• Samsung เร่งสปีด HBM4 เพื่อจับมือ NVIDIA

    หลังจากเคยถูกมองว่าตามหลังคู่แข่งในตลาด HBM ซัมซุงได้พัฒนา HBM4 (High Bandwidth Memory รุ่นที่ 6) เสร็จสมบูรณ์ และผ่านขั้นตอน Production Readiness Approval (PRA) ซึ่งถือเป็นด่านสุดท้ายก่อนการผลิตจำนวนมาก ขณะนี้บริษัทได้ส่งตัวอย่างไปให้ NVIDIA ทดสอบสำหรับแพลตฟอร์ม GPU รุ่นใหม่ “Rubin” โดยผลทดสอบเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่า HBM4 สามารถทำความเร็วได้ถึง 11Gbps ต่อ pin ซึ่งเกินมาตรฐานที่ NVIDIA ต้องการ

    เทคโนโลยีที่เหนือกว่า HBM3E
    HBM4 ของซัมซุงถูกคาดว่าจะให้ แบนด์วิดท์สูงขึ้นกว่า HBM3E ราว 60% ซึ่งถือเป็นการยกระดับครั้งใหญ่สำหรับงานด้าน AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ความเร็วนี้ไม่เพียงตอบโจทย์การ์ดจอรุ่นใหม่ แต่ยังช่วยให้ศูนย์ข้อมูล AI สามารถทำงานได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยคู่แข่งอย่าง Micron และ SK Hynix ก็เร่งพัฒนาเช่นกัน แต่ซัมซุงหวังจะกลับมาเป็นผู้นำในตลาดนี้

    ความต้องการ AI ชิปทั่วโลก
    ปี 2025 ความต้องการชิปสำหรับ AI พุ่งสูงจนเกิด วิกฤติขาดแคลนหน่วยความจำทั่วโลก ทั้ง DRAM และ NAND flash ราคาพุ่งขึ้นต่อเนื่อง และผู้ผลิตสมาร์ทโฟนถึงขั้นพิจารณานำ microSD card slot กลับมาเพื่อบรรเทาผลกระทบ การที่ซัมซุงสามารถผลิต HBM4 ได้ทันเวลา จึงอาจเป็นโอกาสสำคัญในการครองตลาดและสร้างรายได้มหาศาล

    ความเสี่ยงและการแข่งขัน
    แม้ซัมซุงจะมีความได้เปรียบ แต่การแข่งขันกับ Micron และ SK Hynix ยังคงดุเดือด โดย Micron ได้เปิดตัว HBM4 ที่มีแบนด์วิดท์สูงถึง 2.8TB/s ซึ่งอาจกดดันซัมซุงในเชิงเทคนิคและราคา นอกจากนี้ ความต้องการที่สูงเกินไปอาจทำให้เกิด ภาวะขาดแคลนชิปต่อเนื่องไปจนถึงปี 2028 ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ซัมซุงพัฒนา HBM4 สำเร็จ
    ผ่านการตรวจสอบ Production Readiness Approval (PRA)
    ส่งตัวอย่างไปให้ NVIDIA ทดสอบบนแพลตฟอร์ม Rubin

    HBM4 เร็วกว่า HBM3E ราว 60%
    ความเร็วสูงถึง 11Gbps ต่อ pin
    รองรับงาน AI และศูนย์ข้อมูลที่ต้องการประสิทธิภาพสูง

    ตลาด AI ชิปกำลังขาดแคลนทั่วโลก
    ราคาหน่วยความจำพุ่งสูง
    ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนพิจารณานำ microSD card slot กลับมา

    การแข่งขันกับคู่แข่งยังรุนแรง
    Micron เปิดตัว HBM4 ที่มีแบนด์วิดท์ 2.8TB/s
    SK Hynix ยังคงเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาด

    ความเสี่ยงจากวิกฤติชิปทั่วโลก
    อาจเกิดภาวะขาดแคลนต่อเนื่องถึงปี 2028
    ราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อาจสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    https://wccftech.com/once-left-behind-samsung-is-now-regaining-momentum-in-its-hbm-business/
    🚀 Samsung เร่งสปีด HBM4 เพื่อจับมือ NVIDIA หลังจากเคยถูกมองว่าตามหลังคู่แข่งในตลาด HBM ซัมซุงได้พัฒนา HBM4 (High Bandwidth Memory รุ่นที่ 6) เสร็จสมบูรณ์ และผ่านขั้นตอน Production Readiness Approval (PRA) ซึ่งถือเป็นด่านสุดท้ายก่อนการผลิตจำนวนมาก ขณะนี้บริษัทได้ส่งตัวอย่างไปให้ NVIDIA ทดสอบสำหรับแพลตฟอร์ม GPU รุ่นใหม่ “Rubin” โดยผลทดสอบเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่า HBM4 สามารถทำความเร็วได้ถึง 11Gbps ต่อ pin ซึ่งเกินมาตรฐานที่ NVIDIA ต้องการ ⚡ เทคโนโลยีที่เหนือกว่า HBM3E HBM4 ของซัมซุงถูกคาดว่าจะให้ แบนด์วิดท์สูงขึ้นกว่า HBM3E ราว 60% ซึ่งถือเป็นการยกระดับครั้งใหญ่สำหรับงานด้าน AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ความเร็วนี้ไม่เพียงตอบโจทย์การ์ดจอรุ่นใหม่ แต่ยังช่วยให้ศูนย์ข้อมูล AI สามารถทำงานได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยคู่แข่งอย่าง Micron และ SK Hynix ก็เร่งพัฒนาเช่นกัน แต่ซัมซุงหวังจะกลับมาเป็นผู้นำในตลาดนี้ 🌐 ความต้องการ AI ชิปทั่วโลก ปี 2025 ความต้องการชิปสำหรับ AI พุ่งสูงจนเกิด วิกฤติขาดแคลนหน่วยความจำทั่วโลก ทั้ง DRAM และ NAND flash ราคาพุ่งขึ้นต่อเนื่อง และผู้ผลิตสมาร์ทโฟนถึงขั้นพิจารณานำ microSD card slot กลับมาเพื่อบรรเทาผลกระทบ การที่ซัมซุงสามารถผลิต HBM4 ได้ทันเวลา จึงอาจเป็นโอกาสสำคัญในการครองตลาดและสร้างรายได้มหาศาล ⚠️ ความเสี่ยงและการแข่งขัน แม้ซัมซุงจะมีความได้เปรียบ แต่การแข่งขันกับ Micron และ SK Hynix ยังคงดุเดือด โดย Micron ได้เปิดตัว HBM4 ที่มีแบนด์วิดท์สูงถึง 2.8TB/s ซึ่งอาจกดดันซัมซุงในเชิงเทคนิคและราคา นอกจากนี้ ความต้องการที่สูงเกินไปอาจทำให้เกิด ภาวะขาดแคลนชิปต่อเนื่องไปจนถึงปี 2028 ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ซัมซุงพัฒนา HBM4 สำเร็จ ➡️ ผ่านการตรวจสอบ Production Readiness Approval (PRA) ➡️ ส่งตัวอย่างไปให้ NVIDIA ทดสอบบนแพลตฟอร์ม Rubin ✅ HBM4 เร็วกว่า HBM3E ราว 60% ➡️ ความเร็วสูงถึง 11Gbps ต่อ pin ➡️ รองรับงาน AI และศูนย์ข้อมูลที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ✅ ตลาด AI ชิปกำลังขาดแคลนทั่วโลก ➡️ ราคาหน่วยความจำพุ่งสูง ➡️ ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนพิจารณานำ microSD card slot กลับมา ‼️ การแข่งขันกับคู่แข่งยังรุนแรง ⛔ Micron เปิดตัว HBM4 ที่มีแบนด์วิดท์ 2.8TB/s ⛔ SK Hynix ยังคงเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาด ‼️ ความเสี่ยงจากวิกฤติชิปทั่วโลก ⛔ อาจเกิดภาวะขาดแคลนต่อเนื่องถึงปี 2028 ⛔ ราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อาจสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง https://wccftech.com/once-left-behind-samsung-is-now-regaining-momentum-in-its-hbm-business/
    WCCFTECH.COM
    Once Left Behind, Samsung Is Now Regaining Momentum in Its HBM Business as It Targets NVIDIA’s HBM4 Approval as Early as This Month
    Samsung's HBM business is expected to see a turnaround next year, as the Korean giant is on track to secure HBM4 qualification.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิว
  • "DIY Mod ใช้ CPU Air Cooler + น้ำแข็งเย็นจัด เพื่อ Liquid-Cool GPU ได้ถึง -14°C"

    บทความจาก Tom’s Hardware เล่าถึงการทดลองสุดแหวกแนวของ TrashBench นักโมดิฟายฮาร์ดแวร์ ที่นำ CPU air cooler (Thermalright Peerless Assassin) มาดัดแปลงให้กลายเป็นระบบ liquid cooling สำหรับ GPU โดยการ ตัด heatpipes เปิดออก แล้วต่อท่อน้ำบาง ๆ เข้าไป จากนั้นใช้ ปั๊ม + portable ice chiller เพื่อส่งน้ำเย็นจัดไหลผ่าน heatpipes【edge_current_page_context】

    ผลลัพธ์คือ GPU อย่าง MSI RTX 3070 สามารถทำงานที่อุณหภูมิ -14°C และได้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10% พร้อมโอเวอร์คล็อกเพิ่มอีก +320 MHz ส่วน GTX 960 ยิ่งเห็นผลชัดเจน โดยเกม Cyberpunk 2077 เพิ่ม FPS ได้ถึง 21% และโดยรวมประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นราว 17%【edge_current_page_context】

    แม้ TrashBench จะไม่ได้ประกาศว่าเป็น “ความสำเร็จ” อย่างเป็นทางการ แต่การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า การดัดแปลง air cooler ให้เป็น pseudo-AIO สามารถช่วยโอเวอร์คล็อก GPU ได้โดยไม่ต้องพึ่ง liquid nitrogen หรือระบบ extreme cooling ที่ซับซ้อน ถือเป็นการเพิ่ม “fun” ในการโมดิฟายฮาร์ดแวร์ที่ยังใช้งานได้จริง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    วิธีการโมดิฟาย
    ใช้ Thermalright Peerless Assassin air cooler
    ตัด heatpipes ต่อท่อน้ำ + ปั๊ม + ice chiller
    ส่งน้ำเย็นจัดผ่าน heatpipes สัมผัสกับ GPU die

    ผลลัพธ์
    RTX 3070: อุณหภูมิ -14°C, ประสิทธิภาพ +10%
    GTX 960: FPS เพิ่มสูงสุด 21%, โดยรวม +17%

    ความหมาย
    เป็น pseudo-AIO ที่ช่วยโอเวอร์คล็อก GPU ได้จริง
    ไม่ต้องใช้ LN2 หรือระบบ extreme cooling
    เพิ่มความสนุกและความสร้างสรรค์ในการโมดิฟาย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/cpu-air-cooler-runs-ice-cold-water-through-its-heatpipes-to-liquid-cool-a-gpu-negative-temp-diy-mod-sees-up-to-17-percent-performance-uplift
    ❄️ "DIY Mod ใช้ CPU Air Cooler + น้ำแข็งเย็นจัด เพื่อ Liquid-Cool GPU ได้ถึง -14°C" บทความจาก Tom’s Hardware เล่าถึงการทดลองสุดแหวกแนวของ TrashBench นักโมดิฟายฮาร์ดแวร์ ที่นำ CPU air cooler (Thermalright Peerless Assassin) มาดัดแปลงให้กลายเป็นระบบ liquid cooling สำหรับ GPU โดยการ ตัด heatpipes เปิดออก แล้วต่อท่อน้ำบาง ๆ เข้าไป จากนั้นใช้ ปั๊ม + portable ice chiller เพื่อส่งน้ำเย็นจัดไหลผ่าน heatpipes【edge_current_page_context】 ผลลัพธ์คือ GPU อย่าง MSI RTX 3070 สามารถทำงานที่อุณหภูมิ -14°C และได้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10% พร้อมโอเวอร์คล็อกเพิ่มอีก +320 MHz ส่วน GTX 960 ยิ่งเห็นผลชัดเจน โดยเกม Cyberpunk 2077 เพิ่ม FPS ได้ถึง 21% และโดยรวมประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นราว 17%【edge_current_page_context】 แม้ TrashBench จะไม่ได้ประกาศว่าเป็น “ความสำเร็จ” อย่างเป็นทางการ แต่การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า การดัดแปลง air cooler ให้เป็น pseudo-AIO สามารถช่วยโอเวอร์คล็อก GPU ได้โดยไม่ต้องพึ่ง liquid nitrogen หรือระบบ extreme cooling ที่ซับซ้อน ถือเป็นการเพิ่ม “fun” ในการโมดิฟายฮาร์ดแวร์ที่ยังใช้งานได้จริง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ วิธีการโมดิฟาย ➡️ ใช้ Thermalright Peerless Assassin air cooler ➡️ ตัด heatpipes ต่อท่อน้ำ + ปั๊ม + ice chiller ➡️ ส่งน้ำเย็นจัดผ่าน heatpipes สัมผัสกับ GPU die ✅ ผลลัพธ์ ➡️ RTX 3070: อุณหภูมิ -14°C, ประสิทธิภาพ +10% ➡️ GTX 960: FPS เพิ่มสูงสุด 21%, โดยรวม +17% ✅ ความหมาย ➡️ เป็น pseudo-AIO ที่ช่วยโอเวอร์คล็อก GPU ได้จริง ➡️ ไม่ต้องใช้ LN2 หรือระบบ extreme cooling ➡️ เพิ่มความสนุกและความสร้างสรรค์ในการโมดิฟาย https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/cpu-air-cooler-runs-ice-cold-water-through-its-heatpipes-to-liquid-cool-a-gpu-negative-temp-diy-mod-sees-up-to-17-percent-performance-uplift
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว
  • "QR Code สะดวกบนมือถือ แต่ไม่เป็นมิตรกับคอมพิวเตอร์?"

    บทความจาก The Star วิเคราะห์ว่า QR Code แม้จะถูกออกแบบมาเพื่อความสะดวก แต่จริง ๆ แล้วเหมาะกับการใช้งานบนมือถือมากกว่าบนคอมพิวเตอร์ ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ช่วยเพื่อนที่ได้รับ QR Code สำหรับกรอกฟอร์มบนคอมพิวเตอร์ แต่กลับไม่รู้วิธีเปิดลิงก์จาก QR Code บนหน้าจอใหญ่

    บนมือถือ การสแกน QR Code ทำได้ง่าย เพียงเปิดกล้องแล้วแตะปุ่มที่ปรากฏ ระบบจะพาไปยังเว็บไซต์ทันที แต่บนคอมพิวเตอร์กลับยุ่งยากกว่า เพราะไม่มีฟีเจอร์สแกนในตัว ผู้ใช้ต้อง แคปหน้าจอแล้วอัปโหลดไปยังเว็บถอดรหัส หรือใช้เครื่องมือเสริม เช่น Google Lens บน Chrome ที่สามารถคลิกขวาแล้วเลือก “Search with Google Lens” เพื่อดึงลิงก์ออกมา

    แม้วิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหา แต่ก็ยังไม่สะดวกเท่าการใช้งานบนมือถือ และบางครั้ง QR Code ที่ฝังอยู่ในกราฟิกใหญ่ ๆ อาจต้องครอบภาพหรือเปิดในแท็บใหม่ก่อนถึงจะใช้งานได้ ทำให้เห็นชัดว่า QR Code ถูกออกแบบมาเพื่อ โลกของสมาร์ทโฟน มากกว่าเดสก์ท็อป

    ผู้เขียนสรุปว่า QR Code เป็นเหมือน “บุ๊กมาร์กที่ซ่อนอยู่ในภาพ” ซึ่งสะดวกเมื่อใช้กล้องมือถือ แต่ยังไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่ต้องการเข้าถึงลิงก์โดยตรง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การใช้งาน QR Code บนมือถือ
    กล้องมือถือสแกนได้ทันที
    ระบบเปิดลิงก์อัตโนมัติ สะดวกและรวดเร็ว

    การใช้งาน QR Code บนคอมพิวเตอร์
    ต้องแคปภาพแล้วอัปโหลดไปเว็บถอดรหัส
    ใช้ Google Lens บน Chrome เพื่อดึงลิงก์ออกมา
    อาจต้องครอบภาพหรือเปิดในแท็บใหม่ก่อน

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    QR Code ถูกออกแบบมาเพื่อมือถือ ไม่เหมาะกับเดสก์ท็อป
    การใช้งานบนคอมพ์ยังไม่สะดวกและต้องใช้หลายขั้นตอน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/07/opinion-are-qr-codes-computer-friendly
    🔲 "QR Code สะดวกบนมือถือ แต่ไม่เป็นมิตรกับคอมพิวเตอร์?" บทความจาก The Star วิเคราะห์ว่า QR Code แม้จะถูกออกแบบมาเพื่อความสะดวก แต่จริง ๆ แล้วเหมาะกับการใช้งานบนมือถือมากกว่าบนคอมพิวเตอร์ ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ช่วยเพื่อนที่ได้รับ QR Code สำหรับกรอกฟอร์มบนคอมพิวเตอร์ แต่กลับไม่รู้วิธีเปิดลิงก์จาก QR Code บนหน้าจอใหญ่ บนมือถือ การสแกน QR Code ทำได้ง่าย เพียงเปิดกล้องแล้วแตะปุ่มที่ปรากฏ ระบบจะพาไปยังเว็บไซต์ทันที แต่บนคอมพิวเตอร์กลับยุ่งยากกว่า เพราะไม่มีฟีเจอร์สแกนในตัว ผู้ใช้ต้อง แคปหน้าจอแล้วอัปโหลดไปยังเว็บถอดรหัส หรือใช้เครื่องมือเสริม เช่น Google Lens บน Chrome ที่สามารถคลิกขวาแล้วเลือก “Search with Google Lens” เพื่อดึงลิงก์ออกมา แม้วิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหา แต่ก็ยังไม่สะดวกเท่าการใช้งานบนมือถือ และบางครั้ง QR Code ที่ฝังอยู่ในกราฟิกใหญ่ ๆ อาจต้องครอบภาพหรือเปิดในแท็บใหม่ก่อนถึงจะใช้งานได้ ทำให้เห็นชัดว่า QR Code ถูกออกแบบมาเพื่อ โลกของสมาร์ทโฟน มากกว่าเดสก์ท็อป ผู้เขียนสรุปว่า QR Code เป็นเหมือน “บุ๊กมาร์กที่ซ่อนอยู่ในภาพ” ซึ่งสะดวกเมื่อใช้กล้องมือถือ แต่ยังไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่ต้องการเข้าถึงลิงก์โดยตรง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การใช้งาน QR Code บนมือถือ ➡️ กล้องมือถือสแกนได้ทันที ➡️ ระบบเปิดลิงก์อัตโนมัติ สะดวกและรวดเร็ว ✅ การใช้งาน QR Code บนคอมพิวเตอร์ ➡️ ต้องแคปภาพแล้วอัปโหลดไปเว็บถอดรหัส ➡️ ใช้ Google Lens บน Chrome เพื่อดึงลิงก์ออกมา ➡️ อาจต้องครอบภาพหรือเปิดในแท็บใหม่ก่อน ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ QR Code ถูกออกแบบมาเพื่อมือถือ ไม่เหมาะกับเดสก์ท็อป ⛔ การใช้งานบนคอมพ์ยังไม่สะดวกและต้องใช้หลายขั้นตอน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/07/opinion-are-qr-codes-computer-friendly
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Opinion: Are QR codes computer-friendly?
    I have a friend who calls me occasionally to come help him with various little things having to do with the technology at his house. This week, one of his requests was to learn more about QR codes and how they work.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 4 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Meta เลื่อนเปิดตัวแว่น Phoenix Mixed-Reality ไปปี 2027"

    Meta ตัดสินใจเลื่อนการเปิดตัว Phoenix Mixed-Reality Glasses จากเดิมที่วางแผนไว้ครึ่งหลังปี 2026 ไปเป็นปี 2027 โดยอ้างว่าต้องการเวลาเพิ่มเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์สมบูรณ์และ “ได้รายละเอียดที่ถูกต้อง” ตามรายงานจาก Business Insider

    อุปกรณ์นี้เคยใช้ชื่อโค้ดว่า Puffin มีน้ำหนักประมาณ 100 กรัม และสเปกต่ำกว่าแว่นระดับพรีเมียมอย่าง Apple Vision Pro ทั้งด้านความละเอียดหน้าจอและพลังประมวลผล อย่างไรก็ตาม จุดขายของมันคือการเป็นอุปกรณ์ที่เบาและเข้าถึงง่ายมากกว่า เน้นตลาดผู้ใช้ทั่วไปที่อยากสัมผัสประสบการณ์ Mixed Reality โดยไม่ต้องลงทุนสูง

    การเลื่อนเปิดตัวเกิดขึ้นท่ามกลางการปรับลดงบประมาณของ Meta ในโครงการ Metaverse ถึง 30% ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันด้านการเงินและความจำเป็นในการจัดลำดับความสำคัญใหม่ ขณะเดียวกัน Reality Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแล Quest Headsets และ Ray-Ban Smart Glasses ยังคงเดินหน้าพัฒนาอุปกรณ์อื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย

    การตัดสินใจครั้งนี้อาจทำให้ตลาด Mixed Reality ต้องรออีกสักพักกว่าจะได้เห็นคู่แข่งที่แท้จริงของ Apple Vision Pro แต่ก็แสดงให้เห็นว่า Meta ต้องการหลีกเลี่ยงการรีบปล่อยผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่พร้อม และเลือกที่จะให้เวลาเพื่อสร้างอุปกรณ์ที่มีคุณภาพมากกว่า

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเลื่อนเปิดตัว
    จากครึ่งหลังปี 2026 ไปเป็นปี 2027
    เพื่อให้ผลิตภัณฑ์สมบูรณ์และ “ได้รายละเอียดที่ถูกต้อง”

    คุณสมบัติของ Phoenix Glasses
    น้ำหนักเบา ~100 กรัม
    ความละเอียดและพลังประมวลผลต่ำกว่า Apple Vision Pro
    เคยใช้ชื่อโค้ดว่า Puffin

    สถานการณ์ของ Meta
    ลดงบประมาณ Metaverse ลง 30%
    Reality Labs ยังพัฒนา Quest และ Ray-Ban Smart Glasses ต่อไป

    ข้อควรระวัง
    การเลื่อนเปิดตัวอาจทำให้เสียโอกาสแข่งขันกับ Apple Vision Pro
    งบประมาณที่ลดลงอาจกระทบต่อการพัฒนาอุปกรณ์ใหม่ในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/07/meta-delays-release-of-phoenix-mixed-reality-glasses-to-2027-business-insider-reports
    🥽 "Meta เลื่อนเปิดตัวแว่น Phoenix Mixed-Reality ไปปี 2027" Meta ตัดสินใจเลื่อนการเปิดตัว Phoenix Mixed-Reality Glasses จากเดิมที่วางแผนไว้ครึ่งหลังปี 2026 ไปเป็นปี 2027 โดยอ้างว่าต้องการเวลาเพิ่มเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์สมบูรณ์และ “ได้รายละเอียดที่ถูกต้อง” ตามรายงานจาก Business Insider อุปกรณ์นี้เคยใช้ชื่อโค้ดว่า Puffin มีน้ำหนักประมาณ 100 กรัม และสเปกต่ำกว่าแว่นระดับพรีเมียมอย่าง Apple Vision Pro ทั้งด้านความละเอียดหน้าจอและพลังประมวลผล อย่างไรก็ตาม จุดขายของมันคือการเป็นอุปกรณ์ที่เบาและเข้าถึงง่ายมากกว่า เน้นตลาดผู้ใช้ทั่วไปที่อยากสัมผัสประสบการณ์ Mixed Reality โดยไม่ต้องลงทุนสูง การเลื่อนเปิดตัวเกิดขึ้นท่ามกลางการปรับลดงบประมาณของ Meta ในโครงการ Metaverse ถึง 30% ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันด้านการเงินและความจำเป็นในการจัดลำดับความสำคัญใหม่ ขณะเดียวกัน Reality Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแล Quest Headsets และ Ray-Ban Smart Glasses ยังคงเดินหน้าพัฒนาอุปกรณ์อื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย การตัดสินใจครั้งนี้อาจทำให้ตลาด Mixed Reality ต้องรออีกสักพักกว่าจะได้เห็นคู่แข่งที่แท้จริงของ Apple Vision Pro แต่ก็แสดงให้เห็นว่า Meta ต้องการหลีกเลี่ยงการรีบปล่อยผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่พร้อม และเลือกที่จะให้เวลาเพื่อสร้างอุปกรณ์ที่มีคุณภาพมากกว่า 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเลื่อนเปิดตัว ➡️ จากครึ่งหลังปี 2026 ไปเป็นปี 2027 ➡️ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์สมบูรณ์และ “ได้รายละเอียดที่ถูกต้อง” ✅ คุณสมบัติของ Phoenix Glasses ➡️ น้ำหนักเบา ~100 กรัม ➡️ ความละเอียดและพลังประมวลผลต่ำกว่า Apple Vision Pro ➡️ เคยใช้ชื่อโค้ดว่า Puffin ✅ สถานการณ์ของ Meta ➡️ ลดงบประมาณ Metaverse ลง 30% ➡️ Reality Labs ยังพัฒนา Quest และ Ray-Ban Smart Glasses ต่อไป ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การเลื่อนเปิดตัวอาจทำให้เสียโอกาสแข่งขันกับ Apple Vision Pro ⛔ งบประมาณที่ลดลงอาจกระทบต่อการพัฒนาอุปกรณ์ใหม่ในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/07/meta-delays-release-of-phoenix-mixed-reality-glasses-to-2027-business-insider-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta delays release of Phoenix mixed-reality glasses to 2027, Business Insider reports
    Dec 5 (Reuters) - Meta is delaying the release of its Phoenix mixed-reality glasses until 2027, aiming to get the details right, Business Insider reported on Friday, citing an internal memo.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Immich – ทางเลือกใหม่ในการ Self-hosted Photo Management"

    Michael Stapelberg เผชิญปัญหาเมื่อเครื่องมือ gphotos-sync หยุดทำงานหลัง Google จำกัด OAuth scopes ในปี 2025 ทำให้เขาต้องหาทางเลือกใหม่สำหรับการจัดการรูปภาพส่วนตัว สุดท้ายเลือกใช้ Immich ซึ่งเป็นแอป self-hosted ที่สามารถทำงานได้รวดเร็วและมีฟีเจอร์ครบถ้วน โดยติดตั้งบน Ryzen 7 Mini PC (ASRock DeskMini X600) ที่ใช้พลังงานต่ำแต่ทรงพลัง

    เขาใช้ Proxmox เพื่อสร้าง VM สำหรับ Immich โดยติดตั้ง NixOS แบบ declarative และเปิดใช้งาน Immich ผ่าน Tailscale VPN แทนการเปิด firewall ตรง ๆ ทำให้สามารถเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างปลอดภัยจากทุกอุปกรณ์ผ่าน MagicDNS และ TLS ของ Tailscale

    ในขั้นตอนการนำเข้ารูปภาพ เขาพบว่าเครื่องมือ immich-cli มีปัญหา timeout เนื่องจาก background jobs เช่น thumbnail creation และ face detection ทำงานพร้อมกัน จึงเปลี่ยนไปใช้ immich-go ซึ่งสามารถจัดการ Google Takeout archives ได้ดีกว่า โดยหยุด background jobs ชั่วคราวและอ่าน metadata JSON ได้ครบถ้วน

    นอกจากนี้ เขายังติดตั้งแอป Immich บน iPhone เพื่อเปิดใช้งาน automatic backup ของรูปใหม่ พร้อมตั้งค่า systemd timer + rsync เพื่อทำ 3-2-1 backup scheme ของข้อมูลทั้งหมดใน /var/lib/immich แม้ Immich ยังไม่มีฟีเจอร์แก้ไขภาพในตัว แต่เขาใช้ GIMP สำหรับงานนั้น และยังอัปโหลดบางรูปไป Google Photos เมื่อจำเป็นต้องแชร์กับผู้อื่น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การติดตั้งและโครงสร้างระบบ
    ใช้ Ryzen 7 Mini PC + Proxmox VM + NixOS
    Immich เปิดใช้งานผ่าน Tailscale VPN เพื่อความปลอดภัย

    การนำเข้ารูปภาพ
    immich-cli มีปัญหา timeout จาก background jobs
    immich-go จัดการ Google Takeout archives ได้ดีกว่า

    การใช้งานจริง
    แอป Immich บน iPhone รองรับ auto backup
    ใช้ rsync + systemd timer ทำ 3-2-1 backup scheme
    ใช้ GIMP สำหรับแก้ไขภาพ และ Google Photos สำหรับแชร์บางส่วน

    ข้อควรระวัง
    Immich ยังไม่มีฟีเจอร์แก้ไขภาพในตัว
    การตั้งค่า auto backup บน iPhone อาจซับซ้อน
    การอัปโหลดครั้งแรกอาจล้มเหลวหากไม่ใช้เครื่องมือที่เหมาะสม

    https://michael.stapelberg.ch/posts/2025-11-29-self-hosting-photos-with-immich/
    🖼️ "Immich – ทางเลือกใหม่ในการ Self-hosted Photo Management" Michael Stapelberg เผชิญปัญหาเมื่อเครื่องมือ gphotos-sync หยุดทำงานหลัง Google จำกัด OAuth scopes ในปี 2025 ทำให้เขาต้องหาทางเลือกใหม่สำหรับการจัดการรูปภาพส่วนตัว สุดท้ายเลือกใช้ Immich ซึ่งเป็นแอป self-hosted ที่สามารถทำงานได้รวดเร็วและมีฟีเจอร์ครบถ้วน โดยติดตั้งบน Ryzen 7 Mini PC (ASRock DeskMini X600) ที่ใช้พลังงานต่ำแต่ทรงพลัง เขาใช้ Proxmox เพื่อสร้าง VM สำหรับ Immich โดยติดตั้ง NixOS แบบ declarative และเปิดใช้งาน Immich ผ่าน Tailscale VPN แทนการเปิด firewall ตรง ๆ ทำให้สามารถเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างปลอดภัยจากทุกอุปกรณ์ผ่าน MagicDNS และ TLS ของ Tailscale ในขั้นตอนการนำเข้ารูปภาพ เขาพบว่าเครื่องมือ immich-cli มีปัญหา timeout เนื่องจาก background jobs เช่น thumbnail creation และ face detection ทำงานพร้อมกัน จึงเปลี่ยนไปใช้ immich-go ซึ่งสามารถจัดการ Google Takeout archives ได้ดีกว่า โดยหยุด background jobs ชั่วคราวและอ่าน metadata JSON ได้ครบถ้วน นอกจากนี้ เขายังติดตั้งแอป Immich บน iPhone เพื่อเปิดใช้งาน automatic backup ของรูปใหม่ พร้อมตั้งค่า systemd timer + rsync เพื่อทำ 3-2-1 backup scheme ของข้อมูลทั้งหมดใน /var/lib/immich แม้ Immich ยังไม่มีฟีเจอร์แก้ไขภาพในตัว แต่เขาใช้ GIMP สำหรับงานนั้น และยังอัปโหลดบางรูปไป Google Photos เมื่อจำเป็นต้องแชร์กับผู้อื่น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การติดตั้งและโครงสร้างระบบ ➡️ ใช้ Ryzen 7 Mini PC + Proxmox VM + NixOS ➡️ Immich เปิดใช้งานผ่าน Tailscale VPN เพื่อความปลอดภัย ✅ การนำเข้ารูปภาพ ➡️ immich-cli มีปัญหา timeout จาก background jobs ➡️ immich-go จัดการ Google Takeout archives ได้ดีกว่า ✅ การใช้งานจริง ➡️ แอป Immich บน iPhone รองรับ auto backup ➡️ ใช้ rsync + systemd timer ทำ 3-2-1 backup scheme ➡️ ใช้ GIMP สำหรับแก้ไขภาพ และ Google Photos สำหรับแชร์บางส่วน ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ Immich ยังไม่มีฟีเจอร์แก้ไขภาพในตัว ⛔ การตั้งค่า auto backup บน iPhone อาจซับซ้อน ⛔ การอัปโหลดครั้งแรกอาจล้มเหลวหากไม่ใช้เครื่องมือที่เหมาะสม https://michael.stapelberg.ch/posts/2025-11-29-self-hosting-photos-with-immich/
    MICHAEL.STAPELBERG.CH
    Self-hosting my photos with Immich
    For every cloud service I use, I want to have a local copy of my data for backup purposes and independence. Unfortunately, the gphotos-sync tool stopped working in March 2025 when Google restricted the OAuth scopes, so I needed an alternative for my existing Google Photos setup. In this post, I describe how I have set up Immich, a self-hostable photo manager.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • "UniFi เปิดตัว U5G Max และไลน์อัป 5G รุ่นใหม่"

    Ubiquiti ได้เปิดตัว UniFi 5G รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับ U5G Max และอุปกรณ์ในตระกูล 5G ที่ออกแบบมาเพื่อการเชื่อมต่อที่ง่ายและมีประสิทธิภาพสูง จุดเด่นคือการ ติดตั้งที่ง่ายดาย (effortless setup) ความเร็วระดับ ultra fast speeds และตัวเลือกสำหรับการใช้งานกลางแจ้งที่ทนทาน (rugged outdoor options)

    อุปกรณ์ในไลน์อัปใหม่นี้ยังมาพร้อมกับ การผสานเข้ากับระบบ UniFi อย่างสมบูรณ์ ทำให้ผู้ใช้สามารถจัดการเครือข่ายได้จากแพลตฟอร์มเดียว ไม่ว่าจะเป็นการควบคุม Wi-Fi, LAN หรือ 5G ทั้งหมดใน ecosystem เดียวกัน ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกและลดความซับซ้อนในการดูแลระบบเครือข่าย

    นอกจากนี้ UniFi 5G ยังถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่บ้านพักอาศัย ธุรกิจขนาดเล็ก ไปจนถึงองค์กรที่ต้องการโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่มีความเสถียรและปลอดภัย โดยมีตัวเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะกับการใช้งานทั้งในร่มและกลางแจ้ง

    การเปิดตัวครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของ Ubiquiti ที่จะขยาย ecosystem ของ UniFi ให้ครอบคลุมทุกการเชื่อมต่อ ตั้งแต่ Wi-Fi, wired network ไปจนถึง 5G เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ครบวงจรและตอบโจทย์ผู้ใช้ในยุคดิจิทัล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    จุดเด่นของ UniFi 5G
    ติดตั้งง่าย (effortless setup)
    ความเร็วสูงระดับ ultra fast speeds
    ตัวเลือกกลางแจ้งที่ทนทาน (rugged outdoor options)

    การผสานเข้ากับระบบ UniFi
    จัดการ Wi-Fi, LAN และ 5G จากแพลตฟอร์มเดียว
    ลดความซับซ้อนในการดูแลระบบเครือข่าย

    การใช้งานที่หลากหลาย
    รองรับทั้งบ้านพักอาศัย ธุรกิจ และองค์กร
    มีอุปกรณ์สำหรับทั้งในร่มและกลางแจ้ง

    ข้อควรระวัง
    การใช้งาน 5G อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการเชื่อมต่อทั่วไป
    ความครอบคลุมสัญญาณขึ้นอยู่กับพื้นที่และผู้ให้บริการ

    https://blog.ui.com/article/introducing-unifi-5g
    📡 "UniFi เปิดตัว U5G Max และไลน์อัป 5G รุ่นใหม่" Ubiquiti ได้เปิดตัว UniFi 5G รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับ U5G Max และอุปกรณ์ในตระกูล 5G ที่ออกแบบมาเพื่อการเชื่อมต่อที่ง่ายและมีประสิทธิภาพสูง จุดเด่นคือการ ติดตั้งที่ง่ายดาย (effortless setup) ความเร็วระดับ ultra fast speeds และตัวเลือกสำหรับการใช้งานกลางแจ้งที่ทนทาน (rugged outdoor options) อุปกรณ์ในไลน์อัปใหม่นี้ยังมาพร้อมกับ การผสานเข้ากับระบบ UniFi อย่างสมบูรณ์ ทำให้ผู้ใช้สามารถจัดการเครือข่ายได้จากแพลตฟอร์มเดียว ไม่ว่าจะเป็นการควบคุม Wi-Fi, LAN หรือ 5G ทั้งหมดใน ecosystem เดียวกัน ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกและลดความซับซ้อนในการดูแลระบบเครือข่าย นอกจากนี้ UniFi 5G ยังถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่บ้านพักอาศัย ธุรกิจขนาดเล็ก ไปจนถึงองค์กรที่ต้องการโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่มีความเสถียรและปลอดภัย โดยมีตัวเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะกับการใช้งานทั้งในร่มและกลางแจ้ง การเปิดตัวครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของ Ubiquiti ที่จะขยาย ecosystem ของ UniFi ให้ครอบคลุมทุกการเชื่อมต่อ ตั้งแต่ Wi-Fi, wired network ไปจนถึง 5G เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ครบวงจรและตอบโจทย์ผู้ใช้ในยุคดิจิทัล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ จุดเด่นของ UniFi 5G ➡️ ติดตั้งง่าย (effortless setup) ➡️ ความเร็วสูงระดับ ultra fast speeds ➡️ ตัวเลือกกลางแจ้งที่ทนทาน (rugged outdoor options) ✅ การผสานเข้ากับระบบ UniFi ➡️ จัดการ Wi-Fi, LAN และ 5G จากแพลตฟอร์มเดียว ➡️ ลดความซับซ้อนในการดูแลระบบเครือข่าย ✅ การใช้งานที่หลากหลาย ➡️ รองรับทั้งบ้านพักอาศัย ธุรกิจ และองค์กร ➡️ มีอุปกรณ์สำหรับทั้งในร่มและกลางแจ้ง ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การใช้งาน 5G อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการเชื่อมต่อทั่วไป ⛔ ความครอบคลุมสัญญาณขึ้นอยู่กับพื้นที่และผู้ให้บริการ https://blog.ui.com/article/introducing-unifi-5g
    BLOG.UI.COM
    Introducing UniFi 5G
    Discover the U5G Max and UniFi’s next generation 5G lineup featuring effortless setup, ultra fast speeds, rugged outdoor options, and advanced UniFi integration for unmatched performance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ปัญหาทางเทคนิคส่วนใหญ่ จริง ๆ แล้วคือปัญหาคน"

    บทความนี้เล่าประสบการณ์จากผู้เขียนที่เคยทำงานในบริษัทที่มี technical debt มหาศาล — โค้ดหลายล้านบรรทัด ไม่มี unit tests และใช้ framework ที่ล้าสมัย ปัญหาที่ดูเหมือนเป็นเรื่องเทคนิคจริง ๆ แล้วกลับมีรากเหง้ามาจาก การจัดการคนและวัฒนธรรมองค์กร มากกว่าตัวเทคโนโลยีเอง

    ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า การแก้ปัญหาทางเทคนิคมักไม่สำเร็จ หากไม่มีการแก้ปัญหาความร่วมมือในทีม เช่น การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน การขาดความรับผิดชอบร่วมกัน หรือการตัดสินใจที่ไม่โปร่งใส สิ่งเหล่านี้ทำให้โค้ดและระบบสะสมปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็น technical debt ที่ยากจะแก้ไข

    นอกจากนี้ยังกล่าวถึง ความสำคัญของการสร้างวัฒนธรรมทีมที่ดี เช่น การเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา การยอมรับความผิดพลาด และการสนับสนุนให้ทีมเรียนรู้จากกันและกัน เพราะสุดท้ายแล้ว เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ แต่คนคือผู้ที่ทำให้ระบบเดินไปข้างหน้าได้จริง

    บทเรียนสำคัญคือ หากองค์กรอยากแก้ปัญหาทางเทคนิคอย่างยั่งยืน ต้องเริ่มจากการแก้ปัญหาคน — การสร้างทีมที่มีความไว้วางใจ การสื่อสารที่ดี และการจัดการที่โปร่งใส จะช่วยลด technical debt และทำให้การพัฒนาระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สาเหตุของปัญหาทางเทคนิค
    Technical debt มหาศาลจากโค้ดที่ไม่มีการทดสอบและ framework ล้าสมัย
    ปัญหาคน เช่น การสื่อสารไม่ชัดเจน และการตัดสินใจที่ไม่โปร่งใส

    วิธีแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
    สร้างวัฒนธรรมทีมที่ดี เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วม
    ยอมรับและเรียนรู้จากความผิดพลาด
    ส่งเสริมความรับผิดชอบร่วมกัน

    ข้อควรระวัง
    การแก้ปัญหาทางเทคนิคโดยไม่แก้ปัญหาคน จะทำให้ technical debt สะสมต่อไป
    การขาดความไว้วางใจในทีม อาจทำให้โครงการล้มเหลวแม้มีเทคโนโลยีที่ดี

    https://blog.joeschrag.com/2023/11/most-technical-problems-are-really.html
    👥 "ปัญหาทางเทคนิคส่วนใหญ่ จริง ๆ แล้วคือปัญหาคน" บทความนี้เล่าประสบการณ์จากผู้เขียนที่เคยทำงานในบริษัทที่มี technical debt มหาศาล — โค้ดหลายล้านบรรทัด ไม่มี unit tests และใช้ framework ที่ล้าสมัย ปัญหาที่ดูเหมือนเป็นเรื่องเทคนิคจริง ๆ แล้วกลับมีรากเหง้ามาจาก การจัดการคนและวัฒนธรรมองค์กร มากกว่าตัวเทคโนโลยีเอง ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า การแก้ปัญหาทางเทคนิคมักไม่สำเร็จ หากไม่มีการแก้ปัญหาความร่วมมือในทีม เช่น การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน การขาดความรับผิดชอบร่วมกัน หรือการตัดสินใจที่ไม่โปร่งใส สิ่งเหล่านี้ทำให้โค้ดและระบบสะสมปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็น technical debt ที่ยากจะแก้ไข นอกจากนี้ยังกล่าวถึง ความสำคัญของการสร้างวัฒนธรรมทีมที่ดี เช่น การเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา การยอมรับความผิดพลาด และการสนับสนุนให้ทีมเรียนรู้จากกันและกัน เพราะสุดท้ายแล้ว เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ แต่คนคือผู้ที่ทำให้ระบบเดินไปข้างหน้าได้จริง บทเรียนสำคัญคือ หากองค์กรอยากแก้ปัญหาทางเทคนิคอย่างยั่งยืน ต้องเริ่มจากการแก้ปัญหาคน — การสร้างทีมที่มีความไว้วางใจ การสื่อสารที่ดี และการจัดการที่โปร่งใส จะช่วยลด technical debt และทำให้การพัฒนาระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สาเหตุของปัญหาทางเทคนิค ➡️ Technical debt มหาศาลจากโค้ดที่ไม่มีการทดสอบและ framework ล้าสมัย ➡️ ปัญหาคน เช่น การสื่อสารไม่ชัดเจน และการตัดสินใจที่ไม่โปร่งใส ✅ วิธีแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ➡️ สร้างวัฒนธรรมทีมที่ดี เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วม ➡️ ยอมรับและเรียนรู้จากความผิดพลาด ➡️ ส่งเสริมความรับผิดชอบร่วมกัน ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การแก้ปัญหาทางเทคนิคโดยไม่แก้ปัญหาคน จะทำให้ technical debt สะสมต่อไป ⛔ การขาดความไว้วางใจในทีม อาจทำให้โครงการล้มเหลวแม้มีเทคโนโลยีที่ดี https://blog.joeschrag.com/2023/11/most-technical-problems-are-really.html
    BLOG.JOESCHRAG.COM
    Most Technical Problems Are Really People Problems
    I once worked at a company which had an enormous amount of technical debt - millions of lines of code, no unit tests, based on frameworks ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Gemini 3 Pro – ก้าวกระโดดด้าน Vision AI จาก Google DeepMind"

    Google DeepMind เปิดตัว Gemini 3 Pro ซึ่งถูกยกให้เป็นโมเดลมัลติโหมดที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบัน โดยเน้นความสามารถด้าน การเข้าใจเอกสาร, การวิเคราะห์เชิงพื้นที่, การทำงานกับหน้าจอ และการเข้าใจวิดีโอ ถือเป็นการก้าวข้ามจากการจดจำภาพธรรมดาไปสู่การ ให้เหตุผลเชิงภาพและเชิงพื้นที่อย่างแท้จริง

    ในด้าน Document Understanding Gemini 3 Pro สามารถทำ OCR ที่แม่นยำ พร้อม "derendering" คือการแปลงเอกสารภาพกลับเป็นโค้ดที่สร้างใหม่ได้ เช่น HTML, LaTeX หรือ Markdown ตัวอย่างเช่น การแปลงบันทึกพ่อค้าในศตวรรษที่ 18 ให้เป็นตาราง หรือการสร้างสมการจากภาพที่มีโน้ตคณิตศาสตร์ซับซ้อน รวมถึงการสร้างกราฟแบบ interactive จาก Polar Diagram ของ Florence Nightingale

    ด้าน Spatial และ Screen Understanding โมเดลสามารถระบุพิกัด pixel ได้อย่างแม่นยำ ใช้สำหรับการวิเคราะห์ท่าทางมนุษย์, การจัดการวัตถุในหุ่นยนต์, หรือการเข้าใจ UI บนหน้าจอเพื่อทำงานอัตโนมัติ เช่น QA testing และ UX analytics นอกจากนี้ยังสามารถสร้างแผนการจัดการสิ่งของบนโต๊ะที่รกได้ตามคำสั่ง

    สำหรับ Video Understanding Gemini 3 Pro ถูกปรับให้เข้าใจวิดีโอที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยสามารถวิเคราะห์เหตุและผลของเหตุการณ์ในวิดีโอ ไม่ใช่แค่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังอธิบายได้ว่า "ทำไม" มันถึงเกิดขึ้น รวมถึงการประมวลผลวิดีโอความเร็วสูง (10 FPS) เพื่อวิเคราะห์รายละเอียด เช่น กลไกการสวิงของนักกอล์ฟ และยังสามารถแปลงวิดีโอขนาดยาวให้เป็นโค้ดหรือแอปพลิเคชันที่ใช้งานได้ทันที

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ความสามารถหลักของ Gemini 3 Pro
    Document Understanding: OCR + Derendering เป็นโค้ด (HTML, LaTeX, Markdown)
    Spatial Understanding: ระบุพิกัด pixel, วิเคราะห์ท่าทาง, ใช้ในหุ่นยนต์และ AR/XR
    Screen Understanding: เข้าใจ UI เพื่อทำงานอัตโนมัติ เช่น QA และ UX analytics
    Video Understanding: วิเคราะห์เหตุและผล, ประมวลผลวิดีโอความเร็วสูง

    การประยุกต์ใช้งานจริง
    การศึกษา: ช่วยแก้โจทย์คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน
    การแพทย์: วิเคราะห์ภาพรังสีและงานวิจัยทางชีวภาพ
    กฎหมายและการเงิน: วิเคราะห์สัญญาและรายงานที่ซับซ้อน
    สื่อและการเรียนรู้: สร้างภาพแก้ไขการบ้านแบบ visual feedback

    ข้อควรระวัง
    การใช้พลังประมวลผลสูง อาจมีค่าใช้จ่ายและ latency มากขึ้น
    ความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนบุคคล หากนำไปใช้กับเอกสารหรือภาพที่มีข้อมูลสำคัญ
    การพึ่งพา AI ในการให้เหตุผล อาจทำให้เกิดการตีความผิดหากไม่มีการตรวจสอบมนุษย์

    https://blog.google/technology/developers/gemini-3-pro-vision/
    👁️ "Gemini 3 Pro – ก้าวกระโดดด้าน Vision AI จาก Google DeepMind" Google DeepMind เปิดตัว Gemini 3 Pro ซึ่งถูกยกให้เป็นโมเดลมัลติโหมดที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบัน โดยเน้นความสามารถด้าน การเข้าใจเอกสาร, การวิเคราะห์เชิงพื้นที่, การทำงานกับหน้าจอ และการเข้าใจวิดีโอ ถือเป็นการก้าวข้ามจากการจดจำภาพธรรมดาไปสู่การ ให้เหตุผลเชิงภาพและเชิงพื้นที่อย่างแท้จริง ในด้าน Document Understanding Gemini 3 Pro สามารถทำ OCR ที่แม่นยำ พร้อม "derendering" คือการแปลงเอกสารภาพกลับเป็นโค้ดที่สร้างใหม่ได้ เช่น HTML, LaTeX หรือ Markdown ตัวอย่างเช่น การแปลงบันทึกพ่อค้าในศตวรรษที่ 18 ให้เป็นตาราง หรือการสร้างสมการจากภาพที่มีโน้ตคณิตศาสตร์ซับซ้อน รวมถึงการสร้างกราฟแบบ interactive จาก Polar Diagram ของ Florence Nightingale ด้าน Spatial และ Screen Understanding โมเดลสามารถระบุพิกัด pixel ได้อย่างแม่นยำ ใช้สำหรับการวิเคราะห์ท่าทางมนุษย์, การจัดการวัตถุในหุ่นยนต์, หรือการเข้าใจ UI บนหน้าจอเพื่อทำงานอัตโนมัติ เช่น QA testing และ UX analytics นอกจากนี้ยังสามารถสร้างแผนการจัดการสิ่งของบนโต๊ะที่รกได้ตามคำสั่ง สำหรับ Video Understanding Gemini 3 Pro ถูกปรับให้เข้าใจวิดีโอที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยสามารถวิเคราะห์เหตุและผลของเหตุการณ์ในวิดีโอ ไม่ใช่แค่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังอธิบายได้ว่า "ทำไม" มันถึงเกิดขึ้น รวมถึงการประมวลผลวิดีโอความเร็วสูง (10 FPS) เพื่อวิเคราะห์รายละเอียด เช่น กลไกการสวิงของนักกอล์ฟ และยังสามารถแปลงวิดีโอขนาดยาวให้เป็นโค้ดหรือแอปพลิเคชันที่ใช้งานได้ทันที 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ความสามารถหลักของ Gemini 3 Pro ➡️ Document Understanding: OCR + Derendering เป็นโค้ด (HTML, LaTeX, Markdown) ➡️ Spatial Understanding: ระบุพิกัด pixel, วิเคราะห์ท่าทาง, ใช้ในหุ่นยนต์และ AR/XR ➡️ Screen Understanding: เข้าใจ UI เพื่อทำงานอัตโนมัติ เช่น QA และ UX analytics ➡️ Video Understanding: วิเคราะห์เหตุและผล, ประมวลผลวิดีโอความเร็วสูง ✅ การประยุกต์ใช้งานจริง ➡️ การศึกษา: ช่วยแก้โจทย์คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน ➡️ การแพทย์: วิเคราะห์ภาพรังสีและงานวิจัยทางชีวภาพ ➡️ กฎหมายและการเงิน: วิเคราะห์สัญญาและรายงานที่ซับซ้อน ➡️ สื่อและการเรียนรู้: สร้างภาพแก้ไขการบ้านแบบ visual feedback ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การใช้พลังประมวลผลสูง อาจมีค่าใช้จ่ายและ latency มากขึ้น ⛔ ความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนบุคคล หากนำไปใช้กับเอกสารหรือภาพที่มีข้อมูลสำคัญ ⛔ การพึ่งพา AI ในการให้เหตุผล อาจทำให้เกิดการตีความผิดหากไม่มีการตรวจสอบมนุษย์ https://blog.google/technology/developers/gemini-3-pro-vision/
    BLOG.GOOGLE
    Gemini 3 Pro: the frontier of vision AI
    Build with Gemini 3 Pro, the best model in the world for multimodal capabilities.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • "NanoKVM พบไมโครโฟนซ่อน – ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ไม่ถูกเปิดเผย"

    NanoKVM อุปกรณ์ KVM switch ขนาดเล็กจากบริษัทจีน Sipeed ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ระยะไกลผ่านเว็บเบราว์เซอร์ได้ โดยมีฟังก์ชันครบทั้งการจำลองคีย์บอร์ด เมาส์ และแม้แต่การเข้าถึง BIOS อย่างไรก็ตาม นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ค้นพบว่าอุปกรณ์นี้มี ไมโครโฟนขนาดเล็กซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งไม่ถูกระบุไว้ในเอกสารทางการ

    การตรวจสอบพบว่าไมโครโฟนนี้สามารถใช้งานได้ทันทีผ่านเครื่องมือที่ติดตั้งมาแล้ว เช่น amixer และ arecord ทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถบันทึกเสียงหรือแม้แต่สตรีมเสียงแบบเรียลไทม์ได้ หากเข้าถึงอุปกรณ์ผ่าน SSH โดยเฉพาะเมื่ออุปกรณ์เคยถูกส่งมาพร้อมรหัสผ่านเริ่มต้นที่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งถือเป็นช่องโหว่ร้ายแรง

    นอกจากไมโครโฟนแล้ว NanoKVM ยังมีปัญหาด้านความปลอดภัยอื่น ๆ เช่น การใช้ คีย์เข้ารหัสที่ hardcoded เหมือนกันทุกเครื่อง, การสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ในจีน, การไม่มีการตรวจสอบความสมบูรณ์ของซอฟต์แวร์อัปเดต และการติดตั้งเครื่องมือที่ใช้สำหรับเจาะระบบอย่าง tcpdump และ aircrack ไว้ในเฟิร์มแวร์ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด

    แม้ผู้ผลิตจะพยายามแก้ไขบางส่วน เช่น การยกเลิกการใช้รหัสผ่านเริ่มต้น แต่ปัญหาหลักยังคงอยู่ และการมีไมโครโฟนซ่อนโดยไม่แจ้งผู้ใช้ถือเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลอย่างมาก นักวิจัยแนะนำว่าผู้ใช้ควรพิจารณา แฟลชระบบปฏิบัติการใหม่ที่ปลอดภัยกว่า หรือแม้แต่ถอดไมโครโฟนออกทางกายภาพ หากต้องการใช้งานต่อ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ฟังก์ชันของ NanoKVM
    ควบคุมคอมพิวเตอร์ระยะไกลผ่านเว็บเบราว์เซอร์
    จำลองคีย์บอร์ด เมาส์ และเข้าถึง BIOS ได้
    ราคาถูกกว่า PiKVM หลายเท่า

    สิ่งที่ค้นพบเพิ่มเติม
    มีไมโครโฟนซ่อนอยู่ภายใน สามารถบันทึกเสียงได้
    ติดตั้งเครื่องมือเจาะระบบเช่น tcpdump และ aircrack

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    ใช้รหัสผ่านเริ่มต้นและคีย์เข้ารหัสที่เหมือนกันทุกเครื่อง
    ไม่มีการตรวจสอบความสมบูรณ์ของซอฟต์แวร์อัปเดต
    สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ในจีนและเก็บคีย์ยืนยันแบบ plain text

    https://telefoncek.si/2025/02/2025-02-10-hidden-microphone-on-nanokvm/
    🎤 "NanoKVM พบไมโครโฟนซ่อน – ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ไม่ถูกเปิดเผย" NanoKVM อุปกรณ์ KVM switch ขนาดเล็กจากบริษัทจีน Sipeed ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ระยะไกลผ่านเว็บเบราว์เซอร์ได้ โดยมีฟังก์ชันครบทั้งการจำลองคีย์บอร์ด เมาส์ และแม้แต่การเข้าถึง BIOS อย่างไรก็ตาม นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ค้นพบว่าอุปกรณ์นี้มี ไมโครโฟนขนาดเล็กซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งไม่ถูกระบุไว้ในเอกสารทางการ การตรวจสอบพบว่าไมโครโฟนนี้สามารถใช้งานได้ทันทีผ่านเครื่องมือที่ติดตั้งมาแล้ว เช่น amixer และ arecord ทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถบันทึกเสียงหรือแม้แต่สตรีมเสียงแบบเรียลไทม์ได้ หากเข้าถึงอุปกรณ์ผ่าน SSH โดยเฉพาะเมื่ออุปกรณ์เคยถูกส่งมาพร้อมรหัสผ่านเริ่มต้นที่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งถือเป็นช่องโหว่ร้ายแรง นอกจากไมโครโฟนแล้ว NanoKVM ยังมีปัญหาด้านความปลอดภัยอื่น ๆ เช่น การใช้ คีย์เข้ารหัสที่ hardcoded เหมือนกันทุกเครื่อง, การสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ในจีน, การไม่มีการตรวจสอบความสมบูรณ์ของซอฟต์แวร์อัปเดต และการติดตั้งเครื่องมือที่ใช้สำหรับเจาะระบบอย่าง tcpdump และ aircrack ไว้ในเฟิร์มแวร์ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด แม้ผู้ผลิตจะพยายามแก้ไขบางส่วน เช่น การยกเลิกการใช้รหัสผ่านเริ่มต้น แต่ปัญหาหลักยังคงอยู่ และการมีไมโครโฟนซ่อนโดยไม่แจ้งผู้ใช้ถือเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลอย่างมาก นักวิจัยแนะนำว่าผู้ใช้ควรพิจารณา แฟลชระบบปฏิบัติการใหม่ที่ปลอดภัยกว่า หรือแม้แต่ถอดไมโครโฟนออกทางกายภาพ หากต้องการใช้งานต่อ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ฟังก์ชันของ NanoKVM ➡️ ควบคุมคอมพิวเตอร์ระยะไกลผ่านเว็บเบราว์เซอร์ ➡️ จำลองคีย์บอร์ด เมาส์ และเข้าถึง BIOS ได้ ➡️ ราคาถูกกว่า PiKVM หลายเท่า ✅ สิ่งที่ค้นพบเพิ่มเติม ➡️ มีไมโครโฟนซ่อนอยู่ภายใน สามารถบันทึกเสียงได้ ➡️ ติดตั้งเครื่องมือเจาะระบบเช่น tcpdump และ aircrack ‼️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ ใช้รหัสผ่านเริ่มต้นและคีย์เข้ารหัสที่เหมือนกันทุกเครื่อง ⛔ ไม่มีการตรวจสอบความสมบูรณ์ของซอฟต์แวร์อัปเดต ⛔ สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ในจีนและเก็บคีย์ยืนยันแบบ plain text https://telefoncek.si/2025/02/2025-02-10-hidden-microphone-on-nanokvm/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • "PeaZip 10.8 ปรับปรุงระบบ Preview ไฟล์ใน Archive พร้อมธีมใหม่และฟีเจอร์วิเคราะห์ไฟล์"

    PeaZip 10.8 ได้เปิดตัวแล้วในฐานะโปรแกรมจัดการไฟล์บีบอัดแบบโอเพนซอร์สที่รองรับหลายแพลตฟอร์ม จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการ ปรับปรุงระบบ Preview ภายในไฟล์บีบอัด ทำให้ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลภายใน archive ได้สะดวกและแม่นยำมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องแตกไฟล์ออกมาก่อน

    นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม ธีมใหม่แบบปรับแต่งได้ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกโทนสีและรูปแบบที่เหมาะกับการใช้งานของตนเอง รวมถึงการเพิ่มระบบ วิเคราะห์ “magic bytes” ของ header ซึ่งช่วยให้โปรแกรมสามารถตรวจสอบชนิดไฟล์ได้แม่นยำขึ้นเมื่อเปิด archive ที่มีหลายรูปแบบ

    PeaZip ยังคงใช้พื้นฐานจากเครื่องมือบีบอัดชื่อดังอย่าง 7-Zip/p7zip, Zstandard และ FreeArc ทำให้รองรับไฟล์หลากหลายประเภท ทั้ง ZIP, RAR, TAR, GZ และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยยังคงรักษาจุดแข็งเรื่องความเร็วและความปลอดภัยในการจัดการไฟล์

    การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า PeaZip ไม่ได้หยุดพัฒนา แต่ยังคงมุ่งเน้นการเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้ ทั้งด้านความสะดวก ความสวยงาม และความแม่นยำในการจัดการไฟล์บีบอัด ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ Linux และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่ต้องการเครื่องมือฟรีและโอเพนซอร์ส

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ใน PeaZip 10.8
    ปรับปรุงระบบ Preview ภายใน archive ให้ใช้งานง่ายขึ้น
    เพิ่มธีมใหม่ที่ปรับแต่งได้ตามความชอบ
    วิเคราะห์ header ด้วย “magic bytes” เพื่อระบุชนิดไฟล์แม่นยำ

    จุดแข็งของโปรแกรม
    ใช้พื้นฐานจาก 7-Zip, Zstandard, FreeArc รองรับไฟล์หลากหลาย
    ฟรีและโอเพนซอร์ส ใช้งานได้หลายแพลตฟอร์ม

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    การรองรับไฟล์บางชนิดอาจขึ้นอยู่กับ library ภายนอก
    ผู้ใช้ที่ไม่คุ้นเคยกับการตั้งค่าอาจต้องใช้เวลาเรียนรู้ก่อนใช้งานเต็มประสิทธิภาพ

    https://9to5linux.com/peazip-10-8-open-source-archive-manager-overhauls-previewing-inside-archives
    📦 "PeaZip 10.8 ปรับปรุงระบบ Preview ไฟล์ใน Archive พร้อมธีมใหม่และฟีเจอร์วิเคราะห์ไฟล์" PeaZip 10.8 ได้เปิดตัวแล้วในฐานะโปรแกรมจัดการไฟล์บีบอัดแบบโอเพนซอร์สที่รองรับหลายแพลตฟอร์ม จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการ ปรับปรุงระบบ Preview ภายในไฟล์บีบอัด ทำให้ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลภายใน archive ได้สะดวกและแม่นยำมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องแตกไฟล์ออกมาก่อน นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม ธีมใหม่แบบปรับแต่งได้ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกโทนสีและรูปแบบที่เหมาะกับการใช้งานของตนเอง รวมถึงการเพิ่มระบบ วิเคราะห์ “magic bytes” ของ header ซึ่งช่วยให้โปรแกรมสามารถตรวจสอบชนิดไฟล์ได้แม่นยำขึ้นเมื่อเปิด archive ที่มีหลายรูปแบบ PeaZip ยังคงใช้พื้นฐานจากเครื่องมือบีบอัดชื่อดังอย่าง 7-Zip/p7zip, Zstandard และ FreeArc ทำให้รองรับไฟล์หลากหลายประเภท ทั้ง ZIP, RAR, TAR, GZ และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยยังคงรักษาจุดแข็งเรื่องความเร็วและความปลอดภัยในการจัดการไฟล์ การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า PeaZip ไม่ได้หยุดพัฒนา แต่ยังคงมุ่งเน้นการเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้ ทั้งด้านความสะดวก ความสวยงาม และความแม่นยำในการจัดการไฟล์บีบอัด ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ Linux และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่ต้องการเครื่องมือฟรีและโอเพนซอร์ส 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน PeaZip 10.8 ➡️ ปรับปรุงระบบ Preview ภายใน archive ให้ใช้งานง่ายขึ้น ➡️ เพิ่มธีมใหม่ที่ปรับแต่งได้ตามความชอบ ➡️ วิเคราะห์ header ด้วย “magic bytes” เพื่อระบุชนิดไฟล์แม่นยำ ✅ จุดแข็งของโปรแกรม ➡️ ใช้พื้นฐานจาก 7-Zip, Zstandard, FreeArc รองรับไฟล์หลากหลาย ➡️ ฟรีและโอเพนซอร์ส ใช้งานได้หลายแพลตฟอร์ม ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ การรองรับไฟล์บางชนิดอาจขึ้นอยู่กับ library ภายนอก ⛔ ผู้ใช้ที่ไม่คุ้นเคยกับการตั้งค่าอาจต้องใช้เวลาเรียนรู้ก่อนใช้งานเต็มประสิทธิภาพ https://9to5linux.com/peazip-10-8-open-source-archive-manager-overhauls-previewing-inside-archives
    9TO5LINUX.COM
    PeaZip 10.8 Open-Source Archive Manager Overhauls Previewing Inside Archives - 9to5Linux
    PeaZip 10.8 open-source archive manager is now available for download with a new image viewer component and various improvements.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Proton Sheets – สเปรดชีตเข้ารหัส ปลอดภัย ใช้ง่าย เป็นทางเลือกแทน Google Docs"

    Proton บริษัทจากสวิตเซอร์แลนด์ที่เน้นเรื่องความเป็นส่วนตัว ได้เปิดตัว Proton Sheets ซึ่งเป็นเครื่องมือสเปรดชีตออนไลน์ที่เข้ารหัสแบบ end-to-end ทำงานบน Proton Drive จุดเด่นคือ Proton ไม่สามารถเห็นข้อมูลของผู้ใช้ และผู้ใช้สามารถควบคุมการแชร์ได้เองทั้งหมด นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ Proton มีชุดเครื่องมือครบทั้งอีเมล ปฏิทิน เอกสาร และสเปรดชีต

    Proton Sheets มาพร้อมฟีเจอร์ที่ผู้ใช้คุ้นเคย เช่น การทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ การรองรับสูตรคำนวณ การนำเข้าและส่งออกไฟล์ CSV/XLS และระบบควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงที่แข็งแรง อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้บนหลายอุปกรณ์ ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้อย่างปลอดภัยทุกที่ทุกเวลา

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Proton Sheets มีการออกแบบที่ใส่ใจผู้ใช้ เช่น การแจ้งเตือนเมื่อหน้าต่างเบราว์เซอร์เล็กเกินไป เพื่อป้องกันการทำงานผิดพลาด แม้บางครั้งอาจสร้างความรำคาญ แต่ก็สะท้อนถึงความตั้งใจในการดูแลประสบการณ์ผู้ใช้ให้ดีที่สุด

    เมื่อรวมกับบริการอื่น ๆ เช่น Proton Mail, Proton Calendar, Proton Pass และ Proton VPN ทำให้ Proton Ecosystem กลายเป็นทางเลือกที่จริงจังสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยง Big Tech และมองหาชุดเครื่องมือที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    จุดเด่นของ Proton Sheets
    เข้ารหัส end-to-end ปลอดภัย Proton ไม่สามารถเห็นข้อมูล
    รองรับการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ และสูตรคำนวณ
    นำเข้า/ส่งออก CSV และ XLS ได้สะดวก

    Ecosystem ของ Proton
    ครบทั้ง Mail, Calendar, Drive, Docs, Sheets
    เสริมด้วย Proton Pass และ Proton VPN

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    การแจ้งเตือนหน้าต่างเบราว์เซอร์เล็กเกินไป อาจสร้างความรำคาญ
    ฟีเจอร์บางอย่างยังอยู่ในช่วงทยอยเปิดให้ผู้ใช้ อาจยังไม่ครบทุกบัญชี

    https://itsfoss.com/news/proton-sheets/
    📊 "Proton Sheets – สเปรดชีตเข้ารหัส ปลอดภัย ใช้ง่าย เป็นทางเลือกแทน Google Docs" Proton บริษัทจากสวิตเซอร์แลนด์ที่เน้นเรื่องความเป็นส่วนตัว ได้เปิดตัว Proton Sheets ซึ่งเป็นเครื่องมือสเปรดชีตออนไลน์ที่เข้ารหัสแบบ end-to-end ทำงานบน Proton Drive จุดเด่นคือ Proton ไม่สามารถเห็นข้อมูลของผู้ใช้ และผู้ใช้สามารถควบคุมการแชร์ได้เองทั้งหมด นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ Proton มีชุดเครื่องมือครบทั้งอีเมล ปฏิทิน เอกสาร และสเปรดชีต Proton Sheets มาพร้อมฟีเจอร์ที่ผู้ใช้คุ้นเคย เช่น การทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ การรองรับสูตรคำนวณ การนำเข้าและส่งออกไฟล์ CSV/XLS และระบบควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงที่แข็งแรง อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้บนหลายอุปกรณ์ ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้อย่างปลอดภัยทุกที่ทุกเวลา สิ่งที่น่าสนใจคือ Proton Sheets มีการออกแบบที่ใส่ใจผู้ใช้ เช่น การแจ้งเตือนเมื่อหน้าต่างเบราว์เซอร์เล็กเกินไป เพื่อป้องกันการทำงานผิดพลาด แม้บางครั้งอาจสร้างความรำคาญ แต่ก็สะท้อนถึงความตั้งใจในการดูแลประสบการณ์ผู้ใช้ให้ดีที่สุด เมื่อรวมกับบริการอื่น ๆ เช่น Proton Mail, Proton Calendar, Proton Pass และ Proton VPN ทำให้ Proton Ecosystem กลายเป็นทางเลือกที่จริงจังสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยง Big Tech และมองหาชุดเครื่องมือที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ จุดเด่นของ Proton Sheets ➡️ เข้ารหัส end-to-end ปลอดภัย Proton ไม่สามารถเห็นข้อมูล ➡️ รองรับการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ และสูตรคำนวณ ➡️ นำเข้า/ส่งออก CSV และ XLS ได้สะดวก ✅ Ecosystem ของ Proton ➡️ ครบทั้ง Mail, Calendar, Drive, Docs, Sheets ➡️ เสริมด้วย Proton Pass และ Proton VPN ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ การแจ้งเตือนหน้าต่างเบราว์เซอร์เล็กเกินไป อาจสร้างความรำคาญ ⛔ ฟีเจอร์บางอย่างยังอยู่ในช่วงทยอยเปิดให้ผู้ใช้ อาจยังไม่ครบทุกบัญชี https://itsfoss.com/news/proton-sheets/
    ITSFOSS.COM
    With This New Feature, Proton Has Made it Even Easier to Move Away from Gmail and Google Docs
    The missing piece is here. There is no excuse to stick with Big Tech now.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • EP 107
    วิเคราะห์ทองก่อนเปิดตลาดในวันจันทร์ ทิศทางแนวโน้ม ดูกันในคลิป
    BY.
    EP 107 วิเคราะห์ทองก่อนเปิดตลาดในวันจันทร์ ทิศทางแนวโน้ม ดูกันในคลิป BY.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • หลุดผลทดสอบ และรายละเอียด Intel Panther Lake “Core Ultra Series 3”

    ข่าวนี้เผยผลทดสอบหลุดของซีพียู Intel Panther Lake “Core Ultra Series 3” หลายรุ่น เช่น Core Ultra 7 366H, Ultra X7 358H, Ultra 7 365 และ Ultra 5 332 โดยมีทั้งสเปกและคะแนนเบื้องต้นจาก PassMark และ Geekbench ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของ Intel ในการแข่งขันกับ AMD Ryzen AI รุ่นใหม่ อันประกอบไปด้วย:
    Core Ultra 7 366H: 16 คอร์, L3 cache 18MB, L2 cache 12MB, ความเร็วบูสต์ ~5.0 GHz
    Core Ultra X7 358H: 16 คอร์, ความเร็วบูสต์ 4.8 GHz, มาพร้อม iGPU Xe3 เต็ม 12 คอร์
    Core Ultra 7 365: 8 คอร์, L3 12MB, L2 12MB
    Core Ultra 5 332: 6 คอร์, L3 12MB, L2 6MB

    ผลทดสอบประสิทธิภาพ
    Core Ultra 7 366H ทำคะแนนใกล้เคียงกับ Core Ultra 9 285H แม้ความเร็วต่ำกว่าเล็กน้อย
    Core Ultra X7 358H เร็วกว่ารุ่น Ultra 7 255H แม้มีคอร์น้อยกว่า
    Core Ultra 7 365 เร็วกว่าทั้ง Ryzen AI Z2 Extreme และ Ultra 5 226V
    Core Ultra 5 332 ถือเป็นรุ่นเริ่มต้นที่ช้ากว่ารุ่นอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด

    การทดสอบบนเครื่องเล่นพกพา
    มีการพบ OneXPlayer X1 i ที่ใช้ Core Ultra 5 338H (12 คอร์, 4.6 GHz) โดยผล Geekbench แสดงว่า Single-Core ต่ำกว่า Ryzen AI 9 HX 370 แต่ Multi-Core สูงกว่า แสดงให้เห็นว่า Panther Lake อาจมีศักยภาพในงานที่ใช้หลายคอร์พร้อมกัน

    ความคาดหวังใน CES 2026
    Intel เตรียมเปิดตัว Core Ultra Series 3 “Panther Lake” อย่างเป็นทางการในงาน CES 2026 ซึ่งจะเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่กับ AMD Ryzen AI รุ่นใหม่ โดยเฉพาะในตลาดโน้ตบุ๊กและเครื่องเล่นพกพาที่ต้องการทั้งประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Intel Panther Lake หลายรุ่นถูกทดสอบบน PassMark และ Geekbench
    Core Ultra 7 366H, X7 358H, 7 365, 5 332

    ผลทดสอบชี้ว่ารุ่นกลางและสูงแข่งกับ Ryzen AI ได้สูสี
    Ultra 7 365 เร็วกว่ารุ่น Ryzen AI Z2 Extreme

    OneXPlayer X1 i ใช้ Core Ultra 5 338H
    Multi-Core ดีกว่า Ryzen AI 9 HX 370 แต่ Single-Core ต่ำกว่า

    คาดว่าจะเปิดตัว CES 2026
    เป็นการกลับมาของ Intel ในตลาดโน้ตบุ๊กและ handheld

    ผลทดสอบยังเป็นเพียงตัวเลขเบื้องต้น
    อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเปิดตัวจริงและมีการปรับแต่งเฟิร์มแวร์

    รุ่นเริ่มต้น Ultra 5 332 ยังช้ากว่าคู่แข่ง
    อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง

    https://wccftech.com/intel-panther-lake-cpu-benchmarks-leak-core-ultra-7-366h-x7-358h-7-365-5-332-handheld/
    ⚡ หลุดผลทดสอบ และรายละเอียด Intel Panther Lake “Core Ultra Series 3” ข่าวนี้เผยผลทดสอบหลุดของซีพียู Intel Panther Lake “Core Ultra Series 3” หลายรุ่น เช่น Core Ultra 7 366H, Ultra X7 358H, Ultra 7 365 และ Ultra 5 332 โดยมีทั้งสเปกและคะแนนเบื้องต้นจาก PassMark และ Geekbench ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของ Intel ในการแข่งขันกับ AMD Ryzen AI รุ่นใหม่ อันประกอบไปด้วย: 💠 Core Ultra 7 366H: 16 คอร์, L3 cache 18MB, L2 cache 12MB, ความเร็วบูสต์ ~5.0 GHz 💠 Core Ultra X7 358H: 16 คอร์, ความเร็วบูสต์ 4.8 GHz, มาพร้อม iGPU Xe3 เต็ม 12 คอร์ 💠 Core Ultra 7 365: 8 คอร์, L3 12MB, L2 12MB 💠 Core Ultra 5 332: 6 คอร์, L3 12MB, L2 6MB 📊 ผลทดสอบประสิทธิภาพ 🎗️ Core Ultra 7 366H ทำคะแนนใกล้เคียงกับ Core Ultra 9 285H แม้ความเร็วต่ำกว่าเล็กน้อย 🎗️ Core Ultra X7 358H เร็วกว่ารุ่น Ultra 7 255H แม้มีคอร์น้อยกว่า 🎗️ Core Ultra 7 365 เร็วกว่าทั้ง Ryzen AI Z2 Extreme และ Ultra 5 226V 🎗️ Core Ultra 5 332 ถือเป็นรุ่นเริ่มต้นที่ช้ากว่ารุ่นอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด 🎮 การทดสอบบนเครื่องเล่นพกพา มีการพบ OneXPlayer X1 i ที่ใช้ Core Ultra 5 338H (12 คอร์, 4.6 GHz) โดยผล Geekbench แสดงว่า Single-Core ต่ำกว่า Ryzen AI 9 HX 370 แต่ Multi-Core สูงกว่า แสดงให้เห็นว่า Panther Lake อาจมีศักยภาพในงานที่ใช้หลายคอร์พร้อมกัน 🌍 ความคาดหวังใน CES 2026 Intel เตรียมเปิดตัว Core Ultra Series 3 “Panther Lake” อย่างเป็นทางการในงาน CES 2026 ซึ่งจะเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่กับ AMD Ryzen AI รุ่นใหม่ โดยเฉพาะในตลาดโน้ตบุ๊กและเครื่องเล่นพกพาที่ต้องการทั้งประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Intel Panther Lake หลายรุ่นถูกทดสอบบน PassMark และ Geekbench ➡️ Core Ultra 7 366H, X7 358H, 7 365, 5 332 ✅ ผลทดสอบชี้ว่ารุ่นกลางและสูงแข่งกับ Ryzen AI ได้สูสี ➡️ Ultra 7 365 เร็วกว่ารุ่น Ryzen AI Z2 Extreme ✅ OneXPlayer X1 i ใช้ Core Ultra 5 338H ➡️ Multi-Core ดีกว่า Ryzen AI 9 HX 370 แต่ Single-Core ต่ำกว่า ✅ คาดว่าจะเปิดตัว CES 2026 ➡️ เป็นการกลับมาของ Intel ในตลาดโน้ตบุ๊กและ handheld ‼️ ผลทดสอบยังเป็นเพียงตัวเลขเบื้องต้น ⛔ อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเปิดตัวจริงและมีการปรับแต่งเฟิร์มแวร์ ‼️ รุ่นเริ่มต้น Ultra 5 332 ยังช้ากว่าคู่แข่ง ⛔ อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง https://wccftech.com/intel-panther-lake-cpu-benchmarks-leak-core-ultra-7-366h-x7-358h-7-365-5-332-handheld/
    WCCFTECH.COM
    Several Intel Panther Lake CPU Benchmarks Leak: Core Ultra 7 366H, Ultra X7 358H, Ultra 7 365, & Ultra 5 332, First Panther Lake Handheld Spotted
    Several Intel Panther Lake "Core Ultra Series 3" CPUs & a handheld have been leaked and benchmarked within the PassMark Software suite.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel เพิ่มการรองรับ Big Battlemage

    ข่าวนี้กล่าวถึงการที่ Intel เพิ่มการรองรับ Arc Battlemage BMG-G31 GPU ในซอฟต์แวร์ VTune Profiler ล่าสุด ซึ่งเป็นสัญญาณว่า “Big Battlemage” กำลังเข้าใกล้การเปิดตัวจริง อาจเกิดขึ้นในงาน CES 2026 ควบคู่กับซีพียู Panther Lake

    Intel ได้อัปเดต VTune Profiler (เวอร์ชัน 2025.7) โดยเพิ่มการรองรับ GPU รุ่น Arc Battlemage BMG-G31 และซีพียู Core Ultra 3 Panther Lake การเคลื่อนไหวนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณชัดเจนว่า Big Battlemage กำลังจะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้ หลังจากที่มีข่าวลือมานานกว่าหนึ่งปี

    สเปกที่คาดการณ์
    Arc BMG-G31 คาดว่าจะมีสูงสุด 32 Xe2 Cores, หน่วยความจำ 16GB GDDR6, และบัส 256-bit ที่ให้แบนด์วิดท์ถึง 608 GB/s หากตั้งราคาในช่วง 300–400 ดอลลาร์สหรัฐ จะสามารถแข่งขันกับ NVIDIA RTX 5060 และ AMD RX 9060 ได้อย่างสูสี

    ความคืบหน้าและความล่าช้า
    เดิมที Intel มีแผนเปิดตัวรุ่น Arc B770 เร็วกว่านี้ แต่ถูกเลื่อนออกไปหลายครั้ง จนถึงปลายปี 2025 จึงยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ การเพิ่มการรองรับใน VTune จึงถูกตีความว่าเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดตัวในงาน CES 2026

    ผลกระทบต่อการแข่งขันตลาด GPU
    หาก Big Battlemage เปิดตัวจริงในช่วงต้นปีหน้า จะเป็นการกลับมาท้าทาย NVIDIA และ AMD อีกครั้ง โดยเฉพาะในตลาดระดับกลางที่มีการแข่งขันสูง และอาจช่วยให้ Intel ขยายส่วนแบ่งตลาด GPU ได้มากขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Intel เพิ่มการรองรับ Arc BMG-G31 ใน VTune Profiler
    สัญญาณว่า Big Battlemage ใกล้เปิดตัว

    สเปกที่คาดการณ์ของ BMG-G31
    32 Xe2 Cores, 16GB GDDR6, 256-bit bus, 608 GB/s

    ราคาที่คาดว่าจะอยู่ราว 300–400 ดอลลาร์
    แข่งขันกับ RTX 5060 และ RX 9060

    คาดว่าจะเปิดตัว CES 2026
    พร้อมกับซีพียู Panther Lake

    การเลื่อนเปิดตัวหลายครั้งในปี 2025
    ทำให้ตลาดยังไม่มั่นใจในแผน GPU ของ Intel

    การแข่งขันกับ NVIDIA และ AMD ยังเข้มข้น
    Intel ต้องพิสูจน์ความเสถียรและประสิทธิภาพจริง

    https://wccftech.com/intel-arc-battlemage-bmg-g31-gpu-brand-new-support-big-battlemage-finally-ready/
    🖥️ Intel เพิ่มการรองรับ Big Battlemage ข่าวนี้กล่าวถึงการที่ Intel เพิ่มการรองรับ Arc Battlemage BMG-G31 GPU ในซอฟต์แวร์ VTune Profiler ล่าสุด ซึ่งเป็นสัญญาณว่า “Big Battlemage” กำลังเข้าใกล้การเปิดตัวจริง อาจเกิดขึ้นในงาน CES 2026 ควบคู่กับซีพียู Panther Lake Intel ได้อัปเดต VTune Profiler (เวอร์ชัน 2025.7) โดยเพิ่มการรองรับ GPU รุ่น Arc Battlemage BMG-G31 และซีพียู Core Ultra 3 Panther Lake การเคลื่อนไหวนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณชัดเจนว่า Big Battlemage กำลังจะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้ หลังจากที่มีข่าวลือมานานกว่าหนึ่งปี ⚡ สเปกที่คาดการณ์ Arc BMG-G31 คาดว่าจะมีสูงสุด 32 Xe2 Cores, หน่วยความจำ 16GB GDDR6, และบัส 256-bit ที่ให้แบนด์วิดท์ถึง 608 GB/s หากตั้งราคาในช่วง 300–400 ดอลลาร์สหรัฐ จะสามารถแข่งขันกับ NVIDIA RTX 5060 และ AMD RX 9060 ได้อย่างสูสี 🔍 ความคืบหน้าและความล่าช้า เดิมที Intel มีแผนเปิดตัวรุ่น Arc B770 เร็วกว่านี้ แต่ถูกเลื่อนออกไปหลายครั้ง จนถึงปลายปี 2025 จึงยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ การเพิ่มการรองรับใน VTune จึงถูกตีความว่าเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดตัวในงาน CES 2026 🌍 ผลกระทบต่อการแข่งขันตลาด GPU หาก Big Battlemage เปิดตัวจริงในช่วงต้นปีหน้า จะเป็นการกลับมาท้าทาย NVIDIA และ AMD อีกครั้ง โดยเฉพาะในตลาดระดับกลางที่มีการแข่งขันสูง และอาจช่วยให้ Intel ขยายส่วนแบ่งตลาด GPU ได้มากขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Intel เพิ่มการรองรับ Arc BMG-G31 ใน VTune Profiler ➡️ สัญญาณว่า Big Battlemage ใกล้เปิดตัว ✅ สเปกที่คาดการณ์ของ BMG-G31 ➡️ 32 Xe2 Cores, 16GB GDDR6, 256-bit bus, 608 GB/s ✅ ราคาที่คาดว่าจะอยู่ราว 300–400 ดอลลาร์ ➡️ แข่งขันกับ RTX 5060 และ RX 9060 ✅ คาดว่าจะเปิดตัว CES 2026 ➡️ พร้อมกับซีพียู Panther Lake ‼️ การเลื่อนเปิดตัวหลายครั้งในปี 2025 ⛔ ทำให้ตลาดยังไม่มั่นใจในแผน GPU ของ Intel ‼️ การแข่งขันกับ NVIDIA และ AMD ยังเข้มข้น ⛔ Intel ต้องพิสูจน์ความเสถียรและประสิทธิภาพจริง https://wccftech.com/intel-arc-battlemage-bmg-g31-gpu-brand-new-support-big-battlemage-finally-ready/
    WCCFTECH.COM
    Intel Arc Battlemage "BMG-G31" GPU Receives Brand New Support By The Chipmaker Itself, Is Big Battlemage Finally Ready For Launch?
    Intel has just added the latest support for its Arc Battlemage "BMG-G31" GPU, hinting that the launch should be closer than we think.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลเทส Ryzen 7 9850X3D โผล่บน Geekbench

    ข่าวนี้เล่าถึงการปรากฏตัวของ AMD Ryzen 7 9850X3D บน Geekbench โดยมีความเร็วบูสต์สูงสุดถึง 5.6 GHz แต่ผลทดสอบกลับออกมา “แรงกว่าเล็กน้อยใน Single-Core” และ “ช้ากว่าเล็กน้อยใน Multi-Core” เมื่อเทียบกับรุ่นพี่ Ryzen 7 9800X3D

    ชิปใหม่จาก AMD ถูกพบในฐานข้อมูล Geekbench โดยติดตั้งบนเมนบอร์ด Colorful CVN B850M Gaming Frozen V14A พร้อม RAM DDR5-4800 ขนาด 32GB ผลทดสอบแสดงให้เห็นว่า Ryzen 7 9850X3D ทำคะแนน 3,439 (Single-Core) และ 17,530 (Multi-Core) ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่น 9800X3D แต่ไม่ได้ทิ้งห่างมากนัก

    เปรียบเทียบกับ Ryzen 7 9800X3D
    แม้ความเร็วบูสต์เพิ่มขึ้นจาก 5.2 GHz → 5.6 GHz (ประมาณ 8%) แต่ผลลัพธ์จริงกลับเร็วขึ้นเพียง 3% ใน Single-Core และช้ากว่าใน Multi-Core เล็กน้อย สาเหตุคาดว่าเกิดจาก RAM ที่ช้าและเฟิร์มแวร์ยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพจริงเมื่อวางขายสูงกว่าที่เห็นในตอนนี้

    จุดเด่นและข้อสังเกต
    Ryzen 7 9850X3D ยังคงใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และมี 8 คอร์เหมือนรุ่นก่อนหน้า แต่การเพิ่มความเร็วบูสต์ทำให้เหมาะกับงานที่เน้น Single-Core เช่น เกมบางประเภท อย่างไรก็ตาม หากต้องการประสิทธิภาพ Multi-Core ที่สูงกว่า ผู้ใช้บางส่วนอาจยังเลือก 9800X3D หรือรอรุ่นใหญ่กว่าเช่น Ryzen 9 9950X3D

    ความคาดหวังในตลาด
    การเปิดตัว Ryzen 9000X3D series คาดว่าจะเกิดขึ้นในงาน CES 2026 โดย AMD หวังจะรักษาความได้เปรียบในตลาดเกมมิ่งและงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง แต่ผลทดสอบเบื้องต้นนี้ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า “การอัปเกรดจาก 9800X3D คุ้มค่าหรือไม่”

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Ryzen 7 9850X3D โผล่บน Geekbench
    ทำคะแนน 3,439 (Single-Core) และ 17,530 (Multi-Core)

    บูสต์สูงสุด 5.6 GHz
    เพิ่มขึ้น 8% จากรุ่น 9800X3D

    ผลลัพธ์ Single-Core ดีขึ้น 3%
    แต่ Multi-Core กลับช้ากว่าเล็กน้อย

    คาดว่าจะเปิดตัว CES 2026
    เป็นส่วนหนึ่งของ Ryzen 9000X3D series

    ผลทดสอบอาจไม่สะท้อนประสิทธิภาพจริง
    RAM ที่ช้าและเฟิร์มแวร์ยังไม่สมบูรณ์อาจทำให้คะแนนต่ำกว่าศักยภาพจริง

    การอัปเกรดอาจไม่คุ้มสำหรับผู้ใช้ 9800X3D
    หากเน้น Multi-Core อาจไม่เห็นความแตกต่างมากนัก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amds-imminent-ryzen-7-9850x3d-chip-shows-up-on-geekbench-with-5-6-ghz-boost-clocks-scores-slightly-lower-than-9800x3d-in-multi-core-tests-higher-in-single-core
    ⚡ ผลเทส Ryzen 7 9850X3D โผล่บน Geekbench ข่าวนี้เล่าถึงการปรากฏตัวของ AMD Ryzen 7 9850X3D บน Geekbench โดยมีความเร็วบูสต์สูงสุดถึง 5.6 GHz แต่ผลทดสอบกลับออกมา “แรงกว่าเล็กน้อยใน Single-Core” และ “ช้ากว่าเล็กน้อยใน Multi-Core” เมื่อเทียบกับรุ่นพี่ Ryzen 7 9800X3D ชิปใหม่จาก AMD ถูกพบในฐานข้อมูล Geekbench โดยติดตั้งบนเมนบอร์ด Colorful CVN B850M Gaming Frozen V14A พร้อม RAM DDR5-4800 ขนาด 32GB ผลทดสอบแสดงให้เห็นว่า Ryzen 7 9850X3D ทำคะแนน 3,439 (Single-Core) และ 17,530 (Multi-Core) ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่น 9800X3D แต่ไม่ได้ทิ้งห่างมากนัก 📊 เปรียบเทียบกับ Ryzen 7 9800X3D แม้ความเร็วบูสต์เพิ่มขึ้นจาก 5.2 GHz → 5.6 GHz (ประมาณ 8%) แต่ผลลัพธ์จริงกลับเร็วขึ้นเพียง 3% ใน Single-Core และช้ากว่าใน Multi-Core เล็กน้อย สาเหตุคาดว่าเกิดจาก RAM ที่ช้าและเฟิร์มแวร์ยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพจริงเมื่อวางขายสูงกว่าที่เห็นในตอนนี้ 🔥 จุดเด่นและข้อสังเกต Ryzen 7 9850X3D ยังคงใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และมี 8 คอร์เหมือนรุ่นก่อนหน้า แต่การเพิ่มความเร็วบูสต์ทำให้เหมาะกับงานที่เน้น Single-Core เช่น เกมบางประเภท อย่างไรก็ตาม หากต้องการประสิทธิภาพ Multi-Core ที่สูงกว่า ผู้ใช้บางส่วนอาจยังเลือก 9800X3D หรือรอรุ่นใหญ่กว่าเช่น Ryzen 9 9950X3D 🌍 ความคาดหวังในตลาด การเปิดตัว Ryzen 9000X3D series คาดว่าจะเกิดขึ้นในงาน CES 2026 โดย AMD หวังจะรักษาความได้เปรียบในตลาดเกมมิ่งและงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง แต่ผลทดสอบเบื้องต้นนี้ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า “การอัปเกรดจาก 9800X3D คุ้มค่าหรือไม่” 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Ryzen 7 9850X3D โผล่บน Geekbench ➡️ ทำคะแนน 3,439 (Single-Core) และ 17,530 (Multi-Core) ✅ บูสต์สูงสุด 5.6 GHz ➡️ เพิ่มขึ้น 8% จากรุ่น 9800X3D ✅ ผลลัพธ์ Single-Core ดีขึ้น 3% ➡️ แต่ Multi-Core กลับช้ากว่าเล็กน้อย ✅ คาดว่าจะเปิดตัว CES 2026 ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของ Ryzen 9000X3D series ‼️ ผลทดสอบอาจไม่สะท้อนประสิทธิภาพจริง ⛔ RAM ที่ช้าและเฟิร์มแวร์ยังไม่สมบูรณ์อาจทำให้คะแนนต่ำกว่าศักยภาพจริง ‼️ การอัปเกรดอาจไม่คุ้มสำหรับผู้ใช้ 9800X3D ⛔ หากเน้น Multi-Core อาจไม่เห็นความแตกต่างมากนัก https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amds-imminent-ryzen-7-9850x3d-chip-shows-up-on-geekbench-with-5-6-ghz-boost-clocks-scores-slightly-lower-than-9800x3d-in-multi-core-tests-higher-in-single-core
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • จุดเริ่มต้นของ Deep Learning บน GTX 580

    ข่าวนี้เล่าถึงการเปิดเผยของ Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) ว่า การปฏิวัติ Deep Learning เริ่มต้นขึ้นในปี 2012 จากการใช้การ์ดจอ GTX 580 จำนวนสองตัวในโหมด SLI โดยทีมวิจัยมหาวิทยาลัยโตรอนโต ซึ่งนำไปสู่การสร้างโมเดล AlexNet ที่เปลี่ยนโลก AI ไปตลอดกาล

    ในปี 2011–2012 ทีมวิจัยของ Alex Krizhevsky, Ilya Sutskever และ Geoffrey Hinton ได้พัฒนาโมเดล AlexNet เพื่อแก้ปัญหาการจำแนกรูปภาพ โดยใช้การ์ดจอ GTX 580 (3GB) จำนวนสองตัวเชื่อมต่อแบบ SLI แม้การ์ดเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อเล่นเกม แต่ความสามารถด้านการประมวลผลแบบขนานกลับเหมาะสมกับการฝึก Neural Network อย่างยิ่ง

    ผลลัพธ์ที่พลิกวงการ
    AlexNet มีโครงสร้าง 8 ชั้นและพารามิเตอร์กว่า 60 ล้านตัว เมื่อถูกฝึกบน GTX 580s ผลลัพธ์สามารถเอาชนะอัลกอริทึมการจำแนกรูปภาพที่ดีที่สุดในยุคนั้นได้มากกว่า 70% ทำให้โลกวิชาการและอุตสาหกรรมหันมาสนใจ Deep Learning อย่างจริงจัง

    Nvidia เข้าสู่เส้นทาง AI
    Jensen Huang เปิดเผยว่า หลังจากเห็นศักยภาพของ Deep Learning บน GPU บริษัทจึงตัดสินใจลงทุนอย่างเต็มที่ในเทคโนโลยีนี้ ตั้งแต่การพัฒนา DGX systems ในปี 2016 ไปจนถึงสถาปัตยกรรม Volta ที่มี Tensor Cores และต่อยอดสู่ DLSS และการใช้งาน AI ในวงกว้าง

    ผลกระทบต่อโลก AI
    หากไม่มีการทดลองบน GTX 580s ในปี 2012 Nvidia อาจยังคงเป็นบริษัทที่เน้นกราฟิกเกมเท่านั้น แต่การค้นพบนี้ได้เปลี่ยนทิศทางบริษัท และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติ AI ที่เรากำลังเห็นในปัจจุบัน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ทีมมหาวิทยาลัยโตรอนโตใช้ GTX 580s ใน SLI
    เพื่อฝึกโมเดล AlexNet ในปี 2012

    AlexNet เอาชนะอัลกอริทึมเดิมกว่า 70%
    กลายเป็นจุดเปลี่ยนของวงการ Computer Vision

    Nvidia หันมาลงทุนใน AI อย่างเต็มที่
    พัฒนา DGX, Volta Tensor Cores และ DLSS

    GTX 580s กลายเป็นการ์ดจอแรกที่ใช้กับ AI
    แม้ถูกออกแบบมาเพื่อเกม แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของ Deep Learning

    หากไม่มีการทดลองนี้ Nvidia อาจไม่เข้าสู่ AI
    โลกอาจไม่มีการเติบโตของ AI ในรูปแบบที่เราเห็นทุกวันนี้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/two-gtx-580s-in-sli-are-responsible-for-the-ai-we-have-today-nvidias-huang-revealed-that-the-invention-of-deep-learning-began-with-two-flagship-fermi-gpus-in-2012
    🖥️ จุดเริ่มต้นของ Deep Learning บน GTX 580 ข่าวนี้เล่าถึงการเปิดเผยของ Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) ว่า การปฏิวัติ Deep Learning เริ่มต้นขึ้นในปี 2012 จากการใช้การ์ดจอ GTX 580 จำนวนสองตัวในโหมด SLI โดยทีมวิจัยมหาวิทยาลัยโตรอนโต ซึ่งนำไปสู่การสร้างโมเดล AlexNet ที่เปลี่ยนโลก AI ไปตลอดกาล ในปี 2011–2012 ทีมวิจัยของ Alex Krizhevsky, Ilya Sutskever และ Geoffrey Hinton ได้พัฒนาโมเดล AlexNet เพื่อแก้ปัญหาการจำแนกรูปภาพ โดยใช้การ์ดจอ GTX 580 (3GB) จำนวนสองตัวเชื่อมต่อแบบ SLI แม้การ์ดเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อเล่นเกม แต่ความสามารถด้านการประมวลผลแบบขนานกลับเหมาะสมกับการฝึก Neural Network อย่างยิ่ง 📊 ผลลัพธ์ที่พลิกวงการ AlexNet มีโครงสร้าง 8 ชั้นและพารามิเตอร์กว่า 60 ล้านตัว เมื่อถูกฝึกบน GTX 580s ผลลัพธ์สามารถเอาชนะอัลกอริทึมการจำแนกรูปภาพที่ดีที่สุดในยุคนั้นได้มากกว่า 70% ทำให้โลกวิชาการและอุตสาหกรรมหันมาสนใจ Deep Learning อย่างจริงจัง 🚀 Nvidia เข้าสู่เส้นทาง AI Jensen Huang เปิดเผยว่า หลังจากเห็นศักยภาพของ Deep Learning บน GPU บริษัทจึงตัดสินใจลงทุนอย่างเต็มที่ในเทคโนโลยีนี้ ตั้งแต่การพัฒนา DGX systems ในปี 2016 ไปจนถึงสถาปัตยกรรม Volta ที่มี Tensor Cores และต่อยอดสู่ DLSS และการใช้งาน AI ในวงกว้าง 🌍 ผลกระทบต่อโลก AI หากไม่มีการทดลองบน GTX 580s ในปี 2012 Nvidia อาจยังคงเป็นบริษัทที่เน้นกราฟิกเกมเท่านั้น แต่การค้นพบนี้ได้เปลี่ยนทิศทางบริษัท และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติ AI ที่เรากำลังเห็นในปัจจุบัน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ทีมมหาวิทยาลัยโตรอนโตใช้ GTX 580s ใน SLI ➡️ เพื่อฝึกโมเดล AlexNet ในปี 2012 ✅ AlexNet เอาชนะอัลกอริทึมเดิมกว่า 70% ➡️ กลายเป็นจุดเปลี่ยนของวงการ Computer Vision ✅ Nvidia หันมาลงทุนใน AI อย่างเต็มที่ ➡️ พัฒนา DGX, Volta Tensor Cores และ DLSS ✅ GTX 580s กลายเป็นการ์ดจอแรกที่ใช้กับ AI ➡️ แม้ถูกออกแบบมาเพื่อเกม แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของ Deep Learning ‼️ หากไม่มีการทดลองนี้ Nvidia อาจไม่เข้าสู่ AI ⛔ โลกอาจไม่มีการเติบโตของ AI ในรูปแบบที่เราเห็นทุกวันนี้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/two-gtx-580s-in-sli-are-responsible-for-the-ai-we-have-today-nvidias-huang-revealed-that-the-invention-of-deep-learning-began-with-two-flagship-fermi-gpus-in-2012
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • เครื่องคิดเลขเชิงกลยุค 1950 พบกับโจทย์ "หารด้วยศูนย์"

    ในยุคก่อนคอมพิวเตอร์ดิจิทัล เครื่องคิดเลขเชิงกลถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่เมื่อมีการป้อนคำสั่งให้หารด้วยศูนย์ กลไกภายในไม่สามารถหยุดหรือแจ้งข้อผิดพลาดได้ ผลลัพธ์คือเฟืองและเกียร์หมุนอย่างไร้ทิศทาง คล้ายกับการเข้าสู่ “วงจรอนันต์” ที่ไม่สามารถออกมาได้

    การพัฒนาสู่ยุคไมโครโปรเซสเซอร์
    เมื่อ Intel เปิดตัวชิป 4004 ในปี 1971 แม้ยังไม่มีคำสั่งหารโดยตรง แต่ก็เริ่มมีการตรวจจับข้อผิดพลาดผ่านเฟิร์มแวร์ในเครื่องคิดเลขเชิงดิจิทัล ทำให้สามารถแสดงข้อความ error แทนการเข้าสู่ภาวะค้างหรือหมุนไม่หยุดเหมือนเครื่องเชิงกล

    จุดเปลี่ยนสำคัญ: Intel 8086 และมาตรฐาน IEEE 754
    ปี 1978 Intel เปิดตัว 8086 ที่สามารถตรวจจับการหารด้วยศูนย์ในระดับฮาร์ดแวร์ และต่อมาในปี 1985 มาตรฐาน IEEE 754 ได้เพิ่มการจัดการตัวเลขทศนิยมแบบพิเศษ เช่น Infinity และ NaN ซึ่งช่วยให้ระบบไม่ล่ม แต่แสดงผลลัพธ์ที่บ่งบอกถึงความผิดพลาดแทน

    ปัญหาที่ยังคงอยู่ในยุคใหม่
    แม้เทคโนโลยีจะพัฒนาไปมาก แต่รายงานล่าสุดยังพบว่าเกมบางเกม เช่น World of Warcraft บนซีพียูรุ่นใหม่ Raptor Lake ยังประสบปัญหา crash จากการหารด้วยศูนย์ แสดงให้เห็นว่าปัญหานี้ยังคงเป็น “บทเรียนอมตะ” ของวงการคอมพิวเตอร์

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เครื่องคิดเลขเชิงกลยุค 1950
    เมื่อถูกสั่งหารด้วยศูนย์ เฟืองหมุนไม่หยุดและไม่สามารถแจ้ง error ได้

    Intel 4004 และการตรวจจับข้อผิดพลาดผ่านเฟิร์มแวร์
    เริ่มต้นการป้องกันการ crash ในเครื่องคิดเลขดิจิทัล

    Intel 8086 และ IEEE 754
    เพิ่มการตรวจจับในฮาร์ดแวร์และการแสดงผล Infinity/NaN

    ปัญหายังคงพบในซอฟต์แวร์ยุคใหม่
    เกมบางเกมยัง crash เมื่อเจอการหารด้วยศูนย์

    ความเสี่ยงจากการไม่จัดการ error อย่างถูกต้อง
    อาจทำให้ระบบเข้าสู่ภาวะค้างหรือ crash ได้

    การพึ่งพาซอฟต์แวร์ที่ไม่รองรับการตรวจจับ
    ยังคงเป็นช่องโหว่ที่นักพัฒนาต้องระวัง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/1950s-mechanical-calculator-crumbles-in-the-face-of-divide-by-zero-conundrum-relic-spins-its-gears-uncontrollably-in-chaotic-loop-of-endless-motion
    ⚙️ เครื่องคิดเลขเชิงกลยุค 1950 พบกับโจทย์ "หารด้วยศูนย์" ในยุคก่อนคอมพิวเตอร์ดิจิทัล เครื่องคิดเลขเชิงกลถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่เมื่อมีการป้อนคำสั่งให้หารด้วยศูนย์ กลไกภายในไม่สามารถหยุดหรือแจ้งข้อผิดพลาดได้ ผลลัพธ์คือเฟืองและเกียร์หมุนอย่างไร้ทิศทาง คล้ายกับการเข้าสู่ “วงจรอนันต์” ที่ไม่สามารถออกมาได้ 🖥️ การพัฒนาสู่ยุคไมโครโปรเซสเซอร์ เมื่อ Intel เปิดตัวชิป 4004 ในปี 1971 แม้ยังไม่มีคำสั่งหารโดยตรง แต่ก็เริ่มมีการตรวจจับข้อผิดพลาดผ่านเฟิร์มแวร์ในเครื่องคิดเลขเชิงดิจิทัล ทำให้สามารถแสดงข้อความ error แทนการเข้าสู่ภาวะค้างหรือหมุนไม่หยุดเหมือนเครื่องเชิงกล 🔑 จุดเปลี่ยนสำคัญ: Intel 8086 และมาตรฐาน IEEE 754 ปี 1978 Intel เปิดตัว 8086 ที่สามารถตรวจจับการหารด้วยศูนย์ในระดับฮาร์ดแวร์ และต่อมาในปี 1985 มาตรฐาน IEEE 754 ได้เพิ่มการจัดการตัวเลขทศนิยมแบบพิเศษ เช่น Infinity และ NaN ซึ่งช่วยให้ระบบไม่ล่ม แต่แสดงผลลัพธ์ที่บ่งบอกถึงความผิดพลาดแทน 🎮 ปัญหาที่ยังคงอยู่ในยุคใหม่ แม้เทคโนโลยีจะพัฒนาไปมาก แต่รายงานล่าสุดยังพบว่าเกมบางเกม เช่น World of Warcraft บนซีพียูรุ่นใหม่ Raptor Lake ยังประสบปัญหา crash จากการหารด้วยศูนย์ แสดงให้เห็นว่าปัญหานี้ยังคงเป็น “บทเรียนอมตะ” ของวงการคอมพิวเตอร์ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เครื่องคิดเลขเชิงกลยุค 1950 ➡️ เมื่อถูกสั่งหารด้วยศูนย์ เฟืองหมุนไม่หยุดและไม่สามารถแจ้ง error ได้ ✅ Intel 4004 และการตรวจจับข้อผิดพลาดผ่านเฟิร์มแวร์ ➡️ เริ่มต้นการป้องกันการ crash ในเครื่องคิดเลขดิจิทัล ✅ Intel 8086 และ IEEE 754 ➡️ เพิ่มการตรวจจับในฮาร์ดแวร์และการแสดงผล Infinity/NaN ✅ ปัญหายังคงพบในซอฟต์แวร์ยุคใหม่ ➡️ เกมบางเกมยัง crash เมื่อเจอการหารด้วยศูนย์ ‼️ ความเสี่ยงจากการไม่จัดการ error อย่างถูกต้อง ⛔ อาจทำให้ระบบเข้าสู่ภาวะค้างหรือ crash ได้ ‼️ การพึ่งพาซอฟต์แวร์ที่ไม่รองรับการตรวจจับ ⛔ ยังคงเป็นช่องโหว่ที่นักพัฒนาต้องระวัง https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/1950s-mechanical-calculator-crumbles-in-the-face-of-divide-by-zero-conundrum-relic-spins-its-gears-uncontrollably-in-chaotic-loop-of-endless-motion
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดตัว Atlas Eon 100: การเก็บข้อมูลด้วย DNA

    Atlas Data Storage ประกาศเปิดตัวบริการ Atlas Eon 100 ซึ่งเป็นการใช้ DNA สังเคราะห์ในการเก็บข้อมูลเชิงพาณิชย์ครั้งแรกในโลก บริษัทอ้างว่านี่คือ “การเก็บข้อมูลที่หนาแน่นและทนทานที่สุด” โดยสามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 60PB ในพื้นที่เล็กกว่า 1 ลิตร ซึ่งเทียบเท่ากับการเก็บภาพยนตร์ 4K ได้กว่า 660,000 เรื่อง

    เปรียบเทียบกับเทปแม่เหล็ก LTO-10
    Atlas ชี้ว่า DNA storage มีความหนาแน่นกว่าเทปแม่เหล็กรุ่น LTO-10 ถึง 1000 เท่า และไม่ต้องการการรีเฟรชข้อมูลทุก 7–10 ปีเหมือนเทปแม่เหล็ก อีกทั้งยังไม่ต้องใช้ห้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้นพิเศษ ทำให้ต้นทุนการดูแลรักษาลดลงอย่างมาก

    ความทนทานและอายุการใช้งาน
    DNA capsules ที่ใช้ใน Atlas Eon 100 สามารถทนความร้อนได้ถึง 104°F (40°C) และมีอายุการเก็บรักษานับพันปีโดยไม่เสื่อมสภาพ ซึ่งเหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลระยะยาว เช่น โมเดล AI, มรดกทางวัฒนธรรม และข้อมูลเชิงวิจัยที่ต้องการความปลอดภัยสูง

    มุมมองอนาคตของ DNA Storage
    แม้เทคโนโลยีนี้ยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานในคอมพิวเตอร์ทั่วไป แต่การเปิดตัวเชิงพาณิชย์ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนโฉมการเก็บข้อมูลในอนาคต นักวิเคราะห์คาดว่าอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีหรือทศวรรษก่อนที่ DNA storage จะเข้าสู่ตลาดผู้บริโภค แต่การเริ่มต้นครั้งนี้เป็นสัญญาณว่าการเก็บข้อมูลด้วยชีววิทยากำลังจะกลายเป็นจริง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Atlas เปิดตัวบริการ Atlas Eon 100
    ใช้ DNA สังเคราะห์ในการเก็บข้อมูลเชิงพาณิชย์ครั้งแรก

    ความหนาแน่นสูงถึง 60PB ใน 60 ลูกบาศก์นิ้ว
    เทียบเท่าภาพยนตร์ 4K กว่า 660,000 เรื่อง

    เหนือกว่าเทปแม่เหล็ก LTO-10 ถึง 1000 เท่า
    ไม่ต้องรีเฟรชข้อมูลทุก 7–10 ปี

    ทนความร้อนและเก็บได้นับพันปี
    เหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลระยะยาวและสำคัญ

    ยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานทั่วไป
    อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีหรือทศวรรษกว่าจะเข้าสู่ตลาดผู้บริโภค

    ความท้าทายด้านการเข้าถึงและต้นทุน
    ปัจจุบันยังไม่เปิดเผยราคาหรือแผนการจำหน่ายอย่างชัดเจน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/worlds-first-scalable-dna-data-storage-offering-announced-offering-a-staggering-60pb-in-60-cubic-inches-enough-to-hold-660-000-4k-movies-atlas-data-storage-claims-its-solution-is-1000x-denser-than-lto-10-tape
    🧬 เปิดตัว Atlas Eon 100: การเก็บข้อมูลด้วย DNA Atlas Data Storage ประกาศเปิดตัวบริการ Atlas Eon 100 ซึ่งเป็นการใช้ DNA สังเคราะห์ในการเก็บข้อมูลเชิงพาณิชย์ครั้งแรกในโลก บริษัทอ้างว่านี่คือ “การเก็บข้อมูลที่หนาแน่นและทนทานที่สุด” โดยสามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 60PB ในพื้นที่เล็กกว่า 1 ลิตร ซึ่งเทียบเท่ากับการเก็บภาพยนตร์ 4K ได้กว่า 660,000 เรื่อง 📀 เปรียบเทียบกับเทปแม่เหล็ก LTO-10 Atlas ชี้ว่า DNA storage มีความหนาแน่นกว่าเทปแม่เหล็กรุ่น LTO-10 ถึง 1000 เท่า และไม่ต้องการการรีเฟรชข้อมูลทุก 7–10 ปีเหมือนเทปแม่เหล็ก อีกทั้งยังไม่ต้องใช้ห้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้นพิเศษ ทำให้ต้นทุนการดูแลรักษาลดลงอย่างมาก 🌡️ ความทนทานและอายุการใช้งาน DNA capsules ที่ใช้ใน Atlas Eon 100 สามารถทนความร้อนได้ถึง 104°F (40°C) และมีอายุการเก็บรักษานับพันปีโดยไม่เสื่อมสภาพ ซึ่งเหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลระยะยาว เช่น โมเดล AI, มรดกทางวัฒนธรรม และข้อมูลเชิงวิจัยที่ต้องการความปลอดภัยสูง 🚀 มุมมองอนาคตของ DNA Storage แม้เทคโนโลยีนี้ยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานในคอมพิวเตอร์ทั่วไป แต่การเปิดตัวเชิงพาณิชย์ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนโฉมการเก็บข้อมูลในอนาคต นักวิเคราะห์คาดว่าอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีหรือทศวรรษก่อนที่ DNA storage จะเข้าสู่ตลาดผู้บริโภค แต่การเริ่มต้นครั้งนี้เป็นสัญญาณว่าการเก็บข้อมูลด้วยชีววิทยากำลังจะกลายเป็นจริง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Atlas เปิดตัวบริการ Atlas Eon 100 ➡️ ใช้ DNA สังเคราะห์ในการเก็บข้อมูลเชิงพาณิชย์ครั้งแรก ✅ ความหนาแน่นสูงถึง 60PB ใน 60 ลูกบาศก์นิ้ว ➡️ เทียบเท่าภาพยนตร์ 4K กว่า 660,000 เรื่อง ✅ เหนือกว่าเทปแม่เหล็ก LTO-10 ถึง 1000 เท่า ➡️ ไม่ต้องรีเฟรชข้อมูลทุก 7–10 ปี ✅ ทนความร้อนและเก็บได้นับพันปี ➡️ เหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลระยะยาวและสำคัญ ‼️ ยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานทั่วไป ⛔ อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีหรือทศวรรษกว่าจะเข้าสู่ตลาดผู้บริโภค ‼️ ความท้าทายด้านการเข้าถึงและต้นทุน ⛔ ปัจจุบันยังไม่เปิดเผยราคาหรือแผนการจำหน่ายอย่างชัดเจน https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/worlds-first-scalable-dna-data-storage-offering-announced-offering-a-staggering-60pb-in-60-cubic-inches-enough-to-hold-660-000-4k-movies-atlas-data-storage-claims-its-solution-is-1000x-denser-than-lto-10-tape
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนชั่ว ตอนที่ 7

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว”
    ตอน 7
    มันเป็นเรื่องน่าสมเพชมาก หลังจากกัดดาฟีเสียชีวิต อเมริกากับฝรั่งเศส ต่างออกมาอ้างว่าเป็นผลงานของตน อเมริกาบอก เครื่องโดรนของกู ยิงมันตายคาที่ ฝรั่งเศสบอกไม่ใช่ เครื่องบินของกู ทิ้งระเบิดทะลายมันก่อนต่างหาก
    แต่อังกฤษไม่เถียงกับใคร ยึดเงืนในบัญชีของกัดดาฟีที่ฝากไว้ที่ธนาคารในอังกฤษเรียบ ตัวเลขเท่าไหร่ อังกฤษเม้มปากแน่น เปิดปากเมื่อไหร่ ตัวหารมันจะแยะ ก็ดันขนกันไปกี่ชาติล่ะ เหมือนแร้งลง
    อเมริกาและนาโต้ ไปเอาข่าวมาจากไหนไม่รู้ว่า ไอ้ที่ตายเป็นตัวปลอม เดือนมีนาคม ปี ค.ศ.2012 เลยพากันกลับไปทิ้งระเบิดที่บริเวณบ้านใหญ่ของกัดดาฟี ที่ทริโปลีอีกรอบใหญ่ แต่ก็ยังไม่เจอกัดดาฟี ไม่ว่าเป็นหรือตาย
    อเมริกายังไม่พอใจ ข่าวยังลือจัง งั้นถล่มมันไปเรื่อยๆ แล้วกัน อเมริกาส่งโดรนไปสำรวจทุกเมืองในลิเบีย สงสัยที่ไหนก็ทิ้งบอมบ์ที่นั่น ตามมาด้วย “คณะผู้รับเหมา” ทหารรับจ้าง บุกเข้าไปเก็บกวาดผู้ต้องสงสัย
    ส่วนอังกฤษ และฝรั่งเศส กลัวไม่ได้ส่วนแบ่ง รับหน้าที่เป็นหน่วยข่าวกรองเคลื่อนที่ ตามสืบความเคลื่อนไหว
    เอะ ไหนลงข่าวว่าตายแน่ ถึงกับลากศพมีรูถูกยิงที่หัวมาถ่ายรูปเอาไว้ ตอนนี้กลับลำ บอกไม่เชื่อว่าตายจริง เที่ยวตามรื้อ ตามค้น หากัดดาฟีคนไหนไม่รู้ต่อ
    เดี๋ยวก็คงมีข่าวออกมา เหมือนกับเรื่องบินลาเดนหลอกว่ายังไม่ตาย แถมอยู่เกาะสวรรค์ที่ไหนสักแห่ง คนอะไร รูปถ่ายตอนตายที่ “เขา” ส่งมาให้สื่อลง ยังยิ้มอยู่ แถมยิ้มพิมพ์เดียวกับตอนยังไม่ตายเป๊ะ เพียงแต่หน้าเปื้อนเลือดไปหน่อยเท่านั้น ฮาจริง ไปกดดูได้ในกูเกิลนะครับ ผมไม่ได้เขียนตลก ผมเขียนจากภาพที่เขาเอามาลง
    เขาว่า หลังจากการค้นหา ทำลายไปทำลายมา คลังอาวุธใหญ่ของกัดดาฟี ที่ว่ามีสะสมเป็นโกดังใหญ่ๆ อยู่ในหลายเมือง หายเกลี้ยง ไปโผล่อีกที อยู่ที่ซีเรีย ที่พวกกบฏซีเรียใช้กันมา 3 ปียังไม่หมดน่ะ คนรู้ดีเรื่องอาวุธของกัดดาฟี ถูกขนมาให้กบฏซีเรียใช้ นอกจากซีไอเอและคนที่สั่ง ซีไอเอ ได้แล้ว ยังมีทูตอเมริกันประจำลิเบีย ที่ถูกฆ่าโหดอยู่ในสถานทูตตัวเอง อเมริกาแถลงว่า ถูกพวกกบฏลิเบียแตกคอกฆ่า ไหนว่าพวกกันไง แต่มีวุฒิสมาชิกอเมริกาเอง สงสัยว่าเป็นรายการเก็บกันเอง ของอเมริกา
    คนที่น่าจะรู้เรื่องนี้ดีอีกคนคือ คุณนายหน้าโหด นางสิงห์สั่งฆ่า เขาว่าตอนถูกกรรมาธิการเรียกไปสอบสวน คุณนายถึงกับเป็นลม หงายหลัง หัวฟาดพื้น แต่ดวงแข็งจัง ไม่ยักตาย (อ่านรายละเอียดเรื่อง ไอ้กันเก็บกันเองที่ลิเบีย ได้ในนิทานเรื่อง Chateau Christoff นะครับ เขียนไว้นานแล้ว)
    ส่วนลิเบียเอง หลังจากขาดหัวที่ชื่อ กัดดาฟี ลิเบียก็เหมือนปลาไหลถูกต้มอยู่ในหม้อ ทั้งตัวเป็นๆ ดิ้นกระแด็กๆ ไปวันๆ รอเวลาเขาเอามากิน ประเทศแตกไม่รู้กี่เสี่ยง ผ่านมาจะ 4 ปี ยังตั้งหลักไม่ได้ มีรัฐบาล 2 คณะพร้อมกัน แต่ละคณะ มีนายกรัฐมนตรีของตัวเอง มีสภา และกองกำลังของตนเอง
    ทางตะวันตกของประเทศ ควบคุมโดยกองกำลังอิสลาม ที่ยึดเอาทริโปลีเป็นเมืองหลวง และไล่รัฐบาลที่เพิ่งตั้งขึ้นมาเมื่อเดือนเมษา กระเด็นไป
    ทางตะวันออกของประเทศที่มีรัฐบาล ที่มาจากนักการเมืองฝ่ายที่ไม่เอาอิสลาม แต่ปัจจุบันก็รับศึกไม่ไหว ตอนนี้ลี้ภัยไปอยู่เมือง Tobruk ซึ่งอยู่ห่างไปอีก 1,200 กิโล ตอนนี้ ทางตะวันออกนี่ก็เลยไม่ขึ้นกับใคร
    ทางใต้ของประเทศ เป็นแหล่งชุมนุมดาราผู้ก่อการร้าย
    ส่วนทางเหนือ ที่อยู่ติดชายฝั่ง กลายเป็นเส้นทางผ่านของพวกอพยพลี้ภัย ก็น่าตื่นเต้นไปอีกแบบ รวมดารานักหลอกต้ม ทั้งนั้น
    หลังจากเป็นปลาไหลอยู่ในหม้อ บรรดาสถานทูตพวกฝรั่งตะวันตก หัวหด หูตกปิดประตูกลับบ้านไปหมด อิยิปต์ อัลจีเรีย และตูนีเซีย ปิดเขตแดนที่ติดต่อกับลิเบีย การข่มขืน ปล้นฆ่า จับมาทรมาน เกิดขึ้นรายวัน ลิเบียกลายเป็นรัฐที่ล้มและเหลว ไปถึงข้างในของกระดูก failed state อย่างแท้จริง
    ไอ้ตัวระยำ ที่เป็นผู้วางแผนสร้างเรื่องก็ทิ้งลิเบีย เหมือนอย่างที่ทำกับอิรัค อียิปต์ และเมืองต่างๆ ในอาฟริกา และที่อื่นๆ สาธยายด่ากันไม่หวาดไม่ไหว
    อเมริกา “ทำเหมือน” หมดปัญญาแก้ไขการมี 2 รัฐบาลในประเทศเดียวกัน และไม่สามารถบริหารประเทศได้สักรัฐบาลเดียว แต่ ล่าสุด อเมริกา กำลังสร้างรัฐบาลที่ 3 ในลิเบีย! มันยิ่งกว่า หนังตลก!
    นายพล Khalifa Hifter หรือ Haftar ซี้ย่ำปึกของซีไอเอ กำลังถูกปั้นขึ้นมาเก็บสมบัติลิเบียที่ยังเหลืออยู่อีกแยะ
    Hifter เคยเป็นลูกน้องเก่าของกัดดาฟี สมัยที่โค่นกษัตริย์ Idris al-Sanusi มาด้วยกัน กัดดาฟี เคยเรียก Hifter เป็นลูกรัก ระหว่างสงครามอาหรับ อิสราเอล ในปี ค.ศ.973 Hifter เป็นผู้นำกองทัพลิเบีย ช่วง ค.ศ.1980-1987 ทำสงครามกับชาด เขาเป็นคนสั่งใช้ระเบิดแก๊สพิษ ลิเบียแพ้ชาด ในการรบครั้งนั้น และทหารลิเบียถูกชาดจับเป็นเชลย รวมทั้ง Hifter ด้วย
    ระหว่างที่ติดอยู่ที่ชาด Hifter ไม่รู้คิดอะไร ชวนพรรคพวกที่เป็นเชลยด้วยกัน ให้ปฏิวัติกัดดาฟี แต่ยังไม่ทันเดินหน้า เขาก็เปลี่ยนแผน เพราะซีไอเอจัดการให้เขาหลุดจากคุมตัวของชาด และข้ามมาคองโก ก่อนบินไปอยู่ที่เวอร์จิเนียของอเมริกา พร้อมลูกน้องอีก 300 คน
    ในฐานะเป็นคนสัญชาติอเมริกัน ที่ซีไอเอจัดการให้ เขาอยู่ในอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ.1990 ถึง ปี ค.ศ.2011 ทำงานหลายจ๊อบให้ซีไอเอ และเมื่อ อเมริกาพยายามขยี้ กัดดาฟี ในปี ค.ศ.1996 Hifter และพวกอีก 600 คนก็เป็นคนจัดการ แต่ไม่สำเร็จ น่าจะทำให้ราคาเขาตกลงพอสมควร แต่ตอนนี้อเมริกาคงไม่มีตัวเลือกเหลือมากนักสำหรับรายการ เก็บกวาดลิเบีย รอบสุดท้าย
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    20 ก.ย. 2558
    แผนชั่ว ตอนที่ 7 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว” ตอน 7 มันเป็นเรื่องน่าสมเพชมาก หลังจากกัดดาฟีเสียชีวิต อเมริกากับฝรั่งเศส ต่างออกมาอ้างว่าเป็นผลงานของตน อเมริกาบอก เครื่องโดรนของกู ยิงมันตายคาที่ ฝรั่งเศสบอกไม่ใช่ เครื่องบินของกู ทิ้งระเบิดทะลายมันก่อนต่างหาก แต่อังกฤษไม่เถียงกับใคร ยึดเงืนในบัญชีของกัดดาฟีที่ฝากไว้ที่ธนาคารในอังกฤษเรียบ ตัวเลขเท่าไหร่ อังกฤษเม้มปากแน่น เปิดปากเมื่อไหร่ ตัวหารมันจะแยะ ก็ดันขนกันไปกี่ชาติล่ะ เหมือนแร้งลง อเมริกาและนาโต้ ไปเอาข่าวมาจากไหนไม่รู้ว่า ไอ้ที่ตายเป็นตัวปลอม เดือนมีนาคม ปี ค.ศ.2012 เลยพากันกลับไปทิ้งระเบิดที่บริเวณบ้านใหญ่ของกัดดาฟี ที่ทริโปลีอีกรอบใหญ่ แต่ก็ยังไม่เจอกัดดาฟี ไม่ว่าเป็นหรือตาย อเมริกายังไม่พอใจ ข่าวยังลือจัง งั้นถล่มมันไปเรื่อยๆ แล้วกัน อเมริกาส่งโดรนไปสำรวจทุกเมืองในลิเบีย สงสัยที่ไหนก็ทิ้งบอมบ์ที่นั่น ตามมาด้วย “คณะผู้รับเหมา” ทหารรับจ้าง บุกเข้าไปเก็บกวาดผู้ต้องสงสัย ส่วนอังกฤษ และฝรั่งเศส กลัวไม่ได้ส่วนแบ่ง รับหน้าที่เป็นหน่วยข่าวกรองเคลื่อนที่ ตามสืบความเคลื่อนไหว เอะ ไหนลงข่าวว่าตายแน่ ถึงกับลากศพมีรูถูกยิงที่หัวมาถ่ายรูปเอาไว้ ตอนนี้กลับลำ บอกไม่เชื่อว่าตายจริง เที่ยวตามรื้อ ตามค้น หากัดดาฟีคนไหนไม่รู้ต่อ เดี๋ยวก็คงมีข่าวออกมา เหมือนกับเรื่องบินลาเดนหลอกว่ายังไม่ตาย แถมอยู่เกาะสวรรค์ที่ไหนสักแห่ง คนอะไร รูปถ่ายตอนตายที่ “เขา” ส่งมาให้สื่อลง ยังยิ้มอยู่ แถมยิ้มพิมพ์เดียวกับตอนยังไม่ตายเป๊ะ เพียงแต่หน้าเปื้อนเลือดไปหน่อยเท่านั้น ฮาจริง ไปกดดูได้ในกูเกิลนะครับ ผมไม่ได้เขียนตลก ผมเขียนจากภาพที่เขาเอามาลง เขาว่า หลังจากการค้นหา ทำลายไปทำลายมา คลังอาวุธใหญ่ของกัดดาฟี ที่ว่ามีสะสมเป็นโกดังใหญ่ๆ อยู่ในหลายเมือง หายเกลี้ยง ไปโผล่อีกที อยู่ที่ซีเรีย ที่พวกกบฏซีเรียใช้กันมา 3 ปียังไม่หมดน่ะ คนรู้ดีเรื่องอาวุธของกัดดาฟี ถูกขนมาให้กบฏซีเรียใช้ นอกจากซีไอเอและคนที่สั่ง ซีไอเอ ได้แล้ว ยังมีทูตอเมริกันประจำลิเบีย ที่ถูกฆ่าโหดอยู่ในสถานทูตตัวเอง อเมริกาแถลงว่า ถูกพวกกบฏลิเบียแตกคอกฆ่า ไหนว่าพวกกันไง แต่มีวุฒิสมาชิกอเมริกาเอง สงสัยว่าเป็นรายการเก็บกันเอง ของอเมริกา คนที่น่าจะรู้เรื่องนี้ดีอีกคนคือ คุณนายหน้าโหด นางสิงห์สั่งฆ่า เขาว่าตอนถูกกรรมาธิการเรียกไปสอบสวน คุณนายถึงกับเป็นลม หงายหลัง หัวฟาดพื้น แต่ดวงแข็งจัง ไม่ยักตาย (อ่านรายละเอียดเรื่อง ไอ้กันเก็บกันเองที่ลิเบีย ได้ในนิทานเรื่อง Chateau Christoff นะครับ เขียนไว้นานแล้ว) ส่วนลิเบียเอง หลังจากขาดหัวที่ชื่อ กัดดาฟี ลิเบียก็เหมือนปลาไหลถูกต้มอยู่ในหม้อ ทั้งตัวเป็นๆ ดิ้นกระแด็กๆ ไปวันๆ รอเวลาเขาเอามากิน ประเทศแตกไม่รู้กี่เสี่ยง ผ่านมาจะ 4 ปี ยังตั้งหลักไม่ได้ มีรัฐบาล 2 คณะพร้อมกัน แต่ละคณะ มีนายกรัฐมนตรีของตัวเอง มีสภา และกองกำลังของตนเอง ทางตะวันตกของประเทศ ควบคุมโดยกองกำลังอิสลาม ที่ยึดเอาทริโปลีเป็นเมืองหลวง และไล่รัฐบาลที่เพิ่งตั้งขึ้นมาเมื่อเดือนเมษา กระเด็นไป ทางตะวันออกของประเทศที่มีรัฐบาล ที่มาจากนักการเมืองฝ่ายที่ไม่เอาอิสลาม แต่ปัจจุบันก็รับศึกไม่ไหว ตอนนี้ลี้ภัยไปอยู่เมือง Tobruk ซึ่งอยู่ห่างไปอีก 1,200 กิโล ตอนนี้ ทางตะวันออกนี่ก็เลยไม่ขึ้นกับใคร ทางใต้ของประเทศ เป็นแหล่งชุมนุมดาราผู้ก่อการร้าย ส่วนทางเหนือ ที่อยู่ติดชายฝั่ง กลายเป็นเส้นทางผ่านของพวกอพยพลี้ภัย ก็น่าตื่นเต้นไปอีกแบบ รวมดารานักหลอกต้ม ทั้งนั้น หลังจากเป็นปลาไหลอยู่ในหม้อ บรรดาสถานทูตพวกฝรั่งตะวันตก หัวหด หูตกปิดประตูกลับบ้านไปหมด อิยิปต์ อัลจีเรีย และตูนีเซีย ปิดเขตแดนที่ติดต่อกับลิเบีย การข่มขืน ปล้นฆ่า จับมาทรมาน เกิดขึ้นรายวัน ลิเบียกลายเป็นรัฐที่ล้มและเหลว ไปถึงข้างในของกระดูก failed state อย่างแท้จริง ไอ้ตัวระยำ ที่เป็นผู้วางแผนสร้างเรื่องก็ทิ้งลิเบีย เหมือนอย่างที่ทำกับอิรัค อียิปต์ และเมืองต่างๆ ในอาฟริกา และที่อื่นๆ สาธยายด่ากันไม่หวาดไม่ไหว อเมริกา “ทำเหมือน” หมดปัญญาแก้ไขการมี 2 รัฐบาลในประเทศเดียวกัน และไม่สามารถบริหารประเทศได้สักรัฐบาลเดียว แต่ ล่าสุด อเมริกา กำลังสร้างรัฐบาลที่ 3 ในลิเบีย! มันยิ่งกว่า หนังตลก! นายพล Khalifa Hifter หรือ Haftar ซี้ย่ำปึกของซีไอเอ กำลังถูกปั้นขึ้นมาเก็บสมบัติลิเบียที่ยังเหลืออยู่อีกแยะ Hifter เคยเป็นลูกน้องเก่าของกัดดาฟี สมัยที่โค่นกษัตริย์ Idris al-Sanusi มาด้วยกัน กัดดาฟี เคยเรียก Hifter เป็นลูกรัก ระหว่างสงครามอาหรับ อิสราเอล ในปี ค.ศ.973 Hifter เป็นผู้นำกองทัพลิเบีย ช่วง ค.ศ.1980-1987 ทำสงครามกับชาด เขาเป็นคนสั่งใช้ระเบิดแก๊สพิษ ลิเบียแพ้ชาด ในการรบครั้งนั้น และทหารลิเบียถูกชาดจับเป็นเชลย รวมทั้ง Hifter ด้วย ระหว่างที่ติดอยู่ที่ชาด Hifter ไม่รู้คิดอะไร ชวนพรรคพวกที่เป็นเชลยด้วยกัน ให้ปฏิวัติกัดดาฟี แต่ยังไม่ทันเดินหน้า เขาก็เปลี่ยนแผน เพราะซีไอเอจัดการให้เขาหลุดจากคุมตัวของชาด และข้ามมาคองโก ก่อนบินไปอยู่ที่เวอร์จิเนียของอเมริกา พร้อมลูกน้องอีก 300 คน ในฐานะเป็นคนสัญชาติอเมริกัน ที่ซีไอเอจัดการให้ เขาอยู่ในอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ.1990 ถึง ปี ค.ศ.2011 ทำงานหลายจ๊อบให้ซีไอเอ และเมื่อ อเมริกาพยายามขยี้ กัดดาฟี ในปี ค.ศ.1996 Hifter และพวกอีก 600 คนก็เป็นคนจัดการ แต่ไม่สำเร็จ น่าจะทำให้ราคาเขาตกลงพอสมควร แต่ตอนนี้อเมริกาคงไม่มีตัวเลือกเหลือมากนักสำหรับรายการ เก็บกวาดลิเบีย รอบสุดท้าย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 20 ก.ย. 2558
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⭕️ เปิดตะกร้าาาา ปลากระพงทุบ ทำจากเนื้อปลา 100% จ้าา

    ปลากระพงทุบ ใน TikTok
    https://vt.tiktok.com/ZSrNwrbfa/

    ปลากระพงทุบ ใน Shopee
    https://th.shp.ee/TJpZ2pJ

    เลือกชมสินค้าอื่นๆของเราได้ทั้งสองช่องทาง
    1. Shopee : shopee.co.th/kinjubjibshop
    2. TikTok : https://www.tiktok.com/@kinjubjibshop?_t=ZS-8txYHQWejyM&_r=1

    เลือกช้อปได้ตามความชอบและคูปองของแต่ละช่องทางได้เลยค่ะ

    #คือจึ้งมาก #คือเจ๋งมาก #คืออร่อย #คือดีย์

    #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #อร่อยดีบอกต่อ #ของอร่อยต้องลอง #ปลากระพงทุบ #ปลากระพงทุบ #อร่อยกี่โมง #กะปิเคย #หมึกกะตอย #ปลาทูมัน #ปลาทูหอม #ปลาซิวทอดกรอบ #ปลาเกล็ดขาว #ปลาจิ้งจั้งทอด #หมึกกะตอยแห้ง
    🌶️♨️⭕️ เปิดตะกร้าาาา ปลากระพงทุบ ทำจากเนื้อปลา 100% จ้าา ปลากระพงทุบ 🙂 ใน TikTok https://vt.tiktok.com/ZSrNwrbfa/ ปลากระพงทุบ 🙂 ใน Shopee https://th.shp.ee/TJpZ2pJ เลือกชมสินค้าอื่นๆของเราได้ทั้งสองช่องทาง 1. Shopee : shopee.co.th/kinjubjibshop 2. TikTok : https://www.tiktok.com/@kinjubjibshop?_t=ZS-8txYHQWejyM&_r=1 เลือกช้อปได้ตามความชอบและคูปองของแต่ละช่องทางได้เลยค่ะ #คือจึ้งมาก #คือเจ๋งมาก #คืออร่อย #คือดีย์ #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #อร่อยดีบอกต่อ #ของอร่อยต้องลอง #ปลากระพงทุบ #ปลากระพงทุบ #อร่อยกี่โมง #กะปิเคย #หมึกกะตอย #ปลาทูมัน #ปลาทูหอม #ปลาซิวทอดกรอบ #ปลาเกล็ดขาว #ปลาจิ้งจั้งทอด #หมึกกะตอยแห้ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เพลง "ปลงซะ" ของวงพลอย: จุดเริ่มต้นของติ๊ก ชิโร่ อัจฉริยะแห่งวงการเพลงไทยยุค 90

    ในยุคที่เพลงไทยกำลังเบ่งบานด้วยสไตล์ป็อปร็อกผสมผสานกลิ่นอายแดนซ์และคันทรี่ เพลง "ปลงซะ" จากอัลบั้มชุดแรกของวงพลอย ได้กลายเป็นหนึ่งในเพลงฮิตที่จุดประกายให้วงการเพลงไทยคึกคักขึ้นมาในช่วงปลายทศวรรษ 1980s และต้น 1990s เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นผลงานที่ทำให้วงพลอยเป็นที่รู้จัก แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในอาชีพนักร้องนำและมือกลองอย่างติ๊ก ชิโร่ (ชื่อจริง: มนัสวิน นันทเสน หรือชื่อเดิม ศิริศักดิ์ นันทเสน) ผู้ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งของวงการเพลงไทยในยุค 90 ด้วยพรสวรรค์ในการแต่งเพลง ร้อง และเล่นดนตรีที่หลากหลาย บทความนี้จะพาไปสำรวจรายละเอียดของวงพลอย ประวัติของติ๊ก ชิโร่ ความดังของเพลง "ปลงซะ" รวมถึงเส้นทางเดี่ยวที่ทำให้เขากลายเป็นศิลปินระดับตำนาน

    ประวัติและการก่อตั้งวงพลอย: จากวงแบ็คอัพสู่ตำนานป็อปร็อก
    วงพลอยเกิดขึ้นจากแนวคิดของ "แจ้" ดนุพล แก้วกาญจน์ อดีตสมาชิกวงแกรนด์เอ็กซ์ นักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดังที่ต้องการมีวงดนตรีแบ็คอัพสำหรับอัลบั้มเดี่ยวของตนเองภายใต้สังกัดนิธิทัศน์ โปรโมชั่น การก่อตั้งวงเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2529 โดยเดิมใช้ชื่อ "แจ้และพลอย" สมาชิกหลักในช่วงแรกประกอบด้วยนักดนตรีมากพรสวรรค์ที่มาจากหลากหลายพื้นเพ วงพลอยมีแนวเพลงหลักเป็นป็อปร็อก ผสมผสานกับแดนซ์ คันทรี่ กอสเปล และบลูส์ ซึ่งทำให้เพลงของพวกเขามีเอกลักษณ์โดดเด่น ท่ามกลางกระแสเพลงไทยที่กำลังเปลี่ยนจากยุคดิสโก้สู่ร็อกยุคใหม่

    สมาชิกหลักของวงพลอยมีการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงกิจกรรม แต่บุคคลสำคัญที่ทำให้วงโด่งดัง ได้แก่:
    ติ๊ก ชิโร่ (ศิริศักดิ์ นันทเสน): นักร้องนำและมือกลอง เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2504 เข้าร่วมวงตั้งแต่ปี 2529 จนถึง 2533 ถือเป็นหัวใจหลักในการผลิตเพลงและการแสดงสด
    วสุ แสงสิงแก้ว: นักร้องนำ คีย์บอร์ด และกีตาร์ เกิดวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2510 เข้าร่วมตั้งแต่เริ่มต้นแต่ลาออกในปี 2531 เพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศ
    อิศรพงศ์ ชุมสาย ณ อยุธยา: หัวหน้าวงและคีย์บอร์ด
    มืด ไข่มุก: เพอร์คัสชั่น กลองชุด และร้องนำ (เสียชีวิตเมื่อปี 2565)
    รักษ์ สวัสซิตัง: กีตาร์และร้องนำ
    อนุสาร คุณะดิลก: เบสและร้องนำ (เสียชีวิตปี 2557)
    ชาตรี คงสุวรรณ: กีตาร์และแซ็กโซโฟน (ช่วงแรก)
    สมาชิกอื่น ๆ เช่น ปิติ ปิติวงศ์ (คีย์บอร์ด), เดวิด เอง (กีตาร์) และวรดิษฐ์ เมืองทอง (ร้องนำแทนวสุในอัลบั้มสุดท้าย)

    วงพลอยออกอัลบั้มแรกในนาม "แจ้และพลอย" ชื่อ "ฝันสีทอง" ในเดือนกุมภาพันธ์และพฤษภาคม 2529 ตามด้วย "ของขวัญ" ในปลายปีเดียวกัน ปี 2530 เปลี่ยนชื่อเป็น "วงพลอย" อย่างเป็นทางการและออกอัลบั้มเต็มชุดแรก "สุภาพบุรุษนักฝัน" ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้วงเป็นที่รู้จักในวงกว้าง อัลบั้มนี้ขายดีและมีเพลงฮิตหลายเพลง ตามด้วย "สมาคมคนเจ็บ ๆ" (2531) และ "พลอย 3" (2532) หลังจากนั้นวงประกาศยุบในปี 2533 เนื่องจากสมาชิกหลายคนแยกย้ายไปทำผลงานเดี่ยว แต่ยังมีอัลบั้มรวมฮิตออกตามมา เช่น "รวมฮิต พลอย" (2535) และ "BEST OF พลอย" (2544) รวมถึงคอนเสิร์ตใหญ่เช่น "โลกดนตรี พลอย" (2531-2533)

    วงพลอยถูกยกย่องว่าเป็น "สมาคมสุภาพบุรุษนักดนตรีแห่งทศวรรษ 1980s" ด้วยการผสมผสานดนตรีที่สนุกสนานและเนื้อเพลงที่เข้าถึงอารมณ์คนฟัง ทำให้พวกเขากลายเป็นขวัญใจวัยรุ่นในยุคนั้น

    ประวัติติ๊ก ชิโร่: จากเด็กโคราชสู่มือกลองและนักร้องอัจฉริยะ
    ติ๊ก ชิโร่ เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2504 ที่อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรของนายชวลิตและนางสุดใจ นันทเสน เขาเติบโตในครอบครัวธรรมดาแต่มีความหลงใหลในดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ติ๊กตั้งวงกับเพื่อนชื่อ "แฟมิลี่" และเล่นประจำที่เอส.พี.ไนท์คลับในโคราช ต่อมาเปลี่ยนชื่อวงเป็น "เดอะ ดิสค์" เล่นที่โรงแรมโฆษะ ขอนแก่น แล้วเป็น "ดิสโก้คิสส์" กลับมาโคราช ระหว่างเรียนที่วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน) เขาเล่นที่ซิลเวอร์สตาร์ ขอนแก่น จากนั้นย้ายไปพัทยา เปลี่ยนชื่อวงเป็น "ริทึ่มมิ๊กซ์" และ "เซเลเบรชั่น" ซึ่งออกอัลบั้มชุดเดียว "คนชุดขาว" ในปี 2527 โดยสมาชิกแต่งกายชุดขาวและสวมหน้ากาก

    ติ๊กเข้าร่วมวงพลอยในปี 2529 ในตำแหน่งมือกลองและนักร้องนำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแจ้งเกิดในวงการเพลงไทยอย่างเต็มตัว เขาไม่เพียงเล่นกลองและร้องนำ แต่ยังแต่งเพลงและเรียบเรียงดนตรีให้วงด้วย พรสวรรค์ของติ๊กในด้านนี้ทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น "อัจฉริยะ" เพราะสามารถเล่นเครื่องดนตรีหลายชนิด เช่น กลอง เปียโน และกีตาร์ รวมถึงแต่งเพลงที่ผสมผสานแนวเพลงหลากหลาย ตั้งแต่ป็อป แดนซ์ ร็อก ไปจนถึงลูกทุ่งและคันทรี่
    ด้านชีวิตส่วนตัว ติ๊กสมรสกับพรรทิรา นันทเสน มีบุตรสาวสองคน ชื่อชาเม-ชามันดา และยาหยี-เลอทีญา เขาจบปริญญาตรีสาขารัฐประศาสนศาสตร์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ปริญญาโทจากธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี นอกจากดนตรี เขายังเป็นนักแสดง พิธีกร และผู้ก่อตั้งค่ายเพลง LOMABin Entertainment ในปี 2564

    ความดังของเพลง "ปลงซะ": เพลงฮิตที่จุดประกายวงพลอย
    เพลง "ปลงซะ" เป็นหนึ่งในเพลงเด่นจากอัลบั้ม "สุภาพบุรุษนักฝัน" (2530) ซึ่งเป็นอัลบั้มเต็มชุดแรกของวงพลอย เพลงนี้แต่งคำร้อง ทำนอง และเรียบเรียงโดยติ๊ก ชิโร่เอง ร้องนำโดยติ๊ก เนื้อเพลงพูดถึงการ "ปลงตก" กับความผิดหวังในชีวิตและความรัก ด้วยจังหวะสนุกสนานผสมร็อกและแดนซ์ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์ตอย่างรวดเร็ว คำว่า "ปลงซะ" กลายเป็นวลีฮิตที่คนรุ่นนั้นใช้พูดกันติดปาก

    อัลบั้มนี้มีเพลงดังอื่น ๆ เช่น "จดหมายลาครู" (ร้องโดยวสุ), "สูตรรักนักเรียน" (วสุ), และ "ไม่ได้เจตนา" (มืด) ซึ่งช่วยผลักดันให้อัลบั้มขายดีและทำให้วงพลอยได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงนั้น เพลง "ปลงซะ" ไม่เพียงทำให้ติ๊กเป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องนำ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแต่งเพลงที่เข้าถึงอารมณ์คนฟัง ทำให้เพลงนี้ถูกนำไปรวมในอัลบั้มฮิตหลายชุด เช่น "ดีที่สุดแห่งปี 2530" (2549) และ "เพลงฮิตเมื่อวันวาน" (2555) ความดังของเพลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ติ๊กก้าวสู่การเป็นศิลปินเดี่ยวในเวลาต่อมา

    การแยกตัวและความดังส่วนตัวของติ๊ก ชิโร่: ยุคทองของศิลปินเดี่ยว
    หลังจากวงพลอยยุบในปี 2533 ติ๊ก ชิโร่ ตัดสินใจแยกตัวออกมาทำผลงานเดี่ยวภายใต้สังกัดนิธิทัศน์ โปรโมชั่น ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะทำให้เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในยุค 90 อัลบั้มเดี่ยวชุดแรก "โชะ ไชโย" (ธันวาคม 2533) ขายได้มากกว่าล้านตลับ ด้วยเพลงฮิตอย่าง "โชะ ไชโย" ที่ผสมผสานป็อปแดนซ์ร็อก ตามด้วย "เต็มเหนี่ยว" (2535) ซึ่งได้รับรางวัลโปรดิวเซอร์ยอดเยี่ยมจากสีสันอวอร์ด และขายล้านตลับเช่นกัน

    ตลอดทศวรรษ 1990s ติ๊กออกอัลบั้มอีกหลายชุด เช่น "ยินดีต้อนรับ" (2536) ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลนักร้องชายยอดเยี่ยมสีสันอวอร์ด, "ซ.ต.พ. (Q.E.D.)" (2537), "ติ๊กเบอร์ 5 (มหาชน)" (2539), "ย้อนยุคใหม่" (2540), "ทำปุ๋ย" (2541) และ "โช๊ะ ลูกทุ่ง 1 2 3" (2541) เพลงดังส่วนตัวของเขา ได้แก่ "รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง", "มนุษย์ค้างคาว", "เต็มเหนี่ยว", "โชะ ไชโย" และเพลงรณรงค์อย่าง "แค่ขยับ" (2550) นอกจากนี้ เขายังแต่งเพลงให้ศิลปินอื่น เช่น "จูนหัวใจ" ให้กัญญาณี มุจจลินทร์กุล และ "ก็ดี" ให้ธงไชย แมคอินไตย์

    ความดังของติ๊กในยุค 90 มาจากการผสมผสานแนวเพลงที่หลากหลาย ทำให้เขาเป็นศิลปินที่เข้าถึงผู้ฟังทุกวัย เขาได้รับฉายา "โบราณแมน" จากอัลบั้มในปี 2548 และยังคงผลิตผลงานจนถึงปัจจุบัน รวมถึงอัลบั้มรวมเพลงอย่าง "25 ปี ติ๊ก ชิโร่" (2558) และ "The Legend Of ติ๊ก ชิโร่" (2560) การแยกตัวทำให้ติ๊กประสบความสำเร็จสูงสุด โดยขายอัลบั้มรวมหลายล้านชุดและมีคอนเสิร์ตใหญ่หลายครั้ง

    สรุป: มรดกของติ๊ก ชิโร่และวงพลอยในวงการเพลงไทย
    เพลง "ปลงซะ" ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ของจุดเริ่มต้นที่ทำให้ติ๊ก ชิโร่ ก้าวจากมือกลองในวงพลอยสู่ศิลปินเดี่ยวระดับตำนาน วงพลอยเองก็เป็นส่วนสำคัญที่ปูทางให้ดนตรีไทยในยุค 90 มีความหลากหลายมากขึ้น ติ๊กถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะเพราะความสามารถรอบด้าน ทั้งแต่ง ร้อง และผลิตเพลงที่ยังคงเป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้ แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยน แต่เพลงของเขาและวงพลอยยังคงถูกเปิดฟังและนำไปรีเมค สะท้อนถึงอิทธิพลที่ยั่งยืนในวงการเพลงไทย

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=Yg1kHho4J-o
    🎵 เพลง "ปลงซะ" ของวงพลอย: จุดเริ่มต้นของติ๊ก ชิโร่ อัจฉริยะแห่งวงการเพลงไทยยุค 90 🕺 🗺️ ในยุคที่เพลงไทยกำลังเบ่งบานด้วยสไตล์ป็อปร็อกผสมผสานกลิ่นอายแดนซ์และคันทรี่ เพลง "ปลงซะ" จากอัลบั้มชุดแรกของวงพลอย ได้กลายเป็นหนึ่งในเพลงฮิตที่จุดประกายให้วงการเพลงไทยคึกคักขึ้นมาในช่วงปลายทศวรรษ 1980s และต้น 1990s เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นผลงานที่ทำให้วงพลอยเป็นที่รู้จัก แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในอาชีพนักร้องนำและมือกลองอย่างติ๊ก ชิโร่ (ชื่อจริง: มนัสวิน นันทเสน หรือชื่อเดิม ศิริศักดิ์ นันทเสน) ผู้ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งของวงการเพลงไทยในยุค 90 ด้วยพรสวรรค์ในการแต่งเพลง ร้อง และเล่นดนตรีที่หลากหลาย บทความนี้จะพาไปสำรวจรายละเอียดของวงพลอย ประวัติของติ๊ก ชิโร่ ความดังของเพลง "ปลงซะ" รวมถึงเส้นทางเดี่ยวที่ทำให้เขากลายเป็นศิลปินระดับตำนาน 🌠 ✡️ ประวัติและการก่อตั้งวงพลอย: จากวงแบ็คอัพสู่ตำนานป็อปร็อก วงพลอยเกิดขึ้นจากแนวคิดของ "แจ้" ดนุพล แก้วกาญจน์ อดีตสมาชิกวงแกรนด์เอ็กซ์ นักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดังที่ต้องการมีวงดนตรีแบ็คอัพสำหรับอัลบั้มเดี่ยวของตนเองภายใต้สังกัดนิธิทัศน์ โปรโมชั่น การก่อตั้งวงเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2529 โดยเดิมใช้ชื่อ "แจ้และพลอย" สมาชิกหลักในช่วงแรกประกอบด้วยนักดนตรีมากพรสวรรค์ที่มาจากหลากหลายพื้นเพ วงพลอยมีแนวเพลงหลักเป็นป็อปร็อก ผสมผสานกับแดนซ์ คันทรี่ กอสเปล และบลูส์ ซึ่งทำให้เพลงของพวกเขามีเอกลักษณ์โดดเด่น ท่ามกลางกระแสเพลงไทยที่กำลังเปลี่ยนจากยุคดิสโก้สู่ร็อกยุคใหม่ 💎 สมาชิกหลักของวงพลอยมีการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงกิจกรรม แต่บุคคลสำคัญที่ทำให้วงโด่งดัง ได้แก่: 🙎‍♂️ ติ๊ก ชิโร่ (ศิริศักดิ์ นันทเสน): นักร้องนำและมือกลอง เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2504 เข้าร่วมวงตั้งแต่ปี 2529 จนถึง 2533 ถือเป็นหัวใจหลักในการผลิตเพลงและการแสดงสด 🙎‍♂️ วสุ แสงสิงแก้ว: นักร้องนำ คีย์บอร์ด และกีตาร์ เกิดวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2510 เข้าร่วมตั้งแต่เริ่มต้นแต่ลาออกในปี 2531 เพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศ 🙎‍♂️ อิศรพงศ์ ชุมสาย ณ อยุธยา: หัวหน้าวงและคีย์บอร์ด 🙎‍♂️ มืด ไข่มุก: เพอร์คัสชั่น กลองชุด และร้องนำ (เสียชีวิตเมื่อปี 2565) 🙎‍♂️ รักษ์ สวัสซิตัง: กีตาร์และร้องนำ 🙎‍♂️ อนุสาร คุณะดิลก: เบสและร้องนำ (เสียชีวิตปี 2557) 🙎‍♂️ ชาตรี คงสุวรรณ: กีตาร์และแซ็กโซโฟน (ช่วงแรก) 🙎‍♂️ สมาชิกอื่น ๆ เช่น ปิติ ปิติวงศ์ (คีย์บอร์ด), เดวิด เอง (กีตาร์) และวรดิษฐ์ เมืองทอง (ร้องนำแทนวสุในอัลบั้มสุดท้าย) 💿 วงพลอยออกอัลบั้มแรกในนาม "แจ้และพลอย" ชื่อ "ฝันสีทอง" ในเดือนกุมภาพันธ์และพฤษภาคม 2529 ตามด้วย "ของขวัญ" ในปลายปีเดียวกัน ปี 2530 เปลี่ยนชื่อเป็น "วงพลอย" อย่างเป็นทางการและออกอัลบั้มเต็มชุดแรก "สุภาพบุรุษนักฝัน" ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้วงเป็นที่รู้จักในวงกว้าง อัลบั้มนี้ขายดีและมีเพลงฮิตหลายเพลง ตามด้วย "สมาคมคนเจ็บ ๆ" (2531) และ "พลอย 3" (2532) หลังจากนั้นวงประกาศยุบในปี 2533 เนื่องจากสมาชิกหลายคนแยกย้ายไปทำผลงานเดี่ยว แต่ยังมีอัลบั้มรวมฮิตออกตามมา เช่น "รวมฮิต พลอย" (2535) และ "BEST OF พลอย" (2544) รวมถึงคอนเสิร์ตใหญ่เช่น "โลกดนตรี พลอย" (2531-2533) 💎 วงพลอยถูกยกย่องว่าเป็น "สมาคมสุภาพบุรุษนักดนตรีแห่งทศวรรษ 1980s" ด้วยการผสมผสานดนตรีที่สนุกสนานและเนื้อเพลงที่เข้าถึงอารมณ์คนฟัง ทำให้พวกเขากลายเป็นขวัญใจวัยรุ่นในยุคนั้น 🕺 ประวัติติ๊ก ชิโร่: จากเด็กโคราชสู่มือกลองและนักร้องอัจฉริยะ ติ๊ก ชิโร่ เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2504 ที่อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรของนายชวลิตและนางสุดใจ นันทเสน เขาเติบโตในครอบครัวธรรมดาแต่มีความหลงใหลในดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ติ๊กตั้งวงกับเพื่อนชื่อ "แฟมิลี่" และเล่นประจำที่เอส.พี.ไนท์คลับในโคราช ต่อมาเปลี่ยนชื่อวงเป็น "เดอะ ดิสค์" เล่นที่โรงแรมโฆษะ ขอนแก่น แล้วเป็น "ดิสโก้คิสส์" กลับมาโคราช ระหว่างเรียนที่วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน) เขาเล่นที่ซิลเวอร์สตาร์ ขอนแก่น จากนั้นย้ายไปพัทยา เปลี่ยนชื่อวงเป็น "ริทึ่มมิ๊กซ์" และ "เซเลเบรชั่น" ซึ่งออกอัลบั้มชุดเดียว "คนชุดขาว" ในปี 2527 โดยสมาชิกแต่งกายชุดขาวและสวมหน้ากาก 🙎‍♂️ ติ๊กเข้าร่วมวงพลอยในปี 2529 ในตำแหน่งมือกลองและนักร้องนำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแจ้งเกิดในวงการเพลงไทยอย่างเต็มตัว เขาไม่เพียงเล่นกลองและร้องนำ แต่ยังแต่งเพลงและเรียบเรียงดนตรีให้วงด้วย พรสวรรค์ของติ๊กในด้านนี้ทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น "อัจฉริยะ" เพราะสามารถเล่นเครื่องดนตรีหลายชนิด เช่น กลอง เปียโน และกีตาร์ รวมถึงแต่งเพลงที่ผสมผสานแนวเพลงหลากหลาย ตั้งแต่ป็อป แดนซ์ ร็อก ไปจนถึงลูกทุ่งและคันทรี่ ด้านชีวิตส่วนตัว ติ๊กสมรสกับพรรทิรา นันทเสน มีบุตรสาวสองคน ชื่อชาเม-ชามันดา และยาหยี-เลอทีญา เขาจบปริญญาตรีสาขารัฐประศาสนศาสตร์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ปริญญาโทจากธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี นอกจากดนตรี เขายังเป็นนักแสดง พิธีกร และผู้ก่อตั้งค่ายเพลง LOMABin Entertainment ในปี 2564 🎖️ ความดังของเพลง "ปลงซะ": เพลงฮิตที่จุดประกายวงพลอย เพลง "ปลงซะ" เป็นหนึ่งในเพลงเด่นจากอัลบั้ม "สุภาพบุรุษนักฝัน" (2530) ซึ่งเป็นอัลบั้มเต็มชุดแรกของวงพลอย เพลงนี้แต่งคำร้อง ทำนอง และเรียบเรียงโดยติ๊ก ชิโร่เอง ร้องนำโดยติ๊ก เนื้อเพลงพูดถึงการ "ปลงตก" กับความผิดหวังในชีวิตและความรัก ด้วยจังหวะสนุกสนานผสมร็อกและแดนซ์ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์ตอย่างรวดเร็ว คำว่า "ปลงซะ" กลายเป็นวลีฮิตที่คนรุ่นนั้นใช้พูดกันติดปาก 🏆 อัลบั้มนี้มีเพลงดังอื่น ๆ เช่น "จดหมายลาครู" (ร้องโดยวสุ), "สูตรรักนักเรียน" (วสุ), และ "ไม่ได้เจตนา" (มืด) ซึ่งช่วยผลักดันให้อัลบั้มขายดีและทำให้วงพลอยได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงนั้น เพลง "ปลงซะ" ไม่เพียงทำให้ติ๊กเป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องนำ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแต่งเพลงที่เข้าถึงอารมณ์คนฟัง ทำให้เพลงนี้ถูกนำไปรวมในอัลบั้มฮิตหลายชุด เช่น "ดีที่สุดแห่งปี 2530" (2549) และ "เพลงฮิตเมื่อวันวาน" (2555) ความดังของเพลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ติ๊กก้าวสู่การเป็นศิลปินเดี่ยวในเวลาต่อมา ☢️ การแยกตัวและความดังส่วนตัวของติ๊ก ชิโร่: ยุคทองของศิลปินเดี่ยว หลังจากวงพลอยยุบในปี 2533 ติ๊ก ชิโร่ ตัดสินใจแยกตัวออกมาทำผลงานเดี่ยวภายใต้สังกัดนิธิทัศน์ โปรโมชั่น ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะทำให้เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในยุค 90 อัลบั้มเดี่ยวชุดแรก "โชะ ไชโย" (ธันวาคม 2533) ขายได้มากกว่าล้านตลับ ด้วยเพลงฮิตอย่าง "โชะ ไชโย" ที่ผสมผสานป็อปแดนซ์ร็อก ตามด้วย "เต็มเหนี่ยว" (2535) ซึ่งได้รับรางวัลโปรดิวเซอร์ยอดเยี่ยมจากสีสันอวอร์ด และขายล้านตลับเช่นกัน ตลอดทศวรรษ 1990s ติ๊กออกอัลบั้มอีกหลายชุด เช่น "ยินดีต้อนรับ" (2536) ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลนักร้องชายยอดเยี่ยมสีสันอวอร์ด, "ซ.ต.พ. (Q.E.D.)" (2537), "ติ๊กเบอร์ 5 (มหาชน)" (2539), "ย้อนยุคใหม่" (2540), "ทำปุ๋ย" (2541) และ "โช๊ะ ลูกทุ่ง 1 2 3" (2541) เพลงดังส่วนตัวของเขา ได้แก่ "รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง", "มนุษย์ค้างคาว", "เต็มเหนี่ยว", "โชะ ไชโย" และเพลงรณรงค์อย่าง "แค่ขยับ" (2550) นอกจากนี้ เขายังแต่งเพลงให้ศิลปินอื่น เช่น "จูนหัวใจ" ให้กัญญาณี มุจจลินทร์กุล และ "ก็ดี" ให้ธงไชย แมคอินไตย์ 📝 🤍 ความดังของติ๊กในยุค 90 มาจากการผสมผสานแนวเพลงที่หลากหลาย ทำให้เขาเป็นศิลปินที่เข้าถึงผู้ฟังทุกวัย เขาได้รับฉายา "โบราณแมน" จากอัลบั้มในปี 2548 และยังคงผลิตผลงานจนถึงปัจจุบัน รวมถึงอัลบั้มรวมเพลงอย่าง "25 ปี ติ๊ก ชิโร่" (2558) และ "The Legend Of ติ๊ก ชิโร่" (2560) การแยกตัวทำให้ติ๊กประสบความสำเร็จสูงสุด โดยขายอัลบั้มรวมหลายล้านชุดและมีคอนเสิร์ตใหญ่หลายครั้ง ℹ️ℹ️ สรุป: มรดกของติ๊ก ชิโร่และวงพลอยในวงการเพลงไทย🏁 เพลง "ปลงซะ" ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ของจุดเริ่มต้นที่ทำให้ติ๊ก ชิโร่ ก้าวจากมือกลองในวงพลอยสู่ศิลปินเดี่ยวระดับตำนาน วงพลอยเองก็เป็นส่วนสำคัญที่ปูทางให้ดนตรีไทยในยุค 90 มีความหลากหลายมากขึ้น ติ๊กถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะเพราะความสามารถรอบด้าน ทั้งแต่ง ร้อง และผลิตเพลงที่ยังคงเป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้ แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยน แต่เพลงของเขาและวงพลอยยังคงถูกเปิดฟังและนำไปรีเมค สะท้อนถึงอิทธิพลที่ยั่งยืนในวงการเพลงไทย ✨💫 #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=Yg1kHho4J-o
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญหลักเมืองยะลา ที่ระลึกฉลองเมืองยะลา 212ปี
    เหรียญหลักเมืองยะลา ที่ระลึกฉลองเมืองยะลา 212ปี เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน ปี2545 //พระดีพิธีใหญ่ ปลุกเสกโดยพระเกจิอาจารย์สายหลวงพ่อทวด และ เกจิสายเขาอ้อหลายท่าน // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พร้อมกล่องเดิมๆ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ** พุทธคุณ ขอได้ - ไหว้รับ บนบานขอพรขอได้ พกพาอาราธนาติดตัวมีประสบการณ์ด้านแคล้วคลาดปลอดภัย เสริมดวงเสริมบารมี เป็นสิริมงคล เมตตา โชคลาภ ลาภ ผล พลู ทวี แคล้วคลาดกันภัย มหาอุด คงกระพัน เมตตาหานิยม โภคทรัพย์ เปิดโชครับทรัพย์ เงินไหลมา มหาโภคทรัพย์ เรียกทรัพย์และคุ้มครองป้องกันภัย. จะเจริญรุ่งเรือง ไม่ฝืดเคืองขัดสน ค้าขาย ร่ำรวย โชคลาภ **

    ** หลักเมืองเมืองยะลา เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวจังหวัดยะลา และเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พุทธศักราช 2505 ชาวจังหวัดยะลาได้พร้อมใจกันจัดงานสมโภชหลักเมืองยะลาขึ้นเป็นครั้งแรก และได้จัดต่อเนื่องกันมาอย่างทุกปีจนถึงปัจจุบัน เหรียญหลักเมืองยะลา ที่ระลึกฉลองเมืองยะลา 212ปี เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน ปี2545 พระดีพิธีใหญ่ มีพระอาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย,พ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะ และเกจิอาจารย์สายหลวงพ่อทวด และ เกจิสายเขาอ้อ ร่วมกับ เกจิสายใต้อีกหลายท่าน ร่วมปลุกเสก **

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พร้อมกล่องเดิมๆ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญหลักเมืองยะลา ที่ระลึกฉลองเมืองยะลา 212ปี เหรียญหลักเมืองยะลา ที่ระลึกฉลองเมืองยะลา 212ปี เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน ปี2545 //พระดีพิธีใหญ่ ปลุกเสกโดยพระเกจิอาจารย์สายหลวงพ่อทวด และ เกจิสายเขาอ้อหลายท่าน // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พร้อมกล่องเดิมๆ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ** พุทธคุณ ขอได้ - ไหว้รับ บนบานขอพรขอได้ พกพาอาราธนาติดตัวมีประสบการณ์ด้านแคล้วคลาดปลอดภัย เสริมดวงเสริมบารมี เป็นสิริมงคล เมตตา โชคลาภ ลาภ ผล พลู ทวี แคล้วคลาดกันภัย มหาอุด คงกระพัน เมตตาหานิยม โภคทรัพย์ เปิดโชครับทรัพย์ เงินไหลมา มหาโภคทรัพย์ เรียกทรัพย์และคุ้มครองป้องกันภัย. จะเจริญรุ่งเรือง ไม่ฝืดเคืองขัดสน ค้าขาย ร่ำรวย โชคลาภ ** ** หลักเมืองเมืองยะลา เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวจังหวัดยะลา และเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พุทธศักราช 2505 ชาวจังหวัดยะลาได้พร้อมใจกันจัดงานสมโภชหลักเมืองยะลาขึ้นเป็นครั้งแรก และได้จัดต่อเนื่องกันมาอย่างทุกปีจนถึงปัจจุบัน เหรียญหลักเมืองยะลา ที่ระลึกฉลองเมืองยะลา 212ปี เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน ปี2545 พระดีพิธีใหญ่ มีพระอาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย,พ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะ และเกจิอาจารย์สายหลวงพ่อทวด และ เกจิสายเขาอ้อ ร่วมกับ เกจิสายใต้อีกหลายท่าน ร่วมปลุกเสก ** ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พร้อมกล่องเดิมๆ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • การค้นพบครั้งสำคัญ: ยีนเดียวที่ก่อโรคทางจิต

    งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัย Leipzig พบว่า การกลายพันธุ์ในยีน GRIN2A สามารถทำให้เกิดโรคทางจิตได้โดยตรง เช่น โรคจิตเภทที่เกิดตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยรุ่น ซึ่งต่างจากรูปแบบทั่วไปที่มักแสดงอาการในวัยผู้ใหญ่ การค้นพบนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีหลักฐานชัดเจนว่ายีนเดียวสามารถก่อโรคทางจิตได้

    ผลกระทบต่อการวินิจฉัยและการรักษา
    ทีมวิจัยได้ศึกษาผู้ป่วยกว่า 121 รายที่มีการเปลี่ยนแปลงในยีน GRIN2A พบว่า 25 รายมีอาการทางจิต เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า หรือโรคบุคลิกภาพผิดปกติ ที่น่าสนใจคือบางรายมีเพียงอาการทางจิต โดยไม่มีโรคทางระบบประสาทอื่น ๆ เช่น ลมชักหรือปัญญาบกพร่อง ซึ่งปกติจะเชื่อมโยงกับยีนนี้

    แนวทางการรักษาใหม่ที่อาจเกิดขึ้น
    ยีน GRIN2A เกี่ยวข้องกับตัวรับกลูตาเมตในสมอง ซึ่งควบคุมการทำงานของเซลล์ประสาท งานวิจัยพบว่าผู้ป่วยบางรายที่ได้รับการรักษาด้วย L-serine (กรดอะมิโนที่กระตุ้นตัวรับกลูตาเมต) มีอาการทางจิตดีขึ้น เช่น ลดอาการหลอนหรือพฤติกรรมผิดปกติ แม้จะเป็นกลุ่มตัวอย่างเล็ก แต่ก็เปิดความเป็นไปได้ใหม่ในการรักษาโรคทางจิตแบบเฉพาะบุคคล

    ความหมายต่อสังคมและอนาคต
    การค้นพบนี้อาจเปลี่ยนแนวทางการวินิจฉัยโรคทางจิตในอนาคต โดยการตรวจพันธุกรรมอาจถูกนำมาใช้เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและเลือกการรักษาที่ตรงจุดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลและทำความเข้าใจกลไกของยีนนี้อย่างละเอียด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การค้นพบยีน GRIN2A
    เป็นยีนแรกที่สามารถทำให้เกิดโรคทางจิตได้โดยตรง
    อาการปรากฏตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยรุ่น

    ผลการศึกษาในผู้ป่วย
    25 จาก 121 รายมีโรคทางจิต
    บางรายมีเพียงอาการทางจิตโดยไม่มีโรคประสาทอื่น

    แนวทางการรักษาใหม่
    การใช้ L-serine ช่วยให้อาการดีขึ้นในบางราย
    เปิดโอกาสสู่การรักษาแบบเฉพาะบุคคล

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ขนาดตัวอย่างยังเล็กและต้องการการศึกษาเพิ่มเติม
    กลไกการทำงานของ GRIN2A ยังไม่ถูกเข้าใจทั้งหมด

    https://www.sciencealert.com/scientists-discover-the-first-single-gene-to-directly-cause-mental-illness
    🧬 การค้นพบครั้งสำคัญ: ยีนเดียวที่ก่อโรคทางจิต งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัย Leipzig พบว่า การกลายพันธุ์ในยีน GRIN2A สามารถทำให้เกิดโรคทางจิตได้โดยตรง เช่น โรคจิตเภทที่เกิดตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยรุ่น ซึ่งต่างจากรูปแบบทั่วไปที่มักแสดงอาการในวัยผู้ใหญ่ การค้นพบนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีหลักฐานชัดเจนว่ายีนเดียวสามารถก่อโรคทางจิตได้ 👩‍⚕️ ผลกระทบต่อการวินิจฉัยและการรักษา ทีมวิจัยได้ศึกษาผู้ป่วยกว่า 121 รายที่มีการเปลี่ยนแปลงในยีน GRIN2A พบว่า 25 รายมีอาการทางจิต เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า หรือโรคบุคลิกภาพผิดปกติ ที่น่าสนใจคือบางรายมีเพียงอาการทางจิต โดยไม่มีโรคทางระบบประสาทอื่น ๆ เช่น ลมชักหรือปัญญาบกพร่อง ซึ่งปกติจะเชื่อมโยงกับยีนนี้ 💊 แนวทางการรักษาใหม่ที่อาจเกิดขึ้น ยีน GRIN2A เกี่ยวข้องกับตัวรับกลูตาเมตในสมอง ซึ่งควบคุมการทำงานของเซลล์ประสาท งานวิจัยพบว่าผู้ป่วยบางรายที่ได้รับการรักษาด้วย L-serine (กรดอะมิโนที่กระตุ้นตัวรับกลูตาเมต) มีอาการทางจิตดีขึ้น เช่น ลดอาการหลอนหรือพฤติกรรมผิดปกติ แม้จะเป็นกลุ่มตัวอย่างเล็ก แต่ก็เปิดความเป็นไปได้ใหม่ในการรักษาโรคทางจิตแบบเฉพาะบุคคล 🌍 ความหมายต่อสังคมและอนาคต การค้นพบนี้อาจเปลี่ยนแนวทางการวินิจฉัยโรคทางจิตในอนาคต โดยการตรวจพันธุกรรมอาจถูกนำมาใช้เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและเลือกการรักษาที่ตรงจุดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลและทำความเข้าใจกลไกของยีนนี้อย่างละเอียด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การค้นพบยีน GRIN2A ➡️ เป็นยีนแรกที่สามารถทำให้เกิดโรคทางจิตได้โดยตรง ➡️ อาการปรากฏตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยรุ่น ✅ ผลการศึกษาในผู้ป่วย ➡️ 25 จาก 121 รายมีโรคทางจิต ➡️ บางรายมีเพียงอาการทางจิตโดยไม่มีโรคประสาทอื่น ✅ แนวทางการรักษาใหม่ ➡️ การใช้ L-serine ช่วยให้อาการดีขึ้นในบางราย ➡️ เปิดโอกาสสู่การรักษาแบบเฉพาะบุคคล ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ขนาดตัวอย่างยังเล็กและต้องการการศึกษาเพิ่มเติม ⛔ กลไกการทำงานของ GRIN2A ยังไม่ถูกเข้าใจทั้งหมด https://www.sciencealert.com/scientists-discover-the-first-single-gene-to-directly-cause-mental-illness
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Scientists Discover The First Single Gene to Directly Cause Mental Illness
    Genetics is rarely as straightforward as a single gene driving a lone health outcome.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251206 #securityonline

    เก้าอี้ออฟฟิศที่พับครึ่งได้ – Hinomi H2 Pro
    เรื่องราวเริ่มจากการรีวิวเก้าอี้ทำงานรุ่นใหม่ Hinomi H2 Pro ที่ถูกออกแบบมาให้แตกต่างจากเก้าอี้ทั่วไป จุดเด่นคือสามารถพับครึ่งได้ ทำให้จัดเก็บง่ายขึ้น อีกทั้งยังมีระบบรองรับหลังส่วนล่างที่แข็งแรงและปรับได้หลายระดับ เหมาะกับคนที่ต้องการการนั่งที่ถูกสุขลักษณะ ตัววัสดุทำจากเฟรมอะลูมิเนียมและผ้าตาข่ายที่ระบายอากาศได้ดี ใช้งานต่อเนื่องทั้งวันก็ยังสบาย แม้จะมีข้อสังเกตว่าการรองรับหลังอาจแรงไปสำหรับบางคน แต่โดยรวมถือว่าเป็นเก้าอี้ที่คุ้มค่าและมีลูกเล่นที่ไม่เหมือนใคร
    https://www.techradar.com/pro/hinomi-h2-pro-office-chair-review

    การกลับมาของเครื่องเล่น SACD – Shanling SCD3.3
    ย้อนบรรยากาศยุค 90s กับเครื่องเล่นซีดีรุ่นใหม่ Shanling SCD3.3 ที่มาพร้อมหลอดแอมป์ในตัวและ DAC คุณภาพสูง จุดขายคือการรองรับแผ่น SACD และการออกแบบที่ผสมผสานความคลาสสิกกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตัวเครื่องหนักแน่นด้วยโครงอะลูมิเนียมหนา มีหน้าจอสัมผัสและแอปควบคุมผ่านมือถือได้ เสียงที่ได้ถูกบรรยายว่าอบอุ่นและทรงพลัง เหมาะกับนักฟังเพลงที่ต้องการประสบการณ์เสียงระดับอ้างอิง แม้ราคาจะสูงถึงเกือบ 4,000 ดอลลาร์ แต่ก็เป็นการประกาศว่าแผ่นซีดียังไม่ตาย และยังมีเสน่ห์สำหรับสายเครื่องเสียงจริงจัง
    https://www.techradar.com/audio/sacd-is-back-baby-this-beefy-new-audiophile-cd-player-is-deliciously-90s-and-has-built-in-tube-amplification-as-a-bonus

    เครือข่ายมือถือแบบไม่ต้องเปิดเผยตัว – Phreeli
    นี่คือผู้ให้บริการมือถือรายใหม่ที่ชื่อว่า Phreeli จุดเด่นคือการสมัครใช้งานโดยไม่ต้องใช้ชื่อหรือข้อมูลส่วนตัวใด ๆ นอกจากรหัสไปรษณีย์และวิธีการชำระเงิน ซึ่งสามารถใช้คริปโตได้ ทำให้ไม่สามารถเชื่อมโยงเบอร์โทรกับตัวตนจริงได้ ระบบยังมีการป้องกันสแปมและการโทรกวน เหมาะกับคนที่กังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัวจะถูกขายต่อให้บริษัทโฆษณาหรือหน่วยงานรัฐ แม้บางคนอาจสงสัยว่าใครจะใช้บริการแบบนี้ แต่ผู้ก่อตั้งยืนยันว่ามุ่งเน้นไปที่ผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่ใช่กลุ่มที่มีเจตนาไม่ดี
    https://www.techradar.com/phones/this-new-anonymous-phone-carrier-doesnt-even-need-your-name-here-are-5-things-you-should-know-about-it

    Intel เปลี่ยนใจไม่ขายธุรกิจ NEX
    เดิมที Intel มีแผนจะขายหรือแยกธุรกิจ Networking and Communications (NEX) ออกไป แต่ล่าสุดบริษัทประกาศว่าจะเก็บไว้ในพอร์ตโฟลิโอ เพราะมองว่าเป็นส่วนสำคัญต่อกลยุทธ์ด้าน AI ศูนย์ข้อมูล และ Edge Computing การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากสถานะทางการเงินของ Intel ดีขึ้นจากการลงทุนและการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงพันธมิตรอย่าง SoftBank และ Nvidia การเก็บ NEX ไว้ในบริษัทจะช่วยให้การพัฒนาซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และระบบทำงานร่วมกันได้แนบแน่นมากขึ้น
    https://www.techradar.com/pro/intel-drops-plans-to-sell-networking-and-communication-division

    Windscribe เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้จัดการ IP ได้เอง
    บริการ VPN อย่าง Windscribe เปิดตัวสองฟีเจอร์ใหม่คือ IP Pinning และ IP Rotation เพื่อให้ผู้ใช้ควบคุม IP ได้สะดวกขึ้น โดย IP Pinning ช่วยล็อก IP ที่ใช้งานได้ดีเพื่อความเสถียร เช่น ใช้กับแอปธนาคาร ส่วน IP Rotation ช่วยเปลี่ยน IP ได้ทันทีโดยไม่ต้องตัดการเชื่อมต่อ เหมาะกับการแก้ปัญหา CAPTCHA หรือการบล็อกจากเว็บไซต์ ฟีเจอร์เหล่านี้ยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวด้วยระบบ API แบบ zero-knowledge ทำให้แม้แต่ Windscribe เองก็ไม่สามารถบันทึกข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้ได้
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/windscribe-rolls-out-new-tools-to-let-you-manage-your-vpn-ip-address-your-way

    AI ถูกส่งขึ้นอวกาศ – Google, Amazon และ xAI
    สามบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีคือ Google, Amazon และ xAI กำลังร่วมมือกันเพื่อผลักดันโครงการนำ AI ขึ้นไปใช้งานในอวกาศ แนวคิดนี้คือการสร้างระบบประมวลผลที่สามารถทำงานได้โดยตรงบนดาวเทียมหรือสถานีอวกาศ เพื่อลดการพึ่งพาการส่งข้อมูลกลับมายังโลก ซึ่งจะช่วยให้การสื่อสารและการวิเคราะห์ข้อมูลจากอวกาศมีความรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น โครงการนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันในตลาด AI ที่ขยายไปไกลเกินกว่าพื้นโลก และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ AI ในการสำรวจจักรวาลอย่างจริงจัง
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/google-amazon-and-xai-want-to-launch-ai-into-space

    หุ่นยนต์ดูดฝุ่นพร้อมระบบถูพื้นขั้นเทพ – Dreame Robovac
    Dreame เปิดตัวหุ่นยนต์ดูดฝุ่นรุ่นใหม่ที่มาพร้อมระบบถูพื้นซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมา จุดเด่นคือแท่นเก็บผ้าแบบ jukebox ที่สามารถเปลี่ยนผ้าเช็ดถูได้อัตโนมัติ ทำให้การทำความสะอาดต่อเนื่องโดยไม่ต้องคอยเปลี่ยนผ้าเอง หุ่นยนต์ยังมีระบบตรวจจับคราบและปรับแรงกดในการถูพื้นให้เหมาะสมกับสภาพพื้นผิว นอกจากนั้นยังสามารถเชื่อมต่อกับแอปเพื่อควบคุมและตั้งค่าการทำงานได้อย่างละเอียด ถือเป็นการยกระดับหุ่นยนต์ทำความสะอาดบ้านให้ฉลาดและสะดวกสบายยิ่งขึ้น
    https://www.techradar.com/home/vacuums/dreames-new-robovac-has-the-most-advanced-mop-setup-ive-seen-and-the-jukebox-style-mop-dispenser-is-just-the-start-of-it

    Windows 11 ปรับโฉม Run Prompt
    เรื่องที่ดูเหมือนเล็กแต่จริง ๆ แล้วสำคัญมากสำหรับผู้ใช้ Windows 11 กำลังจะเกิดขึ้น นั่นคือการปรับโฉมหน้าต่าง Run ที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่ยุค Windows 95 ให้เข้ากับดีไซน์ Fluent ของยุคใหม่ หน้าต่างนี้จะดูทันสมัยขึ้น ใหญ่ขึ้น และยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยแสดงคำสั่งที่เคยใช้ไปแล้ว ทำให้เรียกใช้งานซ้ำได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งแสดงไอคอนของแอปที่เราจะเปิดอีกด้วย แม้ยังไม่เปิดให้ใช้งานจริง แต่ก็มีการค้นพบในเวอร์ชันทดสอบแล้ว หลายคนก็แอบกังวลว่าจะทำให้การเปิด Run ช้าลง แต่โดยรวมถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รอคอยกันมานาน
    https://www.techradar.com/computing/windows/windows-11s-run-prompt-is-getting-a-makeover-and-a-handy-extra-power-but-already-there-are-worries-microsoft-will-ruin-it

    Microsoft 365 เตรียมขึ้นราคา
    ข่าวนี้อาจทำให้หลายองค์กรต้องขยับงบประมาณ เพราะ Microsoft ประกาศว่าจะปรับขึ้นราคาของแพ็กเกจ Microsoft 365 และ Office 365 สำหรับธุรกิจและหน่วยงานรัฐตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2026 โดยขึ้นระหว่าง 5% ถึง 33% ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจ แต่ก็มีการเพิ่มฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและ AI เข้ามา เช่น Microsoft Defender และ Security Copilot เพื่อช่วยป้องกันภัยไซเบอร์และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แม้ราคาจะสูงขึ้น แต่ Microsoft ยืนยันว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่เพิ่มเข้ามา
    https://www.techradar.com/pro/microsoft-365-is-hiking-prices-for-businesses-heres-how-much-it-will-cost-you

    Samsung Ballie Robot เลื่อนเปิดตัวอีกครั้ง
    หุ่นยนต์กลมสีเหลืองที่ชื่อ Ballie จาก Samsung ซึ่งเคยโชว์ตัวตั้งแต่ปี 2020 และถูกนำกลับมาเปิดตัวใหม่ใน CES 2025 พร้อมสัญญาว่าจะวางขายในช่วงซัมเมอร์ปีนั้น แต่จนถึงปลายปี 2025 ก็ยังไม่พร้อมวางจำหน่าย Samsung บอกว่ากำลังปรับปรุงเทคโนโลยีเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีกว่า Ballie ถูกออกแบบให้เป็นผู้ช่วยในบ้าน สามารถฉายภาพยนตร์หรือข้อมูลบนผนัง และตอบคำถามได้ แต่ยังต้องรอการพัฒนาเพิ่มเติม คาดว่าอาจมีความคืบหน้าที่ CES 2026
    https://www.techradar.com/home/smart-home/samsungs-ballie-robot-is-delayed-again-and-now-we-know-why

    การโจมตีไซเบอร์ด้วย Brickworm Malware
    หน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐฯ และแคนาดาออกมาเตือนว่าแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐจีนใช้มัลแวร์ชื่อ Brickworm เจาะเข้าไปในระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของสหรัฐฯ และองค์กรด้านไอทีทั่วโลก มัลแวร์นี้สามารถฝังตัวในระบบ VMware และ Windows เพื่อเข้าถึงไฟล์ ควบคุม Active Directory และคงการเข้าถึงระยะยาวได้ ทำให้เสี่ยงต่อการสอดแนมและการก่อวินาศกรรมในอนาคต แม้จีนจะปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่รายงานนี้สะท้อนถึงภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อความมั่นคงไซเบอร์
    https://www.techradar.com/pro/security/chinese-hackers-used-brickworm-malware-to-breach-critical-us-infrastructure

    Ofcom เตรียมเข้มงวดการตรวจสอบไฟล์ในปี 2026
    หน่วยงานกำกับดูแลด้านการสื่อสารของสหราชอาณาจักร (Ofcom) มีแผนจะเพิ่มมาตรการตรวจสอบไฟล์ดิจิทัลในปี 2026 โดยจะขยายการเฝ้าระวังและการตรวจสอบข้อมูลที่ถูกแชร์ผ่านบริการออนไลน์ เพื่อป้องกันการละเมิดและการใช้งานที่ผิดกฎหมาย แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่าการตรวจสอบนี้อาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ แต่ Ofcom ยืนยันว่ามีความจำเป็นเพื่อความปลอดภัยทางดิจิทัลในอนาคต
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/ofcom-wants-to-double-down-on-file-monitoring-in-2026

    DAC ตัวใหม่เล็กแต่ทรงพลัง
    อุปกรณ์ DAC ขนาดเล็กที่เพิ่งเปิดตัวสามารถเปลี่ยนสมาร์ทโฟน โน้ตบุ๊ก หรือเครื่องเล่นเกม ให้มีคุณภาพเสียงระดับเดียวกับเครื่องเล่นเพลง hi-res ชั้นนำของโลก แม้จะมีขนาดกะทัดรัด แต่สามารถมอบประสบการณ์เสียงที่คมชัดและทรงพลัง เหมาะสำหรับคนที่รักการฟังเพลงคุณภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนกับอุปกรณ์ราคาแพง
    https://www.techradar.com/audio/dacs/this-tiny-new-dac-gives-your-phone-laptop-or-games-console-the-audio-skills-of-the-worlds-best-hi-res-music-player

    Netflix ซื้อกิจการ Warner Bros. Discovery มูลค่า 82.7 พันล้านดอลลาร์
    Netflix ประกาศดีลครั้งใหญ่ในการเข้าซื้อ Warner Bros. Discovery ด้วยมูลค่า 82.7 พันล้านดอลลาร์ โดยอ้างว่าจะทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกและความคุ้มค่ามากขึ้น ดีลนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการสตรีมมิ่ง เพราะจะรวมคอนเทนต์จาก HBO, Discovery และแบรนด์ดังอื่น ๆ เข้ากับ Netflix ซึ่งอาจทำให้การแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Disney+ และ Amazon Prime เข้มข้นยิ่งขึ้น
    https://www.techradar.com/streaming/netflix/its-official-netflix-is-buying-warner-bros-discovery-claiming-the-deal-means-more-choice-and-greater-value-for-consumers

    Logitech CEO วิจารณ์อุปกรณ์ AI
    ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Logitech ออกมาแสดงความเห็นว่าอุปกรณ์ AI หลายอย่างในตลาดตอนนี้เป็น “การหาทางแก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง” ซึ่งสะท้อนถึงความสงสัยว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีคุณค่าแท้จริงต่อผู้ใช้หรือไม่ ความเห็นนี้ได้รับการตอบรับจากหลายฝ่ายที่เห็นว่าอุปกรณ์ AI ยังไม่สามารถพิสูจน์ประโยชน์ที่ชัดเจน แต่ก็มีบางคนมองว่าเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีที่ต้องใช้เวลาเพื่อให้เห็นผลจริง
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/a-solution-looking-for-a-problem-that-doesnt-exist-logitech-ceo-blasts-ai-gadgets-and-most-people-think-thats-being-generous

    EU เดินหน้ากฎหมาย Chat Control แบบเจาะจงเป้าหมาย
    เรื่องนี้เป็นการถกเถียงใหญ่ในยุโรปเกี่ยวกับกฎหมาย Child Sexual Abuse Regulation (CSAR) ที่ถูกเรียกติดปากว่า “Chat Control” ซึ่งหลายฝ่ายกังวลว่าจะกลายเป็นการสอดส่องประชาชนแบบกว้างขวาง แต่ Magnus Brunner กรรมาธิการสหภาพยุโรปด้านกิจการภายในกลับยืนยันว่า เขาเลือกสนับสนุนแนวทางของรัฐสภายุโรปที่เน้นการสแกนแบบเจาะจงเป้าหมาย มากกว่าการสแกนแบบครอบคลุมโดยสมัครใจตามที่สภายุโรปเสนอ เขาย้ำว่า “นี่ไม่ใช่เรื่อง Chat Control แต่เป็นการปกป้องเด็ก” อย่างไรก็ตาม หลายประเทศและผู้เชี่ยวชาญยังคงคัดค้านเพราะมองว่าอาจเป็นภัยต่อความเป็นส่วนตัว การเจรจารอบสุดท้ายระหว่างสภา คณะกรรมาธิการ และรัฐสภาจะเริ่มขึ้นในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งจะเป็นตัวชี้ชะตาว่ากฎหมายนี้จะออกมาในรูปแบบใด
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/chat-control-eu-commissioner-backs-parliament-line-on-targeted-monitoring

    ปัญหาการเชื่อมต่อที่ซ่อนอยู่ใน IoT
    เมื่อพูดถึงอุปกรณ์อัจฉริยะ เช่น ถังขยะที่ส่งสัญญาณเมื่อเต็ม หรือเครื่องตรวจหัวใจในบ้านพักคนชรา หลายคนมักคิดว่าการเชื่อมต่อเครือข่ายเป็นเรื่องที่ “มีอยู่แล้ว” แต่แท้จริงแล้วการออกแบบระบบเชื่อมต่อคือหัวใจสำคัญ หากการเลือกซิมหรือการจัดการสัญญาณไม่ดี อุปกรณ์อาจเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ไม่เสถียร ทำให้ข้อมูลสะดุดหรือเสี่ยงต่อการถูกโจมตี ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเทคโนโลยีซิมแบบ Dual IMSI ที่มีการจัดการสัญญาณและ IP แบบคงที่ จะช่วยให้ระบบทำงานได้ราบรื่นและปลอดภัยกว่า การออกแบบโครงสร้างการเชื่อมต่อที่ดีจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ IoT ใช้งานได้จริงในระดับใหญ่ ไม่ใช่แค่การมีอุปกรณ์ที่ฉลาด แต่ต้องมีเครือข่ายที่ฉลาดด้วย
    https://www.techradar.com/pro/the-connectivity-problem-hiding-in-smart-bins-and-heart-monitors

    แฮกเกอร์ปลอมแอปธนาคารเพื่อขโมยข้อมูล
    นักวิจัยจาก Group-IB เปิดเผยว่า กลุ่มแฮกเกอร์ที่ชื่อ GoldFactory กำลังใช้วิธีใหม่ในการโจมตี โดยนำแอปธนาคารจริงมาดัดแปลงใส่โค้ดอันตราย แล้วเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ปลอมและการหลอกลวงแบบฟิชชิ่ง แอปที่ถูกปลอมแปลงยังคงทำงานเหมือนจริง ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกขโมยข้อมูล ขณะเดียวกันมัลแวร์ที่ซ่อนอยู่สามารถเข้าควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ ทั้งดึงข้อมูล ล็อกอิน หรือแม้แต่สั่งการจากระยะไกล ปัจจุบันมีผู้ใช้หลายหมื่นรายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ตกเป็นเหยื่อ และแนวโน้มอาจขยายไปยังประเทศอื่น ๆ นี่ถือเป็นการโจมตีที่ซับซ้อนและอันตรายมากในโลกการเงินดิจิทัล
    https://www.techradar.com/pro/security/hackers-observed-injecting-legitimate-banking-apps-with-malicious-code

    Verizon แจก iPhone 17 Pro ฟรีแบบไม่ต้องเทรดเครื่อง
    Verizon สร้างความฮือฮาด้วยโปรโมชันใหม่ที่ให้ iPhone 17 Pro ฟรีถึง 4 เครื่อง โดยไม่ต้องนำเครื่องเก่ามาแลก เพียงสมัครแพ็กเกจ Welcome Unlimited ที่ราคา 100 ดอลลาร์ต่อเดือนสำหรับ 4 ไลน์ เท่ากับจ่ายเพียง 25 ดอลลาร์ต่อเครื่องต่อเดือน ซึ่งถ้าคิดเป็นมูลค่ารวมแล้ว ผู้ใช้สามารถประหยัดได้มากกว่า 4,000 ดอลลาร์ ดีลนี้ถือว่าคุ้มค่ามากสำหรับครอบครัวที่ต้องการหลายเครื่อง และแม้แต่ผู้ใช้รายเดียวก็ยังสามารถรับเครื่องฟรีได้เมื่อเปิดไลน์ใหม่ ถือเป็นหนึ่งในดีลที่ดีที่สุดของ Verizon ในปีนี้
    https://www.techradar.com/phones/iphone/verizon-just-surprised-us-with-one-of-its-best-deals-of-the-entire-year-get-four-iphone-17-pro-for-free-without-a-trade-in

    CEO Logitech มองว่าอุปกรณ์ AI เป็น “คำตอบที่ไม่มีคำถาม”
    Hanneke Faber ซีอีโอของ Logitech ให้สัมภาษณ์ว่า อุปกรณ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ AI โดยเฉพาะ เช่น Humane AI Pin หรือ Rabbit R1 เป็นเพียง “การแก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง” เพราะสิ่งที่ทำได้ก็ไม่ต่างจากสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่แล้ว เธอเชื่อว่าทางที่ถูกต้องคือการฝัง AI เข้าไปในผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่ เช่น กล้องเว็บแคมที่ปรับภาพอัตโนมัติ หรือเมาส์ MX Master 4 ที่มีปุ่มเรียก Copilot หรือ ChatGPT ได้ทันที แนวคิดนี้ต่างจากบางบริษัทที่พยายามสร้างอุปกรณ์ใหม่ขึ้นมาโดยเฉพาะ เช่น แว่นตาอัจฉริยะของ Ray-Ban หรือเครื่องบันทึกเสียง AI ของ Plaud ซึ่งอนาคตจะพิสูจน์ว่าแนวทางใดจะอยู่รอด แต่สิ่งที่แน่นอนคือ AI จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของทุกอุปกรณ์ในอนาคต
    https://www.techradar.com/pro/security/logitech-ceo-says-ai-devices-are-just-solutions-looking-for-a-problem

    ทำไมซีอีโอที่เข้าใจการพัฒนาซอฟต์แวร์ถึงนำหน้าในยุค AI
    บทความนี้เล่าถึงข้อได้เปรียบของซีอีโอที่มีพื้นฐานด้านการเขียนโปรแกรมหรือเข้าใจการพัฒนาซอฟต์แวร์ เพราะพวกเขาสามารถมองเห็นศักยภาพของ AI ได้ลึกกว่า และรู้ว่าควรนำไปใช้ตรงไหนเพื่อสร้างคุณค่า ไม่ใช่แค่ตามกระแส ตัวอย่างเช่น การเข้าใจโครงสร้างข้อมูลและการทำงานของโมเดล ทำให้สามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้แม่นยำกว่า และยังช่วยให้ทีมงานเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของผู้นำมากขึ้น ในการแข่งขัน AI ที่รุนแรง การมีผู้นำที่เข้าใจเทคโนโลยีจึงเป็นเหมือนการมี “หัวเรือที่รู้เส้นทาง”
    https://www.techradar.com/pro/why-ceos-who-understand-software-development-have-a-head-start-in-the-ai-race

    ปัญหาการถอดเสียงแก้ได้ด้วย Gemini แต่ไม่ใช่ ChatGPT
    ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ตรงว่าเจอปัญหาใหญ่ในการถอดเสียงไฟล์เสียงยาว ๆ ที่มีหลายสำเนียงและเสียงรบกวน เมื่อทดลองใช้ ChatGPT ผลลัพธ์ออกมาไม่แม่นยำ แต่เมื่อเปลี่ยนไปใช้ Gemini กลับได้ผลลัพธ์ที่ตรงและจัดการไฟล์ได้ดีกว่า จุดเด่นคือ Gemini สามารถทำงานกับไฟล์เสียงที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังให้ผลลัพธ์ที่พร้อมใช้งานทันที เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ AI หลายเจ้าแข่งกัน แต่แต่ละระบบก็มีจุดแข็งและจุดอ่อนต่างกันไป
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/gemini/i-had-a-big-audio-transcription-problem-gemini-solved-it-and-chatgpt-didnt

    ปี 2025 ไม่ได้เป็นปีที่น่าเบื่อของสมาร์ทโฟน
    หลายคนอาจบ่นว่าโทรศัพท์มือถือเริ่มหมดความตื่นเต้น แต่จริง ๆ แล้วปีนี้กลับเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ เริ่มจาก Apple ที่กล้าลองสิ่งใหม่ ๆ ทั้ง iPhone 16e ที่มาพร้อมโมเด็ม C1 และ iPhone Air ที่ออกแบบให้บางและทนทานขึ้น แม้ไม่ใช่รุ่นที่ดีที่สุด แต่ก็สะท้อนความกล้าในการทดลอง ส่วน iPhone 17 Pro ก็พลิกโฉมดีไซน์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Apple พร้อมเพิ่มเลนส์ซูมและหน้าจอ 120Hz ให้ทันสมัยขึ้น ขณะเดียวกัน Qualcomm ก็สร้างความฮือฮาด้วย Snapdragon 8 Elite ที่แรงและประหยัดพลังงานกว่า ทำให้มือถือ Android ใช้งานได้ยาวนานกว่าสองวันเต็ม อีกด้านหนึ่ง OnePlus 15 กลายเป็นมือถือที่ถูกยกให้เป็น “ตัวเลือกของคนวงใน” ด้วยความทนทานและแบตเตอรี่ที่เหลือเชื่อ สุดท้าย Google ก็เพิ่มฟีเจอร์แม่เหล็กใน Pixel 10 Pro ทำให้ชีวิตประจำวันสะดวกขึ้นอย่างมาก ทั้งการชาร์จ การติดตั้งอุปกรณ์เสริม และการใช้งานร่วมกับกระเป๋าสตางค์แม่เหล็ก เรื่องทั้งหมดนี้บอกได้เลยว่า โทรศัพท์ปี 2025 ไม่ได้เงียบเหงาเลย
    https://www.techradar.com/phones/think-phones-are-boring-here-are-4-reasons-why-2025-was-a-big-year-for-smartphones-and-none-of-them-are-ai

    หน่วยงานความมั่นคงสหรัฐเตือน หยุดใช้ VPN ส่วนตัว
    CISA หรือหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ของสหรัฐออกคำเตือนแรงว่า “อย่าใช้ VPN ส่วนตัว” เพราะแทนที่จะปลอดภัยขึ้น กลับเพิ่มความเสี่ยงมากกว่าเดิม เหตุผลคือ VPN หลายเจ้า โดยเฉพาะที่ฟรีหรือไม่น่าเชื่อถือ อาจเก็บข้อมูลหรือแฝงมัลแวร์มาเอง ทำให้ผู้ใช้ตกอยู่ในความเสี่ยงจากการโจมตีขั้นสูง แม้ VPN จะช่วยซ่อนกิจกรรมจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต แต่ก็เหมือนย้ายความเสี่ยงไปอยู่กับผู้ให้บริการ VPN ที่อาจไม่น่าไว้ใจ ทางออกคือเลือกผู้ให้บริการที่มีการตรวจสอบนโยบายไม่เก็บข้อมูลจริง มีการเข้ารหัสมาตรฐานสูง และมีฟีเจอร์เสริมอย่าง kill switch หรือ multi-hop เพื่อเพิ่มความปลอดภัย คำเตือนนี้สะท้อนว่าการหาทางลัดเพื่อความเป็นส่วนตัว อาจกลายเป็นดาบสองคมได้
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/us-security-agency-urges-android-and-iphone-users-to-stop-using-personal-vpns

    งานวิจัยใหม่เผย คนรุ่นใหญ่ไม่ค่อยเห็นว่า AI มีประโยชน์
    Cisco เปิดเผยผลสำรวจที่ชี้ให้เห็นความแตกต่างชัดเจนระหว่างวัย คนอายุต่ำกว่า 35 ปีมีการใช้งาน AI สูงถึงครึ่งหนึ่ง และกว่า 75% มองว่า AI มีประโยชน์ต่อชีวิตและงาน แต่เมื่อมองไปที่คนอายุเกิน 45 ครึ่งหนึ่งไม่เคยใช้ AI เลย โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 55 ปีขึ้นไปที่บอกว่าไม่คุ้นเคยมากกว่าการปฏิเสธโดยตรง นอกจากนี้ยังพบว่าประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น อินเดีย บราซิล และเม็กซิโก มีการนำ AI มาใช้มากที่สุด ขณะที่ยุโรปกลับมีความไม่มั่นใจสูงกว่า ผลวิจัยยังชี้ว่าการใช้ AI มากเกินไปอาจสัมพันธ์กับการใช้หน้าจอมากและความพึงพอใจในชีวิตที่ลดลง ทำให้คำแนะนำคือควรสร้างทักษะดิจิทัลให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม เพื่อให้ “Generation AI” รวมทุกคนจริง ๆ
    https://www.techradar.com/pro/new-research-reveals-older-users-less-likely-to-find-ai-useful

    EU เปิดการสอบสวน Meta เรื่องนโยบาย AI ใน WhatsApp
    คณะกรรมาธิการยุโรปเริ่มการสอบสวนเชิงลึกต่อ Meta หลังจากมีข้อกล่าวหาว่านโยบายใหม่ของ WhatsApp อาจกีดกันคู่แข่ง โดย Meta ได้ปรับเงื่อนไข API ของ WhatsApp Business ห้ามไม่ให้แชทบอทจากผู้ให้บริการอื่นที่เน้น AI เป็นหลักถูกเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์ม ซึ่งทำให้ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง OpenAI และ Microsoft ต้องถอนบอทออกไปแล้ว EU กังวลว่า Meta กำลังใช้ความได้เปรียบทางตลาดเพื่อผลักดัน Meta AI ของตัวเองและปิดกั้นนวัตกรรม หากพบว่ามีความผิด Meta อาจถูกปรับสูงถึง 10% ของรายได้ทั่วโลก หรือประมาณ 16.5 พันล้านดอลลาร์ เรื่องนี้สะท้อนการต่อสู้ระหว่างการเปิดเสรีการแข่งขันกับการควบคุมอำนาจของบริษัทยักษ์ใหญ่ในยุค AI
    https://www.techradar.com/pro/eu-launches-antitrust-investigation-into-metas-whatsapp-ai-access-policy

    ช่องโหว่ React ระดับวิกฤติ เสี่ยงถูกโจมตีทันที
    React ซึ่งเป็นไลบรารี JavaScript ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-55182 ที่ได้คะแนนความรุนแรงเต็ม 10/10 ช่องโหว่นี้อยู่ใน React Server Components และกระทบหลายเฟรมเวิร์ก เช่น Next, React Router, Vite ทำให้แม้แต่แฮกเกอร์ที่มีทักษะต่ำก็สามารถรันโค้ดอันตรายได้ ทีม React ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 19.0.1, 19.1.2 และ 19.2.1 พร้อมเตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันที เพราะการโจมตีมีโอกาสสำเร็จเกือบ 100% และคาดว่าจะเกิดขึ้นจริงในเวลาอันใกล้ เนื่องจาก React ถูกใช้ในบริการใหญ่ ๆ อย่าง Facebook, Instagram, Netflix และ Shopify ทำให้พื้นที่เสี่ยงมีขนาดมหาศาล เรื่องนี้จึงเป็นสัญญาณเตือนแรงสำหรับนักพัฒนาและองค์กรที่ใช้ React ว่าต้องไม่ชะล่าใจ
    https://www.techradar.com/pro/security/experts-warn-this-worst-case-scenario-react-vulnerability-could-soon-be-exploited-so-patch-now

    Europol ทลายเครือข่ายฟอกเงินและคริปโตมูลค่า 700 ล้านยูโร
    หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายยุโรป (Europol) ประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ในการปิดเครือข่ายอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและคริปโต โดยมีมูลค่าการเคลื่อนไหวสูงถึง 700 ล้านยูโร เครือข่ายนี้ใช้วิธีซับซ้อนในการเคลื่อนย้ายเงินผ่านหลายประเทศและใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อปกปิดเส้นทางการเงิน การปฏิบัติการครั้งนี้มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยหลายรายและยึดทรัพย์สินจำนวนมาก ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าองค์กรอาชญากรรมที่พยายามใช้คริปโตเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ กำลังถูกจับตามองอย่างเข้มงวด
    ​​​​​​​ https://www.techradar.com/pro/security/europol-takes-down-crypto-and-laundering-network-worth-700-million
    📌📡🟣 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟣📡📌 #รวมข่าวIT #20251206 #securityonline 🪑 เก้าอี้ออฟฟิศที่พับครึ่งได้ – Hinomi H2 Pro เรื่องราวเริ่มจากการรีวิวเก้าอี้ทำงานรุ่นใหม่ Hinomi H2 Pro ที่ถูกออกแบบมาให้แตกต่างจากเก้าอี้ทั่วไป จุดเด่นคือสามารถพับครึ่งได้ ทำให้จัดเก็บง่ายขึ้น อีกทั้งยังมีระบบรองรับหลังส่วนล่างที่แข็งแรงและปรับได้หลายระดับ เหมาะกับคนที่ต้องการการนั่งที่ถูกสุขลักษณะ ตัววัสดุทำจากเฟรมอะลูมิเนียมและผ้าตาข่ายที่ระบายอากาศได้ดี ใช้งานต่อเนื่องทั้งวันก็ยังสบาย แม้จะมีข้อสังเกตว่าการรองรับหลังอาจแรงไปสำหรับบางคน แต่โดยรวมถือว่าเป็นเก้าอี้ที่คุ้มค่าและมีลูกเล่นที่ไม่เหมือนใคร 🔗 https://www.techradar.com/pro/hinomi-h2-pro-office-chair-review 💿 การกลับมาของเครื่องเล่น SACD – Shanling SCD3.3 ย้อนบรรยากาศยุค 90s กับเครื่องเล่นซีดีรุ่นใหม่ Shanling SCD3.3 ที่มาพร้อมหลอดแอมป์ในตัวและ DAC คุณภาพสูง จุดขายคือการรองรับแผ่น SACD และการออกแบบที่ผสมผสานความคลาสสิกกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตัวเครื่องหนักแน่นด้วยโครงอะลูมิเนียมหนา มีหน้าจอสัมผัสและแอปควบคุมผ่านมือถือได้ เสียงที่ได้ถูกบรรยายว่าอบอุ่นและทรงพลัง เหมาะกับนักฟังเพลงที่ต้องการประสบการณ์เสียงระดับอ้างอิง แม้ราคาจะสูงถึงเกือบ 4,000 ดอลลาร์ แต่ก็เป็นการประกาศว่าแผ่นซีดียังไม่ตาย และยังมีเสน่ห์สำหรับสายเครื่องเสียงจริงจัง 🔗 https://www.techradar.com/audio/sacd-is-back-baby-this-beefy-new-audiophile-cd-player-is-deliciously-90s-and-has-built-in-tube-amplification-as-a-bonus 📱 เครือข่ายมือถือแบบไม่ต้องเปิดเผยตัว – Phreeli นี่คือผู้ให้บริการมือถือรายใหม่ที่ชื่อว่า Phreeli จุดเด่นคือการสมัครใช้งานโดยไม่ต้องใช้ชื่อหรือข้อมูลส่วนตัวใด ๆ นอกจากรหัสไปรษณีย์และวิธีการชำระเงิน ซึ่งสามารถใช้คริปโตได้ ทำให้ไม่สามารถเชื่อมโยงเบอร์โทรกับตัวตนจริงได้ ระบบยังมีการป้องกันสแปมและการโทรกวน เหมาะกับคนที่กังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัวจะถูกขายต่อให้บริษัทโฆษณาหรือหน่วยงานรัฐ แม้บางคนอาจสงสัยว่าใครจะใช้บริการแบบนี้ แต่ผู้ก่อตั้งยืนยันว่ามุ่งเน้นไปที่ผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่ใช่กลุ่มที่มีเจตนาไม่ดี 🔗 https://www.techradar.com/phones/this-new-anonymous-phone-carrier-doesnt-even-need-your-name-here-are-5-things-you-should-know-about-it 💻 Intel เปลี่ยนใจไม่ขายธุรกิจ NEX เดิมที Intel มีแผนจะขายหรือแยกธุรกิจ Networking and Communications (NEX) ออกไป แต่ล่าสุดบริษัทประกาศว่าจะเก็บไว้ในพอร์ตโฟลิโอ เพราะมองว่าเป็นส่วนสำคัญต่อกลยุทธ์ด้าน AI ศูนย์ข้อมูล และ Edge Computing การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากสถานะทางการเงินของ Intel ดีขึ้นจากการลงทุนและการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงพันธมิตรอย่าง SoftBank และ Nvidia การเก็บ NEX ไว้ในบริษัทจะช่วยให้การพัฒนาซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และระบบทำงานร่วมกันได้แนบแน่นมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/intel-drops-plans-to-sell-networking-and-communication-division 🌐 Windscribe เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้จัดการ IP ได้เอง บริการ VPN อย่าง Windscribe เปิดตัวสองฟีเจอร์ใหม่คือ IP Pinning และ IP Rotation เพื่อให้ผู้ใช้ควบคุม IP ได้สะดวกขึ้น โดย IP Pinning ช่วยล็อก IP ที่ใช้งานได้ดีเพื่อความเสถียร เช่น ใช้กับแอปธนาคาร ส่วน IP Rotation ช่วยเปลี่ยน IP ได้ทันทีโดยไม่ต้องตัดการเชื่อมต่อ เหมาะกับการแก้ปัญหา CAPTCHA หรือการบล็อกจากเว็บไซต์ ฟีเจอร์เหล่านี้ยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวด้วยระบบ API แบบ zero-knowledge ทำให้แม้แต่ Windscribe เองก็ไม่สามารถบันทึกข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้ได้ 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/windscribe-rolls-out-new-tools-to-let-you-manage-your-vpn-ip-address-your-way 🚀 AI ถูกส่งขึ้นอวกาศ – Google, Amazon และ xAI สามบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีคือ Google, Amazon และ xAI กำลังร่วมมือกันเพื่อผลักดันโครงการนำ AI ขึ้นไปใช้งานในอวกาศ แนวคิดนี้คือการสร้างระบบประมวลผลที่สามารถทำงานได้โดยตรงบนดาวเทียมหรือสถานีอวกาศ เพื่อลดการพึ่งพาการส่งข้อมูลกลับมายังโลก ซึ่งจะช่วยให้การสื่อสารและการวิเคราะห์ข้อมูลจากอวกาศมีความรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น โครงการนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันในตลาด AI ที่ขยายไปไกลเกินกว่าพื้นโลก และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ AI ในการสำรวจจักรวาลอย่างจริงจัง 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/google-amazon-and-xai-want-to-launch-ai-into-space 🤖 หุ่นยนต์ดูดฝุ่นพร้อมระบบถูพื้นขั้นเทพ – Dreame Robovac Dreame เปิดตัวหุ่นยนต์ดูดฝุ่นรุ่นใหม่ที่มาพร้อมระบบถูพื้นซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมา จุดเด่นคือแท่นเก็บผ้าแบบ jukebox ที่สามารถเปลี่ยนผ้าเช็ดถูได้อัตโนมัติ ทำให้การทำความสะอาดต่อเนื่องโดยไม่ต้องคอยเปลี่ยนผ้าเอง หุ่นยนต์ยังมีระบบตรวจจับคราบและปรับแรงกดในการถูพื้นให้เหมาะสมกับสภาพพื้นผิว นอกจากนั้นยังสามารถเชื่อมต่อกับแอปเพื่อควบคุมและตั้งค่าการทำงานได้อย่างละเอียด ถือเป็นการยกระดับหุ่นยนต์ทำความสะอาดบ้านให้ฉลาดและสะดวกสบายยิ่งขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/home/vacuums/dreames-new-robovac-has-the-most-advanced-mop-setup-ive-seen-and-the-jukebox-style-mop-dispenser-is-just-the-start-of-it 🖥️ Windows 11 ปรับโฉม Run Prompt เรื่องที่ดูเหมือนเล็กแต่จริง ๆ แล้วสำคัญมากสำหรับผู้ใช้ Windows 11 กำลังจะเกิดขึ้น นั่นคือการปรับโฉมหน้าต่าง Run ที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่ยุค Windows 95 ให้เข้ากับดีไซน์ Fluent ของยุคใหม่ หน้าต่างนี้จะดูทันสมัยขึ้น ใหญ่ขึ้น และยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยแสดงคำสั่งที่เคยใช้ไปแล้ว ทำให้เรียกใช้งานซ้ำได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งแสดงไอคอนของแอปที่เราจะเปิดอีกด้วย แม้ยังไม่เปิดให้ใช้งานจริง แต่ก็มีการค้นพบในเวอร์ชันทดสอบแล้ว หลายคนก็แอบกังวลว่าจะทำให้การเปิด Run ช้าลง แต่โดยรวมถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รอคอยกันมานาน 🔗 https://www.techradar.com/computing/windows/windows-11s-run-prompt-is-getting-a-makeover-and-a-handy-extra-power-but-already-there-are-worries-microsoft-will-ruin-it 💼 Microsoft 365 เตรียมขึ้นราคา ข่าวนี้อาจทำให้หลายองค์กรต้องขยับงบประมาณ เพราะ Microsoft ประกาศว่าจะปรับขึ้นราคาของแพ็กเกจ Microsoft 365 และ Office 365 สำหรับธุรกิจและหน่วยงานรัฐตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2026 โดยขึ้นระหว่าง 5% ถึง 33% ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจ แต่ก็มีการเพิ่มฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและ AI เข้ามา เช่น Microsoft Defender และ Security Copilot เพื่อช่วยป้องกันภัยไซเบอร์และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แม้ราคาจะสูงขึ้น แต่ Microsoft ยืนยันว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่เพิ่มเข้ามา 🔗 https://www.techradar.com/pro/microsoft-365-is-hiking-prices-for-businesses-heres-how-much-it-will-cost-you 🤖 Samsung Ballie Robot เลื่อนเปิดตัวอีกครั้ง หุ่นยนต์กลมสีเหลืองที่ชื่อ Ballie จาก Samsung ซึ่งเคยโชว์ตัวตั้งแต่ปี 2020 และถูกนำกลับมาเปิดตัวใหม่ใน CES 2025 พร้อมสัญญาว่าจะวางขายในช่วงซัมเมอร์ปีนั้น แต่จนถึงปลายปี 2025 ก็ยังไม่พร้อมวางจำหน่าย Samsung บอกว่ากำลังปรับปรุงเทคโนโลยีเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีกว่า Ballie ถูกออกแบบให้เป็นผู้ช่วยในบ้าน สามารถฉายภาพยนตร์หรือข้อมูลบนผนัง และตอบคำถามได้ แต่ยังต้องรอการพัฒนาเพิ่มเติม คาดว่าอาจมีความคืบหน้าที่ CES 2026 🔗 https://www.techradar.com/home/smart-home/samsungs-ballie-robot-is-delayed-again-and-now-we-know-why ⚠️ การโจมตีไซเบอร์ด้วย Brickworm Malware หน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐฯ และแคนาดาออกมาเตือนว่าแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐจีนใช้มัลแวร์ชื่อ Brickworm เจาะเข้าไปในระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของสหรัฐฯ และองค์กรด้านไอทีทั่วโลก มัลแวร์นี้สามารถฝังตัวในระบบ VMware และ Windows เพื่อเข้าถึงไฟล์ ควบคุม Active Directory และคงการเข้าถึงระยะยาวได้ ทำให้เสี่ยงต่อการสอดแนมและการก่อวินาศกรรมในอนาคต แม้จีนจะปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่รายงานนี้สะท้อนถึงภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อความมั่นคงไซเบอร์ 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/chinese-hackers-used-brickworm-malware-to-breach-critical-us-infrastructure 📡 Ofcom เตรียมเข้มงวดการตรวจสอบไฟล์ในปี 2026 หน่วยงานกำกับดูแลด้านการสื่อสารของสหราชอาณาจักร (Ofcom) มีแผนจะเพิ่มมาตรการตรวจสอบไฟล์ดิจิทัลในปี 2026 โดยจะขยายการเฝ้าระวังและการตรวจสอบข้อมูลที่ถูกแชร์ผ่านบริการออนไลน์ เพื่อป้องกันการละเมิดและการใช้งานที่ผิดกฎหมาย แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่าการตรวจสอบนี้อาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ แต่ Ofcom ยืนยันว่ามีความจำเป็นเพื่อความปลอดภัยทางดิจิทัลในอนาคต 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/ofcom-wants-to-double-down-on-file-monitoring-in-2026 🎶 DAC ตัวใหม่เล็กแต่ทรงพลัง อุปกรณ์ DAC ขนาดเล็กที่เพิ่งเปิดตัวสามารถเปลี่ยนสมาร์ทโฟน โน้ตบุ๊ก หรือเครื่องเล่นเกม ให้มีคุณภาพเสียงระดับเดียวกับเครื่องเล่นเพลง hi-res ชั้นนำของโลก แม้จะมีขนาดกะทัดรัด แต่สามารถมอบประสบการณ์เสียงที่คมชัดและทรงพลัง เหมาะสำหรับคนที่รักการฟังเพลงคุณภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนกับอุปกรณ์ราคาแพง 🔗 https://www.techradar.com/audio/dacs/this-tiny-new-dac-gives-your-phone-laptop-or-games-console-the-audio-skills-of-the-worlds-best-hi-res-music-player 📺 Netflix ซื้อกิจการ Warner Bros. Discovery มูลค่า 82.7 พันล้านดอลลาร์ Netflix ประกาศดีลครั้งใหญ่ในการเข้าซื้อ Warner Bros. Discovery ด้วยมูลค่า 82.7 พันล้านดอลลาร์ โดยอ้างว่าจะทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกและความคุ้มค่ามากขึ้น ดีลนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการสตรีมมิ่ง เพราะจะรวมคอนเทนต์จาก HBO, Discovery และแบรนด์ดังอื่น ๆ เข้ากับ Netflix ซึ่งอาจทำให้การแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Disney+ และ Amazon Prime เข้มข้นยิ่งขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/streaming/netflix/its-official-netflix-is-buying-warner-bros-discovery-claiming-the-deal-means-more-choice-and-greater-value-for-consumers 🤔 Logitech CEO วิจารณ์อุปกรณ์ AI ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Logitech ออกมาแสดงความเห็นว่าอุปกรณ์ AI หลายอย่างในตลาดตอนนี้เป็น “การหาทางแก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง” ซึ่งสะท้อนถึงความสงสัยว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีคุณค่าแท้จริงต่อผู้ใช้หรือไม่ ความเห็นนี้ได้รับการตอบรับจากหลายฝ่ายที่เห็นว่าอุปกรณ์ AI ยังไม่สามารถพิสูจน์ประโยชน์ที่ชัดเจน แต่ก็มีบางคนมองว่าเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีที่ต้องใช้เวลาเพื่อให้เห็นผลจริง 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/a-solution-looking-for-a-problem-that-doesnt-exist-logitech-ceo-blasts-ai-gadgets-and-most-people-think-thats-being-generous 🛡️ EU เดินหน้ากฎหมาย Chat Control แบบเจาะจงเป้าหมาย เรื่องนี้เป็นการถกเถียงใหญ่ในยุโรปเกี่ยวกับกฎหมาย Child Sexual Abuse Regulation (CSAR) ที่ถูกเรียกติดปากว่า “Chat Control” ซึ่งหลายฝ่ายกังวลว่าจะกลายเป็นการสอดส่องประชาชนแบบกว้างขวาง แต่ Magnus Brunner กรรมาธิการสหภาพยุโรปด้านกิจการภายในกลับยืนยันว่า เขาเลือกสนับสนุนแนวทางของรัฐสภายุโรปที่เน้นการสแกนแบบเจาะจงเป้าหมาย มากกว่าการสแกนแบบครอบคลุมโดยสมัครใจตามที่สภายุโรปเสนอ เขาย้ำว่า “นี่ไม่ใช่เรื่อง Chat Control แต่เป็นการปกป้องเด็ก” อย่างไรก็ตาม หลายประเทศและผู้เชี่ยวชาญยังคงคัดค้านเพราะมองว่าอาจเป็นภัยต่อความเป็นส่วนตัว การเจรจารอบสุดท้ายระหว่างสภา คณะกรรมาธิการ และรัฐสภาจะเริ่มขึ้นในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งจะเป็นตัวชี้ชะตาว่ากฎหมายนี้จะออกมาในรูปแบบใด 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/chat-control-eu-commissioner-backs-parliament-line-on-targeted-monitoring 📡 ปัญหาการเชื่อมต่อที่ซ่อนอยู่ใน IoT เมื่อพูดถึงอุปกรณ์อัจฉริยะ เช่น ถังขยะที่ส่งสัญญาณเมื่อเต็ม หรือเครื่องตรวจหัวใจในบ้านพักคนชรา หลายคนมักคิดว่าการเชื่อมต่อเครือข่ายเป็นเรื่องที่ “มีอยู่แล้ว” แต่แท้จริงแล้วการออกแบบระบบเชื่อมต่อคือหัวใจสำคัญ หากการเลือกซิมหรือการจัดการสัญญาณไม่ดี อุปกรณ์อาจเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ไม่เสถียร ทำให้ข้อมูลสะดุดหรือเสี่ยงต่อการถูกโจมตี ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเทคโนโลยีซิมแบบ Dual IMSI ที่มีการจัดการสัญญาณและ IP แบบคงที่ จะช่วยให้ระบบทำงานได้ราบรื่นและปลอดภัยกว่า การออกแบบโครงสร้างการเชื่อมต่อที่ดีจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ IoT ใช้งานได้จริงในระดับใหญ่ ไม่ใช่แค่การมีอุปกรณ์ที่ฉลาด แต่ต้องมีเครือข่ายที่ฉลาดด้วย 🔗 https://www.techradar.com/pro/the-connectivity-problem-hiding-in-smart-bins-and-heart-monitors 💻 แฮกเกอร์ปลอมแอปธนาคารเพื่อขโมยข้อมูล นักวิจัยจาก Group-IB เปิดเผยว่า กลุ่มแฮกเกอร์ที่ชื่อ GoldFactory กำลังใช้วิธีใหม่ในการโจมตี โดยนำแอปธนาคารจริงมาดัดแปลงใส่โค้ดอันตราย แล้วเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ปลอมและการหลอกลวงแบบฟิชชิ่ง แอปที่ถูกปลอมแปลงยังคงทำงานเหมือนจริง ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกขโมยข้อมูล ขณะเดียวกันมัลแวร์ที่ซ่อนอยู่สามารถเข้าควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ ทั้งดึงข้อมูล ล็อกอิน หรือแม้แต่สั่งการจากระยะไกล ปัจจุบันมีผู้ใช้หลายหมื่นรายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ตกเป็นเหยื่อ และแนวโน้มอาจขยายไปยังประเทศอื่น ๆ นี่ถือเป็นการโจมตีที่ซับซ้อนและอันตรายมากในโลกการเงินดิจิทัล 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/hackers-observed-injecting-legitimate-banking-apps-with-malicious-code 📱 Verizon แจก iPhone 17 Pro ฟรีแบบไม่ต้องเทรดเครื่อง Verizon สร้างความฮือฮาด้วยโปรโมชันใหม่ที่ให้ iPhone 17 Pro ฟรีถึง 4 เครื่อง โดยไม่ต้องนำเครื่องเก่ามาแลก เพียงสมัครแพ็กเกจ Welcome Unlimited ที่ราคา 100 ดอลลาร์ต่อเดือนสำหรับ 4 ไลน์ เท่ากับจ่ายเพียง 25 ดอลลาร์ต่อเครื่องต่อเดือน ซึ่งถ้าคิดเป็นมูลค่ารวมแล้ว ผู้ใช้สามารถประหยัดได้มากกว่า 4,000 ดอลลาร์ ดีลนี้ถือว่าคุ้มค่ามากสำหรับครอบครัวที่ต้องการหลายเครื่อง และแม้แต่ผู้ใช้รายเดียวก็ยังสามารถรับเครื่องฟรีได้เมื่อเปิดไลน์ใหม่ ถือเป็นหนึ่งในดีลที่ดีที่สุดของ Verizon ในปีนี้ 🔗 https://www.techradar.com/phones/iphone/verizon-just-surprised-us-with-one-of-its-best-deals-of-the-entire-year-get-four-iphone-17-pro-for-free-without-a-trade-in 🤖 CEO Logitech มองว่าอุปกรณ์ AI เป็น “คำตอบที่ไม่มีคำถาม” Hanneke Faber ซีอีโอของ Logitech ให้สัมภาษณ์ว่า อุปกรณ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ AI โดยเฉพาะ เช่น Humane AI Pin หรือ Rabbit R1 เป็นเพียง “การแก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง” เพราะสิ่งที่ทำได้ก็ไม่ต่างจากสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่แล้ว เธอเชื่อว่าทางที่ถูกต้องคือการฝัง AI เข้าไปในผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่ เช่น กล้องเว็บแคมที่ปรับภาพอัตโนมัติ หรือเมาส์ MX Master 4 ที่มีปุ่มเรียก Copilot หรือ ChatGPT ได้ทันที แนวคิดนี้ต่างจากบางบริษัทที่พยายามสร้างอุปกรณ์ใหม่ขึ้นมาโดยเฉพาะ เช่น แว่นตาอัจฉริยะของ Ray-Ban หรือเครื่องบันทึกเสียง AI ของ Plaud ซึ่งอนาคตจะพิสูจน์ว่าแนวทางใดจะอยู่รอด แต่สิ่งที่แน่นอนคือ AI จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของทุกอุปกรณ์ในอนาคต 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/logitech-ceo-says-ai-devices-are-just-solutions-looking-for-a-problem 🚀 ทำไมซีอีโอที่เข้าใจการพัฒนาซอฟต์แวร์ถึงนำหน้าในยุค AI บทความนี้เล่าถึงข้อได้เปรียบของซีอีโอที่มีพื้นฐานด้านการเขียนโปรแกรมหรือเข้าใจการพัฒนาซอฟต์แวร์ เพราะพวกเขาสามารถมองเห็นศักยภาพของ AI ได้ลึกกว่า และรู้ว่าควรนำไปใช้ตรงไหนเพื่อสร้างคุณค่า ไม่ใช่แค่ตามกระแส ตัวอย่างเช่น การเข้าใจโครงสร้างข้อมูลและการทำงานของโมเดล ทำให้สามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้แม่นยำกว่า และยังช่วยให้ทีมงานเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของผู้นำมากขึ้น ในการแข่งขัน AI ที่รุนแรง การมีผู้นำที่เข้าใจเทคโนโลยีจึงเป็นเหมือนการมี “หัวเรือที่รู้เส้นทาง” 🔗 https://www.techradar.com/pro/why-ceos-who-understand-software-development-have-a-head-start-in-the-ai-race 🎙️ ปัญหาการถอดเสียงแก้ได้ด้วย Gemini แต่ไม่ใช่ ChatGPT ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ตรงว่าเจอปัญหาใหญ่ในการถอดเสียงไฟล์เสียงยาว ๆ ที่มีหลายสำเนียงและเสียงรบกวน เมื่อทดลองใช้ ChatGPT ผลลัพธ์ออกมาไม่แม่นยำ แต่เมื่อเปลี่ยนไปใช้ Gemini กลับได้ผลลัพธ์ที่ตรงและจัดการไฟล์ได้ดีกว่า จุดเด่นคือ Gemini สามารถทำงานกับไฟล์เสียงที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังให้ผลลัพธ์ที่พร้อมใช้งานทันที เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ AI หลายเจ้าแข่งกัน แต่แต่ละระบบก็มีจุดแข็งและจุดอ่อนต่างกันไป 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/gemini/i-had-a-big-audio-transcription-problem-gemini-solved-it-and-chatgpt-didnt 📱 ปี 2025 ไม่ได้เป็นปีที่น่าเบื่อของสมาร์ทโฟน หลายคนอาจบ่นว่าโทรศัพท์มือถือเริ่มหมดความตื่นเต้น แต่จริง ๆ แล้วปีนี้กลับเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ เริ่มจาก Apple ที่กล้าลองสิ่งใหม่ ๆ ทั้ง iPhone 16e ที่มาพร้อมโมเด็ม C1 และ iPhone Air ที่ออกแบบให้บางและทนทานขึ้น แม้ไม่ใช่รุ่นที่ดีที่สุด แต่ก็สะท้อนความกล้าในการทดลอง ส่วน iPhone 17 Pro ก็พลิกโฉมดีไซน์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Apple พร้อมเพิ่มเลนส์ซูมและหน้าจอ 120Hz ให้ทันสมัยขึ้น ขณะเดียวกัน Qualcomm ก็สร้างความฮือฮาด้วย Snapdragon 8 Elite ที่แรงและประหยัดพลังงานกว่า ทำให้มือถือ Android ใช้งานได้ยาวนานกว่าสองวันเต็ม อีกด้านหนึ่ง OnePlus 15 กลายเป็นมือถือที่ถูกยกให้เป็น “ตัวเลือกของคนวงใน” ด้วยความทนทานและแบตเตอรี่ที่เหลือเชื่อ สุดท้าย Google ก็เพิ่มฟีเจอร์แม่เหล็กใน Pixel 10 Pro ทำให้ชีวิตประจำวันสะดวกขึ้นอย่างมาก ทั้งการชาร์จ การติดตั้งอุปกรณ์เสริม และการใช้งานร่วมกับกระเป๋าสตางค์แม่เหล็ก เรื่องทั้งหมดนี้บอกได้เลยว่า โทรศัพท์ปี 2025 ไม่ได้เงียบเหงาเลย 🔗 https://www.techradar.com/phones/think-phones-are-boring-here-are-4-reasons-why-2025-was-a-big-year-for-smartphones-and-none-of-them-are-ai 🛡️ หน่วยงานความมั่นคงสหรัฐเตือน หยุดใช้ VPN ส่วนตัว CISA หรือหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ของสหรัฐออกคำเตือนแรงว่า “อย่าใช้ VPN ส่วนตัว” เพราะแทนที่จะปลอดภัยขึ้น กลับเพิ่มความเสี่ยงมากกว่าเดิม เหตุผลคือ VPN หลายเจ้า โดยเฉพาะที่ฟรีหรือไม่น่าเชื่อถือ อาจเก็บข้อมูลหรือแฝงมัลแวร์มาเอง ทำให้ผู้ใช้ตกอยู่ในความเสี่ยงจากการโจมตีขั้นสูง แม้ VPN จะช่วยซ่อนกิจกรรมจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต แต่ก็เหมือนย้ายความเสี่ยงไปอยู่กับผู้ให้บริการ VPN ที่อาจไม่น่าไว้ใจ ทางออกคือเลือกผู้ให้บริการที่มีการตรวจสอบนโยบายไม่เก็บข้อมูลจริง มีการเข้ารหัสมาตรฐานสูง และมีฟีเจอร์เสริมอย่าง kill switch หรือ multi-hop เพื่อเพิ่มความปลอดภัย คำเตือนนี้สะท้อนว่าการหาทางลัดเพื่อความเป็นส่วนตัว อาจกลายเป็นดาบสองคมได้ 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/us-security-agency-urges-android-and-iphone-users-to-stop-using-personal-vpns 🤖 งานวิจัยใหม่เผย คนรุ่นใหญ่ไม่ค่อยเห็นว่า AI มีประโยชน์ Cisco เปิดเผยผลสำรวจที่ชี้ให้เห็นความแตกต่างชัดเจนระหว่างวัย คนอายุต่ำกว่า 35 ปีมีการใช้งาน AI สูงถึงครึ่งหนึ่ง และกว่า 75% มองว่า AI มีประโยชน์ต่อชีวิตและงาน แต่เมื่อมองไปที่คนอายุเกิน 45 ครึ่งหนึ่งไม่เคยใช้ AI เลย โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 55 ปีขึ้นไปที่บอกว่าไม่คุ้นเคยมากกว่าการปฏิเสธโดยตรง นอกจากนี้ยังพบว่าประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น อินเดีย บราซิล และเม็กซิโก มีการนำ AI มาใช้มากที่สุด ขณะที่ยุโรปกลับมีความไม่มั่นใจสูงกว่า ผลวิจัยยังชี้ว่าการใช้ AI มากเกินไปอาจสัมพันธ์กับการใช้หน้าจอมากและความพึงพอใจในชีวิตที่ลดลง ทำให้คำแนะนำคือควรสร้างทักษะดิจิทัลให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม เพื่อให้ “Generation AI” รวมทุกคนจริง ๆ 🔗 https://www.techradar.com/pro/new-research-reveals-older-users-less-likely-to-find-ai-useful ⚖️ EU เปิดการสอบสวน Meta เรื่องนโยบาย AI ใน WhatsApp คณะกรรมาธิการยุโรปเริ่มการสอบสวนเชิงลึกต่อ Meta หลังจากมีข้อกล่าวหาว่านโยบายใหม่ของ WhatsApp อาจกีดกันคู่แข่ง โดย Meta ได้ปรับเงื่อนไข API ของ WhatsApp Business ห้ามไม่ให้แชทบอทจากผู้ให้บริการอื่นที่เน้น AI เป็นหลักถูกเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์ม ซึ่งทำให้ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง OpenAI และ Microsoft ต้องถอนบอทออกไปแล้ว EU กังวลว่า Meta กำลังใช้ความได้เปรียบทางตลาดเพื่อผลักดัน Meta AI ของตัวเองและปิดกั้นนวัตกรรม หากพบว่ามีความผิด Meta อาจถูกปรับสูงถึง 10% ของรายได้ทั่วโลก หรือประมาณ 16.5 พันล้านดอลลาร์ เรื่องนี้สะท้อนการต่อสู้ระหว่างการเปิดเสรีการแข่งขันกับการควบคุมอำนาจของบริษัทยักษ์ใหญ่ในยุค AI 🔗 https://www.techradar.com/pro/eu-launches-antitrust-investigation-into-metas-whatsapp-ai-access-policy ⚠️ ช่องโหว่ React ระดับวิกฤติ เสี่ยงถูกโจมตีทันที React ซึ่งเป็นไลบรารี JavaScript ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-55182 ที่ได้คะแนนความรุนแรงเต็ม 10/10 ช่องโหว่นี้อยู่ใน React Server Components และกระทบหลายเฟรมเวิร์ก เช่น Next, React Router, Vite ทำให้แม้แต่แฮกเกอร์ที่มีทักษะต่ำก็สามารถรันโค้ดอันตรายได้ ทีม React ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 19.0.1, 19.1.2 และ 19.2.1 พร้อมเตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันที เพราะการโจมตีมีโอกาสสำเร็จเกือบ 100% และคาดว่าจะเกิดขึ้นจริงในเวลาอันใกล้ เนื่องจาก React ถูกใช้ในบริการใหญ่ ๆ อย่าง Facebook, Instagram, Netflix และ Shopify ทำให้พื้นที่เสี่ยงมีขนาดมหาศาล เรื่องนี้จึงเป็นสัญญาณเตือนแรงสำหรับนักพัฒนาและองค์กรที่ใช้ React ว่าต้องไม่ชะล่าใจ 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/experts-warn-this-worst-case-scenario-react-vulnerability-could-soon-be-exploited-so-patch-now 💰 Europol ทลายเครือข่ายฟอกเงินและคริปโตมูลค่า 700 ล้านยูโร หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายยุโรป (Europol) ประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ในการปิดเครือข่ายอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและคริปโต โดยมีมูลค่าการเคลื่อนไหวสูงถึง 700 ล้านยูโร เครือข่ายนี้ใช้วิธีซับซ้อนในการเคลื่อนย้ายเงินผ่านหลายประเทศและใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อปกปิดเส้นทางการเงิน การปฏิบัติการครั้งนี้มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยหลายรายและยึดทรัพย์สินจำนวนมาก ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าองค์กรอาชญากรรมที่พยายามใช้คริปโตเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ กำลังถูกจับตามองอย่างเข้มงวด ​​​​​​​🔗 https://www.techradar.com/pro/security/europol-takes-down-crypto-and-laundering-network-worth-700-million
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251206 #securityonline

    React2Shell: ช่องโหว่ร้ายแรงถูกโจมตีทันที
    มีการเปิดเผยช่องโหว่ใหม่ใน React ที่ชื่อว่า React2Shell (CVE-2025-55182) ซึ่งร้ายแรงถึงขั้นได้คะแนน CVSS เต็ม 10.0 ช่องโหว่นี้เกิดจากการทำงานของ React Server Components ที่สามารถถูกใช้เพื่อรันโค้ดจากระยะไกลโดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน เพียงแค่ระบบรองรับฟีเจอร์นี้ก็เสี่ยงทันที หลังจากถูกเปิดเผยเพียงไม่กี่ชั่วโมง กลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อมโยงกับจีน เช่น Earth Lamia และ Jackpot Panda ก็เริ่มโจมตีทันที โดยใช้วิธีการยิงคำสั่งจำนวนมาก แม้หลายตัวอย่างโค้ดที่เผยแพร่จะไม่ทำงานจริง แต่พวกเขายังคงใช้เพื่อหวังเจอเป้าหมายที่อ่อนแอ การโจมตีบางครั้งถึงขั้นมีการดีบักแบบ manual บนเซิร์ฟเวอร์เป้าหมาย ทำให้เห็นชัดว่ามีการพยายามเจาะระบบอย่างจริงจัง
    https://securityonline.info/react2shell-storm-china-nexus-groups-weaponize-critical-react-flaw-hours-after-disclosure

    ช่องโหว่ PDF Trap ใน Apache Tika
    อีกหนึ่งข่าวใหญ่คือการค้นพบช่องโหว่ใน Apache Tika Core ที่ชื่อว่า PDF Trap (CVE-2025-66516) ซึ่งก็ได้คะแนน CVSS เต็ม 10.0 เช่นกัน ช่องโหว่นี้ทำให้ผู้โจมตีสามารถใช้ไฟล์ PDF ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างเจาะจงเพื่อเข้าควบคุมระบบได้ทันที เนื่องจาก Tika ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในการประมวลผลเอกสาร ทำให้ความเสี่ยงนี้กระทบวงกว้างมาก โดยเฉพาะองค์กรที่ใช้ Tika ในการจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาล
    https://securityonline.info/the-pdf-trap-critical-vulnerability-cve-2025-66516-cvss-10-0-hits-apache-tika-core

    มัลแวร์ขุดคริปโตแบบลับ ๆ ผ่าน USB
    มีรายงานการพบมัลแวร์ใหม่ที่ใช้เทคนิคซ่อนตัวอย่างแนบเนียน โดยอาศัยไฟล์ USB LNK และ DLL side-loading เพื่อแพร่กระจายและติดตั้งตัวเอง จุดเด่นคือมันสามารถทำงานแบบ “Smart Mining” คือเลือกเวลาที่เหมาะสมในการขุดคริปโตเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ทำให้ผู้ใช้แทบไม่รู้ว่าระบบถูกใช้ไปในการขุดเงินดิจิทัล
    https://securityonline.info/stealth-cryptominer-uses-usb-lnk-and-dll-side-loading-to-deploy-smart-mining-evasion

    Apache HTTP Server อุดช่องโหว่ SSRF
    Apache HTTP Server รุ่น 2.4.66 ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ SSRF (CVE-2025-59775) ที่สามารถทำให้ผู้โจมตีดึงข้อมูล NTLM Hashes จาก Windows และยังมีการแก้ไขช่องโหว่ที่เกี่ยวกับการ bypass suexec อีกด้วย การอัปเดตครั้งนี้ถือว่าสำคัญมากสำหรับผู้ดูแลระบบที่ใช้ Apache ในการให้บริการเว็บ เพราะหากไม่อัปเดตทันที อาจเสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบและขโมยข้อมูลสำคัญ
    https://securityonline.info/apache-http-server-2-4-66-fixes-ssrf-flaw-cve-2025-59775-exposing-ntlm-hashes-on-windows-and-suexec-bypass

    รัสเซียบล็อก FaceTime แบบเข้ารหัส
    รัฐบาลรัสเซียได้ดำเนินการบล็อกการใช้งาน FaceTime ที่มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ในระดับเครือข่าย ทำให้ผู้ใช้ในประเทศไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ การบล็อกครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามควบคุมการสื่อสารที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัว ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจที่ต้องการความปลอดภัยในการติดต่อสื่อสาร
    https://securityonline.info/russia-imposes-network-level-blockade-on-apples-end-to-end-encrypted-facetime

    ระบบป้องกันการโทรหลอกลวงบน Android
    มีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Android ที่ช่วยป้องกันการโทรหลอกลวง โดยจะ หยุดสายโทรออกชั่วคราว 30 วินาที หากผู้ใช้กำลังใช้งานแอปการเงิน ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ถูกหลอกให้โอนเงินหรือทำธุรกรรมที่ไม่ปลอดภัยในช่วงเวลาที่อ่อนไหว ถือเป็นการเพิ่มชั้นความปลอดภัยที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางสังคมวิศวกรรม (social engineering)
    https://securityonline.info/new-android-call-scam-protection-pauses-calls-for-30-seconds-during-financial-app-use

    AI ถูกฝึกให้ “สารภาพ” ความผิดพลาด
    OpenAI กำลังทดลองฝึกโมเดล AI ให้สามารถ ยอมรับและสารภาพความผิดพลาดหรือการหลอนข้อมูล (hallucinations) ได้เอง แนวคิดนี้คือการสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยให้ AI สามารถบอกผู้ใช้ว่า “ข้อมูลนี้อาจไม่ถูกต้อง” หรือ “ผมอาจเข้าใจผิด” ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นเมื่อใช้ AI ในงานสำคัญ
    https://securityonline.info/honesty-is-the-best-policy-openai-trains-ai-models-to-confess-errors-and-hallucinations

    Webinar ของ Criminal IP: Beyond CVEs
    Criminal IP เตรียมจัด Webinar ในหัวข้อ “Beyond CVEs – From Visibility to Action with ASM” โดยเน้นการจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่มากกว่าแค่การรู้จักช่องโหว่ (CVE) แต่ไปถึงการลงมือแก้ไขและจัดการเชิงรุก Webinar นี้จะช่วยให้องค์กรเข้าใจการใช้ Attack Surface Management (ASM) เพื่อสร้างความปลอดภัยที่ครอบคลุมมากขึ้น
    https://securityonline.info/criminal-ip-to-host-webinar-beyond-cves-from-visibility-to-action-with-asm

    Sprocket Security ได้รับการยอมรับซ้ำอีกครั้ง
    บริษัท Sprocket Security ได้รับการจัดอันดับซ้ำในดัชนี G2’s Winter 2025 Relationship Index สำหรับบริการทดสอบเจาะระบบ (penetration testing) การได้รับการยอมรับซ้ำนี้สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและคุณภาพของบริการที่ลูกค้าไว้วางใจอย่างต่อเนื่อง
    ​​​​​​​ https://securityonline.info/sprocket-security-earns-repeat-recognition-in-g2s-winter-2025-relationship-index-for-penetration-testing
    📌🔐🟣 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟣🔐📌 #รวมข่าวIT #20251206 #securityonline 🛡️ React2Shell: ช่องโหว่ร้ายแรงถูกโจมตีทันที มีการเปิดเผยช่องโหว่ใหม่ใน React ที่ชื่อว่า React2Shell (CVE-2025-55182) ซึ่งร้ายแรงถึงขั้นได้คะแนน CVSS เต็ม 10.0 ช่องโหว่นี้เกิดจากการทำงานของ React Server Components ที่สามารถถูกใช้เพื่อรันโค้ดจากระยะไกลโดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน เพียงแค่ระบบรองรับฟีเจอร์นี้ก็เสี่ยงทันที หลังจากถูกเปิดเผยเพียงไม่กี่ชั่วโมง กลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อมโยงกับจีน เช่น Earth Lamia และ Jackpot Panda ก็เริ่มโจมตีทันที โดยใช้วิธีการยิงคำสั่งจำนวนมาก แม้หลายตัวอย่างโค้ดที่เผยแพร่จะไม่ทำงานจริง แต่พวกเขายังคงใช้เพื่อหวังเจอเป้าหมายที่อ่อนแอ การโจมตีบางครั้งถึงขั้นมีการดีบักแบบ manual บนเซิร์ฟเวอร์เป้าหมาย ทำให้เห็นชัดว่ามีการพยายามเจาะระบบอย่างจริงจัง 🔗 https://securityonline.info/react2shell-storm-china-nexus-groups-weaponize-critical-react-flaw-hours-after-disclosure 📄 ช่องโหว่ PDF Trap ใน Apache Tika อีกหนึ่งข่าวใหญ่คือการค้นพบช่องโหว่ใน Apache Tika Core ที่ชื่อว่า PDF Trap (CVE-2025-66516) ซึ่งก็ได้คะแนน CVSS เต็ม 10.0 เช่นกัน ช่องโหว่นี้ทำให้ผู้โจมตีสามารถใช้ไฟล์ PDF ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างเจาะจงเพื่อเข้าควบคุมระบบได้ทันที เนื่องจาก Tika ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในการประมวลผลเอกสาร ทำให้ความเสี่ยงนี้กระทบวงกว้างมาก โดยเฉพาะองค์กรที่ใช้ Tika ในการจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาล 🔗 https://securityonline.info/the-pdf-trap-critical-vulnerability-cve-2025-66516-cvss-10-0-hits-apache-tika-core 💻 มัลแวร์ขุดคริปโตแบบลับ ๆ ผ่าน USB มีรายงานการพบมัลแวร์ใหม่ที่ใช้เทคนิคซ่อนตัวอย่างแนบเนียน โดยอาศัยไฟล์ USB LNK และ DLL side-loading เพื่อแพร่กระจายและติดตั้งตัวเอง จุดเด่นคือมันสามารถทำงานแบบ “Smart Mining” คือเลือกเวลาที่เหมาะสมในการขุดคริปโตเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ทำให้ผู้ใช้แทบไม่รู้ว่าระบบถูกใช้ไปในการขุดเงินดิจิทัล 🔗 https://securityonline.info/stealth-cryptominer-uses-usb-lnk-and-dll-side-loading-to-deploy-smart-mining-evasion 🌐 Apache HTTP Server อุดช่องโหว่ SSRF Apache HTTP Server รุ่น 2.4.66 ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ SSRF (CVE-2025-59775) ที่สามารถทำให้ผู้โจมตีดึงข้อมูล NTLM Hashes จาก Windows และยังมีการแก้ไขช่องโหว่ที่เกี่ยวกับการ bypass suexec อีกด้วย การอัปเดตครั้งนี้ถือว่าสำคัญมากสำหรับผู้ดูแลระบบที่ใช้ Apache ในการให้บริการเว็บ เพราะหากไม่อัปเดตทันที อาจเสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบและขโมยข้อมูลสำคัญ 🔗 https://securityonline.info/apache-http-server-2-4-66-fixes-ssrf-flaw-cve-2025-59775-exposing-ntlm-hashes-on-windows-and-suexec-bypass 🚫 รัสเซียบล็อก FaceTime แบบเข้ารหัส รัฐบาลรัสเซียได้ดำเนินการบล็อกการใช้งาน FaceTime ที่มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ในระดับเครือข่าย ทำให้ผู้ใช้ในประเทศไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ การบล็อกครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามควบคุมการสื่อสารที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัว ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจที่ต้องการความปลอดภัยในการติดต่อสื่อสาร 🔗 https://securityonline.info/russia-imposes-network-level-blockade-on-apples-end-to-end-encrypted-facetime 📱 ระบบป้องกันการโทรหลอกลวงบน Android มีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Android ที่ช่วยป้องกันการโทรหลอกลวง โดยจะ หยุดสายโทรออกชั่วคราว 30 วินาที หากผู้ใช้กำลังใช้งานแอปการเงิน ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ถูกหลอกให้โอนเงินหรือทำธุรกรรมที่ไม่ปลอดภัยในช่วงเวลาที่อ่อนไหว ถือเป็นการเพิ่มชั้นความปลอดภัยที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางสังคมวิศวกรรม (social engineering) 🔗 https://securityonline.info/new-android-call-scam-protection-pauses-calls-for-30-seconds-during-financial-app-use 🤖 AI ถูกฝึกให้ “สารภาพ” ความผิดพลาด OpenAI กำลังทดลองฝึกโมเดล AI ให้สามารถ ยอมรับและสารภาพความผิดพลาดหรือการหลอนข้อมูล (hallucinations) ได้เอง แนวคิดนี้คือการสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยให้ AI สามารถบอกผู้ใช้ว่า “ข้อมูลนี้อาจไม่ถูกต้อง” หรือ “ผมอาจเข้าใจผิด” ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นเมื่อใช้ AI ในงานสำคัญ 🔗 https://securityonline.info/honesty-is-the-best-policy-openai-trains-ai-models-to-confess-errors-and-hallucinations 🎤 Webinar ของ Criminal IP: Beyond CVEs Criminal IP เตรียมจัด Webinar ในหัวข้อ “Beyond CVEs – From Visibility to Action with ASM” โดยเน้นการจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่มากกว่าแค่การรู้จักช่องโหว่ (CVE) แต่ไปถึงการลงมือแก้ไขและจัดการเชิงรุก Webinar นี้จะช่วยให้องค์กรเข้าใจการใช้ Attack Surface Management (ASM) เพื่อสร้างความปลอดภัยที่ครอบคลุมมากขึ้น 🔗 https://securityonline.info/criminal-ip-to-host-webinar-beyond-cves-from-visibility-to-action-with-asm 🏆 Sprocket Security ได้รับการยอมรับซ้ำอีกครั้ง บริษัท Sprocket Security ได้รับการจัดอันดับซ้ำในดัชนี G2’s Winter 2025 Relationship Index สำหรับบริการทดสอบเจาะระบบ (penetration testing) การได้รับการยอมรับซ้ำนี้สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและคุณภาพของบริการที่ลูกค้าไว้วางใจอย่างต่อเนื่อง ​​​​​​​🔗 https://securityonline.info/sprocket-security-earns-repeat-recognition-in-g2s-winter-2025-relationship-index-for-penetration-testing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts