• รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251221 #TechRadar

    AI ช่วยลดอุบัติเหตุและเพิ่มประสิทธิภาพงานภาคสนาม
    AI กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของงานปฏิบัติการภาคสนาม โดยช่วยตรวจจับพฤติกรรมเสี่ยงของผู้ขับขี่แบบเรียลไทม์ ลดอุบัติเหตุ เพิ่มประสิทธิภาพ และปิดช่องว่างข้อมูลที่เคยทำให้การตัดสินใจล่าช้า ทั้งยังช่วยให้การโค้ชคนขับทำได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น ทำให้องค์กรมีความปลอดภัยและความพร้อมเชิงปฏิบัติการสูงกว่าเดิม
    https://www.techradar.com/pro/how-ai-is-preventing-collisions-driving-productivity-and-transforming-physical-operations

    iPhone พับได้ยังไม่ไร้รอยพับ เพราะ Apple ยังแก้ “ความท้าทายทางเทคนิค” ไม่สำเร็จ
    ข่าวลือใหม่เผยว่า iPhone แบบพับได้ของ Apple ยังติดปัญหาเรื่องการทำให้หน้าจอ “ไร้รอยพับจริง ๆ” แม้จะทดลองกระจก UFG หลายแบบแล้วก็ตาม ทำให้กำหนดเปิดตัวในปี 2026 ยังต้องลุ้นต่อไปว่า Apple จะทำสำเร็จหรือไม่
    https://www.techradar.com/phones/iphone/apple-is-rumored-to-still-be-facing-technical-challenges-in-producing-its-crease-free-foldable-iphone

    ช่องว่างลับระหว่าง “ข้อมูล” กับ “การตัดสินใจ” ในยุค AI
    หลายองค์กรลงทุนจัดระเบียบข้อมูลอย่างหนัก แต่กลับไม่สามารถเปลี่ยนข้อมูลให้เป็นผลลัพธ์ทางธุรกิจได้ เพราะขาดสถาปัตยกรรม ระบบ และทักษะด้านข้อมูลที่เชื่อมโยงไปสู่การใช้งานจริง ทำให้ AI ไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้ตามที่คาดหวัง
    https://www.techradar.com/pro/bridging-the-hidden-gap-between-data-and-decisions-in-the-age-of-ai

    เจาะลึกตลาด HDD ยุคใหม่—จาก 8TB เป็นมาตรฐาน ไปจนถึงรุ่น 30TB+
    การสำรวจ HDD จำนวน 167 รุ่นเผยให้เห็นว่าตลาดฮาร์ดดิสก์ยังคงสำคัญ โดยเฉพาะในงานดาต้าเซ็นเตอร์และ NAS ที่ต้องการความจุสูง ราคาคุ้มค่า และความทนทาน แม้ SSD จะครองตลาดผู้ใช้ทั่วไปไปแล้วก็ตาม
    https://www.techradar.com/pro/i-compiled-a-list-of-167-hard-disk-drives-worth-buying-here-are-six-things-i-found-out

    Samsung Galaxy Z Flip 8 อาจใช้ชิป Exynos 2600
    ข่าวหลุดใหม่ชี้ว่า Z Flip 8 อาจหันมาใช้ชิป Exynos 2600 แบบเต็มตัว ซึ่งเป็นชิป 2nm รุ่นแรกของ Samsung ที่เน้นประสิทธิภาพและพลังงานดีขึ้น แม้ Snapdragon ยังถูกมองว่าแรงกว่าในหลายงานก็ตาม
    https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/a-new-samsung-galaxy-z-flip-8-leak-may-have-revealed-the-chipset-its-going-to-run-on

    การเปลี่ยนจาก Google Assistant ไป Gemini ถูกเลื่อนเป็นปีหน้า
    Google ประกาศเลื่อนการเปลี่ยนผู้ช่วยบน Android จาก Assistant ไป Gemini ออกไปถึงปี 2026 เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านราบรื่นขึ้น โดยสุดท้าย Assistant จะถูกยกเลิกใช้งานทั้งหมด
    https://www.techradar.com/phones/android/the-switch-from-google-assistant-to-gemini-on-android-devices-has-been-pushed-back-to-next-year

    รีวิว MSI Pro MP165 E6 จอพกพางานดี ราคาประหยัด
    จอพกพาน้ำหนักเบา ใช้งานง่ายด้วยสาย USB‑C เส้นเดียว เหมาะกับคนทำงานที่ต้องการพื้นที่หน้าจอเพิ่มระหว่างเดินทาง แม้สเปกจะไม่หวือหวา แต่คุ้มค่ามากในงบไม่ถึง $100
    https://www.techradar.com/pro/msi-pro-mp165-e6-portable-monitor-review

    5 วิธีเสริมความแกร่งหลังเหตุการณ์ระบบล่ม
    องค์กรจำนวนมากทำแค่ “ปิดงานเอกสารหลังเหตุการณ์” แต่ความยืดหยุ่นจริงเกิดจากการมองเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในระบบ การควบคุมการแก้ไขฉุกเฉิน และการสร้างวัฒนธรรมที่เน้นความโปร่งใสของข้อมูล
    https://www.techradar.com/pro/five-post-incident-improvements-that-actually-strengthen-resilience

    ทดสอบหูฟัง SomniPods 3—บางที่สุด พร้อมสถิติที่น่าสนใจ
    ผู้เขียนทดลองใช้หูฟังตัดเสียงรบกวนสำหรับนอนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่ามีฟีเจอร์ดีและบางมากจนใส่นอนได้สบาย แต่ยังมีจุดที่ต้องพัฒนา ทั้งยังต้องใช้คู่กับแอป Fitnexa เพื่อปลดล็อกฟีเจอร์เต็ม
    https://www.techradar.com/health-fitness/sleep/i-used-the-thinnest-noise-cancelling-sleep-earbuds-for-two-weeks-and-it-had-one-fascinating-statistic

    Claude บน Chrome—สะดวกมาก แต่ชวนให้รู้สึกถูกจับตามอง
    ส่วนขยาย Claude ใหม่สามารถเข้าถึงแท็บ ประวัติ และไฟล์ของผู้ใช้เพื่อช่วยทำงานอัตโนมัติได้อย่างทรงพลัง แต่ก็สร้างความรู้สึก “ระแวง” เพราะต้องให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลจำนวนมาก
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/claude/i-tried-the-new-claude-in-chrome-extension-and-it-delivered-convenience-with-a-side-of-digital-paranoia

    Soverli สตาร์ทอัพสวิสสร้างเลเยอร์ OS ปลอดภัยที่สุดบนมือถือ
    Soverli พัฒนาเลเยอร์ระบบปฏิบัติการที่ทำงานคู่กับ Android/iOS เพื่อให้ยังใช้งานได้แม้ระบบหลักถูกโจมตี เหมาะกับงานภาครัฐ หน่วยกู้ภัย และองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง
    https://www.techradar.com/pro/this-intriguing-startup-wants-to-create-the-worlds-most-secure-smartphones-and-its-doing-it-proton-style

    มาตรฐานบัส HP อายุ 53 ปี ได้ไดรเวอร์ Linux แล้ว
    GPIB มาตรฐานเก่าแก่จากปี 1972 ได้รับไดรเวอร์เสถียรใน Linux 6.19 ทำให้อุปกรณ์ห้องแล็บรุ่นเก่าสามารถใช้งานกับระบบสมัยใหม่ได้อย่างราบรื่นอีกครั้ง
    https://www.techradar.com/pro/security/better-late-than-never-53-year-old-hp-bus-standard-finally-gets-a-linux-driver-boasting-8mb-s-bandwidth

    แฮ็กเกอร์ล่าค่าจ้างปลายปี ด้วยการหลอก Help Desk
    อาชญากรไซเบอร์ใช้การโทรหลอกพนักงาน Help Desk เพื่อรีเซ็ตรหัสผ่านและเปลี่ยนบัญชีรับเงินเดือนของพนักงานแบบเงียบ ๆ ทำให้เงินเดือนถูกโอนออกโดยไม่รู้ตัว
    https://www.techradar.com/pro/security/watch-out-hackers-are-coming-after-your-christmas-bonus-as-paychecks-come-under-threat

    Chrome Split View—ฟีเจอร์ใหม่ที่ทำให้การเปิดสองแท็บง่ายขึ้นมาก
    Chrome เพิ่มฟีเจอร์ Split View ให้เปิดสองแท็บเคียงกันในหน้าต่างเดียว เหมาะกับคนที่ต้องเทียบข้อมูลบ่อย ๆ และช่วยลดความวุ่นวายของแท็บจำนวนมาก
    https://www.techradar.com/computing/chrome/split-view-tabs-in-chrome-are-a-game-changer-i-cant-believe-i-wasnt-using-this-before

    React2Shell ช่องโหว่ร้ายแรงกำลังถูกโจมตีหนัก
    ช่องโหว่ React2Shell (คะแนน 10/10) ถูกใช้โจมตีหลายร้อยระบบทั่วโลก โดยกลุ่มจากจีนและเกาหลีเหนือ ทั้งเพื่อวางมัลแวร์ ขุดคริปโต และสอดแนมองค์กร
    https://www.techradar.com/pro/security/react2shell-exploitation-continues-to-escalate-posing-significant-risk

    บริษัทแห่จ้าง AI Specialist แทน Data Engineer—ปัญหาใหญ่ที่กำลังก่อตัว
    ข้อมูลใหม่เผยว่าบริษัทในสหรัฐจ้างงานด้าน AI มากกว่างานด้านข้อมูลเกือบ 50% ทั้งที่ AI จะทำงานไม่ได้เลยหากข้อมูลไม่พร้อม ทำให้หลายโปรเจกต์เสี่ยงล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
    https://www.techradar.com/pro/businesses-are-hiring-ai-specialists-instead-of-data-engineers-and-its-a-big-problem

    Cisco ถูกโจมตีด้วย Zero‑Day บนระบบอีเมล
    ช่องโหว่ร้ายแรงใน Cisco Secure Email ถูกใช้โดยกลุ่มที่เชื่อมโยงกับจีนเพื่อวาง backdoor และเครื่องมือเจาะระบบ ทำให้หน่วยงานรัฐต้องเร่งอุดช่องโหว่ก่อนเส้นตาย
    https://www.techradar.com/pro/security/cisco-email-security-products-actively-targeted-in-zero-day-campaign

    รีวิว Checkr ระบบตรวจประวัติผู้สมัครงานแบบอัตโนมัติ
    Checkr เป็นแพลตฟอร์มตรวจประวัติที่เน้นความเร็วและการทำงานอัตโนมัติ เหมาะกับองค์กรที่ต้องคัดคนจำนวนมาก แม้จะไม่เหมาะกับอุตสาหกรรมที่มีกฎระเบียบเข้มงวด
    https://www.techradar.com/pro/checkr-review
    📌📡🔴 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🔴📡📌 #รวมข่าวIT #20251221 #TechRadar 🧠🚚 AI ช่วยลดอุบัติเหตุและเพิ่มประสิทธิภาพงานภาคสนาม AI กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของงานปฏิบัติการภาคสนาม โดยช่วยตรวจจับพฤติกรรมเสี่ยงของผู้ขับขี่แบบเรียลไทม์ ลดอุบัติเหตุ เพิ่มประสิทธิภาพ และปิดช่องว่างข้อมูลที่เคยทำให้การตัดสินใจล่าช้า ทั้งยังช่วยให้การโค้ชคนขับทำได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น ทำให้องค์กรมีความปลอดภัยและความพร้อมเชิงปฏิบัติการสูงกว่าเดิม 🔗 https://www.techradar.com/pro/how-ai-is-preventing-collisions-driving-productivity-and-transforming-physical-operations 📱✨ iPhone พับได้ยังไม่ไร้รอยพับ เพราะ Apple ยังแก้ “ความท้าทายทางเทคนิค” ไม่สำเร็จ ข่าวลือใหม่เผยว่า iPhone แบบพับได้ของ Apple ยังติดปัญหาเรื่องการทำให้หน้าจอ “ไร้รอยพับจริง ๆ” แม้จะทดลองกระจก UFG หลายแบบแล้วก็ตาม ทำให้กำหนดเปิดตัวในปี 2026 ยังต้องลุ้นต่อไปว่า Apple จะทำสำเร็จหรือไม่ 🔗 https://www.techradar.com/phones/iphone/apple-is-rumored-to-still-be-facing-technical-challenges-in-producing-its-crease-free-foldable-iphone 📊🔍 ช่องว่างลับระหว่าง “ข้อมูล” กับ “การตัดสินใจ” ในยุค AI หลายองค์กรลงทุนจัดระเบียบข้อมูลอย่างหนัก แต่กลับไม่สามารถเปลี่ยนข้อมูลให้เป็นผลลัพธ์ทางธุรกิจได้ เพราะขาดสถาปัตยกรรม ระบบ และทักษะด้านข้อมูลที่เชื่อมโยงไปสู่การใช้งานจริง ทำให้ AI ไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้ตามที่คาดหวัง 🔗 https://www.techradar.com/pro/bridging-the-hidden-gap-between-data-and-decisions-in-the-age-of-ai 💾📦 เจาะลึกตลาด HDD ยุคใหม่—จาก 8TB เป็นมาตรฐาน ไปจนถึงรุ่น 30TB+ การสำรวจ HDD จำนวน 167 รุ่นเผยให้เห็นว่าตลาดฮาร์ดดิสก์ยังคงสำคัญ โดยเฉพาะในงานดาต้าเซ็นเตอร์และ NAS ที่ต้องการความจุสูง ราคาคุ้มค่า และความทนทาน แม้ SSD จะครองตลาดผู้ใช้ทั่วไปไปแล้วก็ตาม 🔗 https://www.techradar.com/pro/i-compiled-a-list-of-167-hard-disk-drives-worth-buying-here-are-six-things-i-found-out 📱⚙️ Samsung Galaxy Z Flip 8 อาจใช้ชิป Exynos 2600 ข่าวหลุดใหม่ชี้ว่า Z Flip 8 อาจหันมาใช้ชิป Exynos 2600 แบบเต็มตัว ซึ่งเป็นชิป 2nm รุ่นแรกของ Samsung ที่เน้นประสิทธิภาพและพลังงานดีขึ้น แม้ Snapdragon ยังถูกมองว่าแรงกว่าในหลายงานก็ตาม 🔗 https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/a-new-samsung-galaxy-z-flip-8-leak-may-have-revealed-the-chipset-its-going-to-run-on 🤖➡️📱 การเปลี่ยนจาก Google Assistant ไป Gemini ถูกเลื่อนเป็นปีหน้า Google ประกาศเลื่อนการเปลี่ยนผู้ช่วยบน Android จาก Assistant ไป Gemini ออกไปถึงปี 2026 เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านราบรื่นขึ้น โดยสุดท้าย Assistant จะถูกยกเลิกใช้งานทั้งหมด 🔗 https://www.techradar.com/phones/android/the-switch-from-google-assistant-to-gemini-on-android-devices-has-been-pushed-back-to-next-year 🖥️✈️ รีวิว MSI Pro MP165 E6 จอพกพางานดี ราคาประหยัด จอพกพาน้ำหนักเบา ใช้งานง่ายด้วยสาย USB‑C เส้นเดียว เหมาะกับคนทำงานที่ต้องการพื้นที่หน้าจอเพิ่มระหว่างเดินทาง แม้สเปกจะไม่หวือหวา แต่คุ้มค่ามากในงบไม่ถึง $100 🔗 https://www.techradar.com/pro/msi-pro-mp165-e6-portable-monitor-review 🛡️🔥 5 วิธีเสริมความแกร่งหลังเหตุการณ์ระบบล่ม องค์กรจำนวนมากทำแค่ “ปิดงานเอกสารหลังเหตุการณ์” แต่ความยืดหยุ่นจริงเกิดจากการมองเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในระบบ การควบคุมการแก้ไขฉุกเฉิน และการสร้างวัฒนธรรมที่เน้นความโปร่งใสของข้อมูล 🔗 https://www.techradar.com/pro/five-post-incident-improvements-that-actually-strengthen-resilience 😴🎧 ทดสอบหูฟัง SomniPods 3—บางที่สุด พร้อมสถิติที่น่าสนใจ ผู้เขียนทดลองใช้หูฟังตัดเสียงรบกวนสำหรับนอนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่ามีฟีเจอร์ดีและบางมากจนใส่นอนได้สบาย แต่ยังมีจุดที่ต้องพัฒนา ทั้งยังต้องใช้คู่กับแอป Fitnexa เพื่อปลดล็อกฟีเจอร์เต็ม 🔗 https://www.techradar.com/health-fitness/sleep/i-used-the-thinnest-noise-cancelling-sleep-earbuds-for-two-weeks-and-it-had-one-fascinating-statistic 🧩🕵️ Claude บน Chrome—สะดวกมาก แต่ชวนให้รู้สึกถูกจับตามอง ส่วนขยาย Claude ใหม่สามารถเข้าถึงแท็บ ประวัติ และไฟล์ของผู้ใช้เพื่อช่วยทำงานอัตโนมัติได้อย่างทรงพลัง แต่ก็สร้างความรู้สึก “ระแวง” เพราะต้องให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลจำนวนมาก 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/claude/i-tried-the-new-claude-in-chrome-extension-and-it-delivered-convenience-with-a-side-of-digital-paranoia 🔐📱 Soverli สตาร์ทอัพสวิสสร้างเลเยอร์ OS ปลอดภัยที่สุดบนมือถือ Soverli พัฒนาเลเยอร์ระบบปฏิบัติการที่ทำงานคู่กับ Android/iOS เพื่อให้ยังใช้งานได้แม้ระบบหลักถูกโจมตี เหมาะกับงานภาครัฐ หน่วยกู้ภัย และองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง 🔗 https://www.techradar.com/pro/this-intriguing-startup-wants-to-create-the-worlds-most-secure-smartphones-and-its-doing-it-proton-style 🖥️📡 มาตรฐานบัส HP อายุ 53 ปี ได้ไดรเวอร์ Linux แล้ว GPIB มาตรฐานเก่าแก่จากปี 1972 ได้รับไดรเวอร์เสถียรใน Linux 6.19 ทำให้อุปกรณ์ห้องแล็บรุ่นเก่าสามารถใช้งานกับระบบสมัยใหม่ได้อย่างราบรื่นอีกครั้ง 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/better-late-than-never-53-year-old-hp-bus-standard-finally-gets-a-linux-driver-boasting-8mb-s-bandwidth 💸🎄 แฮ็กเกอร์ล่าค่าจ้างปลายปี ด้วยการหลอก Help Desk อาชญากรไซเบอร์ใช้การโทรหลอกพนักงาน Help Desk เพื่อรีเซ็ตรหัสผ่านและเปลี่ยนบัญชีรับเงินเดือนของพนักงานแบบเงียบ ๆ ทำให้เงินเดือนถูกโอนออกโดยไม่รู้ตัว 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/watch-out-hackers-are-coming-after-your-christmas-bonus-as-paychecks-come-under-threat 🖥️🪟 Chrome Split View—ฟีเจอร์ใหม่ที่ทำให้การเปิดสองแท็บง่ายขึ้นมาก Chrome เพิ่มฟีเจอร์ Split View ให้เปิดสองแท็บเคียงกันในหน้าต่างเดียว เหมาะกับคนที่ต้องเทียบข้อมูลบ่อย ๆ และช่วยลดความวุ่นวายของแท็บจำนวนมาก 🔗 https://www.techradar.com/computing/chrome/split-view-tabs-in-chrome-are-a-game-changer-i-cant-believe-i-wasnt-using-this-before ⚠️💥 React2Shell ช่องโหว่ร้ายแรงกำลังถูกโจมตีหนัก ช่องโหว่ React2Shell (คะแนน 10/10) ถูกใช้โจมตีหลายร้อยระบบทั่วโลก โดยกลุ่มจากจีนและเกาหลีเหนือ ทั้งเพื่อวางมัลแวร์ ขุดคริปโต และสอดแนมองค์กร 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/react2shell-exploitation-continues-to-escalate-posing-significant-risk 🤖👷 บริษัทแห่จ้าง AI Specialist แทน Data Engineer—ปัญหาใหญ่ที่กำลังก่อตัว ข้อมูลใหม่เผยว่าบริษัทในสหรัฐจ้างงานด้าน AI มากกว่างานด้านข้อมูลเกือบ 50% ทั้งที่ AI จะทำงานไม่ได้เลยหากข้อมูลไม่พร้อม ทำให้หลายโปรเจกต์เสี่ยงล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่ม 🔗 https://www.techradar.com/pro/businesses-are-hiring-ai-specialists-instead-of-data-engineers-and-its-a-big-problem 📧🔓 Cisco ถูกโจมตีด้วย Zero‑Day บนระบบอีเมล ช่องโหว่ร้ายแรงใน Cisco Secure Email ถูกใช้โดยกลุ่มที่เชื่อมโยงกับจีนเพื่อวาง backdoor และเครื่องมือเจาะระบบ ทำให้หน่วยงานรัฐต้องเร่งอุดช่องโหว่ก่อนเส้นตาย 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/cisco-email-security-products-actively-targeted-in-zero-day-campaign 🧩👤 รีวิว Checkr ระบบตรวจประวัติผู้สมัครงานแบบอัตโนมัติ Checkr เป็นแพลตฟอร์มตรวจประวัติที่เน้นความเร็วและการทำงานอัตโนมัติ เหมาะกับองค์กรที่ต้องคัดคนจำนวนมาก แม้จะไม่เหมาะกับอุตสาหกรรมที่มีกฎระเบียบเข้มงวด 🔗 https://www.techradar.com/pro/checkr-review
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI ทดสอบสร้าง Minesweeper: Codex ชนะขาด — Gemini พังยับแบบไม่มีเกมให้เล่น

    การทดสอบล่าสุดจาก Ars Technica เผยให้เห็นภาพที่ชัดเจนของ “ความสามารถจริง” ของ AI coding agents ยุคใหม่ เมื่อถูกสั่งให้สร้างเกม Minesweeper เวอร์ชันเว็บแบบครบฟีเจอร์ ทั้งเสียงประกอบ รองรับมือถือ และมี “เกมเพลย์ทวิสต์” เพิ่มเติม ผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้เห็นความแตกต่างของแต่ละโมเดลอย่างชัดเจน ตั้งแต่ระดับที่ “พร้อมใช้งานจริง” ไปจนถึง “เปิดเกมไม่ได้เลย”

    OpenAI Codex (GPT‑5) ทำผลงานโดดเด่นที่สุด ได้คะแนน 9/10 ด้วยฟีเจอร์ครบถ้วน ทั้งระบบ chording ที่ผู้เล่นระดับโปรต้องการ เสียงเอฟเฟกต์แบบยุคคลาสสิก และ UI ที่ใช้งานได้ทั้งบนเดสก์ท็อปและมือถือ ในขณะที่ Claude Code ทำงานเร็วกว่าและสวยกว่า แต่ขาด chording ทำให้คะแนนลดลง ส่วน Mistral Vibe แม้จะทำงานได้ แต่ขาดฟีเจอร์สำคัญหลายอย่าง เช่นเสียงและเกมเพลย์พิเศษ

    ด้านที่น่าตกใจที่สุดคือ Google Gemini CLI ซึ่งล้มเหลวแบบสิ้นเชิง — ไม่มีตาราง ไม่มีเกม ไม่มีการเล่นใด ๆ ทั้งสิ้น แม้จะใช้เวลารันโค้ดนานเป็นชั่วโมง และยังคงขอ dependency เพิ่มเรื่อย ๆ แม้จะได้รับโอกาสแก้ตัวด้วยกติกาใหม่ก็ตาม ผลลัพธ์นี้สะท้อนให้เห็นช่องว่างระหว่าง “คะแนน benchmark” กับ “ความสามารถใช้งานจริง” ที่กำลังเป็นประเด็นใหญ่ในวงการ AI

    การทดสอบนี้จึงเป็นเหมือนภาพ snapshot ของยุค AI coding agents ที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด และเป็นสัญญาณว่าความสามารถในการ “สร้างซอฟต์แวร์ที่ใช้งานได้จริง” อาจกลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญในยุคหลัง benchmark ซึ่งกำลังจะมาถึงเร็ว ๆ นี้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    OpenAI Codex ชนะการทดสอบแบบขาดลอย
    ฟีเจอร์ครบ: chording, เสียง, UI มือถือ–เดสก์ท็อป
    มี “Lucky Sweep” เป็นเกมเพลย์ทวิสต์
    พร้อมใช้งานจริงที่สุดในบรรดา 4 โมเดล

    Claude Code ทำงานเร็วและสวยที่สุด
    ใช้เวลาเขียนโค้ดครึ่งหนึ่งของ Codex
    UI เรียบร้อย เสียงดี
    ขาด chording ทำให้คะแนนลดลง

    Mistral Vibe ทำงานได้ แต่ยังไม่สมบูรณ์
    ไม่มีเสียง ไม่มี chording
    ปุ่ม Custom ใช้งานไม่ได้
    คะแนน 4/10 แม้ภาพรวมดีกว่าที่คิด

    Gemini CLI ล้มเหลวแบบใช้งานไม่ได้
    ไม่มีตาราง ไม่มีเกม
    ใช้เวลารันโค้ดนานมาก
    ขอ dependency เพิ่มไม่หยุด
    ได้คะแนน 0/10

    Benchmark ไม่ได้สะท้อนความสามารถใช้งานจริง
    Gemini มักชนะ benchmark แต่ล้มเหลวในงานจริง

    AI coding agents ยังต้องการการตรวจสอบจากมนุษย์
    แม้ Codex จะดีที่สุด แต่ยังมีจุดที่ต้องแก้ไขก่อนใช้งานจริง

    การทดสอบนี้เป็นเพียง snapshot ของสถานการณ์ปัจจุบัน
    โมเดลอาจถูกอัปเดตและเปลี่ยนผลลัพธ์ได้ในเวลาอันสั้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/turns-out-ai-can-actually-build-competent-minesweeper-clones-four-ai-coding-agents-put-to-the-test-reveal-openais-codex-as-the-best-while-googles-gemini-cli-as-the-worst
    🧩 AI ทดสอบสร้าง Minesweeper: Codex ชนะขาด — Gemini พังยับแบบไม่มีเกมให้เล่น การทดสอบล่าสุดจาก Ars Technica เผยให้เห็นภาพที่ชัดเจนของ “ความสามารถจริง” ของ AI coding agents ยุคใหม่ เมื่อถูกสั่งให้สร้างเกม Minesweeper เวอร์ชันเว็บแบบครบฟีเจอร์ ทั้งเสียงประกอบ รองรับมือถือ และมี “เกมเพลย์ทวิสต์” เพิ่มเติม ผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้เห็นความแตกต่างของแต่ละโมเดลอย่างชัดเจน ตั้งแต่ระดับที่ “พร้อมใช้งานจริง” ไปจนถึง “เปิดเกมไม่ได้เลย” OpenAI Codex (GPT‑5) ทำผลงานโดดเด่นที่สุด ได้คะแนน 9/10 ด้วยฟีเจอร์ครบถ้วน ทั้งระบบ chording ที่ผู้เล่นระดับโปรต้องการ เสียงเอฟเฟกต์แบบยุคคลาสสิก และ UI ที่ใช้งานได้ทั้งบนเดสก์ท็อปและมือถือ ในขณะที่ Claude Code ทำงานเร็วกว่าและสวยกว่า แต่ขาด chording ทำให้คะแนนลดลง ส่วน Mistral Vibe แม้จะทำงานได้ แต่ขาดฟีเจอร์สำคัญหลายอย่าง เช่นเสียงและเกมเพลย์พิเศษ ด้านที่น่าตกใจที่สุดคือ Google Gemini CLI ซึ่งล้มเหลวแบบสิ้นเชิง — ไม่มีตาราง ไม่มีเกม ไม่มีการเล่นใด ๆ ทั้งสิ้น แม้จะใช้เวลารันโค้ดนานเป็นชั่วโมง และยังคงขอ dependency เพิ่มเรื่อย ๆ แม้จะได้รับโอกาสแก้ตัวด้วยกติกาใหม่ก็ตาม ผลลัพธ์นี้สะท้อนให้เห็นช่องว่างระหว่าง “คะแนน benchmark” กับ “ความสามารถใช้งานจริง” ที่กำลังเป็นประเด็นใหญ่ในวงการ AI การทดสอบนี้จึงเป็นเหมือนภาพ snapshot ของยุค AI coding agents ที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด และเป็นสัญญาณว่าความสามารถในการ “สร้างซอฟต์แวร์ที่ใช้งานได้จริง” อาจกลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญในยุคหลัง benchmark ซึ่งกำลังจะมาถึงเร็ว ๆ นี้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ OpenAI Codex ชนะการทดสอบแบบขาดลอย ➡️ ฟีเจอร์ครบ: chording, เสียง, UI มือถือ–เดสก์ท็อป ➡️ มี “Lucky Sweep” เป็นเกมเพลย์ทวิสต์ ➡️ พร้อมใช้งานจริงที่สุดในบรรดา 4 โมเดล ✅ Claude Code ทำงานเร็วและสวยที่สุด ➡️ ใช้เวลาเขียนโค้ดครึ่งหนึ่งของ Codex ➡️ UI เรียบร้อย เสียงดี ➡️ ขาด chording ทำให้คะแนนลดลง ✅ Mistral Vibe ทำงานได้ แต่ยังไม่สมบูรณ์ ➡️ ไม่มีเสียง ไม่มี chording ➡️ ปุ่ม Custom ใช้งานไม่ได้ ➡️ คะแนน 4/10 แม้ภาพรวมดีกว่าที่คิด ✅ Gemini CLI ล้มเหลวแบบใช้งานไม่ได้ ➡️ ไม่มีตาราง ไม่มีเกม ➡️ ใช้เวลารันโค้ดนานมาก ➡️ ขอ dependency เพิ่มไม่หยุด ➡️ ได้คะแนน 0/10 ‼️ Benchmark ไม่ได้สะท้อนความสามารถใช้งานจริง ⛔ Gemini มักชนะ benchmark แต่ล้มเหลวในงานจริง ‼️ AI coding agents ยังต้องการการตรวจสอบจากมนุษย์ ⛔ แม้ Codex จะดีที่สุด แต่ยังมีจุดที่ต้องแก้ไขก่อนใช้งานจริง ‼️ การทดสอบนี้เป็นเพียง snapshot ของสถานการณ์ปัจจุบัน ⛔ โมเดลอาจถูกอัปเดตและเปลี่ยนผลลัพธ์ได้ในเวลาอันสั้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/turns-out-ai-can-actually-build-competent-minesweeper-clones-four-ai-coding-agents-put-to-the-test-reveal-openais-codex-as-the-best-while-googles-gemini-cli-as-the-worst
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nintendo เตรียมออก Game Card ความจุเล็กลงสำหรับ Switch 2 — ทางเลือกใหม่แทน 64GB ที่แพงและผลิตยาก

    รายงานล่าสุดเผยว่า Nintendo อาจเตรียมเปิดตัว Game Card ความจุ 16GB และ 32GB สำหรับ Switch 2 เพื่อแก้ปัญหาต้นทุนสูงของการ์ด 64GB ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีราคาผลิตสูงและมีข้อจำกัดด้านแบนด์วิดท์เพียง 400 MB/s ทำให้ผู้พัฒนาเกมจำนวนมากเลือกออกเป็น “กล่องเปล่า + โค้ดดาวน์โหลด” แทนการ์ดจริง สร้างความไม่พอใจให้ผู้เล่นที่ต้องการสื่อแบบจับต้องได้

    ข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยครั้งแรกโดย Inin Games ผู้จัดจำหน่าย R-Type Dimensions III ที่ระบุว่าเกมใหม่ของพวกเขาจะสามารถออกแบบตลับจริงได้เพราะ Nintendo เริ่มเสนอการ์ดความจุเล็กลง แม้ข้อความดังกล่าวถูกแก้ไขในภายหลัง แต่ก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้ข่าวลือว่าการ์ดรุ่นใหม่กำลังจะมา อย่างไรก็ตาม วิกฤตชิปและ NAND ที่เกิดจากความต้องการด้าน AI ทำให้การผลิตอาจล่าช้า และที่สำคัญคือ ไม่ได้ช่วยลดต้นทุนลงอย่างที่หลายคนหวัง

    แหล่งข่าวอย่าง Nintendeal บน Bluesky ระบุว่าการ์ดรุ่นใหม่ “กำลังผลิตจริง” แต่จะเผชิญความล่าช้าเพราะอุตสาหกรรมกำลังแย่งชิงชิ้นส่วนเดียวกันกับตลาด AI ที่เติบโตแบบระเบิด ทำให้แม้จะมีตัวเลือกความจุเล็กลง แต่ราคาก็อาจไม่ต่างจากเดิมมากนัก ส่งผลให้ผู้พัฒนาอินดี้อาจยังต้องชั่งใจระหว่างการออกตลับจริงหรือใช้วิธีดาวน์โหลดเหมือนเดิม

    แม้สถานการณ์จะดูไม่สดใสนัก แต่ก็ยังมีแง่บวกสำหรับผู้เล่นที่รักสื่อแบบ Physical เพราะอย่างน้อย Nintendo ยังไม่ทิ้ง Game Card ไปทั้งหมด ในยุคที่ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัล การมี “ตัวเกมที่จับต้องได้” ยังคงเป็นคุณค่าทางวัฒนธรรมของเกมคอนโซลที่หลายคนไม่อยากให้หายไป

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Nintendo อาจเปิดตัว Game Card ความจุ 16GB และ 32GB
    เป็นตัวเลือกใหม่แทน 64GB ที่แพงและมีข้อจำกัดด้านแบนด์วิดท์
    ช่วยให้เกมอินดี้มีโอกาสออกตลับจริงมากขึ้น

    ข้อมูลเริ่มต้นมาจาก Inin Games
    ระบุว่าเกมใหม่สามารถออกตลับได้เพราะมีการ์ดความจุเล็กลง
    แม้ภายหลังจะลบข้อความ แต่ยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้ข่าวลือ

    วิกฤตชิปและ NAND ทำให้การผลิตล่าช้า
    ความต้องการจากตลาด AI ทำให้ต้นทุนไม่ลดลง
    การ์ดใหม่อาจไม่ถูกลงอย่างที่คาด

    ตลาด Physical ยังไม่ตาย
    Nintendo ยังไม่ทิ้ง Game Card
    ผู้เล่นที่รักสื่อแบบจับต้องได้ยังมีความหวัง

    ประเด็นที่ควรระวัง / ข้อจำกัด
    ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Nintendo
    ข้อมูลทั้งหมดมาจากผู้จัดจำหน่ายและนักปล่อยข่าว

    ต้นทุนการผลิตอาจยังสูง
    แม้ความจุเล็กลง แต่ปัญหาชิ้นส่วนขาดตลาดทำให้ราคาไม่ลด

    ผู้พัฒนาอินดี้อาจยังลังเล
    การออกตลับจริงยังมีความเสี่ยงด้านต้นทุนและกำไร

    https://www.tomshardware.com/video-games/nintendo/nintendo-switch-2-to-reportedly-get-smaller-capacity-game-cartridges-soon-offering-an-alternative-to-costly-64gb-cards-storage-crisis-might-delay-production-however
    🎮 Nintendo เตรียมออก Game Card ความจุเล็กลงสำหรับ Switch 2 — ทางเลือกใหม่แทน 64GB ที่แพงและผลิตยาก รายงานล่าสุดเผยว่า Nintendo อาจเตรียมเปิดตัว Game Card ความจุ 16GB และ 32GB สำหรับ Switch 2 เพื่อแก้ปัญหาต้นทุนสูงของการ์ด 64GB ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีราคาผลิตสูงและมีข้อจำกัดด้านแบนด์วิดท์เพียง 400 MB/s ทำให้ผู้พัฒนาเกมจำนวนมากเลือกออกเป็น “กล่องเปล่า + โค้ดดาวน์โหลด” แทนการ์ดจริง สร้างความไม่พอใจให้ผู้เล่นที่ต้องการสื่อแบบจับต้องได้ ข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยครั้งแรกโดย Inin Games ผู้จัดจำหน่าย R-Type Dimensions III ที่ระบุว่าเกมใหม่ของพวกเขาจะสามารถออกแบบตลับจริงได้เพราะ Nintendo เริ่มเสนอการ์ดความจุเล็กลง แม้ข้อความดังกล่าวถูกแก้ไขในภายหลัง แต่ก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้ข่าวลือว่าการ์ดรุ่นใหม่กำลังจะมา อย่างไรก็ตาม วิกฤตชิปและ NAND ที่เกิดจากความต้องการด้าน AI ทำให้การผลิตอาจล่าช้า และที่สำคัญคือ ไม่ได้ช่วยลดต้นทุนลงอย่างที่หลายคนหวัง แหล่งข่าวอย่าง Nintendeal บน Bluesky ระบุว่าการ์ดรุ่นใหม่ “กำลังผลิตจริง” แต่จะเผชิญความล่าช้าเพราะอุตสาหกรรมกำลังแย่งชิงชิ้นส่วนเดียวกันกับตลาด AI ที่เติบโตแบบระเบิด ทำให้แม้จะมีตัวเลือกความจุเล็กลง แต่ราคาก็อาจไม่ต่างจากเดิมมากนัก ส่งผลให้ผู้พัฒนาอินดี้อาจยังต้องชั่งใจระหว่างการออกตลับจริงหรือใช้วิธีดาวน์โหลดเหมือนเดิม แม้สถานการณ์จะดูไม่สดใสนัก แต่ก็ยังมีแง่บวกสำหรับผู้เล่นที่รักสื่อแบบ Physical เพราะอย่างน้อย Nintendo ยังไม่ทิ้ง Game Card ไปทั้งหมด ในยุคที่ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัล การมี “ตัวเกมที่จับต้องได้” ยังคงเป็นคุณค่าทางวัฒนธรรมของเกมคอนโซลที่หลายคนไม่อยากให้หายไป 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Nintendo อาจเปิดตัว Game Card ความจุ 16GB และ 32GB ➡️ เป็นตัวเลือกใหม่แทน 64GB ที่แพงและมีข้อจำกัดด้านแบนด์วิดท์ ➡️ ช่วยให้เกมอินดี้มีโอกาสออกตลับจริงมากขึ้น ✅ ข้อมูลเริ่มต้นมาจาก Inin Games ➡️ ระบุว่าเกมใหม่สามารถออกตลับได้เพราะมีการ์ดความจุเล็กลง ➡️ แม้ภายหลังจะลบข้อความ แต่ยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้ข่าวลือ ✅ วิกฤตชิปและ NAND ทำให้การผลิตล่าช้า ➡️ ความต้องการจากตลาด AI ทำให้ต้นทุนไม่ลดลง ➡️ การ์ดใหม่อาจไม่ถูกลงอย่างที่คาด ✅ ตลาด Physical ยังไม่ตาย ➡️ Nintendo ยังไม่ทิ้ง Game Card ➡️ ผู้เล่นที่รักสื่อแบบจับต้องได้ยังมีความหวัง ⚠️ ประเด็นที่ควรระวัง / ข้อจำกัด ‼️ ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Nintendo ⛔ ข้อมูลทั้งหมดมาจากผู้จัดจำหน่ายและนักปล่อยข่าว ‼️ ต้นทุนการผลิตอาจยังสูง ⛔ แม้ความจุเล็กลง แต่ปัญหาชิ้นส่วนขาดตลาดทำให้ราคาไม่ลด ‼️ ผู้พัฒนาอินดี้อาจยังลังเล ⛔ การออกตลับจริงยังมีความเสี่ยงด้านต้นทุนและกำไร https://www.tomshardware.com/video-games/nintendo/nintendo-switch-2-to-reportedly-get-smaller-capacity-game-cartridges-soon-offering-an-alternative-to-costly-64gb-cards-storage-crisis-might-delay-production-however
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • โครงการกู้คืนเกม Sega Channel ครั้งใหญ่: 144 ROM ที่เคยหายสาบสูญกลับมาอีกครั้ง

    โครงการอนุรักษ์เกมครั้งสำคัญของ Video Game History Foundation (VGHF) ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ หลังจากใช้เวลานานกว่า 2 ปีในการกู้คืน 144 เกม Sega Genesis ที่ไม่เคยถูกดัมพ์มาก่อน จากยุคกลางทศวรรษ 1990 โดยข้อมูลทั้งหมดถูกค้นพบจากเทปแบ็กอัปที่เก็บไว้โดยอดีตทีมงาน Sega Channel ซึ่งเป็นบริการเกมผ่านเคเบิลทีวีที่ล้ำสมัยเกินยุคของมันเอง

    Sega Channel เปิดให้บริการในปี 1994 ใช้เครือข่ายเคเบิลทีวีส่งข้อมูลเกมไปยังผู้เล่นในยุคที่อินเทอร์เน็ตยังมีเพียง 2–3% ของครัวเรือนในสหรัฐฯ ถือเป็นบริการ “Game Pass ยุคดึกดำบรรพ์” ที่มีเกมหมุนเวียนกว่า 50 เกมต่อเดือน และมีเกมพิเศษที่ไม่เคยวางขายเป็นตลับจริงหลายรายการ ซึ่งหลายเกมเคยถูกมองว่า “สูญหายไปตลอดกาล” จนกระทั่งโครงการนี้ค้นพบสำเนาในเทปแบ็กอัปเก่า

    หนึ่งในไฮไลต์คือ Garfield: The Lost Levels และ The Flintstones (Movie Game) ซึ่งเป็นคอนเทนต์พิเศษเฉพาะ Sega Channel รวมถึงเกมทดลองของ Web Blaster เว็บบราวเซอร์ที่ไม่เคยออกวางจำหน่ายสำหรับ Genesis นอกจากนี้ยังมีเกมที่ถูกตัดเนื้อหาเพื่อลดขนาดไฟล์ เช่น Super Street Fighter II เวอร์ชันที่ลดจำนวนตัวละครลงครึ่งหนึ่งเพื่อให้เหมาะกับข้อจำกัดของระบบส่งข้อมูลผ่านเคเบิลทีวีในยุคนั้น

    การค้นพบครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของวงการอนุรักษ์เกม เพราะ Sega Channel เป็นบริการที่อยู่ในช่วงรอยต่อระหว่างยุคตลับเกมและยุคอินเทอร์เน็ต ทำให้ข้อมูลจำนวนมากตกหล่นและเสี่ยงสูญหาย การกู้คืน ROM ทั้งหมด 144 รายการจึงช่วยเติมเต็มประวัติศาสตร์ของเกม 16 บิต และเปิดโอกาสให้นักวิจัยและแฟนเกมได้สัมผัสประสบการณ์ที่เคยคิดว่าไม่มีวันได้เห็นอีกครั้ง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    โครงการกู้คืน Sega Channel สำเร็จ
    พบ ROM ที่ไม่เคยถูกดัมพ์มาก่อนจำนวน 144 รายการ
    ข้อมูลทั้งหมดมาจากเทปแบ็กอัปของทีมงาน Sega Channel

    Sega Channel คือบริการเกมผ่านเคเบิลทีวีสุดล้ำยุค
    เปิดปี 1994 ก่อนยุคอินเทอร์เน็ตแพร่หลาย
    มีเกมหมุนเวียนกว่า 50 เกมต่อเดือน และคอนเทนต์พิเศษเฉพาะแพลตฟอร์ม

    เกมพิเศษที่เคยคิดว่าสูญหายถูกค้นพบอีกครั้ง
    Garfield: The Lost Levels
    The Flintstones (Movie Game)
    Web Blaster เว็บบราวเซอร์ที่ไม่เคยออกจริง

    ข้อมูลที่กู้คืนช่วยเติมเต็มประวัติศาสตร์เกม 16 บิต
    ทำให้เห็นวิวัฒนาการของการกระจายเกมก่อนยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ

    ประเด็นที่ควรระวัง / ข้อจำกัด
    ROM เหล่านี้ยังมีประเด็นด้านลิขสิทธิ์
    ไม่สามารถเผยแพร่สู่สาธารณะได้อย่างเสรี แม้จะเป็นงานอนุรักษ์

    บางเกมเป็นเวอร์ชันตัดเนื้อหา
    ไม่ใช่ตัวเกมเต็ม อาจไม่สะท้อนประสบการณ์ดั้งเดิม

    ข้อมูลจากเทปแบ็กอัปอาจไม่สมบูรณ์
    บางไฟล์อาจเสียหายหรือขาดหายไปตามกาลเวลา

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/massive-two-year-project-recovers-144-previously-undumped-sega-genesis-game-roms-from-the-mid-1990s-lost-garfield-and-flintstones-games-among-the-notable-finds
    🎮 โครงการกู้คืนเกม Sega Channel ครั้งใหญ่: 144 ROM ที่เคยหายสาบสูญกลับมาอีกครั้ง โครงการอนุรักษ์เกมครั้งสำคัญของ Video Game History Foundation (VGHF) ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ หลังจากใช้เวลานานกว่า 2 ปีในการกู้คืน 144 เกม Sega Genesis ที่ไม่เคยถูกดัมพ์มาก่อน จากยุคกลางทศวรรษ 1990 โดยข้อมูลทั้งหมดถูกค้นพบจากเทปแบ็กอัปที่เก็บไว้โดยอดีตทีมงาน Sega Channel ซึ่งเป็นบริการเกมผ่านเคเบิลทีวีที่ล้ำสมัยเกินยุคของมันเอง Sega Channel เปิดให้บริการในปี 1994 ใช้เครือข่ายเคเบิลทีวีส่งข้อมูลเกมไปยังผู้เล่นในยุคที่อินเทอร์เน็ตยังมีเพียง 2–3% ของครัวเรือนในสหรัฐฯ ถือเป็นบริการ “Game Pass ยุคดึกดำบรรพ์” ที่มีเกมหมุนเวียนกว่า 50 เกมต่อเดือน และมีเกมพิเศษที่ไม่เคยวางขายเป็นตลับจริงหลายรายการ ซึ่งหลายเกมเคยถูกมองว่า “สูญหายไปตลอดกาล” จนกระทั่งโครงการนี้ค้นพบสำเนาในเทปแบ็กอัปเก่า หนึ่งในไฮไลต์คือ Garfield: The Lost Levels และ The Flintstones (Movie Game) ซึ่งเป็นคอนเทนต์พิเศษเฉพาะ Sega Channel รวมถึงเกมทดลองของ Web Blaster เว็บบราวเซอร์ที่ไม่เคยออกวางจำหน่ายสำหรับ Genesis นอกจากนี้ยังมีเกมที่ถูกตัดเนื้อหาเพื่อลดขนาดไฟล์ เช่น Super Street Fighter II เวอร์ชันที่ลดจำนวนตัวละครลงครึ่งหนึ่งเพื่อให้เหมาะกับข้อจำกัดของระบบส่งข้อมูลผ่านเคเบิลทีวีในยุคนั้น การค้นพบครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของวงการอนุรักษ์เกม เพราะ Sega Channel เป็นบริการที่อยู่ในช่วงรอยต่อระหว่างยุคตลับเกมและยุคอินเทอร์เน็ต ทำให้ข้อมูลจำนวนมากตกหล่นและเสี่ยงสูญหาย การกู้คืน ROM ทั้งหมด 144 รายการจึงช่วยเติมเต็มประวัติศาสตร์ของเกม 16 บิต และเปิดโอกาสให้นักวิจัยและแฟนเกมได้สัมผัสประสบการณ์ที่เคยคิดว่าไม่มีวันได้เห็นอีกครั้ง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ โครงการกู้คืน Sega Channel สำเร็จ ➡️ พบ ROM ที่ไม่เคยถูกดัมพ์มาก่อนจำนวน 144 รายการ ➡️ ข้อมูลทั้งหมดมาจากเทปแบ็กอัปของทีมงาน Sega Channel ✅ Sega Channel คือบริการเกมผ่านเคเบิลทีวีสุดล้ำยุค ➡️ เปิดปี 1994 ก่อนยุคอินเทอร์เน็ตแพร่หลาย ➡️ มีเกมหมุนเวียนกว่า 50 เกมต่อเดือน และคอนเทนต์พิเศษเฉพาะแพลตฟอร์ม ✅ เกมพิเศษที่เคยคิดว่าสูญหายถูกค้นพบอีกครั้ง ➡️ Garfield: The Lost Levels ➡️ The Flintstones (Movie Game) ➡️ Web Blaster เว็บบราวเซอร์ที่ไม่เคยออกจริง ✅ ข้อมูลที่กู้คืนช่วยเติมเต็มประวัติศาสตร์เกม 16 บิต ➡️ ทำให้เห็นวิวัฒนาการของการกระจายเกมก่อนยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ ⚠️ ประเด็นที่ควรระวัง / ข้อจำกัด ‼️ ROM เหล่านี้ยังมีประเด็นด้านลิขสิทธิ์ ⛔ ไม่สามารถเผยแพร่สู่สาธารณะได้อย่างเสรี แม้จะเป็นงานอนุรักษ์ ‼️ บางเกมเป็นเวอร์ชันตัดเนื้อหา ⛔ ไม่ใช่ตัวเกมเต็ม อาจไม่สะท้อนประสบการณ์ดั้งเดิม ‼️ ข้อมูลจากเทปแบ็กอัปอาจไม่สมบูรณ์ ⛔ บางไฟล์อาจเสียหายหรือขาดหายไปตามกาลเวลา https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/massive-two-year-project-recovers-144-previously-undumped-sega-genesis-game-roms-from-the-mid-1990s-lost-garfield-and-flintstones-games-among-the-notable-finds
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • AltaVista: ตำนานเสิร์ชเอนจินผู้บุกเบิก UI สะอาด–เร็วแรง แต่พ่ายแพ้ต่อยุคเว็บพอร์ทัลและการเปลี่ยนมือหลายครั้ง

    สามทศวรรษก่อน AltaVista ถือเป็นหนึ่งในเสิร์ชเอนจินที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคแรกของอินเทอร์เน็ต ด้วยอินเทอร์เฟซที่สะอาด รวดเร็ว และระบบจัดทำดัชนีเว็บที่เหนือกว่าคู่แข่งในเวลานั้น เปิดตัวในปี 1995 พร้อมฐานข้อมูลเว็บกว่า 16 ล้านหน้า ซึ่งถือว่าใหญ่โตมากในยุคนั้น AltaVista กลายเป็นประตูสู่โลกออนไลน์ของผู้ใช้จำนวนมหาศาล และเป็นแรงผลักดันสำคัญให้การค้นหาข้อมูลบนเว็บกลายเป็นกิจกรรมหลักของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก

    ความสำเร็จของ AltaVista ส่วนหนึ่งมาจากพลังประมวลผลของ DEC Alpha 8400 Turbolaser ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ระดับสูงสุดในยุคนั้น ทำให้สามารถรองรับคำค้นจากหลักแสนสู่หลักสิบล้านครั้งต่อวันได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้สถาปัตยกรรมที่ผสานระหว่างเว็บครอว์เลอร์ “Scooter” และระบบจัดทำดัชนี “TurboVista” ทำให้ผลลัพธ์การค้นหามีความแม่นยำและรวดเร็วกว่าเสิร์ชเอนจินแบบไดเรกทอรีที่ครองตลาดในเวลานั้น เช่น Yahoo Directory หรือ Lycos

    อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ Google เปิดตัว PageRank ในปี 1998 ซึ่งเป็นอัลกอริทึมที่ให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของลิงก์ ทำให้ผลลัพธ์การค้นหามีคุณภาพสูงกว่า AltaVista อย่างชัดเจน ประกอบกับการที่ AltaVista ถูกขายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่ DEC → Compaq → CMGI → Overture → Yahoo! ทำให้ทิศทางผลิตภัณฑ์ขาดความเสถียร และถูกบังคับให้เปลี่ยนจากเสิร์ชเอนจินเรียบง่ายไปเป็น “เว็บพอร์ทัล” ที่เต็มไปด้วยโฆษณาและฟีเจอร์เกินจำเป็น จนสูญเสียเอกลักษณ์ดั้งเดิมไปในที่สุด

    แม้ AltaVista จะถูกปิดตัวในปี 2013 แต่ร่องรอยของมันยังคงอยู่ในประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ต ทั้งในฐานะผู้บุกเบิก UI แบบมินิมอลที่ Google นำไปต่อยอด และในฐานะบทเรียนสำคัญของการบริหารผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่ต้องรักษาแก่นหลักของตัวเองให้มั่นคงท่ามกลางการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    AltaVista คือเสิร์ชเอนจินผู้บุกเบิกยุคแรกของอินเทอร์เน็ต
    เปิดตัวปี 1995 พร้อมฐานข้อมูล 16 ล้านหน้า
    UI สะอาด รวดเร็ว และเหนือกว่าเสิร์ชแบบไดเรกทอรีในยุคนั้น

    พลังของ DEC Alpha ทำให้ AltaVista เร็วกว่าใคร
    ใช้เซิร์ฟเวอร์ DEC Alpha 8400 Turbolaser
    รองรับคำค้นจากหลักแสนสู่หลักสิบล้านครั้งต่อวัน

    Google เปลี่ยนเกมด้วย PageRank
    อัลกอริทึมให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของลิงก์
    ผลลัพธ์แม่นยำกว่า ทำให้ผู้ใช้ย้ายไป Google อย่างรวดเร็ว

    การเปลี่ยนมือหลายครั้งทำให้ทิศทางผลิตภัณฑ์สั่นคลอน
    ถูกบังคับให้กลายเป็นเว็บพอร์ทัลที่สูญเสียเอกลักษณ์
    ปิดตัวในปี 2013 หลังถูก Yahoo! ซื้อกิจการ

    ประเด็นที่ควรระวัง / ข้อจำกัด
    การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์บ่อยครั้งคือความเสี่ยงใหญ่
    ทำให้แบรนด์สูญเสียเอกลักษณ์และฐานผู้ใช้

    การไล่ตามคู่แข่งโดยไม่ยึดจุดแข็งของตัวเอง
    AltaVista พยายามเป็นเว็บพอร์ทัลเหมือน Yahoo จนลืมจุดเด่นด้านการค้นหา

    เทคโนโลยีใหม่สามารถล้มยักษ์ได้เสมอ
    PageRank ของ Google คือบทเรียนว่าความแม่นยำสำคัญกว่า “ความเร็วเพียงอย่างเดียว”

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/search-pioneer-altavistas-star-shone-bright-with-a-clean-and-minimal-ui-30-years-ago-engine-lost-momentum-after-multiple-ownership-changes-and-the-embrace-of-the-web-portal-trend
    🔍 AltaVista: ตำนานเสิร์ชเอนจินผู้บุกเบิก UI สะอาด–เร็วแรง แต่พ่ายแพ้ต่อยุคเว็บพอร์ทัลและการเปลี่ยนมือหลายครั้ง สามทศวรรษก่อน AltaVista ถือเป็นหนึ่งในเสิร์ชเอนจินที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคแรกของอินเทอร์เน็ต ด้วยอินเทอร์เฟซที่สะอาด รวดเร็ว และระบบจัดทำดัชนีเว็บที่เหนือกว่าคู่แข่งในเวลานั้น เปิดตัวในปี 1995 พร้อมฐานข้อมูลเว็บกว่า 16 ล้านหน้า ซึ่งถือว่าใหญ่โตมากในยุคนั้น AltaVista กลายเป็นประตูสู่โลกออนไลน์ของผู้ใช้จำนวนมหาศาล และเป็นแรงผลักดันสำคัญให้การค้นหาข้อมูลบนเว็บกลายเป็นกิจกรรมหลักของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก ความสำเร็จของ AltaVista ส่วนหนึ่งมาจากพลังประมวลผลของ DEC Alpha 8400 Turbolaser ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ระดับสูงสุดในยุคนั้น ทำให้สามารถรองรับคำค้นจากหลักแสนสู่หลักสิบล้านครั้งต่อวันได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้สถาปัตยกรรมที่ผสานระหว่างเว็บครอว์เลอร์ “Scooter” และระบบจัดทำดัชนี “TurboVista” ทำให้ผลลัพธ์การค้นหามีความแม่นยำและรวดเร็วกว่าเสิร์ชเอนจินแบบไดเรกทอรีที่ครองตลาดในเวลานั้น เช่น Yahoo Directory หรือ Lycos อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ Google เปิดตัว PageRank ในปี 1998 ซึ่งเป็นอัลกอริทึมที่ให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของลิงก์ ทำให้ผลลัพธ์การค้นหามีคุณภาพสูงกว่า AltaVista อย่างชัดเจน ประกอบกับการที่ AltaVista ถูกขายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่ DEC → Compaq → CMGI → Overture → Yahoo! ทำให้ทิศทางผลิตภัณฑ์ขาดความเสถียร และถูกบังคับให้เปลี่ยนจากเสิร์ชเอนจินเรียบง่ายไปเป็น “เว็บพอร์ทัล” ที่เต็มไปด้วยโฆษณาและฟีเจอร์เกินจำเป็น จนสูญเสียเอกลักษณ์ดั้งเดิมไปในที่สุด แม้ AltaVista จะถูกปิดตัวในปี 2013 แต่ร่องรอยของมันยังคงอยู่ในประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ต ทั้งในฐานะผู้บุกเบิก UI แบบมินิมอลที่ Google นำไปต่อยอด และในฐานะบทเรียนสำคัญของการบริหารผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่ต้องรักษาแก่นหลักของตัวเองให้มั่นคงท่ามกลางการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ AltaVista คือเสิร์ชเอนจินผู้บุกเบิกยุคแรกของอินเทอร์เน็ต ➡️ เปิดตัวปี 1995 พร้อมฐานข้อมูล 16 ล้านหน้า ➡️ UI สะอาด รวดเร็ว และเหนือกว่าเสิร์ชแบบไดเรกทอรีในยุคนั้น ✅ พลังของ DEC Alpha ทำให้ AltaVista เร็วกว่าใคร ➡️ ใช้เซิร์ฟเวอร์ DEC Alpha 8400 Turbolaser ➡️ รองรับคำค้นจากหลักแสนสู่หลักสิบล้านครั้งต่อวัน ✅ Google เปลี่ยนเกมด้วย PageRank ➡️ อัลกอริทึมให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของลิงก์ ➡️ ผลลัพธ์แม่นยำกว่า ทำให้ผู้ใช้ย้ายไป Google อย่างรวดเร็ว ✅ การเปลี่ยนมือหลายครั้งทำให้ทิศทางผลิตภัณฑ์สั่นคลอน ➡️ ถูกบังคับให้กลายเป็นเว็บพอร์ทัลที่สูญเสียเอกลักษณ์ ➡️ ปิดตัวในปี 2013 หลังถูก Yahoo! ซื้อกิจการ ⚠️ ประเด็นที่ควรระวัง / ข้อจำกัด ‼️ การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์บ่อยครั้งคือความเสี่ยงใหญ่ ⛔ ทำให้แบรนด์สูญเสียเอกลักษณ์และฐานผู้ใช้ ‼️ การไล่ตามคู่แข่งโดยไม่ยึดจุดแข็งของตัวเอง ⛔ AltaVista พยายามเป็นเว็บพอร์ทัลเหมือน Yahoo จนลืมจุดเด่นด้านการค้นหา ‼️ เทคโนโลยีใหม่สามารถล้มยักษ์ได้เสมอ ⛔ PageRank ของ Google คือบทเรียนว่าความแม่นยำสำคัญกว่า “ความเร็วเพียงอย่างเดียว” https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/search-pioneer-altavistas-star-shone-bright-with-a-clean-and-minimal-ui-30-years-ago-engine-lost-momentum-after-multiple-ownership-changes-and-the-embrace-of-the-web-portal-trend
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • Moore Threads เปิดตัวสถาปัตยกรรม GPU รุ่นใหม่ “Huagang” พร้อมอ้างพลังแรงก้าวกระโดดครั้งใหญ่

    วงการจีพียูในจีนกำลังร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง เมื่อ Moore Threads เปิดตัวสถาปัตยกรรม “Huagang” ที่ตั้งเป้าท้าชนค่ายใหญ่ระดับโลก ทั้งในตลาดเกมและ AI โดยเฉพาะรุ่นเกมมิ่ง “Lushan” ที่บริษัทอ้างว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพเกม AAA ได้สูงถึง 15 เท่า และเพิ่มพลัง Ray Tracing มากถึง 50 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นการก้าวกระโดดที่สร้างความสนใจอย่างมากในอุตสาหกรรม

    นอกจากด้านเกมแล้ว Moore Threads ยังเผยโฉม “Huashan” ชิป AI แบบชิปเล็ตคู่ พร้อมโมดูล HBM ถึง 8 ก้อน ที่บริษัทระบุว่ามีประสิทธิภาพระดับใกล้เคียงกับ Nvidia Hopper และ Blackwell โดยเฉพาะแบนด์วิดท์หน่วยความจำที่สูงกว่า B200 อีกด้วย ทำให้จีนมีความหวังใหม่ในการพัฒนา GPU ภายในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติในยุคที่การแข่งขันด้าน AI ทวีความเข้มข้น

    ในเชิงเทคนิค Lushan ยังมาพร้อมการเพิ่มพลัง AI compute ถึง 64 เท่า การประมวลผล geometry 16 เท่า และเพิ่มความจุ VRAM สูงสุดถึง 64GB ซึ่งถือว่าเกินมาตรฐานการ์ดเกมทั่วไปในตลาดปัจจุบันอย่างมาก ขณะเดียวกัน Huashan ยังรองรับรูปแบบตัวเลขความแม่นยำต่ำแบบใหม่ เช่น MTFP4/6/8 ที่ออกแบบมาเพื่อเร่งงาน AI โดยเฉพาะ ทำให้ Moore Threads พยายามยกระดับสถาปัตยกรรมให้เทียบชั้นผู้เล่นระดับโลกทั้ง Nvidia, AMD และ Intel

    แม้ยังไม่มีผลทดสอบจริง แต่บริษัทได้โชว์ประสิทธิภาพ DeepSeek V3 บน MTT S5000 ที่ทำได้ถึง 1000 tokens/s ในโหมด Decode และ 4000 tokens/s ใน Prefill ซึ่งสูงกว่าชิป Hopper ที่เคยเป็นเพดานสูงสุดในตลาดจีน นับเป็นสัญญาณว่าจีนกำลังเร่งสปีดเพื่อสร้างระบบนิเวศ GPU ของตัวเองอย่างจริงจัง และอาจกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดโลกในอนาคตอันใกล้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Moore Threads เปิดตัวสถาปัตยกรรม “Huagang”
    เน้นทั้งงานเกมและ AI ในเจเนอเรชันเดียว
    เปิดตัว GPU สองสายหลัก: Lushan (เกม) และ Huashan (AI)

    ประสิทธิภาพ Lushan เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
    อ้างเพิ่มพลังเกม AAA ได้ 15 เท่า
    เพิ่ม Ray Tracing ได้ 50 เท่า
    VRAM สูงสุด 64GB

    Huashan AI GPU ท้าชน Hopper–Blackwell
    ใช้ชิปเล็ตคู่ + HBM 8 ก้อน
    แบนด์วิดท์สูงกว่า Nvidia B200
    รองรับรูปแบบตัวเลข MTFP4/6/8

    เดโม DeepSeek V3 บน MTT S5000
    ทำได้ 1000 tokens/s (Decode) และ 4000 tokens/s (Prefill)
    สูงกว่าชิป Hopper ที่เคยเป็นเพดานในจีน

    ประเด็นที่ควรระวัง / ข้อจำกัด
    ยังไม่มีผลทดสอบจริง (Benchmark)
    ตัวเลขทั้งหมดเป็น “คำอ้างจากบริษัท” ยังไม่ผ่านการพิสูจน์ภายนอก

    ความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์ยังเป็นคำถาม
    แม้รองรับ DirectX 12 Ultimate แต่ ecosystem ของ Moore Threads ยังไม่แข็งแรงเท่าค่ายใหญ่

    การแข่งขันกับ Nvidia/AMD ยังต้องใช้เวลา
    แม้ตัวเลขดูดี แต่ตลาดระดับโลกต้องการเสถียรภาพและไดรเวอร์ที่พิสูจน์แล้ว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/moore-threads-unveils-next-gen-gaming-gpu-with-15x-performance-and-50x-ray-tracing-improvement-ai-gpu-with-claimed-performance-between-hopper-and-blackwell-also-in-the-works
    ⚡ Moore Threads เปิดตัวสถาปัตยกรรม GPU รุ่นใหม่ “Huagang” พร้อมอ้างพลังแรงก้าวกระโดดครั้งใหญ่ วงการจีพียูในจีนกำลังร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง เมื่อ Moore Threads เปิดตัวสถาปัตยกรรม “Huagang” ที่ตั้งเป้าท้าชนค่ายใหญ่ระดับโลก ทั้งในตลาดเกมและ AI โดยเฉพาะรุ่นเกมมิ่ง “Lushan” ที่บริษัทอ้างว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพเกม AAA ได้สูงถึง 15 เท่า และเพิ่มพลัง Ray Tracing มากถึง 50 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นการก้าวกระโดดที่สร้างความสนใจอย่างมากในอุตสาหกรรม นอกจากด้านเกมแล้ว Moore Threads ยังเผยโฉม “Huashan” ชิป AI แบบชิปเล็ตคู่ พร้อมโมดูล HBM ถึง 8 ก้อน ที่บริษัทระบุว่ามีประสิทธิภาพระดับใกล้เคียงกับ Nvidia Hopper และ Blackwell โดยเฉพาะแบนด์วิดท์หน่วยความจำที่สูงกว่า B200 อีกด้วย ทำให้จีนมีความหวังใหม่ในการพัฒนา GPU ภายในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติในยุคที่การแข่งขันด้าน AI ทวีความเข้มข้น ในเชิงเทคนิค Lushan ยังมาพร้อมการเพิ่มพลัง AI compute ถึง 64 เท่า การประมวลผล geometry 16 เท่า และเพิ่มความจุ VRAM สูงสุดถึง 64GB ซึ่งถือว่าเกินมาตรฐานการ์ดเกมทั่วไปในตลาดปัจจุบันอย่างมาก ขณะเดียวกัน Huashan ยังรองรับรูปแบบตัวเลขความแม่นยำต่ำแบบใหม่ เช่น MTFP4/6/8 ที่ออกแบบมาเพื่อเร่งงาน AI โดยเฉพาะ ทำให้ Moore Threads พยายามยกระดับสถาปัตยกรรมให้เทียบชั้นผู้เล่นระดับโลกทั้ง Nvidia, AMD และ Intel แม้ยังไม่มีผลทดสอบจริง แต่บริษัทได้โชว์ประสิทธิภาพ DeepSeek V3 บน MTT S5000 ที่ทำได้ถึง 1000 tokens/s ในโหมด Decode และ 4000 tokens/s ใน Prefill ซึ่งสูงกว่าชิป Hopper ที่เคยเป็นเพดานสูงสุดในตลาดจีน นับเป็นสัญญาณว่าจีนกำลังเร่งสปีดเพื่อสร้างระบบนิเวศ GPU ของตัวเองอย่างจริงจัง และอาจกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดโลกในอนาคตอันใกล้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Moore Threads เปิดตัวสถาปัตยกรรม “Huagang” ➡️ เน้นทั้งงานเกมและ AI ในเจเนอเรชันเดียว ➡️ เปิดตัว GPU สองสายหลัก: Lushan (เกม) และ Huashan (AI) ✅ ประสิทธิภาพ Lushan เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ➡️ อ้างเพิ่มพลังเกม AAA ได้ 15 เท่า ➡️ เพิ่ม Ray Tracing ได้ 50 เท่า ➡️ VRAM สูงสุด 64GB ✅ Huashan AI GPU ท้าชน Hopper–Blackwell ➡️ ใช้ชิปเล็ตคู่ + HBM 8 ก้อน ➡️ แบนด์วิดท์สูงกว่า Nvidia B200 ➡️ รองรับรูปแบบตัวเลข MTFP4/6/8 ✅ เดโม DeepSeek V3 บน MTT S5000 ➡️ ทำได้ 1000 tokens/s (Decode) และ 4000 tokens/s (Prefill) ➡️ สูงกว่าชิป Hopper ที่เคยเป็นเพดานในจีน ⚠️ ประเด็นที่ควรระวัง / ข้อจำกัด ‼️ ยังไม่มีผลทดสอบจริง (Benchmark) ⛔ ตัวเลขทั้งหมดเป็น “คำอ้างจากบริษัท” ยังไม่ผ่านการพิสูจน์ภายนอก ‼️ ความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์ยังเป็นคำถาม ⛔ แม้รองรับ DirectX 12 Ultimate แต่ ecosystem ของ Moore Threads ยังไม่แข็งแรงเท่าค่ายใหญ่ ‼️ การแข่งขันกับ Nvidia/AMD ยังต้องใช้เวลา ⛔ แม้ตัวเลขดูดี แต่ตลาดระดับโลกต้องการเสถียรภาพและไดรเวอร์ที่พิสูจน์แล้ว https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/moore-threads-unveils-next-gen-gaming-gpu-with-15x-performance-and-50x-ray-tracing-improvement-ai-gpu-with-claimed-performance-between-hopper-and-blackwell-also-in-the-works
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • 8GB VRAM ยังพอไหมในปี 2026? บททดสอบ Sapphire Pulse 9060 XT 8GB ชี้คำตอบชัดเจน

    บทความของ Wccftech ทดสอบ Sapphire Pulse 9060 XT 8GB ในเกมยุคใหม่ และคำตอบที่ได้ค่อนข้างชัดเจน: 8GB VRAM เริ่มไม่พอสำหรับเกม AAA ปี 2025–2026 โดยเฉพาะเมื่อเปิด Ray Tracing หรือใช้ texture คุณภาพสูง แม้การใช้ FSR4 จะช่วยเพิ่มเฟรมเรต แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาการ “คอขวด VRAM” ได้ทั้งหมด

    ผลทดสอบในหลายเกมแสดง pattern เดียวกัน:
    ช่วงแรกของเกมเฟรมเรตดีมาก (เช่น ~50 FPS แบบไม่มี stutter)
    แต่เมื่อเข้าสู่ฉากหนัก ๆ VRAM เต็ม → เฟรมเรตตกฮวบ เหลือ 40 FPS หรือต่ำกว่านั้น และบางครั้งลงไปถึงหลักสิบ
    เกมต้อง “cull textures” อย่างรุนแรงเพื่อให้พออยู่ใน 8GB ทำให้โมเดลตัวละครและพื้นผิวดูเบลอหรือโหลดไม่ทัน

    ในเกมอย่าง Cyberpunk 2077 และ RDR2 ปัญหายิ่งชัดเจน:
    ฉากเมืองหนาแน่นทำให้ VRAM เต็มเร็ว
    เฟรมเรตแกว่งหนัก
    DX12 ยังมี stuttering ที่ Vulkan ไม่มี

    แม้จะปรับลงมาเป็น Medium textures + RT เปิด + FSR4 Quality ก็ยังพบว่าเฟรมเรต “ตกจากหน้าผา” ทันทีที่ VRAM ถูกใช้จนหมด

    นี่คือสัญญาณชัดเจนว่าเกมยุคใหม่ไม่ได้กินแค่ GPU compute แต่กิน VRAM แบบโหดขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเกมที่ใช้ asset ขนาดใหญ่, open‑world, หรือมีระบบ streaming texture แบบใหม่

    สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ
    8GB VRAM ยัง “พอเล่นได้” แต่มีข้อจำกัดชัดเจน
    เล่นได้ดีในฉากเบา ๆ
    แต่ VRAM เต็มเมื่อเจอฉากหนัก → เฟรมเรตตกทันที
    เกมต้องลดคุณภาพ texture อัตโนมัติจนเห็นได้ชัด

    Ray Tracing + High/Epic textures = ไม่ไหว
    เกมต้อง cull textures เพื่อให้พอใน 8GB
    โมเดลตัวละครและพื้นผิวดู low‑res
    เฟรมเรตแกว่งหนักในฉากเมืองหรือฉากแอ็กชัน

    FSR4 ช่วยได้ แต่ไม่แก้ปัญหา VRAM
    เฟรมเรตดีขึ้นในฉากเปิด
    แต่เมื่อ VRAM เต็ม → FSR ก็ช่วยไม่ได้

    API มีผล
    DX12 มี stuttering ในบางเกม
    Vulkan ทำงานลื่นกว่าใน RDR2

    เกมใหม่ ๆ ปี 2026 จะกิน VRAM มากขึ้น
    เกม AAA เริ่มใช้ texture 4K/8K
    ระบบ streaming asset ซับซ้อนขึ้น
    RT pipeline ใช้ VRAM เพิ่มขึ้นหลายร้อย MB ต่อเฟรม

    ข้อสรุปเชิงกลยุทธ์ (จากข้อมูลในบทความ + บริบทอุตสาหกรรม)
    8GB VRAM = mid‑range minimum ในปี 2026
    12GB กำลังกลายเป็น baseline ใหม่ สำหรับ AAA
    16GB จะเป็น sweet spot สำหรับเกมที่เปิด RT
    การ์ด 8GB ยัง “เล่นได้” แต่ต้องลด texture และปิด RT

    https://wccftech.com/is-8-gb-of-vram-enough-heading-into-2026-sapphire-pulse-9060-xt-8gb-benchmarked/
    🎮 8GB VRAM ยังพอไหมในปี 2026? บททดสอบ Sapphire Pulse 9060 XT 8GB ชี้คำตอบชัดเจน บทความของ Wccftech ทดสอบ Sapphire Pulse 9060 XT 8GB ในเกมยุคใหม่ และคำตอบที่ได้ค่อนข้างชัดเจน: 8GB VRAM เริ่มไม่พอสำหรับเกม AAA ปี 2025–2026 โดยเฉพาะเมื่อเปิด Ray Tracing หรือใช้ texture คุณภาพสูง แม้การใช้ FSR4 จะช่วยเพิ่มเฟรมเรต แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาการ “คอขวด VRAM” ได้ทั้งหมด ผลทดสอบในหลายเกมแสดง pattern เดียวกัน: 🕛 ช่วงแรกของเกมเฟรมเรตดีมาก (เช่น ~50 FPS แบบไม่มี stutter) 🕛 แต่เมื่อเข้าสู่ฉากหนัก ๆ VRAM เต็ม → เฟรมเรตตกฮวบ เหลือ 40 FPS หรือต่ำกว่านั้น และบางครั้งลงไปถึงหลักสิบ 🕛 เกมต้อง “cull textures” อย่างรุนแรงเพื่อให้พออยู่ใน 8GB ทำให้โมเดลตัวละครและพื้นผิวดูเบลอหรือโหลดไม่ทัน ในเกมอย่าง Cyberpunk 2077 และ RDR2 ปัญหายิ่งชัดเจน: 📊 ฉากเมืองหนาแน่นทำให้ VRAM เต็มเร็ว 📊 เฟรมเรตแกว่งหนัก 📊 DX12 ยังมี stuttering ที่ Vulkan ไม่มี แม้จะปรับลงมาเป็น Medium textures + RT เปิด + FSR4 Quality ก็ยังพบว่าเฟรมเรต “ตกจากหน้าผา” ทันทีที่ VRAM ถูกใช้จนหมด นี่คือสัญญาณชัดเจนว่าเกมยุคใหม่ไม่ได้กินแค่ GPU compute แต่กิน VRAM แบบโหดขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเกมที่ใช้ asset ขนาดใหญ่, open‑world, หรือมีระบบ streaming texture แบบใหม่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ ✅ 8GB VRAM ยัง “พอเล่นได้” แต่มีข้อจำกัดชัดเจน ➡️ เล่นได้ดีในฉากเบา ๆ ➡️ แต่ VRAM เต็มเมื่อเจอฉากหนัก → เฟรมเรตตกทันที ➡️ เกมต้องลดคุณภาพ texture อัตโนมัติจนเห็นได้ชัด ✅ Ray Tracing + High/Epic textures = ไม่ไหว ➡️ เกมต้อง cull textures เพื่อให้พอใน 8GB ➡️ โมเดลตัวละครและพื้นผิวดู low‑res ➡️ เฟรมเรตแกว่งหนักในฉากเมืองหรือฉากแอ็กชัน ✅ FSR4 ช่วยได้ แต่ไม่แก้ปัญหา VRAM ➡️ เฟรมเรตดีขึ้นในฉากเปิด ➡️ แต่เมื่อ VRAM เต็ม → FSR ก็ช่วยไม่ได้ ✅ API มีผล ➡️ DX12 มี stuttering ในบางเกม ➡️ Vulkan ทำงานลื่นกว่าใน RDR2 ✅ เกมใหม่ ๆ ปี 2026 จะกิน VRAM มากขึ้น ➡️ เกม AAA เริ่มใช้ texture 4K/8K ➡️ ระบบ streaming asset ซับซ้อนขึ้น ➡️ RT pipeline ใช้ VRAM เพิ่มขึ้นหลายร้อย MB ต่อเฟรม 🎯 ข้อสรุปเชิงกลยุทธ์ (จากข้อมูลในบทความ + บริบทอุตสาหกรรม) ➡️ 8GB VRAM = mid‑range minimum ในปี 2026 ➡️ 12GB กำลังกลายเป็น baseline ใหม่ สำหรับ AAA ➡️ 16GB จะเป็น sweet spot สำหรับเกมที่เปิด RT ➡️ การ์ด 8GB ยัง “เล่นได้” แต่ต้องลด texture และปิด RT https://wccftech.com/is-8-gb-of-vram-enough-heading-into-2026-sapphire-pulse-9060-xt-8gb-benchmarked/
    WCCFTECH.COM
    Is 8 GB of VRAM Enough heading into 2026? Sapphire Pulse 9060 XT 8GB Benchmarked
    Is 8 GB VRAM enough for modern games? We answer this question with the modern Radeon RX 9060 XT GPU from AMD.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • โค้งสุดท้ายมาเลเซีย ไกล่เกลี่ยไทย-กัมพูชา

    ในวันที่ 22 ธ.ค. มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน จะจัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน สมัยพิเศษ เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน ระหว่างกัมพูชาและไทย ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ จะเป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว หลังจากนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เห็นชอบร่วมกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของไทย และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ที่ผ่านมา นับเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายของมาเลเซีย ก่อนหมดวาระและส่งต่อหน้าที่ประธานอาเซียน ให้กับประเทศฟิลิปปินส์ในปี 2569

    ก่อนหน้านี้ นายอันวาร์โทรศัพท์ไปยังนายอนุทิน และนายฮุน มาเนต ก่อนที่จะกล่าวว่า ขอย้ำถึงความสําคัญสําหรับกัมพูชาและประเทศไทย เพื่อยึดมั่นในจิตวิญญาณของการสนทนา ภูมิปัญญาและความเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะยุติความตึงเครียดและรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค การประชุมดังกล่าวเป็นรูปแบบที่เหมาะสมและสร้างสรรค์ เพื่อให้ทั้งสองประเทศสามารถเจรจาต่อรองได้อย่างเปิดเผย แก้ไขความต่างได้อย่างสันติ และบรรลุทางออกที่เป็นธรรมและยั่งยืน

    อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นับตั้งแต่กัมพูชาเปิดฉากยิงจรวด BM-21 ไปยังเป้าหมายพลเรือนในประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 ก.ค. เสียชีวิต 12 ราย ถึงบัดนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง ก่อนหน้านี้นายอันวาร์ทำหน้าที่เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยข้อตกลงหยุดยิง และลงนามปฎิญญาสันติภาพ โดยมีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นสักขีพยาน แต่กัมพูชายังคงลักลอบวางทุ่นระเบิด ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บและพิการ กลายเป็นการปะทะรอบสองตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค. แม้นายอันวาร์จะประกาศให้หยุดยิง โดยมีนายฮุน มาเนตตอบรับ แต่เมื่อถึงเวลากลับยังมีการปะทะอยู่ นายอันวาร์หน้าแตกมาแล้วถึงสองครั้ง พร้อมกับถูกตั้งคำถามว่าการเข้าแทรกแซงเหมาะสมหรือไม่

    หลังพ้นจากตำแหน่งประธานอาเซียนในปี 2568 ทิศทางการเมืองของรัฐบาลนายอันวาร์ จะกลับไปสู่ความสนใจการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการปฎิรูปการเมือง และการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 16 (General Election หรือ GE16) ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในต้นปี 2571 ซึ่งนายอันวาร์ กล่าวว่า การเลือกตั้งทั่วไปยังเหลืออีกนาน ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย ก่อนหน้านี้กลุ่มการเมืองปากาตันฮาราปัน (Pakatan Harapan) ของนายอันวาร์ พ่ายแพ้การเลือกตั้งระดับรัฐแบบยับเยินที่รัฐซาบาห์ และในปี 2569 กำลังจะมีการเลือกตั้งระดับรัฐในรัฐมะละกาและรัฐยะโฮร์

    #Newskit
    โค้งสุดท้ายมาเลเซีย ไกล่เกลี่ยไทย-กัมพูชา ในวันที่ 22 ธ.ค. มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน จะจัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน สมัยพิเศษ เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน ระหว่างกัมพูชาและไทย ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ จะเป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว หลังจากนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เห็นชอบร่วมกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของไทย และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ที่ผ่านมา นับเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายของมาเลเซีย ก่อนหมดวาระและส่งต่อหน้าที่ประธานอาเซียน ให้กับประเทศฟิลิปปินส์ในปี 2569 ก่อนหน้านี้ นายอันวาร์โทรศัพท์ไปยังนายอนุทิน และนายฮุน มาเนต ก่อนที่จะกล่าวว่า ขอย้ำถึงความสําคัญสําหรับกัมพูชาและประเทศไทย เพื่อยึดมั่นในจิตวิญญาณของการสนทนา ภูมิปัญญาและความเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะยุติความตึงเครียดและรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค การประชุมดังกล่าวเป็นรูปแบบที่เหมาะสมและสร้างสรรค์ เพื่อให้ทั้งสองประเทศสามารถเจรจาต่อรองได้อย่างเปิดเผย แก้ไขความต่างได้อย่างสันติ และบรรลุทางออกที่เป็นธรรมและยั่งยืน อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นับตั้งแต่กัมพูชาเปิดฉากยิงจรวด BM-21 ไปยังเป้าหมายพลเรือนในประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 ก.ค. เสียชีวิต 12 ราย ถึงบัดนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง ก่อนหน้านี้นายอันวาร์ทำหน้าที่เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยข้อตกลงหยุดยิง และลงนามปฎิญญาสันติภาพ โดยมีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นสักขีพยาน แต่กัมพูชายังคงลักลอบวางทุ่นระเบิด ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บและพิการ กลายเป็นการปะทะรอบสองตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค. แม้นายอันวาร์จะประกาศให้หยุดยิง โดยมีนายฮุน มาเนตตอบรับ แต่เมื่อถึงเวลากลับยังมีการปะทะอยู่ นายอันวาร์หน้าแตกมาแล้วถึงสองครั้ง พร้อมกับถูกตั้งคำถามว่าการเข้าแทรกแซงเหมาะสมหรือไม่ หลังพ้นจากตำแหน่งประธานอาเซียนในปี 2568 ทิศทางการเมืองของรัฐบาลนายอันวาร์ จะกลับไปสู่ความสนใจการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการปฎิรูปการเมือง และการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 16 (General Election หรือ GE16) ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในต้นปี 2571 ซึ่งนายอันวาร์ กล่าวว่า การเลือกตั้งทั่วไปยังเหลืออีกนาน ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย ก่อนหน้านี้กลุ่มการเมืองปากาตันฮาราปัน (Pakatan Harapan) ของนายอันวาร์ พ่ายแพ้การเลือกตั้งระดับรัฐแบบยับเยินที่รัฐซาบาห์ และในปี 2569 กำลังจะมีการเลือกตั้งระดับรัฐในรัฐมะละกาและรัฐยะโฮร์ #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • TP‑Link Tapo C200: เมื่อกล้องวงจรปิดราคาถูกกลายเป็นประตูหลังสู่บ้านของผู้ใช้

    งานวิจัยล่าสุดของ Simone Margaritelli เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงหลายรายการในกล้อง TP‑Link Tapo C200 ซึ่งเป็นหนึ่งในกล้อง IP ราคาประหยัดที่ได้รับความนิยมสูงทั่วโลก จุดเริ่มต้นของการค้นพบนี้มาจากการทดลอง “เล่นสนุกวันหยุด” ที่ตั้งใจใช้ AI ช่วยในการรีเวิร์สเอนจิเนียริง แต่กลับนำไปสู่การพบช่องโหว่ที่กระทบอุปกรณ์กว่า 25,000 ตัวที่เปิดเผยบนอินเทอร์เน็ตโดยตรง การค้นพบนี้สะท้อนความจริงที่น่ากังวลว่าอุปกรณ์ IoT ราคาถูกจำนวนมากยังคงมีสถาปัตยกรรมความปลอดภัยที่อ่อนแออย่างน่าตกใจ

    สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ TP‑Link เก็บ private SSL keys แบบ hardcoded ไว้ในเฟิร์มแวร์ ซึ่งหมายความว่าใครก็ตามที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกับกล้องสามารถดักฟังและถอดรหัส HTTPS traffic ได้ทันทีโดยไม่ต้องยุ่งกับฮาร์ดแวร์เลย นอกจากนี้ การใช้ AI เช่น Grok, Claude Opus และ GhidraMCP ทำให้กระบวนการวิเคราะห์เฟิร์มแวร์เร็วขึ้นอย่างมหาศาล—ตั้งแต่การถอดรหัสเฟิร์มแวร์จาก S3 bucket ที่เปิดสาธารณะ ไปจนถึงการทำความเข้าใจโค้ด MIPS ที่ซับซ้อนภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

    การวิเคราะห์นำไปสู่การค้นพบช่องโหว่ 4 รายการที่ร้ายแรง ทั้ง buffer overflow ใน ONVIF XML parser, integer overflow ใน HTTPS server, API ที่อนุญาตให้เปลี่ยน WiFi ของกล้องได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน และ API ที่เปิดเผยรายชื่อ WiFi รอบข้าง ซึ่งสามารถนำไปสู่การ ระบุตำแหน่งบ้านของเหยื่อได้อย่างแม่นยำ ผ่านฐานข้อมูล BSSID ของ Apple นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านความปลอดภัย แต่เป็นปัญหาด้านความเป็นส่วนตัวระดับโครงสร้างที่ทำให้กล้องวงจรปิดกลายเป็นอุปกรณ์ติดตามตำแหน่งโดยไม่ตั้งใจ

    ท้ายที่สุด Margaritelli เปิดเผยไทม์ไลน์การแจ้งเตือน TP‑Link ซึ่งล่าช้าเกินกว่า 150 วันก่อนจะมีการออกแพตช์ ทั้งที่บริษัทเป็น CVE Numbering Authority (CNA) ของตัวเอง และใช้จำนวน CVE ต่ำเป็นเครื่องมือทางการตลาด นี่คือความขัดแย้งเชิงโครงสร้างที่สะท้อนปัญหาของอุตสาหกรรม IoT: ผู้ผลิตควบคุมทั้งผลิตภัณฑ์ ช่องโหว่ และการรายงาน ทำให้ผู้ใช้ต้องพึ่งพาความรับผิดชอบของบริษัทมากกว่ามาตรฐานความปลอดภัยที่แท้จริง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สิ่งที่ค้นพบจากการรีเวิร์สเฟิร์มแวร์
    พบ private SSL keys แบบ hardcoded ในเฟิร์มแวร์
    เฟิร์มแวร์ทั้งหมดของ TP‑Link อยู่ใน S3 bucket แบบเปิด
    AI ช่วยเร่งการวิเคราะห์โค้ด MIPS และ mapping API handlers ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ช่องโหว่สำคัญ (CVE)
    CVE‑2025‑8065 — ONVIF XML parser overflow ทำให้กล้อง crash
    CVE‑2025‑14299 — HTTPS Content‑Length integer overflow
    CVE‑2025‑14300 — API connectAp ไม่มี auth ทำให้เปลี่ยน WiFi ได้
    scanApList API เปิดเผยข้อมูล WiFi รอบข้างแบบไม่ต้องยืนยันตัวตน

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    ผู้โจมตีสามารถดักฟังวิดีโอได้ผ่าน private key ที่ฝังมาในเฟิร์มแวร์
    สามารถบังคับให้กล้องเชื่อมต่อ WiFi ของผู้โจมตี
    สามารถระบุตำแหน่งบ้านของเหยื่อผ่าน BSSID → Apple location API
    อุปกรณ์กว่า 25,000 ตัว เปิดเผยบนอินเทอร์เน็ตโดยตรง

    ปัญหาเชิงโครงสร้างของผู้ผลิต
    TP‑Link เป็น CNA ของตัวเอง ทำให้มีอำนาจควบคุมการรายงานช่องโหว่
    ใช้จำนวน CVE ต่ำเป็นเครื่องมือทางการตลาด
    การตอบสนองล่าช้าเกินกว่า 150 วัน แม้ช่องโหว่จะร้ายแรง

    สิ่งที่ต้องระวัง
    กล้อง IoT ราคาถูกมักมีสถาปัตยกรรมความปลอดภัยที่อ่อนแอ
    การพึ่งพา API ที่ไม่มีการยืนยันตัวตนเป็นความเสี่ยงร้ายแรง
    การเปิดเผย BSSID อาจนำไปสู่การระบุตำแหน่งบ้านได้
    ผู้ผลิตที่เป็น CNA ของตัวเองอาจมีแรงจูงใจลดการเปิดเผยช่องโหว่

    https://www.evilsocket.net/2025/12/18/TP-Link-Tapo-C200-Hardcoded-Keys-Buffer-Overflows-and-Privacy-in-the-Era-of-AI-Assisted-Reverse-Engineering/
    🔓 TP‑Link Tapo C200: เมื่อกล้องวงจรปิดราคาถูกกลายเป็นประตูหลังสู่บ้านของผู้ใช้ งานวิจัยล่าสุดของ Simone Margaritelli เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงหลายรายการในกล้อง TP‑Link Tapo C200 ซึ่งเป็นหนึ่งในกล้อง IP ราคาประหยัดที่ได้รับความนิยมสูงทั่วโลก จุดเริ่มต้นของการค้นพบนี้มาจากการทดลอง “เล่นสนุกวันหยุด” ที่ตั้งใจใช้ AI ช่วยในการรีเวิร์สเอนจิเนียริง แต่กลับนำไปสู่การพบช่องโหว่ที่กระทบอุปกรณ์กว่า 25,000 ตัวที่เปิดเผยบนอินเทอร์เน็ตโดยตรง การค้นพบนี้สะท้อนความจริงที่น่ากังวลว่าอุปกรณ์ IoT ราคาถูกจำนวนมากยังคงมีสถาปัตยกรรมความปลอดภัยที่อ่อนแออย่างน่าตกใจ สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ TP‑Link เก็บ private SSL keys แบบ hardcoded ไว้ในเฟิร์มแวร์ ซึ่งหมายความว่าใครก็ตามที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกับกล้องสามารถดักฟังและถอดรหัส HTTPS traffic ได้ทันทีโดยไม่ต้องยุ่งกับฮาร์ดแวร์เลย นอกจากนี้ การใช้ AI เช่น Grok, Claude Opus และ GhidraMCP ทำให้กระบวนการวิเคราะห์เฟิร์มแวร์เร็วขึ้นอย่างมหาศาล—ตั้งแต่การถอดรหัสเฟิร์มแวร์จาก S3 bucket ที่เปิดสาธารณะ ไปจนถึงการทำความเข้าใจโค้ด MIPS ที่ซับซ้อนภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง การวิเคราะห์นำไปสู่การค้นพบช่องโหว่ 4 รายการที่ร้ายแรง ทั้ง buffer overflow ใน ONVIF XML parser, integer overflow ใน HTTPS server, API ที่อนุญาตให้เปลี่ยน WiFi ของกล้องได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน และ API ที่เปิดเผยรายชื่อ WiFi รอบข้าง ซึ่งสามารถนำไปสู่การ ระบุตำแหน่งบ้านของเหยื่อได้อย่างแม่นยำ ผ่านฐานข้อมูล BSSID ของ Apple นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านความปลอดภัย แต่เป็นปัญหาด้านความเป็นส่วนตัวระดับโครงสร้างที่ทำให้กล้องวงจรปิดกลายเป็นอุปกรณ์ติดตามตำแหน่งโดยไม่ตั้งใจ ท้ายที่สุด Margaritelli เปิดเผยไทม์ไลน์การแจ้งเตือน TP‑Link ซึ่งล่าช้าเกินกว่า 150 วันก่อนจะมีการออกแพตช์ ทั้งที่บริษัทเป็น CVE Numbering Authority (CNA) ของตัวเอง และใช้จำนวน CVE ต่ำเป็นเครื่องมือทางการตลาด นี่คือความขัดแย้งเชิงโครงสร้างที่สะท้อนปัญหาของอุตสาหกรรม IoT: ผู้ผลิตควบคุมทั้งผลิตภัณฑ์ ช่องโหว่ และการรายงาน ทำให้ผู้ใช้ต้องพึ่งพาความรับผิดชอบของบริษัทมากกว่ามาตรฐานความปลอดภัยที่แท้จริง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สิ่งที่ค้นพบจากการรีเวิร์สเฟิร์มแวร์ ➡️ พบ private SSL keys แบบ hardcoded ในเฟิร์มแวร์ ➡️ เฟิร์มแวร์ทั้งหมดของ TP‑Link อยู่ใน S3 bucket แบบเปิด ➡️ AI ช่วยเร่งการวิเคราะห์โค้ด MIPS และ mapping API handlers ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ช่องโหว่สำคัญ (CVE) ➡️ CVE‑2025‑8065 — ONVIF XML parser overflow ทำให้กล้อง crash ➡️ CVE‑2025‑14299 — HTTPS Content‑Length integer overflow ➡️ CVE‑2025‑14300 — API connectAp ไม่มี auth ทำให้เปลี่ยน WiFi ได้ ➡️ scanApList API เปิดเผยข้อมูล WiFi รอบข้างแบบไม่ต้องยืนยันตัวตน ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ ➡️ ผู้โจมตีสามารถดักฟังวิดีโอได้ผ่าน private key ที่ฝังมาในเฟิร์มแวร์ ➡️ สามารถบังคับให้กล้องเชื่อมต่อ WiFi ของผู้โจมตี ➡️ สามารถระบุตำแหน่งบ้านของเหยื่อผ่าน BSSID → Apple location API ➡️ อุปกรณ์กว่า 25,000 ตัว เปิดเผยบนอินเทอร์เน็ตโดยตรง ✅ ปัญหาเชิงโครงสร้างของผู้ผลิต ➡️ TP‑Link เป็น CNA ของตัวเอง ทำให้มีอำนาจควบคุมการรายงานช่องโหว่ ➡️ ใช้จำนวน CVE ต่ำเป็นเครื่องมือทางการตลาด ➡️ การตอบสนองล่าช้าเกินกว่า 150 วัน แม้ช่องโหว่จะร้ายแรง ‼️ สิ่งที่ต้องระวัง ⛔ กล้อง IoT ราคาถูกมักมีสถาปัตยกรรมความปลอดภัยที่อ่อนแอ ⛔ การพึ่งพา API ที่ไม่มีการยืนยันตัวตนเป็นความเสี่ยงร้ายแรง ⛔ การเปิดเผย BSSID อาจนำไปสู่การระบุตำแหน่งบ้านได้ ⛔ ผู้ผลิตที่เป็น CNA ของตัวเองอาจมีแรงจูงใจลดการเปิดเผยช่องโหว่ https://www.evilsocket.net/2025/12/18/TP-Link-Tapo-C200-Hardcoded-Keys-Buffer-Overflows-and-Privacy-in-the-Era-of-AI-Assisted-Reverse-Engineering/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2025: ปีที่ LLM เปลี่ยนรูปร่าง—จาก “โมเดลที่ถูกสอน” สู่ “สิ่งมีชีวิตเชิงตรรกะที่ถูกเรียกใช้”

    ปี 2025 เป็นปีที่วงการ LLM เปลี่ยนโฉมอย่างชัดเจนที่สุดตั้งแต่ยุค GPT‑3 เพราะเป็นปีที่ Reinforcement Learning from Verifiable Rewards (RLVR) กลายเป็นแกนกลางของการพัฒนาโมเดลแทนการพึ่ง SFT + RLHF แบบเดิม การฝึกด้วยรางวัลที่ตรวจสอบได้อัตโนมัติในโดเมนอย่างคณิตศาสตร์และโค้ด ทำให้โมเดล “ค้นพบ” กลยุทธ์การคิดด้วยตัวเอง เช่น การแตกโจทย์เป็นขั้นตอน การย้อนกลับไปตรวจคำตอบ และการสร้าง reasoning trace ที่ยาวขึ้นเพื่อเพิ่มความแม่นยำ สิ่งนี้ทำให้ LLM ดูเหมือน “คิดเป็น” มากขึ้นในสายตาของมนุษย์

    นอกจากความก้าวหน้าทางเทคนิคแล้ว ปีนี้ยังเป็นปีที่อุตสาหกรรมเริ่มเข้าใจ “รูปร่างของสติปัญญาแบบ LLM” ว่ามันไม่ใช่สัตว์วิวัฒนาการ แต่เป็น “ผี” ที่ถูกเรียกขึ้นมาจากการ optimize ตามแรงกดดันของข้อมูลและรางวัล ทำให้ความสามารถของโมเดลมีลักษณะ “เป็นหยัก” (jagged) เก่งมากในบางเรื่องและงงงวยในบางเรื่องอย่างสุดขั้ว สิ่งนี้ทำให้ความเชื่อใน benchmark ลดลง เพราะโมเดลสามารถ “โตตาม benchmark” ได้ง่ายผ่าน RLVR และ synthetic data

    ปีนี้ยังเป็นปีที่ LLM apps เช่น Cursor และ Claude Code แสดงให้เห็นว่า “แอป LLM” คือเลเยอร์ใหม่ของซอฟต์แวร์—เป็นตัว orchestrate โมเดลหลายตัว, จัดการ context, เชื่อมต่อเครื่องมือ และสร้าง GUI เฉพาะงาน Cursor ทำให้เกิดคำว่า “Cursor for X” ส่วน Claude Code แสดงให้เห็นว่า agent ที่รันบนเครื่องผู้ใช้โดยตรงสามารถเปลี่ยน workflow ของนักพัฒนาได้อย่างสิ้นเชิง

    ท้ายที่สุด ปี 2025 คือปีที่ “vibe coding” กลายเป็นเรื่องปกติ—การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาอังกฤษแทนโค้ด ทำให้คนทั่วไปสร้างซอฟต์แวร์ได้ และทำให้โปรแกรมเมอร์สร้างซอฟต์แวร์มากกว่าที่เคยเป็นไปได้ นอกจากนี้โมเดลอย่าง Gemini Nano Banana ยังเผยให้เห็นอนาคตของ “LLM GUI” ที่ผสานข้อความ ภาพ และความรู้เข้าด้วยกันในโมเดลเดียว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลงใหญ่ของสถาปัตยกรรม LLM ในปี 2025
    RLVR กลายเป็นแกนหลักแทน SFT + RLHF
    โมเดลเรียนรู้กลยุทธ์ reasoning ด้วยตัวเองผ่านรางวัลที่ตรวจสอบได้
    ความสามารถเพิ่มขึ้นจาก “การคิดนานขึ้น” ไม่ใช่แค่โมเดลใหญ่ขึ้น

    ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับ “สติปัญญาแบบ LLM”
    LLM ไม่ได้วิวัฒน์แบบสัตว์ แต่ถูก optimize แบบ “ผี” ตามแรงกดดันข้อมูล
    ความสามารถเป็นหยัก—เก่งมากในบางเรื่อง งงมากในบางเรื่อง
    benchmark เริ่มไม่น่าเชื่อถือเพราะถูก optimize ทับซ้อนด้วย RLVR

    การเกิดขึ้นของเลเยอร์ใหม่: LLM Apps
    Cursor แสดงให้เห็นว่าแอป LLM คือ orchestration layer ใหม่ของซอฟต์แวร์
    Claude Code คือ agent ที่รันบนเครื่องผู้ใช้ เปลี่ยน workflow นักพัฒนาโดยตรง
    LLM apps จะเป็นตัว “ประกอบทีม AI” สำหรับงานเฉพาะทาง

    Vibe Coding และการ democratize การเขียนโปรแกรม
    เขียนโปรแกรมด้วยภาษาอังกฤษแทนโค้ด
    คนทั่วไปสร้างซอฟต์แวร์ได้ง่ายขึ้น
    นักพัฒนาสามารถสร้างซอฟต์แวร์แบบ “ใช้ครั้งเดียวทิ้ง” เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

    สัญญาณของอนาคต: LLM GUI
    Gemini Nano Banana แสดงให้เห็นการรวม text + image + knowledge ในโมเดลเดียว
    อนาคตของ LLM จะไม่ใช่ “แชต” แต่เป็น “อินเทอร์เฟซภาพ” ที่มนุษย์ถนัดกว่า

    ประเด็นที่ต้องระวัง
    RLVR อาจทำให้โมเดลเก่งเฉพาะโดเมนที่ตรวจสอบได้ แต่ยังอ่อนในโดเมนเปิด
    benchmark อาจหลอกตา ทำให้ประเมินความสามารถโมเดลผิด
    agent ที่รันบนเครื่องผู้ใช้ต้องระวังเรื่องสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลและความปลอดภัย

    https://karpathy.bearblog.dev/year-in-review-2025/
    🤖 2025: ปีที่ LLM เปลี่ยนรูปร่าง—จาก “โมเดลที่ถูกสอน” สู่ “สิ่งมีชีวิตเชิงตรรกะที่ถูกเรียกใช้” ปี 2025 เป็นปีที่วงการ LLM เปลี่ยนโฉมอย่างชัดเจนที่สุดตั้งแต่ยุค GPT‑3 เพราะเป็นปีที่ Reinforcement Learning from Verifiable Rewards (RLVR) กลายเป็นแกนกลางของการพัฒนาโมเดลแทนการพึ่ง SFT + RLHF แบบเดิม การฝึกด้วยรางวัลที่ตรวจสอบได้อัตโนมัติในโดเมนอย่างคณิตศาสตร์และโค้ด ทำให้โมเดล “ค้นพบ” กลยุทธ์การคิดด้วยตัวเอง เช่น การแตกโจทย์เป็นขั้นตอน การย้อนกลับไปตรวจคำตอบ และการสร้าง reasoning trace ที่ยาวขึ้นเพื่อเพิ่มความแม่นยำ สิ่งนี้ทำให้ LLM ดูเหมือน “คิดเป็น” มากขึ้นในสายตาของมนุษย์ นอกจากความก้าวหน้าทางเทคนิคแล้ว ปีนี้ยังเป็นปีที่อุตสาหกรรมเริ่มเข้าใจ “รูปร่างของสติปัญญาแบบ LLM” ว่ามันไม่ใช่สัตว์วิวัฒนาการ แต่เป็น “ผี” ที่ถูกเรียกขึ้นมาจากการ optimize ตามแรงกดดันของข้อมูลและรางวัล ทำให้ความสามารถของโมเดลมีลักษณะ “เป็นหยัก” (jagged) เก่งมากในบางเรื่องและงงงวยในบางเรื่องอย่างสุดขั้ว สิ่งนี้ทำให้ความเชื่อใน benchmark ลดลง เพราะโมเดลสามารถ “โตตาม benchmark” ได้ง่ายผ่าน RLVR และ synthetic data ปีนี้ยังเป็นปีที่ LLM apps เช่น Cursor และ Claude Code แสดงให้เห็นว่า “แอป LLM” คือเลเยอร์ใหม่ของซอฟต์แวร์—เป็นตัว orchestrate โมเดลหลายตัว, จัดการ context, เชื่อมต่อเครื่องมือ และสร้าง GUI เฉพาะงาน Cursor ทำให้เกิดคำว่า “Cursor for X” ส่วน Claude Code แสดงให้เห็นว่า agent ที่รันบนเครื่องผู้ใช้โดยตรงสามารถเปลี่ยน workflow ของนักพัฒนาได้อย่างสิ้นเชิง ท้ายที่สุด ปี 2025 คือปีที่ “vibe coding” กลายเป็นเรื่องปกติ—การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาอังกฤษแทนโค้ด ทำให้คนทั่วไปสร้างซอฟต์แวร์ได้ และทำให้โปรแกรมเมอร์สร้างซอฟต์แวร์มากกว่าที่เคยเป็นไปได้ นอกจากนี้โมเดลอย่าง Gemini Nano Banana ยังเผยให้เห็นอนาคตของ “LLM GUI” ที่ผสานข้อความ ภาพ และความรู้เข้าด้วยกันในโมเดลเดียว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลงใหญ่ของสถาปัตยกรรม LLM ในปี 2025 ➡️ RLVR กลายเป็นแกนหลักแทน SFT + RLHF ➡️ โมเดลเรียนรู้กลยุทธ์ reasoning ด้วยตัวเองผ่านรางวัลที่ตรวจสอบได้ ➡️ ความสามารถเพิ่มขึ้นจาก “การคิดนานขึ้น” ไม่ใช่แค่โมเดลใหญ่ขึ้น ✅ ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับ “สติปัญญาแบบ LLM” ➡️ LLM ไม่ได้วิวัฒน์แบบสัตว์ แต่ถูก optimize แบบ “ผี” ตามแรงกดดันข้อมูล ➡️ ความสามารถเป็นหยัก—เก่งมากในบางเรื่อง งงมากในบางเรื่อง ➡️ benchmark เริ่มไม่น่าเชื่อถือเพราะถูก optimize ทับซ้อนด้วย RLVR ✅ การเกิดขึ้นของเลเยอร์ใหม่: LLM Apps ➡️ Cursor แสดงให้เห็นว่าแอป LLM คือ orchestration layer ใหม่ของซอฟต์แวร์ ➡️ Claude Code คือ agent ที่รันบนเครื่องผู้ใช้ เปลี่ยน workflow นักพัฒนาโดยตรง ➡️ LLM apps จะเป็นตัว “ประกอบทีม AI” สำหรับงานเฉพาะทาง ✅ Vibe Coding และการ democratize การเขียนโปรแกรม ➡️ เขียนโปรแกรมด้วยภาษาอังกฤษแทนโค้ด ➡️ คนทั่วไปสร้างซอฟต์แวร์ได้ง่ายขึ้น ➡️ นักพัฒนาสามารถสร้างซอฟต์แวร์แบบ “ใช้ครั้งเดียวทิ้ง” เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ✅ สัญญาณของอนาคต: LLM GUI ➡️ Gemini Nano Banana แสดงให้เห็นการรวม text + image + knowledge ในโมเดลเดียว ➡️ อนาคตของ LLM จะไม่ใช่ “แชต” แต่เป็น “อินเทอร์เฟซภาพ” ที่มนุษย์ถนัดกว่า ‼️ ประเด็นที่ต้องระวัง ⛔ RLVR อาจทำให้โมเดลเก่งเฉพาะโดเมนที่ตรวจสอบได้ แต่ยังอ่อนในโดเมนเปิด ⛔ benchmark อาจหลอกตา ทำให้ประเมินความสามารถโมเดลผิด ⛔ agent ที่รันบนเครื่องผู้ใช้ต้องระวังเรื่องสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลและความปลอดภัย https://karpathy.bearblog.dev/year-in-review-2025/
    KARPATHY.BEARBLOG.DEV
    2025 LLM Year in Review
    2025 Year in Review of LLM paradigm changes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • CSS Grid Lanes: อนาคตของ Masonry Layout ที่ทำงานได้จริงในเบราว์เซอร์

    CSS Grid Lanes คือความพยายามครั้งสำคัญของทีม WebKit และกลุ่มทำงาน CSS ที่ต้องการสร้าง “Masonry layout แบบเนทีฟ” โดยไม่ต้องพึ่ง JavaScript หรือไลบรารีเสริมอีกต่อไป ฟีเจอร์นี้เกิดจากการทำงานร่วมกันหลายปีระหว่าง Mozilla, Apple และสมาชิกใน CSS Working Group เพื่อหาวิธีสร้างเลย์เอาต์แบบ Pinterest‑style ที่ทั้งยืดหยุ่นและเข้าถึงได้ง่ายในทุกเบราว์เซอร์

    หัวใจของ Grid Lanes คือการใช้พลังของ CSS Grid เดิม แต่เพิ่มความสามารถให้เบราว์เซอร์จัดวางไอเท็มตาม “ช่องว่างที่ใกล้ด้านบนที่สุด” คล้ายการขับรถเปลี่ยนเลนเพื่อไปให้ไกลที่สุดในสภาพจราจรติดขัด แนวคิดนี้ทำให้เกิดเลย์เอาต์แบบ waterfall โดยไม่ต้องเขียนสคริปต์ใดๆ และยังรองรับ infinite scroll ได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะเบราว์เซอร์จัดการตำแหน่งให้เองทั้งหมด

    นอกจากนี้ Grid Lanes ยังเปิดประตูสู่ดีไซน์ใหม่ๆ เช่น การกำหนดเลนกว้าง‑แคบสลับกัน การให้บางไอเท็ม span หลายคอลัมน์ หรือแม้แต่การสลับทิศทางของเลย์เอาต์จากแนวตั้งเป็นแนวนอนได้เพียงแค่เปลี่ยนจาก grid-template-columns เป็น grid-template-rows โดยไม่ต้องแก้โค้ดส่วนอื่นเลย ฟีเจอร์ “item‑tolerance” ยังช่วยควบคุมความไวของอัลกอริทึมในการจัดวาง ทำให้ดีไซเนอร์เลือกได้ว่าจะให้เลย์เอาต์ “นิ่ง” หรือ “ไหลลื่น” มากแค่ไหน

    แม้สเปกยังมีบางส่วนที่กำลังถกเถียง เช่น ชื่อ property ที่จะใช้ควบคุมทิศทาง แต่โดยรวมฟีเจอร์นี้ถือว่า “พร้อมใช้งาน” แล้วใน Safari Technology Preview และกำลังถูกผลักดันให้เป็นมาตรฐานเว็บในอนาคต หากถูกนำไปใช้จริงในทุกเบราว์เซอร์ Grid Lanes จะกลายเป็นหนึ่งในก้าวกระโดดสำคัญของ CSS ที่ช่วยลดภาระ JavaScript และทำให้เว็บเร็วขึ้น เข้าถึงง่ายขึ้น และออกแบบได้อิสระมากขึ้นกว่าเดิม

    สรุปประเด็นสำคัญ
    แนวคิดหลักของ CSS Grid Lanes
    สร้าง Masonry layout แบบเนทีฟโดยไม่ต้องใช้ JavaScript
    ใช้พลังของ CSS Grid เดิม แต่เพิ่มอัลกอริทึมจัดวางแบบ “closest to the top”
    รองรับ infinite scroll และการเข้าถึง (accessibility) ได้ดีกว่าไลบรารีเดิม

    ความสามารถใหม่ที่โดดเด่น
    สร้างเลนกว้าง‑แคบสลับกันด้วย grid-template-*
    ให้ไอเท็ม span หลายคอลัมน์ได้อย่างยืดหยุ่น
    สลับทิศทางเลย์เอาต์ได้ง่ายเพียงเปลี่ยน columns ↔ rows

    ฟีเจอร์ item‑tolerance
    ควบคุมความไวของอัลกอริทึมในการจัดวางไอเท็ม
    ลดการ “กระโดดเลย์เอาต์” หรือทำให้เลย์เอาต์ไหลลื่นขึ้นตามต้องการ

    สถานะปัจจุบันของสเปก
    พร้อมทดลองใช้ใน Safari Technology Preview 234
    CSS Working Group ยังถกเรื่องชื่อ property บางส่วน
    ฟีเจอร์โดยรวมถือว่า “พร้อมใช้งานจริง” ในอนาคตอันใกล้

    ประเด็นที่ต้องระวัง
    สเปกยังไม่เสถียร 100% อาจมีการเปลี่ยนชื่อ property
    รองรับเฉพาะบางเบราว์เซอร์ในตอนนี้
    ต้องตรวจสอบ grid-auto-flow หากเลย์เอาต์ไม่ทำงานตามคาด

    https://webkit.org/blog/17660/introducing-css-grid-lanes/
    🧩 CSS Grid Lanes: อนาคตของ Masonry Layout ที่ทำงานได้จริงในเบราว์เซอร์ CSS Grid Lanes คือความพยายามครั้งสำคัญของทีม WebKit และกลุ่มทำงาน CSS ที่ต้องการสร้าง “Masonry layout แบบเนทีฟ” โดยไม่ต้องพึ่ง JavaScript หรือไลบรารีเสริมอีกต่อไป ฟีเจอร์นี้เกิดจากการทำงานร่วมกันหลายปีระหว่าง Mozilla, Apple และสมาชิกใน CSS Working Group เพื่อหาวิธีสร้างเลย์เอาต์แบบ Pinterest‑style ที่ทั้งยืดหยุ่นและเข้าถึงได้ง่ายในทุกเบราว์เซอร์ หัวใจของ Grid Lanes คือการใช้พลังของ CSS Grid เดิม แต่เพิ่มความสามารถให้เบราว์เซอร์จัดวางไอเท็มตาม “ช่องว่างที่ใกล้ด้านบนที่สุด” คล้ายการขับรถเปลี่ยนเลนเพื่อไปให้ไกลที่สุดในสภาพจราจรติดขัด แนวคิดนี้ทำให้เกิดเลย์เอาต์แบบ waterfall โดยไม่ต้องเขียนสคริปต์ใดๆ และยังรองรับ infinite scroll ได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะเบราว์เซอร์จัดการตำแหน่งให้เองทั้งหมด นอกจากนี้ Grid Lanes ยังเปิดประตูสู่ดีไซน์ใหม่ๆ เช่น การกำหนดเลนกว้าง‑แคบสลับกัน การให้บางไอเท็ม span หลายคอลัมน์ หรือแม้แต่การสลับทิศทางของเลย์เอาต์จากแนวตั้งเป็นแนวนอนได้เพียงแค่เปลี่ยนจาก grid-template-columns เป็น grid-template-rows โดยไม่ต้องแก้โค้ดส่วนอื่นเลย ฟีเจอร์ “item‑tolerance” ยังช่วยควบคุมความไวของอัลกอริทึมในการจัดวาง ทำให้ดีไซเนอร์เลือกได้ว่าจะให้เลย์เอาต์ “นิ่ง” หรือ “ไหลลื่น” มากแค่ไหน แม้สเปกยังมีบางส่วนที่กำลังถกเถียง เช่น ชื่อ property ที่จะใช้ควบคุมทิศทาง แต่โดยรวมฟีเจอร์นี้ถือว่า “พร้อมใช้งาน” แล้วใน Safari Technology Preview และกำลังถูกผลักดันให้เป็นมาตรฐานเว็บในอนาคต หากถูกนำไปใช้จริงในทุกเบราว์เซอร์ Grid Lanes จะกลายเป็นหนึ่งในก้าวกระโดดสำคัญของ CSS ที่ช่วยลดภาระ JavaScript และทำให้เว็บเร็วขึ้น เข้าถึงง่ายขึ้น และออกแบบได้อิสระมากขึ้นกว่าเดิม 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ แนวคิดหลักของ CSS Grid Lanes ➡️ สร้าง Masonry layout แบบเนทีฟโดยไม่ต้องใช้ JavaScript ➡️ ใช้พลังของ CSS Grid เดิม แต่เพิ่มอัลกอริทึมจัดวางแบบ “closest to the top” ➡️ รองรับ infinite scroll และการเข้าถึง (accessibility) ได้ดีกว่าไลบรารีเดิม ✅ ความสามารถใหม่ที่โดดเด่น ➡️ สร้างเลนกว้าง‑แคบสลับกันด้วย grid-template-* ➡️ ให้ไอเท็ม span หลายคอลัมน์ได้อย่างยืดหยุ่น ➡️ สลับทิศทางเลย์เอาต์ได้ง่ายเพียงเปลี่ยน columns ↔ rows ✅ ฟีเจอร์ item‑tolerance ➡️ ควบคุมความไวของอัลกอริทึมในการจัดวางไอเท็ม ➡️ ลดการ “กระโดดเลย์เอาต์” หรือทำให้เลย์เอาต์ไหลลื่นขึ้นตามต้องการ ✅ สถานะปัจจุบันของสเปก ➡️ พร้อมทดลองใช้ใน Safari Technology Preview 234 ➡️ CSS Working Group ยังถกเรื่องชื่อ property บางส่วน ➡️ ฟีเจอร์โดยรวมถือว่า “พร้อมใช้งานจริง” ในอนาคตอันใกล้ ‼️ ประเด็นที่ต้องระวัง ⛔ สเปกยังไม่เสถียร 100% อาจมีการเปลี่ยนชื่อ property ⛔ รองรับเฉพาะบางเบราว์เซอร์ในตอนนี้ ⛔ ต้องตรวจสอบ grid-auto-flow หากเลย์เอาต์ไม่ทำงานตามคาด https://webkit.org/blog/17660/introducing-css-grid-lanes/
    WEBKIT.ORG
    Introducing CSS Grid Lanes
    It’s here, the future of masonry layouts on the web!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • Privacy is Marketing. Anonymity is Architecture: เมื่อคำว่า “ความเป็นส่วนตัว” กลายเป็นสโลแกน แต่ “สถาปัตยกรรม” ต่างหากที่ปกป้องคุณจริง

    บทความของ Servury เปิดโปงความจริงที่หลายคนรู้แต่ไม่ค่อยพูดออกมา: คำว่า “เราห่วงใยความเป็นส่วนตัวของคุณ” กลายเป็นเพียง วาทกรรมทางการตลาด ที่บริษัทเทคโนโลยีใช้เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ทั้งที่เบื้องหลังระบบยังคงเก็บข้อมูลทุกอย่างที่สามารถระบุตัวตนได้ ตั้งแต่ IP, อีเมล, หมายเลขโทรศัพท์ ไปจนถึงข้อมูลอุปกรณ์และพฤติกรรมการใช้งาน ความเป็นส่วนตัวในโลกปัจจุบันจึงไม่ใช่ “การปกป้องข้อมูล” แต่คือ “การครอบครองข้อมูล” ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่พร้อมถูกบังคับ เปิดเผย หรือรั่วไหลได้ทุกเมื่อ

    Servury ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่าง Privacy (ความเป็นส่วนตัว) กับ Anonymity (การไม่ระบุตัวตน) อย่างชัดเจน โดยยกตัวอย่าง Mullvad VPN ที่ถูกตำรวจสวีเดนบุกค้นในปี 2023 แต่ไม่สามารถยึดข้อมูลผู้ใช้ได้ เพราะระบบถูกออกแบบให้ “ไม่มีข้อมูลใดๆ ให้ยึด” ตั้งแต่แรก นี่คือพลังของสถาปัตยกรรมที่ตั้งต้นจากแนวคิด “เก็บให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น” ไม่ใช่ “เก็บทุกอย่างแล้วค่อยปกป้องทีหลัง”

    Servury นำแนวคิดนี้มาใช้กับแพลตฟอร์มของตัวเอง โดยตัดสินใจไม่เก็บอีเมล ไม่เก็บ IP ไม่เก็บชื่อ ไม่เก็บข้อมูลการใช้งาน และไม่เก็บข้อมูลอุปกรณ์ สิ่งเดียวที่ผู้ใช้มีคือ credential แบบสุ่ม 32 ตัวอักษร ซึ่งเป็นทั้งบัญชีและกุญแจเข้าระบบในเวลาเดียวกัน แน่นอนว่ามันแลกมากับความไม่สะดวก เช่น การกู้บัญชีไม่ได้ แต่ Servury ย้ำว่านี่คือ “ราคาของการไม่ทิ้งร่องรอย” และเป็นสิ่งที่บริษัทอื่นไม่กล้าทำเพราะขัดกับโมเดลธุรกิจที่ต้องพึ่งข้อมูลผู้ใช้

    บทความยังเตือนถึง “กับดักอีเมล” ซึ่งเป็นรากเหง้าของการติดตามตัวตนบนอินเทอร์เน็ต เพราะอีเมลผูกกับเบอร์โทร บัตรเครดิต บริการอื่นๆ และสามารถถูกติดตาม วิเคราะห์ หรือ subpoena ย้อนหลังได้ การใช้อีเมลจึงเท่ากับการยอมให้ตัวตนถูกผูกติดกับทุกบริการที่ใช้โดยอัตโนมัติ ในขณะที่โลกกำลังแยกออกเป็นสองฝั่ง—เว็บที่ต้องยืนยันตัวตนทุกอย่าง และ เว็บที่ยังคงรักษาความนิรนาม—บทความนี้คือคำเตือนว่าอนาคตของเสรีภาพออนไลน์ขึ้นอยู่กับสถาปัตยกรรม ไม่ใช่คำโฆษณา

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ความแตกต่างระหว่าง Privacy vs Anonymity
    Privacy คือการ “สัญญาว่าจะปกป้องข้อมูล”
    Anonymity คือ “ไม่มีข้อมูลให้ปกป้องตั้งแต่แรก”
    สถาปัตยกรรมที่ไม่เก็บข้อมูลคือการป้องกันที่แท้จริง

    ตัวอย่างจริง: Mullvad VPN
    ถูกตำรวจบุกค้นแต่ไม่มีข้อมูลให้ยึด
    ใช้ระบบบัญชีแบบตัวเลขสุ่ม 16 หลัก
    แสดงให้เห็นว่าการไม่เก็บข้อมูลคือเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด

    สถาปัตยกรรมของ Servury
    ไม่เก็บอีเมล ชื่อ IP อุปกรณ์ หรือข้อมูลการใช้งาน
    ผู้ใช้มีเพียง credential 32 ตัวอักษร
    ไม่มีระบบกู้บัญชี เพราะจะทำลายความนิรนาม

    ทำไมอีเมลคือ “ศัตรูของความนิรนาม”
    ผูกกับตัวตนจริงในหลายระบบ
    ถูกติดตาม วิเคราะห์ และ subpoena ได้
    เป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยงตัวตนข้ามบริการ

    บริบทโลกอินเทอร์เน็ตยุคใหม่
    อินเทอร์เน็ตกำลังแบ่งเป็น “เว็บที่ต้องยืนยันตัวตน” และ “เว็บที่ยังนิรนามได้”
    บริการที่ไม่จำเป็นต้องรู้จักผู้ใช้ควรออกแบบให้ไม่เก็บข้อมูล
    ความนิรนามคือสถาปัตยกรรม ไม่ใช่ฟีเจอร์

    ประเด็นที่ต้องระวัง
    สูญเสีย credential = สูญเสียบัญชีถาวร
    ความนิรนามไม่เท่ากับความปลอดภัย หากผู้ใช้เก็บ credential ไม่ดี
    การไม่เก็บข้อมูลไม่ได้ทำให้ผู้ใช้ “ล่องหน” จากทุกระบบ—เพียงลดการเชื่อมโยงตัวตน

    https://servury.com/blog/privacy-is-marketing-anonymity-is-architecture/
    🕶️ Privacy is Marketing. Anonymity is Architecture: เมื่อคำว่า “ความเป็นส่วนตัว” กลายเป็นสโลแกน แต่ “สถาปัตยกรรม” ต่างหากที่ปกป้องคุณจริง บทความของ Servury เปิดโปงความจริงที่หลายคนรู้แต่ไม่ค่อยพูดออกมา: คำว่า “เราห่วงใยความเป็นส่วนตัวของคุณ” กลายเป็นเพียง วาทกรรมทางการตลาด ที่บริษัทเทคโนโลยีใช้เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ทั้งที่เบื้องหลังระบบยังคงเก็บข้อมูลทุกอย่างที่สามารถระบุตัวตนได้ ตั้งแต่ IP, อีเมล, หมายเลขโทรศัพท์ ไปจนถึงข้อมูลอุปกรณ์และพฤติกรรมการใช้งาน ความเป็นส่วนตัวในโลกปัจจุบันจึงไม่ใช่ “การปกป้องข้อมูล” แต่คือ “การครอบครองข้อมูล” ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่พร้อมถูกบังคับ เปิดเผย หรือรั่วไหลได้ทุกเมื่อ Servury ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่าง Privacy (ความเป็นส่วนตัว) กับ Anonymity (การไม่ระบุตัวตน) อย่างชัดเจน โดยยกตัวอย่าง Mullvad VPN ที่ถูกตำรวจสวีเดนบุกค้นในปี 2023 แต่ไม่สามารถยึดข้อมูลผู้ใช้ได้ เพราะระบบถูกออกแบบให้ “ไม่มีข้อมูลใดๆ ให้ยึด” ตั้งแต่แรก นี่คือพลังของสถาปัตยกรรมที่ตั้งต้นจากแนวคิด “เก็บให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น” ไม่ใช่ “เก็บทุกอย่างแล้วค่อยปกป้องทีหลัง” Servury นำแนวคิดนี้มาใช้กับแพลตฟอร์มของตัวเอง โดยตัดสินใจไม่เก็บอีเมล ไม่เก็บ IP ไม่เก็บชื่อ ไม่เก็บข้อมูลการใช้งาน และไม่เก็บข้อมูลอุปกรณ์ สิ่งเดียวที่ผู้ใช้มีคือ credential แบบสุ่ม 32 ตัวอักษร ซึ่งเป็นทั้งบัญชีและกุญแจเข้าระบบในเวลาเดียวกัน แน่นอนว่ามันแลกมากับความไม่สะดวก เช่น การกู้บัญชีไม่ได้ แต่ Servury ย้ำว่านี่คือ “ราคาของการไม่ทิ้งร่องรอย” และเป็นสิ่งที่บริษัทอื่นไม่กล้าทำเพราะขัดกับโมเดลธุรกิจที่ต้องพึ่งข้อมูลผู้ใช้ บทความยังเตือนถึง “กับดักอีเมล” ซึ่งเป็นรากเหง้าของการติดตามตัวตนบนอินเทอร์เน็ต เพราะอีเมลผูกกับเบอร์โทร บัตรเครดิต บริการอื่นๆ และสามารถถูกติดตาม วิเคราะห์ หรือ subpoena ย้อนหลังได้ การใช้อีเมลจึงเท่ากับการยอมให้ตัวตนถูกผูกติดกับทุกบริการที่ใช้โดยอัตโนมัติ ในขณะที่โลกกำลังแยกออกเป็นสองฝั่ง—เว็บที่ต้องยืนยันตัวตนทุกอย่าง และ เว็บที่ยังคงรักษาความนิรนาม—บทความนี้คือคำเตือนว่าอนาคตของเสรีภาพออนไลน์ขึ้นอยู่กับสถาปัตยกรรม ไม่ใช่คำโฆษณา 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ความแตกต่างระหว่าง Privacy vs Anonymity ➡️ Privacy คือการ “สัญญาว่าจะปกป้องข้อมูล” ➡️ Anonymity คือ “ไม่มีข้อมูลให้ปกป้องตั้งแต่แรก” ➡️ สถาปัตยกรรมที่ไม่เก็บข้อมูลคือการป้องกันที่แท้จริง ✅ ตัวอย่างจริง: Mullvad VPN ➡️ ถูกตำรวจบุกค้นแต่ไม่มีข้อมูลให้ยึด ➡️ ใช้ระบบบัญชีแบบตัวเลขสุ่ม 16 หลัก ➡️ แสดงให้เห็นว่าการไม่เก็บข้อมูลคือเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด ✅ สถาปัตยกรรมของ Servury ➡️ ไม่เก็บอีเมล ชื่อ IP อุปกรณ์ หรือข้อมูลการใช้งาน ➡️ ผู้ใช้มีเพียง credential 32 ตัวอักษร ➡️ ไม่มีระบบกู้บัญชี เพราะจะทำลายความนิรนาม ✅ ทำไมอีเมลคือ “ศัตรูของความนิรนาม” ➡️ ผูกกับตัวตนจริงในหลายระบบ ➡️ ถูกติดตาม วิเคราะห์ และ subpoena ได้ ➡️ เป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยงตัวตนข้ามบริการ ✅ บริบทโลกอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ ➡️ อินเทอร์เน็ตกำลังแบ่งเป็น “เว็บที่ต้องยืนยันตัวตน” และ “เว็บที่ยังนิรนามได้” ➡️ บริการที่ไม่จำเป็นต้องรู้จักผู้ใช้ควรออกแบบให้ไม่เก็บข้อมูล ➡️ ความนิรนามคือสถาปัตยกรรม ไม่ใช่ฟีเจอร์ ‼️ ประเด็นที่ต้องระวัง ⛔ สูญเสีย credential = สูญเสียบัญชีถาวร ⛔ ความนิรนามไม่เท่ากับความปลอดภัย หากผู้ใช้เก็บ credential ไม่ดี ⛔ การไม่เก็บข้อมูลไม่ได้ทำให้ผู้ใช้ “ล่องหน” จากทุกระบบ—เพียงลดการเชื่อมโยงตัวตน https://servury.com/blog/privacy-is-marketing-anonymity-is-architecture/
    SERVURY.COM
    Privacy is Marketing. Anonymity is Architecture.
    Privacy is when they promise to protect your data. Anonymity is when they never had your data to begin with.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • Anna’s Archive ถอดรหัส Spotify: โปรเจกต์อนุรักษ์เพลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ดิจิทัล

    การประกาศของ Anna’s Archive ว่าสามารถ “แบ็กอัป Spotify” ได้สำเร็จ ถือเป็นเหตุการณ์ที่เขย่าวงการข้อมูลดิจิทัลอย่างแท้จริง เพราะนี่ไม่ใช่แค่การเก็บเพลง แต่เป็นการสร้าง คลังอนุรักษ์วัฒนธรรมดนตรีมนุษย์ ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยข้อมูลกว่า 256 ล้านแทร็ก, 186 ล้าน ISRC, และไฟล์เพลงกว่า 86 ล้านไฟล์ รวมขนาดราว 300TB ทั้งหมดถูกจัดเรียงตามความนิยมและเผยแพร่ผ่านทอร์เรนต์แบบเปิดให้ทุกคนสามารถมิเรอร์ได้อย่างอิสระ

    โปรเจกต์นี้เกิดขึ้นจากความเชื่อว่าดนตรีคือส่วนหนึ่งของมรดกมนุษยชาติที่ไม่ควรถูกผูกขาดโดยแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง แม้ Spotify จะเป็นบริการสตรีมมิงที่ใหญ่ที่สุด แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น เพลงที่ถูกลบเพราะลิขสิทธิ์หมดอายุ การเปลี่ยนแปลงแคตตาล็อก หรือการที่ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าถึงไฟล์ต้นฉบับได้จริง Anna’s Archive จึงมองว่าการเก็บข้อมูลเหล่านี้คือการ “กันไว้ก่อนที่จะหายไป” คล้ายกับที่พวกเขาทำกับหนังสือและงานวิชาการมาก่อน

    สิ่งที่น่าสนใจคือ วิธีการเก็บข้อมูลไม่ได้เน้นคุณภาพสูงสุดแบบนักออดิโอไฟล์ แต่เน้น ความครอบคลุมของวัฒนธรรม โดยใช้ไฟล์ OGG Vorbis 160kbps สำหรับเพลงยอดนิยม และ OGG Opus 75kbps สำหรับเพลงที่ไม่มีคนฟังมากนัก เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลได้มากที่สุดในพื้นที่จำกัด นอกจากนี้ยังมีการสร้างฐานข้อมูล SQLite ที่เก็บ metadata แบบเกือบไร้การสูญเสีย ทำให้สามารถวิเคราะห์แนวโน้มเพลง ความนิยม ศิลปิน และข้อมูลเชิงลึกอื่นๆ ได้ในระดับที่ Spotify เองยังไม่เปิดเผยทั้งหมด

    โปรเจกต์นี้ยังเผยให้เห็นความจริงที่น่าตกใจ เช่น มากกว่า 70% ของเพลงบน Spotify มีคนฟังน้อยกว่า 1,000 ครั้ง, เพลงยอดนิยมเพียงไม่กี่เพลงมีจำนวนสตรีมรวมกันมากกว่าหลายสิบล้านเพลงท้ายแถว และจำนวนเพลงที่สร้างโดย AI เพิ่มขึ้นจนเริ่มกลบเนื้อหาที่มนุษย์สร้างจริงๆ นี่คือภาพสะท้อนของอุตสาหกรรมดนตรีสมัยใหม่ที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และการเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้คือการเก็บ “หลักฐานทางวัฒนธรรม” ของยุคสตรีมมิงไว้ให้คนรุ่นหลัง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    โปรเจกต์อนุรักษ์ Spotify ของ Anna’s Archive
    เก็บ metadata ครอบคลุม 99.9% ของแทร็กทั้งหมด
    เก็บไฟล์เพลงกว่า 86 ล้านไฟล์ คิดเป็น 99.6% ของการฟังทั้งหมด
    ขนาดรวมราว 300TB และเผยแพร่ผ่านทอร์เรนต์แบบเปิด

    เหตุผลและความสำคัญ
    ป้องกันการสูญหายของเพลงจากลิขสิทธิ์หมดอายุหรือการลบออกจากแพลตฟอร์ม
    สร้างฐานข้อมูลวัฒนธรรมดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
    เปิดให้ทุกคนสามารถมิเรอร์และศึกษาข้อมูลได้

    วิธีการและเทคนิคที่ใช้
    จัดลำดับการเก็บตาม “ความนิยม” ของ Spotify
    ใช้ OGG Vorbis 160kbps สำหรับเพลงยอดนิยม และ Opus 75kbps สำหรับเพลงท้ายแถว
    สร้างฐานข้อมูล SQLite ที่เก็บ metadata แบบเกือบไร้การสูญเสีย

    ข้อมูลเชิงลึกที่ค้นพบ
    มากกว่า 70% ของเพลงมีคนฟังน้อยกว่า 1,000 ครั้ง
    เพลงยอดนิยม 3 เพลงมีจำนวนสตรีมรวมกันมากกว่าหลายสิบล้านเพลงท้ายแถว
    ปริมาณเพลงที่สร้างโดย AI เพิ่มขึ้นจนเริ่มกลบเพลงมนุษย์

    ประเด็นที่ต้องระวัง
    ข้อมูลบางส่วนอาจไม่สมบูรณ์หลังเดือนกรกฎาคม 2025
    เพลงที่มี popularity = 0 มี error bar สูงและอาจไม่แม่นยำ
    การเผยแพร่ไฟล์จำนวนมากอาจถูกมองว่าเสี่ยงด้านลิขสิทธิ์ในบางประเทศ

    https://annas-archive.li/blog/backing-up-spotify.html
    🎵 Anna’s Archive ถอดรหัส Spotify: โปรเจกต์อนุรักษ์เพลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ดิจิทัล การประกาศของ Anna’s Archive ว่าสามารถ “แบ็กอัป Spotify” ได้สำเร็จ ถือเป็นเหตุการณ์ที่เขย่าวงการข้อมูลดิจิทัลอย่างแท้จริง เพราะนี่ไม่ใช่แค่การเก็บเพลง แต่เป็นการสร้าง คลังอนุรักษ์วัฒนธรรมดนตรีมนุษย์ ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยข้อมูลกว่า 256 ล้านแทร็ก, 186 ล้าน ISRC, และไฟล์เพลงกว่า 86 ล้านไฟล์ รวมขนาดราว 300TB ทั้งหมดถูกจัดเรียงตามความนิยมและเผยแพร่ผ่านทอร์เรนต์แบบเปิดให้ทุกคนสามารถมิเรอร์ได้อย่างอิสระ โปรเจกต์นี้เกิดขึ้นจากความเชื่อว่าดนตรีคือส่วนหนึ่งของมรดกมนุษยชาติที่ไม่ควรถูกผูกขาดโดยแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง แม้ Spotify จะเป็นบริการสตรีมมิงที่ใหญ่ที่สุด แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น เพลงที่ถูกลบเพราะลิขสิทธิ์หมดอายุ การเปลี่ยนแปลงแคตตาล็อก หรือการที่ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าถึงไฟล์ต้นฉบับได้จริง Anna’s Archive จึงมองว่าการเก็บข้อมูลเหล่านี้คือการ “กันไว้ก่อนที่จะหายไป” คล้ายกับที่พวกเขาทำกับหนังสือและงานวิชาการมาก่อน สิ่งที่น่าสนใจคือ วิธีการเก็บข้อมูลไม่ได้เน้นคุณภาพสูงสุดแบบนักออดิโอไฟล์ แต่เน้น ความครอบคลุมของวัฒนธรรม โดยใช้ไฟล์ OGG Vorbis 160kbps สำหรับเพลงยอดนิยม และ OGG Opus 75kbps สำหรับเพลงที่ไม่มีคนฟังมากนัก เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลได้มากที่สุดในพื้นที่จำกัด นอกจากนี้ยังมีการสร้างฐานข้อมูล SQLite ที่เก็บ metadata แบบเกือบไร้การสูญเสีย ทำให้สามารถวิเคราะห์แนวโน้มเพลง ความนิยม ศิลปิน และข้อมูลเชิงลึกอื่นๆ ได้ในระดับที่ Spotify เองยังไม่เปิดเผยทั้งหมด โปรเจกต์นี้ยังเผยให้เห็นความจริงที่น่าตกใจ เช่น มากกว่า 70% ของเพลงบน Spotify มีคนฟังน้อยกว่า 1,000 ครั้ง, เพลงยอดนิยมเพียงไม่กี่เพลงมีจำนวนสตรีมรวมกันมากกว่าหลายสิบล้านเพลงท้ายแถว และจำนวนเพลงที่สร้างโดย AI เพิ่มขึ้นจนเริ่มกลบเนื้อหาที่มนุษย์สร้างจริงๆ นี่คือภาพสะท้อนของอุตสาหกรรมดนตรีสมัยใหม่ที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และการเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้คือการเก็บ “หลักฐานทางวัฒนธรรม” ของยุคสตรีมมิงไว้ให้คนรุ่นหลัง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ โปรเจกต์อนุรักษ์ Spotify ของ Anna’s Archive ➡️ เก็บ metadata ครอบคลุม 99.9% ของแทร็กทั้งหมด ➡️ เก็บไฟล์เพลงกว่า 86 ล้านไฟล์ คิดเป็น 99.6% ของการฟังทั้งหมด ➡️ ขนาดรวมราว 300TB และเผยแพร่ผ่านทอร์เรนต์แบบเปิด ✅ เหตุผลและความสำคัญ ➡️ ป้องกันการสูญหายของเพลงจากลิขสิทธิ์หมดอายุหรือการลบออกจากแพลตฟอร์ม ➡️ สร้างฐานข้อมูลวัฒนธรรมดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ➡️ เปิดให้ทุกคนสามารถมิเรอร์และศึกษาข้อมูลได้ ✅ วิธีการและเทคนิคที่ใช้ ➡️ จัดลำดับการเก็บตาม “ความนิยม” ของ Spotify ➡️ ใช้ OGG Vorbis 160kbps สำหรับเพลงยอดนิยม และ Opus 75kbps สำหรับเพลงท้ายแถว ➡️ สร้างฐานข้อมูล SQLite ที่เก็บ metadata แบบเกือบไร้การสูญเสีย ✅ ข้อมูลเชิงลึกที่ค้นพบ ➡️ มากกว่า 70% ของเพลงมีคนฟังน้อยกว่า 1,000 ครั้ง ➡️ เพลงยอดนิยม 3 เพลงมีจำนวนสตรีมรวมกันมากกว่าหลายสิบล้านเพลงท้ายแถว ➡️ ปริมาณเพลงที่สร้างโดย AI เพิ่มขึ้นจนเริ่มกลบเพลงมนุษย์ ‼️ ประเด็นที่ต้องระวัง ⛔ ข้อมูลบางส่วนอาจไม่สมบูรณ์หลังเดือนกรกฎาคม 2025 ⛔ เพลงที่มี popularity = 0 มี error bar สูงและอาจไม่แม่นยำ ⛔ การเผยแพร่ไฟล์จำนวนมากอาจถูกมองว่าเสี่ยงด้านลิขสิทธิ์ในบางประเทศ https://annas-archive.li/blog/backing-up-spotify.html
    ANNAS-ARCHIVE.LI
    Backing up Spotify
    We backed up Spotify (metadata and music files). It’s distributed in bulk torrents (~300TB). It’s the world’s first “preservation archive” for music which is fully open (meaning it can easily be mirrored by anyone with enough disk space), with 86 million music files, representing around 99.6% of listens.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง แตกคอ แตกคอ
    “แตกคอ แตกคอก”
    ตอน 1
    กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน เหตุการณ์แถวบ้านยังไม่รู้จะออกหัวออกก้อย แต่วงพนันแถวบ้านผม เขาเอียงไปทางออกก้อยมากกว่านะ เอะ พูดถึงใครกันลุง ก็จะใครเสียอีกล่ะ เสี่ยปั๊มคนใหญ่ คนถูกข่าวลือเล่นใส่นั่นไงครับ วันนี้มาอีกแล้ว สื่ออังกฤษยังเล่นไม่เลิก บอกว่าพระญาติพระวงศ์กำลังร่วมกันทำหนังสือ เสนอให้ปลดกษัตริย์ ซาลมาน จากตำแหน่งกษัตริย์ คราวนี้ในหนังสือบอกชื่อมาเลยว่า ต้องการใครมาแทน แน่จริงๆ แถม 2 วันนี้ ยังเพิ่มข่าวให้อีกว่า มีเจ้าชายชาวซาอุดิ หลานกษัตริย์ ถูกจับที่เลบานอน เพราะขนยาบ้าหนักกว่า 2 ตัน มาในเครื่องบินส่วนตัว
    เล่นกันแรงจริง กลัวคุณพี่ปูตินเขาจะฉกเอาปั๊มไปครองก่อนหรือครับ
    ตะวันออกกลางกำลังระส่ำจริงๆ เอาแค่เฉพาะพวกที่ลากกันมาจับมือ เมื่อปี ค.ศ.1981 ต้ังก๊วนชาวอ่าว the Gulf Cooperation Council (GCC) กันไม่ให้ใครออกอ่าวไปลำพัง ดูเผินๆ เหมือนรักกันจัง แต่เขาว่า นั้นมันหน้าฉาก ของจริงไม่ใช่อย่างที่ภาพออกมาหรอก
    ก๊วนริมอ่าวมีกัน 6 ประเทศ ลูกพี่ใหญ่ หรือปั๊มใหญ่สุด ก็ซาอุดิอารเบียนั่นเอง ที่มีเพื่อนรักในก๊วนอีกราย เป็นเหมือนลูกกระเดือกติดคอหอยคือ บาห์เรน 2 เสี่ยปั๊มนี่ เกลียดอิหร่านอย่างที่สุด มองว่าอิหร่านคือ นักล่า… อ้าว นั่นมันสมญาคู่รักคู่ขุด ของเสี่ยเองนะครับ อย่าไปปนกัน เดี๋ยวงอนผิดคน (ฮา) 2 เสี่ยปั๊มใหญ่บอกว่า อิหร่านเป็นตัวร้าย ความปั่นป่วนในตะวันกลางน่ะ มาจากฝีมือของอิหร่านทั้งนั้น เชื่อถือไม่ได้ ไว้ใจไม่ลง ถึงขนาดนั้นเอาเลย
    ซาอุดิ ถูกหลอนทั้งเวลาหลับเวลาตื่นว่า อิหร่านคู่แข่งตัวสำคัญ ในตะวันออกกลาง ทำทุกอย่างเพื่อแย่งความเป็นใหญ่ ในตะวันออกกลางไปจากซาอุดิอารเบีย ยิ่งอเมริกาไปเสียเวลามากมาย ในการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์กับอิหร่าน ซาอุก็มองว่า อเมริกากำลังอ่อนข้อ แถมเสียเชิงให้อิหร่านไปแล้วด้วย ทำเอาเสี่ยปั๊มใหญ่งอนกับอเมริกา จนถูกนินทาไปค่อนโลก
    แต่ชาวอ่าวอีก 3 รายคือ โอมาน การ์ตา และเอมิเรต ดูไบ บอกว่า เรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นนะ อิหร่านตกลงหยุดผลิตนิวเคลียร์ ก็ดีกับพวกเราไม่ใช่หรือ เราน่าคุยกับอิหร่านดีๆ ยังไงก็เป็นชาวตะวันออกกลางด้วยกัน จับมือกัน ทำการค้าด้วยกัน แบ่งพลังงานกันใช้ (ฮั่นแน่..) และร่วมมือกันเรื่องความมั่นคง
    ตั้งแต่มีกลุ่ม Islamic State หรือ IS เกิดขึ้นในอิรัคและซีเรีย ซึ่งนับว่าเป็นการคุกคาม ทั้งฝ่ายก๊วนชาวอ่าว ทั้งฝ่ายอิหร่าน ก็ทำให้บางประเทศในก๊วนชาวอ่าวเอง พยายามหาทางจับมือคุยกับอิหร่าน แหม ใครจะอยากเปิดศึกมันทุกด้าน
    เมื่อ ฮัสซัน รูฮานี่ Hassan Rouhani เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีอิหร่าน เมื่อปี ค.ศ.2013 เขาบอกว่าภาระกิจสำคัญอันดับแรกของเขาคือ การพยายามที่จะคุยกับประเทศเล็กๆในก๊วนชาวอ่าว ให้มาร่วมมือกับอิหร่าน ในการแก้ปัญหาความมั่นคงของภูมิภาค และคูเวต เป็นประเทศแรกใน
ก๊วนชาวอ่าว ที่ รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านไปเยี่ยม หลังจากเสร็จการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์กับกลุ่มพี่เบิ้ม แต่ถ้าดูแผนที่ ว่าคูเวต ตั้งอยู่ที่ไหนแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า อิหร่านคิดไกล…
    อิหร่านบอกกับคูเวตว่า ประเทศเดียวจะแก้ปัญหาของภูมิภาคไม่ได้หรอก มันต้องร่วมมือกัน และต้องถือว่าการคุกคามประเทศใด คือการคุกคามทั้งภูมิภาค เราจึงต้องร่วมต่อสู้ด้วยกัน
    แต่การบอกกล่าวแบบนี้ของอิหร่าน กลับเจอศอกกลับ จากบางเสี้ยวของก๊วนชาวอ่าว ที่ซัดกลับว่า อิหร่านต่างหาก เป็นผู้สนับสนุนอาวุธ และให้การฝึกกับกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ ที่กำลังแซะความมั่นคงของบางประเทศในก๊วนชาวอ่าว แล้วแบบนี้จะพูดกันรู้เรื่องไหม อย่าว่าแต่จะร่วมมือกันเลย
    และอเมริกาก็คงยิ้มอยู่ในหน้า โอกาสเอาแต่ปั้มไม่เอาคน ยิ่งใกล้ความเป็นจริง … ถ้ารัสเซียไม่โผล่เข้ามาแทรกเรื่องซีเรียเสียก่อน อย่างไม่ทันรู้ตัว ตื่นไม่ทัน
    ###############
ตอน 2
    เมื่อซาอุดิอารเบีย เกิดอาการหน้ามืด ขานชื่อเรียกรวมพล เพื่อถล่มเยเมน ในปลายเดือนมีนาคม ต้นปี ค.ศ.2015 นั้น มีก๊วนชาวอ่าว 1 ราย คือ โอมาน ไม่มาร่วมรายการด้วย เรื่องนี้น่าสนใจมาก มันทำให้เห็นว่า แม้ในตะวันออกกลางเอง ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับขั้วอำนาจ
    โอมานเป็นประเทศไม่ใหญ่ ไม่เล็ก แต่โดยสภาพภูมิศาสตร์ถือว่า อยู่ในจุดที่ทั้งสำคัญและอันตราย เพราะโอมานอยู่ตรงปากอ่าวโอมาน ฝั่งตรงกันข้ามกับอิหร่าน คุมเชิงช่องแคบฮอร์มุส เส้นทางเดินของน้ำมัน ที่แออัดที่สุดในโลกด้วยกัน
    โอมาน แม้จะสังกัดก๊วนชาวอ่าว แต่การที่โอมานอยู่ฝั่งตรงกันข้าม กับปากอิหร่าน โอมานจึงมีสภาพเหมือนคนขี่รถจักรยานสองล้อ ถีบอยู่ตรงกลาง ระหว่างรถสิบล้อ 2 คัน ที่กำลังวิ่งแข่งกัน รักษาระยะไม่ดี มีหวังถูกเบียดบี้แหลกคาถนน แต่โอมาน ก็ดูเหมือนจะรักษาระยะได้ดีพอสมควร โดยเฉพาะหลังจากเกิดเทศกาลอาหรับสปริง ที่เสี่ยปั้มใหญ่ซาอุดิอารเบีย พยายามบีบมือชาวอ่าวตัวเล็กๆให้แน่นขึ้น เพราะไม่ไว้ใจ กลัวจะหลุดมือไปอิงฝั่งอิหร่าน ถึงขนาดยอมควักกระเป๋าหลายหน เพื่อสนับสนุนทั้งด้านอาวุธและด้านเศรษฐกิจให้ชาวอ่าวตัวเล็กๆ
    แต่โอมาน ถึงจะไม่รวย และเหมือนอยู่ใต้มือของซาอุ และแถมยังเป็นเพื่อนกับอเมริกาอีกด้วย แต่โอมานน่าจะขี่จักรยานระหว่างทางแคบเก่ง จึงยังคงค้าขาย และผูกสัมพันธ์กับอิหร่านไว้สม่ำเสมอ แม้อเมริกาจะพยายามทัดทาน ไม่ให้โอมานไปมีสัมพันธ์กับอิหร่าน แต่ดูเหมือนอเมริกาก็จะห้ามไม่สำเร็จ ยิ่งจะไปถามว่า เมื่อไหร่โอมานจะเป็นประชาธิปไตย เมื่อไหร่จะมีเลือกตั้ง อเมริกาคงไม่กล้าเสือก เพราะอะไร ก็ลองนึกดูกันนะครับ ใครมีของดี ก็ต้องรู้ตัว รู้จักใช้
    เพราะฉะนั้นใครที่ว่าอเมริกายิ่งใหญ่ เป็นพี่เบิ้ม แห่งค่ายประชาธิปไตย ใครไม่เป็นประชาธิปไตย กูคว่ำบาตรหมด ผมว่าน่าทุเรศครับ ถ้ามีใครมาเสือกยุ่ง ถามว่า เมื่อไหร่แดนสยามเราจะมีการเลือกตั้ง ฝากลุงตู่ศอกกลับด้วยนะครับ ว่า ไอ้ 6 ประเทศชาวอ่าว นอกจากไม่มีเลือกตั้ง ไม่รู้จักรัฐธรรมนูญ ยังใช้การปกครองแบบ ที่ผู้มีอำนาจปกครอง เป็นกษัตริย์ หรือสุลต่าน มีอำนาจสูงสุด ยิ่งกว่าเผด็จการเสียอีก ทำไมพวกมีงไม่ชวนกันไปคว่ำบาตรให้หมด มายุ่งอะไรกับประเทศผม
    จากข้อมูลของ Oil and Gas Journal ระบุว่า โอมานมีแหล่งพลังงานมากเป็นอันดับที่ 23 ของโลก แต่โอมานเอาไว้ขายเป็นรายได้ให้ประเทศ มากกว่าจะเอามาใช้ในประเทศ ย้อนไปตั้งแต่ ปี ค.ศ.2005 โอมานเรื่มซื้อแก๊สจากอิหร่านแล้ว และในปี ค.ศ.2007 โอมานก็ซื้อแก๊ส LNG จากอิหร่านด้วย ในช่วงนั้น โอมานเป็น 1 ใน 3 ประเทศ ที่ยังคงค้าขายกับอิหร่าน ขี่จักรยานในทางแคบไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจการกดดันของอเมริกา ที่จะให้โอมานไปซื้อแก๊สจากการ์ตาแทน
    และเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีข่าวว่า โอมานกับอิหร่านกำลังเดินหน้า ที่จะร่วมมือกันสร้างท่อส่งแก๊ส วิ่งตรงระหว่าง 2 ประเทศ ยาว 173 ไมล์ รอดใต้ทะเล เรื่องนี้เป็นข่าวมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ.2013 ว่า ทั้ง 2 ประเทศ ทำบันทึกความเข้าใจกันไว้ แต่ยังไม่ได้ลงมือ
    แค่ไม่กี่วันหลังจาก การลงนามเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ โอมานก็ทำบันทึกข้อตกลงที่จะซื้อแก๊สจากอิหร่านประมาณ 20 ล้านคิวบิกเมตรต่อวัน เป็นระยะเวลา 25 ปี คิดเป็นมูลค่าทั้งหมด ประมาณ 6 หมื่นล้านเหรียญ! และตัวเลขนี้คงมีการเพิ่มขึ้นอีกมาก เมื่อท่อส่งแก๊สสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 2018 ค่าก่อสร้างท่อประมาณมูลค่า 1 พันล้านเหรียญ เป็นการลงทุนของโอมาน ที่เหมือนโอมานตัดสินใจโหนสิบล้อยี่ห้ออิหร่านไปแล้ว
    ###############
ตอน 3
    ปัจจุบัน ซาอุดิอารเบียขายทั้งน้ำมันและแก๊สให้แก่โอมาน มูลค่าประมาณ 1 พันล้านเหรียญต่อปี ไม่มีการลดราคา ไม่มีการแบ่งส่วนกำไร เสี่ยปั๊มใหญ่ หน้าใหญ่จริงเพื่อความมั่นคงของตัว แต่เค็มจังเวลาค้าขาย โอมานคงคิดแล้วว่า จ่ายค่าน้ำมันแก๊สทุกปีอย่างนี้ให้ลูกพี่ใหญ่ ก็คงอยู่เท่านี้ แต่ข้อเสนอของอิหร่าน เป็นการร่วมลงทุนในบริษัทที่จะตั้งร่วมกัน เพื่อขายแก็สอิหร่านที่ส่งมาตามท่อส่ง กำไรจากการขายแก๊สก็แบ่งกัน ด้วยวิธีนี้ โอมานจะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการขายแก๊ส และมีแก๊สพอใช้ในประเทศด้วย
    สรุปว่า ค่ายรัสเซีย จีน อิหร่าน ใช้แผนยุทธศาสตร์ สู่ด้วยท่อส่งเหมือนกัน ท่อส่งไปที่ไหน เจ้าของบริเวณที่ท่อส่งไปถึง ที่เป็นเจ้าของร่วมกัน ก็ต้องช่วยดูแลให้ เพราะเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน แบบนี้ น่าจะดีกว่า สร้างขบวนการจราจล การแตกแยกขึ้นในประเทศเขา ระหว่างเขารบกัน ก็ถือโอกาสปล้นทรัพยากรเขาไปจนเกลี้ยง
    การที่โอมานไปตกลงกับอิหร่านแบบนี้ แน่นอน คงยิ่งทำให้ซาอุดิอารเบียหงุดหงิด อาการหลอนเรื่องอิหร่าน ยิ่งกำเริบหนัก แต่หลอนเรื่องอิหร่านจะเป็นใหญ่ในตะวันออกกลาง ดูเหมือนจะไม่น่าเสียวไส้เท่าเรื่อง กระเป๋าเสี่ยปั๊มใหญ่จะเบาหวิว…
    หลายปีที่ผ่านมา เสี่ยปั๊มใหญ่ถือว่ามีน้ำมันแยะ ขยายตลาดไปทั่ว และในราคาที่สูงลิ่ว ไม่มีโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม เสี่ยปั๊มใหญ่เล่นเต็มอัตรา ถือว่าน้ำกำลังขึ้น แต่วันนี้ ดูเหมือนน้ำจะเริ่มลงเสียแล้ว น้ำมันเหลือประมาณ 44.2 และ 46.65 ต่อบาเรล (เป็นราคาที่แสดงของ ICE และ NYMEX ซึ่งปรากฏอยู่ในข้อมูลลงวันที่ 6 ตุลาคมที่ผมอ่าน ครับ) และทำให้ บัญชีรายรับของซาอุดิอารเบีย เริ่มแสดงรายการ ขาดทุน !!!
    แต่น้ำมันและแก๊สของอิหร่าน กำลังจะมีตลาดเพิ่มขึ้น (ขณะนี้ EU ยกเลิก การคว่ำบาตร ให้ผู้ผลิตน้ำมันของอิหร่านไป 2 รายแล้ว) ไม่ใช่แค่ว่า จะเป็นการเข้ามาเบียดตลาดของซาอุดิอารเบียเท่านั้น ถ้าอิหร่านยังสามารถรักษา ราคาขายที่ต่ำในระดับนี้ได้ต่อไปอีก ซาอุดิอารเบียมีหวังกระอัก และจะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจของซาอุดิอารเบีย อย่างรุนแรง เพราะเศรษฐกิจของซาอุ พึ่งอยู่กับการขายน้ำมันอย่างเดียว และตอนนี้ เริ่มมีนักวิเคราะห์ ประเมินสถานะของซาอุแล้วว่า ถ้าสภาพตลาดน้ำมันยังเป็นอยู่เช่นนี้ต่อไปอีก 2 ปี โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง คงได้เห็นเสี่ยปั๊มใหญ่ ซาอุดิอารเบีย ล้มละลายแน่นอน….ฮู้ย….เดี๋ยวได้ขายอูฐแน่
    การจับมือระหว่างโอมานกับอิหร่าน สร้างท่อส่งแก๊ส จึงเหมือนหมัดชกใส่หน้าเสี่ยปั๊มใหญ่ แม้ไม่คว่ำ แต่ทำให้เซเหมือนกัน โอมาน เป็นที่ยอมรับจากผู้คนส่วนใหญ่ในความเป็นกลาง แต่ตอนนี้ เหมือนโอมาน จะเอียงออกมานอกกลุ่มชาวอ่าวค่อนข้างชัด เมื่อตอนที่เสี่ยปั๊มใหญ่เรียก ระดมพลไปถล่มเยเมน โอมานไม่ไปร่วม พอมีข้ออ้างได้ว่า โอมานเป็นกลาง ไม่อยากเข้าไปยุ่งในกิจการบ้านคนอื่น แต่การที่โอมานตกลงจับมือกับอิหร่าน เพื่อสร้างท่อส่งเแก๊ส นี่ เหมือนโอมานกำลังบอกใครว่า การคบกับอิหร่าน นอกจากไม่เป็นการคุกคามบ้านตัวแล้ว ดูเหมือนจะดีกับเศรษฐกิจของบ้านตัวเองเสียอีกด้วย
    เรื่องโอมาน คงไม่ทำให้ซาอุดิอารเบียกลุ้มใจรายเดียว คู่รักคู่ขุด ก็น่าจะกลุ้มใจด้วย ถ้าโอมานเอียงไปจับมือกับอิหร่าน โอกาสที่อเมริกาจะควบคุม ช่องแคบฮอร์มุส คงแทบจะเป็นเรื่องเพ้อ และเรื่องกลับเข้าไปใหญ่ในตะวันออกกลาง อาจจะเป็นเรื่องหลอนอเมริกาบ้าง คราวนี้ จะได้สมเป็นคู่รักคู่หลอนกันเลย ฮาจังวุ้ย
    แค่เรื่องโอมานนี่ ก็ทำให้เสียปั้มใหญ่เซแล้วนะ แต่เขาว่าข่าวร้ายเวลามา มันไม่มาเรื่องเดียวหรอก
    การ์ตา เสี่ยปั้มซ่าหนุ่มสำอางค์ ตอนแรกทำคึกคักไปร่วมกับเสี่ยปั้มใหญ่ ไล่ถล่มซีเรียจนเละ มาวันนี้ วันที่คุณพี่ปูตินเดินท่าหล่อ พากองทัพเรือ บก อากาศ ยาตราเข้าเข้ามาในตะวันออกกลาง เพื่อช่วยซีเรียเพื่อนเก่า ที่กำลังถูกรุมทึ้ง เขาว่า ตอนนี้การ์ตาเอง ก็กำลังเตรียมกลับลำ แอบไปเจรจากับอิหร่านแล้ว
    …พี่ครับ หลุมแก๊สเราหลุมเดียวกันนะครับ ลงทุนทำท่อส่งแก๊สร่วมกัน รวยด้วยกัน แทนที่จะรบกัน ดีไหมครับ เอาแบบ แฟร์ แฟร์ เลยนะพี่นะ ( นี่ผมเดาเอานะ ว่า เสี่ยรุ่นใหม่เขาคงจะพูดแบบนี้)
    ส่วน อินเดีย อีนี่ ก็มีข่าวว่า กำลังเจรจากับอิหร่านและโอมาน ให้ต่อท่อส่งแก๊ส ยาวไปถึงฝั่งอินเดียเสียด้วยเลย ตัดหน้าปากีสถาน ที่ก็มีแผนสร้างท่อส่งเหมือนกัน
    โอ้ย… ตอนนี้ใครไม่รู้จักยุทธศาสตร์ท่อส่ง โน่น ไปอยู่หลังเขา กับค่ายประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งได้เลย เชยฉิบหาย โลกหมุนไปทุกวัน มึงคิดได้แต่ทวงเมื่อไหร่จะมีเลือกตั้ง….
    ซาอุดิอารเบีย ส่งน้ำมันให้อินเดียประมาณ ปีละ 29.2 พันล้านเหรียญ เงินจำนวนนี้ อาจหายไปจากบัญชีรายรับของเสี่ยปั้มใหญ่ และก็คงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับซาอุ อ๋อ…. มิน่า เสี่ยปั๊มใหญ่ถึงไม่พอใจ ดิ้นเร้าๆ ….. ผมนี่คิดช้าจัง ถ้าเขาตกลงเรื่องนิวเคลียร์กันได้ และมีการยกเลิกการคว่ำบาตร อิหร่านก็ติดปีก ยึดตลาดพลังงาน ซาอุดิอารเบีย ก็คงถลาลงดิน และอีก อ๋อ… มิน่า ตอนนี้อเมริกา ถึงเอาใจอีนี่แขกอินเดียจัง แต่เรื่องแขกอินเดียนี่ สุภาษิตไทยว่าไว้อย่างไร อเมริกาคงไม่รู้จัก ฮา อีกแล้ว แหม เขียนเรื่องนี้สนุกดีจัง เห็นความฉลาดของคุณพ่ออเมริกาของใครไม่รู้ หายเหี้ยนเลย
    ตลอดเวลาที่ผ่านมา ซาอุดิอารเบียกล่าวหาว่าอิหร่านยุแยงเพื่อแย่งความเป็นใหญ่ในตะวันออกกลาง นี่ถ้าเรื่องการ์ตาจะไปจับมือกับอิหร่าน เป็นจริง อาจมีชาวอ่าว ทะยอยแตกคอก ออกไปอีก มันไม่ใช่เรื่องประสาทหลอนแล้ว เรื่องหลอนจะกลายเป็นเรื่องจริง อย่างน้อยๆ การที่รัสเซียเดินเข้ามายืนเคียงอิหร่านในตะวันออกกลาง เพื่อช่วยซีเรียเพื่อนเก่า และอื่นๆ ผมว่า แค่นี้ก็คงทำให้เสี่ยปั๊มใหญ่ ระทมอยู่ในอกเอาเรื่อง นอกจากไม่มีเพื่อนรัก คู่รักมายืนเคียงแล้ว ยังมีแต่ข่าวลือ ข่าวร้ายออกมาเพิ่มไม่จบ เสี่ยปั๊มใหญ่จะทนระทมต่อไปไหวหรือครับ เป็นผมมีคู่รักใจจืดใส่ ยามยากแบบนี้ ถีบให้ตกเตียงไปเลยครับ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
30 ต.ค. 2558
    เรื่อง แตกคอ แตกคอ “แตกคอ แตกคอก” ตอน 1 กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน เหตุการณ์แถวบ้านยังไม่รู้จะออกหัวออกก้อย แต่วงพนันแถวบ้านผม เขาเอียงไปทางออกก้อยมากกว่านะ เอะ พูดถึงใครกันลุง ก็จะใครเสียอีกล่ะ เสี่ยปั๊มคนใหญ่ คนถูกข่าวลือเล่นใส่นั่นไงครับ วันนี้มาอีกแล้ว สื่ออังกฤษยังเล่นไม่เลิก บอกว่าพระญาติพระวงศ์กำลังร่วมกันทำหนังสือ เสนอให้ปลดกษัตริย์ ซาลมาน จากตำแหน่งกษัตริย์ คราวนี้ในหนังสือบอกชื่อมาเลยว่า ต้องการใครมาแทน แน่จริงๆ แถม 2 วันนี้ ยังเพิ่มข่าวให้อีกว่า มีเจ้าชายชาวซาอุดิ หลานกษัตริย์ ถูกจับที่เลบานอน เพราะขนยาบ้าหนักกว่า 2 ตัน มาในเครื่องบินส่วนตัว เล่นกันแรงจริง กลัวคุณพี่ปูตินเขาจะฉกเอาปั๊มไปครองก่อนหรือครับ ตะวันออกกลางกำลังระส่ำจริงๆ เอาแค่เฉพาะพวกที่ลากกันมาจับมือ เมื่อปี ค.ศ.1981 ต้ังก๊วนชาวอ่าว the Gulf Cooperation Council (GCC) กันไม่ให้ใครออกอ่าวไปลำพัง ดูเผินๆ เหมือนรักกันจัง แต่เขาว่า นั้นมันหน้าฉาก ของจริงไม่ใช่อย่างที่ภาพออกมาหรอก ก๊วนริมอ่าวมีกัน 6 ประเทศ ลูกพี่ใหญ่ หรือปั๊มใหญ่สุด ก็ซาอุดิอารเบียนั่นเอง ที่มีเพื่อนรักในก๊วนอีกราย เป็นเหมือนลูกกระเดือกติดคอหอยคือ บาห์เรน 2 เสี่ยปั๊มนี่ เกลียดอิหร่านอย่างที่สุด มองว่าอิหร่านคือ นักล่า… อ้าว นั่นมันสมญาคู่รักคู่ขุด ของเสี่ยเองนะครับ อย่าไปปนกัน เดี๋ยวงอนผิดคน (ฮา) 2 เสี่ยปั๊มใหญ่บอกว่า อิหร่านเป็นตัวร้าย ความปั่นป่วนในตะวันกลางน่ะ มาจากฝีมือของอิหร่านทั้งนั้น เชื่อถือไม่ได้ ไว้ใจไม่ลง ถึงขนาดนั้นเอาเลย ซาอุดิ ถูกหลอนทั้งเวลาหลับเวลาตื่นว่า อิหร่านคู่แข่งตัวสำคัญ ในตะวันออกกลาง ทำทุกอย่างเพื่อแย่งความเป็นใหญ่ ในตะวันออกกลางไปจากซาอุดิอารเบีย ยิ่งอเมริกาไปเสียเวลามากมาย ในการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์กับอิหร่าน ซาอุก็มองว่า อเมริกากำลังอ่อนข้อ แถมเสียเชิงให้อิหร่านไปแล้วด้วย ทำเอาเสี่ยปั๊มใหญ่งอนกับอเมริกา จนถูกนินทาไปค่อนโลก แต่ชาวอ่าวอีก 3 รายคือ โอมาน การ์ตา และเอมิเรต ดูไบ บอกว่า เรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นนะ อิหร่านตกลงหยุดผลิตนิวเคลียร์ ก็ดีกับพวกเราไม่ใช่หรือ เราน่าคุยกับอิหร่านดีๆ ยังไงก็เป็นชาวตะวันออกกลางด้วยกัน จับมือกัน ทำการค้าด้วยกัน แบ่งพลังงานกันใช้ (ฮั่นแน่..) และร่วมมือกันเรื่องความมั่นคง ตั้งแต่มีกลุ่ม Islamic State หรือ IS เกิดขึ้นในอิรัคและซีเรีย ซึ่งนับว่าเป็นการคุกคาม ทั้งฝ่ายก๊วนชาวอ่าว ทั้งฝ่ายอิหร่าน ก็ทำให้บางประเทศในก๊วนชาวอ่าวเอง พยายามหาทางจับมือคุยกับอิหร่าน แหม ใครจะอยากเปิดศึกมันทุกด้าน เมื่อ ฮัสซัน รูฮานี่ Hassan Rouhani เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีอิหร่าน เมื่อปี ค.ศ.2013 เขาบอกว่าภาระกิจสำคัญอันดับแรกของเขาคือ การพยายามที่จะคุยกับประเทศเล็กๆในก๊วนชาวอ่าว ให้มาร่วมมือกับอิหร่าน ในการแก้ปัญหาความมั่นคงของภูมิภาค และคูเวต เป็นประเทศแรกใน
ก๊วนชาวอ่าว ที่ รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านไปเยี่ยม หลังจากเสร็จการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์กับกลุ่มพี่เบิ้ม แต่ถ้าดูแผนที่ ว่าคูเวต ตั้งอยู่ที่ไหนแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า อิหร่านคิดไกล… อิหร่านบอกกับคูเวตว่า ประเทศเดียวจะแก้ปัญหาของภูมิภาคไม่ได้หรอก มันต้องร่วมมือกัน และต้องถือว่าการคุกคามประเทศใด คือการคุกคามทั้งภูมิภาค เราจึงต้องร่วมต่อสู้ด้วยกัน แต่การบอกกล่าวแบบนี้ของอิหร่าน กลับเจอศอกกลับ จากบางเสี้ยวของก๊วนชาวอ่าว ที่ซัดกลับว่า อิหร่านต่างหาก เป็นผู้สนับสนุนอาวุธ และให้การฝึกกับกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ ที่กำลังแซะความมั่นคงของบางประเทศในก๊วนชาวอ่าว แล้วแบบนี้จะพูดกันรู้เรื่องไหม อย่าว่าแต่จะร่วมมือกันเลย และอเมริกาก็คงยิ้มอยู่ในหน้า โอกาสเอาแต่ปั้มไม่เอาคน ยิ่งใกล้ความเป็นจริง … ถ้ารัสเซียไม่โผล่เข้ามาแทรกเรื่องซีเรียเสียก่อน อย่างไม่ทันรู้ตัว ตื่นไม่ทัน ###############
ตอน 2 เมื่อซาอุดิอารเบีย เกิดอาการหน้ามืด ขานชื่อเรียกรวมพล เพื่อถล่มเยเมน ในปลายเดือนมีนาคม ต้นปี ค.ศ.2015 นั้น มีก๊วนชาวอ่าว 1 ราย คือ โอมาน ไม่มาร่วมรายการด้วย เรื่องนี้น่าสนใจมาก มันทำให้เห็นว่า แม้ในตะวันออกกลางเอง ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับขั้วอำนาจ โอมานเป็นประเทศไม่ใหญ่ ไม่เล็ก แต่โดยสภาพภูมิศาสตร์ถือว่า อยู่ในจุดที่ทั้งสำคัญและอันตราย เพราะโอมานอยู่ตรงปากอ่าวโอมาน ฝั่งตรงกันข้ามกับอิหร่าน คุมเชิงช่องแคบฮอร์มุส เส้นทางเดินของน้ำมัน ที่แออัดที่สุดในโลกด้วยกัน โอมาน แม้จะสังกัดก๊วนชาวอ่าว แต่การที่โอมานอยู่ฝั่งตรงกันข้าม กับปากอิหร่าน โอมานจึงมีสภาพเหมือนคนขี่รถจักรยานสองล้อ ถีบอยู่ตรงกลาง ระหว่างรถสิบล้อ 2 คัน ที่กำลังวิ่งแข่งกัน รักษาระยะไม่ดี มีหวังถูกเบียดบี้แหลกคาถนน แต่โอมาน ก็ดูเหมือนจะรักษาระยะได้ดีพอสมควร โดยเฉพาะหลังจากเกิดเทศกาลอาหรับสปริง ที่เสี่ยปั้มใหญ่ซาอุดิอารเบีย พยายามบีบมือชาวอ่าวตัวเล็กๆให้แน่นขึ้น เพราะไม่ไว้ใจ กลัวจะหลุดมือไปอิงฝั่งอิหร่าน ถึงขนาดยอมควักกระเป๋าหลายหน เพื่อสนับสนุนทั้งด้านอาวุธและด้านเศรษฐกิจให้ชาวอ่าวตัวเล็กๆ แต่โอมาน ถึงจะไม่รวย และเหมือนอยู่ใต้มือของซาอุ และแถมยังเป็นเพื่อนกับอเมริกาอีกด้วย แต่โอมานน่าจะขี่จักรยานระหว่างทางแคบเก่ง จึงยังคงค้าขาย และผูกสัมพันธ์กับอิหร่านไว้สม่ำเสมอ แม้อเมริกาจะพยายามทัดทาน ไม่ให้โอมานไปมีสัมพันธ์กับอิหร่าน แต่ดูเหมือนอเมริกาก็จะห้ามไม่สำเร็จ ยิ่งจะไปถามว่า เมื่อไหร่โอมานจะเป็นประชาธิปไตย เมื่อไหร่จะมีเลือกตั้ง อเมริกาคงไม่กล้าเสือก เพราะอะไร ก็ลองนึกดูกันนะครับ ใครมีของดี ก็ต้องรู้ตัว รู้จักใช้ เพราะฉะนั้นใครที่ว่าอเมริกายิ่งใหญ่ เป็นพี่เบิ้ม แห่งค่ายประชาธิปไตย ใครไม่เป็นประชาธิปไตย กูคว่ำบาตรหมด ผมว่าน่าทุเรศครับ ถ้ามีใครมาเสือกยุ่ง ถามว่า เมื่อไหร่แดนสยามเราจะมีการเลือกตั้ง ฝากลุงตู่ศอกกลับด้วยนะครับ ว่า ไอ้ 6 ประเทศชาวอ่าว นอกจากไม่มีเลือกตั้ง ไม่รู้จักรัฐธรรมนูญ ยังใช้การปกครองแบบ ที่ผู้มีอำนาจปกครอง เป็นกษัตริย์ หรือสุลต่าน มีอำนาจสูงสุด ยิ่งกว่าเผด็จการเสียอีก ทำไมพวกมีงไม่ชวนกันไปคว่ำบาตรให้หมด มายุ่งอะไรกับประเทศผม จากข้อมูลของ Oil and Gas Journal ระบุว่า โอมานมีแหล่งพลังงานมากเป็นอันดับที่ 23 ของโลก แต่โอมานเอาไว้ขายเป็นรายได้ให้ประเทศ มากกว่าจะเอามาใช้ในประเทศ ย้อนไปตั้งแต่ ปี ค.ศ.2005 โอมานเรื่มซื้อแก๊สจากอิหร่านแล้ว และในปี ค.ศ.2007 โอมานก็ซื้อแก๊ส LNG จากอิหร่านด้วย ในช่วงนั้น โอมานเป็น 1 ใน 3 ประเทศ ที่ยังคงค้าขายกับอิหร่าน ขี่จักรยานในทางแคบไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจการกดดันของอเมริกา ที่จะให้โอมานไปซื้อแก๊สจากการ์ตาแทน และเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีข่าวว่า โอมานกับอิหร่านกำลังเดินหน้า ที่จะร่วมมือกันสร้างท่อส่งแก๊ส วิ่งตรงระหว่าง 2 ประเทศ ยาว 173 ไมล์ รอดใต้ทะเล เรื่องนี้เป็นข่าวมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ.2013 ว่า ทั้ง 2 ประเทศ ทำบันทึกความเข้าใจกันไว้ แต่ยังไม่ได้ลงมือ แค่ไม่กี่วันหลังจาก การลงนามเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ โอมานก็ทำบันทึกข้อตกลงที่จะซื้อแก๊สจากอิหร่านประมาณ 20 ล้านคิวบิกเมตรต่อวัน เป็นระยะเวลา 25 ปี คิดเป็นมูลค่าทั้งหมด ประมาณ 6 หมื่นล้านเหรียญ! และตัวเลขนี้คงมีการเพิ่มขึ้นอีกมาก เมื่อท่อส่งแก๊สสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 2018 ค่าก่อสร้างท่อประมาณมูลค่า 1 พันล้านเหรียญ เป็นการลงทุนของโอมาน ที่เหมือนโอมานตัดสินใจโหนสิบล้อยี่ห้ออิหร่านไปแล้ว ###############
ตอน 3 ปัจจุบัน ซาอุดิอารเบียขายทั้งน้ำมันและแก๊สให้แก่โอมาน มูลค่าประมาณ 1 พันล้านเหรียญต่อปี ไม่มีการลดราคา ไม่มีการแบ่งส่วนกำไร เสี่ยปั๊มใหญ่ หน้าใหญ่จริงเพื่อความมั่นคงของตัว แต่เค็มจังเวลาค้าขาย โอมานคงคิดแล้วว่า จ่ายค่าน้ำมันแก๊สทุกปีอย่างนี้ให้ลูกพี่ใหญ่ ก็คงอยู่เท่านี้ แต่ข้อเสนอของอิหร่าน เป็นการร่วมลงทุนในบริษัทที่จะตั้งร่วมกัน เพื่อขายแก็สอิหร่านที่ส่งมาตามท่อส่ง กำไรจากการขายแก๊สก็แบ่งกัน ด้วยวิธีนี้ โอมานจะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการขายแก๊ส และมีแก๊สพอใช้ในประเทศด้วย สรุปว่า ค่ายรัสเซีย จีน อิหร่าน ใช้แผนยุทธศาสตร์ สู่ด้วยท่อส่งเหมือนกัน ท่อส่งไปที่ไหน เจ้าของบริเวณที่ท่อส่งไปถึง ที่เป็นเจ้าของร่วมกัน ก็ต้องช่วยดูแลให้ เพราะเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน แบบนี้ น่าจะดีกว่า สร้างขบวนการจราจล การแตกแยกขึ้นในประเทศเขา ระหว่างเขารบกัน ก็ถือโอกาสปล้นทรัพยากรเขาไปจนเกลี้ยง การที่โอมานไปตกลงกับอิหร่านแบบนี้ แน่นอน คงยิ่งทำให้ซาอุดิอารเบียหงุดหงิด อาการหลอนเรื่องอิหร่าน ยิ่งกำเริบหนัก แต่หลอนเรื่องอิหร่านจะเป็นใหญ่ในตะวันออกกลาง ดูเหมือนจะไม่น่าเสียวไส้เท่าเรื่อง กระเป๋าเสี่ยปั๊มใหญ่จะเบาหวิว… หลายปีที่ผ่านมา เสี่ยปั๊มใหญ่ถือว่ามีน้ำมันแยะ ขยายตลาดไปทั่ว และในราคาที่สูงลิ่ว ไม่มีโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม เสี่ยปั๊มใหญ่เล่นเต็มอัตรา ถือว่าน้ำกำลังขึ้น แต่วันนี้ ดูเหมือนน้ำจะเริ่มลงเสียแล้ว น้ำมันเหลือประมาณ 44.2 และ 46.65 ต่อบาเรล (เป็นราคาที่แสดงของ ICE และ NYMEX ซึ่งปรากฏอยู่ในข้อมูลลงวันที่ 6 ตุลาคมที่ผมอ่าน ครับ) และทำให้ บัญชีรายรับของซาอุดิอารเบีย เริ่มแสดงรายการ ขาดทุน !!! แต่น้ำมันและแก๊สของอิหร่าน กำลังจะมีตลาดเพิ่มขึ้น (ขณะนี้ EU ยกเลิก การคว่ำบาตร ให้ผู้ผลิตน้ำมันของอิหร่านไป 2 รายแล้ว) ไม่ใช่แค่ว่า จะเป็นการเข้ามาเบียดตลาดของซาอุดิอารเบียเท่านั้น ถ้าอิหร่านยังสามารถรักษา ราคาขายที่ต่ำในระดับนี้ได้ต่อไปอีก ซาอุดิอารเบียมีหวังกระอัก และจะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจของซาอุดิอารเบีย อย่างรุนแรง เพราะเศรษฐกิจของซาอุ พึ่งอยู่กับการขายน้ำมันอย่างเดียว และตอนนี้ เริ่มมีนักวิเคราะห์ ประเมินสถานะของซาอุแล้วว่า ถ้าสภาพตลาดน้ำมันยังเป็นอยู่เช่นนี้ต่อไปอีก 2 ปี โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง คงได้เห็นเสี่ยปั๊มใหญ่ ซาอุดิอารเบีย ล้มละลายแน่นอน….ฮู้ย….เดี๋ยวได้ขายอูฐแน่ การจับมือระหว่างโอมานกับอิหร่าน สร้างท่อส่งแก๊ส จึงเหมือนหมัดชกใส่หน้าเสี่ยปั๊มใหญ่ แม้ไม่คว่ำ แต่ทำให้เซเหมือนกัน โอมาน เป็นที่ยอมรับจากผู้คนส่วนใหญ่ในความเป็นกลาง แต่ตอนนี้ เหมือนโอมาน จะเอียงออกมานอกกลุ่มชาวอ่าวค่อนข้างชัด เมื่อตอนที่เสี่ยปั๊มใหญ่เรียก ระดมพลไปถล่มเยเมน โอมานไม่ไปร่วม พอมีข้ออ้างได้ว่า โอมานเป็นกลาง ไม่อยากเข้าไปยุ่งในกิจการบ้านคนอื่น แต่การที่โอมานตกลงจับมือกับอิหร่าน เพื่อสร้างท่อส่งเแก๊ส นี่ เหมือนโอมานกำลังบอกใครว่า การคบกับอิหร่าน นอกจากไม่เป็นการคุกคามบ้านตัวแล้ว ดูเหมือนจะดีกับเศรษฐกิจของบ้านตัวเองเสียอีกด้วย เรื่องโอมาน คงไม่ทำให้ซาอุดิอารเบียกลุ้มใจรายเดียว คู่รักคู่ขุด ก็น่าจะกลุ้มใจด้วย ถ้าโอมานเอียงไปจับมือกับอิหร่าน โอกาสที่อเมริกาจะควบคุม ช่องแคบฮอร์มุส คงแทบจะเป็นเรื่องเพ้อ และเรื่องกลับเข้าไปใหญ่ในตะวันออกกลาง อาจจะเป็นเรื่องหลอนอเมริกาบ้าง คราวนี้ จะได้สมเป็นคู่รักคู่หลอนกันเลย ฮาจังวุ้ย แค่เรื่องโอมานนี่ ก็ทำให้เสียปั้มใหญ่เซแล้วนะ แต่เขาว่าข่าวร้ายเวลามา มันไม่มาเรื่องเดียวหรอก การ์ตา เสี่ยปั้มซ่าหนุ่มสำอางค์ ตอนแรกทำคึกคักไปร่วมกับเสี่ยปั้มใหญ่ ไล่ถล่มซีเรียจนเละ มาวันนี้ วันที่คุณพี่ปูตินเดินท่าหล่อ พากองทัพเรือ บก อากาศ ยาตราเข้าเข้ามาในตะวันออกกลาง เพื่อช่วยซีเรียเพื่อนเก่า ที่กำลังถูกรุมทึ้ง เขาว่า ตอนนี้การ์ตาเอง ก็กำลังเตรียมกลับลำ แอบไปเจรจากับอิหร่านแล้ว …พี่ครับ หลุมแก๊สเราหลุมเดียวกันนะครับ ลงทุนทำท่อส่งแก๊สร่วมกัน รวยด้วยกัน แทนที่จะรบกัน ดีไหมครับ เอาแบบ แฟร์ แฟร์ เลยนะพี่นะ ( นี่ผมเดาเอานะ ว่า เสี่ยรุ่นใหม่เขาคงจะพูดแบบนี้) ส่วน อินเดีย อีนี่ ก็มีข่าวว่า กำลังเจรจากับอิหร่านและโอมาน ให้ต่อท่อส่งแก๊ส ยาวไปถึงฝั่งอินเดียเสียด้วยเลย ตัดหน้าปากีสถาน ที่ก็มีแผนสร้างท่อส่งเหมือนกัน โอ้ย… ตอนนี้ใครไม่รู้จักยุทธศาสตร์ท่อส่ง โน่น ไปอยู่หลังเขา กับค่ายประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งได้เลย เชยฉิบหาย โลกหมุนไปทุกวัน มึงคิดได้แต่ทวงเมื่อไหร่จะมีเลือกตั้ง…. ซาอุดิอารเบีย ส่งน้ำมันให้อินเดียประมาณ ปีละ 29.2 พันล้านเหรียญ เงินจำนวนนี้ อาจหายไปจากบัญชีรายรับของเสี่ยปั้มใหญ่ และก็คงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับซาอุ อ๋อ…. มิน่า เสี่ยปั๊มใหญ่ถึงไม่พอใจ ดิ้นเร้าๆ ….. ผมนี่คิดช้าจัง ถ้าเขาตกลงเรื่องนิวเคลียร์กันได้ และมีการยกเลิกการคว่ำบาตร อิหร่านก็ติดปีก ยึดตลาดพลังงาน ซาอุดิอารเบีย ก็คงถลาลงดิน และอีก อ๋อ… มิน่า ตอนนี้อเมริกา ถึงเอาใจอีนี่แขกอินเดียจัง แต่เรื่องแขกอินเดียนี่ สุภาษิตไทยว่าไว้อย่างไร อเมริกาคงไม่รู้จัก ฮา อีกแล้ว แหม เขียนเรื่องนี้สนุกดีจัง เห็นความฉลาดของคุณพ่ออเมริกาของใครไม่รู้ หายเหี้ยนเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมา ซาอุดิอารเบียกล่าวหาว่าอิหร่านยุแยงเพื่อแย่งความเป็นใหญ่ในตะวันออกกลาง นี่ถ้าเรื่องการ์ตาจะไปจับมือกับอิหร่าน เป็นจริง อาจมีชาวอ่าว ทะยอยแตกคอก ออกไปอีก มันไม่ใช่เรื่องประสาทหลอนแล้ว เรื่องหลอนจะกลายเป็นเรื่องจริง อย่างน้อยๆ การที่รัสเซียเดินเข้ามายืนเคียงอิหร่านในตะวันออกกลาง เพื่อช่วยซีเรียเพื่อนเก่า และอื่นๆ ผมว่า แค่นี้ก็คงทำให้เสี่ยปั๊มใหญ่ ระทมอยู่ในอกเอาเรื่อง นอกจากไม่มีเพื่อนรัก คู่รักมายืนเคียงแล้ว ยังมีแต่ข่าวลือ ข่าวร้ายออกมาเพิ่มไม่จบ เสี่ยปั๊มใหญ่จะทนระทมต่อไปไหวหรือครับ เป็นผมมีคู่รักใจจืดใส่ ยามยากแบบนี้ ถีบให้ตกเตียงไปเลยครับ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
30 ต.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • 5 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Chromebook ที่ควรเลิกเชื่อได้แล้ว

    แม้ Chromebook จะเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2011 ในฐานะแล็ปท็อปราคาประหยัดสำหรับงานพื้นฐาน แต่ภาพจำในยุคแรกยังคงติดอยู่ในหัวของผู้ใช้จำนวนมาก ทั้งเรื่องอายุการใช้งานสั้น ทำอะไรไม่ได้มาก และต้องพึ่งอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม Chromebook ในปี 2025 ได้พัฒนาไปไกลกว่านั้นมาก ทั้งในด้านซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และ ecosystem ที่รองรับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันมากขึ้น

    หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ “Chromebook อยู่ได้ไม่นาน” ซึ่งเคยเป็นจริงในยุคแรก แต่ปัจจุบัน Google ให้การอัปเดตยาวถึง 10 ปี สำหรับรุ่นที่ผลิตตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นไป ทำให้เทียบชั้นกับ Windows และ macOS ได้อย่างสบาย นอกจากนี้ยังมีทางเลือกอย่าง ChromeOS Flex หรือการติดตั้งลินุกซ์เพื่อยืดอายุเครื่องเก่าได้อีกด้วย

    อีกความเชื่อที่ยังวนเวียนคือ “Chromebook เล่นเกมไม่ได้” แม้จะไม่ใช่เครื่องเกมโดยตรง แต่ Chromebook รุ่นใหม่รองรับ Linux apps, Android games และบริการสตรีมเกมอย่าง GeForce Now ทำให้เล่นเกมอินดี้หรือเกมเบาๆ ได้มากกว่าที่หลายคนคิด รวมถึงการติดตั้ง Steam เวอร์ชันลินุกซ์ในบางรุ่น แม้จะต้องอาศัยความพยายามเพิ่มขึ้นเล็กน้อยก็ตาม

    สุดท้าย ความเชื่อว่า “Chromebook ไม่ใช่แล็ปท็อปจริง” ก็เริ่มไม่ตรงกับความเป็นจริงอีกต่อไป เพราะ Chromebook รองรับอุปกรณ์เสริมหลากหลาย ตั้งแต่จอภาพภายนอก 2 จอ ไปจนถึง drawing tablet และยังรองรับไฟล์หลากหลายประเภท รวมถึงแอป Android และเว็บแอปที่ครอบคลุมการใช้งานส่วนใหญ่ของผู้ใช้ทั่วไปแล้ว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Chromebook วันนี้ไม่เหมือนเมื่อสิบปีก่อน
    ได้รับอัปเดตยาว 10 ปีสำหรับรุ่นใหม่
    มีตัวเลือกยืดอายุ เช่น ChromeOS Flex และลินุกซ์

    เรื่องเล่นเกมไม่ใช่จุดอ่อนเสมอไป
    รองรับ Android games, Linux apps และ GeForce Now
    สามารถติดตั้ง Steam เวอร์ชันลินุกซ์ในบางรุ่น

    รองรับการใช้งานจริงมากกว่าที่คิด
    ใช้อุปกรณ์เสริมได้หลากหลาย เช่น external monitors, drawing tablets
    รองรับไฟล์และแอปพื้นฐานที่ผู้ใช้ทั่วไปต้องการ

    เรื่อง “คุ้มค่าเสมอ” ไม่จริงในทุกช่วงราคา
    รุ่นราคาถูกคุ้มมาก แต่รุ่นราคา 500 ดอลลาร์ขึ้นไปเริ่มสู้ Windows ไม่ได้

    สิ่งที่ต้องระวัง
    Chromebook ยังพึ่งอินเทอร์เน็ตในหลายงาน แม้จะดีขึ้นมากแล้ว
    ไม่เหมาะกับงานเฉพาะทาง เช่น Photoshop หรือซอฟต์แวร์ระดับโปร
    รุ่นแพงอาจไม่คุ้มเมื่อเทียบกับแล็ปท็อป Windows ในราคาใกล้เคียง

    https://www.slashgear.com/2054499/chromebook-myths-stop-believing/
    💻 5 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Chromebook ที่ควรเลิกเชื่อได้แล้ว แม้ Chromebook จะเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2011 ในฐานะแล็ปท็อปราคาประหยัดสำหรับงานพื้นฐาน แต่ภาพจำในยุคแรกยังคงติดอยู่ในหัวของผู้ใช้จำนวนมาก ทั้งเรื่องอายุการใช้งานสั้น ทำอะไรไม่ได้มาก และต้องพึ่งอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม Chromebook ในปี 2025 ได้พัฒนาไปไกลกว่านั้นมาก ทั้งในด้านซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และ ecosystem ที่รองรับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันมากขึ้น หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ “Chromebook อยู่ได้ไม่นาน” ซึ่งเคยเป็นจริงในยุคแรก แต่ปัจจุบัน Google ให้การอัปเดตยาวถึง 10 ปี สำหรับรุ่นที่ผลิตตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นไป ทำให้เทียบชั้นกับ Windows และ macOS ได้อย่างสบาย นอกจากนี้ยังมีทางเลือกอย่าง ChromeOS Flex หรือการติดตั้งลินุกซ์เพื่อยืดอายุเครื่องเก่าได้อีกด้วย อีกความเชื่อที่ยังวนเวียนคือ “Chromebook เล่นเกมไม่ได้” แม้จะไม่ใช่เครื่องเกมโดยตรง แต่ Chromebook รุ่นใหม่รองรับ Linux apps, Android games และบริการสตรีมเกมอย่าง GeForce Now ทำให้เล่นเกมอินดี้หรือเกมเบาๆ ได้มากกว่าที่หลายคนคิด รวมถึงการติดตั้ง Steam เวอร์ชันลินุกซ์ในบางรุ่น แม้จะต้องอาศัยความพยายามเพิ่มขึ้นเล็กน้อยก็ตาม สุดท้าย ความเชื่อว่า “Chromebook ไม่ใช่แล็ปท็อปจริง” ก็เริ่มไม่ตรงกับความเป็นจริงอีกต่อไป เพราะ Chromebook รองรับอุปกรณ์เสริมหลากหลาย ตั้งแต่จอภาพภายนอก 2 จอ ไปจนถึง drawing tablet และยังรองรับไฟล์หลากหลายประเภท รวมถึงแอป Android และเว็บแอปที่ครอบคลุมการใช้งานส่วนใหญ่ของผู้ใช้ทั่วไปแล้ว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Chromebook วันนี้ไม่เหมือนเมื่อสิบปีก่อน ➡️ ได้รับอัปเดตยาว 10 ปีสำหรับรุ่นใหม่ ➡️ มีตัวเลือกยืดอายุ เช่น ChromeOS Flex และลินุกซ์ ✅ เรื่องเล่นเกมไม่ใช่จุดอ่อนเสมอไป ➡️ รองรับ Android games, Linux apps และ GeForce Now ➡️ สามารถติดตั้ง Steam เวอร์ชันลินุกซ์ในบางรุ่น ✅ รองรับการใช้งานจริงมากกว่าที่คิด ➡️ ใช้อุปกรณ์เสริมได้หลากหลาย เช่น external monitors, drawing tablets ➡️ รองรับไฟล์และแอปพื้นฐานที่ผู้ใช้ทั่วไปต้องการ ✅ เรื่อง “คุ้มค่าเสมอ” ไม่จริงในทุกช่วงราคา ➡️ รุ่นราคาถูกคุ้มมาก แต่รุ่นราคา 500 ดอลลาร์ขึ้นไปเริ่มสู้ Windows ไม่ได้ ‼️ สิ่งที่ต้องระวัง ⛔ Chromebook ยังพึ่งอินเทอร์เน็ตในหลายงาน แม้จะดีขึ้นมากแล้ว ⛔ ไม่เหมาะกับงานเฉพาะทาง เช่น Photoshop หรือซอฟต์แวร์ระดับโปร ⛔ รุ่นแพงอาจไม่คุ้มเมื่อเทียบกับแล็ปท็อป Windows ในราคาใกล้เคียง https://www.slashgear.com/2054499/chromebook-myths-stop-believing/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Chromebook Myths You Need To Stop Believing - SlashGear
    Chromebooks evolved past web-only basics. Debunking five big myths on updates, peripherals, app hacks, and when they beat pricier Windows rigs for most folks.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • QuantWare เปิดตัว VIO‑40K: โปรเซสเซอร์ควอนตัม 10,000 คิวบิตที่พลิกเกมอุตสาหกรรม

    QuantWare สตาร์ทอัพจากเนเธอร์แลนด์สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการควอนตัมคอมพิวติ้งด้วยการเปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ VIO‑40K ซึ่งสามารถบรรจุคิวบิตได้ถึง 10,000 คิวบิตบนชิปเดียว มากกว่าชิปของ Google และ IBM ในปัจจุบันกว่า 100 เท่า ความก้าวหน้านี้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบจากระบบสายสัญญาณแบบ 2D ไปสู่ โครงสร้าง 3D พร้อมการเดินสายแบบแนวตั้ง ซึ่งช่วยแก้ปัญหาคอขวดด้านการเชื่อมต่อที่เป็นอุปสรรคใหญ่ของวงการมานานหลายปี

    หัวใจของสถาปัตยกรรมนี้คือการใช้ chiplets—โมดูลชิปขนาดเล็กที่นำมาต่อกันเป็นระบบใหญ่—ทำให้ QuantWare สามารถสร้าง QPU ที่รองรับ 40,000 I/O lines ได้โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดชิปอย่างไร้ขีดจำกัด แนวทางนี้คล้ายกับการแก้ปัญหาความแออัดของเมือง: แทนที่จะขยายออกด้านข้าง ก็สร้างตึกสูงขึ้นแทน เป็นการพลิกวิธีคิดที่ช่วยให้ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถสเกลได้จริงในระดับอุตสาหกรรม

    สิ่งที่ทำให้ QuantWare น่าสนใจยิ่งขึ้นคือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แตกต่างจากยักษ์ใหญ่ในวงการ Google และ IBM ที่สร้างทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เองทั้งหมด QuantWare เลือกเดินเส้นทางแบบ “Intel ของวงการควอนตัม” โดยเน้นขายชิปให้ผู้ผลิตรายอื่น และผลักดันแนวคิด Quantum Open Architecture เพื่อให้ฮาร์ดแวร์ของตนเชื่อมต่อกับ ecosystem ที่มีอยู่แล้ว เช่น Nvidia NVQLink และ CUDA‑Q ซึ่งอาจเปิดประตูสู่ระบบไฮบริดที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์คลาสสิกสามารถส่งงานบางส่วนให้ QPU ทำได้อย่างไร้รอยต่อ

    แม้จะเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ แต่คำถามสำคัญยังคงอยู่: “ชิปที่ใหญ่ขึ้นคือชิปที่ดีกว่าหรือไม่?” ในขณะที่ Google และ IBM มุ่งเน้นการแก้ปัญหา error correction และ fault tolerance QuantWare เลือกใช้แนวทาง brute‑force scaling ซึ่งอาจได้ผลในระยะสั้น แต่ต้องพิสูจน์ความเสถียรในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การประกาศว่าจะเริ่มขายชิปให้ลูกค้าในปี 2028 ทำให้วงการจับตามองว่า QuantWare จะสามารถรักษาความได้เปรียบนี้ไว้ได้หรือไม่ เมื่อเทียบกับ Big Tech ที่มีทรัพยากรมหาศาล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ไฮไลต์จากสถาปัตยกรรม VIO‑40K
    รองรับ 10,000 คิวบิต มากกว่า Google/IBM ประมาณ 100 เท่า
    ใช้ 3D vertical wiring แทน 2D เพื่อลดคอขวดด้านการเชื่อมต่อ
    ใช้ chiplets เพื่อสร้างระบบขนาดใหญ่แบบโมดูลาร์
    รองรับ 40,000 I/O lines ซึ่งเป็นระดับอุตสาหกรรม

    กลยุทธ์ทางธุรกิจที่แตกต่าง
    ตั้งเป้าเป็น “Intel ของควอนตัม” โดยขายชิปแทนสร้างระบบเอง
    ผลักดัน Quantum Open Architecture เพื่อให้ ecosystem เปิดกว้าง
    ทำงานร่วมกับ Nvidia NVQLink และ CUDA‑Q ได้โดยตรง

    บริบทจากวงการควอนตัมคอมพิวติ้ง
    Google และ IBM เน้น error correction มากกว่า brute‑force scaling
    การสเกลคิวบิตเป็นปัญหาใหญ่ของวงการมานาน
    การใช้ chiplets อาจเป็นแนวทางใหม่ของการสร้าง QPU ขนาดใหญ่

    ประเด็นที่ต้องจับตา
    จำนวนคิวบิตมากขึ้นไม่ได้แปลว่าประสิทธิภาพดีขึ้นเสมอไป
    ความเสถียรและ error rate ยังต้องพิสูจน์ในงานจริง
    Big Tech อาจไล่ทันหรือแซงได้ด้วยทรัพยากรที่เหนือกว่า

    https://www.slashgear.com/2053448/quantware-quantum-computer-processor-10000-qubit/
    ⚛️ QuantWare เปิดตัว VIO‑40K: โปรเซสเซอร์ควอนตัม 10,000 คิวบิตที่พลิกเกมอุตสาหกรรม QuantWare สตาร์ทอัพจากเนเธอร์แลนด์สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการควอนตัมคอมพิวติ้งด้วยการเปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ VIO‑40K ซึ่งสามารถบรรจุคิวบิตได้ถึง 10,000 คิวบิตบนชิปเดียว มากกว่าชิปของ Google และ IBM ในปัจจุบันกว่า 100 เท่า ความก้าวหน้านี้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบจากระบบสายสัญญาณแบบ 2D ไปสู่ โครงสร้าง 3D พร้อมการเดินสายแบบแนวตั้ง ซึ่งช่วยแก้ปัญหาคอขวดด้านการเชื่อมต่อที่เป็นอุปสรรคใหญ่ของวงการมานานหลายปี หัวใจของสถาปัตยกรรมนี้คือการใช้ chiplets—โมดูลชิปขนาดเล็กที่นำมาต่อกันเป็นระบบใหญ่—ทำให้ QuantWare สามารถสร้าง QPU ที่รองรับ 40,000 I/O lines ได้โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดชิปอย่างไร้ขีดจำกัด แนวทางนี้คล้ายกับการแก้ปัญหาความแออัดของเมือง: แทนที่จะขยายออกด้านข้าง ก็สร้างตึกสูงขึ้นแทน เป็นการพลิกวิธีคิดที่ช่วยให้ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถสเกลได้จริงในระดับอุตสาหกรรม สิ่งที่ทำให้ QuantWare น่าสนใจยิ่งขึ้นคือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แตกต่างจากยักษ์ใหญ่ในวงการ Google และ IBM ที่สร้างทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เองทั้งหมด QuantWare เลือกเดินเส้นทางแบบ “Intel ของวงการควอนตัม” โดยเน้นขายชิปให้ผู้ผลิตรายอื่น และผลักดันแนวคิด Quantum Open Architecture เพื่อให้ฮาร์ดแวร์ของตนเชื่อมต่อกับ ecosystem ที่มีอยู่แล้ว เช่น Nvidia NVQLink และ CUDA‑Q ซึ่งอาจเปิดประตูสู่ระบบไฮบริดที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์คลาสสิกสามารถส่งงานบางส่วนให้ QPU ทำได้อย่างไร้รอยต่อ แม้จะเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ แต่คำถามสำคัญยังคงอยู่: “ชิปที่ใหญ่ขึ้นคือชิปที่ดีกว่าหรือไม่?” ในขณะที่ Google และ IBM มุ่งเน้นการแก้ปัญหา error correction และ fault tolerance QuantWare เลือกใช้แนวทาง brute‑force scaling ซึ่งอาจได้ผลในระยะสั้น แต่ต้องพิสูจน์ความเสถียรในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การประกาศว่าจะเริ่มขายชิปให้ลูกค้าในปี 2028 ทำให้วงการจับตามองว่า QuantWare จะสามารถรักษาความได้เปรียบนี้ไว้ได้หรือไม่ เมื่อเทียบกับ Big Tech ที่มีทรัพยากรมหาศาล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ไฮไลต์จากสถาปัตยกรรม VIO‑40K ➡️ รองรับ 10,000 คิวบิต มากกว่า Google/IBM ประมาณ 100 เท่า ➡️ ใช้ 3D vertical wiring แทน 2D เพื่อลดคอขวดด้านการเชื่อมต่อ ➡️ ใช้ chiplets เพื่อสร้างระบบขนาดใหญ่แบบโมดูลาร์ ➡️ รองรับ 40,000 I/O lines ซึ่งเป็นระดับอุตสาหกรรม ✅ กลยุทธ์ทางธุรกิจที่แตกต่าง ➡️ ตั้งเป้าเป็น “Intel ของควอนตัม” โดยขายชิปแทนสร้างระบบเอง ➡️ ผลักดัน Quantum Open Architecture เพื่อให้ ecosystem เปิดกว้าง ➡️ ทำงานร่วมกับ Nvidia NVQLink และ CUDA‑Q ได้โดยตรง ✅ บริบทจากวงการควอนตัมคอมพิวติ้ง ➡️ Google และ IBM เน้น error correction มากกว่า brute‑force scaling ➡️ การสเกลคิวบิตเป็นปัญหาใหญ่ของวงการมานาน ➡️ การใช้ chiplets อาจเป็นแนวทางใหม่ของการสร้าง QPU ขนาดใหญ่ ‼️ ประเด็นที่ต้องจับตา ⛔ จำนวนคิวบิตมากขึ้นไม่ได้แปลว่าประสิทธิภาพดีขึ้นเสมอไป ⛔ ความเสถียรและ error rate ยังต้องพิสูจน์ในงานจริง ⛔ Big Tech อาจไล่ทันหรือแซงได้ด้วยทรัพยากรที่เหนือกว่า https://www.slashgear.com/2053448/quantware-quantum-computer-processor-10000-qubit/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Company Unveils New Quantum Processor 100x Denser Than Any Other - SlashGear
    There has been a break through in the quantum industry with a company unveiling a new processor that is 100x denser than any other.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • 14 เทคโนโลยีสุดล้ำที่มนุษย์ส่งขึ้นสู่อวกาศ: จากยานสำรวจถึงวัตถุทางวัฒนธรรม

    การเดินทางของมนุษยชาติกับอวกาศเป็นเรื่องราวที่ยาวนานกว่าพันปี ตั้งแต่ยุคที่มนุษย์มองดวงดาวด้วยความสงสัย จนถึงวันที่เราส่งมนุษย์ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ และสร้างสถานีอวกาศที่โคจรรอบโลกอย่าง ISS สิ่งที่น่าสนใจคือ เทคโนโลยีที่เราส่งขึ้นไปนอกโลกไม่ได้มีแค่ยานสำรวจหรือดาวเทียมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัตถุทางวัฒนธรรม สิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ และแม้แต่ของเล่นที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ด้วย

    ในบรรดาเทคโนโลยีที่โดดเด่นที่สุด ได้แก่ ยานอวกาศที่พาเราข้ามขีดจำกัดของแรงโน้มถ่วง ดาวเทียมที่กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของโลกยุคดิจิทัล กล้องโทรทรรศน์อวกาศอย่าง Hubble และ James Webb ที่เปิดหน้าต่างใหม่สู่จักรวาล รวมถึงภารกิจสำรวจดาวอังคารที่ต้องฝ่าความล้มเหลวมากมายก่อนจะประสบความสำเร็จในยุคของ Curiosity และ Perseverance

    นอกจากเทคโนโลยีหลักแล้ว ยังมีวัตถุที่สะท้อนวัฒนธรรมมนุษย์ เช่น Tesla Roadster ที่ SpaceX ส่งขึ้นไปพร้อม Starman, ฟิกเกอร์ LEGO ที่ร่วมเดินทางไปกับยาน Juno, ชิ้นส่วนเครื่องบินลำแรกของ Wright Brothers ที่ไปถึงดวงจันทร์ และ Golden Record ที่บรรจุเสียงและภาพของมนุษยชาติไว้เพื่อทักทายสิ่งมีชีวิตนอกโลกหากมีวันได้พบกัน

    สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าอวกาศไม่ใช่เพียงสนามทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นพื้นที่ที่มนุษย์ใช้บอกเล่าเรื่องราว ความฝัน ความกลัว และความหวังของเราในฐานะเผ่าพันธุ์หนึ่งในจักรวาล การส่งเทคโนโลยีและวัตถุเหล่านี้ขึ้นไปจึงเป็นทั้งการสำรวจภายนอก และการสะท้อนตัวตนภายในของมนุษย์เองด้วย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เทคโนโลยีสำคัญที่ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศ
    ยานอวกาศและจรวดที่พาเราข้ามขีดจำกัดของแรงโน้มถ่วง
    ดาวเทียมกว่า 13,700 ดวงที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของโลกยุคดิจิทัล
    กล้องโทรทรรศน์ Hubble และ James Webb ที่เปิดมุมมองใหม่ของจักรวาล
    Mars Rovers ที่ฝ่าความล้มเหลวหลายครั้งก่อนประสบความสำเร็จ

    วัตถุทางวัฒนธรรมที่ร่วมเดินทางไปกับมนุษย์
    Tesla Roadster พร้อม Starman และผลงานของ Asimov
    ฟิกเกอร์ LEGO บนภารกิจ Juno
    ชิ้นส่วนเครื่องบินของ Wright Brothers ที่ไปถึงดวงจันทร์
    Golden Record ที่บันทึกเสียง ภาพ และดนตรีของมนุษยชาติ

    ความหมายเชิงสัญลักษณ์ของการส่งสิ่งเหล่านี้ขึ้นสู่อวกาศ
    แสดงให้เห็นความอยากรู้อยากเห็นและความกล้าของมนุษย์
    เป็นการบันทึกวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของมนุษย์ในระดับจักรวาล
    สะท้อนความร่วมมือระดับโลก เช่น ISS ที่สร้างโดยหลายประเทศ

    ประเด็นที่ต้องระวังหรือพิจารณา
    ปริมาณขยะอวกาศที่เพิ่มขึ้นจากวัตถุที่ถูกส่งขึ้นไป
    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของภารกิจที่ต้องเผชิญสภาพแวดล้อมรุนแรง
    ความท้าทายด้านต้นทุนและทรัพยากรในการสำรวจอวกาศ

    https://www.slashgear.com/2053418/coolest-tech-sent-to-space/
    🚀 14 เทคโนโลยีสุดล้ำที่มนุษย์ส่งขึ้นสู่อวกาศ: จากยานสำรวจถึงวัตถุทางวัฒนธรรม การเดินทางของมนุษยชาติกับอวกาศเป็นเรื่องราวที่ยาวนานกว่าพันปี ตั้งแต่ยุคที่มนุษย์มองดวงดาวด้วยความสงสัย จนถึงวันที่เราส่งมนุษย์ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ และสร้างสถานีอวกาศที่โคจรรอบโลกอย่าง ISS สิ่งที่น่าสนใจคือ เทคโนโลยีที่เราส่งขึ้นไปนอกโลกไม่ได้มีแค่ยานสำรวจหรือดาวเทียมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัตถุทางวัฒนธรรม สิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ และแม้แต่ของเล่นที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ด้วย ในบรรดาเทคโนโลยีที่โดดเด่นที่สุด ได้แก่ ยานอวกาศที่พาเราข้ามขีดจำกัดของแรงโน้มถ่วง ดาวเทียมที่กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของโลกยุคดิจิทัล กล้องโทรทรรศน์อวกาศอย่าง Hubble และ James Webb ที่เปิดหน้าต่างใหม่สู่จักรวาล รวมถึงภารกิจสำรวจดาวอังคารที่ต้องฝ่าความล้มเหลวมากมายก่อนจะประสบความสำเร็จในยุคของ Curiosity และ Perseverance นอกจากเทคโนโลยีหลักแล้ว ยังมีวัตถุที่สะท้อนวัฒนธรรมมนุษย์ เช่น Tesla Roadster ที่ SpaceX ส่งขึ้นไปพร้อม Starman, ฟิกเกอร์ LEGO ที่ร่วมเดินทางไปกับยาน Juno, ชิ้นส่วนเครื่องบินลำแรกของ Wright Brothers ที่ไปถึงดวงจันทร์ และ Golden Record ที่บรรจุเสียงและภาพของมนุษยชาติไว้เพื่อทักทายสิ่งมีชีวิตนอกโลกหากมีวันได้พบกัน สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าอวกาศไม่ใช่เพียงสนามทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นพื้นที่ที่มนุษย์ใช้บอกเล่าเรื่องราว ความฝัน ความกลัว และความหวังของเราในฐานะเผ่าพันธุ์หนึ่งในจักรวาล การส่งเทคโนโลยีและวัตถุเหล่านี้ขึ้นไปจึงเป็นทั้งการสำรวจภายนอก และการสะท้อนตัวตนภายในของมนุษย์เองด้วย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เทคโนโลยีสำคัญที่ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศ ➡️ ยานอวกาศและจรวดที่พาเราข้ามขีดจำกัดของแรงโน้มถ่วง ➡️ ดาวเทียมกว่า 13,700 ดวงที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของโลกยุคดิจิทัล ➡️ กล้องโทรทรรศน์ Hubble และ James Webb ที่เปิดมุมมองใหม่ของจักรวาล ➡️ Mars Rovers ที่ฝ่าความล้มเหลวหลายครั้งก่อนประสบความสำเร็จ ✅ วัตถุทางวัฒนธรรมที่ร่วมเดินทางไปกับมนุษย์ ➡️ Tesla Roadster พร้อม Starman และผลงานของ Asimov ➡️ ฟิกเกอร์ LEGO บนภารกิจ Juno ➡️ ชิ้นส่วนเครื่องบินของ Wright Brothers ที่ไปถึงดวงจันทร์ ➡️ Golden Record ที่บันทึกเสียง ภาพ และดนตรีของมนุษยชาติ ✅ ความหมายเชิงสัญลักษณ์ของการส่งสิ่งเหล่านี้ขึ้นสู่อวกาศ ➡️ แสดงให้เห็นความอยากรู้อยากเห็นและความกล้าของมนุษย์ ➡️ เป็นการบันทึกวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของมนุษย์ในระดับจักรวาล ➡️ สะท้อนความร่วมมือระดับโลก เช่น ISS ที่สร้างโดยหลายประเทศ ‼️ ประเด็นที่ต้องระวังหรือพิจารณา ⛔ ปริมาณขยะอวกาศที่เพิ่มขึ้นจากวัตถุที่ถูกส่งขึ้นไป ⛔ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของภารกิจที่ต้องเผชิญสภาพแวดล้อมรุนแรง ⛔ ความท้าทายด้านต้นทุนและทรัพยากรในการสำรวจอวกาศ https://www.slashgear.com/2053418/coolest-tech-sent-to-space/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    14 Of The Coolest Pieces Of Tech We've Sent To Space - SlashGear
    Humanity has sent into space everything from lightsabers and Tesla Roadsters to golden records and entire digital genetic records of famous scientists.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • jdSystemMonitor: เครื่องมือมอนิเตอร์ระบบ Linux ที่ก้าวข้ามความเป็น “System Monitor” แบบเดิม

    jdSystemMonitor กำลังกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ถูกพูดถึงในหมู่ผู้ใช้ Linux สายเทคนิค เพราะมันไม่ได้เป็นเพียงตัวดูทรัพยากรระบบทั่วไป แต่ยังรวมข้อมูลเชิงลึกของระบบไว้ในอินเทอร์เฟซเดียวอย่างเป็นระเบียบและใช้งานง่าย จุดเด่นคือการออกแบบแบบ “desktop‑independent” ที่ไม่ผูกติดกับสภาพแวดล้อมใดเป็นพิเศษ ทำให้เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความเรียบง่ายแต่ทรงพลัง

    นอกจากฟีเจอร์พื้นฐานอย่างการดู CPU, RAM, และ Process แล้ว jdSystemMonitor ยังเพิ่มความสามารถที่ปกติจะต้องใช้หลายเครื่องมือประกอบกัน เช่น การดู systemd services, รายการ Flatpak ที่กำลังรัน, รายการ autostart ข้ามเดสก์ท็อป, รายการแพ็กเกจทั้งหมดในระบบ รวมถึง sysctl values ที่ปกติซ่อนอยู่ลึกในระบบ Linux สิ่งนี้ทำให้มันกลายเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้ทั่วไปและผู้ดูแลระบบที่ต้องการข้อมูลครบจบในที่เดียว

    ในมุมของชุมชนโอเพ่นซอร์ส jdSystemMonitor ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของเครื่องมือที่ผสมผสาน Python + PyQt เข้ากับ backend ที่เขียนด้วย Go เพื่อให้ได้ทั้งความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นแนวทางที่เริ่มเห็นมากขึ้นในโปรเจกต์ยุคใหม่ นอกจากนี้ การกระจายผ่าน Flatpak ยังช่วยให้ผู้ใช้ติดตั้งได้ง่ายโดยไม่ต้องกังวลเรื่อง dependency แตกต่างจากเครื่องมือรุ่นเก่าที่ต้องคอมไพล์หรือดึงแพ็กเกจเสริมเอง

    แม้จะมีจุดเด่นมากมาย แต่ก็ยังมีข้อจำกัด เช่น หน้าต่างที่กว้างเกินไป ไม่มี dark mode integration และหน้าต่างข้อมูลแพ็กเกจที่ปรับขนาดไม่ได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตัวโปรเจกต์ยังอยู่ในช่วงพัฒนาและเปิดรับฟีดแบ็กจากผู้ใช้เพื่อปรับปรุงต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องมือดูระบบแบบ “ครบเครื่องแต่ไม่ฟุ้งเฟ้อ” jdSystemMonitor ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ฟีเจอร์เด่นของ jdSystemMonitor
    รวมข้อมูลระบบเชิงลึกไว้ในอินเทอร์เฟซเดียว
    รองรับการดู systemd services, Flatpak, autostart, packages และ sysctl values
    ใช้ Python + PyQt และ daemon ที่เขียนด้วย Go เพื่อความเสถียรและเบาเครื่อง

    จุดแข็งด้านการใช้งาน
    อินเทอร์เฟซเรียบง่าย ไม่ผูกกับเดสก์ท็อปใด
    กระจายผ่าน Flatpak ติดตั้งง่าย ไม่ต้องจัดการ dependency
    เหมาะทั้งผู้ใช้ทั่วไปและ sysadmin

    บริบทจากวงการโอเพ่นซอร์ส
    แนวโน้มใช้ Python + Go ในเครื่องมือยุคใหม่
    Flatpak กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการกระจายแอปบน Linux
    เครื่องมือแบบ all‑in‑one ได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่ power users

    ข้อจำกัดและสิ่งที่ต้องระวัง
    หน้าต่างกว้างเกินไป ทำให้ใช้งานบนหน้าจอเล็กไม่สะดวก
    ไม่มี dark mode integration อาจขัดตาบนเดสก์ท็อปที่ใช้ธีมมืด
    หน้าต่างข้อมูลแพ็กเกจปรับขนาดไม่ได้ ทำให้ดูข้อมูลบางส่วนลำบาก

    https://itsfoss.com/jdsystemmonitor/
    🖥️ jdSystemMonitor: เครื่องมือมอนิเตอร์ระบบ Linux ที่ก้าวข้ามความเป็น “System Monitor” แบบเดิม jdSystemMonitor กำลังกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ถูกพูดถึงในหมู่ผู้ใช้ Linux สายเทคนิค เพราะมันไม่ได้เป็นเพียงตัวดูทรัพยากรระบบทั่วไป แต่ยังรวมข้อมูลเชิงลึกของระบบไว้ในอินเทอร์เฟซเดียวอย่างเป็นระเบียบและใช้งานง่าย จุดเด่นคือการออกแบบแบบ “desktop‑independent” ที่ไม่ผูกติดกับสภาพแวดล้อมใดเป็นพิเศษ ทำให้เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความเรียบง่ายแต่ทรงพลัง นอกจากฟีเจอร์พื้นฐานอย่างการดู CPU, RAM, และ Process แล้ว jdSystemMonitor ยังเพิ่มความสามารถที่ปกติจะต้องใช้หลายเครื่องมือประกอบกัน เช่น การดู systemd services, รายการ Flatpak ที่กำลังรัน, รายการ autostart ข้ามเดสก์ท็อป, รายการแพ็กเกจทั้งหมดในระบบ รวมถึง sysctl values ที่ปกติซ่อนอยู่ลึกในระบบ Linux สิ่งนี้ทำให้มันกลายเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้ทั่วไปและผู้ดูแลระบบที่ต้องการข้อมูลครบจบในที่เดียว ในมุมของชุมชนโอเพ่นซอร์ส jdSystemMonitor ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของเครื่องมือที่ผสมผสาน Python + PyQt เข้ากับ backend ที่เขียนด้วย Go เพื่อให้ได้ทั้งความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นแนวทางที่เริ่มเห็นมากขึ้นในโปรเจกต์ยุคใหม่ นอกจากนี้ การกระจายผ่าน Flatpak ยังช่วยให้ผู้ใช้ติดตั้งได้ง่ายโดยไม่ต้องกังวลเรื่อง dependency แตกต่างจากเครื่องมือรุ่นเก่าที่ต้องคอมไพล์หรือดึงแพ็กเกจเสริมเอง แม้จะมีจุดเด่นมากมาย แต่ก็ยังมีข้อจำกัด เช่น หน้าต่างที่กว้างเกินไป ไม่มี dark mode integration และหน้าต่างข้อมูลแพ็กเกจที่ปรับขนาดไม่ได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตัวโปรเจกต์ยังอยู่ในช่วงพัฒนาและเปิดรับฟีดแบ็กจากผู้ใช้เพื่อปรับปรุงต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องมือดูระบบแบบ “ครบเครื่องแต่ไม่ฟุ้งเฟ้อ” jdSystemMonitor ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ฟีเจอร์เด่นของ jdSystemMonitor ➡️ รวมข้อมูลระบบเชิงลึกไว้ในอินเทอร์เฟซเดียว ➡️ รองรับการดู systemd services, Flatpak, autostart, packages และ sysctl values ➡️ ใช้ Python + PyQt และ daemon ที่เขียนด้วย Go เพื่อความเสถียรและเบาเครื่อง ✅ จุดแข็งด้านการใช้งาน ➡️ อินเทอร์เฟซเรียบง่าย ไม่ผูกกับเดสก์ท็อปใด ➡️ กระจายผ่าน Flatpak ติดตั้งง่าย ไม่ต้องจัดการ dependency ➡️ เหมาะทั้งผู้ใช้ทั่วไปและ sysadmin ✅ บริบทจากวงการโอเพ่นซอร์ส ➡️ แนวโน้มใช้ Python + Go ในเครื่องมือยุคใหม่ ➡️ Flatpak กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการกระจายแอปบน Linux ➡️ เครื่องมือแบบ all‑in‑one ได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่ power users ‼️ ข้อจำกัดและสิ่งที่ต้องระวัง ⛔ หน้าต่างกว้างเกินไป ทำให้ใช้งานบนหน้าจอเล็กไม่สะดวก ⛔ ไม่มี dark mode integration อาจขัดตาบนเดสก์ท็อปที่ใช้ธีมมืด ⛔ หน้าต่างข้อมูลแพ็กเกจปรับขนาดไม่ได้ ทำให้ดูข้อมูลบางส่วนลำบาก https://itsfoss.com/jdsystemmonitor/
    ITSFOSS.COM
    jdSystemMonitor: More Than Your Regular System Monitor on Linux
    Bringing system resources and internal details together in one place, jdSystemMonitor is a solid and lightweight option for desktop Linux users.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพไทยส่งสัญญาณไปยังชนชั้นนำของกัมพูชา ยืนยันจะเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารอย่างต่อเนื่อง และจะไม่ยุติการโจมตีจนกว่าฝ่ายกัมพูชาจะยอมรับเงื่อนไขทั้ง 3 ประการที่รัฐบาลไทยเสนอ เพื่อเปิดทางสู่การหยุดยิงและการเจรจาสันติภาพ
    .
    พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ แถลงที่ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ไทย–กัมพูชา ระบุว่า การปฏิบัติการทางทหารของไทยตั้งแต่เริ่มต้น มุ่งเป้าเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น โดยกรณีที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นการโจมตีพื้นที่พลเรือนหรือสถานศึกษา เป็นข้อมูลบิดเบือนที่ไม่เป็นความจริง
    .
    โฆษกกองทัพอากาศยืนยันว่า เป้าหมายบางแห่ง เช่น กาสิโนร้าง ถูกใช้เป็นศูนย์บัญชาการทางทหารของฝ่ายกัมพูชา จึงจำเป็นต้องเข้าทำลายซ้ำ ขณะเดียวกันยังได้โจมตีสะพานโอจิก จังหวัดอุดรมีชัย ซึ่งเป็นเส้นทางลำเลียงกำลังพลและยุทโธปกรณ์ไปยังพื้นที่ปราสาทตาควายและเนิน 350 เพื่อริดรอนขีดความสามารถทางทหารของฝ่ายตรงข้าม
    .
    การโจมตีดังกล่าวใช้อาวุธที่มีความแม่นยำสูง มุ่งตัดเส้นทางสำหรับยานพาหนะทางทหาร โดยยังคงเปิดให้ประชาชนสามารถเดินเท้าหรือใช้รถจักรยานยนต์ข้ามได้ และหากตรวจพบว่ากัมพูชายังพยายามใช้เส้นทางดังกล่าวในการส่งกำลังบำรุง กองทัพไทยจะดำเนินการโจมตีซ้ำทันที
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122728
    .
    #News1live #News1 #กองทัพไทย #สถานการณ์ชายแดน #เนิน350 #ปราสาทตาควาย #ความมั่นคง
    กองทัพไทยส่งสัญญาณไปยังชนชั้นนำของกัมพูชา ยืนยันจะเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารอย่างต่อเนื่อง และจะไม่ยุติการโจมตีจนกว่าฝ่ายกัมพูชาจะยอมรับเงื่อนไขทั้ง 3 ประการที่รัฐบาลไทยเสนอ เพื่อเปิดทางสู่การหยุดยิงและการเจรจาสันติภาพ . พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ แถลงที่ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ไทย–กัมพูชา ระบุว่า การปฏิบัติการทางทหารของไทยตั้งแต่เริ่มต้น มุ่งเป้าเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น โดยกรณีที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นการโจมตีพื้นที่พลเรือนหรือสถานศึกษา เป็นข้อมูลบิดเบือนที่ไม่เป็นความจริง . โฆษกกองทัพอากาศยืนยันว่า เป้าหมายบางแห่ง เช่น กาสิโนร้าง ถูกใช้เป็นศูนย์บัญชาการทางทหารของฝ่ายกัมพูชา จึงจำเป็นต้องเข้าทำลายซ้ำ ขณะเดียวกันยังได้โจมตีสะพานโอจิก จังหวัดอุดรมีชัย ซึ่งเป็นเส้นทางลำเลียงกำลังพลและยุทโธปกรณ์ไปยังพื้นที่ปราสาทตาควายและเนิน 350 เพื่อริดรอนขีดความสามารถทางทหารของฝ่ายตรงข้าม . การโจมตีดังกล่าวใช้อาวุธที่มีความแม่นยำสูง มุ่งตัดเส้นทางสำหรับยานพาหนะทางทหาร โดยยังคงเปิดให้ประชาชนสามารถเดินเท้าหรือใช้รถจักรยานยนต์ข้ามได้ และหากตรวจพบว่ากัมพูชายังพยายามใช้เส้นทางดังกล่าวในการส่งกำลังบำรุง กองทัพไทยจะดำเนินการโจมตีซ้ำทันที . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122728 . #News1live #News1 #กองทัพไทย #สถานการณ์ชายแดน #เนิน350 #ปราสาทตาควาย #ความมั่นคง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกประกาศเตือนภัยกลุ่มข้าราชการบำนาญและผู้สูงอายุ หลังพบแก๊งสแกมเมอร์ใช้สารพัดอุบายหลอกลวงออนไลน์ โดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคม มีผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก และเกิดความเสียหายตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงเกือบ 1 ล้านบาทต่อราย
    .
    พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า คนร้ายมักแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานรัฐหรือหน่วยงานด้านสวัสดิการ โทรศัพท์เข้าหาเหยื่อโดยใช้ข้อมูลส่วนตัวที่รั่วไหล เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ก่อนหลอกให้เพิ่มเพื่อนใน LINE และส่งลิงก์ให้ติดตั้งแอปปลอม ซึ่งเป็นมัลแวร์ควบคุมโทรศัพท์จากระยะไกล
    .
    กลโกงที่พบบ่อยคือการหลอกให้เหยื่อเปลี่ยนภาษาแอปธนาคารเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ผู้สูงอายุสับสนและถูกหลอกให้โอนเงินโดยไม่รู้ตัว จากข้อมูลศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ พบว่ากลุ่มอายุ 60–74 ปี เป็นเป้าหมายหลักของขบวนการนี้
    .
    ตำรวจย้ำเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อสายแปลกหน้า ไม่กดลิงก์ ไม่ติดตั้งแอปนอกแหล่งที่เชื่อถือ และห้ามเปลี่ยนภาษาแอปธนาคารตามคำบอก หากสงสัยสามารถติดต่อสายด่วน 1441 หรือโทรแจ้งเหตุ 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122657
    .
    #News1live #News1 #เตือนภัยสแกมเมอร์ #ข้าราชการบำนาญ #ภัยออนไลน์ #หลอกโอนเงิน
    สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกประกาศเตือนภัยกลุ่มข้าราชการบำนาญและผู้สูงอายุ หลังพบแก๊งสแกมเมอร์ใช้สารพัดอุบายหลอกลวงออนไลน์ โดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคม มีผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก และเกิดความเสียหายตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงเกือบ 1 ล้านบาทต่อราย . พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า คนร้ายมักแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานรัฐหรือหน่วยงานด้านสวัสดิการ โทรศัพท์เข้าหาเหยื่อโดยใช้ข้อมูลส่วนตัวที่รั่วไหล เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ก่อนหลอกให้เพิ่มเพื่อนใน LINE และส่งลิงก์ให้ติดตั้งแอปปลอม ซึ่งเป็นมัลแวร์ควบคุมโทรศัพท์จากระยะไกล . กลโกงที่พบบ่อยคือการหลอกให้เหยื่อเปลี่ยนภาษาแอปธนาคารเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ผู้สูงอายุสับสนและถูกหลอกให้โอนเงินโดยไม่รู้ตัว จากข้อมูลศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ พบว่ากลุ่มอายุ 60–74 ปี เป็นเป้าหมายหลักของขบวนการนี้ . ตำรวจย้ำเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อสายแปลกหน้า ไม่กดลิงก์ ไม่ติดตั้งแอปนอกแหล่งที่เชื่อถือ และห้ามเปลี่ยนภาษาแอปธนาคารตามคำบอก หากสงสัยสามารถติดต่อสายด่วน 1441 หรือโทรแจ้งเหตุ 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122657 . #News1live #News1 #เตือนภัยสแกมเมอร์ #ข้าราชการบำนาญ #ภัยออนไลน์ #หลอกโอนเงิน
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพบกยกย่องความกล้าหาญและการเสียสละของ จ่าสิบเอก สำเริง คลังประโคน และ พลทหาร ภานุพัฒน์ เสาร์สา กำลังพลกองร้อยอาวุธเบา ร.23 พัน.3 ที่สละชีวิตในสนามรบ เพื่อปกป้องเพื่อนร่วมรบระหว่างปฏิบัติภารกิจโจมตีที่หมาย “เนิน 350”
    .
    เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 เวลา 10.10 น. ขณะหน่วยได้รับภารกิจเข้าโจมตี ฝ่ายตรงข้ามใช้อาวุธยิงสนับสนุนและอาวุธเล็งตรงอย่างต่อเนื่อง โดยกำลังพลทั้งสองนายได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นชุดยิงคุ้มครอง รั้งท้าย ปักหลักต่อสู้เพื่อเปิดทางให้กำลังพลส่วนใหญ่ถอนกำลังได้อย่างปลอดภัย
    .
    การยืนหยัดต่อสู้จนวาระสุดท้ายของทั้งสองนาย ส่งผลให้เพื่อนร่วมรบสามารถรอดพ้นจากอันตราย และถือเป็นการเสียชีวิตในสนามรบอย่างสมศักดิ์ศรีของทหารกล้า
    .
    ปัจจุบันอยู่ระหว่างการลำเลียงร่างออกจากพื้นที่การรบด้วยความระมัดระวังสูงสุด เนื่องจากยังมีความเสี่ยงจากทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดแสวงเครื่องในพื้นที่
    .
    พลโท วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวยกย่องว่า ความเสียสละของทั้งสองนายเป็นแบบอย่างของทหารอาชีพ ผู้ยืนหยัดปกป้องอธิปไตยและผืนแผ่นดินไทยจนลมหายใจสุดท้าย
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122676
    .
    #News1live #News1 #ทหารกล้า #เนิน350 #กองทัพบก #เสียสละเพื่อชาติ #จารึกไว้ในแผ่นดิน
    กองทัพบกยกย่องความกล้าหาญและการเสียสละของ จ่าสิบเอก สำเริง คลังประโคน และ พลทหาร ภานุพัฒน์ เสาร์สา กำลังพลกองร้อยอาวุธเบา ร.23 พัน.3 ที่สละชีวิตในสนามรบ เพื่อปกป้องเพื่อนร่วมรบระหว่างปฏิบัติภารกิจโจมตีที่หมาย “เนิน 350” . เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 เวลา 10.10 น. ขณะหน่วยได้รับภารกิจเข้าโจมตี ฝ่ายตรงข้ามใช้อาวุธยิงสนับสนุนและอาวุธเล็งตรงอย่างต่อเนื่อง โดยกำลังพลทั้งสองนายได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นชุดยิงคุ้มครอง รั้งท้าย ปักหลักต่อสู้เพื่อเปิดทางให้กำลังพลส่วนใหญ่ถอนกำลังได้อย่างปลอดภัย . การยืนหยัดต่อสู้จนวาระสุดท้ายของทั้งสองนาย ส่งผลให้เพื่อนร่วมรบสามารถรอดพ้นจากอันตราย และถือเป็นการเสียชีวิตในสนามรบอย่างสมศักดิ์ศรีของทหารกล้า . ปัจจุบันอยู่ระหว่างการลำเลียงร่างออกจากพื้นที่การรบด้วยความระมัดระวังสูงสุด เนื่องจากยังมีความเสี่ยงจากทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดแสวงเครื่องในพื้นที่ . พลโท วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวยกย่องว่า ความเสียสละของทั้งสองนายเป็นแบบอย่างของทหารอาชีพ ผู้ยืนหยัดปกป้องอธิปไตยและผืนแผ่นดินไทยจนลมหายใจสุดท้าย . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122676 . #News1live #News1 #ทหารกล้า #เนิน350 #กองทัพบก #เสียสละเพื่อชาติ #จารึกไว้ในแผ่นดิน
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพอากาศไทยเปิดเผยการปฏิบัติการใช้เครื่องบิน F-16 โจมตี “สะพานโอร์จิก” ในจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา ด้วยอาวุธชั้นสูง เข้าเป้าหมายอย่างแม่นยำ เพื่อ ตัดเส้นทางการส่งกำลังพลและอาวุธ ไปยังพื้นที่เนิน 350 และปราสาทตาควาย
    .
    พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ ระบุว่า การโจมตีมุ่งเฉพาะโครงสร้างสะพานสำหรับยานพาหนะ เพื่อขัดขวางการลำเลียงกำลังบำรุงทางทหาร โดยยังเหลือโครงสร้างให้ประชาชนใช้เดินเท้าหรือรถจักรยานยนต์ได้ เพื่อลดผลกระทบต่อพลเรือน
    .
    โฆษกกองทัพอากาศย้ำว่า หากฝ่ายกัมพูชายังใช้เส้นทางดังกล่าวในการส่งกำลังไปแนวหน้า กองทัพอากาศพร้อมปฏิบัติการซ้ำ และจะดำเนินการทางทหารอย่างต่อเนื่อง จนกว่ากัมพูชาจะยอมรับเงื่อนไขทั้ง 3 ประการของรัฐบาลไทย เพื่อนำไปสู่การหยุดยิงและการเจรจาเพื่อสันติภาพ
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122681
    .
    #News1live #News1 #กองทัพอากาศ #สะพานโอร์จิก #เนิน350 #ปราสาทตาควาย #สถานการณ์ชายแดน
    กองทัพอากาศไทยเปิดเผยการปฏิบัติการใช้เครื่องบิน F-16 โจมตี “สะพานโอร์จิก” ในจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา ด้วยอาวุธชั้นสูง เข้าเป้าหมายอย่างแม่นยำ เพื่อ ตัดเส้นทางการส่งกำลังพลและอาวุธ ไปยังพื้นที่เนิน 350 และปราสาทตาควาย . พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ ระบุว่า การโจมตีมุ่งเฉพาะโครงสร้างสะพานสำหรับยานพาหนะ เพื่อขัดขวางการลำเลียงกำลังบำรุงทางทหาร โดยยังเหลือโครงสร้างให้ประชาชนใช้เดินเท้าหรือรถจักรยานยนต์ได้ เพื่อลดผลกระทบต่อพลเรือน . โฆษกกองทัพอากาศย้ำว่า หากฝ่ายกัมพูชายังใช้เส้นทางดังกล่าวในการส่งกำลังไปแนวหน้า กองทัพอากาศพร้อมปฏิบัติการซ้ำ และจะดำเนินการทางทหารอย่างต่อเนื่อง จนกว่ากัมพูชาจะยอมรับเงื่อนไขทั้ง 3 ประการของรัฐบาลไทย เพื่อนำไปสู่การหยุดยิงและการเจรจาเพื่อสันติภาพ . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122681 . #News1live #News1 #กองทัพอากาศ #สะพานโอร์จิก #เนิน350 #ปราสาทตาควาย #สถานการณ์ชายแดน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองกำลังป้องกันชายแดนจังหวัดจันทบุรีและตราด เปิดปฏิบัติการ “ตราดปราบปรปักษ์” ประสานกองทัพอากาศ ใช้เครื่องบิน F-16 ปฏิบัติการโจมตีบ่อนกาสิโนในพื้นที่ตำบลทมอดา อำเภอเวียลเวง จังหวัดโพธิสัตว์ ประเทศกัมพูชา ส่งผลให้สิ่งปลูกสร้างได้รับความเสียหายอย่างหนัก
    .
    รายงานระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวถูกตรวจพบว่าเป็นที่ตั้งของฐานปืนใหญ่ขนาด 122 มิลลิเมตร ซึ่งเข้าข่ายเป็นเป้าหมายทางทหารตามสถานการณ์ความมั่นคงชายแดน
    .
    ภายหลังการปฏิบัติการ พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มสแกมเมอร์ที่อยู่ในพื้นที่ เร่งอพยพอุปกรณ์และหลบหนีออกจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122629
    .
    #News1live #News1 #F16 #โพธิสัตว์ #บ่อนกาสิโน #สแกมเมอร์ #สถานการณ์ชายแดน
    กองกำลังป้องกันชายแดนจังหวัดจันทบุรีและตราด เปิดปฏิบัติการ “ตราดปราบปรปักษ์” ประสานกองทัพอากาศ ใช้เครื่องบิน F-16 ปฏิบัติการโจมตีบ่อนกาสิโนในพื้นที่ตำบลทมอดา อำเภอเวียลเวง จังหวัดโพธิสัตว์ ประเทศกัมพูชา ส่งผลให้สิ่งปลูกสร้างได้รับความเสียหายอย่างหนัก . รายงานระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวถูกตรวจพบว่าเป็นที่ตั้งของฐานปืนใหญ่ขนาด 122 มิลลิเมตร ซึ่งเข้าข่ายเป็นเป้าหมายทางทหารตามสถานการณ์ความมั่นคงชายแดน . ภายหลังการปฏิบัติการ พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มสแกมเมอร์ที่อยู่ในพื้นที่ เร่งอพยพอุปกรณ์และหลบหนีออกจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122629 . #News1live #News1 #F16 #โพธิสัตว์ #บ่อนกาสิโน #สแกมเมอร์ #สถานการณ์ชายแดน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • โฆษกกองทัพบกยืนยันความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ระบุว่า กองทัพภาคที่ 2 สามารถควบคุมพื้นที่บริเวณเนิน 350 และปราสาทตาควายได้แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการสถาปนาความมั่นคงในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
    .
    รายงานดังกล่าวมีขึ้นเมื่อเวลา 13.00 น. ของวันที่ 20 ธันวาคม โดยฝ่ายไทยสามารถควบคุมพื้นที่ในเบื้องต้นได้สำเร็จ หลังการปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่ดังกล่าว
    .
    พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ได้พบร่างกำลังพลที่เสียชีวิต 2 นาย ได้แก่ จ่าสิบเอก สำเริง คลังประโคน และ พลทหาร ภานุพัฒน์ เสาร์สา ขณะนี้อยู่ระหว่างการเคลื่อนย้ายร่างกลับยังพื้นที่ส่วนหลัง เพื่อนำกลับสู่ภูมิลำเนา
    .
    กองทัพบกระบุว่า จะมีการรายงานรายละเอียดเพิ่มเติมให้ทราบต่อไป
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122619
    .
    #News1live #News1 #เนิน350 #ปราสาทตาควาย #กองทัพบก #ทหารกล้า #สถานการณ์ชายแดน
    โฆษกกองทัพบกยืนยันความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ระบุว่า กองทัพภาคที่ 2 สามารถควบคุมพื้นที่บริเวณเนิน 350 และปราสาทตาควายได้แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการสถาปนาความมั่นคงในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง . รายงานดังกล่าวมีขึ้นเมื่อเวลา 13.00 น. ของวันที่ 20 ธันวาคม โดยฝ่ายไทยสามารถควบคุมพื้นที่ในเบื้องต้นได้สำเร็จ หลังการปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่ดังกล่าว . พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ได้พบร่างกำลังพลที่เสียชีวิต 2 นาย ได้แก่ จ่าสิบเอก สำเริง คลังประโคน และ พลทหาร ภานุพัฒน์ เสาร์สา ขณะนี้อยู่ระหว่างการเคลื่อนย้ายร่างกลับยังพื้นที่ส่วนหลัง เพื่อนำกลับสู่ภูมิลำเนา . กองทัพบกระบุว่า จะมีการรายงานรายละเอียดเพิ่มเติมให้ทราบต่อไป . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122619 . #News1live #News1 #เนิน350 #ปราสาทตาควาย #กองทัพบก #ทหารกล้า #สถานการณ์ชายแดน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองบังคับการปราบปราม จัดชุดสืบสวนร่วมคลี่คลายคดีลอบสังหาร นายพะยอม สังข์ทอง หรือ “กำนันยอง” อายุ 64 ปี อดีตกำนันตำบลท่าชะมวง และผู้สมัครนายก อบต.ท่าชะมวง หลังถูกยิงเสียชีวิตในพื้นที่อำเภอป่าบอน จังหวัดพัทลุง เมื่อคืนวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา
    .
    พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ ผู้บังคับการกองปราบฯ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ตำรวจลงพื้นที่ร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง เร่งสืบสวนหาพยานหลักฐาน เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกับอิทธิพลท้องถิ่น
    .
    ขณะเดียวกัน ได้สั่งเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวของซุ้มมือปืนในพื้นที่ภาคใต้ ทั้งตอนบนและตอนล่าง เพื่อป้องกันเหตุรุนแรงในช่วงก่อนการเลือกตั้งท้องถิ่น
    .
    แนวทางสืบสวนเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ให้น้ำหนักไปที่ความขัดแย้งทางการเมืองท้องถิ่น โดยอยู่ระหว่างตรวจสอบกลุ่มผู้ต้องสงสัยบางส่วน ซึ่งมีรายงานว่าพัวพันกับเครือญาติของ “เสี่ยแป้งนาโหนด” เพื่อพิสูจน์ความเชื่อมโยงตามพยานหลักฐานต่อไป
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122695
    .
    #News1live #News1 #กำนันยอง #กองปราบ #การเมืองท้องถิ่น #คดีอุกฉกรรจ์ #ภาคใต้
    กองบังคับการปราบปราม จัดชุดสืบสวนร่วมคลี่คลายคดีลอบสังหาร นายพะยอม สังข์ทอง หรือ “กำนันยอง” อายุ 64 ปี อดีตกำนันตำบลท่าชะมวง และผู้สมัครนายก อบต.ท่าชะมวง หลังถูกยิงเสียชีวิตในพื้นที่อำเภอป่าบอน จังหวัดพัทลุง เมื่อคืนวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา . พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ ผู้บังคับการกองปราบฯ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ตำรวจลงพื้นที่ร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง เร่งสืบสวนหาพยานหลักฐาน เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกับอิทธิพลท้องถิ่น . ขณะเดียวกัน ได้สั่งเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวของซุ้มมือปืนในพื้นที่ภาคใต้ ทั้งตอนบนและตอนล่าง เพื่อป้องกันเหตุรุนแรงในช่วงก่อนการเลือกตั้งท้องถิ่น . แนวทางสืบสวนเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ให้น้ำหนักไปที่ความขัดแย้งทางการเมืองท้องถิ่น โดยอยู่ระหว่างตรวจสอบกลุ่มผู้ต้องสงสัยบางส่วน ซึ่งมีรายงานว่าพัวพันกับเครือญาติของ “เสี่ยแป้งนาโหนด” เพื่อพิสูจน์ความเชื่อมโยงตามพยานหลักฐานต่อไป . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122695 . #News1live #News1 #กำนันยอง #กองปราบ #การเมืองท้องถิ่น #คดีอุกฉกรรจ์ #ภาคใต้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts