• ถ้าเคยรู้สึกว่า “หางานยุ่งยาก, scroll เท่าไรก็ไม่โดน, สมัครก็ไม่ตอบ” — Jobright.ai กำลังจะมาเป็นคู่หูใหม่สำหรับคุณครับ แนวคิดคือ: → AI จะเป็นคนหางานแทนเรา โดยใช้ข้อมูลจากเรซูเม่ + คำตอบเบื้องต้น → แล้วส่งลิงก์งานที่ตรงกับคุณแบบอัปเดตทุกสัปดาห์ (สูงสุด 50 ตำแหน่ง) → ถ้าคุณกดชอบงานไหน AI จะสมัครแทนคุณ รวมถึงเขียนคำตอบสำหรับคำถามสั้น (short-answer) ได้ภายในไม่ถึง 1 นาที!

    AI จะ “เรียนรู้” ไปเรื่อย ๆ ว่าแนวงานแบบไหนที่คุณสนใจ → เหมือนระบบแนะนำคู่ใน Tinder: กดข้าม–กดสนใจ แล้วมันจะเริ่มรู้ใจคุณขึ้นเรื่อย ๆ → มีระบบแสดง “คะแนนความตรง” (Qualification Score) เป็นเปอร์เซ็นต์ข้างแต่ละงาน (ต้องตรงอย่างน้อย 60% ถึงจะเสนอ)

    นอกจากนี้ยังไม่ใช่แค่บอก “บริษัทไหน–ตำแหน่งไหน” → Jobright.ai ยังให้ข้อมูลเสริม เช่น วัฒนธรรมบริษัท, คะแนนความพึงพอใจพนักงาน, ประวัติเงินทุน ฯลฯ

    ปัจจุบันยังเน้นสายงานด้านเทคโนโลยี–วิศวกรรมเป็นหลัก → แต่เทรนด์นี้กำลังขยายไปเร็ว เพราะบริษัทแม่ของ Indeed และ Glassdoor ก็เตรียมปล่อย AI “Career Scout” ลักษณะเดียวกัน → ส่วน LinkedIn ก็มีเครื่องมือ AI ช่วย draft เรซูเม่–จดหมายสมัครงาน พร้อมระบบค้นหางานแบบพูดคุยกับบ็อตได้แล้วเช่นกัน

    Jobright.ai คือ AI Agent ช่วยค้น–สมัครงานอัตโนมัติ  
    • ผู้ใช้ส่งเรซูเม่ → ระบุประเภทงานที่ต้องการ  
    • AI ค้นหางานตรงตามเกณฑ์ สูงสุด 50 รายการ/สัปดาห์  
    • ส่งข้อมูลบริษัท, วัฒนธรรม, คะแนนพนักงาน, ความน่าทำงาน ฯลฯ  
    • ถ้าผู้ใช้กดยอมรับ AI จะสมัครให้ทันที รวมถึงตอบคำถามสั้นในฟอร์ม

    มีระบบ Qualification Score แสดงระดับความตรงกับงาน (ขั้นต่ำ 60%)  
    • คำนวนจากสกิล–ประสบการณ์ของผู้ใช้  
    • เน้นสายงานเทคโนโลยี, วิศวกรรม

    Jobright.ai ได้รับเงินลงทุนจาก Recruit Holdings (เจ้าของ Indeed & Glassdoor)  
    • ทำให้คาดว่า AI หาคู่งานจะกลายเป็นเทรนด์หลักในแพลตฟอร์มใหญ่เร็ว ๆ นี้

    AI จะเรียนรู้จากพฤติกรรมเรา (กด skip/got interested) เพื่อปรับแนะนำให้แม่นยำขึ้น  
    • เปรียบเทียบกับระบบคู่เดทแบบ Tinder

    มีระบบกำลังทดลองสำหรับฝั่ง HR/Recruiter → แนะนำคนที่ตรงจริง ~20–30 คนเท่านั้น  
    • ลดภาระไม่ต้องอ่าน 500 ใบสมัครแบบเดิม  
    • งานที่โพสต์ผ่านระบบมักมีคนจบงานภายใน 30 วัน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/would-you-trust-your-job-search-toa-bot
    ถ้าเคยรู้สึกว่า “หางานยุ่งยาก, scroll เท่าไรก็ไม่โดน, สมัครก็ไม่ตอบ” — Jobright.ai กำลังจะมาเป็นคู่หูใหม่สำหรับคุณครับ แนวคิดคือ: → AI จะเป็นคนหางานแทนเรา โดยใช้ข้อมูลจากเรซูเม่ + คำตอบเบื้องต้น → แล้วส่งลิงก์งานที่ตรงกับคุณแบบอัปเดตทุกสัปดาห์ (สูงสุด 50 ตำแหน่ง) → ถ้าคุณกดชอบงานไหน AI จะสมัครแทนคุณ รวมถึงเขียนคำตอบสำหรับคำถามสั้น (short-answer) ได้ภายในไม่ถึง 1 นาที! AI จะ “เรียนรู้” ไปเรื่อย ๆ ว่าแนวงานแบบไหนที่คุณสนใจ → เหมือนระบบแนะนำคู่ใน Tinder: กดข้าม–กดสนใจ แล้วมันจะเริ่มรู้ใจคุณขึ้นเรื่อย ๆ → มีระบบแสดง “คะแนนความตรง” (Qualification Score) เป็นเปอร์เซ็นต์ข้างแต่ละงาน (ต้องตรงอย่างน้อย 60% ถึงจะเสนอ) นอกจากนี้ยังไม่ใช่แค่บอก “บริษัทไหน–ตำแหน่งไหน” → Jobright.ai ยังให้ข้อมูลเสริม เช่น วัฒนธรรมบริษัท, คะแนนความพึงพอใจพนักงาน, ประวัติเงินทุน ฯลฯ ปัจจุบันยังเน้นสายงานด้านเทคโนโลยี–วิศวกรรมเป็นหลัก → แต่เทรนด์นี้กำลังขยายไปเร็ว เพราะบริษัทแม่ของ Indeed และ Glassdoor ก็เตรียมปล่อย AI “Career Scout” ลักษณะเดียวกัน → ส่วน LinkedIn ก็มีเครื่องมือ AI ช่วย draft เรซูเม่–จดหมายสมัครงาน พร้อมระบบค้นหางานแบบพูดคุยกับบ็อตได้แล้วเช่นกัน ✅ Jobright.ai คือ AI Agent ช่วยค้น–สมัครงานอัตโนมัติ   • ผู้ใช้ส่งเรซูเม่ → ระบุประเภทงานที่ต้องการ   • AI ค้นหางานตรงตามเกณฑ์ สูงสุด 50 รายการ/สัปดาห์   • ส่งข้อมูลบริษัท, วัฒนธรรม, คะแนนพนักงาน, ความน่าทำงาน ฯลฯ   • ถ้าผู้ใช้กดยอมรับ AI จะสมัครให้ทันที รวมถึงตอบคำถามสั้นในฟอร์ม ✅ มีระบบ Qualification Score แสดงระดับความตรงกับงาน (ขั้นต่ำ 60%)   • คำนวนจากสกิล–ประสบการณ์ของผู้ใช้   • เน้นสายงานเทคโนโลยี, วิศวกรรม ✅ Jobright.ai ได้รับเงินลงทุนจาก Recruit Holdings (เจ้าของ Indeed & Glassdoor)   • ทำให้คาดว่า AI หาคู่งานจะกลายเป็นเทรนด์หลักในแพลตฟอร์มใหญ่เร็ว ๆ นี้ ✅ AI จะเรียนรู้จากพฤติกรรมเรา (กด skip/got interested) เพื่อปรับแนะนำให้แม่นยำขึ้น   • เปรียบเทียบกับระบบคู่เดทแบบ Tinder ✅ มีระบบกำลังทดลองสำหรับฝั่ง HR/Recruiter → แนะนำคนที่ตรงจริง ~20–30 คนเท่านั้น   • ลดภาระไม่ต้องอ่าน 500 ใบสมัครแบบเดิม   • งานที่โพสต์ผ่านระบบมักมีคนจบงานภายใน 30 วัน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/would-you-trust-your-job-search-toa-bot
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Would you trust your job search to a bot?
    As artificial intelligence creeps into every aspect of the hiring process – from candidate screenings to video interviews – a new AI agent released by the startup Jobright.ai is aiming to make endless scrolling on job sites a thing of the past.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายคนลองใช้ AI แล้วเจอว่า “ก็ตอบโอเคนะ แต่ไม่ว้าว” → ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่เพราะ AI ไม่เก่ง แต่เป็นเพราะ เราอาจยังไม่ได้สื่อสารให้มันเข้าใจเราชัดพอ

    เหมือนคุณไปขอให้เพื่อนช่วยออกแบบโลโก้ แล้วพูดแค่ว่า “ทำโลโก้ให้หน่อย” → ผลลัพธ์ก็คงจินตนาการคนละเรื่องกันเลย

    เพราะงั้น AI ถึงต้องการ “prompt” ที่ไม่ใช่แค่ถาม...แต่ต้องเล่าให้ฟังแบบเข้าใจ → ว่าคุณต้องการอะไร แค่ไหน ในน้ำเสียงแบบไหน และเพื่อใคร → ข่าวนี้เลยรวบรวมเทคนิคหลายมุมมาจากผู้สร้าง AI รุ่นท็อป เพื่อให้คุณ สื่อสารกับ AI แบบไม่เสียเวลา – ได้คำตอบฉลาดแบบที่คุณต้องการ ครับ

    เขียนให้ชัดและเฉพาะเจาะจงที่สุด (Be specific)  
    • อย่าบอกแค่ “ออกแบบโลโก้” → ให้เพิ่ม: ชื่อแบรนด์, อุตสาหกรรม, อารมณ์ที่ต้องการ, กลุ่มเป้าหมาย  
    • ลองใช้โครงสร้าง: “ช่วย __ สำหรับ __ ในแบบที่ __ โดยไม่ต้อง __”

    ถามแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่จบที่คำถามแรก (Refine & Follow up)  
    • คิดว่า AI คือเพื่อนที่คุยได้ยาว ๆ → คำตอบแรกอาจไม่สุด แต่คำถามถัดไปทำให้ดีขึ้นมาก  
    • ปรับคำถาม, ขออธิบายเพิ่ม, ขอตัวอย่างใหม่ได้เรื่อย ๆ

    ระบุ “บุคลิก” และ “ผู้ฟัง” ที่ต้องการ (Voice & Audience)  
    • เช่น: “เขียนแบบเป็นกันเอง สำหรับคนอายุ 50 ที่ไม่ใช้ศัพท์เทคนิคเยอะ”  
    • หรือ “สรุปแบบจริงจัง ให้เหมือนผู้เชี่ยวชาญอธิบายให้ CEO ฟัง”

    ให้บริบทเพิ่ม พร้อมตัวอย่างถ้ามี (Context helps!)
    • อย่าบอกว่า “ช่วยวางแผนเที่ยวลอนดอน”  
    • ให้เพิ่มเช่น: “สำหรับครอบครัว 4 คน, ไม่เน้นพิพิธภัณฑ์, ชอบมิวสิคัล, งบกลาง ๆ”  
    • ยิ่งเล่าเหมือนเพื่อนยิ่งได้คำตอบแม่น

    จำกัดคำตอบให้เหมาะสม (Limit the output)  
    • สั่งได้เลยว่า “ตอบใน 150 คำ” หรือ “สรุปใน 5 bullet”  
    • ดีมากถ้าอยากให้เข้าใจง่าย หรือใช้ในพื้นที่จำกัด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/one-tech-tip-get-the-most-out-of-chatgpt-and-other-ai-chatbots-with-better-prompts
    หลายคนลองใช้ AI แล้วเจอว่า “ก็ตอบโอเคนะ แต่ไม่ว้าว” → ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่เพราะ AI ไม่เก่ง แต่เป็นเพราะ เราอาจยังไม่ได้สื่อสารให้มันเข้าใจเราชัดพอ เหมือนคุณไปขอให้เพื่อนช่วยออกแบบโลโก้ แล้วพูดแค่ว่า “ทำโลโก้ให้หน่อย” → ผลลัพธ์ก็คงจินตนาการคนละเรื่องกันเลย เพราะงั้น AI ถึงต้องการ “prompt” ที่ไม่ใช่แค่ถาม...แต่ต้องเล่าให้ฟังแบบเข้าใจ → ว่าคุณต้องการอะไร แค่ไหน ในน้ำเสียงแบบไหน และเพื่อใคร → ข่าวนี้เลยรวบรวมเทคนิคหลายมุมมาจากผู้สร้าง AI รุ่นท็อป เพื่อให้คุณ สื่อสารกับ AI แบบไม่เสียเวลา – ได้คำตอบฉลาดแบบที่คุณต้องการ ครับ ✅ เขียนให้ชัดและเฉพาะเจาะจงที่สุด (Be specific)   • อย่าบอกแค่ “ออกแบบโลโก้” → ให้เพิ่ม: ชื่อแบรนด์, อุตสาหกรรม, อารมณ์ที่ต้องการ, กลุ่มเป้าหมาย   • ลองใช้โครงสร้าง: “ช่วย __ สำหรับ __ ในแบบที่ __ โดยไม่ต้อง __” ✅ ถามแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่จบที่คำถามแรก (Refine & Follow up)   • คิดว่า AI คือเพื่อนที่คุยได้ยาว ๆ → คำตอบแรกอาจไม่สุด แต่คำถามถัดไปทำให้ดีขึ้นมาก   • ปรับคำถาม, ขออธิบายเพิ่ม, ขอตัวอย่างใหม่ได้เรื่อย ๆ ✅ ระบุ “บุคลิก” และ “ผู้ฟัง” ที่ต้องการ (Voice & Audience)   • เช่น: “เขียนแบบเป็นกันเอง สำหรับคนอายุ 50 ที่ไม่ใช้ศัพท์เทคนิคเยอะ”   • หรือ “สรุปแบบจริงจัง ให้เหมือนผู้เชี่ยวชาญอธิบายให้ CEO ฟัง” ✅ ให้บริบทเพิ่ม พร้อมตัวอย่างถ้ามี (Context helps!) • อย่าบอกว่า “ช่วยวางแผนเที่ยวลอนดอน”   • ให้เพิ่มเช่น: “สำหรับครอบครัว 4 คน, ไม่เน้นพิพิธภัณฑ์, ชอบมิวสิคัล, งบกลาง ๆ”   • ยิ่งเล่าเหมือนเพื่อนยิ่งได้คำตอบแม่น ✅ จำกัดคำตอบให้เหมาะสม (Limit the output)   • สั่งได้เลยว่า “ตอบใน 150 คำ” หรือ “สรุปใน 5 bullet”   • ดีมากถ้าอยากให้เข้าใจง่าย หรือใช้ในพื้นที่จำกัด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/one-tech-tip-get-the-most-out-of-chatgpt-and-other-ai-chatbots-with-better-prompts
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Get the most out of ChatGPT and other AI chatbots with better prompts
    If you're using ChatGPT but getting mediocre results, don't blame the chatbot. Instead, try sharpening up your prompts.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปกติแล้วลีกฟุตบอลระดับโลกอย่าง Premier League มีเว็บไซต์ แอปมือถือ เกม Fantasy ที่แฟนบอลเข้าใช้งานกว่า 1 พันล้านครั้งต่อปี แต่เบื้องหลังระบบเดิม...ยังอยู่บนโครงสร้างคลาวด์แบบเก่า กระจัดกระจาย แยกส่วนกันหลายจุด → การเชื่อมต่อ ขยาย หรือนำ AI มาช่วยพัฒนาประสบการณ์แฟนบอล ทำได้ยากและช้า

    ล่าสุด Premier League จึงตกลงเซ็นสัญญา “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ 5 ปี” กับ Microsoft → ย้าย “โครงสร้างเทคโนโลยีหลักทั้งหมด” ไปอยู่บน Azure → พร้อมเปิดตัว AI Assistant ฝังในเว็บไซต์, แอปมือถือ และเกม Fantasy ที่ใช้บริการ AI ของ Microsoft (เช่น Azure OpenAI หรือ Copilot)

    ตัวอย่างประสบการณ์ที่อาจเกิดขึ้น:
    - แอป Premier League มีแชต AI ช่วยตอบคำถามระหว่างเกม เช่น “ใครได้ใบเหลืองไปแล้ว?”, “คืนนี้ถ่ายทอดสดช่องไหน?”
    - เกม Fantasy Premier League ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ “ควรขายใครซื้อตัวไหนในทีม?” ตามข้อมูลบาดเจ็บ–ฟอร์มย้อนหลัง
    - เว็บไซต์สามารถให้ AI สรุปไฮไลต์หรือสถิติจากรอบที่แล้วแบบเนื้อหาเฉพาะตัว

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Microsoft ใช้กีฬาเป็นฐานทดลอง AI — ก่อนหน้านี้ก็มีดีลกับ NBA, NFL และทีม F1 อย่าง Mercedes ด้วย → และในโลกที่ AI–Sport–Entertainment กำลังหลอมรวมกัน... Premier League ก็กลายเป็นเวทีระดับโลกของ Microsoft อีกแห่งเรียบร้อยครับ

    Premier League เซ็นสัญญา 5 ปี กับ Microsoft เป็น “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์”  
    • ย้ายโครงสร้างเทคโนโลยีหลักไปอยู่บน Microsoft Azure  
    • ประกาศความร่วมมือเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2025

    จะใช้ AI Services ของ Microsoft สร้างแชตบอตอัจฉริยะ (AI Assistant)  
    • ฝังใน:   
    – แอป Premier League บนมือถือ   
    – เว็บไซต์ทางการของลีก   
    – เกม Fantasy Premier League

    เป้าหมายคือยกระดับประสบการณ์แฟนบอลด้วยเทคโนโลยี AI – Cloud – Data  
    • สร้างอินเทอร์เฟซสื่อสารแบบเรียลไทม์  
    • เพิ่ม personalisation สำหรับผู้ชม  
    • ลดภาระการค้นหาข้อมูลด้วย AI

    Microsoft เคยมีประสบการณ์ด้านกีฬา AI มาก่อน  
    • เคยร่วมมือกับ NBA, NFL, NASCAR, F1 Mercedes  
    • ใช้ AI วิเคราะห์วิดีโอ, พฤติกรรมแฟน, และเชื่อม AR/VR

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/microsoft-signs-deal-to-power-premier-leagues-ai-tools
    ปกติแล้วลีกฟุตบอลระดับโลกอย่าง Premier League มีเว็บไซต์ แอปมือถือ เกม Fantasy ที่แฟนบอลเข้าใช้งานกว่า 1 พันล้านครั้งต่อปี แต่เบื้องหลังระบบเดิม...ยังอยู่บนโครงสร้างคลาวด์แบบเก่า กระจัดกระจาย แยกส่วนกันหลายจุด → การเชื่อมต่อ ขยาย หรือนำ AI มาช่วยพัฒนาประสบการณ์แฟนบอล ทำได้ยากและช้า ล่าสุด Premier League จึงตกลงเซ็นสัญญา “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ 5 ปี” กับ Microsoft → ย้าย “โครงสร้างเทคโนโลยีหลักทั้งหมด” ไปอยู่บน Azure → พร้อมเปิดตัว AI Assistant ฝังในเว็บไซต์, แอปมือถือ และเกม Fantasy ที่ใช้บริการ AI ของ Microsoft (เช่น Azure OpenAI หรือ Copilot) ตัวอย่างประสบการณ์ที่อาจเกิดขึ้น: - แอป Premier League มีแชต AI ช่วยตอบคำถามระหว่างเกม เช่น “ใครได้ใบเหลืองไปแล้ว?”, “คืนนี้ถ่ายทอดสดช่องไหน?” - เกม Fantasy Premier League ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ “ควรขายใครซื้อตัวไหนในทีม?” ตามข้อมูลบาดเจ็บ–ฟอร์มย้อนหลัง - เว็บไซต์สามารถให้ AI สรุปไฮไลต์หรือสถิติจากรอบที่แล้วแบบเนื้อหาเฉพาะตัว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Microsoft ใช้กีฬาเป็นฐานทดลอง AI — ก่อนหน้านี้ก็มีดีลกับ NBA, NFL และทีม F1 อย่าง Mercedes ด้วย → และในโลกที่ AI–Sport–Entertainment กำลังหลอมรวมกัน... Premier League ก็กลายเป็นเวทีระดับโลกของ Microsoft อีกแห่งเรียบร้อยครับ ✅ Premier League เซ็นสัญญา 5 ปี กับ Microsoft เป็น “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์”   • ย้ายโครงสร้างเทคโนโลยีหลักไปอยู่บน Microsoft Azure   • ประกาศความร่วมมือเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2025 ✅ จะใช้ AI Services ของ Microsoft สร้างแชตบอตอัจฉริยะ (AI Assistant)   • ฝังใน:    – แอป Premier League บนมือถือ    – เว็บไซต์ทางการของลีก    – เกม Fantasy Premier League ✅ เป้าหมายคือยกระดับประสบการณ์แฟนบอลด้วยเทคโนโลยี AI – Cloud – Data   • สร้างอินเทอร์เฟซสื่อสารแบบเรียลไทม์   • เพิ่ม personalisation สำหรับผู้ชม   • ลดภาระการค้นหาข้อมูลด้วย AI ✅ Microsoft เคยมีประสบการณ์ด้านกีฬา AI มาก่อน   • เคยร่วมมือกับ NBA, NFL, NASCAR, F1 Mercedes   • ใช้ AI วิเคราะห์วิดีโอ, พฤติกรรมแฟน, และเชื่อม AR/VR https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/microsoft-signs-deal-to-power-premier-leagues-ai-tools
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft signs deal to power Premier League's AI tools
    Microsoft Corp has signed a cloud computing deal with the Premier League, a pact that will let the software company tout its AI technology to a captive audience of sports fans.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทุกวันนี้ AI Chatbot ส่วนใหญ่ รอให้คนเรียกก่อนค่อยเริ่มตอบใช่ไหมครับ แต่ Meta กำลังจะทำให้มัน “เปลี่ยนขั้ว” กลายเป็นเพื่อนที่มีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้น โดยในโครงการชื่อว่า “Project Omni” → AI จะสามารถ “ทักเราก่อน” ได้ ถ้าเคยคุยกันมาก่อน และ → ยังสามารถ “ชวนคุยเรื่องเก่า” ที่เคยค้างไว้ เช่น:  – “ได้ลองฟังเพลงจากคอมโพเซอร์ที่คุณเคยพูดถึงไหม?”  – “คืนนี้ว่างไหม อยากให้เราช่วยเลือกหนังดูไหม?”

    Meta บอกว่าแนวคิดนี้จะช่วย เพิ่มคุณค่าของ AI ให้เหมือนเพื่อนสนิทหรือผู้ช่วยที่ใส่ใจ มากกว่าแค่ตอบคำถาม → ยังมีระบบ “สร้างบุคลิก AI” แบบ custom สำหรับแบรนด์หรือแฟนเพจด้วย เช่น เพจนักร้องอาจสร้าง AI ที่ตอบคอมเมนต์แฟนคลับในแบบตัวศิลปินเอง

    ทีมที่ช่วย Meta พัฒนาอยู่คือ Alignerr ซึ่งมีหน้าที่ “ปั้นบุคลิก” ของ AI แต่ละตัวให้หลากหลาย เหมาะกับบริบทต่าง ๆ และตอนนี้ฟีเจอร์กำลังถูกทดลองอยู่ใน Meta AI Studio — โดยมีเงื่อนไขว่า:
    - AI จะ ทักได้เฉพาะแชตที่ผู้ใช้เคยเริ่มก่อน
    - ถ้าเราไม่ตอบกลับ AI จะไม่ส่งข้อความใหม่อีก
    - ต้องเคยมีประวัติส่งแชตอย่างน้อย 5 ข้อความภายใน 14 วัน
    - AI จะชวนคุยแค่เรื่องเดิม ๆ ที่ผู้ใช้เคยคุยไว้
    - ห้ามพูดเรื่องอ่อนไหว–อันตราย–หรือแสดงอารมณ์เชิงลบ

    Meta กำลังทดสอบ Project Omni → ให้ AI ส่งข้อความหาผู้ใช้ก่อนโดยอิงจากบทสนทนาเก่า  
    • ตัวอย่าง: ถามถึงเพลง หนัง หรือสิ่งที่เคยพูดถึง  
    • ใช้ผ่าน Meta AI Studio

    Meta ยืนยันว่า AI จะ “ทักก่อน” ได้เฉพาะแชตที่ผู้ใช้เคยเริ่มไว้เท่านั้น

    หากผู้ใช้ไม่ตอบกลับข้อความจาก AI → ระบบจะหยุดส่งข้อความใหม่โดยอัตโนมัติ

    ต้องส่งข้อความหา AI อย่างน้อย 5 ข้อความใน 14 วัน ถึงจะเข้าเงื่อนไขรับข้อความ follow-up

    ข้อความ follow-up ต้องเป็นบวก, ไม่อ่อนไหว, และยึดโยงจากบทสนทนาเก่า

    จะมีระบบสร้าง AI assistant แบบมีบุคลิกเฉพาะ สำหรับแบรนด์/ผู้ใช้งานผ่าน Meta AI Studio

    https://www.neowin.net/news/metas-next-chatbot-might-message-you-first-and-want-to-keep-talking-to-you/
    ทุกวันนี้ AI Chatbot ส่วนใหญ่ รอให้คนเรียกก่อนค่อยเริ่มตอบใช่ไหมครับ แต่ Meta กำลังจะทำให้มัน “เปลี่ยนขั้ว” กลายเป็นเพื่อนที่มีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้น โดยในโครงการชื่อว่า “Project Omni” → AI จะสามารถ “ทักเราก่อน” ได้ ถ้าเคยคุยกันมาก่อน และ → ยังสามารถ “ชวนคุยเรื่องเก่า” ที่เคยค้างไว้ เช่น:  – “ได้ลองฟังเพลงจากคอมโพเซอร์ที่คุณเคยพูดถึงไหม?”  – “คืนนี้ว่างไหม อยากให้เราช่วยเลือกหนังดูไหม?” Meta บอกว่าแนวคิดนี้จะช่วย เพิ่มคุณค่าของ AI ให้เหมือนเพื่อนสนิทหรือผู้ช่วยที่ใส่ใจ มากกว่าแค่ตอบคำถาม → ยังมีระบบ “สร้างบุคลิก AI” แบบ custom สำหรับแบรนด์หรือแฟนเพจด้วย เช่น เพจนักร้องอาจสร้าง AI ที่ตอบคอมเมนต์แฟนคลับในแบบตัวศิลปินเอง ทีมที่ช่วย Meta พัฒนาอยู่คือ Alignerr ซึ่งมีหน้าที่ “ปั้นบุคลิก” ของ AI แต่ละตัวให้หลากหลาย เหมาะกับบริบทต่าง ๆ และตอนนี้ฟีเจอร์กำลังถูกทดลองอยู่ใน Meta AI Studio — โดยมีเงื่อนไขว่า: - AI จะ ทักได้เฉพาะแชตที่ผู้ใช้เคยเริ่มก่อน - ถ้าเราไม่ตอบกลับ AI จะไม่ส่งข้อความใหม่อีก - ต้องเคยมีประวัติส่งแชตอย่างน้อย 5 ข้อความภายใน 14 วัน - AI จะชวนคุยแค่เรื่องเดิม ๆ ที่ผู้ใช้เคยคุยไว้ - ห้ามพูดเรื่องอ่อนไหว–อันตราย–หรือแสดงอารมณ์เชิงลบ ✅ Meta กำลังทดสอบ Project Omni → ให้ AI ส่งข้อความหาผู้ใช้ก่อนโดยอิงจากบทสนทนาเก่า   • ตัวอย่าง: ถามถึงเพลง หนัง หรือสิ่งที่เคยพูดถึง   • ใช้ผ่าน Meta AI Studio ✅ Meta ยืนยันว่า AI จะ “ทักก่อน” ได้เฉพาะแชตที่ผู้ใช้เคยเริ่มไว้เท่านั้น ✅ หากผู้ใช้ไม่ตอบกลับข้อความจาก AI → ระบบจะหยุดส่งข้อความใหม่โดยอัตโนมัติ ✅ ต้องส่งข้อความหา AI อย่างน้อย 5 ข้อความใน 14 วัน ถึงจะเข้าเงื่อนไขรับข้อความ follow-up ✅ ข้อความ follow-up ต้องเป็นบวก, ไม่อ่อนไหว, และยึดโยงจากบทสนทนาเก่า ✅ จะมีระบบสร้าง AI assistant แบบมีบุคลิกเฉพาะ สำหรับแบรนด์/ผู้ใช้งานผ่าน Meta AI Studio https://www.neowin.net/news/metas-next-chatbot-might-message-you-first-and-want-to-keep-talking-to-you/
    WWW.NEOWIN.NET
    Meta's next chatbot might message you first and want to keep talking to you
    Meta is working on "Project Omni"; a new way for AI to engage users by messaging them proactively and keeping conversations with them flowing.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพจดังข้องใจแต่งตั้ง ‘ชัยชนะ‘ นั่ง รมช.สธ. ทั้งที่เพิ่งมีคดีทำร้ายร่างกายกลางงานบวช คนแบบนี้ผ่านจริยธรรมรัฐมนตรีได้อย่างไร
    https://www.thai-tai.tv/news/20008/
    .
    #ชัยชนะเดชเดโช #รมชสาธารณสุข #CSI_LA #รัฐบาลแพทองธาร #จริยธรรมรัฐมนตรี #การเมืองไทย #ข่าววันนี้ #ตั้งคำถามให้สังคมรู้ทัน
    เพจดังข้องใจแต่งตั้ง ‘ชัยชนะ‘ นั่ง รมช.สธ. ทั้งที่เพิ่งมีคดีทำร้ายร่างกายกลางงานบวช คนแบบนี้ผ่านจริยธรรมรัฐมนตรีได้อย่างไร https://www.thai-tai.tv/news/20008/ . #ชัยชนะเดชเดโช #รมชสาธารณสุข #CSI_LA #รัฐบาลแพทองธาร #จริยธรรมรัฐมนตรี #การเมืองไทย #ข่าววันนี้ #ตั้งคำถามให้สังคมรู้ทัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'อดีตผู้พิพากษาอาวุโส' ตั้งคำถาม 7 ข้อ คดีป่วยทิพย์ชั้น 14 นัดที่สองของศาลฎีกา
    https://www.thai-tai.tv/news/20007/
    .
    #คดีป่วยทิพย์ #ทักษิณชินวัตร #ศาลฎีกา #โรงพยาบาลตำรวจ #เรือนจำพิเศษกรุงเทพ #ราชทัณฑ์ #ปปช #ยุติธรรมไทย #ข่าวการเมือง #วัสติงสมิตร
    'อดีตผู้พิพากษาอาวุโส' ตั้งคำถาม 7 ข้อ คดีป่วยทิพย์ชั้น 14 นัดที่สองของศาลฎีกา https://www.thai-tai.tv/news/20007/ . #คดีป่วยทิพย์ #ทักษิณชินวัตร #ศาลฎีกา #โรงพยาบาลตำรวจ #เรือนจำพิเศษกรุงเทพ #ราชทัณฑ์ #ปปช #ยุติธรรมไทย #ข่าวการเมือง #วัสติงสมิตร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ ขนาดงานบวชยังนำพวกรุมกระทืบนักธุรกิจได้ นับประสาอะไรกับงานแถลงข่าว สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล และสื่อสายสาธารณสุข โปรดระมัดระวังคำถาม ไอ้เถื่อนภูธรเมืองคอน อาจให้ลูกน้องตามลอบทำร้าย
    #7ดอกจิก
    ♣ ขนาดงานบวชยังนำพวกรุมกระทืบนักธุรกิจได้ นับประสาอะไรกับงานแถลงข่าว สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล และสื่อสายสาธารณสุข โปรดระมัดระวังคำถาม ไอ้เถื่อนภูธรเมืองคอน อาจให้ลูกน้องตามลอบทำร้าย #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แพทองธาร” ยิ้ม ไม่ตอบตั้งใครเป็นหน.ทีมทำเอกสารชี้แจงศาลรธน.-สภาไปไม่รอดตั้งแต่วันแรก แซวสื่อกลับมีคำถามทุกวันเลย พร้อมแวะเอาของตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนออกจากทำเนียบรัฐบาล

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000062753

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    “แพทองธาร” ยิ้ม ไม่ตอบตั้งใครเป็นหน.ทีมทำเอกสารชี้แจงศาลรธน.-สภาไปไม่รอดตั้งแต่วันแรก แซวสื่อกลับมีคำถามทุกวันเลย พร้อมแวะเอาของตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนออกจากทำเนียบรัฐบาล อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000062753 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 411 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนแรกไม่มีใครเอะใจว่าทำไม ยอดขายของ NVIDIA ในสิงคโปร์ปี 2024 พุ่งถึง 28% ทั้งที่จัดส่งจริงในประเทศมีแค่ 1% — จนกระทั่ง DeepSeek เปิดตัวโมเดล LLM ระดับเทพในจีน… แล้วคำถามเริ่มตามมาว่า “GPU ที่ใช้เทรนได้มายังไง?”

    คำตอบอาจอยู่ที่คน 3 คนที่โดนจับในสิงคโปร์:
    - Woon Guo Jie (สิงคโปร์, 41 ปี)
    - Alan Wei Zhaolun (สิงคโปร์, 49 ปี)
    - Li Ming (จีน, 51 ปี)

    พวกเขาถูกกล่าวหาว่า แสดงข้อมูลปลอมเกี่ยวกับปลายทางของเซิร์ฟเวอร์ที่ซื้อจากสหรัฐฯ แล้วส่งต่อเข้าแดนจีน — ข้ามข้อกำหนดการส่งออกของสหรัฐฯ ที่ห้ามส่งอุปกรณ์ AI ขั้นสูงเข้าจีนโดยตรง

    การสืบสวนถูกเร่งด่วนขึ้นหลัง DeepSeek เปิดตัว และพบว่า บริษัทใช้ GPU ระดับสูงที่ถูกควบคุมการส่งออก แต่ด้าน NVIDIA ปฏิเสธว่า “ไม่เคยขายให้ผู้ต้องห้าม” และ CEO Jensen Huang ก็ออกมาบอกชัดว่า “ไม่มีหลักฐานชิปหลุดไปถึงมือผิด”

    ปัญหาคือ ช่องทางผ่าน “บริษัทบิลจากสิงคโปร์” แต่จัดส่งสินค้ากลับไปยังจีนหรือมาเลเซีย เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในอุตสาหกรรมการค้า → ทำให้สหรัฐฯ เตรียมร่างกฎหมายใหม่ที่บังคับให้ GPU ชั้นสูงต้องมี “ระบบติดตาม GPS” ตลอดการขนส่ง

    สามผู้ต้องหาในสิงคโปร์ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงในปี 2023–2024  
    • แสดงข้อมูลเท็จเกี่ยวกับปลายทางจริงของเซิร์ฟเวอร์ที่ซื้อ  
    • เชื่อมโยงกับการส่งมอบชิปให้บริษัทจีน DeepSeek ซึ่งอยู่ระหว่างจับตามอง

    DeepSeek เป็นบริษัท AI สัญชาติจีนที่เปิดตัวโมเดลขนาดใหญ่ปลายปี 2024  
    • เทียบระดับ GPT-4 และ Claude  
    • สหรัฐสงสัยว่า GPU ที่ใช้มาจากแหล่งผิดกฎหมายผ่านชาติที่ 3

    NVIDIA รายงานว่าสิงคโปร์คิดเป็น 28% ของรายได้ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่จัดส่งจริงแค่ 1%  
    • จุดชนวนให้เริ่มสืบสวนช่องทางการส่งต่อ

    NVIDIA ปฏิเสธว่าไม่ได้ขายให้รายชื่อที่ถูกแบน และไม่รู้เห็นการลักลอบ  
    • CEO ยืนยัน “ไม่มีหลักฐาน GPU หลุดไปถึง DeepSeek”

    สหรัฐฯ เตรียมออกกฎหมายให้ติดระบบติดตาม (tracking tech) กับ GPU ขั้นสูงที่ส่งออก  
    • เพื่อป้องกันการถูก “เบี่ยงปลายทาง” (diversion) ไปยังประเทศต้องห้าม

    สิงคโปร์ถือเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาค → การใช้ billing address จากที่นี่แต่จัดส่งที่อื่นเป็นเรื่องปกติ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/singapore-ai-chip-court-case-adjourned-until-august-trio-accused-of-illegally-smuggling-nvidia-chips-to-china-for-use-by-ai-firm-deepseek
    ตอนแรกไม่มีใครเอะใจว่าทำไม ยอดขายของ NVIDIA ในสิงคโปร์ปี 2024 พุ่งถึง 28% ทั้งที่จัดส่งจริงในประเทศมีแค่ 1% — จนกระทั่ง DeepSeek เปิดตัวโมเดล LLM ระดับเทพในจีน… แล้วคำถามเริ่มตามมาว่า “GPU ที่ใช้เทรนได้มายังไง?” คำตอบอาจอยู่ที่คน 3 คนที่โดนจับในสิงคโปร์: - Woon Guo Jie (สิงคโปร์, 41 ปี) - Alan Wei Zhaolun (สิงคโปร์, 49 ปี) - Li Ming (จีน, 51 ปี) พวกเขาถูกกล่าวหาว่า แสดงข้อมูลปลอมเกี่ยวกับปลายทางของเซิร์ฟเวอร์ที่ซื้อจากสหรัฐฯ แล้วส่งต่อเข้าแดนจีน — ข้ามข้อกำหนดการส่งออกของสหรัฐฯ ที่ห้ามส่งอุปกรณ์ AI ขั้นสูงเข้าจีนโดยตรง การสืบสวนถูกเร่งด่วนขึ้นหลัง DeepSeek เปิดตัว และพบว่า บริษัทใช้ GPU ระดับสูงที่ถูกควบคุมการส่งออก แต่ด้าน NVIDIA ปฏิเสธว่า “ไม่เคยขายให้ผู้ต้องห้าม” และ CEO Jensen Huang ก็ออกมาบอกชัดว่า “ไม่มีหลักฐานชิปหลุดไปถึงมือผิด” ปัญหาคือ ช่องทางผ่าน “บริษัทบิลจากสิงคโปร์” แต่จัดส่งสินค้ากลับไปยังจีนหรือมาเลเซีย เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในอุตสาหกรรมการค้า → ทำให้สหรัฐฯ เตรียมร่างกฎหมายใหม่ที่บังคับให้ GPU ชั้นสูงต้องมี “ระบบติดตาม GPS” ตลอดการขนส่ง ✅ สามผู้ต้องหาในสิงคโปร์ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงในปี 2023–2024   • แสดงข้อมูลเท็จเกี่ยวกับปลายทางจริงของเซิร์ฟเวอร์ที่ซื้อ   • เชื่อมโยงกับการส่งมอบชิปให้บริษัทจีน DeepSeek ซึ่งอยู่ระหว่างจับตามอง ✅ DeepSeek เป็นบริษัท AI สัญชาติจีนที่เปิดตัวโมเดลขนาดใหญ่ปลายปี 2024   • เทียบระดับ GPT-4 และ Claude   • สหรัฐสงสัยว่า GPU ที่ใช้มาจากแหล่งผิดกฎหมายผ่านชาติที่ 3 ✅ NVIDIA รายงานว่าสิงคโปร์คิดเป็น 28% ของรายได้ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่จัดส่งจริงแค่ 1%   • จุดชนวนให้เริ่มสืบสวนช่องทางการส่งต่อ ✅ NVIDIA ปฏิเสธว่าไม่ได้ขายให้รายชื่อที่ถูกแบน และไม่รู้เห็นการลักลอบ   • CEO ยืนยัน “ไม่มีหลักฐาน GPU หลุดไปถึง DeepSeek” ✅ สหรัฐฯ เตรียมออกกฎหมายให้ติดระบบติดตาม (tracking tech) กับ GPU ขั้นสูงที่ส่งออก   • เพื่อป้องกันการถูก “เบี่ยงปลายทาง” (diversion) ไปยังประเทศต้องห้าม ✅ สิงคโปร์ถือเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาค → การใช้ billing address จากที่นี่แต่จัดส่งที่อื่นเป็นเรื่องปกติ https://www.tomshardware.com/tech-industry/singapore-ai-chip-court-case-adjourned-until-august-trio-accused-of-illegally-smuggling-nvidia-chips-to-china-for-use-by-ai-firm-deepseek
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ปานเทพ" ชี้เปรี้ยง "แพทองธาร" สั่งเปิดด่านช่วยเขมร เสี่ยงเอื้อกลุ่มธุรกิจสีเทา ก่อนถูกกัมพูชาเมิน แถมโดนบีบให้เปิดด่านถาวร! ตั้งคำถาม การกระทำนี้กำลังทำลายอำนาจต่อรองของไทยหรือไม่?

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000062047

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    "ปานเทพ" ชี้เปรี้ยง "แพทองธาร" สั่งเปิดด่านช่วยเขมร เสี่ยงเอื้อกลุ่มธุรกิจสีเทา ก่อนถูกกัมพูชาเมิน แถมโดนบีบให้เปิดด่านถาวร! ตั้งคำถาม การกระทำนี้กำลังทำลายอำนาจต่อรองของไทยหรือไม่? อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000062047 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    9
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 408 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายราห์มาน มุสตาฟาเยฟ เอกอัครราชทูตอาเซอร์ไบจานประจำกรุงมอสโกว์ เดินทางมาถึงกระทรวงต่างประเทศของรัสเซีย หลังจากถูกเชิญตัวเพื่อให้มาตอบคำถามเกี่ยวกับการที่บากูจับกุมตัวพนักงานของสำนักข่าวสปุตนิก 2 ราย ระหว่างปฏิบัติการที่สำนักงานข่าวของสปุตนิก
    นายราห์มาน มุสตาฟาเยฟ เอกอัครราชทูตอาเซอร์ไบจานประจำกรุงมอสโกว์ เดินทางมาถึงกระทรวงต่างประเทศของรัสเซีย หลังจากถูกเชิญตัวเพื่อให้มาตอบคำถามเกี่ยวกับการที่บากูจับกุมตัวพนักงานของสำนักข่าวสปุตนิก 2 ราย ระหว่างปฏิบัติการที่สำนักงานข่าวของสปุตนิก
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความตกต่ำของกระทรวงการต่างประเทศ

    กระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ คนใกล้ชิดอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีผลงานโดดเด่น นอกจากไปเป็นพยานให้ทักษิณ ผู้ต้องหาคดี 112 ขออนุญาตศาลออกนอกประเทศ ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่สองพ่อลูก ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต ปลุกกระแสชาตินิยม นำปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และช่องบก ร้องต่อศาลโลก ขอให้ตกเป็นของกัมพูชา นอกจากจะแถลงข่าวรายวันก็ไม่มีอะไรโดดเด่น

    การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) นำโดย นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเจบีซีฝ่ายไทย เป็นที่เคลือบแคลงสงสัย นอกจากจะเป็นคู่กรณีนายวีระ สมความคิด เคยบีบบังคับให้ยอมรับผิดว่าบุกรุกดินแดนกัมพูชาและด่าว่าเป็นตัวปัญหาแล้ว ในการประชุมเจบีซีมีไลน์หลุดออกมาว่า นายประศาสน์ พยายามโน้มน้าวให้ไทยยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ทำให้ไทยเสียดินแดน ทำให้เจ้าตัวถึงกับโกรธและไม่คุยด้วย หนำซ้ำ กัมพูชายังสรุปผลการประชุมว่าตกลงใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ทำให้คนไทยโกรธแค้นเพราะเสียเปรียบ ร้อนถึงกระทรวงต้องออกแถลงการณ์ตอนดึก ยืนยันว่าไม่ได้หารือ พร้อมแสดงความผิดหวังที่กัมพูชาเดินหน้านำพื้นที่ 4 จุดขึ้นสู่ศาลโลก

    สนธิ ลิ้มทองกุล ตั้งคำถามว่า ตั้งแต่ MOU 2543 ถึง MOU 2544 รู้อยู่แล้วว่าเป็นตัวการที่จะทำให้ไทยเสียดินแดน มีการระบุว่าต้องใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไม่ใช่ 1 ต่อ 50,000 เคยถามตัวเองหรือไม่ว่าทำไมกัมพูชาเจรจากับเวียดนามใช้แผนที่ 1 ต่อ 50,000 ทำไมไทยถึงยอมใช้มาตรา 1 ต่อ 200,000 ส่วนนายประศาสน์ นับตั้งแต่ไปประชุมเจบีซี 3 สัปดาห์แล้วกลับมา ไม่เคยบอกคนไทยว่าไปพูดอะไรบ้าง และไม่บอกว่าไปลงนามข้อตกลงอะไรไว้ เปรียบเป็นไส้ศึกของกัมพูชา

    ที่น่าสนใจ คือ บทความหัวข้อ Thai diplomacy is now in need of a reset เขียนโดย กวี จงกิจถาวร ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ระบุในตอนหนึ่งว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำผิดพลาดทางการทูตร้ายแรงจากคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน แม้กระทรวงการต่างประเทศพยายามอย่างหนักเพื่อกอบกู้สถานการณ์ทางการทูตที่เหลืออยู่ แต่ขวัญกำลังใจตกต่ำเป็นประวัติการณ์ นักการทูตและเจ้าหน้าที่รู้สึกว่าถูกละเลยและเพิกเฉย นับตั้งแต่แพทองธารเข้ารับตำแหน่ง การตัดสินใจเกี่ยวกับกิจการต่างประเทศก็ดำเนินการโดยทักษิณ และกลุ่มคนใกล้ชิด

    "นับตั้งแต่ ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีต รมว.ต่างประเทศ ก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา กระทรวงฯ ก็ไร้ทิศทาง ไม่มีผู้นำที่เข้มแข็งมาควบคุม และไม่มีผู้ใดมีอำนาจที่จะควบคุมความเสียหายหรือวางแผนกลยุทธ์"

    #Newskit
    ความตกต่ำของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ คนใกล้ชิดอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีผลงานโดดเด่น นอกจากไปเป็นพยานให้ทักษิณ ผู้ต้องหาคดี 112 ขออนุญาตศาลออกนอกประเทศ ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่สองพ่อลูก ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต ปลุกกระแสชาตินิยม นำปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และช่องบก ร้องต่อศาลโลก ขอให้ตกเป็นของกัมพูชา นอกจากจะแถลงข่าวรายวันก็ไม่มีอะไรโดดเด่น การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) นำโดย นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเจบีซีฝ่ายไทย เป็นที่เคลือบแคลงสงสัย นอกจากจะเป็นคู่กรณีนายวีระ สมความคิด เคยบีบบังคับให้ยอมรับผิดว่าบุกรุกดินแดนกัมพูชาและด่าว่าเป็นตัวปัญหาแล้ว ในการประชุมเจบีซีมีไลน์หลุดออกมาว่า นายประศาสน์ พยายามโน้มน้าวให้ไทยยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ทำให้ไทยเสียดินแดน ทำให้เจ้าตัวถึงกับโกรธและไม่คุยด้วย หนำซ้ำ กัมพูชายังสรุปผลการประชุมว่าตกลงใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ทำให้คนไทยโกรธแค้นเพราะเสียเปรียบ ร้อนถึงกระทรวงต้องออกแถลงการณ์ตอนดึก ยืนยันว่าไม่ได้หารือ พร้อมแสดงความผิดหวังที่กัมพูชาเดินหน้านำพื้นที่ 4 จุดขึ้นสู่ศาลโลก สนธิ ลิ้มทองกุล ตั้งคำถามว่า ตั้งแต่ MOU 2543 ถึง MOU 2544 รู้อยู่แล้วว่าเป็นตัวการที่จะทำให้ไทยเสียดินแดน มีการระบุว่าต้องใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไม่ใช่ 1 ต่อ 50,000 เคยถามตัวเองหรือไม่ว่าทำไมกัมพูชาเจรจากับเวียดนามใช้แผนที่ 1 ต่อ 50,000 ทำไมไทยถึงยอมใช้มาตรา 1 ต่อ 200,000 ส่วนนายประศาสน์ นับตั้งแต่ไปประชุมเจบีซี 3 สัปดาห์แล้วกลับมา ไม่เคยบอกคนไทยว่าไปพูดอะไรบ้าง และไม่บอกว่าไปลงนามข้อตกลงอะไรไว้ เปรียบเป็นไส้ศึกของกัมพูชา ที่น่าสนใจ คือ บทความหัวข้อ Thai diplomacy is now in need of a reset เขียนโดย กวี จงกิจถาวร ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ระบุในตอนหนึ่งว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำผิดพลาดทางการทูตร้ายแรงจากคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน แม้กระทรวงการต่างประเทศพยายามอย่างหนักเพื่อกอบกู้สถานการณ์ทางการทูตที่เหลืออยู่ แต่ขวัญกำลังใจตกต่ำเป็นประวัติการณ์ นักการทูตและเจ้าหน้าที่รู้สึกว่าถูกละเลยและเพิกเฉย นับตั้งแต่แพทองธารเข้ารับตำแหน่ง การตัดสินใจเกี่ยวกับกิจการต่างประเทศก็ดำเนินการโดยทักษิณ และกลุ่มคนใกล้ชิด "นับตั้งแต่ ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีต รมว.ต่างประเทศ ก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา กระทรวงฯ ก็ไร้ทิศทาง ไม่มีผู้นำที่เข้มแข็งมาควบคุม และไม่มีผู้ใดมีอำนาจที่จะควบคุมความเสียหายหรือวางแผนกลยุทธ์" #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายคนที่ใช้ Microsoft Teams ในองค์กรคงคุ้นเคยกับความสามารถต่าง ๆ เช่น การประชุมออนไลน์, แชททีม, แชร์ไฟล์ — แต่เมื่อใช้จริงทุกวัน ฟีเจอร์บางอย่างที่ควรจะมี “ก็ยังไม่มี” เช่น:
    - ทำไมเราย้าย channel จากทีม A ไปทีม B ไม่ได้?
    - ทำไมไม่สามารถ export ประวัติแชทได้ง่าย ๆ?
    - อยากเช็กอีเมลจากในแถบด้านซ้าย ทำไมยังทำไม่ได้?

    คำถามแบบนี้สะท้อนว่า แม้ Teams จะมีพัฒนาการดีขึ้น แต่ก็ยังมีข้อจำกัดพื้นฐานที่ทำให้ผู้ใช้หลายคนรู้สึกว่า "ยังไม่สุด" อยู่ดี

    ล่าสุด Neowin รวบรวมฟีเจอร์ 5 อันดับแรกที่ยังไม่ถูกเพิ่มเข้ามา แต่มีคนโหวตขอสูงมากใน Feedback Portal — บางฟีเจอร์มีคนขอเกือบ 40,000 รายเลยทีเดียว

    ย้ายช่อง (channel) ข้ามทีมได้  
    • เป็นคำขออันดับ 1 ด้วยเสียงโหวตกว่า 39,000 ครั้ง  
    • Microsoft ยังอยู่ในขั้น “คิดไอเดีย” ยังไม่มีแผนดำเนินการชัดเจน

    รวมปฏิทินกลุ่ม (Office 365 group calendar) เข้ามาใน Teams  
    • เคยอยู่ในลำดับความสำคัญ แต่ตอนนี้ “ลดความสำคัญ” แล้วกลับไปอยู่ในขั้นพิจารณาอีกครั้ง  
    • Microsoft บอกว่าเป็นการทำงานข้ามหลายระบบที่ซับซ้อน

    สามารถ export ประวัติแชทจาก Teams ได้  
    • มีเสียงโหวตกว่า 13,000  
    • Microsoft ยังบอกว่า “อยู่ระหว่างการพิจารณา” แม้ผ่านมานาน

    ย้ายบทสนทนา (conversation) จากช่องหนึ่งไปอีกช่องหนึ่งได้  
    • คำขอนี้มีมาตั้งแต่ปี 2022 Microsoft ยังไม่มีทางออกแน่ชัด  
    • บริษัทขอ feedback เพิ่มเติมว่าทำไมผู้ใช้ต้องการฟีเจอร์นี้

    เข้าถึงอีเมลจากแถบด้านซ้ายของ Teams โดยตรง  
    • Microsoft ปฏิเสธคำขอนี้ชัดเจนแล้ว  
    • ไม่มีแผนจะรวม Outlook เข้ามาในแถบหลักของ Teams

    https://www.neowin.net/news/here-are-the-top-5-features-people-still-want-in-microsoft-teams/
    หลายคนที่ใช้ Microsoft Teams ในองค์กรคงคุ้นเคยกับความสามารถต่าง ๆ เช่น การประชุมออนไลน์, แชททีม, แชร์ไฟล์ — แต่เมื่อใช้จริงทุกวัน ฟีเจอร์บางอย่างที่ควรจะมี “ก็ยังไม่มี” เช่น: - ทำไมเราย้าย channel จากทีม A ไปทีม B ไม่ได้? - ทำไมไม่สามารถ export ประวัติแชทได้ง่าย ๆ? - อยากเช็กอีเมลจากในแถบด้านซ้าย ทำไมยังทำไม่ได้? คำถามแบบนี้สะท้อนว่า แม้ Teams จะมีพัฒนาการดีขึ้น แต่ก็ยังมีข้อจำกัดพื้นฐานที่ทำให้ผู้ใช้หลายคนรู้สึกว่า "ยังไม่สุด" อยู่ดี ล่าสุด Neowin รวบรวมฟีเจอร์ 5 อันดับแรกที่ยังไม่ถูกเพิ่มเข้ามา แต่มีคนโหวตขอสูงมากใน Feedback Portal — บางฟีเจอร์มีคนขอเกือบ 40,000 รายเลยทีเดียว ✅ ย้ายช่อง (channel) ข้ามทีมได้   • เป็นคำขออันดับ 1 ด้วยเสียงโหวตกว่า 39,000 ครั้ง   • Microsoft ยังอยู่ในขั้น “คิดไอเดีย” ยังไม่มีแผนดำเนินการชัดเจน ✅ รวมปฏิทินกลุ่ม (Office 365 group calendar) เข้ามาใน Teams   • เคยอยู่ในลำดับความสำคัญ แต่ตอนนี้ “ลดความสำคัญ” แล้วกลับไปอยู่ในขั้นพิจารณาอีกครั้ง   • Microsoft บอกว่าเป็นการทำงานข้ามหลายระบบที่ซับซ้อน ✅ สามารถ export ประวัติแชทจาก Teams ได้   • มีเสียงโหวตกว่า 13,000   • Microsoft ยังบอกว่า “อยู่ระหว่างการพิจารณา” แม้ผ่านมานาน ✅ ย้ายบทสนทนา (conversation) จากช่องหนึ่งไปอีกช่องหนึ่งได้   • คำขอนี้มีมาตั้งแต่ปี 2022 Microsoft ยังไม่มีทางออกแน่ชัด   • บริษัทขอ feedback เพิ่มเติมว่าทำไมผู้ใช้ต้องการฟีเจอร์นี้ ✅ เข้าถึงอีเมลจากแถบด้านซ้ายของ Teams โดยตรง   • Microsoft ปฏิเสธคำขอนี้ชัดเจนแล้ว   • ไม่มีแผนจะรวม Outlook เข้ามาในแถบหลักของ Teams https://www.neowin.net/news/here-are-the-top-5-features-people-still-want-in-microsoft-teams/
    WWW.NEOWIN.NET
    Here are the top 5 features people still want in Microsoft Teams
    Teams customers are always looking for more features to leverage inside the app. Here are the top five user requests, one of which Microsoft has flat out declined to implement.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • เนื้อหาใน TOR ปี 2546 ที่เป็นหลักฐานว่ารัฐบาลไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200000 ตามความเห็นทนายเขมร
    แม้แต่การเจรจา JBC ครั้งที่ผ่านมา ก็ยังยืนยันจะดำเนินการต่อตาม TOR46

    ข้อกำหนดอ้างอิงและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและกำหนดเขตแดนร่วมระหว่างกัมพูชาและไทย (TOR) ลงวันที่ 23 มีนาคม 2546 กำหนดว่า

    1.1.3 แผนที่ซึ่งเป็นผลงานการกำหนดเขตแดนของคณะกรรมาธิการการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] ซึ่งแยกตามอนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] (ต่อไปนี้จะเรียกว่า " แผนที่1:200,000") และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย]

    วรรคที่ 10 ของข้อกำหนดอ้างอิงเน้นย้ำว่า:

    "TOR นี้ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าทางกฎหมายของข้อตกลงก่อนหน้านี้ระหว่างฝรั่งเศสและสยามเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน หรือต่อมูลค่าของแผนที่ของคณะกรรมาธิการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน ( กัมพูชา) และสยาม (ประเทศไทย) ที่จัดทำขึ้นภายใต้อนุสัญญาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1904 และสนธิสัญญาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 1907 ซึ่งสะท้อนถึงเส้นแบ่งเขตแดนของอินโดจีนและสยาม"

    เห็นได้ชัดว่าแผนที่ที่อ้างถึงคือแผนที่ 1:200,000 ซึ่งตามที่ได้กล่าวข้างต้น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินว่าถูกต้องในปี 1962 และถือเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 1904 (และ 1907) ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่อยู่ในสถานะที่จะยืนยัน ว่า แผนที่1:200,000 (ซึ่งแผนที่หนึ่งเรียกว่าแผนที่ ภาคผนวก I หรือ ภาคผนวกI ที่มีปราสาทพระวิหารตั้งอยู่) ไม่ถูกต้อง ไม่มีฐานทางกฎหมายสำหรับข้อกล่าวอ้างดังกล่าว และข้อกล่าวอ้างดังกล่าวก็เท่ากับเป็นการกล่าวว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับและจะไม่บังคับใช้คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ

    2. กัมพูชายังยอมรับในคำประกาศดังกล่าวว่าคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 ไม่ได้ตัดสินในประเด็นเส้นแบ่งเขตระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาBora Touch: ตรงกันข้ามกับข้อกล่าวอ้างของประเทศไทย ในปี 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินอย่างชัดเจนว่าแผนที่ 1:200,000 (รวมถึงแผนที่ภาคผนวก I หรือแผนที่แดนเกร็ก) ถูกต้องและเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 2447 และ 2450 เนื่องจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยอมรับและตัดสินว่าแผนที่ ดังกล่าว ซึ่งเป็นผลจากการกำหนดเขตแดนของ คณะกรรมาธิการร่วมฝรั่งเศส-สยาม

    , มีผลบังคับใช้และเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินใจว่าไม่จำเป็นต้องตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนเพราะเรื่องนี้ได้รับการตัดสินแล้ว ( แผนที่ได้รับการตัดสินว่ามีผลบังคับใช้) คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับคำตอบเนื่องจากกำหนดโดยแผนที่ดังที่นักวิชาการ Kieth Highet (1987) ชี้ให้เห็นว่า: "ศาลตัดสินว่าเนื่องจากสถานที่ที่ระบุไว้ในแผนที่ได้รับการยอมรับ จึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบตำแหน่งทางกายภาพของเขตแดนที่ได้มาจากเงื่อนไขของสนธิสัญญา" ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนโดยตัดสินว่าแผนที่ นั้น มีผลบังคับใช้

    3.ไทยยืนกรานว่าเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในดินแดนไทย และเรียกร้องให้กัมพูชาถอดทั้งเจดีย์และธงกัมพูชาที่โบกสะบัดอยู่เหนือเจดีย์ เป็นการตอกย้ำการประท้วงหลายครั้งที่ประเทศไทยได้ยื่นต่อกัมพูชาเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นในพระเจดีย์และบริเวณโดยรอบ ซึ่งล้วนแต่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย

    Bora Touch:ตามแผนที่ 1:200,000 (หรือ แผนที่ส่วน Dangkrek หรือภาคผนวกI ) ปราสาทพระวิหารและที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตรอยู่ภายในอาณาเขตของกัมพูชาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ไทยและกัมพูชาเห็นพ้องกันว่าพระเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตร

    กระทรวงต่างประเทศของไทย: 4.กระทรวงฯ ยืนยันคำมั่นสัญญาของไทยในการแก้ไขปัญหาเขตแดนทั้งหมดกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยสันติวิธีภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชาว่าด้วยการกำหนดเขตแดนทางบก (JBC) การกำหนดเส้นแบ่งเขตบริเวณปราสาทพระวิหารยังอยู่ระหว่างการเจรจาภายใต้กรอบของ JBC"

    Bora Touch: การที่ไทยกล่าวว่าใช้กฎหมายระหว่างประเทศในเรื่องนี้ถือเป็นการเข้าใจผิด ประเทศไทยไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 อย่างชัดเจน จึงถือเป็นการละเมิดมาตรา 94(1) ของกฎบัตรสหประชาชาติ/ กัมพูชาร้องเรียนต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อขอใช้มาตรการที่เหมาะสมต่อไทย: มาตรา 94(2)

    Bora Touch ทนายความ

    The Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Cambodia and Thailand (TOR) of 23 March 2003 stipulates:

    1.1.3. Maps which are the results of the Demarcation Works of the Commissions of Delimitation of boundary between Indochina [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam.. sep up under the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam (theferafter referred to as "the maps of 1:200,000") and other documents relating to the application of the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam.

    Paragraph 10 of the Terms of Reference emphasises:

    "This TOR is without prejudice to the legal value of the previous agreements between France and Siam concerning the delimitation of boundary, nor to the value of the Maps of the Commissions of the Delimitation of Boundary between Indochina [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam set up under the Convention of 13 February 1904 and the Treaty of 23 March 1907, reflecting the boundary line of Indochina and Siam"

    Clearly the maps referred to are the 1:200,000 map(s) which, as mentioned above, the ICJ in 1962 ruled to be valid and forms part of the 1904 (and 1907) treaties. Thailand is therefore not in a position to assert that the 1:200,000 maps (one of which is known as Dangrek Section or Annex I map in which the PreahVihear Temple is situated) are not valid. There is no legal basis for such an assertion and to make such an assertion would amount to saying that, in contravention of the UN Charter, Thailand does not accept and will not enforce the Judgment of the ICJ.

    Thai FM: 2. Cambodia also admitted in the aforementioned declaration that the decision of the International Court of Justice (ICJ) of 1962 did not rule on the question of the boundary line between Thailand and Cambodia.

    Bora Touch: Contrary to Thailand's assertion, in 1962 the ICJ ruled unambiguously that the 1:200,000 maps (the Dangrek Section or Annex I Map included) is valid and is a part of the 1904 and 1907 treaties. Since the ICJ accepted and ruled that the map(s), which is the result of the boundary demarcation of the French-Siamese Joint Commissions, is valid and a part the treaties, the ICJ decided that it was unnecessary to rule on the question of boundary because the matter was decided (the map was ruled to be valid). The question did not need an answer as it was determined by the map(s). As scholar Kieth Highet (1987) pointed out: "the Court held that since the location indicated in the map had been accepted, it was unncessary to examine the physical location of boundary as derived from the terms of the Treaty". The ICJ did rule on the boundary question by ruling that map was valid.

    Thai FM: 3. Thailand maintains that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated on Thai territory, and demands that Cambodia remove both the pagoda and the Cambodian flag flying over the pagoda. This is a reiteration of the many protests that Thailand has submitted to Cambodia regarding the activities carried out in the pagoda and the surrounding area, all of which constitute violations of sovereignty and territorial integrity of the Kingdom of Thailand.

    Bora Touch: According to the 1:200,000 map (or the Dangkrek Section or Annex I map), the Preah Vihear Temple and the 4.6 sq km parcel of land undisputedly are inside Cambodian territory. Thailand and Cambodia agree that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated in the 4.6 sqkm parcel of land.

    Thai FM: 4. The Ministry reaffirms Thailand's commitment to resolving all boundary issues with Cambodia in accordance with international law through peaceful means under the framework of the Thai-Cambodian Joint Commission on Demarcation for Land Boundary (JBC). The determination of the boundary line in the area of the Temple of Phra Viharn [Preah Vihear Temple] is still subject to ongoing negotiation under the framework of the JBC."

    Bora Touch: It is misleading for Thailand to say it applies international law in this regard. It obviously failed to perform the obligations as stipulated under the ICJ Judgment of 1962. It thus has violated article 94(1) of the UN Charter/. Cambodia complains to the UN Security Council for appropriate measures against Thailand: Art 94(2).
    เนื้อหาใน TOR ปี 2546 ที่เป็นหลักฐานว่ารัฐบาลไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200000 ตามความเห็นทนายเขมร แม้แต่การเจรจา JBC ครั้งที่ผ่านมา ก็ยังยืนยันจะดำเนินการต่อตาม TOR46 ข้อกำหนดอ้างอิงและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและกำหนดเขตแดนร่วมระหว่างกัมพูชาและไทย (TOR) ลงวันที่ 23 มีนาคม 2546 กำหนดว่า 1.1.3 แผนที่ซึ่งเป็นผลงานการกำหนดเขตแดนของคณะกรรมาธิการการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] ซึ่งแยกตามอนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] (ต่อไปนี้จะเรียกว่า " แผนที่1:200,000") และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] วรรคที่ 10 ของข้อกำหนดอ้างอิงเน้นย้ำว่า: "TOR นี้ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าทางกฎหมายของข้อตกลงก่อนหน้านี้ระหว่างฝรั่งเศสและสยามเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน หรือต่อมูลค่าของแผนที่ของคณะกรรมาธิการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน ( กัมพูชา) และสยาม (ประเทศไทย) ที่จัดทำขึ้นภายใต้อนุสัญญาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1904 และสนธิสัญญาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 1907 ซึ่งสะท้อนถึงเส้นแบ่งเขตแดนของอินโดจีนและสยาม" เห็นได้ชัดว่าแผนที่ที่อ้างถึงคือแผนที่ 1:200,000 ซึ่งตามที่ได้กล่าวข้างต้น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินว่าถูกต้องในปี 1962 และถือเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 1904 (และ 1907) ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่อยู่ในสถานะที่จะยืนยัน ว่า แผนที่1:200,000 (ซึ่งแผนที่หนึ่งเรียกว่าแผนที่ ภาคผนวก I หรือ ภาคผนวกI ที่มีปราสาทพระวิหารตั้งอยู่) ไม่ถูกต้อง ไม่มีฐานทางกฎหมายสำหรับข้อกล่าวอ้างดังกล่าว และข้อกล่าวอ้างดังกล่าวก็เท่ากับเป็นการกล่าวว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับและจะไม่บังคับใช้คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ 2. กัมพูชายังยอมรับในคำประกาศดังกล่าวว่าคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 ไม่ได้ตัดสินในประเด็นเส้นแบ่งเขตระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาBora Touch: ตรงกันข้ามกับข้อกล่าวอ้างของประเทศไทย ในปี 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินอย่างชัดเจนว่าแผนที่ 1:200,000 (รวมถึงแผนที่ภาคผนวก I หรือแผนที่แดนเกร็ก) ถูกต้องและเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 2447 และ 2450 เนื่องจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยอมรับและตัดสินว่าแผนที่ ดังกล่าว ซึ่งเป็นผลจากการกำหนดเขตแดนของ คณะกรรมาธิการร่วมฝรั่งเศส-สยาม , มีผลบังคับใช้และเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินใจว่าไม่จำเป็นต้องตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนเพราะเรื่องนี้ได้รับการตัดสินแล้ว ( แผนที่ได้รับการตัดสินว่ามีผลบังคับใช้) คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับคำตอบเนื่องจากกำหนดโดยแผนที่ดังที่นักวิชาการ Kieth Highet (1987) ชี้ให้เห็นว่า: "ศาลตัดสินว่าเนื่องจากสถานที่ที่ระบุไว้ในแผนที่ได้รับการยอมรับ จึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบตำแหน่งทางกายภาพของเขตแดนที่ได้มาจากเงื่อนไขของสนธิสัญญา" ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนโดยตัดสินว่าแผนที่ นั้น มีผลบังคับใช้ 3.ไทยยืนกรานว่าเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในดินแดนไทย และเรียกร้องให้กัมพูชาถอดทั้งเจดีย์และธงกัมพูชาที่โบกสะบัดอยู่เหนือเจดีย์ เป็นการตอกย้ำการประท้วงหลายครั้งที่ประเทศไทยได้ยื่นต่อกัมพูชาเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นในพระเจดีย์และบริเวณโดยรอบ ซึ่งล้วนแต่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย Bora Touch:ตามแผนที่ 1:200,000 (หรือ แผนที่ส่วน Dangkrek หรือภาคผนวกI ) ปราสาทพระวิหารและที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตรอยู่ภายในอาณาเขตของกัมพูชาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ไทยและกัมพูชาเห็นพ้องกันว่าพระเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตร กระทรวงต่างประเทศของไทย: 4.กระทรวงฯ ยืนยันคำมั่นสัญญาของไทยในการแก้ไขปัญหาเขตแดนทั้งหมดกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยสันติวิธีภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชาว่าด้วยการกำหนดเขตแดนทางบก (JBC) การกำหนดเส้นแบ่งเขตบริเวณปราสาทพระวิหารยังอยู่ระหว่างการเจรจาภายใต้กรอบของ JBC" Bora Touch: การที่ไทยกล่าวว่าใช้กฎหมายระหว่างประเทศในเรื่องนี้ถือเป็นการเข้าใจผิด ประเทศไทยไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 อย่างชัดเจน จึงถือเป็นการละเมิดมาตรา 94(1) ของกฎบัตรสหประชาชาติ/ กัมพูชาร้องเรียนต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อขอใช้มาตรการที่เหมาะสมต่อไทย: มาตรา 94(2) Bora Touch ทนายความ The Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Cambodia and Thailand (TOR) of 23 March 2003 stipulates: 1.1.3. Maps which are the results of the Demarcation Works of the Commissions of Delimitation of boundary between Indochina [Cambodia] and Siam [Thailand].. sep up under the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam [Thailand] (theferafter referred to as "the maps of 1:200,000") and other documents relating to the application of the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam [Thailand]. Paragraph 10 of the Terms of Reference emphasises: "This TOR is without prejudice to the legal value of the previous agreements between France and Siam concerning the delimitation of boundary, nor to the value of the Maps of the Commissions of the Delimitation of Boundary between Indochina [Cambodia] and Siam [Thailand] set up under the Convention of 13 February 1904 and the Treaty of 23 March 1907, reflecting the boundary line of Indochina and Siam" Clearly the maps referred to are the 1:200,000 map(s) which, as mentioned above, the ICJ in 1962 ruled to be valid and forms part of the 1904 (and 1907) treaties. Thailand is therefore not in a position to assert that the 1:200,000 maps (one of which is known as Dangrek Section or Annex I map in which the PreahVihear Temple is situated) are not valid. There is no legal basis for such an assertion and to make such an assertion would amount to saying that, in contravention of the UN Charter, Thailand does not accept and will not enforce the Judgment of the ICJ. Thai FM: 2. Cambodia also admitted in the aforementioned declaration that the decision of the International Court of Justice (ICJ) of 1962 did not rule on the question of the boundary line between Thailand and Cambodia. Bora Touch: Contrary to Thailand's assertion, in 1962 the ICJ ruled unambiguously that the 1:200,000 maps (the Dangrek Section or Annex I Map included) is valid and is a part of the 1904 and 1907 treaties. Since the ICJ accepted and ruled that the map(s), which is the result of the boundary demarcation of the French-Siamese Joint Commissions, is valid and a part the treaties, the ICJ decided that it was unnecessary to rule on the question of boundary because the matter was decided (the map was ruled to be valid). The question did not need an answer as it was determined by the map(s). As scholar Kieth Highet (1987) pointed out: "the Court held that since the location indicated in the map had been accepted, it was unncessary to examine the physical location of boundary as derived from the terms of the Treaty". The ICJ did rule on the boundary question by ruling that map was valid. Thai FM: 3. Thailand maintains that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated on Thai territory, and demands that Cambodia remove both the pagoda and the Cambodian flag flying over the pagoda. This is a reiteration of the many protests that Thailand has submitted to Cambodia regarding the activities carried out in the pagoda and the surrounding area, all of which constitute violations of sovereignty and territorial integrity of the Kingdom of Thailand. Bora Touch: According to the 1:200,000 map (or the Dangkrek Section or Annex I map), the Preah Vihear Temple and the 4.6 sq km parcel of land undisputedly are inside Cambodian territory. Thailand and Cambodia agree that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated in the 4.6 sqkm parcel of land. Thai FM: 4. The Ministry reaffirms Thailand's commitment to resolving all boundary issues with Cambodia in accordance with international law through peaceful means under the framework of the Thai-Cambodian Joint Commission on Demarcation for Land Boundary (JBC). The determination of the boundary line in the area of the Temple of Phra Viharn [Preah Vihear Temple] is still subject to ongoing negotiation under the framework of the JBC." Bora Touch: It is misleading for Thailand to say it applies international law in this regard. It obviously failed to perform the obligations as stipulated under the ICJ Judgment of 1962. It thus has violated article 94(1) of the UN Charter/. Cambodia complains to the UN Security Council for appropriate measures against Thailand: Art 94(2).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 308 มุมมอง 0 รีวิว
  • หน้าที่หลักของนายกรัฐมนตรี (Prime Minister) ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล ตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (เช่น ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น) มีดังนี้:

    1. **เป็นหัวหน้ารัฐบาล:**
    * เป็นผู้บัญชาการสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดิน
    * กำหนดนโยบายของคณะรัฐมนตรี (Cabinet) และรับผิดชอบต่อการดำเนินนโยบายนั้น
    * คุมทิศทางและประสานงานการทำงานของกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ

    2. **คัดเลือกและจัดตั้งคณะรัฐมนตรี:**
    * เป็นผู้เสนอชื่อบุคคลเพื่อพระมหากษัตริย์ (ในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ) หรือประมุขแห่งรัฐ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี
    * มีอำนาจปรับเปลี่ยน (reshuffle) คณะรัฐมนตรี โดยการแต่งตั้งหรือถอดถอนรัฐมนตรี

    3. **เป็นผู้นำในรัฐสภา:**
    * แถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา
    * ตอบคำถามและชี้แจงนโยบายในการอภิปรายทั่วไปในรัฐสภา (เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ)
    * เสนอร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาลต่อรัฐสภา

    4. **เป็นโฆษกหลักของรัฐบาล:**
    * ชี้แจงนโยบายและสถานการณ์สำคัญของประเทศต่อสาธารณชน
    * เป็นตัวแทนของรัฐบาลในการแถลงข่าวหรือสื่อสารในประเด็นเร่งด่วนหรือสำคัญระดับชาติ

    5. **เป็นผู้แทนประเทศในเวทีระหว่างประเทศ:**
    * เป็นตัวแทนสูงสุดของรัฐบาลในการเยือนต่างประเทศและต้อนรับผู้นำต่างประเทศ
    * เข้าร่วมการประชุมสุดยอดระหว่างประเทศ (เช่น การประชุมอาเซียน สหประชาชาติ G20)

    6. **เป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี:**
    * เรียกประชุมและเป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี
    * นำเสนอวาระการประชุมและชี้ขาดในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีความเห็นไม่ตรงกัน

    7. **รับผิดชอบต่อความมั่นคงของชาติ:**
    * เป็นประธานในคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง (เช่น คณะกรรมการนโยบายต่างประเทศ คณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติ - ในบางประเทศ)
    * เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพในยามสงบ (ในบางประเทศ เช่น อังกฤษ) หรือประสานงานกับฝ่ายทหาร (ในประเทศที่ประมุขแห่งรัฐเป็นผู้บัญชาการสูงสุด เช่น ไทย)

    8. **การใช้อำนาจตามกฎหมาย:**
    * ลงนามในพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และเอกสารราชการสำคัญต่างๆ ร่วมกับรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ
    * ใช้อำนาจอื่นๆ ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด

    9. **การแก้ไขวิกฤต:**
    * เป็นผู้มีบทบาทสำคัญและเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจและแก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือภัยธรรมชาติ

    10. **การรับผิดชอบทางการเมือง:**
    * ต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อรัฐสภาและประชาชน หากรัฐบาลบริหารงานผิดพลาดหรือนโยบายล้มเหลว นายกรัฐมนตรีมักจะเป็นผู้ที่ต้องลาออกหรือถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนใคร

    **หมายเหตุ:**
    * รายละเอียดหน้าที่และอำนาจอาจแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและประเพณีทางการเมืองของประเทศนั้นๆ
    * ในประเทศไทย หน้าที่และอำนาจของนายกรัฐมนตรีกำหนดไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2560) โดยเฉพาะในมาตรา 171, 172, 173 และหมวด 6 ว่าด้วยคณะรัฐมนตรี
    * นายกรัฐมนตรีต้องดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในประเทศไทย

    สรุปได้ว่า นายกรัฐมนตรีมีบทบาทสำคัญที่สุดในฝ่ายบริหาร ในการกำหนดทิศทางประเทศ นำการบริหารราชการแผ่นดิน และเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจเรื่องสำคัญต่างๆ ของชาติ
    หน้าที่หลักของนายกรัฐมนตรี (Prime Minister) ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล ตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (เช่น ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น) มีดังนี้: 1. **เป็นหัวหน้ารัฐบาล:** * เป็นผู้บัญชาการสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดิน * กำหนดนโยบายของคณะรัฐมนตรี (Cabinet) และรับผิดชอบต่อการดำเนินนโยบายนั้น * คุมทิศทางและประสานงานการทำงานของกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ 2. **คัดเลือกและจัดตั้งคณะรัฐมนตรี:** * เป็นผู้เสนอชื่อบุคคลเพื่อพระมหากษัตริย์ (ในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ) หรือประมุขแห่งรัฐ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี * มีอำนาจปรับเปลี่ยน (reshuffle) คณะรัฐมนตรี โดยการแต่งตั้งหรือถอดถอนรัฐมนตรี 3. **เป็นผู้นำในรัฐสภา:** * แถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา * ตอบคำถามและชี้แจงนโยบายในการอภิปรายทั่วไปในรัฐสภา (เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ) * เสนอร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาลต่อรัฐสภา 4. **เป็นโฆษกหลักของรัฐบาล:** * ชี้แจงนโยบายและสถานการณ์สำคัญของประเทศต่อสาธารณชน * เป็นตัวแทนของรัฐบาลในการแถลงข่าวหรือสื่อสารในประเด็นเร่งด่วนหรือสำคัญระดับชาติ 5. **เป็นผู้แทนประเทศในเวทีระหว่างประเทศ:** * เป็นตัวแทนสูงสุดของรัฐบาลในการเยือนต่างประเทศและต้อนรับผู้นำต่างประเทศ * เข้าร่วมการประชุมสุดยอดระหว่างประเทศ (เช่น การประชุมอาเซียน สหประชาชาติ G20) 6. **เป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี:** * เรียกประชุมและเป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี * นำเสนอวาระการประชุมและชี้ขาดในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีความเห็นไม่ตรงกัน 7. **รับผิดชอบต่อความมั่นคงของชาติ:** * เป็นประธานในคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง (เช่น คณะกรรมการนโยบายต่างประเทศ คณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติ - ในบางประเทศ) * เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพในยามสงบ (ในบางประเทศ เช่น อังกฤษ) หรือประสานงานกับฝ่ายทหาร (ในประเทศที่ประมุขแห่งรัฐเป็นผู้บัญชาการสูงสุด เช่น ไทย) 8. **การใช้อำนาจตามกฎหมาย:** * ลงนามในพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และเอกสารราชการสำคัญต่างๆ ร่วมกับรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ * ใช้อำนาจอื่นๆ ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด 9. **การแก้ไขวิกฤต:** * เป็นผู้มีบทบาทสำคัญและเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจและแก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือภัยธรรมชาติ 10. **การรับผิดชอบทางการเมือง:** * ต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อรัฐสภาและประชาชน หากรัฐบาลบริหารงานผิดพลาดหรือนโยบายล้มเหลว นายกรัฐมนตรีมักจะเป็นผู้ที่ต้องลาออกหรือถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนใคร **หมายเหตุ:** * รายละเอียดหน้าที่และอำนาจอาจแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและประเพณีทางการเมืองของประเทศนั้นๆ * ในประเทศไทย หน้าที่และอำนาจของนายกรัฐมนตรีกำหนดไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2560) โดยเฉพาะในมาตรา 171, 172, 173 และหมวด 6 ว่าด้วยคณะรัฐมนตรี * นายกรัฐมนตรีต้องดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในประเทศไทย สรุปได้ว่า นายกรัฐมนตรีมีบทบาทสำคัญที่สุดในฝ่ายบริหาร ในการกำหนดทิศทางประเทศ นำการบริหารราชการแผ่นดิน และเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจเรื่องสำคัญต่างๆ ของชาติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักการเมืองฝ่ายค้านกัมพูชาได้กล่าวหา "ฮุนเซน" ประธานพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ว่าปลุกปั่นกระแสชาตินิยมต่อต้านไทย แต่เพิกเฉยต่อเวียดนาม แม้ถูกรุกล้ำดินแดนเช่นกัน ทำให้เกิดคำถามเรื่องสองมาตรฐานในจุดยืนด้านนโยบายต่างประเทศของฮุนเซน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000061225

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    นักการเมืองฝ่ายค้านกัมพูชาได้กล่าวหา "ฮุนเซน" ประธานพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ว่าปลุกปั่นกระแสชาตินิยมต่อต้านไทย แต่เพิกเฉยต่อเวียดนาม แม้ถูกรุกล้ำดินแดนเช่นกัน ทำให้เกิดคำถามเรื่องสองมาตรฐานในจุดยืนด้านนโยบายต่างประเทศของฮุนเซน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000061225 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 498 มุมมอง 0 รีวิว
  • ๒เกี​ยว​โด​นิวส์​ (27​ มิ.ย.)​ รัฐบาลญี่ปุ่นแถลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ญี่ปุ่นประหารชีวิตชายคนหนึ่งที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรมต่อเนื่อง 9 ศพ เมื่อปี 2560 ใกล้กับกรุงโตเกียว ซึ่งถือเป็นการแขวนคอครั้งแรกของประเทศนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565

    โทษประหารชีวิตของทาคาฮิโระ ชิราอิชิ อายุ 34 ปี ผู้ได้รับฉายาว่า "ฆาตกรทวิตเตอร์" ของญี่ปุ่น ได้รับคำพิพาก​ษาสิ้นสุดในปี 2564 หลังจากที่เขาถอนคำอุทธรณ์ เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรม ชำแหละ และเก็บศพเหยื่อทั้ง 9 รายไว้ในอพาร์ตเมนต์ของเขาในเมืองซามะ จังหวัดคานากาวะ

    "ผมสั่งประหารชีวิตหลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบและรอบคอบ" เคอิสุเกะ ซูซูกิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวในการแถลงข่าวที่จัดขึ้นเพื่อประกาศการแขวนคอ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว

    การประหารชีวิตดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางคำถามเกี่ยวกับระบบยุติธรรม​โทษประหารชีวิตของประเทศ หลังจากที่อิวาโอะ ฮากามาตะ วัย 89 ปี ซึ่งต้องโทษประหารชีวิตมานานกว่า 4 ทศวรรษ ได้รับการพิพากษาให้พ้นผิด

    อิวาโอะ ฮากามาตะ ​พ้นผิดจากคดีฆาตกรรม 4 ศพเมื่อปี 2509 และการรื้อการพิจารณาคดีใหม่เสร็จสิ้นในเดือนตุลาคม 2567

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/japan/detail/9680000060591

    #Thaitimes #MGROnline #รัฐบาลญี่ปุ่น #ประหารชีวิต
    ๒เกี​ยว​โด​นิวส์​ (27​ มิ.ย.)​ รัฐบาลญี่ปุ่นแถลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ญี่ปุ่นประหารชีวิตชายคนหนึ่งที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรมต่อเนื่อง 9 ศพ เมื่อปี 2560 ใกล้กับกรุงโตเกียว ซึ่งถือเป็นการแขวนคอครั้งแรกของประเทศนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 • โทษประหารชีวิตของทาคาฮิโระ ชิราอิชิ อายุ 34 ปี ผู้ได้รับฉายาว่า "ฆาตกรทวิตเตอร์" ของญี่ปุ่น ได้รับคำพิพาก​ษาสิ้นสุดในปี 2564 หลังจากที่เขาถอนคำอุทธรณ์ เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรม ชำแหละ และเก็บศพเหยื่อทั้ง 9 รายไว้ในอพาร์ตเมนต์ของเขาในเมืองซามะ จังหวัดคานากาวะ • "ผมสั่งประหารชีวิตหลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบและรอบคอบ" เคอิสุเกะ ซูซูกิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวในการแถลงข่าวที่จัดขึ้นเพื่อประกาศการแขวนคอ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว • การประหารชีวิตดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางคำถามเกี่ยวกับระบบยุติธรรม​โทษประหารชีวิตของประเทศ หลังจากที่อิวาโอะ ฮากามาตะ วัย 89 ปี ซึ่งต้องโทษประหารชีวิตมานานกว่า 4 ทศวรรษ ได้รับการพิพากษาให้พ้นผิด • อิวาโอะ ฮากามาตะ ​พ้นผิดจากคดีฆาตกรรม 4 ศพเมื่อปี 2509 และการรื้อการพิจารณาคดีใหม่เสร็จสิ้นในเดือนตุลาคม 2567 • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/japan/detail/9680000060591 • #Thaitimes #MGROnline #รัฐบาลญี่ปุ่น #ประหารชีวิต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทุกวันนี้บริษัทเทคโนโลยีต่างพูดถึงว่า AI ทำให้คนทำงานได้เร็วขึ้น ผลิตได้มากขึ้นในเวลาน้อยลง แต่ความจริงคือ...หลายบริษัทกลับใช้ AI เป็นเหตุผลในการปลดพนักงาน แล้วเราควรรู้สึกดียังไง?

    Bernie Sanders ให้สัมภาษณ์ในรายการ Joe Rogan Experience โดยตั้งคำถามว่า "ถ้าเราสร้าง AI เพื่อให้คนทำงานง่ายขึ้น ทำไมถึงเอาเวลาที่เหลือไปไล่คนออก?" เขาเสนอทางเลือกใหม่: "ลดชั่วโมงทำงานเหลือ 32 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (4 วัน) โดยไม่ลดเงินเดือน"

    เขายกตัวอย่างประเทศอย่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และญี่ปุ่น ที่กำลังทดลองสัปดาห์ทำงาน 4 วัน โดยผลลัพธ์ที่ออกมาก็น่าสนใจ:
    - รายได้บริษัทเพิ่มขึ้น 8%
    - ความเหนื่อยล้าของพนักงานลดลง 10%
    - ความเครียดลดลง 35%
    - และในกรณีของ Microsoft Japan — ผลิตภาพเพิ่มขึ้นถึง 40%

    แต่ในโลกจริงกลับตรงข้าม — บริษัทยักษ์ใหญ่ยังปลดพนักงานนับพัน เช่น Microsoft เพิ่งประกาศเลย์ออฟอีกครั้ง แม้กำลังทุ่มงบกว่า $80 พันล้านดอลลาร์ พัฒนา AI ภายในปีเดียว

    สรุปคือ: “AI ควรให้เวลาคืนกลับคนทำงาน ไม่ใช่พรากงานไปจากพวกเขา”

    https://www.techspot.com/news/108462-bernie-sanders-productivity-boosting-ai-mean-4-day.html
    ทุกวันนี้บริษัทเทคโนโลยีต่างพูดถึงว่า AI ทำให้คนทำงานได้เร็วขึ้น ผลิตได้มากขึ้นในเวลาน้อยลง แต่ความจริงคือ...หลายบริษัทกลับใช้ AI เป็นเหตุผลในการปลดพนักงาน แล้วเราควรรู้สึกดียังไง? Bernie Sanders ให้สัมภาษณ์ในรายการ Joe Rogan Experience โดยตั้งคำถามว่า "ถ้าเราสร้าง AI เพื่อให้คนทำงานง่ายขึ้น ทำไมถึงเอาเวลาที่เหลือไปไล่คนออก?" เขาเสนอทางเลือกใหม่: "ลดชั่วโมงทำงานเหลือ 32 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (4 วัน) โดยไม่ลดเงินเดือน" เขายกตัวอย่างประเทศอย่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และญี่ปุ่น ที่กำลังทดลองสัปดาห์ทำงาน 4 วัน โดยผลลัพธ์ที่ออกมาก็น่าสนใจ: - รายได้บริษัทเพิ่มขึ้น 8% - ความเหนื่อยล้าของพนักงานลดลง 10% - ความเครียดลดลง 35% - และในกรณีของ Microsoft Japan — ผลิตภาพเพิ่มขึ้นถึง 40% แต่ในโลกจริงกลับตรงข้าม — บริษัทยักษ์ใหญ่ยังปลดพนักงานนับพัน เช่น Microsoft เพิ่งประกาศเลย์ออฟอีกครั้ง แม้กำลังทุ่มงบกว่า $80 พันล้านดอลลาร์ พัฒนา AI ภายในปีเดียว สรุปคือ: “AI ควรให้เวลาคืนกลับคนทำงาน ไม่ใช่พรากงานไปจากพวกเขา” https://www.techspot.com/news/108462-bernie-sanders-productivity-boosting-ai-mean-4-day.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Bernie Sanders says AI's "productivity boost" should mean 4-day workweeks, not layoffs
    During a recent interview on the Joe Rogan Experience, Sanders pointed out that the extra time that workers save through the use of AI tools should be...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ไม่มีหลักฐานว่าอิหร่านครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ก่อนหน้านี้ก็ อิรัก ลิเบีย และตอนนี้อิหร่าน แต่ชาติตะวันตกไม่เคยตั้งคำถามกับอิสราเอลเลย ในความเห็นของผม นี่คือความหลอกลวงปลิ้นปล้อนขั้นสุดยอด”

    —"โคซาเชฟ" รองประธานสภาสหพันธรัฐหรือวุฒิสภารัสเซีย
    “ไม่มีหลักฐานว่าอิหร่านครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ก่อนหน้านี้ก็ อิรัก ลิเบีย และตอนนี้อิหร่าน แต่ชาติตะวันตกไม่เคยตั้งคำถามกับอิสราเอลเลย ในความเห็นของผม นี่คือความหลอกลวงปลิ้นปล้อนขั้นสุดยอด” —"โคซาเชฟ" รองประธานสภาสหพันธรัฐหรือวุฒิสภารัสเซีย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 33 0 รีวิว
  • เคยคิดไหมครับว่าสักวันหนึ่งจะมี "หุ่นยนต์แฮกเกอร์" ที่เก่งกว่าคนจริง? วันนั้นมาถึงแล้ว เพราะ Xbow คือ AI ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแฮกเกอร์มืออาชีพโดยเฉพาะ มันสามารถ “แฮกระบบ” อย่างถูกกฎหมายผ่านการเจาะช่องโหว่ (penetration test) แบบอัตโนมัติ และรายงานเข้าระบบบั๊ก bounty ได้เร็วและแม่นยำกว่าคน

    Xbow เพิ่งขึ้นเป็น อันดับ 1 ในสหรัฐฯ บน HackerOne ซึ่งจัดอันดับจาก “จำนวนช่องโหว่ที่ค้นพบ + ความร้ายแรง” และการที่ “AI” ได้อันดับสูงสุดเป็นครั้งแรกนี้ ก็ทำให้นักลงทุนแห่ให้เงินเพิ่มอีก 75 ล้านดอลลาร์

    แต่นี่ไม่ได้เป็นแค่ความสำเร็จครับ — เพราะผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “เรากำลังก้าวสู่ยุคที่เครื่องจักรกำลังแฮกระบบของเครื่องจักรด้วยกันเองหรือเปล่า?” และถ้า AI ฝั่งร้ายพัฒนาเร็วเท่าฝั่งดีล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น…

    Xbow คือ AI แฮกเกอร์ที่พัฒนาโดยบริษัทชื่อเดียวกัน ก่อตั้งในปี 2024 โดยอดีตผู้บริหาร GitHub  
    • มีทีมพัฒนาเคยทำงานกับ Copilot และ Semmle (บริษัทรักษาความปลอดภัยที่ GitHub เคยซื้อ)

    Xbow ขึ้นอันดับ 1 ของ HackerOne ในสหรัฐฯ จากคะแนน reputation สูงสุด  
    • เก็บแต้มจากการพบช่องโหว่ที่มีความสำคัญมาก และรายงานสำเร็จ

    ระดมทุนเพิ่มอีก $75 ล้าน จาก Altimeter Capital, Sequoia และ NFDG  
    • เพื่อขยายระบบ AI ให้ทำงานได้ละเอียดและครอบคลุมมากขึ้น

    ทำ penetration testing แบบอัตโนมัติ – ใช้เวลาน้อยกว่า และราคาถูกกว่าทีม red team ปกติ  
    • ปกติจ้าง red team ทดสอบ 1 ครั้งเฉลี่ย $18,000 แต่ Xbow ทำได้บ่อยและต่อเนื่อง

    Xbow ค้นพบช่องโหว่ในบริษัทชื่อดัง เช่น Amazon, Disney, PayPal, Sony  
    • แต่ผู้ใช้งานเป็นองค์กรเท่านั้น ยังไม่เปิดเผยรายชื่อทั้งหมด

    ทำงานคู่กับ HackerOne ที่ให้มนุษย์รีวิวข้อผิดพลาดที่ AI พบ เพื่อกันไม่ให้เกิด “hallucination”  
    • แยกจริงปลอมก่อนส่งรายงานให้บริษัท

    ในอนาคต Xbow จะสามารถ “เสนอทางแก้ไข” ให้กับลูกค้าด้วย เช่น แก้โค้ด หรือแนะนำวิธี fix ช่องโหว่  
    • ไม่ใช่แค่หาเจอ แต่ช่วยซ่อมได้ด้วย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/26/one-of-the-best-hackers-in-the-us-is-an-ai-bot
    เคยคิดไหมครับว่าสักวันหนึ่งจะมี "หุ่นยนต์แฮกเกอร์" ที่เก่งกว่าคนจริง? วันนั้นมาถึงแล้ว เพราะ Xbow คือ AI ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแฮกเกอร์มืออาชีพโดยเฉพาะ มันสามารถ “แฮกระบบ” อย่างถูกกฎหมายผ่านการเจาะช่องโหว่ (penetration test) แบบอัตโนมัติ และรายงานเข้าระบบบั๊ก bounty ได้เร็วและแม่นยำกว่าคน Xbow เพิ่งขึ้นเป็น อันดับ 1 ในสหรัฐฯ บน HackerOne ซึ่งจัดอันดับจาก “จำนวนช่องโหว่ที่ค้นพบ + ความร้ายแรง” และการที่ “AI” ได้อันดับสูงสุดเป็นครั้งแรกนี้ ก็ทำให้นักลงทุนแห่ให้เงินเพิ่มอีก 75 ล้านดอลลาร์ แต่นี่ไม่ได้เป็นแค่ความสำเร็จครับ — เพราะผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “เรากำลังก้าวสู่ยุคที่เครื่องจักรกำลังแฮกระบบของเครื่องจักรด้วยกันเองหรือเปล่า?” และถ้า AI ฝั่งร้ายพัฒนาเร็วเท่าฝั่งดีล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น… ✅ Xbow คือ AI แฮกเกอร์ที่พัฒนาโดยบริษัทชื่อเดียวกัน ก่อตั้งในปี 2024 โดยอดีตผู้บริหาร GitHub   • มีทีมพัฒนาเคยทำงานกับ Copilot และ Semmle (บริษัทรักษาความปลอดภัยที่ GitHub เคยซื้อ) ✅ Xbow ขึ้นอันดับ 1 ของ HackerOne ในสหรัฐฯ จากคะแนน reputation สูงสุด   • เก็บแต้มจากการพบช่องโหว่ที่มีความสำคัญมาก และรายงานสำเร็จ ✅ ระดมทุนเพิ่มอีก $75 ล้าน จาก Altimeter Capital, Sequoia และ NFDG   • เพื่อขยายระบบ AI ให้ทำงานได้ละเอียดและครอบคลุมมากขึ้น ✅ ทำ penetration testing แบบอัตโนมัติ – ใช้เวลาน้อยกว่า และราคาถูกกว่าทีม red team ปกติ   • ปกติจ้าง red team ทดสอบ 1 ครั้งเฉลี่ย $18,000 แต่ Xbow ทำได้บ่อยและต่อเนื่อง ✅ Xbow ค้นพบช่องโหว่ในบริษัทชื่อดัง เช่น Amazon, Disney, PayPal, Sony   • แต่ผู้ใช้งานเป็นองค์กรเท่านั้น ยังไม่เปิดเผยรายชื่อทั้งหมด ✅ ทำงานคู่กับ HackerOne ที่ให้มนุษย์รีวิวข้อผิดพลาดที่ AI พบ เพื่อกันไม่ให้เกิด “hallucination”   • แยกจริงปลอมก่อนส่งรายงานให้บริษัท ✅ ในอนาคต Xbow จะสามารถ “เสนอทางแก้ไข” ให้กับลูกค้าด้วย เช่น แก้โค้ด หรือแนะนำวิธี fix ช่องโหว่   • ไม่ใช่แค่หาเจอ แต่ช่วยซ่อมได้ด้วย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/26/one-of-the-best-hackers-in-the-us-is-an-ai-bot
    WWW.THESTAR.COM.MY
    One of the best hackers in the US is an AI bot
    A hacker named Xbow has topped a prestigious security industry US leaderboard that tracks who has found and reported the most vulnerabilities in software from large companies. Xbow isn't a person – it's an artificial intelligence tool developed by a company of the same name.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI ถูกพูดถึงเสมอว่า “ช่วยให้เรามีเวลาเพิ่มขึ้น” เช่น ช่วยจัดการงานบ้าน, จ่ายบิล, วางแผนการเดินทาง หรือแม้แต่ช่วยสรุปรายงานต่าง ๆ — แต่คำถามคือ...ใครล่ะที่เข้าถึง AI แบบนั้นได้จริง?

    งานวิจัยจาก Lloyds Bank ในสหราชอาณาจักรพบว่า คนที่มีรายได้มากกว่า £100,000 ส่วนใหญ่ใช้งาน AI ผู้ช่วย, รถไร้คนขับ และอุปกรณ์อัจฉริยะเพื่อประหยัดเวลาจริง — และกว่าครึ่งบอกว่าพวกเขาใช้ AI “แทบทุกวัน” เพื่อเคลียร์งานน่าเบื่อ

    ในขณะที่คนทั่วไปแม้จะเปิดรับเทคโนโลยี แต่ก็มักติดปัญหาเรื่องราคาและทักษะดิจิทัล เช่น ใช้ banking app ได้ แต่ยังไม่คุ้นเคยกับ AI ในรูปแบบซับซ้อน หรือไม่มีอุปกรณ์ที่เข้ากันได้

    คำถามคือ…AI ที่สร้าง “เวลาเพิ่ม” นั้น ทำให้ทุกคนว่างขึ้นเท่ากันไหม หรือแค่ทำให้ “คนที่รวยอยู่แล้ว รวยเวลามากขึ้นอีก”?

    AI ช่วยประหยัดเวลาได้สูงสุดถึง 110 นาทีต่อวัน (ประมาณ 13–14 ชั่วโมงต่อสัปดาห์)  
    • โดยเฉพาะจากการจัดการงานบ้าน, เดินทาง, การเงิน, หรือกิจกรรมซ้ำซาก

    ผู้มีรายได้สูงกว่า £100,000 มีแนวโน้มใช้ AI มากกว่า  
    • เช่น ผู้ช่วย AI, รถอัตโนมัติ, โดรน, และ smart home devices  
    • 99% ของกลุ่มนี้เห็นว่า “เวลาว่างมีค่ามากที่สุด”

    47% ของคนทั่วไปชี้ว่างานบ้านคือสิ่งกินเวลามากที่สุด  
    • รองลงมาคือการจัดการเรื่องการเงินส่วนตัว (31%)

    แอปจัดการการเงิน เช่น แอปธนาคาร เป็น AI ที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายที่สุด  
    • 48% ของผู้ใหญ่ใน UK ใช้อยู่แล้ว

    เทคโนโลยีที่ใช้ AI เพื่อประหยัดเวลายังต้องการทั้งเงินและทักษะใช้งาน

    https://www.techradar.com/pro/bank-says-people-can-get-almost-14-hours-of-free-time-every-week-thanks-to-ai-but-you-need-to-be-rich
    AI ถูกพูดถึงเสมอว่า “ช่วยให้เรามีเวลาเพิ่มขึ้น” เช่น ช่วยจัดการงานบ้าน, จ่ายบิล, วางแผนการเดินทาง หรือแม้แต่ช่วยสรุปรายงานต่าง ๆ — แต่คำถามคือ...ใครล่ะที่เข้าถึง AI แบบนั้นได้จริง? งานวิจัยจาก Lloyds Bank ในสหราชอาณาจักรพบว่า คนที่มีรายได้มากกว่า £100,000 ส่วนใหญ่ใช้งาน AI ผู้ช่วย, รถไร้คนขับ และอุปกรณ์อัจฉริยะเพื่อประหยัดเวลาจริง — และกว่าครึ่งบอกว่าพวกเขาใช้ AI “แทบทุกวัน” เพื่อเคลียร์งานน่าเบื่อ ในขณะที่คนทั่วไปแม้จะเปิดรับเทคโนโลยี แต่ก็มักติดปัญหาเรื่องราคาและทักษะดิจิทัล เช่น ใช้ banking app ได้ แต่ยังไม่คุ้นเคยกับ AI ในรูปแบบซับซ้อน หรือไม่มีอุปกรณ์ที่เข้ากันได้ คำถามคือ…AI ที่สร้าง “เวลาเพิ่ม” นั้น ทำให้ทุกคนว่างขึ้นเท่ากันไหม หรือแค่ทำให้ “คนที่รวยอยู่แล้ว รวยเวลามากขึ้นอีก”? ✅ AI ช่วยประหยัดเวลาได้สูงสุดถึง 110 นาทีต่อวัน (ประมาณ 13–14 ชั่วโมงต่อสัปดาห์)   • โดยเฉพาะจากการจัดการงานบ้าน, เดินทาง, การเงิน, หรือกิจกรรมซ้ำซาก ✅ ผู้มีรายได้สูงกว่า £100,000 มีแนวโน้มใช้ AI มากกว่า   • เช่น ผู้ช่วย AI, รถอัตโนมัติ, โดรน, และ smart home devices   • 99% ของกลุ่มนี้เห็นว่า “เวลาว่างมีค่ามากที่สุด” ✅ 47% ของคนทั่วไปชี้ว่างานบ้านคือสิ่งกินเวลามากที่สุด   • รองลงมาคือการจัดการเรื่องการเงินส่วนตัว (31%) ✅ แอปจัดการการเงิน เช่น แอปธนาคาร เป็น AI ที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายที่สุด   • 48% ของผู้ใหญ่ใน UK ใช้อยู่แล้ว ✅ เทคโนโลยีที่ใช้ AI เพื่อประหยัดเวลายังต้องการทั้งเงินและทักษะใช้งาน https://www.techradar.com/pro/bank-says-people-can-get-almost-14-hours-of-free-time-every-week-thanks-to-ai-but-you-need-to-be-rich
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • จินตนาการดูนะครับว่าเด็กคนนึงรู้สึกเหงา ไม่มีเพื่อนคุย หรืออยากระบายสิ่งที่อายเกินกว่าจะเล่าให้ใครฟัง — เขาเลยเข้าไปในแอป AI และพูดได้ทุกอย่างโดยไม่มีใครตัดสิน

    น่าฟังใช่ไหมครับ? แต่นั่นแหละคือช่องที่น่ากังวล

    เพราะแชตบอตพวกนี้ ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับเด็ก และอาจตอบกลับด้วยเนื้อหาที่ผิด, รุนแรง หรือไม่เหมาะสมโดยไม่ได้ตั้งใจ — บางครั้งถึงขั้นมี เรื่องเพศรุนแรงหรือคำแนะนำอันตราย ก็เกิดขึ้นแล้วในหลายกรณี

    ที่น่าห่วงคือ เด็ก ๆ โดยเฉพาะวัยรุ่นจะมีลักษณะ “เชื่อมโยงกับบอต” แบบ parasocial — คือรู้สึกผูกพันกับสิ่งที่ไม่ใช่คนจริง ๆ ได้ง่าย เพราะพวกเขา ยังแยกไม่ชัดว่าอะไรจริง–อะไรเสมือน โดยเฉพาะเมื่อบอตพูดจานุ่มนวล เข้าใจ และไม่ตัดสิน

    บางคนถึงขั้นคิดว่าแชตบอตคือ “เพื่อนแท้” คนเดียวของเขาในโลก ซึ่งแน่นอนว่า...บอตไม่มีหัวใจ ไม่มีความรับผิดชอบ และไม่สามารถเป็นที่พึ่งทางอารมณ์อย่างแท้จริงได้

    AI แชตบอตเริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเด็กและวัยรุ่น — ใช้คุยเพื่อความบันเทิงหรือความเหงา  
    • มีพฤติกรรมคล้ายมนุษย์ ใช้น้ำเสียงเป็นมิตร เข้าใจง่าย  
    • บางแพลตฟอร์มมี “บอตเพื่อน” แบบมีบุคลิกเฉพาะตัว (Companion AI)

    AI ไม่ได้ถูกออกแบบให้รองรับจริยธรรมและการปกป้องเด็กโดยเฉพาะ  
    • อาจตอบคำถามผิด หรือมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมโดยไม่ได้ตั้งใจ  
    • ไม่มีความรับผิดชอบทางอารมณ์หรือจริยธรรมแบบมนุษย์

    เด็กบางคนสร้างความผูกพันระดับสูงกับแชตบอต (parasocial relationship)  
    • เพราะเด็กยังไม่มีวิจารณญาณพอจะประเมินว่าอีกฝั่งคือ AI  
    • อาจเริ่มปิดใจจากคนจริง และถ่ายทอดเรื่องส่วนตัวกับบอตมากเกินไป

    AI ไม่สามารถทำหน้าที่แทน “ความสัมพันธ์ที่มั่นคงในชีวิตจริง” ได้  
    • ไม่มีความรับผิดชอบ, ไม่เข้าใจชีวิตของเด็กจริง ๆ, ไม่รู้บริบทของแต่ละคน

    คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ:
    • พ่อแม่ควรถามลูกว่าเคยใช้แชตบอตไหม ใช้อย่างไร เคยเจออะไรแปลกหรือไม่  
    • ควรเปิดบทสนทนาอย่างนุ่มนวล–ไม่ดุหรือสั่งห้ามทันที  
    • หากเห็นข้อความน่าสงสัยในแชต คุยกันว่า “บอตตอบแบบนี้เพราะอะไร”
    • เน้นย้ำว่าชีวิตจริงต้องมีเพื่อนและคนจริงที่พร้อมรับฟัง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/24/opinion-are-ai-chatbots-safe-for-kids
    จินตนาการดูนะครับว่าเด็กคนนึงรู้สึกเหงา ไม่มีเพื่อนคุย หรืออยากระบายสิ่งที่อายเกินกว่าจะเล่าให้ใครฟัง — เขาเลยเข้าไปในแอป AI และพูดได้ทุกอย่างโดยไม่มีใครตัดสิน น่าฟังใช่ไหมครับ? แต่นั่นแหละคือช่องที่น่ากังวล เพราะแชตบอตพวกนี้ ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับเด็ก และอาจตอบกลับด้วยเนื้อหาที่ผิด, รุนแรง หรือไม่เหมาะสมโดยไม่ได้ตั้งใจ — บางครั้งถึงขั้นมี เรื่องเพศรุนแรงหรือคำแนะนำอันตราย ก็เกิดขึ้นแล้วในหลายกรณี ที่น่าห่วงคือ เด็ก ๆ โดยเฉพาะวัยรุ่นจะมีลักษณะ “เชื่อมโยงกับบอต” แบบ parasocial — คือรู้สึกผูกพันกับสิ่งที่ไม่ใช่คนจริง ๆ ได้ง่าย เพราะพวกเขา ยังแยกไม่ชัดว่าอะไรจริง–อะไรเสมือน โดยเฉพาะเมื่อบอตพูดจานุ่มนวล เข้าใจ และไม่ตัดสิน บางคนถึงขั้นคิดว่าแชตบอตคือ “เพื่อนแท้” คนเดียวของเขาในโลก ซึ่งแน่นอนว่า...บอตไม่มีหัวใจ ไม่มีความรับผิดชอบ และไม่สามารถเป็นที่พึ่งทางอารมณ์อย่างแท้จริงได้ ✅ AI แชตบอตเริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเด็กและวัยรุ่น — ใช้คุยเพื่อความบันเทิงหรือความเหงา   • มีพฤติกรรมคล้ายมนุษย์ ใช้น้ำเสียงเป็นมิตร เข้าใจง่าย   • บางแพลตฟอร์มมี “บอตเพื่อน” แบบมีบุคลิกเฉพาะตัว (Companion AI) ✅ AI ไม่ได้ถูกออกแบบให้รองรับจริยธรรมและการปกป้องเด็กโดยเฉพาะ   • อาจตอบคำถามผิด หรือมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมโดยไม่ได้ตั้งใจ   • ไม่มีความรับผิดชอบทางอารมณ์หรือจริยธรรมแบบมนุษย์ ✅ เด็กบางคนสร้างความผูกพันระดับสูงกับแชตบอต (parasocial relationship)   • เพราะเด็กยังไม่มีวิจารณญาณพอจะประเมินว่าอีกฝั่งคือ AI   • อาจเริ่มปิดใจจากคนจริง และถ่ายทอดเรื่องส่วนตัวกับบอตมากเกินไป ✅ AI ไม่สามารถทำหน้าที่แทน “ความสัมพันธ์ที่มั่นคงในชีวิตจริง” ได้   • ไม่มีความรับผิดชอบ, ไม่เข้าใจชีวิตของเด็กจริง ๆ, ไม่รู้บริบทของแต่ละคน ✅ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ: • พ่อแม่ควรถามลูกว่าเคยใช้แชตบอตไหม ใช้อย่างไร เคยเจออะไรแปลกหรือไม่   • ควรเปิดบทสนทนาอย่างนุ่มนวล–ไม่ดุหรือสั่งห้ามทันที   • หากเห็นข้อความน่าสงสัยในแชต คุยกันว่า “บอตตอบแบบนี้เพราะอะไร” • เน้นย้ำว่าชีวิตจริงต้องมีเพื่อนและคนจริงที่พร้อมรับฟัง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/24/opinion-are-ai-chatbots-safe-for-kids
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Opinion: Are AI chatbots safe for kids?
    Artificial intelligence chatbots are now a part of daily life for many families.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฟชั่นทรงผมของจีนโบราณนั้นหลากหลาย โดยเฉพาะที่เพื่อนเพจได้เคยเห็นในละคร/หนังจีนพีเรียดที่ดูอลังการงานสร้างมาก (รูปประกอบจากเรื่อง <หงส์ขังรัก>) ทำให้ Storyฯ คิดสงสัยว่าเป็นไปได้หรือที่ทุกคนจะใช้ผมจริงทั้งหมด จึงเป็นคำถามว่า สมัยโบราณนั้นมีใช้วิกผมหรือผมปลอมหรือไม่?

    หาคำตอบมาแล้ว คือมีแน่นอนจ้า

    ว่ากันว่าการใช้ผมปลอมมีมาแต่ยุคสมัยจ้านกั๋ว (ประมาณ 475-403 ก่อนคริสต์ศักราช) แต่ไม่ใช่ใครๆ จะมีผมปลอมใส่เพราะเป็นของแพง เริ่มแรกจึงมีใช้กันเฉพาะในวัง ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์จิ้น (ค.ศ. 265–420) จึงมีการใช้กันในระดับสามัญชนในแวดวงคนมีอันจะกิน และมาเฟื่องฟูเป็นอย่างมากในยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618–907)

    ผมปลอมที่ใช้กันนี้ก็มีทั้งที่ทำมาจากขนสัตว์ย้อมสีดำ หรือถ้าแพงหน่อยก็จะทำจากผมจากคนจริงๆ โดยมีที่มาจากสามแหล่งหลักคือ ก) นักโทษที่โดนลงทัณฑ์อย่างรุนแรงจะถูกโกนหัว ข) ผู้ที่ปลงผมเพื่อบวช และ ค) คนที่สิ้นไร้ไม้ตอกประกาศตัดผมขายเพื่อเอาเงินมาใช้

    เดิมวิธีใช้ผมปลอมก็คือเอามาทอรวมกับผมจริงตอนเกล้าผม ต่อมาเมื่อแฟชั่นทรงผมสตรีมีลูกเล่นมากขึ้น จึงเริ่มมีวิกผมสำเร็จรูปเกล้าเป็นทรงต่างๆ โดยใช้มวยปลอมสอดไส้ ซึ่งมวยปลอมก็จะทำจากวัสดุอื่นๆ เช่นไม้หรือหมอนผ้า จากนั้นก็ใช้ผมปลอมถักคลุมปกปิดให้ดูเนียน

    แต่เพื่อนเพจทราบหรือไม่ว่า คนที่ใช้ผมปลอมจำนวนไม่น้อยเป็นผู้ชาย!

    กวีชื่อดังสมัยราชวงศ์ถังนามว่าหลี่ไป๋เคยประพันธ์ไว้ถึงตนเองยามท้อแท้ว่า “ยามเมื่อชีวิตคนเราล้มเหลวมิได้ดั่งใจ จะทำอันใดได้นอกจากปล่อยผมรุงรังล่องเรือตามยถากรรม” เห็นได้ว่าการปล่อยผมสยายเป็นการแสดงออกถึงความไม่สำรวม ไม่สุภาพ

    ดังนั้น สุภาพชนชายชาตรีสมัยโบราณต้องเกล้าผมปักปิ่นหรือครอบมงกุฎผมให้เนี๊ยบ ตอนหนุ่มๆ คงไม่เป็นปัญหา แต่เมื่ออายุมากขึ้นและผมน้อยลงตามการเวลา การมีผมไม่พอเกล้าจึงเป็นเรื่องชวนทุกข์ใจนัก เลยต้องพึ่งพาผมปลอมเพื่อภาพลักษณ์ที่ดี

    ต่อมา สมัยราชวงศ์ชิงมีชายจีนไปเรียนต่างประเทศจำนวนไม่น้อย ล้วนแต่ตัดหางเปียออกเพื่อให้เข้ากับธรรมเนียมชาติตะวันตก เมื่อกลับมาจีนแผ่นดินใหญ่จึงต้องหาวิกหางเปียมาสวม บางคนใช้สวมหมวกที่มีหางเปียถักติดไว้เพื่อความสะดวก แบบที่เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยเห็นในหนังเรื่องหวงเฟยหงนั่นเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.jianshu.com/p/a042b95ee3ec
    https://www.163.com/ent/article/DD0TB8JN000380EO.html
    https://y.qichejiashi.com/tupian/1926174.html

    Credit ข้อมูลจาก:
    http://m.qulishi.com/article/201910/367225.html
    http://www.qulishi.com/article/202002/391814.html
    http://xn--fiq4m90j.com/Index/detail/catid/10/artid/04eb9650-68c6-44a2-897a-da8ebf712a5e/userid/bd2f4e82-9f87-452c-9f2d-7b290b6b006d
    https://www.guhanfu.com/60933.html

    #ทรงผมจีนโบราณ #ผมปลอม #วัฒนธรรมจีน
    แฟชั่นทรงผมของจีนโบราณนั้นหลากหลาย โดยเฉพาะที่เพื่อนเพจได้เคยเห็นในละคร/หนังจีนพีเรียดที่ดูอลังการงานสร้างมาก (รูปประกอบจากเรื่อง <หงส์ขังรัก>) ทำให้ Storyฯ คิดสงสัยว่าเป็นไปได้หรือที่ทุกคนจะใช้ผมจริงทั้งหมด จึงเป็นคำถามว่า สมัยโบราณนั้นมีใช้วิกผมหรือผมปลอมหรือไม่? หาคำตอบมาแล้ว คือมีแน่นอนจ้า ว่ากันว่าการใช้ผมปลอมมีมาแต่ยุคสมัยจ้านกั๋ว (ประมาณ 475-403 ก่อนคริสต์ศักราช) แต่ไม่ใช่ใครๆ จะมีผมปลอมใส่เพราะเป็นของแพง เริ่มแรกจึงมีใช้กันเฉพาะในวัง ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์จิ้น (ค.ศ. 265–420) จึงมีการใช้กันในระดับสามัญชนในแวดวงคนมีอันจะกิน และมาเฟื่องฟูเป็นอย่างมากในยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618–907) ผมปลอมที่ใช้กันนี้ก็มีทั้งที่ทำมาจากขนสัตว์ย้อมสีดำ หรือถ้าแพงหน่อยก็จะทำจากผมจากคนจริงๆ โดยมีที่มาจากสามแหล่งหลักคือ ก) นักโทษที่โดนลงทัณฑ์อย่างรุนแรงจะถูกโกนหัว ข) ผู้ที่ปลงผมเพื่อบวช และ ค) คนที่สิ้นไร้ไม้ตอกประกาศตัดผมขายเพื่อเอาเงินมาใช้ เดิมวิธีใช้ผมปลอมก็คือเอามาทอรวมกับผมจริงตอนเกล้าผม ต่อมาเมื่อแฟชั่นทรงผมสตรีมีลูกเล่นมากขึ้น จึงเริ่มมีวิกผมสำเร็จรูปเกล้าเป็นทรงต่างๆ โดยใช้มวยปลอมสอดไส้ ซึ่งมวยปลอมก็จะทำจากวัสดุอื่นๆ เช่นไม้หรือหมอนผ้า จากนั้นก็ใช้ผมปลอมถักคลุมปกปิดให้ดูเนียน แต่เพื่อนเพจทราบหรือไม่ว่า คนที่ใช้ผมปลอมจำนวนไม่น้อยเป็นผู้ชาย! กวีชื่อดังสมัยราชวงศ์ถังนามว่าหลี่ไป๋เคยประพันธ์ไว้ถึงตนเองยามท้อแท้ว่า “ยามเมื่อชีวิตคนเราล้มเหลวมิได้ดั่งใจ จะทำอันใดได้นอกจากปล่อยผมรุงรังล่องเรือตามยถากรรม” เห็นได้ว่าการปล่อยผมสยายเป็นการแสดงออกถึงความไม่สำรวม ไม่สุภาพ ดังนั้น สุภาพชนชายชาตรีสมัยโบราณต้องเกล้าผมปักปิ่นหรือครอบมงกุฎผมให้เนี๊ยบ ตอนหนุ่มๆ คงไม่เป็นปัญหา แต่เมื่ออายุมากขึ้นและผมน้อยลงตามการเวลา การมีผมไม่พอเกล้าจึงเป็นเรื่องชวนทุกข์ใจนัก เลยต้องพึ่งพาผมปลอมเพื่อภาพลักษณ์ที่ดี ต่อมา สมัยราชวงศ์ชิงมีชายจีนไปเรียนต่างประเทศจำนวนไม่น้อย ล้วนแต่ตัดหางเปียออกเพื่อให้เข้ากับธรรมเนียมชาติตะวันตก เมื่อกลับมาจีนแผ่นดินใหญ่จึงต้องหาวิกหางเปียมาสวม บางคนใช้สวมหมวกที่มีหางเปียถักติดไว้เพื่อความสะดวก แบบที่เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยเห็นในหนังเรื่องหวงเฟยหงนั่นเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://www.jianshu.com/p/a042b95ee3ec https://www.163.com/ent/article/DD0TB8JN000380EO.html https://y.qichejiashi.com/tupian/1926174.html Credit ข้อมูลจาก: http://m.qulishi.com/article/201910/367225.html http://www.qulishi.com/article/202002/391814.html http://xn--fiq4m90j.com/Index/detail/catid/10/artid/04eb9650-68c6-44a2-897a-da8ebf712a5e/userid/bd2f4e82-9f87-452c-9f2d-7b290b6b006d https://www.guhanfu.com/60933.html #ทรงผมจีนโบราณ #ผมปลอม #วัฒนธรรมจีน
    WWW.JIANSHU.COM
    电视剧《凤囚凰》观看第一集和第二集之后的说说
    在看《凤囚凰》这部电视剧的之前。我是带着挑剔的眼光去看的。看看于正到底有多么烂。网上吐槽凤囚凰被于正拍槽点很多,好先来看一看有那些被吐槽的点。 第一点,缝纫机头。 网上说的缝...
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • เทคโนโลยี AI กับแนวทางศาสนาพุทธ: จุดบรรจบและความขัดแย้ง

    ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง AI กับหลักปรัชญาและจริยธรรมของพุทธศาสนาจึงเป็นสิ่งจำเป็น รายงานฉบับนี้จะสำรวจจุดที่ AI สามารถเสริมสร้างและสอดคล้องกับพุทธธรรม รวมถึงประเด็นความขัดแย้งเชิงปรัชญาและจริยธรรม เพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนาและใช้ AI อย่างมีสติและเป็นประโยชน์สูงสุด

    หลักการพื้นฐานของพุทธศาสนา: แก่นธรรมเพื่อความเข้าใจ
    พุทธศาสนามุ่งเน้นการพ้นทุกข์ โดยสอนให้เข้าใจธรรมชาติของทุกข์และหนทางดับทุกข์ผ่านหลักอริยสัจสี่ (ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค) หนทางแห่งมรรคประกอบด้วยองค์แปดประการ แก่นธรรมสำคัญอื่นๆ ได้แก่ ไตรลักษณ์ (อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา) การปฏิบัติอยู่บนพื้นฐานของไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา) การพัฒนาปัญญาต้องอาศัยสติ, โยนิโสมนสิการ, และปัญญา กฎแห่งกรรมและปฏิจจสมุปบาทเป็นหลักการสำคัญที่อธิบายความสัมพันธ์เชิงเหตุผล พุทธศาสนาเชื่อว่าโลกนี้เกิดขึ้นเองจากกฎธรรมชาติ 5 ประการ หรือนิยาม 5 พรหมวิหารสี่ (เมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา) เป็นคุณธรรมที่ส่งเสริมความปรารถนาดีต่อสรรพชีวิต เป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน ซึ่งเป็นความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง พระพุทธเจ้าทรงเน้นย้ำถึงทางสายกลาง โดยมอง AI เป็นเพียง "เครื่องมือ" หรือ "แพ" สอดคล้องกับทางสายกลางนี้  

    มิติที่ AI สอดคล้องกับพุทธธรรม: ศักยภาพเพื่อประโยชน์สุข
    AI มีศักยภาพมหาศาลในการเป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมการเผยแผ่ การศึกษา และการปฏิบัติธรรม

    การประยุกต์ใช้ AI เพื่อการเผยแผ่พระธรรม
    AI มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่คำสอนทางพุทธศาสนาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น "พระสงฆ์ AI" หรือ "พระโพธิสัตว์ AI" อย่าง Mindar ในญี่ปุ่น และ "เสียนเอ๋อร์" ในจีน การใช้ AI ในการแปลงพระไตรปิฎกเป็นดิจิทัลและการแปลพระคัมภีร์ด้วยเครื่องมืออย่าง DeepL ช่วยเพิ่มความเร็วและความแม่นยำ ทำให้เนื้อหาเข้าถึงได้ง่ายขึ้นทั่วโลก AI ช่วยให้การเผยแผ่ธรรม "สะดวก มีประสิทธิภาพ และน่าดึงดูดมากขึ้น รวมถึงขยายขอบเขตการเข้าถึงให้เกินกว่าข้อจำกัดทางพื้นที่และเวลาแบบดั้งเดิม" ซึ่งสอดคล้องกับหลัก กรุณา  

    สื่อใหม่และประสบการณ์เสมือนจริง: การสร้างสรรค์รูปแบบการเรียนรู้และปฏิบัติ
    การนำเทคโนโลยีสื่อใหม่ เช่น จอ AI, VR และ AR มาใช้ในการสร้างประสบการณ์พุทธศาสนาเสมือนจริง เช่น "Journey to the Land of Buddha" ของวัดฝอกวงซัน ช่วยดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ เทคโนโลยี VR ช่วยอำนวยความสะดวกในการสร้าง "ความเห็นอกเห็นใจ" การพัฒนาแพลตฟอร์มการบูชาออนไลน์และพิธีกรรมทางไซเบอร์ เช่น "Light Up Lamps Online" และเกม "Fo Guang GO" ช่วยให้ผู้ศรัทธาสามารถปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาและเยี่ยมชมวัดเสมือนจริงได้จากทุกที่ การใช้ VR/AR เพื่อ "ประสบการณ์ที่ดื่มด่ำ" และ "Sati-AI" สำหรับการทำสมาธิเจริญสติ สามารถสร้างสภาพแวดล้อมจำลองที่เอื้อต่อการทำสมาธิและสติได้  

    AI ในฐานะเครื่องมือเพื่อการปฏิบัติและพัฒนาตน
    แอปพลิเคชัน AI เช่น NORBU, Buddha Teachings, Buddha Wisdom App ทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมทางที่มีคุณค่าในการศึกษาและปฏิบัติธรรม โดยให้การเข้าถึงคลังข้อความพุทธศาสนาขนาดใหญ่, บทเรียนส่วนบุคคล, คำแนะนำในการทำสมาธิ, และการติดตามความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ แชทบอทเหล่านี้มีความสามารถในการตอบคำถามและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในชีวิตจริง AI สามารถทำให้การเข้าถึงข้อมูลและคำแนะนำเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ช่วยให้บุคคลสามารถศึกษาและปฏิบัติด้วยตนเองได้อย่างมีพลังมากขึ้น สิ่งนี้สอดคล้องกับหลักธรรมของพุทธศาสนาเรื่อง อัตตา หิ อัตตโน นาโถ (ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน)  

    การวิจัยและเข้าถึงข้อมูลพระธรรม: การเสริมสร้างความเข้าใจเชิงลึก
    AI ช่วยให้นักวิจัยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่, ค้นหารูปแบบ, และสร้างแบบจำลองเพื่อทำความเข้าใจพระคัมภีร์และหลักธรรมได้เร็วขึ้นและดีขึ้น สามารถใช้ AI ในการค้นหาอ้างอิง, เปรียบเทียบข้อความข้ามภาษา, และให้บริบท ด้วยการทำให้งานวิจัยเป็นไปโดยอัตโนมัติ AI ช่วยให้นักวิชาการและผู้ปฏิบัติสามารถใช้เวลามากขึ้นในการทำโยนิโสมนสิการ  

    หลักจริยธรรมพุทธกับการพัฒนา AI
    ข้อกังวลทางจริยธรรมที่กว้างที่สุดคือ AI ควรสอดคล้องกับหลักอหิงสา (ไม่เบียดเบียน) ของพุทธศาสนา นักวิชาการ Somparn Promta และ Kenneth Einar Himma แย้งว่าการพัฒนา AI สามารถถือเป็นสิ่งที่ดีในเชิงเครื่องมือเท่านั้น พวกเขาเสนอว่าเป้าหมายที่สำคัญกว่าคือการก้าวข้ามความปรารถนาและสัญชาตญาณที่ขับเคลื่อนด้วยการเอาชีวิตรอด การกล่าวถึง "อหิงสา" และ "การลดความทุกข์" เสนอหลักการเหล่านี้เป็นพารามิเตอร์การออกแบบภายในสำหรับ AI  

    นักคิด Thomas Doctor และคณะ เสนอให้นำ "ปณิธานพระโพธิสัตว์" ซึ่งเป็นการให้คำมั่นที่จะบรรเทาความทุกข์ของสรรพสัตว์ มาเป็นหลักการชี้นำในการออกแบบระบบ AI แนวคิด "ปัญญาแห่งการดูแล" (intelligence as care) ได้รับแรงบันดาลใจจากปณิธานพระโพธิสัตว์ โดยวางตำแหน่ง AI ให้เป็นเครื่องมือในการแสดงความห่วงใยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  

    พุทธศาสนาเน้นย้ำว่าสรรพสิ่งล้วน "เกิดขึ้นพร้อมอาศัยกัน" (ปฏิจจสมุปบาท) และ "ไม่มีตัวตน" (อนัตตา) ซึ่งนำไปสู่การยืนยันถึง "ความสำคัญอันดับแรกของความสัมพันธ์" แนวคิด "กรรม" อธิบายถึงการทำงานร่วมกันของเหตุและผลหลายทิศทาง การนำสิ่งนี้มาประยุกต์ใช้กับ AI หมายถึงการตระหนักว่าระบบ AI เป็น "ศูนย์รวมของการเปลี่ยนแปลงเชิงสัมพันธ์ภายในเครือข่ายของการกระทำที่มีนัยสำคัญทางศีลธรรม" การ "วิวัฒน์ร่วม" ของมนุษย์และ AI บ่งชี้ว่าเส้นทางการพัฒนาของ AI นั้นเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับของมนุษยชาติ ดังนั้น "ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการจัดเรียงคุณค่า" จึงไม่ใช่แค่ปัญหาทางเทคนิค แต่เป็นภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเชิงกรรม

    มิติที่ AI ขัดแย้งกับพุทธธรรม: ความท้าทายเชิงปรัชญาและจริยธรรม
    แม้ AI จะมีประโยชน์มหาศาล แต่ก็มีประเด็นความขัดแย้งเชิงปรัชญาและจริยธรรมที่สำคัญกับพุทธธรรม

    ปัญหาเรื่องจิตสำนึกและอัตตา
    คำถามสำคัญคือระบบ AI สามารถถือเป็นสิ่งมีชีวิต (sentient being) ตามคำจำกัดความของพุทธศาสนาได้หรือไม่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องจิตสำนึก (consciousness) และการเกิดใหม่ (rebirth) "คุณภาพของควาเลีย" (qualia quality) หรือความสามารถในการรับรู้และรู้สึกนั้นยังระบุได้ยากใน AI การทดลองทางความคิด "ห้องจีน" แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในการพิจารณาว่าปัญญาที่ไม่ใช่ชีวภาพสามารถมีจิตสำนึกได้หรือไม่ หาก AI ไม่สามารถประสบกับความทุกข์หรือบ่มเพาะปัญญาได้ ก็ไม่สามารถเดินตามหนทางสู่การตรัสรู้ได้อย่างแท้จริง  

    เจตจำนงเสรีและกฎแห่งกรรม
    ความตั้งใจ (volition) ใน AI ซึ่งมักแสดงออกในรูปแบบของคำสั่ง "ถ้า...แล้ว..." นั้น แทบจะไม่มีลักษณะของเจตจำนงเสรีหรือแม้แต่ทางเลือกที่จำกัด ตามหลักคำสอนของพุทธศาสนา ทางเลือกที่จำกัดเป็นสิ่งจำเป็นขั้นต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (deterministic behavior) ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธ หาก AI ขาดทางเลือกที่แท้จริง ก็ไม่สามารถสร้างกรรมได้ในลักษณะเดียวกับสิ่งมีชีวิต  

    ความยึดมั่นถือมั่นและมายา
    แนวคิดของการรวมร่างกับ AI เพื่อประโยชน์ที่รับรู้ได้ เช่น การมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น มีความน่าดึงดูดใจ อย่างไรก็ตาม มีข้อโต้แย้งว่าการรวมร่างดังกล่าวอาจเป็น "กับดัก" หรือ "นรก" เนื่องจากความยึดมั่นถือมั่นและการขาดความสงบ กิเลสของมนุษย์ (ความโลภ ความโกรธ ความหลง) และกลไกตลาดก็ยังคงสามารถนำไปสู่ความทุกข์ได้แม้ในสภาวะ AI ขั้นสูง การแสวงหา "การอัปเกรด" ที่ขับเคลื่อนด้วยตัณหา สามารถทำให้วัฏจักรแห่งความทุกข์ดำเนินต่อไปได้  

    ความเสี่ยงด้านจริยธรรมและการบิดเบือนพระธรรม
    มีความเสี่ยงที่ AI จะสร้างข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดและ "ความเหลวไหลที่สอดคล้องกัน" ดังที่เห็นได้จากกรณีของ Suzuki Roshi Bot AI ขาด "บริบทระดับที่สอง" และความสามารถในการยืนยันข้อเท็จจริง ทำให้มันเป็นเพียง "นกแก้วที่ฉลาดมาก" ความสามารถของ AI ในการสร้าง "ความเหลวไหลที่สอดคล้องกัน" ก่อให้เกิดความท้าทายต่อสัมมาทิฏฐิและสัมมาวาจา  

    นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพที่ "Strong AI" จะก่อให้เกิดวิกฤตทางจริยธรรมและนำไปสู่ "ลัทธิวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" "เทคโนโลยี-ธรรมชาติ" (techno-naturalism) ลดทอนปัญญามนุษย์ให้เหลือเพียงกระแสข้อมูล ซึ่งขัดแย้งกับพุทธศาสนาแบบมนุษยนิยมที่เน้นความเป็นมนุษย์และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกายและจิต สิ่งนี้สร้างความขัดแย้งกับประเพณีการปฏิบัติที่เน้น "ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกายและจิต"  

    สุดท้ายนี้ มีอันตรายที่การนำ AI มาใช้ในการปฏิบัติพุทธศาสนาอาจเปลี่ยนจุดเน้นจากการบ่มเพาะทางจิตวิญญาณที่แท้จริงไปสู่ผลประโยชน์นิยมหรือการมีส่วนร่วมที่ผิวเผิน

    จากข้อพิจารณาทั้งหมดนี้ การเดินทางบน "ทางสายกลาง" จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการเผชิญหน้ากับยุค AI สำหรับพุทธศาสนา การดำเนินการนี้ต้องอาศัย:  

    1️⃣ การพัฒนา AI ที่มีรากฐานทางจริยธรรม: AI ควรถูกออกแบบและพัฒนาโดยยึดมั่นในหลักการอหิงสา และการลดความทุกข์ ควรนำ "ปณิธานพระโพธิสัตว์" และแนวคิด "ปัญญาแห่งการดูแล" มาเป็นพิมพ์เขียว  

    2️⃣ การตระหนักถึง "ความเป็นเครื่องมือ" ของ AI: พุทธศาสนาควรมอง AI เป็นเพียง "แพ" หรือ "เครื่องมือ" ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่การหลุดพ้น ไม่ใช่จุดหมายปลายทางในตัวเอง  

    3️⃣ การบ่มเพาะปัญญามนุษย์และสติ: แม้ AI จะมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลมหาศาล แต่ไม่สามารถทดแทนปัญญาที่แท้จริง จิตสำนึก หรือเจตจำนงเสรีของมนุษย์ได้ การปฏิบัติธรรม การเจริญสติ และการใช้โยนิโสมนสิการยังคงเป็นสิ่งจำเป็น  

    4️⃣ การส่งเสริม "ค่านิยมร่วมที่แข็งแกร่ง": การแก้ไข "ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการจัดเรียงคุณค่า" ของ AI จำเป็นต้องมีการบ่มเพาะค่านิยมร่วมที่แข็งแกร่งในหมู่มนุษยชาติ ซึ่งมีรากฐานมาจากความเมตตาและปัญญา  

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    เทคโนโลยี AI กับแนวทางศาสนาพุทธ: จุดบรรจบและความขัดแย้ง ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง AI กับหลักปรัชญาและจริยธรรมของพุทธศาสนาจึงเป็นสิ่งจำเป็น รายงานฉบับนี้จะสำรวจจุดที่ AI สามารถเสริมสร้างและสอดคล้องกับพุทธธรรม รวมถึงประเด็นความขัดแย้งเชิงปรัชญาและจริยธรรม เพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนาและใช้ AI อย่างมีสติและเป็นประโยชน์สูงสุด ☸️☸️ หลักการพื้นฐานของพุทธศาสนา: แก่นธรรมเพื่อความเข้าใจ พุทธศาสนามุ่งเน้นการพ้นทุกข์ โดยสอนให้เข้าใจธรรมชาติของทุกข์และหนทางดับทุกข์ผ่านหลักอริยสัจสี่ (ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค) หนทางแห่งมรรคประกอบด้วยองค์แปดประการ แก่นธรรมสำคัญอื่นๆ ได้แก่ ไตรลักษณ์ (อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา) การปฏิบัติอยู่บนพื้นฐานของไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา) การพัฒนาปัญญาต้องอาศัยสติ, โยนิโสมนสิการ, และปัญญา กฎแห่งกรรมและปฏิจจสมุปบาทเป็นหลักการสำคัญที่อธิบายความสัมพันธ์เชิงเหตุผล พุทธศาสนาเชื่อว่าโลกนี้เกิดขึ้นเองจากกฎธรรมชาติ 5 ประการ หรือนิยาม 5 พรหมวิหารสี่ (เมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา) เป็นคุณธรรมที่ส่งเสริมความปรารถนาดีต่อสรรพชีวิต เป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน ซึ่งเป็นความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง พระพุทธเจ้าทรงเน้นย้ำถึงทางสายกลาง โดยมอง AI เป็นเพียง "เครื่องมือ" หรือ "แพ" สอดคล้องกับทางสายกลางนี้   🤖 มิติที่ AI สอดคล้องกับพุทธธรรม: ศักยภาพเพื่อประโยชน์สุข AI มีศักยภาพมหาศาลในการเป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมการเผยแผ่ การศึกษา และการปฏิบัติธรรม การประยุกต์ใช้ AI เพื่อการเผยแผ่พระธรรม AI มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่คำสอนทางพุทธศาสนาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น "พระสงฆ์ AI" หรือ "พระโพธิสัตว์ AI" อย่าง Mindar ในญี่ปุ่น และ "เสียนเอ๋อร์" ในจีน การใช้ AI ในการแปลงพระไตรปิฎกเป็นดิจิทัลและการแปลพระคัมภีร์ด้วยเครื่องมืออย่าง DeepL ช่วยเพิ่มความเร็วและความแม่นยำ ทำให้เนื้อหาเข้าถึงได้ง่ายขึ้นทั่วโลก AI ช่วยให้การเผยแผ่ธรรม "สะดวก มีประสิทธิภาพ และน่าดึงดูดมากขึ้น รวมถึงขยายขอบเขตการเข้าถึงให้เกินกว่าข้อจำกัดทางพื้นที่และเวลาแบบดั้งเดิม" ซึ่งสอดคล้องกับหลัก กรุณา   👓 สื่อใหม่และประสบการณ์เสมือนจริง: การสร้างสรรค์รูปแบบการเรียนรู้และปฏิบัติ การนำเทคโนโลยีสื่อใหม่ เช่น จอ AI, VR และ AR มาใช้ในการสร้างประสบการณ์พุทธศาสนาเสมือนจริง เช่น "Journey to the Land of Buddha" ของวัดฝอกวงซัน ช่วยดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ เทคโนโลยี VR ช่วยอำนวยความสะดวกในการสร้าง "ความเห็นอกเห็นใจ" การพัฒนาแพลตฟอร์มการบูชาออนไลน์และพิธีกรรมทางไซเบอร์ เช่น "Light Up Lamps Online" และเกม "Fo Guang GO" ช่วยให้ผู้ศรัทธาสามารถปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาและเยี่ยมชมวัดเสมือนจริงได้จากทุกที่ การใช้ VR/AR เพื่อ "ประสบการณ์ที่ดื่มด่ำ" และ "Sati-AI" สำหรับการทำสมาธิเจริญสติ สามารถสร้างสภาพแวดล้อมจำลองที่เอื้อต่อการทำสมาธิและสติได้   🙆‍♂️ AI ในฐานะเครื่องมือเพื่อการปฏิบัติและพัฒนาตน แอปพลิเคชัน AI เช่น NORBU, Buddha Teachings, Buddha Wisdom App ทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมทางที่มีคุณค่าในการศึกษาและปฏิบัติธรรม โดยให้การเข้าถึงคลังข้อความพุทธศาสนาขนาดใหญ่, บทเรียนส่วนบุคคล, คำแนะนำในการทำสมาธิ, และการติดตามความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ แชทบอทเหล่านี้มีความสามารถในการตอบคำถามและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในชีวิตจริง AI สามารถทำให้การเข้าถึงข้อมูลและคำแนะนำเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ช่วยให้บุคคลสามารถศึกษาและปฏิบัติด้วยตนเองได้อย่างมีพลังมากขึ้น สิ่งนี้สอดคล้องกับหลักธรรมของพุทธศาสนาเรื่อง อัตตา หิ อัตตโน นาโถ (ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน)   🧪 การวิจัยและเข้าถึงข้อมูลพระธรรม: การเสริมสร้างความเข้าใจเชิงลึก AI ช่วยให้นักวิจัยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่, ค้นหารูปแบบ, และสร้างแบบจำลองเพื่อทำความเข้าใจพระคัมภีร์และหลักธรรมได้เร็วขึ้นและดีขึ้น สามารถใช้ AI ในการค้นหาอ้างอิง, เปรียบเทียบข้อความข้ามภาษา, และให้บริบท ด้วยการทำให้งานวิจัยเป็นไปโดยอัตโนมัติ AI ช่วยให้นักวิชาการและผู้ปฏิบัติสามารถใช้เวลามากขึ้นในการทำโยนิโสมนสิการ   ☸️ หลักจริยธรรมพุทธกับการพัฒนา AI ข้อกังวลทางจริยธรรมที่กว้างที่สุดคือ AI ควรสอดคล้องกับหลักอหิงสา (ไม่เบียดเบียน) ของพุทธศาสนา นักวิชาการ Somparn Promta และ Kenneth Einar Himma แย้งว่าการพัฒนา AI สามารถถือเป็นสิ่งที่ดีในเชิงเครื่องมือเท่านั้น พวกเขาเสนอว่าเป้าหมายที่สำคัญกว่าคือการก้าวข้ามความปรารถนาและสัญชาตญาณที่ขับเคลื่อนด้วยการเอาชีวิตรอด การกล่าวถึง "อหิงสา" และ "การลดความทุกข์" เสนอหลักการเหล่านี้เป็นพารามิเตอร์การออกแบบภายในสำหรับ AI   นักคิด Thomas Doctor และคณะ เสนอให้นำ "ปณิธานพระโพธิสัตว์" ซึ่งเป็นการให้คำมั่นที่จะบรรเทาความทุกข์ของสรรพสัตว์ มาเป็นหลักการชี้นำในการออกแบบระบบ AI แนวคิด "ปัญญาแห่งการดูแล" (intelligence as care) ได้รับแรงบันดาลใจจากปณิธานพระโพธิสัตว์ โดยวางตำแหน่ง AI ให้เป็นเครื่องมือในการแสดงความห่วงใยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด   พุทธศาสนาเน้นย้ำว่าสรรพสิ่งล้วน "เกิดขึ้นพร้อมอาศัยกัน" (ปฏิจจสมุปบาท) และ "ไม่มีตัวตน" (อนัตตา) ซึ่งนำไปสู่การยืนยันถึง "ความสำคัญอันดับแรกของความสัมพันธ์" แนวคิด "กรรม" อธิบายถึงการทำงานร่วมกันของเหตุและผลหลายทิศทาง การนำสิ่งนี้มาประยุกต์ใช้กับ AI หมายถึงการตระหนักว่าระบบ AI เป็น "ศูนย์รวมของการเปลี่ยนแปลงเชิงสัมพันธ์ภายในเครือข่ายของการกระทำที่มีนัยสำคัญทางศีลธรรม" การ "วิวัฒน์ร่วม" ของมนุษย์และ AI บ่งชี้ว่าเส้นทางการพัฒนาของ AI นั้นเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับของมนุษยชาติ ดังนั้น "ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการจัดเรียงคุณค่า" จึงไม่ใช่แค่ปัญหาทางเทคนิค แต่เป็นภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเชิงกรรม ‼️ มิติที่ AI ขัดแย้งกับพุทธธรรม: ความท้าทายเชิงปรัชญาและจริยธรรม แม้ AI จะมีประโยชน์มหาศาล แต่ก็มีประเด็นความขัดแย้งเชิงปรัชญาและจริยธรรมที่สำคัญกับพุทธธรรม 👿 ปัญหาเรื่องจิตสำนึกและอัตตา คำถามสำคัญคือระบบ AI สามารถถือเป็นสิ่งมีชีวิต (sentient being) ตามคำจำกัดความของพุทธศาสนาได้หรือไม่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องจิตสำนึก (consciousness) และการเกิดใหม่ (rebirth) "คุณภาพของควาเลีย" (qualia quality) หรือความสามารถในการรับรู้และรู้สึกนั้นยังระบุได้ยากใน AI การทดลองทางความคิด "ห้องจีน" แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในการพิจารณาว่าปัญญาที่ไม่ใช่ชีวภาพสามารถมีจิตสำนึกได้หรือไม่ หาก AI ไม่สามารถประสบกับความทุกข์หรือบ่มเพาะปัญญาได้ ก็ไม่สามารถเดินตามหนทางสู่การตรัสรู้ได้อย่างแท้จริง   🛣️ เจตจำนงเสรีและกฎแห่งกรรม ความตั้งใจ (volition) ใน AI ซึ่งมักแสดงออกในรูปแบบของคำสั่ง "ถ้า...แล้ว..." นั้น แทบจะไม่มีลักษณะของเจตจำนงเสรีหรือแม้แต่ทางเลือกที่จำกัด ตามหลักคำสอนของพุทธศาสนา ทางเลือกที่จำกัดเป็นสิ่งจำเป็นขั้นต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (deterministic behavior) ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธ หาก AI ขาดทางเลือกที่แท้จริง ก็ไม่สามารถสร้างกรรมได้ในลักษณะเดียวกับสิ่งมีชีวิต   🍷 ความยึดมั่นถือมั่นและมายา แนวคิดของการรวมร่างกับ AI เพื่อประโยชน์ที่รับรู้ได้ เช่น การมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น มีความน่าดึงดูดใจ อย่างไรก็ตาม มีข้อโต้แย้งว่าการรวมร่างดังกล่าวอาจเป็น "กับดัก" หรือ "นรก" เนื่องจากความยึดมั่นถือมั่นและการขาดความสงบ กิเลสของมนุษย์ (ความโลภ ความโกรธ ความหลง) และกลไกตลาดก็ยังคงสามารถนำไปสู่ความทุกข์ได้แม้ในสภาวะ AI ขั้นสูง การแสวงหา "การอัปเกรด" ที่ขับเคลื่อนด้วยตัณหา สามารถทำให้วัฏจักรแห่งความทุกข์ดำเนินต่อไปได้   🤥 ความเสี่ยงด้านจริยธรรมและการบิดเบือนพระธรรม มีความเสี่ยงที่ AI จะสร้างข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดและ "ความเหลวไหลที่สอดคล้องกัน" ดังที่เห็นได้จากกรณีของ Suzuki Roshi Bot AI ขาด "บริบทระดับที่สอง" และความสามารถในการยืนยันข้อเท็จจริง ทำให้มันเป็นเพียง "นกแก้วที่ฉลาดมาก" ความสามารถของ AI ในการสร้าง "ความเหลวไหลที่สอดคล้องกัน" ก่อให้เกิดความท้าทายต่อสัมมาทิฏฐิและสัมมาวาจา   นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพที่ "Strong AI" จะก่อให้เกิดวิกฤตทางจริยธรรมและนำไปสู่ "ลัทธิวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" "เทคโนโลยี-ธรรมชาติ" (techno-naturalism) ลดทอนปัญญามนุษย์ให้เหลือเพียงกระแสข้อมูล ซึ่งขัดแย้งกับพุทธศาสนาแบบมนุษยนิยมที่เน้นความเป็นมนุษย์และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกายและจิต สิ่งนี้สร้างความขัดแย้งกับประเพณีการปฏิบัติที่เน้น "ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกายและจิต"   สุดท้ายนี้ มีอันตรายที่การนำ AI มาใช้ในการปฏิบัติพุทธศาสนาอาจเปลี่ยนจุดเน้นจากการบ่มเพาะทางจิตวิญญาณที่แท้จริงไปสู่ผลประโยชน์นิยมหรือการมีส่วนร่วมที่ผิวเผิน จากข้อพิจารณาทั้งหมดนี้ การเดินทางบน "ทางสายกลาง" จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการเผชิญหน้ากับยุค AI สำหรับพุทธศาสนา การดำเนินการนี้ต้องอาศัย:   1️⃣ การพัฒนา AI ที่มีรากฐานทางจริยธรรม: AI ควรถูกออกแบบและพัฒนาโดยยึดมั่นในหลักการอหิงสา และการลดความทุกข์ ควรนำ "ปณิธานพระโพธิสัตว์" และแนวคิด "ปัญญาแห่งการดูแล" มาเป็นพิมพ์เขียว   2️⃣ การตระหนักถึง "ความเป็นเครื่องมือ" ของ AI: พุทธศาสนาควรมอง AI เป็นเพียง "แพ" หรือ "เครื่องมือ" ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่การหลุดพ้น ไม่ใช่จุดหมายปลายทางในตัวเอง   3️⃣ การบ่มเพาะปัญญามนุษย์และสติ: แม้ AI จะมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลมหาศาล แต่ไม่สามารถทดแทนปัญญาที่แท้จริง จิตสำนึก หรือเจตจำนงเสรีของมนุษย์ได้ การปฏิบัติธรรม การเจริญสติ และการใช้โยนิโสมนสิการยังคงเป็นสิ่งจำเป็น   4️⃣ การส่งเสริม "ค่านิยมร่วมที่แข็งแกร่ง": การแก้ไข "ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการจัดเรียงคุณค่า" ของ AI จำเป็นต้องมีการบ่มเพาะค่านิยมร่วมที่แข็งแกร่งในหมู่มนุษยชาติ ซึ่งมีรากฐานมาจากความเมตตาและปัญญา   #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 357 มุมมอง 0 รีวิว
  • พร้อมแจงศาลคลิปคุยลุง ไม่ได้ทำไทยเสียหาย : [THE MESSAGE]
    น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เผยถึงการปรับ ครม. ไม่มีปัญหาใกล้เสร็จแล้ว ยืนยันพรรคร่วมรัฐบาลยังเป็นปึกแผ่น
    ส่วนกรณีศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคำร้องและอาจสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ จากกรณีคลิปเสียงการสนทนากับ นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้ประเมินในเรื่องนี้ พร้อมชี้แจง ผู้นำแต่ละประเทศก็ใช้เจรจากันอยู่แล้ว ในคลิปเสียงไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสียอะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะอธิบายอย่างไรกับประชาชนที่ยังไม่เข้าใจและเรียกร้องให้ลาออก นายกไม่ได้ตอบคำถาม และเดินออกจากโพเดียมแถลงข่าวทันที
    พร้อมแจงศาลคลิปคุยลุง ไม่ได้ทำไทยเสียหาย : [THE MESSAGE] น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เผยถึงการปรับ ครม. ไม่มีปัญหาใกล้เสร็จแล้ว ยืนยันพรรคร่วมรัฐบาลยังเป็นปึกแผ่น ส่วนกรณีศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคำร้องและอาจสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ จากกรณีคลิปเสียงการสนทนากับ นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้ประเมินในเรื่องนี้ พร้อมชี้แจง ผู้นำแต่ละประเทศก็ใช้เจรจากันอยู่แล้ว ในคลิปเสียงไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสียอะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะอธิบายอย่างไรกับประชาชนที่ยังไม่เข้าใจและเรียกร้องให้ลาออก นายกไม่ได้ตอบคำถาม และเดินออกจากโพเดียมแถลงข่าวทันที
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 468 มุมมอง 14 0 รีวิว
Pages Boosts