• “รมว.สุชาติ” ร่วมยินดี 23 ปี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มุ่งเน้นการทำงานที่เห็นผล กำหนดแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว
    https://www.thai-tai.tv/news/21724/
    .
    #กรมอุทยานแห่งชาติ #สุชาติชมกลิ่น #ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #รุกป่า #นายทุน #ผลงานจับต้องได้ #ไทยไท
    “รมว.สุชาติ” ร่วมยินดี 23 ปี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มุ่งเน้นการทำงานที่เห็นผล กำหนดแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว https://www.thai-tai.tv/news/21724/ . #กรมอุทยานแห่งชาติ #สุชาติชมกลิ่น #ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #รุกป่า #นายทุน #ผลงานจับต้องได้ #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'สุชาติ' เข้ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ย้ำใช้แนวพระราชดำริเป็นหลักทำงาน วางเป้า 4 เดือนเห็นผล ทุ่มเทบริหารเต็มความสามารถ
    https://www.thai-tai.tv/news/21629/
    .
    #สุชาติชมกลิ่น #กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #ทส #5แนวทาง #PM25 #บริหารจัดการทรัพยากร #รองนายกรัฐมนตรี #ไทยไท
    'สุชาติ' เข้ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ย้ำใช้แนวพระราชดำริเป็นหลักทำงาน วางเป้า 4 เดือนเห็นผล ทุ่มเทบริหารเต็มความสามารถ https://www.thai-tai.tv/news/21629/ . #สุชาติชมกลิ่น #กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #ทส #5แนวทาง #PM25 #บริหารจัดการทรัพยากร #รองนายกรัฐมนตรี #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'สุชาติ' ลั่นไม่เคยรับผลประโยชน์! ยันไม่ยุ่งเกี่ยวการโยกย้าย ให้เป็นอำนาจของอธิบดี ขอแค่ถูกต้องตามกฎหมาย
    https://www.thai-tai.tv/news/21572/
    .
    #ไทยไท #สุชาติชมกลิ่น #กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้ #ศศินเฉลิมลาภ
    'สุชาติ' ลั่นไม่เคยรับผลประโยชน์! ยันไม่ยุ่งเกี่ยวการโยกย้าย ให้เป็นอำนาจของอธิบดี ขอแค่ถูกต้องตามกฎหมาย https://www.thai-tai.tv/news/21572/ . #ไทยไท #สุชาติชมกลิ่น #กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้ #ศศินเฉลิมลาภ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • กู้ศรัทธาประชาธิปัตย์ เหล้าเก่าในขวดเก่า

    เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว สู่รัฐบาลพรรคภูมิใจไทย จึงไม่แปลกที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะยื่นใบลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 ก.ย.) แม้อ้างว่ามีปัญหาเรื่องสุขภาพ แต่ที่ผ่านมา ปชป. ยุคนายเฉลิมชัยถูกวิจารณ์ว่า จุดยืนทางการเมืองเปลี่ยนไป นับตั้งแต่นายเฉลิมชัยนำ สส. 21 คนเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทั้งที่สองพรรคนี้ไม่ถูกกันยาวนานกว่า 20 ปี โดยมีข่าวว่านายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา ไปดีลกับนายทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกงเอาไว้ นับจากนั้นเป็นต้นมาเกิดวิกฤตศรัทธาอย่างหนัก บรรดาสมาชิกพรรคเก่าแก่หลายคนลาออก

    เมื่อนายเฉลิมชัยลาออกแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการประชุมเพื่อเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค ปชป. ชุดใหม่ รายงานข่าวแจ้งว่ามีความพยายามในการดึงแกนนำพรรค ที่เว้นวรรคทางการเมือง หรือลาออกจากพรรคไปแล้ว มาร่วมกลับบ้านเก่า ฟื้นฟูพรรคกันใหม่ เพื่อกู้วิกฤตศรัทธา และเตรียมความพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะมาถึง เพราะที่ผ่านมาฐานเสียง ปชป. ในภาคใต้ ถูกเจาะยางจากพรรคคู่แข่งในหลายพื้นที่ เช่น นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรค และ สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ภาพคู่กับนายกรณ์ จาติกวณิช ที่โรงแรมอนันตรา พร้อมระบุว่า "คิดถึงเลยเจอกันครับ #ฟ้าวันใหม่สดใสเสมอ"

    หรือจะเป็นการจุดกระแสชูนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมานำพรรคอีกครั้ง หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ตัดสินใจเว้นวรรคทางการเมือง มาตั้งแต่หลังการเลือกตั้งปี 2562 เพราะได้ สส.ต่ำกว่า 100 ที่นั่ง อีกทั้งมติพรรค ปชป.ขณะนั้นสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ผันตัวไปเป็นผู้บริหารบริษัทเอกชน อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์เคยกล่าวบนเวทีผ่าทางตันประเทศไทย จัดโดยสื่อเครือเนชั่น เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่า “คุณไม่ต้องมาชวนผมกลับไปพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าคุณเอาอุดมการณ์กลับมาได้ ผมกลับไปแน่นอน”

    เมื่อวันก่อน ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล จัดรายการหัวข้อ "คืน ปชป. ให้นายกฯ อภิสิทธิ์เถอะ" คนดูส่วนใหญ่เห็นด้วยว่า ปชป. ควรให้นายอภิสิทธิ์กลับมาบริหารพรรค อดีตสมาชิกพรรคบางคน เริ่มคิดอยากฟื้นฟูอุดมการณ์ประชาธิปัตย์กลับคืนมา บางคนตั้งคำถามว่า ที่พรรคอยู่ในจุดตกต่ำเป็นเพราะคน ผู้นำพรรค หรือเป็นเพราะโครงสร้างและอุดมการณ์ของพรรคกันแน่ ถึงกระนั้น ก็มีอีกส่วนหนึ่งก็เห็นว่า หากพรรคยังคงชูแกนนำพรรคชุดเก่าซึ่งมีชนักติดหลัง พรรคก็คงไม่ไปถึงไหน จึงเสนอให้คนรุ่นใหม่ออกมานำพรรค แล้วให้นายอภิสิทธิ์ และแกนนำคนอื่น เป็นที่ปรึกษาก็พอ

    #Newskit

    (ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะตีพิมพ์ใน Facebook และ Instagram วันจันทร์ที่ 15 ก.ย.2568)
    กู้ศรัทธาประชาธิปัตย์ เหล้าเก่าในขวดเก่า เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว สู่รัฐบาลพรรคภูมิใจไทย จึงไม่แปลกที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะยื่นใบลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 ก.ย.) แม้อ้างว่ามีปัญหาเรื่องสุขภาพ แต่ที่ผ่านมา ปชป. ยุคนายเฉลิมชัยถูกวิจารณ์ว่า จุดยืนทางการเมืองเปลี่ยนไป นับตั้งแต่นายเฉลิมชัยนำ สส. 21 คนเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทั้งที่สองพรรคนี้ไม่ถูกกันยาวนานกว่า 20 ปี โดยมีข่าวว่านายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา ไปดีลกับนายทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกงเอาไว้ นับจากนั้นเป็นต้นมาเกิดวิกฤตศรัทธาอย่างหนัก บรรดาสมาชิกพรรคเก่าแก่หลายคนลาออก เมื่อนายเฉลิมชัยลาออกแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการประชุมเพื่อเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค ปชป. ชุดใหม่ รายงานข่าวแจ้งว่ามีความพยายามในการดึงแกนนำพรรค ที่เว้นวรรคทางการเมือง หรือลาออกจากพรรคไปแล้ว มาร่วมกลับบ้านเก่า ฟื้นฟูพรรคกันใหม่ เพื่อกู้วิกฤตศรัทธา และเตรียมความพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะมาถึง เพราะที่ผ่านมาฐานเสียง ปชป. ในภาคใต้ ถูกเจาะยางจากพรรคคู่แข่งในหลายพื้นที่ เช่น นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรค และ สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ภาพคู่กับนายกรณ์ จาติกวณิช ที่โรงแรมอนันตรา พร้อมระบุว่า "คิดถึงเลยเจอกันครับ #ฟ้าวันใหม่สดใสเสมอ" หรือจะเป็นการจุดกระแสชูนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมานำพรรคอีกครั้ง หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ตัดสินใจเว้นวรรคทางการเมือง มาตั้งแต่หลังการเลือกตั้งปี 2562 เพราะได้ สส.ต่ำกว่า 100 ที่นั่ง อีกทั้งมติพรรค ปชป.ขณะนั้นสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ผันตัวไปเป็นผู้บริหารบริษัทเอกชน อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์เคยกล่าวบนเวทีผ่าทางตันประเทศไทย จัดโดยสื่อเครือเนชั่น เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่า “คุณไม่ต้องมาชวนผมกลับไปพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าคุณเอาอุดมการณ์กลับมาได้ ผมกลับไปแน่นอน” เมื่อวันก่อน ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล จัดรายการหัวข้อ "คืน ปชป. ให้นายกฯ อภิสิทธิ์เถอะ" คนดูส่วนใหญ่เห็นด้วยว่า ปชป. ควรให้นายอภิสิทธิ์กลับมาบริหารพรรค อดีตสมาชิกพรรคบางคน เริ่มคิดอยากฟื้นฟูอุดมการณ์ประชาธิปัตย์กลับคืนมา บางคนตั้งคำถามว่า ที่พรรคอยู่ในจุดตกต่ำเป็นเพราะคน ผู้นำพรรค หรือเป็นเพราะโครงสร้างและอุดมการณ์ของพรรคกันแน่ ถึงกระนั้น ก็มีอีกส่วนหนึ่งก็เห็นว่า หากพรรคยังคงชูแกนนำพรรคชุดเก่าซึ่งมีชนักติดหลัง พรรคก็คงไม่ไปถึงไหน จึงเสนอให้คนรุ่นใหม่ออกมานำพรรค แล้วให้นายอภิสิทธิ์ และแกนนำคนอื่น เป็นที่ปรึกษาก็พอ #Newskit (ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะตีพิมพ์ใน Facebook และ Instagram วันจันทร์ที่ 15 ก.ย.2568)
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 452 มุมมอง 0 รีวิว

  • เช็กชื่อโผ ครม. ‘อนุทิน 1’ ส่งครบแล้ว ลุ้นตรวจคุณสมบัติ 7-10 วัน
    วันที่ 8 กันยายน 2568 - 17:04 น.


    โผ ครม. ‘อนุทิน 1’ ส่งรายชื่อครบแล้ว ‘บวรศักดิ์’ นั่งรองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ด้าน ‘จตุพร – ไผ่ ลิกค์’ หลุดโผ ศุภจี CEO ดุสิตธานี ขึ้นเป็น รมว.พาณิชย์ รอลุ้นตรวจคุณสมบัติ 7-10 วัน หากสะดุดต้องหลีกทางทันที

    ผู้สื่อข่าวรายงานถึงความคืบหน้า การจัดโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุทิน 1 ว่า ช่วงบ่ายวันนี้ (8 ก.ย.) ได้รับการตอบรับจาก นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีชื่อมานั่งในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ซึ่งมีรายงานว่า ช่วงบ่ายที่ผ่านมาคุยกันลงตัวแล้ว โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้พูดคุยกับนายบวรศักดิ์ ด้วยตัวเอง

    โดยครั้งนี้มีการใช้ รัฐมนตรีคนนอกถึง 6 กระทรวง คือ

    -นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

    -นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

    -นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

    -นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

    -พล.ต.ท.ชาญชัย พงษ์พิชิตกุล รองผู้บัญชาการตํารวจภูธรภาค 3 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

    -นางศุภจี สุธรรมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

    -กระทรวงกลาโหม

    ทั้งหมดเพื่อเสริมการทำงานของ ครม. และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้คลี่คลายอย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ในส่วนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีชื่อของ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ แต่ล่าสุดไม่ปรากฎชื่อแล้ว

    ส่วนโควตารัฐมนตรีคนนอก ขณะนี้ยังไม่สะเด็ดน้ำ ยกตัวอย่างกระทรวงกลาโหม ที่มีชื่อของ พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม และ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เพราะแหล่งข่าวยืนยันว่า ยังไม่สะเด็ดน้ำ และขณะนี้ยังมีชื่ออื่นส่งประกวดเพิ่มเติม

    ทั้งนี้ รัฐมนตรีในสัดส่วนพรรคภูมิใจไทย ขณะนี้ยังเป็นชื่อรัฐมนตรีเก่าทั้งหมด เพิ่มขึ้นมาใหม่ คือ นายไชยชนก ชิดชอบ และนายภราดร ปริศนานันทกุล แต่ยังไม่ระบุว่าจะได้นั่งกระทรวงใด



    ด้าน พรรคกล้าธรรม ยืนยันรายชื่อตามที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ คือ

    -ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

    -นายอรรถกร ศิริลัทธยากร นั่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา

    -นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ นั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

    -นายอัครา พรหมเผ่า นั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

    -นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

    -นายองอาจ วงษ์ประยูร นั่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

    และล่าสุดมีชื่อของนายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ สส.เชียงใหม่ พรรคกล้าธรรม จะมานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นชื่อของ นายไผ่ ลิกค์ เนื่องจากติดเงื่อนไขทางรัฐธรรมนูญ แต่ก็ถือเป็นโควตาภาคเหนือ

    ส่วน พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งได้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง 2 ตำแหน่ง และรัฐมนตรีช่วยว่าการอีก 2 ตำแหน่ง ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า

    -นายสันติ พร้อมพัฒน์ นั่งรองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

    -น.ส.ตรีนุช เทียนทอง จะได้นั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

    -นายวรโชติ สุคนธ์ขจร สส.เพชรบูรณ์ นั่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข

    -พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม



    ด้าน พรรครวมไทยสร้างชาติ จะได้ 3 เก้าอี้ คือ

    -นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

    -นายธนกร วังบุญคงชนะ นั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

    -จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ นั่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

    นอกจากนี้ ปรากฏชื่อของ นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ ที่เข้ามายื่นตรวจสอบประวัติด้วย แต่ยังไม่มีการระบุกระทรวง ส่วน น.ส.นิธิยา บุญญามณี บุตรสาวของ นายนิพนธ์ บุญญามณี มีชื่อนั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

    ส่วนที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า นายนริศ ขำนุรักษ์ จะได้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งนั้น ล่าสุดมีความชัดเจนแล้วว่าไม่มีชื่อติดในโผ ครม.ครั้งนี้

    ขณะเดียวกัน วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ให้กลุ่มพรรคการเมือง ส่งรายชื่อตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติ ว่ามีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดย สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อ จะใช้เวลา 7-10 วันในการตรวจสอบ

    โดยมีรายงานว่า สำหรับรายชื่อบุคคลที่สุ่มเสี่ยง หากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพบว่า มีปัญหา ต้องยอมรับเงื่อนไข ที่ไม่สามารถเป็นรัฐมนตรีได้


    https://www.prachachat.net/politics/news-1879997


    เช็กชื่อโผ ครม. ‘อนุทิน 1’ ส่งครบแล้ว ลุ้นตรวจคุณสมบัติ 7-10 วัน วันที่ 8 กันยายน 2568 - 17:04 น. โผ ครม. ‘อนุทิน 1’ ส่งรายชื่อครบแล้ว ‘บวรศักดิ์’ นั่งรองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ด้าน ‘จตุพร – ไผ่ ลิกค์’ หลุดโผ ศุภจี CEO ดุสิตธานี ขึ้นเป็น รมว.พาณิชย์ รอลุ้นตรวจคุณสมบัติ 7-10 วัน หากสะดุดต้องหลีกทางทันที ผู้สื่อข่าวรายงานถึงความคืบหน้า การจัดโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุทิน 1 ว่า ช่วงบ่ายวันนี้ (8 ก.ย.) ได้รับการตอบรับจาก นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีชื่อมานั่งในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ซึ่งมีรายงานว่า ช่วงบ่ายที่ผ่านมาคุยกันลงตัวแล้ว โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้พูดคุยกับนายบวรศักดิ์ ด้วยตัวเอง โดยครั้งนี้มีการใช้ รัฐมนตรีคนนอกถึง 6 กระทรวง คือ -นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง -นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง -นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน -นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ -พล.ต.ท.ชาญชัย พงษ์พิชิตกุล รองผู้บัญชาการตํารวจภูธรภาค 3 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม -นางศุภจี สุธรรมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ -กระทรวงกลาโหม ทั้งหมดเพื่อเสริมการทำงานของ ครม. และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้คลี่คลายอย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ในส่วนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีชื่อของ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ แต่ล่าสุดไม่ปรากฎชื่อแล้ว ส่วนโควตารัฐมนตรีคนนอก ขณะนี้ยังไม่สะเด็ดน้ำ ยกตัวอย่างกระทรวงกลาโหม ที่มีชื่อของ พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม และ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เพราะแหล่งข่าวยืนยันว่า ยังไม่สะเด็ดน้ำ และขณะนี้ยังมีชื่ออื่นส่งประกวดเพิ่มเติม ทั้งนี้ รัฐมนตรีในสัดส่วนพรรคภูมิใจไทย ขณะนี้ยังเป็นชื่อรัฐมนตรีเก่าทั้งหมด เพิ่มขึ้นมาใหม่ คือ นายไชยชนก ชิดชอบ และนายภราดร ปริศนานันทกุล แต่ยังไม่ระบุว่าจะได้นั่งกระทรวงใด ด้าน พรรคกล้าธรรม ยืนยันรายชื่อตามที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ คือ -ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ -นายอรรถกร ศิริลัทธยากร นั่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา -นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ นั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ -นายอัครา พรหมเผ่า นั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ -นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ -นายองอาจ วงษ์ประยูร นั่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และล่าสุดมีชื่อของนายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ สส.เชียงใหม่ พรรคกล้าธรรม จะมานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นชื่อของ นายไผ่ ลิกค์ เนื่องจากติดเงื่อนไขทางรัฐธรรมนูญ แต่ก็ถือเป็นโควตาภาคเหนือ ส่วน พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งได้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง 2 ตำแหน่ง และรัฐมนตรีช่วยว่าการอีก 2 ตำแหน่ง ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า -นายสันติ พร้อมพัฒน์ นั่งรองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข -น.ส.ตรีนุช เทียนทอง จะได้นั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน -นายวรโชติ สุคนธ์ขจร สส.เพชรบูรณ์ นั่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข -พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ด้าน พรรครวมไทยสร้างชาติ จะได้ 3 เก้าอี้ คือ -นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม -นายธนกร วังบุญคงชนะ นั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม -จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ นั่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ปรากฏชื่อของ นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ ที่เข้ามายื่นตรวจสอบประวัติด้วย แต่ยังไม่มีการระบุกระทรวง ส่วน น.ส.นิธิยา บุญญามณี บุตรสาวของ นายนิพนธ์ บุญญามณี มีชื่อนั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ส่วนที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า นายนริศ ขำนุรักษ์ จะได้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งนั้น ล่าสุดมีความชัดเจนแล้วว่าไม่มีชื่อติดในโผ ครม.ครั้งนี้ ขณะเดียวกัน วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ให้กลุ่มพรรคการเมือง ส่งรายชื่อตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติ ว่ามีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดย สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อ จะใช้เวลา 7-10 วันในการตรวจสอบ โดยมีรายงานว่า สำหรับรายชื่อบุคคลที่สุ่มเสี่ยง หากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพบว่า มีปัญหา ต้องยอมรับเงื่อนไข ที่ไม่สามารถเป็นรัฐมนตรีได้ https://www.prachachat.net/politics/news-1879997
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 427 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ชัยวัฒน์" เฮ! ศาลปกครองสูงสุดยืนยันเพิกถอนคำสั่งปลดพ้นราชการ ชี้ ป.ป.ท. ไม่มีอำนาจชี้มูลวินัยไม่ร้ายแรง
    https://www.thai-tai.tv/news/20318/
    .
    #ชัยวัฒน์ลิ้มลิขิตอักษร #ศาลปกครองสูงสุด #เพิกถอนคำสั่งปลด #กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #ปปท #คดีอุทยานแก่งกระจาน #วินัยร้ายแรง #คดีบริหาร #ข่าววันนี้
    "ชัยวัฒน์" เฮ! ศาลปกครองสูงสุดยืนยันเพิกถอนคำสั่งปลดพ้นราชการ ชี้ ป.ป.ท. ไม่มีอำนาจชี้มูลวินัยไม่ร้ายแรง https://www.thai-tai.tv/news/20318/ . #ชัยวัฒน์ลิ้มลิขิตอักษร #ศาลปกครองสูงสุด #เพิกถอนคำสั่งปลด #กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #ปปท #คดีอุทยานแก่งกระจาน #วินัยร้ายแรง #คดีบริหาร #ข่าววันนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ว่าโคราช นำประชาชนจิตอาสาพระราชทาน ร่วมกิจกรรม ปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568

    วันนี้ ( 3 มิถุนายน 2568) ที่ป่าชุมชนบ้านทับช้าง ต.หนองระเวียง อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานในกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ร่วมกันปลูกต้นไม้ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568 โดยมีส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ และประชาชนจิตอาสาพระราชทานจังหวัดนครราชสีมา ร่วมกิจกรรม ทั้งนี้การจัดกิจกรรมจิตอาสา เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และเพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกในการดูแล บำรุงรักษาต้นไม้ ฟื้นคืนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในพื้นที่ป่าชุมชม ต่อไป
    ผู้ว่าโคราช นำประชาชนจิตอาสาพระราชทาน ร่วมกิจกรรม ปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568 วันนี้ ( 3 มิถุนายน 2568) ที่ป่าชุมชนบ้านทับช้าง ต.หนองระเวียง อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานในกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ร่วมกันปลูกต้นไม้ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568 โดยมีส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ และประชาชนจิตอาสาพระราชทานจังหวัดนครราชสีมา ร่วมกิจกรรม ทั้งนี้การจัดกิจกรรมจิตอาสา เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และเพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกในการดูแล บำรุงรักษาต้นไม้ ฟื้นคืนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในพื้นที่ป่าชุมชม ต่อไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 418 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ว่าโคราช นำประชาชนจิตอาสาพระราชทาน ร่วมกิจกรรม ปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568

    วันนี้ ( 3 มิถุนายน 2568) ที่ป่าชุมชนบ้านทับช้าง ต.หนองระเวียง อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานในกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ร่วมกันปลูกต้นไม้ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568 โดยมีส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ และประชาชนจิตอาสาพระราชทานจังหวัดนครราชสีมา ร่วมกิจกรรม ทั้งนี้การจัดกิจกรรมจิตอาสา เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และเพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกในการดูแล บำรุงรักษาต้นไม้ ฟื้นคืนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในพื้นที่ป่าชุมชม ต่อไป
    ผู้ว่าโคราช นำประชาชนจิตอาสาพระราชทาน ร่วมกิจกรรม ปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568 วันนี้ ( 3 มิถุนายน 2568) ที่ป่าชุมชนบ้านทับช้าง ต.หนองระเวียง อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานในกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ร่วมกันปลูกต้นไม้ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568 โดยมีส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ และประชาชนจิตอาสาพระราชทานจังหวัดนครราชสีมา ร่วมกิจกรรม ทั้งนี้การจัดกิจกรรมจิตอาสา เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และเพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกในการดูแล บำรุงรักษาต้นไม้ ฟื้นคืนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในพื้นที่ป่าชุมชม ต่อไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 398 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ตรวจราชสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 13 ประชุมการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รอบที่ 2
    .
    วันนี้ (15 พฤษภาคม 2568) เวลา 10.00 น. นายอิทธิพล ช่างกลึงดี ผู้ตรวจราชสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 13 เป็นประธานประชุมการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี
    เขตตรวจราชการที่ 13 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รอบที่ 2 ผ่านสื่ออิเล็กพรอนิกส์(Video Conference : Zoom Meeting) ณ ห้องประชุมภูแลนคา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดชัยภูมิ
    .
    ในส่วนของจังหวัดนครราชสีมามีนายกิตติศักดิ์ ธีระวัฒนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาพร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กพรอนิกส์ ณ ห้องประชุมหลวงพ่อคูณปริทสุทโธ ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา
    โดยมีประด็นการตรวจติดตามดังนี้
    1. การป้องกันและแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อมุ่งสู่การปล่อย
    ก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
    - นำเสนอโดย สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดชัยภูมิ/
    นครราชสีมา/บุรีรัมย์/สุรินทร์
    2.การขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power)
    - นำเสนอโดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดชัยภูมิ/นครราชสีมา/บุรีรัมย์/สุรินทร์
    3. การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และบุหรี่ไฟฟ้า
    - นำเสนอโดย ที่ทำการปกครองจังหวัดชัยภูมิ/นครรราชสีมา/บุรีรัมย์/สุรินทร์
    ผู้ตรวจราชสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 13 ประชุมการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รอบที่ 2 . วันนี้ (15 พฤษภาคม 2568) เวลา 10.00 น. นายอิทธิพล ช่างกลึงดี ผู้ตรวจราชสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 13 เป็นประธานประชุมการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 13 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รอบที่ 2 ผ่านสื่ออิเล็กพรอนิกส์(Video Conference : Zoom Meeting) ณ ห้องประชุมภูแลนคา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดชัยภูมิ . ในส่วนของจังหวัดนครราชสีมามีนายกิตติศักดิ์ ธีระวัฒนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาพร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กพรอนิกส์ ณ ห้องประชุมหลวงพ่อคูณปริทสุทโธ ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา โดยมีประด็นการตรวจติดตามดังนี้ 1. การป้องกันและแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อมุ่งสู่การปล่อย ก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ - นำเสนอโดย สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดชัยภูมิ/ นครราชสีมา/บุรีรัมย์/สุรินทร์ 2.การขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) - นำเสนอโดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดชัยภูมิ/นครราชสีมา/บุรีรัมย์/สุรินทร์ 3. การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และบุหรี่ไฟฟ้า - นำเสนอโดย ที่ทำการปกครองจังหวัดชัยภูมิ/นครรราชสีมา/บุรีรัมย์/สุรินทร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 529 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ตรวจราชสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 13 ประชุมการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รอบที่ 2
    .
    วันนี้ (15 พฤษภาคม 2568) เวลา 10.00 น. นายอิทธิพล ช่างกลึงดี ผู้ตรวจราชสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 13 เป็นประธานประชุมการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี
    เขตตรวจราชการที่ 13 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รอบที่ 2 ผ่านสื่ออิเล็กพรอนิกส์(Video Conference : Zoom Meeting) ณ ห้องประชุมภูแลนคา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดชัยภูมิ
    .
    ในส่วนของจังหวัดนครราชสีมามีนายกิตติศักดิ์ ธีระวัฒนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาพร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กพรอนิกส์ ณ ห้องประชุมหลวงพ่อคูณปริทสุทโธ ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา
    โดยมีประด็นการตรวจติดตามดังนี้
    1. การป้องกันและแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อมุ่งสู่การปล่อย
    ก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
    - นำเสนอโดย สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดชัยภูมิ/
    นครราชสีมา/บุรีรัมย์/สุรินทร์
    2.การขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power)
    - นำเสนอโดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดชัยภูมิ/นครราชสีมา/บุรีรัมย์/สุรินทร์
    3. การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และบุหรี่ไฟฟ้า
    - นำเสนอโดย ที่ทำการปกครองจังหวัดชัยภูมิ/นครรราชสีมา/บุรีรัมย์/สุรินทร์
    ผู้ตรวจราชสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 13 ประชุมการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รอบที่ 2 . วันนี้ (15 พฤษภาคม 2568) เวลา 10.00 น. นายอิทธิพล ช่างกลึงดี ผู้ตรวจราชสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 13 เป็นประธานประชุมการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 13 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รอบที่ 2 ผ่านสื่ออิเล็กพรอนิกส์(Video Conference : Zoom Meeting) ณ ห้องประชุมภูแลนคา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดชัยภูมิ . ในส่วนของจังหวัดนครราชสีมามีนายกิตติศักดิ์ ธีระวัฒนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาพร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กพรอนิกส์ ณ ห้องประชุมหลวงพ่อคูณปริทสุทโธ ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา โดยมีประด็นการตรวจติดตามดังนี้ 1. การป้องกันและแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อมุ่งสู่การปล่อย ก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ - นำเสนอโดย สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดชัยภูมิ/ นครราชสีมา/บุรีรัมย์/สุรินทร์ 2.การขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) - นำเสนอโดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดชัยภูมิ/นครราชสีมา/บุรีรัมย์/สุรินทร์ 3. การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และบุหรี่ไฟฟ้า - นำเสนอโดย ที่ทำการปกครองจังหวัดชัยภูมิ/นครรราชสีมา/บุรีรัมย์/สุรินทร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 533 มุมมอง 0 รีวิว
  • แม่น้ำกกป่วยเพราะสารพิษหนักเกินค่ามาตรฐานสูงสุด 19 เท่าใครจะเป็นหมอรักษา (ตอนที่ 5)
    .................
    มหากาพย์แร่หายากกำลังเป็นฝีแตกในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เพราะทำให้แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และจะส่งผลต่อแม่น้ำโขงป่วยหนักขึ้น การบริโภค การใช้แม่น้ำที่มีวิญญาณของความเป็นแม่ ถูกความโลภ อำนาจ เผาผลาญ และเอากากความความโลภทิ้งลงแม่น้ำ แล้วทุนแร่หายากในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงแห่งนี้กำลังสร้างตำนานซ้ำซากที่เกิดขึ้นในแอฟริกา เป็นกระบวนการถลุงแร่ธาตุ เพื่อให้เป็นเลือด
    .................
    สัญญาณแรก ประมงจังหวัดเชียงราย แถลงเมื่อ 25 เม.ย.68 ระบุพบปลากลุ่มตัวอย่างพบโลหะหนัก เช่น สารหนูและปรอท ไม่เกินค่ามาตรฐาน ก็อาจจะไม่ให้เราเบาใจและปล่อยปละละเลย และแสดงความกังวลว่าปลาลดน้อยลงมาก เพราะแม่น้ำเสื่อมโทรม ตั้งแต่ความตื้นเขิน น้ำมีตะกอนดินทั้งปี

    สัญญาณที่สอง สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ก็หวั่น ๆ ว่า ผลสรุปการตรวจสอบคุณภาพตะกอนดินในแหล่งน้ำแม่น้ำกก บริเวณ อ.แม่อาย และอ.เมือง จ.เชียงราย พบมาตรฐานคุณภาพตะกอนดินเพื่อปกป้องสัตว์หน้าดิน อาจจะเกิดอันตรายต่อสัตว์หน้าดินที่เป็นอาหารของสัตว์น้ำ เช่น ปลา จะทำให้จำนวนหรือประเภทของสัตว์หน้าดินลดลง ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศลดลง สัตว์น้ำลดจำนวนลง และชาวบ้านจับสัตว์น้ำได้น้อยลง แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ที่กินสัตว์น้ำ แต่ไม่แน่ว่าหากมีการสะสมในปลา ถ้าชาวบ้านบริโภคปลาเป็นจำนวนมากและเป็นประจำ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัย เช่น ชาที่ปลายมือปลายเท้า (ไข้ดำ: ผิวหนังหนาและเข้ม) มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ

    สัญญาณที่สาม 30 เมษายน ผลตรวจสารหนูเบื้องต้นในแม่น้ำ อ.แม่สาย - อ.เชียงแสน จังหวัดเชียงราย พบเกินค่ามาตรฐานสูงสุด 19 เท่า มีหมายเหตุ ผลดังกล่าวเป็นเพียงผลการตรวจเบื้องต้นทางทีมวิจัยจะนำตัวอย่างน้ำส่งตรวจใน Lab มาตรฐานต่อไป
    .................
    แรงกระเพื่อมต่อถึงทำเนียบ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุม ติดตามสถานการณ์และแนวทางการแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในแม่น้ำกก ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล องค์ประชุมประกอบด้วย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ

    ในการประชุม กระจายหน้าที่แต่ละกระทรวง กระทรวงมหาดไทย เร่งสั่งการการประปาส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่ เพื่อเฝ้าระวังและควบคุมการใช้น้ำดิบในการผลิตน้ำประปา พร้อมทั้งกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับข้อมูลสารปนเปื้อนในน้ำ แนวทางการกรองน้ำเพื่อการบริโภคที่ปลอดภัย รวมถึงการเร่งตรวจสอบแหล่งน้ำในพื้นที่อย่างเข้มข้น

    ประธานในการประชุมมีข้อสั่งการด้านการแก้ไขปัญหา 6 ประเด็น ดังนี้ 1. มอบหมายกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติบูรณาการร่วมกัน เร่งประสานประเทศเพื่อนบ้าน ใช้กลไกความร่วมมือทุกระดับเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดภายนอกประเทศที่อาจส่งผลให้เกิดสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก

    2. มอบหมายสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติใช้กลไกลุ่มน้ำโขงเหนือ บริหารจัดการปริมาณน้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศน์ เพิ่มน้ำต้นทุนเข้าสู่แม่น้ำกก

    3. มอบหมายกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ใช้นวัตกรรมดาวเทียม และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ ช่วยประเมินความขุ่น สารแขวนลอยในแม่น้ำกกทั้งในเขตประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

    4. มอบหมายกระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนก

    5. มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข ติดตามตรวจสอบการปนเปื้อนในแม่น้ำกก และลำน้ำสาขา การปนเปื้อนในสัตว์น้ำและการสะสมในร่างกายมนุษย์อย่างต่อเนื่อง

    6. มอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรม จัดทำแนวทางการลดผลกระทบจากการทำเหมืองและประสานความร่วมมือในการเผยแพร่ให้ประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ
    คำถามที่ท้าทาย จะปล่อยให้ภาวะสะสมเกิดกับประชาชนชาวเชียงราย และประชาชนลุ่มน้ำสาย กก โขงแบบนี้เรื่อย ๆ ใช่หรือไม่

    .................
    เสียงประชาชนต้องดังกว่านี้ เครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก (ค.อ.ก) ก็ได้จัดเวทีความร่วมมือเตือนภัยน้ำกกหลากท่วมปี 2568 โดยมีนางเตือนใจ ดีเทศน์ หรือ “ครูแดง” ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ พชภ. เป็นประธานการประชุม โดยมีองค์กรพัฒนาเอกชนที่ดำเนินงานในพื้นที่แม่น้ำกก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชุมแลกเปลี่ยนพร้อมนำเสนอ ถึงนายกรรัฐมนตรี

    1.แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ภาคประชาชน และนักวิชาการ เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาทั้งในแหล่งกำเนิดมลพิษ ระหว่างทาง และผู้รับผลพิษ จัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในจังหวัดเชียงราย
    2. เปิดเผยและซักซ้อมมาตรการรับมืออุทกภัยลุ่มน้ำกก และลุ่มน้ำสาย อย่างเป็นระบบ มีส่วนร่วม และมีประสิทธิภาพ
    3. สร้างความร่วมมือกับประเทศเมียนมา หรือกองกำลังที่ดูแลในพื้นที่ เพื่อเพิ่มจุดเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของสารปนเปื้อน ตลอดลำน้ำกก น้ำสาย ทั้ง พื้นที่ต้นน้ำ ก่อนเหมืองในรัฐฉาน
    4 .สร้างระบบสื่อสารสาธารณะที่โปร่งใส เพื่อให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจุบัน
    5. ขยายขอบเขตการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นการลุกล้ำหรือทำลายสิ่งแวดล้อม ตลอดลุ่มน้ำกกและลุ่มน้ำสาย
    6. เปิดการเจรจา 4 ฝ่ายคือ ไทย เมียนมา กองกำลังชาติพันธุ์ที่ควบคุมพื้นที่สัมปทานเหมือง และประเทศจีน เพื่อร่วมกันหาทางออกอย่างสร้างสรรค์และรับผิดชอบ

    สรุปคือการส่งเสียงว่ารัฐบาลจะต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ การทำเหมืองทองต้องกระตุ้นให้หน่วยงานรัฐไปเจรจา ทุกฝ่ายร่วมกัน ทั้งฝ่ายความมั่นคง รัฐบาล สื่อมวลชน ชาวบ้าน ประเทศเพื่อนบ้าน ถ้าระดับประเทศแก้ไม่ได้ก็ต้องเป็นระดับอาเซียน ภูมิภาค หรือระดับนานาชาติร่วมกันแก้ไข ต้องคุยกับรัฐบาลพม่ารวมถึงรัฐบาลจีน เพราะเป็นพื้นที่ของกลุ่มว้า เป็นการเมืองระหว่างประเทศ

    เปิดพื้นที่ผ่านการเล่าเรื่องของแม่น้ำกกระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ สร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับสิทธิของแม่น้ำ และ การเจรจาระหว่างรัฐกับธรรมชาติ ข้ามเขตแดนรัฐและแนวคิดการจัดการสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน (Transboundary Environmental Governance)”
    .................

    ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงกล่าวว่า รัฐบาลต้องใช้แนวคิดการทูตสิ่งแวดล้อมสร้างความร่วมมือแก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด นอกจากนี้ต้องเสนอให้เมียนมาเข้าใจด้วยว่า เหมืองแร่อยู่ในเขตควบคุมของกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ที่การเจรจาสันติภาพในเมียนมา ต้องหยิบยกเอาประเด็นมลพิษข้ามพรมแดนเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาด้วย

    น.ส.เพียงพร ดีเทศน์ เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา(พชภ.) และผู้อำนวยการฝ่ายรณรงรงค์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) กล่าวว่า ทั้งแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นแม่น้ำระหว่างประเทศ โดยมีต้นน้ำอยู่ในเขตรัฐฉาน ประเทศพม่า การสร้างเหมืองทองที่บริเวณต้นน้ำ ทำให้ประชาชนและระบบนิเวศท้ายน้ำซึ่งอยู่ในประเทศไทยได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเร่งหาทางยุติการทำเหมืองและเปิดหน้าดินในวงกว้างให้ได้ เพราะนอกจากส่งผลในเรื่องการปนเปื้อนสารโลหะหนักลงแม่น้ำแล้ว ยังส่งผลต่ออุทกภัยที่มีดินโคลนปนมาด้วย กลายเป็นภัยพิบัติร้ายแรงที่คนท้ายน้ำต้องเผชิญและหวาดผวาอยู่ตลอดเวลา

    ก่อนหน้านี้กระแสกระเพื่อมขึ้นในพื้นที่ที่ดีมาก ที่ทาง พล.ท.ณัฐพงษ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร เลขานุการคณะกรรมการระดับสูงไทย-เมียนมา ร่วมรับฟังปัญหาสารโลหะหนักในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย

    เนื้อหาจึงเจาะประเด็นเชิงความมั่นคงทันทีในมิติของผลกระทบข้ามแดน ตามที่ได้นำเสนอในตอนต้น ๆ เป็นเรื่องของกระบวนการขุมเหมืองแร่สีเลือกเพื่อนำผลประโยชน์มาห่ำหั่นกันทางการเมือง ที่รัฐบาลทหารพม่า อนุญาตให้ทำเหมืองแร่ต่าง ๆ ในรัฐฉาน ส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนจีน แต่ก็มีประเทศออสเตรเลีย รัสเซีย และอิตาลีด้วย เหมืองทั้งหมดอยู่เหนือน้ำกก น้ำสาย น้ำรวก
    .................

    มิติทางแม่น้ำระหว่างประเทศ เป็นวิกฤติมลพิษข้ามแดนที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับฝุ่นควันข้ามแดน ที่มีปลายทางด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองอยู่เบื้องหลัง ต้องใช้เวลาเกลี่ย ล๊อบบี้ กดดัน การตีโอบ เพื่อกระทบ อันจะให้การกดดันทุน และอำนาจรัฐเข้ามาเร่งรัดจัดการปัญหาข้ามพรมแดนไมว่าจะเป็น การทำระบบบำบัดน้ำเสีย ที่ต้องเพิ่มต้นทุนก็ต้องทำ กรองน้ำที่มีสารหนูปนเปื้อน

    การให้ความสำคัญมิติ สาธารณสุข ด้านสิ่งแวดล้อม การเกษตร การสื่อสาร กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสร้างสัมพันธ์และความเข้าใจนำไปสู่การแก้ไขปัญหา และเสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานทุกฝ่ายต่อการโต้ตอบเหตุสารเคมีปนเปื้อน เพื่อสื่อสารและการประสานความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้เจ้ากรมกิจการชายแดนทหารได้รับฟังข้อมูลจากผู้เข้าร่วมให้ข้อมูลเพื่อนำไปศึกษาการจัดทำรายงานนำเสนอต้นสังกัดและรัฐบาลในการดำเนินการงานร่วมทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาต่อไป

    แม่น้ำกกป่วยเพราะสารพิษหนักเกินค่ามาตรฐานสูงสุด 19 เท่าใครจะเป็นหมอรักษา (ตอนที่ 5) ................. มหากาพย์แร่หายากกำลังเป็นฝีแตกในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เพราะทำให้แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และจะส่งผลต่อแม่น้ำโขงป่วยหนักขึ้น การบริโภค การใช้แม่น้ำที่มีวิญญาณของความเป็นแม่ ถูกความโลภ อำนาจ เผาผลาญ และเอากากความความโลภทิ้งลงแม่น้ำ แล้วทุนแร่หายากในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงแห่งนี้กำลังสร้างตำนานซ้ำซากที่เกิดขึ้นในแอฟริกา เป็นกระบวนการถลุงแร่ธาตุ เพื่อให้เป็นเลือด ................. สัญญาณแรก ประมงจังหวัดเชียงราย แถลงเมื่อ 25 เม.ย.68 ระบุพบปลากลุ่มตัวอย่างพบโลหะหนัก เช่น สารหนูและปรอท ไม่เกินค่ามาตรฐาน ก็อาจจะไม่ให้เราเบาใจและปล่อยปละละเลย และแสดงความกังวลว่าปลาลดน้อยลงมาก เพราะแม่น้ำเสื่อมโทรม ตั้งแต่ความตื้นเขิน น้ำมีตะกอนดินทั้งปี สัญญาณที่สอง สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ก็หวั่น ๆ ว่า ผลสรุปการตรวจสอบคุณภาพตะกอนดินในแหล่งน้ำแม่น้ำกก บริเวณ อ.แม่อาย และอ.เมือง จ.เชียงราย พบมาตรฐานคุณภาพตะกอนดินเพื่อปกป้องสัตว์หน้าดิน อาจจะเกิดอันตรายต่อสัตว์หน้าดินที่เป็นอาหารของสัตว์น้ำ เช่น ปลา จะทำให้จำนวนหรือประเภทของสัตว์หน้าดินลดลง ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศลดลง สัตว์น้ำลดจำนวนลง และชาวบ้านจับสัตว์น้ำได้น้อยลง แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ที่กินสัตว์น้ำ แต่ไม่แน่ว่าหากมีการสะสมในปลา ถ้าชาวบ้านบริโภคปลาเป็นจำนวนมากและเป็นประจำ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัย เช่น ชาที่ปลายมือปลายเท้า (ไข้ดำ: ผิวหนังหนาและเข้ม) มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ สัญญาณที่สาม 30 เมษายน ผลตรวจสารหนูเบื้องต้นในแม่น้ำ อ.แม่สาย - อ.เชียงแสน จังหวัดเชียงราย พบเกินค่ามาตรฐานสูงสุด 19 เท่า มีหมายเหตุ ผลดังกล่าวเป็นเพียงผลการตรวจเบื้องต้นทางทีมวิจัยจะนำตัวอย่างน้ำส่งตรวจใน Lab มาตรฐานต่อไป ................. แรงกระเพื่อมต่อถึงทำเนียบ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุม ติดตามสถานการณ์และแนวทางการแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในแม่น้ำกก ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล องค์ประชุมประกอบด้วย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ ในการประชุม กระจายหน้าที่แต่ละกระทรวง กระทรวงมหาดไทย เร่งสั่งการการประปาส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่ เพื่อเฝ้าระวังและควบคุมการใช้น้ำดิบในการผลิตน้ำประปา พร้อมทั้งกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับข้อมูลสารปนเปื้อนในน้ำ แนวทางการกรองน้ำเพื่อการบริโภคที่ปลอดภัย รวมถึงการเร่งตรวจสอบแหล่งน้ำในพื้นที่อย่างเข้มข้น ประธานในการประชุมมีข้อสั่งการด้านการแก้ไขปัญหา 6 ประเด็น ดังนี้ 1. มอบหมายกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติบูรณาการร่วมกัน เร่งประสานประเทศเพื่อนบ้าน ใช้กลไกความร่วมมือทุกระดับเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดภายนอกประเทศที่อาจส่งผลให้เกิดสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก 2. มอบหมายสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติใช้กลไกลุ่มน้ำโขงเหนือ บริหารจัดการปริมาณน้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศน์ เพิ่มน้ำต้นทุนเข้าสู่แม่น้ำกก 3. มอบหมายกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ใช้นวัตกรรมดาวเทียม และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ ช่วยประเมินความขุ่น สารแขวนลอยในแม่น้ำกกทั้งในเขตประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน 4. มอบหมายกระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนก 5. มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข ติดตามตรวจสอบการปนเปื้อนในแม่น้ำกก และลำน้ำสาขา การปนเปื้อนในสัตว์น้ำและการสะสมในร่างกายมนุษย์อย่างต่อเนื่อง 6. มอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรม จัดทำแนวทางการลดผลกระทบจากการทำเหมืองและประสานความร่วมมือในการเผยแพร่ให้ประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ คำถามที่ท้าทาย จะปล่อยให้ภาวะสะสมเกิดกับประชาชนชาวเชียงราย และประชาชนลุ่มน้ำสาย กก โขงแบบนี้เรื่อย ๆ ใช่หรือไม่ ................. เสียงประชาชนต้องดังกว่านี้ เครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก (ค.อ.ก) ก็ได้จัดเวทีความร่วมมือเตือนภัยน้ำกกหลากท่วมปี 2568 โดยมีนางเตือนใจ ดีเทศน์ หรือ “ครูแดง” ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ พชภ. เป็นประธานการประชุม โดยมีองค์กรพัฒนาเอกชนที่ดำเนินงานในพื้นที่แม่น้ำกก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชุมแลกเปลี่ยนพร้อมนำเสนอ ถึงนายกรรัฐมนตรี 1.แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ภาคประชาชน และนักวิชาการ เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาทั้งในแหล่งกำเนิดมลพิษ ระหว่างทาง และผู้รับผลพิษ จัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในจังหวัดเชียงราย 2. เปิดเผยและซักซ้อมมาตรการรับมืออุทกภัยลุ่มน้ำกก และลุ่มน้ำสาย อย่างเป็นระบบ มีส่วนร่วม และมีประสิทธิภาพ 3. สร้างความร่วมมือกับประเทศเมียนมา หรือกองกำลังที่ดูแลในพื้นที่ เพื่อเพิ่มจุดเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของสารปนเปื้อน ตลอดลำน้ำกก น้ำสาย ทั้ง พื้นที่ต้นน้ำ ก่อนเหมืองในรัฐฉาน 4 .สร้างระบบสื่อสารสาธารณะที่โปร่งใส เพื่อให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจุบัน 5. ขยายขอบเขตการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นการลุกล้ำหรือทำลายสิ่งแวดล้อม ตลอดลุ่มน้ำกกและลุ่มน้ำสาย 6. เปิดการเจรจา 4 ฝ่ายคือ ไทย เมียนมา กองกำลังชาติพันธุ์ที่ควบคุมพื้นที่สัมปทานเหมือง และประเทศจีน เพื่อร่วมกันหาทางออกอย่างสร้างสรรค์และรับผิดชอบ สรุปคือการส่งเสียงว่ารัฐบาลจะต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ การทำเหมืองทองต้องกระตุ้นให้หน่วยงานรัฐไปเจรจา ทุกฝ่ายร่วมกัน ทั้งฝ่ายความมั่นคง รัฐบาล สื่อมวลชน ชาวบ้าน ประเทศเพื่อนบ้าน ถ้าระดับประเทศแก้ไม่ได้ก็ต้องเป็นระดับอาเซียน ภูมิภาค หรือระดับนานาชาติร่วมกันแก้ไข ต้องคุยกับรัฐบาลพม่ารวมถึงรัฐบาลจีน เพราะเป็นพื้นที่ของกลุ่มว้า เป็นการเมืองระหว่างประเทศ เปิดพื้นที่ผ่านการเล่าเรื่องของแม่น้ำกกระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ สร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับสิทธิของแม่น้ำ และ การเจรจาระหว่างรัฐกับธรรมชาติ ข้ามเขตแดนรัฐและแนวคิดการจัดการสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน (Transboundary Environmental Governance)” ................. ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงกล่าวว่า รัฐบาลต้องใช้แนวคิดการทูตสิ่งแวดล้อมสร้างความร่วมมือแก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด นอกจากนี้ต้องเสนอให้เมียนมาเข้าใจด้วยว่า เหมืองแร่อยู่ในเขตควบคุมของกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ที่การเจรจาสันติภาพในเมียนมา ต้องหยิบยกเอาประเด็นมลพิษข้ามพรมแดนเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาด้วย น.ส.เพียงพร ดีเทศน์ เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา(พชภ.) และผู้อำนวยการฝ่ายรณรงรงค์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) กล่าวว่า ทั้งแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นแม่น้ำระหว่างประเทศ โดยมีต้นน้ำอยู่ในเขตรัฐฉาน ประเทศพม่า การสร้างเหมืองทองที่บริเวณต้นน้ำ ทำให้ประชาชนและระบบนิเวศท้ายน้ำซึ่งอยู่ในประเทศไทยได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเร่งหาทางยุติการทำเหมืองและเปิดหน้าดินในวงกว้างให้ได้ เพราะนอกจากส่งผลในเรื่องการปนเปื้อนสารโลหะหนักลงแม่น้ำแล้ว ยังส่งผลต่ออุทกภัยที่มีดินโคลนปนมาด้วย กลายเป็นภัยพิบัติร้ายแรงที่คนท้ายน้ำต้องเผชิญและหวาดผวาอยู่ตลอดเวลา ก่อนหน้านี้กระแสกระเพื่อมขึ้นในพื้นที่ที่ดีมาก ที่ทาง พล.ท.ณัฐพงษ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร เลขานุการคณะกรรมการระดับสูงไทย-เมียนมา ร่วมรับฟังปัญหาสารโลหะหนักในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย เนื้อหาจึงเจาะประเด็นเชิงความมั่นคงทันทีในมิติของผลกระทบข้ามแดน ตามที่ได้นำเสนอในตอนต้น ๆ เป็นเรื่องของกระบวนการขุมเหมืองแร่สีเลือกเพื่อนำผลประโยชน์มาห่ำหั่นกันทางการเมือง ที่รัฐบาลทหารพม่า อนุญาตให้ทำเหมืองแร่ต่าง ๆ ในรัฐฉาน ส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนจีน แต่ก็มีประเทศออสเตรเลีย รัสเซีย และอิตาลีด้วย เหมืองทั้งหมดอยู่เหนือน้ำกก น้ำสาย น้ำรวก ................. มิติทางแม่น้ำระหว่างประเทศ เป็นวิกฤติมลพิษข้ามแดนที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับฝุ่นควันข้ามแดน ที่มีปลายทางด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองอยู่เบื้องหลัง ต้องใช้เวลาเกลี่ย ล๊อบบี้ กดดัน การตีโอบ เพื่อกระทบ อันจะให้การกดดันทุน และอำนาจรัฐเข้ามาเร่งรัดจัดการปัญหาข้ามพรมแดนไมว่าจะเป็น การทำระบบบำบัดน้ำเสีย ที่ต้องเพิ่มต้นทุนก็ต้องทำ กรองน้ำที่มีสารหนูปนเปื้อน การให้ความสำคัญมิติ สาธารณสุข ด้านสิ่งแวดล้อม การเกษตร การสื่อสาร กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสร้างสัมพันธ์และความเข้าใจนำไปสู่การแก้ไขปัญหา และเสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานทุกฝ่ายต่อการโต้ตอบเหตุสารเคมีปนเปื้อน เพื่อสื่อสารและการประสานความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้เจ้ากรมกิจการชายแดนทหารได้รับฟังข้อมูลจากผู้เข้าร่วมให้ข้อมูลเพื่อนำไปศึกษาการจัดทำรายงานนำเสนอต้นสังกัดและรัฐบาลในการดำเนินการงานร่วมทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาต่อไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1325 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ทราย สก๊อต"ไปเหยียบตีนใคร ที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ในทะเลไทย
    .
    “ทราย สก๊อต” หรือ สิรณัฐ ภิรมย์ภักดี อินฟลูเอนเซอร์หนุ่มลูกครึ่งไทย-สกอตต์แลนด์ ทายาทสิงห์รุ่น 4 หลานชายของคุณจำนงค์ ภิรมย์ภักดี อดีตประธานบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ทรายเรียนจบการศึกษาปริญญาตรีทางด้านแอนิเมชันจากสหรัฐอเมริกาและเจ้าของสถิติว่ายน้ำทะเล 30 กม.ได้รับฉายาเป็น“อควาแมนเมืองไทย” ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานฯนายอรรถพล เจริญชันษา เมื่อต้นปี 2567 ด้วยภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่ รักษ์ทะเล จริงจังเรื่องสิ่งแวดล้อม และสื่อสารเก่งผ่านโซเชียล
    .
    เขาทำงานเชิงรุกในภาคสนามอย่างเข้มข้น ใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ผ่อนปรน ยอมหักไม่ยอมงอ ทั้งเตือนนักท่องเที่ยว ใช้กฎหมายจัดการผู้ละเมิดกฎอุทยาน ไม่เว้นแม้แต่บริษัทเรือหรือไกด์ทัวร์ที่ให้อาหารสัตว์ทะเลหรือเหยียบปะการัง จนเกิดความไม่พอใจจากบางกลุ่มที่เสียผลประโยชน์ ถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจเกินขอบเขต ทำคอนเทนต์เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และพูดจาเหยียดหยามเจ้าหน้าที่
    .
    เหตุการณ์เริ่มต้นจากคลิป “หนีห่าว” ที่ทรายเข้าไปตักเตือนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่พูดจาเหยียดคนไทย ตามด้วยคดีฟ้องหมิ่นประมาทจากบริษัทเรือ ก่อกระแสโต้กลับหนักบนโซเชียลและในวงราชการ กระทั่งวันที่ 21 เม.ย. 2568 อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาตินายอรรถพล เจริญชันษา มีคำสั่งปลดทรายออกจากตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่า “มีความประพฤติไม่เหมาะสม เตือนแล้วก็ไม่แก้ไขปรับปรุง ทำงานร่วมกับใครไม่ได้”
    .
    สังคมออนไลน์กลับมองต่าง ช่วยกันติดแฮชแท็ก #Saveทราย #คืนทรายให้ทะเล พร้อมตั้งคำถามว่า “เขาไปเหยียบตีนใครหรือเปล่า?” เพราะสิ่งที่ทรายพูดอาจเป็นการสะกิดรอยรั่วของระบบอุทยานฯ โดยเฉพาะพื้นที่ “ทำเงิน”ในอุทยานทางทะเล 4 แห่งคืออุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา หมู่เกาะพีพี จังหวัดภูเก็ต, อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จังหวัดกระบี่, อุทยานแห่งชาติแหลมหญ้า หมู่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง, อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จังหวัดพังงา ก็ฟาดไปกว่าปีละ 500 ล้านบาท
    .
    ทรายยืนยันว่า “ไม่ได้ล้ำเส้น แค่ใช้กฎให้ถูกต้อง” พร้อมเปรยว่า “ผมเห็นเยอะเกินไป” เป็นประโยคที่หลายคนตีความว่า เขาอาจสัมผัสปัญหาหรือความหย่อนยานเชิงโครงสร้างในระบบราชการที่ไม่มีใครกล้าพูด
    .
    ขบวนการผลประโยชน์ที่ "ทราย สก๊อต" มองเห็นอยู่ ย่อมไม่มีผลดีต่อพวกที่คิดชั่ว ทำชั่วระบบเวียนตั๋ว-อุปถัมภ์-ผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ใช่แค่โกงตั๋ว ยังมีการจัดซื้อจัดจ้าง ส่อแววเอื้อพวกพ้อง ทั้งที่รายได้จากอุทยานทั่วประเทศปี 2567 พุ่งถึง 2,200 ล้านบาท แต่สวัสดิการพื้นฐานของเจ้าหน้าที่อุทยาน เช่น ประกันภัยยังแทบไม่มี “ทราย สก๊อต” เคยเสนอแนวคิดใช้เงินตรงนี้ดูแลคนทำงานจริง กลับถูกต้านจากระบบ เป็นไปได้หรือไม่ว่าตัวจริงเป็น "ไอ้โม่ง" ที่อยู่ข้างหลัง คือตัวเบิ้มๆ ที่คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
    .
    นี่ล่ะ คือเบื้องหน้าเบื้องหลังของกรณี "หนีห่าว" ของ "ทราย สก๊อต" ที่ไม่ได้จบแค่เรื่องการเหยียดคนไทยของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่ยังสะท้อนถึงปัญหาเชิงระบบ ปัญหาเรื่องผลประโยชน์นับพันล้านของกรมอุทยานแห่งชาติฯ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในเงื้อมมือของข้าราชการและนักการเมืองที่ตัดไม่ได้ขายไม่ออกด้วย
    .
    สำหรับคุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน นั้น ท่านก็เคยมีวีรกรรมของท่านมากมายเหลือเกินสมัยที่ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ แล้วก็มีเรื่องนี้ที่เกิดขึ้น ผมไม่รู้ว่าการสั่งซื้อเรือราคาหลายร้อยล้านบาทนั้น มันออกมาจากคนไหน ท่านรัฐมนตรีฯ เฉลิมชัย เป็นคนกระซิบคุณอริยะ เชื้อชม ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติหรือเปล่า ผมไม่ทราบ ผมรู้แต่ว่า คุณเฉลิมชัย อยู่ที่ไหน ที่นั่นไม่ค่อยจะสงบสุขเลย
    "ทราย สก๊อต"ไปเหยียบตีนใคร ที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ในทะเลไทย . “ทราย สก๊อต” หรือ สิรณัฐ ภิรมย์ภักดี อินฟลูเอนเซอร์หนุ่มลูกครึ่งไทย-สกอตต์แลนด์ ทายาทสิงห์รุ่น 4 หลานชายของคุณจำนงค์ ภิรมย์ภักดี อดีตประธานบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ทรายเรียนจบการศึกษาปริญญาตรีทางด้านแอนิเมชันจากสหรัฐอเมริกาและเจ้าของสถิติว่ายน้ำทะเล 30 กม.ได้รับฉายาเป็น“อควาแมนเมืองไทย” ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานฯนายอรรถพล เจริญชันษา เมื่อต้นปี 2567 ด้วยภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่ รักษ์ทะเล จริงจังเรื่องสิ่งแวดล้อม และสื่อสารเก่งผ่านโซเชียล . เขาทำงานเชิงรุกในภาคสนามอย่างเข้มข้น ใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ผ่อนปรน ยอมหักไม่ยอมงอ ทั้งเตือนนักท่องเที่ยว ใช้กฎหมายจัดการผู้ละเมิดกฎอุทยาน ไม่เว้นแม้แต่บริษัทเรือหรือไกด์ทัวร์ที่ให้อาหารสัตว์ทะเลหรือเหยียบปะการัง จนเกิดความไม่พอใจจากบางกลุ่มที่เสียผลประโยชน์ ถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจเกินขอบเขต ทำคอนเทนต์เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และพูดจาเหยียดหยามเจ้าหน้าที่ . เหตุการณ์เริ่มต้นจากคลิป “หนีห่าว” ที่ทรายเข้าไปตักเตือนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่พูดจาเหยียดคนไทย ตามด้วยคดีฟ้องหมิ่นประมาทจากบริษัทเรือ ก่อกระแสโต้กลับหนักบนโซเชียลและในวงราชการ กระทั่งวันที่ 21 เม.ย. 2568 อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาตินายอรรถพล เจริญชันษา มีคำสั่งปลดทรายออกจากตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่า “มีความประพฤติไม่เหมาะสม เตือนแล้วก็ไม่แก้ไขปรับปรุง ทำงานร่วมกับใครไม่ได้” . สังคมออนไลน์กลับมองต่าง ช่วยกันติดแฮชแท็ก #Saveทราย #คืนทรายให้ทะเล พร้อมตั้งคำถามว่า “เขาไปเหยียบตีนใครหรือเปล่า?” เพราะสิ่งที่ทรายพูดอาจเป็นการสะกิดรอยรั่วของระบบอุทยานฯ โดยเฉพาะพื้นที่ “ทำเงิน”ในอุทยานทางทะเล 4 แห่งคืออุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา หมู่เกาะพีพี จังหวัดภูเก็ต, อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จังหวัดกระบี่, อุทยานแห่งชาติแหลมหญ้า หมู่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง, อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จังหวัดพังงา ก็ฟาดไปกว่าปีละ 500 ล้านบาท . ทรายยืนยันว่า “ไม่ได้ล้ำเส้น แค่ใช้กฎให้ถูกต้อง” พร้อมเปรยว่า “ผมเห็นเยอะเกินไป” เป็นประโยคที่หลายคนตีความว่า เขาอาจสัมผัสปัญหาหรือความหย่อนยานเชิงโครงสร้างในระบบราชการที่ไม่มีใครกล้าพูด . ขบวนการผลประโยชน์ที่ "ทราย สก๊อต" มองเห็นอยู่ ย่อมไม่มีผลดีต่อพวกที่คิดชั่ว ทำชั่วระบบเวียนตั๋ว-อุปถัมภ์-ผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ใช่แค่โกงตั๋ว ยังมีการจัดซื้อจัดจ้าง ส่อแววเอื้อพวกพ้อง ทั้งที่รายได้จากอุทยานทั่วประเทศปี 2567 พุ่งถึง 2,200 ล้านบาท แต่สวัสดิการพื้นฐานของเจ้าหน้าที่อุทยาน เช่น ประกันภัยยังแทบไม่มี “ทราย สก๊อต” เคยเสนอแนวคิดใช้เงินตรงนี้ดูแลคนทำงานจริง กลับถูกต้านจากระบบ เป็นไปได้หรือไม่ว่าตัวจริงเป็น "ไอ้โม่ง" ที่อยู่ข้างหลัง คือตัวเบิ้มๆ ที่คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ . นี่ล่ะ คือเบื้องหน้าเบื้องหลังของกรณี "หนีห่าว" ของ "ทราย สก๊อต" ที่ไม่ได้จบแค่เรื่องการเหยียดคนไทยของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่ยังสะท้อนถึงปัญหาเชิงระบบ ปัญหาเรื่องผลประโยชน์นับพันล้านของกรมอุทยานแห่งชาติฯ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในเงื้อมมือของข้าราชการและนักการเมืองที่ตัดไม่ได้ขายไม่ออกด้วย . สำหรับคุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน นั้น ท่านก็เคยมีวีรกรรมของท่านมากมายเหลือเกินสมัยที่ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ แล้วก็มีเรื่องนี้ที่เกิดขึ้น ผมไม่รู้ว่าการสั่งซื้อเรือราคาหลายร้อยล้านบาทนั้น มันออกมาจากคนไหน ท่านรัฐมนตรีฯ เฉลิมชัย เป็นคนกระซิบคุณอริยะ เชื้อชม ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติหรือเปล่า ผมไม่ทราบ ผมรู้แต่ว่า คุณเฉลิมชัย อยู่ที่ไหน ที่นั่นไม่ค่อยจะสงบสุขเลย
    Like
    Love
    19
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1936 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์เพจมูลนิธิบูรณะนิเวศ 4 เมษายน 2568 พิรุธใหม่ “ซินเคอหยวน” ซุก “ฝุ่นแดง” เกือบครึ่งแสนตัน.จากกรณีการเกิดแผ่นดินไหวจนอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ถล่มลง ชื่อของบริษัททุนจีนที่ปรากฏเป็นข่าวและถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง นอกจากบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) แล้ว ยังมีชื่อของบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด เคียงคู่มาด้วย ในฐานะเจ้าของผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นยี่ห้อ SKY.ทั้งนี้ เหล็กข้ออ้อยขนาด 20 และ 32 มิลลิเมตรที่กระทรวงอุตสาหกรรมเก็บตัวอย่างมาจากตึก สตง. ซึ่งทดสอบแล้วพบว่าไม่เป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) ก็คือเหล็ก SKY นั่นเอง.จากผลการตรวจพบข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้เมื่อวันที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา คณะตรวจการสุดซอยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมกับตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เข้าตรวจสอบโรงงานซินเคอหยวน ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง โดยตั้งเป้าตรวจสอบใน 2 ประเด็นหลัก.นั่นคือ 1. ตรวจสอบว่าเหล็กตกมาตรฐานของบริษัทที่เคยถูกยึดอายัดไว้เดือนธันวาคม 2567 ยังอยู่ครบหรือไม่ 2. บริษัทซึ่งถูกสั่งปิดปรับปรุงตั้งแต่ปลายปีนั้น มีการลักลอบประกอบกิจการหรือไม่.ผลการตรวจสอบในประเด็นแรกพบว่า เหล็กของกลางที่เจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดอายัดไว้ยังอยู่ครบถ้วน ไม่มีการเคลื่อนย้าย ส่วนการตรวจในประเด็นที่ 2 ในวันที่ลงตรวจก็ไม่พบการประกอบกิจการ.อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มสื่อมวลชนที่ติดตามประเด็น ต่างตั้งข้อสังเกตว่า สภาพโรงงานดู “สะอาดเรียบร้อย” พร้อมรับการตรวจราวทราบล่วงหน้า รวมทั้งผู้เป็นตัวแทนบริษัทได้แสดงความมั่นใจ และบางช่วงได้ทักทายผู้สื่อข่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “เป็นไงนักข่าวได้ข่าวอะไรไหม”.กระนั้นก็ตาม จากการที่คณะตรวจการสุดซอยฯ ตรวจสอบการใช้ไฟฟ้าในโรงงานจากบิลค่าไฟ แม้พบว่า ค่าไฟในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2568 จะลดลงอย่างมาก จากค่าเฉลี่ยเดิมที่ประมาณเดือนละ 150 ล้านบาท คงเหลือที่ 1.2 ล้านบาท 0.64 ล้านบาท และ 6.4 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ตัวเลขของเดือนล่าสุดก็ยังมีความน่าสงสัย.แต่สำหรับประเด็นชวนกังขาที่แท้จริงกลับอยู่ที่ “ฝุ่นแดง” ที่ทางบริษัทมีอยู่ในครอบครอง ซึ่งเจ้าหน้าที่ประเมินว่าน่าจะมีจำนวนมากกว่า 43,000 ตัน ในขณะที่จำนวนที่บริษัทแจ้งต่อภาครัฐมีเพียง 2,245 ตันต่อปี อีกทั้งในปี 2567 บริษัทฯ ไม่มีการแจ้งหรือรายงานการกักเก็บฝุ่นแดงแต่อย่างใด .อนึ่ง ฝุ่นแดงคือฝุ่นที่เกิดจากเตาหลอมเหล็ก ซึ่งในระดับนานาชาติถือว่าเป็นของเสียอันตรายที่ต้องควบคุมการก่อเกิด การเคลื่อนย้าย และการกำจัดอย่างเข้มงวด เนื่องจากมีส่วนประกอบเป็นโลหะหนักที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม.การมีฝุ่นแดงในครอบครองในกรณีของซินเคอหยวนจึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ ในฐานะของเสียจากกระบวนการผลิต เพียงแต่ปริมาณที่แตกต่างมหาศาล จากระดับ 2,000 ตัน กลายเป็น 40,000 ตัน ก่อให้เกิดคำถามใหญ่และสำคัญว่า ฝุ่นแดงส่วนเกินนั้นมาจากไหน และฝุ่นแดงเหล่านั้นเข้ามาอยู่ในโรงงานของบริษัทในฐานะอะไร เรื่องนี้จึงถือว่าเป็นข้อพิรุธใหญ่ที่จำเป็นต้องมีการสืบสวนสอบสวนต่ออย่างเอาจริงเอาจัง.เท่าที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิบูรณะนิเวศสังเกตดูกองถุงบิ๊กแบกบรรจุฝุ่นแดงภายในโรงงานของซินเคอหยวน พบว่าลักษณะของถุงมีความแตกต่างกัน ส่วนที่กองอยู่ในฟากหนึ่งเป็นถุงสีขาวออกน้ำตาลที่มีดูหมองและเก่า หลายจุดมีมีหยากไย่เกาะปกคลุม .ในขณะที่อีกฟากมีถุงบิ๊กแบกสีดำที่มีอักษรจีนกำกับ ซึ่งลักษณะดูใหม่กว่า และส่วนใหญ่จะวางทับถุงสีขาวน้ำตาล คล้ายกับว่าถุงเหล่านี้ถูกนำหรือเคลื่อนย้ายเข้ามาทีหลัง.สำหรับถุงบิ๊กแบกสีดำที่ที่มีอักษรจีนเป็นแบบเดียวกับเราเคยพบมาก่อนจากการลงพื้นที่โรงงานในจังหวัดสมุทรสาคร โดยเป็นถุงบรรจุฝุ่นแดงเช่นเดียวกัน.ทั้งนี้ เมื่อวานนี้ (3 เมษายน 2568) ทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้ประสานดีเอสไอรับประเด็นเรื่องฝุ่นแดงกรณีบริษัทซินเคอหยวนนี้เป็นคดีพิเศษแล้ว ซึ่งทางเพจจะนำเสนอประเด็นเกี่ยวเนื่องอื่นๆ และความคืบหน้าต่อไป......เรื่องและภาพโดย นราธิป ทองถนอม มูลนิธิบูรณะนิเวศ
    รีโพสต์เพจมูลนิธิบูรณะนิเวศ 4 เมษายน 2568 พิรุธใหม่ “ซินเคอหยวน” ซุก “ฝุ่นแดง” เกือบครึ่งแสนตัน.จากกรณีการเกิดแผ่นดินไหวจนอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ถล่มลง ชื่อของบริษัททุนจีนที่ปรากฏเป็นข่าวและถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง นอกจากบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) แล้ว ยังมีชื่อของบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด เคียงคู่มาด้วย ในฐานะเจ้าของผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นยี่ห้อ SKY.ทั้งนี้ เหล็กข้ออ้อยขนาด 20 และ 32 มิลลิเมตรที่กระทรวงอุตสาหกรรมเก็บตัวอย่างมาจากตึก สตง. ซึ่งทดสอบแล้วพบว่าไม่เป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) ก็คือเหล็ก SKY นั่นเอง.จากผลการตรวจพบข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้เมื่อวันที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา คณะตรวจการสุดซอยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมกับตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เข้าตรวจสอบโรงงานซินเคอหยวน ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง โดยตั้งเป้าตรวจสอบใน 2 ประเด็นหลัก.นั่นคือ 1. ตรวจสอบว่าเหล็กตกมาตรฐานของบริษัทที่เคยถูกยึดอายัดไว้เดือนธันวาคม 2567 ยังอยู่ครบหรือไม่ 2. บริษัทซึ่งถูกสั่งปิดปรับปรุงตั้งแต่ปลายปีนั้น มีการลักลอบประกอบกิจการหรือไม่.ผลการตรวจสอบในประเด็นแรกพบว่า เหล็กของกลางที่เจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดอายัดไว้ยังอยู่ครบถ้วน ไม่มีการเคลื่อนย้าย ส่วนการตรวจในประเด็นที่ 2 ในวันที่ลงตรวจก็ไม่พบการประกอบกิจการ.อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มสื่อมวลชนที่ติดตามประเด็น ต่างตั้งข้อสังเกตว่า สภาพโรงงานดู “สะอาดเรียบร้อย” พร้อมรับการตรวจราวทราบล่วงหน้า รวมทั้งผู้เป็นตัวแทนบริษัทได้แสดงความมั่นใจ และบางช่วงได้ทักทายผู้สื่อข่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “เป็นไงนักข่าวได้ข่าวอะไรไหม”.กระนั้นก็ตาม จากการที่คณะตรวจการสุดซอยฯ ตรวจสอบการใช้ไฟฟ้าในโรงงานจากบิลค่าไฟ แม้พบว่า ค่าไฟในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2568 จะลดลงอย่างมาก จากค่าเฉลี่ยเดิมที่ประมาณเดือนละ 150 ล้านบาท คงเหลือที่ 1.2 ล้านบาท 0.64 ล้านบาท และ 6.4 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ตัวเลขของเดือนล่าสุดก็ยังมีความน่าสงสัย.แต่สำหรับประเด็นชวนกังขาที่แท้จริงกลับอยู่ที่ “ฝุ่นแดง” ที่ทางบริษัทมีอยู่ในครอบครอง ซึ่งเจ้าหน้าที่ประเมินว่าน่าจะมีจำนวนมากกว่า 43,000 ตัน ในขณะที่จำนวนที่บริษัทแจ้งต่อภาครัฐมีเพียง 2,245 ตันต่อปี อีกทั้งในปี 2567 บริษัทฯ ไม่มีการแจ้งหรือรายงานการกักเก็บฝุ่นแดงแต่อย่างใด .อนึ่ง ฝุ่นแดงคือฝุ่นที่เกิดจากเตาหลอมเหล็ก ซึ่งในระดับนานาชาติถือว่าเป็นของเสียอันตรายที่ต้องควบคุมการก่อเกิด การเคลื่อนย้าย และการกำจัดอย่างเข้มงวด เนื่องจากมีส่วนประกอบเป็นโลหะหนักที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม.การมีฝุ่นแดงในครอบครองในกรณีของซินเคอหยวนจึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ ในฐานะของเสียจากกระบวนการผลิต เพียงแต่ปริมาณที่แตกต่างมหาศาล จากระดับ 2,000 ตัน กลายเป็น 40,000 ตัน ก่อให้เกิดคำถามใหญ่และสำคัญว่า ฝุ่นแดงส่วนเกินนั้นมาจากไหน และฝุ่นแดงเหล่านั้นเข้ามาอยู่ในโรงงานของบริษัทในฐานะอะไร เรื่องนี้จึงถือว่าเป็นข้อพิรุธใหญ่ที่จำเป็นต้องมีการสืบสวนสอบสวนต่ออย่างเอาจริงเอาจัง.เท่าที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิบูรณะนิเวศสังเกตดูกองถุงบิ๊กแบกบรรจุฝุ่นแดงภายในโรงงานของซินเคอหยวน พบว่าลักษณะของถุงมีความแตกต่างกัน ส่วนที่กองอยู่ในฟากหนึ่งเป็นถุงสีขาวออกน้ำตาลที่มีดูหมองและเก่า หลายจุดมีมีหยากไย่เกาะปกคลุม .ในขณะที่อีกฟากมีถุงบิ๊กแบกสีดำที่มีอักษรจีนกำกับ ซึ่งลักษณะดูใหม่กว่า และส่วนใหญ่จะวางทับถุงสีขาวน้ำตาล คล้ายกับว่าถุงเหล่านี้ถูกนำหรือเคลื่อนย้ายเข้ามาทีหลัง.สำหรับถุงบิ๊กแบกสีดำที่ที่มีอักษรจีนเป็นแบบเดียวกับเราเคยพบมาก่อนจากการลงพื้นที่โรงงานในจังหวัดสมุทรสาคร โดยเป็นถุงบรรจุฝุ่นแดงเช่นเดียวกัน.ทั้งนี้ เมื่อวานนี้ (3 เมษายน 2568) ทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้ประสานดีเอสไอรับประเด็นเรื่องฝุ่นแดงกรณีบริษัทซินเคอหยวนนี้เป็นคดีพิเศษแล้ว ซึ่งทางเพจจะนำเสนอประเด็นเกี่ยวเนื่องอื่นๆ และความคืบหน้าต่อไป......เรื่องและภาพโดย นราธิป ทองถนอม มูลนิธิบูรณะนิเวศ
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 862 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ PETA ออกมาโต้รัฐมนตรีเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่ก่อนหน้ายืนยันรับประกันสวัสดิภาพหมูเด้งและสวนสัตว์เขาเขียวได้มาตรฐานว่า ให้ความสนใจหมูเด้งเป็นพิเศษ เนื่องมาจากกระแสความโด่งดังหมูเด้งที่มาจากการกักขังในสวนสัตว์เป็นสำคัญที่ทำให้สัตว์ป่าเช่นฮิปโปแคระสูญเสียธรรมชาติดั้งเดิมความเป็นสัตว์ป่าของตัวเองไป แต่ไม่ตอบคำเชิญเข้ามาดูหมูเด้งถึงสวนสัตว์เขาเขียว ด้านอดีตเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำธนาคารพัฒนาเอเชีย (AsDB) สวนกระแสแบนบุกเยือน “หมูเด้ง” ถึงที่โพสต์ชื่นชมพี่เบนซ์ที่อุทิศตัวจนหมูเด้งมีชื่อไปทั่วโลก

    เจสัน เบเกอร์ (Jason Baker) รองประธานอาวุโสกลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ PETA ชื่อดังออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 25 ก.พ. มายังผู้จัดการออนไลน์ ตอบโต้รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เฉลิมชัย ศรีอ่อน หลังข่าว PETA จับมือ Born Free รณรงค์ไม่ให้นักท่องเที่ยวในอังกฤษเดินทางบินเข้ามาชมหมูเด้งในไทยออกมาเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว

    แถลงการณ์ PETA ที่ออกมาในวันเดียวกัน (25) กับการแถลงของรัฐมนตรีเฉลิมชัย โดยทางกลุ่มแถลงยังคงโจมตีไปที่กระแสความโด่งดังหมูเด้งที่มาจากการกักขังในสวนสัตว์เป็นสำคัญ PETA จุดยืนการรณรงค์หมูเด้งเนื่องมาจากทางกลุ่มต้องการให้ข้อมูลว่า สัตว์ที่ถูกกักกันนั้นแท้จริงเป็นสิ่งที่มีความรู้สึกเหมือนเช่นมนุษย์ และไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาจัดแสดงได้ตามข้ออ้างของรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000020286

    #MGROnline #กลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ #PETA #หมูเด้ง
    กลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ PETA ออกมาโต้รัฐมนตรีเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่ก่อนหน้ายืนยันรับประกันสวัสดิภาพหมูเด้งและสวนสัตว์เขาเขียวได้มาตรฐานว่า ให้ความสนใจหมูเด้งเป็นพิเศษ เนื่องมาจากกระแสความโด่งดังหมูเด้งที่มาจากการกักขังในสวนสัตว์เป็นสำคัญที่ทำให้สัตว์ป่าเช่นฮิปโปแคระสูญเสียธรรมชาติดั้งเดิมความเป็นสัตว์ป่าของตัวเองไป แต่ไม่ตอบคำเชิญเข้ามาดูหมูเด้งถึงสวนสัตว์เขาเขียว ด้านอดีตเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำธนาคารพัฒนาเอเชีย (AsDB) สวนกระแสแบนบุกเยือน “หมูเด้ง” ถึงที่โพสต์ชื่นชมพี่เบนซ์ที่อุทิศตัวจนหมูเด้งมีชื่อไปทั่วโลก • เจสัน เบเกอร์ (Jason Baker) รองประธานอาวุโสกลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ PETA ชื่อดังออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 25 ก.พ. มายังผู้จัดการออนไลน์ ตอบโต้รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เฉลิมชัย ศรีอ่อน หลังข่าว PETA จับมือ Born Free รณรงค์ไม่ให้นักท่องเที่ยวในอังกฤษเดินทางบินเข้ามาชมหมูเด้งในไทยออกมาเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว • แถลงการณ์ PETA ที่ออกมาในวันเดียวกัน (25) กับการแถลงของรัฐมนตรีเฉลิมชัย โดยทางกลุ่มแถลงยังคงโจมตีไปที่กระแสความโด่งดังหมูเด้งที่มาจากการกักขังในสวนสัตว์เป็นสำคัญ PETA จุดยืนการรณรงค์หมูเด้งเนื่องมาจากทางกลุ่มต้องการให้ข้อมูลว่า สัตว์ที่ถูกกักกันนั้นแท้จริงเป็นสิ่งที่มีความรู้สึกเหมือนเช่นมนุษย์ และไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาจัดแสดงได้ตามข้ออ้างของรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000020286 • #MGROnline #กลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ #PETA #หมูเด้ง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 979 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากการสำรวจนิด้าโพลเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.58 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.00 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 12.82 ระบุว่า พอใจมาก ด้านความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.76 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.28 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 13.36 ระบุว่า พอใจมาก สำหรับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.41 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 25.04 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น และร้อยละ 12.29 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานในแต่ละกระทรวงของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า กระทรวงสาธารณสุข ตัวอย่าง ร้อยละ 32.45 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.16 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 17.02 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.29 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตัวอย่าง ร้อยละ 32.14 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.25 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 15.04 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพลังงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 32.98 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.31 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 14.11 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.76 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการคลัง ตัวอย่าง ร้อยละ 33.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.79 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.75 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.59 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.38 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 21.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.44 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.57 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.29 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.39 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.21 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 6.41 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.48 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.46 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.98 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.24 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 29.92 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.55 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 18.09 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.52 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 10.92 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลสำนักนายกรัฐมนตรี ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.70 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.52 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงวัฒนธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 31.53 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.54 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.94 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.70 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงศึกษาธิการ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.04 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.08 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.51 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงมหาดไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 24.27 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.53 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.00 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.99 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.28 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงอุตสาหกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.92 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.01 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.68 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงยุติธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 32.90 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 11.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 4.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงคมนาคม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.37 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.92 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.21 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตัวอย่าง ร้อยละ 33.44 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.00 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.69 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.76 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.11 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงแรงงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 35.80 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 25.65 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 25.42 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงกลาโหม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.56 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.63 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.60 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.31 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.90 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.95 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.49 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 25.80 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 9.39 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.37 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล
    จากการสำรวจนิด้าโพลเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.58 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.00 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 12.82 ระบุว่า พอใจมาก ด้านความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.76 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.28 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 13.36 ระบุว่า พอใจมาก สำหรับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.41 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 25.04 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น และร้อยละ 12.29 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานในแต่ละกระทรวงของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า กระทรวงสาธารณสุข ตัวอย่าง ร้อยละ 32.45 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.16 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 17.02 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.29 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตัวอย่าง ร้อยละ 32.14 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.25 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 15.04 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพลังงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 32.98 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.31 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 14.11 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.76 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการคลัง ตัวอย่าง ร้อยละ 33.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.79 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.75 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.59 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.38 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 21.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.44 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.57 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.29 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.39 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.21 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 6.41 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.48 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.46 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.98 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.24 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 29.92 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.55 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 18.09 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.52 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 10.92 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลสำนักนายกรัฐมนตรี ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.70 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.52 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงวัฒนธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 31.53 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.54 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.94 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.70 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงศึกษาธิการ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.04 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.08 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.51 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงมหาดไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 24.27 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.53 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.00 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.99 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.28 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงอุตสาหกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.92 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.01 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.68 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงยุติธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 32.90 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 11.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 4.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงคมนาคม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.37 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.92 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.21 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตัวอย่าง ร้อยละ 33.44 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.00 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.69 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.76 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.11 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงแรงงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 35.80 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 25.65 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 25.42 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงกลาโหม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.56 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.63 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.60 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.31 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.90 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.95 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.49 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 25.80 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 9.39 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.37 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1008 มุมมอง 0 รีวิว
  • สื่อทำเนียบฯ ตั้งฉายา ปี67 “รัฐบาล(พ่อ)เลี้ยง”, ฉายานายกฯ “แพทองโพย“ 7 รมต.ติดโผ ”บิ๊กอ้วน,อนุทิน,ทวี“ - พ่วง3รมต.โลกลืม
    .
    เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า การตั้งฉายารัฐบาล และรัฐมนตรีประจำปี ของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล เป็นธรรมเนียมที่ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมานานของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล โดยปราศจากอคติส่วนตัว ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล จึงมีมติร่วมกันตั้งฉายารัฐบาล รัฐมนตรี และวาทะแห่งปี ประจำปี 2567 ดังนี้
    .
    ฉายารัฐบาล รัฐบาล“พ่อ“เลี้ยง
    ด้วยความเป็น “พ่อ” ของหัวหน้ารัฐบาล ยี่ห้อ "ทักษิณ ชินวัตร" ขึ้นชื่อดีกรีความรักลูกไม่น้อยหน้าใคร ทั้งปกป้อง เลี้ยงดู อุ้มชู ปูทาง จนได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศ เป็นลูกไม้หล่นใต้ต้น ที่มี DNA
    เดียวกันเป๊ะ จนไม่พ้นเสียงครหา รัฐบาลนี้ "พ่อคิด ลูกทำ"
    และไม่ใช่แค่การเลี้ยงดูลูกในสนามการเมืองเท่านั้น ยังลามไปถึงวาทะเลี้ยง "มาม่า" พรรคร่วมรัฐบาล ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า จนสะเทือนเลื่อนลั่น สะท้อนบทแบ็กอัพที่ไม่ใช่เลี้ยงลูกตัวเองเท่านั้น แต่เลี้ยงรัฐบาลให้เดินอยู่ในรอยด้วย
    .
    1.น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
    ฉายา แพทองโพย
    ล้อมาจากชื่อของนายกฯ
    “แพทองธาร” กับประเด็นดรามา "ไอแพด" คู่ใจ โพยยุคไอที ถือติดมือได้ทุกที่ เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว พกโพยเครื่องเดียวอ่าน จด โหลดข้อมูลเสร็จสรรพ จนเกิดเสียงวิจารณ์ถึงความเหมาะสมเมื่อยกขึ้นอ่าน ระหว่างพบผู้นำ แขกต่างชาติ กลายเป็นประเด็นตอบโต้เผ็ดร้อนกับชาวเน็ต และตอกย้ำแบบโนสนโนแคร์ด้วยภาพชูไอแพดคู่ใจ ระหว่างร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน หรือแม้แต่ยกไอแพด ขึ้นอ่านแถลงข่าวการระบายน้ำภาคเหนือ ลงสู่แม่น้ำโขง จนถูกวิจารณ์ยกใหญ่
    .
    2.นายภูมิธรรม​ เวชย​ชัย​ รองนายก​รัฐมนตรี​ และ​รมว.กลาโหม
    ฉายา สหายใหญ่ใส่บู๊ต
    รองนายกรัฐมนตรี คนที่ 1 ติดโผได้รับฉายาไม่ไม่ขาด
    “สหายใหญ่” ในเหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 วันนั้น สู่ "บิ๊กอ้วน" แห่งกองทัพไทยในวันนี้ ปรับโฉมกุนซือการเมือง มายกมือตะเบ๊ะ เสื้อตึงเป๊ะ ใส่
    "ท็อปบูต"นั่งเก้าอี้กลาโหม จากที่เคยอยู่กันคนละฝั่ง วันนี้ต้องคุมบังเหียนมาทำงานร่วมกับเหล่าทหาร ส่งท้ายปีจับมือท็อปบู้ตพากันลงพื้นที่ช่วยน้ำท่วม และยังต้องรับบทหนัก ถึงหนักมาก คอยระวังหลังให้กับ "นายกฯอิ๊งค์" อีกด้วย
    .
    3.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย
    ฉายา ภูมิใจขวาง
    นอกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี คนที่ 3 ยังสวมหมวกหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ทำงาน 3 เดือนใน “รัฐบาลแพทองธาร” สร้างสีสันจากบุคลิกและสไตล์การพูดหยิกแกมหยอก พร้อมสโลแกนขอทำงานไม่ขัดแย้งใคร แต่นับจากลงเรือร่วมรัฐบาล มียกมือค้านทั้งร่างกฎหมายสกัดรัฐประหาร ของสส.พรรคแกนนำ ล่าสุดโหวตสวนร่างพ.ร.บ.ประชามติ เห็นต่างจาก
    พรรครัฐบาล ต้องจับตาบทบาทจากนี้“รมต.หนู“จะปล่อยของ โชว์ลีลา สร้างผลงาน ให้ประทับใจอย่างไร
    .
    4. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาครองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน
    ฉายา พีระพัง
    พังอุดมการณ์จากพรรคขั้วตรงข้าม “ชินวัตร“ ตกลงปลงใจมาจับมือร่วมรัฐบาล “นายกฯอิ๊งค์“คว้าเก้าอี้รัฐมนตรีคุมกระทรวงใหญ่ ถูกคาดหวังจะมาแก้ปมเรื่องพลังงาน ให้ชาวบ้านได้ใช้น้ำมันถูกลง เจ้าตัวยังหมายมั่นปั้นมือประกาศแก้กฎหมายรื้อโครงสร้างภาษีน้ำมัน จนเปลี่ยนหัวหน้ารัฐบาลแล้ว ก็ยังไม่ชัดเจน หรือจะซุ่มทำเงียบๆ งานนี้สังคมช่วยลุ้นจะทำได้ทันรัฐบาลนี้ หรือจะพังพับไปก่อน
    ด้านงานการเมืองยุค “หัวหน้าพี“คุมบังเหียน “รวมไทยสร้างชาติ”ดูยิ่งโลว์โปรไฟล์ จัดกิจกรรมพรรคได้เงียบกริบตามสไตล์ จนเกิดกระแสข่าวรอยร้าวภายใน ถูกจับจ้องถึงสัมพันธภาพกับลูกพรรค จะกอดคอรักกันนานแค่ไหน
    .
    5.พ.ต.อ.ทวี​ สอดส่อง​รมว.ยุติธรรม
    ฉายา ทวีไอพี
    ล็อกเป้าคุมเก้าอี้กระทรวงยุติธรรม เรียกได้ว่าเลื่อยขาเก้าอี้ไม่มีสั่น ไม่บอกก็รู้ว่า “นายใหญ่” ไว้ใจแค่ไหน นับตั้งแต่ภารกิจพานายใหญ่กลับบ้าน ถึงอีพี 2 ส่งนายใหญ่ขึ้น “ชั้น 14” ครองเตียง “วีไอพี” แทนนอนเรือนจำถึงได้พักโทษ ทำให้สังคมมองว่าเป็นนักโทษวีไอพี
    ต่อเนื่องที่เร่งออกระเบียบคุมตัวนอกเรือนจำ เสียงลือ
    แซ่ดเตรียมปูทางสำหรับ “วีไอพีหญิง“ตามรอยพี่ชายหรือไม่ เมื่อเดินงานเข้าตา พ.ต.อ.ทวี น่าจะถือบัตรวีไอพี ยึดเก้าอี้รัฐมนตรี ไปอีกยาว
    .
    6.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
    ฉายา ประชาธิเป๋
    แปะยี่ห้อ “ประชาธิปัตย์” รั้งตำแหน่งหัวหน้าพรรค ประกาศพาค่ายสะตอกลับมายิ่งใหญ่ ไปๆมาๆ พลิกหนีบทฝ่ายค้าน ไม่ติดอดีต ไม่ฟาดฟันทางการเมือง กลืนอุดมการณ์คู่ปรับนับทศวรรษกับ “เพื่อไทย” กระโดดมาร่วมรัฐบาล เดินเป๋จากเส้นทางอุดมการณ์กว่า 70 ปี จนได้ตั๋วคุมงานกระทรวงใหญ่ แต่ผลงาน ได้เห็นเค้าแค่ลางๆยังไม่ชัดเจน
    .
    7.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม
    ฉายา รวม(เพื่อ)ไทยอ้างชาติ
    เรื่องจริงหรือฝัน ทำบรรดาแม่ยก แทบไม่เชื่อสายตา ว่า "ขิง เอกนัฏ" คีย์แมนรทสช.ต้องยอมทำเพื่อชาติ ประกาศร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย เคลียร์ประเด็นคุณสมบัติคนเคยมีคดี ก่อนนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีแบบใสๆ ภายใต้การนำของ"คนชินวัตร“ลั่นในใจไม่ลบ ไม่เคยลืมอดีต ก่อนยก
    วาทะเด็ด “ต้องทำงานโดยคิดถึงบ้านเมืองเป็นหลัก ถ้าคิดถึงบ้านเมือง ก็ทำงานร่วมกันได้” ทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง เร่งโชว์ผลงานเดินเครื่องกวาดล้างโรงงานเถื่อน สารเคมีอันตราย ให้เข้าตาประชาชน
    .
    8.น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
    ฉายา จิราพอ(ล)
    จาก สส.รุ่นใหม่ดาวเด่นในสภา พูดจาฉะฉาน ถูกคาดหวังจะเฉิดฉายเมื่อนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี ช่วยปรับโฉมงานของรัฐบาล เพราะคุมทั้งสื่อรัฐ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ. )แต่งานกลับเดินไปเนิบๆ
    สังคมมาถึงบางอ้อว่ารมต.น้ำ นั่งคุมสคบ.จากคดีดัง “ดิไอคอน กรุ๊ป”และ “บอสพอล” ถึงได้จังหวะโชว์ผลงาน ทั้งที่ขึ้นชั้นรมต.มาตั้งแต่ปลายรัฐบาลเศรษฐา จนถูกตั้งคำถามเรื่องการทำงาน ขึ้นปีใหม่จะเร่งเครื่องไปต่อ หรือพอใจจะทำงานเงียบๆ แบบสโลไลฟ์
    .
    กลุ่ม “รมต.โลกลืม”
    นายสุชาติ ชมกลิ่นรมช.พาณิชย์
    พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ
    นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช. พาณิชย์
    ทั้ง3คน มีบทบาท ได้คุมกระทรวงเกรดเอ ทั้งเรื่องการค้าและการศึกษา ผ่านเก้าอี้รมต.ที่เป็นประตูปูทาง
    สร้างงานให้โดดเด่นได้ แต่ผลงาน3 เดือนในรัฐบาล กลับไม่เปรี้ยงแต่เงียบกริบ จนประชาชนเรียกหาให้สตาร์ทเครื่อง ตีปี๊บผลงาน รับศักราชใหม่ สลัดครหารัฐมนตรีโลกลืม
    .
    วาทะแห่งปี “สามีเป็นคนใต้”
    น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในระหว่างการลงพื้นติดตามการฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำท่วม อ.แม่สาย จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2567 ซึ่งถูกตั้งคำถามจากสังคม เปรียบเทียบการลงพื้นที่เพื่อฟื้นฟูภาคเหนือของนายกฯแต่อาจละเลยพี่น้องภาคใต้ ที่ถูกน้ำท่วม
    นายกฯชี้แจงย้ำหนักแน่น ไม่ได้ละเลยคนใต้ ด้วยประโยคว่า “โอ้ คำว่าละเลยภาคใต้ สามีเป็นคนใต้ ครอบครัวสามีเป็นคนใต้ ถ้าละเลยคนใต้ ไม่รักคนใต้ แต่งงานคนใต้ไม่ได้นะคะ”ยืนยันคำตอบจากใจ ไม่ได้เลือกปฏิบัติกับประชาชนภาคใด เพราะเป็นนายกฯของคนทั้งประเทศ
    .
    คำตอบของนายกฯยังไม่ใช่เหตุผลที่ตรงใจชาวโซเชียล จึงไม่วายถูกตั้งข้อสงสัยว่าเหตุที่ไม่ลงใต้ เพราะภาคใต้ไม่ใช่ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ไร้ที่นั่งสส.มานาน ถึงกับถามย้ำๆขอฟังชัดๆ จะลงใต้เมื่อไหร่ กระทั่งนายกฯกลับจากเยือนประเทศมาเลเซีย ช่วงฝนเทภาคใต้รอบสอง จึงเปลี่ยนใจ บินลงพื้นที่จ.นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี ในวันที่ 17 ธ.ค.2567 จากที่ตั้งใจจะลงไปในช่วงการฟื้นฟู
    .
    ขึ้นศักราชใหม่ หัวหน้ารัฐบาลประกาศ “โอกาสไทย ทำได้จริง” เป็นคำมั่นที่ประชาชน รอติดตาม
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000122816
    ..............
    Sondhi X
    สื่อทำเนียบฯ ตั้งฉายา ปี67 “รัฐบาล(พ่อ)เลี้ยง”, ฉายานายกฯ “แพทองโพย“ 7 รมต.ติดโผ ”บิ๊กอ้วน,อนุทิน,ทวี“ - พ่วง3รมต.โลกลืม . เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า การตั้งฉายารัฐบาล และรัฐมนตรีประจำปี ของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล เป็นธรรมเนียมที่ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมานานของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล โดยปราศจากอคติส่วนตัว ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล จึงมีมติร่วมกันตั้งฉายารัฐบาล รัฐมนตรี และวาทะแห่งปี ประจำปี 2567 ดังนี้ . ฉายารัฐบาล รัฐบาล“พ่อ“เลี้ยง ด้วยความเป็น “พ่อ” ของหัวหน้ารัฐบาล ยี่ห้อ "ทักษิณ ชินวัตร" ขึ้นชื่อดีกรีความรักลูกไม่น้อยหน้าใคร ทั้งปกป้อง เลี้ยงดู อุ้มชู ปูทาง จนได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศ เป็นลูกไม้หล่นใต้ต้น ที่มี DNA เดียวกันเป๊ะ จนไม่พ้นเสียงครหา รัฐบาลนี้ "พ่อคิด ลูกทำ" และไม่ใช่แค่การเลี้ยงดูลูกในสนามการเมืองเท่านั้น ยังลามไปถึงวาทะเลี้ยง "มาม่า" พรรคร่วมรัฐบาล ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า จนสะเทือนเลื่อนลั่น สะท้อนบทแบ็กอัพที่ไม่ใช่เลี้ยงลูกตัวเองเท่านั้น แต่เลี้ยงรัฐบาลให้เดินอยู่ในรอยด้วย . 1.น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ฉายา แพทองโพย ล้อมาจากชื่อของนายกฯ “แพทองธาร” กับประเด็นดรามา "ไอแพด" คู่ใจ โพยยุคไอที ถือติดมือได้ทุกที่ เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว พกโพยเครื่องเดียวอ่าน จด โหลดข้อมูลเสร็จสรรพ จนเกิดเสียงวิจารณ์ถึงความเหมาะสมเมื่อยกขึ้นอ่าน ระหว่างพบผู้นำ แขกต่างชาติ กลายเป็นประเด็นตอบโต้เผ็ดร้อนกับชาวเน็ต และตอกย้ำแบบโนสนโนแคร์ด้วยภาพชูไอแพดคู่ใจ ระหว่างร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน หรือแม้แต่ยกไอแพด ขึ้นอ่านแถลงข่าวการระบายน้ำภาคเหนือ ลงสู่แม่น้ำโขง จนถูกวิจารณ์ยกใหญ่ . 2.นายภูมิธรรม​ เวชย​ชัย​ รองนายก​รัฐมนตรี​ และ​รมว.กลาโหม ฉายา สหายใหญ่ใส่บู๊ต รองนายกรัฐมนตรี คนที่ 1 ติดโผได้รับฉายาไม่ไม่ขาด “สหายใหญ่” ในเหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 วันนั้น สู่ "บิ๊กอ้วน" แห่งกองทัพไทยในวันนี้ ปรับโฉมกุนซือการเมือง มายกมือตะเบ๊ะ เสื้อตึงเป๊ะ ใส่ "ท็อปบูต"นั่งเก้าอี้กลาโหม จากที่เคยอยู่กันคนละฝั่ง วันนี้ต้องคุมบังเหียนมาทำงานร่วมกับเหล่าทหาร ส่งท้ายปีจับมือท็อปบู้ตพากันลงพื้นที่ช่วยน้ำท่วม และยังต้องรับบทหนัก ถึงหนักมาก คอยระวังหลังให้กับ "นายกฯอิ๊งค์" อีกด้วย . 3.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ฉายา ภูมิใจขวาง นอกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี คนที่ 3 ยังสวมหมวกหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ทำงาน 3 เดือนใน “รัฐบาลแพทองธาร” สร้างสีสันจากบุคลิกและสไตล์การพูดหยิกแกมหยอก พร้อมสโลแกนขอทำงานไม่ขัดแย้งใคร แต่นับจากลงเรือร่วมรัฐบาล มียกมือค้านทั้งร่างกฎหมายสกัดรัฐประหาร ของสส.พรรคแกนนำ ล่าสุดโหวตสวนร่างพ.ร.บ.ประชามติ เห็นต่างจาก พรรครัฐบาล ต้องจับตาบทบาทจากนี้“รมต.หนู“จะปล่อยของ โชว์ลีลา สร้างผลงาน ให้ประทับใจอย่างไร . 4. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาครองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ฉายา พีระพัง พังอุดมการณ์จากพรรคขั้วตรงข้าม “ชินวัตร“ ตกลงปลงใจมาจับมือร่วมรัฐบาล “นายกฯอิ๊งค์“คว้าเก้าอี้รัฐมนตรีคุมกระทรวงใหญ่ ถูกคาดหวังจะมาแก้ปมเรื่องพลังงาน ให้ชาวบ้านได้ใช้น้ำมันถูกลง เจ้าตัวยังหมายมั่นปั้นมือประกาศแก้กฎหมายรื้อโครงสร้างภาษีน้ำมัน จนเปลี่ยนหัวหน้ารัฐบาลแล้ว ก็ยังไม่ชัดเจน หรือจะซุ่มทำเงียบๆ งานนี้สังคมช่วยลุ้นจะทำได้ทันรัฐบาลนี้ หรือจะพังพับไปก่อน ด้านงานการเมืองยุค “หัวหน้าพี“คุมบังเหียน “รวมไทยสร้างชาติ”ดูยิ่งโลว์โปรไฟล์ จัดกิจกรรมพรรคได้เงียบกริบตามสไตล์ จนเกิดกระแสข่าวรอยร้าวภายใน ถูกจับจ้องถึงสัมพันธภาพกับลูกพรรค จะกอดคอรักกันนานแค่ไหน . 5.พ.ต.อ.ทวี​ สอดส่อง​รมว.ยุติธรรม ฉายา ทวีไอพี ล็อกเป้าคุมเก้าอี้กระทรวงยุติธรรม เรียกได้ว่าเลื่อยขาเก้าอี้ไม่มีสั่น ไม่บอกก็รู้ว่า “นายใหญ่” ไว้ใจแค่ไหน นับตั้งแต่ภารกิจพานายใหญ่กลับบ้าน ถึงอีพี 2 ส่งนายใหญ่ขึ้น “ชั้น 14” ครองเตียง “วีไอพี” แทนนอนเรือนจำถึงได้พักโทษ ทำให้สังคมมองว่าเป็นนักโทษวีไอพี ต่อเนื่องที่เร่งออกระเบียบคุมตัวนอกเรือนจำ เสียงลือ แซ่ดเตรียมปูทางสำหรับ “วีไอพีหญิง“ตามรอยพี่ชายหรือไม่ เมื่อเดินงานเข้าตา พ.ต.อ.ทวี น่าจะถือบัตรวีไอพี ยึดเก้าอี้รัฐมนตรี ไปอีกยาว . 6.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฉายา ประชาธิเป๋ แปะยี่ห้อ “ประชาธิปัตย์” รั้งตำแหน่งหัวหน้าพรรค ประกาศพาค่ายสะตอกลับมายิ่งใหญ่ ไปๆมาๆ พลิกหนีบทฝ่ายค้าน ไม่ติดอดีต ไม่ฟาดฟันทางการเมือง กลืนอุดมการณ์คู่ปรับนับทศวรรษกับ “เพื่อไทย” กระโดดมาร่วมรัฐบาล เดินเป๋จากเส้นทางอุดมการณ์กว่า 70 ปี จนได้ตั๋วคุมงานกระทรวงใหญ่ แต่ผลงาน ได้เห็นเค้าแค่ลางๆยังไม่ชัดเจน . 7.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ฉายา รวม(เพื่อ)ไทยอ้างชาติ เรื่องจริงหรือฝัน ทำบรรดาแม่ยก แทบไม่เชื่อสายตา ว่า "ขิง เอกนัฏ" คีย์แมนรทสช.ต้องยอมทำเพื่อชาติ ประกาศร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย เคลียร์ประเด็นคุณสมบัติคนเคยมีคดี ก่อนนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีแบบใสๆ ภายใต้การนำของ"คนชินวัตร“ลั่นในใจไม่ลบ ไม่เคยลืมอดีต ก่อนยก วาทะเด็ด “ต้องทำงานโดยคิดถึงบ้านเมืองเป็นหลัก ถ้าคิดถึงบ้านเมือง ก็ทำงานร่วมกันได้” ทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง เร่งโชว์ผลงานเดินเครื่องกวาดล้างโรงงานเถื่อน สารเคมีอันตราย ให้เข้าตาประชาชน . 8.น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฉายา จิราพอ(ล) จาก สส.รุ่นใหม่ดาวเด่นในสภา พูดจาฉะฉาน ถูกคาดหวังจะเฉิดฉายเมื่อนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี ช่วยปรับโฉมงานของรัฐบาล เพราะคุมทั้งสื่อรัฐ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ. )แต่งานกลับเดินไปเนิบๆ สังคมมาถึงบางอ้อว่ารมต.น้ำ นั่งคุมสคบ.จากคดีดัง “ดิไอคอน กรุ๊ป”และ “บอสพอล” ถึงได้จังหวะโชว์ผลงาน ทั้งที่ขึ้นชั้นรมต.มาตั้งแต่ปลายรัฐบาลเศรษฐา จนถูกตั้งคำถามเรื่องการทำงาน ขึ้นปีใหม่จะเร่งเครื่องไปต่อ หรือพอใจจะทำงานเงียบๆ แบบสโลไลฟ์ . กลุ่ม “รมต.โลกลืม” นายสุชาติ ชมกลิ่นรมช.พาณิชย์ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช. พาณิชย์ ทั้ง3คน มีบทบาท ได้คุมกระทรวงเกรดเอ ทั้งเรื่องการค้าและการศึกษา ผ่านเก้าอี้รมต.ที่เป็นประตูปูทาง สร้างงานให้โดดเด่นได้ แต่ผลงาน3 เดือนในรัฐบาล กลับไม่เปรี้ยงแต่เงียบกริบ จนประชาชนเรียกหาให้สตาร์ทเครื่อง ตีปี๊บผลงาน รับศักราชใหม่ สลัดครหารัฐมนตรีโลกลืม . วาทะแห่งปี “สามีเป็นคนใต้” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในระหว่างการลงพื้นติดตามการฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำท่วม อ.แม่สาย จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2567 ซึ่งถูกตั้งคำถามจากสังคม เปรียบเทียบการลงพื้นที่เพื่อฟื้นฟูภาคเหนือของนายกฯแต่อาจละเลยพี่น้องภาคใต้ ที่ถูกน้ำท่วม นายกฯชี้แจงย้ำหนักแน่น ไม่ได้ละเลยคนใต้ ด้วยประโยคว่า “โอ้ คำว่าละเลยภาคใต้ สามีเป็นคนใต้ ครอบครัวสามีเป็นคนใต้ ถ้าละเลยคนใต้ ไม่รักคนใต้ แต่งงานคนใต้ไม่ได้นะคะ”ยืนยันคำตอบจากใจ ไม่ได้เลือกปฏิบัติกับประชาชนภาคใด เพราะเป็นนายกฯของคนทั้งประเทศ . คำตอบของนายกฯยังไม่ใช่เหตุผลที่ตรงใจชาวโซเชียล จึงไม่วายถูกตั้งข้อสงสัยว่าเหตุที่ไม่ลงใต้ เพราะภาคใต้ไม่ใช่ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ไร้ที่นั่งสส.มานาน ถึงกับถามย้ำๆขอฟังชัดๆ จะลงใต้เมื่อไหร่ กระทั่งนายกฯกลับจากเยือนประเทศมาเลเซีย ช่วงฝนเทภาคใต้รอบสอง จึงเปลี่ยนใจ บินลงพื้นที่จ.นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี ในวันที่ 17 ธ.ค.2567 จากที่ตั้งใจจะลงไปในช่วงการฟื้นฟู . ขึ้นศักราชใหม่ หัวหน้ารัฐบาลประกาศ “โอกาสไทย ทำได้จริง” เป็นคำมั่นที่ประชาชน รอติดตาม . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000122816 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Wow
    8
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 3106 มุมมอง 1 รีวิว
  • ตุลาคมเหนื่อยต่อเนื่อง ฝนไม่ทันหมด ฝุ่นพิษกำลังก่อตัว
    .
    ถ้าว่ากันด้วยเรื่องสภาพอากาศของประเทศไทยในช่วงเวลานี้เปรียบได้กับ "ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก" อย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากยังไม่ทันทีฤดูฝนจะหมดไป และคนส่วนใหญ่ยังต้องระทึกกันว่าจะมีมวลน้ำมาเยี่ยมถึงหน้าบ้านหรือไม่ ปรากฎว่ากำลังมาเจอกับแรงปะทะครั้งใหม่จากปัญหาคุณภาพอากาศที่เลวร้าย ภายหลังกรมควบคุมพลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รายงานงานสถานการณ์คุณภาพอากาศ พื้นที่ กทม.และปริมณฑล เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ตรวจพบฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) เกินมาตรฐาน (37.5 มคก./ลบ.ม.) หลายพื้นที่
    .
    ไม่ว่าจะเป็นบริเวณจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดนนทบุรี จังหวัดนครปฐม รวมไปถึงกรุงเทพมหานครในหลายพื้นที่ เช่น เขตทุ่งครุ เขตบางบอน เขตหนองแขม เขตภาษีเจริญ เขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน เขตบางกอกน้อย เขตบางกอกใหญ่ เขตคลองสาน เขตธนบุรี เขตบางนา เขตสาทร เขตบางรัก เขตสัมพันธวงศ์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตราชเทวี เขตราษฎร์บูรณะ เขตบางคอแหลม เขตบางขุนเทียน เขตบางพลัด เขตจอมทอง เขตบึงกุ่ม เขตปทุมวัน
    .
    สำหรับปัจจัยที่เกี่ยวข้อง (คาดการณ์แนวโน้มสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อฝุ่นPM2.5 โดยสภาพทางอุตุนิยมวิทยาในช่วงวันที่ 8 - 16 ตุลาคม การระบายอากาศ ที่อยู่ในเกณฑ์ไม่ดี อย่างไรก็ตาม มีโอกาสเกิดฝนตกตลอดช่วง และเนื่องจากช่วงนี้เริ่มมีความกดอากาศสูงจากประเทศจีนตอนใต้ ทำให้เกิดภาวะที่อากาศด้านบนกดทับอากาศด้านล่าง ส่งผลให้มลพิษไม่สามารถลอยขึ้นไปได้ และลมที่พัดเบา ประกอบกับชั้นอากาศที่สามารถผสมกันได้มีความสูงน้อย จึงทำให้อัตราการระบายอากาศไม่ดีและมลพิษสะสมอยู่ในอากาศเพิ่มขึ้น
    .
    ด้วยเหตุนี้ จึงได้ประกาศให้ประชาชนทั่วไปควรเฝ้าระวังสุขภาพ ลดเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น ผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น
    ...............
    Sondhi X
    ตุลาคมเหนื่อยต่อเนื่อง ฝนไม่ทันหมด ฝุ่นพิษกำลังก่อตัว . ถ้าว่ากันด้วยเรื่องสภาพอากาศของประเทศไทยในช่วงเวลานี้เปรียบได้กับ "ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก" อย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากยังไม่ทันทีฤดูฝนจะหมดไป และคนส่วนใหญ่ยังต้องระทึกกันว่าจะมีมวลน้ำมาเยี่ยมถึงหน้าบ้านหรือไม่ ปรากฎว่ากำลังมาเจอกับแรงปะทะครั้งใหม่จากปัญหาคุณภาพอากาศที่เลวร้าย ภายหลังกรมควบคุมพลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รายงานงานสถานการณ์คุณภาพอากาศ พื้นที่ กทม.และปริมณฑล เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ตรวจพบฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) เกินมาตรฐาน (37.5 มคก./ลบ.ม.) หลายพื้นที่ . ไม่ว่าจะเป็นบริเวณจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดนนทบุรี จังหวัดนครปฐม รวมไปถึงกรุงเทพมหานครในหลายพื้นที่ เช่น เขตทุ่งครุ เขตบางบอน เขตหนองแขม เขตภาษีเจริญ เขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน เขตบางกอกน้อย เขตบางกอกใหญ่ เขตคลองสาน เขตธนบุรี เขตบางนา เขตสาทร เขตบางรัก เขตสัมพันธวงศ์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตราชเทวี เขตราษฎร์บูรณะ เขตบางคอแหลม เขตบางขุนเทียน เขตบางพลัด เขตจอมทอง เขตบึงกุ่ม เขตปทุมวัน . สำหรับปัจจัยที่เกี่ยวข้อง (คาดการณ์แนวโน้มสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อฝุ่นPM2.5 โดยสภาพทางอุตุนิยมวิทยาในช่วงวันที่ 8 - 16 ตุลาคม การระบายอากาศ ที่อยู่ในเกณฑ์ไม่ดี อย่างไรก็ตาม มีโอกาสเกิดฝนตกตลอดช่วง และเนื่องจากช่วงนี้เริ่มมีความกดอากาศสูงจากประเทศจีนตอนใต้ ทำให้เกิดภาวะที่อากาศด้านบนกดทับอากาศด้านล่าง ส่งผลให้มลพิษไม่สามารถลอยขึ้นไปได้ และลมที่พัดเบา ประกอบกับชั้นอากาศที่สามารถผสมกันได้มีความสูงน้อย จึงทำให้อัตราการระบายอากาศไม่ดีและมลพิษสะสมอยู่ในอากาศเพิ่มขึ้น . ด้วยเหตุนี้ จึงได้ประกาศให้ประชาชนทั่วไปควรเฝ้าระวังสุขภาพ ลดเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น ผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น ............... Sondhi X
    Sad
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1949 มุมมอง 0 รีวิว
  • น้ำป่าแม่แตงทะลักท่วมศูนย์บริบาลช้าง ซ้ำเป็นรอบที่ 2 หลังวานนี้ต้องเร่งช่วยเหลืออพยพช้างชราและพิการกว่า 100 เชือก รวมทั้งสารพัดสัตว์ในความดูแลหลายพันชีวิตไปอยู่ในที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตามล่าสุดยังมีช้าง 9 เชือกและวัวควายอีกกว่า 100 ตัว ติดค้างอยู่ พร้อมกับอาสาสมัครอีกกว่า 20 คน เบื้องต้นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสั่งการระดมกำลัง จนท.ให้การช่วยเหลือแล้ว แต่ยังติดอุปสรรคการเข้าถึงเนื่องจากเส้นทางถูกตัดขาด พบระดับน้ำท่วมสูงมิดหลังคา

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000094107

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    น้ำป่าแม่แตงทะลักท่วมศูนย์บริบาลช้าง ซ้ำเป็นรอบที่ 2 หลังวานนี้ต้องเร่งช่วยเหลืออพยพช้างชราและพิการกว่า 100 เชือก รวมทั้งสารพัดสัตว์ในความดูแลหลายพันชีวิตไปอยู่ในที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตามล่าสุดยังมีช้าง 9 เชือกและวัวควายอีกกว่า 100 ตัว ติดค้างอยู่ พร้อมกับอาสาสมัครอีกกว่า 20 คน เบื้องต้นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสั่งการระดมกำลัง จนท.ให้การช่วยเหลือแล้ว แต่ยังติดอุปสรรคการเข้าถึงเนื่องจากเส้นทางถูกตัดขาด พบระดับน้ำท่วมสูงมิดหลังคา อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000094107 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Sad
    Love
    32
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3726 มุมมอง 1 รีวิว
  • สีหน้าอารมณ์ของคนที่จะเข้ามาสวาปามทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จนลืมนึกถึงฐานเสียงพี่น้องคนใต้
    #คิงส์โพธิ์แดง
    สีหน้าอารมณ์ของคนที่จะเข้ามาสวาปามทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จนลืมนึกถึงฐานเสียงพี่น้องคนใต้ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศ.ดร. ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โพสต์ไม่เห็นด้วยหลังมีอาจารย์รายหนึ่งมหาวิทยาลัยแม่โจ้ หนุนใช้ "ไซยาไนด์" กำจัดปลาหมอคางดำ ห่วงวิธีดังกล่าวอาจสร้างปัญหาในระบบนิเวศ รวมทั้งมนุษย์ที่อยู่อาศัยใกล้แหล่งน้ำนั้นด้วย
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000063679

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ศ.ดร. ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โพสต์ไม่เห็นด้วยหลังมีอาจารย์รายหนึ่งมหาวิทยาลัยแม่โจ้ หนุนใช้ "ไซยาไนด์" กำจัดปลาหมอคางดำ ห่วงวิธีดังกล่าวอาจสร้างปัญหาในระบบนิเวศ รวมทั้งมนุษย์ที่อยู่อาศัยใกล้แหล่งน้ำนั้นด้วย อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000063679 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    18
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1903 มุมมอง 0 รีวิว