• รัฐบาลทรัมป์เพิ่งประกาศว่า USAID จะถูกยุบอย่างเป็นทางการ และจะแจ้งต่อพนักงาน USAID ที่เหลือทั้งหมดในปัจจุบันว่าพวกเขาจะถูกปลดออก!!

    การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากศาลมีคำสั่งเปิดทางให้ Elon Musk และ DOGE ดำเนินงานใน USAID ต่อไปได้อย่างเป็นทางการ

    ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า จะปิดสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID)

    “ความช่วยเหลือจากต่างประเทศที่ดำเนินการอย่างถูกต้องสามารถส่งเสริมผลประโยชน์ของชาติ ปกป้องพรมแดนของเรา และเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรที่สำคัญได้ น่าเสียดายที่ USAID ละทิ้งภารกิจเดิมไปนานแล้ว ส่งผลให้ได้รับผลประโยชน์น้อยเกินไปและต้นทุนสูงเกินไป”
    มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐกล่าวในแถลงการณ์


    รัฐบาลทรัมป์เพิ่งประกาศว่า USAID จะถูกยุบอย่างเป็นทางการ และจะแจ้งต่อพนักงาน USAID ที่เหลือทั้งหมดในปัจจุบันว่าพวกเขาจะถูกปลดออก!! การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากศาลมีคำสั่งเปิดทางให้ Elon Musk และ DOGE ดำเนินงานใน USAID ต่อไปได้อย่างเป็นทางการ ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า จะปิดสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) “ความช่วยเหลือจากต่างประเทศที่ดำเนินการอย่างถูกต้องสามารถส่งเสริมผลประโยชน์ของชาติ ปกป้องพรมแดนของเรา และเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรที่สำคัญได้ น่าเสียดายที่ USAID ละทิ้งภารกิจเดิมไปนานแล้ว ส่งผลให้ได้รับผลประโยชน์น้อยเกินไปและต้นทุนสูงเกินไป” มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐกล่าวในแถลงการณ์
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • จบข่าว!
    รัสเซียประกาศชัดเจน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซีย (Zaporizhzhia Nuclear Power Plant - ZNPP) เป็นส่วนหนึ่งของมอสโก เป็นไปไม่ได้ที่จะอนุญาตให้ยูเครนหรือชาติอื่นๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการควบคุมโรงไฟฟ้าแห่งนี้

    กระทรวงต่างประเทศรัสเซียประกาศว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซีย ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคซาปอริซเซีย และเป็น 1 ใน 4 ภูมิภาคใหม่ที่ถูกผนวกเป็นดินแดนรัสเซีย ย่อมต้องเป็นของรัสเซียเท่านั้น การที่ชาติอื่นจะเข้ามาบริหารจัดการร่วมเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

    นอกจากนี้ ประธานาธิบดีปูติน ยังได้ออกกฎหมายเพื่อประกาศให้โรงไฟฟ้าแห่งนี้เป็นทรัพย์สินของรัสเซียไปนานแล้ว แม้ว่าชาติตะวันตกในตอนนั้นจะไม่ยอมรับ นั่นไม่ใช่ปัญหาของรัสเซีย

    “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของภาคอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ของรัสเซียมาระยะหนึ่งแล้ว”
    “ดังนั้น การส่งมอบโรงไฟฟ้าซาปอริซเซียไปสู่การควบคุมของยูเครน หรือประเทศอื่นๆ จึงเป็นไปไม่ได้” กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียระบุ

    โรงไฟฟ้าซาปอริซเซียถือเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่สุดของยุโรปด้วยจำนวนเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทั้งหมด 6 เตาปฏิกรณ์ ถึงแม้ว่าในขณะนี้จะไม่ได้ถูกใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ก็ได้ส่งผู้สังเกตการณ์เข้าไปประจำที่โรงไฟฟ้าแห่งนี้ เช่นเดียวกับที่ทำกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งอื่นๆ ในยูเครน

    ที่ผ่านมา ยูเครนพยายามเรียกร้องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้ให้กลับคืนสู่ยูเครนมาตั้งแต่ปี 2022 หลังถูกรัสเซียเข้าควบคุม

    ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯพยายามเจรจากับรัสเซียเพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้ ขณะที่เซเลนสกี ย้ำว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ “เป็นของชาวยูเครน” และเห็นด้วยที่สหรัฐจะเข้ามามีส่วนร่วมดำเนินงาน
    จบข่าว! รัสเซียประกาศชัดเจน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซีย (Zaporizhzhia Nuclear Power Plant - ZNPP) เป็นส่วนหนึ่งของมอสโก เป็นไปไม่ได้ที่จะอนุญาตให้ยูเครนหรือชาติอื่นๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการควบคุมโรงไฟฟ้าแห่งนี้ กระทรวงต่างประเทศรัสเซียประกาศว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซีย ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคซาปอริซเซีย และเป็น 1 ใน 4 ภูมิภาคใหม่ที่ถูกผนวกเป็นดินแดนรัสเซีย ย่อมต้องเป็นของรัสเซียเท่านั้น การที่ชาติอื่นจะเข้ามาบริหารจัดการร่วมเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีปูติน ยังได้ออกกฎหมายเพื่อประกาศให้โรงไฟฟ้าแห่งนี้เป็นทรัพย์สินของรัสเซียไปนานแล้ว แม้ว่าชาติตะวันตกในตอนนั้นจะไม่ยอมรับ นั่นไม่ใช่ปัญหาของรัสเซีย “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของภาคอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ของรัสเซียมาระยะหนึ่งแล้ว” “ดังนั้น การส่งมอบโรงไฟฟ้าซาปอริซเซียไปสู่การควบคุมของยูเครน หรือประเทศอื่นๆ จึงเป็นไปไม่ได้” กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียระบุ โรงไฟฟ้าซาปอริซเซียถือเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่สุดของยุโรปด้วยจำนวนเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทั้งหมด 6 เตาปฏิกรณ์ ถึงแม้ว่าในขณะนี้จะไม่ได้ถูกใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ก็ได้ส่งผู้สังเกตการณ์เข้าไปประจำที่โรงไฟฟ้าแห่งนี้ เช่นเดียวกับที่ทำกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งอื่นๆ ในยูเครน ที่ผ่านมา ยูเครนพยายามเรียกร้องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้ให้กลับคืนสู่ยูเครนมาตั้งแต่ปี 2022 หลังถูกรัสเซียเข้าควบคุม ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯพยายามเจรจากับรัสเซียเพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้ ขณะที่เซเลนสกี ย้ำว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ “เป็นของชาวยูเครน” และเห็นด้วยที่สหรัฐจะเข้ามามีส่วนร่วมดำเนินงาน
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 182 Views 0 Reviews
  • สหรัฐยื่นเงื่อนไขต่อซีเรียสำหรับการยกเลิกการคว่ำบาตรบางส่วน
    — รอยเตอร์

    การติดต่อโดยตรงครั้งแรกระหว่างตัวแทนของรัฐบาลชุดใหม่ของทั้งสองเกิดขึ้นที่กรุงบรัสเซลส์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้เข้าพบกับรัฐมนตรีต่างประเทศซีเรียเพื่อยื่นเงื่นไขจากวอชิงตันในการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรบางส่วน

    เงื่อนไขบางส่วนประกอบด้วย :
    ซีเรียต้องทำลายคลังอาวุธเคมีที่เหลืออยู่ทั้งหมด
    ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่โดยไม่บิดพลิ้วในการต่อต้านทำลายกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ
    จะต้องขับไล่นักรบฮิซบอลเลาะห์ รวมทั้งนักรบต่างชาติทั้งหมดออกจากซีเรีย
    รวมถึงความช่วยเหลือในการค้นหาออสติน ไทซ์ นักข่าวชาวอเมริกันที่หายตัวไป
    สหรัฐยื่นเงื่อนไขต่อซีเรียสำหรับการยกเลิกการคว่ำบาตรบางส่วน — รอยเตอร์ การติดต่อโดยตรงครั้งแรกระหว่างตัวแทนของรัฐบาลชุดใหม่ของทั้งสองเกิดขึ้นที่กรุงบรัสเซลส์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้เข้าพบกับรัฐมนตรีต่างประเทศซีเรียเพื่อยื่นเงื่นไขจากวอชิงตันในการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรบางส่วน เงื่อนไขบางส่วนประกอบด้วย : ซีเรียต้องทำลายคลังอาวุธเคมีที่เหลืออยู่ทั้งหมด ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่โดยไม่บิดพลิ้วในการต่อต้านทำลายกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ จะต้องขับไล่นักรบฮิซบอลเลาะห์ รวมทั้งนักรบต่างชาติทั้งหมดออกจากซีเรีย รวมถึงความช่วยเหลือในการค้นหาออสติน ไทซ์ นักข่าวชาวอเมริกันที่หายตัวไป
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 165 Views 0 Reviews
  • จีนไม่ยอมเสียท่าเรือคลองปานามา 📌สั่งตรวจสอบดีลขาย CK Hutchison มูลค่า $22.8 พันล้าน ให้ BlackRock ดึงประเด็นความมั่นคง-กฎหมายต่อต้านการผูกขาด 📌หลังสหรัฐฯ แสดงความยินดี ฮ่องกง-ปักกิ่งประณามเป็น "การกลั่นแกล้ง" ทางเศรษฐกิจ ด้าน CK Hutchison ยืนยันเป็นธุรกรรมเชิงพาณิชย์👉รัฐบาลจีนกำลังตรวจสอบข้อตกลงการขายท่าเรือบริเวณคลองปานามาของบริษัท CK Hutchison จากฮ่องกงให้กับกลุ่มนักลงทุนที่นำโดยบริษัท BlackRock ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นดีลมูลค่า 22.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสองประเทศ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ปักกิ่งได้สั่งการให้หน่วยงานหลายแห่งดำเนินการตรวจสอบธุรกรรมดังกล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นไปที่ประเด็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงและการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด ซึ่งเป็นคำสั่งจากผู้นำระดับสูงของจีน ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้แสดงความยินดีกับข้อตกลงนี้ก่อนหน้านี้ ทั้งที่ในอดีตเคยกล่าวหาว่าจีนพยายามควบคุมเส้นทางน้ำสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งนี้ และเรียกร้องให้ "ถอดคลองปานามาออกจากการควบคุมของจีน" อย่างไรก็ตาม หนึ่งสัปดาห์หลังการประกาศข้อตกลง สำนักงานกิจการฮ่องกงและมาเก๊าของจีนได้เผยแพร่บทวิจารณ์ที่เรียกการขายครั้งนี้ว่าเป็น "การทรยศต่อจีน" และละเลยผลประโยชน์ของชาติ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนได้กล่าวว่า "จีนคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อการละเมิดหรือบ่อนทำลายสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประเทศอื่นๆ ด้วยการบังคับขู่เข็ญทางเศรษฐกิจและการกลั่นแกล้ง" ซึ่งสอดคล้องกับถ้อยแถลงของจอห์น ลี ผู้นำฮ่องกง ที่เรียกร้องให้รัฐบาลต่างประเทศจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่ยุติธรรมสำหรับองค์กรธุรกิจ ด้านบริษัท CK Hutchison ยืนยันว่าข้อตกลงนี้ "มีลักษณะเชิงพาณิชย์ล้วนๆ และไม่เกี่ยวข้องกับรายงานข่าวการเมืองล่าสุดเกี่ยวกับท่าเรือปานามา" และระบุว่าได้ตกลงเจรจากับกลุ่ม BlackRock แต่เพียงผู้เดียวเป็นเวลา 145 วัน แม้ข้อตกลงยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจีนจะสามารถใช้กลไกใดในการยับยั้งการขายนี้ได้หรือไม่ เนื่องจากธุรกิจที่ Hutchison กำลังขายมีฐานอยู่นอกประเทศจีนและฮ่องกง อีกทั้งบริษัทเองก็จดทะเบียนในหมู่เกาะเคย์แมน #imctnews รายงาน
    จีนไม่ยอมเสียท่าเรือคลองปานามา 📌สั่งตรวจสอบดีลขาย CK Hutchison มูลค่า $22.8 พันล้าน ให้ BlackRock ดึงประเด็นความมั่นคง-กฎหมายต่อต้านการผูกขาด 📌หลังสหรัฐฯ แสดงความยินดี ฮ่องกง-ปักกิ่งประณามเป็น "การกลั่นแกล้ง" ทางเศรษฐกิจ ด้าน CK Hutchison ยืนยันเป็นธุรกรรมเชิงพาณิชย์👉รัฐบาลจีนกำลังตรวจสอบข้อตกลงการขายท่าเรือบริเวณคลองปานามาของบริษัท CK Hutchison จากฮ่องกงให้กับกลุ่มนักลงทุนที่นำโดยบริษัท BlackRock ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นดีลมูลค่า 22.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสองประเทศ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ปักกิ่งได้สั่งการให้หน่วยงานหลายแห่งดำเนินการตรวจสอบธุรกรรมดังกล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นไปที่ประเด็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงและการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด ซึ่งเป็นคำสั่งจากผู้นำระดับสูงของจีน ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้แสดงความยินดีกับข้อตกลงนี้ก่อนหน้านี้ ทั้งที่ในอดีตเคยกล่าวหาว่าจีนพยายามควบคุมเส้นทางน้ำสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งนี้ และเรียกร้องให้ "ถอดคลองปานามาออกจากการควบคุมของจีน" อย่างไรก็ตาม หนึ่งสัปดาห์หลังการประกาศข้อตกลง สำนักงานกิจการฮ่องกงและมาเก๊าของจีนได้เผยแพร่บทวิจารณ์ที่เรียกการขายครั้งนี้ว่าเป็น "การทรยศต่อจีน" และละเลยผลประโยชน์ของชาติ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนได้กล่าวว่า "จีนคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อการละเมิดหรือบ่อนทำลายสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประเทศอื่นๆ ด้วยการบังคับขู่เข็ญทางเศรษฐกิจและการกลั่นแกล้ง" ซึ่งสอดคล้องกับถ้อยแถลงของจอห์น ลี ผู้นำฮ่องกง ที่เรียกร้องให้รัฐบาลต่างประเทศจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่ยุติธรรมสำหรับองค์กรธุรกิจ ด้านบริษัท CK Hutchison ยืนยันว่าข้อตกลงนี้ "มีลักษณะเชิงพาณิชย์ล้วนๆ และไม่เกี่ยวข้องกับรายงานข่าวการเมืองล่าสุดเกี่ยวกับท่าเรือปานามา" และระบุว่าได้ตกลงเจรจากับกลุ่ม BlackRock แต่เพียงผู้เดียวเป็นเวลา 145 วัน แม้ข้อตกลงยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจีนจะสามารถใช้กลไกใดในการยับยั้งการขายนี้ได้หรือไม่ เนื่องจากธุรกิจที่ Hutchison กำลังขายมีฐานอยู่นอกประเทศจีนและฮ่องกง อีกทั้งบริษัทเองก็จดทะเบียนในหมู่เกาะเคย์แมน #imctnews รายงาน
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 302 Views 0 Reviews
  • รูบิโอ รับมนตรีต่างประเทศสหรัฐ อนุญาตให้ NED รับเงินสนับสนุนจากต่อไปได้

    เว็บไซต์ NED (National Endowment for Democracy) ได้ออกแถลงการณ์แสดงความยินดี ที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารงานของมาร์โก รูบิโอ ที่ยกเลิกข้อจำกัดในการเข้าถึงเงินสนับสนุนเพื่อนำไปใช้ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองในประเทศต่างๆ

    National Endowment for Democracy - NED มีความยินดีที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ตัดสินใจคืนสิทธิ์เข้าถึงงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรซ หลังจากถูกระงับมาตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ NED สามารถดำเนินภารกิจส่งเสริมประชาธิปไตยและเสรีภาพทั่วโลกได้ต่อไป

    ปีเตอร์ รอสคัม อดีตสส. และประธานคณะกรรมการบริหารของ NED กล่าวว่า "เราขอชื่นชมกระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของรัฐมนตรีมาร์โก รูบิโอ สำหรับการดำเนินการในครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถสนับสนุนผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศเผด็จการทั่วโลก เช่น คิวบา เวเนซุเอลา อิหร่าน จีน และรัสเซีย" แถลงการณ์บางส่วนจาก NED

    ทางด้าน เดมอน วิลสัน ประธานและซีอีโอของ NED กล่าวว่า "เรารู้สึกขอบคุณที่กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ เราจะยังคงมุ่งมั่นหาทางออกที่ยั่งยืนเพื่อให้แน่ใจว่า NED สามารถทำงานส่งเสริมประชาธิปไตยและเสรีภาพต่อไปได้"
    รูบิโอ รับมนตรีต่างประเทศสหรัฐ อนุญาตให้ NED รับเงินสนับสนุนจากต่อไปได้ เว็บไซต์ NED (National Endowment for Democracy) ได้ออกแถลงการณ์แสดงความยินดี ที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารงานของมาร์โก รูบิโอ ที่ยกเลิกข้อจำกัดในการเข้าถึงเงินสนับสนุนเพื่อนำไปใช้ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองในประเทศต่างๆ National Endowment for Democracy - NED มีความยินดีที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ตัดสินใจคืนสิทธิ์เข้าถึงงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรซ หลังจากถูกระงับมาตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ NED สามารถดำเนินภารกิจส่งเสริมประชาธิปไตยและเสรีภาพทั่วโลกได้ต่อไป ปีเตอร์ รอสคัม อดีตสส. และประธานคณะกรรมการบริหารของ NED กล่าวว่า "เราขอชื่นชมกระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของรัฐมนตรีมาร์โก รูบิโอ สำหรับการดำเนินการในครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถสนับสนุนผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศเผด็จการทั่วโลก เช่น คิวบา เวเนซุเอลา อิหร่าน จีน และรัสเซีย" แถลงการณ์บางส่วนจาก NED ทางด้าน เดมอน วิลสัน ประธานและซีอีโอของ NED กล่าวว่า "เรารู้สึกขอบคุณที่กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ เราจะยังคงมุ่งมั่นหาทางออกที่ยั่งยืนเพื่อให้แน่ใจว่า NED สามารถทำงานส่งเสริมประชาธิปไตยและเสรีภาพต่อไปได้"
    0 Comments 0 Shares 273 Views 0 Reviews
  • "อยู่คนเดียวไปเลยมึ้งง!"
    สหรัฐ เตรียมสั่งห้ามประชาชน 41 ประเทศเดินทางเข้าสหรัฐ

    รัฐบาลทรัมป์กำลังพิจารณาระงับการออกวีซ่าสหรัฐฯ บางส่วนให้กับปากีสถานและอีกหลายประเทศ หากพวกเขา "ไม่พยายามแก้ไขข้อบกพร่องภายใน 60 วัน"

    คำสั่งดังกล่าวระบุรายชื่อประเทศทั้งหมด 41 ประเทศ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม
    กลุ่มที่ 1 มี 10 ประเทศ รวมถึงอัฟกานิสถาน อิหร่าน ซีเรีย คิวบา และเกาหลีเหนือ ซึ่งจะถูกระงับวีซ่าสหรัฐโดยสมบูรณ์
    กลุ่มที่ 2 มี 5 ประเทศ ได้แก่ เอริเทรีย เฮติ ลาว เมียนมา และซูดานใต้ จะถูกระงับวีซ่าบางประเภท เช่น วีซ่าท่องเที่ยว วีซ่านักเรียน และ วีซ่าผู้อพยพ บางส่วน แต่ยังมีข้อยกเว้นในบางกรณี
    กลุ่มที่ 3 ประกอบด้วย 26 ประเทศ รวมถึงเบลารุส ปากีสถาน และเติร์กเมนิสถาน ซึ่งอาจถูกระงับการออกวีซ่าสหรัฐ บางส่วน หากรัฐบาลของประเทศเหล่านั้น “ไม่ดำเนินมาตรการแก้ไขข้อบกพร่องภายใน 60 วัน”

    อย่างไรก็ตาม รายชื่อประเทศเหล่านี้อาจมีการเปลี่ยนแปลง และยังไม่ได้รับการอนุมัติจากฝ่ายบริหาร รวมถึงผ่านการเห็นชอบจาก มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

    มีรายงานว่า นโยบายนี้เป็นส่วนหนึ่งเพื่อสนับสนุนมาตรการควบคุมการอพยพเข้าสหรัฐที่ทรัมป์ดำเนินการตั้งแต่เริ่มเข้ารับตำแหน่งในสมัยที่สอง
    "อยู่คนเดียวไปเลยมึ้งง!" สหรัฐ เตรียมสั่งห้ามประชาชน 41 ประเทศเดินทางเข้าสหรัฐ รัฐบาลทรัมป์กำลังพิจารณาระงับการออกวีซ่าสหรัฐฯ บางส่วนให้กับปากีสถานและอีกหลายประเทศ หากพวกเขา "ไม่พยายามแก้ไขข้อบกพร่องภายใน 60 วัน" คำสั่งดังกล่าวระบุรายชื่อประเทศทั้งหมด 41 ประเทศ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 มี 10 ประเทศ รวมถึงอัฟกานิสถาน อิหร่าน ซีเรีย คิวบา และเกาหลีเหนือ ซึ่งจะถูกระงับวีซ่าสหรัฐโดยสมบูรณ์ กลุ่มที่ 2 มี 5 ประเทศ ได้แก่ เอริเทรีย เฮติ ลาว เมียนมา และซูดานใต้ จะถูกระงับวีซ่าบางประเภท เช่น วีซ่าท่องเที่ยว วีซ่านักเรียน และ วีซ่าผู้อพยพ บางส่วน แต่ยังมีข้อยกเว้นในบางกรณี กลุ่มที่ 3 ประกอบด้วย 26 ประเทศ รวมถึงเบลารุส ปากีสถาน และเติร์กเมนิสถาน ซึ่งอาจถูกระงับการออกวีซ่าสหรัฐ บางส่วน หากรัฐบาลของประเทศเหล่านั้น “ไม่ดำเนินมาตรการแก้ไขข้อบกพร่องภายใน 60 วัน” อย่างไรก็ตาม รายชื่อประเทศเหล่านี้อาจมีการเปลี่ยนแปลง และยังไม่ได้รับการอนุมัติจากฝ่ายบริหาร รวมถึงผ่านการเห็นชอบจาก มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีรายงานว่า นโยบายนี้เป็นส่วนหนึ่งเพื่อสนับสนุนมาตรการควบคุมการอพยพเข้าสหรัฐที่ทรัมป์ดำเนินการตั้งแต่เริ่มเข้ารับตำแหน่งในสมัยที่สอง
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 324 Views 0 Reviews
  • การเจรจาระหว่างยูเครนและสหรัฐฯ เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วที่ซาอุดิอาระเบีย

    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศว่าคณะผู้แทนจากยูเครนและสหรัฐฯ จะประชุมกันในวันนี้ เวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ที่เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย
    การเจรจาระหว่างยูเครนและสหรัฐฯ เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วที่ซาอุดิอาระเบีย กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศว่าคณะผู้แทนจากยูเครนและสหรัฐฯ จะประชุมกันในวันนี้ เวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ที่เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • ทางการมาเลเซีย ออกคำเตือนถึงพลเรือน เกี่ยวกับการเดินทางเยือนภาคใต้ของไทย ตามหลังเหตุระเบิดและยิงที่ต้องสงสัยว่าเป็นฝีมือของกลุ่มก่อความไม่สงบ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 รายและบาดเจ็บ 13 คน เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
    .
    รอยเตอร์รายงานว่าเหตุโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นในเหล่าจังหวัดทางใต้สุดของไทย บริเวณที่คนส่วนใหญ่มีเชื้อสายมุสลิมมาเลย์ และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 7,300 ราย นับตั้งแต่การก่อกบฏแบ่งแยกดินแดนที่ยืดเยื้อมานานกว่าหลายทศวรรษ โหมกระพือขึ้นในปี 2004
    .
    กลุ่มมือปืนเปิดฉากยิงเข้าใส่ที่ว่าการอำเภอและจุดชนวนคาร์บอมบ์ ในอำเภอสุไหงโกลก ในจังหวัดนราธิวาส แหล่งยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ปลิดชีพอาสามัครด้านความมั่นคงของไทยไป 2 ราย รอยเตอร์อ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ ส่วนในจังหวัดปัตตานีที่อยู่ติดกัน ระเบิดข้างทางสังหารอาสาสมัครทหารพราน 1 นายและเจ้าหน้าที่รัฐบาล 2 คน
    .
    กระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์(9มี.ค.) "มาเลเซียสนับสนุนอย่างแข็งขัน ขอให้เลื่อนการเดินทางที่ไม่จำเป็นไปยังพื้นที่เหล่านั้น ในช่วงเวลานี้"
    .
    จากนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางเยือนไทย 35.5 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว ในนั้นเป็นนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียราว 4.9 ล้านคน ทำให้ มาเลเซีย เป็นตลาดด้านการท่องเที่ยวใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของไทย รองจากจีน
    .
    รอยเตอร์อ้างคำสัมภาษณ์ของว่าที่ร้อยตรีตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส บอกว่าได้ยกระดับคุมเข้มด้านความปลอดภัยในพื้นที่ "เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่เกิดขึ้นมา 4 ถึง 5 ปีแล้ว" พร้อมระบุยังคงมีชาวมาเลเซียอยู่ในพื้นที่ แต่ยอมรับว่าในเบื้องต้น เหตุการณ์นี้คงจะส่งผลกระทบอยู่บ้าง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023259
    ..............
    Sondhi X
    ทางการมาเลเซีย ออกคำเตือนถึงพลเรือน เกี่ยวกับการเดินทางเยือนภาคใต้ของไทย ตามหลังเหตุระเบิดและยิงที่ต้องสงสัยว่าเป็นฝีมือของกลุ่มก่อความไม่สงบ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 รายและบาดเจ็บ 13 คน เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา . รอยเตอร์รายงานว่าเหตุโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นในเหล่าจังหวัดทางใต้สุดของไทย บริเวณที่คนส่วนใหญ่มีเชื้อสายมุสลิมมาเลย์ และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 7,300 ราย นับตั้งแต่การก่อกบฏแบ่งแยกดินแดนที่ยืดเยื้อมานานกว่าหลายทศวรรษ โหมกระพือขึ้นในปี 2004 . กลุ่มมือปืนเปิดฉากยิงเข้าใส่ที่ว่าการอำเภอและจุดชนวนคาร์บอมบ์ ในอำเภอสุไหงโกลก ในจังหวัดนราธิวาส แหล่งยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ปลิดชีพอาสามัครด้านความมั่นคงของไทยไป 2 ราย รอยเตอร์อ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ ส่วนในจังหวัดปัตตานีที่อยู่ติดกัน ระเบิดข้างทางสังหารอาสาสมัครทหารพราน 1 นายและเจ้าหน้าที่รัฐบาล 2 คน . กระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์(9มี.ค.) "มาเลเซียสนับสนุนอย่างแข็งขัน ขอให้เลื่อนการเดินทางที่ไม่จำเป็นไปยังพื้นที่เหล่านั้น ในช่วงเวลานี้" . จากนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางเยือนไทย 35.5 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว ในนั้นเป็นนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียราว 4.9 ล้านคน ทำให้ มาเลเซีย เป็นตลาดด้านการท่องเที่ยวใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของไทย รองจากจีน . รอยเตอร์อ้างคำสัมภาษณ์ของว่าที่ร้อยตรีตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส บอกว่าได้ยกระดับคุมเข้มด้านความปลอดภัยในพื้นที่ "เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่เกิดขึ้นมา 4 ถึง 5 ปีแล้ว" พร้อมระบุยังคงมีชาวมาเลเซียอยู่ในพื้นที่ แต่ยอมรับว่าในเบื้องต้น เหตุการณ์นี้คงจะส่งผลกระทบอยู่บ้าง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023259 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Love
    13
    0 Comments 0 Shares 1931 Views 0 Reviews
  • 83% ของสัญญาที่ทำกับ USAID ถูกยกเลิก!!

    มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ กล่าวว่า
    หลังจากการตรวจสอบเป็นเวลา 6 สัปดาห์ เราได้ยกเลิกโครงการของ USAID อย่างเป็นทางการแล้ว 83%

    สัญญา 5,200 ฉบับซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร(และในบางกรณีถึงขั้นส่งผลเสีย) ถูกยกเลิกไปแล้ว ทำให้สหรัฐประหยัดเงินไปได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์

    หลังจากปรึกษาหารือกับรัฐสภาแล้ว เราตั้งใจที่จะให้โครงการที่เหลืออีก 18% ที่เรากำลังดำเนินการอยู่ (ประมาณ 1,000 โครงการ) ได้รับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นภายใต้กระทรวงการต่างประเทศ
    83% ของสัญญาที่ทำกับ USAID ถูกยกเลิก!! มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ กล่าวว่า หลังจากการตรวจสอบเป็นเวลา 6 สัปดาห์ เราได้ยกเลิกโครงการของ USAID อย่างเป็นทางการแล้ว 83% สัญญา 5,200 ฉบับซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร(และในบางกรณีถึงขั้นส่งผลเสีย) ถูกยกเลิกไปแล้ว ทำให้สหรัฐประหยัดเงินไปได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ หลังจากปรึกษาหารือกับรัฐสภาแล้ว เราตั้งใจที่จะให้โครงการที่เหลืออีก 18% ที่เรากำลังดำเนินการอยู่ (ประมาณ 1,000 โครงการ) ได้รับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นภายใต้กระทรวงการต่างประเทศ
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 228 Views 0 Reviews
  • กระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบียประณามการลุกฮือของชาวอลาวีในลาตาเกีย ประเทศซีเรีย ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมที่ก่อขึ้นโดยกลุ่มที่ไร้กฎหมายรองรับ

    ซาอุดีอาระเบียยืนยันการสนับสนุนรัฐบาลซีเรียในความพยายามที่จะรักษาความมั่นคง เสถียรภาพ และสันติภาพของพลเมืองต่อไป
    กระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบียประณามการลุกฮือของชาวอลาวีในลาตาเกีย ประเทศซีเรีย ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมที่ก่อขึ้นโดยกลุ่มที่ไร้กฎหมายรองรับ ซาอุดีอาระเบียยืนยันการสนับสนุนรัฐบาลซีเรียในความพยายามที่จะรักษาความมั่นคง เสถียรภาพ และสันติภาพของพลเมืองต่อไป
    0 Comments 0 Shares 223 Views 0 Reviews
  • สหรัฐฯ พร้อมเข้าสู่สงครามกับจีนถ้าจำเป็น จากคำประกาศกร้าวของกระทรวงกลาโหมอเมริกา (เพนตากอน) ความเห็นซึ่งมีขึ้นตามหลังปักกิ่งบอกว่าพร้อมต่อสู้ในทุกรูปแบบของสงคราม ท่ามกลางความเคลื่อนไหวรีดภาษีตอบโต้กันไปมา ที่กำลังลุกลามกลายเป็นสงครามการค้าระหว่าง 2 ชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก
    .
    พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ แสดงจุดยืนของอเมริกาอย่างชัดเจน ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ ในวันพุธ (5 มี.ค.) ตอบโต้สถานทูตจีนประจำอเมริกา ที่บอกว่าปักกิ่งพร้อมต่อสู้ "ในทุกรูปแบบของสงคราม"
    .
    "เราก็พร้อม" เฮกเซธบอก พร้อมระบุ "ใครที่มีสันติภาพมาช้านาน ต้องเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม" ทั้งนี้เขาเน้นย้ำว่านี่คือเหตุผลว่าทำไมสหรัฐฯ ถึงเดินหน้าเสริมความเข้มแข็งด้านการทหาร
    .
    เขากล่าวว่า "เราอยู่ในโลกที่อันตราย เต็มไปด้วยบรรดาประเทศที่มีพลังอำนาจและอิทธิพล ที่มีอุดมการณ์แตกต่างกันอย่างมาก" เฮกเซธระบุ "พวกเขาเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมอย่างรวดเร็ว ปรับปรุงเทคโนโลยีให้มีความทันสมัย พวกเขาต้องการแทนที่สหรัฐฯ"
    .
    อย่างไรก็ตาม เฮกเซธ เน้นว่าการคงไว้ซึ่งความเข้มแข็งทางทหาร คือกุญแจหลักสำหรับหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง "ถ้าเราต้องการปรามสงครามกับจีนหรือชาติอื่นๆ เราจำเป็นต้องเข้มแข็ง"
    .
    รัฐมนตรีกลาโหมรายนี้ระบุด้วยว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีความสำคัญที่ยอดเยี่้ยมกับ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และกำลังเสาะแสวงหาความร่วมมือกับความเป็นหุ้นส่วนในสิ่งที่เป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม เฮกเซธ เน้นว่าบทบาทของเขาในฐานะรัฐมนตรีกลาโหม จำเป็นต้องรับประกันความพร้อมสำหรับความเป็นไปได้ของการเผชิญหน้าใดๆ
    .
    ความเห็นของเขามีขึ้นหลังจากเมื่อช่วงเย็นวันอังคาร (4 มี.ค.) จีนบอกว่าพวกเขาจะตอบโต้ หากว่าสหรัฐฯ เดินหน้าสงครามการค้าหรือสงครามรีดภาษี ตามหลัง ทรัมป์ ตัดสินใจขึ้นภาษีเท่าตัวสินค้านำเข้าจากจีน จาก 10% เป็น 20% มาตรการนี้มีขึ้นหลังจากรัฐบาลชุดก่อนของทรัมป์ เคยรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ย้อนกลับไปในปี 2018 และ 2019 คิดเป็นมูลค่ากว่า 370,000 ล้านดอลลาร์
    .
    "ถ้าสงครามคือสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสงครามรีดภาษี สงครามการค้า หรือสงครามรูปแบบอื่นๆ รูปแบบใดก็ตาม เราพร้อมสู้จนถึงจุดจบ" หลิน เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุในถ้อยแถลง
    .
    ในการตอบโต้อย่างทันควันต่อมาตรการของทรัมป์ ทางปักกิ่งได้แถลงขึ้นภาษีอีก 10% ถึง 15% ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและอาหารต่างๆ ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ นอกจากนี้ พวกเขายังกำหนดข้อจำกัดด้านการส่งออกและการลงทุนกับบริษัทต่างๆ ของอเมริกา 25 แห่ง อ้างถึงความกังวลด้านความมั่นคง
    .
    ปักกิ่งยังได้ยื่นฟ้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) กล่าวอ้างว่ามาตรการรรีดภาษีของสหรัฐฯ ละเมิดกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ และเรียกร้องให้วอชิงตันคลี่คลายข้อพิพาทนี้ผ่านการเจรจา
    .
    ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเคยปะทุขึ้นในปี 2018 ครั้งที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก โดยเขากำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน อ้างถึงการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ยุติธรรมและการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา ความเคลื่อนไหวกระตุ้นการตอบโต้กันไปมา จนลุกลามบานปลายกระทบต่อตลาดโลกและห่วงโซ่อุปทานโลก
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021626
    ..............
    Sondhi X
    สหรัฐฯ พร้อมเข้าสู่สงครามกับจีนถ้าจำเป็น จากคำประกาศกร้าวของกระทรวงกลาโหมอเมริกา (เพนตากอน) ความเห็นซึ่งมีขึ้นตามหลังปักกิ่งบอกว่าพร้อมต่อสู้ในทุกรูปแบบของสงคราม ท่ามกลางความเคลื่อนไหวรีดภาษีตอบโต้กันไปมา ที่กำลังลุกลามกลายเป็นสงครามการค้าระหว่าง 2 ชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก . พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ แสดงจุดยืนของอเมริกาอย่างชัดเจน ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ ในวันพุธ (5 มี.ค.) ตอบโต้สถานทูตจีนประจำอเมริกา ที่บอกว่าปักกิ่งพร้อมต่อสู้ "ในทุกรูปแบบของสงคราม" . "เราก็พร้อม" เฮกเซธบอก พร้อมระบุ "ใครที่มีสันติภาพมาช้านาน ต้องเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม" ทั้งนี้เขาเน้นย้ำว่านี่คือเหตุผลว่าทำไมสหรัฐฯ ถึงเดินหน้าเสริมความเข้มแข็งด้านการทหาร . เขากล่าวว่า "เราอยู่ในโลกที่อันตราย เต็มไปด้วยบรรดาประเทศที่มีพลังอำนาจและอิทธิพล ที่มีอุดมการณ์แตกต่างกันอย่างมาก" เฮกเซธระบุ "พวกเขาเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมอย่างรวดเร็ว ปรับปรุงเทคโนโลยีให้มีความทันสมัย พวกเขาต้องการแทนที่สหรัฐฯ" . อย่างไรก็ตาม เฮกเซธ เน้นว่าการคงไว้ซึ่งความเข้มแข็งทางทหาร คือกุญแจหลักสำหรับหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง "ถ้าเราต้องการปรามสงครามกับจีนหรือชาติอื่นๆ เราจำเป็นต้องเข้มแข็ง" . รัฐมนตรีกลาโหมรายนี้ระบุด้วยว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีความสำคัญที่ยอดเยี่้ยมกับ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และกำลังเสาะแสวงหาความร่วมมือกับความเป็นหุ้นส่วนในสิ่งที่เป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม เฮกเซธ เน้นว่าบทบาทของเขาในฐานะรัฐมนตรีกลาโหม จำเป็นต้องรับประกันความพร้อมสำหรับความเป็นไปได้ของการเผชิญหน้าใดๆ . ความเห็นของเขามีขึ้นหลังจากเมื่อช่วงเย็นวันอังคาร (4 มี.ค.) จีนบอกว่าพวกเขาจะตอบโต้ หากว่าสหรัฐฯ เดินหน้าสงครามการค้าหรือสงครามรีดภาษี ตามหลัง ทรัมป์ ตัดสินใจขึ้นภาษีเท่าตัวสินค้านำเข้าจากจีน จาก 10% เป็น 20% มาตรการนี้มีขึ้นหลังจากรัฐบาลชุดก่อนของทรัมป์ เคยรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ย้อนกลับไปในปี 2018 และ 2019 คิดเป็นมูลค่ากว่า 370,000 ล้านดอลลาร์ . "ถ้าสงครามคือสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสงครามรีดภาษี สงครามการค้า หรือสงครามรูปแบบอื่นๆ รูปแบบใดก็ตาม เราพร้อมสู้จนถึงจุดจบ" หลิน เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุในถ้อยแถลง . ในการตอบโต้อย่างทันควันต่อมาตรการของทรัมป์ ทางปักกิ่งได้แถลงขึ้นภาษีอีก 10% ถึง 15% ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและอาหารต่างๆ ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ นอกจากนี้ พวกเขายังกำหนดข้อจำกัดด้านการส่งออกและการลงทุนกับบริษัทต่างๆ ของอเมริกา 25 แห่ง อ้างถึงความกังวลด้านความมั่นคง . ปักกิ่งยังได้ยื่นฟ้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) กล่าวอ้างว่ามาตรการรรีดภาษีของสหรัฐฯ ละเมิดกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ และเรียกร้องให้วอชิงตันคลี่คลายข้อพิพาทนี้ผ่านการเจรจา . ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเคยปะทุขึ้นในปี 2018 ครั้งที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก โดยเขากำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน อ้างถึงการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ยุติธรรมและการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา ความเคลื่อนไหวกระตุ้นการตอบโต้กันไปมา จนลุกลามบานปลายกระทบต่อตลาดโลกและห่วงโซ่อุปทานโลก . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021626 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    Wow
    26
    0 Comments 1 Shares 2327 Views 1 Reviews
  • รอยเตอร์เผยรายงานพิเศษ อ้างแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ซึ่งระบุว่า แคนาดาและสหรัฐฯ เคยเสนอให้ที่พักพิงที่ชาวอุยกูร์ 48 คนที่ถูกกักอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 10 ปี ทว่ารัฐบาลไทยไม่ดำเนินการใดๆ เนื่องจากเกรงจะผิดใจกับ “จีน” จนสุดท้ายชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ได้ถูกบังคับเนรเทศกลับไปยังแดนมังกรเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ออกมาปกป้องการตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์กลับจีน ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงคัดค้านจากผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ โดยทางการไทยยืนยันว่าได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนทุกประการ

    องค์กรสิทธิมนุษยชนกล่าวหาจีนว่ากระทำการละเมิดกดขี่อย่างกว้างขวางต่อชาวอุยกูร์ ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยมุสลิมที่มีอยู่ราวๆ 10 ล้านคนในภูมิภาคซินเจียง ขณะที่ปักกิ่งปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้มีการละเมิดสิทธิคนเหล่านี้

    ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีไทย ได้แถลงเมื่อวันจันทร์ (3) ว่า ไม่มีประเทศใดแสดงความจำนงอย่างหนักแน่นที่จะรับชาวอุยกูร์ 48 คนเข้าไปตั้งถิ่นฐาน

    “เรารอมานานกว่า 10 ปี และผมก็ได้พูดคุยกับประเทศใหญ่ๆ หลายชาติ แต่ไม่มีใครให้คำตอบที่ชัดเจน” เขาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน

    อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่จากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ คนหนึ่งยืนยันกับรอยเตอร์ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เคยยื่นข้อเสนอรับชาวอุยกูร์ทั้ง 48 คนแล้ว

    “สหรัฐฯ พยายาทำงานร่วมกับไทยมาหลายปีเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้ รวมถึงได้มีการย้ำข้อเสนออย่างต่อเนื่องว่าจะรับชาวอุยกูร์ไปตั้งถิ่นฐานในประเทศอื่น แม้แต่ในสหรัฐฯ เองด้วย ณ จุดหนึ่ง” เจ้าหน้าที่ผู้ไม่ประสงค์ออกนามกล่าว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000021368

    #MGROnline #ชาวอุยกูร์
    รอยเตอร์เผยรายงานพิเศษ อ้างแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ซึ่งระบุว่า แคนาดาและสหรัฐฯ เคยเสนอให้ที่พักพิงที่ชาวอุยกูร์ 48 คนที่ถูกกักอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 10 ปี ทว่ารัฐบาลไทยไม่ดำเนินการใดๆ เนื่องจากเกรงจะผิดใจกับ “จีน” จนสุดท้ายชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ได้ถูกบังคับเนรเทศกลับไปยังแดนมังกรเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว • รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ออกมาปกป้องการตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์กลับจีน ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงคัดค้านจากผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ โดยทางการไทยยืนยันว่าได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนทุกประการ • องค์กรสิทธิมนุษยชนกล่าวหาจีนว่ากระทำการละเมิดกดขี่อย่างกว้างขวางต่อชาวอุยกูร์ ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยมุสลิมที่มีอยู่ราวๆ 10 ล้านคนในภูมิภาคซินเจียง ขณะที่ปักกิ่งปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้มีการละเมิดสิทธิคนเหล่านี้ • ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีไทย ได้แถลงเมื่อวันจันทร์ (3) ว่า ไม่มีประเทศใดแสดงความจำนงอย่างหนักแน่นที่จะรับชาวอุยกูร์ 48 คนเข้าไปตั้งถิ่นฐาน • “เรารอมานานกว่า 10 ปี และผมก็ได้พูดคุยกับประเทศใหญ่ๆ หลายชาติ แต่ไม่มีใครให้คำตอบที่ชัดเจน” เขาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน • อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่จากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ คนหนึ่งยืนยันกับรอยเตอร์ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เคยยื่นข้อเสนอรับชาวอุยกูร์ทั้ง 48 คนแล้ว • “สหรัฐฯ พยายาทำงานร่วมกับไทยมาหลายปีเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้ รวมถึงได้มีการย้ำข้อเสนออย่างต่อเนื่องว่าจะรับชาวอุยกูร์ไปตั้งถิ่นฐานในประเทศอื่น แม้แต่ในสหรัฐฯ เองด้วย ณ จุดหนึ่ง” เจ้าหน้าที่ผู้ไม่ประสงค์ออกนามกล่าว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000021368 • #MGROnline #ชาวอุยกูร์
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 356 Views 0 Reviews
  • สงครามการค้าระหว่างอเมริกากับหุ้นส่วนเศรษฐกิจและคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด 3 ชาติยิ่งบานปลายขยายตัว หลังจากทรัมป์ยืนยันว่ามาตรการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรที่เงื้อง่าอยู่ เริ่มมีผลบังคับใช้กับแคนาดา เม็กซิโก และจีนแน่นอนส่งผลให้ปักกิ่งและออตตาวาประกาศตอบโต้แบบทันควัน ขณะที่เม็กซิโกก็ระบุเอาคืนแน่นอน แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียด
    .
    หลังเวลาเที่ยงคืนของวันจันทร์ (3 มี.ค.) ตามเวลาภาคตะวันออกของสหรัฐฯ (ซึ่งช้ากว่าเวลาเมืองไทย 12 ชั่วโมง) สินค้าแคนาดาและเม็กซิโกที่นำเข้าไปยังอเมริกา ซึ่งมีมูลค่ารวมกันสูงกว่า 918,000 ล้านดอลลาร์จะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรสูงขึ้น 25% รวด เวลาเดียวกันประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังรีดภาษีจากสินค้านำเข้าจากจีนสูงขึ้นอีก 10% จากที่เพิ่มขึ้นไปแล้ว 10% เมื่อเดือนกุมภาพันธ์
    .
    ด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด แถลงว่า แคนาดาจะตอบโต้โดยเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่ม 25% จากสินค้าอเมริกันมูลค่ากว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 21 วัน ขณะที่ประธานาธิบดี เกลาเดีย เชย์นเบาม์ ระบุว่าความเคลื่อนไหวช่นนี้ของสหรัฐฯไม่มีความชอบธรรม และประกาศจะตอบโต้กลับด้วยมาตรการภาษีของตัวเอง
    .
    ผู้นำหญิงของเม็กซิโกบอกว่า เธอจะประกาศรายการสินค้านำเข้าจากอเมริกาที่จะตกเป็นเป้าถูกขึ้นภาษีตอบโต้ในวันอาทิตย์ (9) นี้ ณ งานพิธีซึ่งกำหนดจัดขึ้นที่จัตุรัสใจกลางเมืองหลวงเม็กซิโกซิตี ท่าทีเช่นนี้ทำให้มองกันว่าการเลื่อนช้าออกไปเช่นนี้บ่งชี้ว่าเม็กซิโกยังคงมีความหวังที่จะเจรจาต่อรองกันก่อนเพื่อไม่ให้สงครามการค้าบานปลาย
    .
    แรกทีเดียวนั้น มาตรการภาษีศุลกากรสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ทว่า ทรัมป์ตกลงขยายเวลาออกไป 30 วันเพื่อเจรจาเพิ่มเติมกับสองประเทศคู่ค้าใหญ่ที่สุดของอเมริกา สำหรับเหตุผลในการขึ้นภาษีคือ เพื่อให้สองประเทศเพื่อนบ้านนี้จัดการปัญหาการลักลอบขนยาเสพติด โดยเฉพาะ เฟนทานิล และปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผ่านดินแดนของประเทศทั้งสองเข้ามายังสหรัฐฯ
    .
    ขณะที่ทั้งสองชาติต่างยืนยันว่า มีความคืบหน้าในการแก้ปัญหา ทว่า ทรัมป์กลับบอกเพิ่มเติมว่า จะลดภาษีศุลกากรต่อเมื่อการขาดดุลการค้าของอเมริกาต่อเม็กซิโกและแคนาดาสิ้นสุดลง ถึงแม้เรื่องหลังนี้ย่อมเป็นกระบวนการที่ไม่สามารถแก้ไขได้ตามกรอบเวลาทางการเมือง
    .
    มีผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์กันว่า มาตรการที่สหรัฐฯขึ้นภาษีศุลกากรกับแคนาดาและเม็กซิโก น่าจะส่งผลสะท้อนกลับกระทบถึงเศรษฐกิจอเมริกันอย่างแรงๆ และดังนั้นจึงอาจบังคับใช้ได้เพียงช่วงสั้นๆ และสิ่งที่ทรัมป์อาจเลือกกระทำต่อไป อาจเป็นการหันไปรีดภาษีจากสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป และอินเดีย รวมทั้งพวก ชิปคอมพิวเตอร์ ยานยนต์ และยาเวชภัณฑ์นำเข้าเพิ่มมากขึ้น
    .
    ในส่วนของจีนนั้น ปักกิ่งประณามการบังคับใช้มาตรการ “ตามอำเภอใจฝ่ายเดียว” เช่นนี้ของอเมริกา และประกาศตอบโต้ทันทีด้วยการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่ม 15% จากสินค้าเกษตรและอาหารของอเมริกามูลค่า 21,000 ล้านดอลลาร์ มีผลตั้งแต่สัปดาห์หน้า รวมทั้งเพิ่มบริษัทอเมริกันอีก 25 แห่งในบัญชีรายชื่อบริษัทที่ถูกจำกัดการส่งออกและการลงทุนภายใต้เหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ
    .
    ทั้งนี้ จีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดที่รองรับสินค้าเกษตรของอเมริกา โดยปีที่แล้ว แม้จีนนำเข้าสินค้าเกษตรสหรัฐฯ ลดลงเป็นปีที่สอง แต่ก็ยังคงมีมูลค่าถึง 29,250 ล้านดอลลาร์ เท่าที่ผ่านมาภาคเศรษฐกิจนี้มักถูกใช้เป็นกระสอบทรายในยามที่สถานการณ์การค้าระหว่าง 2 ประเทศตึงเครียด โดยเฉพาะในเมื่อพวกรัฐที่เศรษฐกิจพึ่งพาการเกษตรอย่างมาก ยังเป็นพวกรัฐฐานเสียงของทรัมป์และรีพับลิกันอีกด้วย
    .
    ในวันอังคาร (3) กระทรวงการต่างประเทศจีนออกมาแถลงว่า จีนจะไม่ยอมจำนนต่อการรังแกหรือข่มขู่ และสำทับว่า การพยายามกดดันจีนเป็นการคำนวณผิดพลาด
    .
    อย่างไรก็ดี พวกนักวิเคราะห์เชื่อว่า ปักกิ่งยังหวังว่าจะสามารถเปิดการเจรจาสงบศึกกับคณะบริหารของทรัมป์ จึงกำหนดภาษีตอบโต้ในอัตราต่ำกว่า 20% เพื่อให้คณะผู้เจรจาของตนสามารถต่อรองและบรรลุข้อตกลงได้สำเร็จ ทว่าเมื่อการตอบโต้กันไปมาชักบานปลายออกไป มันก็อาจลดโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะประนีประนอมกันได้
    .
    เวลาเดียวกัน สำนักข่าวเอพีเสนอรายงานข่าวที่ระบุว่า ผู้นำสหรัฐฯ กำลังทำให้เศรษฐกิจของทั่วโลกผันผวนและไร้ความแน่นอน เนื่องจากไม่มีใครคาดเดาได้ว่า ทรัมป์จะทำอะไรต่อไป
    .
    การเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกแบบเหวี่ยงแหยังมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยานยนต์และวัสดุก่อสร้าง และเสี่ยงทำให้ค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มขึ้น
    .
    นักเศรษฐศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่า มาตรการภาษีของทรัมป์อาจทำให้ราคาผู้บริโภคในสหรัฐฯพุ่งขึ้น และเพิ่มความกดดันต่อการเติบโตและการจ้างงานในอเมริกา
    .
    มูลนิธิแท็กซ์ ฟาวน์เดชัน ของสหรัฐฯประเมินว่า มาตรการภาษีต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีนจะทำให้อัตราเติบโตของอเมริกาหายไป 0.1% ทั้งนี้ ยังไม่คำนวณผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ของทั้งสามชาติ
    .
    ไดแอน สวองค์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเคพีเอ็มจี เตือนว่า ถ้าทรัมป์ยังเดินตามแผนรีดภาษีต่อไป อัตราภาษีศุลกากรของอเมริกาอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับสูงสุดนับจากปี 1936 ภายในต้นปีหน้า โดยที่ทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตของสหรัฐฯจะต้องเป็นผู้รับภาระหนักจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากร ซึ่งอาจส่งผลตามมาทำให้ดีมานด์ลดลง และภาคธุรกิจต้องปลดพนักงานเพื่อควบคุมต้นทุน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021232
    ..............
    Sondhi X
    สงครามการค้าระหว่างอเมริกากับหุ้นส่วนเศรษฐกิจและคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด 3 ชาติยิ่งบานปลายขยายตัว หลังจากทรัมป์ยืนยันว่ามาตรการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรที่เงื้อง่าอยู่ เริ่มมีผลบังคับใช้กับแคนาดา เม็กซิโก และจีนแน่นอนส่งผลให้ปักกิ่งและออตตาวาประกาศตอบโต้แบบทันควัน ขณะที่เม็กซิโกก็ระบุเอาคืนแน่นอน แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียด . หลังเวลาเที่ยงคืนของวันจันทร์ (3 มี.ค.) ตามเวลาภาคตะวันออกของสหรัฐฯ (ซึ่งช้ากว่าเวลาเมืองไทย 12 ชั่วโมง) สินค้าแคนาดาและเม็กซิโกที่นำเข้าไปยังอเมริกา ซึ่งมีมูลค่ารวมกันสูงกว่า 918,000 ล้านดอลลาร์จะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรสูงขึ้น 25% รวด เวลาเดียวกันประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังรีดภาษีจากสินค้านำเข้าจากจีนสูงขึ้นอีก 10% จากที่เพิ่มขึ้นไปแล้ว 10% เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ . ด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด แถลงว่า แคนาดาจะตอบโต้โดยเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่ม 25% จากสินค้าอเมริกันมูลค่ากว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 21 วัน ขณะที่ประธานาธิบดี เกลาเดีย เชย์นเบาม์ ระบุว่าความเคลื่อนไหวช่นนี้ของสหรัฐฯไม่มีความชอบธรรม และประกาศจะตอบโต้กลับด้วยมาตรการภาษีของตัวเอง . ผู้นำหญิงของเม็กซิโกบอกว่า เธอจะประกาศรายการสินค้านำเข้าจากอเมริกาที่จะตกเป็นเป้าถูกขึ้นภาษีตอบโต้ในวันอาทิตย์ (9) นี้ ณ งานพิธีซึ่งกำหนดจัดขึ้นที่จัตุรัสใจกลางเมืองหลวงเม็กซิโกซิตี ท่าทีเช่นนี้ทำให้มองกันว่าการเลื่อนช้าออกไปเช่นนี้บ่งชี้ว่าเม็กซิโกยังคงมีความหวังที่จะเจรจาต่อรองกันก่อนเพื่อไม่ให้สงครามการค้าบานปลาย . แรกทีเดียวนั้น มาตรการภาษีศุลกากรสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ทว่า ทรัมป์ตกลงขยายเวลาออกไป 30 วันเพื่อเจรจาเพิ่มเติมกับสองประเทศคู่ค้าใหญ่ที่สุดของอเมริกา สำหรับเหตุผลในการขึ้นภาษีคือ เพื่อให้สองประเทศเพื่อนบ้านนี้จัดการปัญหาการลักลอบขนยาเสพติด โดยเฉพาะ เฟนทานิล และปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผ่านดินแดนของประเทศทั้งสองเข้ามายังสหรัฐฯ . ขณะที่ทั้งสองชาติต่างยืนยันว่า มีความคืบหน้าในการแก้ปัญหา ทว่า ทรัมป์กลับบอกเพิ่มเติมว่า จะลดภาษีศุลกากรต่อเมื่อการขาดดุลการค้าของอเมริกาต่อเม็กซิโกและแคนาดาสิ้นสุดลง ถึงแม้เรื่องหลังนี้ย่อมเป็นกระบวนการที่ไม่สามารถแก้ไขได้ตามกรอบเวลาทางการเมือง . มีผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์กันว่า มาตรการที่สหรัฐฯขึ้นภาษีศุลกากรกับแคนาดาและเม็กซิโก น่าจะส่งผลสะท้อนกลับกระทบถึงเศรษฐกิจอเมริกันอย่างแรงๆ และดังนั้นจึงอาจบังคับใช้ได้เพียงช่วงสั้นๆ และสิ่งที่ทรัมป์อาจเลือกกระทำต่อไป อาจเป็นการหันไปรีดภาษีจากสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป และอินเดีย รวมทั้งพวก ชิปคอมพิวเตอร์ ยานยนต์ และยาเวชภัณฑ์นำเข้าเพิ่มมากขึ้น . ในส่วนของจีนนั้น ปักกิ่งประณามการบังคับใช้มาตรการ “ตามอำเภอใจฝ่ายเดียว” เช่นนี้ของอเมริกา และประกาศตอบโต้ทันทีด้วยการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่ม 15% จากสินค้าเกษตรและอาหารของอเมริกามูลค่า 21,000 ล้านดอลลาร์ มีผลตั้งแต่สัปดาห์หน้า รวมทั้งเพิ่มบริษัทอเมริกันอีก 25 แห่งในบัญชีรายชื่อบริษัทที่ถูกจำกัดการส่งออกและการลงทุนภายใต้เหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ . ทั้งนี้ จีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดที่รองรับสินค้าเกษตรของอเมริกา โดยปีที่แล้ว แม้จีนนำเข้าสินค้าเกษตรสหรัฐฯ ลดลงเป็นปีที่สอง แต่ก็ยังคงมีมูลค่าถึง 29,250 ล้านดอลลาร์ เท่าที่ผ่านมาภาคเศรษฐกิจนี้มักถูกใช้เป็นกระสอบทรายในยามที่สถานการณ์การค้าระหว่าง 2 ประเทศตึงเครียด โดยเฉพาะในเมื่อพวกรัฐที่เศรษฐกิจพึ่งพาการเกษตรอย่างมาก ยังเป็นพวกรัฐฐานเสียงของทรัมป์และรีพับลิกันอีกด้วย . ในวันอังคาร (3) กระทรวงการต่างประเทศจีนออกมาแถลงว่า จีนจะไม่ยอมจำนนต่อการรังแกหรือข่มขู่ และสำทับว่า การพยายามกดดันจีนเป็นการคำนวณผิดพลาด . อย่างไรก็ดี พวกนักวิเคราะห์เชื่อว่า ปักกิ่งยังหวังว่าจะสามารถเปิดการเจรจาสงบศึกกับคณะบริหารของทรัมป์ จึงกำหนดภาษีตอบโต้ในอัตราต่ำกว่า 20% เพื่อให้คณะผู้เจรจาของตนสามารถต่อรองและบรรลุข้อตกลงได้สำเร็จ ทว่าเมื่อการตอบโต้กันไปมาชักบานปลายออกไป มันก็อาจลดโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะประนีประนอมกันได้ . เวลาเดียวกัน สำนักข่าวเอพีเสนอรายงานข่าวที่ระบุว่า ผู้นำสหรัฐฯ กำลังทำให้เศรษฐกิจของทั่วโลกผันผวนและไร้ความแน่นอน เนื่องจากไม่มีใครคาดเดาได้ว่า ทรัมป์จะทำอะไรต่อไป . การเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกแบบเหวี่ยงแหยังมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยานยนต์และวัสดุก่อสร้าง และเสี่ยงทำให้ค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มขึ้น . นักเศรษฐศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่า มาตรการภาษีของทรัมป์อาจทำให้ราคาผู้บริโภคในสหรัฐฯพุ่งขึ้น และเพิ่มความกดดันต่อการเติบโตและการจ้างงานในอเมริกา . มูลนิธิแท็กซ์ ฟาวน์เดชัน ของสหรัฐฯประเมินว่า มาตรการภาษีต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีนจะทำให้อัตราเติบโตของอเมริกาหายไป 0.1% ทั้งนี้ ยังไม่คำนวณผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ของทั้งสามชาติ . ไดแอน สวองค์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเคพีเอ็มจี เตือนว่า ถ้าทรัมป์ยังเดินตามแผนรีดภาษีต่อไป อัตราภาษีศุลกากรของอเมริกาอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับสูงสุดนับจากปี 1936 ภายในต้นปีหน้า โดยที่ทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตของสหรัฐฯจะต้องเป็นผู้รับภาระหนักจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากร ซึ่งอาจส่งผลตามมาทำให้ดีมานด์ลดลง และภาคธุรกิจต้องปลดพนักงานเพื่อควบคุมต้นทุน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021232 .............. Sondhi X
    Like
    8
    0 Comments 0 Shares 2359 Views 0 Reviews
  • ปูตินยอมตกลงเป็นตัวกลางในการเจรจากับอิหร่าน หลังจากทรัมป์ร้องขอ
    -บลูมเบิร์กรายงาน

    - ทรัมป์โทรศัพท์ไปถามปูตินเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ จากนั้นจึงได้มีการหารือเรื่องนี้ในการประชุมระหว่างลาฟรอฟและรูบิโอที่ริยาด

    - ทรัมป์ต้องการเจรจากับอิหร่านเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของพวกเขาและกองกำลังติดอาวุธตัวแทนของอิหร่านในตะวันออกกลาง

    - เปสคอฟ โฆษกเครมลินกล่าวว่า "รัสเซียเชื่อว่าสหรัฐฯ และอิหร่านควรแก้ไขปัญหาทั้งหมดผ่านการเจรจา" และมอสโก "พร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้"

    - กระทรวงการต่างประเทศของอิหร่านกล่าวว่า "เมื่อพิจารณาถึงความสำคัญของปัญหาเหล่านี้ จึงเป็นไปได้ที่หลายฝ่ายจะแสดงความปรารถนาดีและความพร้อมที่จะช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาต่างๆ และแน่นอนว่าประเทศต่างๆ จะเสนอความช่วยเหลือหากจำเป็น"
    ปูตินยอมตกลงเป็นตัวกลางในการเจรจากับอิหร่าน หลังจากทรัมป์ร้องขอ -บลูมเบิร์กรายงาน - ทรัมป์โทรศัพท์ไปถามปูตินเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ จากนั้นจึงได้มีการหารือเรื่องนี้ในการประชุมระหว่างลาฟรอฟและรูบิโอที่ริยาด - ทรัมป์ต้องการเจรจากับอิหร่านเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของพวกเขาและกองกำลังติดอาวุธตัวแทนของอิหร่านในตะวันออกกลาง - เปสคอฟ โฆษกเครมลินกล่าวว่า "รัสเซียเชื่อว่าสหรัฐฯ และอิหร่านควรแก้ไขปัญหาทั้งหมดผ่านการเจรจา" และมอสโก "พร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้" - กระทรวงการต่างประเทศของอิหร่านกล่าวว่า "เมื่อพิจารณาถึงความสำคัญของปัญหาเหล่านี้ จึงเป็นไปได้ที่หลายฝ่ายจะแสดงความปรารถนาดีและความพร้อมที่จะช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาต่างๆ และแน่นอนว่าประเทศต่างๆ จะเสนอความช่วยเหลือหากจำเป็น"
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 268 Views 0 Reviews
  • สหรัฐฯกำลังร่างแผนการหนึ่งๆในความเป็นไปได้ที่จะผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรที่กำหนดเล่นงานรัสเซีย ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังหาทางฟื้นฟูความสัมพันธ์กับมอสโกและหยุดสงครามในยูเครน รอยเตอร์รายงานอ้างเจ้าหน้าที่อเมริการายหนึ่งและแหล่งข่าวใกล้ชิดกับประเด็นนี้
    .
    แหล่งข่าวเปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า ทำเนียบขาวขอให้กระทรวงต่างประเทศและกระทรวงการคลัง ร่างรายการคว่ำบาตรที่อาจผ่อนปรน เพื่อที่พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯจะได้หยิบยกไปหารือพูดคุยกับพวกผู้แทนของรัสเซียในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ส่วนหนึ่งในการเจรจาอย่างครอบคลุมระหว่างรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับมอสโก ในความพยายามปรับปรุงความสัมพันธ์ทั้งทางการทูตและเศรษฐกิจ
    .
    เวลานี้พวกเจ้าหน้าที่ด้านมาตรการคว่ำบาตรกำลังร่างข้อเสนอหนึ่งๆ สำหรับยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรนิติบุคคลและตัวบุคคลที่ได้รับเลือก ในนั้นรวมถึงกลุ่มผู้มีอำนาจบางส่วนของรัสเซีย แหล่งข่าวระบุ
    .
    สิ่งที่เรียกว่า "เอกสารทางเลือก" มักถูกร่างขึ้นบ่อยครั้งเป็นปกติอยู่แล้วโดยพวกเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านมาตรการคว่ำบาตร แต่คำขออย่างเฉพาะเจาะจงในครั้งนี้ของทำเนียบขาวในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เน้นย้ำว่า ทรัมป์ และคณะที่ปรึกษาของเขา มีความตั้งใจผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรที่กำหนดเล่นงานรัสเซียจริงๆ ส่วนหนึ่งในว่าที่ข้อตกลงหนึ่งใดกับมอสโก
    .
    ไม่เป็นที่้ชัดเจนว่า วอชิงตันต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยนกับการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตร
    .
    รัสเซีย เป็นหนึ่งในชาติผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก และถ้ามาตรการคว่ำบาตรภาคพลังงานของมอสโกได้รับการผ่อนปรน มันจะช่วยสกัดไม่ให้ราคาเชื้อเพลิงพุ่งสูง ถ้าหากทรัมป์ต้องการเล่นงานภาคการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน ชาติสมาชิกโอเปก
    .
    ทำเนียบขาว กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการคลังสหรัฐฯ รวมถึงสถานทูตรัสเซียประจำวอชิงตัน ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวนี้
    .
    เมื่อปีที่แล้ว วังเครมลิน ให้คำนิยามความสัมพันธ์กับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ว่า "ต่ำว่าศูนย์" เนื่องจาก ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ให้การสนับสนุนยูเครนด้วยเงินช่วยเหลือและอาวุธ รวมถึงกำหนดมาตรการคว่ำบาตรหนักหน่วงเล่นงานรัสเซีย ลงโทษกรณีรุกรานยูเครนในปี 2022
    .
    แต่ ทรัมป์ ซึ่งรับปากว่าจะยุติสงครามอย่างรวดเร็ว ได้กลับลำนโยบายของสหรัฐฯ เปิดการเจรจากับมอสโก เริ่มต้นด้วยการพูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ และตามด้วยการพบปะหารือกันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้ง 2 ชาติ ทั้งในซาอุดีอาระเบียและตุรกี
    .
    สหรัฐฯกำหนดมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานรัสเซียมาตั้งแต่ที่มอสโกรุกรานยูเครนในปี 2022 ในนั้นรวมถึงมาตรการต่างๆที่เล็งเป้าหมายจำกัดรายได้จากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอันมหาศาลของประเทศแห่งนี้ และบั่นทอนศักยภาพในการหาทุนในการทำสงคราม
    .
    ทรัมป์ ในเดือนมกราคม ขู่ว่าอาจยกระดับมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานรัสเซีย หากว่าปูติน ไม่มีความตั้งใจเจรจายุติสงครามในยูเครน แต่เมื่อเร็วๆนี้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลทรัมป์ยอมรับอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรมอสโก
    .
    สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์ก เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ว่ารัสเซียอาจได้รับการผ่อนปรนการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ แต่ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีท่าทีอย่างไรต่อการเจรจาในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า จากนั้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ทรัมป์ เน้นย้ำกับพวกผู้สื่อข่าวว่าอาจมีการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย "ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง"
    .
    ทั้งนี้ไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามาตรการคว่ำบาตรใด ที่รัฐบาลทรัมป์จะพิจารณายกเลิกเล่นงานรัสเซียเป็นลำดับแรก
    .
    จอห์น สมิธ จากบริษัทกฎหมาย Morrison Foerster และอดีตผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมสินทรัพย์ต่างประเทศของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า ทรัมป์ อาจออกคำสั่งบริหารฉบับหนึ่ง ที่เปิดทางให้รัฐบาลเริ่มกระบวนการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียบางอย่าง แต่เขาจำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากสภาคองเกรสในการยกเลิกการคว่ำบาตรนิติบุคคลบางแห่ง
    .
    นับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา รัสเซีย เสริมความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในช่วงเวลาสงคราม ด้วยการเพิ่มการใช้จ่ายด้านการทหารและยกระดับผลผลิตทางอุตสาหกรรม แต่พวกผู้เชี่ยวชาญมองว่าเศรษฐกิจของประเทศแห่งนี้ยังมีความอ่อนแอ และจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรจากตะวันตก
    .
    รัสเซียบอกว่าพวกเขาเปิดกว้างสำหรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยวังเครมลินบอกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่ารัสเซียมีแร่ธาตุแรร์เฮิร์ธมากมาย และเปิดกว้างสำหรับทำข้อตกลงพัฒนาแร่เหล่านี้ หลังจาก ปูติน พูดถึงความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือในเรื่องดังกล่าวกับสหรัฐฯ
    .
    แหล่งข่าวเชื่อว่าข้อตกลงทางเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการใดๆ ดูเหมือนจะมีความจำเป็นสำหรับเปิดทางให้สหรัฐฯผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตร
    .
    ที่ผ่านมา ทรัมป์ หาทางบรรลุข้อตกลงแร่ธาตุกับยูเครน ประเทศที่มีแหล่งทรัพยากรแร่มหาศาล ในนั้นรวมถึงแร่แรร์เอิร์ธ ในฐานะเป็นสิ่งตอบแทนชดใช้เงินช่วยเหลือหลายแสนล้านดอลลาร์ที่สหรัฐฯมอให้แก่เคียฟ อย่างไรก็ตามไม่มีการลงนามในข้อตกลง ตามหลังศึกวิวาทะดุเดือดภายในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว ระหว่าง ทรัมป์ กับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020861
    ..............
    Sondhi X
    สหรัฐฯกำลังร่างแผนการหนึ่งๆในความเป็นไปได้ที่จะผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรที่กำหนดเล่นงานรัสเซีย ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังหาทางฟื้นฟูความสัมพันธ์กับมอสโกและหยุดสงครามในยูเครน รอยเตอร์รายงานอ้างเจ้าหน้าที่อเมริการายหนึ่งและแหล่งข่าวใกล้ชิดกับประเด็นนี้ . แหล่งข่าวเปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า ทำเนียบขาวขอให้กระทรวงต่างประเทศและกระทรวงการคลัง ร่างรายการคว่ำบาตรที่อาจผ่อนปรน เพื่อที่พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯจะได้หยิบยกไปหารือพูดคุยกับพวกผู้แทนของรัสเซียในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ส่วนหนึ่งในการเจรจาอย่างครอบคลุมระหว่างรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับมอสโก ในความพยายามปรับปรุงความสัมพันธ์ทั้งทางการทูตและเศรษฐกิจ . เวลานี้พวกเจ้าหน้าที่ด้านมาตรการคว่ำบาตรกำลังร่างข้อเสนอหนึ่งๆ สำหรับยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรนิติบุคคลและตัวบุคคลที่ได้รับเลือก ในนั้นรวมถึงกลุ่มผู้มีอำนาจบางส่วนของรัสเซีย แหล่งข่าวระบุ . สิ่งที่เรียกว่า "เอกสารทางเลือก" มักถูกร่างขึ้นบ่อยครั้งเป็นปกติอยู่แล้วโดยพวกเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านมาตรการคว่ำบาตร แต่คำขออย่างเฉพาะเจาะจงในครั้งนี้ของทำเนียบขาวในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เน้นย้ำว่า ทรัมป์ และคณะที่ปรึกษาของเขา มีความตั้งใจผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรที่กำหนดเล่นงานรัสเซียจริงๆ ส่วนหนึ่งในว่าที่ข้อตกลงหนึ่งใดกับมอสโก . ไม่เป็นที่้ชัดเจนว่า วอชิงตันต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยนกับการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตร . รัสเซีย เป็นหนึ่งในชาติผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก และถ้ามาตรการคว่ำบาตรภาคพลังงานของมอสโกได้รับการผ่อนปรน มันจะช่วยสกัดไม่ให้ราคาเชื้อเพลิงพุ่งสูง ถ้าหากทรัมป์ต้องการเล่นงานภาคการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน ชาติสมาชิกโอเปก . ทำเนียบขาว กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการคลังสหรัฐฯ รวมถึงสถานทูตรัสเซียประจำวอชิงตัน ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวนี้ . เมื่อปีที่แล้ว วังเครมลิน ให้คำนิยามความสัมพันธ์กับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ว่า "ต่ำว่าศูนย์" เนื่องจาก ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ให้การสนับสนุนยูเครนด้วยเงินช่วยเหลือและอาวุธ รวมถึงกำหนดมาตรการคว่ำบาตรหนักหน่วงเล่นงานรัสเซีย ลงโทษกรณีรุกรานยูเครนในปี 2022 . แต่ ทรัมป์ ซึ่งรับปากว่าจะยุติสงครามอย่างรวดเร็ว ได้กลับลำนโยบายของสหรัฐฯ เปิดการเจรจากับมอสโก เริ่มต้นด้วยการพูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ และตามด้วยการพบปะหารือกันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้ง 2 ชาติ ทั้งในซาอุดีอาระเบียและตุรกี . สหรัฐฯกำหนดมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานรัสเซียมาตั้งแต่ที่มอสโกรุกรานยูเครนในปี 2022 ในนั้นรวมถึงมาตรการต่างๆที่เล็งเป้าหมายจำกัดรายได้จากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอันมหาศาลของประเทศแห่งนี้ และบั่นทอนศักยภาพในการหาทุนในการทำสงคราม . ทรัมป์ ในเดือนมกราคม ขู่ว่าอาจยกระดับมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานรัสเซีย หากว่าปูติน ไม่มีความตั้งใจเจรจายุติสงครามในยูเครน แต่เมื่อเร็วๆนี้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลทรัมป์ยอมรับอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรมอสโก . สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์ก เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ว่ารัสเซียอาจได้รับการผ่อนปรนการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ แต่ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีท่าทีอย่างไรต่อการเจรจาในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า จากนั้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ทรัมป์ เน้นย้ำกับพวกผู้สื่อข่าวว่าอาจมีการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย "ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง" . ทั้งนี้ไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามาตรการคว่ำบาตรใด ที่รัฐบาลทรัมป์จะพิจารณายกเลิกเล่นงานรัสเซียเป็นลำดับแรก . จอห์น สมิธ จากบริษัทกฎหมาย Morrison Foerster และอดีตผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมสินทรัพย์ต่างประเทศของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า ทรัมป์ อาจออกคำสั่งบริหารฉบับหนึ่ง ที่เปิดทางให้รัฐบาลเริ่มกระบวนการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียบางอย่าง แต่เขาจำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากสภาคองเกรสในการยกเลิกการคว่ำบาตรนิติบุคคลบางแห่ง . นับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา รัสเซีย เสริมความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในช่วงเวลาสงคราม ด้วยการเพิ่มการใช้จ่ายด้านการทหารและยกระดับผลผลิตทางอุตสาหกรรม แต่พวกผู้เชี่ยวชาญมองว่าเศรษฐกิจของประเทศแห่งนี้ยังมีความอ่อนแอ และจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรจากตะวันตก . รัสเซียบอกว่าพวกเขาเปิดกว้างสำหรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยวังเครมลินบอกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่ารัสเซียมีแร่ธาตุแรร์เฮิร์ธมากมาย และเปิดกว้างสำหรับทำข้อตกลงพัฒนาแร่เหล่านี้ หลังจาก ปูติน พูดถึงความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือในเรื่องดังกล่าวกับสหรัฐฯ . แหล่งข่าวเชื่อว่าข้อตกลงทางเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการใดๆ ดูเหมือนจะมีความจำเป็นสำหรับเปิดทางให้สหรัฐฯผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตร . ที่ผ่านมา ทรัมป์ หาทางบรรลุข้อตกลงแร่ธาตุกับยูเครน ประเทศที่มีแหล่งทรัพยากรแร่มหาศาล ในนั้นรวมถึงแร่แรร์เอิร์ธ ในฐานะเป็นสิ่งตอบแทนชดใช้เงินช่วยเหลือหลายแสนล้านดอลลาร์ที่สหรัฐฯมอให้แก่เคียฟ อย่างไรก็ตามไม่มีการลงนามในข้อตกลง ตามหลังศึกวิวาทะดุเดือดภายในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว ระหว่าง ทรัมป์ กับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020861 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    4
    0 Comments 0 Shares 1655 Views 1 Reviews
  • รองอธิบดีดีเอสไอ เผยการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ประชุมแนวทางพิจารณาคดีฮั้ว สว. พบเข้าข่ายความผิด "อั้งยี่-ฟอกเงิน-ม.116" เสนอบอร์ด กคพ. รับ-ไม่รับคดีพิเศษ

    วันนี้ (3 มี.ค.) เวลา 13.00 น. ที่ ห้องประชุม ชั้น 1 อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร คณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ นำโดย ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะประธานอนุกรรมการ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และบุคลากรผู้แทนจาก 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะอนุกรรมการ เข้าร่วมประชุม

    เนื่องด้วยในการประชุมบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) วันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการพิจารณาเพื่อมีมติให้คดีความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ โดยที่ประชุมมีความเห็นเกี่ยวกับกรณีร้องขอให้ตรวจสอบกระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ในประเด็นพิจารณาเกี่ยวกับอำนาจในการดำเนินการตามมาตรา 49 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 ว่าเป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือเป็นอำนาจของเลขาธิการคณะกรรมการเลือกตั้ง จึงมีมติให้คณะพนักงานสืบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษไปดำเนินการในประเด็นดังกล่าวเพิ่มเติม และดำเนินการเสนอเรื่องผ่านคณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการ ก่อนนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) อีกครั้งในการประชุมครั้งที่ 3/2568 วันที่ 6 มี.ค. เพื่อให้คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) พิจารณามีมติต่อไป

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000020716

    #MGROnline #ดีเอสไอ #สมาชิกวุฒิสภา
    รองอธิบดีดีเอสไอ เผยการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ประชุมแนวทางพิจารณาคดีฮั้ว สว. พบเข้าข่ายความผิด "อั้งยี่-ฟอกเงิน-ม.116" เสนอบอร์ด กคพ. รับ-ไม่รับคดีพิเศษ • วันนี้ (3 มี.ค.) เวลา 13.00 น. ที่ ห้องประชุม ชั้น 1 อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร คณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ นำโดย ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะประธานอนุกรรมการ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และบุคลากรผู้แทนจาก 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะอนุกรรมการ เข้าร่วมประชุม • เนื่องด้วยในการประชุมบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) วันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการพิจารณาเพื่อมีมติให้คดีความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ โดยที่ประชุมมีความเห็นเกี่ยวกับกรณีร้องขอให้ตรวจสอบกระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ในประเด็นพิจารณาเกี่ยวกับอำนาจในการดำเนินการตามมาตรา 49 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 ว่าเป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือเป็นอำนาจของเลขาธิการคณะกรรมการเลือกตั้ง จึงมีมติให้คณะพนักงานสืบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษไปดำเนินการในประเด็นดังกล่าวเพิ่มเติม และดำเนินการเสนอเรื่องผ่านคณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการ ก่อนนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) อีกครั้งในการประชุมครั้งที่ 3/2568 วันที่ 6 มี.ค. เพื่อให้คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) พิจารณามีมติต่อไป • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000020716 • #MGROnline #ดีเอสไอ #สมาชิกวุฒิสภา
    0 Comments 0 Shares 312 Views 0 Reviews
  • จับตา“ชาวยิวในปาย” เบื้องหลัง นักท่องเที่ยว หรือแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว? โดย ผศ.ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    3 มีนาคม 2568 #อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน กลายเป็นจุดสนใจ เมื่อมีรายงานถึงจำนวน #นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล ที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกต จุดนี้เชื่อมโยงกับข้อกังวลในวงกว้างเกี่ยวกับบทบาทของ #กลุ่มทุนไซออนิสต์ หลายฝ่ายมองว่าอาจไม่ได้เป็นเพียงการท่องเที่ยวธรรมดา แต่เป็นส่วนหนึ่งของ #ยุทธศาสตร์ขยายอิทธิพลในภูมิภาค
    .
    ปัญหาของชาวยิว ตนต้องการ *เตือนสติ* ชาวไทยเอาไว้ว่ากรณีชาวยิวที่อำเภอปาย แม่ฮ่องสอน ควรจะมองภาพรวมใหญ่ไว้บ้างว่า...
    .
    1. ประเทศไทย เป็นเป้าหมายหนึ่งของ 'กลุ่มทุนยิวไซออนิสต์' ซึ่งอยู่เบื้องหลัง #รัฐบาลอเมริกา ที่จะยึดครอง คนพวกนี้ต้องการ #สร้างฐานทัพในประเทศไทย และใช้ประเทศไทยเป็นที่ #ตั้งอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อจ่อจี #นอีกแห่ง
    .
    2. รัฐบาลอเมริกาซึ่งมีกลุ่มทุนยิวไซออนิสต์อยู่เบื้องหลังเคย #ขอใช้สนามบินอู่ตะเภา เป็นฐานทัพ แต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาไม่ให้มาแล้ว
    .
    3. ในเวลาเดียวกัน อเมริกาก็หันไปสนับสนุนนาง #อองซานซูจี โดยทุ่มเงินจาก #USAID เข้าไปช่วยหาเสียงและซื้อเสียง #กองทัพเมียนมา จับทางได้ว่าอเมริกาต้องการเข้ามามีอิทธิพลในเมียนมาและกำลังใช้เงินจาก USAID ซื้อเสียง จึงยึดอำนาจเสีย รัฐบาลอเมริกาจึงหันไป #ติดอาวุธชนกลุ่มน้อย ให้รบกบกองทัพรัฐบาลพม่าแทน จึงเกิดมีปัญหาสู้รบกันและทำให้มีผู้อพยพเข้าสู่ประเทศไทยมากจนถึงเดี๋ยวนี้
    .
    4. สำหรับประเทศไทย อเมริกาเดินเกมขยาย #สถานกงสุลในเชียงใหม่ ให้ใหญ่โตขึ้น เพื่อรองรับคนทำงานเข้ามาใหม่ให้ได้จำนวนมากขึ้น
    .
    ผมสงสัยว่ากลุ่มคนที่จะเพิ่มเข้ามาทำงานในสถานกงสุล ก็น่าจะเป็น #เครือข่ายซีไอเอ ที่จะมาปฏิบัติการในไทยและเมียนมา ซึ่งอเมริกาต้องการจำนวนคนมากขึ้นกับภารกิจเชิงรุก รวมทั้งเจ้าหน้าที่ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้ #นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล เดินทางเข้ามาไทยมากยิ่งขึ้นตามมาในอนาคต
    ต้องไม่ลืมว่าหนังสือพิมพ์ #Haarets ของอิสราเอลรายงานชัดเจนว่าขณะนี้ ชาวยิวกำลังหันมาสนใจประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
    .
    5. ความจริงประการหนึ่งก็คือขณะนี้ รัฐบาลอเมริกาและ #อังกฤษ ทำงานรับใช้ #ยิว อย่างเต็มที่ อเมริกาทุ่มให้เครือข่ายซีไอเอไปรับใช้ ส่วนอังกฤษทุ่มเครือข่าย #MI6 ให้ทำงานรับใช้ยิวในประเทศต่างๆ มาก
    .
    จึงไม่น่าแปลกอะไรที่จะมีนักท่องเที่ยวอิสราเอล อังกฤษและอเมริกาในอำเภอปายมากกว่าในที่อื่นๆ โดยที่นักท่องเที่ยวเหล่านี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็น #สายลับ ที่เข้ามาสังเกตการณ์และทำงานร่วมกันเพื่อหาทางวางรากฐานให้ชาวยิวอพยพมาอยู่เมืองไทยอย่างถาวรก็ได้ เพราะการว่าจ้างคนไทยให้เป็นนอมินีซื้อที่ดินให้คนเหล่านี้ยึดครอง ทำได้ง่ายอยู่แล้ว
    .
    6. อเมริกายังเดินเกม จัดตั้ง #ศูนย์ข้อมูลกูเกิลในจังหวัดชลบุรี อีกแห่ง
    ข้อมูลระดับพื้นฐานที่คนไทยควรจะรู้ ก็คือ #กูเกิล เกิดมาจากหน่วยงาน #ซีไอเอ (ตามข่าวในภาพประกอบ) ขณะนี้ รัฐบาลอเมริกาและอิสราเอลใช้กูเกิลเป็นเครื่องมือช่วยกวาดล้างชาวปาเลสไตน์และปล้นแผ่นดินปาเลสไตน์อยู่
    .
    เมื่อมีการขอจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกูเกิล ไม่มีเสียงทักท้วงหรือคัดค้านใดๆ จากเลขาธิการ #สมช. ของไทย #กระทรวงมหาดไทย และ #กระทรวงการต่างประเทศเลย แสดงให้เห็นว่าสามองค์กรหลักนี้ไม่ระแวงหรือสงสัยอะไรเลยเพราะข้อมูลเกี่ยวกับกูเกิลไม่มีมากพอ
    .
    การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกูเกิลในจังหวัดชลบุรี อาจเป็นไปได้ว่าเป็นการจัดตั้งเครือข่ายซีไอเอและ #มอสสาด (#Mossad หน่วยงานข่าวกรองและปฏิบัติการพิเศษของอิสราเอล) ในประเทศไทย เพื่อรวบรวม #BigData คนในแถบ #ตะวันออกเฉียงใต้ เอาไว้ด้วยจุดประสงค์บางอย่างนั่นเอง
    .
    อย่าลืมความจริงที่คนไทยก็รู้มานานแล้วว่า ประเทศนักล่าอาณานิคมตะวันตก กำลังวางยุทธศาสตร์แบ่งแยกประเทศไทย ทั้งที่ #สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งใน #ภาคอีสาน และทั้งในพื้นที่ภาคเหนือเพื่อตนเองจะได้เข้ามามีบทบาทควบคุมประเทศแถบนี้มากยิ่งขึ้น
    .
    ประเทศเล็กๆ หลายประเทศในขณะนี้ตกเป็นอาณานิคมของอเมริกาและอิสราเอล ซึ่งมียิวอยู่เบื้องหลังก็เพราะมีหน่วยงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและมีนักการเมืองที่ดูแลผลประโยชน์ประเทศชาติพากัน *โง่* และตั้งตนในความประมาทนี่แหละ!
    .
    จับตา“ชาวยิวในปาย” เบื้องหลัง นักท่องเที่ยว หรือแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว? โดย ผศ.ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 3 มีนาคม 2568 #อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน กลายเป็นจุดสนใจ เมื่อมีรายงานถึงจำนวน #นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล ที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกต จุดนี้เชื่อมโยงกับข้อกังวลในวงกว้างเกี่ยวกับบทบาทของ #กลุ่มทุนไซออนิสต์ หลายฝ่ายมองว่าอาจไม่ได้เป็นเพียงการท่องเที่ยวธรรมดา แต่เป็นส่วนหนึ่งของ #ยุทธศาสตร์ขยายอิทธิพลในภูมิภาค . ปัญหาของชาวยิว ตนต้องการ *เตือนสติ* ชาวไทยเอาไว้ว่ากรณีชาวยิวที่อำเภอปาย แม่ฮ่องสอน ควรจะมองภาพรวมใหญ่ไว้บ้างว่า... . 1. ประเทศไทย เป็นเป้าหมายหนึ่งของ 'กลุ่มทุนยิวไซออนิสต์' ซึ่งอยู่เบื้องหลัง #รัฐบาลอเมริกา ที่จะยึดครอง คนพวกนี้ต้องการ #สร้างฐานทัพในประเทศไทย และใช้ประเทศไทยเป็นที่ #ตั้งอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อจ่อจี #นอีกแห่ง . 2. รัฐบาลอเมริกาซึ่งมีกลุ่มทุนยิวไซออนิสต์อยู่เบื้องหลังเคย #ขอใช้สนามบินอู่ตะเภา เป็นฐานทัพ แต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาไม่ให้มาแล้ว . 3. ในเวลาเดียวกัน อเมริกาก็หันไปสนับสนุนนาง #อองซานซูจี โดยทุ่มเงินจาก #USAID เข้าไปช่วยหาเสียงและซื้อเสียง #กองทัพเมียนมา จับทางได้ว่าอเมริกาต้องการเข้ามามีอิทธิพลในเมียนมาและกำลังใช้เงินจาก USAID ซื้อเสียง จึงยึดอำนาจเสีย รัฐบาลอเมริกาจึงหันไป #ติดอาวุธชนกลุ่มน้อย ให้รบกบกองทัพรัฐบาลพม่าแทน จึงเกิดมีปัญหาสู้รบกันและทำให้มีผู้อพยพเข้าสู่ประเทศไทยมากจนถึงเดี๋ยวนี้ . 4. สำหรับประเทศไทย อเมริกาเดินเกมขยาย #สถานกงสุลในเชียงใหม่ ให้ใหญ่โตขึ้น เพื่อรองรับคนทำงานเข้ามาใหม่ให้ได้จำนวนมากขึ้น . ผมสงสัยว่ากลุ่มคนที่จะเพิ่มเข้ามาทำงานในสถานกงสุล ก็น่าจะเป็น #เครือข่ายซีไอเอ ที่จะมาปฏิบัติการในไทยและเมียนมา ซึ่งอเมริกาต้องการจำนวนคนมากขึ้นกับภารกิจเชิงรุก รวมทั้งเจ้าหน้าที่ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้ #นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล เดินทางเข้ามาไทยมากยิ่งขึ้นตามมาในอนาคต ต้องไม่ลืมว่าหนังสือพิมพ์ #Haarets ของอิสราเอลรายงานชัดเจนว่าขณะนี้ ชาวยิวกำลังหันมาสนใจประเทศไทยมากยิ่งขึ้น . 5. ความจริงประการหนึ่งก็คือขณะนี้ รัฐบาลอเมริกาและ #อังกฤษ ทำงานรับใช้ #ยิว อย่างเต็มที่ อเมริกาทุ่มให้เครือข่ายซีไอเอไปรับใช้ ส่วนอังกฤษทุ่มเครือข่าย #MI6 ให้ทำงานรับใช้ยิวในประเทศต่างๆ มาก . จึงไม่น่าแปลกอะไรที่จะมีนักท่องเที่ยวอิสราเอล อังกฤษและอเมริกาในอำเภอปายมากกว่าในที่อื่นๆ โดยที่นักท่องเที่ยวเหล่านี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็น #สายลับ ที่เข้ามาสังเกตการณ์และทำงานร่วมกันเพื่อหาทางวางรากฐานให้ชาวยิวอพยพมาอยู่เมืองไทยอย่างถาวรก็ได้ เพราะการว่าจ้างคนไทยให้เป็นนอมินีซื้อที่ดินให้คนเหล่านี้ยึดครอง ทำได้ง่ายอยู่แล้ว . 6. อเมริกายังเดินเกม จัดตั้ง #ศูนย์ข้อมูลกูเกิลในจังหวัดชลบุรี อีกแห่ง ข้อมูลระดับพื้นฐานที่คนไทยควรจะรู้ ก็คือ #กูเกิล เกิดมาจากหน่วยงาน #ซีไอเอ (ตามข่าวในภาพประกอบ) ขณะนี้ รัฐบาลอเมริกาและอิสราเอลใช้กูเกิลเป็นเครื่องมือช่วยกวาดล้างชาวปาเลสไตน์และปล้นแผ่นดินปาเลสไตน์อยู่ . เมื่อมีการขอจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกูเกิล ไม่มีเสียงทักท้วงหรือคัดค้านใดๆ จากเลขาธิการ #สมช. ของไทย #กระทรวงมหาดไทย และ #กระทรวงการต่างประเทศเลย แสดงให้เห็นว่าสามองค์กรหลักนี้ไม่ระแวงหรือสงสัยอะไรเลยเพราะข้อมูลเกี่ยวกับกูเกิลไม่มีมากพอ . การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกูเกิลในจังหวัดชลบุรี อาจเป็นไปได้ว่าเป็นการจัดตั้งเครือข่ายซีไอเอและ #มอสสาด (#Mossad หน่วยงานข่าวกรองและปฏิบัติการพิเศษของอิสราเอล) ในประเทศไทย เพื่อรวบรวม #BigData คนในแถบ #ตะวันออกเฉียงใต้ เอาไว้ด้วยจุดประสงค์บางอย่างนั่นเอง . อย่าลืมความจริงที่คนไทยก็รู้มานานแล้วว่า ประเทศนักล่าอาณานิคมตะวันตก กำลังวางยุทธศาสตร์แบ่งแยกประเทศไทย ทั้งที่ #สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งใน #ภาคอีสาน และทั้งในพื้นที่ภาคเหนือเพื่อตนเองจะได้เข้ามามีบทบาทควบคุมประเทศแถบนี้มากยิ่งขึ้น . ประเทศเล็กๆ หลายประเทศในขณะนี้ตกเป็นอาณานิคมของอเมริกาและอิสราเอล ซึ่งมียิวอยู่เบื้องหลังก็เพราะมีหน่วยงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและมีนักการเมืองที่ดูแลผลประโยชน์ประเทศชาติพากัน *โง่* และตั้งตนในความประมาทนี่แหละ! .
    0 Comments 0 Shares 1005 Views 0 Reviews
  • พวกคนดังฮอลลีวูดที่เดินทางเยือนยูเครน เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนประเทศแห่งนี้ ระหว่างความขัดแย้งกับรัสเซีย ไม่ได้ออกมาจากควาามรู้สึกเห็นอกเห็นใจ แต่เพราะว่าพวกเขาได้รับค่าจ้างหลายล้านดอลลาร์ จากการออกมาแฉของ วิคเตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี เมื่อช่วงสุดสัปดาห์
    .
    ออร์บาน ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ TV2 ของฮังการี เมื่อวันเสาร์ (1 มี.ค.) ว่า การเดินทางเยือนกรุงเคียฟ ของบรรดาดาราดังทั้งหลาย ได้รับค่าจ้างจากสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) กลไกหลักของวอชิงตัน สำหรับให้เงินอุดหนุนโครงการทางการเมืองต่างๆ ในต่างแดน
    .
    "มีคนได้รับเงินจากการแสดงออกของพวกเขา ผมกำลังพูดถึงพวกคนดังและดาราหนังทั้งหลาย พวกเขาได้รับเงินให้เดินทางไปยูเครน ดังนั้นพวกเขาไม่ได้ทำมันจากก้นบึ้งของหัวใจหรือรู้สึกเห็นอกเห็นใจชาวยูเครน จริงๆ แล้วบางทีพวกเขาอาจรู้สึกเช่นนั้น แต่ก็เพราะพวกเขาได้รับเงิน"
    .
    นายกรัฐมนตรีรายนี้กล่าวอ้างว่าเงินค่าจ้างที่มอบแก่เซเลบและดาราดังทั้งหลายนั้น คิดเป็นจำนวนหลายล้านยูโรหรือหลายล้านดอลลาร์ แต่เขาไม่ได้เอ่ยชื่อว่ามีใครบ้าง
    .
    ที่ผ่านมา แอนเจลีนา โจลี ฌอน เพนน์ เบน สติลเลอร์ และออร์ลันโด บลูม เป็นหนึ่งในบรรดาคนดังตะวันตก ที่เดินทางเยือนยูเครน นับตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างเคียฟกับมอสโกลุกลามบานปลาย และลากยาวมานานกว่า 3 ปี
    .
    ในเดือนกุมภาพันธ์ มีรายงานปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์ อ้างว่า โจลี ได้รับเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับทริปเดินทางไปยังเมืองลวิว ในเดือนเมษายน 2022 ส่วน เพนน์ สติลเลอร์ และบลูม ได้รับเช็ค 5 ล้านดอลลาร์ 4 ล้านดอลลาร์ และ 8 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ จาก USAID
    .
    ย้อนกลับไปในตอนนั้น สติลเลอร์ ปฏิเสธคำกล่าวหา อ้างว่าเป็นคำโกหกจากสื่อมวลชนรัสเซีย นักแสดงรายนี้โพสต์ยืนยันบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ บอกว่าเขาเดินทางไปยังเคียฟด้วยเงินทุนของตนเอง ส่วนทนายความของ เพนน์ ระบะเช่นกันว่ารายงานข่าวที่อ้างว่าลูกความของเขาได้รับค่าจ้างจาก USAID ให้พบปะกับ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน นั้น "ไม่ถูกต้องโดยสิ้นเชิง ชี้นำผิดๆ และขาดการไตร่ตรอง"
    .
    ไม่นานหลังจากเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ทำการกวาดล้าง USAID กล่าวหาหน่วยงานแห่งนี้ว่ามีการคอร์รัปชันอย่างกว้างขวางและไร้ประสิทธิภาพ เขาสั่งการให้ระงับเงินทุนที่ป้อนแก่ USAID เป็นเวลา 90 วัน และถ่ายโอนการกำกับดูแลโครงการต่างๆ ของหน่วยงานแห่งนี้ ให้ไปอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการต่างประเทศโดยตรง
    .
    ระหว่างการให้สัมภาษณ์ ทาง ออร์บาน ระบุว่ากิจกรรมต่างๆ ของ USAID ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา อาจเป็น "การคอร์รัปชันที่อื้อฉาวครั้งมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์โลกตะวันตก"
    .
    "ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน เงินหลายพันหลายหมื่นล้านดอลลาร์ถูกโอนย้ายจากงบประมาณสหรัฐฯ เข้าสู่กองทุนต่างๆ และรูปแบบการสนับสนุนต่างๆ และจากนั้นก็ถูกจัดสรรไปทั่วโลก มอบให้คนที่มีความคิด จิตวิญญาณ โครงการและผลประโยชน์อย่างเจาะจง ตรงตามความต้องการของอเมริกา และพวกเขาได้รับเงินสำหรับสิ่งนั้น"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020425
    ..............
    Sondhi X
    พวกคนดังฮอลลีวูดที่เดินทางเยือนยูเครน เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนประเทศแห่งนี้ ระหว่างความขัดแย้งกับรัสเซีย ไม่ได้ออกมาจากควาามรู้สึกเห็นอกเห็นใจ แต่เพราะว่าพวกเขาได้รับค่าจ้างหลายล้านดอลลาร์ จากการออกมาแฉของ วิคเตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ . ออร์บาน ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ TV2 ของฮังการี เมื่อวันเสาร์ (1 มี.ค.) ว่า การเดินทางเยือนกรุงเคียฟ ของบรรดาดาราดังทั้งหลาย ได้รับค่าจ้างจากสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) กลไกหลักของวอชิงตัน สำหรับให้เงินอุดหนุนโครงการทางการเมืองต่างๆ ในต่างแดน . "มีคนได้รับเงินจากการแสดงออกของพวกเขา ผมกำลังพูดถึงพวกคนดังและดาราหนังทั้งหลาย พวกเขาได้รับเงินให้เดินทางไปยูเครน ดังนั้นพวกเขาไม่ได้ทำมันจากก้นบึ้งของหัวใจหรือรู้สึกเห็นอกเห็นใจชาวยูเครน จริงๆ แล้วบางทีพวกเขาอาจรู้สึกเช่นนั้น แต่ก็เพราะพวกเขาได้รับเงิน" . นายกรัฐมนตรีรายนี้กล่าวอ้างว่าเงินค่าจ้างที่มอบแก่เซเลบและดาราดังทั้งหลายนั้น คิดเป็นจำนวนหลายล้านยูโรหรือหลายล้านดอลลาร์ แต่เขาไม่ได้เอ่ยชื่อว่ามีใครบ้าง . ที่ผ่านมา แอนเจลีนา โจลี ฌอน เพนน์ เบน สติลเลอร์ และออร์ลันโด บลูม เป็นหนึ่งในบรรดาคนดังตะวันตก ที่เดินทางเยือนยูเครน นับตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างเคียฟกับมอสโกลุกลามบานปลาย และลากยาวมานานกว่า 3 ปี . ในเดือนกุมภาพันธ์ มีรายงานปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์ อ้างว่า โจลี ได้รับเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับทริปเดินทางไปยังเมืองลวิว ในเดือนเมษายน 2022 ส่วน เพนน์ สติลเลอร์ และบลูม ได้รับเช็ค 5 ล้านดอลลาร์ 4 ล้านดอลลาร์ และ 8 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ จาก USAID . ย้อนกลับไปในตอนนั้น สติลเลอร์ ปฏิเสธคำกล่าวหา อ้างว่าเป็นคำโกหกจากสื่อมวลชนรัสเซีย นักแสดงรายนี้โพสต์ยืนยันบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ บอกว่าเขาเดินทางไปยังเคียฟด้วยเงินทุนของตนเอง ส่วนทนายความของ เพนน์ ระบะเช่นกันว่ารายงานข่าวที่อ้างว่าลูกความของเขาได้รับค่าจ้างจาก USAID ให้พบปะกับ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน นั้น "ไม่ถูกต้องโดยสิ้นเชิง ชี้นำผิดๆ และขาดการไตร่ตรอง" . ไม่นานหลังจากเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ทำการกวาดล้าง USAID กล่าวหาหน่วยงานแห่งนี้ว่ามีการคอร์รัปชันอย่างกว้างขวางและไร้ประสิทธิภาพ เขาสั่งการให้ระงับเงินทุนที่ป้อนแก่ USAID เป็นเวลา 90 วัน และถ่ายโอนการกำกับดูแลโครงการต่างๆ ของหน่วยงานแห่งนี้ ให้ไปอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการต่างประเทศโดยตรง . ระหว่างการให้สัมภาษณ์ ทาง ออร์บาน ระบุว่ากิจกรรมต่างๆ ของ USAID ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา อาจเป็น "การคอร์รัปชันที่อื้อฉาวครั้งมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์โลกตะวันตก" . "ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน เงินหลายพันหลายหมื่นล้านดอลลาร์ถูกโอนย้ายจากงบประมาณสหรัฐฯ เข้าสู่กองทุนต่างๆ และรูปแบบการสนับสนุนต่างๆ และจากนั้นก็ถูกจัดสรรไปทั่วโลก มอบให้คนที่มีความคิด จิตวิญญาณ โครงการและผลประโยชน์อย่างเจาะจง ตรงตามความต้องการของอเมริกา และพวกเขาได้รับเงินสำหรับสิ่งนั้น" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020425 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    4
    0 Comments 1 Shares 1338 Views 0 Reviews
  • ชิ่งเพราะกลัวเสียหน้า คิดถึงท่านกษิต ภิรมย์ ท่านสุรินทร์ พิศสุวรรณ และท่านถนัด คอมันตร์ เมื่อพูดถึงกระทรวงการต่างประเทศครับ
    ชิ่งเพราะกลัวเสียหน้า คิดถึงท่านกษิต ภิรมย์ ท่านสุรินทร์ พิศสุวรรณ และท่านถนัด คอมันตร์ เมื่อพูดถึงกระทรวงการต่างประเทศครับ
    สื่อไทย-เทศงง "มาริษ" ชิ่งทันที หลังแถลงไตรภาคี "ไทย-จีน-เมียนมา"แก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์-อาชญากรรมข้ามชาติ คาดเลี่ยงอุยกูร์ เจ้าตัวแถลง ยัน 3 ประเทศแชร์ข้อมูล ร่วมมืออย่างดี บอก “จีน-เมียนมา” ชมไทย ติดตามแก้ปัญหาจริงจัง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000019937

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • จากการสำรวจนิด้าโพลเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.58 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.00 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 12.82 ระบุว่า พอใจมาก ด้านความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.76 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.28 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 13.36 ระบุว่า พอใจมาก สำหรับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.41 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 25.04 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น และร้อยละ 12.29 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานในแต่ละกระทรวงของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า กระทรวงสาธารณสุข ตัวอย่าง ร้อยละ 32.45 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.16 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 17.02 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.29 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตัวอย่าง ร้อยละ 32.14 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.25 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 15.04 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพลังงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 32.98 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.31 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 14.11 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.76 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการคลัง ตัวอย่าง ร้อยละ 33.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.79 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.75 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.59 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.38 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 21.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.44 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.57 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.29 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.39 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.21 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 6.41 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.48 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.46 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.98 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.24 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 29.92 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.55 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 18.09 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.52 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 10.92 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลสำนักนายกรัฐมนตรี ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.70 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.52 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงวัฒนธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 31.53 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.54 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.94 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.70 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงศึกษาธิการ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.04 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.08 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.51 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงมหาดไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 24.27 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.53 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.00 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.99 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.28 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงอุตสาหกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.92 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.01 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.68 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงยุติธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 32.90 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 11.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 4.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงคมนาคม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.37 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.92 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.21 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตัวอย่าง ร้อยละ 33.44 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.00 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.69 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.76 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.11 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงแรงงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 35.80 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 25.65 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 25.42 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงกลาโหม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.56 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.63 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.60 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.31 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.90 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.95 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.49 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 25.80 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 9.39 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.37 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล
    จากการสำรวจนิด้าโพลเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.58 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.00 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 12.82 ระบุว่า พอใจมาก ด้านความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.76 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.28 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 13.36 ระบุว่า พอใจมาก สำหรับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.41 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 25.04 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น และร้อยละ 12.29 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานในแต่ละกระทรวงของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า กระทรวงสาธารณสุข ตัวอย่าง ร้อยละ 32.45 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.16 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 17.02 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.29 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตัวอย่าง ร้อยละ 32.14 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.25 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 15.04 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพลังงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 32.98 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.31 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 14.11 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.76 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการคลัง ตัวอย่าง ร้อยละ 33.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.79 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.75 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.59 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.38 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 21.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.44 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.57 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.29 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.39 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.21 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 6.41 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.48 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.46 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.98 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.24 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 29.92 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.55 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 18.09 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.52 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 10.92 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลสำนักนายกรัฐมนตรี ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.70 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.52 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงวัฒนธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 31.53 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.54 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.94 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.70 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงศึกษาธิการ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.04 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.08 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.51 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงมหาดไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 24.27 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.53 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.00 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.99 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.28 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงอุตสาหกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.92 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.01 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.68 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงยุติธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 32.90 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 11.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 4.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงคมนาคม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.37 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.92 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.21 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตัวอย่าง ร้อยละ 33.44 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.00 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.69 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.76 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.11 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงแรงงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 35.80 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 25.65 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 25.42 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงกลาโหม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.56 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.63 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.60 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.31 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.90 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.95 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.49 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 25.80 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 9.39 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.37 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล
    0 Comments 0 Shares 378 Views 0 Reviews
  • ความล้มเหลวข้อตกลงแร่ธาตุที่ทุกฝ่ายต่างต้องการ ยกเว้น "รูบิโอ" รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ

    - เซเลนสกี:
    การแสดงออกของเซเลนสกีด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวต่อหน้าสื่อมวลชน ในการเรียกร้องข้อเสนอเพิ่มเติมให้มีกองกำลังภาคพื้นดินของสหรัฐฯ เข้ามาในยูเครน ทั้งที่เซเลนสกี้รู้ดีว่าทรัมป์จะไม่เห็นด้วย บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่มีความคิดจะลงนามข้อตกลงแร่ธาตุ นอกจากนี้ การนำเสนอข่าวของสื่อในยูเครนถึงความไม่เป็นเอกภาพภายในรัฐบาลเซเลนสกี ที่หลายฝ่ายยังมีความเห็นไปคนละทาง สิ่งนี้บ่งบอกได้ว่า เซเลนสกีเดินทางมาสหรัฐด้วยตัวของเขาเอง โดยที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลที่นำโดยนายกรัฐมนตรี ชมีกัล

    จากวิดีโอ เซเลนสกีกล่าวไว้าชัดเจนว่า “ผมไม่สามารถเปลี่ยนทัศนคติของเราที่มีต่อชาวรัสเซียได้ พวกเขาเป็นฆาตกร ปูตินและชาวรัสเซียคือศัตรูของเรา” คำพูดของเซเลนสกี บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า เขาไม่มีความคิดจะลงนามในข้อตกลงใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อปี 2022 ช่วงเริ่มต้นสงคราม หรือแม้แต่ข้อตกลงมินสก์ ซึ่งภายหลังปูตินถึงกับบอกว่ารัสเซียถูกหลอกให้ลงนาม

    - "รูบิโอ" รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ:
    โดยปกติแล้ว ในการลงนามข้อตกลงระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญระดับนี้ จะต้องได้รับการจัดการและตรวจสอบจนมั่นใจได้ว่ายินยอมพร้อมลงนามกันทั้งสองฝ่าย โดยที่ไม่มีอะไรผิดพลาด ก่อนที่จะมีการจัดการนัดประชุมของผู้นำประเทศเพื่อลงนามต่อไป

    แต่ครั้งนี้ นับเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ "มาร์โก รูบิโอ" ที่ตกเป็นเครื่องมือของเซเลนสกี ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อสามวันก่อนมีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับยูเครนใกล้จะตกลงเรื่องแร่ธาตุหายากได้แล้ว ขณะเดียวกันก็มีข่าวออกมาว่าเซเลนสกีจะมาเยือนทำเนียบขาว เพื่อเซ็นสัญญา ซึ่งรูบิโอ เป็นผู้ให้ข้อมูลนี้เอง

    จะเห็นว่าหลังจากการเจรจาล้มเหลว ไม่มีการลงนามใดๆเกิดขึ้น กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เป็นหน่วยงานแรกที่มีประกาศยุติการสนับสนุนโครงการฟื้นฟูโครงข่ายพลังงานของยูเครน ที่ออกมาสนองตอบต่อการกระทำของเซเลนสกี

    - เจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ:
    ขณะเดียวกัน ทางฝั่งเจดี แวนซ์ รองปธน.สหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลที่ตอบโต้เซเลนสกี จนนำไปสู่วิวาทะเดือด โดยปกติแล้ว ในระหว่างการประชุมทางการทูตต่อหน้าสื่อมวลชนแบบนี้ รองประธานาธิบดีมักจะไม่บทบาทในการพูดมากมายนัก เว้นแต่ว่าจะมีการนัดแนะกันไว้ก่อนแล้ว ซึ่งในครั้งนี้มันช่างตรงกับข้อสังเกตนี้อย่างมาก เพราะในสถานการณ์ช่วงเวลานั้น แวนซ์ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรก็ได้

    - โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ:
    แต่เรื่องมันมีอยู่ว่า แร่ธาตุหายากไม่ใช่ว่าใครจะขุดกันได้ง่ายๆ เนื่องจากต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนและจำเป็นต้องมีอุตสาหกรรมการขุดแร่ที่แข็งแกร่ง หรือมีประสบการณ์สูง

    เนื่องจากว่านี่คือแร่หายาก ไม่ใช่ทุกประเทศจะมี และถึงแม้ว่าจะมีแร่ แต่ก็มีเพียงบางประเทศเท่านั้นที่เทคโนโลยีอยู่ในระดับที่สามารถขุดออกมาแปรรูปเป็นสินค้าและคุ้มค่าในการลงทุน

    สหรัฐทำไม่ได้แน่นอน ซึ่งรวมทั้งยูเครนด้วย เพราะสภาพเศรษฐกิจของยูเครนยังไม่พร้อมกับเทคโนโลยีในการขุดแร่เหล่านั้น

    ทรัมป์รู้ดีถึงข้อเสียเปรียบตรงนี้ และนี่เป็นที่มาของเจดี แวนซ์ ในการยั่วยุเซเลนสกี

    - เมื่อเซเลนสกีเองก็ไม่ได้อยากลงนามในข้อตกลง ทรัมป์ก็ไม่อยากลงนามเช่นกัน คนที่อยากจะสร้างผลงาน มีคนเดียวคือ "รูบิโอ" ต้องกลายเป็นหมากของทั้งสองฝ่ายไปอย่างไม่เต็มใจนัก
    ความล้มเหลวข้อตกลงแร่ธาตุที่ทุกฝ่ายต่างต้องการ ยกเว้น "รูบิโอ" รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ - เซเลนสกี: การแสดงออกของเซเลนสกีด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวต่อหน้าสื่อมวลชน ในการเรียกร้องข้อเสนอเพิ่มเติมให้มีกองกำลังภาคพื้นดินของสหรัฐฯ เข้ามาในยูเครน ทั้งที่เซเลนสกี้รู้ดีว่าทรัมป์จะไม่เห็นด้วย บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่มีความคิดจะลงนามข้อตกลงแร่ธาตุ นอกจากนี้ การนำเสนอข่าวของสื่อในยูเครนถึงความไม่เป็นเอกภาพภายในรัฐบาลเซเลนสกี ที่หลายฝ่ายยังมีความเห็นไปคนละทาง สิ่งนี้บ่งบอกได้ว่า เซเลนสกีเดินทางมาสหรัฐด้วยตัวของเขาเอง โดยที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลที่นำโดยนายกรัฐมนตรี ชมีกัล จากวิดีโอ เซเลนสกีกล่าวไว้าชัดเจนว่า “ผมไม่สามารถเปลี่ยนทัศนคติของเราที่มีต่อชาวรัสเซียได้ พวกเขาเป็นฆาตกร ปูตินและชาวรัสเซียคือศัตรูของเรา” คำพูดของเซเลนสกี บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า เขาไม่มีความคิดจะลงนามในข้อตกลงใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อปี 2022 ช่วงเริ่มต้นสงคราม หรือแม้แต่ข้อตกลงมินสก์ ซึ่งภายหลังปูตินถึงกับบอกว่ารัสเซียถูกหลอกให้ลงนาม - "รูบิโอ" รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ: โดยปกติแล้ว ในการลงนามข้อตกลงระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญระดับนี้ จะต้องได้รับการจัดการและตรวจสอบจนมั่นใจได้ว่ายินยอมพร้อมลงนามกันทั้งสองฝ่าย โดยที่ไม่มีอะไรผิดพลาด ก่อนที่จะมีการจัดการนัดประชุมของผู้นำประเทศเพื่อลงนามต่อไป แต่ครั้งนี้ นับเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ "มาร์โก รูบิโอ" ที่ตกเป็นเครื่องมือของเซเลนสกี ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อสามวันก่อนมีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับยูเครนใกล้จะตกลงเรื่องแร่ธาตุหายากได้แล้ว ขณะเดียวกันก็มีข่าวออกมาว่าเซเลนสกีจะมาเยือนทำเนียบขาว เพื่อเซ็นสัญญา ซึ่งรูบิโอ เป็นผู้ให้ข้อมูลนี้เอง จะเห็นว่าหลังจากการเจรจาล้มเหลว ไม่มีการลงนามใดๆเกิดขึ้น กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เป็นหน่วยงานแรกที่มีประกาศยุติการสนับสนุนโครงการฟื้นฟูโครงข่ายพลังงานของยูเครน ที่ออกมาสนองตอบต่อการกระทำของเซเลนสกี - เจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ: ขณะเดียวกัน ทางฝั่งเจดี แวนซ์ รองปธน.สหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลที่ตอบโต้เซเลนสกี จนนำไปสู่วิวาทะเดือด โดยปกติแล้ว ในระหว่างการประชุมทางการทูตต่อหน้าสื่อมวลชนแบบนี้ รองประธานาธิบดีมักจะไม่บทบาทในการพูดมากมายนัก เว้นแต่ว่าจะมีการนัดแนะกันไว้ก่อนแล้ว ซึ่งในครั้งนี้มันช่างตรงกับข้อสังเกตนี้อย่างมาก เพราะในสถานการณ์ช่วงเวลานั้น แวนซ์ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรก็ได้ - โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ: แต่เรื่องมันมีอยู่ว่า แร่ธาตุหายากไม่ใช่ว่าใครจะขุดกันได้ง่ายๆ เนื่องจากต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนและจำเป็นต้องมีอุตสาหกรรมการขุดแร่ที่แข็งแกร่ง หรือมีประสบการณ์สูง เนื่องจากว่านี่คือแร่หายาก ไม่ใช่ทุกประเทศจะมี และถึงแม้ว่าจะมีแร่ แต่ก็มีเพียงบางประเทศเท่านั้นที่เทคโนโลยีอยู่ในระดับที่สามารถขุดออกมาแปรรูปเป็นสินค้าและคุ้มค่าในการลงทุน สหรัฐทำไม่ได้แน่นอน ซึ่งรวมทั้งยูเครนด้วย เพราะสภาพเศรษฐกิจของยูเครนยังไม่พร้อมกับเทคโนโลยีในการขุดแร่เหล่านั้น ทรัมป์รู้ดีถึงข้อเสียเปรียบตรงนี้ และนี่เป็นที่มาของเจดี แวนซ์ ในการยั่วยุเซเลนสกี - เมื่อเซเลนสกีเองก็ไม่ได้อยากลงนามในข้อตกลง ทรัมป์ก็ไม่อยากลงนามเช่นกัน คนที่อยากจะสร้างผลงาน มีคนเดียวคือ "รูบิโอ" ต้องกลายเป็นหมากของทั้งสองฝ่ายไปอย่างไม่เต็มใจนัก
    0 Comments 0 Shares 347 Views 0 Reviews
  • สหรัฐประกาศยุติการสนับสนุนโครงการฟื้นฟูโครงข่ายพลังงานของยูเครน
    - NBC News รายงาน

    "สิ่งนี้จะส่งสัญญาณไปยังรัสเซียว่าเราไม่สนใจยูเครนและการลงทุนในอดีตของเรา" พนักงาน USAID คนหนึ่งกล่าวกับ NBC News

    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐสั่งยกเลิกโครงการของหน่วยงาน USAID ที่ลงทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์เพื่อฟื้นฟูโครงข่ายพลังงานยูเครนจากการโจมตีของกองทัพรัสเซีย ตามคำยืนยันของเจ้าหน้าที่ USAID สองคนที่ทำงานในภารกิจยูเครน
    สหรัฐประกาศยุติการสนับสนุนโครงการฟื้นฟูโครงข่ายพลังงานของยูเครน - NBC News รายงาน "สิ่งนี้จะส่งสัญญาณไปยังรัสเซียว่าเราไม่สนใจยูเครนและการลงทุนในอดีตของเรา" พนักงาน USAID คนหนึ่งกล่าวกับ NBC News กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐสั่งยกเลิกโครงการของหน่วยงาน USAID ที่ลงทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์เพื่อฟื้นฟูโครงข่ายพลังงานยูเครนจากการโจมตีของกองทัพรัสเซีย ตามคำยืนยันของเจ้าหน้าที่ USAID สองคนที่ทำงานในภารกิจยูเครน
    0 Comments 0 Shares 276 Views 0 Reviews
  • รีโพสต์บทความของเพจเฟซบุ๊กKornkit Disthan ของกรกิจ ดิษฐาน ที่น่าสนใจวันนี้เขียนเยอะที่สุดแล้วในหนึ่งวัน เพราะมีแต่เรื่องทั้งวัน เพราะไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมามี "คำเตือน" จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาฯ ในกรุงเทพ ว่า "...รัฐบาลไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 45 คนกลับประเทศจีน การเนรเทศในลักษณะเดียวกันนี้เคยก่อให้เกิดการโจมตีตอบโต้อย่างรุนแรงมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการเนรเทศชาวอุยกูร์ออกจากประเทศไทยในปี 2015 ได้เกิดเหตุอุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่องระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณในกรุงเทพฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 รายและบาดเจ็บอีก 125 ราย เนื่องจากศาลแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก (จึงตกเป็นเป้าหมายของพวกอุยกูร์)" ดังนั้น ทางสถานทูตจึงแนะนำพลเมืองสหรัฐฯ ในไทยว่า "เพิ่มความระมัดระวังและเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านซึ่งนักท่องเที่ยวมักไป เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้"คำเตือนนี้ จะว่าไปก็เหมาะสมในแง่ "กันไว้ก่อน" แต่มันอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้ "ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ" เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยบอกว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้ได้อ่านเงื่อนไขของทางจีนแล้วว่าจะให้ดำรงชีวิตตามปกติ จึงยอมสมัครใจกลับจีนเอง ซึ่งจะจริงไม่จริงนั้นก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน แต่ถ้าอิงตามนี้ว่าสมัครใจกลับเอง แล้ว "ใครกันแน่ที่จะเดือนร้อนแทนคนเหล่านี้จนต้องก่อการร้ายในไทย?"การทำเช่นนั้นอาจจะยิ่งทำให้ไทยเข้าใกล้จีนเข้าไปอีก หรืออาจบีบต้องมีปฏิบัติการใหม่ระว่างไทย-จีนที่กวาดล้างผู้ก่อการร้ายเพิ่มเติมจากตอนนี้ที่กำลังร่วมมือกวาดล้างสแกมเมอร์และถ้าชาวอุยกูร์เหล่านี้เป็นปัจจัยให้เกิดการก่อการร้ายในไทยขึ้นมาจริงๆ การส่งไปให้จีนก็ยิ่งชอบธรรม เพราะเท่ากับว่าถ้าส่งตัวคนเหล่านี้ออกไปตะวันตกหรือตุรกีหรือตะวันออกกลาง ไม่กลายเป็นการ "ปล่อยเสือเข้าป่า" หรอกหรือ? เพราะชาวอุยกูร์ที่ไปทางตะวันตก ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแอกทิวิสต์เชิงสันติ แต่ที่ออกไปรบในตะวันออกกลางมีเป็นพันคน และตอนนี้ฮึกเหิมอยากจะก่อญิฮาดกับจีนใจจะขาดอีกประเทศหนึ่งที่เตือน คือกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ออกคำเตือนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เรียกว่าไวกว่าสหรัฐฯ เสียอีก โดยเตือนไว้ว่า "ในกรุงเทพมหานคร หลังจากชาวอุยกูร์ถูกเนรเทศกลับประเทศจีน ในปี 2015 ได้เกิดระเบิดขึ้นที่สี่แยกราชประสงค์ ใกล้ศาลพระพรหมเอราวัณ เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปีเดียวกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย และบาดเจ็บ 125 ราย รวมทั้งชาวญี่ปุ่นด้วย ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและนักท่องเที่ยวควรพยายามหาข้อมูลล่าสุดและดำเนินการดังต่อไปนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะบริเวณรอบสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดงาน ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ระบบขนส่งสาธารณะ สถานที่ทางศาสนา ฯลฯ ที่มีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกัน มักตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายและต้องใช้ความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง"เนื่องจากมีชาวญี่ปุ่นเป็นเหยื่อการระเบิดศาลพระพรหมครั้งนั้นด้วย จึงสมเหตุผลที่ทางการญี่ปุ่นต้องเตือน และน่าสังเกตว่าเหตุผลของการเตือนของญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ นั้นเหมือนกันอย่างมากแต่ก็มีบริบทแวดล้อมที่ควรทราบคือ ทางการญี่ปุ่นขู่ตอบโต้และขู่จะเล่นงานจีนมาหลายปีแล้วเรื่องที่ (พันธมิตรตะวันตก) อ้างว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ และคอยช่วยเหลือชาวอุยกูร์ จัดการประชุมชาวอุยกูร์จากทั่วโลกในญี่ปุ่น ประเด็นนี้จึงเป็น "เรื่องการเมือง" ที่ญี่ปุ่นคอยใช้กระซวกจีนมาตลอดด้วย มีเหตุผลที่ต้องพิจารณาเอาไว้ในใจว่า สหรัฐ ญี่ปุ่น และชาติ G7 ทั้งหมด ใช้ประเด็นอุยกูร์โจมตีและคว่ำบาตรจีน ดังนั้นประเทศที่ร่วมมือกับจีนเรื่องอุยกูร์ ก็ควรจะตระหนักถึงผลลัพธ์ที่จะเจอจากกลุ่มนี้เอาไว้ด้วยอีกด้านหนึ่งที่ควรทราบไว้แม้ว่าจะเกี่ยวข้องแบบห่างๆ ก็คือญี่ปุ่นก็ให้การคุ้มครองชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยมายังญี่ปุ่น และคนเหล่านี้ได้ก่อตั้งสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น (日本ウイグル協会) ขึ้นมาเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านจีนผู้ให้การสนับสนุน/เป็นพันธมิตรของสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น คือ สมาคมกัมบาเระนิปปง (頑張れ日本!) ซึ่งเป็นกลุ่มชาตินิยมญี่ปุ่น/ฝ่ายขวาจัด และเกี่ยวข้องกับนักการเมืองและพรรคการเมืองที่เอียงไปทางขวาเหมือนกัน แน่นอนว่ากลุ่มนี้ก็ต่อต้านจีนเช่นกันหนึ่งในกลุ่มที่สนับสนุนอุยกูร์ คือ สมาชิกพรรครัฐบาล LDP เช่นที่ปรึกษาของอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ
    รีโพสต์บทความของเพจเฟซบุ๊กKornkit Disthan ของกรกิจ ดิษฐาน ที่น่าสนใจวันนี้เขียนเยอะที่สุดแล้วในหนึ่งวัน เพราะมีแต่เรื่องทั้งวัน เพราะไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมามี "คำเตือน" จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาฯ ในกรุงเทพ ว่า "...รัฐบาลไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 45 คนกลับประเทศจีน การเนรเทศในลักษณะเดียวกันนี้เคยก่อให้เกิดการโจมตีตอบโต้อย่างรุนแรงมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการเนรเทศชาวอุยกูร์ออกจากประเทศไทยในปี 2015 ได้เกิดเหตุอุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่องระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณในกรุงเทพฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 รายและบาดเจ็บอีก 125 ราย เนื่องจากศาลแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก (จึงตกเป็นเป้าหมายของพวกอุยกูร์)" ดังนั้น ทางสถานทูตจึงแนะนำพลเมืองสหรัฐฯ ในไทยว่า "เพิ่มความระมัดระวังและเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านซึ่งนักท่องเที่ยวมักไป เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้"คำเตือนนี้ จะว่าไปก็เหมาะสมในแง่ "กันไว้ก่อน" แต่มันอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้ "ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ" เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยบอกว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้ได้อ่านเงื่อนไขของทางจีนแล้วว่าจะให้ดำรงชีวิตตามปกติ จึงยอมสมัครใจกลับจีนเอง ซึ่งจะจริงไม่จริงนั้นก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน แต่ถ้าอิงตามนี้ว่าสมัครใจกลับเอง แล้ว "ใครกันแน่ที่จะเดือนร้อนแทนคนเหล่านี้จนต้องก่อการร้ายในไทย?"การทำเช่นนั้นอาจจะยิ่งทำให้ไทยเข้าใกล้จีนเข้าไปอีก หรืออาจบีบต้องมีปฏิบัติการใหม่ระว่างไทย-จีนที่กวาดล้างผู้ก่อการร้ายเพิ่มเติมจากตอนนี้ที่กำลังร่วมมือกวาดล้างสแกมเมอร์และถ้าชาวอุยกูร์เหล่านี้เป็นปัจจัยให้เกิดการก่อการร้ายในไทยขึ้นมาจริงๆ การส่งไปให้จีนก็ยิ่งชอบธรรม เพราะเท่ากับว่าถ้าส่งตัวคนเหล่านี้ออกไปตะวันตกหรือตุรกีหรือตะวันออกกลาง ไม่กลายเป็นการ "ปล่อยเสือเข้าป่า" หรอกหรือ? เพราะชาวอุยกูร์ที่ไปทางตะวันตก ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแอกทิวิสต์เชิงสันติ แต่ที่ออกไปรบในตะวันออกกลางมีเป็นพันคน และตอนนี้ฮึกเหิมอยากจะก่อญิฮาดกับจีนใจจะขาดอีกประเทศหนึ่งที่เตือน คือกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ออกคำเตือนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เรียกว่าไวกว่าสหรัฐฯ เสียอีก โดยเตือนไว้ว่า "ในกรุงเทพมหานคร หลังจากชาวอุยกูร์ถูกเนรเทศกลับประเทศจีน ในปี 2015 ได้เกิดระเบิดขึ้นที่สี่แยกราชประสงค์ ใกล้ศาลพระพรหมเอราวัณ เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปีเดียวกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย และบาดเจ็บ 125 ราย รวมทั้งชาวญี่ปุ่นด้วย ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและนักท่องเที่ยวควรพยายามหาข้อมูลล่าสุดและดำเนินการดังต่อไปนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะบริเวณรอบสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดงาน ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ระบบขนส่งสาธารณะ สถานที่ทางศาสนา ฯลฯ ที่มีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกัน มักตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายและต้องใช้ความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง"เนื่องจากมีชาวญี่ปุ่นเป็นเหยื่อการระเบิดศาลพระพรหมครั้งนั้นด้วย จึงสมเหตุผลที่ทางการญี่ปุ่นต้องเตือน และน่าสังเกตว่าเหตุผลของการเตือนของญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ นั้นเหมือนกันอย่างมากแต่ก็มีบริบทแวดล้อมที่ควรทราบคือ ทางการญี่ปุ่นขู่ตอบโต้และขู่จะเล่นงานจีนมาหลายปีแล้วเรื่องที่ (พันธมิตรตะวันตก) อ้างว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ และคอยช่วยเหลือชาวอุยกูร์ จัดการประชุมชาวอุยกูร์จากทั่วโลกในญี่ปุ่น ประเด็นนี้จึงเป็น "เรื่องการเมือง" ที่ญี่ปุ่นคอยใช้กระซวกจีนมาตลอดด้วย มีเหตุผลที่ต้องพิจารณาเอาไว้ในใจว่า สหรัฐ ญี่ปุ่น และชาติ G7 ทั้งหมด ใช้ประเด็นอุยกูร์โจมตีและคว่ำบาตรจีน ดังนั้นประเทศที่ร่วมมือกับจีนเรื่องอุยกูร์ ก็ควรจะตระหนักถึงผลลัพธ์ที่จะเจอจากกลุ่มนี้เอาไว้ด้วยอีกด้านหนึ่งที่ควรทราบไว้แม้ว่าจะเกี่ยวข้องแบบห่างๆ ก็คือญี่ปุ่นก็ให้การคุ้มครองชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยมายังญี่ปุ่น และคนเหล่านี้ได้ก่อตั้งสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น (日本ウイグル協会) ขึ้นมาเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านจีนผู้ให้การสนับสนุน/เป็นพันธมิตรของสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น คือ สมาคมกัมบาเระนิปปง (頑張れ日本!) ซึ่งเป็นกลุ่มชาตินิยมญี่ปุ่น/ฝ่ายขวาจัด และเกี่ยวข้องกับนักการเมืองและพรรคการเมืองที่เอียงไปทางขวาเหมือนกัน แน่นอนว่ากลุ่มนี้ก็ต่อต้านจีนเช่นกันหนึ่งในกลุ่มที่สนับสนุนอุยกูร์ คือ สมาชิกพรรครัฐบาล LDP เช่นที่ปรึกษาของอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ
    0 Comments 0 Shares 443 Views 0 Reviews
  • "เคยมีใครประณามหรือยัง!?!"
    "ฉันคิดว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ยากมาก แต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นคุ้มค่า"
    "I think this is a very hard choice, but the price—we think the price is worth it."

    นางแมเดลิน อาลไบรต์ (Madeleine Albright) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 MINUTES ทางช่อง CBS News ออกอากาศเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2539 ในประเด็นที่สหรัฐฯคว่ำบาตรอิรักตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2533 สาเหตุมาจากการที่กองทัพอิรักบุกยึดคูเวต และสหประชาชาติก็ร่วมคว่ำบาตรอิรักด้วยเช่นกัน

    หนังสือพิมพ์ New York Times รายงานข่าวว่าเด็กชาวอิรักกว่า 576,000 ราย เสียชีวิตจากการขาดแคลนอาหาร อันเป็นผลกระทบจากการคว่ำบาตรของสหประชาชาติที่นำโดยสหรัฐฯ
    .
    นางเลสลี่ สตอห์ล (Lesley Stahl) พิธีกรรายการ 60 MINUTES สัมภาษณ์นางอาลไบรต์ และถามคำถามกับนางอาลไบรต์ว่า กรณีการเสียชีวิตของเด็กชาวอิรักกว่า 576,000 รายนั้น คุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งนางอาลไบรต์ก็ตอบว่า “ฉันคิดว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ยากมาก แต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นคุ้มค่า”
    "เคยมีใครประณามหรือยัง!?!" "ฉันคิดว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ยากมาก แต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นคุ้มค่า" "I think this is a very hard choice, but the price—we think the price is worth it." นางแมเดลิน อาลไบรต์ (Madeleine Albright) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 MINUTES ทางช่อง CBS News ออกอากาศเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2539 ในประเด็นที่สหรัฐฯคว่ำบาตรอิรักตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2533 สาเหตุมาจากการที่กองทัพอิรักบุกยึดคูเวต และสหประชาชาติก็ร่วมคว่ำบาตรอิรักด้วยเช่นกัน หนังสือพิมพ์ New York Times รายงานข่าวว่าเด็กชาวอิรักกว่า 576,000 ราย เสียชีวิตจากการขาดแคลนอาหาร อันเป็นผลกระทบจากการคว่ำบาตรของสหประชาชาติที่นำโดยสหรัฐฯ . นางเลสลี่ สตอห์ล (Lesley Stahl) พิธีกรรายการ 60 MINUTES สัมภาษณ์นางอาลไบรต์ และถามคำถามกับนางอาลไบรต์ว่า กรณีการเสียชีวิตของเด็กชาวอิรักกว่า 576,000 รายนั้น คุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งนางอาลไบรต์ก็ตอบว่า “ฉันคิดว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ยากมาก แต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นคุ้มค่า”
    0 Comments 0 Shares 333 Views 8 0 Reviews
  • ตอนที่.1 #USAID สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากากของ ‘มนุษยธรรม’
    Written by Drago Bosnic

    ยุทธศาสตร์ครอบงำโลกของสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เมื่อพยายามนึกภาพอำนาจของสหรัฐอเมริกาเรามักจะนึกถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินขับไล่ รถถัง นาวิกโยธิน ฯลฯ

    ในความเป็นจริงระบบราชการขนาดใหญ่ของอเมริกาแทบจะทำลายล้างประเทศเป้าหมายเสมอก่อนที่จะมีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการดำเนินการทางทหารโดยตรง
    เพื่อจุดประสงค์สิ่งนั้นหน่วยข่าวกรองจำนวนมากของไอ้กุ้ยโลกจึงมีความจำเป็น
    https://t.me/rtnews/81104

    อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาการปฏิเสธที่สมเหตุสมผล หน่วยงานข่าวกรองเหล่านี้มักจะใช้ตัวแทนต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรพัฒนาเอกชน หรือแม้แต่สถาบันของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือหน่วยงานเพื่อการพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือเรียกสั้นๆ ว่า USAID ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่

    งบประมาณของหน่วยงานที่น่าอับอายนี้อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์อย่างเป็นทางการ แม้ว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มากโดยอาจสูงถึง (หรืออาจเกิน) 1 แสนล้านดอลลาร์
    https://www.usaspending.gov/agency/agency-for-international-development?fy=2024
    สิ่งนี้ทําให้ USAID สามารถดําเนินการได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือพวกเขา
    https://t.me/rtnews/81071

    คิดเป็นมากกว่า 50% ของโครงการ “ความช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกาทั้งหมดและมีการดำเนินการโดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชีย ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก (ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากลัทธิอาณานิคม (แบบใหม่) มากที่สุด)

    เพื่อให้เข้าใจถึงขอบเขตการทำงานของ USAID ได้ดีขึ้น บางทีเราควรเปรียบเทียบกับ NED (National Endowment for Democracy) ซึ่งเป็น “สถาบันประชาธิปไตยอิสระ” อีกแห่งหนึ่งที่ทำหน้าที่จัดหาเงินทุนและสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติสี” NED มีกิจกรรม “ประชาธิปไตย” เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่ Victoria Nuland ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารนอกเหนือจากการให้ทุนแก่สื่ออิสระแล้ว
    https://t.me/Slavyangrad/114746
    USAID ยังมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษในยูเครน
    https://news.antiwar.com/2025/01/28/ukrainian-media-outlets-start-donations-after-us-funding-is-paused/
    โดยเร่งกระบวนการแปรรูปของประเทศที่โชคร้ายที่ถูกนาโต้ยึดครอง
    https://t.me/IntelRepublic/43800
    รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่แท้จริงของหน่วยงานที่น่าอับอายนั้นค่อนข้างหายากจนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ เนื่องจากเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อกระแสหลักและรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามนำเสนอกิจกรรมพวกเขาโดยอ้างว่า "ช่วยเหลือประเทศอื่น" หรือปกปิดพวกเขาจากสายตาสาธารณะ

    อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอำนาจ ผลก็คือในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานของเขาและ DOGE (แผนกประสิทธิภาพของรัฐบาล) ซึ่งดำเนินการโดย Elon Musk ได้เปิดเผยรายละเอียดที่น่ากังวลใจอย่างมากเกี่ยวกับกิจกรรมจริงของ USAID
    https://www.americanthinker.com/blog/2025/02/trump_s_attack_on_the_deep_state_is_spectacular_and_almost_certainly_legal.html
    ซึ่งมักผิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาและกฎหมายของประเทศเจ้าภาพจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

    เมื่อปลายเดือนมกราคม หน่วยงานดังกล่าวถูกบังคับให้หยุดกิจกรรมส่วนใหญ่ในยูเครนที่ถูกนาโต้ยึดครอง
    https://www.reuters.com/world/europe/ukraine-aid-groups-cut-services-scramble-cash-after-us-funding-shock-2025-01-30/
    รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนสื่อเกือบทั้งหมดที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มนีโอนาซี
    https://t.me/Slavyangrad/118280?single

    ไม่นานหลังจากนั้น สื่ออื่นๆ ทั่วทั้งยุโรปตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ก็เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "ค่านิยมแบบตะวันตก" (ซึ่งเป็นการผสมผสานทางอุดมการณ์ระหว่างลัทธิเสรีนิยมสุดโต่งและความเสื่อมทรามทางศีลธรรม) ซึ่งคนส่วนใหญ่บนโลกพบว่าน่ารังเกียจอย่างยิ่ง)

    เว็บไซต์ USAID จะปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ประกาศว่าหน่วยงานนี้จะถูกปิดตัวลงในเร็วๆ นี้
    https://www.zerohedge.com/political/usaid-website-goes-dark-trump-reportedly-plans-shift-agency-under-state-department
    ณ เวลาที่เขียนนี้ เว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้จริง และแสดงข้อความเพียงว่าบุคลากรของเว็บไซต์จะถูกพักงานทั่วโลกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์
    https://www.usaid.gov/
    แม้ว่า "พนักงานที่สำคัญ" จะได้รับแจ้งถึงชะตากรรมของตนในวันก่อนหน้านั้น คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ก็ตาม

    อ่านต่อตอนที่.2
    https://www.facebook.com/share/p/1DN6TtSX6u/
    ตอนที่.1 #USAID สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากากของ ‘มนุษยธรรม’ Written by Drago Bosnic ยุทธศาสตร์ครอบงำโลกของสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เมื่อพยายามนึกภาพอำนาจของสหรัฐอเมริกาเรามักจะนึกถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินขับไล่ รถถัง นาวิกโยธิน ฯลฯ ในความเป็นจริงระบบราชการขนาดใหญ่ของอเมริกาแทบจะทำลายล้างประเทศเป้าหมายเสมอก่อนที่จะมีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการดำเนินการทางทหารโดยตรง เพื่อจุดประสงค์สิ่งนั้นหน่วยข่าวกรองจำนวนมากของไอ้กุ้ยโลกจึงมีความจำเป็น https://t.me/rtnews/81104 อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาการปฏิเสธที่สมเหตุสมผล หน่วยงานข่าวกรองเหล่านี้มักจะใช้ตัวแทนต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรพัฒนาเอกชน หรือแม้แต่สถาบันของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือหน่วยงานเพื่อการพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือเรียกสั้นๆ ว่า USAID ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ งบประมาณของหน่วยงานที่น่าอับอายนี้อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์อย่างเป็นทางการ แม้ว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มากโดยอาจสูงถึง (หรืออาจเกิน) 1 แสนล้านดอลลาร์ https://www.usaspending.gov/agency/agency-for-international-development?fy=2024 สิ่งนี้ทําให้ USAID สามารถดําเนินการได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือพวกเขา https://t.me/rtnews/81071 คิดเป็นมากกว่า 50% ของโครงการ “ความช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกาทั้งหมดและมีการดำเนินการโดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชีย ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก (ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากลัทธิอาณานิคม (แบบใหม่) มากที่สุด) เพื่อให้เข้าใจถึงขอบเขตการทำงานของ USAID ได้ดีขึ้น บางทีเราควรเปรียบเทียบกับ NED (National Endowment for Democracy) ซึ่งเป็น “สถาบันประชาธิปไตยอิสระ” อีกแห่งหนึ่งที่ทำหน้าที่จัดหาเงินทุนและสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติสี” NED มีกิจกรรม “ประชาธิปไตย” เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่ Victoria Nuland ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารนอกเหนือจากการให้ทุนแก่สื่ออิสระแล้ว https://t.me/Slavyangrad/114746 USAID ยังมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษในยูเครน https://news.antiwar.com/2025/01/28/ukrainian-media-outlets-start-donations-after-us-funding-is-paused/ โดยเร่งกระบวนการแปรรูปของประเทศที่โชคร้ายที่ถูกนาโต้ยึดครอง https://t.me/IntelRepublic/43800 รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่แท้จริงของหน่วยงานที่น่าอับอายนั้นค่อนข้างหายากจนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ เนื่องจากเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อกระแสหลักและรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามนำเสนอกิจกรรมพวกเขาโดยอ้างว่า "ช่วยเหลือประเทศอื่น" หรือปกปิดพวกเขาจากสายตาสาธารณะ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอำนาจ ผลก็คือในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานของเขาและ DOGE (แผนกประสิทธิภาพของรัฐบาล) ซึ่งดำเนินการโดย Elon Musk ได้เปิดเผยรายละเอียดที่น่ากังวลใจอย่างมากเกี่ยวกับกิจกรรมจริงของ USAID https://www.americanthinker.com/blog/2025/02/trump_s_attack_on_the_deep_state_is_spectacular_and_almost_certainly_legal.html ซึ่งมักผิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาและกฎหมายของประเทศเจ้าภาพจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เมื่อปลายเดือนมกราคม หน่วยงานดังกล่าวถูกบังคับให้หยุดกิจกรรมส่วนใหญ่ในยูเครนที่ถูกนาโต้ยึดครอง https://www.reuters.com/world/europe/ukraine-aid-groups-cut-services-scramble-cash-after-us-funding-shock-2025-01-30/ รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนสื่อเกือบทั้งหมดที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มนีโอนาซี https://t.me/Slavyangrad/118280?single ไม่นานหลังจากนั้น สื่ออื่นๆ ทั่วทั้งยุโรปตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ก็เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "ค่านิยมแบบตะวันตก" (ซึ่งเป็นการผสมผสานทางอุดมการณ์ระหว่างลัทธิเสรีนิยมสุดโต่งและความเสื่อมทรามทางศีลธรรม) ซึ่งคนส่วนใหญ่บนโลกพบว่าน่ารังเกียจอย่างยิ่ง) เว็บไซต์ USAID จะปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ประกาศว่าหน่วยงานนี้จะถูกปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ https://www.zerohedge.com/political/usaid-website-goes-dark-trump-reportedly-plans-shift-agency-under-state-department ณ เวลาที่เขียนนี้ เว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้จริง และแสดงข้อความเพียงว่าบุคลากรของเว็บไซต์จะถูกพักงานทั่วโลกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ https://www.usaid.gov/ แม้ว่า "พนักงานที่สำคัญ" จะได้รับแจ้งถึงชะตากรรมของตนในวันก่อนหน้านั้น คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ก็ตาม อ่านต่อตอนที่.2 https://www.facebook.com/share/p/1DN6TtSX6u/
    T.ME
    RT News
    USAID operates as plausible deniability agency to the 'rogue activities of CIA, State Dept, Pentagon - Benz The agency pushes legacy foreign policy that 'hated Trump with a passion', spending billions annually controlling media narrative that 'populism is attack on democracy'. #US #USAID
    0 Comments 0 Shares 644 Views 0 Reviews
More Results