• ช่องโหว่ร้ายแรงใน Fortinet FortiWeb: เสี่ยงถูกยึดสิทธิ์แอดมินโดยไม่ต้องล็อกอิน

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ Zero-Day ในผลิตภัณฑ์ Fortinet FortiWeb ซึ่งเป็น Web Application Firewall (WAF) ที่ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีผู้ใช้เดิม ช่องโหว่ถูกพบว่ามีการโจมตีจริงแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2025 และมีโค้ด PoC (Proof-of-Concept) เผยแพร่สู่สาธารณะ ทำให้ความเสี่ยงในการถูกโจมตีเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

    การโจมตีเริ่มต้นจากการส่ง HTTP POST request ที่ถูกปรับแต่งไปยัง FortiWeb Manager ซึ่งทำให้ระบบสร้างบัญชีผู้ดูแลใหม่โดยอัตโนมัติ นักวิจัยจาก Rapid7 ยืนยันว่าโค้ด PoC สามารถทำงานได้กับ FortiWeb เวอร์ชัน 8.0.1 แต่ไม่สามารถใช้ได้กับเวอร์ชัน 8.0.2 ซึ่งอาจบ่งชี้ว่า Fortinet ได้แก้ไขช่องโหว่โดยไม่ประกาศอย่างเป็นทางการในตอนแรก

    สิ่งที่น่ากังวลคือมีการพบการซื้อขายช่องโหว่นี้ในฟอรั่มใต้ดิน ทำให้ผู้โจมตีทั่วไปสามารถเข้าถึงเครื่องมือโจมตีได้ง่ายขึ้น องค์กรที่ยังใช้เวอร์ชันเก่าจึงตกอยู่ในความเสี่ยงสูง หากไม่รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุด ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้เพื่อสร้างบัญชีแอดมินปลอม ยึดระบบ และเข้าถึงข้อมูลสำคัญโดยไม่ถูกตรวจจับ

    Fortinet ได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการในภายหลัง โดยกำหนดรหัสช่องโหว่เป็น CVE-2025-64446 และให้คะแนนความรุนแรง CVSS 9.1 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับวิกฤติ พร้อมแนะนำให้องค์กรที่ใช้ FortiWeb รุ่น 7.0 ถึง 8.0.1 รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 8.0.2 ทันที เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องในวงกว้าง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ Zero-Day ใน Fortinet FortiWeb
    เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีเข้าถึงสิทธิ์แอดมินโดยไม่ต้องมีบัญชีผู้ใช้

    Proof-of-Concept (PoC) ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ
    ใช้งานได้กับ FortiWeb 8.0.1 แต่ไม่ทำงานกับ 8.0.2

    Fortinet ออกประกาศอย่างเป็นทางการ
    กำหนดรหัส CVE-2025-64446 และให้คะแนน CVSS 9.1

    แนวทางแก้ไข
    อัปเดตเป็น FortiWeb เวอร์ชัน 8.0.2 เพื่อปิดช่องโหว่

    ความเสี่ยงจากการโจมตี
    มีการพบการซื้อขายช่องโหว่ในฟอรั่มใต้ดิน เพิ่มโอกาสการโจมตีวงกว้าง

    องค์กรที่ยังใช้เวอร์ชันเก่า
    เสี่ยงถูกยึดระบบและสร้างบัญชีแอดมินปลอมโดยไม่ถูกตรวจจับ

    https://securityonline.info/zero-day-attack-warning-fortinet-fortiweb-exploit-grants-unauthenticated-admin-access/
    🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Fortinet FortiWeb: เสี่ยงถูกยึดสิทธิ์แอดมินโดยไม่ต้องล็อกอิน นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ Zero-Day ในผลิตภัณฑ์ Fortinet FortiWeb ซึ่งเป็น Web Application Firewall (WAF) ที่ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีผู้ใช้เดิม ช่องโหว่ถูกพบว่ามีการโจมตีจริงแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2025 และมีโค้ด PoC (Proof-of-Concept) เผยแพร่สู่สาธารณะ ทำให้ความเสี่ยงในการถูกโจมตีเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก การโจมตีเริ่มต้นจากการส่ง HTTP POST request ที่ถูกปรับแต่งไปยัง FortiWeb Manager ซึ่งทำให้ระบบสร้างบัญชีผู้ดูแลใหม่โดยอัตโนมัติ นักวิจัยจาก Rapid7 ยืนยันว่าโค้ด PoC สามารถทำงานได้กับ FortiWeb เวอร์ชัน 8.0.1 แต่ไม่สามารถใช้ได้กับเวอร์ชัน 8.0.2 ซึ่งอาจบ่งชี้ว่า Fortinet ได้แก้ไขช่องโหว่โดยไม่ประกาศอย่างเป็นทางการในตอนแรก สิ่งที่น่ากังวลคือมีการพบการซื้อขายช่องโหว่นี้ในฟอรั่มใต้ดิน ทำให้ผู้โจมตีทั่วไปสามารถเข้าถึงเครื่องมือโจมตีได้ง่ายขึ้น องค์กรที่ยังใช้เวอร์ชันเก่าจึงตกอยู่ในความเสี่ยงสูง หากไม่รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุด ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้เพื่อสร้างบัญชีแอดมินปลอม ยึดระบบ และเข้าถึงข้อมูลสำคัญโดยไม่ถูกตรวจจับ Fortinet ได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการในภายหลัง โดยกำหนดรหัสช่องโหว่เป็น CVE-2025-64446 และให้คะแนนความรุนแรง CVSS 9.1 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับวิกฤติ พร้อมแนะนำให้องค์กรที่ใช้ FortiWeb รุ่น 7.0 ถึง 8.0.1 รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 8.0.2 ทันที เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องในวงกว้าง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ Zero-Day ใน Fortinet FortiWeb ➡️ เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีเข้าถึงสิทธิ์แอดมินโดยไม่ต้องมีบัญชีผู้ใช้ ✅ Proof-of-Concept (PoC) ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ ➡️ ใช้งานได้กับ FortiWeb 8.0.1 แต่ไม่ทำงานกับ 8.0.2 ✅ Fortinet ออกประกาศอย่างเป็นทางการ ➡️ กำหนดรหัส CVE-2025-64446 และให้คะแนน CVSS 9.1 ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ อัปเดตเป็น FortiWeb เวอร์ชัน 8.0.2 เพื่อปิดช่องโหว่ ‼️ ความเสี่ยงจากการโจมตี ⛔ มีการพบการซื้อขายช่องโหว่ในฟอรั่มใต้ดิน เพิ่มโอกาสการโจมตีวงกว้าง ‼️ องค์กรที่ยังใช้เวอร์ชันเก่า ⛔ เสี่ยงถูกยึดระบบและสร้างบัญชีแอดมินปลอมโดยไม่ถูกตรวจจับ https://securityonline.info/zero-day-attack-warning-fortinet-fortiweb-exploit-grants-unauthenticated-admin-access/
    SECURITYONLINE.INFO
    ZERO-DAY ATTACK WARNING: Fortinet FortiWeb Exploit Grants Unauthenticated Admin Access!
    Cybersecurity firms warn of a Critical, actively exploited FortiWeb flaw that allows unauthenticated attackers to create a new administrator account on the FortiWeb Manager panel. Update to v8.0.2 immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลการทดสอบ PassMark ของ Core Ultra X7 358H

    ชิป Intel Core Ultra X7 358H ซึ่งเป็นรุ่นกลางสำหรับโน้ตบุ๊ก ได้คะแนน 4,282 คะแนนใน single-threaded และ 29,426 คะแนนใน multi-threaded ซึ่งต่ำกว่า Core Ultra 7 255H (4,347 คะแนน) และ 265H (4,433 คะแนน) ประมาณ 11–15%

    สเปกเบื้องต้นของชิป
    โครงสร้าง 16 คอร์ (4+8+4)
    แคช L3 ขนาด 18MB
    ใช้สถาปัตยกรรม Xe3 สำหรับ iGPU (Arc B390) แม้ยังเป็นตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) แต่ผลลัพธ์สะท้อนว่าประสิทธิภาพยังไม่สามารถแซงรุ่น Arrow Lake-H ได้

    iGPU Arc B390 เทียบกับ GPU Laptop
    iGPU Arc B390 ทำคะแนน 9,339 คะแนน ใกล้เคียง GTX 1650 Super แต่ยัง ช้ากว่า RTX 3050 Laptop ถึง 23% ซึ่งต่างจากผล Geekbench ก่อนหน้านี้ที่เคยแสดงว่าใกล้เคียง RTX 3050 Ti

    แนวโน้มและความคาดหวัง
    Core Ultra X7 358H จะเปิดตัวในเดือน มกราคม 2026 บนแพลตฟอร์มโน้ตบุ๊กเท่านั้น หากผลทดสอบจริงยังไม่ดีขึ้น Intel อาจต้องพึ่งพา Nova Lake ที่จะเปิดตัวปลายปี 2026 เพื่อแข่งขันกับคู่แข่ง AMD และ Apple

    สรุปประเด็นสำคัญ
    คะแนน PassMark ของ Core Ultra X7 358H
    Single-core: 4,282 / Multi-core: 29,426

    ด้อยกว่า Core Ultra 7 255H และ 265H
    ช้ากว่า 11–15% ในการทดสอบ multi-threaded

    iGPU Arc B390 ใกล้ GTX 1650 Super
    แต่ยังช้ากว่า RTX 3050 Laptop 23%

    เป็นเพียง engineering sample
    ผลลัพธ์อาจเปลี่ยนไปเมื่อเปิดตัวจริง

    เสี่ยงต่อการเสียเปรียบคู่แข่ง
    หากไม่ปรับปรุง อาจต้องพึ่ง Nova Lake ในปลายปี 2026


    https://wccftech.com/intel-core-ultra-x7-358h-benchmarked-on-passmark/
    🖥️ ผลการทดสอบ PassMark ของ Core Ultra X7 358H ชิป Intel Core Ultra X7 358H ซึ่งเป็นรุ่นกลางสำหรับโน้ตบุ๊ก ได้คะแนน 4,282 คะแนนใน single-threaded และ 29,426 คะแนนใน multi-threaded ซึ่งต่ำกว่า Core Ultra 7 255H (4,347 คะแนน) และ 265H (4,433 คะแนน) ประมาณ 11–15% ⚙️ สเปกเบื้องต้นของชิป 🔰 โครงสร้าง 16 คอร์ (4+8+4) 🔰 แคช L3 ขนาด 18MB 🔰 ใช้สถาปัตยกรรม Xe3 สำหรับ iGPU (Arc B390) แม้ยังเป็นตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) แต่ผลลัพธ์สะท้อนว่าประสิทธิภาพยังไม่สามารถแซงรุ่น Arrow Lake-H ได้ 🎮 iGPU Arc B390 เทียบกับ GPU Laptop iGPU Arc B390 ทำคะแนน 9,339 คะแนน ใกล้เคียง GTX 1650 Super แต่ยัง ช้ากว่า RTX 3050 Laptop ถึง 23% ซึ่งต่างจากผล Geekbench ก่อนหน้านี้ที่เคยแสดงว่าใกล้เคียง RTX 3050 Ti 🔮 แนวโน้มและความคาดหวัง Core Ultra X7 358H จะเปิดตัวในเดือน มกราคม 2026 บนแพลตฟอร์มโน้ตบุ๊กเท่านั้น หากผลทดสอบจริงยังไม่ดีขึ้น Intel อาจต้องพึ่งพา Nova Lake ที่จะเปิดตัวปลายปี 2026 เพื่อแข่งขันกับคู่แข่ง AMD และ Apple 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ คะแนน PassMark ของ Core Ultra X7 358H ➡️ Single-core: 4,282 / Multi-core: 29,426 ✅ ด้อยกว่า Core Ultra 7 255H และ 265H ➡️ ช้ากว่า 11–15% ในการทดสอบ multi-threaded ✅ iGPU Arc B390 ใกล้ GTX 1650 Super ➡️ แต่ยังช้ากว่า RTX 3050 Laptop 23% ‼️ เป็นเพียง engineering sample ⛔ ผลลัพธ์อาจเปลี่ยนไปเมื่อเปิดตัวจริง ‼️ เสี่ยงต่อการเสียเปรียบคู่แข่ง ⛔ หากไม่ปรับปรุง อาจต้องพึ่ง Nova Lake ในปลายปี 2026 https://wccftech.com/intel-core-ultra-x7-358h-benchmarked-on-passmark/
    WCCFTECH.COM
    Intel Core Ultra X7 358H Comes Out Noticeably Slower Than Ultra 7 265H On PassMark
    The upcoming Intel Core Ultra X7 358H is once again leaked in a benchmark on PassMark, revealing its prowess.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tachyum Prodigy – โปรเซสเซอร์ 1,024 คอร์

    หลังจากรอคอยกว่า 6 ปี Tachyum เปิดเผยสเปกใหม่ของ Prodigy ที่ใช้สถาปัตยกรรม multi-chiplet ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC 2nm-class โดยรุ่นสูงสุด “Prodigy Ultimate” จะมี 768–1,024 คอร์, แรม DDR5 สูงสุด 48TB ต่อซ็อกเก็ต, และแบนด์วิดท์หน่วยความจำถึง 3.38TB/s

    พลังงานและประสิทธิภาพที่ท้าทาย
    Tachyum อ้างว่า Prodigy สามารถทำงานได้เร็วกว่า Nvidia Rubin NVL576 rack ถึง 21 เท่า และให้ประสิทธิภาพ AI inference กว่า 1,000 PFLOPS อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้ถูกตั้งคำถาม เนื่องจากการใช้พลังงานสูงถึง 1,600W ต่อชิป ทำให้ยากต่อการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล

    ความล่าช้าและอุปสรรคการผลิต
    แม้จะมีการประกาศสเปกใหม่ แต่ Prodigy ยังไม่เข้าสู่การผลิตจริง การย้ายจากเทคโนโลยี 5nm FinFET ไปสู่ 2nm GAA ทำให้ต้องออกแบบใหม่ทั้งหมด ซึ่งอาจใช้เวลาอีก 4–5 ปีในการพัฒนาและตรวจสอบ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน Prodigy อาจพร้อมใช้งานจริงได้ในปี 2030–2031

    ความเสี่ยงด้านการแข่งขันและต้นทุน
    การพัฒนาชิปขั้นสูงเช่นนี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลกว่า 300 ล้านดอลลาร์ และ Tachyum อาจหมดทุนก่อนที่จะผลิตได้จริง อีกทั้งเมื่อถึงเวลานั้น ตลาดอาจเต็มไปด้วยคู่แข่งจาก AMD, Intel และ Nvidia ที่มีผลิตภัณฑ์พร้อมใช้งานแล้ว ทำให้ Prodigy เสี่ยงที่จะไม่สามารถแข่งขันได้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Tachyum เปิดเผยสเปกใหม่ Prodigy Processor
    รุ่น Ultimate มี 1,024 คอร์ และรองรับ DDR5 สูงสุด 48TB ต่อซ็อกเก็ต

    อ้างว่าทำงานเร็วกว่า Nvidia Rubin NVL576 ถึง 20 เท่า
    ให้ประสิทธิภาพ AI inference กว่า 1,000 PFLOPS

    ใช้สถาปัตยกรรม multi-chiplet บน TSMC 2nm-class
    มีแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 3.38TB/s

    การใช้พลังงานสูงถึง 1,600W ต่อชิป
    อาจไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล

    ความล่าช้าและต้นทุนมหาศาล
    อาจต้องรอถึงปี 2030–2031 และใช้เงินลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/after-six-years-of-promises-and-no-shipping-silicon-tachyum-revises-prodigy-processor-specs-to-1-024-cores-with-1-600w-of-power-consumption-likely-another-5-year-delay-company-claims-its-chip-is-20-times-faster-than-nvidias-rubin-nvl576-rack
    🖥️ Tachyum Prodigy – โปรเซสเซอร์ 1,024 คอร์ หลังจากรอคอยกว่า 6 ปี Tachyum เปิดเผยสเปกใหม่ของ Prodigy ที่ใช้สถาปัตยกรรม multi-chiplet ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC 2nm-class โดยรุ่นสูงสุด “Prodigy Ultimate” จะมี 768–1,024 คอร์, แรม DDR5 สูงสุด 48TB ต่อซ็อกเก็ต, และแบนด์วิดท์หน่วยความจำถึง 3.38TB/s ⚡ พลังงานและประสิทธิภาพที่ท้าทาย Tachyum อ้างว่า Prodigy สามารถทำงานได้เร็วกว่า Nvidia Rubin NVL576 rack ถึง 21 เท่า และให้ประสิทธิภาพ AI inference กว่า 1,000 PFLOPS อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้ถูกตั้งคำถาม เนื่องจากการใช้พลังงานสูงถึง 1,600W ต่อชิป ทำให้ยากต่อการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล 🏭 ความล่าช้าและอุปสรรคการผลิต แม้จะมีการประกาศสเปกใหม่ แต่ Prodigy ยังไม่เข้าสู่การผลิตจริง การย้ายจากเทคโนโลยี 5nm FinFET ไปสู่ 2nm GAA ทำให้ต้องออกแบบใหม่ทั้งหมด ซึ่งอาจใช้เวลาอีก 4–5 ปีในการพัฒนาและตรวจสอบ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน Prodigy อาจพร้อมใช้งานจริงได้ในปี 2030–2031 🌐 ความเสี่ยงด้านการแข่งขันและต้นทุน การพัฒนาชิปขั้นสูงเช่นนี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลกว่า 300 ล้านดอลลาร์ และ Tachyum อาจหมดทุนก่อนที่จะผลิตได้จริง อีกทั้งเมื่อถึงเวลานั้น ตลาดอาจเต็มไปด้วยคู่แข่งจาก AMD, Intel และ Nvidia ที่มีผลิตภัณฑ์พร้อมใช้งานแล้ว ทำให้ Prodigy เสี่ยงที่จะไม่สามารถแข่งขันได้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Tachyum เปิดเผยสเปกใหม่ Prodigy Processor ➡️ รุ่น Ultimate มี 1,024 คอร์ และรองรับ DDR5 สูงสุด 48TB ต่อซ็อกเก็ต ✅ อ้างว่าทำงานเร็วกว่า Nvidia Rubin NVL576 ถึง 20 เท่า ➡️ ให้ประสิทธิภาพ AI inference กว่า 1,000 PFLOPS ✅ ใช้สถาปัตยกรรม multi-chiplet บน TSMC 2nm-class ➡️ มีแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 3.38TB/s ‼️ การใช้พลังงานสูงถึง 1,600W ต่อชิป ⛔ อาจไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล ‼️ ความล่าช้าและต้นทุนมหาศาล ⛔ อาจต้องรอถึงปี 2030–2031 และใช้เงินลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/after-six-years-of-promises-and-no-shipping-silicon-tachyum-revises-prodigy-processor-specs-to-1-024-cores-with-1-600w-of-power-consumption-likely-another-5-year-delay-company-claims-its-chip-is-20-times-faster-than-nvidias-rubin-nvl576-rack
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลแข่งขันทางการค้าของสหราชอาณาจักรตัดสินให้การขายต่อ Windows และ Office perpetual licenses เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย

    คดีนี้เริ่มจากบริษัท ValueLicensing ที่ฟ้อง Microsoft เรื่องการห้ามขายต่อ perpetual licenses ของ Windows และ Office ศาลได้ตัดสินว่า ลูกค้าที่ถือ perpetual license มีสิทธิขายต่อได้ตามกฎหมาย และไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์

    ข้อโต้แย้งของ Microsoft ถูกปฏิเสธ
    Microsoft พยายามอ้างว่าโปรแกรม Office มีองค์ประกอบเชิงกราฟิกและงานสร้างสรรค์ จึงควรได้รับการคุ้มครองในฐานะ “creative work” แต่ศาลเห็นว่า ไม่มีองค์ประกอบที่เพียงพอ ที่จะทำให้ซอฟต์แวร์เหล่านี้เข้าข่ายงานศิลปะหรือวรรณกรรมที่ห้ามขายต่อ

    ผลกระทบต่อธุรกิจและผู้บริโภค
    หากคำตัดสินนี้ถูกยืนยัน จะทำให้ตลาดซอฟต์แวร์มือสองในสหราชอาณาจักรเปิดกว้างมากขึ้น ผู้บริโภคสามารถซื้อ Windows หรือ Office ราคาถูกจากผู้ที่ไม่ใช้แล้ว ซึ่งอาจทำให้ Microsoft สูญเสียรายได้มหาศาล โดยมีการประเมินว่า ค่าเสียหายอาจสูงถึง 270 ล้านปอนด์

    Microsoft เตรียมอุทธรณ์
    Microsoft แถลงว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อคำตัดสินนี้ โดยยังคงยืนยันว่าการขายต่อ license ขัดต่อสัญญาและเป็นการละเมิดสิทธิ์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม คดีนี้อาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในยุโรปเกี่ยวกับสิทธิการขายต่อซอฟต์แวร์

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ศาลสหราชอาณาจักรตัดสินให้ขายต่อ Windows และ Office license ได้
    ลูกค้าที่ถือ perpetual license มีสิทธิขายต่อโดยไม่ผิดกฎหมาย

    ข้อโต้แย้งของ Microsoft ถูกปฏิเสธ
    ศาลเห็นว่าโปรแกรมไม่เข้าข่าย “งานสร้างสรรค์” ที่ห้ามขายต่อ

    ผลกระทบต่อผู้บริโภคและตลาด
    เปิดโอกาสให้ซื้อซอฟต์แวร์ราคาถูกจากตลาดมือสอง

    ความเสี่ยงต่อรายได้ของ Microsoft
    อาจสูญเสียรายได้มหาศาลและต้องจ่ายค่าเสียหาย 270 ล้านปอนด์

    ความไม่แน่นอนจากการอุทธรณ์
    หาก Microsoft ชนะการอุทธรณ์ ตลาดซอฟต์แวร์มือสองอาจถูกจำกัดอีกครั้ง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/microsoft-to-appeal-ruling-in-favor-of-reselling-perpetual-windows-licenses-uk-competition-court-says-fineprint-holds-no-ground-as-judges-throw-out-companys-creative-work-argument
    ⚖️ ศาลแข่งขันทางการค้าของสหราชอาณาจักรตัดสินให้การขายต่อ Windows และ Office perpetual licenses เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย คดีนี้เริ่มจากบริษัท ValueLicensing ที่ฟ้อง Microsoft เรื่องการห้ามขายต่อ perpetual licenses ของ Windows และ Office ศาลได้ตัดสินว่า ลูกค้าที่ถือ perpetual license มีสิทธิขายต่อได้ตามกฎหมาย และไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ 🎨 ข้อโต้แย้งของ Microsoft ถูกปฏิเสธ Microsoft พยายามอ้างว่าโปรแกรม Office มีองค์ประกอบเชิงกราฟิกและงานสร้างสรรค์ จึงควรได้รับการคุ้มครองในฐานะ “creative work” แต่ศาลเห็นว่า ไม่มีองค์ประกอบที่เพียงพอ ที่จะทำให้ซอฟต์แวร์เหล่านี้เข้าข่ายงานศิลปะหรือวรรณกรรมที่ห้ามขายต่อ 💰 ผลกระทบต่อธุรกิจและผู้บริโภค หากคำตัดสินนี้ถูกยืนยัน จะทำให้ตลาดซอฟต์แวร์มือสองในสหราชอาณาจักรเปิดกว้างมากขึ้น ผู้บริโภคสามารถซื้อ Windows หรือ Office ราคาถูกจากผู้ที่ไม่ใช้แล้ว ซึ่งอาจทำให้ Microsoft สูญเสียรายได้มหาศาล โดยมีการประเมินว่า ค่าเสียหายอาจสูงถึง 270 ล้านปอนด์ 🏛️ Microsoft เตรียมอุทธรณ์ Microsoft แถลงว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อคำตัดสินนี้ โดยยังคงยืนยันว่าการขายต่อ license ขัดต่อสัญญาและเป็นการละเมิดสิทธิ์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม คดีนี้อาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในยุโรปเกี่ยวกับสิทธิการขายต่อซอฟต์แวร์ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ศาลสหราชอาณาจักรตัดสินให้ขายต่อ Windows และ Office license ได้ ➡️ ลูกค้าที่ถือ perpetual license มีสิทธิขายต่อโดยไม่ผิดกฎหมาย ✅ ข้อโต้แย้งของ Microsoft ถูกปฏิเสธ ➡️ ศาลเห็นว่าโปรแกรมไม่เข้าข่าย “งานสร้างสรรค์” ที่ห้ามขายต่อ ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภคและตลาด ➡️ เปิดโอกาสให้ซื้อซอฟต์แวร์ราคาถูกจากตลาดมือสอง ‼️ ความเสี่ยงต่อรายได้ของ Microsoft ⛔ อาจสูญเสียรายได้มหาศาลและต้องจ่ายค่าเสียหาย 270 ล้านปอนด์ ‼️ ความไม่แน่นอนจากการอุทธรณ์ ⛔ หาก Microsoft ชนะการอุทธรณ์ ตลาดซอฟต์แวร์มือสองอาจถูกจำกัดอีกครั้ง https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/microsoft-to-appeal-ruling-in-favor-of-reselling-perpetual-windows-licenses-uk-competition-court-says-fineprint-holds-no-ground-as-judges-throw-out-companys-creative-work-argument
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tesla Megapack – ทางออกสำหรับศูนย์ข้อมูล AI

    Tesla เปิดตัวการตลาดใหม่สำหรับ Megapack แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับศูนย์ข้อมูล AI ซึ่งมีการใช้พลังงานแบบผันผวนสูง โดยเฉพาะการฝึกโมเดลที่ใช้ GPU นับพันตัวพร้อมกัน ทำให้โหลดไฟฟ้าอาจแกว่งขึ้นลงถึง 90% ภายในเสี้ยววินาที Megapack ถูกออกแบบมาเพื่อดูดซับความผันผวนเหล่านี้และรักษาเสถียรภาพของแรงดันไฟฟ้าและความถี่

    ปัญหาความเสถียรของโครงข่ายไฟฟ้า
    รายงานจาก North American Electric Reliability Corporation (NERC) เตือนว่าศูนย์ข้อมูล AI กำลังสร้างแรงกดดันต่อโครงข่ายไฟฟ้าแบบไม่เคยมีมาก่อน การซิงโครไนซ์ข้อมูลและการ checkpoint ของโมเดลทำให้โหลดไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งระบบไฟฟ้าแบบเดิมไม่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับ Tesla จึงนำเสนอ Megapack เป็น “buffer” ที่ตอบสนองทันทีโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเชิงกล

    ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐศาสตร์
    Tesla อ้างว่า Megapack ให้ “outsized value” โดยสามารถสร้างมูลค่าได้ถึง 50 พันล้านดอลลาร์ต่อกิกะวัตต์ สำหรับระบบที่ทำงาน 2 ชั่วโมงตลอดอายุการใช้งาน 20 ปี จุดเด่นอีกอย่างคือการผลิตและส่งมอบได้รวดเร็ว ซึ่งช่วยตอบโจทย์นักพัฒนา AI ที่กำลังรอคิวเชื่อมต่อไฟฟ้าจำนวนมากในสหรัฐฯ

    คำถามที่ยังค้างคา
    แม้ Megapack จะถูกมองว่าเป็นทางออก แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะถูกบูรณาการเข้ากับโครงสร้างไฟฟ้าเดิมในรูปแบบใด เช่น จะใช้เป็น UPS ภายในศูนย์ข้อมูล หรือเป็น front-of-meter grid support รวมถึงประเด็นด้านค่าใช้จ่ายจริงและการคิดค่าบริการไฟฟ้า (demand charges) ที่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Tesla เปิดตัว Megapack สำหรับศูนย์ข้อมูล AI
    ลดความผันผวนของโหลดไฟฟ้าได้ถึง 90%

    ปัญหาความเสถียรของโครงข่ายไฟฟ้า
    AI workloads ทำให้โหลดไฟฟ้าแกว่งขึ้นลงหลายเมกะวัตต์ในเสี้ยววินาที

    ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐศาสตร์
    มูลค่า 50 พันล้านดอลลาร์ต่อกิกะวัตต์ในระบบ 2 ชั่วโมง อายุใช้งาน 20 ปี

    คำถามเรื่องการบูรณาการระบบ
    ยังไม่ชัดว่าจะใช้เป็น UPS หรือ grid support

    ความไม่โปร่งใสด้านต้นทุนจริง
    ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเรื่อง demand charges และค่าใช้จ่ายรวม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/tesla-targets-ai-data-centers-with-megapack-as-grid-strain-fears-grow
    🔋 Tesla Megapack – ทางออกสำหรับศูนย์ข้อมูล AI Tesla เปิดตัวการตลาดใหม่สำหรับ Megapack แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับศูนย์ข้อมูล AI ซึ่งมีการใช้พลังงานแบบผันผวนสูง โดยเฉพาะการฝึกโมเดลที่ใช้ GPU นับพันตัวพร้อมกัน ทำให้โหลดไฟฟ้าอาจแกว่งขึ้นลงถึง 90% ภายในเสี้ยววินาที Megapack ถูกออกแบบมาเพื่อดูดซับความผันผวนเหล่านี้และรักษาเสถียรภาพของแรงดันไฟฟ้าและความถี่ ⚡ ปัญหาความเสถียรของโครงข่ายไฟฟ้า รายงานจาก North American Electric Reliability Corporation (NERC) เตือนว่าศูนย์ข้อมูล AI กำลังสร้างแรงกดดันต่อโครงข่ายไฟฟ้าแบบไม่เคยมีมาก่อน การซิงโครไนซ์ข้อมูลและการ checkpoint ของโมเดลทำให้โหลดไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งระบบไฟฟ้าแบบเดิมไม่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับ Tesla จึงนำเสนอ Megapack เป็น “buffer” ที่ตอบสนองทันทีโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเชิงกล 💰 ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐศาสตร์ Tesla อ้างว่า Megapack ให้ “outsized value” โดยสามารถสร้างมูลค่าได้ถึง 50 พันล้านดอลลาร์ต่อกิกะวัตต์ สำหรับระบบที่ทำงาน 2 ชั่วโมงตลอดอายุการใช้งาน 20 ปี จุดเด่นอีกอย่างคือการผลิตและส่งมอบได้รวดเร็ว ซึ่งช่วยตอบโจทย์นักพัฒนา AI ที่กำลังรอคิวเชื่อมต่อไฟฟ้าจำนวนมากในสหรัฐฯ 🏗️ คำถามที่ยังค้างคา แม้ Megapack จะถูกมองว่าเป็นทางออก แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะถูกบูรณาการเข้ากับโครงสร้างไฟฟ้าเดิมในรูปแบบใด เช่น จะใช้เป็น UPS ภายในศูนย์ข้อมูล หรือเป็น front-of-meter grid support รวมถึงประเด็นด้านค่าใช้จ่ายจริงและการคิดค่าบริการไฟฟ้า (demand charges) ที่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Tesla เปิดตัว Megapack สำหรับศูนย์ข้อมูล AI ➡️ ลดความผันผวนของโหลดไฟฟ้าได้ถึง 90% ✅ ปัญหาความเสถียรของโครงข่ายไฟฟ้า ➡️ AI workloads ทำให้โหลดไฟฟ้าแกว่งขึ้นลงหลายเมกะวัตต์ในเสี้ยววินาที ✅ ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐศาสตร์ ➡️ มูลค่า 50 พันล้านดอลลาร์ต่อกิกะวัตต์ในระบบ 2 ชั่วโมง อายุใช้งาน 20 ปี ‼️ คำถามเรื่องการบูรณาการระบบ ⛔ ยังไม่ชัดว่าจะใช้เป็น UPS หรือ grid support ‼️ความไม่โปร่งใสด้านต้นทุนจริง ⛔ ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเรื่อง demand charges และค่าใช้จ่ายรวม https://www.tomshardware.com/tech-industry/tesla-targets-ai-data-centers-with-megapack-as-grid-strain-fears-grow
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung ขึ้นราคาชิปหน่วยความจำ

    รายงานระบุว่า Samsung ได้ปรับราคาชิปหน่วยความจำขึ้นมากถึง 60% ตั้งแต่เดือนกันยายน โดยเฉพาะ DDR5 ขนาด 32GB ที่ราคาสัญญาเพิ่มจาก 149 ดอลลาร์ เป็น 239 ดอลลาร์ การปรับขึ้นครั้งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากตลาดที่ต้องการหน่วยความจำจำนวนมากเพื่อรองรับการประมวลผล AI

    AI Data Center จุดชนวนความต้องการ
    การสร้างศูนย์ข้อมูล AI ทั่วโลกเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ความต้องการหน่วยความจำพุ่งสูง ผู้ผลิตไม่เร่งเพิ่มกำลังการผลิต เพราะกังวลว่าความต้องการอาจลดลงในอนาคต ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนและราคาพุ่งขึ้นต่อเนื่อง

    ผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม
    ราคาที่สูงขึ้นไม่ได้กระทบแค่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ DIY แต่ยังส่งผลต่อ สมาร์ทโฟน, โน้ตบุ๊ก, IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่ต้องใช้ DRAM และ NAND การขาดแคลนทำให้บางตลาดเกิดการ “panic buying” หรือการสั่งซื้อเกินความต้องการเพื่อกักตุนสินค้า

    แนวโน้มในอนาคต
    นักวิเคราะห์เตือนว่าภาวะขาดแคลนอาจยืดเยื้อไปถึงปี 2026 และอาจกินเวลานานถึง 10 ปี หากอุตสาหกรรมยังไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตให้ทันกับการเติบโตของ AI ที่ต้องใช้หน่วยความจำจำนวนมหาศาล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Samsung ปรับขึ้นราคาชิปหน่วยความจำสูงสุด 60%
    DDR5 32GB ราคาพุ่งจาก 149 ดอลลาร์เป็น 239 ดอลลาร์

    AI Data Center เป็นตัวการหลัก
    ความต้องการหน่วยความจำเพิ่มขึ้นมหาศาลจากการสร้างศูนย์ข้อมูล AI

    ผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม
    สมาร์ทโฟน, โน้ตบุ๊ก, IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะได้รับผลกระทบ

    ความเสี่ยงจากการขาดแคลนยาวนาน
    อาจยืดเยื้อไปถึงปี 2026 และกินเวลานานถึง 10 ปี

    การกักตุนสินค้า (panic buying)
    ทำให้ตลาดตึงเครียดและราคายิ่งพุ่งสูงขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/samsung-raises-memory-chip-prices-by-up-to-60-percent-since-september-according-to-reports-ai-data-center-build-out-strangles-supply
    💾 Samsung ขึ้นราคาชิปหน่วยความจำ รายงานระบุว่า Samsung ได้ปรับราคาชิปหน่วยความจำขึ้นมากถึง 60% ตั้งแต่เดือนกันยายน โดยเฉพาะ DDR5 ขนาด 32GB ที่ราคาสัญญาเพิ่มจาก 149 ดอลลาร์ เป็น 239 ดอลลาร์ การปรับขึ้นครั้งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากตลาดที่ต้องการหน่วยความจำจำนวนมากเพื่อรองรับการประมวลผล AI 🏗️ AI Data Center จุดชนวนความต้องการ การสร้างศูนย์ข้อมูล AI ทั่วโลกเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ความต้องการหน่วยความจำพุ่งสูง ผู้ผลิตไม่เร่งเพิ่มกำลังการผลิต เพราะกังวลว่าความต้องการอาจลดลงในอนาคต ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนและราคาพุ่งขึ้นต่อเนื่อง 📈 ผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม ราคาที่สูงขึ้นไม่ได้กระทบแค่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ DIY แต่ยังส่งผลต่อ สมาร์ทโฟน, โน้ตบุ๊ก, IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่ต้องใช้ DRAM และ NAND การขาดแคลนทำให้บางตลาดเกิดการ “panic buying” หรือการสั่งซื้อเกินความต้องการเพื่อกักตุนสินค้า 🔮 แนวโน้มในอนาคต นักวิเคราะห์เตือนว่าภาวะขาดแคลนอาจยืดเยื้อไปถึงปี 2026 และอาจกินเวลานานถึง 10 ปี หากอุตสาหกรรมยังไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตให้ทันกับการเติบโตของ AI ที่ต้องใช้หน่วยความจำจำนวนมหาศาล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Samsung ปรับขึ้นราคาชิปหน่วยความจำสูงสุด 60% ➡️ DDR5 32GB ราคาพุ่งจาก 149 ดอลลาร์เป็น 239 ดอลลาร์ ✅ AI Data Center เป็นตัวการหลัก ➡️ ความต้องการหน่วยความจำเพิ่มขึ้นมหาศาลจากการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม ➡️ สมาร์ทโฟน, โน้ตบุ๊ก, IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะได้รับผลกระทบ ‼️ ความเสี่ยงจากการขาดแคลนยาวนาน ⛔ อาจยืดเยื้อไปถึงปี 2026 และกินเวลานานถึง 10 ปี ‼️ การกักตุนสินค้า (panic buying) ⛔ ทำให้ตลาดตึงเครียดและราคายิ่งพุ่งสูงขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/samsung-raises-memory-chip-prices-by-up-to-60-percent-since-september-according-to-reports-ai-data-center-build-out-strangles-supply
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • เครื่องสไลด์อาหารแช่แข็ง 13 นิ้ว AUTO
    เปลี่ยนงานสไลด์ที่ยุ่งยากให้เป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว ด้วย เครื่องสไลด์อาหารแช่แข็ง (FROZEN FOOD SLICER) 13 นิ้ว AUTO จาก หจก.ย่งฮะเฮง!

    คุณสมบัติเด่นที่ทำให้งานคุณง่ายขึ้น:
    เส้นผ่าศูนย์กลางใบมีด: 32 ซม.
    กำลังการผลิตสูง: สไลด์ได้ถึง 45 ชิ้น/นาที เร็วทันใจ
    ปรับความหนา-บางได้ตามต้องการ: ตั้งแต่ 1-15 mm เพื่อความหลากหลายของเมนู
    มอเตอร์ทรงพลัง: 1,100 วัตต์ ทำงานต่อเนื่องไม่มีสะดุด

    เหมาะสำหรับ: ร้านอาหาร โรงแรม ธุรกิจแปรรูปเนื้อสัตว์ หรือผู้ที่ต้องการความรวดเร็วและมาตรฐานในการสไลด์อาหารแช่แข็ง!

    ติดต่อและเยี่ยมชมสินค้า
    มาดูเครื่องจริงได้ที่ร้าน ย. ย่งฮะเฮง! เราพร้อมให้คำแนะนำเครื่องจักรคุณภาพสำหรับธุรกิจคุณ

    เปิดบริการ:
    จันทร์-ศุกร์: 8.00 - 17.00 น.
    เสาร์: 8.00 - 16.00 น.
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/En3Rw6JCCjnFHnoT7
    สอบถาม/สั่งซื้อ
    โทร: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    แชท Messenger: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com

    #เครื่องสไลด์ #เครื่องสไลด์เนื้อ #เครื่องสไลด์อาหารแช่แข็ง #FrozenFoodSlicer #อุปกรณ์ร้านอาหาร #ย่งฮะเฮง #เครื่องครัว #เครื่องครัวมืออาชีพ #เนื้อสไลด์ #หมูกระทะ #ชาบู #บุฟเฟ่ต์ #ร้านอาหาร #อุปกรณ์ครัว #เครื่องจักรอาหาร #แปรรูปเนื้อสัตว์ #เครื่องสไลด์ออโต้ #ครัวมืออาชีพ #วัตถุดิบอาหาร #ทำอาหาร #ขายเนื้อ #อุปกรณ์ทำอาหาร #FrozenFood #Slicer #เครื่องตัดเนื้อ #FoodProcessing #เครื่องสไลด์หมู #โรงงานอาหาร
    🥩 เครื่องสไลด์อาหารแช่แข็ง 13 นิ้ว AUTO 💯 เปลี่ยนงานสไลด์ที่ยุ่งยากให้เป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว ด้วย เครื่องสไลด์อาหารแช่แข็ง (FROZEN FOOD SLICER) 13 นิ้ว AUTO จาก หจก.ย่งฮะเฮง! ✨ คุณสมบัติเด่นที่ทำให้งานคุณง่ายขึ้น: เส้นผ่าศูนย์กลางใบมีด: 32 ซม. กำลังการผลิตสูง: สไลด์ได้ถึง 45 ชิ้น/นาที เร็วทันใจ 🚀 ปรับความหนา-บางได้ตามต้องการ: ตั้งแต่ 1-15 mm เพื่อความหลากหลายของเมนู มอเตอร์ทรงพลัง: 1,100 วัตต์ ทำงานต่อเนื่องไม่มีสะดุด 📌 เหมาะสำหรับ: ร้านอาหาร โรงแรม ธุรกิจแปรรูปเนื้อสัตว์ หรือผู้ที่ต้องการความรวดเร็วและมาตรฐานในการสไลด์อาหารแช่แข็ง! 📍 ติดต่อและเยี่ยมชมสินค้า มาดูเครื่องจริงได้ที่ร้าน ย. ย่งฮะเฮง! เราพร้อมให้คำแนะนำเครื่องจักรคุณภาพสำหรับธุรกิจคุณ เปิดบริการ: จันทร์-ศุกร์: 8.00 - 17.00 น. เสาร์: 8.00 - 16.00 น. แผนที่: https://maps.app.goo.gl/En3Rw6JCCjnFHnoT7 📞 สอบถาม/สั่งซื้อ โทร: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 แชท Messenger: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com #เครื่องสไลด์ #เครื่องสไลด์เนื้อ #เครื่องสไลด์อาหารแช่แข็ง #FrozenFoodSlicer #อุปกรณ์ร้านอาหาร #ย่งฮะเฮง #เครื่องครัว #เครื่องครัวมืออาชีพ #เนื้อสไลด์ #หมูกระทะ #ชาบู #บุฟเฟ่ต์ #ร้านอาหาร #อุปกรณ์ครัว #เครื่องจักรอาหาร #แปรรูปเนื้อสัตว์ #เครื่องสไลด์ออโต้ #ครัวมืออาชีพ #วัตถุดิบอาหาร #ทำอาหาร #ขายเนื้อ #อุปกรณ์ทำอาหาร #FrozenFood #Slicer #เครื่องตัดเนื้อ #FoodProcessing #เครื่องสไลด์หมู #โรงงานอาหาร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • โนวาเลคของ Intel: คืนชีพเวคเตอร์ 512 บิต หรือแผนเปลี่ยนกลางทาง?

    Intel ถูกจับตาอย่างหนักว่ารุ่น Nova Lake จะรองรับ AVX10.2 (เวคเตอร์แบบ “Converged” 128/256/512 บิต) และ APX (เพิ่มรีจิสเตอร์ทั่วไป) ตามเอกสาร ISA และการอ้างอิงของชุมชนนักพัฒนา ซึ่งถ้าจริง จะเป็นการยกเครื่องครั้งใหญ่ของไลน์ลูกค้า (เดสก์ท็อป/โน้ตบุ๊ก) ให้มีประสิทธิภาพเวคเตอร์และงาน AI/สื่อ ที่เคยจำกัดใน Xeon กลับมาอยู่บนเครื่องทั่วไปอีกครั้ง.

    อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลจากแพตช์คอมไพเลอร์ GCC/LLVM และเอกสารฟีเจอร์สถาปัตยกรรมฉบับล่าสุดบางส่วนที่ “ไม่เห็น” การประกาศรองรับ AVX10/APX สำหรับ Nova Lake ชี้ว่ามีความเป็นไปได้ที่ฟีเจอร์จะถูกจำกัดหรือเลื่อน แม้จะมีหลักฐานจาก NASM ที่ทำให้ความหวังกลับมาอีกครั้ง จึงเกิดภาพ “ข่าวดี-ข่าวลบ” ปะทะกันในระยะเตรียมเปิดตัว.

    หาก Nova Lake รองรับ AVX10/APX จริง พร้อมขยาย 512 บิตสู่ไลน์ลูกค้า จะเป็นครั้งแรกที่ Intel และ AMD (Zen 5 รองรับ AVX-512 เต็มจริง) ยืนบนเวทีเวคเตอร์ 512 บิตพร้อมกันในตลาดผู้ใช้ทั่วไป ลดความแตกแยกของโปรแกรมมิงโมเดล และยกระดับงานวิทยาศาสตร์ สื่อ และ AI inference บนพีซีส่วนบุคคลอย่างมีนัยสำคัญ.

    ข่าวลือด้านฮาร์ดแวร์ยังพูดถึงสเกลคอร์ที่ทะเยอทะยาน (เช่น สูงสุด 52 คอร์แบบผสม P/E/LPE) เพื่อบาลานซ์ซิงเกิลเธรดกับงานขนานโดยคุมพลังงาน แม้รายละเอียดยังไม่เป็นทางการ แต่หากจับคู่กับ AVX10/APX ได้จริง จะเป็นแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนเกมทั้งงานครีเอทีฟ เกม และซอฟต์แวร์ขับเคลื่อน AI บนไคลเอนต์.

    สรุปเป็นหัวข้อ
    สัญญาณรองรับ: เอกสาร ISA และชุมชนเครื่องมือพัฒนาเผยเบาะแส AVX10.2/APX บน Nova Lake
    ผลเชิงปฏิบัติ: เวคเตอร์ 512 บิตและรีจิสเตอร์เพิ่ม ช่วยทั้งสื่อ วิทย์ และ AI บนเดสก์ท็อป/โน้ตบุ๊ก

    ประโยชน์ผู้ใช้: โมเดลโปรแกรมที่ “คงที่” มากขึ้น ระหว่างลูกค้ากับเซิร์ฟเวอร์
    การแข่งขัน: สอดรับกับ AMD Zen 5 ที่รองรับ 512 บิตเต็มในไลน์ลูกค้าแล้ว

    ฮาร์ดแวร์ลือ: โครงสร้างไฮบริดคอร์จำนวนมากเพื่อคุมพลังงาน-ขยายมัลติเธรด
    ผลลัพธ์: ยกระดับเกม งานครีเอทีฟ และซอฟต์แวร์ AI บนไคลเอนต์ถ้าฟีเจอร์มาเต็มจริง

    คำเตือนข้อมูล: แพตช์ GCC/LLVM และบางเอกสารล่าสุด “ไม่กล่าวถึง” AVX10/APX สำหรับ Nova Lake
    ข้อควรจำ: อาจเปลี่ยนแผนกลางทาง หรือจำกัดตาม SKU—อย่าตัดสินใจซื้อจากข่าวลือเพียงอย่างเดียว

    ความเสี่ยงเฟิร์มแวร์/OS: หาก P/E cores รองรับไม่เท่ากัน อาจเกิดข้อจำกัดการจัดคิวงาน
    แนวทาง: รอการยืนยันทางการและรายละเอียดการแมปคอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้งานผิดคอร์แล้วเกิด error

    https://wccftech.com/intel-confirms-avx10-support-for-nova-lake-including-both-desktop-and-mobile-lineups/
    🔰 โนวาเลคของ Intel: คืนชีพเวคเตอร์ 512 บิต หรือแผนเปลี่ยนกลางทาง? 🧠 Intel ถูกจับตาอย่างหนักว่ารุ่น Nova Lake จะรองรับ AVX10.2 (เวคเตอร์แบบ “Converged” 128/256/512 บิต) และ APX (เพิ่มรีจิสเตอร์ทั่วไป) ตามเอกสาร ISA และการอ้างอิงของชุมชนนักพัฒนา ซึ่งถ้าจริง จะเป็นการยกเครื่องครั้งใหญ่ของไลน์ลูกค้า (เดสก์ท็อป/โน้ตบุ๊ก) ให้มีประสิทธิภาพเวคเตอร์และงาน AI/สื่อ ที่เคยจำกัดใน Xeon กลับมาอยู่บนเครื่องทั่วไปอีกครั้ง. อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลจากแพตช์คอมไพเลอร์ GCC/LLVM และเอกสารฟีเจอร์สถาปัตยกรรมฉบับล่าสุดบางส่วนที่ “ไม่เห็น” การประกาศรองรับ AVX10/APX สำหรับ Nova Lake ชี้ว่ามีความเป็นไปได้ที่ฟีเจอร์จะถูกจำกัดหรือเลื่อน แม้จะมีหลักฐานจาก NASM ที่ทำให้ความหวังกลับมาอีกครั้ง จึงเกิดภาพ “ข่าวดี-ข่าวลบ” ปะทะกันในระยะเตรียมเปิดตัว. หาก Nova Lake รองรับ AVX10/APX จริง พร้อมขยาย 512 บิตสู่ไลน์ลูกค้า จะเป็นครั้งแรกที่ Intel และ AMD (Zen 5 รองรับ AVX-512 เต็มจริง) ยืนบนเวทีเวคเตอร์ 512 บิตพร้อมกันในตลาดผู้ใช้ทั่วไป ลดความแตกแยกของโปรแกรมมิงโมเดล และยกระดับงานวิทยาศาสตร์ สื่อ และ AI inference บนพีซีส่วนบุคคลอย่างมีนัยสำคัญ. ข่าวลือด้านฮาร์ดแวร์ยังพูดถึงสเกลคอร์ที่ทะเยอทะยาน (เช่น สูงสุด 52 คอร์แบบผสม P/E/LPE) เพื่อบาลานซ์ซิงเกิลเธรดกับงานขนานโดยคุมพลังงาน แม้รายละเอียดยังไม่เป็นทางการ แต่หากจับคู่กับ AVX10/APX ได้จริง จะเป็นแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนเกมทั้งงานครีเอทีฟ เกม และซอฟต์แวร์ขับเคลื่อน AI บนไคลเอนต์. 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ สัญญาณรองรับ: เอกสาร ISA และชุมชนเครื่องมือพัฒนาเผยเบาะแส AVX10.2/APX บน Nova Lake ➡️ ผลเชิงปฏิบัติ: เวคเตอร์ 512 บิตและรีจิสเตอร์เพิ่ม ช่วยทั้งสื่อ วิทย์ และ AI บนเดสก์ท็อป/โน้ตบุ๊ก ✅ ประโยชน์ผู้ใช้: โมเดลโปรแกรมที่ “คงที่” มากขึ้น ระหว่างลูกค้ากับเซิร์ฟเวอร์ ➡️ การแข่งขัน: สอดรับกับ AMD Zen 5 ที่รองรับ 512 บิตเต็มในไลน์ลูกค้าแล้ว ✅ ฮาร์ดแวร์ลือ: โครงสร้างไฮบริดคอร์จำนวนมากเพื่อคุมพลังงาน-ขยายมัลติเธรด ➡️ ผลลัพธ์: ยกระดับเกม งานครีเอทีฟ และซอฟต์แวร์ AI บนไคลเอนต์ถ้าฟีเจอร์มาเต็มจริง ‼️ คำเตือนข้อมูล: แพตช์ GCC/LLVM และบางเอกสารล่าสุด “ไม่กล่าวถึง” AVX10/APX สำหรับ Nova Lake ⛔ ข้อควรจำ: อาจเปลี่ยนแผนกลางทาง หรือจำกัดตาม SKU—อย่าตัดสินใจซื้อจากข่าวลือเพียงอย่างเดียว ‼️ ความเสี่ยงเฟิร์มแวร์/OS: หาก P/E cores รองรับไม่เท่ากัน อาจเกิดข้อจำกัดการจัดคิวงาน ⛔ แนวทาง: รอการยืนยันทางการและรายละเอียดการแมปคอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้งานผิดคอร์แล้วเกิด error https://wccftech.com/intel-confirms-avx10-support-for-nova-lake-including-both-desktop-and-mobile-lineups/
    WCCFTECH.COM
    Intel Confirms AVX10 Support For Nova Lake, Including Both Desktop And Mobile Lineups
    According to the official ISA documents, the Intel Nova Lake CPUs will reportedly support the AVX10 vector and APX performance extensions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sony เปิดตัวจอมอนิเตอร์ PlayStation 240 Hz

    Sony ประกาศเปิดตัวจอมอนิเตอร์ PlayStation รุ่นใหม่ ขนาด 27 นิ้ว ความละเอียด QHD (2560x1440) พร้อมรีเฟรชเรตสูงสุดถึง 240 Hz แม้ว่าเครื่อง PS5 จะรองรับเพียง 120 Hz แต่ Sony อาจเตรียมไว้สำหรับ PlayStation รุ่นถัดไปที่คาดว่าจะรองรับ 240 Hz เต็มรูปแบบ

    จอนี้ใช้พาเนล IPS LCD ซึ่งคุณภาพอาจด้อยกว่า OLED หรือ Mini-LED แต่ก็ช่วยลดต้นทุน ทำให้ราคาน่าจะอยู่ในระดับแข่งขันได้ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ VRR (Variable Refresh Rate) เพื่อให้ภาพลื่นไหล และมีอุปกรณ์เสริมเป็น DualSense charging hook สำหรับชาร์จจอยโดยตรงใต้จอ

    Sony ยังไม่ประกาศราคา แต่คาดว่าจะอยู่ราว ๆ 500 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต้องแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Acer และ Asus ที่มีจอรีเฟรชเรตสูงในราคาถูกกว่า จุดเด่นของ Sony คือแบรนด์ PlayStation ที่มีฐานแฟนเกมจำนวนมาก

    สรุปประเด็น
    Sony เปิดตัวจอมอนิเตอร์ PlayStation 27 นิ้ว QHD
    รีเฟรชเรตสูงสุด 240 Hz

    มีฟีเจอร์ VRR และอุปกรณ์เสริมชาร์จจอย DualSense
    ติดตั้งใต้จอแบบ retractable

    PS5 รองรับเพียง 120 Hz
    ต้องรอ PlayStation รุ่นใหม่เพื่อใช้เต็มศักยภาพ

    ราคายังไม่ประกาศ แต่คาดสูงกว่าแบรนด์คู่แข่ง
    อาจทำให้ผู้ใช้ลังเลหากเทียบกับจอเกมมิ่งอื่น

    https://www.tomshardware.com/monitors/gaming-monitors/sony-announces-240-hz-playstation-gaming-monitor-qhd-monitor-features-built-in-dualsense-charging-hook-and-vrr-support-for-ps5
    🎮 Sony เปิดตัวจอมอนิเตอร์ PlayStation 240 Hz Sony ประกาศเปิดตัวจอมอนิเตอร์ PlayStation รุ่นใหม่ ขนาด 27 นิ้ว ความละเอียด QHD (2560x1440) พร้อมรีเฟรชเรตสูงสุดถึง 240 Hz แม้ว่าเครื่อง PS5 จะรองรับเพียง 120 Hz แต่ Sony อาจเตรียมไว้สำหรับ PlayStation รุ่นถัดไปที่คาดว่าจะรองรับ 240 Hz เต็มรูปแบบ จอนี้ใช้พาเนล IPS LCD ซึ่งคุณภาพอาจด้อยกว่า OLED หรือ Mini-LED แต่ก็ช่วยลดต้นทุน ทำให้ราคาน่าจะอยู่ในระดับแข่งขันได้ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ VRR (Variable Refresh Rate) เพื่อให้ภาพลื่นไหล และมีอุปกรณ์เสริมเป็น DualSense charging hook สำหรับชาร์จจอยโดยตรงใต้จอ Sony ยังไม่ประกาศราคา แต่คาดว่าจะอยู่ราว ๆ 500 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต้องแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Acer และ Asus ที่มีจอรีเฟรชเรตสูงในราคาถูกกว่า จุดเด่นของ Sony คือแบรนด์ PlayStation ที่มีฐานแฟนเกมจำนวนมาก 📌 สรุปประเด็น ✅ Sony เปิดตัวจอมอนิเตอร์ PlayStation 27 นิ้ว QHD ➡️ รีเฟรชเรตสูงสุด 240 Hz ✅ มีฟีเจอร์ VRR และอุปกรณ์เสริมชาร์จจอย DualSense ➡️ ติดตั้งใต้จอแบบ retractable ‼️ PS5 รองรับเพียง 120 Hz ⛔ ต้องรอ PlayStation รุ่นใหม่เพื่อใช้เต็มศักยภาพ ‼️ ราคายังไม่ประกาศ แต่คาดสูงกว่าแบรนด์คู่แข่ง ⛔ อาจทำให้ผู้ใช้ลังเลหากเทียบกับจอเกมมิ่งอื่น https://www.tomshardware.com/monitors/gaming-monitors/sony-announces-240-hz-playstation-gaming-monitor-qhd-monitor-features-built-in-dualsense-charging-hook-and-vrr-support-for-ps5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • การกลับมาของเครื่องเล่นเกม Analogue 3D – Nintendo 64 ฉบับใหม่

    เครื่องเล่นเกมในตำนาน Nintendo 64 กำลังกลับมาอีกครั้งในรูปแบบที่ทันสมัยชื่อว่า Analogue 3D หลังจากเลื่อนการวางจำหน่ายหลายครั้ง ในที่สุดก็ได้กำหนดวันส่งมอบจริงคือ 18 พฤศจิกายน ตัวเครื่องใช้เทคโนโลยี FPGA ที่จำลองฮาร์ดแวร์ดั้งเดิม ทำให้เกมทำงานได้เหมือนเครื่องจริง ไม่ใช่การจำลองแบบซอฟต์แวร์ที่มักมีปัญหาเรื่องความหน่วงหรือบั๊ก

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Analogue 3D รองรับการแสดงผล 4K และ VRR เพื่อให้ภาพลื่นไหลบนจอรุ่นใหม่ พร้อมโหมด “Original Display Modes” ที่เลียนแบบหน้าจอ CRT/PVM แบบเก่าเพื่อคงบรรยากาศดั้งเดิม ตัวเครื่องยังคงช่องเสียบตลับเกมเดิมและพอร์ตจอย N64 ทั้งสี่ช่อง ทำให้แฟน ๆ สามารถใช้จอยและอุปกรณ์เสริมเก่าได้ทันที ราคาขายอยู่ที่ 249.99 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ตอนนี้สินค้าถูกจองหมดแล้ว

    นอกจากการเล่นเกมเก่าได้เต็มรูปแบบ เครื่องยังมี Wi-Fi และรองรับจอยไร้สาย เช่น 8BitDo 64 ทำให้สะดวกขึ้นมากสำหรับผู้เล่นยุคใหม่ ถือเป็นการผสมผสานระหว่างความคลาสสิกกับเทคโนโลยีใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งนักสะสมและคนที่อยากสัมผัสเกมเก่าในคุณภาพสูง

    สรุปประเด็น
    Analogue 3D เปิดตัวพร้อมวันส่งมอบ 18 พฤศจิกายน
    ใช้ FPGA จำลองฮาร์ดแวร์จริง รองรับ 4K และ VRR

    รองรับตลับเกมและจอย N64 ดั้งเดิม
    มีพอร์ตครบ 4 ช่อง พร้อม Memory Pak

    ฟีเจอร์ Original Display Modes สร้างบรรยากาศ CRT
    เหมาะสำหรับแฟนเกมยุค 90 ที่ต้องการความสมจริง

    สินค้าถูกจองหมดแล้ว
    ผู้ที่ไม่ได้สั่งล่วงหน้าอาจต้องรอรอบใหม่

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/n64-cartridge-playing-analogue-3d-finally-gets-a-shipping-date-fpga-powered-nintendo-64-remake-with-4k-vrr-to-roll-out-starting-november-18
    🕹️ การกลับมาของเครื่องเล่นเกม Analogue 3D – Nintendo 64 ฉบับใหม่ เครื่องเล่นเกมในตำนาน Nintendo 64 กำลังกลับมาอีกครั้งในรูปแบบที่ทันสมัยชื่อว่า Analogue 3D หลังจากเลื่อนการวางจำหน่ายหลายครั้ง ในที่สุดก็ได้กำหนดวันส่งมอบจริงคือ 18 พฤศจิกายน ตัวเครื่องใช้เทคโนโลยี FPGA ที่จำลองฮาร์ดแวร์ดั้งเดิม ทำให้เกมทำงานได้เหมือนเครื่องจริง ไม่ใช่การจำลองแบบซอฟต์แวร์ที่มักมีปัญหาเรื่องความหน่วงหรือบั๊ก สิ่งที่น่าสนใจคือ Analogue 3D รองรับการแสดงผล 4K และ VRR เพื่อให้ภาพลื่นไหลบนจอรุ่นใหม่ พร้อมโหมด “Original Display Modes” ที่เลียนแบบหน้าจอ CRT/PVM แบบเก่าเพื่อคงบรรยากาศดั้งเดิม ตัวเครื่องยังคงช่องเสียบตลับเกมเดิมและพอร์ตจอย N64 ทั้งสี่ช่อง ทำให้แฟน ๆ สามารถใช้จอยและอุปกรณ์เสริมเก่าได้ทันที ราคาขายอยู่ที่ 249.99 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ตอนนี้สินค้าถูกจองหมดแล้ว นอกจากการเล่นเกมเก่าได้เต็มรูปแบบ เครื่องยังมี Wi-Fi และรองรับจอยไร้สาย เช่น 8BitDo 64 ทำให้สะดวกขึ้นมากสำหรับผู้เล่นยุคใหม่ ถือเป็นการผสมผสานระหว่างความคลาสสิกกับเทคโนโลยีใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งนักสะสมและคนที่อยากสัมผัสเกมเก่าในคุณภาพสูง 📌 สรุปประเด็น ✅ Analogue 3D เปิดตัวพร้อมวันส่งมอบ 18 พฤศจิกายน ➡️ ใช้ FPGA จำลองฮาร์ดแวร์จริง รองรับ 4K และ VRR ✅ รองรับตลับเกมและจอย N64 ดั้งเดิม ➡️ มีพอร์ตครบ 4 ช่อง พร้อม Memory Pak ✅ ฟีเจอร์ Original Display Modes สร้างบรรยากาศ CRT ➡️ เหมาะสำหรับแฟนเกมยุค 90 ที่ต้องการความสมจริง ‼️ สินค้าถูกจองหมดแล้ว ⛔ ผู้ที่ไม่ได้สั่งล่วงหน้าอาจต้องรอรอบใหม่ https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/n64-cartridge-playing-analogue-3d-finally-gets-a-shipping-date-fpga-powered-nintendo-64-remake-with-4k-vrr-to-roll-out-starting-november-18
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • มิจฉาชีพใช้ฟีเจอร์ Screen Sharing บน WhatsApp ขโมย OTP และเงิน

    ภัยคุกคามใหม่ที่กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วคือการหลอกให้เหยื่อแชร์หน้าจอผ่าน WhatsApp โดยมิจฉาชีพจะโทรเข้ามาในรูปแบบวิดีโอคอล แสร้งเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือฝ่ายสนับสนุนของ Meta แล้วสร้างความตื่นตระหนกว่าบัญชีถูกแฮ็กหรือมีการใช้บัตรเครดิตผิดปกติ จากนั้นจึงขอให้เหยื่อแชร์หน้าจอหรือแม้แต่ติดตั้งแอปควบคุมระยะไกลอย่าง AnyDesk หรือ TeamViewer

    เมื่อเหยื่อหลงเชื่อและแชร์หน้าจอ มิจฉาชีพสามารถเห็นรหัสผ่าน ข้อมูลธนาคาร และที่สำคัญคือ OTP (One-Time Password) ที่ปรากฏขึ้น ทำให้สามารถเข้าถึงบัญชีและเงินได้ทันที มีกรณีในฮ่องกงที่เหยื่อสูญเงินกว่า 700,000 ดอลลาร์สหรัฐ

    Meta เองก็พยายามแก้ไขด้วยการเพิ่มระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ หากผู้ใช้แชร์หน้าจอกับเบอร์ที่ไม่อยู่ในรายชื่อผู้ติดต่อ พร้อมทั้งลบแอคเคานต์ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงไปแล้วหลายล้านราย แต่ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่าการป้องกันที่ดีที่สุดคือการไม่แชร์หน้าจอหรือรหัสใด ๆ กับคนแปลกหน้า และควรเปิดการยืนยันสองขั้นตอนใน WhatsApp เพื่อเพิ่มความปลอดภัย

    สรุปเป็นหัวข้อ:
    วิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพ
    โทรวิดีโอคอล, แสร้งเป็นเจ้าหน้าที่, ขอแชร์หน้าจอ

    ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง
    สูญเงินมหาศาล, ขโมย OTP และข้อมูลส่วนตัว

    การตอบโต้ของ Meta
    ระบบแจ้งเตือน, ลบแอคเคานต์ปลอม, ใช้ AI ตรวจสอบ

    ความเสี่ยงที่ผู้ใช้ต้องระวัง
    อย่าแชร์หน้าจอหรือรหัสกับคนแปลกหน้า, เปิด Two-Step Verification

    https://hackread.com/whatsapp-screen-sharing-scammers-steal-otps-funds/
    📱 มิจฉาชีพใช้ฟีเจอร์ Screen Sharing บน WhatsApp ขโมย OTP และเงิน ภัยคุกคามใหม่ที่กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วคือการหลอกให้เหยื่อแชร์หน้าจอผ่าน WhatsApp โดยมิจฉาชีพจะโทรเข้ามาในรูปแบบวิดีโอคอล แสร้งเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือฝ่ายสนับสนุนของ Meta แล้วสร้างความตื่นตระหนกว่าบัญชีถูกแฮ็กหรือมีการใช้บัตรเครดิตผิดปกติ จากนั้นจึงขอให้เหยื่อแชร์หน้าจอหรือแม้แต่ติดตั้งแอปควบคุมระยะไกลอย่าง AnyDesk หรือ TeamViewer เมื่อเหยื่อหลงเชื่อและแชร์หน้าจอ มิจฉาชีพสามารถเห็นรหัสผ่าน ข้อมูลธนาคาร และที่สำคัญคือ OTP (One-Time Password) ที่ปรากฏขึ้น ทำให้สามารถเข้าถึงบัญชีและเงินได้ทันที มีกรณีในฮ่องกงที่เหยื่อสูญเงินกว่า 700,000 ดอลลาร์สหรัฐ Meta เองก็พยายามแก้ไขด้วยการเพิ่มระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ หากผู้ใช้แชร์หน้าจอกับเบอร์ที่ไม่อยู่ในรายชื่อผู้ติดต่อ พร้อมทั้งลบแอคเคานต์ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงไปแล้วหลายล้านราย แต่ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่าการป้องกันที่ดีที่สุดคือการไม่แชร์หน้าจอหรือรหัสใด ๆ กับคนแปลกหน้า และควรเปิดการยืนยันสองขั้นตอนใน WhatsApp เพื่อเพิ่มความปลอดภัย 📌 สรุปเป็นหัวข้อ: ✅ วิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพ ➡️ โทรวิดีโอคอล, แสร้งเป็นเจ้าหน้าที่, ขอแชร์หน้าจอ ✅ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง ➡️ สูญเงินมหาศาล, ขโมย OTP และข้อมูลส่วนตัว ✅ การตอบโต้ของ Meta ➡️ ระบบแจ้งเตือน, ลบแอคเคานต์ปลอม, ใช้ AI ตรวจสอบ ‼️ ความเสี่ยงที่ผู้ใช้ต้องระวัง ⛔ อย่าแชร์หน้าจอหรือรหัสกับคนแปลกหน้า, เปิด Two-Step Verification https://hackread.com/whatsapp-screen-sharing-scammers-steal-otps-funds/
    HACKREAD.COM
    Scammers Abuse WhatsApp Screen Sharing to Steal OTPs and Funds
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • Thunderbird 145 รองรับ DNS over HTTPS และยุติ 32-bit

    Thunderbird 145 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญคือ DNS over HTTPS (DoH) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังเพิ่มการตั้งค่า manual สำหรับ Exchange Web Services (EWS) และปรับปรุงการจัดการบัญชีอีเมล

    สิ่งที่น่าสังเกตคือ Thunderbird 145 ได้ยุติการรองรับ 32-bit Linux binaries อย่างเป็นทางการ ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกซอฟต์แวร์ที่หันไปใช้ 64-bit เป็นมาตรฐานแล้ว

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง UX เช่น การเปลี่ยนคำว่า “Junk” เป็น “Spam”, การจัดการ emoji ใน subject line, และการแก้บั๊กหลายจุด เช่น ปัญหาไฟล์แนบ overwrite โดยไม่เตือน และการตรวจสอบ spam ที่ผิดพลาด

    สรุปเป็นหัวข้อ:
    ฟีเจอร์ใหม่ใน Thunderbird 145
    รองรับ DNS over HTTPS
    ปรับปรุงการตั้งค่า EWS และบัญชีอีเมล

    การปรับปรุง UX และแก้บั๊ก
    เปลี่ยน “Junk” เป็น “Spam”
    แก้บั๊กไฟล์แนบ overwrite

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Linux 32-bit
    Thunderbird 145 ไม่รองรับอีกต่อไป

    https://9to5linux.com/thunderbird-145-enables-support-for-dns-over-https-drops-32-bit-linux-binaries
    📧 Thunderbird 145 รองรับ DNS over HTTPS และยุติ 32-bit Thunderbird 145 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญคือ DNS over HTTPS (DoH) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังเพิ่มการตั้งค่า manual สำหรับ Exchange Web Services (EWS) และปรับปรุงการจัดการบัญชีอีเมล สิ่งที่น่าสังเกตคือ Thunderbird 145 ได้ยุติการรองรับ 32-bit Linux binaries อย่างเป็นทางการ ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกซอฟต์แวร์ที่หันไปใช้ 64-bit เป็นมาตรฐานแล้ว นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง UX เช่น การเปลี่ยนคำว่า “Junk” เป็น “Spam”, การจัดการ emoji ใน subject line, และการแก้บั๊กหลายจุด เช่น ปัญหาไฟล์แนบ overwrite โดยไม่เตือน และการตรวจสอบ spam ที่ผิดพลาด 📌 สรุปเป็นหัวข้อ: ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Thunderbird 145 ➡️ รองรับ DNS over HTTPS ➡️ ปรับปรุงการตั้งค่า EWS และบัญชีอีเมล ✅ การปรับปรุง UX และแก้บั๊ก ➡️ เปลี่ยน “Junk” เป็น “Spam” ➡️ แก้บั๊กไฟล์แนบ overwrite ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Linux 32-bit ⛔ Thunderbird 145 ไม่รองรับอีกต่อไป https://9to5linux.com/thunderbird-145-enables-support-for-dns-over-https-drops-32-bit-linux-binaries
    9TO5LINUX.COM
    Thunderbird 145 Enables Support for DNS over HTTPS, Drops 32-Bit Linux Binaries - 9to5Linux
    Mozilla Thunderbird 145 open-source email client is now available for download with support for DNS over HTTPS and other changes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nitrux 5.0.0 เปิดตัวแล้ว !!!

    Nitrux 5.0.0 เปิดตัวแล้ว โดยเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ไปใช้ Hyprland, ระบบไฟล์แบบ immutable, และแนวทางจัดการซอฟต์แวร์ใหม่ที่ไม่เหมาะกับทุกคน แต่ชัดเจนว่าออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ชอบการปรับแต่งและเครื่องที่มีสมรรถนะสูง

    จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของ Nitrux
    Nitrux เป็นดิสโทรที่มีพื้นฐานจาก Debian และเคยโดดเด่นด้วยการใช้ NX Desktop บน KDE Plasma แต่ในปีนี้ทีมพัฒนาได้ประกาศยุติ NX Desktop และหันไปใช้ Hyprland บน Wayland อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ Nitrux 5.0.0 กลายเป็นเวอร์ชันแรกที่สะท้อนแนวทางใหม่นี้ โดยตัด KDE Plasma, KWin และ SDDM ออกไปทั้งหมด

    ฟีเจอร์ใหม่และระบบภายใน
    Nitrux 5.0.0 ใช้ OpenRC 0.63 แทน systemd และมาพร้อม Liquorix kernel 6.17.7 หรือ CachyOS-patched kernel ขึ้นอยู่กับฮาร์ดแวร์ นอกจากนี้ยังมีการนำเครื่องมือใหม่ ๆ เข้ามา เช่น Waybar, Crystal Dock, greetd, QtGreet, Wofi และ wlogout เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างจากเดิม ระบบไฟล์ถูกออกแบบให้เป็น immutable root filesystem ผ่าน NX Overlayroot ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ rollback ระบบได้ง่ายและมั่นคงมากขึ้น

    การจัดการซอฟต์แวร์แบบใหม่
    ทีมพัฒนาได้เปิดตัว NX AppHub และ AppBoxes เป็นวิธีหลักในการติดตั้งแอปพลิเคชัน โดยยังคงรองรับ Flatpak และ Distrobox เป็นทางเลือกเสริม พร้อมอัปเดตเครื่องมือสำคัญหลายตัว เช่น Podman 5.6.1, Docker 26.1.5, Git 2.51.0, Python 3.13.7, MESA 25.2.3 และ PipeWire 1.4.8

    การออกแบบเพื่อผู้ใช้เฉพาะกลุ่ม
    นักพัฒนา Nitrux ย้ำชัดว่า ดิสโทรนี้ ไม่ถูกออกแบบมาเพื่อทุกคน แต่เหมาะกับผู้ใช้ที่มองว่าการปรับแต่งคือพลัง ไม่ใช่ความยุ่งยาก โดยเปรียบเทียบว่า Nitrux เป็นเหมือน “รถแข่งสำหรับสนามจริง” ไม่ใช่ “รถสำหรับขับในเมือง” สะท้อนว่ามุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้ที่มีฮาร์ดแวร์ทันสมัยและต้องการประสิทธิภาพสูง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลงหลักใน Nitrux 5.0.0
    ยกเลิก NX Desktop และ KDE Plasma
    ใช้ Hyprland บน Wayland อย่างเต็มรูปแบบ

    ระบบภายในและฟีเจอร์ใหม่
    ใช้ OpenRC 0.63 และ kernel ที่ปรับแต่ง
    Immutable root filesystem ผ่าน NX Overlayroot

    การจัดการซอฟต์แวร์
    NX AppHub และ AppBoxes เป็นวิธีหลัก
    Flatpak และ Distrobox ยังรองรับเป็นทางเลือก

    แนวคิดการออกแบบ
    มุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้ที่ชอบการปรับแต่ง
    เหมาะกับเครื่องสมรรถนะสูง ไม่ใช่ทุกคน

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    ไม่รองรับการอัปเดตจากเวอร์ชันเก่า (3.9.1 → 5.0.0)
    ไม่รองรับการใช้งานบน Virtual Machine โดยตรง

    https://itsfoss.com/news/nitrux-5-release/
    🐧 Nitrux 5.0.0 เปิดตัวแล้ว !!! Nitrux 5.0.0 เปิดตัวแล้ว โดยเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ไปใช้ Hyprland, ระบบไฟล์แบบ immutable, และแนวทางจัดการซอฟต์แวร์ใหม่ที่ไม่เหมาะกับทุกคน แต่ชัดเจนว่าออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ชอบการปรับแต่งและเครื่องที่มีสมรรถนะสูง 🖥️ จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของ Nitrux Nitrux เป็นดิสโทรที่มีพื้นฐานจาก Debian และเคยโดดเด่นด้วยการใช้ NX Desktop บน KDE Plasma แต่ในปีนี้ทีมพัฒนาได้ประกาศยุติ NX Desktop และหันไปใช้ Hyprland บน Wayland อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ Nitrux 5.0.0 กลายเป็นเวอร์ชันแรกที่สะท้อนแนวทางใหม่นี้ โดยตัด KDE Plasma, KWin และ SDDM ออกไปทั้งหมด ⚙️ ฟีเจอร์ใหม่และระบบภายใน Nitrux 5.0.0 ใช้ OpenRC 0.63 แทน systemd และมาพร้อม Liquorix kernel 6.17.7 หรือ CachyOS-patched kernel ขึ้นอยู่กับฮาร์ดแวร์ นอกจากนี้ยังมีการนำเครื่องมือใหม่ ๆ เข้ามา เช่น Waybar, Crystal Dock, greetd, QtGreet, Wofi และ wlogout เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างจากเดิม ระบบไฟล์ถูกออกแบบให้เป็น immutable root filesystem ผ่าน NX Overlayroot ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ rollback ระบบได้ง่ายและมั่นคงมากขึ้น 📦 การจัดการซอฟต์แวร์แบบใหม่ ทีมพัฒนาได้เปิดตัว NX AppHub และ AppBoxes เป็นวิธีหลักในการติดตั้งแอปพลิเคชัน โดยยังคงรองรับ Flatpak และ Distrobox เป็นทางเลือกเสริม พร้อมอัปเดตเครื่องมือสำคัญหลายตัว เช่น Podman 5.6.1, Docker 26.1.5, Git 2.51.0, Python 3.13.7, MESA 25.2.3 และ PipeWire 1.4.8 🚀 การออกแบบเพื่อผู้ใช้เฉพาะกลุ่ม นักพัฒนา Nitrux ย้ำชัดว่า ดิสโทรนี้ ไม่ถูกออกแบบมาเพื่อทุกคน แต่เหมาะกับผู้ใช้ที่มองว่าการปรับแต่งคือพลัง ไม่ใช่ความยุ่งยาก โดยเปรียบเทียบว่า Nitrux เป็นเหมือน “รถแข่งสำหรับสนามจริง” ไม่ใช่ “รถสำหรับขับในเมือง” สะท้อนว่ามุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้ที่มีฮาร์ดแวร์ทันสมัยและต้องการประสิทธิภาพสูง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลงหลักใน Nitrux 5.0.0 ➡️ ยกเลิก NX Desktop และ KDE Plasma ➡️ ใช้ Hyprland บน Wayland อย่างเต็มรูปแบบ ✅ ระบบภายในและฟีเจอร์ใหม่ ➡️ ใช้ OpenRC 0.63 และ kernel ที่ปรับแต่ง ➡️ Immutable root filesystem ผ่าน NX Overlayroot ✅ การจัดการซอฟต์แวร์ ➡️ NX AppHub และ AppBoxes เป็นวิธีหลัก ➡️ Flatpak และ Distrobox ยังรองรับเป็นทางเลือก ✅ แนวคิดการออกแบบ ➡️ มุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้ที่ชอบการปรับแต่ง ➡️ เหมาะกับเครื่องสมรรถนะสูง ไม่ใช่ทุกคน ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ ไม่รองรับการอัปเดตจากเวอร์ชันเก่า (3.9.1 → 5.0.0) ⛔ ไม่รองรับการใช้งานบน Virtual Machine โดยตรง https://itsfoss.com/news/nitrux-5-release/
    ITSFOSS.COM
    Nitrux 5.0.0 Released: A 'New Beginning' That's Not for Everyone (By Design)
    The Debian-based distro goes all-in on Hyprland, immutability, and intentional design.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่: Apple Wallet รองรับ “Digital Passport” ใช้ผ่านด่าน TSA ได้แล้ว

    การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการเดินทาง
    Apple ได้อัปเดต Apple Wallet ให้สามารถเก็บ หนังสือเดินทางดิจิทัล (Digital Passport) ได้โดยตรงบน iPhone และ Apple Watch เพื่อใช้เป็นบัตรแสดงตนที่ด่านตรวจความปลอดภัยของ TSA ในสนามบินสหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องพกพาหนังสือเดินทางเล่มจริงสำหรับการบินภายในประเทศอีกต่อไป โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่ได้อัปเกรดบัตรขับขี่เป็น Real ID

    วิธีการใช้งานและข้อจำกัด
    การตั้งค่า Digital Passport ทำได้ง่าย เพียงเปิดแอป Wallet และทำตามขั้นตอนที่กำหนด เช่น การถ่ายเซลฟีและการเคลื่อนไหวศีรษะเพื่อยืนยันตัวตน อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ยังมีข้อจำกัดคือ ใช้ได้เฉพาะเที่ยวบินภายในประเทศสหรัฐฯ เท่านั้น ผู้ที่เดินทางระหว่างประเทศยังคงต้องใช้หนังสือเดินทางเล่มจริงที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง

    ความปลอดภัยและการรองรับ
    Apple ยืนยันว่าระบบนี้ใช้การตรวจสอบตัวตนด้วย Face ID และการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อความปลอดภัยสูงสุด แต่ในช่วงแรกยังไม่ใช่ทุกสนามบินที่มีเครื่องสแกนรองรับ ทำให้ผู้โดยสารควรพกหนังสือเดินทางจริงไว้ด้วยเพื่อป้องกันปัญหา ขณะเดียวกัน Google Wallet ก็ได้เปิดตัวฟีเจอร์คล้ายกัน แต่ยังรองรับเฉพาะบางสนามบินเช่นกัน

    วิสัยทัศน์ในอนาคต
    Apple มีแผนจะขยายการใช้งาน Digital ID ไปสู่การตรวจสอบอายุและการยืนยันตัวตนในร้านค้า เพื่อผลักดันแนวคิด “กระเป๋าสตางค์ไร้กระดาษ” อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้การใช้ชีวิตประจำวันสะดวกขึ้นและลดการพึ่งพาเอกสารจริง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Apple Wallet รองรับ Digital Passport
    ใช้ได้กับ iPhone และ Apple Watch
    ใช้เป็นบัตรแสดงตนที่ TSA สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ

    วิธีการตั้งค่าและใช้งาน
    ทำผ่านแอป Wallet ด้วยการถ่ายเซลฟีและตรวจสอบการเคลื่อนไหวศีรษะ
    ใช้ Face ID และระบบเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัย

    ข้อจำกัดของระบบ
    ใช้ได้เฉพาะเที่ยวบินภายในประเทศสหรัฐฯ
    สนามบินบางแห่งยังไม่รองรับเครื่องสแกน

    แผนการในอนาคตของ Apple
    ขยายการใช้งาน Digital ID ไปสู่ร้านค้าและการตรวจสอบอายุ
    มุ่งสู่การสร้างกระเป๋าสตางค์ดิจิทัลเต็มรูปแบบ

    คำเตือนสำหรับผู้โดยสาร
    ควรพกหนังสือเดินทางจริงไว้ด้วยในช่วงเปลี่ยนผ่าน
    การเดินทางระหว่างประเทศยังต้องใช้เอกสารจริงเสมอ

    https://securityonline.info/apple-wallet-now-stores-digital-passports-for-tsa-checkpoints/
    📱 ข่าวใหญ่: Apple Wallet รองรับ “Digital Passport” ใช้ผ่านด่าน TSA ได้แล้ว ✈️ การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการเดินทาง Apple ได้อัปเดต Apple Wallet ให้สามารถเก็บ หนังสือเดินทางดิจิทัล (Digital Passport) ได้โดยตรงบน iPhone และ Apple Watch เพื่อใช้เป็นบัตรแสดงตนที่ด่านตรวจความปลอดภัยของ TSA ในสนามบินสหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องพกพาหนังสือเดินทางเล่มจริงสำหรับการบินภายในประเทศอีกต่อไป โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่ได้อัปเกรดบัตรขับขี่เป็น Real ID 🔧 วิธีการใช้งานและข้อจำกัด การตั้งค่า Digital Passport ทำได้ง่าย เพียงเปิดแอป Wallet และทำตามขั้นตอนที่กำหนด เช่น การถ่ายเซลฟีและการเคลื่อนไหวศีรษะเพื่อยืนยันตัวตน อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ยังมีข้อจำกัดคือ ใช้ได้เฉพาะเที่ยวบินภายในประเทศสหรัฐฯ เท่านั้น ผู้ที่เดินทางระหว่างประเทศยังคงต้องใช้หนังสือเดินทางเล่มจริงที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง 🛡️ ความปลอดภัยและการรองรับ Apple ยืนยันว่าระบบนี้ใช้การตรวจสอบตัวตนด้วย Face ID และการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อความปลอดภัยสูงสุด แต่ในช่วงแรกยังไม่ใช่ทุกสนามบินที่มีเครื่องสแกนรองรับ ทำให้ผู้โดยสารควรพกหนังสือเดินทางจริงไว้ด้วยเพื่อป้องกันปัญหา ขณะเดียวกัน Google Wallet ก็ได้เปิดตัวฟีเจอร์คล้ายกัน แต่ยังรองรับเฉพาะบางสนามบินเช่นกัน 🌐 วิสัยทัศน์ในอนาคต Apple มีแผนจะขยายการใช้งาน Digital ID ไปสู่การตรวจสอบอายุและการยืนยันตัวตนในร้านค้า เพื่อผลักดันแนวคิด “กระเป๋าสตางค์ไร้กระดาษ” อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้การใช้ชีวิตประจำวันสะดวกขึ้นและลดการพึ่งพาเอกสารจริง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Apple Wallet รองรับ Digital Passport ➡️ ใช้ได้กับ iPhone และ Apple Watch ➡️ ใช้เป็นบัตรแสดงตนที่ TSA สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ ✅ วิธีการตั้งค่าและใช้งาน ➡️ ทำผ่านแอป Wallet ด้วยการถ่ายเซลฟีและตรวจสอบการเคลื่อนไหวศีรษะ ➡️ ใช้ Face ID และระบบเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัย ✅ ข้อจำกัดของระบบ ➡️ ใช้ได้เฉพาะเที่ยวบินภายในประเทศสหรัฐฯ ➡️ สนามบินบางแห่งยังไม่รองรับเครื่องสแกน ✅ แผนการในอนาคตของ Apple ➡️ ขยายการใช้งาน Digital ID ไปสู่ร้านค้าและการตรวจสอบอายุ ➡️ มุ่งสู่การสร้างกระเป๋าสตางค์ดิจิทัลเต็มรูปแบบ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้โดยสาร ⛔ ควรพกหนังสือเดินทางจริงไว้ด้วยในช่วงเปลี่ยนผ่าน ⛔ การเดินทางระหว่างประเทศยังต้องใช้เอกสารจริงเสมอ https://securityonline.info/apple-wallet-now-stores-digital-passports-for-tsa-checkpoints/
    SECURITYONLINE.INFO
    Apple Wallet Now Stores Digital Passports for TSA Checkpoints
    Apple Wallet now supports digital US Passports for TSA identity checks on domestic flights, eliminating the need for a physical passport or Real ID-compliant license.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google Workspace เปิดตัวระบบย้ายข้อมูลจาก Dropbox โดยตรง

    การย้ายข้อมูลระหว่างบริการ Cloud Storage เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและใช้เวลามาก โดยเฉพาะองค์กรที่มีไฟล์จำนวนมหาศาล ล่าสุด Google Workspace ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ เชื่อมต่อ Dropbox และย้ายข้อมูลเข้าสู่ Google Drive ได้โดยตรง ผ่านระบบ server-to-server โดยไม่ต้องผ่านการดาวน์โหลดไฟล์ลงเครื่องก่อน ทำให้การย้ายข้อมูลมีความรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น

    วิธีการทำงานของระบบใหม่
    ผู้ดูแลระบบสามารถเข้าไปที่เมนู Data > Data Import & Export > Data Migration (New) เพื่อเริ่มต้นการย้ายข้อมูล หลังจากเชื่อมต่อและอนุญาตสิทธิ์ Dropbox แล้ว ระบบจะทำการโอนย้ายไฟล์ทั้งหมดในพื้นหลังโดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวัน ขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูลที่ต้องย้าย แต่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพียงรอการแจ้งเตือนจาก Google เมื่อการย้ายเสร็จสิ้น

    ข้อจำกัดและการใช้งาน
    ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานเฉพาะ Google Workspace Enterprise เท่านั้น โดยผู้ดูแลระบบสามารถเชื่อมต่อได้สูงสุด 100 บัญชี Dropbox ต่อหนึ่ง session ซึ่งเหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการย้ายข้อมูลจำนวนมากในครั้งเดียว

    ความสำคัญต่อองค์กร
    การย้ายข้อมูลแบบ server-to-server ไม่เพียงช่วยลดภาระงานของผู้ใช้ แต่ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย เนื่องจากไฟล์ไม่ต้องผ่านการดาวน์โหลดลงเครื่อง ทำให้ลดความเสี่ยงจากการสูญหายหรือการโจมตีจากมัลแวร์ระหว่างการโอนย้าย อีกทั้งยังช่วยให้องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนระบบ Cloud ได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ใน Google Workspace
    ย้ายข้อมูลจาก Dropbox ไป Google Drive ได้โดยตรง
    ทำงานแบบ server-to-server โดยไม่ต้องดาวน์โหลดไฟล์

    การใช้งานและข้อจำกัด
    ใช้ได้เฉพาะ Google Workspace Enterprise
    เชื่อมต่อได้สูงสุด 100 บัญชี Dropbox ต่อ session

    ประโยชน์ต่อองค์กร
    ลดภาระงานผู้ใช้และผู้ดูแลระบบ
    เพิ่มความปลอดภัยในการย้ายข้อมูล

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    ใช้ได้เฉพาะองค์กรที่มีสิทธิ์ Enterprise เท่านั้น
    การย้ายข้อมูลจำนวนมากอาจใช้เวลาหลายวัน ขึ้นอยู่กับปริมาณไฟล์

    https://securityonline.info/seamless-switch-google-workspace-now-supports-direct-dropbox-data-migration/
    ☁️ Google Workspace เปิดตัวระบบย้ายข้อมูลจาก Dropbox โดยตรง การย้ายข้อมูลระหว่างบริการ Cloud Storage เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและใช้เวลามาก โดยเฉพาะองค์กรที่มีไฟล์จำนวนมหาศาล ล่าสุด Google Workspace ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ เชื่อมต่อ Dropbox และย้ายข้อมูลเข้าสู่ Google Drive ได้โดยตรง ผ่านระบบ server-to-server โดยไม่ต้องผ่านการดาวน์โหลดไฟล์ลงเครื่องก่อน ทำให้การย้ายข้อมูลมีความรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น ⚙️ วิธีการทำงานของระบบใหม่ ผู้ดูแลระบบสามารถเข้าไปที่เมนู Data > Data Import & Export > Data Migration (New) เพื่อเริ่มต้นการย้ายข้อมูล หลังจากเชื่อมต่อและอนุญาตสิทธิ์ Dropbox แล้ว ระบบจะทำการโอนย้ายไฟล์ทั้งหมดในพื้นหลังโดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวัน ขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูลที่ต้องย้าย แต่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพียงรอการแจ้งเตือนจาก Google เมื่อการย้ายเสร็จสิ้น 🏢 ข้อจำกัดและการใช้งาน ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานเฉพาะ Google Workspace Enterprise เท่านั้น โดยผู้ดูแลระบบสามารถเชื่อมต่อได้สูงสุด 100 บัญชี Dropbox ต่อหนึ่ง session ซึ่งเหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการย้ายข้อมูลจำนวนมากในครั้งเดียว 🔒 ความสำคัญต่อองค์กร การย้ายข้อมูลแบบ server-to-server ไม่เพียงช่วยลดภาระงานของผู้ใช้ แต่ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย เนื่องจากไฟล์ไม่ต้องผ่านการดาวน์โหลดลงเครื่อง ทำให้ลดความเสี่ยงจากการสูญหายหรือการโจมตีจากมัลแวร์ระหว่างการโอนย้าย อีกทั้งยังช่วยให้องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนระบบ Cloud ได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Google Workspace ➡️ ย้ายข้อมูลจาก Dropbox ไป Google Drive ได้โดยตรง ➡️ ทำงานแบบ server-to-server โดยไม่ต้องดาวน์โหลดไฟล์ ✅ การใช้งานและข้อจำกัด ➡️ ใช้ได้เฉพาะ Google Workspace Enterprise ➡️ เชื่อมต่อได้สูงสุด 100 บัญชี Dropbox ต่อ session ✅ ประโยชน์ต่อองค์กร ➡️ ลดภาระงานผู้ใช้และผู้ดูแลระบบ ➡️ เพิ่มความปลอดภัยในการย้ายข้อมูล ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ ใช้ได้เฉพาะองค์กรที่มีสิทธิ์ Enterprise เท่านั้น ⛔ การย้ายข้อมูลจำนวนมากอาจใช้เวลาหลายวัน ขึ้นอยู่กับปริมาณไฟล์ https://securityonline.info/seamless-switch-google-workspace-now-supports-direct-dropbox-data-migration/
    SECURITYONLINE.INFO
    Seamless Switch: Google Workspace Now Supports Direct Dropbox Data Migration
    Google Workspace now supports direct, server-to-server data migration from Dropbox via APIs. Enterprise customers can transfer up to 100 accounts per session.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • มัลแวร์บน macOS ผ่านไฟล์ AppleScript

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่าแฮกเกอร์เริ่มใช้ไฟล์ AppleScript (.scpt) เป็นเครื่องมือใหม่ในการแพร่กระจายมัลแวร์ โดยปลอมตัวเป็นเอกสาร Word, PowerPoint หรือแม้แต่ตัวติดตั้ง Zoom และ Teams SDK. เมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์เหล่านี้ใน Script Editor.app และกดรัน (⌘+R) โค้ดที่ซ่อนอยู่ก็จะถูกทำงานทันที.

    เทคนิคการหลอกลวงที่แนบเนียน
    ไฟล์ .scpt ถูกออกแบบให้มี คอมเมนต์ปลอมและบรรทัดว่างจำนวนมาก เพื่อดันโค้ดอันตรายลงไปด้านล่าง ทำให้ผู้ใช้ไม่เห็นเนื้อหาที่แท้จริง. นอกจากนี้ยังมีการใช้ ไอคอนปลอม เพื่อทำให้ไฟล์ดูเหมือนเอกสารหรือโปรแกรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น Apeiron_Token_Transfer_Proposal.docx.scpt หรือ Stable1_Investment_Proposal.pptx.scpt.

    การแพร่กระจายสู่มัลแวร์เชิงพาณิชย์
    เดิมทีเทคนิคนี้ถูกใช้โดยกลุ่ม APT ระดับสูง แต่ปัจจุบันเริ่มถูกนำมาใช้ใน มัลแวร์เชิงพาณิชย์ เช่น Odyssey Stealer และ MacSync Stealer. การแพร่กระจายนี้แสดงให้เห็นถึงการ “ไหลลง” ของเทคนิคขั้นสูงสู่กลุ่มผู้โจมตีทั่วไป ทำให้ภัยคุกคามต่อผู้ใช้ macOS เพิ่มขึ้นอย่างมาก.

    ความเสี่ยงที่ผู้ใช้ต้องระวัง
    แม้ Apple จะปรับปรุงระบบ Gatekeeper เพื่อลดช่องโหว่ แต่ไฟล์ .scpt ยังสามารถเลี่ยงการตรวจจับได้ และบางตัวอย่างยังไม่ถูกตรวจพบใน VirusTotal. สิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปและองค์กรเสี่ยงต่อการถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว.

    การใช้ AppleScript (.scpt) ในการแพร่มัลแวร์
    ปลอมเป็นเอกสาร Word/PowerPoint หรือโปรแกรมติดตั้ง Zoom, Teams
    เปิดใน Script Editor และรันโค้ดได้ทันที

    เทคนิคการซ่อนโค้ด
    ใช้บรรทัดว่างและคอมเมนต์ปลอมเพื่อซ่อนโค้ดจริง
    ใช้ไอคอนปลอมให้ดูเหมือนเอกสารหรือแอปถูกต้อง

    การแพร่กระจายสู่มัลแวร์เชิงพาณิชย์
    จาก APT สู่มัลแวร์ทั่วไป เช่น Odyssey Stealer และ MacSync Stealer
    เพิ่มความเสี่ยงต่อผู้ใช้ macOS ทั่วไป

    ความเสี่ยงและคำเตือน
    ไฟล์ .scpt บางตัวไม่ถูกตรวจพบใน VirusTotal
    ผู้ใช้เสี่ยงเปิดไฟล์ปลอมโดยไม่รู้ตัว
    องค์กรอาจถูกโจมตีหากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มงวด

    https://securityonline.info/macos-threat-applescript-scpt-files-emerge-as-new-stealth-vector-for-stealer-malware/
    🖥️ มัลแวร์บน macOS ผ่านไฟล์ AppleScript นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่าแฮกเกอร์เริ่มใช้ไฟล์ AppleScript (.scpt) เป็นเครื่องมือใหม่ในการแพร่กระจายมัลแวร์ โดยปลอมตัวเป็นเอกสาร Word, PowerPoint หรือแม้แต่ตัวติดตั้ง Zoom และ Teams SDK. เมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์เหล่านี้ใน Script Editor.app และกดรัน (⌘+R) โค้ดที่ซ่อนอยู่ก็จะถูกทำงานทันที. 📂 เทคนิคการหลอกลวงที่แนบเนียน ไฟล์ .scpt ถูกออกแบบให้มี คอมเมนต์ปลอมและบรรทัดว่างจำนวนมาก เพื่อดันโค้ดอันตรายลงไปด้านล่าง ทำให้ผู้ใช้ไม่เห็นเนื้อหาที่แท้จริง. นอกจากนี้ยังมีการใช้ ไอคอนปลอม เพื่อทำให้ไฟล์ดูเหมือนเอกสารหรือโปรแกรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น Apeiron_Token_Transfer_Proposal.docx.scpt หรือ Stable1_Investment_Proposal.pptx.scpt. 🚨 การแพร่กระจายสู่มัลแวร์เชิงพาณิชย์ เดิมทีเทคนิคนี้ถูกใช้โดยกลุ่ม APT ระดับสูง แต่ปัจจุบันเริ่มถูกนำมาใช้ใน มัลแวร์เชิงพาณิชย์ เช่น Odyssey Stealer และ MacSync Stealer. การแพร่กระจายนี้แสดงให้เห็นถึงการ “ไหลลง” ของเทคนิคขั้นสูงสู่กลุ่มผู้โจมตีทั่วไป ทำให้ภัยคุกคามต่อผู้ใช้ macOS เพิ่มขึ้นอย่างมาก. ⚡ ความเสี่ยงที่ผู้ใช้ต้องระวัง แม้ Apple จะปรับปรุงระบบ Gatekeeper เพื่อลดช่องโหว่ แต่ไฟล์ .scpt ยังสามารถเลี่ยงการตรวจจับได้ และบางตัวอย่างยังไม่ถูกตรวจพบใน VirusTotal. สิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปและองค์กรเสี่ยงต่อการถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว. ✅ การใช้ AppleScript (.scpt) ในการแพร่มัลแวร์ ➡️ ปลอมเป็นเอกสาร Word/PowerPoint หรือโปรแกรมติดตั้ง Zoom, Teams ➡️ เปิดใน Script Editor และรันโค้ดได้ทันที ✅ เทคนิคการซ่อนโค้ด ➡️ ใช้บรรทัดว่างและคอมเมนต์ปลอมเพื่อซ่อนโค้ดจริง ➡️ ใช้ไอคอนปลอมให้ดูเหมือนเอกสารหรือแอปถูกต้อง ✅ การแพร่กระจายสู่มัลแวร์เชิงพาณิชย์ ➡️ จาก APT สู่มัลแวร์ทั่วไป เช่น Odyssey Stealer และ MacSync Stealer ➡️ เพิ่มความเสี่ยงต่อผู้ใช้ macOS ทั่วไป ‼️ ความเสี่ยงและคำเตือน ⛔ ไฟล์ .scpt บางตัวไม่ถูกตรวจพบใน VirusTotal ⛔ ผู้ใช้เสี่ยงเปิดไฟล์ปลอมโดยไม่รู้ตัว ⛔ องค์กรอาจถูกโจมตีหากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มงวด https://securityonline.info/macos-threat-applescript-scpt-files-emerge-as-new-stealth-vector-for-stealer-malware/
    SECURITYONLINE.INFO
    macOS Threat: AppleScript (.scpt) Files Emerge as New Stealth Vector for Stealer Malware
    A new macOS threat uses malicious AppleScript (.scpt) files, disguised as documents/updates, to bypass Gatekeeper and execute stealers like MacSync and Odyssey, exploiting user trust.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวเด่น: Google เตรียมตรวจสอบการ Sideload แอป Android พร้อมช่องทางพิเศษสำหรับ Power Users

    Google ประกาศนโยบายใหม่ที่จะบังคับให้แอปที่ติดตั้งนอก Play Store ต้องผ่านการตรวจสอบตัวตนและการเซ็นโค้ดก่อน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของแอปที่เป็นอันตราย โดยมีการเตรียม “ช่องทางพิเศษ” สำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ระดับสูงที่ยังต้องการติดตั้งแอปโดยไม่ผ่านการตรวจสอบเต็มรูปแบบ

    นโยบายนี้สร้างเสียงวิจารณ์อย่างมาก เนื่องจากอาจกระทบต่อความเปิดกว้างของระบบ Android ที่เคยเป็นจุดแข็ง แต่ Google ยืนยันว่ามาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการหลอกลวงและการโจมตีทางไซเบอร์ที่กำลังแพร่หลาย โดยเฉพาะในภูมิภาคที่ผู้ใช้ใหม่จำนวนมากเพิ่งเข้าถึงโลกดิจิทัล

    นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยว่า Google จะจัดทำบัญชีพิเศษสำหรับนักเรียนและผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการทดลอง เพื่อให้สามารถแจกจ่ายแอปได้ในวงจำกัดโดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบเต็มรูปแบบ

    สาระเพิ่มเติมจาก Internet
    แนวโน้มการควบคุมการ sideload แอปกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก เช่น Apple ก็มีมาตรการเข้มงวดกับการติดตั้งแอปนอก App Store
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่าการบังคับตรวจสอบอาจช่วยลดการโจมตีแบบ phishing และ malware ได้ แต่ก็อาจทำให้ผู้ใช้สูญเสียเสรีภาพในการเลือกใช้แอป
    มีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมแอปพลิเคชันอิสระ (indie apps) อาจได้รับผลกระทบหนัก เพราะต้นทุนการตรวจสอบและการยืนยันตัวตนสูงขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ
    นโยบายใหม่ของ Google เกี่ยวกับการ sideload แอป Android
    ต้องมีการตรวจสอบตัวตนและการเซ็นโค้ดก่อนติดตั้ง
    มีช่องทางพิเศษสำหรับนักพัฒนาและ Power Users

    บัญชีพิเศษสำหรับนักเรียนและผู้ใช้ทั่วไป
    สามารถแจกจ่ายแอปได้ในวงจำกัดโดยไม่ต้องตรวจสอบเต็มรูปแบบ

    เป้าหมายหลักของนโยบาย
    ลดการแพร่กระจายของแอปที่เป็นอันตราย
    ป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์และการหลอกลวง

    คำเตือนจากนักวิจัยด้านความปลอดภัย
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจสูญเสียเสรีภาพในการติดตั้งแอปจากแหล่งใดก็ได้
    อุตสาหกรรมแอปอิสระอาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนการตรวจสอบที่สูงขึ้น

    https://securityonline.info/android-sideloading-crackdown-google-to-verify-all-apps-but-promises-power-user-bypass/
    🛡️ ข่าวเด่น: Google เตรียมตรวจสอบการ Sideload แอป Android พร้อมช่องทางพิเศษสำหรับ Power Users Google ประกาศนโยบายใหม่ที่จะบังคับให้แอปที่ติดตั้งนอก Play Store ต้องผ่านการตรวจสอบตัวตนและการเซ็นโค้ดก่อน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของแอปที่เป็นอันตราย โดยมีการเตรียม “ช่องทางพิเศษ” สำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ระดับสูงที่ยังต้องการติดตั้งแอปโดยไม่ผ่านการตรวจสอบเต็มรูปแบบ นโยบายนี้สร้างเสียงวิจารณ์อย่างมาก เนื่องจากอาจกระทบต่อความเปิดกว้างของระบบ Android ที่เคยเป็นจุดแข็ง แต่ Google ยืนยันว่ามาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการหลอกลวงและการโจมตีทางไซเบอร์ที่กำลังแพร่หลาย โดยเฉพาะในภูมิภาคที่ผู้ใช้ใหม่จำนวนมากเพิ่งเข้าถึงโลกดิจิทัล นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยว่า Google จะจัดทำบัญชีพิเศษสำหรับนักเรียนและผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการทดลอง เพื่อให้สามารถแจกจ่ายแอปได้ในวงจำกัดโดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบเต็มรูปแบบ 🔎 สาระเพิ่มเติมจาก Internet 🔰 แนวโน้มการควบคุมการ sideload แอปกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก เช่น Apple ก็มีมาตรการเข้มงวดกับการติดตั้งแอปนอก App Store 🔰 นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่าการบังคับตรวจสอบอาจช่วยลดการโจมตีแบบ phishing และ malware ได้ แต่ก็อาจทำให้ผู้ใช้สูญเสียเสรีภาพในการเลือกใช้แอป 🔰 มีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมแอปพลิเคชันอิสระ (indie apps) อาจได้รับผลกระทบหนัก เพราะต้นทุนการตรวจสอบและการยืนยันตัวตนสูงขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ นโยบายใหม่ของ Google เกี่ยวกับการ sideload แอป Android ➡️ ต้องมีการตรวจสอบตัวตนและการเซ็นโค้ดก่อนติดตั้ง ➡️ มีช่องทางพิเศษสำหรับนักพัฒนาและ Power Users ✅ บัญชีพิเศษสำหรับนักเรียนและผู้ใช้ทั่วไป ➡️ สามารถแจกจ่ายแอปได้ในวงจำกัดโดยไม่ต้องตรวจสอบเต็มรูปแบบ ✅ เป้าหมายหลักของนโยบาย ➡️ ลดการแพร่กระจายของแอปที่เป็นอันตราย ➡️ ป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์และการหลอกลวง ‼️ คำเตือนจากนักวิจัยด้านความปลอดภัย ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจสูญเสียเสรีภาพในการติดตั้งแอปจากแหล่งใดก็ได้ ⛔ อุตสาหกรรมแอปอิสระอาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนการตรวจสอบที่สูงขึ้น https://securityonline.info/android-sideloading-crackdown-google-to-verify-all-apps-but-promises-power-user-bypass/
    SECURITYONLINE.INFO
    Android Sideloading Crackdown: Google to Verify All Apps, But Promises Power-User Bypass
    Google will soon require all sideloaded Android apps to pass verification and code signing to combat fraud. However, the company is developing an "advanced process" for power users to bypass this.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://pvaoutlets.com/product/buy-verified-cash-app-accounts/
    https://pvaoutlets.com/product/buy-verified-cash-app-accounts/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าว Techradar

    Samsung TV ได้ “บุคลิก” ใหม่
    ซัมซุงเปิดตัว Vision AI Companion บนทีวีรุ่นใหม่ ที่รวมพลังจาก Bixby, Microsoft Copilot และ Perplexity เข้ามาเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในบ้าน ไม่ใช่แค่หาหนังดู แต่ยังสามารถอธิบายสิ่งที่กำลังฉาย ตอบคำถามต่อเนื่อง แปลเสียงสดจากรายการต่างประเทศ หรือแม้แต่ช่วยวางแผนมื้อค่ำได้ ทีวีจึงไม่ใช่แค่จอภาพ แต่กลายเป็นผู้ช่วยพูดคุยที่ทุกคนในบ้านสามารถโต้ตอบพร้อมกันได้

    Mini PC ARM ขนาดจิ๋ว แต่ทรงพลัง
    Minisforum เปิดตัว MS-R1 มินิพีซี ARM ขนาดเพียง 1.7 ลิตร แต่มีสล็อต PCIe x16 สำหรับใส่การ์ดจอหรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ใช้ชิป 12-core พร้อม GPU ในตัว รองรับ RAM สูงสุด 64GB และเก็บข้อมูลได้ถึง 8TB จุดเด่นคือเล็ก เงียบ แต่รองรับงาน AI และการประมวลผลหนัก ๆ ได้

    iPhone ถูกมองว่า “เกินจริง” แต่ยังไม่ถึงขั้นหมดเสน่ห์
    ผลสำรวจจากผู้อ่าน TechRadar พบว่า 47% มองว่า iPhone “โอเวอร์เรต” ส่วน 36% ยังลังเล และ 17% บอกว่าไม่จริง หลายคนเล่าว่าเคยตื่นเต้นกับ iPhone รุ่นแรก ๆ แต่หลังจากนั้นรู้สึกว่าการอัปเกรดไม่หวือหวาเหมือนเดิม แม้ยังใช้งานดี แต่ความตื่นเต้นลดลงไปมาก

    หุ่นยนต์มนุษย์รุ่นใหม่ ทั้งกวน ทั้งพลาด
    โลกหุ่นยนต์กำลังคึกคัก XPeng จากจีนเปิดตัวหุ่นยนต์ IRON ที่ดูเหมือนนางแบบ แต่ถูกวิจารณ์ว่าดูหลอนเกินไป ขณะที่รัสเซียเปิดตัวหุ่นยนต์ Idol แต่กลับล้มกลางเวทีอย่างน่าอาย เทียบกับเจ้าอื่น ๆ อย่าง Tesla Optimus หรือ Figure 03 ที่พัฒนาไปไกลกว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนว่าการสร้างหุ่นยนต์มนุษย์ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย

    VPN บูมในอิตาลี หลังบังคับตรวจอายุ
    อิตาลีออกกฎหมายให้เว็บไซต์ผู้ใหญ่ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้ ส่งผลให้คนแห่ค้นหา VPN เพื่อเลี่ยงระบบตรวจสอบ แม้รัฐบาลยืนยันว่ามีระบบ “โทเคนไม่ระบุตัวตน” แต่ประชาชนยังไม่มั่นใจ จึงหันไปใช้ VPN กันมากขึ้น ซึ่งก็เสี่ยงหากเลือกบริการฟรีหรือไม่น่าเชื่อถือ

    มัลแวร์ GootLoader กลับมาอีกครั้ง
    หลังหายไป 9 เดือน มัลแวร์ GootLoader โผล่มาอีกครั้ง ใช้เทคนิคซ่อนโค้ดอันตรายใน “ฟอนต์เว็บ” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ที่แท้จริง จุดประสงค์คือเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบองค์กร และอาจนำไปสู่การโจมตีแบบเรียกค่าไถ่

    Infostealer ถูกสกัด หลังตำรวจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์
    มัลแวร์ขโมยข้อมูลชื่อ Rhadamanthys ที่ขายแบบบริการ (MaaS) ถูกขัดขวาง เมื่อผู้ใช้หลายรายถูกล็อกไม่ให้เข้าระบบ มีการโยงไปถึงตำรวจเยอรมันที่อาจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้ เหตุการณ์นี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการใหญ่ “Operation Endgame” ที่มุ่งปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์

    แฮกเกอร์ใช้ฟีเจอร์แอนติไวรัสโจมตี
    แพลตฟอร์มแชร์ไฟล์ Triofox มีช่องโหว่ร้ายแรง (CVE-2025-12480) ที่ถูกใช้เป็นช่องทางติดตั้งเครื่องมือรีโมต เช่น Zoho Assist และ AnyDesk ทำให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขแล้ว แต่เตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตเวอร์ชันใหม่

    Insta360 เปิดตัวกล้องลูกผสมสุดแปลก
    กล้อง Ace Pro 2 ของ Insta360 ได้อุปกรณ์เสริมใหม่ ทั้งเลนส์หลายแบบ กริปถ่ายภาพ และที่แปลกที่สุดคือ เครื่องพิมพ์ภาพทันทีแบบติดกล้อง ทำให้กล้องแอ็กชันสามารถพิมพ์รูปออกมาได้ทันที คล้าย Instax แต่ติดกับกล้องแอ็กชันโดยตรง

    PayPal กลับมาที่สหราชอาณาจักร
    หลังจากปรับโครงสร้างช่วง Brexit ตอนนี้ PayPal รีแบรนด์ใหม่ใน UK พร้อมเปิดตัวบัตรเดบิตและเครดิต รวมถึงโปรแกรมสะสมแต้ม PayPal+ ที่แบ่งเป็น Blue, Gold และ Black ยิ่งใช้มากยิ่งได้สิทธิพิเศษ เช่นแต้มเพิ่มและประสบการณ์ VIP

    🪪 AirTag คู่แข่งในรูปบัตรเครดิต
    บริษัท Nomad เปิดตัว Tracking Card Pro ที่หน้าตาเหมือนบัตรเครดิต แต่จริง ๆ เป็นอุปกรณ์ติดตาม ใช้ระบบ Find My ของ Apple จุดเด่นคือพรางตัวได้ดี ทำให้โจรไม่รู้ว่ามีตัวติดตามอยู่ในกระเป๋าสตางค์

    ข้อมูลพนักงาน GlobalLogic รั่ว
    บริษัท GlobalLogic (ในเครือ Hitachi) ยืนยันว่ามีการรั่วไหลข้อมูลพนักงานกว่า 10,000 คน จากช่องโหว่ในระบบ Oracle E-Business Suite ข้อมูลที่หลุดมีทั้งเลขบัญชี เงินเดือน และข้อมูลส่วนบุคคล เหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีที่กระทบหลายองค์กรใหญ่ทั่วโลก

    Gemini อ่าน PDF ให้ฟังได้
    Google เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Gemini ให้สามารถสรุปไฟล์ PDF เป็นเสียงแบบพอดแคสต์สั้น ๆ 2–10 นาที ฟังได้เหมือนเล่าเรื่อง ไม่ต้องอ่านเอง เหมาะกับเอกสารยาว ๆ เช่นสัญญา ฟีเจอร์นี้จะบันทึกไฟล์เสียงไว้ใน Google Drive เพื่อเปิดฟังได้ทุกอุปกรณ์
    🔰📌 รวมข่าว Techradar 📌🔰 📺 Samsung TV ได้ “บุคลิก” ใหม่ ซัมซุงเปิดตัว Vision AI Companion บนทีวีรุ่นใหม่ ที่รวมพลังจาก Bixby, Microsoft Copilot และ Perplexity เข้ามาเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในบ้าน ไม่ใช่แค่หาหนังดู แต่ยังสามารถอธิบายสิ่งที่กำลังฉาย ตอบคำถามต่อเนื่อง แปลเสียงสดจากรายการต่างประเทศ หรือแม้แต่ช่วยวางแผนมื้อค่ำได้ ทีวีจึงไม่ใช่แค่จอภาพ แต่กลายเป็นผู้ช่วยพูดคุยที่ทุกคนในบ้านสามารถโต้ตอบพร้อมกันได้ 💻 Mini PC ARM ขนาดจิ๋ว แต่ทรงพลัง Minisforum เปิดตัว MS-R1 มินิพีซี ARM ขนาดเพียง 1.7 ลิตร แต่มีสล็อต PCIe x16 สำหรับใส่การ์ดจอหรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ใช้ชิป 12-core พร้อม GPU ในตัว รองรับ RAM สูงสุด 64GB และเก็บข้อมูลได้ถึง 8TB จุดเด่นคือเล็ก เงียบ แต่รองรับงาน AI และการประมวลผลหนัก ๆ ได้ 📱 iPhone ถูกมองว่า “เกินจริง” แต่ยังไม่ถึงขั้นหมดเสน่ห์ ผลสำรวจจากผู้อ่าน TechRadar พบว่า 47% มองว่า iPhone “โอเวอร์เรต” ส่วน 36% ยังลังเล และ 17% บอกว่าไม่จริง หลายคนเล่าว่าเคยตื่นเต้นกับ iPhone รุ่นแรก ๆ แต่หลังจากนั้นรู้สึกว่าการอัปเกรดไม่หวือหวาเหมือนเดิม แม้ยังใช้งานดี แต่ความตื่นเต้นลดลงไปมาก 🤖 หุ่นยนต์มนุษย์รุ่นใหม่ ทั้งกวน ทั้งพลาด โลกหุ่นยนต์กำลังคึกคัก XPeng จากจีนเปิดตัวหุ่นยนต์ IRON ที่ดูเหมือนนางแบบ แต่ถูกวิจารณ์ว่าดูหลอนเกินไป ขณะที่รัสเซียเปิดตัวหุ่นยนต์ Idol แต่กลับล้มกลางเวทีอย่างน่าอาย เทียบกับเจ้าอื่น ๆ อย่าง Tesla Optimus หรือ Figure 03 ที่พัฒนาไปไกลกว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนว่าการสร้างหุ่นยนต์มนุษย์ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย 🔒 VPN บูมในอิตาลี หลังบังคับตรวจอายุ อิตาลีออกกฎหมายให้เว็บไซต์ผู้ใหญ่ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้ ส่งผลให้คนแห่ค้นหา VPN เพื่อเลี่ยงระบบตรวจสอบ แม้รัฐบาลยืนยันว่ามีระบบ “โทเคนไม่ระบุตัวตน” แต่ประชาชนยังไม่มั่นใจ จึงหันไปใช้ VPN กันมากขึ้น ซึ่งก็เสี่ยงหากเลือกบริการฟรีหรือไม่น่าเชื่อถือ 🦠 มัลแวร์ GootLoader กลับมาอีกครั้ง หลังหายไป 9 เดือน มัลแวร์ GootLoader โผล่มาอีกครั้ง ใช้เทคนิคซ่อนโค้ดอันตรายใน “ฟอนต์เว็บ” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ที่แท้จริง จุดประสงค์คือเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบองค์กร และอาจนำไปสู่การโจมตีแบบเรียกค่าไถ่ 🕵️ Infostealer ถูกสกัด หลังตำรวจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ มัลแวร์ขโมยข้อมูลชื่อ Rhadamanthys ที่ขายแบบบริการ (MaaS) ถูกขัดขวาง เมื่อผู้ใช้หลายรายถูกล็อกไม่ให้เข้าระบบ มีการโยงไปถึงตำรวจเยอรมันที่อาจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้ เหตุการณ์นี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการใหญ่ “Operation Endgame” ที่มุ่งปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ 🛡️ แฮกเกอร์ใช้ฟีเจอร์แอนติไวรัสโจมตี แพลตฟอร์มแชร์ไฟล์ Triofox มีช่องโหว่ร้ายแรง (CVE-2025-12480) ที่ถูกใช้เป็นช่องทางติดตั้งเครื่องมือรีโมต เช่น Zoho Assist และ AnyDesk ทำให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขแล้ว แต่เตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตเวอร์ชันใหม่ 📸 Insta360 เปิดตัวกล้องลูกผสมสุดแปลก กล้อง Ace Pro 2 ของ Insta360 ได้อุปกรณ์เสริมใหม่ ทั้งเลนส์หลายแบบ กริปถ่ายภาพ และที่แปลกที่สุดคือ เครื่องพิมพ์ภาพทันทีแบบติดกล้อง ทำให้กล้องแอ็กชันสามารถพิมพ์รูปออกมาได้ทันที คล้าย Instax แต่ติดกับกล้องแอ็กชันโดยตรง 💳 PayPal กลับมาที่สหราชอาณาจักร หลังจากปรับโครงสร้างช่วง Brexit ตอนนี้ PayPal รีแบรนด์ใหม่ใน UK พร้อมเปิดตัวบัตรเดบิตและเครดิต รวมถึงโปรแกรมสะสมแต้ม PayPal+ ที่แบ่งเป็น Blue, Gold และ Black ยิ่งใช้มากยิ่งได้สิทธิพิเศษ เช่นแต้มเพิ่มและประสบการณ์ VIP 🪪 AirTag คู่แข่งในรูปบัตรเครดิต บริษัท Nomad เปิดตัว Tracking Card Pro ที่หน้าตาเหมือนบัตรเครดิต แต่จริง ๆ เป็นอุปกรณ์ติดตาม ใช้ระบบ Find My ของ Apple จุดเด่นคือพรางตัวได้ดี ทำให้โจรไม่รู้ว่ามีตัวติดตามอยู่ในกระเป๋าสตางค์ 🧑‍💻 ข้อมูลพนักงาน GlobalLogic รั่ว บริษัท GlobalLogic (ในเครือ Hitachi) ยืนยันว่ามีการรั่วไหลข้อมูลพนักงานกว่า 10,000 คน จากช่องโหว่ในระบบ Oracle E-Business Suite ข้อมูลที่หลุดมีทั้งเลขบัญชี เงินเดือน และข้อมูลส่วนบุคคล เหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีที่กระทบหลายองค์กรใหญ่ทั่วโลก 🎧 Gemini อ่าน PDF ให้ฟังได้ Google เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Gemini ให้สามารถสรุปไฟล์ PDF เป็นเสียงแบบพอดแคสต์สั้น ๆ 2–10 นาที ฟังได้เหมือนเล่าเรื่อง ไม่ต้องอ่านเอง เหมาะกับเอกสารยาว ๆ เช่นสัญญา ฟีเจอร์นี้จะบันทึกไฟล์เสียงไว้ใน Google Drive เพื่อเปิดฟังได้ทุกอุปกรณ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung Galaxy S26 มาพร้อม RAM 12GB เป็นมาตรฐาน

    สำหรับสายสมาร์ทโฟน ข่าวลือใหม่เผยว่า Samsung Galaxy S26 จะมาพร้อม RAM 12GB LPDDR5X เป็นมาตรฐานในทุกรุ่น ซึ่งถือเป็นการยกระดับจาก Galaxy S25 ที่ใช้ความเร็ว 8.5Gbps โดยรุ่นใหม่จะเพิ่มเป็น 10.7Gbps ทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะการประมวลผลภาพและการจัดการกล้อง

    รุ่น Galaxy S26 Ultra จะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมด้วย RAM 16GB ซึ่งจะช่วยให้การทำงานด้านกล้องและการจัดการความร้อนดีขึ้น อย่างไรก็ตามยังไม่แน่ชัดว่ารุ่นนี้จะมีให้เลือกในทุกประเทศหรือจำกัดเฉพาะบางตลาดเหมือน Galaxy S25 Ultra ที่เคยจำกัดการขายเฉพาะเอเชียบางประเทศ

    แม้ Samsung จะยังไม่ก้าวไปสู่ LPDDR6 แต่การเพิ่มความเร็วของ LPDDR5X ก็ยังถือเป็นการพัฒนาใหญ่ และสอดคล้องกับแนวโน้มการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งอย่าง Apple และ Xiaomi กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำเช่นกัน

    จุดเด่นของ Galaxy S26
    RAM 12GB LPDDR5X ความเร็ว 10.7Gbps เป็นมาตรฐาน
    รุ่น Ultra มี RAM 16GB สำหรับการใช้งานหนัก
    การปรับปรุงช่วยให้กล้องและระบบจัดการความร้อนดีขึ้น

    ข้อควรระวัง
    รุ่น Ultra อาจจำกัดการวางขายเฉพาะบางประเทศ
    ยังไม่ใช่ LPDDR6 ซึ่งอาจทำให้บางคนผิดหวัง

    https://wccftech.com/all-galaxy-s26-models-faster-12gb-lpddr5x-ram-ultra-model-will-offer-more-memory/
    📱 Samsung Galaxy S26 มาพร้อม RAM 12GB เป็นมาตรฐาน สำหรับสายสมาร์ทโฟน ข่าวลือใหม่เผยว่า Samsung Galaxy S26 จะมาพร้อม RAM 12GB LPDDR5X เป็นมาตรฐานในทุกรุ่น ซึ่งถือเป็นการยกระดับจาก Galaxy S25 ที่ใช้ความเร็ว 8.5Gbps โดยรุ่นใหม่จะเพิ่มเป็น 10.7Gbps ทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะการประมวลผลภาพและการจัดการกล้อง รุ่น Galaxy S26 Ultra จะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมด้วย RAM 16GB ซึ่งจะช่วยให้การทำงานด้านกล้องและการจัดการความร้อนดีขึ้น อย่างไรก็ตามยังไม่แน่ชัดว่ารุ่นนี้จะมีให้เลือกในทุกประเทศหรือจำกัดเฉพาะบางตลาดเหมือน Galaxy S25 Ultra ที่เคยจำกัดการขายเฉพาะเอเชียบางประเทศ แม้ Samsung จะยังไม่ก้าวไปสู่ LPDDR6 แต่การเพิ่มความเร็วของ LPDDR5X ก็ยังถือเป็นการพัฒนาใหญ่ และสอดคล้องกับแนวโน้มการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งอย่าง Apple และ Xiaomi กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำเช่นกัน ✅ จุดเด่นของ Galaxy S26 ➡️ RAM 12GB LPDDR5X ความเร็ว 10.7Gbps เป็นมาตรฐาน ➡️ รุ่น Ultra มี RAM 16GB สำหรับการใช้งานหนัก ➡️ การปรับปรุงช่วยให้กล้องและระบบจัดการความร้อนดีขึ้น ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ รุ่น Ultra อาจจำกัดการวางขายเฉพาะบางประเทศ ⛔ ยังไม่ใช่ LPDDR6 ซึ่งอาจทำให้บางคนผิดหวัง https://wccftech.com/all-galaxy-s26-models-faster-12gb-lpddr5x-ram-ultra-model-will-offer-more-memory/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • อนาคตของ PC ไร้สาย – BTF 3.0

    DIY-APE ได้เปิดตัวมาตรฐานใหม่ชื่อ BTF 3.0 (Back to Future) ที่ตั้งเป้าจะทำให้การประกอบคอมพิวเตอร์ไร้สายจริง ๆ โดยใช้ คอนเน็กเตอร์ 50-pin เดียว ที่สามารถส่งพลังงานได้สูงสุดถึง 2,145W เพียงพอสำหรับ CPU และ GPU รุ่นใหญ่ในปัจจุบัน จุดเด่นคือการรวมสายไฟทั้งหมดเข้าด้วยกัน ทำให้เครื่องดูสะอาดและง่ายต่อการประกอบ

    นอกจากนั้น BTF 3.0 ยังออกแบบให้รองรับ backward compatibility และมีอุปกรณ์เสริมสำหรับ GPU ที่ยังไม่รองรับมาตรฐานนี้ เช่น อะแดปเตอร์แบบมุมฉากเพื่อเชื่อมต่อสาย PCIe เข้ากับบอร์ดใหม่ ถือเป็นแนวคิดที่อาจเปลี่ยนวิธีการประกอบคอมพิวเตอร์ในอนาคต

    จุดเด่นของ BTF 3.0
    ใช้คอนเน็กเตอร์ 50-pin เดียว รองรับไฟสูงสุด 2,145W
    ลดสายไฟ ทำให้เครื่องดูสะอาดและง่ายต่อการประกอบ

    ความเข้ากันได้
    รองรับ GPU รุ่นเก่าผ่านอะแดปเตอร์
    ใช้ร่วมกับ ATX 3.0/3.1 ได้

    ข้อควรระวัง
    ยังเป็นเพียงต้นแบบ ต้องรอผู้ผลิตจริงนำไปใช้
    ความร้อนและความปลอดภัยของคอนเน็กเตอร์ยังเป็นประเด็นที่ต้องทดสอบ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/btf-3-0-reveals-the-future-of-cable-less-pc-builds-single-50-pin-connector-supports-up-to-2-145-watts-to-power-a-cpu-and-gpu
    🔌อนาคตของ PC ไร้สาย – BTF 3.0 DIY-APE ได้เปิดตัวมาตรฐานใหม่ชื่อ BTF 3.0 (Back to Future) ที่ตั้งเป้าจะทำให้การประกอบคอมพิวเตอร์ไร้สายจริง ๆ โดยใช้ คอนเน็กเตอร์ 50-pin เดียว ที่สามารถส่งพลังงานได้สูงสุดถึง 2,145W เพียงพอสำหรับ CPU และ GPU รุ่นใหญ่ในปัจจุบัน จุดเด่นคือการรวมสายไฟทั้งหมดเข้าด้วยกัน ทำให้เครื่องดูสะอาดและง่ายต่อการประกอบ นอกจากนั้น BTF 3.0 ยังออกแบบให้รองรับ backward compatibility และมีอุปกรณ์เสริมสำหรับ GPU ที่ยังไม่รองรับมาตรฐานนี้ เช่น อะแดปเตอร์แบบมุมฉากเพื่อเชื่อมต่อสาย PCIe เข้ากับบอร์ดใหม่ ถือเป็นแนวคิดที่อาจเปลี่ยนวิธีการประกอบคอมพิวเตอร์ในอนาคต ✅ จุดเด่นของ BTF 3.0 ➡️ ใช้คอนเน็กเตอร์ 50-pin เดียว รองรับไฟสูงสุด 2,145W ➡️ ลดสายไฟ ทำให้เครื่องดูสะอาดและง่ายต่อการประกอบ ✅ ความเข้ากันได้ ➡️ รองรับ GPU รุ่นเก่าผ่านอะแดปเตอร์ ➡️ ใช้ร่วมกับ ATX 3.0/3.1 ได้ ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ยังเป็นเพียงต้นแบบ ต้องรอผู้ผลิตจริงนำไปใช้ ⛔ ความร้อนและความปลอดภัยของคอนเน็กเตอร์ยังเป็นประเด็นที่ต้องทดสอบ https://www.tomshardware.com/pc-components/btf-3-0-reveals-the-future-of-cable-less-pc-builds-single-50-pin-connector-supports-up-to-2-145-watts-to-power-a-cpu-and-gpu
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • .NET 10 – ก้าวกระโดดครั้งใหม่ของนักพัฒนา

    Microsoft ได้เปิดตัว .NET 10 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของแพลตฟอร์มพัฒนาแอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยมทั่วโลก จุดเด่นคือการเพิ่มประสิทธิภาพให้แอปทำงานเร็วขึ้น ใช้หน่วยความจำน้อยลง และรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Post-Quantum Cryptography เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับยุคคอมพิวเตอร์ควอนตัม

    นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตภาษา C# 14 และ F# 10 ที่ช่วยให้โค้ดกระชับและทรงพลังมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงเครื่องมือพัฒนาอย่าง Visual Studio 2026 ที่ผสาน AI เข้ามาช่วยนักพัฒนาในการเขียนโค้ด ตรวจสอบ และปรับปรุงประสิทธิภาพได้อย่างชาญฉลาด

    สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือการเปิดตัว Aspire ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับจัดการระบบแอปพลิเคชันแบบกระจาย (Distributed Apps) ทำให้การทำงานร่วมกันระหว่าง API, Database และ Container ง่ายขึ้นมาก เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการสร้างระบบขนาดใหญ่ที่มีความเสถียรและปลอดภัย

    เปิดตัว .NET 10 พร้อมฟีเจอร์ใหม่
    รองรับ AI, ปรับปรุงประสิทธิภาพ และปลอดภัยมากขึ้น

    ภาษาใหม่ C# 14 และ F# 10
    โค้ดกระชับ ใช้งานง่าย และทรงพลัง

    Aspire สำหรับระบบกระจาย
    ทำให้การจัดการ API และ Container ง่ายขึ้น

    ความท้าทายในการอัปเกรดระบบ
    องค์กรต้องเตรียมทรัพยากรและปรับโครงสร้างเพื่อรองรับ .NET 10

    https://devblogs.microsoft.com/dotnet/announcing-dotnet-10/
    💻 .NET 10 – ก้าวกระโดดครั้งใหม่ของนักพัฒนา Microsoft ได้เปิดตัว .NET 10 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของแพลตฟอร์มพัฒนาแอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยมทั่วโลก จุดเด่นคือการเพิ่มประสิทธิภาพให้แอปทำงานเร็วขึ้น ใช้หน่วยความจำน้อยลง และรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Post-Quantum Cryptography เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับยุคคอมพิวเตอร์ควอนตัม นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตภาษา C# 14 และ F# 10 ที่ช่วยให้โค้ดกระชับและทรงพลังมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงเครื่องมือพัฒนาอย่าง Visual Studio 2026 ที่ผสาน AI เข้ามาช่วยนักพัฒนาในการเขียนโค้ด ตรวจสอบ และปรับปรุงประสิทธิภาพได้อย่างชาญฉลาด สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือการเปิดตัว Aspire ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับจัดการระบบแอปพลิเคชันแบบกระจาย (Distributed Apps) ทำให้การทำงานร่วมกันระหว่าง API, Database และ Container ง่ายขึ้นมาก เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการสร้างระบบขนาดใหญ่ที่มีความเสถียรและปลอดภัย ✅ เปิดตัว .NET 10 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ ➡️ รองรับ AI, ปรับปรุงประสิทธิภาพ และปลอดภัยมากขึ้น ✅ ภาษาใหม่ C# 14 และ F# 10 ➡️ โค้ดกระชับ ใช้งานง่าย และทรงพลัง ✅ Aspire สำหรับระบบกระจาย ➡️ ทำให้การจัดการ API และ Container ง่ายขึ้น ‼️ ความท้าทายในการอัปเกรดระบบ ⛔ องค์กรต้องเตรียมทรัพยากรและปรับโครงสร้างเพื่อรองรับ .NET 10 https://devblogs.microsoft.com/dotnet/announcing-dotnet-10/
    DEVBLOGS.MICROSOFT.COM
    Announcing .NET 10 - .NET Blog
    Announcing the release of .NET 10, the most productive, modern, secure, intelligent, and performant release of .NET yet. With updates across ASP.NET Core, C# 14, .NET MAUI, Aspire, and so much more.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทำไมรถ Tesla จึงยังใช้ Apple CarPlay และ Android Auto ไม่ได้”

    ในยุคที่รถยนต์แทบทุกคันมีระบบ Apple CarPlay และ Android Auto เพื่อเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับหน้าจอรถ Tesla กลับเลือกเส้นทางที่แตกต่างออกไป Tesla ไม่เคยและอาจจะไม่เคยรองรับระบบเหล่านี้เลย เหตุผลหลักคือ Tesla ต้องการควบคุมทุกอย่างเอง ตั้งแต่ระบบอินโฟเทนเมนต์ไปจนถึงการเชื่อมต่อ เพื่อให้ประสบการณ์ใช้งานเป็นเอกลักษณ์และไม่ขึ้นกับบริษัทอื่น

    อีกมุมหนึ่งคือ Tesla ไม่ได้เป็นแค่ผู้ผลิตรถยนต์ แต่ยังเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่สร้างเครือข่ายชาร์จไฟฟ้า ผลิตแบตเตอรี่ และลงทุนในหุ่นยนต์และ AI การยอมให้ Apple หรือ Google เข้ามาในระบบรถยนต์จึงเหมือนกับการยอมรับว่าผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งดีกว่า ซึ่งไม่ใช่แนวทางของ Elon Musk ที่มุ่งมั่นสร้างระบบของตัวเอง แม้จะเสี่ยงต่อการถูกวิจารณ์ว่าปิดกั้นผู้ใช้ก็ตาม

    นอกจากนี้ Tesla ยังมองว่าการพึ่งพาระบบจากบริษัทอื่นอาจนำไปสู่ปัญหา เช่น หาก CarPlay หรือ Android Auto มีบั๊กหรือหยุดทำงาน ผู้ใช้จะโทษ Tesla ทั้งที่ปัญหาเกิดจากระบบภายนอก การสร้างระบบเองจึงช่วยลดความเสี่ยงต่อชื่อเสียงของแบรนด์ แม้จะต้องรับผิดชอบต่อคุณภาพทั้งหมดเองก็ตาม

    Tesla ไม่รองรับ CarPlay และ Android Auto
    ต้องการควบคุมระบบอินโฟเทนเมนต์เองทั้งหมด

    Tesla เป็นบริษัทเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตรถยนต์
    มีเครือข่ายชาร์จไฟฟ้า ผลิตแบตเตอรี่ และลงทุนใน AI

    เหตุผลเชิงกลยุทธ์
    ไม่ต้องการพึ่งพาคู่แข่งอย่าง Apple หรือ Google

    ผู้ใช้บางคนอาจรู้สึกถูกจำกัด
    ไม่สามารถใช้ฟังก์ชันที่คุ้นเคยจากสมาร์ทโฟน

    Tesla ต้องรับผิดชอบต่อคุณภาพระบบเองทั้งหมด
    หากระบบมีปัญหา จะไม่มีข้ออ้างว่าเกิดจากบริษัทอื่น

    https://www.slashgear.com/2013097/why-teslas-dont-have-carplay-android-auto/
    🚗 “ทำไมรถ Tesla จึงยังใช้ Apple CarPlay และ Android Auto ไม่ได้” ในยุคที่รถยนต์แทบทุกคันมีระบบ Apple CarPlay และ Android Auto เพื่อเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับหน้าจอรถ Tesla กลับเลือกเส้นทางที่แตกต่างออกไป Tesla ไม่เคยและอาจจะไม่เคยรองรับระบบเหล่านี้เลย เหตุผลหลักคือ Tesla ต้องการควบคุมทุกอย่างเอง ตั้งแต่ระบบอินโฟเทนเมนต์ไปจนถึงการเชื่อมต่อ เพื่อให้ประสบการณ์ใช้งานเป็นเอกลักษณ์และไม่ขึ้นกับบริษัทอื่น อีกมุมหนึ่งคือ Tesla ไม่ได้เป็นแค่ผู้ผลิตรถยนต์ แต่ยังเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่สร้างเครือข่ายชาร์จไฟฟ้า ผลิตแบตเตอรี่ และลงทุนในหุ่นยนต์และ AI การยอมให้ Apple หรือ Google เข้ามาในระบบรถยนต์จึงเหมือนกับการยอมรับว่าผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งดีกว่า ซึ่งไม่ใช่แนวทางของ Elon Musk ที่มุ่งมั่นสร้างระบบของตัวเอง แม้จะเสี่ยงต่อการถูกวิจารณ์ว่าปิดกั้นผู้ใช้ก็ตาม นอกจากนี้ Tesla ยังมองว่าการพึ่งพาระบบจากบริษัทอื่นอาจนำไปสู่ปัญหา เช่น หาก CarPlay หรือ Android Auto มีบั๊กหรือหยุดทำงาน ผู้ใช้จะโทษ Tesla ทั้งที่ปัญหาเกิดจากระบบภายนอก การสร้างระบบเองจึงช่วยลดความเสี่ยงต่อชื่อเสียงของแบรนด์ แม้จะต้องรับผิดชอบต่อคุณภาพทั้งหมดเองก็ตาม ✅ Tesla ไม่รองรับ CarPlay และ Android Auto ➡️ ต้องการควบคุมระบบอินโฟเทนเมนต์เองทั้งหมด ✅ Tesla เป็นบริษัทเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตรถยนต์ ➡️ มีเครือข่ายชาร์จไฟฟ้า ผลิตแบตเตอรี่ และลงทุนใน AI ✅ เหตุผลเชิงกลยุทธ์ ➡️ ไม่ต้องการพึ่งพาคู่แข่งอย่าง Apple หรือ Google ‼️ ผู้ใช้บางคนอาจรู้สึกถูกจำกัด ⛔ ไม่สามารถใช้ฟังก์ชันที่คุ้นเคยจากสมาร์ทโฟน ‼️ Tesla ต้องรับผิดชอบต่อคุณภาพระบบเองทั้งหมด ⛔ หากระบบมีปัญหา จะไม่มีข้ออ้างว่าเกิดจากบริษัทอื่น https://www.slashgear.com/2013097/why-teslas-dont-have-carplay-android-auto/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Why Teslas Don't Have CarPlay And Android Auto (And Probably Never Will) - SlashGear
    Teslas are generally seen as being at the forefront of automotive technology, but they lack a basic infotainment system common in other cars.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nitrux 5.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ – ดิสโทร Linux แบบ Systemd-Free พร้อม Hyprland

    หลังจากพัฒนามาอย่างยาวนาน ทีมงาน Nitrux ได้ประกาศเปิดตัว Nitrux 5.0 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยตัด KDE Plasma ออกและหันมาใช้ Hyprland เป็น Wayland compositor หลัก ทำให้ระบบมีความเบาและตอบสนองได้รวดเร็วขึ้น พร้อมเครื่องมือใหม่ ๆ เช่น Waybar, Wlogout, Crystal Dock และ Wofi ที่ช่วยให้การใช้งานลื่นไหลและทันสมัยมากขึ้น

    Nitrux 5.0 ยังมาพร้อมกับ สองเวอร์ชัน คือ Liquorix kernel สำหรับผู้ใช้ AMD และ CachyOS kernel สำหรับผู้ใช้ NVIDIA โดยทั้งสองรุ่นใช้ Linux kernel 6.17 และมีการปรับแต่งเพื่อให้ประสิทธิภาพสูงสุดในแต่ละแพลตฟอร์ม นอกจากนี้ยังมีการรวมเครื่องมือสำคัญ เช่น PipeWire สำหรับจัดการเสียงและวิดีโอ, NetworkManager สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่าย และ Flatpak สำหรับติดตั้งแอปพลิเคชัน

    สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างคือการใช้ OpenRC แทน systemd ทำให้ระบบมีความยืดหยุ่นและเบากว่าเดิม พร้อมฟีเจอร์เสริมอย่าง SCX global vtime CPU scheduler และ Ananicy-cpp daemon ที่ช่วยจัดการทรัพยากร CPU และ RAM อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดจากเวอร์ชันเก่าไม่สามารถทำได้ ต้องติดตั้งใหม่ทั้งหมด

    จุดเด่นของ Nitrux 5.0
    ใช้ Hyprland แทน KDE Plasma
    มีเครื่องมือใหม่ เช่น Waybar, Wlogout, Crystal Dock, Wofi

    ตัวเลือก Kernel
    Liquorix สำหรับ AMD
    CachyOS สำหรับ NVIDIA

    ฟีเจอร์ระบบ
    ใช้ OpenRC แทน systemd
    มี SCX CPU scheduler และ Ananicy-cpp daemon

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    ไม่สามารถอัปเกรดจากเวอร์ชันเก่า ต้องติดตั้งใหม่
    ผู้ใช้ที่ไม่คุ้นเคยกับ Wayland อาจต้องใช้เวลาเรียนรู้การปรับแต่ง

    https://9to5linux.com/systemd-free-nitrux-5-0-officially-released-with-hyprland-desktop-linux-kernel-6-17
    💻 Nitrux 5.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ – ดิสโทร Linux แบบ Systemd-Free พร้อม Hyprland หลังจากพัฒนามาอย่างยาวนาน ทีมงาน Nitrux ได้ประกาศเปิดตัว Nitrux 5.0 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยตัด KDE Plasma ออกและหันมาใช้ Hyprland เป็น Wayland compositor หลัก ทำให้ระบบมีความเบาและตอบสนองได้รวดเร็วขึ้น พร้อมเครื่องมือใหม่ ๆ เช่น Waybar, Wlogout, Crystal Dock และ Wofi ที่ช่วยให้การใช้งานลื่นไหลและทันสมัยมากขึ้น Nitrux 5.0 ยังมาพร้อมกับ สองเวอร์ชัน คือ Liquorix kernel สำหรับผู้ใช้ AMD และ CachyOS kernel สำหรับผู้ใช้ NVIDIA โดยทั้งสองรุ่นใช้ Linux kernel 6.17 และมีการปรับแต่งเพื่อให้ประสิทธิภาพสูงสุดในแต่ละแพลตฟอร์ม นอกจากนี้ยังมีการรวมเครื่องมือสำคัญ เช่น PipeWire สำหรับจัดการเสียงและวิดีโอ, NetworkManager สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่าย และ Flatpak สำหรับติดตั้งแอปพลิเคชัน สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างคือการใช้ OpenRC แทน systemd ทำให้ระบบมีความยืดหยุ่นและเบากว่าเดิม พร้อมฟีเจอร์เสริมอย่าง SCX global vtime CPU scheduler และ Ananicy-cpp daemon ที่ช่วยจัดการทรัพยากร CPU และ RAM อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดจากเวอร์ชันเก่าไม่สามารถทำได้ ต้องติดตั้งใหม่ทั้งหมด ✅ จุดเด่นของ Nitrux 5.0 ➡️ ใช้ Hyprland แทน KDE Plasma ➡️ มีเครื่องมือใหม่ เช่น Waybar, Wlogout, Crystal Dock, Wofi ✅ ตัวเลือก Kernel ➡️ Liquorix สำหรับ AMD ➡️ CachyOS สำหรับ NVIDIA ✅ ฟีเจอร์ระบบ ➡️ ใช้ OpenRC แทน systemd ➡️ มี SCX CPU scheduler และ Ananicy-cpp daemon ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ ไม่สามารถอัปเกรดจากเวอร์ชันเก่า ต้องติดตั้งใหม่ ⛔ ผู้ใช้ที่ไม่คุ้นเคยกับ Wayland อาจต้องใช้เวลาเรียนรู้การปรับแต่ง https://9to5linux.com/systemd-free-nitrux-5-0-officially-released-with-hyprland-desktop-linux-kernel-6-17
    9TO5LINUX.COM
    Systemd-Free Nitrux 5.0 Officially Released with Hyprland Desktop, Linux 6.17 - 9to5Linux
    Nitrux 5.0 distribution is now available for download with Linux kernel 6.17 and full Hyprland desktop environment.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elastic ออกแพตช์แก้ช่องโหว่ Kibana (SSRF และ XSS)
    Elastic ได้ประกาศแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงสองรายการใน Kibana ซึ่งเป็นเครื่องมือ dashboard ของ Elastic Stack โดยช่องโหว่แรกคือ SSRF (CVE-2025-37734) ที่เกิดจากการตรวจสอบ Origin Header ไม่ถูกต้อง ทำให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำขอปลอมไปยังระบบภายในได้ ส่วนช่องโหว่ที่สองคือ XSS (CVE-2025-59840) ที่เกิดจาก Vega visualization engine ไม่กรองข้อมูลอย่างเหมาะสม ทำให้ผู้โจมตีสามารถฝังโค้ด JavaScript และรันในเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ได้ทันที ความรุนแรงของ XSS ถูกจัดอยู่ในระดับสูง (CVSS 8.7) ซึ่งอาจนำไปสู่การขโมย session หรือการเข้าควบคุมระบบ

    Elastic แนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 8.19.7, 9.1.7 หรือ 9.2.1 เพื่อแก้ไขปัญหานี้ หากยังไม่สามารถอัปเดตได้ทันที มีวิธีแก้ชั่วคราว เช่น ปิดการใช้งาน Vega visualization ใน self-hosted หรือแจ้ง Elastic Support ให้ปิดใน Elastic Cloud การโจมตีลักษณะนี้สะท้อนให้เห็นว่าฟีเจอร์ที่ช่วยให้ใช้งานง่ายขึ้น เช่น Vega หรือ AI Assistant อาจกลายเป็นช่องทางให้ผู้โจมตีใช้ประโยชน์ได้

    น่าสนใจคือ Vega visualization engine ถูกเปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้น ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากเสี่ยงต่อการถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว การโจมตี SSRF ก็อันตรายไม่แพ้กัน เพราะสามารถใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลภายในที่ควรจะปลอดภัย การอัปเดตจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนสำหรับทุกองค์กรที่ใช้ Kibana

    ช่องโหว่ SSRF (CVE-2025-37734)
    เกิดจาก Origin Validation Error ใน Observability AI Assistant

    ช่องโหว่ XSS (CVE-2025-59840)
    Vega visualization engine ไม่กรอง input ทำให้รัน JavaScript ได้

    วิธีแก้ไข
    อัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุด หรือปิด Vega visualization

    ความเสี่ยง
    SSRF อาจเข้าถึงข้อมูลภายใน, XSS อาจขโมย session และรันโค้ดอันตราย

    https://securityonline.info/elastic-patches-two-kibana-flaws-ssrf-cve-2025-37734-and-xss-cve-2025-59840-flaws-affect-multiple-versions/
    🛡️ Elastic ออกแพตช์แก้ช่องโหว่ Kibana (SSRF และ XSS) Elastic ได้ประกาศแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงสองรายการใน Kibana ซึ่งเป็นเครื่องมือ dashboard ของ Elastic Stack โดยช่องโหว่แรกคือ SSRF (CVE-2025-37734) ที่เกิดจากการตรวจสอบ Origin Header ไม่ถูกต้อง ทำให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำขอปลอมไปยังระบบภายในได้ ส่วนช่องโหว่ที่สองคือ XSS (CVE-2025-59840) ที่เกิดจาก Vega visualization engine ไม่กรองข้อมูลอย่างเหมาะสม ทำให้ผู้โจมตีสามารถฝังโค้ด JavaScript และรันในเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ได้ทันที ความรุนแรงของ XSS ถูกจัดอยู่ในระดับสูง (CVSS 8.7) ซึ่งอาจนำไปสู่การขโมย session หรือการเข้าควบคุมระบบ Elastic แนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 8.19.7, 9.1.7 หรือ 9.2.1 เพื่อแก้ไขปัญหานี้ หากยังไม่สามารถอัปเดตได้ทันที มีวิธีแก้ชั่วคราว เช่น ปิดการใช้งาน Vega visualization ใน self-hosted หรือแจ้ง Elastic Support ให้ปิดใน Elastic Cloud การโจมตีลักษณะนี้สะท้อนให้เห็นว่าฟีเจอร์ที่ช่วยให้ใช้งานง่ายขึ้น เช่น Vega หรือ AI Assistant อาจกลายเป็นช่องทางให้ผู้โจมตีใช้ประโยชน์ได้ น่าสนใจคือ Vega visualization engine ถูกเปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้น ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากเสี่ยงต่อการถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว การโจมตี SSRF ก็อันตรายไม่แพ้กัน เพราะสามารถใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลภายในที่ควรจะปลอดภัย การอัปเดตจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนสำหรับทุกองค์กรที่ใช้ Kibana ✅ ช่องโหว่ SSRF (CVE-2025-37734) ➡️ เกิดจาก Origin Validation Error ใน Observability AI Assistant ✅ ช่องโหว่ XSS (CVE-2025-59840) ➡️ Vega visualization engine ไม่กรอง input ทำให้รัน JavaScript ได้ ✅ วิธีแก้ไข ➡️ อัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุด หรือปิด Vega visualization ‼️ ความเสี่ยง ⛔ SSRF อาจเข้าถึงข้อมูลภายใน, XSS อาจขโมย session และรันโค้ดอันตราย https://securityonline.info/elastic-patches-two-kibana-flaws-ssrf-cve-2025-37734-and-xss-cve-2025-59840-flaws-affect-multiple-versions/
    SECURITYONLINE.INFO
    Elastic Patches Two Kibana Flaws — SSRF (CVE-2025-37734) and XSS (CVE-2025-59840) Flaws Affect Multiple Versions
    Elastic patched two Kibana flaws: CVE-2025-59840 XSS via Vega visualizations and CVE-2025-37734 (SSRF) via the Observability AI Assistant. Update to v9.2.1 immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts