• อ่านเพิ่มเติม
    28/2/68 เนื้อหายาวมาก แต่คุ้มค่าแก่การอ่านค่ะ หมอพจนีย์ #ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง แล้ววันหนึ่ง.... แพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์....เรียนจบมัธยมปลายที่เตรียมอุดมฯ จบแพทย์ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ต่อแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช อยู่กับครอบครัวที่อบอุ่น มีนิสัยร่าเริงสนุกสนาน มีเพื่อนฝูงรักชอบหมอมากมาย หมอเล่าว่า เมื่อก่อนเคยใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย เที่ยวทุกคืน อาศัยเข้าไปกินบรรยากาศ ดื่มพอมึน ๆ ฟังพวกเพื่อนที่กินเหล้าคุยกัน มันรู้สึกสนุก บ้าๆ บอๆ สะใจ หัวเราะกันได้ทั้งคืน บ่อยครั้งที่ดื่มจนถึงเช้าแล้วค่อยแยกจากกัน มันก็แปลกเหมือนกันที่หมอเองเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่ แต่ก็ไม่รู้สึกกลัวอะไร กลับรู้สึกว่า ทำแบบนี้ เก๋มาก ภูมิใจ เป็นการเข้าสังคมกลุ่มพี่น้องหมอด้วยกัน ก่อนหน้านั้น หมอเป็นคนห่างไกลศาสนา มองไม่เห็นความจำเป็นว่า ศาสนาจะเข้ามาช่วยชีวิตให้สมบูรณ์ได้อย่างไร เพราะที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ดีอยู่แล้ว ทำบุญวันเกิดปีละครั้งตามประเพณี ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ยิ่งมาเรียนจบหมอก็ยิ่งเชื่อมั่นในความเห็นของตนยิ่ง ขึ้นไปอีก คือ ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ยิ่งเรียนสูติฯ ด้วยก็ไม่เคยเห็นเด็กที่คลอดออกมาแล้วเดินได้ 7 ก้าวเลย มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ว่าพระพุทธเจ้าพอคลอดออกมาก็เดินได้ 7 ก้าว ยังนั่งคุยกับเพื่อน ๆ เลยว่า สมัยก่อนคงมีนักคิดที่เก่ง ๆ ที่คิดจัดระเบียบทางสังคมให้ดีขึ้น จึงแต่งเรื่องพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วก็ใส่ปาฏิหาริย์ เพื่อเพิ่มความศรัทธาไปเท่านั้น ตอนนั้นหมอคิดว่า อะไรที่พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ หรือจับต้องไม่ได้ เราก็ไม่ควรเชื่อ ในที่สุด วันร้ายคืนร้ายก็มาถึง หมอล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน ด้วยโรคหมอนรองกระดูกแตก โดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งเจ็บปวดทรมานมาก ถึงขั้นเดินไม่ได้ หมอต้องเข้ารับการผ่าตัดและนอนพักฟื้นอย่างยาวนาน ฉีดยาเข้าไขสันหลังเพื่อบรรเทาปวด ก็ยังไม่หาย แม้แต่อาจารย์หมอที่ว่าเก่ง ๆ ที่เชี่ยวชาญมาก ๆ ทั่วทั้งโรงพยาบาลมารุมวินิจฉัยดูอาการ ก็ยังไม่มีใครรักษาเราได้ ได้รักษาทุกวิถีทางแล้ว จนรู้สึกท้อแท้ หมดหวังเหมือนหมดหวังทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต กินยา ก็กินไม่ได้ ทรมานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำหนักลดจาก 47 กิโลกรัม เหลือ 42 กิโลกรัม ภายใน 2-3 วัน จนอาจารย์หมอมาพูดกับเราว่า ให้ทนอย่างนี้อีก 10 ปี ทนอีก 10 ปีนะ แล้วเราก็จะชินไปเอง… ได้ยินประโยคนี้ เรารับไม่ได้ เลยหันมาตั้งสติใหม่ มาคิดว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตนี่…ผ่าตัดก็ไม่หาย ฉีดยาเข้าช่องไขสันหลัง น้ำไขสันหลังก็รั่ว กินยาก็แพ้ อาจารย์หมอทุกคนและเพื่อนหมอด้วยกัน ก็มาช่วยดูแลรักษาอาการของเราทั้งหมด แต่เราก็ยังไม่หาย เราเองก็เป็นหมอด้วย มันช่างไม่ตรงไปตรงมาเสียเลย หมอเก่ง ๆ ก็น่าจะรักษาให้หายได้ แต่ทำไมไม่หาย…ทำไมเรื่องแบบนี้ ต้องมาเกิดขึ้นกับเราเล่า… ทำไมต้องเป็นเราด้วย… วิชาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ว่าแน่ๆ วิชาหมอที่เรียนมาเกือบ 10 ปี ก็ไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงของการป่วยของเราเองได้ ซ้ำถูกบอกได้แค่ว่าให้ทนรออีก 10 ปี แล้วจะชินไปเอง…… มันน่าจะมีอะไร ที่อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้ แล้วสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่…… ความรู้สึกเชื่อมั่นในทางวิทยาศาสตร์ตอนนั้น ได้ลดลงไปเลย เพราะเราสู้มาทุกทาง ใช้เทคโนโลยีที่ว่าทันสมัยทุกอย่างรักษามาหมด กลับสู้ไม่ได้….. โชคดีที่ช่วงนั้น คุณน้าแนะนำให้เราใช้พุทธศาสตร์เข้ามาช่วย ก็ในเมื่อเราลองมาทุกทางแล้วนี่ แต่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น ก็เลยหันมาศึกษาธรรมะ ลองหัดทำสมาธิ หัดทำใจให้สงบ ขยันฟังธรรมะทุกวัน…รู้สึกโปร่งโล่งเบากายเบาใจขึ้น รู้สึกเริ่มเข้าใจ ในเบื้องหน้าเบื้องหลังของชีวิตมากขึ้น จนทำให้รู้ว่า เบื้องหลังของการป่วยของเรา มันคือวิบากกรรมที่เราเคยทำไว้ในอดีตนั่นเอง ก่อนหน้านั้น มีแต่คนบอกว่า คนเราเกิดมาเพื่อใช้กรรม มาชดใช้วิบากกรรมที่เคยทำไว้ฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่น่าเกิดมาเลยนะ เหมือนเกิดมาเพื่อโดนลงโทษ ก็รู้สึกห่อเหี่ยว คิดว่าเราจะไม่สามารถมีโอกาส หรือหาหนทางแก้ไขได้เลยหรือ ? แต่พอมาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงเน้นย้ำว่าเราเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง…… พอรู้เป้าหมายอย่างนี้ ก็รู้สึกชุ่มใจ เกิดมาเหมือนชีวิตมีโอกาสที่จะแก้ไขและปรับปรุงในสิ่งที่เรายังบกพร่องได้ มีคำถามในใจว่า... “ การรู้เพียงว่ามันคือวิบากกรรม มันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นได้บ้างล่ะ หากยังไม่รู้ถึงวิธีการแก้ไข ” ด้วยคำถามนี้เอง ทำให้หมอประทับใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าเพิ่มมากขึ้น เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้ถึงวิธีแก้ไขวิบากกรรม จากหนักให้เป็นเบา จากเบาก็จะหาย ถ้าจะตายก็จะไปดี ด้วยการบำเพ็ญบุญกุศลให้ถึงพร้อม หมอขอยืนยันเลยว่า วิทยาศาสตร์และวิชาหมอไม่ได้สอนไว้เลย ซึ่งหมอได้พิสูจน์จุดนี้อย่างเด่นชัด ด้วยตัวเองแล้ว ทั้งนี้เพราะอาการของหมอหมดหนทาง ที่จะเยียวยาแล้ว แม้กินยา ก็ยังไม่ได้ เพราะแพ้ยา หมอจึงหันมารักษาด้วยการศึกษาและปฏิบัติธรรม ทำบุญทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิ และอธิษฐานจิต... ในที่สุด หมอก็พบว่าอาการของหมอดีขึ้นตามลำดับอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งสามารถทำงานเป็นหมอได้ดังเดิม เมื่อก่อน หมอไม่เคยคิดเลยว่า พุทธศาสตร์จะเป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ถึงขนาดนี้ คิดแต่ว่าเป็นสิ่งเหลือเชื่อ งมงาย แต่พอมาได้ศึกษาปฏิบัติแล้ว ก็พบว่าวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ ยังล้าหลังพุทธศาสตร์อยู่มาก อย่างเราเองเรียนหมอ วิชาแพทย์ ก็อธิบายได้แค่การเกิดของคนจนถึงตาย แต่ก่อนที่จะเกิด และหลังจากความตายเป็นอย่างไรนั้น วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้… การเจ็บป่วย เช่น โรคมะเร็ง ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารพัดโรค ทางการแพทย์เองก็ไม่สามารถบอกได้แน่ชัด บอกได้แต่สมมติฐาน และพยาธิสภาพรวมๆว่า มาจากหลายสาเหตุ ยังหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้ แต่พอมาศึกษาพุทธศาสตร์ มาหยั่งใจใคร่ครวญด้วยสมาธิ ในเรื่องกฎของกรรม ก็สามารถตอบได้หมด ถึงสาเหตุและต้นตอของโรคว่าที่เป็นโรคนี้ เพราะกรรมอะไร จากชาติไหน และต้องแก้ไขอย่างไร ซึ่งตัวเราเองก็อัศจรรย์ใจมาก ทุกวันนี้ หมอเชื่อมั่นถึงการมีจริงของพระพุทธเจ้า เชื่อว่าพระพุทธเจ้าประสูติแล้วสามารถเดินได้ 7 ก้าวจริง ๆ พอมาถึงทุกวันนี้ เมื่อหมอย้อนไปในอดีต ก็อดนึกขำตัวเองไม่หายว่าทำไมเราหลงคิดผิด ๆด้วยมานะทิฐิอยู่ได้ตั้งนาน ไม่ยอมเปิดโอกาสให้กับตัวเองได้ลองศึกษาก่อน จนเกือบจะสายเกินไป หรือหมดโอกาสไปเสียเลย แต่พอมาศึกษาจริง ๆ จึงได้เข้าใจ และเห็นพระคุณของพุทธศาสตร์อย่างลึกซึ้ง จนต่อให้วิชาทางโลก ที่ว่าเจ๋ง ๆ นั้น แม้จะไม่รู้ก็ยังไม่เป็นไร แต่หากไม่มาเรียนรู้พุทธศาสตร์แล้ว ก็จะไม่สามารถเอาตัวรอดอย่างปลอดภัยในวัฏสงสารได้เลย พุทธศาสตร์นั้น จะสอนให้เรารู้จักเลือกและเลี่ยงได้ สอนให้เรารู้ว่าตอนที่เรา ยังมีชีวิตอยู่นั้น เราควรดำเนินชีวิตอย่างไร จึงจะมีชีวิตที่ดีและมีคุณค่า ตลอดจนวิธีการที่จะกำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปได้อย่างไร การที่จะไม่เกิดอีกนั้น ต้องทำอย่างไร ซึ่งสิ่งนี้เราสามารถเรียนรู้จากการศึกษาปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อเราได้ศึกษาไป ปฏิบัติไป เราก็จะเข้าใจชีวิตและโลกเพิ่มมากขึ้นๆ แล้วจะมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นความแตกต่างได้ชัด อย่างที่ตัวของหมอเองได้ประสบมา… สังคมทุกวันนี้ หมอสังเกตเห็นชัดว่าเด็กที่ฝากท้องกับหมอ จำนวนของเด็กวัยรุ่น 16 – 17 ปี ที่กำลังเป็นวัยเรียนได้เพิ่มสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก บางคนมาขอให้หมอทำแท้งให้ ซึ่งเราก็ให้ความรู้เขาไปว่ามันเป็นบาปนะ มันจะกลับมาเป็นเวรกรรมให้กับตัวเองด้วย ปัญหาเด็กและเยาวชนเพิ่มมากขึ้น เพราะสื่อทุกอย่างเป็นสื่อของกระแสกาม พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยรายการทีวี เด็กซึมซับพฤติกรรมอะไร ๆ โดยได้รับอิทธิลจากทีวีสูงมาก สังคมที่ยังขาดความรู้ทางพุทธศาสตร์ จะแก้ปัญหาให้เกิดความสันติสุขไม่ได้เลย แผนพัฒนาประเทศชาติควรต้องคำนึงถึง เรื่องนี้ให้มาก หมอคิดว่า แม้ว่าเราจะมีความรู้สูง ฉลาด ก็อย่าฉลาดอย่างงมงายอย่างที่หมอเคยเป็นมาก่อน คือ ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้มาศึกษาก่อน แถมยังปิดกั้นสิ่งที่ดีนั้นไว้ นั่นจะทำให้เราไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ดีที่สุดไปตลอดชีวิตเลย คนเราอาจผิดพลาดในชีวิต คิดผิดด้วยความยึดมั่นในความรู้และความพร้อมของตัวเองได้ก็จริง แต่สิ่งที่เราไม่ควรผิดพลาดเลยสำหรับชีวิตนี้ ก็คือ การปิดกั้นตัวเองจากสิ่งที่ยังไม่ได้ลองศึกษา แล้วด่วนสรุปด้วยตัวเองแทนการลงมือพิสูจน์ด้วยตัวเอง การเปิดโอกาส ให้ตัวเองได้ศึกษาธรรมะ เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้ศึกษา วิชาที่สำคัญและจำเป็นที่สุดในชีวิต ที่มิใช่เป็นเพียงทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ต้องรู้ ถ้าไม่รู้ ก็เสียชาติเกิด… ///////// ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับแพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์ ที่ให้ประสบการณ์ชีวิตเป็นธรรมทานค่ะ สำหรับผู้ได้อ่านแล้วเห็นว่าเป็นธรรมะที่ดีช่วยกันแชร์เป็นธรรมทานนะคะ 😊🙏✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเพิ่มเติม
    มีสัจธรรม กรรมนำอาศัย ดีชั่วทำไป ได้กรรมจริงแท้ กรรมดีสร้างไว้ ให้ดีมีแน่ กรรมชั่วไม่แก้ แย่จริงได้ไว้ มีกรรมกิเลส เหตุร้อนดั่งไฟ มีธรรมอำไพ ไกลกิเลสได้ ธรรมแนบแน่นจิต สนิทชิดใกล้ เป็นหนึ่งครองไว้ ได้อบอุ่นจริง จิตธรรมรวมหนึ่ง ซึ้งปีติยิ่ง มีธรรมความจริง อิงแนบร่มเย็น ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญ นะอะนะวะ โรคาพยาธิวินาศสันติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเพิ่มเติม
    เด็กทารก 6 คนในเขตฉนวนกาซาเสียชีวิตจากหนาวตายมาตั้งแต่วันอาทิตย์ (23 ก.พ.) เชื่อตัวเลขจะพุ่งถ้าสิ่งของบรรเทาทุกข์ยังไม่ส่งเพิ่ม แต่หมอรวมเจ้าหน้าที่การแพทย์อย่างน้อย 160 คนโดนจับและถูกทรมานในคุกอิสราเอล . CNN ของสหรัฐฯ รายงานวันอังคาร (25 ก.พ.) ว่า เจ้าหน้าที่การแพทย์เปิดเผยว่าตั้งแต่วันอาทิตย์ (23) เป็นต้นมามีทารกไม่ต่ำกว่า 6 คนต้องเสียชีวิตจากโรคภาวะตัวเย็น (hypothermia) . นายแพทย์ซาอิด ซาเลห์ (Saeed Salah) ผู้อำนวยการแพทย์ประจำโรงพยาบาล PFBS ทางตอนเหนือของกาซาเตือนถึงจำนวนตัวเลขที่กำลังจะเพิ่มขึ้นในกลุ่มเด็กทารกที่เสี่ยงป่วยจากภาวะตัวเย็นเกินระหว่างต้องเผชิญฤดูหนาวที่โหดร้ายภายในเต็นท์ผู้ลี้ภัยที่ปกป้องความหนาวไม่ได้หลังบ้านที่อาศัยโดยกองทัพอิสราเอลเปิดฉากโจมตีทุกวันจนพังพินาศ . ในตลอดช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีทารกปาเลสไตน์ 8 คนถูกส่งมาที่โรงพยาบาลในกาซา ซิตี้ นายแพทย์ซาลาห์กล่าว และเสริมว่า จากจำนวนทั้งหมดมี 3 คนถูกส่งเข้าห้อง ICU ส่วนอีก 3 คนเสียชีวิตภายในไม่กี่ชั่วโมงที่มาถึง . และในวันอังคาร (25) ทารกคนที่ 4 ที่มีอายุแค่ 69 คนตายข้ามคืนที่ผ่านมา และไกลออกไปทางใต้มีทารกอีก 2 คนต้องจบชีวิตจากอาการภาวะตัวเย็นที่โรงพยาบาลนาสเซอร์ (Nasser Hospital) ในข่าน ยูนิส (Khan Younis) . CNN รายงานภาพแม่ปาเลสไตน์คนหนึ่งนำลูกชายวัย 2 เดือน ยูซาฟ (Yousaf) มาที่โรงพยาบาลนาสเซอร์ ทางใต้ของกาซาในวันอังคาร (25) . นายแพทย์ซาลาห์ยืนยันว่า ต้องมีคาราวานบรรเทาทุกข์เข้าเขตฉนวนกาซาเพิ่มขึ้น รวมไปถึงเต็นท์และเชื้อเพลิงเพื่อนำความอบอุ่นมาให้ประชาชน . เขายืนยันว่า การเพิ่มสิ่งของบรรเทาทุกข์จะช่วยหยุดหายนะและการเสียชีวิตของทารกจากโรคภาวะตัวเย็นและโรคหิมะกัด . อ้างอิงจากกระทรวงสาธารณสุขกาซารายงานวันอังคาร (25) ตัวเลขปาเลสไตน์เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 48,348 คน และอีกจำนวน 111,761 คนได้รับบาดเจ็บ . ขณะเดียวกันอ้างอิงจากสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ OCHA มีโรงพยาบาล 20 แห่งจากทั้งหมด 35 แห่งนั้นสามารถทำงานได้แค่บางส่วน . แต่กลับกลายเป็นว่ามีเจ้าหน้าที่การแพทย์จากกาซาไม่ต่ำกว่า 160 คน รวมหมอกว่า 20 คนเชื่อว่าโดนจับตัวไปและกำลังอยู่ในเรือนจำเทลอาวีฟ . เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานวันอังคาร (25) ว่า องค์กรจับตาเจ้าหน้าที่การแพทย์ HWW (Healthcare Workers Watch) ซึ่งเป็นองค์กร NGO ทางการแพทย์ปาเลสไตน์แถลงยืนยันว่า มีเจ้าหน้าที่การแพทย์ 162 คนยังคงอยู่ในเรือนจำอิสราเอล รวมไปถึงแพทย์อาวุโสมากที่สุดบางส่วนของกาซา และอีกจำนวน 24 คนได้หายตัวไปหลังจากถูกนำออกไปจากโรงพยาบาลระหว่างมีการปะทะ . องค์การอนามัยโลก WHO ออกแถลงการณ์แสดงความวิตกอย่างสูงเกี่ยวกับความเป็นอยู่และความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่การแพทย์ปาเลสไตน์เหล่านี้ในเรือนจำอิสราเอล หลังมีรายงานออกมาว่า พวกเขาตกเป็นเป้าโดนทรมานและความรุนแรงประจำภายในคุก . WHO แถลงว่าสามารถยืนยันได้ว่ามีเจ้าหน้าที่การแพทย์ 297 คนจากเขตฉนวนกาซาถูกควบคุมตัวโดยกองทัพอิสราเอลตั้งแต่สงครามเริ่มเปิดฉาก . แต่ทว่า HWW อ้างว่าตัวเลข 297 คนนั้นต่ำกว่าตัวเลขที่ทางองค์การ NGO การแพทย์ปาเลสไตน์สามารถยืนยันได้อยู่ที่ 339 คน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000019212 .............. Sondhi X
    Sad
    Angry
    Like
    7
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1076 มุมมอง 0 รีวิว
  • อาเหม็ด อัล-ชาอะรา ประธานาธิบดีซีเรีย ที่มาจากการสถาปนาตนเอง เดินทางถึงจอร์แดนและได้รับการต้อนรับจากกษัตริย์ จอร์แดน "สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์ที่ 2" อย่างอบอุ่น

    มีใครแจ้งข้อมูลกับผู้นำซีเรียบ้างหรือยังว่า อิสราเอลต้องการดินแดนทางใต้ของซีเรีย และทางตะวันตกแถบชายฝั่งทะเลกำลังพยายามประกาศแยกตัวเพื่อปกครองตนเอง
    อาเหม็ด อัล-ชาอะรา ประธานาธิบดีซีเรีย ที่มาจากการสถาปนาตนเอง เดินทางถึงจอร์แดนและได้รับการต้อนรับจากกษัตริย์ จอร์แดน "สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์ที่ 2" อย่างอบอุ่น มีใครแจ้งข้อมูลกับผู้นำซีเรียบ้างหรือยังว่า อิสราเอลต้องการดินแดนทางใต้ของซีเรีย และทางตะวันตกแถบชายฝั่งทะเลกำลังพยายามประกาศแยกตัวเพื่อปกครองตนเอง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเพิ่มเติม
    ๒ฮิปโปแคระ "หมูเด้ง" ของไทยตกเป็นข่าวดังเมื่อองค์กรอนุรักษ์ใหญ่ทั้ง Born Free และ PETA ออกรณรงค์แคมเปญ “แบนหมูเด้ง” ห้ามนักท่องเที่ยวในอังกฤษบินเข้ามาดูตัวหมูเด้งที่สวนสัตว์เขาเขียว ชี้สวนสัตว์เขาเขียวไม่ได้มาตรฐานสากลเพาะพันธุ์สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์เพื่ออนุรักษ์แต่กลับใช้เพื่อแสวงกำไรล้วนๆ อ้างหมูเด้งหมดโอกาสตลอดชีวิตจะได้สัมผัสธรรมชาติที่แท้จริงที่ถิ่นเกิดแอฟริกาตะวันตก • เดอะมิร์เรอร์ของอังกฤษรายงานวันพฤหัสบดี(20 ก.พ)ว่า ฮิปโปแคระ “หมูเด้ง” (Moo Deng) ชื่อดังที่กลายเป็นกระแสไวรัลไปทั่วโลกจากความน่ารักแก้มสีชมพูเป็นสัญลักษ์แต่ทว่าล่าสุดองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่าชื่อดังข้ามชาติ PETA และ Born Free เปิดฉากรณรงค์กดดันนักท่องเที่ยวอังกฤษไม่ให้เดินทางเข้ามาเที่ยวสวนสัตว์ต่างๆ รวมสวนสัตว์เขาเขียวของไทย ต่อแถวยาวเพื่อชมความน่ารักของฮิปโปแคระหมูเด้งดาวประจำสวนสัตว์ตัวทำเงินเรียกแขก • PETA และ Born Free วิตกว่ากระแสความโด่งดังของหมูเด้งจะเป็นภัยต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่ในฐานะสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์จากการที่มีนักท่องเที่ยวมือบอนปาขวดน้ำ สิ่งของ หรือส่งเสียงดังเพื่อเรียกความสนใจให้หมูเด้งอยู่ในเฟรมเพื่อถ่ายเซลฟี • PETA แถลงว่า “สวนสัตว์เปิดเขาเขียวอ้างเพาะพันธุ์สัตว์ป่าในที่กักขังเพื่อการอนุรักษ์ แต่ขอให้พูดความจริง ธุรกิจเพื่อการเพาะพันธุ์สัตว์ป่าเหล่านี้ห่างไกลจากถิ่นเกิดตามธรรมชาติของพวกมันและขังสัตว์เหล่านี้ในฐานะนักโทษเพื่อผลกำไร” • และยังโจมตีสวนสัตว์เขาเขียวต่อว่า “เขาเขียวเพาะพันธุ์หมูเด้งในสวนสัตว์ของไทยที่ไม่ได้มาตรฐาน และดูเหมือนว่าหมูเด้งคงจะต้องตายอยู่ในนั้น หมูเด้งรู้จักเพียงแต่คอกที่แห้งแล้งปราศจากพืชผลและหมูเด้งยังปราศจากโอกาสที่จะมีประสบการณในความกว้างขวาง หลากหลาย และความอบอุ่นของถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติที่แท้จริงที่แอฟริกาตะวันตก” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000017873 • #MGROnline #สวนสัตว์เขาเขียว #หมูเด้ง #BornFree #PETA #แบนหมูเด้ง #นักท่องเที่ยว #อังกฤษ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเพิ่มเติม
    บ่อยครั้งที่เห็นเพื่อนสมาชิกโพสต์ตามหาหนังสือ ที่ช่วยบรรเทาความรู้สึกหลังสูญเสียสัตว์เลี้ยงที่รักมาใหม่ ๆ ให้ไม่เศร้าจนเกินไป ผมคิดว่าพบเล่มที่ทุกคนหาแล้วล่ะ ปกติไม่ค่อยอ่านแนวนี้ แต่พอดีระหว่างรอคิวอ่านเล่มที่สนใจ เห็นปกเล่มนี้เข้าซึ่งภาพวาดน่ารักดี สีพาสเทลที่สบายตา ให้ความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย เลยอยากรู้ว่าเนื้อหาข้างในจะเป็นอย่างไร อีกทั้งไม่มีคนยืมด้วยก็เลยกดยืมและเข้าไปอ่านแบบอีบุ๊กดูครับ 🐈‍⬛🐕🐈🐠 #โอบกอดหัวใจในวันที่น้องกลับดาว สนพ. บลูม พับลิชชิ่ง เครือนานมีบุ๊กส์ พิมพ์ครั้งแรก มี.ค2567 (ต้นฉบับพิมพ์ปี 2565) สัตวแพทย์ ชิมยงฮี เขียน กนกพร เรืองสา แปล ออกแบบปกและภาพประกอบ little night 295 บาท 217 หน้า ...... เป็นหนังสืออ่านง่าย เนื้อหาในแต่ละหน้ามีการจัดวางที่ทำให้รู้สึกสบายตา ไม่หนาแน่นจนเกินไป สีพื้นหลังสวย ๆ ที่มาโทนอ่อนไม่เข้มบาดตา บวกกับภาพประกอบน่ารักสดใส เชื่อว่าจะช่วยเยียวยาจิตใจใครที่กำลังเกิดอาการเหงา เศร้า หดหู่ อันเนื่องมาจากการเพิ่งสูญเสียและจากลาสัตว์ที่ตนรักไปได้พอสมควรครับ 🐕 ถึงแม้จะไม่ใช่การรักษาที่ต้นตอของปัญหา ซึ่งนั่นต้องอาศัยการเรียนรู้ความจริงกับหลักธรรมในศาสนาพุทธ มาปรับใช้กับตนเอง แต่หลายคนก็อาจจะยังไม่อยากจะสนใจธรรมะในตอนนี้ และเลือกจะหาวิธีในรูปแบบอื่นก่อน ดังนั้นจากที่ได้อ่านจบแล้ว จึงขอแนะนำว่าเล่มนี้น่าจะช่วยได้ 🐈 ผู้เขียนเป็นสัตวแพทย์ ที่เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงอย่างหมาตัวหนึ่ง ซึ่งเขารักมากและได้ตายจากไปเช่นกัน จึงมีประสบการณ์ความรู้สึกผูกพันและเจ็บปวด นอกจากนี้ในฐานะที่ทำงานในรพ.สัตว์อยู่นานถึง 11 ปี จึงมีเคสมากมายที่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องรักษาสัตว์ป่วยและบาดเจ็บ พบเห็นความสูญเสียและการพลัดพรากอันน่าเศร้า ระหว่างเจ้าของกับสัตว์เลี้ยงจำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนใหญ่คือหมาและแมว เขาจบปริญญาโทมาทางให้คำปรึกษาด้านการมรณะโดยเฉพาะด้วย จึงสนทนากับเหล่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงทั้งหลาย บันทึกข้อมูล แล้วนำมาเขียนเป็นหนังสือเล่มนี้ โดยสอดแทรกแนวความรู้ที่ตนมีอยู่ในการช่วยปรับสภาพจิตใจให้กับเจ้าของสัตว์ที่กำลังป่วยทางใจได้อย่างดี ด้วยสำนวนภาษาที่ทำให้คนอ่านรู้สึกเป็นกันเอง ผ่อนคลาย เหมือนได้เพื่อนคุยที่เข้าใจหัวอกคนกลุ่มเดียวกัน 🐕 เนื้อหามีทั้งส่วนที่เป็นแบบทดสอบเพื่อวัดระดับ ประเมินความเศร้า แบบทดสอบอื่น ๆ ภาควิเคราะห์ และภาคที่เยียวยาในเชิงให้คำปรึกษาแนะนำ ฟื้นฟูและโอบอุ้มด้วยคำพูดที่เลือกมาแล้วอย่างคนเข้าใจปัญหา ไม่ต่อว่าไม่กดดันให้รู้สึกผิด แต่ให้กำลังใจ ให้ความหวัง ให้วิตามินเสริมเพื่อเพิ่มความสดชื่น กระปรี้กระเปร่าให้กลับคืนมาสู่เจ้าของสัตว์ทั้งหลาย ให้สามารถกลับมาเป็นคนสดใสดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างปกติสุข 🐈 ช่วงหลังจะเป็นเคสตัวอย่างของผู้ที่เคยสูญเสียหลายกรณี มีทั้งหมา แมวคละกัน บอกเล่าเรื่องราวของแต่ละครอบครัวในวันที่ได้พบกันครั้งแรกจนวันที่ต้องจากลา ด้วยวิธีเล่าแบบเขียนในมุมมองของสัตว์ ที่เผยความในใจที่มีต่อเจ้าของ ขอให้นึกถึงแนวอย่างนวนิยายเรื่อง นิกกับพิม นั่นแหละคล้ายกัน 🐕 ระหว่างทางของการรักษาเยียวยาใจให้ผู้ที่กำลังอ่านนั้น ก็มีคั่นด้วยความในใจของเหล่าสัตว์ ที่เป็นกรอบเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ปรากฏเป็นช่วง ๆ เพื่อปลอบประโลมดวงใจของมนุษย์ที่ยังอยู่ และต้องแบกรับกับความเจ็บปวดและรู้สึกผิด ความในใจเหล่านั้นคงจะอ่อนโยนราวกับผ้าเช็ดหน้าจากผ้าชั้นดีผืนบาง ที่ช่วยซึมซับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่รู้จักหยุดของเจ้าของ ให้เหือดแห้งลงได้ในอนาคตอันใกล้ 🐈 และถ้าเป็นไปได้ ที่ผมอยากเสนอความเห็นเป็นทางเลือกไว้ให้ลองพิจารณา หลังจากคุณเข้มแข็งขึ้นแล้วคือ การไม่เลี้ยงสัตว์ตัวใหม่เพิ่มอีก น่าจะดีที่สุดที่จะหยุดปัญหาที่จะตามมาในอนาคตครับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #เรื่องแปล #จิตวิทยา #การสูญเสีย #สัตว์เลี้ยง #thaitimes #สัตวแพทย์ #รพ.สัตว์ #นานมีบุ๊กส์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 478 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเพิ่มเติม
    💥 ดาราอาหารเวียดนาม ถนนช้างม่อย, อ.เมือง, จ.เชียงใหม่ . ร้านอาหารเวียดนามที่มีอาหารอร่อย เปิดมานานกว่า 20 ปี บรรยากาศอบอุ่น ชิลๆ สบายๆ ราคาไม่แพง..อีกด้วย . แหนมเนือง, เฝอแห้ง, บั่นหอย, ปอเปี๊ยะทอด และกาแฟเวียดนาม แนะนำ หมูยอสูตรโฮมเมด ทำเอง สดใหม่ เวลา : 08.30-20.00 น. (ปิดทุกวันอาทิตย์) พิกัด : ถนนช้างม่อยเก่า ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่ แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/hjaQAsXWTc9YZJad9
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเพิ่มเติม
    **ระเบียงเล็กก็ปังได้! ชั้นวางต้นไม้ติดผนัง เปลี่ยนคอนโดให้สวยน่าอยู่สุดๆ** 🌿✨ . อยู่คอนโดก็สร้างมุมสีเขียวได้ง่ายๆ ด้วย **ชั้นวางต้นไม้** แบบติดผนัง! ไม่ต้องใช้พื้นที่เยอะ แต่เพิ่มความสดชื่นและบรรยากาศอบอุ่นให้ระเบียงได้แบบจัดเต็ม 🌱 ไม่ว่าจะเป็นชั้นวางแบบไม้ เหล็ก หรือแม้แต่ DIY จากของเหลือใช้ ก็ช่วยให้คอนโดของเราดูน่ามองขึ้นมาทันที . ลองจินตนาการดูสิ! 🌇 หลังเลิกงาน กลับมานั่งชิลล์ที่ระเบียง มองวิวเมือง พร้อมต้นไม้สีเขียวที่เรียงตัวสวยงาม มันดีต่อใจแค่ไหน 🍃 แถมยังช่วยลดความร้อนและฟอกอากาศให้สดชื่นขึ้นด้วยนะ . แต่การเลือก **ชั้นวางต้นไม้** ให้เหมาะกับระเบียงก็สำคัญ! ต้องดูทั้งขนาด ความแข็งแรง และชนิดของต้นไม้ที่ปลูก บางต้นต้องการแดดเยอะ บางต้นชอบร่ม ลองเลือกให้เหมาะ แล้วมุมโปรดของคุณจะสวยขึ้นอีกหลายเท่า! . ชั้นวางต้นไม้ติดผนัง ลด 40%🛒 https://s.shopee.co.th/AKLrIaU1sY ชั้นวางต้นไม้ติดผนัง ลด 40%🛒 https://s.shopee.co.th/AKLrIaU1sY . ว่าแต่… ถ้าต้องเลือกต้นไม้มาวางบนชั้นที่ระเบียง **คุณจะเลือกต้นอะไรเป็นอันดับแรก** 🌿❓ คอมเมนต์บอกกันหน่อย! . ถ้าชอบบทความนี้ ฝากกดไลค์ กดแชร์ และกดติดตามไว้ด้วยน้า ❤️ . #แต่งระเบียงคอนโด #ชั้นวางต้นไม้ #ไอเดียแต่งคอนโด #มุมโปรดของฉัน #คนรักต้นไม้
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเพิ่มเติม
    ว่าด้วยชี่ (氣) ชี่มีความหมายที่หลากหลาย ขอสรุปสังเขปดังนี้ คือ ๑.ลม ๒.อารมณ์โกรธ ๓.พลัง แรง ๔.ลมปราณ ๕.บรรยากาศ ๖.เทวโลก และเราสามารถกำหนดคำนิยามชี่ ได้สามประการคือ ๑.แบ่งตามห้วงเวลาการกำเนิด ๑.๑ก่อนกำเนิด (先天) ๑.๒หลังกำเนิด (後天) ๒.แบ่งตามแหล่งกำเนิด ๒.๑เอวี๋ยนชี่ (元氣 ; พลังต้นกำเนิด) ๒.๒จงชี่ (宗氣) ๒.๓อิ๋งชี่ (營氣 ; พลังสารอาหาร) ๒.๔เว่ยชี่ (衛氣 ; พลังปกป้อง) ๓.แบ่งตามหน้าที่ เช่น ชี่หัวใจหรือพลังหัวใจ (心氣) ชี่ตับหรือพลังตับ (肝氣) ชี่ปอดหรือพลังปอด (肺氣) ชี่ม้ามหรือพลังม้าม (脾氣) ชี่เส้นลมปราณหรือพลังเส้นลมปราณ (經氣) และอื่นๆๆ และมีหน้าที่ดังนี้ ๑.หน้าที่ในการผลักดัน (推動作用) ๒.หน้าที่ในการอบอุ่น (溫煦作用) ๓.หน้าที่ในการป้องกัน (防禦作用) ๔.หน้าที่ในการเหนี่ยวรัด (固攝作用) ๕.หน้าที่ในการแปรสภาพ (氣化作用) ๖.หน้าที่ในการหล่อเลี้ยง (營養作用)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเพิ่มเติม
    16/2/68 คนญี่ปุ่นนิยมใส่ถุงเท้าก่อนเข้านอน ทั้ง 4 ฤดู หมอณี่ปุ่นวิจัยแล้วพบว่าการใส่ถุงเท้านอน 1.ช่วยให้เท้าอบอุ่นทำให้เลือดไหลเวียนในร่างกายดีขึ้น 2.ช่วยให้หลับง่ายขึ้นกว่าคนที่ไม่สวมถุงเท้านอน จากการวิจัยของหมออเมริกาก็พบว่า อาสาสมัครสองกลุ่มใส่กับไมใส่ถุงเท้านอน ผลปรากฏว่า กลุ่มใส่ถุงเท้านอนหลับได้ง่ายกว่ากลุ่มไม่ใส่ถุงเท้า 3.การใส่ถุงเท้านอนยังสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคไข้เจ็บได้ ดีจากการหลับลึก ด้วยการสวมถุงเท้านอนส าเหตุนี้เองคนญี่ปุ่นจึงมีคนอายุยืนมากที่สุดในโลก คนที่อายุมากกว่า 100ปี มี86,000คน จากประชากร 120 ล้านคน อายุยืนเฉลี่ย 83 ปี นอนวันละ 8ชม. ฉะนั้นจึงแนะนำให้ใส่ถุงเท้านอนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเพิ่มเติม
    #การอักเสบ ส่งผลกระทบต่อทุกแง่มุมด้านสุขภาพของคุณได้อย่างไร การอักเสบควบคุมชีวิตของเรา ถ้าคุณหรือคนที่คุณรักกำลังต่อสู้กับอาการปวด โรคอ้วน โรคสมาธิสั้น ปลายประสาทอักเสบ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ไมเกรน ปัญหาต่อมไทรอยด์ ปัญหาทางทันตกรรมหรือโรคมะเร็ง น่าเศร้าที่คนส่วนใหญ่กำลังทุกข์ทรมานจากหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งของความผิดปกติเหล่านี้ แต่ไม่มีแนวความคิดหรือวิธีการที่จะกำจัดการอักเสบ แพทย์ส่วนใหญ่ใช้ยาแทนการมุ่งเป้าไปที่ต้นตอของสาเหตุ มันมักจะดูเหมือนว่า..มันเป็นเรื่องแปลกเป็นอย่างยิ่งเมื่อตระหนักว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของการอักเสบเริ่มต้นในลำไส้จากปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันซึ่งจะดำเนินการอักเสบไปยังระบบต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการจัดการอย่างแท้จริงและหวังว่าจะเอาชนะโรค การมองให้ลึกถึงขั้นตอนแห่งการเริ่มต้นเป็นกุญแจที่สำคัญที่สุด ....การอักเสบเริ่มต้นที่ใด..... ลำไส้ของคุณประกอบขึ้นด้วยเยื่อบุกึ่งซึมผ่านที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ พื้นที่ผิวของลำไส้ของคุณสามารถครอบคลุมพื้นที่เท่ากับสนามเทนนิส 2 สนามเมื่อแผ่ออกให้แบน ระดับของการซึมผ่านผันผวนตามการตอบสนองต่อความหลากหลายของสภาพสารเคมี... ตัวอย่างเช่นเมื่อฮอร์โมน cortisol สูงขึ้นเนื่องจากความเครียดจากการโต้แย้งหรือระดับฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ของคุณเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากการเผาผลาญน้ำมันในตอนเที่ยงคืน เยื่อบุลำไส้ของคุณจะซึมผ่านได้มากขึ้น ณ เวลานั้น ๆ จากนั้นเมื่อกินอาหารที่ไม่สามารถย่อยได้บางส่วน อาหารที่มีสารพิษ... ไวรัส ยีสต์และแบคทีเรียก็มีโอกาสที่จะผ่านลำไส้และการเข้าไปยังกระแสเลือด..สิ่งนี้รู้จักกันว่าเป็นกลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่วหรือ leaky gut syndrome (LGS) เมื่อเยื่อบุลำไส้ได้รับความเสียหายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เซลล์ที่เสียหายเรียกกันว่า microvilli จะไม่สามารถทำงานของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง พวกเขาไม่สามารถดำเนินการและใช้ประโยชน์จากสารอาหารและเอนไซม์ที่มีความสำคัญในการย่อยอาหารที่เหมาะสม ในท้ายที่สุดการย่อยอาหารและการดูดซึมของสารอาหารจะลดลง นี่คือผลกระทบในเชิงลบ เมื่อเยื่อบุลำไส้ของคุณสัมผัสกับสิ่งที่กล่าวมามากขึ้น..ร่างกายของคุณก็เริ่มต้นการถูกโจมตีจากผู้รุกรานเหล่านี้ และร่างกายจะตอบสนองด้วยการอักเสบที่ก่อให้เกิด ภูมิแพ้ แพ้ภูมิ และอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคอีกมากมาย ดังนั้นคุณอาจจะถามว่า : การอักเสบเป็นอันตรายได้อย่างไรและเกิดอาการแพ้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ มันอาจฟังดูเหมือนว่าค่อนข้างจะไม่อันตรายสักเท่าไหร่..แต่สถานการณ์นี้สามารถนำไปสู่โรคร้ายแรงและบั่นทอนได้อีกมากมาย เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะมีภาระมากเกินไป การอักเสบเหล่านี้จะเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่องผ่านทางเลือดของคุณที่พวกเขาสามารถส่งผลกระทบต่อเส้นประสาท อวัยวะ เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ข้อต่อและกล้ามเนื้อ การอักเสบก่ออาการของโรคอื่นๆ การปรากฏตัวของการอักเสบเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดโรคส่วนใหญ่ มันมักจะเกิดขึ้นมานานหลายปีก่อนที่มันจะอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนหรือมีนัยสำคัญทางคลินิก รายการต่อไปนี้มีความเกี่ยวข้องกับการอักเสบเสมอ โรคภูมิแพ้----ภูมิคุ้มกัน 4 ประเภท + ความไว..ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดการอักเสบ อัลไซม์เมอร์----การอักเสบเรื้อรังทำลายเซลล์สมอง โรคโลหิตจาง---- cytokinesที่กระตุ้นการอักเสบโจมตีการผลิต erythropoietin Ankylosing Spondylitis (โรคกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด)----cytokines ที่กระตุ้นการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองในข้อต่างๆ หอบหืด---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกิริยาของภูมิต้านทานให้ตอบสนองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ ออทิสติก---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกิริยาของภูมิต้านทานที่ผิดปกติเข้าไปควบคุมการพัฒนาสมองซีกขวา โรคข้ออักเสบ---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำลายกระดูกอ่อนและของเหลว synovial Carpal Tunnel Syndrome (โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ) เกิดจากการอักเสบเรื้อรังในความเครียดของกล้ามเนื้อที่มากเกินไปทำให้เส้นเอ็นแขนหดตัวและข้อมือบีบอัดเส้นประสาท Celiac Chronic (โรคแพ้กลูเตน)----ภูมิคุ้มกันจัดการกับความเสียหายและก่อให้เกิดการอักเสบที่เยื่อบุลำไส้ โรค Crohn ----โรคเรื้อรังจากระบบภูมิคุ้มกันเกิดความเสียหายและเกิดการอักเสบเยื่อบุลำไส้ หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน----การอักเสบเรื้อรังก่อให้เกิดการเสียหายต่อกล้ามเนื้อหัวใจ กลาก สิวเอ็กซิม่า----การอักเสบเรื้อรังของลำไส้และตับกำจัดสารพิษได้ไม่ดีและมักจะเกิดจากแอนติบอดีต่อสู้กับ Transglutaminase-3 Fibromyalgia (ปวดทั่วสรรพางค์กาย)---- เนื้อเยื่อเกี่ยวพันอักเสบ เกิดจากความเป็นกรดของร่างกายที่ยินยอมให้จุลชีพฝั่งเลวเข้าเล่นงานเนื้อเยื่ออ่อนและมาจากความไม่สมดุลทางโภชนาการและระบบประสาทรอง โรคปอดอักเสบ---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเข้าโจมตีเนื้อเยื่อที่บอบช้ำ โรคถุงน้ำดี----การอักเสบของท่อน้ำดีหรือคอเลสเตอรอลส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากการตอบสนองต่อการอักเสบในลำไส้ โรคกรดไหลย้อน----การอักเสบของหลอดอาหารและระบบทางเดินอาหารเกือบตลอดเวลา ความไวต่ออาหารและค่า pH เป็นตัวขับเคลื่อน โรคจีบีเอส โรคกิลแลงบาร์เร GBS Guillain-Barre syndrome ภูมิคุ้มกันอัตโนมัติเข้าโจมตีระบบประสาทมักจะเกิดโดยการตอบสนองของ autoimmune ต่อความเครียดภายนอกเช่นการฉีดวัคซีน Hashimoto's Thyroiditis (ต่อมไทรอยด์อักเสบ)----ภูมิคุ้มกันเกิดปฏิกิริยาในลำไส้โดยเรียกแอนติบอดีมาต่อต้านเอนไซม์และของต่อมไทรอยด์และโปรตีน หัวใจวาย----การอักเสบเรื้อรังก่อให้เกิดหลอดเลือดหัวใจตีบ ไตวาย----cytokines ที่ก่อการอักเสบจำกัด การไหลเวียนและก่อความเสียหายต่อ nephrons และท่อไต โรคลูปัส พุ่มพวง SLE---- cytokines ที่ก่ออักเสบเหนี่ยวนำให้ autoimmune เกิดการโจมตีต่อเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง Multiple Sclerosis ----cytokinesที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับไมอีลิน myelin โรคระบบประสาท---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับไมอีลินและหลอดเลือดและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันซึ่งทำให้ระคายเคืองเส้นประสาท ตับอ่อนอักเสบ---- cytokinesที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดการบาดเจ็บของเซลล์ตับอ่อน โรคสะเก็ดเงิน Psoriasis ----การอักเสบเรื้อรังของลำไส้และตับล้างพิษได้ไม่เต็มความสามารถ ปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออ่อนเหตุอักเสบเรื้อรัง Polymyalgia rheumatic PMR ----cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับข้อต่อ โรคหนังแข็ง scleroderma---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้ autoimmune เกิดการโจมตีกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน โรคหลอดเลือดสมอง----การอักเสบเรื้อรังส่งเสริมให้เกิดลิ่มเลือดอุดตัน ทำไมการอักเสบจะต้องอยู่ที่รากเหง้าของปัญหา ความจริงที่ว่าระบบภูมิคุ้มกันของคุณขับเคลื่อนกระบวนการอักเสบในโรคต่างๆเป็นที่ยอมรับกันมานาน แต่น่าเสียดายที่การแพทย์ตะวันตกมีคำตอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในการจัดการหรือการเอาชนะกระบวนการของภูมิต้านทานน้อยเกินไป วิธีการโดยทั่วไปในการรักษาคือการปราบปรามการตอบสนองของภูมิคุ้มกันด้วยยาปราบภูมิคุ้มกันหรือบางครั้งก็สเตียรอยด์ วิธีการทั้งสองได้รับการออกแบบเพื่อลดการอักเสบ แต่ไม่ได้หยุดกระบวนการของโรคประจำตัวหรือช่วยให้เนื้อเยื่อที่เสียหายได้รับการกู้คืน ถ้าคุณปิดกั้นสาเหตุที่แท้จริงของการก่อโรค (การอักเสบ) ทั้งหมดที่คุณต้องทำคือการหยุดการทำลายเซลล์ทุกเซลล์ของร่างกายและปล่อยให้ร่างกายของคุณสร้างเซลล์ใหม่ที่ไม่ก่อการอักเสบ การเชื่อมโยงระหว่างการทำงานที่ผิดปกติของลำไส้และโรคทั้งหลายที่มาจากการอักเสบ คำว่าการอักเสบมักจะไม่ค่อยทำให้ใครหลายคนนึกเห็นภาพที่ถูกต้องอย่างแท้จริงในใจของพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะประสบกับมันจริงๆ จากนั้นก็จะเริ่มทำให้รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ จะเห็นได้ว่าหลายโรคที่เกิดจากการอักเสบและสร้างความทุกข์ทรมาน มันมาจากลำไส้ แต่การรักษาทั่วไปไม่นำเสนอประเด็นนี้.. Dr. Maios Hadjivassiliou แห่งอังกฤษ- ผู้ค้นพบกลูแตน-ได้รายงานใน The Lancet ว่า"ความไวต่อกลูแตนสามารถเป็นหลักในการวินิจฉัยเบื้องต้นและในบางครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคทางระบบประสาท" ซึ่งหมายความว่าคนที่ไวต่อกลูแตนจะมีปัญหากับการทำงานของสมองแม้จะไม่มีปัญหาระบบทางเดินอาหารแต่อย่างใด ดร. Hadjivassiliou แสดงให้เห็นว่าแอนติบอดี้จะเกิดขึ้นในร่างกายเมื่อพวกเขามีความไวต่อกลูแตนและสามารถส่งความเป็นพิษเข้าสู่สมองได้โดยตรง สำหรับสิ่งนี้การทดสอบพิเศษจึงถูกพัฒนาขึ้น ผู้เขียนอีกคนที่ตีพิมพ์ในฉบับล่าสุดของ Pediatrics กล่าวว่า "การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าความแปรปรวนของความผิดปกติทางระบบประสาทที่เกิดขึ้นในโรคแพ้กลูแตนขยายวงกว้างกว่ารายงานที่มีก่อนหน้านี้และรวมถึงความผิดปกติของระบบประสาทรวมทั้งอาการปวดหัวเรื้อรัง พัฒนาการล่าช้า hypotonia(ความตึงตัวของกล้ามเนื้อต่ำ) และความผิดปกติของการเรียนรู้หรือ ADHD " เห็นได้ชัดว่าเราควรจะขยายเกณฑ์การประเมินของเราและบางทีความหมายของโรคเมื่อผู้ป่วยมีอาการไม่เหมาะสมกับการวินิจฉัยตามกรอบทางคลินิกทั่วไป วิธีการประเมินโรคที่เกี่ยวกับการอักเสบ เนื่องจากการอักเสบโดยทั่วไปผ่านมาจากลำไส้ซึ่งมันควรจะเป็นจุดเริ่มต้นของตรรกะในขั้นตอนการประเมินผู้ป่วยใด ๆ มี 7 พื้นที่ที่ควรพิจารณาเพื่อมองไปที่ปัจจัยอันก่อให้เกิดความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารเพื่อประเมินสภาพแวดล้อมสำหรับการอักเสบเรื้อรัง รายการด้านล่างนี้เป็นส่วนสำคัญในหมวดหมู่ของของอาหารและการประเมินอื่น ๆ : อาหาร: เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กลูแตน เคซีน อาหารแปรรูป น้ำตาล นม เห็ด ผลไม้หวานไขมันโอเมก้า 6 ไขมันทรานส์ อาหารจานด่วน ยา: Corticosteroids ยาปฏิชีวนะ ยาลดกรด สารแปลกปลอม(ผงปรุสรส สารให้ความหวานเทียม และอื่น ๆ ) การติดเชื้อ: เช่น H-Pylori ยีสต์ หรือแบคทีเรียมากเกินขนาด ไวรัสหรือการติดเชื้อปรสิต ความเครียด :เพิ่มฮอร์โมน Cortisol และ catecholamines ฮอร์โมน : ไทรอยด์ โพรเจสเตอโรน เอสโตรเจน เทสโทสเทอโรน ระบบประสาท : สมองบาดเจ็บ โรคหลอดเลือดสมอง ประสาทเสื่อม เมตาบอลิก: Glycosylated End Products (ผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่ก่อการอักเสบจากการเผาผลาญน้ำตาล) ลำไส้อักเสบ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคจากการอักเสบและโรคภูมิต้านทาน ความจริงของสถานการณ์นี้ล้วนมาจากอาหาร-การซึมผ่านในลำไส้ที่มากเกินไปโดยไม่คำนึงถึงว่าคุณจะสามารถจะรู้สึกได้หรือไม่มักจะเป็นสาเหตุสำคัญของการเติบโตของเงื่อนไขที่ก่อโรคต่าง ๆ รายการที่กล่าวมาด้านบน (อาหาร ยา การติดเชื้อ ความเครียดฮอร์โมน ระบบประสาทหรือการเผาผลาญ) สามารถทำลายการซึมผ่านของลำไส้ ก่อการอักเสบและสุดท้ายช่วยให้กลไกของลำไส้รั่วเริ่มต้น Autoimmunity (การไม่ตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อแอนติเจนของตนเอง) สามารถปรับเปลี่ยนได้และจะมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งรวมทั้งให้ชีวิตที่ดีขึ้นถ้าวิถีชีวิตเปลี่ยน มันเคยเชื่อกันว่า "รักษาไม่หาย" แต่มันไม่จริงด้วยความรู้ที่เปลี่ยนไป ดังนั้น ถ้าใครกำลังทนทุกข์ทรมานจากโรคที่กล่าวมาแล้ว แนะนำให้ระงับเหตุ ก่อนที่สารเคมีหรือยาใด ๆ ซึ่งไม่ใช่ส่วนประกอบของร่างกายตั้งแต่เริ่มต้นจะเล่นงานคุณ อาหารต้านการอักเสบที่ดี อาหาร เช่น ผลไม้ ผัก และเครื่องเทศ มีสารต้านการอักเสบและอาจช่วยลดการอักเสบได้ อาหารต้านการอักเสบที่ดีที่สุด ได้แก่: • เบอร์รี่ • ปลาที่มีไขมันโอเมก้า3 • บรอกโคลี • อะโวคาโด • ชาเขียว • พริก • ขมิ้น • น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ • ช็อกโกแลตดำและโกโก้ • มะเขือเทศ • เชอร์รี่ เบอร์รี่ เบอร์รี่เป็นผลไม้ขนาดเล็กที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุ มีมากมายหลายพันธุ์ โดยพันธุ์ที่พบมากที่สุด ได้แก่: • สตรอว์เบอร์รี่ • บลูเบอร์รี่ • ราสเบอร์รี • แบล็กเบอร์รี่ เบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าแอนโธไซยานิน สารเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ บทวิจารณ์การวิจัยในปี 2018 แสดงให้เห็นว่าไฟโตเคมีคัลที่พบในผลเบอร์รี่อาจช่วยชะลอการพัฒนาและการลุกลามของมะเร็ง แม้ว่าจะต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม แต่ไฟโตเคมีคัลอาจเป็นประโยชน์ต่อภูมิคุ้มกันบำบัด ร่างกายของคุณสร้างเซลล์ NK ตามธรรมชาติ และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างถูกต้อง ในการศึกษาวิจัยอีกกรณีหนึ่ง พบว่าผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินซึ่งกิน สตรอเบอร์รี่มีระดับของเครื่องหมายการอักเสบเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน ปลาที่มีไขมันโอเมก้า3 ปลาที่มีไขมันเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีและกรดไขมันโอเมก้า 3 สายยาว เช่น กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (EPA) และกรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (DHA) แม้ว่าปลาทุกชนิดจะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 อยู่บ้าง แต่ปลาที่มีไขมันเหล่านี้ก็เป็นแหล่งที่ดีที่สุด: • ปลาแซลมอน • ปลาซาร์ดีน • ปลาแมกเคอเรล • ปลาสวาย EPA และ DHA ช่วยลดการอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา เช่น : • กลุ่มอาการเมตาบอลิก • โรคหัวใจ • โรคเบาหวาน • โรคไต ร่างกายของคุณเผาผลาญกรดไขมันเหล่านี้เป็นสารประกอบที่เรียกว่าเรโซลวินและโปรเทกติน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่รับประทานปลาแซลมอนหรืออาหารเสริม EPA และ DHA มีปริมาณโปรตีนซีรีแอคทีฟ (CRP) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้อาการอักเสบลดลง อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งรับประทาน EPA และ DHA ทุกวันไม่พบความแตกต่างในตัวบ่งชี้การอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับยาหลอก บร็อคโคลี บร็อคโคลีมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นผักตระกูลกะหล่ำเช่นเดียวกับกะหล่ำดอก กะหล่ำบรัสเซลส์ และคะน้า การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการรับประทานผักตระกูลกะหล่ำหลายชนิดมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและมะเร็งที่ลดลง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับผลต้านการอักเสบของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในผักเหล่านั้น บร็อคโคลีอุดมไปด้วยซัลโฟราเฟน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดการอักเสบโดยลดระดับไซโตไคน์และแฟกเตอร์นิวเคลียร์แคปปาบี (NF-κB) ซึ่งเป็นโมเลกุลที่กระตุ้นการอักเสบในร่างกายของคุณ อะโวคาโด มีโพแทสเซียม แมกนีเซียม ไฟเบอร์ และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ ยังมีแคโรทีนอยด์และโทโคฟีรอล ซึ่งเชื่อมโยงกับความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งและโรคหัวใจที่ลดลง นอกจากนี้ สารประกอบชนิดหนึ่งในอะโวคาโดอาจช่วยลดการอักเสบในเซลล์ผิวหนังที่เพิ่งก่อตัวได้ ในการศึกษาคุณภาพสูงครั้งหนึ่งซึ่งทำการศึกษากับผู้ใหญ่ 51 คนที่มีน้ำหนักเกิน พบว่าผู้ที่รับประทานอะโวคาโดเป็นเวลา 12 สัปดาห์มีระดับของสารบ่งชี้การอักเสบอย่างอินเตอร์ลิวคิน 1 เบตา (IL-1β) และซีอาร์พี ลดลง ชาเขียว งานวิจัยพบว่าการดื่มชาเขียวช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ มะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ โรคอ้วน และโรคอื่นๆ ประโยชน์หลายประการของชาเขียวมาจากคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ โดยเฉพาะสารที่เรียกว่า epigallocatechin-3-gallate (EGCG) EGCG ยับยั้งการอักเสบโดยลดการผลิตไซโตไคน์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบและความเสียหายต่อกรดไขมันในเซลล์ของคุณ พริก พริกหยวกและพริกชี้ฟ้าอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบอย่างทรงพลัง พริกหยวกยังมีสารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิตินซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน พริกมีกรดซินาปิกและกรดเฟอรูลิกซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบและช่วยให้มีอายุยืนยาวขึ้น ขมิ้น ขมิ้นเป็นเครื่องเทศที่มีรสชาติอบอุ่นและมีกลิ่นดิน มักใช้ในแกงและอาหารอื่นๆ ขมิ้นได้รับความสนใจมากเนื่องจากมีสารเคอร์คูมิน ซึ่งเป็นสารต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพ การวิจัยแสดงให้เห็นว่าขมิ้นชันช่วยลดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรคข้ออักเสบ เบาหวาน และโรคอื่นๆ จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่มีอาการเมตาบอลิกซินโดรมรับประทานเคอร์คูมิน 1 กรัมต่อวันร่วมกับไพเพอรีนจากพริกไทยดำ พบว่าระดับซีอาร์พี ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้อาการอักเสบลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การได้รับเคอร์คูมินจากขมิ้นเพียงอย่างเดียวอาจเป็นเรื่องยากที่จะเห็นผลชัดเจน การรับประทานอาหารเสริมที่มีเคอร์คูมินแยกเดี่ยวอาจมีประสิทธิภาพมากกว่ามาก อาหารเสริมเคอร์คูมินมักประกอบด้วยไพเพอรีน ซึ่งสามารถกระตุ้นการดูดซึมเคอร์คูมินได้ถึง 2,000% น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษเป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุดชนิดหนึ่งที่คุณสามารถรับประทานได้ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเป็นอาหารหลักในอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การศึกษาวิจัยแนะนำว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ มะเร็งสมอง โรคอ้วน และปัญหาสุขภาพร้ายแรงอื่นๆ ได้ การวิจัยแนะนำว่าการรับประทานอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนและการเสริมด้วยน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษสามารถลดตัวบ่งชี้การอักเสบได้อย่างมาก ผลของโอเลโอแคนธัล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในน้ำมันมะกอก ได้รับการเปรียบเทียบกับยาต้านการอักเสบ เช่น ไอบูโพรเฟน โปรดจำไว้ว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษมีประโยชน์ในการต้านการอักเสบมากกว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ช็อกโกแลตดำและโกโก้ ช็อกโกแลตดำมีรสชาติอร่อย เข้มข้น และน่าพอใจ นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคและนำไปสู่การมีอายุยืนยาวขึ้น ฟลาโวนอลเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบของช็อกโกแลต และช่วยให้เซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดแดงแข็งแรง มะเขือเทศ มะเขือเทศเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มะเขือเทศมีวิตามินซี โพแทสเซียม และไลโคปีนสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่น่าประทับใจ ไลโคปีนอาจมีประโยชน์อย่างยิ่งในการลดสารประกอบที่ก่อให้เกิดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งหลายชนิด การปรุงมะเขือเทศในน้ำมันมะกอกสามารถช่วยให้คุณดูดซึมไลโคปีนได้มากขึ้น นั่นเป็นเพราะไลโคปีนเป็นแคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารอาหารที่ดูดซึมได้ดีกว่าในแหล่งของไขมันและโปรดควักไส้มะเขือเทศทิ้งเมื่อประกอบอาหาร เชอร์รี่ เชอร์รี่มีรสชาติดีและอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอนโธไซยานินและคาเทชิน ซึ่งช่วยลดการอักเสบ แม้ว่าจะมีการศึกษาวิจัยคุณสมบัติในการส่งเสริมสุขภาพของเชอร์รี่เปรี้ยวมากกว่าพันธุ์อื่น แต่เชอร์รี่หวานก็อาจมีประโยชน์เช่นกัน การศึกษาวิจัยในปี 2019 ที่ทำการศึกษาผู้สูงอายุ 37 คน พบว่าผู้ที่ดื่มน้ำเชอร์รี่ทาร์ต 16 ออนซ์ (480 มล.) ทุกวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์ มีระดับของสารบ่งชี้การอักเสบ CRP ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การศึกษาวิจัยอีกกรณีหนึ่งพบว่าน้ำเชอร์รี่ทาร์ตไม่มีผลต่อการอักเสบในผู้ใหญ่ที่อายุน้อยที่มีสุขภาพแข็งแรง หลังจากที่พวกเขาดื่มน้ำเชอร์รี่ทาร์ตทุกวันเป็นเวลา 30 วัน ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ ถ้าอักเสบจากน้ำตาลและผลไม้หรือแอลกอฮอล์: K cal ถ้าอักเสบในลำไส้จากการกินเห็ดและยีสต์: Paa vill,Synbc ถ้าอักเสบจากการกินของปิ้งย่างหรือน้ำมันโอเมก้า 6:Paa super h ถ้าเกิดการอักเสบจากการติดเชื้อ:Glube,Whole c ถ้าอักเสบจากการใช้งานร่างกายหรืออวัยวะมากเกินไป:ชาขิงขมิ้น ถ้าอักเสบในดวงตาและระบบสืบพันธุ์:Glap ถ้าอักเสบในหลอดเลือด: โกโก้ป๋า ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 679 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเพิ่มเติม
    🌸 วันแห่งความรักตามวิถีไทย วาเลนไทน์ 2568 🌸 ธรรมเนียมวัฒนธรรมตะวันตก ที่ไทยปรับใช้อย่างกลมกลืน วันที่เราต่างมีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน 🏹 เมื่อ "วาเลนไทน์" ไม่ใช่แค่ของฝรั่งอีกต่อไป 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันที่หลายคนทั่วโลก ต่างเฝ้ารอ เพราะเป็น "วันวาเลนไทน์" หรือ วันแห่งความรัก 💕 วันสำคัญที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบ การ์ดบอกรัก ของขวัญแทนใจ และการแสดงความรักต่อคนพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก เพื่อน หรือครอบครัว แม้ว่าวันวาเลนไทน์ จะมีต้นกำเนิดจากโลกตะวันตก แต่เมื่อเดินทางมาถึงไทย วัฒนธรรมแห่งความรักนี้ ได้ถูกปรับเปลี่ยน และหลอมรวมเข้ากับวิถีไทย อย่างกลมกลืน คนไทยให้ความสำคัญ กับความรักในทุกมิติ ไม่ใช่แค่รักโรแมนติก แต่ยังรวมถึง ความรักของครอบครัว มิตรภาพ และความเมตตาต่อกัน วาเลนไทน์ 2568 นี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของความโรแมนติก ระหว่างหนุ่มสาว แต่เป็นโอกาสดี ที่จะได้มอบความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กันในทุก ๆ ความสัมพันธ์ ❤️ 🌹 จากตำนานยุคโรมัน สู่วันที่โลกจดจำ 📜 วันวาเลนไทน์ มีที่มาจากตำนานของนักบุญ "เซนต์วาเลนไทน์" (Saint Valentine) ซึ่งเชื่อกันว่า ในช่วงศตวรรษที่ 3 จักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 แห่งโรมัน สั่งห้ามไม่ให้ทหารแต่งงาน เพราะเชื่อว่าทหารที่มีครอบครัว จะไม่มีสมาธิในการรบ แต่เซนต์วาเลนไทน์ ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ และยังคงทำพิธีแต่งงาน ให้คู่รักแบบลับ ๆ 💒 เมื่อความลับถูกเปิดเผย จึงถูกจับกุม และประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 269 ตั้งแต่นั้นมา วันแห่งความรักจึงถูกกำหนดขึ้น เพื่อรำลึกถึงการเสียสละ 💌 จากจดหมายรัก สู่วันแห่งการบอกรัก ก่อนที่เซนต์วาเลนไทน์จะเสียชีวิต ได้เขียนจดหมายถึงหญิงสาวที่เขารัก และลงท้ายว่า "From your Valentine" กลายเป็นต้นแบบของ "การ์ดวาเลนไทน์" ที่ได้รับความนิยม มาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเรื่องราวของวันวาเลนไทน์ จะเต็มไปด้วยความเศร้า แต่ได้กลายเป็น สัญลักษณ์ของความรัก และการเสียสละ ที่ถูกเฉลิมฉลองทั่วโลก 🌏 💖 วันวาเลนไทน์ในสไตล์ไทย การปรับตัวของวัฒนธรรมแห่งความรัก แม้ว่าจะเป็น ธรรมเนียมจากตะวันตก แต่คนไทยได้ปรับวันวาเลนไทน์ ให้เข้ากับวิถีชีวิต และวัฒนธรรมไทย ได้อย่างลงตัว นอกจากการให้ดอกไม้ หรือของขวัญแล้ว คนไทยยังให้ความสำคัญ กับความรักที่อบอุ่น และความกตัญญูต่อผู้ใหญ่ 🌷 สัญลักษณ์วาเลนไทน์แบบไทย ๆ ในประเทศไทย ดอกกุหลาบสีแดง 🌹 ยังคงเป็นของขวัญยอดนิยม เพราะสื่อถึงความรักอันร้อนแรง แต่ยังมีดอกไม้อื่น ๆ ที่ใช้แทนความรู้สึกพิเศษ เช่น - ดอกมะลิ 🤍 สื่อถึงความรักบริสุทธิ์ และความกตัญญู นิยมมอบให้พ่อแม่ - ดอกทานตะวัน 🌻 เป็นสัญลักษณ์ของรักแท้ที่มั่นคง ไม่ว่าสถานการณ์ใด - ดอกคัตเตอร์ 💜 แทนความหมายของความรัก ที่มั่นคงและซื่อสัตย์ 🍜 ฉลองวาเลนไทน์แบบไทย ๆ ในขณะที่บางประเทศ นิยมไปดินเนอร์หรู 🥂 คนไทยจำนวนมาก กลับเลือกใช้วันวาเลนไทน์ ในรูปแบบที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เช่น - พาคนรักไปไหว้พระขอพร 🙏✨ ตามวัดดัง เช่น วัดพระแก้ว วัดอรุณ หรือวัดเล่งเน่ยยี่ - ทำบุญร่วมกัน เพื่อเป็นสิริมงคลต่อความรัก - ทานข้าวกับครอบครัว 🍲 เพราะความรักในแบบไทย ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่รวมถึงครอบครัวด้วย 💑 วาเลนไทน์ 2568: เทรนด์ความรักยุคใหม่ ในสังคมไทย 📱 วาเลนไทน์ในโลกดิจิทัล ในยุคที่เทคโนโลยีครองโลก โซเชียลมีเดีย กลายเป็นช่องทางสำคัญ ในการแสดงความรัก ไม่ว่าจะเป็นการ 💌 ส่งข้อความหวาน ๆ ผ่านแชท 📸 แชร์รูปคู่ลง Instagram พร้อมแคปชันสุดโรแมนติก 🎁 สั่งดอกไม้ หรือของขวัญออนไลน์ให้คนพิเศษ 💍 เทรนด์แต่งงานในวันวาเลนไทน์ ทุก ๆ ปี วาเลนไทน์เป็นวันที่คู่รักหลายคู่ เลือกจดทะเบียนสมรส 💍 โดยที่ว่าการเขตบางรัก เป็นสถานที่ยอดนิยมที่สุดในไทย เพราะชื่อเขตมีความหมายดี และมักมีของที่ระลึกพิเศษ สำหรับคู่บ่าวสาว ❓ คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์ 💘 คนไม่มีคู่ จะฉลองวาเลนไทน์ได้ไหม? ได้แน่นอน! เพราะวันวาเลนไทน์ ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่เป็นวันแห่งความรัก ในทุกความสัมพันธ์ สามารถใช้เวลานี้ เพื่อดูแลตัวเอง หรือบอกรักครอบครัว และเพื่อนได้ 🌹 ดอกไม้สีอะไร เหมาะกับการให้ในวันวาเลนไทน์? - สีแดง ❤️ แสดงถึงความรักโรแมนติก - สีขาว 🤍 สื่อถึงรักที่บริสุทธิ์ - สีชมพู 💖 หมายถึงความอ่อนหวาน และน่ารัก 🎁 ถ้าไม่อยากให้ของขวัญแบบเดิม ๆ ควรให้อะไรดี? ลองเลือกของขวัญที่มีความหมาย เช่น จดหมายรักเขียนด้วยมือ 💌 เซอร์ไพรส์ทริปเล็ก ๆ 🚗 ทำอาหารให้คนที่คุณรัก 🍰 🎀 ความรักไม่มีพรมแดน และไม่มีวันหมดอายุ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหน หรือมีสถานะอะไร วาเลนไทน์คือโอกาสที่ดี ในการแสดงความรักต่อกัน ความรักไม่จำเป็นต้องแสดงออก แค่ปีละครั้ง แต่ควรเป็นสิ่งที่มอบให้กันทุกวัน 💖 🌸 วาเลนไทน์ 2568 นี้ อย่าลืมบอกรักคนที่ห่วงใย ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรือของขวัญแทนใจ เพราะความรักคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 🎁💖 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 140905 ก.พ. 2568 🔖 #วันวาเลนไทน์ #วาเลนไทน์2568 #ความรักไม่จำกัดรูปแบบ #ValentineThailand #LoveInThaiStyle #กุหลาบแดง #ไหว้พระขอพร #รักแท้ #รักไม่มีเงื่อนไข #บอกรักทุกวัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 585 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเพิ่มเติม
    ผลงานเพลงที่2 ของชาวเราครับฮะ Sherry Duck Special #1 Single : ไม่ใช่ความบังเอิญ Artist : Mr. Morgan And Shaw Sherry Duck 14 กุมภาฯ เวลา 14.00 น. รับชมรับฟังทั่วไทยไกลทั่วโลก เพลงรักดีๆอบอุ่นๆ ฝากด้วยนะครับฮะ มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความเย็นระลอกสุดแล้วมั่ง ขึ้นมาตั้ง 2 องศาเลยนะ เตรียมรับความอบอุ่นกันเลย

    #บันทึกไว้ในความทรงจำ
    #บันทึกความเย็นของปี
    #ขอบคุณตัวเองที่วันนี้ขยันตื่นมา
    ความเย็นระลอกสุดแล้วมั่ง ขึ้นมาตั้ง 2 องศาเลยนะ เตรียมรับความอบอุ่นกันเลย #บันทึกไว้ในความทรงจำ #บันทึกความเย็นของปี #ขอบคุณตัวเองที่วันนี้ขยันตื่นมา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเพิ่มเติม
    #โพสนี้ขอทำบุญเพื่อเรียกสติคนที่กำลังพลาด อรุณสวัสชาวโซเชียลทุกแพลตฟอร์ม พี่คิงส์ ติดตามพฤติกรรมของอิป้าจีมโนมานาน ซึ่งบางเรื่อง มันก็เกินกว่าที่พี่คิงส์จะคิดจริงๆ เราจะรับรู้เรื่องการเชื่อมจิตของอิป้าจีมโนกันมาตลอด เพื่อสร้างความสำคัญให้ตัวเอง ทั้งๆตัวเองก็เพิ่งจะเข้ามา ในจักรวาลสาวเกาตอนท้ายๆของเรื่องด้วยซ้ำ พูดจาเอาที่ครูพักลักจำเขามา เอามาพูดเหมือนตัวเอง เป็นดุจผู้เชี่ยวชาญด้านสภาวะจิต แต่ที่จริงตัวเองมีแค่วุฒิม.3 แต่ก็อย่างว่า ในประเทศไทย คนจิตอ่อนมันเยอะ เวลาใครแสดงเก่ง พูดเก่ง ก็จะตกอยู่ในภวังค์ได้ง่ายๆ ไม่เหมือนพี่คิงส์ ปากก็หม๋า ปากก็จัด สิ่งที่โพสมันขมมันขื่น ถึงจะเป็นความจริง คนจิตอ่อนๆก็จะไม่อยากฟัง แต่คำพูดใช้เสียงกระเส่า บางทีก็เคี้ยวเฮี้ยไรไปพูดไป แล้วมันพูดได้ทั้งวันทั้งคืนของแทร่ด้วย ยอมใจมัน จนทำให้มีคนรู้สึกเคารพรักในตัวมัน โดยไม่รู้ตัวว่า ตัวเอง กำลังฟังคนไข๊จิตประสาทกล่อมจนหลง ก็จะมีวรรณะเกิด เช่นวรรณะทุย เป็นแค่กองเชียร์ ชื่นชม และปกป้อง ถ้าวรรณะสูงอีกหน่อย ก็จะเป็นบ่าวทุยผู้รับใช้ใกล้ชิด คนแรกที่พี่คิงส์สงสารมาก คือ ไอ่เป็ด ถึงแม้พฤติกรรม ที่ผ่านมา พี่จะจัดหนักไปไม่น้อยก็เหอะ และหลายคนก็ยังไม่รู้มาก่อนว่า ทำไม เป็ดถึงถอนตัว จากการเป็นมือขวาอิป้าจีมโน เรื่องคือ เป็ดมีข่าวว่าจะถูกฟ๊อง ซึ่งสิ่งที่เป็ดทำณ ก่อนหน้านั้น ป้าจีมโนมันจะเป็นคนชักใยอยู่ตลอด หลายเพจหลายช่องตต.ที่ปลิว ก็ฝีมือเป็ดที่พาพรรคพวกไปถล่มมาทั้งนั้นแหละ หรือการพูดข้อมูลที่มีความสุ่มเสี่ยง อิป้าจีมโน จะไม่พูดเองครับ จะให้สมุนมือขวามือซ้ายไปทำ โดยอ้างยายน้องบอกว่าอย่างนั้น อย่างนี้ตลอด และยังเป็นสื่อกลางให้ยายน้องส่งสติ๊กเกอร์เป็นการชื่นชมการกระทำของเป็ดอีก ใจก็ฟูอะดิ เป็ดมันก็เชื่อเพราะมันรักสาวเกาของมัน แต่พอข่าวมาว่า เป็ดจะโดนฟ๊อง มันเกิดความแปลกๆขึ้น คืออิป้าจีมโน มันไม่ปกป้องเลยเฟรี้ย พี่คิงส์ก็ตามดูว่ามันจะแอคชั่นยังไง เพราะเวลาที่ใครมีปัญหากับจีมโน จีมโนจะออกมาขู่ฟ่อๆ อย่าดูว่าแล้วสมุนของมันโดน มันจะปกป้องยังไง สิ่งที่พี่คิงส์ได้ยินคือ ความแหล๋ และความแถ แบบไม่อายใคร ป้าจีมโนมันใช้สำนวนว่า ที่ไม่ช่วยเป็ด เพราะรู้ว่าขึ้น SAN ยังไงเป็ดก็ชนะ อิเฮี้ย เมิงจะใช้เหตุผลนี้จริงๆอะดิ นั่นแหละ ที่เป็ดมันเริ่มตาสว่างละ ว่าที่อ้างว่ารักสาวเกา หรือที่โยนงานเสี่ยงๆทางกฎหม๋่ายให้มันทำ ไม่ทำเอง ป้าจีมโนก็แค่มองมันเป็นทาสบริวาร เป็นเบี้ย เป็นเครื่องมือ และยังไม่พอ มิหนำซ้ำ อิป้าจีมโน ยังสร้างสถานการณ์ ให้ไอ่เป็ดถูกแบนออกจากกลุ่ม เพียงเพื่อขจัดคนที่เริ่มไม่อยู่ในคอนโทลให้ออกไปห่างๆ คนที่สอง คือ นุ DIY ซึ่งนุเอง ก็เป็นคนธรรมดานี่แหละ สำนวนจะต่ำๆหน่อย เพราะเป็นแค่ชายแก่บ้านๆ เมียทิ้ง ลูกเต้าไม่ค่อยรัก ขาดความอบอุ่น แต่ได้สตอรี่ของสาวเกาเป็นพลังในการหล่อเลี้่ยงชีวิตฟันหล๋อๆของนุ และนุเอง มันก็ชอบไฝว้กับพี่คิงส์มาเรื่อยๆ แต่พี่เองก็เล่นกับมันได้ซักพัก ก็เริ่มเบื่อ ไม่อยากว่าปมของใคร และรำคาญในความเฉิ่มของนุ แต่ยังจำได้ว่า ขณะที่นุกำลังโพสไฝว้กับพี่คิงส์กันไปมา เป็นที่เฮฮาของแฟนคลับนั้น อิป้าจีมโนเห็นผลงานของนุ ก็เลยรีบทักไปหานุอย่างเร็ว และนุเองก็ดีใจเกิน แคปและโพสให้เห็นจะๆ ว่าอิป้าจีมโนเข้ามาทักชื่นชม และบอกว่า คนที่จะปราบคิงส์ได้ คงมีนุนี่แหละ เห็นป่ะนี่คือวิธีการลวงใช้ยืมมือคนอื่นทำ ป้าจีมโนสอนให้ลุงนุยิงแอด เพื่อเพิ่มยอดคนมองเห็น นุก็โพสบอก แถมยังเรียกจีมโนว่า อาจารย์อีกด้วย พี่คิงส์คิดว่าหลายคนที่ตามเพจพี่มาตลอดจะเคยเห็นที่พี่คิงส์ได้โพสให้สติกับนุ ว่าอย่าไปเชื่อป้าจีมโน มันให้โพสในสิ่งที่เสี่ยงๆ ก็ตามประสาลุงนะครับ ฟังซะที่ไหน นุ เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการยุยงส่งเสริมของอิป้าจีมโน จนนุอินไม่สนอะไรในโลกอีกต่อไป สุดท้าย นุโดนฟ๊อง แต่อิป้าก็เริ่มมีอาการที่เปลี่ยนไป จากเอ็นดูลุงนุเหมือนน้องรัก กลายเป็นเหมือนคนไม่รู้จัก ดังนั้น บรรดาสาวก โดยเฉพาะที่ตั้งกลุ่มนกแร๊งเที่ยวไปสืบข๊อมูลส่วนบุคคลชาวบ้าน คุณจะได้รับผลประโยชน์หรือไม่ก็ตาม ถ้าคุณยังคงเชื่อจีมโน และทำในสิ่งที่เสี่ยงต่อไป จุดจบก็ไม่พ้นสภาพของทั้งเป็ด และนุแน่นอน มันไม่เคยปกป้องใคร ยกเว้นตัวเอง คุณอยากจะทำตัวไร๊คุณค่า เป็นแค่เบี้ย แค่หมากให้คนอย่างอิป้าจีมโน เอาไว้เป็นทาส เป็นเครื่องมือต่อไป ก็เป็นการตัดสินใจของคุณ พี่คิงส์แค่มาให้สติ ในฐานะเราเป็นคนไทยด้วยกัน แค่นั้นเอง ไอ่ฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 389 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเพิ่มเติม
    ออร่าของคน มาจากอะไร? คำว่า "ออร่า" ที่เราพูดถึงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เรื่องของแสงสีที่ออกมาจากตัวบุคคล แต่หมายถึง "รัศมีแห่งความรู้สึก" ที่แผ่ออกมาโดยที่คนรอบข้างสามารถรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ ความอบอุ่น หรือพลังงานเชิงบวกที่ทำให้ดูน่าดึงดูดขึ้น ออร่าเป็นสิ่งที่สามารถ "เปลี่ยนแปลง" ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมหรือโครงสร้างร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "พฤติกรรม อารมณ์ และพลังภายใน" ของแต่ละคน --- ปัจจัยที่ทำให้คนดูมีออร่ามากขึ้น 1. ทำกิจกรรมเพื่อคนอื่น คนที่มี น้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จะมีออร่าที่สดใส จิตใจที่ขยายออกไปเพื่อคนอื่น ทำให้พลังชีวิตเปล่งประกาย ออร่าของความเมตตา สร้างเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 2. มีความขวนขวาย กระตือรือร้น คนที่ มีเป้าหมาย มีพลังชีวิต มีไฟในการทำงาน จะดูสดใส รัศมีของความกระตือรือร้นทำให้ใบหน้าและแววตาดูมีพลัง คนเหล่านี้ดูน่าสนใจ เพราะพลังของพวกเขาส่งผลให้คนรอบข้างรู้สึกมีแรงบันดาลใจ 3. รักษาจิตให้สะอาด ด้วยศีล คนที่ มีศีล มีความสุจริตใจ จะมีออร่าแห่งความสงบและน่าเชื่อถือ ใบหน้าจะดูอ่อนโยนขึ้น เพราะจิตใจไม่เร่าร้อนด้วยกิเลส คนที่โกหก หรือทำผิดศีลบ่อยๆ จะมีออร่าขุ่นมัว ดูไม่น่าไว้ใจ 4. มีจิตโปร่งใส ด้วยการเจริญสติ คนที่ ฝึกเจริญสติอยู่เสมอ จะมีแววตาที่สงบและแจ่มใส ออร่าของความสงบ จะทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจเมื่อต้องอยู่ใกล้ ความสว่างจากภายใน ทำให้คนเหล่านี้ดูมีเสน่ห์แบบลึกซึ้ง --- ออร่า ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เป็นผลของกรรมในปัจจุบัน ออร่า ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เกิดจากวิถีชีวิตของเราเอง คนที่ คิดดี พูดดี ทำดี ย่อมมีออร่าที่ดี คนที่ คิดลบ อิจฉา โกรธง่าย จะมีออร่าที่ขุ่นมัว ออร่า เปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามสภาวะจิตของแต่ละคน ดังนั้น ถ้าอยากดูดีขึ้น ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า หรือศัลยกรรม แต่ต้อง ปรับจิตใจให้สะอาด ปรับพฤติกรรมให้เป็นกุศล ออร่าที่แท้จริงจะค่อยๆ เปล่งออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 254 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเพิ่มเติม
    💐เมื่อเสียงระฆังวันตรุษจีนดังขึ้น เราก็ได้ก้าวเข้าสู่ปีใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวังและความสุข ในช่วงเวลาพิเศษนี้ ผมอยากส่งคำอวยพรที่จริงใจที่สุดให้กับทุกท่าน ขอให้ทุกท่านสมหวังในสิ่งที่ปรารถนา และทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดีในปีใหม่นี้! . วันตรุษจีนเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา เป็นช่วงเวลาแห่งการขอบคุณและอวยพร ขอให้ทุกท่านได้ใช้เวลาอันมีค่ากับครอบครัว อบอวลไปด้วยความอบอุ่นและความสุข ไม่ว่าปีที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไร ปีใหม่ก็มักนำมาซึ่งความหวังและโอกาสใหม่ๆ ขอให้ทุกท่านจับโอกาสทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา กล้าที่จะไล่ตามความฝัน และพบกับความสำเร็จและความสุข . ขอให้สุขภาพของทุกท่านแข็งแรงดั่งต้นไม้ที่เขียวชอุ่ม หน้าที่การงานราบรื่นดั่งสายลมที่พัดผ่าน ความมั่งคั่งไหลมาเทมาดั่งแม่น้ำที่ไหลไม่หยุด และครอบครัวมีความสุขดั่งสวนดอกไม้ที่เบ่งบาน ขอให้ทุกวันเต็มไปด้วยแสงแดดและเสียงหัวเราะ ทุกช่วงเวลาอบอวลไปด้วยความรักและความอบอุ่น . ปีใหม่นี้ ขอให้ทุกท่านมีโชคดี มีความสุข ความเจริญรุ่งเรือง และพบแต่สิ่งดีๆในชีวิต! . สุขสันต์วันตรุษจีน ขอให้ร่ำรวยเงินทอง! 希望这些祝福文章能为你们带来新年的喜悦与好运!🎉🎊
    Video Player is loading.
    Current Time 0:00
    Duration -:-
    Loaded: 0%
    Stream Type LIVE
    Remaining Time -:-
     
    1x
      • Chapters
      • descriptions off, selected
      • subtitles off, selected
          0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 352 มุมมอง 0 0 รีวิว
        • อ่านเพิ่มเติม
          恭喜发财 新年快乐! "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" ขออวยพรให้ปีใหม่นี้ เป็นปีที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ความสมหวัง และความเจริญรุ่งเรือง ขอให้สุขภาพแข็งแรง ร่ำรวยเงินทอง โชคลาภไหลมาเทมา กิจการรุ่งเรือง ครอบครัวอบอุ่น และสมปรารถนาในทุกสิ่งที่ตั้งใจ 🎉🐉 ตรุษจีนปีนี้ จงมีแต่ความเฮง เฮง เฮง! 🧧
          0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
        • อ่านเพิ่มเติม
          วิธีสร้างความกตัญญูและความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับพ่อในแบบที่ไม่ฝืนใจ 1. เริ่มต้นจากสิ่งที่คุณทำได้และสบายใจ การซื้อของให้พ่อหรือช่วยเหลือในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาต้องการ เช่น จ่ายค่าของใช้ที่จำเป็น หรือช่วยดูแลเรื่องสุขภาพ แม้ดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ก็เป็นการแสดงความกตัญญูที่จับต้องได้ ท่องไว้ว่า "นี่คือสิ่งที่เราทำได้ตอนนี้" และค่อยๆ เพิ่มการแสดงออกเมื่อรู้สึกพร้อม 2. แยกสิ่งที่เขาเคยทำออกจากตัวเขาในปัจจุบัน สิ่งที่พ่อเคยทำในอดีต อาจเป็นเงื่อนไขชีวิตของเขาในเวลานั้น แต่วันนี้เขาอาจเป็นเพียงคนธรรมดาที่ต้องการการยอมรับจากลูก หากยังติดใจกับอดีต ลองพิจารณา "โทษที่เกิดจากการเก็บความขุ่นมัว" และค่อยๆ ลดน้ำหนักมันลง 3. เปลี่ยนมุมมองผ่านการกระทำที่เป็นกุศลร่วมกัน หากการพูดคุยยังยาก ลองเริ่มด้วยการชวนทำสิ่งที่เป็นกุศล เช่น ชวนไปทำบุญ ใส่บาตร หรือแนะนำหนังสือธรรมะที่อ่านง่าย การทำสิ่งที่ดีร่วมกันจะช่วยสร้างบรรยากาศใหม่ที่อบอุ่นขึ้น โดยไม่ต้องพยายามฝืนแสดงความสนิทสนม 4. ลดความคาดหวังกับตัวเอง อย่ากดดันตัวเองว่าต้องรู้สึกดีหรือสนิทกับพ่อทันที การเปลี่ยนแปลงความรู้สึกต้องใช้เวลา สิ่งสำคัญคือการทำเท่าที่คุณทำได้ และปรับตัวเล็กๆ น้อยๆ ไปทีละขั้น 5. เจริญเมตตาและฝึกใจให้เบาขึ้น ก่อนเจอหน้าพ่อ ให้ลองแผ่เมตตาในใจว่า "ขอให้พ่อมีความสุข ปราศจากทุกข์" การทำซ้ำๆ จะช่วยลดความขุ่นมัวในใจคุณ ฝึกหายใจเข้าออกลึกๆ เมื่อเจอพ่อ และตั้งใจสังเกตใจตัวเองโดยไม่ต้องบังคับความรู้สึก 6. เปลี่ยนวิธีสื่อสารทีละน้อย หากพูดดีๆ ได้ยาก ให้เริ่มจากการส่งข้อความสั้นๆ เช่น ทักทายตอนเช้า หรือแสดงความห่วงใยเรื่องสุขภาพ ใช้คำง่ายๆ เช่น "กินข้าวยัง?" หรือ "สุขภาพเป็นยังไงบ้าง?" สิ่งเล็กๆ เหล่านี้อาจช่วยลดความเย็นชาได้ 7. ให้เวลาเป็นตัวช่วย ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เปลี่ยนความสัมพันธ์ที่สะสมมานาน ค่อยๆ หยอดการกระทำเล็กๆ น้อยๆ และปล่อยให้ใจของคุณปรับตัวเอง การแสดงออกเล็กๆ ทีละน้อยจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นธรรมชาติขึ้น --- สรุป: การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับพ่อ ไม่จำเป็นต้องฝืนใจทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่ควรเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่คุณทำได้และสบายใจ เช่น การช่วยเหลือ ซื้อของให้ หรือชวนทำสิ่งดีร่วมกัน เมื่อสะสมการกระทำดีๆ เหล่านี้ ใจของคุณจะค่อยๆ ปรับตัว และความสัมพันธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นตามธรรมชาติ
          0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 329 มุมมอง 0 รีวิว
        • อ่านเพิ่มเติม
          ช่วงนี้อ่านเล่มไหนก็รู้สึกชอบและสนุกไปหมดเลยครับ อาจเพราะเป็นคนเลือกที่อยากอ่านเองจริง ๆ และก็มักไม่พบความผิดหวังกับเล่มที่เลือกนั้น ล่าสุดก็เรื่องนี้ที่สะดุดตาตั้งแต่ปกหน้า พอเจอในแอป hibrary ที่คนจองคิวไม่มาก และระบุว่าเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน ระทึกขวัญกลางกรุงโตเกียว คิดว่าน่าสนใจจึงต่อคิวจอง และเมื่อวันก่อนครบกำหนดต้องคืน จึงรีบอ่านแบบติดเทอร์โบรวดเดียวจนจบทันก่อนเวลาเส้นตายแบบเฉียดฉิว เมื่ออ่านจบก็พบว่า "ดีจริงที่ตัดสินใจที่จะลองอ่าน ถ้าไม่งั้นคงน่าเสียดายยิ่ง" #silenttokyoandsothisisxmas สนพ.ไดฟุกุ (อ่านหนังสือของไดฟุกุติดกันหลายเล่ม เป็นสนพ.หนึ่งที่ผลิตหนังสือค่อนข้างคุณภาพทีเดียว แต่ผมอ่านแบบอีบุ๊ก) ฮาตะ ทาเคฮิโตะ เขียน เกวลิน ลิขิตวิทยาวุฒิ แปล 248 หน้า 280 บาท พิมพ์ในญี่ปุ่นครั้งแรก 2559 ในไทยพิมพ์ครั้งแรกปี 2564 คุณจะทำอย่างไร ถ้ารู้ว่าเมืองที่ตนอาศัยอยู่กำลังจะเกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ใจกลางกรุง? เริ่มเรื่องก็ระทึกขวัญแต่ต้น ด้วยการที่แม่บ้านวัยสี่สิบกว่ารายหนึ่งตั้งใจจะออกไปซื้อของขวัญให้สามี เพราะใกล้จะถึงคริสต์มาส เธอจึงออกจากบ้านไปยังย่านกลางเมือง หลังซื้อของแล้วจึงมานั่งรับแดดกะจะกินแซนด์วิช บนม้านั่งตัวหนึ่งที่ลานสาธารณะหน้าสถานีรถไฟเอบิสุ ครู่หนึ่งชายที่ไหนไม่รู้ เข้ามาคุยกับเธอพูดจาแปลก ๆ บอกว่าใต้ม้านั่งมีระเบิด ห้ามเธอลุกขึ้นไม่งั้นระเบิดจะทำงาน เพราะเมื่อมีน้ำหนักมากกว่า30กิโลกรัมกดทับ วงจรจะเริ่มเตรียมพร้อม ทางเดียวที่จะรอด เธอต้องนั่งรอจนกว่าจะมีคนจากสถานทีโทรทัศน์แห่งหนึ่งมาที่นี่ แล้วให้เขานั่งลงข้าง ๆ จากนั้นเธอจึงลุกขึ้นได้ แต่ให้บอกสิ่งที่เธอได้ยินนี้กับเขาด้วยเพื่อจะได้ไม่ตายเพราะระเบิด และสุดท้ายให้บอกเขาว่า นี่คือสงคราม! 🧨 จากจุดเริ่มนั้นเอง ที่สถานีโทรทัศน์แห่งนั้น มีสายโทรแจ้งว่าจะมีการระเบิดขึ้นที่...หนุ่มทำงานพาร์ตไทม์ในสถานีที่ได้รับงานเป็นเบ๊ทั่วไป ถูกสั่งให้ไปยังจุดดังกล่าวพร้อมจนท.อีกคนที่ติดอุปกรณ์การถ่ายทำไปด้วย ทั้งสองจำใจไปแต่เชื่อว่าคงเป็นการล้อกันเล่น เมื่อไปถึงพบหญิงที่นั่งอยู่ข้างม้านั่งที่คนในสายแจ้ง ทั้งสองเข้าไปใกล้กะจะไปนั่งม้านั่งใกล้กันเพื่อสังเกต แต่เธอกลับเรียกให้ชายที่ถือกล้องนั่งลงถามว่ามาจากสถานีโทรทัศน์ใช่ไหม เขาแปลกใจจึงนั่งลงจะสอบถาม เธอรีบกระโดดขึ้นทันทีพลางบอกรายละเอียดทั้งหมด 🧨 ชายที่นั่งไม่เชื่อจะลุก เธอรีบกดไหล่และหว่านล้อมว่าวิธีเดียวที่จะรอดคือต้องทำตามคำบอกของชายคนที่แจ้งรายละเอียดกับเธอไว้ในตอนแรก นั่นคือให้เขาใช้กล้องบันทึกสิ่งที่ตัวเองประสบแล้วเผยแพร่ออกไป จากนั้นเธอเอาของที่คล้ายนาฬิกาข้อมือดิจิทัลมาคล้องกับข้อมือของหนุ่มพาร์ตไทม์โดยเขาไม่ทันตั้งตัว พลางเธอชูให้ดูว่าที่ข้อมือตัวเองก็มี บอกว่านี่เป็นระเบิดด้วยเช่นกัน ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของชายแปลกหน้าที่เข้ามาคุยกับเธอ เขาจะสั่งงานระยะไกลให้นาฬิการะเบิด แล้วรีบบอกกับเด็กหนุ่มว่าต้องไปต่อที่แห่งหนึ่งตามคำสั่ง จากนั้นทิ้งชายที่น่าสงสารไว้ตามลำพัง ซึ่งเขาก็กลัวมากจึงรีบทำตามที่เธอบอก ในที่สุดเรื่องก็ทราบถึงตำรวจ จนแห่กันมากู้ระเบิดด้วยการใช้ไนโตรเจนเหลวกะให้หยุดการทำงานของระบบ ปรากฏว่าเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น 🧨 ที่แท้เป็นการข่มขู่ แค่ระเบิดเสียงแต่ยังไม่มีอำนาจทำลายล้าง ทว่าด้วยเหตุนี้ทางตำรวจสืบสวนกลางจึงตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลและสืบเรื่องนี้ขึ้น จากการวิเคราะห์ทำให้ตำรวจทราบว่า ระเบิดนั้นถูกติดตั้งตัวจับอุณหภูมิไว้ด้วย แสดงว่าคนที่ประกอบระเบิดเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้ด้านนี้และคาดเดาได้ว่าตำรวจจะใช้ไนโตรเจนเหลว จึงดักทางด้วยการติดตั้งระบบให้ไม่อาจกู้ด้วยวิธีที่ตำรวจใช้ ในทีมสืบสวน มีการจับคู่ของนายตำรวจมากประสบการณ์วัยสี่สิบกว่ากับตำรวจหนุ่มไฟแรงคู่หนึ่ง ซึ่งมีบทบาทในการตามสืบข้อมูลเกี่ยวกับการระเบิดครั้งนี้อย่างกัดติด ด้วยตำรวจวัยกลางคนนั้นเคยแต่งงานกับลูกสาวของระดับสูงของหัวหน้าที่ตั้งทีมครั้งนี้ ทว่ามีเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้ต้องหย่ากันไป อย่างไรเขาคือผู้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเกี่ยวกับสถานการณ์อันตราย 🧨 ด้านหญิงกลางคนกับหนุ่มพาร์ตไทม์ เดินทางไปยังอาคารหลังหนึ่งเป็นห้องเช่า ที่ภายในมีทีวีและอุปกรณ์กล้อง พร้อมซองสีขาวที่เขียนรายละเอียดบอกไว้ให้เด็กหนุ่มต้องอ่านข้อความตามที่มีบทพูดไว้ให้ โดยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนทำหน้าที่บันทึกภาพ จากนั้นให้นำโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นในยูทูปเห็น เนื้อหาสรุปคือให้บอกว่าผมคือผู้ที่วางระเบิดนั้นเอง และยื่นข้อเสนอขอคุยกับนายกถ่ายทอดออกทางสถานีโทรทัศน์ ถ้าไม่ทำตาม จะมีการวางระเบิดในย่านใจกลางชิบูย่า หน้ารูปปั้นหมาฮาจิโกะ เส้นตายคือ18.30น. ปรากฏว่านายกฯออกข่าวตอบโต้ว่าไม่ต้องการเจรจาใดกับผู้ก่อการร้ายทั้งสิ้น และจะทำสงครามกับคนไม่หวังดีอย่างถึงที่สุด 🧨 ด้านหนุ่มพาร์ตไทม์ได้รับคำสั่งต่อไปให้ไปทำคนเดียว จึงต้องแยกกับหญิงกลางคนที่ถูกให้เฝ้ารอคำสั่งอยู่ในห้องแห่งนั้น ส่วนตำรวจก็วิ่งขาขวิด ล้อมรั้วด้วยแถบเหลืองรอบรูปปั้นฮาจิโกะด้วยรัศมีประมาณหนึ่ง และให้หน่วยกอบกู้ระเบิดพยายามเร่งค้นหาวัตถุระเบิดที่ถูกซุกซ่อนอยู่ แต่คนโตเกียวและชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เข้าใจว่าคลิปที่เผยแพร่ น่าจะเป็นการหลอกลวงเหมือนเช่นระเบิดก่อนหน้าที่สถานีเอบิสุ จึงไม่รู้สึกกลัวแถมยังแห่มายังบริเวณลานอันเป็นสถานที่ถูกระบุ ด้วยต้องการมาเซลฟี่ตนเอง บ้างมาเป็นกลุ่ม เพื่ออัปโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นเห็น 🧨 มีหญิงสาวพนักงานบริษัทธรรมดาสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน คนหนึ่งเป็นชู้กับสามีของคนอื่นและคะยั้นคะยอชวนเพื่อนไปนัดบอดก่อนหน้านี้ ซึ่งเพื่อนของเธอเพิ่งอกหักจากแฟนที่รักกันมากว่าสิบปี แล้วทิ้งไปอยู่กับกิ๊กที่ตั้งท้องไม่กี่เดือน เพื่อนสาวคนนี้กำลังคิดจะเริ่มต้นใหม่และรู้สึกดีกับหนุ่มคนหนึ่งในงานนัดบอด โดยเขาคนนั้นเป็นเจ้าของบริษัทที่สร้างแอปพลิเคชันที่เปิดตัวดีและมีคนใช้เยอะ ธุรกิจไปได้สวยทั้งที่ยังอายุไม่มาก แต่ค่อนข้างเย็นชาไม่สนใจคนรอบข้าง สองสาวตั้งใจจะมากินอาหารฉลองก่อนคริสต์มาส แล้วเห็นหนุ่มคนที่ตนสนใจเข้าพอดีในสถานที่ใกล้รูปปั้นฮาจิโกะ เพื่อนคนที่ใจกล้าจึงชวนอีกคนว่าให้ลองตามไปดูเขาว่าทำไมถึงมาอยู่แถวชิบูย่า ทั้งที่ก่อนหน้าตอนเธอชวนมากินข้าวด้วยกัน ปฏิเสธว่ามีนัดสำคัญที่อื่น เธอไม่อยากไปแต่สุดท้ายก็โดนเพื่อนลากไปจนได้ 🧨 ด้านตำรวจยังคงพยายามตามหาว่าระเบิดถูกซ่อนตรงไหน เวลากระชั้นสั้นเข้าใกล้ถึงกำหนดที่ถูกประกาศว่าจะมีการระเบิด แต่ผู้คนยิ่งมาออกันอย่างเนืองแน่นด้วยความสนุกสนาน สุดท้ายจึงเกิดโศกนาฏกรรมใหญ่ เพราะมีการระเบิดขึ้นจริง ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แต่เรื่องราวไม่จบเท่านี้ เพราะหลังเหตุร้ายแรง นายกฯยังคงยืนยันคำพูดแข็งกร้าวเช่นเดิม ดังนั้นจึงมีข้อความต่อมาของคนร้ายที่แจ้งให้ทราบว่า ถ้านายกยังไม่ทำตามข้อเสนอ ระเบิดครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในคืนวันคริสต์มาสอีฟ คราวนี้บอกแค่เวลา แต่ไม่ระบุจุดที่จะระเบิด บอกเพียงว่าในกรุงโตเกียว 🧨 เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป.. ตำรวจจะหาตัวคนร้ายเจอไหม .. สถานที่ใดจะเกิดระเบิดครั้งต่อไป.. หญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงบริเวณย่านชิบูย่าตายหรือไม่.. ชายคนที่หญิงสาวรู้สึกสนใจ ทำไมโกหกเธอ แล้วเขามาทำอะไร รอดตายหรือไม่.. หญิงวัยกลางคนที่ประสบเหตุคนแรกเล่า ที่ข้อมือยังมีนาฬิกาที่พร้อมระเบิดถ้าขัดคำสั่งคนร้าย เธอถูกให้ทำเรื่องใดต่อไป.. หนุ่มพาร์ตไทม์ที่ได้รับมอบหมายงานไปทำตามลำพัง จะรอดหรือไม่ ใคร ๆ ต่างเข้าใจว่าเขาคือคนร้ายไปหมดแล้ว ... ยังมีอีกหลายตัวละครที่มีบทบาทต่อเนื้อเรื่อง ที่ผมเล่าได้ไม่หมด ต้องไปหาอ่านกันต่อแล้วล่ะ ....... ภาควิเคราะห์✒️ ตัวละครเยอะ และโผล่มาเรื่อย ๆ เฉพาะที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลักก็เกือบสิบคน ยังมีประเภทโผล่มาประปรายเพราะมีความสัมพันธ์กับตัวละครที่เกี่ยวข้องอีกพอสมควร แต่เนื่องจากผมมีเวลาจำกัดที่ต้องอ่านให้จบทันก่อนหนังสือจะคืนเข้าระบบตามกำหนด จึงไม่สามารถค่อย ๆ เสพอ่านอย่างละเมียดบรรจง แต่ใช้วิธีอ่านแบบกวาดตาโดยไว ซึ่งปกติจะไม่อยากอ่านแบบนี้ถ้าไม่จำเป็น เนื่องจากจะจดจำชื่อตัวละคร หรือดื่มด่ำกับสำนวนและการบรรยายของผู้เขียนได้น้อย ✒️ ดีที่เล่มนี้ไม่เน้นการบรรยายเยอะ แต่สนทนามากกว่า มีบรรยายบ้างแต่ไม่ยาวเป็นหน้า ค่อนข้างเดินเรื่องกระชับฉับไว ให้รายละเอียดเท่าที่จำเป็น ตัวละครคุยกันเยอะ ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังครับ ยิ่งอ่านประวัติคนเขียนด้วยจึงเข้าใจ เพราะเป็นทั้งนักเขียนหนังสือ นักเขียนบท โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ มิน่าล่ะจึงสะท้อนความเชี่ยวชาญและแนวคิดการทำงานในการผลิตหนัง มาใช้ในงานเขียนด้วย ✒️ อ่านแล้วนึกถึงหนังเรื่อง pulp fiction เมื่อปี 2537 ครับ ลักษณะการเล่ามีความเดินเรื่องคล้ายอย่างในหนัง คือไม่ได้เล่าไปทีละลำดับ แต่สลับระหว่างตัวละครหลักกลับไปกลับมา ฉากโน้นฉากนี้ แล้วพอตัวละครเยอะ ก็จะเข้าใจยากหน่อย แต่พอนำมาร้อยเรียงกันเองในหัวแล้วจะเริ่มมองภาพใหญ่ออก เพียงแค่ผู้เขียนเลือกหยิบเล่าในบริเวณจำกัดของ jigsaw บางส่วนในภาพทั้งหมด แล้วกระโดดไปเล่ามุมอื่นของชีวิตตัวละครตัวอื่น วนไปวนมาแบบนี้ จนค่อย ๆ กลายเป็นภาพที่ต่อสำเร็จเป็นรูปร่างมากขึ้นเรื่อย ๆ ✒️ อ่านไปเหมือนจะงง แล้วพาลทำให้ไม่เข้าใจและไม่ชอบ หมดสนุกได้หากเราไม่คุ้นเคยกับการเล่าแบบนี้ ผมนึกถึงตัวเองตอนได้ดู pulp fiction ในโรงหนังลิโด้ครั้งแรกสมัยก่อน ถึงกับอุทานในใจ แหม..หนังอะไรวะเนี่ย ดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจอะไรเลย ตัวละครต่าง ๆ ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาแบบไม่มีต้น ไม่มีปลาย มาทำบ้าอะไรของมันเดี๋ยวเดียวก็ตัดไป กลายเป็นตัวอื่นโผล่มาแล้วก็ลักษณะเดียวกันคือไม่มีรายละเอียดให้รู้ งงไปจนแทบเลยกลางเรื่องไปพอสมควรแล้วนั่นแหละ แบบดูไปด่าไปในใจ แต่ก็ทนดูต่อไปเพราะอยากรู้ว่าตกลงเรื่องราวมันยังไงกันแน่ ✒️ พอดูจบถึงกับแทบโห่ร้องออกมาแบบไม่มีเสียง นี่มันหนังโคตรดี สุดยอดอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน คิดได้ยังไง ถ้าดำเนินเรื่องตามลำดับเวลาก่อนหลังที่ควรจะเป็น เราก็เข้าใจง่ายตั้งแต่ต้นละ แต่นี่ดันตัดเอาแค่บางช่วงสลับไปมาจนงงไปหมด ให้ไปต่อเอาเองในหัว หนังสือเล่มนี้ก็มีความคล้ายในการเล่าแบบหนังเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ได้มากเท่าและไม่ได้ชัดเจนเท่า ยังมีความเล่าตามลำดับในโครงสร้างใหญ่ไปตามวันที่เริ่มตั้งแต่ 22 ธันวาคม จนถึงก่อนวันคริสต์มาส แต่ทว่าจะมีช่วงที่เล่าให้ทราบถึงความเป็นไปในตัวละครบางตัวในอดีต เป็นเชิงภาคขยายจากในคราวแรกที่ไม่ได้ให้รายละเอียดตัวละครอะไรมากมาย ✒️ กลางเล่มไปแล้วที่หลังเกิดเหตุระเบิดใหญ่อันน่าตกใจและมีการสูญเสียทำได้ดีทีเดียว ฉากกลางย่านชิบูย่าในภาพก่อนหน้าที่กำลังวุ่นวายและเต็มไปด้วยความเอะอะของเหล่าผู้คน ที่ไม่ตระหนักถึงอันตรายใดแล้วไม่สนใจคำเตือนตำรวจ กับภายหลังเหตุระเบิด รวมถึงความไต่ระดับของการเดินเรื่องที่บางตัวละครพยายามตามหาความจริง จิกกัดไม่ปล่อย ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่ตำรวจและยังเป็นผู้หญิง มีฉากหนึ่งที่อ่านแล้วอดนึกไม่ได้ว่า "อยากตายนักหรือไง" เพราะเธอไปจี้ถาม คุ้ยแคะแกะแผลจะคาดคั้นเอาคำตอบกับคนที่น่าสงสัยให้ได้ ช่วงบทสนทนาตอนนั้นคือลุ้นมาก นางปากดีคนนี้จะถูกหมกตายไหมเนี่ย ช่างปากกล้า ปากเก่งในเวลาที่ไม่ควรจริง ๆ แล้วเหตุการณ์ต่อจากฉากนั้น ก็ทำเอาแทบกลั้นลมหายใจอ่านทีเดียว ✒️ ผู้เขียนฉลาดในการหลอกล่อคนอ่านมาตั้งแต่ต้นเริ่มเรื่องทีเดียว เรียกว่าเอาอยู่ หัวปั่นเพราะเบาะแสที่ให้มาทีละนิด เราก็คิดว่าเออ คนนี้หรือคนนั้นมีแววนะว่าอาจจะใช่คนร้ายที่เจ้าแผนการทั้งหมด เพียงเพื่อสุดท้ายจะพบกับความพลิกเหมือนลูกรูบิกที่บิดที สีที่เหมือนจะเรียงกันได้ครบ แต่ทำเอาแทบสลบเพราะนอกจากไม่เรียงสำเร็จทุกสี ยังเหมือนวิ่งหนีออกไปไกลกว่าเก่า อ้าว..ที่แท้คนนี้เองเหรอ..เราหมุนไปผิดทางตั้งแต่แรกเลยเหรอเนี่ย พอย้อนไปเก็บรายละเอียดหลังอ่านจบ โดยทวนเนื้อหาใหม่ในบางช่วงบางบทสนทนา การบรรยายรายละเอียดที่ผู้เขียนใส่ไว้ใหม่ จึงเกิดความรู้สึกเหมือน อะไรที่มันขัดกันในหัว หมุนเคลื่อนตัวลงล็อกดัง "กริ๊ก" ในตำแหน่งที่ถูกต้องเป๊ะ ✒️ เราอ่านไม่ดีเองตั้งแต่แรก ละเลยส่วนสำคัญไปเพราะไม่ละเอียดและไม่คิดตามมากพอ แท้จริงร่องรอยของความจริงได้วางไว้ให้เห็นอยู่แล้ว ช่างสุดยอดจริง ๆ สมกับที่เล่มนี้ขายดีในญี่ปุ่น รวมถึงตอนสร้างเป็นหนังก็มีผลตอบรับดีด้วย (ตามที่ในหนังสือระบุไว้ในช่วงคำนำสำนักพิมพ์ หรือความในใจของผู้แปลก็ไม่แน่ใจ) ชอบที่ตอนจบ บทสรุปที่ให้คนอ่านได้เก็บไปคิดทบทวนถึงสิ่งที่คนเขียนต้องการสื่อไปถึงชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศ หรือที่จริงชาวโลกก็ว่าได้ เกี่ยวกับสงครามว่าคือสิ่งที่นักการเมือง ผู้มีอำนาจ และพลเมืองที่อยู่ในประเทศนั้น ๆ ควรจะปฏิบัติเช่นไร หรือไม่ควรปฏิบัติเช่นไร ✒️บทสรุปของคนร้ายจะตายหรือไม่ ตอนที่เรื่องเฉลยโดยให้คนร้ายบอกเล่าความจริงในใจกับใครคนหนึ่งนั้น รู้สึกชอบวิธีเฉลยที่ผู้เขียนเลือกใช้ครับ รูปแบบเรียบง่ายแต่เข้ากับนิสัยของตัวละครตัวนี้ดี บ่งบอกตัวตนของคนคนนี้ได้ค่อนข้างชัดเจน คนอ่านหลายคนอาจไม่ชอบเหตุผลและแรงจูงใจของคนร้าย และไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ แต่ผมคิดว่าพอจะเข้าใจนะ แต่ไม่ใช่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนร้ายเลือกกระทำ คนเราเมื่อยึดติดในสิ่งใด สัตว์ใด คนใด ความเชื่อใดมากจนฝังแน่นไปถึงจิต ✒️ มันยากเหลือเกินที่จะลบล้างเอาเจ้าความคิดนั้นให้หลุดออกไปได้ ในแง่นี้ผมจึงคิดว่าเข้าใจและเห็นใจสงสารคนร้ายพอสมควร ส่วนประชาชนคนที่ตายไปมากมายนั้น หากพูดกันอย่างไม่อคติ จะไปโทษคนร้ายทั้งหมดก็ไม่ได้ แท้จริงเหล่าคนที่ตายไป จะมากน้อยเพราะเขาทำตัวเอง พาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่อันตราย ทั้งที่ทางตำรวจก็แจ้งเตือน ห้ามปราม แต่ก็ไม่สนใจ รวมถึงพวกสื่อต่าง ๆ ที่เอาแต่อยากทำข่าวโดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ทำนั้นจะส่งผลให้สถานการณ์แย่กว่าเดิมหรือเป็นอันตรายต่อสังคม ประชาชนและประเทศชาติหรือไม่ ผมว่าเล่มนี้สะท้อนมุมมองเรื่องเหล่านี้ได้ดี แต่เหนืออื่นใดคือฉากจบที่ตัวละครหนึ่งที่น่าสงสารและน่าเห็นใจมาก แต่กลับเป็นฝ่ายพูดและให้กำลังใจกับตัวละครอีกตัวที่บาดเจ็บทางใจอย่างร้ายแรงได้อย่างเข้าถึงจิตใจภายใน ราวกับคำพูดนั้นไปสัมผัสและลูบไล้ที่หัวใจด้วยความแผ่วเบาที่สุด ช่างอบอุ่นหัวใจดีเหลือเกิน หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ประสบมา สำนวนแปลอ่านได้อย่างไม่รู้สึกสะดุด .......... อ่านจบ ไปลองค้นข้อมูลที่มีการสร้างเป็นหนังต่อ พอเห็นภาพโปสเตอร์ยิ่งอยากดูมาก เพราะมีนักแสดงคนโปรดเล่นด้วยนั่นคือ อิชิดะ ยูริโกะ และคนอื่น ๆ ก็ต่างเป็นนักแสดงคุณภาพทั้งนั้น สุดท้ายเจอที่มีคนทำซับบรรยายไทย จึงโหลดมาชม แต่ดูจบแล้วพบว่า ฉบับหนังสือดีกว่าพอสมควร คือหนังสร้างออกมาได้โอเคอยู่ นักแสดงก็ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองได้ดี แต่มันมีอยู่หลายช่วงที่รู้สึกว่าน่าจะเล่าได้ดีกว่านี้ อาจเพราะเวลาจำกัด รายละเอียดมากมายจึงใส่มาได้ไม่หมด จึงทำให้ลดความสนุกลงไปจากฉบับหนังสือเยอะเลย แต่ฉากสำคัญที่เกิดระเบิดกลางย่านชิบูย่าทำออกมาได้ดี ใครสนใจลองไปหาชมดูครับ สุดท้ายขอจบด้วยประโยคที่ตัวละครสองตัวในเรื่องเอ่ยไว้ได้อย่างน่าประทับใจ โดยระบุว่าเป็นคำกล่าวของนักเขียนนิยายที่มีชื่อว่า Stephen King "ผู้ชนะในการแข่งขันปาขี้คือคนที่มือเปื้อนน้อยที่สุด คนมีคุณภาพคือคนที่ไม่ทำให้มือตัวเองเปื้อนจากอะไรไร้สาระอย่างการขว้างปาเจตนาร้ายใส่คนอื่น" #หนังญี่ปุ่น #หนังน่าดู #หนังสือน่าอ่าน #บทความ #รีววิหนังสือ #thaitimes #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #ระเบิดกลางกรุง #โตเกียว #สงคราม #แง่คิด #ระทึกขวัญ #สืบสวน #ก่อการร้าย
          Like
          1
          0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1002 มุมมอง 0 รีวิว
        • อ่านเพิ่มเติม
          ไมตรีจากใจจริง: หนทางสู่จิตอันอบอุ่น การทักทายหรือแสดงความมีไมตรีต่อเพื่อนมนุษย์ แม้เพียงเรื่องเล็กน้อย เช่น รอยยิ้ม คำทักถาม หรือการแสดงความสนใจต่ออีกฝ่าย อาจดูเหมือนเรื่องธรรมดา แต่แท้จริงแล้ว มันเป็น การฝึกจิตใจให้เปลี่ยนแปลง หากทักทายด้วยใจแห้งแล้ง ในช่วงแรกอาจดูฝืน แต่ ความตั้งใจดีและการทำอย่างสม่ำเสมอ จะหล่อหลอมให้ไมตรีนั้นออกมาจากใจจริงในที่สุด เมื่อเราเริ่มใส่ ความแคร์ ต่อเพื่อนมนุษย์ในทุกการกระทำ จิตใจของเราจะเริ่มอบอุ่นขึ้น และความรู้สึกสุขสงบจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ --- ไมตรีในชีวิตการงาน แม้การทำงานอาจต้องพบเจอคนที่ทำให้ไม่สบายใจ เช่น คนที่พูดจาไม่ดีหรือปฏิบัติร้ายต่อเรา แต่การเลือกแสดงไมตรีตอบแทน ไม่ใช่เพื่อเอาชนะ แต่เพื่อสร้าง กุศลในจิตใจของเราเอง เป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาจิตใจให้เข้มแข็งและอบอุ่น --- ไมตรี: กุศลในกองอกุศล 1. ฝึกทักทายด้วยไมตรี การฝึกกล่าวคำทักทาย หรือแสดงความสนใจอย่างจริงใจ จะช่วยหล่อหลอมจิตใจให้มีความเมตตาเพิ่มขึ้น 2. เริ่มต้นด้วยใจของเราเอง หากใจยังไม่รู้สึกอบอุ่น ให้เริ่มจาก แสดงไมตรี ต่อผู้อื่นก่อน แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น การพูดจาสุภาพหรือการยิ้ม 3. มองเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเอง แม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์หรือผู้คนที่ไม่เป็นมิตร อย่ามองเป็นอุปสรรค แต่ให้ถือว่าเป็น โอกาสทอง ในการฝึกจิตของเราให้เข้มแข็ง --- ไมตรี: สะพานสู่ความสุขภายใน ไมตรีจากใจจริงไม่เพียงช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเรากับผู้อื่น แต่ยังเป็นการสร้างความสุขและความอบอุ่นในใจเราเอง ในท่ามกลางโลกที่มีอกุศลมากมาย ไมตรีจากใจจริง คือหนึ่งในแสงสว่างที่เราสามารถสร้างขึ้นเองได้ เป็นแสงที่ช่วยให้เราและผู้คนรอบข้างอบอุ่นขึ้นในทุกๆ วัน
          0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
        • อ่านเพิ่มเติม
          ความรักในสังสารวัฏ ในวัฏสงสาร ความรักเป็นเพียงสิ่งลวงที่ดูเหมือนจะให้ความอบอุ่น แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ อนิจจัง และ ทุกขัง เพราะไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง ความรักก็มักนำมาซึ่งความยึดมั่น และความยึดมั่นนี้เองที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ แม้รักแท้ดูเหมือนมั่นคง แต่สุดท้ายก็ต้องพลัดพราก ไม่ว่าจะด้วยความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ หรือความตาย --- อริยสัจ 4 เบื้องต้น ผ่านอาการ "อกหัก" 1. ทุกข์ ทุกข์เกิดขึ้นเพราะการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก หรือการไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา ทุกข์ในอาการอกหัก คือ ความเศร้า ความว้าเหว่ และการถวิลหาความรักที่จากไป 2. สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา (ความทะยานอยาก) เราอยากให้คนรักอยู่กับเรา อยากให้เขาทำให้เรามีความสุข อยากให้ความสัมพันธ์เป็นไปตามที่เราคาดหวัง 3. นิโรธ ความดับทุกข์เกิดจากการปล่อยวาง ยอมรับความจริงว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง เมื่อเรามองเห็นทุกข์และสาเหตุอย่างแจ่มชัด เราจะค่อยๆ คลายความยึดติด และพบกับความสงบในใจ 4. มรรค ทางสู่ความดับทุกข์ คือการเจริญ สติ และ สมาธิ พิจารณาอารมณ์และความคิดของตนเอง ฝึกสังเกตอาการยึดมั่นและปล่อยวาง ใช้ปัญญาเห็นว่า ความรักและความทุกข์ทั้งปวงเป็นของชั่วคราว --- วิธีเจริญสติ เพื่อปล่อยวางความรักที่พลัดพราก 1. ดูใจตนเอง เมื่อเกิดความเศร้า ให้พิจารณาว่าอารมณ์นั้นเป็นเพียง สภาวะของจิต ที่เกิดขึ้นชั่วคราว แล้วมันจะผ่านไป 2. เห็นอารมณ์ตามจริง มองว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ความคิดถึงหรือความเศร้า เป็นเพียง "ปรากฏการณ์" ที่จิตปรุงแต่งขึ้น 3. พิจารณาอนิจจัง ความรักที่เคยทำให้สุขใจ สุดท้ายก็กลายเป็นทุกข์ได้ เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง 4. ฝึกปล่อยวาง ยอมรับว่า คนรักที่จากไป ไม่ได้เป็นของเรา เห็นว่าความยึดติดนั้นนำมาซึ่งความทุกข์ --- จากความรัก สู่ความวิเวกอันสงบ เมื่อเราสามารถปล่อยวางความรักหรือความยึดมั่นได้ จิตใจจะเริ่มรู้สึกเบาสบาย และสงบเย็น นี่คือความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ไม่ต้องพึ่งพาใครหรือสิ่งใด จงฝึกเห็นความรักในฐานะธรรมชาติที่เกิดขึ้นและดับไป จงปลื้มใจในความวิเวก และค้นพบอิสรภาพทางใจแทน "เมื่อเราไม่ยึดติดในความรัก เราจะมอบความรักที่แท้จริงให้แก่ตนเองได้"
          0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 315 มุมมอง 0 รีวิว
        • อ่านเพิ่มเติม
          คำถามนี้ชี้ให้เห็นว่า การแผ่เมตตาอย่างแท้จริงต้องเริ่มต้นจากใจที่สงบและเป็นสุขก่อน และไม่สามารถบังคับจิตใจให้เป็นสุขหรือเมตตาได้ทันทีหากยังมีโทสะหรือความเกลียดชังตกค้างอยู่ในใจ คุณอาจลองพิจารณาและปรับกระบวนการแผ่เมตตาให้ถูกต้องดังนี้: --- 1. เริ่มต้นจากการ "รู้ตัวเอง" ก่อนจะแผ่เมตตา ให้ถามตัวเองก่อนว่า ใจเราสงบและเป็นสุขหรือยัง? หากใจยังร้อน ยังโกรธ หรือยังมีความไม่พอใจอยู่ อย่าเพิ่งพยายามแผ่เมตตา เพราะนั่นอาจกลายเป็นการ "แผ่ความร้อน" หรือ "แผ่ความทุกข์" ออกไปโดยไม่รู้ตัว แทนที่จะแผ่เมตตา ให้เริ่มด้วยการพิจารณา ความรู้สึกของตัวเอง ก่อน เช่น: ทำไมเราถึงโกรธหรือเกลียด? เรารู้สึกอย่างไรเมื่อโกรธ? ทุกข์ไหม? เมื่อเข้าใจว่าความโกรธทำให้เราทุกข์ เราจะเริ่มมีแรงจูงใจที่จะ "ปล่อยวาง" ความโกรธนั้น --- 2. สร้างสุขในใจเป็นพื้นฐาน ก่อนแผ่เมตตา ให้ทำจิตใจตัวเองให้สงบและเป็นสุขด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่น: การนั่งสมาธิและกำหนดลมหายใจเข้า-ออก การนึกถึงสิ่งดีๆ หรือคนที่เรารักและทำให้เรารู้สึกอบอุ่นใจ การระลึกถึงพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เพื่อให้ใจสงบและมั่นคง เมื่อจิตใจเริ่มสงบและเป็นสุข คุณจะรู้สึก "พร้อมที่จะแผ่เมตตา" อย่างแท้จริง --- 3. การแผ่เมตตาอย่างถูกต้อง การแผ่เมตตาเริ่มต้นจาก การส่งความสุขในใจออกไป ให้แก่ผู้อื่น ไม่ใช่เพียงการท่องบทสวดมนต์แบบกลไก หากยังมีความรู้สึกเกลียดชังอยู่ การแผ่เมตตาแบบเจาะจง (เช่น แผ่ให้คนที่เราเกลียด) อาจทำได้ยาก แนะนำให้เริ่มจาก: 1. แผ่เมตตาให้ตัวเองก่อน: อธิษฐานขอให้ตัวเองมีความสุข ปราศจากทุกข์ และหลุดพ้นจากความโกรธ 2. แผ่เมตตาให้คนที่เรารัก: นึกถึงคนที่เรารักและรู้สึกดีด้วย เช่น ครอบครัวหรือเพื่อนสนิท แล้วส่งความปรารถนาดีให้พวกเขา 3. แผ่เมตตาให้คนที่เราเกลียดเป็นลำดับสุดท้าย: เมื่อใจเริ่มสงบและเบาลง ค่อยลองแผ่เมตตาให้คนที่เรามีปัญหาด้วย โดยไม่ต้องบังคับใจตัวเอง --- 4. ฝึก "ปล่อยวาง" แทนการบังคับให้เมตตา หากยังแผ่เมตตาไม่ได้ ให้เริ่มด้วยการ "ไม่ยึดติด" กับความเกลียดก่อน แค่รู้ว่าเรายังเกลียดเขาอยู่ก็พอ ไม่ต้องพยายามบังคับตัวเองให้เมตตา ค่อยๆ ฝึกปล่อยวางความคิดลบ และบอกตัวเองว่า "การเกลียดเขาไม่ได้ทำให้เราเป็นสุข" --- 5. สังเกตผลของการแผ่เมตตา การแผ่เมตตาที่ถูกต้องจะทำให้ ใจเราสงบและเบาสบายขึ้น หากแผ่เมตตาแล้วรู้สึกหนักใจหรือเกลียดมากขึ้น นั่นอาจเป็นเพราะใจเรายังไม่พร้อม ให้กลับมาสงบจิตใจตัวเองก่อน เมื่อฝึกไปเรื่อยๆ ความโกรธหรือเกลียดที่มีต่อคนอื่นจะค่อยๆ ลดลงเอง โดยไม่ต้องเร่งรัด --- สรุป: แผ่เมตตาอย่างมีสุขเป็นทุน การแผ่เมตตาเริ่มต้นจาก การสร้างสุขในใจตัวเอง อย่าฝืนแผ่เมตตาให้คนที่เราเกลียดในทันที แต่ให้เริ่มจากการทำใจสงบ และแผ่เมตตาให้ตัวเองก่อน เมื่อทำบ่อยๆ ใจจะเริ่มปล่อยวางและรู้สึกเมตตาต่อผู้อื่นได้เองตามธรรมชาติ.
          0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 309 มุมมอง 0 รีวิว
        • อ่านเพิ่มเติม
          ⭕️เป็นทริปที่ประทับใจมากค่ะ ไกด์ก็น่ารักดูแลดีตลอดทริปค่ะ ⭕️ 💜 #รีวิว #REVIEW เส้นทาง #เวียดนาม #เมืองซาปา จากคุณแพรววนิดนะคะ💜 เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 67 - 2 ม.ค. 68 ที่ผ่านมานะคะ📍 ❤️ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ😘 อากาศในซาปา 🌲ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม): อากาศเย็นสบาย ท้องฟ้าสดใส ดอกไม้บาน ☀️ฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม): อากาศอบอุ่น เป็นช่วงที่นาขั้นบันไดเขียวชอุ่ม 🍂ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน): นาขั้นบันไดเป็นสีทอง อากาศแห้งและเย็น ❄️ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์): อากาศหนาวเย็น บางปีอาจมีหิมะ ดูทัวร์เวียดนามทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/32cd81 รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21ปี eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : 78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก 78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire 78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire 78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire 78s.me/d43626 Tiktok : 78s.me/903597 ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์เวียดนาม #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk
          0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 605 มุมมอง 0 รีวิว
        • อ่านเพิ่มเติม
          21/1/68 การต่อสายดิน หรือ การต่อลงดินคืออะไร? การต่อลงดินเป็นเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อร่างกายเข้ากับพื้นผิวโลกเพื่อให้สามารถถ่ายโอนอิเล็กตรอนจากโลกเข้าสู่ร่างกายได้ หากต้องการทำความเข้าใจว่าการต่อลงดินทำงานอย่างไร สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจบทบาทของอิเล็กตรอนในร่างกายมนุษย์เสียก่อน ดังนั้น เรามาเริ่มต้นที่ชั้นเรียนชีววิทยากันก่อน อิเล็กตรอนเป็นอนุภาคย่อยของอะตอมที่มีประจุลบ ซึ่งมีอยู่ในสสารทุกชนิด รวมทั้งร่างกายมนุษย์ด้วย อิเล็กตรอนมีบทบาทสำคัญในปฏิกิริยาทางชีวเคมี การผลิตพลังงาน และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อร่างกายสัมผัสกับมลพิษในสิ่งแวดล้อม สารพิษ และสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (EMF) ร่างกายอาจเกิดภาวะเครียดออกซิเดชัน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่ออนุมูลอิสระและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายไม่สมดุล อนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรซึ่งอาจทำให้เซลล์ โปรตีน และ DNA เสียหายได้ สารต้านอนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่สามารถทำให้อนุมูลอิสระเป็นกลางและป้องกันความเสียหายจากออกซิเดชันได้ พื้นผิวโลกมีประจุลบ ซึ่งหมายความว่ามีอิเล็กตรอนจำนวนมากที่สามารถถ่ายโอนไปยังร่างกายได้โดยการสัมผัสโดยตรงกับพื้นผิวโลกเมื่อร่างกายสัมผัสกับโลก อิเล็กตรอนจะไหลจากโลกเข้าสู่ร่างกาย ทำให้อนุมูลอิสระเป็นกลางและลดการอักเสบโดยพื้นฐานแล้ว พลังงานของโลกจะถูกใช้ในการรักษาตามธรรมชาติ
 เมื่อร่างกายถูกตัดขาดจากสนามไฟฟ้าของโลก อาจเกิดภาวะไฟฟ้าไม่สมดุล ซึ่งอาจนำไปสู่อาการอักเสบเรื้อรัง ความเจ็บปวด และระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ การต่อสายดินสามารถช่วยฟื้นฟูสมดุลไฟฟ้าตามธรรมชาติของร่างกาย และปรับปรุงสุขภาพและความเป็นอยู่โดยรวมให้ดีขึ้น วิทยาศาสตร์บอกอะไรเกี่ยวกับการต่อสายดิน การเชื่อมต่อกับโลกอาจฟังดูเป็นเรื่องลึกลับ แต่ว่ามันได้ผลจริงหรือไม่ มาดูทางวิทยาศาสตร์กันดีกว่า * การนอนหลับที่ดีขึ้น: การศึกษาวิจัยหนึ่งได้คัดเลือกผู้เข้าร่วม 60 คนที่มีปัญหาด้านการนอนหลับและปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ นักวิจัยให้ผู้เข้าร่วมนอนบนเสื่อรองดิน (ที่ต่อสายดินกับพื้นด้วยลวดทองแดง) หรือเสื่อรองนอนแบบหลอกเป็นเวลาหนึ่งเดือน ในกลุ่มทดลองที่ต่อสายดิน:  * 74% มีอาการปวดดีขึ้น (0% สำหรับกลุ่มควบคุม) * 78% รายงานว่าความเป็นอยู่โดยทั่วไปดีขึ้น (13% สำหรับกลุ่มควบคุม) * 82% มีอาการกล้ามเนื้อตึงและปวดน้อยลง (0% สำหรับกลุ่มควบคุม) * 85% ปรับปรุงเวลาในการนอนหลับ (13% สำหรับกลุ่มควบคุม) * 93% มีคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น (13% สำหรับกลุ่มควบคุม) * ตื่นมารู้สึกสดชื่น 100% (13% สำหรับควบคุม)

 * ลดอาการปวดและการอักเสบ: การศึกษาวิจัย ขนาดเล็กในปี 2010ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Alternative and Complementary Medicine พบว่าการกราวด์ช่วยลดเครื่องหมายของการอักเสบในร่างกาย ซึ่งรวมถึงโปรตีนซี-รีแอคทีฟ (CRP) ด้วย

 * ความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ (HRV)และระดับความเครียดที่ดีขึ้นการศึกษาแบบปกปิดสองชั้นในปี 2011ได้ให้ผู้เข้าร่วม 27 คนสัมผัสกับการต่อสายดิน ผลลัพธ์บ่งชี้ว่าการทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (การพักผ่อน การย่อยอาหาร การซ่อมแซม) เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในกลุ่มที่ได้รับการต่อสายดินเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมหลังจากช่วงเวลา 40 นาที ผู้เขียนเขียนว่า "การต่อสายดินทำให้ค่า HRV ดีขึ้น ซึ่งเกินกว่าการผ่อนคลายแบบธรรมดา"

 * การนอนหลับดีขึ้น ความเจ็บปวด อัตราการเต้นของหัวใจ และเลือดแข็งตัวมากเกินไปบทวิจารณ์ในปี 2012ในวารสารสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุขพบว่าการใช้สายดินอาจเป็น "กลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการต่อต้านความเครียดเรื้อรัง ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง การอักเสบ ความเจ็บปวด การนอนหลับไม่เพียงพอ อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ เลือดแข็งตัวมากเกินไป และความผิดปกติทางสุขภาพทั่วไปหลายอย่าง รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด"

 * ความเหนื่อยล้าลดลงการทดลองแบบสุ่มควบคุมในปี 2019วัดไบโอมาร์กเกอร์ของนักกายภาพบำบัด 16 คนในการทดลองแบบสุ่มควบคุมแบบปกปิดสองชั้นขณะที่พวกเขาถูกวางอยู่บนพื้นระหว่างทำงานและขณะนอนหลับ พบว่า "นักกายภาพบำบัดมีสมรรถภาพทางกายและพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และอาการเหนื่อยล้า อารมณ์ซึมเศร้า ความเหนื่อยล้า และความเจ็บปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่ถูกวางอยู่บนพื้นเมื่อเทียบกับตอนที่ไม่ได้ถูกวางอยู่บนพื้น"

 * การฟื้นฟูที่ดีขึ้นหลังการออกกำลังกายในการศึกษาวิจัยในปี 2015กลุ่มบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรงจำนวน 32 คนถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มที่เน้นการลงกราวด์และกลุ่มที่เน้นการลงกราวด์แบบแกล้งทำ หลังจากทำการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงโดยงอเข่าครึ่งข้าง 200 ครั้ง พบว่าระดับครีเอทีนไคเนสแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีระดับของมาร์กเกอร์การอักเสบที่สูงขึ้นในกลุ่มแกล้งทำ กลุ่มที่เน้นการลงกราวด์ยังแสดงให้เห็นระดับเกล็ดเลือดและนิวโทรฟิลที่สูงขึ้นในช่วงไม่กี่วันหลังการออกกำลังกาย การศึกษาวิจัยรายงานว่า "การลงกราวด์ช่วยลดการสูญเสีย CK จากกล้ามเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ว่ากล้ามเนื้อได้รับความเสียหายน้อยลง"

 * การสมานแผลดีขึ้นบทความ ในวารสาร Journal of Inflammation Research เมื่อปี 2014ได้รายงานเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างการลงกราวด์และการปรับปรุงไซโตไคน์ เซลล์เม็ดเลือดขาว และ “โมเลกุลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อการอักเสบ” ผู้เขียนกล่าวต่อไปว่า “การรักษาจะเร็วขึ้นมาก และสัญญาณหลักของการอักเสบจะลดลงหรือถูกกำจัดออกไป โปรไฟล์ของตัวบ่งชี้การอักเสบต่างๆ ในช่วงเวลาต่างๆ จะแตกต่างกันมากในบุคคลที่ลงกราวด์”

การต่อสายดินเป็นแนวทางปฏิบัติที่นิยมกันในการแข่งขันตูร์ เดอ ฟรองซ์ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ดูเหมือนจะก้าวหน้ากว่าด้วยวิทยาศาสตร์การกีฬา เสมอ นักปั่นหลายคนมักจะนำการต่อสายดินมาใช้ในชีวิตประจำวัน และนักปั่นที่เกิดบาดแผล รอยถลอก หรือถลอกจากอุบัติเหตุ จะใช้แผ่นต่อสายดินเหนือและใต้บาดแผลเพื่อให้แผลหายเร็วขึ้น

 * ความดันโลหิตลดลงการศึกษาวิจัยในปี 2018ได้ทำการศึกษากับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจำนวน 10 ราย ซึ่งทำการออกกำลังกายแบบกราวด์เป็นเวลา 10 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดังกล่าว ผู้เข้าร่วมทั้งหมดมีความดันโลหิตซิสโตลิกลดลง โดยลดลงตั้งแต่ 8.6% ถึง 22.7% และลดลงโดยเฉลี่ย 14.3% ภาพด้านล่างซึ่งถ่ายจากการศึกษาในปี 2020 นี้แสดงให้เห็นภาพผลลัพธ์ของการต่อสายดิน ภาพความร้อนแสดงให้เห็นผู้ป่วยที่มีอาการปวดเข่า โดยถ่ายห่างกันครึ่งชั่วโมง ก่อนและหลังการต่อสายดิน ภาพด้านซ้ายแสดงสีร้อนที่แสดงถึงความเสียหายของเนื้อเยื่อและการอักเสบในบริเวณหัวเข่า ภาพด้านขวาซึ่งถ่ายหลังจากต่อสายดิน แสดงให้เห็นการลดลงของการอักเสบอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ด้วยสีที่เย็นกว่า การต่อสายดินได้ผลหรือไม่? แม้ว่าจะมีหลักฐานมากมายที่สนับสนุน แต่การศึกษาเหล่านี้ไม่มีการศึกษาใดที่เหมาะสมที่สุด การศึกษาจำนวนมากขาดผู้เข้าร่วมจำนวนมากหรือการทดลองควบคุมแบบสุ่ม จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมอีกมากเพื่อพิจารณาว่าการต่อสายดินหรือการต่อสายดินได้ผลหรือไม่ แต่สามารถพูดได้อย่างปลอดภัยว่าแทบไม่มีข้อเสียเลย และควรทำการ ทดลอง n=1เพื่อค้นหาคำตอบด้วยตัวคุณเอง วิธีการต่อสายดินหรือกราวด์ ความสวยงามของการต่อสายดินอยู่ที่ความเรียบง่าย ไม่มีเทคนิคการต่อสายดินหรือโปรโตคอลการต่อสายดินที่เฉพาะเจาะจง คุณเพียงแค่ต้องสัมผัสกับพื้นโลก ซึ่งอาจเป็นการสัมผัสโดยตรงหรือผ่านพื้นผิวที่มีสภาพเป็นสื่อไฟฟ้า เช่น แผ่นต่อสายดินหรือรองเท้าเฉพาะ * เดินเท้าเปล่า การเดินเท้าเปล่าบนพื้นผิวดินตามธรรมชาติ เช่น หญ้า ทราย หรือดิน ถือเป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการต่อลงดิน วิธีนี้ช่วยให้สัมผัสกับพื้นผิวโลกโดยตรง และช่วยให้ร่างกายดูดซับประจุไฟฟ้าตามธรรมชาติของโลกได้
 * แผ่นกันดินการใช้แผ่นกันดิน แผ่น หรือแผ่นแปะที่เสียบลงดินเป็นวิธีที่สะดวกในการลงดินภายในอาคาร ถือเป็นแนวทางที่ดีหากคุณไม่สามารถเดินเท้าเปล่านอกบ้านได้อย่างสม่ำเสมอ ฉันยืนบนแผ่นกันดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก ราคาไม่แพง ขณะเขียนหนังสือ ซึ่งมีสายไฟที่ต่อเข้ากับรูที่สามของปลั๊กไฟ 3 ขาแบบมาตรฐานในเต้าเสียบ คุณสามารถเพิ่มขั้นตอนนี้ได้อีกโดยหาแผ่นกันดินที่ใหญ่กว่ามาปูรองนอน รองเท้าแตะ Earth Runners * รองเท้าที่มีคุณสมบัติเป็นสื่อไฟฟ้าการใช้รองเท้าที่มีคุณสมบัติเป็นสื่อไฟฟ้า เช่น รองเท้าที่มีแผ่นทองแดง เป็นอีกวิธีหนึ่งในการต่อสายดิน รองเท้าประเภทนี้ช่วยให้สัมผัสพื้นได้โดยตรง ซึ่งเหมาะมากเมื่ออากาศหนาวเย็นหรือเมื่อเดินเท้าเปล่าซึ่งไม่เหมาะสมต่อการเข้าสังคม ฉันจะสวมรองเท้าแตะ Earth Runner เป็นครั้งคราว ซึ่งมีสายทองแดงที่เชื่อมเท้าของคุณกับพื้น 
 พื้นผิวที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับการต่อสายดิน โดยทั่วไป พื้นผิวธรรมชาติ เช่น ดิน ทราย และหญ้า เหมาะที่สุดสำหรับการลงกราวด์ พื้นผิว เช่น คอนกรีต อาจไม่นำไฟฟ้าได้มากเท่า แต่ยังคงมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม พื้นผิวด้านล่างไม่นำไฟฟ้าได้ดี และจึงไม่มีประสิทธิภาพในการต่อลงดิน * ยางมะตอย * ไม้ * ไวนิล * พลาสติก * พรม * ยาง(รวมรองเท้า) คุณควรลงดินนานแค่ไหน? ปริมาณการต่อสายดินที่มีประสิทธิภาพขั้นต่ำอยู่ที่ประมาณ 20 นาที ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้ต่อสายดินวันละ 20-30 นาทีเพื่อดูประโยชน์ ในขณะที่บางคนสามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้เกือบจะทันที สิ่งที่ฉันทำ เป้าหมายของฉันคือการได้กราวด์อย่างน้อย 20 นาทีต่อวัน ในช่วงเดือนที่อากาศหนาวเย็น ฉันจะใช้แผ่นกราวด์ (ดังที่กล่าวข้างต้น) ซึ่งฉันจะวางไว้ใต้เท้าขณะเขียนบทความเหล่านี้ ในช่วงเดือนที่อากาศอบอุ่น ครอบครัวของเราใช้ประโยชน์จากสนามหญ้าอย่างเต็มที่ด้วยการใช้เวลาอยู่กลางแจ้งโดยไม่สวมรองเท้า (และมักจะไม่สวมถุงเท้าด้วย) นอกเหนือจากประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับจากการเดินเท้าเปล่าแล้ว เรายังถือว่าการเดินเท้าเปล่าเป็นเรื่องปกติทั้งในบ้านและนอกบ้านเมื่ออากาศดี การพัดใบไม้บนทางเท้าและทางเข้าบ้านเป็นครั้งคราวจะช่วยลดกิ่งไม้หรืออันตรายอื่นๆ ในบริเวณนั้นได้ บทสรุป โดยสรุป การต่อสายดินเป็นวิธีปฏิบัติง่ายๆ ที่เป็นธรรมชาติซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การเชื่อมต่อร่างกายของเรากับพื้นผิวโลกจะช่วยให้เราดูดซับประจุไฟฟ้าตามธรรมชาติของโลกได้ ซึ่งจะช่วยปรับสมดุลระบบไฟฟ้าของร่างกายและลดการอักเสบได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เรานอนหลับได้ดีขึ้น ความเครียดและความวิตกกังวลลดลง กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้ดีขึ้น พลังงานเพิ่มขึ้น และอื่นๆ อีกมากมาย มีหลายวิธีในการฝึกลงกราวด์หรือต่อสายดิน ตั้งแต่การเดินเท้าเปล่านอกบ้านบนพื้นผิวธรรมชาติไปจนถึงการใช้เสื่อหรือแผ่นลงกราวด์ที่เสียบปลั๊กลงดิน การเลือกพื้นผิวที่นำไฟฟ้าได้ เช่น หญ้า ดิน หรือทราย ถือเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากจะเสี่ยงต่อการโดนหินกระแทกเมื่อเหยียบลงบนหญ้าแล้ว ความเสี่ยงยังต่ำและยังมีข้อดีอีกมากมาย ดังนั้นควรถอดรองเท้าแล้วออกไปข้างนอก cr:MBD
          0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 625 มุมมอง 0 รีวิว
        Pages Boosts