• 'เจ๊ไฝ‘ มิชลิน 1 ดาว เขย่า 'ซอฟต์พาวเวอร์' ถึงเวลารัฐบาลต้องตาสว่าง
    .
    แม้'ภิญญา จุนสุตะ' หรือที่รู้จักกันในชื่อ 'เจ๊ไฝ' จะยืนยันว่ายังไม่คิดรีไทร์จากวงการอาหารในปี 2568 ตามที่มีข่าวออกมาก่อนหน้านี้ แต่ในถ้อยคำหนึ่งของการสัมภาษณ์จากเจ๊ไฝนั้นก็ยอมรับส่วนหนึ่งว่ามีความคิดที่ว่านั้นเช่นกัน
    .
    "เรื่องราวเกิดจากไปช่วยยูเอ็นหาเงินช่วยผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นงานใหญ่และมีทูตมาเยอะ โดยสิ่งแรกที่เขามาถามว่าอายุ 80 ปี แล้วยังไม่เลิกอีกเหรอ ก็ตอบไปแค่ว่า มันก็มีโครงการอยู่ในใจ มันก็เลยกลายเป็นเรื่องบานปลาย ที่บอกว่าจะเลิกนี่เลิกไม่ได้หรอก ยังมีงานที่ต่างประเทศรออยู่อีกเยอะ อย่างที่ฝรั่งเศสก็ยังต้องไป แล้วจะเลิกได้ยังไง มันยังติดพันกันอยู่" คำยืนยันจากเจ๊ไฝ
    .
    อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเจ๊ไฝจะยืนหน้าเตาทำอาหารต่อไป หรือหันหลังบอกลาวงการ ต้องยอมรับว่ามีผลต่อแวดวงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยพอสมควร ถึงขนาดที่แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องออกมาให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นกันเลยทีเดียว ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าพลังซอฟต์พาวเวอร์ที่แฝงอยู่ในตัวของเจ๊ไฝนั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน
    .
    กรณีของเจ๊ไฝนั้นถึงตอนนี้จะยังไม่รีไทร์ แต่ด้วยวัยเลยหลัก 80 ปีเข้าไปแล้ว หากจะประกาศวางมือก็คงไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด และอาจดูเป็นเรื่องตลกกับคำถามที่ว่ารัฐบาลมีแผนรองรับในอนาคตอย่างไรหากเจ๊ไฝเจ้าของรางวัลมิชลิน 1 ดาว 7 ปีติดต่อกันประกาศวางมือในอนาคต
    .
    ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ๊ไฝเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่เป็นแรงดึงดูดระดับซอฟต์พาวเวอร์ไทยที่ทำให้นักท่องเที่ยวและคนดังระดับโลกเดินทางมายังประเทศไทย ความนิยมในร้านเจ๊ไฝนั้นทำให้วงการอุตสาหกรรมผู้ประกอบการร้านอาหารไทยได้รับอานิสงส์ไปด้วย แต่ปัจจุบันด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการร้านอาหารสูงขึ้น ส่งผลให้ร้านอาหารไทยหลายร้านที่ไม่ได้ยืนอยู่จุดเดียวกับเจ๊ไฝล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก
    .
    โดยนอกเหนือไปจากต้นทุนการผลิตอาหารที่สูงขึ้นแล้ว พบว่าอีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญ คือ ทายาทที่จะมาสืบทอดกิจการต่อจากบรรพบุรุษ ซึ่งกรณีเจ๊ไฝก็เช่นเดียวกันที่ธุรกิจไม่ได้ส่งต่อไปยังทายาท ร้านอาหารชื่อดังระดับตำนานหลายร้านกำลังเผชิญกับปัญหานี้ หากคนรุ่นปัจจุบันที่ทำอยู่ไม่สามารถแบกภาระทั้งด้านต้นทุนและสังขารต่อไป ตำนานก็คงต้องปิดตัวลงเช่นกัน
    .
    'ร้านอาหาร' เมื่อเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวแล้ว จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่สำหรับบำบัดความหิวเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการเสพงานศิลป์และเรื่องราวเบื้องหลังของจานอาหารเหล่านั้นด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องนามธรรมที่สร้างสามารถมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล เหมือนกับที่ทุกวันนี้ได้เห็นนักท่องเที่ยวต่างศาสนาต่อแถวเข้าชมพุทธสถานหลายแห่งในประเทศไทยปีละหลายล้านคน ตรงนี้เองที่เรียกว่าซอฟต์พาวเวอร์ อันเป็นแรงดึงดูดให้หลายคนอยากเข้ามาประเทศไทย
    .
    อย่างที่ทราบกันดีว่าธุรกิจร้านอาหาร ถือเป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นได้ง่าย แต่การรักษาธุรกิจให้ตลอดรอดฝั่งนั้นทำได้ยาก หลายกิจการที่ยืนหยัดอยู่บนเส้นทางนี้ได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น ขณะที่ ภาครัฐเองก็ไม่ได้มีแนวทางที่ชัดเจนในจะช่วยให้ต้นทุนของธุรกิจนี้ลดลง
    .
    หรือสติปัญญาของรัฐบาลต่อนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ จะมีแค่เพียงการตั้งคณะกรรมการ 2 ชุดล่าสุด คือ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ โดยมี นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และ คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ที่มี นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานคณะที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการ ซึ่งมารับตำแหน่งเดิมที่นางสาวแพทองธารเคยทำงานในสมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เท่านั้น
    ..............
    Sondhi X
    'เจ๊ไฝ‘ มิชลิน 1 ดาว เขย่า 'ซอฟต์พาวเวอร์' ถึงเวลารัฐบาลต้องตาสว่าง . แม้'ภิญญา จุนสุตะ' หรือที่รู้จักกันในชื่อ 'เจ๊ไฝ' จะยืนยันว่ายังไม่คิดรีไทร์จากวงการอาหารในปี 2568 ตามที่มีข่าวออกมาก่อนหน้านี้ แต่ในถ้อยคำหนึ่งของการสัมภาษณ์จากเจ๊ไฝนั้นก็ยอมรับส่วนหนึ่งว่ามีความคิดที่ว่านั้นเช่นกัน . "เรื่องราวเกิดจากไปช่วยยูเอ็นหาเงินช่วยผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นงานใหญ่และมีทูตมาเยอะ โดยสิ่งแรกที่เขามาถามว่าอายุ 80 ปี แล้วยังไม่เลิกอีกเหรอ ก็ตอบไปแค่ว่า มันก็มีโครงการอยู่ในใจ มันก็เลยกลายเป็นเรื่องบานปลาย ที่บอกว่าจะเลิกนี่เลิกไม่ได้หรอก ยังมีงานที่ต่างประเทศรออยู่อีกเยอะ อย่างที่ฝรั่งเศสก็ยังต้องไป แล้วจะเลิกได้ยังไง มันยังติดพันกันอยู่" คำยืนยันจากเจ๊ไฝ . อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเจ๊ไฝจะยืนหน้าเตาทำอาหารต่อไป หรือหันหลังบอกลาวงการ ต้องยอมรับว่ามีผลต่อแวดวงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยพอสมควร ถึงขนาดที่แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องออกมาให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นกันเลยทีเดียว ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าพลังซอฟต์พาวเวอร์ที่แฝงอยู่ในตัวของเจ๊ไฝนั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน . กรณีของเจ๊ไฝนั้นถึงตอนนี้จะยังไม่รีไทร์ แต่ด้วยวัยเลยหลัก 80 ปีเข้าไปแล้ว หากจะประกาศวางมือก็คงไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด และอาจดูเป็นเรื่องตลกกับคำถามที่ว่ารัฐบาลมีแผนรองรับในอนาคตอย่างไรหากเจ๊ไฝเจ้าของรางวัลมิชลิน 1 ดาว 7 ปีติดต่อกันประกาศวางมือในอนาคต . ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ๊ไฝเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่เป็นแรงดึงดูดระดับซอฟต์พาวเวอร์ไทยที่ทำให้นักท่องเที่ยวและคนดังระดับโลกเดินทางมายังประเทศไทย ความนิยมในร้านเจ๊ไฝนั้นทำให้วงการอุตสาหกรรมผู้ประกอบการร้านอาหารไทยได้รับอานิสงส์ไปด้วย แต่ปัจจุบันด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการร้านอาหารสูงขึ้น ส่งผลให้ร้านอาหารไทยหลายร้านที่ไม่ได้ยืนอยู่จุดเดียวกับเจ๊ไฝล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก . โดยนอกเหนือไปจากต้นทุนการผลิตอาหารที่สูงขึ้นแล้ว พบว่าอีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญ คือ ทายาทที่จะมาสืบทอดกิจการต่อจากบรรพบุรุษ ซึ่งกรณีเจ๊ไฝก็เช่นเดียวกันที่ธุรกิจไม่ได้ส่งต่อไปยังทายาท ร้านอาหารชื่อดังระดับตำนานหลายร้านกำลังเผชิญกับปัญหานี้ หากคนรุ่นปัจจุบันที่ทำอยู่ไม่สามารถแบกภาระทั้งด้านต้นทุนและสังขารต่อไป ตำนานก็คงต้องปิดตัวลงเช่นกัน . 'ร้านอาหาร' เมื่อเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวแล้ว จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่สำหรับบำบัดความหิวเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการเสพงานศิลป์และเรื่องราวเบื้องหลังของจานอาหารเหล่านั้นด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องนามธรรมที่สร้างสามารถมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล เหมือนกับที่ทุกวันนี้ได้เห็นนักท่องเที่ยวต่างศาสนาต่อแถวเข้าชมพุทธสถานหลายแห่งในประเทศไทยปีละหลายล้านคน ตรงนี้เองที่เรียกว่าซอฟต์พาวเวอร์ อันเป็นแรงดึงดูดให้หลายคนอยากเข้ามาประเทศไทย . อย่างที่ทราบกันดีว่าธุรกิจร้านอาหาร ถือเป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นได้ง่าย แต่การรักษาธุรกิจให้ตลอดรอดฝั่งนั้นทำได้ยาก หลายกิจการที่ยืนหยัดอยู่บนเส้นทางนี้ได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น ขณะที่ ภาครัฐเองก็ไม่ได้มีแนวทางที่ชัดเจนในจะช่วยให้ต้นทุนของธุรกิจนี้ลดลง . หรือสติปัญญาของรัฐบาลต่อนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ จะมีแค่เพียงการตั้งคณะกรรมการ 2 ชุดล่าสุด คือ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ โดยมี นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และ คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ที่มี นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานคณะที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการ ซึ่งมารับตำแหน่งเดิมที่นางสาวแพทองธารเคยทำงานในสมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เท่านั้น .............. Sondhi X
    Like
    Yay
    11
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1045 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้องขอพูดถึงร้านอาหารตามสั่งดีกรีมิชลินสตาร์กันก่อน กับ ร้านเจ๊ไฝ โอ๊ยยย แม้เรื่องราคาก็ไม่อยากพูดถึงสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเรื่องวัตถุดิบคุณภาพเจ๊ไฝแกขอสู้ตาย ปูเป็นปู กุ้งเป็นกุ้ง แต่ละอย่างชิ้นใหญ่เกินคำ ใครที่เคยไปลองอาหารตามสั่งของที่นี่ จะรู้กันเป็นอย่างดีว่า มันคุ้ม และฟินแค่ไหน แนะนำว่าให้จองล่วงหน้าก่อนไป เผื่อคิวเต็มจะได้ไม่นกนะจ๊ะ

    พิกัด : goo.gl/maps/6obDtjbKhWbAf7hTA
    ที่อยู่ : แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ (ประตูผี)
    ร้านเปิดบริการ : 13.30-24.00 น. (ปิดวันอาทิตย์-จันทร์)
    โทร : 09-2724-9633

    #อาหารปิดดึก #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    ต้องขอพูดถึงร้านอาหารตามสั่งดีกรีมิชลินสตาร์กันก่อน กับ ร้านเจ๊ไฝ โอ๊ยยย แม้เรื่องราคาก็ไม่อยากพูดถึงสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเรื่องวัตถุดิบคุณภาพเจ๊ไฝแกขอสู้ตาย ปูเป็นปู กุ้งเป็นกุ้ง แต่ละอย่างชิ้นใหญ่เกินคำ ใครที่เคยไปลองอาหารตามสั่งของที่นี่ จะรู้กันเป็นอย่างดีว่า มันคุ้ม และฟินแค่ไหน แนะนำว่าให้จองล่วงหน้าก่อนไป เผื่อคิวเต็มจะได้ไม่นกนะจ๊ะ พิกัด : goo.gl/maps/6obDtjbKhWbAf7hTA ที่อยู่ : แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ (ประตูผี) ร้านเปิดบริการ : 13.30-24.00 น. (ปิดวันอาทิตย์-จันทร์) โทร : 09-2724-9633 #อาหารปิดดึก #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 693 มุมมอง 0 รีวิว
  • 18/10/67


    บทควาทของ
    คุณวินทร์ เลียววาริณ
    เป็นอีกแง่คิดที่น่าสนใจครับ

    ผมเกิดในยุคจอมพล ป. โตในยุคจอมพลสฤษดิ์และจอมพลถนอม สโลแกนของรัฐบาลตอนนั้นคือ "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข"

    ยุคนั้นยังไม่มีประชานิยมแบบสมัยนี้ ใครอยากมีเงินก็ต้องทำงาน

    มองซ้ายมองขวา ก็เห็นแต่คนทำงาน

    ปัจจุบันผมมองซ้ายมองขวา เห็นแต่แรงงานต่างชาติ พม่าบ้าง เขมรบ้าง

    ผมเคยถามเพื่อนว่า "คนไทยหายไปไหนหมด?" คำตอบคือ "ไปค้ายา เล่นหวย กับรอเงินแจก"

    เชื่อว่าเป็นคำตอบแบบกวนตีนเล่น คงไม่จริงหรอกน่า

    ครั้นมองซ้ายเห็นคนขับแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยคนไทย รับแต่คนต่างชาติ เพื่อที่จะโขกสับค่าโดยสาร มองขวาเห็นคนรอรับเงิน ดิจิตัล วอลเล็ต มองบนเห็นคนจะเฉือนป่ามาแบ่งกัน มองล่างเห็นคนสนับสนุนให้สร้างบ่อน ก็เริ่มเห็นว่าบางทีเพื่อนผมไม่ได้ตอบแบบกวนตีน

    เราก้าวจากสังคม "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" มาเป็น "ไม่ต้องทำงานก็บันดาลสุข" แล้วหรือนี่? จริงหรือนี่?

    เวลาผมเขียนต่อต้านการสร้างบ่อน มักจะมีคำแย้งหนึ่งเสมอว่า การพนันเป็นส่วนหนึ่งของคนไทย หนีไม่พ้นหรอก และในเมื่อหนีไม่พ้น ก็ควรหาเงินเข้ารัฐ

    นี่เป็นวิธีมองมุมหนึ่ง

    แต่ผมไม่ได้มองที่เงิน ผมมองที่สิ่งมีค่ากว่าเงินล้านเท่า ผมมองที่อนาคตของประเทศอีก 20 ปี 30 ปี 50 ปีข้างหน้า

    นี่ก็คือวิธีมองเดียวกับที่เมื่อผมชี้ว่า การท่องเที่ยวไม่ใช่คำตอบของประเทศ อย่าพึ่งแต่การท่องเที่ยว

    เมืองไทยในยุคจอมพล ป. จอมพลสฤษดิ์ และจอมพลถนอมยังเล็กอยู่ เราอยู่กันเองได้ แต่เมืองไทยตอนนี้ คิดอย่างนั้นไม่ได้แล้ว คู่แข่งของเราไม่ใช่ร้านเจ๊จูหน้าบ้าน ร้านเจ๊กก๊กหลังบ้าน แต่คือคนทั้งโลก

    ถ้าเราบริหารประเทศไม่เป็น ต่อให้มีทรัพยากรธรรมชาติล้นเหลือ ก็กลายเป็น failed state ได้ง่ายๆ

    และเครื่องมือเดียวของทุกชาติไม่ใช่ทรัพยากรธรรมชาติ แต่คือคน

    คนไม่มีคุณภาพ ชาติพังอย่างเดียว

    เมืองไทยเรามีทางหาเงินได้มากมาย เราแค่ขี้เกียจเท่านั้น อยากทำอะไรง่ายๆ ได้เงินเร็วๆ ได้เงินมากๆ

    เราจึงไปหมกตัวที่ตลาดหุ้น บ่อน คอร์รัปชั่นอยู่ในสายเลือดของเรา

    สิ่งเลวร้ายที่สุดของคนไทยคือความโลภ มันก่อให้เกิดคอร์รัปชั่น ทุจริตเชิงนโยบาย ฯลฯ

    มันทำลายทุกอย่าง เพราะเราปลูกฝังความโลภเข้าไปในกมลสันดาน ลอกออกยาก

    เงินเท่าไรก็ไม่มีวันพอ

    สิ่งที่ได้จากบ่อนคือเงิน แต่สิ่งที่เสียไปคือคน

    การสร้างบ่อนก็คือการใช้ทรัพยากรคนไปทำเรื่องไร้ประโยชน์ แค่เม็ดเงินนิดหน่อยที่เราหลอกตัวเองว่านำไปพัฒนาชาติ

    มันทำลายคุณภาพคนต่างหาก

    หากเราไม่เริ่มสร้างคนที่มีคุณภาพตั้งแต่วันนี้ สร้างคนที่มีความรู้ คิดเป็น วิเคราะห์เป็น มีความคิดสร้างสรรค์ เราตายแน่นอน

    มองดูระบบการศึกษา เราได้ยินแต่เสียงว่า "ข้อสอบยากไป" "เรียนไปทำไม" "ชั่วโมงยาวไป" ฯลฯ

    เมืองไทยจะหวังแต่สร้างหมอนวดเท้านักท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องสร้างความหลากหลายของวิชาชีพ เราต้องคิดนำโลก ไม่ใช่ตามโลกอย่างเดียว

    ทำได้จริงหรือ?

    ดูไต้หวันเป็นตัวอย่าง ไต้หวันเป็นแหล่งผลิตชิพที่ใหญ่ที่สุดในโลก อุตสาหกรรมนี้ไม่เพียงสร้างเงิน มันยังรับประกันเอกราชของชาติ หากมีการบุกจากจีน เพราะชาติใหญ่ๆ ต้องการชิพ

    ลองคิดดูว่าหากไต้หวันสร้างบ่อนทั่วประเทศแทนสร้างโรงงานผลิตชิพ ประเทศนั้นจะเป็นอย่างไร

    เราคิดแต่เรื่องเงิน เงิน เงิน แต่เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ คนต่างหากที่สำคัญที่สุด

    ขณะที่เราพยายามดูดนักท่องเที่ยวให้มากที่สุด หลายประเทศเริ่มหาทางลดนักท่องเที่ยวแล้ว เพราะ mass tourism ทำลายประเทศ

    ดังนั้นเวลาพูดถึงสร้างบ่อน มันจึงเป็นเรื่องกว้างกว่าบ่อนหลายปีแสง มันไม่ใช่เรื่องเงินอยู่ใต้ดินหรือบนดิน ถ้ามองตรงนี้ไม่ออก ก็จบข่าว

    เราไม่สามารถมองอะไรไกลเกินสี่ปีเลือกตั้ง ทั้งที่ในโลกทุกวันนี้ เราต้องมองไปสามสิบปีล่วงหน้าแล้ว

    ประเทศที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่ประเทศที่รวยที่สุด แต่เป็นประเทศที่คนมีปัญญาที่สุด และปัญญาทำให้มีความสุข

    ได้โปรดเถอะ หยุดคิดแต่เรื่องเงินสักครู่ได้ไหม

    คิดถึงอนาคตของลูกหลานบ้างเถอะ

    วินทร์ เลียววาริณ
    18 กันยายน 2567
    18/10/67 บทควาทของ คุณวินทร์ เลียววาริณ เป็นอีกแง่คิดที่น่าสนใจครับ ผมเกิดในยุคจอมพล ป. โตในยุคจอมพลสฤษดิ์และจอมพลถนอม สโลแกนของรัฐบาลตอนนั้นคือ "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" ยุคนั้นยังไม่มีประชานิยมแบบสมัยนี้ ใครอยากมีเงินก็ต้องทำงาน มองซ้ายมองขวา ก็เห็นแต่คนทำงาน ปัจจุบันผมมองซ้ายมองขวา เห็นแต่แรงงานต่างชาติ พม่าบ้าง เขมรบ้าง ผมเคยถามเพื่อนว่า "คนไทยหายไปไหนหมด?" คำตอบคือ "ไปค้ายา เล่นหวย กับรอเงินแจก" เชื่อว่าเป็นคำตอบแบบกวนตีนเล่น คงไม่จริงหรอกน่า ครั้นมองซ้ายเห็นคนขับแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยคนไทย รับแต่คนต่างชาติ เพื่อที่จะโขกสับค่าโดยสาร มองขวาเห็นคนรอรับเงิน ดิจิตัล วอลเล็ต มองบนเห็นคนจะเฉือนป่ามาแบ่งกัน มองล่างเห็นคนสนับสนุนให้สร้างบ่อน ก็เริ่มเห็นว่าบางทีเพื่อนผมไม่ได้ตอบแบบกวนตีน เราก้าวจากสังคม "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" มาเป็น "ไม่ต้องทำงานก็บันดาลสุข" แล้วหรือนี่? จริงหรือนี่? เวลาผมเขียนต่อต้านการสร้างบ่อน มักจะมีคำแย้งหนึ่งเสมอว่า การพนันเป็นส่วนหนึ่งของคนไทย หนีไม่พ้นหรอก และในเมื่อหนีไม่พ้น ก็ควรหาเงินเข้ารัฐ นี่เป็นวิธีมองมุมหนึ่ง แต่ผมไม่ได้มองที่เงิน ผมมองที่สิ่งมีค่ากว่าเงินล้านเท่า ผมมองที่อนาคตของประเทศอีก 20 ปี 30 ปี 50 ปีข้างหน้า นี่ก็คือวิธีมองเดียวกับที่เมื่อผมชี้ว่า การท่องเที่ยวไม่ใช่คำตอบของประเทศ อย่าพึ่งแต่การท่องเที่ยว เมืองไทยในยุคจอมพล ป. จอมพลสฤษดิ์ และจอมพลถนอมยังเล็กอยู่ เราอยู่กันเองได้ แต่เมืองไทยตอนนี้ คิดอย่างนั้นไม่ได้แล้ว คู่แข่งของเราไม่ใช่ร้านเจ๊จูหน้าบ้าน ร้านเจ๊กก๊กหลังบ้าน แต่คือคนทั้งโลก ถ้าเราบริหารประเทศไม่เป็น ต่อให้มีทรัพยากรธรรมชาติล้นเหลือ ก็กลายเป็น failed state ได้ง่ายๆ และเครื่องมือเดียวของทุกชาติไม่ใช่ทรัพยากรธรรมชาติ แต่คือคน คนไม่มีคุณภาพ ชาติพังอย่างเดียว เมืองไทยเรามีทางหาเงินได้มากมาย เราแค่ขี้เกียจเท่านั้น อยากทำอะไรง่ายๆ ได้เงินเร็วๆ ได้เงินมากๆ เราจึงไปหมกตัวที่ตลาดหุ้น บ่อน คอร์รัปชั่นอยู่ในสายเลือดของเรา สิ่งเลวร้ายที่สุดของคนไทยคือความโลภ มันก่อให้เกิดคอร์รัปชั่น ทุจริตเชิงนโยบาย ฯลฯ มันทำลายทุกอย่าง เพราะเราปลูกฝังความโลภเข้าไปในกมลสันดาน ลอกออกยาก เงินเท่าไรก็ไม่มีวันพอ สิ่งที่ได้จากบ่อนคือเงิน แต่สิ่งที่เสียไปคือคน การสร้างบ่อนก็คือการใช้ทรัพยากรคนไปทำเรื่องไร้ประโยชน์ แค่เม็ดเงินนิดหน่อยที่เราหลอกตัวเองว่านำไปพัฒนาชาติ มันทำลายคุณภาพคนต่างหาก หากเราไม่เริ่มสร้างคนที่มีคุณภาพตั้งแต่วันนี้ สร้างคนที่มีความรู้ คิดเป็น วิเคราะห์เป็น มีความคิดสร้างสรรค์ เราตายแน่นอน มองดูระบบการศึกษา เราได้ยินแต่เสียงว่า "ข้อสอบยากไป" "เรียนไปทำไม" "ชั่วโมงยาวไป" ฯลฯ เมืองไทยจะหวังแต่สร้างหมอนวดเท้านักท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องสร้างความหลากหลายของวิชาชีพ เราต้องคิดนำโลก ไม่ใช่ตามโลกอย่างเดียว ทำได้จริงหรือ? ดูไต้หวันเป็นตัวอย่าง ไต้หวันเป็นแหล่งผลิตชิพที่ใหญ่ที่สุดในโลก อุตสาหกรรมนี้ไม่เพียงสร้างเงิน มันยังรับประกันเอกราชของชาติ หากมีการบุกจากจีน เพราะชาติใหญ่ๆ ต้องการชิพ ลองคิดดูว่าหากไต้หวันสร้างบ่อนทั่วประเทศแทนสร้างโรงงานผลิตชิพ ประเทศนั้นจะเป็นอย่างไร เราคิดแต่เรื่องเงิน เงิน เงิน แต่เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ คนต่างหากที่สำคัญที่สุด ขณะที่เราพยายามดูดนักท่องเที่ยวให้มากที่สุด หลายประเทศเริ่มหาทางลดนักท่องเที่ยวแล้ว เพราะ mass tourism ทำลายประเทศ ดังนั้นเวลาพูดถึงสร้างบ่อน มันจึงเป็นเรื่องกว้างกว่าบ่อนหลายปีแสง มันไม่ใช่เรื่องเงินอยู่ใต้ดินหรือบนดิน ถ้ามองตรงนี้ไม่ออก ก็จบข่าว เราไม่สามารถมองอะไรไกลเกินสี่ปีเลือกตั้ง ทั้งที่ในโลกทุกวันนี้ เราต้องมองไปสามสิบปีล่วงหน้าแล้ว ประเทศที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่ประเทศที่รวยที่สุด แต่เป็นประเทศที่คนมีปัญญาที่สุด และปัญญาทำให้มีความสุข ได้โปรดเถอะ หยุดคิดแต่เรื่องเงินสักครู่ได้ไหม คิดถึงอนาคตของลูกหลานบ้างเถอะ วินทร์ เลียววาริณ 18 กันยายน 2567
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฝากถึงใครที่จะทำอาหารเจขายในช่วงเทศกาล

    ขอให้เน้นประโยชน์และความสะอาด ความปลอดภัยจากสารเคมีสิ่งเจือปนต่างๆ ให้เป็นลำดับต้นก่อนเรื่องของรสชาติเถิด

    ปรุงแต่พอประมาณ อย่าถึงกับให้คนกินไปแล้ว ทำลายสุขภาพและอวัยวะ ระบบการทำงานต่าง ๆ ในระยะยาวเลย เพราะเงินกำไรที่ท่านได้ไปนั้นมันคือหนี้ที่ต้องไปใช้คืนลูกค้าทั้งหลายภายหลัง

    ยิ่งโลภ ยิ่งกอบโกยมาก ขายแค่ 9-10 วัน ฟันกำไรเป็นล้าน ยิ่งหนี้บาน

    ขายย่อมเยาให้คนเขาได้ซื้อกินได้ไม่ลำบากเถิด จะเกิดคุณกับตน

    คนที่ขูดรีดมาก ๆ นั้น ได้เงินเยอะไปแต่ก็ไม่ค่อยได้มีชีวิตยาวอยู่ใช้เงินที่หาสะสมไว้ ส่วนใหญ่มักตายก่อนแล้วให้ลูกหลานช่วยผลาญแทน เรื่องจริงที่พบเจอมามักเป็นเช่นนี้

    #thaitimes
    #เทศกาลกินเจ
    #เจ
    #กินเจ
    #ข้อคิด
    #แง่คิด
    #อาหารเจ
    #พ่อค้า
    #แม่ค้า
    #ร้านเจ
    #บทกวี
    #กลอน
    #ท่านจันทร์
    #รักธรรมะ
    ฝากถึงใครที่จะทำอาหารเจขายในช่วงเทศกาล ขอให้เน้นประโยชน์และความสะอาด ความปลอดภัยจากสารเคมีสิ่งเจือปนต่างๆ ให้เป็นลำดับต้นก่อนเรื่องของรสชาติเถิด ปรุงแต่พอประมาณ อย่าถึงกับให้คนกินไปแล้ว ทำลายสุขภาพและอวัยวะ ระบบการทำงานต่าง ๆ ในระยะยาวเลย เพราะเงินกำไรที่ท่านได้ไปนั้นมันคือหนี้ที่ต้องไปใช้คืนลูกค้าทั้งหลายภายหลัง ยิ่งโลภ ยิ่งกอบโกยมาก ขายแค่ 9-10 วัน ฟันกำไรเป็นล้าน ยิ่งหนี้บาน ขายย่อมเยาให้คนเขาได้ซื้อกินได้ไม่ลำบากเถิด จะเกิดคุณกับตน คนที่ขูดรีดมาก ๆ นั้น ได้เงินเยอะไปแต่ก็ไม่ค่อยได้มีชีวิตยาวอยู่ใช้เงินที่หาสะสมไว้ ส่วนใหญ่มักตายก่อนแล้วให้ลูกหลานช่วยผลาญแทน เรื่องจริงที่พบเจอมามักเป็นเช่นนี้ #thaitimes #เทศกาลกินเจ #เจ #กินเจ #ข้อคิด #แง่คิด #อาหารเจ #พ่อค้า #แม่ค้า #ร้านเจ #บทกวี #กลอน #ท่านจันทร์ #รักธรรมะ
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 725 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทองคำ..

    ทองคำแท้..หมายถึงทองคำที่มีเปอร์เซ็นต์ความบริสุทธิ์สูง ได้แก่..

    ทองคำ 96.5% (23k) หมายความว่ามีธาตุอื่น ๆ เจือปนในขั้นตอนการผลิตไม่เกิน 3.5%

    ทองคำ 99.9% (24k) หมายความว่ามีทองคำบริสุทธิ์อยู่จริงๆ 99.9% ส่วนที่เหลืออีก 0.1% คือส่วนประกอบอื่นๆ

    ปกติแล้วตามมาตรฐานทองคำเมืองไทยจะอยู่ที่ 96.5 % ทองคำ 99.9% ส่วนใหญ่จะเป็นมาตรฐานของราคาทองคำในต่างประเทศ

    ทองคำเปอร์เซ็นต์ต่ำ..หรือที่รู้จักกันในชื่อ ทองเค ทองเขียว หมายถึงทองที่มีเปอร์เซ็นต์ความบริสุทธิ์ต่ำกว่า 96.5% ลงไป หรือมีธาตุอื่น ๆ “ผสมเกินกว่า 3.5%”

    ดังนั้นราคาขายของทองเปอร์เซ็นต์ต่ำจะไม่สูงเทียบเท่ากับทองคำแท้ เนื่องจากความบริสุทธิ์ของทองที่ค่อนข้างต่ำ

    แต่ก็สามารถนำไปขายหรือจำนำที่ร้านทองได้ โดยราคานั้นอาจจะมีการผันผวนตามรูปลักษณ์ภายนอก

    แต่ในกรณีที่ทองมีความบริสุทธิ์ต่ำผสมธาตุอื่นๆมากเกินไปถึงแม้จะเรียกได้ว่าเป็นทองแท้ แต่ทางร้านก็จะไม่รับซื้อ

    สร้อย แหวน จี้ ฯลฯ ส่วนมากจะใช้ทองคำ 96.5% เพราะมันแข็งแรงกว่าทองคำ 99.99% ที่มันนิ่ม

    เราจึงขออนุมานว่า..ร้านเจ๊ตั๊กไม่ได้ขายทอง 99.99%

    ฉะนั้น..การระบุในใบซื้อขาย หรือพูดด้วยวาจาว่าเป็นทองคำแท้ 99.99% แล้วถ้าตรวจออกมาแล้วไม่ใช่ทอง 99.99% = คุก

    ถึงแม้จะรับซื้อคืน #แต่ความผิดสำเร็จแล้ว เพราะตัวเองย่อมรู้แก่ใจดีว่าทองที่จำหน่ายไปนั้นเป็นทองกี่%

    @เล้ง โอภาสี
    ทองคำ.. ทองคำแท้..หมายถึงทองคำที่มีเปอร์เซ็นต์ความบริสุทธิ์สูง ได้แก่.. ทองคำ 96.5% (23k) หมายความว่ามีธาตุอื่น ๆ เจือปนในขั้นตอนการผลิตไม่เกิน 3.5% ทองคำ 99.9% (24k) หมายความว่ามีทองคำบริสุทธิ์อยู่จริงๆ 99.9% ส่วนที่เหลืออีก 0.1% คือส่วนประกอบอื่นๆ ปกติแล้วตามมาตรฐานทองคำเมืองไทยจะอยู่ที่ 96.5 % ทองคำ 99.9% ส่วนใหญ่จะเป็นมาตรฐานของราคาทองคำในต่างประเทศ ทองคำเปอร์เซ็นต์ต่ำ..หรือที่รู้จักกันในชื่อ ทองเค ทองเขียว หมายถึงทองที่มีเปอร์เซ็นต์ความบริสุทธิ์ต่ำกว่า 96.5% ลงไป หรือมีธาตุอื่น ๆ “ผสมเกินกว่า 3.5%” ดังนั้นราคาขายของทองเปอร์เซ็นต์ต่ำจะไม่สูงเทียบเท่ากับทองคำแท้ เนื่องจากความบริสุทธิ์ของทองที่ค่อนข้างต่ำ แต่ก็สามารถนำไปขายหรือจำนำที่ร้านทองได้ โดยราคานั้นอาจจะมีการผันผวนตามรูปลักษณ์ภายนอก แต่ในกรณีที่ทองมีความบริสุทธิ์ต่ำผสมธาตุอื่นๆมากเกินไปถึงแม้จะเรียกได้ว่าเป็นทองแท้ แต่ทางร้านก็จะไม่รับซื้อ สร้อย แหวน จี้ ฯลฯ ส่วนมากจะใช้ทองคำ 96.5% เพราะมันแข็งแรงกว่าทองคำ 99.99% ที่มันนิ่ม เราจึงขออนุมานว่า..ร้านเจ๊ตั๊กไม่ได้ขายทอง 99.99% ฉะนั้น..การระบุในใบซื้อขาย หรือพูดด้วยวาจาว่าเป็นทองคำแท้ 99.99% แล้วถ้าตรวจออกมาแล้วไม่ใช่ทอง 99.99% = คุก ถึงแม้จะรับซื้อคืน #แต่ความผิดสำเร็จแล้ว เพราะตัวเองย่อมรู้แก่ใจดีว่าทองที่จำหน่ายไปนั้นเป็นทองกี่% @เล้ง โอภาสี
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • เป็ดพะโล้นายหนับ ตลาดน้ำดอนหวาย ร้านนี้สังเกตหน้าร้านง่ายๆ จะมีหม้อเป็ดพะโล้หม้อใหญ่มากตั้งอยู่ เป็นอีกหนึ่งร้านเจ้าดังประจำตลาดดอนหวายเช่นกัน เป็ดที่นี้จะมีความนุ่มมาก และไม่มีกลิ่นคาวเช่นกัน ส่วนน้ำพะโล้ที่ร้านจะมีรสชาติเค็มนำหวานตาม บอกเลยว่ากลมกล่อมสุดๆ

    พิกัด : https://goo.gl/maps/8K4YxqujAjyWLVRA8
    ที่อยู่ : ตลาดน้ำดอนหวาย ถนนไร่ขิง-ดอนหวาย ตำบลบางกระทึก อำเภอสามพราน นครปฐม
    ร้านเปิดบริการ : 07.00 - 16.00 น. (หยุดวันจันทร์)
    โทร : 0-3439-3645
    เป็ดพะโล้นายหนับ ตลาดน้ำดอนหวาย ร้านนี้สังเกตหน้าร้านง่ายๆ จะมีหม้อเป็ดพะโล้หม้อใหญ่มากตั้งอยู่ เป็นอีกหนึ่งร้านเจ้าดังประจำตลาดดอนหวายเช่นกัน เป็ดที่นี้จะมีความนุ่มมาก และไม่มีกลิ่นคาวเช่นกัน ส่วนน้ำพะโล้ที่ร้านจะมีรสชาติเค็มนำหวานตาม บอกเลยว่ากลมกล่อมสุดๆ พิกัด : https://goo.gl/maps/8K4YxqujAjyWLVRA8 ที่อยู่ : ตลาดน้ำดอนหวาย ถนนไร่ขิง-ดอนหวาย ตำบลบางกระทึก อำเภอสามพราน นครปฐม ร้านเปิดบริการ : 07.00 - 16.00 น. (หยุดวันจันทร์) โทร : 0-3439-3645
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 308 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เลื่อนร้านค้าลงทะเบียนไม่เลื่อนได้ไงไม่มีอะไรเสร็จจริงซักอย่าง
    หลังจากที่รัฐบาลได้ยื่นให้คณะรัฐมนตรี ลงมติว่าจะทำดิจิตอลวอลเลท
    ได้คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัต "หลักการ"
    หากตามขั้นตอน ต้องมีการยื่นเมื่อขอมติในเชิง วิธีการ ขั้นตอน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำจนเสร็จสิ้นกระบวนการ
    ...แต่ปรากฏว่า รัฐบาลได้สั่งดำเนินการจัดสร้างแอพ รวมถึงให้ประชาชนทำการสมัครลงทะเบียนผ่านแอพที่เอกชนได้เป็นผู้รับจ้าง โดยย้ำว่า ทั้งหมดนี้ เป็นการทำโดยพละการ ไม่ได้ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และอย่าว่าผ่านมติรัฐมนตรีเลย แค่คณะวางแผนยังไม่สเด็ดน้ำกันเลย เปลี่ยนกันได้วันต่อวัน
    ...เมื่อสืบต่อจะทราบ ว่ายังไม่มีการคอนเนคใดๆกับธนาคารพาณิชย์ ที่ท้ายที่สุดต้องมีการเชื่อมต่อกับธนาคารต่างๆ
    ...ยังไม่รวมไปถึง ที่มาขอการใช้งบ ที่มีสภาวะคลุมเคลือ แต่สุดท้าย มีคนจับได้ว่าจะนำเงินฉุกเฉินของชาติ ที่ปกติจะต้องมีสำรองสำหรับปัญหาฉุกเฉินจริงๆ หรือเรื่องของการนำงบก้อนนี้ไปอยู่ในงบที่ผิดประเภท เอาง่ายๆว่า จะเอาเงินมาจากตรงไหนนั้น ส่วนนี้ ก็ยังไม่มีมติจากคณะรัฐมนตรีเช่นกัน
    ...พอมาดูเรื่องของระบบการทำงานของแอพ ที่หลายคนไม่รู้ ว่ากระบวนการจ้างเอกชน เข้ามาดำเนินการ ยังมีอีกบางส่วน ที่ขณะนี้เองก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะให้ใครมารับผิดชอบ หรือรับงานส่วนนี้
    ...พี่คิงส์โพธิ์แดง ยิ่งรับรู้ก็ยิ่งงง ว่าโดยปกติ ทุกอย่างมันต้องทำเสร็จสำเร็จ พร้อมแล้ว จึงให้ประชาชนลงทะเบียน แต่ครั้งนี้ ยังไม่มีอะไรเสร็จซักอย่าง แต่กลับให้ประชาชนเร่งลงทะเบียน อย่างรวดเร็ว
    โดยมีคำถามว่า ขั้นตอนต่างๆที่ยังไม่เสร็จ ทั้งมติคณะรัฐมนตรี ทั้งด้านเทคนิค รวมถึงระบบการคอนเน็คกับธนาคารพาณิชย์ และบริษัทเอกชน รวมถึงที่มาของงบประมาณ หากมีเรื่องผิดขั้นตอนที่ผิดกฏหมาย หรือมีหลายส่วนที่หากเกิดการสะดุด นั่นหมายถึงเปอร์เซ็นต์ที่ดิจิตอลวอลเลทจะไม่สำเร็จ ก็ยังมีสูงมาก
    คำถามคือ
    1. ถ้ามันไปต่อไม่ได้ แล้วข้อมูลที่ประชาชนแห่ลงทะเบียน อยู่บนมือบริษัทเอกชน ดาต้านี้ ใครจะรับผิดชอบ
    2. ถ้านายกนิดไม่ได้ไปต่อ นายกคนต่อไปไม่ต่อแน่สำหรับโปรเจคนี้ แล้วใครจะเป็นคนรับผิดชอบกับสิ่งที่เสียไปในภาคประชาชน
    3. ประชาชนที่มีความมั่นใจว่าจะได้ จำนวนไม่น้อย ยอมลงทุนกับการซื้อโทรศัพท์มือถือมาเพื่อการนี้ แต่กลับไม่ได้ในสิ่งที่รัฐบาลสัญญาไว้ เหมือนทำให้เชื่อโดยไม่มีใครรับผิดชอบ
    ดังนั้น จึงไม่แปลก ที่ภูมิธรรม ต้องมาประกาศเลื่อนสำหรับการลงทะเบียนร้านค้า เพราะมันไม่มีอะไรเสร็จจริงซักอย่าง และโดยเฉพาะโครงการนี้คนละเรื่องกับคนละครึ่ง เพราะร้านค้ารายย่อยที่ไม่มีสายป่านยาวพอจะไม่สามารถเข้าร่วมกับโครงการนี้ จะมีก็แต่ระดับร้านเจ้าสัวเท่านั้นที่มีระบบสายป่านรองรับ นี่ก็เป็นทางตันจุดสำคัญของโครงการนี้
    ฝ่ายที่ให้กำลังใจและเชียร์โครงการนี้ น่าเห็นใจที่สุด
    เพราะไม่รู้เลยว่า โครงการนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนสร้างคอนเซ็บเท่านั้น
    ไม่ได้พร้อมใช้งานสำหรับประชาชน
    ดิจิตอลวอลเลท สำเร็จก็พัง
    ไม่สำเร็จก็พัง นักการเมืองมาแล้วก็ไป
    แต่ความเสียหายยังคงอยู่กับคนไทย ที่ต้องนั่งรับภาระความเสียหายไปอีกนาน
    ไม่ว่าจะเป็น เอาปตท สมบัติชาติ ไปเป็นของนายทุน ค่าน้ำมันคอนโทรลไม่ได้ กำไรมหาศาลบนความเดือดร้อนของคนทั้งประเทศ
    ค่าไฟ ยิ่งลักษณ์ไปเซ็นสัญญากับบริษัทเอกชน เกินกว่าความเป็นจริง ทำให้เราจ่ายค่า ft รวมถึงเป็นหนี้เอกชน คนไทยจึงต้องมาโดนคิดไฟเพิ่มเพื่อใช้หนี้เอกชน จนแทบลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ยิ่งลักษณ์ได้ค่าตอบแทนจากสัญญานี้ไปแล้ว แต่คนไทยยังคงต้องชดใช้ไปอีกเกือบยี่สิบปี ลุงตู่เคยพยายามฟ้องเอกชนที่ฮั๊วสัญญากับยิ่งลักษณ์ ให้สัญญาเป็นโมฆะ แต่เอกชนและยิ่งลักษณ์ทำสัญญาไว้รัดกุม กลายเป็นว่า คนไทยต้องโดนค่าไฟที่แพงกว่านี้อีกมาก แค่ตอนนี้ พีระพันธิ์พยายามแก้ที่โครงสร้าง ที่ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง เพื่อต่อสู้กับทั้งนายทุน ปตท และบริษัทเอกชนผู้ถือสัญญากับการไฟฟ้า แต่พอน้ำมันขึ้นเพราะนายทุนผู้ถือหุ้นแสวงหาประโยชน์ พีระพันโดนด่า พอค่าไฟขึ้นเพราะสัญญาที่ยิ่งลักษณ์ฮั๊วกับเอกชน พีระพันธิ์โดนด่า เออ สนุกดี
    ของจริงมันเป็นแบบนี้ ก่อนจะเถียงไปหาข้อมูลก่อนสวน
    พี่คิงส์ของจริงอย่าทะลึ่ง บอกไว้ก่อนเลย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #เลื่อนร้านค้าลงทะเบียนไม่เลื่อนได้ไงไม่มีอะไรเสร็จจริงซักอย่าง หลังจากที่รัฐบาลได้ยื่นให้คณะรัฐมนตรี ลงมติว่าจะทำดิจิตอลวอลเลท ได้คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัต "หลักการ" หากตามขั้นตอน ต้องมีการยื่นเมื่อขอมติในเชิง วิธีการ ขั้นตอน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำจนเสร็จสิ้นกระบวนการ ...แต่ปรากฏว่า รัฐบาลได้สั่งดำเนินการจัดสร้างแอพ รวมถึงให้ประชาชนทำการสมัครลงทะเบียนผ่านแอพที่เอกชนได้เป็นผู้รับจ้าง โดยย้ำว่า ทั้งหมดนี้ เป็นการทำโดยพละการ ไม่ได้ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และอย่าว่าผ่านมติรัฐมนตรีเลย แค่คณะวางแผนยังไม่สเด็ดน้ำกันเลย เปลี่ยนกันได้วันต่อวัน ...เมื่อสืบต่อจะทราบ ว่ายังไม่มีการคอนเนคใดๆกับธนาคารพาณิชย์ ที่ท้ายที่สุดต้องมีการเชื่อมต่อกับธนาคารต่างๆ ...ยังไม่รวมไปถึง ที่มาขอการใช้งบ ที่มีสภาวะคลุมเคลือ แต่สุดท้าย มีคนจับได้ว่าจะนำเงินฉุกเฉินของชาติ ที่ปกติจะต้องมีสำรองสำหรับปัญหาฉุกเฉินจริงๆ หรือเรื่องของการนำงบก้อนนี้ไปอยู่ในงบที่ผิดประเภท เอาง่ายๆว่า จะเอาเงินมาจากตรงไหนนั้น ส่วนนี้ ก็ยังไม่มีมติจากคณะรัฐมนตรีเช่นกัน ...พอมาดูเรื่องของระบบการทำงานของแอพ ที่หลายคนไม่รู้ ว่ากระบวนการจ้างเอกชน เข้ามาดำเนินการ ยังมีอีกบางส่วน ที่ขณะนี้เองก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะให้ใครมารับผิดชอบ หรือรับงานส่วนนี้ ...พี่คิงส์โพธิ์แดง ยิ่งรับรู้ก็ยิ่งงง ว่าโดยปกติ ทุกอย่างมันต้องทำเสร็จสำเร็จ พร้อมแล้ว จึงให้ประชาชนลงทะเบียน แต่ครั้งนี้ ยังไม่มีอะไรเสร็จซักอย่าง แต่กลับให้ประชาชนเร่งลงทะเบียน อย่างรวดเร็ว โดยมีคำถามว่า ขั้นตอนต่างๆที่ยังไม่เสร็จ ทั้งมติคณะรัฐมนตรี ทั้งด้านเทคนิค รวมถึงระบบการคอนเน็คกับธนาคารพาณิชย์ และบริษัทเอกชน รวมถึงที่มาของงบประมาณ หากมีเรื่องผิดขั้นตอนที่ผิดกฏหมาย หรือมีหลายส่วนที่หากเกิดการสะดุด นั่นหมายถึงเปอร์เซ็นต์ที่ดิจิตอลวอลเลทจะไม่สำเร็จ ก็ยังมีสูงมาก คำถามคือ 1. ถ้ามันไปต่อไม่ได้ แล้วข้อมูลที่ประชาชนแห่ลงทะเบียน อยู่บนมือบริษัทเอกชน ดาต้านี้ ใครจะรับผิดชอบ 2. ถ้านายกนิดไม่ได้ไปต่อ นายกคนต่อไปไม่ต่อแน่สำหรับโปรเจคนี้ แล้วใครจะเป็นคนรับผิดชอบกับสิ่งที่เสียไปในภาคประชาชน 3. ประชาชนที่มีความมั่นใจว่าจะได้ จำนวนไม่น้อย ยอมลงทุนกับการซื้อโทรศัพท์มือถือมาเพื่อการนี้ แต่กลับไม่ได้ในสิ่งที่รัฐบาลสัญญาไว้ เหมือนทำให้เชื่อโดยไม่มีใครรับผิดชอบ ดังนั้น จึงไม่แปลก ที่ภูมิธรรม ต้องมาประกาศเลื่อนสำหรับการลงทะเบียนร้านค้า เพราะมันไม่มีอะไรเสร็จจริงซักอย่าง และโดยเฉพาะโครงการนี้คนละเรื่องกับคนละครึ่ง เพราะร้านค้ารายย่อยที่ไม่มีสายป่านยาวพอจะไม่สามารถเข้าร่วมกับโครงการนี้ จะมีก็แต่ระดับร้านเจ้าสัวเท่านั้นที่มีระบบสายป่านรองรับ นี่ก็เป็นทางตันจุดสำคัญของโครงการนี้ ฝ่ายที่ให้กำลังใจและเชียร์โครงการนี้ น่าเห็นใจที่สุด เพราะไม่รู้เลยว่า โครงการนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนสร้างคอนเซ็บเท่านั้น ไม่ได้พร้อมใช้งานสำหรับประชาชน ดิจิตอลวอลเลท สำเร็จก็พัง ไม่สำเร็จก็พัง นักการเมืองมาแล้วก็ไป แต่ความเสียหายยังคงอยู่กับคนไทย ที่ต้องนั่งรับภาระความเสียหายไปอีกนาน ไม่ว่าจะเป็น เอาปตท สมบัติชาติ ไปเป็นของนายทุน ค่าน้ำมันคอนโทรลไม่ได้ กำไรมหาศาลบนความเดือดร้อนของคนทั้งประเทศ ค่าไฟ ยิ่งลักษณ์ไปเซ็นสัญญากับบริษัทเอกชน เกินกว่าความเป็นจริง ทำให้เราจ่ายค่า ft รวมถึงเป็นหนี้เอกชน คนไทยจึงต้องมาโดนคิดไฟเพิ่มเพื่อใช้หนี้เอกชน จนแทบลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ยิ่งลักษณ์ได้ค่าตอบแทนจากสัญญานี้ไปแล้ว แต่คนไทยยังคงต้องชดใช้ไปอีกเกือบยี่สิบปี ลุงตู่เคยพยายามฟ้องเอกชนที่ฮั๊วสัญญากับยิ่งลักษณ์ ให้สัญญาเป็นโมฆะ แต่เอกชนและยิ่งลักษณ์ทำสัญญาไว้รัดกุม กลายเป็นว่า คนไทยต้องโดนค่าไฟที่แพงกว่านี้อีกมาก แค่ตอนนี้ พีระพันธิ์พยายามแก้ที่โครงสร้าง ที่ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง เพื่อต่อสู้กับทั้งนายทุน ปตท และบริษัทเอกชนผู้ถือสัญญากับการไฟฟ้า แต่พอน้ำมันขึ้นเพราะนายทุนผู้ถือหุ้นแสวงหาประโยชน์ พีระพันโดนด่า พอค่าไฟขึ้นเพราะสัญญาที่ยิ่งลักษณ์ฮั๊วกับเอกชน พีระพันธิ์โดนด่า เออ สนุกดี ของจริงมันเป็นแบบนี้ ก่อนจะเถียงไปหาข้อมูลก่อนสวน พี่คิงส์ของจริงอย่าทะลึ่ง บอกไว้ก่อนเลย #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 694 มุมมอง 0 รีวิว