบสั่งเข้ามายาวเป็นหางว่าว……
    แต่ปูตินไม่ได้ปล่อยให้ความคิดเห็นคัดค้านของนายกฯผ่านไป
    วันที่ 23 กุมภาพันธุ์ หลังจากการประชุมบอร์ดผ่านไป ปูตินให้ นายกฯ
    คาเซียนอฟ เข้ามาพบ และพูดสั้นๆว่า……
    “ต่อไปนี้……คุณหมดหน้าที่แล้วนะ” เป็นการไล่ออกแบบง่ายๆที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง……
    และ……ไม่มีการประกาศว่า ใครจะมาแทน…ผู้คนก็เดากันไปต่างๆนานา
    ว่าอาจจะเป็นคนนั้นคนนี้ จนอาทิตย์หนึ่งผ่านไป ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่ง คือ
    Mikhaïl Fradkov ที่แสน”โนเนม”จากปีเตอร์สเบอร์ก

    แต่ไม่โนเนมสำหรับปูติน เพราะ MF (Mikhaïl Fradkov) คนนี้เคยเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในสมัยเยลซิน เป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายภาษา เป็นคนตรง…สมถะ และ ไม่สนใจในการเมือง
    ในขณะที่ปูตินติดต่อไปให้มารับตำแหน่ง ตอนนั้น MF อยู่ที่ Brussels กำลังทำหน้าที่เป็นทูตพานิชย์รัสเซียประจำ EU
    เมื่อเขาบินมาถึงมอสโคว์ในวันต่อมา เพื่อเข้ารับตำแหน่ง นัดข่าวได้ถามถึงนโยบายในการทำงาน เขาตอบสั้นๆว่า
    “ก็ทำตามนโยบายของท่านประธานาธิบดี……”

    วันที่ 1 กันยายน เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆกลับเข้าโรงเรียน ที่มีธรรมเนียมที่น่ารัก คือเด็กๆแต่งตัวกันสวยงาม เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆไปสวัสดีคุณครู
    ผู้ปกครองพากันตื่นเต้น จูงลูก พาหลานไปพบปะสังสรรกันที่หอประชุมโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก
    ที่เมือง Beslan, North-Ossetia (คอเคซัส) ก็เช่นกัน เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นภาพสวยงามนี้ ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรม

    ผู้คนประมาณหลายร้อยคนได้ชุมนุมกันที่ลานหน้าโรงเรียน ทันใดนั้น ได้มีรถบรรทุกวิ่งผ่าเข้ามา……ผ่าใบคลุมหลังรถได้เปิดออก กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ตะโกนเรียกพระนาม แล้วกระโดดลงมาพร้อมอาวุธ
    ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กลุ่มกบฎได้ต้อนทุกคนเข้าไปอยู่ในโรงยิม ……
    กลุ่มกบฏ……มีผู้หญิงสองคนรวมอยู่ด้วย นั่นคือ Maryam Taburova และ Rosa Negayeva

    เป็นการกระทำที่อุกอาจที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเมื่อวันที่ 9 เดือนพฤษภาที่ผ่านมา……ที่เป็นวันฉลองชัยชนะของรัสเซีย ประธานาธิบดีเชเชน Akhmad Kadyrov ที่เพิ่งรับตำแหน่งสดๆร้อนๆได้ไปเป็นประธานในพิธี ได้ถูกลอบวางระเบิดที่กลางงานจนเสียชีวิต เหลือไว้คือลูกชายวัย 27 Ramzan ที่มีเลือดพ่อเต็มร้อย พร้อมลงสานต่อ แต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ
    จึงต้องคอยไปก่อน ปูตินแต่งตั้งให้ Aslan Maskhadov ขึ้นมาแทนไปก่อน
    แต่กลุ่มกบฏ……ก็ได้ให้คำเตือนมาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า……Ramzan จะเป็นรายต่อไป…เมื่อมีโอกาส…!!

    คราวนี้ที่ Beslan ที่ฝ่ายกบฏได้ยื่นความประสงค์กับปูตินว่า
    กองทัพรัสเซียจะต้องออกไปจากพื้นที่ และประกาศให้เชเชนเป็นเอกราช ซึ่งเชเชนจะร่วมเป็นพันธมิตรและยังคงใช้รูเบิ้ลเป็นสกุลเงินตรา
    เชเชนจะร่วมมือกับรัสเซียในการพัฒนากองกำลังและฟื้นฟูประเทศ (ที่เป็นเอกราช)

    ในนามของพระเจ้า
    ลงชื่อ Shamil Basayev

    ซึ่ง ชามิลตัวหัวหน้า……มาแต่เพียงในนาม ไม่ได้อยู่รวมในกลุ่ม และข้อเสนอนั้น ……เป็นไปไม่ได้ที่ทางรัสเซียจะยอมรับ

    การกักตัวผู้คนจำนวนหลายร้อยในที่ที่จำกัด ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเด็กๆอย่างแสนสาหัส เพราะไม่มีอาการ ไม่มีน้ำ
    ผู้ที่ขัดขืนได้ถูกยิงทิ้ง แล้วนำศพโยนออกมาทางหน้าต่าง……จำนวนหลายศพ

    ในที่สุด วันที่สองของการควบคุมตัว ได้มีการเจรจาขอให้ปล่อยเด็กเล็กกว่าสามสิบคนออกมาได้

    วันที่สาม……ฝ่ายเจรจาขอให้มีการนำรถพยาบาลเข้าไปรับศพที่เริ่มบวมออกมาจากสถานที่
    ในเวลาตีหนึ่ง ที่หน่วยพยาบาลสี่คนได้เข้าไปพร้อมรถตามกำหนดการ
    เมื่อไปถึง……เพียงสองนาทีผ่านไป…..ได้เกิดระเบิดขึ้น ที่ทำให้ผนังของโรงยิมได้เปิดออก หลังคาเปิง
    คราวนี้……ฝ่ายกบฏได้เปิดฉากยิงมั่วซั่ว ขว้างระเบิดมือท่ามกลางฝุ่นที่ตลบคลุ้ง
    เป็นการโกลาหลจนสุดบรรยาย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นเชลยไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบหนีได้ พวกเขาอ่อนเปลี้ยจนเกินไป

    เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ทั้งหมดในนั้นเสียชีวิต จำนวนเชลย 334 คน (เด็กโต 186 คน) คอมมานโด 10 คน ผู้ก่อการ 30 คน (ผู้หญิง 2)
    อันเป็นข่าวที่น่าสลดใจไปยังรอบโลก ที่มีการค้นหาความจริง ว่า
    ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้น มาจากระเบิดที่ทางฝ่ายคณะผู้ก่อการได้วางสายเอาไว้แล้วเกิดการผิดพลาด…จนเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหมู่
    ปูติน..พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสีย เพราะประสบการณ์จากโรงละครที่ทำให้เขาไม่ยอมใช้วิธีการยาสลบพ่นเข้าไป
    เขาหวังในการเจรจา……ที่ควรจะมีการต่อรองกับ Shamil โดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง
    แต่นั่นหมายถึงว่า แม้ว่าเขาจะเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการสูญเสียครั้งใหญ่เขายังต้องตอบคำถามที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักข่าว
    โดยเฉพาะฝ่ายศัตรูที่คอยเล่นงานทิ่มแทง

    วันที่ 13 กันยายน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญโลกที่ Beslan
    พวกที่นั่งในสภา 150 ที่นั่งที่ได้รับเลือกตั้งมา (จากต่างพรรค)
    ที่ปูตินเรียกสัมภาษณ์รายคน ถึง จุดมุ่งหมายในความคิดและนโยบายที่มีต่อประเทศ แต่ละรายเพ้อเจ้อในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยที่เอนเอียงไปในทางที่จะให้เอกราชกับเชเชน…

    ปูตินจีงประกาศสั่งระงับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือ นายกเทศมนตรี ทุกอย่างขะงักกึก………
    เท่ากับว่า มอสโคว์คือศูนย์กลางของการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เปรียบได้ว่าการปกครองได้กลับเข้าไปสู่ยุคของคอมมิวนิสต์
    เพราะเขาได้ประกาศว่า……
    “ประชากรชาวรัสเชี่ยนของเรา ยังมีความคิดล้าหลัง ยังไม่ปรับตัวให้ทันกับสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่มาถึงพร้อมกับความชั่วร้าย ……เราต้องใช้เวลากับการทำความรู้จักกับมัน……เพราะสิ่งที่จะใช้ได้ผลที่สุดในยามนี้
    คือการยืนค่อนไปทางซ้าย..(ระบอบคอมมิวนิสต์)”

    พรรคฝ่ายซ้ายขานรับกันจ้าละหวั่น และ เสนอตัวกันอย่างแข็งขันในการร่วมมือ …

    ~~~หลังจากการก่อการร้ายของ Shamil Basayev ที่ได้สร้างความเขย่าขวัญนานหลายปี ตั้งแต่วางแผนจับตัวประกันที่โรงละคร และ ที่โรงเรียน
    รวมทั้งที่อื่นๆทั่วรัสเซียนานกว่าสิบปี
    ฝ่าย FSB ได้ถือว่า ชามิล คือ อาชญากรที่ทางแารรัสเซียต้องการตัวที่สุด
    ในที่สุด การ”ล่อซื้อ” ได้เกิดขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2006 นั่นคือ การค้าขายอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่เป็นล๊อตขนาดใหญ่ ที่มีจุดรับของที่หมู่บ้าน Ekazhevo
    ชามิล และคณะมารอรับ และเมื่อรถบรรทุกอาวุธที่ว่ามาถึง ระหว่างที่มีการตรวจคุณภาพของกัน รถบรรทุกได้เกิดระเบิดขึ้น คร่าชีวิตของชามิลและคณะนับสิบคน…ตามวัตถุประสงค์ของ FSB ……!!!

    Wiwanda W. Vichit
    หัวเลี้ยวแห่งความเป็นใหญ่……หัวต่อแห่งความโหดร้าย……… ติ่งขา……พี่ปูแบกไว้ทั้งหมด……!! ตอนสิบสี่………ปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกและจดจำ…….!!! หลังจากที่ปูตินได้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย วันที่ 1 กันยายน 2004 ได้เดินทางไปที่ Sochi อีกครั้งเพื่อหวังว่าจะได้พักร่าง พักสมอง เพราะที่ผ่านมาต้องพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆจนไม่มีเวลาพักผ่อน เช่น กับ Jacques Chirac (ฝรั่งเศส) Gerhard Schröder (เยอรมัน) ผู้คนส่วนใหญ่จะพักร้อนกันในเดือนสิงหาคม……แต่ปูตินไม่ได้พักเลยเพราะกลุ่มกบฏในเชเชนได้ก่อตัวขึ้นในการปฎิบัติการก่อการร้ายที่หนักข้อขึ้นทุกวัน โดยมีตัวการเป็นหญิงสาวสี่คน คือ Rosa Nagayeva และน้องสาว Amanat….โดยมีเพื่อนสาว Satsita Dzhbirkhanova และ Maryam Taburova ที่ร่วมมือกันวางระเบิดก่อความไม่สงบในหลายพื้นที่ ในวันที่ปิดหีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาจเปรียบเสมือนลางร้ายของผู้นำคนใหม่ นั่นคือ ไฟไหม้ที่ อาคาร Manezh ที่ตั้งอยู่ใน Alexsandr Gardens ที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตรงข้ามกับเครมลิน ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนทะลายลงมาทั้งหลัง ปูตินได้ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ที่ขั้นบนของสภา การกล่าวคำปราศรัยต้องเลื่อนออกไป เพราะไม่เช่นนั้นฉากหลังของการปราศรัยจะเป็นฉากที่เพลิงลุกไหม้ที่พร่าชีวิตของนักดับเพลิงไปสองนาย…… เพื่อแสดงสปิริตของความเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยรุ่นใหม่ เขาจึงลดกระแสด้วยการปล่อยตัว MK ให้มาสู้คดีหลังจากที่อยู่ในที่คุมขังประมาณห้าเดือน และ……นั่นคือการเปิดศึกระหว่าง ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ที่มีเงิน (จนถึงทุกวันนี้) เป็นช่วงเดียวกันกับที่ปูตินกำลังก้าวขึ้นมาในเส้นทางของนักการเมืองเต็มตัว โดยที่ไม่มีพี่เลี้ยงคอยประกบเหมือนเมื่อก่อน (เยลซิน) และนับว่าเป็นปีทดสอบความเป็นผู้นำที่แสนโหด และแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวและชาติรอดมาได้อย่างไร..…?!! เริ่มจาก กระแสความเคลื่อนไหวในการจับกุม MK อภิมหาเศรษฐีคนดัง ที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเขาเอง Mikhaïl Kesyanov ก็ยังแสดงความไม่พอใจ ถึงกับไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ว่า MK ไม่ได้โกงภาษี…เพียงแต่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น…… อย่างไรก็ตาม……ไม่ได้มีใครสนใจกับข้อโต้แย้งของเขานัก เพราะทั้งรัสเซียกำลังตื่นเต้นกับ ราคาน้ำมันส่งออกทะยานขึ้นเกินสิบเท่าของที่เคยได้ จาก หกพันล้าน พุ่งขึ้นมาเป็น แปดหมื่นล้านเหรียญ และรัสเซียได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดิ อะเรเบีย และสินค้าอื่นๆเริ่มมีใบสั่งเข้ามายาวเป็นหางว่าว…… แต่ปูตินไม่ได้ปล่อยให้ความคิดเห็นคัดค้านของนายกฯผ่านไป วันที่ 23 กุมภาพันธุ์ หลังจากการประชุมบอร์ดผ่านไป ปูตินให้ นายกฯ คาเซียนอฟ เข้ามาพบ และพูดสั้นๆว่า…… “ต่อไปนี้……คุณหมดหน้าที่แล้วนะ” เป็นการไล่ออกแบบง่ายๆที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง…… และ……ไม่มีการประกาศว่า ใครจะมาแทน…ผู้คนก็เดากันไปต่างๆนานา ว่าอาจจะเป็นคนนั้นคนนี้ จนอาทิตย์หนึ่งผ่านไป ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่ง คือ Mikhaïl Fradkov ที่แสน”โนเนม”จากปีเตอร์สเบอร์ก แต่ไม่โนเนมสำหรับปูติน เพราะ MF (Mikhaïl Fradkov) คนนี้เคยเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในสมัยเยลซิน เป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายภาษา เป็นคนตรง…สมถะ และ ไม่สนใจในการเมือง ในขณะที่ปูตินติดต่อไปให้มารับตำแหน่ง ตอนนั้น MF อยู่ที่ Brussels กำลังทำหน้าที่เป็นทูตพานิชย์รัสเซียประจำ EU เมื่อเขาบินมาถึงมอสโคว์ในวันต่อมา เพื่อเข้ารับตำแหน่ง นัดข่าวได้ถามถึงนโยบายในการทำงาน เขาตอบสั้นๆว่า “ก็ทำตามนโยบายของท่านประธานาธิบดี……” วันที่ 1 กันยายน เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆกลับเข้าโรงเรียน ที่มีธรรมเนียมที่น่ารัก คือเด็กๆแต่งตัวกันสวยงาม เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆไปสวัสดีคุณครู ผู้ปกครองพากันตื่นเต้น จูงลูก พาหลานไปพบปะสังสรรกันที่หอประชุมโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก ที่เมือง Beslan, North-Ossetia (คอเคซัส) ก็เช่นกัน เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นภาพสวยงามนี้ ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรม ผู้คนประมาณหลายร้อยคนได้ชุมนุมกันที่ลานหน้าโรงเรียน ทันใดนั้น ได้มีรถบรรทุกวิ่งผ่าเข้ามา……ผ่าใบคลุมหลังรถได้เปิดออก กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ตะโกนเรียกพระนาม แล้วกระโดดลงมาพร้อมอาวุธ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กลุ่มกบฎได้ต้อนทุกคนเข้าไปอยู่ในโรงยิม …… กลุ่มกบฏ……มีผู้หญิงสองคนรวมอยู่ด้วย นั่นคือ Maryam Taburova และ Rosa Negayeva เป็นการกระทำที่อุกอาจที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเมื่อวันที่ 9 เดือนพฤษภาที่ผ่านมา……ที่เป็นวันฉลองชัยชนะของรัสเซีย ประธานาธิบดีเชเชน Akhmad Kadyrov ที่เพิ่งรับตำแหน่งสดๆร้อนๆได้ไปเป็นประธานในพิธี ได้ถูกลอบวางระเบิดที่กลางงานจนเสียชีวิต เหลือไว้คือลูกชายวัย 27 Ramzan ที่มีเลือดพ่อเต็มร้อย พร้อมลงสานต่อ แต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ จึงต้องคอยไปก่อน ปูตินแต่งตั้งให้ Aslan Maskhadov ขึ้นมาแทนไปก่อน แต่กลุ่มกบฏ……ก็ได้ให้คำเตือนมาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า……Ramzan จะเป็นรายต่อไป…เมื่อมีโอกาส…!! คราวนี้ที่ Beslan ที่ฝ่ายกบฏได้ยื่นความประสงค์กับปูตินว่า กองทัพรัสเซียจะต้องออกไปจากพื้นที่ และประกาศให้เชเชนเป็นเอกราช ซึ่งเชเชนจะร่วมเป็นพันธมิตรและยังคงใช้รูเบิ้ลเป็นสกุลเงินตรา เชเชนจะร่วมมือกับรัสเซียในการพัฒนากองกำลังและฟื้นฟูประเทศ (ที่เป็นเอกราช) ในนามของพระเจ้า ลงชื่อ Shamil Basayev ซึ่ง ชามิลตัวหัวหน้า……มาแต่เพียงในนาม ไม่ได้อยู่รวมในกลุ่ม และข้อเสนอนั้น ……เป็นไปไม่ได้ที่ทางรัสเซียจะยอมรับ การกักตัวผู้คนจำนวนหลายร้อยในที่ที่จำกัด ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเด็กๆอย่างแสนสาหัส เพราะไม่มีอาการ ไม่มีน้ำ ผู้ที่ขัดขืนได้ถูกยิงทิ้ง แล้วนำศพโยนออกมาทางหน้าต่าง……จำนวนหลายศพ ในที่สุด วันที่สองของการควบคุมตัว ได้มีการเจรจาขอให้ปล่อยเด็กเล็กกว่าสามสิบคนออกมาได้ วันที่สาม……ฝ่ายเจรจาขอให้มีการนำรถพยาบาลเข้าไปรับศพที่เริ่มบวมออกมาจากสถานที่ ในเวลาตีหนึ่ง ที่หน่วยพยาบาลสี่คนได้เข้าไปพร้อมรถตามกำหนดการ เมื่อไปถึง……เพียงสองนาทีผ่านไป…..ได้เกิดระเบิดขึ้น ที่ทำให้ผนังของโรงยิมได้เปิดออก หลังคาเปิง คราวนี้……ฝ่ายกบฏได้เปิดฉากยิงมั่วซั่ว ขว้างระเบิดมือท่ามกลางฝุ่นที่ตลบคลุ้ง เป็นการโกลาหลจนสุดบรรยาย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นเชลยไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบหนีได้ พวกเขาอ่อนเปลี้ยจนเกินไป เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ทั้งหมดในนั้นเสียชีวิต จำนวนเชลย 334 คน (เด็กโต 186 คน) คอมมานโด 10 คน ผู้ก่อการ 30 คน (ผู้หญิง 2) อันเป็นข่าวที่น่าสลดใจไปยังรอบโลก ที่มีการค้นหาความจริง ว่า ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้น มาจากระเบิดที่ทางฝ่ายคณะผู้ก่อการได้วางสายเอาไว้แล้วเกิดการผิดพลาด…จนเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหมู่ ปูติน..พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสีย เพราะประสบการณ์จากโรงละครที่ทำให้เขาไม่ยอมใช้วิธีการยาสลบพ่นเข้าไป เขาหวังในการเจรจา……ที่ควรจะมีการต่อรองกับ Shamil โดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง แต่นั่นหมายถึงว่า แม้ว่าเขาจะเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการสูญเสียครั้งใหญ่เขายังต้องตอบคำถามที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักข่าว โดยเฉพาะฝ่ายศัตรูที่คอยเล่นงานทิ่มแทง วันที่ 13 กันยายน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญโลกที่ Beslan พวกที่นั่งในสภา 150 ที่นั่งที่ได้รับเลือกตั้งมา (จากต่างพรรค) ที่ปูตินเรียกสัมภาษณ์รายคน ถึง จุดมุ่งหมายในความคิดและนโยบายที่มีต่อประเทศ แต่ละรายเพ้อเจ้อในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยที่เอนเอียงไปในทางที่จะให้เอกราชกับเชเชน… ปูตินจีงประกาศสั่งระงับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือ นายกเทศมนตรี ทุกอย่างขะงักกึก……… เท่ากับว่า มอสโคว์คือศูนย์กลางของการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เปรียบได้ว่าการปกครองได้กลับเข้าไปสู่ยุคของคอมมิวนิสต์ เพราะเขาได้ประกาศว่า…… “ประชากรชาวรัสเชี่ยนของเรา ยังมีความคิดล้าหลัง ยังไม่ปรับตัวให้ทันกับสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่มาถึงพร้อมกับความชั่วร้าย ……เราต้องใช้เวลากับการทำความรู้จักกับมัน……เพราะสิ่งที่จะใช้ได้ผลที่สุดในยามนี้ คือการยืนค่อนไปทางซ้าย..(ระบอบคอมมิวนิสต์)” พรรคฝ่ายซ้ายขานรับกันจ้าละหวั่น และ เสนอตัวกันอย่างแข็งขันในการร่วมมือ … ~~~หลังจากการก่อการร้ายของ Shamil Basayev ที่ได้สร้างความเขย่าขวัญนานหลายปี ตั้งแต่วางแผนจับตัวประกันที่โรงละคร และ ที่โรงเรียน รวมทั้งที่อื่นๆทั่วรัสเซียนานกว่าสิบปี ฝ่าย FSB ได้ถือว่า ชามิล คือ อาชญากรที่ทางแารรัสเซียต้องการตัวที่สุด ในที่สุด การ”ล่อซื้อ” ได้เกิดขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2006 นั่นคือ การค้าขายอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่เป็นล๊อตขนาดใหญ่ ที่มีจุดรับของที่หมู่บ้าน Ekazhevo ชามิล และคณะมารอรับ และเมื่อรถบรรทุกอาวุธที่ว่ามาถึง ระหว่างที่มีการตรวจคุณภาพของกัน รถบรรทุกได้เกิดระเบิดขึ้น คร่าชีวิตของชามิลและคณะนับสิบคน…ตามวัตถุประสงค์ของ FSB ……!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 344 Views 0 Reviews
  • จะบอกติ่งๆทั้งหลายว่า……โหด……มัน……ฮานิดหน่อย ไม่มีใครเกินพี่ปูคนนี้….

    ตอนสิบสอง……สู่บัลลังก์อำนาจ ด้วยการผ่านอุปสรรคที่เกิดขึ้นรายวัน……ไม่ว่าบู๊……ว่าบุ๋น……!!!

    ประธานาธิบดีบุชได้โทรกลับมา ปูตินได้แสดงความเสียใจและเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงใจ
    ความโกรธ ความชังอเมริกันที่นาโต้ไปบอมบ์ที่ Kosovo ก็พักไว้ก่อน
    ประชาชนชาวรัสเซียได้นำดอกไม้ไปวางเพื่อแสดงความเสียใจที่หน้าสถานทูตอเมริกาเป็นกองพะเนิน
    ปูตินได้ย้ำกับปธน. บุช ว่า……
    “ในช่วงเวลาที่วุ่นวาย โหดร้ายเช่นนี้ ……เราจะยืนหยัดสู้ไปด้วยกัน……”
    ที่ลึกๆแล้ว……ปูตินมีความประทับใจในประธานาธิบดีบุชอยู่เป็นทุน
    เนื่องจากตอนที่บุชหาเสียงในปี 1999 (คู่แข่งคือ นาย Al Gore)
    เขาได้ประกาศนโยบายว่า ……จะไม่ยุ่งกับสงครามเชเชน..…

    เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ทั้งคู่จึงได้พบกันเป็นครั้วแรกใน เดือนมิถุนายน
    2001 ที่ Ljubljana, Slovenia
    คราวนี้ต่างคนต่างเตรียมตัวมาดี ในการ(แอบ) อ่านประวัติส่วนตัวของคู่สนทนากันมา เช่น
    ปูตินชวนบุชคุยถึงเรื่องรักบี้ (เพราะเป็นกีฬาโปรดสมัยหนุ่ม)
    แต่บุชมาเหนือกว่า……เขาถามปูตินถึงเรื่อง”กางเขน” ที่ถูกไฟไหม้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น้อยคนจะทราบ
    เล่นเอาปูติน…งงไปพักนึง(นับว่าการข่าวของอเมริกันนั้น เชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง

    ต่อภายหลังเมื่อมีคนถามบุช…ว่า คิดว่าคนอย่างปูตินเป็นอย่างไร?
    เขาตอบว่า เป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคนที่มั่นคงกับการเห็นชาติพัฒนาไปในทางที่ดี ผมชอบเขานะ……ได้เขิญเขามาเที่ยวที่บ้านไร่ในเท็กซัสด้วย”
    ทั้งๆที่งานนี้……มีแต่คนสงสัยว่า จะเชื่อปูตินได้ยังไง ในเมื่อ KGB เก่าพวกนี้
    เขาไม่เคยพูดความจริงอะไรกับใคร……

    ในช่วงของการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ปูตินเดินทางไปทั่วรัสเซีย
    และอีก 18 ประเทศ ที่มีลุดมิลาเคียงคู่ไปด้วย เป็นการประกาศกลายๆ
    ว่าโลกได้ปลอดจากสงครามเย็นไปแล้ว และตอนนี้รัสเซียพร้อมที่จะเปิดกว้างกับการที่จะก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาอย่างเต็มสูบ

    ในปี 2001 ปูตินปิดหน่วยงาน(โซเวียต) ที่ คิวบา, เวียดนาม
    พร้อมทั้งหันมาพัฒนากองทัพเต็มรูปแบบ และเพิ่มประสิทธิภาพทางฝั่งเหนือของคอร์เคซัส ในการที่จะส่ายตาหากลุ่มอิสลามหัวรุนแรง

    หลังจากวิกฤต 9/11 ปูตินอ่อนข้อให้กับการขยายเขตแดนของนาโต้ ที่ก้าวเข้ามากวาด Lithuania, Latvia, Estonia ที่อยู่ติดกับรัสเซีย
    บางครั้งปูตินยังเคยบอกว่า……รัสเซียเองก็สนใจที่จะเข้าร่วมในนาโต้ด้วยเช่นกัน (ไม่รู้ว่าประชด หรือ พูดจริง)
    อเมริกาได้เปิดฉากทำสงครามล้างแค้นกับกลุ่มอัลเคดะห์ และ กลุ่มตาลีบัน
    ในอาฟกานิสถาน ในเดือนตุลาคม ที่ปูตินได้ช่วยทั้งเงินและอาวุธ
    ช่วยกองทัพอัฟกันในการต่อต้านกับตาลีบัน
    และได้โอนอ่อน…ไม่ขัดขวางเมื่อกองทัพอเมริกันมาตั้งฐานที่ Uzbekistan และ Kyrgyzstan
    ซึ่งนี่คือประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่กองทัพอเมริกันได้เข้ามาเหยียบในแผ่นดินฝั่งนี้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง

    หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุกับเรือดำน้ำ Kursk ปูตินได้หันมาจี้เรื่องกองทัพด้วยตัวเอง เขาปลดพวกนายพลเช้าชามเย็นชามออกไปเป็นแผง
    เพิ่มเงินเดือนให้กับทหารรุ่นใหม่ พร้อมสวัสดิการอัดแน่น
    ทำเพลงชาติให้มีเนื้อเพลงคำร้อง ให้ทันสมัย ให้พ้นไปจากเงาของโซเวียต
    เพราะตอนที่นักกีฬารัสเซียไปแข่งในโอลิมปิคที่ซิดนีย์ ในปี 2000
    ได้เหรียญมากันทุกชนิด แต่เวลาขึ้นแท่นรับเหรียญ ไม่สามารถร้องเพลงชาติได้ เพราะมีแต่ดนตรี
    ชาวรัสเชี่ยนเริ่มมีชีวิตชีวากับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และชื่นชมปูตินที่เขาได้พูดถึงก้าวใหม่นี้ว่า
    “ใครก็ตามที่ไม่รู้สึกรู้สมกับความล่มสลายของโซเวียต คือคนไม่มีหัวใจ
    และใครก็ตามที่ไม่อยากก้าวไปข้างหน้า…คือคนไม่มีสมอง…”

    การปฏิวัติทางด้านกองทัพ เขาได้แต่งตั้ง Sergei Ivanov (KGB เพื่อนเก่าและร่วมมหาวิทยาลัย เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ และ สวีดิช)
    ขึ้นมาคุมกำลัง เป็น รัฐมนตรีกลาโหม
    และฝ่ายงบประมาณกองทัพ คือ Lyubov Kudelina เพื่อมาดูแลเรื่องเงิน
    ส่วนนายพลที่มีประวัติมือไม่สะอาด เช่นYevgeny Adamov (สมัยเยลซิน)
    ที่มีส่วนพัวพันกับเปอร์เซ็นต์ในงบสร้างฐานนิวเคลียร์ พร้อมกับคนอื่นๆ
    ถูกส่งเข้าเก็บกรุนายพลที่ไร้สมรรถภาพ…

    รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ อิวานอฟ ทำงานเร็วทันใจ เพียงสามวันหลังจากเหตุการณ์ 9/11 เขาได้ส่งสัญญาณให้ปูตินทราบว่า อเมริกากำลังขยายกำลังของนาโต้เข้ามาในส่วนของฝั่งชายขอบเอเซียกลาง (กลุ่มประเทศที่ลงท้ายด้วยคำว่า สถาน ทั้งหลาย)
    แต่ปูติน……มองเห็นว่า การสร้างสัมพันธภาพอันดีกับบุช คือสิ่งจำเป็น
    อย่างอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง…
    และการที่จะสร้างสัมพันธไมตรีอันดี อย่างแรกเลยที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยการเรียนภาษาอังกฤษวันละหนึ่งชั่วโมงที่สถาบัน
    American Diplomacy and Commerce และเขาได้ใช้เป็นครั้งแรกในการสนทนากับบุช ในภาษาอังกฤษสำเนียงรัสเซียปนเยอรมันว่า
    “ผมเห็นว่าคุณตั้งชื่อลูกสาวตามชื่อแม่ และ แม่ยายของคุณ……”
    “นั่นซิ…ก็ผมมันเป็นนักการเมืองชั้นเยี่ยมไงล่ะ..”
    “เออ……ใช่จริงๆ เพราะของผมก็เหมือนกัน..”
    แล้วสองคนก็หัวเราะเฮฮากันไป

    สองคนนี้ได้พบกันอีกครั้งเมื่อการประชุม Asia-Pacific Economic Cooperation Summit ที่เซี่ยงไฮ้ ในเดือนตุลาคม
    และได้คุยกันถึงเรื่องการสร้าง(จำนวน) ซ้อม(ยิง) นิวเคลียร์ที่ยังไม่ชัดเจน
    ที่ทำให้ประธานาธิบดีบุช ต้องเชิญปูตินไปยังทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกาในเดือน พฤศจิกายน
    เขาได้ไปเยี่ยมไร่ของบุชที่เท๊กซัสเป็นการส่วนตัว มีการเลี้ยงปิ้งย่าง บาร์บีคิว ปูตินได้กล่าวว่า
    “ผมไม่เคยไปเยี่ยมเยียนผู้คนไหนถึงในบ้านเลย…นับว่าเป็นโชคดีที่ได้มาถึงที่นี่ “
    และเขาได้ไปดูตึกที่ถล่มทลายและได้แสดงความอาลัย

    แต่.…เพียงสามอาทิตย์ต่อมา บุชได้โทรศัพท์มาถึงปูติน บอกว่า
    นโยบายทางเพนตากอนได้มีมติให้อเมริกาถอนตัวไม่เข้าร่วมกับโครงการ
    ABM (Anti-Ballistic Missile)
    เท่ากับว่า….ปูตินถูกอเมริกาเทอย่างหน้าตาเฉย…ทั้งๆที่เริ่มต้นทำท่าจะดี..

    การก่อกวนในเชเชนหลังจากสงครามยังไม่หยุด กลุ่มหัวรุนแรงได้เริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ปูตินได้ประกาศว่า ต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น
    จึงทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำเป็นขบวนการใต้ดิน
    ที่ทำให้เกิดการจับคนดูเป็นตัวประกันที่ โรงละคร Palace of Culture ในกรุงมอสโคว์ วันที่ 24 ตุลาคม 2002 ที่กำลังแสดงละครย้อนยุคที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล บัตรใบละ 15 ดอลล่าร์ (เทียบเท่า ที่นับว่าแพงมาก)
    โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายแต่งกายเป็นคนงาน ขึ้นไปบนเวที
    ท่ามกลางความสับสนของคนดู ที่คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง
    แต่.…คณะผู้ก่อการร้ายในการนำของ Movsar Barayev** ได้กราดกระสุน AK-47 ขึ้นไปบนเพดาน และประกาศว่า ประตูทุกบานได้มีสลักระเบิดผูกติดอยู่
    ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีดำ ได้ก้าวเข้ามาอยู่กลางกลุ่มคนดู
    และเปิดเสื้อคลุมให้เห็นว่า ข้างในนั้น ร่างของเธอได้ผูกติดระเบิดเอาไว้
    พร้อมที่จะดึงสลัก หากว่า……มีเจ้าหน้าที่จู่โจมเข้ามา
    ทั้งประกาศก้องว่า….ในนามพระอัลลาห์ พวกเราตายหนึ่ง แต่จะเกิดร้อย
    และถ้าใครมีโทรศัพท์……ให้โทรไปบอกครอบครัวได้เลยว่า
    ต้องตายเพราะสงครามเชเชน และถ้าอยากรอด……หนทางเดียวคือรัสเซียต้องถอนทัพออกไป เลิกสงครามทันที…!!!

    ปูตินอยู่ในสภาพที่หลังชนกำแพง จากที่กองทัพทำสงครามยืดเยื้อในเชเชน……หน่วย FSB ที่ทำงานประสาอะไรปล่อยให้ผู้ก่อการร้ายเข้ามาถึงในมอสโคว์
    เขายกเลิกแผนการเดินทางทั้งหมด (ที่จะไป เยอรมัน,โปรตุเกส และ เม๊กซิโก)
    เรียกหน่วยข่าวกรอง บรรดาสายลับทั้งหลาย และตัวหัวหน้า Nikolai Patrushev เข้ามาพบโดยด่วน เตรียมการบุกโรงละคร
    เรียกหน่วยคอมมานโดให้เตรียมพร้อม
    คนค้าน……คือ นายกรัฐมนตรี Mikhaïl Kasyanov ด้วยเกรงว่าการทำอย่างนี้เสี่ยงเกินไป ผู้บริสุทธิ์อาจจะได้รับเคราะห์
    ปูตินบอกว่า “ถ้าป๊อด……ก็ออกไปห่างๆเลย……”
    เขาได้ส่งท่านนายกรัฐมนตรีมิเกล ออกไปประชุมแทนในตามรายชื่อประเทศ…จะได้ไม่ต้องมารับรู้อะไร

    ข้างในโรงละคร…ในกลุ่มคนดู ก็มีบุคคลสำคัญหลายคนในหลายวงการ
    ส่วนผู้ที่ได้ถูกปล่อยตัวออกมา คือ กลุ่มเด็กเล็กจำนวน 39 คน ที่ได้ให้การว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่น ที่เติบโตมากับสงครามในคอร์เคซัส ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะยังไม่รู้เรื่องราวอะไรมากนัก
    เมื่อถูกถามว่า “ที่อยากให้เลิกสงคราม หมายความว่าอะไร..เพื่อ..?”
    คนกลุ่มนั้น ตอบไม่ได้ ลังเล ไม่แน่ใจ……
    ในวันที่สองของการจับตัวประกัน ที่ทุกคนเริ่มอ่อนล้า หิวโหย กระหาย
    วิตก……
    กลุ่มก่อการร้ายได้สังหารคนไปหลายคน ที่พยายามหาทางออก
    เจ้าหน้าที่ได้เจรจาขอให้มีการส่งอาหารและน้ำได้สำเร็จ

    ตีห้าของวันรุ่งขึ้น ขณะที่ทุกคนกำลังหลับ อ่อนแรง เตรียมพร้อมกับการที่จะเจรจาในตอนสิบโมงเช้า ตามที่เครมลินได้ส่งข่าวมา
    ทางหน่วยคอมมานโดที่ได้เจาะอุโมงค์ใต้ดินเข้าไปจากอาคารข้างๆ และได้ติดไมโครโฟนดักฟังจนรู้ตำแหน่งของผู้ก่อการร้าย
    กังวลที่สุด คือ อาคารทั้งหลังอาจจะระเบิดขึ้นมาได้
    ปูตินได้สั่งการเด็ดขาดว่า……จับตายทั้งหมดเท่านั้น……!!
    การใช้ ยาสลบ fentanyl ที่เป็นอาวุธชนิดหนึ่งของ FSB ได้ทำการแสดงฝีมือ คือ ฉีดส่งเข้าไปในท่อระบายอากาศ ที่ทำให้ทุกคนหลับแบบร่วงผล็อย
    แต่กลุ่มที่ระวังอยู่ด้านนอก มีการปะทะดุเดือด กลุ่มผู้ก่อการร้าย 41 คน
    มีกระสุนเจาะที่สมอง…… ตัวหัวหน้า Barayev ได้ถูกสังหารในวันคล้ายวันเกิดของตัวเอง
    แต่ตัวประกันได้เสียชีวิตไปกว่าร้อยคน จากการโดนสังหารของผู้ก่อการร้าย และ บางคนเสียชีวิตเพราะสารยาสลบ เพราะมีอายุ และสุขภาพที่ไม่ดี

    ปูตินได้ออกโทรทัศน์ เพื่อทำการขอโทษประชาชนที่เขาไม่สามารถรักษาชีวิตได้ทุกคน ……แต่รัสเซียจะไม่ยอมให้หน้าไหนมาหยาม..!!

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันได้บอกกับปูตินว่าสงครามได้มาในรูปแบบใหม่
    ที่ได้ก้าวล่วงเข้ามาก่อกวนในประเทศ และที่นอกประเทศในขอบชายแดน
    ก็ขยายวงขึ้นเพราะการได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกแผ่นดิน ปูตินไม่มีทางอื่น นอกจากต้องหักเท่านั้น……ไม่มีงอ
    ข่าวนี้……ทำให้ Aslan Maskhadov หัวหน้ากบฎเชเชนที่ได้ใช้ตัวแทนในโคเปนเฮเกน มาเสนอการเจรจาสันติภาพแบบไม่มีเงื่อนไข
    แต่ทางเครมลิน……ปฏิเสธ ไม่เจรจา แถมยังประกาศจับตัวแทนเจรจา Ahmed Zakayev(อดีตรองนายกรัฐมนตรีเชเชน และ เป็นฝ่ายโปรกบฏ)
    เดนมาร์ก……จับตัวให้ แต่ไม่ส่งให้รัสเซีย เพราะข้อกล่าวหาทางรัสเซียที่พัวพันไปในเรื่องโรงละครด้วย

    คนที่ออกมารับหน้าในเรื่องโรงละคร คือ Shamil Basayev**(หัวหน้าใหญ่กลุ่มกบฏเชเชน) ที่ออกมาประกาศกร้าวว่า “นี่คือบทเรียนที่รัสเซียสมควรได้รับ..”
    ปูตินรับคำขู่ด้วยการขานรับ เล่นงานเชเชนหนักขึ้น
    ฝ่ายโลกเสรีได้ยิงคำถามในเรื่องการใช้อาวุธด้วยการฝังทุ่นระเบิดไปทั่ว
    เขาตอบว่า “ ในวินาทีนี้ ใครก็ตามที่นับถือศาสนาคริสต์ ล้วนแต่ตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าจะเปลี่ยนเป็นมุสลิม……ก็ไม่รอด เพราะเขาเชื่อว่าการตายคือการไปพบพระเจ้า…ไม่ใช่หรือ……?!!
    และต่อด้วยภาษานักเลงสุดๆ กับนักข่าวที่ถาม (จนบางคนไม่กล้าแปล…)
    ว่า……

    “ ถ้าคุณตัดสินใจอยากจะเป็นมุสลิมอย่างที่พวกเขาเป็น และพร้อมที่จะไปพบกับพระเจ้า…ขอเชิญไปที่มอสโคว์ เพราะพวกเราไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มตัว และรับรองได้ว่า เรามีสารพัดวิธีที่คุณจะไม่เติบโตต่อไปอีก………”

    **Shamil Basayev ผู้ก่อการร้ายตัวยง ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ร้ายที่ทั้งโลกต้องการตัว เขาเป็นคนวางแผนเรื่องโรงละคร และการวางระเบิดเครื่องบินรัสเซีย เขาได้ถูกสังหารด้วยระเบิดกับดักที่มากับรถบรรทุก ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2006

    Wiwanda W. Vichit
    จะบอกติ่งๆทั้งหลายว่า……โหด……มัน……ฮานิดหน่อย ไม่มีใครเกินพี่ปูคนนี้…. ตอนสิบสอง……สู่บัลลังก์อำนาจ ด้วยการผ่านอุปสรรคที่เกิดขึ้นรายวัน……ไม่ว่าบู๊……ว่าบุ๋น……!!! ประธานาธิบดีบุชได้โทรกลับมา ปูตินได้แสดงความเสียใจและเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงใจ ความโกรธ ความชังอเมริกันที่นาโต้ไปบอมบ์ที่ Kosovo ก็พักไว้ก่อน ประชาชนชาวรัสเซียได้นำดอกไม้ไปวางเพื่อแสดงความเสียใจที่หน้าสถานทูตอเมริกาเป็นกองพะเนิน ปูตินได้ย้ำกับปธน. บุช ว่า…… “ในช่วงเวลาที่วุ่นวาย โหดร้ายเช่นนี้ ……เราจะยืนหยัดสู้ไปด้วยกัน……” ที่ลึกๆแล้ว……ปูตินมีความประทับใจในประธานาธิบดีบุชอยู่เป็นทุน เนื่องจากตอนที่บุชหาเสียงในปี 1999 (คู่แข่งคือ นาย Al Gore) เขาได้ประกาศนโยบายว่า ……จะไม่ยุ่งกับสงครามเชเชน..… เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ทั้งคู่จึงได้พบกันเป็นครั้วแรกใน เดือนมิถุนายน 2001 ที่ Ljubljana, Slovenia คราวนี้ต่างคนต่างเตรียมตัวมาดี ในการ(แอบ) อ่านประวัติส่วนตัวของคู่สนทนากันมา เช่น ปูตินชวนบุชคุยถึงเรื่องรักบี้ (เพราะเป็นกีฬาโปรดสมัยหนุ่ม) แต่บุชมาเหนือกว่า……เขาถามปูตินถึงเรื่อง”กางเขน” ที่ถูกไฟไหม้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น้อยคนจะทราบ เล่นเอาปูติน…งงไปพักนึง(นับว่าการข่าวของอเมริกันนั้น เชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง ต่อภายหลังเมื่อมีคนถามบุช…ว่า คิดว่าคนอย่างปูตินเป็นอย่างไร? เขาตอบว่า เป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคนที่มั่นคงกับการเห็นชาติพัฒนาไปในทางที่ดี ผมชอบเขานะ……ได้เขิญเขามาเที่ยวที่บ้านไร่ในเท็กซัสด้วย” ทั้งๆที่งานนี้……มีแต่คนสงสัยว่า จะเชื่อปูตินได้ยังไง ในเมื่อ KGB เก่าพวกนี้ เขาไม่เคยพูดความจริงอะไรกับใคร…… ในช่วงของการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ปูตินเดินทางไปทั่วรัสเซีย และอีก 18 ประเทศ ที่มีลุดมิลาเคียงคู่ไปด้วย เป็นการประกาศกลายๆ ว่าโลกได้ปลอดจากสงครามเย็นไปแล้ว และตอนนี้รัสเซียพร้อมที่จะเปิดกว้างกับการที่จะก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาอย่างเต็มสูบ ในปี 2001 ปูตินปิดหน่วยงาน(โซเวียต) ที่ คิวบา, เวียดนาม พร้อมทั้งหันมาพัฒนากองทัพเต็มรูปแบบ และเพิ่มประสิทธิภาพทางฝั่งเหนือของคอร์เคซัส ในการที่จะส่ายตาหากลุ่มอิสลามหัวรุนแรง หลังจากวิกฤต 9/11 ปูตินอ่อนข้อให้กับการขยายเขตแดนของนาโต้ ที่ก้าวเข้ามากวาด Lithuania, Latvia, Estonia ที่อยู่ติดกับรัสเซีย บางครั้งปูตินยังเคยบอกว่า……รัสเซียเองก็สนใจที่จะเข้าร่วมในนาโต้ด้วยเช่นกัน (ไม่รู้ว่าประชด หรือ พูดจริง) อเมริกาได้เปิดฉากทำสงครามล้างแค้นกับกลุ่มอัลเคดะห์ และ กลุ่มตาลีบัน ในอาฟกานิสถาน ในเดือนตุลาคม ที่ปูตินได้ช่วยทั้งเงินและอาวุธ ช่วยกองทัพอัฟกันในการต่อต้านกับตาลีบัน และได้โอนอ่อน…ไม่ขัดขวางเมื่อกองทัพอเมริกันมาตั้งฐานที่ Uzbekistan และ Kyrgyzstan ซึ่งนี่คือประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่กองทัพอเมริกันได้เข้ามาเหยียบในแผ่นดินฝั่งนี้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุกับเรือดำน้ำ Kursk ปูตินได้หันมาจี้เรื่องกองทัพด้วยตัวเอง เขาปลดพวกนายพลเช้าชามเย็นชามออกไปเป็นแผง เพิ่มเงินเดือนให้กับทหารรุ่นใหม่ พร้อมสวัสดิการอัดแน่น ทำเพลงชาติให้มีเนื้อเพลงคำร้อง ให้ทันสมัย ให้พ้นไปจากเงาของโซเวียต เพราะตอนที่นักกีฬารัสเซียไปแข่งในโอลิมปิคที่ซิดนีย์ ในปี 2000 ได้เหรียญมากันทุกชนิด แต่เวลาขึ้นแท่นรับเหรียญ ไม่สามารถร้องเพลงชาติได้ เพราะมีแต่ดนตรี ชาวรัสเชี่ยนเริ่มมีชีวิตชีวากับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และชื่นชมปูตินที่เขาได้พูดถึงก้าวใหม่นี้ว่า “ใครก็ตามที่ไม่รู้สึกรู้สมกับความล่มสลายของโซเวียต คือคนไม่มีหัวใจ และใครก็ตามที่ไม่อยากก้าวไปข้างหน้า…คือคนไม่มีสมอง…” การปฏิวัติทางด้านกองทัพ เขาได้แต่งตั้ง Sergei Ivanov (KGB เพื่อนเก่าและร่วมมหาวิทยาลัย เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ และ สวีดิช) ขึ้นมาคุมกำลัง เป็น รัฐมนตรีกลาโหม และฝ่ายงบประมาณกองทัพ คือ Lyubov Kudelina เพื่อมาดูแลเรื่องเงิน ส่วนนายพลที่มีประวัติมือไม่สะอาด เช่นYevgeny Adamov (สมัยเยลซิน) ที่มีส่วนพัวพันกับเปอร์เซ็นต์ในงบสร้างฐานนิวเคลียร์ พร้อมกับคนอื่นๆ ถูกส่งเข้าเก็บกรุนายพลที่ไร้สมรรถภาพ… รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ อิวานอฟ ทำงานเร็วทันใจ เพียงสามวันหลังจากเหตุการณ์ 9/11 เขาได้ส่งสัญญาณให้ปูตินทราบว่า อเมริกากำลังขยายกำลังของนาโต้เข้ามาในส่วนของฝั่งชายขอบเอเซียกลาง (กลุ่มประเทศที่ลงท้ายด้วยคำว่า สถาน ทั้งหลาย) แต่ปูติน……มองเห็นว่า การสร้างสัมพันธภาพอันดีกับบุช คือสิ่งจำเป็น อย่างอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง… และการที่จะสร้างสัมพันธไมตรีอันดี อย่างแรกเลยที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยการเรียนภาษาอังกฤษวันละหนึ่งชั่วโมงที่สถาบัน American Diplomacy and Commerce และเขาได้ใช้เป็นครั้งแรกในการสนทนากับบุช ในภาษาอังกฤษสำเนียงรัสเซียปนเยอรมันว่า “ผมเห็นว่าคุณตั้งชื่อลูกสาวตามชื่อแม่ และ แม่ยายของคุณ……” “นั่นซิ…ก็ผมมันเป็นนักการเมืองชั้นเยี่ยมไงล่ะ..” “เออ……ใช่จริงๆ เพราะของผมก็เหมือนกัน..” แล้วสองคนก็หัวเราะเฮฮากันไป สองคนนี้ได้พบกันอีกครั้งเมื่อการประชุม Asia-Pacific Economic Cooperation Summit ที่เซี่ยงไฮ้ ในเดือนตุลาคม และได้คุยกันถึงเรื่องการสร้าง(จำนวน) ซ้อม(ยิง) นิวเคลียร์ที่ยังไม่ชัดเจน ที่ทำให้ประธานาธิบดีบุช ต้องเชิญปูตินไปยังทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกาในเดือน พฤศจิกายน เขาได้ไปเยี่ยมไร่ของบุชที่เท๊กซัสเป็นการส่วนตัว มีการเลี้ยงปิ้งย่าง บาร์บีคิว ปูตินได้กล่าวว่า “ผมไม่เคยไปเยี่ยมเยียนผู้คนไหนถึงในบ้านเลย…นับว่าเป็นโชคดีที่ได้มาถึงที่นี่ “ และเขาได้ไปดูตึกที่ถล่มทลายและได้แสดงความอาลัย แต่.…เพียงสามอาทิตย์ต่อมา บุชได้โทรศัพท์มาถึงปูติน บอกว่า นโยบายทางเพนตากอนได้มีมติให้อเมริกาถอนตัวไม่เข้าร่วมกับโครงการ ABM (Anti-Ballistic Missile) เท่ากับว่า….ปูตินถูกอเมริกาเทอย่างหน้าตาเฉย…ทั้งๆที่เริ่มต้นทำท่าจะดี.. การก่อกวนในเชเชนหลังจากสงครามยังไม่หยุด กลุ่มหัวรุนแรงได้เริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ปูตินได้ประกาศว่า ต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น จึงทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำเป็นขบวนการใต้ดิน ที่ทำให้เกิดการจับคนดูเป็นตัวประกันที่ โรงละคร Palace of Culture ในกรุงมอสโคว์ วันที่ 24 ตุลาคม 2002 ที่กำลังแสดงละครย้อนยุคที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล บัตรใบละ 15 ดอลล่าร์ (เทียบเท่า ที่นับว่าแพงมาก) โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายแต่งกายเป็นคนงาน ขึ้นไปบนเวที ท่ามกลางความสับสนของคนดู ที่คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง แต่.…คณะผู้ก่อการร้ายในการนำของ Movsar Barayev** ได้กราดกระสุน AK-47 ขึ้นไปบนเพดาน และประกาศว่า ประตูทุกบานได้มีสลักระเบิดผูกติดอยู่ ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีดำ ได้ก้าวเข้ามาอยู่กลางกลุ่มคนดู และเปิดเสื้อคลุมให้เห็นว่า ข้างในนั้น ร่างของเธอได้ผูกติดระเบิดเอาไว้ พร้อมที่จะดึงสลัก หากว่า……มีเจ้าหน้าที่จู่โจมเข้ามา ทั้งประกาศก้องว่า….ในนามพระอัลลาห์ พวกเราตายหนึ่ง แต่จะเกิดร้อย และถ้าใครมีโทรศัพท์……ให้โทรไปบอกครอบครัวได้เลยว่า ต้องตายเพราะสงครามเชเชน และถ้าอยากรอด……หนทางเดียวคือรัสเซียต้องถอนทัพออกไป เลิกสงครามทันที…!!! ปูตินอยู่ในสภาพที่หลังชนกำแพง จากที่กองทัพทำสงครามยืดเยื้อในเชเชน……หน่วย FSB ที่ทำงานประสาอะไรปล่อยให้ผู้ก่อการร้ายเข้ามาถึงในมอสโคว์ เขายกเลิกแผนการเดินทางทั้งหมด (ที่จะไป เยอรมัน,โปรตุเกส และ เม๊กซิโก) เรียกหน่วยข่าวกรอง บรรดาสายลับทั้งหลาย และตัวหัวหน้า Nikolai Patrushev เข้ามาพบโดยด่วน เตรียมการบุกโรงละคร เรียกหน่วยคอมมานโดให้เตรียมพร้อม คนค้าน……คือ นายกรัฐมนตรี Mikhaïl Kasyanov ด้วยเกรงว่าการทำอย่างนี้เสี่ยงเกินไป ผู้บริสุทธิ์อาจจะได้รับเคราะห์ ปูตินบอกว่า “ถ้าป๊อด……ก็ออกไปห่างๆเลย……” เขาได้ส่งท่านนายกรัฐมนตรีมิเกล ออกไปประชุมแทนในตามรายชื่อประเทศ…จะได้ไม่ต้องมารับรู้อะไร ข้างในโรงละคร…ในกลุ่มคนดู ก็มีบุคคลสำคัญหลายคนในหลายวงการ ส่วนผู้ที่ได้ถูกปล่อยตัวออกมา คือ กลุ่มเด็กเล็กจำนวน 39 คน ที่ได้ให้การว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่น ที่เติบโตมากับสงครามในคอร์เคซัส ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะยังไม่รู้เรื่องราวอะไรมากนัก เมื่อถูกถามว่า “ที่อยากให้เลิกสงคราม หมายความว่าอะไร..เพื่อ..?” คนกลุ่มนั้น ตอบไม่ได้ ลังเล ไม่แน่ใจ…… ในวันที่สองของการจับตัวประกัน ที่ทุกคนเริ่มอ่อนล้า หิวโหย กระหาย วิตก…… กลุ่มก่อการร้ายได้สังหารคนไปหลายคน ที่พยายามหาทางออก เจ้าหน้าที่ได้เจรจาขอให้มีการส่งอาหารและน้ำได้สำเร็จ ตีห้าของวันรุ่งขึ้น ขณะที่ทุกคนกำลังหลับ อ่อนแรง เตรียมพร้อมกับการที่จะเจรจาในตอนสิบโมงเช้า ตามที่เครมลินได้ส่งข่าวมา ทางหน่วยคอมมานโดที่ได้เจาะอุโมงค์ใต้ดินเข้าไปจากอาคารข้างๆ และได้ติดไมโครโฟนดักฟังจนรู้ตำแหน่งของผู้ก่อการร้าย กังวลที่สุด คือ อาคารทั้งหลังอาจจะระเบิดขึ้นมาได้ ปูตินได้สั่งการเด็ดขาดว่า……จับตายทั้งหมดเท่านั้น……!! การใช้ ยาสลบ fentanyl ที่เป็นอาวุธชนิดหนึ่งของ FSB ได้ทำการแสดงฝีมือ คือ ฉีดส่งเข้าไปในท่อระบายอากาศ ที่ทำให้ทุกคนหลับแบบร่วงผล็อย แต่กลุ่มที่ระวังอยู่ด้านนอก มีการปะทะดุเดือด กลุ่มผู้ก่อการร้าย 41 คน มีกระสุนเจาะที่สมอง…… ตัวหัวหน้า Barayev ได้ถูกสังหารในวันคล้ายวันเกิดของตัวเอง แต่ตัวประกันได้เสียชีวิตไปกว่าร้อยคน จากการโดนสังหารของผู้ก่อการร้าย และ บางคนเสียชีวิตเพราะสารยาสลบ เพราะมีอายุ และสุขภาพที่ไม่ดี ปูตินได้ออกโทรทัศน์ เพื่อทำการขอโทษประชาชนที่เขาไม่สามารถรักษาชีวิตได้ทุกคน ……แต่รัสเซียจะไม่ยอมให้หน้าไหนมาหยาม..!! เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันได้บอกกับปูตินว่าสงครามได้มาในรูปแบบใหม่ ที่ได้ก้าวล่วงเข้ามาก่อกวนในประเทศ และที่นอกประเทศในขอบชายแดน ก็ขยายวงขึ้นเพราะการได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกแผ่นดิน ปูตินไม่มีทางอื่น นอกจากต้องหักเท่านั้น……ไม่มีงอ ข่าวนี้……ทำให้ Aslan Maskhadov หัวหน้ากบฎเชเชนที่ได้ใช้ตัวแทนในโคเปนเฮเกน มาเสนอการเจรจาสันติภาพแบบไม่มีเงื่อนไข แต่ทางเครมลิน……ปฏิเสธ ไม่เจรจา แถมยังประกาศจับตัวแทนเจรจา Ahmed Zakayev(อดีตรองนายกรัฐมนตรีเชเชน และ เป็นฝ่ายโปรกบฏ) เดนมาร์ก……จับตัวให้ แต่ไม่ส่งให้รัสเซีย เพราะข้อกล่าวหาทางรัสเซียที่พัวพันไปในเรื่องโรงละครด้วย คนที่ออกมารับหน้าในเรื่องโรงละคร คือ Shamil Basayev**(หัวหน้าใหญ่กลุ่มกบฏเชเชน) ที่ออกมาประกาศกร้าวว่า “นี่คือบทเรียนที่รัสเซียสมควรได้รับ..” ปูตินรับคำขู่ด้วยการขานรับ เล่นงานเชเชนหนักขึ้น ฝ่ายโลกเสรีได้ยิงคำถามในเรื่องการใช้อาวุธด้วยการฝังทุ่นระเบิดไปทั่ว เขาตอบว่า “ ในวินาทีนี้ ใครก็ตามที่นับถือศาสนาคริสต์ ล้วนแต่ตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าจะเปลี่ยนเป็นมุสลิม……ก็ไม่รอด เพราะเขาเชื่อว่าการตายคือการไปพบพระเจ้า…ไม่ใช่หรือ……?!! และต่อด้วยภาษานักเลงสุดๆ กับนักข่าวที่ถาม (จนบางคนไม่กล้าแปล…) ว่า…… “ ถ้าคุณตัดสินใจอยากจะเป็นมุสลิมอย่างที่พวกเขาเป็น และพร้อมที่จะไปพบกับพระเจ้า…ขอเชิญไปที่มอสโคว์ เพราะพวกเราไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มตัว และรับรองได้ว่า เรามีสารพัดวิธีที่คุณจะไม่เติบโตต่อไปอีก………” **Shamil Basayev ผู้ก่อการร้ายตัวยง ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ร้ายที่ทั้งโลกต้องการตัว เขาเป็นคนวางแผนเรื่องโรงละคร และการวางระเบิดเครื่องบินรัสเซีย เขาได้ถูกสังหารด้วยระเบิดกับดักที่มากับรถบรรทุก ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2006 Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 540 Views 0 Reviews