• หัวข้อข่าว: “โมเดลใหม่ของ Moonshot AI จุดกระแส ‘DeepSeek Moment’ สั่นสะเทือนโลก AI”

    สตาร์ทอัพจีน Moonshot AI ที่มีมูลค่ากว่า 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และได้รับการสนับสนุนจากยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอย่าง Alibaba และ Tencent ได้เปิดตัวโมเดล Kimi K2 Thinking ซึ่งเป็นโมเดลโอเพนซอร์สที่สร้างสถิติใหม่ในด้าน reasoning, coding และ agent capabilities

    โมเดลนี้ได้รับความนิยมสูงสุดบนแพลตฟอร์ม Hugging Face และโพสต์เปิดตัวบน X มียอดเข้าชมกว่า 4.5 ล้านครั้ง จุดที่น่าทึ่งคือมีรายงานว่า ค่าใช้จ่ายในการฝึกเพียง 4.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับโมเดลสหรัฐฯ

    Thomas Wolf ผู้ร่วมก่อตั้ง Hugging Face ถึงกับตั้งคำถามว่า “นี่คืออีกหนึ่ง DeepSeek Moment หรือไม่?” หลังจากก่อนหน้านี้โมเดล R1 ของ DeepSeek ได้เขย่าความเชื่อเรื่องความเหนือกว่าของ AI สหรัฐฯ

    Kimi K2 Thinking ทำคะแนน 44.9% ใน Humanity’s Last Exam (ข้อสอบมาตรฐาน LLM กว่า 2,500 ข้อ) ซึ่งสูงกว่า GPT-5 ที่ทำได้ 41.7% และยังชนะใน benchmark สำคัญอย่าง BrowseComp และ Seal-0 ที่ทดสอบความสามารถในการค้นหาข้อมูลจริงบนเว็บ

    นอกจากนี้ ค่าใช้จ่าย API ของ Kimi K2 Thinking ยังถูกกว่าโมเดลของ OpenAI และ Anthropic ถึง 6–10 เท่า นักวิเคราะห์ชี้ว่าแนวโน้มของจีนคือการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อแข่งขันด้วย ความคุ้มค่า (cost-effectiveness) แม้ประสิทธิภาพโดยรวมยังตามหลังโมเดลสหรัฐฯ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    การแข่งขัน AI ระหว่างจีนและสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนจาก “ใครเก่งกว่า” เป็น “ใครคุ้มค่ากว่า”
    การที่จีนหันมาเน้น ลดต้นทุนการฝึกและใช้งาน อาจทำให้ AI เข้าถึงนักพัฒนาและธุรกิจรายย่อยได้มากขึ้น
    หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป อาจเกิดการ เร่งนวัตกรรมด้านสถาปัตยกรรมโมเดลและเทคนิคการฝึก ที่เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรม AI

    Moonshot AI เปิดตัว Kimi K2 Thinking
    ทำผลงานเหนือ GPT-5 และ Claude Sonnet 4.5 ในหลาย benchmark
    ได้รับความนิยมสูงสุดบน Hugging Face และมีผู้สนใจจำนวนมาก

    จุดเด่นของโมเดล
    ค่าใช้จ่ายในการฝึกเพียง 4.6 ล้านดอลลาร์
    API ถูกกว่าโมเดลสหรัฐฯ ถึง 6–10 เท่า

    ผลกระทบต่อวงการ
    จุดกระแส “DeepSeek Moment” ครั้งใหม่
    ท้าทายความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    แม้ต้นทุนต่ำ แต่ประสิทธิภาพโดยรวมยังตามหลังโมเดลสหรัฐฯ
    การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงอาจทำให้บางบริษัทละเลยการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัย
    หากจีนครองตลาดด้วยโมเดลราคาถูก อาจเกิดความเสี่ยงด้านมาตรฐานและความน่าเชื่อถือของ AI

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/why-new-model-of-chinas-moonshot-ai-stirs-deepseek-moment-debate
    🤖 หัวข้อข่าว: “โมเดลใหม่ของ Moonshot AI จุดกระแส ‘DeepSeek Moment’ สั่นสะเทือนโลก AI” สตาร์ทอัพจีน Moonshot AI ที่มีมูลค่ากว่า 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และได้รับการสนับสนุนจากยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอย่าง Alibaba และ Tencent ได้เปิดตัวโมเดล Kimi K2 Thinking ซึ่งเป็นโมเดลโอเพนซอร์สที่สร้างสถิติใหม่ในด้าน reasoning, coding และ agent capabilities โมเดลนี้ได้รับความนิยมสูงสุดบนแพลตฟอร์ม Hugging Face และโพสต์เปิดตัวบน X มียอดเข้าชมกว่า 4.5 ล้านครั้ง จุดที่น่าทึ่งคือมีรายงานว่า ค่าใช้จ่ายในการฝึกเพียง 4.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับโมเดลสหรัฐฯ Thomas Wolf ผู้ร่วมก่อตั้ง Hugging Face ถึงกับตั้งคำถามว่า “นี่คืออีกหนึ่ง DeepSeek Moment หรือไม่?” หลังจากก่อนหน้านี้โมเดล R1 ของ DeepSeek ได้เขย่าความเชื่อเรื่องความเหนือกว่าของ AI สหรัฐฯ Kimi K2 Thinking ทำคะแนน 44.9% ใน Humanity’s Last Exam (ข้อสอบมาตรฐาน LLM กว่า 2,500 ข้อ) ซึ่งสูงกว่า GPT-5 ที่ทำได้ 41.7% และยังชนะใน benchmark สำคัญอย่าง BrowseComp และ Seal-0 ที่ทดสอบความสามารถในการค้นหาข้อมูลจริงบนเว็บ นอกจากนี้ ค่าใช้จ่าย API ของ Kimi K2 Thinking ยังถูกกว่าโมเดลของ OpenAI และ Anthropic ถึง 6–10 เท่า นักวิเคราะห์ชี้ว่าแนวโน้มของจีนคือการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อแข่งขันด้วย ความคุ้มค่า (cost-effectiveness) แม้ประสิทธิภาพโดยรวมยังตามหลังโมเดลสหรัฐฯ 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 📌 การแข่งขัน AI ระหว่างจีนและสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนจาก “ใครเก่งกว่า” เป็น “ใครคุ้มค่ากว่า” 📌 การที่จีนหันมาเน้น ลดต้นทุนการฝึกและใช้งาน อาจทำให้ AI เข้าถึงนักพัฒนาและธุรกิจรายย่อยได้มากขึ้น 📌 หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป อาจเกิดการ เร่งนวัตกรรมด้านสถาปัตยกรรมโมเดลและเทคนิคการฝึก ที่เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรม AI ✅ Moonshot AI เปิดตัว Kimi K2 Thinking ➡️ ทำผลงานเหนือ GPT-5 และ Claude Sonnet 4.5 ในหลาย benchmark ➡️ ได้รับความนิยมสูงสุดบน Hugging Face และมีผู้สนใจจำนวนมาก ✅ จุดเด่นของโมเดล ➡️ ค่าใช้จ่ายในการฝึกเพียง 4.6 ล้านดอลลาร์ ➡️ API ถูกกว่าโมเดลสหรัฐฯ ถึง 6–10 เท่า ✅ ผลกระทบต่อวงการ ➡️ จุดกระแส “DeepSeek Moment” ครั้งใหม่ ➡️ ท้าทายความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ แม้ต้นทุนต่ำ แต่ประสิทธิภาพโดยรวมยังตามหลังโมเดลสหรัฐฯ ⛔ การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงอาจทำให้บางบริษัทละเลยการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัย ⛔ หากจีนครองตลาดด้วยโมเดลราคาถูก อาจเกิดความเสี่ยงด้านมาตรฐานและความน่าเชื่อถือของ AI https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/why-new-model-of-chinas-moonshot-ai-stirs-deepseek-moment-debate
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Why new model of China's Moonshot AI stirs 'DeepSeek moment' debate
    Kimi K2 Thinking outperforms OpenAI's GPT-5 and Anthropic's Claude Sonnet 4.5, sparking comparisons to DeepSeek's breakthrough.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภูมิธรรม ประกาศ พท. "ยกเครื่องพรรคครั้งใหญ่" ย้ำประชาธิปไตยต้องกินได้
    https://www.thai-tai.tv/news/21893/
    .
    #ไทยไท #ภูมิธรรม #เพื่อไทย #ยกเครื่องพรรค #ประชาธิปไตยกินได้ #Moonshot #การเมืองสร้างโอกาส #ไทยรักไทย
    ภูมิธรรม ประกาศ พท. "ยกเครื่องพรรคครั้งใหญ่" ย้ำประชาธิปไตยต้องกินได้ https://www.thai-tai.tv/news/21893/ . #ไทยไท #ภูมิธรรม #เพื่อไทย #ยกเครื่องพรรค #ประชาธิปไตยกินได้ #Moonshot #การเมืองสร้างโอกาส #ไทยรักไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า "Taara chip" ซึ่งเป็นชิปที่สามารถใช้แสงในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่ขาดแคลนแหล่งทรัพยากร ชิป Taara นี้เป็นการย่อส่วนของเทคโนโลยีการเชื่อมต่อด้วยแสงที่ช่วยให้มีความเร็วอินเทอร์เน็ตที่สูงขึ้น

    โปรเจค Taara ของ Google เป็นการนำเอาเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดย Loon LLC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Alphabet มาใช้ในการสร้างต้นแบบของ "moonshot technologies" หรือเทคโนโลยีที่มีความเสี่ยงสูงแต่สามารถนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงได้

    เทคโนโลยี Taara ใช้ชุด Taara Lightbridge ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่พอสมควร ใช้กระจก เซนเซอร์ และฮาร์ดแวร์อื่น ๆ เพื่อทำการส่องแสงและสร้างการเชื่อมต่อ เมื่อชุด Lightbridge สองชุดสามารถเชื่อมต่อกันได้ จะสามารถส่งข้อมูลดิจิทัลได้อย่างเสถียร

    อย่างไรก็ตาม ชิป Taara ใหม่ได้ย่อส่วนให้เล็กลง และไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนกลไกมากเท่ารุ่นก่อน ๆ โดยใช้เทคโนโลยี optical phased array ที่มีความแม่นยำสูงในการควบคุมการส่งแสง ทำให้สามารถติดตั้งชิปได้ง่ายขึ้นและใช้งานได้ดีขึ้น

    สิ่งที่น่าสนใจคือ ชิป Taara สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วถึง 10 Gbps ในระยะทาง 1 กิโลเมตรในสภาพแวดล้อมกลางแจ้ง ซึ่งเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งสำหรับการส่งข้อมูลด้วยชิปโฟโตนิกส์

    โปรเจคนี้ของ Google มีแผนที่จะนำชิป Taara ไปใช้ในการสร้างเครือข่ายเมชทั่วโลกเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่ขาดแคลนได้เร็วขึ้น รวมถึงการใช้ในศูนย์ข้อมูล ยานพาหนะอัตโนมัติ และอื่น ๆ

    การพัฒนานี้ไม่เพียงแต่จะลดค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แต่ยังเปิดโอกาสในการใช้เทคโนโลยีแสงในการสื่อสารอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

    https://www.techspot.com/news/106987-google-taara-chip-miniaturizes-light-based-connectivity-faster.html
    Google ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า "Taara chip" ซึ่งเป็นชิปที่สามารถใช้แสงในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่ขาดแคลนแหล่งทรัพยากร ชิป Taara นี้เป็นการย่อส่วนของเทคโนโลยีการเชื่อมต่อด้วยแสงที่ช่วยให้มีความเร็วอินเทอร์เน็ตที่สูงขึ้น โปรเจค Taara ของ Google เป็นการนำเอาเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดย Loon LLC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Alphabet มาใช้ในการสร้างต้นแบบของ "moonshot technologies" หรือเทคโนโลยีที่มีความเสี่ยงสูงแต่สามารถนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงได้ เทคโนโลยี Taara ใช้ชุด Taara Lightbridge ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่พอสมควร ใช้กระจก เซนเซอร์ และฮาร์ดแวร์อื่น ๆ เพื่อทำการส่องแสงและสร้างการเชื่อมต่อ เมื่อชุด Lightbridge สองชุดสามารถเชื่อมต่อกันได้ จะสามารถส่งข้อมูลดิจิทัลได้อย่างเสถียร อย่างไรก็ตาม ชิป Taara ใหม่ได้ย่อส่วนให้เล็กลง และไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนกลไกมากเท่ารุ่นก่อน ๆ โดยใช้เทคโนโลยี optical phased array ที่มีความแม่นยำสูงในการควบคุมการส่งแสง ทำให้สามารถติดตั้งชิปได้ง่ายขึ้นและใช้งานได้ดีขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ ชิป Taara สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วถึง 10 Gbps ในระยะทาง 1 กิโลเมตรในสภาพแวดล้อมกลางแจ้ง ซึ่งเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งสำหรับการส่งข้อมูลด้วยชิปโฟโตนิกส์ โปรเจคนี้ของ Google มีแผนที่จะนำชิป Taara ไปใช้ในการสร้างเครือข่ายเมชทั่วโลกเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่ขาดแคลนได้เร็วขึ้น รวมถึงการใช้ในศูนย์ข้อมูล ยานพาหนะอัตโนมัติ และอื่น ๆ การพัฒนานี้ไม่เพียงแต่จะลดค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แต่ยังเปิดโอกาสในการใช้เทคโนโลยีแสงในการสื่อสารอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น https://www.techspot.com/news/106987-google-taara-chip-miniaturizes-light-based-connectivity-faster.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google's Taara chip miniaturizes light-based connectivity for faster internet in underserved areas
    Google's X company is working on the next generation of Taara, a silicon photonics technology designed to bring fast broadband speeds to some underdeveloped areas of the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 401 มุมมอง 0 รีวิว