• FED ธนาคารกลางสหรัฐ มีมติลดดอกเบี้ยนโยบายลงมากถึง 0.5% นับเป็นการลดครั้งแรกในรอบ 4 ปี เพื่อให้เงินเฟ้อขยับลงอย่างยั่งยืนและเศรษฐกิจสหรัฐsoft landing

    19 กันยายน 2567-คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งประชุมกันเมื่อวันที่ 17-18 กันยายนที่ผ่านมา มีมติลดดอกเบี้ยนโยบายลงมากถึง 0.5% นับเป็นการลดครั้งแรกในรอบ 4 ปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยลงไปอยู่ในระดับ 4.75-5% อย่างไรก็ตาม มติครั้งนี้ไม่เป็นเอกฉันท์ เนื่องจากมีกรรมการ 1 คนคัดค้าน โดยเห็นว่าควรลดเพียง 0.25%

    เหตุผลของกรรมการส่วนใหญ่ที่เห็นว่าควรลด 0.5% ก็เพราะมั่นใจมากขึ้นว่าเงินเฟ้อลดลงอย่างยั่งยืนและเคลื่อนไหวในทิศทางที่เชื่อว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 2% ขณะเดียวกัน ก็เพื่อรักษาอัตราการจ้างงานไปด้วย โดยสภาวการณ์ในขณะนี้ค่อนข้างมีความสมดุลที่จะเอื้อให้บรรลุเป้าหมายทั้งด้านเงินเฟ้อและอัตราการจ้างงาน

    การลดดอกเบี้ย 0.5% ถูกมองว่าเป็นการลดแบบ “จัมโบ้” หรือค่อนข้างมาก แต่ก็เป็นไปตามที่ตลาดคาดหมาย หลังจากในระยะหลังนักลงทุนเปลี่ยนความคิด จากเดิมที่เชื่อว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยครั้งแรกเพียง 0.25% มาเป็น 0.5% เพื่อป้องกันเศรษฐกิจถดถอย

    ขณะเดียวกัน เมื่อดูจากคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยของกรรมการรายบุคคล หรือ “Dot Plot” บ่งชี้ว่า จะมีการลดดอกเบี้ยอีก 0.5% ภายในสิ้นปี 2024 นี้ ซึ่งจะมีการประชุมเหลืออยู่ 2 ครั้ง คือ เดือนพฤศจิกายน และธันวาคม จากนั้นปี 2025 จะลดอีก 1% และปีถัดไป 2026 ลดอีก 0.5%

    “เจอโรม พาวเวลล์” ประธานเฟด ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมว่า การลดดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการ “ปรับปรุง” นโยบายการเงินให้เหมาะสมเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน และขณะเดียวกัน ก็สามารถทำให้เงินเฟ้อมีเสถียรภาพ เป้าหมายของเฟดคือรักษาอัตราเงินเฟ้อให้มีเสถียรภาพ ขณะเดียวกัน ก็ต้องแน่ใจว่าอัตราว่างงานจะไม่สูงขึ้น เป็นการรักษาเสถียรภาพราคาไปพร้อม ๆ กับรักษาการจ้างงานเอาไว้

    ดังนั้น นักลงทุนควรมองว่าการลด 0.5% เป็นการแสดงความ “แน่วแน่” ของเฟดที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ขณะนี้กล่าวได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในภาวะที่ดี เติบโตแข็งแกร่ง ตลาดแรงงานยังเข้มแข็ง เงินเฟ้อลดต่ำลง

    พาวเวลล์ย้ำว่า ไม่ต้องการให้นักลงทุนหรือตลาดสันนิษฐานเอาเองว่าการลด 0.5% ในครั้งนี้ จะหมายถึงว่าในอนาคตเฟดจะลดในอัตรานี้ไปเรื่อย ๆ อย่าคิดว่านี่คืออัตราใหม่สำหรับเฟด เพราะเฟดจะไม่เร่งรีบในการผ่อนคลายด้านการเงิน เฟดจะยังทำเหมือนเดิมคือพิจารณาอย่างระมัดระวังในการประชุมแต่ละครั้งก่อนตัดสินใจ

    “ที่ผ่านมาจะเห็นว่าความอดทนรอของเราให้ผลตอบแทนที่ดีกลับมา เห็นได้จากเงินเฟ้อค่อย ๆ ลดลงอย่างยั่งยืน จนกระทั่งทำให้เราสามารถลดดอกเบี้ยได้มากในวันนี้” พาวเวลล์ระบุ

    ถึงแม้การลด 0.5% จะเป็นที่ชอบใจของนักลงทุนส่วนใหญ่ แต่บางคนก็มีมุมมองต่างออกไป เช่น สก๊อต เฮลฟ์สไตน์ หัวหน้ากลยุทธ์การลงทุนของโกลบอล เอ็กซ์ ระบุว่า การลด 0.5% อาจมากเกินไป เพราะตัวเลขเศรษฐกิจส่วนใหญ่ในระยะหลังนี้ไม่ได้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโตน้อยลง ไม่จำเป็นต้องลดมากขนาดนั้น ซึ่งอัตรานี้จะสนับสนุนให้มีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น

    แนนซี เทนเกลอร์ ประธานบริหารของลาฟเฟอร์ เทนเกลอร์ อินเวสต์เมนต์ เห็นว่า เฟดเคลื่อนไหวเร็วเกินไป เพราะถึงแม้เศรษฐกิจจะชะลอลง แต่ยังคงแข็งแกร่ง ถึงแม้การว่างงานจะเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ยังไม่มีการเลิกจ้าง อีกทั้งการเปิดรับตำแหน่งงานใหม่ในสหรัฐยังคงมีจำนวนมากกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดด้วยซ้ำ “คำวิพากษ์วิจารณ์ของฉันที่มีต่อเฟดก็คือเน้นการมองในระยะสั้น โดยมุ่งเน้นดูข้อมูลย้อนหลัง แค่ข้อมูลจ้างงานที่อ่อนแอเพียงสัปดาห์เดียว ก็ทำให้ลดดอกเบี้ยมากขนาดนี้”

    ฟิลิป สแตรล ประธานเจ้าหน้าที่ลงทุน ของมอร์นิ่งสตาร์ เวลธ์ ชี้ว่า การลดดอกเบี้ยถึง 0.5% เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้น้อยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน อย่างเช่น วิกฤตการเงินครั้งร้ายแรงในปี 2008 และโควิด-19 ระบาดในปี 2020 สำหรับในครั้งนี้ถือว่าลดมากเกินไปและเร็วเกินไป ทั้งที่ข้อมูลเศรษฐกิจค่อนข้างแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับการผ่อนคลายทางการเงินช่วงอื่น ๆ ภายใต้การว่างงานที่ 4.2% นอกจากนี้จีดีพีไตรมาส 2 ก็ขยายตัวถึง 3%

    “การลดมากขนาดนี้เป็นตัวชี้ว่าเฟดมีความสบายใจที่เงินเฟ้อขยับลงอย่างยั่งยืน และตอนนี้ก็ปรับเปลี่ยนทิศทางไปมุ่งเน้นการทำให้เศรษฐกิจชะลอลงอย่างSoft Landing “

    ที่มา : https://youtu.be/EgW_pSJqQEc?si=uk4HLrZSsqAVl2AL

    #Thaitimes
    FED ธนาคารกลางสหรัฐ มีมติลดดอกเบี้ยนโยบายลงมากถึง 0.5% นับเป็นการลดครั้งแรกในรอบ 4 ปี เพื่อให้เงินเฟ้อขยับลงอย่างยั่งยืนและเศรษฐกิจสหรัฐsoft landing 19 กันยายน 2567-คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งประชุมกันเมื่อวันที่ 17-18 กันยายนที่ผ่านมา มีมติลดดอกเบี้ยนโยบายลงมากถึง 0.5% นับเป็นการลดครั้งแรกในรอบ 4 ปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยลงไปอยู่ในระดับ 4.75-5% อย่างไรก็ตาม มติครั้งนี้ไม่เป็นเอกฉันท์ เนื่องจากมีกรรมการ 1 คนคัดค้าน โดยเห็นว่าควรลดเพียง 0.25% เหตุผลของกรรมการส่วนใหญ่ที่เห็นว่าควรลด 0.5% ก็เพราะมั่นใจมากขึ้นว่าเงินเฟ้อลดลงอย่างยั่งยืนและเคลื่อนไหวในทิศทางที่เชื่อว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 2% ขณะเดียวกัน ก็เพื่อรักษาอัตราการจ้างงานไปด้วย โดยสภาวการณ์ในขณะนี้ค่อนข้างมีความสมดุลที่จะเอื้อให้บรรลุเป้าหมายทั้งด้านเงินเฟ้อและอัตราการจ้างงาน การลดดอกเบี้ย 0.5% ถูกมองว่าเป็นการลดแบบ “จัมโบ้” หรือค่อนข้างมาก แต่ก็เป็นไปตามที่ตลาดคาดหมาย หลังจากในระยะหลังนักลงทุนเปลี่ยนความคิด จากเดิมที่เชื่อว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยครั้งแรกเพียง 0.25% มาเป็น 0.5% เพื่อป้องกันเศรษฐกิจถดถอย ขณะเดียวกัน เมื่อดูจากคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยของกรรมการรายบุคคล หรือ “Dot Plot” บ่งชี้ว่า จะมีการลดดอกเบี้ยอีก 0.5% ภายในสิ้นปี 2024 นี้ ซึ่งจะมีการประชุมเหลืออยู่ 2 ครั้ง คือ เดือนพฤศจิกายน และธันวาคม จากนั้นปี 2025 จะลดอีก 1% และปีถัดไป 2026 ลดอีก 0.5% “เจอโรม พาวเวลล์” ประธานเฟด ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมว่า การลดดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการ “ปรับปรุง” นโยบายการเงินให้เหมาะสมเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน และขณะเดียวกัน ก็สามารถทำให้เงินเฟ้อมีเสถียรภาพ เป้าหมายของเฟดคือรักษาอัตราเงินเฟ้อให้มีเสถียรภาพ ขณะเดียวกัน ก็ต้องแน่ใจว่าอัตราว่างงานจะไม่สูงขึ้น เป็นการรักษาเสถียรภาพราคาไปพร้อม ๆ กับรักษาการจ้างงานเอาไว้ ดังนั้น นักลงทุนควรมองว่าการลด 0.5% เป็นการแสดงความ “แน่วแน่” ของเฟดที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ขณะนี้กล่าวได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในภาวะที่ดี เติบโตแข็งแกร่ง ตลาดแรงงานยังเข้มแข็ง เงินเฟ้อลดต่ำลง พาวเวลล์ย้ำว่า ไม่ต้องการให้นักลงทุนหรือตลาดสันนิษฐานเอาเองว่าการลด 0.5% ในครั้งนี้ จะหมายถึงว่าในอนาคตเฟดจะลดในอัตรานี้ไปเรื่อย ๆ อย่าคิดว่านี่คืออัตราใหม่สำหรับเฟด เพราะเฟดจะไม่เร่งรีบในการผ่อนคลายด้านการเงิน เฟดจะยังทำเหมือนเดิมคือพิจารณาอย่างระมัดระวังในการประชุมแต่ละครั้งก่อนตัดสินใจ “ที่ผ่านมาจะเห็นว่าความอดทนรอของเราให้ผลตอบแทนที่ดีกลับมา เห็นได้จากเงินเฟ้อค่อย ๆ ลดลงอย่างยั่งยืน จนกระทั่งทำให้เราสามารถลดดอกเบี้ยได้มากในวันนี้” พาวเวลล์ระบุ ถึงแม้การลด 0.5% จะเป็นที่ชอบใจของนักลงทุนส่วนใหญ่ แต่บางคนก็มีมุมมองต่างออกไป เช่น สก๊อต เฮลฟ์สไตน์ หัวหน้ากลยุทธ์การลงทุนของโกลบอล เอ็กซ์ ระบุว่า การลด 0.5% อาจมากเกินไป เพราะตัวเลขเศรษฐกิจส่วนใหญ่ในระยะหลังนี้ไม่ได้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโตน้อยลง ไม่จำเป็นต้องลดมากขนาดนั้น ซึ่งอัตรานี้จะสนับสนุนให้มีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น แนนซี เทนเกลอร์ ประธานบริหารของลาฟเฟอร์ เทนเกลอร์ อินเวสต์เมนต์ เห็นว่า เฟดเคลื่อนไหวเร็วเกินไป เพราะถึงแม้เศรษฐกิจจะชะลอลง แต่ยังคงแข็งแกร่ง ถึงแม้การว่างงานจะเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ยังไม่มีการเลิกจ้าง อีกทั้งการเปิดรับตำแหน่งงานใหม่ในสหรัฐยังคงมีจำนวนมากกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดด้วยซ้ำ “คำวิพากษ์วิจารณ์ของฉันที่มีต่อเฟดก็คือเน้นการมองในระยะสั้น โดยมุ่งเน้นดูข้อมูลย้อนหลัง แค่ข้อมูลจ้างงานที่อ่อนแอเพียงสัปดาห์เดียว ก็ทำให้ลดดอกเบี้ยมากขนาดนี้” ฟิลิป สแตรล ประธานเจ้าหน้าที่ลงทุน ของมอร์นิ่งสตาร์ เวลธ์ ชี้ว่า การลดดอกเบี้ยถึง 0.5% เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้น้อยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน อย่างเช่น วิกฤตการเงินครั้งร้ายแรงในปี 2008 และโควิด-19 ระบาดในปี 2020 สำหรับในครั้งนี้ถือว่าลดมากเกินไปและเร็วเกินไป ทั้งที่ข้อมูลเศรษฐกิจค่อนข้างแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับการผ่อนคลายทางการเงินช่วงอื่น ๆ ภายใต้การว่างงานที่ 4.2% นอกจากนี้จีดีพีไตรมาส 2 ก็ขยายตัวถึง 3% “การลดมากขนาดนี้เป็นตัวชี้ว่าเฟดมีความสบายใจที่เงินเฟ้อขยับลงอย่างยั่งยืน และตอนนี้ก็ปรับเปลี่ยนทิศทางไปมุ่งเน้นการทำให้เศรษฐกิจชะลอลงอย่างSoft Landing “ ที่มา : https://youtu.be/EgW_pSJqQEc?si=uk4HLrZSsqAVl2AL #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 457 มุมมอง 0 รีวิว
  • ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด
    ได้ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรก
    ในรอบกว่า 4 ปี เพื่อพยุงเศรษฐกิจสหรัฐ
    โดยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไป 50 จุดพื้นฐาน
    จากเดิม 5.50-5.25% ลดเหลือ 5.00-4.75%
    ที่มา : Reuters

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    💥💥ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ได้ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรก ในรอบกว่า 4 ปี เพื่อพยุงเศรษฐกิจสหรัฐ โดยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไป 50 จุดพื้นฐาน จากเดิม 5.50-5.25% ลดเหลือ 5.00-4.75% ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 659 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ray Dalio ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ผู้ทรงอิทธิพลของโลก หวั่นเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเสี่ยงเจอวิกฤตหนัก 5 ประการ ปัญหาหนี้ที่เพิ่มขึ้นรุมเร้าและการเมืองภายในแตกแยก ขณะที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีนทวีความรุนแรงเป็นสงครามการค้าตั้งกำแพงภาษี ท่ามกลางภัยธรรมชาติรุนแรงสร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินยิ่งกว่าสงคราม

    ในการประชุมสุดยอดเอเชียของ Milken Institute ที่สิงคโปร์ เรย์ ดาลิโอ ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ระดับมหาเศรษฐี ได้ระบุถึงแรงขับเคลื่อนสำคัญ 5 ประการที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน โดยระบุถึงลักษณะเป็นวัฏจักรและเชื่อมโยงกัน ตามรายงานของลี อิง ชาน นักข่าว CNBC

    ในการพูดก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ทุกคนรอคอยมานาน ดาลิโอได้เน้นย้ำถึงความกังวลเกี่ยวกับวิธีการที่สหรัฐฯ จะจัดการหนี้ที่เพิ่มขึ้น โดยที่อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษ ปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้จ่ายเงิน 1.049 ล้านล้านดอลลาร์ในการชำระหนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบเป็นรายปี ดาลิโอตั้งคำถามว่าหนี้ที่เพิ่มขึ้นนี้จะส่งผลกระทบต่อมูลค่าทรัพย์สินของสหรัฐฯ และบทบาทของสินทรัพย์ของสหรัฐฯ ในฐานะแหล่งเก็บความมั่งคั่งที่เชื่อถือได้อย่างไร

    ตามรายงานของ CNBC ดาลิโอยังได้ดึงความสนใจไปที่สิ่งที่เขาเรียกว่า "ความไม่สงบภายใน" ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะความแตกแยกทางการเมืองที่ขยายตัวก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2024 เขาเตือนว่าความแตกต่างที่ไม่อาจปรองดองได้ระหว่างฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายทางการเมือง ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากความไม่เท่าเทียมกันของความมั่งคั่ง อาจขัดขวางการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ แม้ว่ารองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริสจะถูกมองว่าเป็นผู้นำ แต่ดาลิโอแนะนำว่าความไม่มั่นคงทางการเมืองอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจของประเทศมากกว่านโยบายของผู้สมัครคนใด ๆ

    บนเวทีระหว่างประเทศ ดาลิโออ้างถึงความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีนว่าเป็นแหล่งความกังวลที่สำคัญ ดาลิโอกล่าวว่าปัญหาเช่นสถานะทางการเมืองของไต้หวันและภาษีศุลกากรทางเศรษฐกิจได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจทั้งสองตึงเครียด ในขณะที่ดาลิโอตั้งข้อสังเกตว่าความกลัวต่อการทำลายล้างซึ่งกันและกันอาจป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งโดยตรง เขากล่าวว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความวุ่นวายทั่วโลก

    ดาลิโอเน้นย้ำถึงผลกระทบที่เพิ่มมากขึ้นของปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยระบุว่า "ภัยธรรมชาติ" เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม และโรคระบาด มักก่อให้เกิดการหยุดชะงักทางสังคมมากกว่าสงคราม CNBC เน้นย้ำถึงคำเตือนของเขาว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจสร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าในไม่ช้านี้ โดยคาดว่า GDP ทั่วโลกจะหดตัวลง 12% ต่ออุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส

    สุดท้าย Dalio เน้นย้ำถึงพลังการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เขาแนะนำว่าผู้ที่สามารถใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพจะได้รับประโยชน์อย่างมาก ในขณะเดียวกันก็เตือนด้วยว่าเทคโนโลยีอาจทำให้ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น การประเมินโดยรวมของ Dalio นั้นระมัดระวัง โดยคำพูดสุดท้ายของเขาบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกเผชิญกับความเสี่ยงด้านลบมากกว่าโอกาสด้านบวก

    ที่มา : https://www.cryptoglobe.com/latest/2024/09/billionaire-ray-dalio-warns-of-soaring-u-s-debt-geopolitical-tensions-and-tech-wars-between-nations/

    #Thaitimes
    Ray Dalio ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ผู้ทรงอิทธิพลของโลก หวั่นเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเสี่ยงเจอวิกฤตหนัก 5 ประการ ปัญหาหนี้ที่เพิ่มขึ้นรุมเร้าและการเมืองภายในแตกแยก ขณะที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีนทวีความรุนแรงเป็นสงครามการค้าตั้งกำแพงภาษี ท่ามกลางภัยธรรมชาติรุนแรงสร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินยิ่งกว่าสงคราม ในการประชุมสุดยอดเอเชียของ Milken Institute ที่สิงคโปร์ เรย์ ดาลิโอ ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ระดับมหาเศรษฐี ได้ระบุถึงแรงขับเคลื่อนสำคัญ 5 ประการที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน โดยระบุถึงลักษณะเป็นวัฏจักรและเชื่อมโยงกัน ตามรายงานของลี อิง ชาน นักข่าว CNBC ในการพูดก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ทุกคนรอคอยมานาน ดาลิโอได้เน้นย้ำถึงความกังวลเกี่ยวกับวิธีการที่สหรัฐฯ จะจัดการหนี้ที่เพิ่มขึ้น โดยที่อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษ ปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้จ่ายเงิน 1.049 ล้านล้านดอลลาร์ในการชำระหนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบเป็นรายปี ดาลิโอตั้งคำถามว่าหนี้ที่เพิ่มขึ้นนี้จะส่งผลกระทบต่อมูลค่าทรัพย์สินของสหรัฐฯ และบทบาทของสินทรัพย์ของสหรัฐฯ ในฐานะแหล่งเก็บความมั่งคั่งที่เชื่อถือได้อย่างไร ตามรายงานของ CNBC ดาลิโอยังได้ดึงความสนใจไปที่สิ่งที่เขาเรียกว่า "ความไม่สงบภายใน" ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะความแตกแยกทางการเมืองที่ขยายตัวก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2024 เขาเตือนว่าความแตกต่างที่ไม่อาจปรองดองได้ระหว่างฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายทางการเมือง ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากความไม่เท่าเทียมกันของความมั่งคั่ง อาจขัดขวางการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ แม้ว่ารองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริสจะถูกมองว่าเป็นผู้นำ แต่ดาลิโอแนะนำว่าความไม่มั่นคงทางการเมืองอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจของประเทศมากกว่านโยบายของผู้สมัครคนใด ๆ บนเวทีระหว่างประเทศ ดาลิโออ้างถึงความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีนว่าเป็นแหล่งความกังวลที่สำคัญ ดาลิโอกล่าวว่าปัญหาเช่นสถานะทางการเมืองของไต้หวันและภาษีศุลกากรทางเศรษฐกิจได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจทั้งสองตึงเครียด ในขณะที่ดาลิโอตั้งข้อสังเกตว่าความกลัวต่อการทำลายล้างซึ่งกันและกันอาจป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งโดยตรง เขากล่าวว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความวุ่นวายทั่วโลก ดาลิโอเน้นย้ำถึงผลกระทบที่เพิ่มมากขึ้นของปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยระบุว่า "ภัยธรรมชาติ" เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม และโรคระบาด มักก่อให้เกิดการหยุดชะงักทางสังคมมากกว่าสงคราม CNBC เน้นย้ำถึงคำเตือนของเขาว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจสร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าในไม่ช้านี้ โดยคาดว่า GDP ทั่วโลกจะหดตัวลง 12% ต่ออุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส สุดท้าย Dalio เน้นย้ำถึงพลังการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เขาแนะนำว่าผู้ที่สามารถใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพจะได้รับประโยชน์อย่างมาก ในขณะเดียวกันก็เตือนด้วยว่าเทคโนโลยีอาจทำให้ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น การประเมินโดยรวมของ Dalio นั้นระมัดระวัง โดยคำพูดสุดท้ายของเขาบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกเผชิญกับความเสี่ยงด้านลบมากกว่าโอกาสด้านบวก ที่มา : https://www.cryptoglobe.com/latest/2024/09/billionaire-ray-dalio-warns-of-soaring-u-s-debt-geopolitical-tensions-and-tech-wars-between-nations/ #Thaitimes
    WWW.CRYPTOGLOBE.COM
    Ray Dalio Reveals the Top Five Forces Influencing the Global Economy
    Ray Dalio foresees a dangerous convergence of forces that could reshape the global order.
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 835 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ ของปู่วอร์เรน บัฟเฟต
    ได้ทำการขายหุ้น Bank of America Company (BAC) อีกครั้ง
    ใน 3 วันทำการ คือ วันศุกร์, จันทร์ และ อังคาร
    จำนวนรวม 5.8 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 228.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    หรือประมาณ 7,730 ล้านบาท โดยมีมูลค่าราคาเฉลี่ย
    ที่ 39.45 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น

    โดยตั้งแต่กลางเดือน กรกฎาคม เป็นต้นมา เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์
    ได้ขายหุ้น BAC ไปแล้วมูลค่ารวมกว่า 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
    หรือประมาณ 2.37 แสนล้านบาท และมีหุ้น BAC ที่ถือครอง
    ณ ปัจจุบัน เหลืออยู่ 11%

    หมายเหตุ: เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ ของปู่วอร์เรน บัฟเฟต
    เข้าเข้าซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์และใบสำคัญแสดงสิทธิของ BAC
    มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2011 หลังจากวิกฤตการณ์
    ทางการเงิน และแปลงใบสำคัญแสดงสิทธิเหล่านั้นในปี 2017

    ทำให้เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด
    ของ BAC จากนั้นก็เพิ่มหุ้นอีก 300 ล้านหุ้น ในช่วงปี
    2018 และ 2019

    โดยเริ่มทะยอยขายหุ้นในช่วงกลางเดือน กรกฎาคม ปีนี้
    หลังจากราคาหุ้น BAC ได้ปรับตัวสูงขึ้น ประมาณ 20-23%

    และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐส่งสัญญาณถดถอย
    ปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ จึงมีนโยบาย ให้ถือครองเงินสดไว้
    ในบริษัทให้มากที่สุด เพื่อรอจังหวะการลงทุนใหม่ๆ นั่นเอง

    ซึ่งคาดการณ์กันว่า ปู่วอร์เรน น่าจะซื้อหุน BAC ในช่วงปี
    2011 ที่ราคา ประมาณ 5.5 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้น
    และขายทำกำไรในช่วงราคา 30-39 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้น
    (กำไรมากกว่า 80-85%)

    ที่มา : cnbc
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #วอร์เรนบัฟเฟตต์ #thaitimes
    #เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์
    🔥🔥บริษัท เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ ของปู่วอร์เรน บัฟเฟต ได้ทำการขายหุ้น Bank of America Company (BAC) อีกครั้ง ใน 3 วันทำการ คือ วันศุกร์, จันทร์ และ อังคาร จำนวนรวม 5.8 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 228.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7,730 ล้านบาท โดยมีมูลค่าราคาเฉลี่ย ที่ 39.45 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น 🚩โดยตั้งแต่กลางเดือน กรกฎาคม เป็นต้นมา เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ ได้ขายหุ้น BAC ไปแล้วมูลค่ารวมกว่า 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.37 แสนล้านบาท และมีหุ้น BAC ที่ถือครอง ณ ปัจจุบัน เหลืออยู่ 11% 🚩หมายเหตุ: เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ ของปู่วอร์เรน บัฟเฟต เข้าเข้าซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์และใบสำคัญแสดงสิทธิของ BAC มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2011 หลังจากวิกฤตการณ์ ทางการเงิน และแปลงใบสำคัญแสดงสิทธิเหล่านั้นในปี 2017 🚩ทำให้เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด ของ BAC จากนั้นก็เพิ่มหุ้นอีก 300 ล้านหุ้น ในช่วงปี 2018 และ 2019 🚩โดยเริ่มทะยอยขายหุ้นในช่วงกลางเดือน กรกฎาคม ปีนี้ หลังจากราคาหุ้น BAC ได้ปรับตัวสูงขึ้น ประมาณ 20-23% 🚩และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐส่งสัญญาณถดถอย ปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ จึงมีนโยบาย ให้ถือครองเงินสดไว้ ในบริษัทให้มากที่สุด เพื่อรอจังหวะการลงทุนใหม่ๆ นั่นเอง 🚩ซึ่งคาดการณ์กันว่า ปู่วอร์เรน น่าจะซื้อหุน BAC ในช่วงปี 2011 ที่ราคา ประมาณ 5.5 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้น และขายทำกำไรในช่วงราคา 30-39 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้น (กำไรมากกว่า 80-85%) ที่มา : cnbc #หุ้นติดดอย #การลงทุน #วอร์เรนบัฟเฟตต์ #thaitimes #เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 925 มุมมอง 0 รีวิว
  • 09/09/2567
    ตลาดหุ้นเอเชียร่วงลงในวันจันทร์นี้
    หลังจากมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ
    ที่อาจ ชะลอตัวลง ส่งผลให้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท
    ได้รับผลกระทบ

    ในขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตร และ
    ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็ลดลง เนื่องจากนักลงทุนหลีกเลี่ยง
    สินทรัพย์เสี่ยง และหันไปลงทุน ในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า

    โดยดัชนีนิกเคอิของญี่ปุ่น เปิดตลาด ทำการซื้อขาย
    ได้รับผลกระทบหนักที่สุด จากการขายในช่วงเช้า
    เนื่องจากเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น สร้างแรงกดดัน
    ต่อผู้ส่งออก โดยลดลง 2.4% จากที่ลดลงเกือบ 6%
    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
    ที่มา : Reuters

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้น #thaitimes
    🔥🔥09/09/2567 ตลาดหุ้นเอเชียร่วงลงในวันจันทร์นี้ หลังจากมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจ ชะลอตัวลง ส่งผลให้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ได้รับผลกระทบ 🚩ในขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตร และ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็ลดลง เนื่องจากนักลงทุนหลีกเลี่ยง สินทรัพย์เสี่ยง และหันไปลงทุน ในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า 🚩โดยดัชนีนิกเคอิของญี่ปุ่น เปิดตลาด ทำการซื้อขาย ได้รับผลกระทบหนักที่สุด จากการขายในช่วงเช้า เนื่องจากเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น สร้างแรงกดดัน ต่อผู้ส่งออก โดยลดลง 2.4% จากที่ลดลงเกือบ 6% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้น #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 571 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้นักลงทุนทั่วโลก ต่างจับตามอง ตัวเลขการจ้างงาน
    นอกภาคการเกษตรของสหรัฐ ที่จะประกาศในวันนี้

    โดยเช้าวันที่ 6 ก.ย. 2567 ดัชนีหุ้นทั่วโลกของ MSCI
    ร่วงลงเล็กน้อย ในวันพฤหัสบดีก่อนข้อมูล
    การจ้างงานภาคการเกษตรของสหรัฐฯ
    จะประกาศในคืนนี้

    สำหรับข้อมูลของวันพฤหัสบดี (เมื่อวาน) แสดงให้เห็นว่า
    นายจ้างภาคเอกชนของสหรัฐฯ จ้างคนงานน้อยที่สุด
    ในรอบ 3 ปีครึ่ง ในเดือนสิงหาคม ในขณะที่ตัวเลข
    เดือนกรกฎาคมถูกปรับลดลง ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการชะลอตัว
    ของตลาดแรงงานอย่างรุนแรง

    สำหรับรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ
    ประจำเดือนสิงหาคมในวันศุกร์ ซึ่งคาดว่าจะชี้แจงได้ว่า
    ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วเพียงใด
    ในการประชุมเดือนกันยายน นี้

    โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะมีการจ้างงานใหม่ 160,000
    ตำแหน่ง ในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นจาก 114,000 ตำแหน่ง
    ในเดือนกรกฎาคม

    ที่มา : Reuters

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เศรษฐกิจสหรัฐ #การจ้างงาน
    #thaitimes
    🔥🔥วันนี้นักลงทุนทั่วโลก ต่างจับตามอง ตัวเลขการจ้างงาน นอกภาคการเกษตรของสหรัฐ ที่จะประกาศในวันนี้ 🚩โดยเช้าวันที่ 6 ก.ย. 2567 ดัชนีหุ้นทั่วโลกของ MSCI ร่วงลงเล็กน้อย ในวันพฤหัสบดีก่อนข้อมูล การจ้างงานภาคการเกษตรของสหรัฐฯ จะประกาศในคืนนี้ 🚩สำหรับข้อมูลของวันพฤหัสบดี (เมื่อวาน) แสดงให้เห็นว่า นายจ้างภาคเอกชนของสหรัฐฯ จ้างคนงานน้อยที่สุด ในรอบ 3 ปีครึ่ง ในเดือนสิงหาคม ในขณะที่ตัวเลข เดือนกรกฎาคมถูกปรับลดลง ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการชะลอตัว ของตลาดแรงงานอย่างรุนแรง 🚩สำหรับรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ประจำเดือนสิงหาคมในวันศุกร์ ซึ่งคาดว่าจะชี้แจงได้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วเพียงใด ในการประชุมเดือนกันยายน นี้ 🚩โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะมีการจ้างงานใหม่ 160,000 ตำแหน่ง ในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นจาก 114,000 ตำแหน่ง ในเดือนกรกฎาคม ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เศรษฐกิจสหรัฐ #การจ้างงาน #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 776 มุมมอง 0 รีวิว
  • แนวโน้ม และความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ
    ได้กดดันให้ราคาบิทคอยน์ และคริปโตเคอเรนซี รวมทั้ง
    ราคาหุ้นตกต่ำในวันนี้

    การที่ราคาลดลงในวันนี้ สะท้อนการลดลงในตลาดเสี่ยงทั่วโลก
    เนื่องมาจากความกลัวเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้ม
    ถดถอย

    ณ วันที่ 4 กันยายน บิทคอยน์ ร่วงลง 3.30% เหลือประมาณ
    55,600 ดอลลาร์สหรัฐ/BTC ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือน
    ในทำนองเดียวกัน สัญญาฟิวเจอร์ส S&P 500 ก็ร่วงลง 0.4%
    หลังจากทำผลงานได้แย่ที่สุดนับตั้งแต่ตลาดตกต่ำ
    เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา

    ผู้ค้าคริปโต กำลังเตรียมตัวรับมือกับความผันผวน
    ของตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากพวกเขารอข้อมูลเศรษฐกิจ
    ที่สำคัญเพื่อดูว่าสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจ
    ถดถอยหรือไม่ และธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับ
    นโยบายอย่างไร

    รายงานการจ้างงานในวันที่ 4 กันยายน น่าจะแสดงให้เห็นถึง
    การชะลอตัวของตลาดแรงงาน หลังจากข้อมูลล่าสุดเผยให้เห็นว่า
    กิจกรรมการผลิตลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 โดยความกังวล
    เปลี่ยนจากภาวะเงินเฟ้อ เป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
    ข้อมูลมหภาคที่อ่อนแอนี้ กดดันหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง เช่น
    สกุลเงินดิจิทัล

    ตัวอย่างเช่น การคาดการณ์ว่าตลาดงานจะเย็นลงนั้น
    เกิดขึ้นพร้อมกับกระแสเงินไหลออกจากกองทุนซื้อขาย
    แลกเปลี่ยน Bitcoin (ETF) มูลค่า 287.80 ล้านดอลลาร์ต่อวัน
    หรือประมาณ 9,800 ล้านบาทต่อวัน
    ซึ่งถือเป็นกระแสเงินไหลออกที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่
    เดือนมิถุนายน
    ที่มา : cointelegraph
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #บิทคอยน์ #เศรษฐกิจสหรัฐ
    #thaitimes
    🔥🔥แนวโน้ม และความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ ได้กดดันให้ราคาบิทคอยน์ และคริปโตเคอเรนซี รวมทั้ง ราคาหุ้นตกต่ำในวันนี้ 🚩การที่ราคาลดลงในวันนี้ สะท้อนการลดลงในตลาดเสี่ยงทั่วโลก เนื่องมาจากความกลัวเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้ม ถดถอย 🚩ณ วันที่ 4 กันยายน บิทคอยน์ ร่วงลง 3.30% เหลือประมาณ 55,600 ดอลลาร์สหรัฐ/BTC ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือน ในทำนองเดียวกัน สัญญาฟิวเจอร์ส S&P 500 ก็ร่วงลง 0.4% หลังจากทำผลงานได้แย่ที่สุดนับตั้งแต่ตลาดตกต่ำ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา 🚩ผู้ค้าคริปโต กำลังเตรียมตัวรับมือกับความผันผวน ของตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากพวกเขารอข้อมูลเศรษฐกิจ ที่สำคัญเพื่อดูว่าสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจ ถดถอยหรือไม่ และธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับ นโยบายอย่างไร 🚩รายงานการจ้างงานในวันที่ 4 กันยายน น่าจะแสดงให้เห็นถึง การชะลอตัวของตลาดแรงงาน หลังจากข้อมูลล่าสุดเผยให้เห็นว่า กิจกรรมการผลิตลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 โดยความกังวล เปลี่ยนจากภาวะเงินเฟ้อ เป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ข้อมูลมหภาคที่อ่อนแอนี้ กดดันหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง เช่น สกุลเงินดิจิทัล 🚩ตัวอย่างเช่น การคาดการณ์ว่าตลาดงานจะเย็นลงนั้น เกิดขึ้นพร้อมกับกระแสเงินไหลออกจากกองทุนซื้อขาย แลกเปลี่ยน Bitcoin (ETF) มูลค่า 287.80 ล้านดอลลาร์ต่อวัน หรือประมาณ 9,800 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งถือเป็นกระแสเงินไหลออกที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ เดือนมิถุนายน ที่มา : cointelegraph #หุ้นติดดอย #การลงทุน #บิทคอยน์ #เศรษฐกิจสหรัฐ #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 810 มุมมอง 0 รีวิว
  • คาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐตกต่ำกลับมาอีกครั้ง
    วันนี้ 04/09/2567 ดัชนีหลักของวอลล์สตรีทร่วงลง
    ในวันอังคาร โดย S&P 500 ลดลงมากกว่า 2% และ
    Nasdaq Composite ลดลงมากกว่า 3%
    เนื่องจากนักลงทุนลดความเชื่อมั่นที่มีต่อ AI ลง
    ท่ามกลางการเทขายหุ้นในตลาดทั่วไปที่เร่งตัวขึ้น
    หลังจากที่มีข้อมูลเศรษฐกิจ และข้อมูลการผลิต(PMI)
    ที่ไม่สู้ดีนัก

    โดยดัชนี S&P 500, Nasdaq และ Dow ร่วงลงมากที่สุด
    นับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม

    ส่วนหุ้นของชิป ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดย Nvidia
    ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน AI ร่วงลงเกือบ -10% และ
    ดัชนีชิปของวอลล์สตรีท ดัชนีชิป PHLX ลดลงร้อยละ 8

    ที่มา : Reuters

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นสหรัฐ #ภาวะเศรษฐกิจ
    #thaitimes
    🔥🔥คาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐตกต่ำกลับมาอีกครั้ง วันนี้ 04/09/2567 ดัชนีหลักของวอลล์สตรีทร่วงลง ในวันอังคาร โดย S&P 500 ลดลงมากกว่า 2% และ Nasdaq Composite ลดลงมากกว่า 3% เนื่องจากนักลงทุนลดความเชื่อมั่นที่มีต่อ AI ลง ท่ามกลางการเทขายหุ้นในตลาดทั่วไปที่เร่งตัวขึ้น หลังจากที่มีข้อมูลเศรษฐกิจ และข้อมูลการผลิต(PMI) ที่ไม่สู้ดีนัก 🚩โดยดัชนี S&P 500, Nasdaq และ Dow ร่วงลงมากที่สุด นับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม 🚩ส่วนหุ้นของชิป ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดย Nvidia ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน AI ร่วงลงเกือบ -10% และ ดัชนีชิปของวอลล์สตรีท ดัชนีชิป PHLX ลดลงร้อยละ 8 ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นสหรัฐ #ภาวะเศรษฐกิจ #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 727 มุมมอง 0 รีวิว
  • Black Monday 5 สิงหา 2024 วันเดียวตลาดหุ้นสหรัฐฯ มูลค่าหายไปกว่า 1.93 ล้านล้านดอลลาร์ เนื่องจาก Nasdaq ร่วงลงกว่า 1,000 จุด เจ้าหน้าที่กล่าวว่า Nasdaq ไม่เคยต่ำขนาดนี้มาก่อน

    5 สิงหาคม 2567 -ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันจันทร์ที่ 5สิงหาคม เนื่องมาจากแรงเทขายในตลาดโลกที่มุ่งเป้าไปที่ความกลัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ถดถอย ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นร่วงลง 12% ซึ่งถือเป็นวันตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่เหตุการณ์ Black Monday เมื่อปี 1987 สำหรับตลาดหุ้นวอลล์สตรีท

    ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 1,031 จุด หรือ 2.6% ดัชนี Nasdaq Composite ลดลง 4.1% และดัชนี S&P 500 ลดลง 3.2%

    ความหวาดกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ เป็นสาเหตุหลักของการล่มสลายของตลาดทุนตลาดการเงินโลก หลังจากรายงานการจ้างงานเดือนกรกฎาคมที่น่าผิดหวังเมื่อวันศุกร์ นักลงทุนยังกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ล่าช้าในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ เลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงสุดในรอบ 2 ทศวรรษเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    #Thaitimes
    Black Monday 5 สิงหา 2024 วันเดียวตลาดหุ้นสหรัฐฯ มูลค่าหายไปกว่า 1.93 ล้านล้านดอลลาร์ เนื่องจาก Nasdaq ร่วงลงกว่า 1,000 จุด เจ้าหน้าที่กล่าวว่า Nasdaq ไม่เคยต่ำขนาดนี้มาก่อน 5 สิงหาคม 2567 -ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันจันทร์ที่ 5สิงหาคม เนื่องมาจากแรงเทขายในตลาดโลกที่มุ่งเป้าไปที่ความกลัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ถดถอย ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นร่วงลง 12% ซึ่งถือเป็นวันตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่เหตุการณ์ Black Monday เมื่อปี 1987 สำหรับตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 1,031 จุด หรือ 2.6% ดัชนี Nasdaq Composite ลดลง 4.1% และดัชนี S&P 500 ลดลง 3.2% ความหวาดกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ เป็นสาเหตุหลักของการล่มสลายของตลาดทุนตลาดการเงินโลก หลังจากรายงานการจ้างงานเดือนกรกฎาคมที่น่าผิดหวังเมื่อวันศุกร์ นักลงทุนยังกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ล่าช้าในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ เลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงสุดในรอบ 2 ทศวรรษเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 368 มุมมอง 0 รีวิว