• ภูมิธรรมเมินกระแสต้าน กิตติรัตน์ นั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ อยู่ที่กรรมการสรรหา 12/11/67 #ภูมิธรรม #กิตติรัตน์ #ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ
    ภูมิธรรมเมินกระแสต้าน กิตติรัตน์ นั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ อยู่ที่กรรมการสรรหา 12/11/67 #ภูมิธรรม #กิตติรัตน์ #ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ
    Like
    Haha
    Love
    Sad
    9
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 811 มุมมอง 252 0 รีวิว
  • แกนนำไทยภักดี ง้างปาก “ภูมิธรรม” ทำไมจึงยอมให้กัมพูชากำหนดพื้นทางทะเล ด้วยการเล็งมาที่ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูด? ยกคำพูด “ทักษิณ” สวน “นายกฯ อิ๊งค์” mou44 ยกเลิกไม่ได้ก็ไม่จริง ดักยังดื้อจะเป็นพรรคเพื่อเขมรแทนเพื่อไทย

    วันนี้ (10 พ.ย.) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กว่า #ภูมิธรรมไปเกาะกูดไม่มีอะไรใหม่

    คุณภูมิธรรม มาลงพื้นที่เกาะกูด เพื่อมายืนยันว่า เกาะกูดเป็นของไทย เกาะกูดมีธรรมชาติที่สวยงาม พร้อมกับมาเยี่ยมกำลังพลที่ดูแลพื้นที่

    ผมยังยืนยันนะครับว่า วันนี้ประชาชนไทย หรือแม้แต่ประชาชนเกาะกูด ไม่ได้กังวลใจว่า เกาะกูดไม่ได้เป็นของไทย ย้ำนะครับว่า ไม่ได้กังวลใจว่า เกาะกูดไม่ได้เป็นของไทย เพราะเกาะกูดเป็นของไทยวันยังค่ำ

    ในเมื่อเกาะกูดเป็นของไทย พื้นที่ทางทะเลโดยรอบเกาะกูด 200 ไมล์ทะเล (370 กม.) ทั้งน้ำทะล กุ้งหอยปูปลา ผิวดินใต้ทะเล รวมทั้งพื้นดินใต้ผิวดินใต้ทะเล แหล่งพลังงาน ต้องเป็นของไทยด้วย ไม่ใช่เป็นของไทยแค่ตัวเกาะ

    สิ่งที่คนไทยกังวลใจกันมากๆ ก็คือ เมื่อเกาะกูดเป็นของไทย ไทยเราไปยอมรับเส้นอาณาเขตทางทะเล (ไหล่ทวีป) ของกัมพูชา ที่เล็งผ่านยอดเขาที่สูงสุดของเกาะกูด ออกไปอ่าวไทย ได้อย่างไร มันจึงเกิดพื้นที่ทับซ้อนมหาศาล

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/politics/detail/9670000108138

    #MGROnline #เกาะกูด #ภูมิธรรมไปเกาะกูดไม่มีอะไรใหม่
    แกนนำไทยภักดี ง้างปาก “ภูมิธรรม” ทำไมจึงยอมให้กัมพูชากำหนดพื้นทางทะเล ด้วยการเล็งมาที่ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูด? ยกคำพูด “ทักษิณ” สวน “นายกฯ อิ๊งค์” mou44 ยกเลิกไม่ได้ก็ไม่จริง ดักยังดื้อจะเป็นพรรคเพื่อเขมรแทนเพื่อไทย • วันนี้ (10 พ.ย.) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กว่า #ภูมิธรรมไปเกาะกูดไม่มีอะไรใหม่ • คุณภูมิธรรม มาลงพื้นที่เกาะกูด เพื่อมายืนยันว่า เกาะกูดเป็นของไทย เกาะกูดมีธรรมชาติที่สวยงาม พร้อมกับมาเยี่ยมกำลังพลที่ดูแลพื้นที่ • ผมยังยืนยันนะครับว่า วันนี้ประชาชนไทย หรือแม้แต่ประชาชนเกาะกูด ไม่ได้กังวลใจว่า เกาะกูดไม่ได้เป็นของไทย ย้ำนะครับว่า ไม่ได้กังวลใจว่า เกาะกูดไม่ได้เป็นของไทย เพราะเกาะกูดเป็นของไทยวันยังค่ำ • ในเมื่อเกาะกูดเป็นของไทย พื้นที่ทางทะเลโดยรอบเกาะกูด 200 ไมล์ทะเล (370 กม.) ทั้งน้ำทะล กุ้งหอยปูปลา ผิวดินใต้ทะเล รวมทั้งพื้นดินใต้ผิวดินใต้ทะเล แหล่งพลังงาน ต้องเป็นของไทยด้วย ไม่ใช่เป็นของไทยแค่ตัวเกาะ • สิ่งที่คนไทยกังวลใจกันมากๆ ก็คือ เมื่อเกาะกูดเป็นของไทย ไทยเราไปยอมรับเส้นอาณาเขตทางทะเล (ไหล่ทวีป) ของกัมพูชา ที่เล็งผ่านยอดเขาที่สูงสุดของเกาะกูด ออกไปอ่าวไทย ได้อย่างไร มันจึงเกิดพื้นที่ทับซ้อนมหาศาล • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9670000108138 • #MGROnline #เกาะกูด #ภูมิธรรมไปเกาะกูดไม่มีอะไรใหม่
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วรงค์” ง้างปาก “ภูมิธรรม” ทำไมจึงยอมให้กัมพูชากำหนดพื้นที่ทางทะเล ด้วยการเล็งมาที่ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูด? ยกคำพูด “ทักษิณ” สวน “นายกฯ อิ๊งค์” mou44 ยกเลิกไม่ได้ก็ไม่จริง ดักยังดื้อจะเป็นพรรคเพื่อเขมรแทนเพื่อไทย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000108138

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “วรงค์” ง้างปาก “ภูมิธรรม” ทำไมจึงยอมให้กัมพูชากำหนดพื้นที่ทางทะเล ด้วยการเล็งมาที่ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูด? ยกคำพูด “ทักษิณ” สวน “นายกฯ อิ๊งค์” mou44 ยกเลิกไม่ได้ก็ไม่จริง ดักยังดื้อจะเป็นพรรคเพื่อเขมรแทนเพื่อไทย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000108138 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    16
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1314 มุมมอง 1 รีวิว
  • ♣️ หลังจากเรียกพรรคร่วมรัฐบาลมายืนเรียงหน้าแถลงเรื่องเกาะกูด นายกฯอิ๊ง ก็ตั้งคณะกรรมการเจรจาทันที ยึดแนวทางตาม mou44 ที่คนแห่คัดค้าน อาจให้ภูมิธรรม คนคลั่งข้าวเน่าเป็นประธาน
    #7ดอกจิก
    ♣️ หลังจากเรียกพรรคร่วมรัฐบาลมายืนเรียงหน้าแถลงเรื่องเกาะกูด นายกฯอิ๊ง ก็ตั้งคณะกรรมการเจรจาทันที ยึดแนวทางตาม mou44 ที่คนแห่คัดค้าน อาจให้ภูมิธรรม คนคลั่งข้าวเน่าเป็นประธาน #7ดอกจิก
    Like
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายกฯ คาด 2 สัปดาห์ชง ครม.ตั้งคณะกรรมการ JTC ไทย-กัมพูชา ตาม MOU2544 ได้ ส่วนจะมีใครเป็นกรรมการ - "ภูมิธรรม" นั่งประธานหรือไม่ รอบอกทีเดียว

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000106497

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    นายกฯ คาด 2 สัปดาห์ชง ครม.ตั้งคณะกรรมการ JTC ไทย-กัมพูชา ตาม MOU2544 ได้ ส่วนจะมีใครเป็นกรรมการ - "ภูมิธรรม" นั่งประธานหรือไม่ รอบอกทีเดียว อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000106497 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Angry
    Like
    Wow
    9
    6 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2044 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ภูมิธรรม" ท่องคำเดิมเกาะกูดเป็นของไทย จะรักษาไว้เท่าชีวิต เชื่อ MOU44 คือกลไกที่ดีที่สุด เป็นการรักษาสิทธิในเขตแดน ยันรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้ยกเลิก ย้อนกลุ่มการเมือง พปชร.ไปถามหัวหน้าพรรคตัวเอง เพราะเป็นคนนำเจรจาในปี 57 ยันไม่เกี่ยว "ทักษิณ" ใกล้ชิดกัมพูชา

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000106432

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    "ภูมิธรรม" ท่องคำเดิมเกาะกูดเป็นของไทย จะรักษาไว้เท่าชีวิต เชื่อ MOU44 คือกลไกที่ดีที่สุด เป็นการรักษาสิทธิในเขตแดน ยันรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้ยกเลิก ย้อนกลุ่มการเมือง พปชร.ไปถามหัวหน้าพรรคตัวเอง เพราะเป็นคนนำเจรจาในปี 57 ยันไม่เกี่ยว "ทักษิณ" ใกล้ชิดกัมพูชา อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000106432 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Angry
    Like
    Wow
    7
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2025 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ภูมิธรรม" ร้องโอ้โห! "กิตติรัตน์" ถูกมองแทรกแซงแบงค์ชาติ ถูกส่งมาจากฝ่ายการเมือง หลังเคยเป็นสมาชิกเพื่อไทย - มองเป็นคนมีความรู้การเงินการคลัง หากเข้าไปได้ จะเต็มเติม - ชี้ยังไม่เห็นประเด็นที่ต้องคัดค้าน

    วันนี้ (4พ.ย.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการเลื่อนประชุมคัดเลือกประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือ ธปท. หลังมีชื่อนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหนึ่งในแคนดิเดต ว่า ตนได้ยินว่าวันนี้เขาเลื่อน ต้องไปถาม นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ุ ประธานคัดเลือกประธานกรรมการคัดเลือกและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน ธปท. ว่าทำไมถึงเลื่อน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล และไม่ใช่เรื่องของตน

    ส่วนที่มีกระแสโจมตีว่านายกิตติรัตน์ มาจากฝ่ายการเมืองนั้น ถึงแม้จะไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคเพื่อไทยแล้วนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ต้องไปหาข้อสรุป และต้องว่ากันไปตามกระบวนการ ตัวบทกฎหมาย เมื่อนายกิตติรัตน์อยากสมัคร เมื่อมีโอกาสและเงื่อนไขอยากสมัครก็สมัคร แต่ถ้าตามกฎระเบียบ มันเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องถูกปฏิเสธไปแต่ถ้าเป็นได้ก็ไปว่ากัน แล้วจริงๆ ตนยังไม่เห็นประเด็น ว่าทำไมต้องคัดค้านนายกิตติรัตน์

    เมื่อถามว่าเพราะมองว่านายกิตติรัตน์มาจากฝ่ายการเมืองอาจจะมีการแทรกแซง ผู้ว่า ธปท.เกิดขึ้น นายธรรม ร้อง โอ้โห ถ้าวันนี้รัฐธรรมนูญบอกว่าทุกคน เป็นสมาชิกพรรคการเมือง เสร็จแล้วก็ไปทำงานไม่ได้เลย ซึ่งตนคิดว่าการที่นายกิตติรัตน์เข้าไป ก็เป็นมืออาชีพมีความรู้เรื่องทางการเงินและการคลัง หากนายกิตติรัตน์เข้าไปก็เป็นมองว่าเป็นการเข้าไปเติมเต็มให้มีการพูดคุยกัน ในมุมมองที่กว้างขึ้น แต่ก็ต้องไปถามนายกิตติรัตน์ ตนตอบแทนไม่ได้ แต่คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเข้าสู่กระบวนการ และกระบวนการตัดสินใจ เป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น ก็อยู่ที่บอร์ดของแบงค์ชาติ ที่ตั้งคณะกรรมการสรรหาขึ้นมา ก็ต้องไปถามทางนั้น

    #MGROnline #ภูมิธรรม #กิตติรัตน์ #แบงค์ชาติ
    "ภูมิธรรม" ร้องโอ้โห! "กิตติรัตน์" ถูกมองแทรกแซงแบงค์ชาติ ถูกส่งมาจากฝ่ายการเมือง หลังเคยเป็นสมาชิกเพื่อไทย - มองเป็นคนมีความรู้การเงินการคลัง หากเข้าไปได้ จะเต็มเติม - ชี้ยังไม่เห็นประเด็นที่ต้องคัดค้าน • วันนี้ (4พ.ย.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการเลื่อนประชุมคัดเลือกประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือ ธปท. หลังมีชื่อนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหนึ่งในแคนดิเดต ว่า ตนได้ยินว่าวันนี้เขาเลื่อน ต้องไปถาม นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ุ ประธานคัดเลือกประธานกรรมการคัดเลือกและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน ธปท. ว่าทำไมถึงเลื่อน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล และไม่ใช่เรื่องของตน • ส่วนที่มีกระแสโจมตีว่านายกิตติรัตน์ มาจากฝ่ายการเมืองนั้น ถึงแม้จะไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคเพื่อไทยแล้วนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ต้องไปหาข้อสรุป และต้องว่ากันไปตามกระบวนการ ตัวบทกฎหมาย เมื่อนายกิตติรัตน์อยากสมัคร เมื่อมีโอกาสและเงื่อนไขอยากสมัครก็สมัคร แต่ถ้าตามกฎระเบียบ มันเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องถูกปฏิเสธไปแต่ถ้าเป็นได้ก็ไปว่ากัน แล้วจริงๆ ตนยังไม่เห็นประเด็น ว่าทำไมต้องคัดค้านนายกิตติรัตน์ • เมื่อถามว่าเพราะมองว่านายกิตติรัตน์มาจากฝ่ายการเมืองอาจจะมีการแทรกแซง ผู้ว่า ธปท.เกิดขึ้น นายธรรม ร้อง โอ้โห ถ้าวันนี้รัฐธรรมนูญบอกว่าทุกคน เป็นสมาชิกพรรคการเมือง เสร็จแล้วก็ไปทำงานไม่ได้เลย ซึ่งตนคิดว่าการที่นายกิตติรัตน์เข้าไป ก็เป็นมืออาชีพมีความรู้เรื่องทางการเงินและการคลัง หากนายกิตติรัตน์เข้าไปก็เป็นมองว่าเป็นการเข้าไปเติมเต็มให้มีการพูดคุยกัน ในมุมมองที่กว้างขึ้น แต่ก็ต้องไปถามนายกิตติรัตน์ ตนตอบแทนไม่ได้ แต่คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเข้าสู่กระบวนการ และกระบวนการตัดสินใจ เป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น ก็อยู่ที่บอร์ดของแบงค์ชาติ ที่ตั้งคณะกรรมการสรรหาขึ้นมา ก็ต้องไปถามทางนั้น • #MGROnline #ภูมิธรรม #กิตติรัตน์ #แบงค์ชาติ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยืนยันเกาะกูดเป็นของไทย (04/11/67) #news1 #ภูมิธรรม #เกาะกูดเป็นของไทย #MOU44
    ยืนยันเกาะกูดเป็นของไทย (04/11/67) #news1 #ภูมิธรรม #เกาะกูดเป็นของไทย #MOU44
    Like
    Haha
    8
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1195 มุมมอง 402 0 รีวิว
  • “ภูมิธรรม” ยืนยันเกาะกูดเป็นของไทยอยู่แล้ว ถ้าจะเจรจาผลประโยชน์ทางทะเลต้องคุยเรื่องเขตแดนควบคู่ไปด้วย ต้องลากเป็นเส้นตรง ไม่อ้อมเกาะกูด ซึ่งยังคุยกันค้างอยู่ ทำมึนคนจุดกระแสต้องการให้ยกเลิกอะไร เผยรัฐบาลอภิสิทธิ์ยังไม่เคยยกเลิก MOU2544 เพราะไม่ใช่มติ ครม.

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000106148

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “ภูมิธรรม” ยืนยันเกาะกูดเป็นของไทยอยู่แล้ว ถ้าจะเจรจาผลประโยชน์ทางทะเลต้องคุยเรื่องเขตแดนควบคู่ไปด้วย ต้องลากเป็นเส้นตรง ไม่อ้อมเกาะกูด ซึ่งยังคุยกันค้างอยู่ ทำมึนคนจุดกระแสต้องการให้ยกเลิกอะไร เผยรัฐบาลอภิสิทธิ์ยังไม่เคยยกเลิก MOU2544 เพราะไม่ใช่มติ ครม. อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000106148 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Angry
    Like
    Wow
    Sad
    10
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1977 มุมมอง 0 รีวิว
  • ณ บ้านพระอาทิตย์
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    การประกาศขีดเส้นเขตไหล่ทวีป และทะเลอาณาเขตของกัมพูชาในปี พ.ศ. 2515 ที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากลนั้น ได้มีการละเมิดสิทธิและอธิปไตยทางทะเลของราชอาณาจักรไทยอย่างชัดเจน และส่งผลทำให้ราชอาณาจักรไทยได้ “ปฏิเสธ” การประกาศขีดเส้นที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลของกัมพูชาไปแล้ว ด้วยการมีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516



    นอกจากนั้นในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มีมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับอ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ปี พ.ศ. 2544 (MOU 2544) ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 อีกด้วย

    โดยมีรายละเอียด ดังนี้

    พระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาได้กำหนดแผนที่ “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 มาประชิดเกาะกูดด้านตะวันออก แล้วอ้อมเกาะกูดไปด้านล่างแล้ววกกลับมาเป็นรูปตัว U แล้วลากเส้นต่อเนื่องไปยังทิศตะวันตกของเกาะกูดลึกเข้าไปในอ่าวไทยก็ดี หรือพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาฝ่ายเดียว ซึ่งกำหนดแผนที่แสดงการลาก “เส้นทะเลอาณาเขต” ของกัมพูชาจากหลักเขตที่ 73 ประชิดด้านทิศตะวันตกของเกาะกูด ฉบับเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2515 ก็ดี ล้วนเป็นแผนที่กำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลที่ “ละเมิดสิทธิและละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย“ทั้งสิ้น และยังไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากล เพราะไม่เป็นไปตามบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 อีกด้วย โดยมีผลตามมาดังนี้

    1.ละเมิด ทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด

    2.ละเมิดเขตทะเลต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด

    3.ละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะของราชอาณาจักรไทยที่มีการแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดกับเกาะกงจากหลักเขตที่ 73 จึงเป็นการละเมิดเส้นแบ่งที่ระยะทางเท่ากันระหว่างไทยและกัมพูชา (Equidistant Line)

    อย่างไรก็ตาม ราชอาณาจักรไทยได้เคย “ปฏิเสธ” การขีดเส้นทางทะเลของกัมพูชาที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลไปแล้วในเวลาต่อมา

    โดยราชอาณาจักรไทยได้มีพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2516 โดยมีจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

    “พระบรมราชโองการ” ตรงกับภาษาอังกฤษคำว่า “Royal Command” ซึ่งมีความหมายว่า “คำสั่งราชการของพระมหากษัตริย์”

    พระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เป็นพระราชอำนาจภายใต้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2515 ที่เกี่ยวพันกับสถานภาพกำหนดเขตแดนทางทะเลของ “ราชอาณาจักรไทย” กับ “จอมทัพไทย” และองค์พระมหากษัตริย์ไทยผู้ทรงเป็นประมุขแห่งราชอาณาจักรไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ ดังนี้

    “มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้

    พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย

    มาตรา 18 บรรดาบทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการใดๆ อันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”

    ดังนั้น พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เป็นพระบรมราชโองการที่เกี่ยวกับราชการแผ่นดิน จึงมีผลตามกฎหมายและต้องมีการบังคับใช้จนถึงปัจจุบัน หากมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นต้องมีการแก้ไขด้วยพระบรมราชโองการเช่นกัน ดังนั้นจะอาศัยนักการเมืองไปตกลงกันเองตามอำเภอใจโดยขัดต่อพระบรมราชโองการนั้นไม่ได้

    ความสำคัญของพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 นอกจากจะมีความหมายถึงการ “ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่รุกล้ำราชอาณาเขตทะเลไทยแล้ว ยังได้ประกาศถึงเรื่อง “สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติ” อย่างชัดเจนดังปรากฏเป็นข้อความในพระบรมราชโองการความว่า



    “เพื่อความมุ่งประสงค์ในการใช้สิทธิอธิปไตยของประเทศไทยในการสำรวจและการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย จึงกำหนดให้เขตไหล่ทวีปตามแผนที่และพิกัดภูมิศาสตร์ของแต่ละจุดที่ประกอบเป็นเขตไหล่ทวีปของไทย ซึ่งแนบท้ายประกาศนี้เป็นเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย“

    อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีพระบรมราชโองการฉบับนี้เป็นเวลา 2 ปี คือปี พ.ศ. 2514 และ พ.ศ. 2515 รัฐบาลราชอาณาจักรไทยได้ทำการให้สัมปทานปิโตรเลียมให้กับต่างชาติไปแล้วหลายแปลง โดยเฉพาะกลุ่มทุนจาก สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และญี่ปุ่น ที่ยึดถือการซื้อขายปิโตรเลียมเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือที่เรียกว่า ปิโตรดอลลาร์

    ดังนั้น การที่กัมพูชาตราพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาได้กำหนดแผนที่ “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ย่อมทำให้ผู้รับสัมปทานในประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการให้สำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยได้ และอาจทำให้แหล่งปิโตรเลียมของราชอาณาจักรไทยกลายเป็นของกัมพูชาได้ด้วย

    ประกอบกับในเวลานั้นประเทศไทยได้ผ่านบทเรียนราคาแพงมาเป็นเวลา 10 ปีที่ได้สูญเสียปราสาทพระวิหารไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 ที่คำตัดสินของศาลโลกให้ประเทศไทยแพ้คดีด้วยเพราะ “กฎหมายปิดปาก” โดยอ้างว่าฝ่ายไทยนิ่งเฉยไม่ปฏิเสธต่อแผนที่ฝรั่งเศส อ้างว่าฝ่ายไทยนิ่งเฉยต่อการสำแดงอธิปไตยของกัมพูชา ทั้งๆ ที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนยอดหน้าผาฝั่งราชอาณาจักรไทยซึ่งเป็นเส้นเขตแดนตามธรรมชาติที่ชัดเจน

    ดังนั้น ประเทศไทยจะดำเนินการปฏิเสธเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาฉบับปี พ.ศ. 2515 จึงต้องมีความรอบคอบ รัดกุม และคำนึงถึงการปกป้องสิทธิและอธิปไตยของชาติ ไม่ให้ถูกแย่งชิงแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมในอ่าวไทยให้ไปเป็นของกัมพูชา ไม่ให้ซ้ำรอยการสูญเสียปราสาทพระวิหารของไทยในปี พ.ศ. 2505 ด้วย

    ดังนั้น เพื่อความสมบูรณ์และชอบธรรมในการ “ปฏิเสธ” แผนที่เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ไม่กระทำการตามกฎหมายทะเลสากล พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 จึงอยู่บน “มูลฐานของกฎหมายทะเลสากล” ดังความปรากฎในพระบรมราชโองการว่า

    “ในการกำหนดเขตไหล่ทวีปนี้ ได้ยึดถือมูลฐานแห่งสิทธิตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ อันเป็นที่ยอมรับนับถือกันทั่วไป และตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 และประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้แล้วเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2511”

    แม้ราชอาณาจักรไทยจะมีพระบรมราชโองการประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปที่อยู่บนมูลฐานของกฎหมายสากล แต่ก็ยังมีความตระหนักด้วยว่าอาจจะต้องมีความเสี่ยงที่จะเกิดข้อพิพาท “ในอนาคต” กับเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาอย่างแน่นอน

    ราชอาณาจักรไทยจึงได้ประกาศโดยพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 กำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปนั้น ได้วางหลักในอนาคตว่าหากจะมีการตกลงกันในวันข้างหน้าจะต้องใช้มูลฐานของกฎหมายสากลเท่านั้น

    ซึ่งแปลว่าฝ่ายราชอาณาจักรไทยนอกจากจะประกาศ “ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตย ณ วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 แล้ว ยังจะต้อง “ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลทุกกรณีใน “อนาคต” ด้วย ดังข้อความปรากฏในพระบรมราชโองการความว่า

    “สำหรับสิทธิอธิปไตยในส่วนที่เป็นทะเลอาณาเขตซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตใกล้เคียงอันจะถือเป็นจุดเริ่มของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้นจะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน โดยยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958“



    หมายความว่าหากราชอาณาจักรไทยมีข้อพิพาทในอาณาเขตใกล้เคียงกันแล้วก็เปิดทางให้ตกลงกันได้ แต่ต้อง “ยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958” เท่านั้น

    ดังเช่นกรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-มาเลเซีย ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างเส้นเขตไหล่ทวีปของประเทศตัวเองให้ได้เปรียบที่สุด

    แต่เมื่อทั้ง 2 ประเทศได้ตกลงกันโดยอาศัยมูลฐานของกฎหมายทะเลสากล จึงสามารถยอมรับการอ้างสิทธิทับซ้อนเหลื่อมล้ำกันของพื้นที่ซึ่งกันและกันได้ และยังคงเป็นการดำเนินรอยตามพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516

    ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียในการแบ่งปันผลผลิตปิโตรเลียม โดยการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของไทย-มาเลเซียในอ่าวไทย

    แต่เมื่อจะมีบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของประเทศทั้งสองในอ่าวไทยแล้ว ก็ยังต้องอาศัยพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศใช้บันทีกความเข้าใจฉบับดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2523 และรับสนองพระบรมราชโองการโดย พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี

    แต่กรณีของเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาซึ่งไม่อยู่บนฐานของมูลฐานของกฎหมายทะเลสากล ซึ่งราชอาณาจักรไทย ได้ “ปฏิเสธ” ไปแล้วโดยมีพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 และได้ “ปฏิเสธ” การตกลงกันในอนาคตด้วย เพราะการขีดเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาดังกล่าวไม่ได้อยู่บนมูลฐานของมูลฐานแห่งบทบัญญัติของกฎหมายทะเลสากล

    ดังนั้น บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาเรื่องพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ปี พ.ศ. 2544 (MOU 2544) ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ลงนามกันเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 ได้เปลี่ยนสถานภาพในหลักการสำคัญ จากการ “ปฏิเสธ“ เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย มากลายเป็น “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” พื้นที่อ้างสิทธิเขตไหล่ทวีปของประเทศกัมพูชาที่ขีดเส้นตามอำเภอใจและไม่เป็นไปตามกฎหมายสากล

    การที่ประเทศไทย “ไม่ปฏิเสธ” การลากเส้นเขตไหล่ทวีปที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลของกัมพูชา ย่อมเท่ากับประเทศไทยเข้าสู่ภาวะสุ่มเสี่ยงที่ถูกตีความได้ว่าราชอาณาจักรไทยได้ “สละสิทธิ” จุดแข็งที่สุดคือการลากเส้นไหล่ทวีปตามกฎหมายสากลเพียงอย่างเดียว ให้กลายเป็นการยอมรับการเกิดพื้นที่ไม่แน่ชัดเหลื่อมซ้อนกันระหว่างการลากเส้นตามกฎหมายสากลของราชอาณาจักรไทย กับการลากเส้นตามอำเภอใจของกัมพูชาที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย

    MOU 2544 จึงอาจเข้าข่ายการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เนื่องด้วยมีการ “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” การอ้างสิทธิทับซ้อนโดยอาศัยการขีดเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาซึ่งไม่อยู่บน ”มูลฐานของกฎหมายทะเลสากล“

    เรากำลังขาดสติเดินตามรอย “กฎหมายปิดปาก”เสี่ยงสูญเสียเกาะกูดในอนาคตได้เหมือนการสูญเสียปราสาทพระวิหารในอดีตหรือไม่?

    ความสุ่มเสี่ยงดังกล่าวได้เคยเป็นปัญหาที่มีการถกเถียงกันอย่างมากระหว่างรัฐบาลไทยและภาคประชาชนต่อเนื่องมาก่อนแล้วเมื่อ 16 ปีก่อน

    จนในที่สุดในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิก MOU 2544 ไปแล้ว ดังปรากฏหลักฐานของ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ได้ตอบกระทู้ของนายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2553 ความตอนหนึ่งว่า

    “ขอกราบเรียนดังนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ฉบับวันที่ 18 มิถุนายน 2554 แต่โดยที่เรื่องดังกล่าวต้องนำเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ

    จึงมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาข้อกฎหมายให้รอบคอบก่อนดำเนินการต่อไป แล้วก็กระทรวงการต่างประเทศโดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกำลังดำเนินการศึกษาและพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยละเอียดก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา แล้วก็เพื่อเสนอต่อรัฐสภาต่อไป”

    โดยพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนั้นที่เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิก MOU 2544 ประกอบไปด้วย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมชาติพัฒนา พรรคกิจสังคม และพรรคมาตุภูมิ

    จริงอยู่ที่ว่าการยกเลิก MOU 2544 จนปัจจุบันยังไม่แล้วเสร็จ แต่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 มีผลผูกพันทางกฎหมายอย่างแน่นอน และยังมีผลจนถึงปัจจุบันหากยังไม่มีมติคณะรัฐมนตรีเป็นอย่างอื่น

    ดังนั้น การปฏิบัติหน้าที่ของทุกกระทรวงจะดำเนินการไปในหลักการอื่นโดยฝ่าฝืนต่อมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 จะทำต่อไปได้อย่างไร ยกเว้นเสียแต่ว่ามีการขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรีเสียใหม่ จริงหรือไม่?

    ดังนั้น การเดินหน้าในการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างไทย-กัมพูชาตาม MOU 2544 ต่อไป อาจเข้าข่ายไม่เพียงเป็นการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เท่านั้น แต่ยังฝ่าฝืนต่อมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 อีกด้วย

    สำหรับ นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แทนที่จะมากล่าวหาว่าประชาชนผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการเดินหน้า MOU 2544 ว่าเป็นพวกคลั่งชาตินั้น ก็ควรจะสำรวจรัฐบาลตัวเองด้วยว่ากำลังขายชาติอยู่หรือไม่

    ด้วยจิตคารวะ
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต

    https://mgronline.com/daily/detail/9670000105530

    #Thaitimes
    ณ บ้านพระอาทิตย์ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ การประกาศขีดเส้นเขตไหล่ทวีป และทะเลอาณาเขตของกัมพูชาในปี พ.ศ. 2515 ที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากลนั้น ได้มีการละเมิดสิทธิและอธิปไตยทางทะเลของราชอาณาจักรไทยอย่างชัดเจน และส่งผลทำให้ราชอาณาจักรไทยได้ “ปฏิเสธ” การประกาศขีดเส้นที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลของกัมพูชาไปแล้ว ด้วยการมีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 นอกจากนั้นในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มีมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับอ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ปี พ.ศ. 2544 (MOU 2544) ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 อีกด้วย โดยมีรายละเอียด ดังนี้ พระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาได้กำหนดแผนที่ “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 มาประชิดเกาะกูดด้านตะวันออก แล้วอ้อมเกาะกูดไปด้านล่างแล้ววกกลับมาเป็นรูปตัว U แล้วลากเส้นต่อเนื่องไปยังทิศตะวันตกของเกาะกูดลึกเข้าไปในอ่าวไทยก็ดี หรือพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาฝ่ายเดียว ซึ่งกำหนดแผนที่แสดงการลาก “เส้นทะเลอาณาเขต” ของกัมพูชาจากหลักเขตที่ 73 ประชิดด้านทิศตะวันตกของเกาะกูด ฉบับเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2515 ก็ดี ล้วนเป็นแผนที่กำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลที่ “ละเมิดสิทธิและละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย“ทั้งสิ้น และยังไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากล เพราะไม่เป็นไปตามบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 อีกด้วย โดยมีผลตามมาดังนี้ 1.ละเมิด ทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด 2.ละเมิดเขตทะเลต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด 3.ละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะของราชอาณาจักรไทยที่มีการแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดกับเกาะกงจากหลักเขตที่ 73 จึงเป็นการละเมิดเส้นแบ่งที่ระยะทางเท่ากันระหว่างไทยและกัมพูชา (Equidistant Line) อย่างไรก็ตาม ราชอาณาจักรไทยได้เคย “ปฏิเสธ” การขีดเส้นทางทะเลของกัมพูชาที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลไปแล้วในเวลาต่อมา โดยราชอาณาจักรไทยได้มีพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2516 โดยมีจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ “พระบรมราชโองการ” ตรงกับภาษาอังกฤษคำว่า “Royal Command” ซึ่งมีความหมายว่า “คำสั่งราชการของพระมหากษัตริย์” พระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เป็นพระราชอำนาจภายใต้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2515 ที่เกี่ยวพันกับสถานภาพกำหนดเขตแดนทางทะเลของ “ราชอาณาจักรไทย” กับ “จอมทัพไทย” และองค์พระมหากษัตริย์ไทยผู้ทรงเป็นประมุขแห่งราชอาณาจักรไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ ดังนี้ “มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย มาตรา 18 บรรดาบทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการใดๆ อันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ” ดังนั้น พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เป็นพระบรมราชโองการที่เกี่ยวกับราชการแผ่นดิน จึงมีผลตามกฎหมายและต้องมีการบังคับใช้จนถึงปัจจุบัน หากมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นต้องมีการแก้ไขด้วยพระบรมราชโองการเช่นกัน ดังนั้นจะอาศัยนักการเมืองไปตกลงกันเองตามอำเภอใจโดยขัดต่อพระบรมราชโองการนั้นไม่ได้ ความสำคัญของพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 นอกจากจะมีความหมายถึงการ “ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่รุกล้ำราชอาณาเขตทะเลไทยแล้ว ยังได้ประกาศถึงเรื่อง “สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติ” อย่างชัดเจนดังปรากฏเป็นข้อความในพระบรมราชโองการความว่า “เพื่อความมุ่งประสงค์ในการใช้สิทธิอธิปไตยของประเทศไทยในการสำรวจและการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย จึงกำหนดให้เขตไหล่ทวีปตามแผนที่และพิกัดภูมิศาสตร์ของแต่ละจุดที่ประกอบเป็นเขตไหล่ทวีปของไทย ซึ่งแนบท้ายประกาศนี้เป็นเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย“ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีพระบรมราชโองการฉบับนี้เป็นเวลา 2 ปี คือปี พ.ศ. 2514 และ พ.ศ. 2515 รัฐบาลราชอาณาจักรไทยได้ทำการให้สัมปทานปิโตรเลียมให้กับต่างชาติไปแล้วหลายแปลง โดยเฉพาะกลุ่มทุนจาก สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และญี่ปุ่น ที่ยึดถือการซื้อขายปิโตรเลียมเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือที่เรียกว่า ปิโตรดอลลาร์ ดังนั้น การที่กัมพูชาตราพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาได้กำหนดแผนที่ “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ย่อมทำให้ผู้รับสัมปทานในประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการให้สำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยได้ และอาจทำให้แหล่งปิโตรเลียมของราชอาณาจักรไทยกลายเป็นของกัมพูชาได้ด้วย ประกอบกับในเวลานั้นประเทศไทยได้ผ่านบทเรียนราคาแพงมาเป็นเวลา 10 ปีที่ได้สูญเสียปราสาทพระวิหารไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 ที่คำตัดสินของศาลโลกให้ประเทศไทยแพ้คดีด้วยเพราะ “กฎหมายปิดปาก” โดยอ้างว่าฝ่ายไทยนิ่งเฉยไม่ปฏิเสธต่อแผนที่ฝรั่งเศส อ้างว่าฝ่ายไทยนิ่งเฉยต่อการสำแดงอธิปไตยของกัมพูชา ทั้งๆ ที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนยอดหน้าผาฝั่งราชอาณาจักรไทยซึ่งเป็นเส้นเขตแดนตามธรรมชาติที่ชัดเจน ดังนั้น ประเทศไทยจะดำเนินการปฏิเสธเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาฉบับปี พ.ศ. 2515 จึงต้องมีความรอบคอบ รัดกุม และคำนึงถึงการปกป้องสิทธิและอธิปไตยของชาติ ไม่ให้ถูกแย่งชิงแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมในอ่าวไทยให้ไปเป็นของกัมพูชา ไม่ให้ซ้ำรอยการสูญเสียปราสาทพระวิหารของไทยในปี พ.ศ. 2505 ด้วย ดังนั้น เพื่อความสมบูรณ์และชอบธรรมในการ “ปฏิเสธ” แผนที่เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ไม่กระทำการตามกฎหมายทะเลสากล พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 จึงอยู่บน “มูลฐานของกฎหมายทะเลสากล” ดังความปรากฎในพระบรมราชโองการว่า “ในการกำหนดเขตไหล่ทวีปนี้ ได้ยึดถือมูลฐานแห่งสิทธิตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ อันเป็นที่ยอมรับนับถือกันทั่วไป และตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 และประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้แล้วเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2511” แม้ราชอาณาจักรไทยจะมีพระบรมราชโองการประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปที่อยู่บนมูลฐานของกฎหมายสากล แต่ก็ยังมีความตระหนักด้วยว่าอาจจะต้องมีความเสี่ยงที่จะเกิดข้อพิพาท “ในอนาคต” กับเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาอย่างแน่นอน ราชอาณาจักรไทยจึงได้ประกาศโดยพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 กำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปนั้น ได้วางหลักในอนาคตว่าหากจะมีการตกลงกันในวันข้างหน้าจะต้องใช้มูลฐานของกฎหมายสากลเท่านั้น ซึ่งแปลว่าฝ่ายราชอาณาจักรไทยนอกจากจะประกาศ “ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตย ณ วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 แล้ว ยังจะต้อง “ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลทุกกรณีใน “อนาคต” ด้วย ดังข้อความปรากฏในพระบรมราชโองการความว่า “สำหรับสิทธิอธิปไตยในส่วนที่เป็นทะเลอาณาเขตซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตใกล้เคียงอันจะถือเป็นจุดเริ่มของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้นจะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน โดยยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958“ หมายความว่าหากราชอาณาจักรไทยมีข้อพิพาทในอาณาเขตใกล้เคียงกันแล้วก็เปิดทางให้ตกลงกันได้ แต่ต้อง “ยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958” เท่านั้น ดังเช่นกรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-มาเลเซีย ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างเส้นเขตไหล่ทวีปของประเทศตัวเองให้ได้เปรียบที่สุด แต่เมื่อทั้ง 2 ประเทศได้ตกลงกันโดยอาศัยมูลฐานของกฎหมายทะเลสากล จึงสามารถยอมรับการอ้างสิทธิทับซ้อนเหลื่อมล้ำกันของพื้นที่ซึ่งกันและกันได้ และยังคงเป็นการดำเนินรอยตามพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียในการแบ่งปันผลผลิตปิโตรเลียม โดยการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของไทย-มาเลเซียในอ่าวไทย แต่เมื่อจะมีบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของประเทศทั้งสองในอ่าวไทยแล้ว ก็ยังต้องอาศัยพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศใช้บันทีกความเข้าใจฉบับดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2523 และรับสนองพระบรมราชโองการโดย พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี แต่กรณีของเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาซึ่งไม่อยู่บนฐานของมูลฐานของกฎหมายทะเลสากล ซึ่งราชอาณาจักรไทย ได้ “ปฏิเสธ” ไปแล้วโดยมีพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 และได้ “ปฏิเสธ” การตกลงกันในอนาคตด้วย เพราะการขีดเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาดังกล่าวไม่ได้อยู่บนมูลฐานของมูลฐานแห่งบทบัญญัติของกฎหมายทะเลสากล ดังนั้น บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาเรื่องพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ปี พ.ศ. 2544 (MOU 2544) ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ลงนามกันเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 ได้เปลี่ยนสถานภาพในหลักการสำคัญ จากการ “ปฏิเสธ“ เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย มากลายเป็น “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” พื้นที่อ้างสิทธิเขตไหล่ทวีปของประเทศกัมพูชาที่ขีดเส้นตามอำเภอใจและไม่เป็นไปตามกฎหมายสากล การที่ประเทศไทย “ไม่ปฏิเสธ” การลากเส้นเขตไหล่ทวีปที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลของกัมพูชา ย่อมเท่ากับประเทศไทยเข้าสู่ภาวะสุ่มเสี่ยงที่ถูกตีความได้ว่าราชอาณาจักรไทยได้ “สละสิทธิ” จุดแข็งที่สุดคือการลากเส้นไหล่ทวีปตามกฎหมายสากลเพียงอย่างเดียว ให้กลายเป็นการยอมรับการเกิดพื้นที่ไม่แน่ชัดเหลื่อมซ้อนกันระหว่างการลากเส้นตามกฎหมายสากลของราชอาณาจักรไทย กับการลากเส้นตามอำเภอใจของกัมพูชาที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย MOU 2544 จึงอาจเข้าข่ายการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เนื่องด้วยมีการ “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” การอ้างสิทธิทับซ้อนโดยอาศัยการขีดเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาซึ่งไม่อยู่บน ”มูลฐานของกฎหมายทะเลสากล“ เรากำลังขาดสติเดินตามรอย “กฎหมายปิดปาก”เสี่ยงสูญเสียเกาะกูดในอนาคตได้เหมือนการสูญเสียปราสาทพระวิหารในอดีตหรือไม่? ความสุ่มเสี่ยงดังกล่าวได้เคยเป็นปัญหาที่มีการถกเถียงกันอย่างมากระหว่างรัฐบาลไทยและภาคประชาชนต่อเนื่องมาก่อนแล้วเมื่อ 16 ปีก่อน จนในที่สุดในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิก MOU 2544 ไปแล้ว ดังปรากฏหลักฐานของ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ได้ตอบกระทู้ของนายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2553 ความตอนหนึ่งว่า “ขอกราบเรียนดังนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ฉบับวันที่ 18 มิถุนายน 2554 แต่โดยที่เรื่องดังกล่าวต้องนำเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ จึงมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาข้อกฎหมายให้รอบคอบก่อนดำเนินการต่อไป แล้วก็กระทรวงการต่างประเทศโดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกำลังดำเนินการศึกษาและพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยละเอียดก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา แล้วก็เพื่อเสนอต่อรัฐสภาต่อไป” โดยพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนั้นที่เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิก MOU 2544 ประกอบไปด้วย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมชาติพัฒนา พรรคกิจสังคม และพรรคมาตุภูมิ จริงอยู่ที่ว่าการยกเลิก MOU 2544 จนปัจจุบันยังไม่แล้วเสร็จ แต่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 มีผลผูกพันทางกฎหมายอย่างแน่นอน และยังมีผลจนถึงปัจจุบันหากยังไม่มีมติคณะรัฐมนตรีเป็นอย่างอื่น ดังนั้น การปฏิบัติหน้าที่ของทุกกระทรวงจะดำเนินการไปในหลักการอื่นโดยฝ่าฝืนต่อมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 จะทำต่อไปได้อย่างไร ยกเว้นเสียแต่ว่ามีการขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรีเสียใหม่ จริงหรือไม่? ดังนั้น การเดินหน้าในการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างไทย-กัมพูชาตาม MOU 2544 ต่อไป อาจเข้าข่ายไม่เพียงเป็นการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เท่านั้น แต่ยังฝ่าฝืนต่อมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 อีกด้วย สำหรับ นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แทนที่จะมากล่าวหาว่าประชาชนผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการเดินหน้า MOU 2544 ว่าเป็นพวกคลั่งชาตินั้น ก็ควรจะสำรวจรัฐบาลตัวเองด้วยว่ากำลังขายชาติอยู่หรือไม่ ด้วยจิตคารวะ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต https://mgronline.com/daily/detail/9670000105530 #Thaitimes
    Like
    Love
    8
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 581 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ปานเทพ” เผย มติ ครม.ยุครัฐบาล “อภิสิทธิ์” ปี 52 เคยเห็นชอบหลักการยกเลิก MOU2544 ไว้แล้ว เพียงแต่รอขั้นตอนให้สภารับรอง หากรัฐบาลนี้จะนำไปใช้เป็นเจรจาแบ่งผลประโยชน์ทางทะเลกับกัมพูชา ต้องมีมติเปลี่ยนแปลงก่อน ไม่เช่นนั้นจะถือว่าทำผิดมติ ครม.และยังละเมิดพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปปี 2516 ย้อน “ภูมิธรรม” แทนที่จะกล่าวหาคนค้าน MOU2544 ว่าคลั่งชาติ ควรตั้งคำถามรัฐบาลตัวเองกำลังขายชาติหรือไม่

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000105096

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “ปานเทพ” เผย มติ ครม.ยุครัฐบาล “อภิสิทธิ์” ปี 52 เคยเห็นชอบหลักการยกเลิก MOU2544 ไว้แล้ว เพียงแต่รอขั้นตอนให้สภารับรอง หากรัฐบาลนี้จะนำไปใช้เป็นเจรจาแบ่งผลประโยชน์ทางทะเลกับกัมพูชา ต้องมีมติเปลี่ยนแปลงก่อน ไม่เช่นนั้นจะถือว่าทำผิดมติ ครม.และยังละเมิดพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปปี 2516 ย้อน “ภูมิธรรม” แทนที่จะกล่าวหาคนค้าน MOU2544 ว่าคลั่งชาติ ควรตั้งคำถามรัฐบาลตัวเองกำลังขายชาติหรือไม่ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000105096 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Angry
    Yay
    93
    5 ความคิดเห็น 6 การแบ่งปัน 3005 มุมมอง 4 รีวิว
  • ทำเพื่อบอสคนไหนหรือเปล่า บอสบางคนมีสายสัมพันธ์ทางการเมืองเหมือนกันนะ 🤨🤨

    ผู้สื่อข่าวรายงานจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ว่า หลังจาก พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้เข้าพบ นายภูมิธรรม เวชชัย รอง นายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานความคืบหน้าและประชุมร่วมกันในคดีดิไอคอนกรุ๊ปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ได้ข้อสรุปว่า จะโอนสำนวนคดีทั้งหมดในส่วนของตำรวจสอบสวนกลางไปให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เป็นผู้ดำเนินคดีต่อ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ดีเอสไอได้แถลงว่าจะรับเพียงเฉพาะข้อหา พ.ร.บ.ฟอกเงิน ไปดำเนินการท่านั้น

    https://mgronline.com/crime/detail/9670000103472
    ทำเพื่อบอสคนไหนหรือเปล่า บอสบางคนมีสายสัมพันธ์ทางการเมืองเหมือนกันนะ 🤨🤨 ผู้สื่อข่าวรายงานจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ว่า หลังจาก พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้เข้าพบ นายภูมิธรรม เวชชัย รอง นายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานความคืบหน้าและประชุมร่วมกันในคดีดิไอคอนกรุ๊ปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ได้ข้อสรุปว่า จะโอนสำนวนคดีทั้งหมดในส่วนของตำรวจสอบสวนกลางไปให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เป็นผู้ดำเนินคดีต่อ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ดีเอสไอได้แถลงว่าจะรับเพียงเฉพาะข้อหา พ.ร.บ.ฟอกเงิน ไปดำเนินการท่านั้น https://mgronline.com/crime/detail/9670000103472
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดีเอสไอ รับคดี 'The Icon' แบ่งงาน 'ปปง.-ตร.' มูลค่าเสียหายทะลุ 2 พันล้าน
    .
    การเดินหน้าตรวจสอบคดีบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อมีการส่งมอบคดีให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ รับไปดำเนินการต่อ ซึ่งเป็นผลมาจากการประชุมร่วมกันระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
    .
    "จากนี้ตำรวจจะยื่นคดีให้กับดีเอสไอตามข้อกฎหมาย ส่วนปปง.จะดูแลเรื่องการยึดทรัพย์ต่างๆ โดยในวันที่ 28 ตุลาคมนี้ จะยื่นคดีทั้งหมดให้กับดีเอสไอ ซึ่งวันนี้คดีนี้เป็นคดีพิเศษ เพราะมีความเสียหายที่มีมูลค่ามากกว่า 300 ล้านบาท และมีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมาก ขอยืนยันให้เกิดความมั่นใจกับประชาชนว่า การเปลี่ยนผ่านมือไปสู่อีกส่วนหนึ่งเป็นแค่การทำตามกฏหมาย แต่ทั้ง 3 หน่วยงานยังจะทำงานร่วมกัน ทั้งนี้หากติดขัดอะไรทางฝ่ายการเมืองก็พร้อมที่จะเข้าไปช่วย” นายภูมิธรรม ระบุ
    .
    นายภูมิธรรม ยืนยันว่า ไม่ใช่การยกคดีไปให้ดีเอสไอแล้วผู้ที่ดำเนินการตั้งแต่ต้นจะทิ้งคดี แต่เป็นการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จากการสอบสวนในขณะนี้สำนวนใกล้เสร็จแล้วทั้งหมด พร้อมยื่นให้ดีเอสไอ เราได้คุยกันแล้วว่าทั้ง3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมมือกันทำงานต่อไปให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายที่ถูกต้อง
    .
    ขณะที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค แจ้งความคืบหน้าการดำเนินการคดี The Icon Group ยอดผู้เสียหายหลอกลวงลงทุนของบริษัท "ดิไอคอนกรุ๊ป" โดยยอดรวมสะสม ระหว่างวันที่ 10-26 ตุลาคม 2567 มีจำนวนผู้เสียหายที่สอบปากคำแล้ว 3,324 ราย มูลค่าความเสียหายเฉพาะที่สอบปากคำแล้วรวม 1,131 ล้านบาทเศษ ปัจจุบัน ยอดรวมผู้เสียหายที่เข้าให้ปากคำกับศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ในคดีดิไอคอนกรุ๊ป จากศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 9,212 ราย มูลค่าความเสียหาย 2,839 ล้านบาทเศษ
    ..............
    Sondhi X
    ดีเอสไอ รับคดี 'The Icon' แบ่งงาน 'ปปง.-ตร.' มูลค่าเสียหายทะลุ 2 พันล้าน . การเดินหน้าตรวจสอบคดีบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อมีการส่งมอบคดีให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ รับไปดำเนินการต่อ ซึ่งเป็นผลมาจากการประชุมร่วมกันระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม . "จากนี้ตำรวจจะยื่นคดีให้กับดีเอสไอตามข้อกฎหมาย ส่วนปปง.จะดูแลเรื่องการยึดทรัพย์ต่างๆ โดยในวันที่ 28 ตุลาคมนี้ จะยื่นคดีทั้งหมดให้กับดีเอสไอ ซึ่งวันนี้คดีนี้เป็นคดีพิเศษ เพราะมีความเสียหายที่มีมูลค่ามากกว่า 300 ล้านบาท และมีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมาก ขอยืนยันให้เกิดความมั่นใจกับประชาชนว่า การเปลี่ยนผ่านมือไปสู่อีกส่วนหนึ่งเป็นแค่การทำตามกฏหมาย แต่ทั้ง 3 หน่วยงานยังจะทำงานร่วมกัน ทั้งนี้หากติดขัดอะไรทางฝ่ายการเมืองก็พร้อมที่จะเข้าไปช่วย” นายภูมิธรรม ระบุ . นายภูมิธรรม ยืนยันว่า ไม่ใช่การยกคดีไปให้ดีเอสไอแล้วผู้ที่ดำเนินการตั้งแต่ต้นจะทิ้งคดี แต่เป็นการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จากการสอบสวนในขณะนี้สำนวนใกล้เสร็จแล้วทั้งหมด พร้อมยื่นให้ดีเอสไอ เราได้คุยกันแล้วว่าทั้ง3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมมือกันทำงานต่อไปให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายที่ถูกต้อง . ขณะที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค แจ้งความคืบหน้าการดำเนินการคดี The Icon Group ยอดผู้เสียหายหลอกลวงลงทุนของบริษัท "ดิไอคอนกรุ๊ป" โดยยอดรวมสะสม ระหว่างวันที่ 10-26 ตุลาคม 2567 มีจำนวนผู้เสียหายที่สอบปากคำแล้ว 3,324 ราย มูลค่าความเสียหายเฉพาะที่สอบปากคำแล้วรวม 1,131 ล้านบาทเศษ ปัจจุบัน ยอดรวมผู้เสียหายที่เข้าให้ปากคำกับศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ในคดีดิไอคอนกรุ๊ป จากศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 9,212 ราย มูลค่าความเสียหาย 2,839 ล้านบาทเศษ .............. Sondhi X
    Like
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 813 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ภูมิธรรม'ท่องสคริปเป๊ะ รัฐบาลทำเต็มที่ คดีตากใบจบแล้ว
    .
    สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กำลังเป็นที่จับตามองอีกครั้ง ภายหลังอายุคดีการสลายการชุมนุมหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส หมดอายุความ ทำให้ผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐไม่ต้องขึ้นศาลเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
    .
    นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า สถานการณ์ในพื้นที่เป็นเรื่องที่มีความกังวลตั้งแต่ต้นมาโดยตลอด เพราะสถานการณ์ความรุนแรงยังไม่จบ ทั้งท่าทีที่ฝ่ายรัฐบาลได้พยายามจบคดีนี้ตั้งแต่แรก และใช้เวลา 4-5 ปีในการติดตามแก้ไขปัญหา
    .
    "ส่วนที่บอกว่ารัฐบาลไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้มีกระบวนการยุติธรรม ยืนยันว่ารัฐบาลมีกระบวนการยุติธรรม อย่างที่ตนเคยบอกว่า เคยนำคดีเข้าสู่ศาลฯ อย่างน้อย 4 คดี เพราะฉะนั้นกระบวนการต่าง ๆ ที่ทำมา ก็ได้ทำมาอย่างยาวนาน และที่ศาลฯ ได้ตัดสินในช่วง 5 ปีแรกจนถึงตอนนี้ผ่านมาแล้วกว่า 15 ปี ไม่เคยมีการหยิบหยก ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาแล้วหลายรัฐบาล แต่เหตุการณ์ดังกล่าว นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเสียใจกับเรื่องที่ไม่สามารถทำให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ได้ และไม่สามารถออก พ.ร.ก.แก้ไขอายุความ ตามที่มีหลายฝ่ายเสนอมาได้"
    .
    นายภูมิธรรม ย้ำว่า ได้ให้ทุกหน่วยงานเฝ้าระวัง อย่าให้มีผลต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก และไม่ใช่เรื่องที่จะไปคาดการณ์ให้เลวร้ายที่สุด แต่เราดูแลป้องกันตลอดอยู่แล้ว เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ ยิ่งการแสดงเชิงสัญลักษณ์ของแต่ละฝ่าย เห็นพูดกันในสภาฯ ว่ามีคนเสียชีวิตกว่า 700 กว่าคน แต่ความจริงมีเพียง 70 กว่าคน ถ้าจะนำคนเสียชีวิต 700 กว่าคน ซึ่งต้องนับรวมทหารที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย หากจะพูดกันแบบตรงไปตรงมา เรื่องนี้ถือว่า จบแล้ว
    .
    ขณะที่ การปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่นั้นเริ่มมีการปรับแนวทางการทำงานเพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่อกรณีคดีตากใบ เชื่อมโยงกรณีตากใบอีก
    พันตำรวจเอก ประยงค์ โคตรสาขา รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี ยกระดับคุมเข้ม4มุมเมือง ด่านทุกปรากการมีการตรวจ จยย. และรถยนต์ที่เข้าออกปัตตานี ร่วมถึงตรวจบุคคลที่มีรายชื่ออยู่สารระบบ หวั่นคนร้ายก่อเหตุในช่วงระหว่างนี้ หลังหน่วยความมั่นคงทราบว่ามีการนำอาวุธ และระเบิดพักค่อยเตรียมก่อเหตุอีกครั้งในพื้นที่
    .
    นอกจากนี้ ภายหลังเกิดกรณีคนร้ายก่อเหตุคาร์บอมบ์ หน้า สภ.อ.ปะนาเระ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี มีคำสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจด่วน ประกอบด้วย ผกก.ปะนาเระ รองสืบสวน 3 นาย รองฝ่ายป้องกันปราบปราม อ.ปะนาเระ 2 นาย
    ..............
    Sondhi X
    'ภูมิธรรม'ท่องสคริปเป๊ะ รัฐบาลทำเต็มที่ คดีตากใบจบแล้ว . สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กำลังเป็นที่จับตามองอีกครั้ง ภายหลังอายุคดีการสลายการชุมนุมหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส หมดอายุความ ทำให้ผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐไม่ต้องขึ้นศาลเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม . นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า สถานการณ์ในพื้นที่เป็นเรื่องที่มีความกังวลตั้งแต่ต้นมาโดยตลอด เพราะสถานการณ์ความรุนแรงยังไม่จบ ทั้งท่าทีที่ฝ่ายรัฐบาลได้พยายามจบคดีนี้ตั้งแต่แรก และใช้เวลา 4-5 ปีในการติดตามแก้ไขปัญหา . "ส่วนที่บอกว่ารัฐบาลไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้มีกระบวนการยุติธรรม ยืนยันว่ารัฐบาลมีกระบวนการยุติธรรม อย่างที่ตนเคยบอกว่า เคยนำคดีเข้าสู่ศาลฯ อย่างน้อย 4 คดี เพราะฉะนั้นกระบวนการต่าง ๆ ที่ทำมา ก็ได้ทำมาอย่างยาวนาน และที่ศาลฯ ได้ตัดสินในช่วง 5 ปีแรกจนถึงตอนนี้ผ่านมาแล้วกว่า 15 ปี ไม่เคยมีการหยิบหยก ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาแล้วหลายรัฐบาล แต่เหตุการณ์ดังกล่าว นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเสียใจกับเรื่องที่ไม่สามารถทำให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ได้ และไม่สามารถออก พ.ร.ก.แก้ไขอายุความ ตามที่มีหลายฝ่ายเสนอมาได้" . นายภูมิธรรม ย้ำว่า ได้ให้ทุกหน่วยงานเฝ้าระวัง อย่าให้มีผลต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก และไม่ใช่เรื่องที่จะไปคาดการณ์ให้เลวร้ายที่สุด แต่เราดูแลป้องกันตลอดอยู่แล้ว เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ ยิ่งการแสดงเชิงสัญลักษณ์ของแต่ละฝ่าย เห็นพูดกันในสภาฯ ว่ามีคนเสียชีวิตกว่า 700 กว่าคน แต่ความจริงมีเพียง 70 กว่าคน ถ้าจะนำคนเสียชีวิต 700 กว่าคน ซึ่งต้องนับรวมทหารที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย หากจะพูดกันแบบตรงไปตรงมา เรื่องนี้ถือว่า จบแล้ว . ขณะที่ การปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่นั้นเริ่มมีการปรับแนวทางการทำงานเพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่อกรณีคดีตากใบ เชื่อมโยงกรณีตากใบอีก พันตำรวจเอก ประยงค์ โคตรสาขา รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี ยกระดับคุมเข้ม4มุมเมือง ด่านทุกปรากการมีการตรวจ จยย. และรถยนต์ที่เข้าออกปัตตานี ร่วมถึงตรวจบุคคลที่มีรายชื่ออยู่สารระบบ หวั่นคนร้ายก่อเหตุในช่วงระหว่างนี้ หลังหน่วยความมั่นคงทราบว่ามีการนำอาวุธ และระเบิดพักค่อยเตรียมก่อเหตุอีกครั้งในพื้นที่ . นอกจากนี้ ภายหลังเกิดกรณีคนร้ายก่อเหตุคาร์บอมบ์ หน้า สภ.อ.ปะนาเระ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี มีคำสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจด่วน ประกอบด้วย ผกก.ปะนาเระ รองสืบสวน 3 นาย รองฝ่ายป้องกันปราบปราม อ.ปะนาเระ 2 นาย .............. Sondhi X
    Sad
    Like
    Love
    Haha
    Angry
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 809 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภูมิธรรมถกปม "เรือดำน้ำ" พยามให้จบในยุคตนเอง 25/10/67 #ภูมิธรรม #เรือดำน้ำ #การกองทัพเรือ #รัฐบาล
    ภูมิธรรมถกปม "เรือดำน้ำ" พยามให้จบในยุคตนเอง 25/10/67 #ภูมิธรรม #เรือดำน้ำ #การกองทัพเรือ #รัฐบาล
    Like
    Haha
    Angry
    12
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1873 มุมมอง 477 0 รีวิว
  • 23 ตุลาคม 2567-นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการ ออกบทความเรื่องล่าสุด "ยุบพรรคเพื่อไทย??? : ความชอบธรรมและความเป็นไปได้ทางกฎหมาย" ในลักษณะถาม-ตอบ มีเนื้อหาว่า

    ถาม ทำไมจะไปยุบพรรคเพื่อไทยโดยอ้างว่าถูกทักษิณครอบงำ ก็เขาเป็นคนตั้งพรรค
    รวมผู้คนมาตั้งแต่แรก แล้วใจคอจะไม่ให้ฟังกันบ้างเลยหรืออย่างไร
    ตอบ ทักษิณถูกจำคุกตามคำพิพากษาคดีคอร์รัปชัน สิ้นสิทธิทางการเมืองเป็นคนนอกพรรคเพื่อไทยไปแล้ว เขาจะพูดจะแนะนำอะไร คณะกรรมการพรรคก็ยังรับฟังได้กฎหมายไม่ห้าม แต่ต้องไม่ถึงขั้นถูกครอบงำถึงขนาดขาดอิสระ ทักษิณชี้นกเป็นไม้ ก็ยอมหมด อย่างนี้กฎหมายรับไม่ได้

    ถาม แล้วมันผิดที่ตรงไหน ที่ไปฟังทักษิณ
    ตอบ พรรคการเมืองมีตัวตนอยู่ที่ “ความคิด” ประชาธิปไตยเสนอกันที่ความคิด เมื่อความคิดใครชนะคนนั้นต้องเป็นคนทำ รัฐธรรมนูญไทยเอาจริงถึงขั้นบังคับให้ สส.ต้องสังกัดพรรค และพรรคต้องเสนอชื่อนายกฯไว้ล่วงหน้าเลย
    เมื่อพรรคคือ “ความคิด” พรรคจึงต้องคิดเองตัดสินใจเอง จะเป็นแค่หุ่นเชิดของคนนอกพรรคไม่ได้ ถ้ายอมให้เชิดกันอย่างนี้ได้ ประชาธิปไตยในพรรคก็พลอยจะสิ้นความหมายไปด้วย

    ถาม กกต.ต้องพิสูจน์อะไรให้ศาลรัฐธรรมนูญเห็นบ้าง ว่าพรรคเพื่อไทยถูกทักษิณครอบงำ
    ตอบ อะไรที่เป็นอำนาจของคณะกรรมการพรรค ถ้าพิสูจน์ว่าทักษิณสั่งได้ ก็โดนหมดล่ะครับ ทั้งการกำหนดนโยบายทางการเมือง, การตั้งคณะกรรมการบริหาร,การคัดเลือกส่งคนลงสมัคร สส., การเข้าร่วมรัฐบาล, การเลือกผู้เหมาะสมเป็นรัฐมนตรี, การเสนอร่างกฎหมาย เหล่านี้ล้วนเกิดเป็นเรื่องกล่าวหาได้ทั้งนั้น

    ถาม แล้วชัดเจนถึงขนาดไหนล่ะครับ ถึงจะฟังได้ว่าเป็นการ “ครอบงำ” ผมเห็นคนพรรคเพื่อไทยเขาท้าทายว่า มีพยานหลักฐานชัดเจนไหมว่า เมื่อวันนั้นวันนี้ ทักษิณสั่งนายโน้นนายนี้ใหทำอย่างนั้นอย่างนี้
    ตอบ นี่ไม่ใช่คดีอาญา แต่เป็นคดีคุ้มครองประชาธิปไตยในบ้านเมือง ถ้าพรรคใดยอมตนเป็นหุ่นให้อิทธิพลทุจริต เราก็ต้องยุบพรรคนั้น ถ้าพยานหลักฐานมันแวดล้อมให้เชื่อได้เช่นนั้น ทั้งตั้งลูกสาวเป็นหัวหน้าพรรคโดยไม่มีที่มาที่ไปทางคุณสมบัติ ทั้งเรื่องที่ทักษิณโผล่หน้ามาชี้แจงนโยบายพรรคต่อคนทั้งประเทศ ทั้งเรื่องมีบทบาทคัดคนลงสมัคร นายก อบจ.หรือ สส.สั่งเปลี่ยนโผให้เป็นโน้นคนนี้ หรือแม้กระทั่งเรียกทุกพรรคมาประชุมจันทร์ส่องหล้า แล้วตกลงตั้งรัฐบาลในสูตรเดิม ทั้งหมดนี้ ถ้าคุณเป็นศาลรัฐธรรมนูญ คุณว่ามันพอหรือไม่ ที่จะตัดสินว่าพรรคเพื่อไทยอยู่ใต้บงการของคนชื่อทักษิณ

    ถาม ถ้ามองเป็นเรื่องบงการกันอย่างนี้ การที่พรรคร่วมรัฐบาลแห่ไปพบทักษิณที่บ้านจันทร์ส่องหล้าแล้วตกลงร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทยต่อไปเหมือนเดิม ก็ไม่ใช่เรื่องต้องถูกยุบพรรคใช่ไหมครับ
    ตอบ ถูกต้องครับ พรรคเหล่านี้เขาแค่ไปคุยแล้วตกลงกับทักษิณว่าเราจะรักษาสูตรรัฐบาลไว้ต่อไปเท่านั้นหรือไม่ นี่เป็นเริ่องไปเจรจาตกลง ไม่ใช่เรื่องอยู่ใต้บงการทักษิณแต่อย่างใด
    คุณต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่า ความผิดมันไม่ใช่อยู่ที่เห็นตรงกับทักษิณ หรือไปคุยกับทักษิณ แต่มันอยู่ตรงที่ความสัมพันธ์ทางอำนาจว่ามีพรรคไหนไปอยู่ใต้บงการเขาหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ไม่มีพรรคร่วมรัฐบาลใดนอกจากเพื่อไทยเท่านั้น ที่มีปัญหาว่าไปเป็นขี้ข้าเขาแบบนั้นหรือไม่

    ถาม แล้ว กกต. ฟ้องศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคเพื่อไทยเลยได้ไหมครับ ข้างพรรคเพื่อไทยจะเถียงอะไรก็ให้ไปว่ากันในศาล
    ตอบ งานนี้เป็นเรื่องชี้ขาดกันด้วยพยานแวดล้อม ถ้าพยานหลักฐานแต่ละเรื่องมันล้อมเข้ามาจนชัดเจน และรู้กันทั่วไป เพียงเท่านี้ กกต.ก็ฟ้องได้แล้วครับว่า แต่ละพฤติการณ์ประกอบกันเข้ามาให้เชื่อได้แล้วว่า ทักษิณคือผู้ครอบครองพรรคเพื่อไทย

    ถาม เห็น รองนายกฯภูมิธรรม เขาบอกว่าไม่น่ามาร้องเรียนอะไรกันเลย รัฐบาลลุยจนเศรษฐกิจกำลังจะฟื้นอยู่แล้ว
    ตอบ ฟื้นจริงไหม? ฟื้นเพื่อใคร? มีใครที่ครอบงำพรรคแล้วรอเสวยประโยชน์อยู่โดยทุจริตหรือไม่ ทั้งเรื่อง สัมปทานบ่อน และ เจรจาพื้นที่ทับซ้อนกับเขมร?
    ตรงนี้เป็นปัญหาความสะอาด ความเลว ความชั่ว ในระบบรัฐบาล ที่ต้องเคลียร์ให้ได้ชัดเจนจริงๆ
    เศรษฐกิจมันฟื้นจากพื้นฐานที่สกปรกไม่ได้ รู้จักมียางอายกันบ้างเถิดครับ

    https://www.thaipost.net/hi-light/677990/

    #Thaitimes
    23 ตุลาคม 2567-นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการ ออกบทความเรื่องล่าสุด "ยุบพรรคเพื่อไทย??? : ความชอบธรรมและความเป็นไปได้ทางกฎหมาย" ในลักษณะถาม-ตอบ มีเนื้อหาว่า ถาม ทำไมจะไปยุบพรรคเพื่อไทยโดยอ้างว่าถูกทักษิณครอบงำ ก็เขาเป็นคนตั้งพรรค รวมผู้คนมาตั้งแต่แรก แล้วใจคอจะไม่ให้ฟังกันบ้างเลยหรืออย่างไร ตอบ ทักษิณถูกจำคุกตามคำพิพากษาคดีคอร์รัปชัน สิ้นสิทธิทางการเมืองเป็นคนนอกพรรคเพื่อไทยไปแล้ว เขาจะพูดจะแนะนำอะไร คณะกรรมการพรรคก็ยังรับฟังได้กฎหมายไม่ห้าม แต่ต้องไม่ถึงขั้นถูกครอบงำถึงขนาดขาดอิสระ ทักษิณชี้นกเป็นไม้ ก็ยอมหมด อย่างนี้กฎหมายรับไม่ได้ ถาม แล้วมันผิดที่ตรงไหน ที่ไปฟังทักษิณ ตอบ พรรคการเมืองมีตัวตนอยู่ที่ “ความคิด” ประชาธิปไตยเสนอกันที่ความคิด เมื่อความคิดใครชนะคนนั้นต้องเป็นคนทำ รัฐธรรมนูญไทยเอาจริงถึงขั้นบังคับให้ สส.ต้องสังกัดพรรค และพรรคต้องเสนอชื่อนายกฯไว้ล่วงหน้าเลย เมื่อพรรคคือ “ความคิด” พรรคจึงต้องคิดเองตัดสินใจเอง จะเป็นแค่หุ่นเชิดของคนนอกพรรคไม่ได้ ถ้ายอมให้เชิดกันอย่างนี้ได้ ประชาธิปไตยในพรรคก็พลอยจะสิ้นความหมายไปด้วย ถาม กกต.ต้องพิสูจน์อะไรให้ศาลรัฐธรรมนูญเห็นบ้าง ว่าพรรคเพื่อไทยถูกทักษิณครอบงำ ตอบ อะไรที่เป็นอำนาจของคณะกรรมการพรรค ถ้าพิสูจน์ว่าทักษิณสั่งได้ ก็โดนหมดล่ะครับ ทั้งการกำหนดนโยบายทางการเมือง, การตั้งคณะกรรมการบริหาร,การคัดเลือกส่งคนลงสมัคร สส., การเข้าร่วมรัฐบาล, การเลือกผู้เหมาะสมเป็นรัฐมนตรี, การเสนอร่างกฎหมาย เหล่านี้ล้วนเกิดเป็นเรื่องกล่าวหาได้ทั้งนั้น ถาม แล้วชัดเจนถึงขนาดไหนล่ะครับ ถึงจะฟังได้ว่าเป็นการ “ครอบงำ” ผมเห็นคนพรรคเพื่อไทยเขาท้าทายว่า มีพยานหลักฐานชัดเจนไหมว่า เมื่อวันนั้นวันนี้ ทักษิณสั่งนายโน้นนายนี้ใหทำอย่างนั้นอย่างนี้ ตอบ นี่ไม่ใช่คดีอาญา แต่เป็นคดีคุ้มครองประชาธิปไตยในบ้านเมือง ถ้าพรรคใดยอมตนเป็นหุ่นให้อิทธิพลทุจริต เราก็ต้องยุบพรรคนั้น ถ้าพยานหลักฐานมันแวดล้อมให้เชื่อได้เช่นนั้น ทั้งตั้งลูกสาวเป็นหัวหน้าพรรคโดยไม่มีที่มาที่ไปทางคุณสมบัติ ทั้งเรื่องที่ทักษิณโผล่หน้ามาชี้แจงนโยบายพรรคต่อคนทั้งประเทศ ทั้งเรื่องมีบทบาทคัดคนลงสมัคร นายก อบจ.หรือ สส.สั่งเปลี่ยนโผให้เป็นโน้นคนนี้ หรือแม้กระทั่งเรียกทุกพรรคมาประชุมจันทร์ส่องหล้า แล้วตกลงตั้งรัฐบาลในสูตรเดิม ทั้งหมดนี้ ถ้าคุณเป็นศาลรัฐธรรมนูญ คุณว่ามันพอหรือไม่ ที่จะตัดสินว่าพรรคเพื่อไทยอยู่ใต้บงการของคนชื่อทักษิณ ถาม ถ้ามองเป็นเรื่องบงการกันอย่างนี้ การที่พรรคร่วมรัฐบาลแห่ไปพบทักษิณที่บ้านจันทร์ส่องหล้าแล้วตกลงร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทยต่อไปเหมือนเดิม ก็ไม่ใช่เรื่องต้องถูกยุบพรรคใช่ไหมครับ ตอบ ถูกต้องครับ พรรคเหล่านี้เขาแค่ไปคุยแล้วตกลงกับทักษิณว่าเราจะรักษาสูตรรัฐบาลไว้ต่อไปเท่านั้นหรือไม่ นี่เป็นเริ่องไปเจรจาตกลง ไม่ใช่เรื่องอยู่ใต้บงการทักษิณแต่อย่างใด คุณต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่า ความผิดมันไม่ใช่อยู่ที่เห็นตรงกับทักษิณ หรือไปคุยกับทักษิณ แต่มันอยู่ตรงที่ความสัมพันธ์ทางอำนาจว่ามีพรรคไหนไปอยู่ใต้บงการเขาหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ไม่มีพรรคร่วมรัฐบาลใดนอกจากเพื่อไทยเท่านั้น ที่มีปัญหาว่าไปเป็นขี้ข้าเขาแบบนั้นหรือไม่ ถาม แล้ว กกต. ฟ้องศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคเพื่อไทยเลยได้ไหมครับ ข้างพรรคเพื่อไทยจะเถียงอะไรก็ให้ไปว่ากันในศาล ตอบ งานนี้เป็นเรื่องชี้ขาดกันด้วยพยานแวดล้อม ถ้าพยานหลักฐานแต่ละเรื่องมันล้อมเข้ามาจนชัดเจน และรู้กันทั่วไป เพียงเท่านี้ กกต.ก็ฟ้องได้แล้วครับว่า แต่ละพฤติการณ์ประกอบกันเข้ามาให้เชื่อได้แล้วว่า ทักษิณคือผู้ครอบครองพรรคเพื่อไทย ถาม เห็น รองนายกฯภูมิธรรม เขาบอกว่าไม่น่ามาร้องเรียนอะไรกันเลย รัฐบาลลุยจนเศรษฐกิจกำลังจะฟื้นอยู่แล้ว ตอบ ฟื้นจริงไหม? ฟื้นเพื่อใคร? มีใครที่ครอบงำพรรคแล้วรอเสวยประโยชน์อยู่โดยทุจริตหรือไม่ ทั้งเรื่อง สัมปทานบ่อน และ เจรจาพื้นที่ทับซ้อนกับเขมร? ตรงนี้เป็นปัญหาความสะอาด ความเลว ความชั่ว ในระบบรัฐบาล ที่ต้องเคลียร์ให้ได้ชัดเจนจริงๆ เศรษฐกิจมันฟื้นจากพื้นฐานที่สกปรกไม่ได้ รู้จักมียางอายกันบ้างเถิดครับ https://www.thaipost.net/hi-light/677990/ #Thaitimes
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 345 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ได้ละเลย ภูมิธรรมป้องนายกคดีตากใบ (21/10/67) #news1 #ภูมิธรรมป้องนายก #คดีตากใบ
    ไม่ได้ละเลย ภูมิธรรมป้องนายกคดีตากใบ (21/10/67) #news1 #ภูมิธรรมป้องนายก #คดีตากใบ
    Like
    Angry
    Sad
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 947 มุมมอง 289 0 รีวิว
  • ภูมิธรรมแจงวงดินเนอร์ไม่ใช่เวทีถกนิรโทษกรรม (21/10/67) #news1 #ภูมิธรรม #พรรคร่วมรัฐบาล #นิรโทษกรรม
    ภูมิธรรมแจงวงดินเนอร์ไม่ใช่เวทีถกนิรโทษกรรม (21/10/67) #news1 #ภูมิธรรม #พรรคร่วมรัฐบาล #นิรโทษกรรม
    Like
    Angry
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 942 มุมมอง 264 0 รีวิว

  • ภูมิธรรมโชว์หนังสือ "พิศาล" ลาออกสมาชิกเพื่อไทยแล้ว (15/10/67) #news1 #คดีตากใบ #พล.อ.พิศาลวัฒนวงษ์คีรี
    ภูมิธรรมโชว์หนังสือ "พิศาล" ลาออกสมาชิกเพื่อไทยแล้ว (15/10/67) #news1 #คดีตากใบ #พล.อ.พิศาลวัฒนวงษ์คีรี
    Like
    Haha
    Angry
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1024 มุมมอง 400 0 รีวิว
  • "ภูมิธรรม" โชว์หนังสือ "พิศาล" ลาออกจากเพื่อไทย เผยเหตุผลไม่อยากทำพรรคเดือดร้อน หลังถูกเชื่อมโยงสร้างความขัดแย้ง กรณีตกเป็นจำเลยคดีตากใบ ขอกลับมาแจงเองหลังอาการป่วยทุเลา

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000099291

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    "ภูมิธรรม" โชว์หนังสือ "พิศาล" ลาออกจากเพื่อไทย เผยเหตุผลไม่อยากทำพรรคเดือดร้อน หลังถูกเชื่อมโยงสร้างความขัดแย้ง กรณีตกเป็นจำเลยคดีตากใบ ขอกลับมาแจงเองหลังอาการป่วยทุเลา อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000099291 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Angry
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1552 มุมมอง 0 รีวิว
  • บิ๊กโจ๊ก ยังรุกหนัก ตามจี้นายกฯอุ๊งอิ๊ง สอบ ขรก.เอี่ยวเว็บพนัน
    .
    แม้ว่าในปีนี้จะเป็นในรอบหลายปีที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตผบ.ตร. หลุดวงจรอำนาจ ไม่ได้มีชื่อเป็นแคนดิเดทผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ปรากฎว่ายังมีความเคลื่อนไหวที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมานายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น ได้มีคำสั่งนายกฯที่ 306 / 2567 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงตามเรื่องร้องเรียน
    .
    โดยในหนังสือดังกล่าวมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า "ด้วยพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล ได้มีหนังสือร้องเรียนลงวันที่ 21 สิงหาคม ปรากฎมีการพาดพิงข้าราชการหลายประเภท ดังนั้น เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ภายใต้หลักธรรมาภิบาลความโปร่งใสและความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เป็นไปตามหลักนิติธรรม จึงมีคำสั่งให้คณกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามเรื่องร้องเรียน ประกอบด้วย 1.นายพิฆเนศ ต๊ะปวง ประธานกรรมการ ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติกรรมการ ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย กรรมการ ผู้แทนกรมชลประทาน กรรมการ ผู้แทนสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรรมการ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ กรรมการ ผู้แทนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรรมการและเลขานุการ"
    .
    "คณะกรรมการ มีหน้าที่และอำนาจตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวข้องกับเรื่องร้องเรียนดังกล่าว แล้วรายงานนายกรัฐมนตรีภายใน 30 วัน ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวต้องไม่ก้าวล่วงหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว
    .
    จากนั้นปรากฎว่าในวันที่ 8 ตุลาคม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เรื่องขอสำเนาแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและอ้างพยานบุคคลให้ถ้อยคำเกี่ยวกับการดำเนินการกับข้าราชการตำรวจ ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการการเมืองและพนักงานส่วนท้องถิ่น
    .
    โดยเนื้อความของหนังสือดังกล่าวระบุตอนหนึ่งว่า ตามหนังสือที่อ้างถึง ข้าพเจ้ากราบเรียนนายกฯ ขอให้พิจารณาดำเนินการกับข้าราชการตำรวจ ช้าราชการพลเรือน ข้าราชการการเมือง และพนักงานส่วนท้องถิ่น กรณีพบพยานหลักฐานมีการพาดพิงบุคคลจำนวนหลายรายว่ามีพฤติการณ์รับโอนเงินจากเจ้าของเว็บพนันออนไลน์ ซึ่งต่อมาข้าพเจ้ามีหนังสือขอให้นายกฯเร่งรัดให้มีการดำเนินการทางวินัยและอาญากับบุคคลที่ถูกพาดพิง รวมทั้งขอให้นายกฯเป็นผู้พิจารณาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการทางวินัยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 แต่ปรากฎว่าสำนักเลขาธิการนายกฯได้มีหนังสือนำกราบเรียนนายกฯพิจารณาแล้ว มีบัญชาให้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจพิจารณา พร้อมทั้งได้มีคำสั่งสำนักนายกฯ ลับ ที่ 306/2567 นั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นคำสั่งเกี่ยวกับการดำเนินการที่จะเป็นประโยชน์แก่สาธารณะ อันเป็นเอกสารไม่เกี่ยวกบการวินิจฉัยพิจารณา โดยข้าพเจ้าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการถูกกล่าวหาในเรื่องเว็บพนันออนไลน์ รวมทั้งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความถูกต้องโปร่งใสในการดำเนินการของนายกฯ ข้าพเจ้าจึงมีความประสงค์ ดังนี้
    .
    1.ขอสำเนาคำสั่งนายกฯ ลับ ที่ 306/2567 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามเรื่องร้องเรียนลงวันที่ 5 กันยายน โดยลบ ตัดทอนหรือทำด้วยประการอื่นใดมิให้ปรากฎชื่อบุคคลที่อาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสียนั้น
    .
    2.ขออ้างพันตำรวจโท คริษฐ์ ปริยะเกตุ เป็นพยานบุคคลเพื่อให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการกับข้าราชการตำรวจ ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการการเมือง และพนักงานส่วนท้องถิ่นตามคำสั่งสำนักนายกฯ เนื่องมาจากเป็นผู้ได้รับข้อมูลการเดินบัญชีของบุคคลที่เกี่ยวข้องว่ามีความสัมพันธ์กับนางสาวพิมพ์วิไล ปล้องอ่อน ผู้ถูกกล่าวหาในคดีเว็บพนันออนไลน์อย่างไร จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้เกิดความถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
    ..............
    Sondhi X
    บิ๊กโจ๊ก ยังรุกหนัก ตามจี้นายกฯอุ๊งอิ๊ง สอบ ขรก.เอี่ยวเว็บพนัน . แม้ว่าในปีนี้จะเป็นในรอบหลายปีที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตผบ.ตร. หลุดวงจรอำนาจ ไม่ได้มีชื่อเป็นแคนดิเดทผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ปรากฎว่ายังมีความเคลื่อนไหวที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมานายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น ได้มีคำสั่งนายกฯที่ 306 / 2567 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงตามเรื่องร้องเรียน . โดยในหนังสือดังกล่าวมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า "ด้วยพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล ได้มีหนังสือร้องเรียนลงวันที่ 21 สิงหาคม ปรากฎมีการพาดพิงข้าราชการหลายประเภท ดังนั้น เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ภายใต้หลักธรรมาภิบาลความโปร่งใสและความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เป็นไปตามหลักนิติธรรม จึงมีคำสั่งให้คณกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามเรื่องร้องเรียน ประกอบด้วย 1.นายพิฆเนศ ต๊ะปวง ประธานกรรมการ ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติกรรมการ ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย กรรมการ ผู้แทนกรมชลประทาน กรรมการ ผู้แทนสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรรมการ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ กรรมการ ผู้แทนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรรมการและเลขานุการ" . "คณะกรรมการ มีหน้าที่และอำนาจตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวข้องกับเรื่องร้องเรียนดังกล่าว แล้วรายงานนายกรัฐมนตรีภายใน 30 วัน ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวต้องไม่ก้าวล่วงหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว . จากนั้นปรากฎว่าในวันที่ 8 ตุลาคม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เรื่องขอสำเนาแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและอ้างพยานบุคคลให้ถ้อยคำเกี่ยวกับการดำเนินการกับข้าราชการตำรวจ ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการการเมืองและพนักงานส่วนท้องถิ่น . โดยเนื้อความของหนังสือดังกล่าวระบุตอนหนึ่งว่า ตามหนังสือที่อ้างถึง ข้าพเจ้ากราบเรียนนายกฯ ขอให้พิจารณาดำเนินการกับข้าราชการตำรวจ ช้าราชการพลเรือน ข้าราชการการเมือง และพนักงานส่วนท้องถิ่น กรณีพบพยานหลักฐานมีการพาดพิงบุคคลจำนวนหลายรายว่ามีพฤติการณ์รับโอนเงินจากเจ้าของเว็บพนันออนไลน์ ซึ่งต่อมาข้าพเจ้ามีหนังสือขอให้นายกฯเร่งรัดให้มีการดำเนินการทางวินัยและอาญากับบุคคลที่ถูกพาดพิง รวมทั้งขอให้นายกฯเป็นผู้พิจารณาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการทางวินัยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 แต่ปรากฎว่าสำนักเลขาธิการนายกฯได้มีหนังสือนำกราบเรียนนายกฯพิจารณาแล้ว มีบัญชาให้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจพิจารณา พร้อมทั้งได้มีคำสั่งสำนักนายกฯ ลับ ที่ 306/2567 นั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นคำสั่งเกี่ยวกับการดำเนินการที่จะเป็นประโยชน์แก่สาธารณะ อันเป็นเอกสารไม่เกี่ยวกบการวินิจฉัยพิจารณา โดยข้าพเจ้าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการถูกกล่าวหาในเรื่องเว็บพนันออนไลน์ รวมทั้งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความถูกต้องโปร่งใสในการดำเนินการของนายกฯ ข้าพเจ้าจึงมีความประสงค์ ดังนี้ . 1.ขอสำเนาคำสั่งนายกฯ ลับ ที่ 306/2567 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามเรื่องร้องเรียนลงวันที่ 5 กันยายน โดยลบ ตัดทอนหรือทำด้วยประการอื่นใดมิให้ปรากฎชื่อบุคคลที่อาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสียนั้น . 2.ขออ้างพันตำรวจโท คริษฐ์ ปริยะเกตุ เป็นพยานบุคคลเพื่อให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการกับข้าราชการตำรวจ ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการการเมือง และพนักงานส่วนท้องถิ่นตามคำสั่งสำนักนายกฯ เนื่องมาจากเป็นผู้ได้รับข้อมูลการเดินบัญชีของบุคคลที่เกี่ยวข้องว่ามีความสัมพันธ์กับนางสาวพิมพ์วิไล ปล้องอ่อน ผู้ถูกกล่าวหาในคดีเว็บพนันออนไลน์อย่างไร จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้เกิดความถูกต้องตามกฎหมายต่อไป .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    Angry
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 745 มุมมอง 0 รีวิว
  • น.ส.พ.ประชาไทนิวส์ออนไลน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 59 ประจำเดือนตุลาคม 2567 @ ประเทศไทยต้องมี “แผนป้องกันน้ำท่วมระยะยาว”ออกจากปากของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็น“วิสัยทัศน์”ที่ควรค่าต่อการ“ปรบมือ”และ“ติดตาม”... “เหนือเมฆ” แนะให้ดู “วิธีคิด-วิธีการ”ของผู้บริหาร “แชงกรีลาเชียงใหม่โมเดล” เป็นแรงกระชากใจ...กล้าคิด กล้าทำ @ ดราม่าไอแพดบบนเวที ACD summit กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ชุดความรู้สำหรับ “สร.1 ป้ายแดง” “เหนือเมฆ”ให้กำลังใจ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คำเมืองเปิ้นว่า “แมงแสนตี๋นต๋ายตกน้ำบ่อ”...ประมาณว่า ไม่เคยมีใครไม่เคยผิดพลาด ภาวะผู้นำเบอร์ 1 ของประเทศ บางฟิลต้อง “นิ่ง”ให้เป็น.. “เหนือเมฆ” ใคร่อยากรู้นัก ใครเป็นทีมที่ปรึกษา-ทีมPR อยากหยิกให้เนื้อเขียวเชียว...@ “นายกอุ๊งอิ๊ง”อ้อนออดขอกำลังใจจากผู้อาวุโส“สายม๊อบ” ที่เอะอะก็จะเป่านกหวีดชวนคนลงถนนตะพึ่ด “เพิ่งทำงานได้แค่เดือนเดียวเอง..” ลำพัง“นิติสงคราม”จากพี่ๆนักร้องมืออาชีพที่เคารพก็กองพะเนินเทินทึกจ่อคอหอย ขบวนการตามล้างตามเช็ดตระกูล “ชินวัตร” รายล้อมรอบตัว...งานนี้ คุณพ่อที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร ต้องติวเข้ม “ลูกอุ๊งอิ๊ง” ทุกกระเบียดนิ้วปฏิกริยา...ปล่อย“สหายใหญ่” เป็นโค้ชคนเดียวน่าจะเอาไม่อยู่ @ ก็ชอบแล้วที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงนามคำสั่งแต่งตั้งที่ปรึกษาเพิ่มเติม 2 คน ธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาศ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โปรเจ็คต์ปะจะฉะดะพะบู๊กับแรงเสียดทานทั้งสายบู๊สายบุ๋นนอกในสภา...คู่หูดูโอ้นี้น่าจะบรรเทาเบาแรงให้ “นายกอุ๊งอิ๊ง”มีเวลาทำงานเพิ่มมากขึ้น @ ยามนี้พรรคการเมืองไทยที่กระโดดโลดเต้นในหน้าสื่อรายวัน ดูเหมือนจะมีโดดเด่นเพียง “เพื่อไทย”กับ “ภูมิใจไทย” ขณะที่พรรคประชาชน พักหลังโดนกระแสสังคม “จับตา-จับตาย”หลายแอ๊คชั่นของส.ส.ในสังกัด ที่เหมือนบางท่านจะ“วุฒิภาวะบกพร่อง”กระบวนการ “คิด” และ “ประสบการณ์” แม้ว่ามวลหมู่คนเจนเนอเรชั่นเดียวกันในมุมมืดจะฟันธงล่วงหน้า “อย่างไรก็จะเลือก” แต่โอกาสที่พรรคประชาชนจะเทียบชั้นบริหารราชการแผ่นดินเบอร์ 1 ก็ยังคงมีขบวนการเตะตัดขา “ยุ่บ-ยั่บ”ต่อเนื่อ...แม้สนามหน้าจะแลนด์สไลด์ก็ตาม...เว้นแต่พรรคใหญ่สมัยหน้าจะกวักมือเทียบเชิญจัดตั้งรัฐบาลข้ามสปีชี่... @ “นักการเมือง”และ“สื่อ” คือ พลวัตรชี้นำสังคมไทย โดยมี “คุณภาพประชาชนไทย”เป็นฐานองคาพยพขับเคลื่อน ทั้งการ “ส่งต่อ”และ “การสังเคราะห์ข้อมูล” กระบวนการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นตัวอย่างแอ็คชั่นทางการเมืองเพื่อ “ฟอกขาว”ตนตัวของบรรดานักการเมือง เมื่อ “สื่อ”ระดม“สารมวลชน” ให้ประชาชนคำนวณบวกลบคูณหาร อาการลุกลี้ลุกลนตามสำนวน “ถอยแบบสุดซอย”จึงเกิดขึ้น... และแน่นอนก็ต้องตอบคำถามประชาชนด้วยเพราะบางพรรคร่วมรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง 1” ชูธงเป็นนโยบายหาเสียง @ หากพลิกประเด็นในนโยบายหาเสียงแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคการเมืองไทยแล้ว โดยพิจารณาจากทุกพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฏร จะเห็นว่าทุกพรรค ออกอาการอุจจาระหดผายลมหายกับคำว่า “รัฐประหาร” ทั้งต่อต้าน ทั้งห้ามนิรโทษกรรม ทั้งกำหนดบทลงโทษ พาลโพเลโพเกไปถึงองค์กรอิสระที่เสนอให้ต้องลดบทบาทอำนาจ ให้มีการคานอำนาจ...อาการของนักการเมืองที่เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ “เหนือเมฆ”มองมุมไหนก็ล้วนแต่เป็นนักการเมืองหรือพรรคการเมืองสาย “กินปูนร้อนท้อง”...@ วุฒิสภาสายสีน้ำเงิน...ก็เป็นผลลัพธ์เชิงประจักษ์ของพรรคการเมืองไทยที่พยายามอาศัยช่องว่างช่องโหว่ของนิยามการให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาตัวแทนประชาชนจากทุกสาขาอาชีพ และสุดท้ายภาพของ “วุฒิสภา”ที่ต้องทำงานร้อยรัดกับเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก็เลยบังเกิดขึ้นในเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ... “เกียรติยศ”และ “ศักดิ์ศรี” กินไม่ได้แต่“เท่” มันมีจริงๆครับเสี่ย...! @ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและมท.1 เลี่ยงที่จะตอบคำถามกรณี คำถามสื่อที่ว่า ครูใหญ่เนวิน ชิดชอบ บ้านใหญ่ภูมิใจไทย ดอดเข้าพบ ทักษิณ ชินวัตร บ้านใหญ่เพื่อไทย...จริงหรือไม่ ณ นาทีนี้ “เหนือเมฆ”ยังไม่ฟันธง แต่อาการ “เลี่ยง” และโบกมือ “บ๊ายบาย”สื่อ มันผิดวิสัยปกติของมท.1 “พี่หนู”...แต่ที่แน่ๆ ถ้าจริง มันคงไม่ใช่เรื่อง “ไร้สาระ”แน่นอน...@ เสียงอำนวยอวยพรก้องฟ้าบุรีรัมย์ของ เนวิน ชิดชอบ “ขอให้อนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี”ยังดังก้องในพิธีปะกำช้างวันคล้ายวันเกิดครูใหญ่เนวิน ขณะผูกข้อไม้ข้อมือ พรนี้ทำเอา “อนุทิน ชาญวีรกูล” ออกอาการสะดุ้งโหยง ไมครูใหญ่ช่างกล้า...เอาเรื่องจริงมาพูดเล่น..นิ ! @ ส่งท้าย น.ส.พ.ประชาไทนิวส์ออนไลน์ ขอแสดงความยินดีกับ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 15 แห่งอาณาจักรพิทักษ์สันติราษฎร์ไทย คดีความต่อเนื่องใดๆที่ใครๆต่างก็ลุ้นระทึกตั้งแต่ครั้ง “รักษาการ” มาถึง “ตัวจริง-เสียงจริง”ในวันนี้ “เหนือเมฆ” ไม่คาดหวังสิ่งใด นอกจาก “ภาพลักษณ์เชิงบวก”ของวงการตำรวจไทย...ที่สาละวันถอยหลังและสาละวันเตี้ยลงมานานหลายขวบปี...มีฝีมือแค่ไหน “เดินหน้าลงมือทำทันที” ครับท่าน...ตะเบ๊ะ !
    -เหนือเมฆ-

    น.ส.พ.ประชาไทนิวส์ออนไลน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 59 ประจำเดือนตุลาคม 2567 @ ประเทศไทยต้องมี “แผนป้องกันน้ำท่วมระยะยาว”ออกจากปากของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็น“วิสัยทัศน์”ที่ควรค่าต่อการ“ปรบมือ”และ“ติดตาม”... “เหนือเมฆ” แนะให้ดู “วิธีคิด-วิธีการ”ของผู้บริหาร “แชงกรีลาเชียงใหม่โมเดล” เป็นแรงกระชากใจ...กล้าคิด กล้าทำ @ ดราม่าไอแพดบบนเวที ACD summit กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ชุดความรู้สำหรับ “สร.1 ป้ายแดง” “เหนือเมฆ”ให้กำลังใจ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คำเมืองเปิ้นว่า “แมงแสนตี๋นต๋ายตกน้ำบ่อ”...ประมาณว่า ไม่เคยมีใครไม่เคยผิดพลาด ภาวะผู้นำเบอร์ 1 ของประเทศ บางฟิลต้อง “นิ่ง”ให้เป็น.. “เหนือเมฆ” ใคร่อยากรู้นัก ใครเป็นทีมที่ปรึกษา-ทีมPR อยากหยิกให้เนื้อเขียวเชียว...@ “นายกอุ๊งอิ๊ง”อ้อนออดขอกำลังใจจากผู้อาวุโส“สายม๊อบ” ที่เอะอะก็จะเป่านกหวีดชวนคนลงถนนตะพึ่ด “เพิ่งทำงานได้แค่เดือนเดียวเอง..” ลำพัง“นิติสงคราม”จากพี่ๆนักร้องมืออาชีพที่เคารพก็กองพะเนินเทินทึกจ่อคอหอย ขบวนการตามล้างตามเช็ดตระกูล “ชินวัตร” รายล้อมรอบตัว...งานนี้ คุณพ่อที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร ต้องติวเข้ม “ลูกอุ๊งอิ๊ง” ทุกกระเบียดนิ้วปฏิกริยา...ปล่อย“สหายใหญ่” เป็นโค้ชคนเดียวน่าจะเอาไม่อยู่ @ ก็ชอบแล้วที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงนามคำสั่งแต่งตั้งที่ปรึกษาเพิ่มเติม 2 คน ธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาศ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โปรเจ็คต์ปะจะฉะดะพะบู๊กับแรงเสียดทานทั้งสายบู๊สายบุ๋นนอกในสภา...คู่หูดูโอ้นี้น่าจะบรรเทาเบาแรงให้ “นายกอุ๊งอิ๊ง”มีเวลาทำงานเพิ่มมากขึ้น @ ยามนี้พรรคการเมืองไทยที่กระโดดโลดเต้นในหน้าสื่อรายวัน ดูเหมือนจะมีโดดเด่นเพียง “เพื่อไทย”กับ “ภูมิใจไทย” ขณะที่พรรคประชาชน พักหลังโดนกระแสสังคม “จับตา-จับตาย”หลายแอ๊คชั่นของส.ส.ในสังกัด ที่เหมือนบางท่านจะ“วุฒิภาวะบกพร่อง”กระบวนการ “คิด” และ “ประสบการณ์” แม้ว่ามวลหมู่คนเจนเนอเรชั่นเดียวกันในมุมมืดจะฟันธงล่วงหน้า “อย่างไรก็จะเลือก” แต่โอกาสที่พรรคประชาชนจะเทียบชั้นบริหารราชการแผ่นดินเบอร์ 1 ก็ยังคงมีขบวนการเตะตัดขา “ยุ่บ-ยั่บ”ต่อเนื่อ...แม้สนามหน้าจะแลนด์สไลด์ก็ตาม...เว้นแต่พรรคใหญ่สมัยหน้าจะกวักมือเทียบเชิญจัดตั้งรัฐบาลข้ามสปีชี่... @ “นักการเมือง”และ“สื่อ” คือ พลวัตรชี้นำสังคมไทย โดยมี “คุณภาพประชาชนไทย”เป็นฐานองคาพยพขับเคลื่อน ทั้งการ “ส่งต่อ”และ “การสังเคราะห์ข้อมูล” กระบวนการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นตัวอย่างแอ็คชั่นทางการเมืองเพื่อ “ฟอกขาว”ตนตัวของบรรดานักการเมือง เมื่อ “สื่อ”ระดม“สารมวลชน” ให้ประชาชนคำนวณบวกลบคูณหาร อาการลุกลี้ลุกลนตามสำนวน “ถอยแบบสุดซอย”จึงเกิดขึ้น... และแน่นอนก็ต้องตอบคำถามประชาชนด้วยเพราะบางพรรคร่วมรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง 1” ชูธงเป็นนโยบายหาเสียง @ หากพลิกประเด็นในนโยบายหาเสียงแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคการเมืองไทยแล้ว โดยพิจารณาจากทุกพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฏร จะเห็นว่าทุกพรรค ออกอาการอุจจาระหดผายลมหายกับคำว่า “รัฐประหาร” ทั้งต่อต้าน ทั้งห้ามนิรโทษกรรม ทั้งกำหนดบทลงโทษ พาลโพเลโพเกไปถึงองค์กรอิสระที่เสนอให้ต้องลดบทบาทอำนาจ ให้มีการคานอำนาจ...อาการของนักการเมืองที่เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ “เหนือเมฆ”มองมุมไหนก็ล้วนแต่เป็นนักการเมืองหรือพรรคการเมืองสาย “กินปูนร้อนท้อง”...@ วุฒิสภาสายสีน้ำเงิน...ก็เป็นผลลัพธ์เชิงประจักษ์ของพรรคการเมืองไทยที่พยายามอาศัยช่องว่างช่องโหว่ของนิยามการให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาตัวแทนประชาชนจากทุกสาขาอาชีพ และสุดท้ายภาพของ “วุฒิสภา”ที่ต้องทำงานร้อยรัดกับเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก็เลยบังเกิดขึ้นในเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ... “เกียรติยศ”และ “ศักดิ์ศรี” กินไม่ได้แต่“เท่” มันมีจริงๆครับเสี่ย...! @ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและมท.1 เลี่ยงที่จะตอบคำถามกรณี คำถามสื่อที่ว่า ครูใหญ่เนวิน ชิดชอบ บ้านใหญ่ภูมิใจไทย ดอดเข้าพบ ทักษิณ ชินวัตร บ้านใหญ่เพื่อไทย...จริงหรือไม่ ณ นาทีนี้ “เหนือเมฆ”ยังไม่ฟันธง แต่อาการ “เลี่ยง” และโบกมือ “บ๊ายบาย”สื่อ มันผิดวิสัยปกติของมท.1 “พี่หนู”...แต่ที่แน่ๆ ถ้าจริง มันคงไม่ใช่เรื่อง “ไร้สาระ”แน่นอน...@ เสียงอำนวยอวยพรก้องฟ้าบุรีรัมย์ของ เนวิน ชิดชอบ “ขอให้อนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี”ยังดังก้องในพิธีปะกำช้างวันคล้ายวันเกิดครูใหญ่เนวิน ขณะผูกข้อไม้ข้อมือ พรนี้ทำเอา “อนุทิน ชาญวีรกูล” ออกอาการสะดุ้งโหยง ไมครูใหญ่ช่างกล้า...เอาเรื่องจริงมาพูดเล่น..นิ ! @ ส่งท้าย น.ส.พ.ประชาไทนิวส์ออนไลน์ ขอแสดงความยินดีกับ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 15 แห่งอาณาจักรพิทักษ์สันติราษฎร์ไทย คดีความต่อเนื่องใดๆที่ใครๆต่างก็ลุ้นระทึกตั้งแต่ครั้ง “รักษาการ” มาถึง “ตัวจริง-เสียงจริง”ในวันนี้ “เหนือเมฆ” ไม่คาดหวังสิ่งใด นอกจาก “ภาพลักษณ์เชิงบวก”ของวงการตำรวจไทย...ที่สาละวันถอยหลังและสาละวันเตี้ยลงมานานหลายขวบปี...มีฝีมือแค่ไหน “เดินหน้าลงมือทำทันที” ครับท่าน...ตะเบ๊ะ ! -เหนือเมฆ-
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ภูมิธรรม” ไม่หวั่น "ไพบูลย์" ขู่ 10 ต.ค.นี้ จ่อเปิดจุดเริ่มต้นรัฐบาลล่มสลาย ขอ อย่าคาดเดา หลังสะพัดนายกฯคนละครึ่ง มอง "แพทองธาร" ทำงานได้เดือนเศษ คงไม่ไปไวขนาดนั้น

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000096017

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “ภูมิธรรม” ไม่หวั่น "ไพบูลย์" ขู่ 10 ต.ค.นี้ จ่อเปิดจุดเริ่มต้นรัฐบาลล่มสลาย ขอ อย่าคาดเดา หลังสะพัดนายกฯคนละครึ่ง มอง "แพทองธาร" ทำงานได้เดือนเศษ คงไม่ไปไวขนาดนั้น อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000096017 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Wow
    Angry
    15
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1857 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคาะแล้ว เก้าอี้ เลขาฯ สมช.คนใหม่ คนในผงาดในรอบสิบปี
    .
    ผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช) วันนี้ 4 ตุลาคม ที่มี ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน
    .
    ถูกจับตามองอย่างมากว่า ที่ประชุมจะลงมติให้เสนอชื่อใครเป็น “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) “คนใหม่ แทน พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์

    โดยหลังการประชุม ภูมิธรรม ยังคงอุบไต๋ ไม่บอกว่า จะเสนอชื่อใครเข้าที่ประชุมครม.อังคารนี้(วันที่8 ตุลาคม)แต่บอกว่า ได้รายชื่อแล้ว และข่าวสะพัดในช่วงเย็น ว่า คนที่จะได้รับการเสนอชื่อก็คือ คนในสมช. ไม่มีข้ามห้วย แบบหลายปีที่ผ่านมา
    .
    โดยนายภูมิธรรม กล่าวหลังการประชุมว่า เนื่องจากเวลาล่วงเลยมาแล้วจึงจำเป็นต้องรีบ เพื่อให้งานต่างๆ ขับเคลื่อนต่อได้ โดยจะมีข้อเสนอให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีว่าจะมีความเห็นอะไร อย่างไร ซึ่งกระบวนการยังไม่จบสิ้น ต้องคุยและหารือกันอีกเรื่อง โดยพยายามจะนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ให้ได้ในวันอังคารนี้
    .
    เมื่อถามว่า เลขาธิการสมช.คนใหม่ เป็นทหารหรือพลเรือน เคาะแล้วหรือยัง นายภูมิธรรม กล่าวว่า เคาะแล้วแต่ยังบอกไม่ได้
    ต่อข้อถามว่า จะเป็นคนใน สมช.หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเวลาเป็นคนนอก รองนายกฯ ภูมิธรรม กล่าวว่า อย่าไปมองว่าคนนอกจะเป็นอย่างนั้น เพราะอยู่ที่ความจำเป็นและสถานการณ์ของแต่ละช่วง ทุกคนที่มาก็รับผิดชอบในหน้าที่ของตน แต่ว่าความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์หรืออะไรต่างๆ ก็ดี ไม่ว่าจะเป็นคนนอกหรือคนในที่เคยเป็นมาก็สามารถทำได้ดีทั้งนั้น
    .
    เมื่อถามย้ำว่า ระบุให้ชัดได้หรือไม่ว่า เป็นคนในสมช. แต่ยังไม่บอกว่าเป็นใคร นายภูมิธรรม กล่าวว่า ระบุไม่ได้ จนกว่าการตัดสินใจจะเกิดขึ้น
    .
    ส่วนกระแสข่าวระบุว่า ชื่อนายฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการสมช. มาแรง นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็เป็นข่าว อันนั้นก็เรื่องของข่าว โดยการเสนอชื่อ เป็นการให้เลือก โดยมีมากกว่า1 ชื่อ ซึ่งอำนาจสูงสุดอยู่ที่คณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี
    .
    สำหรับเก้าอี้ เลขาธิการสมช.ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา พบว่า เป็นการข้ามห้วยมาทั้งหมด ทั้งจากทหารและตำรวจ ที่มาเอาตำแหน่งเลขาธิการสมช. โดยเลขาธิการสมช.คนสุดท้ายที่เป็นพลเรือนและเป็นลูกหม้อของสมช.คือ นายอนุสิษฐ คุณากร ที่ทำหน้าที่หนึ่งปี คือในช่วง1 ตุลาคม พ.ศ. 2557ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2558
    .
    หลังจากนั้น เลขาธิการสมช. ก็มาจาก คนนอก ข้ามห้วยมาตลอดเกือบสิบปี ไล่เรียงกันมาดังนี้
    .
    พลเอก ทวีป เนตรนิยม 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2560
    พลเอก วัลลภ รักเสนาะ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2562
    พลเอก สมศักดิ์ รุ่งสิตา 1 ตุลาคม พ.ศ. 2562ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2563
    พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2564 ปัจจุบันเป็นรมช.กลาโหม
    .
    พลเอก สุพจน์ มาลานิยม 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2566
    พลตำรวจเอก รอย อิงคไพโรจน์ 19 มีนาคม พ.ศ. 2567 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2567
    .
    อย่างไรก็ตาม ข่าวบางกระแสรายงานว่า ในที่ประชุมบอร์ดสมช. ที่พิจารณาเรื่องดังกล่าว มีการพิจารณารายชื่อคนที่จะถูกเสนอชื่อเป็นเลขาธิการสมช. จากคนใน โดยมีแคนดิเดตสามคนที่เป็นรองเลขาธิการสมช.เรียงตามลำดับอาวุโส คือ นายฉัตรชัย บางชวด นายรัชกรณ์ นภาพรพิพัฒน์ และนายวรณัฐ คงเมือง
    .
    โดยมีข่าวบางกระบอกว่า นายฉัตรชัย บางชวด จะถูกเสนอชื่อเป็นเลขาธิการ สมช.คนใหม่ แต่นายภูมิธรรม จะนำเรื่องนี้ไปหารือกับ นส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯก่อน
    ซึ่งก็คาดว่า ยังไง แพทองธาร ก็ต้อง มีการปรึกษา สอบถามท่าทีจากทักษิณ ชินวัตรก่อน ว่าจะไฟเขียวหรือไม่
    .................
    Sondhi X
    เคาะแล้ว เก้าอี้ เลขาฯ สมช.คนใหม่ คนในผงาดในรอบสิบปี . ผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช) วันนี้ 4 ตุลาคม ที่มี ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน . ถูกจับตามองอย่างมากว่า ที่ประชุมจะลงมติให้เสนอชื่อใครเป็น “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) “คนใหม่ แทน พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ โดยหลังการประชุม ภูมิธรรม ยังคงอุบไต๋ ไม่บอกว่า จะเสนอชื่อใครเข้าที่ประชุมครม.อังคารนี้(วันที่8 ตุลาคม)แต่บอกว่า ได้รายชื่อแล้ว และข่าวสะพัดในช่วงเย็น ว่า คนที่จะได้รับการเสนอชื่อก็คือ คนในสมช. ไม่มีข้ามห้วย แบบหลายปีที่ผ่านมา . โดยนายภูมิธรรม กล่าวหลังการประชุมว่า เนื่องจากเวลาล่วงเลยมาแล้วจึงจำเป็นต้องรีบ เพื่อให้งานต่างๆ ขับเคลื่อนต่อได้ โดยจะมีข้อเสนอให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีว่าจะมีความเห็นอะไร อย่างไร ซึ่งกระบวนการยังไม่จบสิ้น ต้องคุยและหารือกันอีกเรื่อง โดยพยายามจะนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ให้ได้ในวันอังคารนี้ . เมื่อถามว่า เลขาธิการสมช.คนใหม่ เป็นทหารหรือพลเรือน เคาะแล้วหรือยัง นายภูมิธรรม กล่าวว่า เคาะแล้วแต่ยังบอกไม่ได้ ต่อข้อถามว่า จะเป็นคนใน สมช.หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเวลาเป็นคนนอก รองนายกฯ ภูมิธรรม กล่าวว่า อย่าไปมองว่าคนนอกจะเป็นอย่างนั้น เพราะอยู่ที่ความจำเป็นและสถานการณ์ของแต่ละช่วง ทุกคนที่มาก็รับผิดชอบในหน้าที่ของตน แต่ว่าความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์หรืออะไรต่างๆ ก็ดี ไม่ว่าจะเป็นคนนอกหรือคนในที่เคยเป็นมาก็สามารถทำได้ดีทั้งนั้น . เมื่อถามย้ำว่า ระบุให้ชัดได้หรือไม่ว่า เป็นคนในสมช. แต่ยังไม่บอกว่าเป็นใคร นายภูมิธรรม กล่าวว่า ระบุไม่ได้ จนกว่าการตัดสินใจจะเกิดขึ้น . ส่วนกระแสข่าวระบุว่า ชื่อนายฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการสมช. มาแรง นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็เป็นข่าว อันนั้นก็เรื่องของข่าว โดยการเสนอชื่อ เป็นการให้เลือก โดยมีมากกว่า1 ชื่อ ซึ่งอำนาจสูงสุดอยู่ที่คณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี . สำหรับเก้าอี้ เลขาธิการสมช.ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา พบว่า เป็นการข้ามห้วยมาทั้งหมด ทั้งจากทหารและตำรวจ ที่มาเอาตำแหน่งเลขาธิการสมช. โดยเลขาธิการสมช.คนสุดท้ายที่เป็นพลเรือนและเป็นลูกหม้อของสมช.คือ นายอนุสิษฐ คุณากร ที่ทำหน้าที่หนึ่งปี คือในช่วง1 ตุลาคม พ.ศ. 2557ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2558 . หลังจากนั้น เลขาธิการสมช. ก็มาจาก คนนอก ข้ามห้วยมาตลอดเกือบสิบปี ไล่เรียงกันมาดังนี้ . พลเอก ทวีป เนตรนิยม 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2560 พลเอก วัลลภ รักเสนาะ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2562 พลเอก สมศักดิ์ รุ่งสิตา 1 ตุลาคม พ.ศ. 2562ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2563 พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2564 ปัจจุบันเป็นรมช.กลาโหม . พลเอก สุพจน์ มาลานิยม 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2566 พลตำรวจเอก รอย อิงคไพโรจน์ 19 มีนาคม พ.ศ. 2567 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2567 . อย่างไรก็ตาม ข่าวบางกระแสรายงานว่า ในที่ประชุมบอร์ดสมช. ที่พิจารณาเรื่องดังกล่าว มีการพิจารณารายชื่อคนที่จะถูกเสนอชื่อเป็นเลขาธิการสมช. จากคนใน โดยมีแคนดิเดตสามคนที่เป็นรองเลขาธิการสมช.เรียงตามลำดับอาวุโส คือ นายฉัตรชัย บางชวด นายรัชกรณ์ นภาพรพิพัฒน์ และนายวรณัฐ คงเมือง . โดยมีข่าวบางกระบอกว่า นายฉัตรชัย บางชวด จะถูกเสนอชื่อเป็นเลขาธิการ สมช.คนใหม่ แต่นายภูมิธรรม จะนำเรื่องนี้ไปหารือกับ นส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯก่อน ซึ่งก็คาดว่า ยังไง แพทองธาร ก็ต้อง มีการปรึกษา สอบถามท่าทีจากทักษิณ ชินวัตรก่อน ว่าจะไฟเขียวหรือไม่ ................. Sondhi X
    Like
    10
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 946 มุมมอง 1 รีวิว
  • ภูมิธรรมแจง น้ำท่วมเชียงราย-เชียงใหม่ 04/10/67 #news1 #น้ำท่วมเชียงราย #น้ำท่วมภาคเหนือ #ภูมิธรรม #รัฐบาล
    ภูมิธรรมแจง น้ำท่วมเชียงราย-เชียงใหม่ 04/10/67 #news1 #น้ำท่วมเชียงราย #น้ำท่วมภาคเหนือ #ภูมิธรรม #รัฐบาล
    Like
    Sad
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2355 มุมมอง 776 0 รีวิว
Pages Boosts