• ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 5

    J P Morgan ไม่ใช่เป็นบริษัทการเงินเล็กๆ เขาใหญ่ และดังคับโลก เขาสนใจ และรับงาน เฉพาะรายใหญ่ระดับชาติเท่านั้น และแม้ J P Morgan จะเป็นเจ้าพ่อ Wall Street แต่เขาก็สนิทสนม จนเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ Rothschild เจ้าพ่อตัวจริงของฝั่งอังกฤษ ทำให้ผู้คนต่างพากันเดาถึงที่มาของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ 2 กลุ่มการเงิน ที่ไม่แน่ว่าจะมีใครรู้จริง

    นาย George Peabody เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน จาก Massachusetts เดินทางไปอังกฤษในปี ค.ศ. 1837 เพื่อขายพันธบัตร กิจการสร้างคลอง Chesapeake Ohio ของอเมริกา ซึ่งขายได้ฝืดมากในอเมริกา เนื่องจากอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถอยหลัง เขาหวังว่าคนอังกฤษจะกระเป๋าหนักกว่าคนอเมริกัน แต่ประตูของตลาดลอนดอน ก็เปิดยากเอาการ แต่ Peabody มีความเพียร เขาพยายามเคาะประตูนักการเงินใหญ่ของลอนดอนไปทุกบาน ในที่สุดก็ขายพันธบัตรคลอง Ohio ได้หมด และได้กำไรไม่น้อย

    นาย Peabody ไม่เอาเงินกำไรกลับอเมริกา เขาเอาเงินนั้นไปลงทุน ตั้งบริษัททำธุรกิจตัวแทนเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออก อยู่ที่ถนน Bond Street ในลอนดอน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้นักธุรกิจ ทั้ง 2 ฝั่ง ของมหาสมุทรแอตแลนติก ใครต้องการส่งสินค้า เขาส่งให้ ใครต้องการขาย เขาหาคนซื้อให้ ใครไม่มีเงิน เขาให้เงินกู้ มันคงเป็นจังหวะดี หรือนาย Peabody มีฝีมือจริง ธุรกิจในลอนดอนของเขา จึงก้าวหน้าไปลิ่ว

    คงมัวแต่ทำงานหนัก เลยไม่มีเวลาหาเมีย กว่าจะนึกออกก็คงดึกไปแล้ว แทนที่จะไปมองหาสาว เขาเลยมองหาคนที่จะมารับช่วงกิจการต่อไป ซึ่งต้องมีคุณสมบัติตามที่เขา ตั้งไว้ คือ ข้อที่ 1. ต้องเป็นคนเกิดที่อเมริกา ถึงยังไง นาย Peabody ก็ยังรักบ้านเกิด และที่สำคัญ เขาถือว่าบริษัทของเขา เป็นบริษัทอเมริกัน ข้อที่ 2 ต้องเป็นคนที่มีสัญชาตญาณ หรือวิญญาณอังกฤษสิงอยู่หน่อยๆ จะได้ต้อนรับลูกค้า ที่เป็นคนใหญ่คนโตของอังกฤษ ได้อย่างไม่เก้งก้าง ข้อที่ 3 คือต้องรู้จักธุรกิจการเงินของอังกฤษ อเมริกา (Anglo-American finance) เป็นอย่างดี และข้อที่ 4 Peabody จะต้องชอบคนนั้นด้วย
    เมื่อนาย Junius Morgan พ่อค้าชาว Boston เจอกับ Peabody ที่ London ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งในปี 1850 Junius Morgan ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูก Peabody เอากล้องส่องสำรวจอย่างละเอียด Peabody รู้สึกถูกชะตากับ Junius Morgan อย่างยิ่ง หลังจากไปสืบถามถึงภูมิหลังและชื่อเสียงจนเป็นที่พอใจ ปี 1854 Junius Morgan ก็อพยพครอบครัว ย้ายมาอยู่ที่ London และมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนกิจการ ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Peabody, Morgan & Company

    นอกเหนือจากขายพันธบัตร ของธุรกิจของฝั่งอเมริกา และของรัฐบาลอเมริกันแล้ว บริษัทยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลฝ่ายเหนือ ในตอนสงครามระหว่างเหนือใต้ ของอเมริกาอีกด้วย งานนี้ทำกำไรให้กับบริษัทมากมาย จน Peabody ได้ขึ้นอันดับไปยืนอยู่แถวหน้าของตลาดเงิน London

    ปี 1864 Peabody ก็ขอเกษียณตัวเอง และยกธุรกิจทั้งหมดให้กับ Junius ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น J. S Morgan and Company

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 6

    ลูกชายของ Junius คือ นาย John Pierpont ที่โด่งดัง เริ่มเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมของอังกฤษที่ Boston แต่ต่อมา การเรียน และการใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอยู่แถวยุโรป เขาจึงมีลักษณะท่าทาง เป็นคนอังกฤษมากกว่าคนอเมริกัน ดูเหมือนเขาจะถูกสร้างให้เป็นตามแบบพิมพ์ที่ Peabody ตั้งใจ
    John Pierpont ถูกส่งไปฝึกงานกับบริษัทการเงินอื่น ก่อนจะมารับตำแหน่งหุ้นส่วนในกิจการ Dabney, Morgan & Company ซึ่งเป็นสาขา New York ของบริษัทที่ London
    ในปี 1871 บริษัทได้หุ้นส่วนใหม่อีกคนจาก Philadelphia คือ Anthony Drexel บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อเป็น Drexel, Morgan & Company และในปี 1895 เมื่อ Drexel ตาย บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อกลับมาเป็น J P Morgan & Company และมีสาขาที่ปารีส ชื่อ Morgan, Haries & Company

    หลังจาก Junius ตาย ไม่กี่ปีต่อมา Pierpont ก็ตัดสินใจปรับปรุงรูปโฉมของบริษัทที่ London ให้กลายเป็นบริษัทอังกฤษแท้ และแบ่งธุรกิจให้สาขาที่อเมริกา ก็รับแต่งานของฝั่งอเมริกาไป และก็เป็นโอกาสให้ J P Morgan Jr. ซึ่งเพื่อนฝูงเรียกว่า Jack ลูกชายของ Pierpont ได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการธุรกิจที่อเมริกา และกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการทำให้โลกนี้กลายเป็นแดนอธรรม หรือ ดงโจร

    ตามชีวประวัติของ Jack ซึ่งนาย John Forbes เขียนไว้ดังนี้ :

    J P Morgan, Jr. ได้เป็นหุ้นส่วนของ London House ของ J. P Morgan & Co เมื่อเดือนมกราคม 1898 และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ตัวเขาพร้อมครอบครัว เมีย 1 ลูก 3 ก็ย้ายจาก New York มาใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษนานถึง 8 ปี เขาถูกส่งให้มาอยู่อังกฤษ เพื่อมาทำภาระกิจสำคัญ 2 รายการ

    ภาระกิจแรก เพื่อเรียนรู้ภาคปฎิบัติว่า คนอังกฤษทำธุรกิจการธนาคารอย่างไร ภายใต้ระบบธนาคารกลาง ซึ่งกำหนดโดย Bank of England ซึ่ง Morgan คนพ่อ มีความหวังอยากจะตั้งระบบธนาคารกลางในอเมริกา และหวังจะให้คนของ Morgan รู้ไว้ก่อนว่าระบบนี้ทำงานอย่างไร

    ภาระกิจที่สอง เพื่อทำความรู้จักกับนักธุรกิจการเงินของ London อย่างจริงจัง และเลือกหุ้นส่วนที่เป็นอังกฤษ ของแท้ ภาระที่สองนี้ ประสพผลสำเร็จชัดเจน เมื่อ Edward Grenfell ซึ่งเป็นกรรมการของ Bank of England มาเป็นเวลานาน ตกลงมาร่วมเป็นหุ้นส่วนอาวุโส และบริษัทก็เปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้ง เป็น Morgan Grenfell & Company นับว่า Jack ตกได้ปลาตัวใหญ่จริง และสงสัยว่าเขาจะใช้เหยื่อตกปลาชนิดพิเศษ
    ผู้คนพากันสงสัยว่า เมื่อนักการเงินอเมริกา อาจหาญมาซ่าอยู่แถวตลาด London ซึ่งมีเขี้ยวลากกันทั้งนั้น จะไปรอดหรือ มันคงเอาเขี้ยวงัดกัดกันน่าดู นั่นแสดงว่าไม่รู้จัก ว่าคนเป็นเจ้าพ่อตัวจริง เขาคิดอย่างไร

    เมื่อ George Peabody มาถึง London ใหม่ๆ เขาแปลกใจมาก เรียกว่า ตกใจจะตรงกว่า เขาตกใจ ที่อยู่ดีๆ ได้รับคำสั่งให้ไปพบเจ้าพ่อ Baron Nathan Mayer Rothschild ใครจะกล้าเบี้ยวใบสั่งเจ้าพ่อ โดยเฉพาะกำลังมาหากิน อยู่กลางดงของเจ้าพ่อ

    แต่เรื่องกลับโอละพ่อ เจ้าพ่อก็มีวันต้องการมีสมุนนอกบัญชี

    Rothschild บอกกับนาย Peabody ว่า เขาไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบนัก ของพวกผู้ดีหัวสูงของสังคมอังกฤษ ในสายตาของพวกผู้ดีหลายคน เขาก็เป็นเพียงพวกกา หาใช่พันธุ์หงส์ เพราะฉะนั้น พวกสังคมชั้นสูง ก็ไม่ปลื้ม ไม่จริงใจ ในการคบค้าเขา สนใจแต่จะคบกับเงินของเขาเท่านั้น

    แล้วนาย Peabody ก็จัดงานฉลองวันชาติของอเมริกาที่ London โดยเชิญบรรดา ขุนนาง ผู้ดีอังกฤษ หัวสูง ยะโสทั้งหลายมาร่วมงาน แขกรับเชิญต่างชอบใจเจ้าภาพ และพอใจที่จะคบค้าด้วย เพราะยังไง ก็เป็น Anglo Saxon เผ่าพันธ์เดียวกัน คงไม่มีใครรู้ว่า ค่าอาหาร ค่าเหล้าในงานเลี้ยงคืน และอีกหลายๆครั้งต่อมา นาย Peabody ไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน

    ปี 1857 เมื่อตลาด Wall Street เกือบล่ม นักเล่นหุ้นใช้สูตร ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย เหมือนพวกเซียนใหญ่บ้านเรา Peabody และ Morgan คนพ่อ ถลาเข้าไปรับประกันชำระหนี้แทน นักเล่นหุ้น รวม ๆ แล้ว ประมาณ 2 ล้านปอนด์ หวังค่าคอมก้อนใหญ่ แต่ก็มีคนไม่แน่ใจว่า ถึงเวลา ถ้าลูกหนี้เบี้ยวหมด Peabody และ Morgan จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย

    ในประวัติของ The House of Morgan เขียนโดย Ron Chernow บอกว่า ขณะที่ข่าวลือชิ้นแรกว่อนไปทั่วว่า George Peabody น่าจะร่วงตามลูกหนี้ ข่าวลือชิ้นต่อมา ก็บอกว่า จะมีเจ้ามือใหญ่ของตลาดมาช่วยนาย Peabody โดยมีเงื่อนไข เขาจะต้องปิดกิจการบริษัทที่อังกฤษ และกลับอเมริกาไปภายใน 1 ปี
    ไม่นานหลังจากมีข่าวลือ ก็มีข่าวจริงออกมา ว่า Bank of England ประกาศให้เงินกู้ 8 แสนปอนด์ ด้วยดอกเบี้ยอัตราต่ำติดพื้นให้แก่ Peabody รวมทั้งให้ credit line อีก 1 ล้านปอนด์ ถ้าจำเป็นและต้องการ มันเป็นเรื่องผิดคาดของตลาดการเงินลอนดอน ที่ Thomas Hanley ผู้ว่าการธนาคาร Bank of England ซึ่งปฎิเสธ ที่จะช่วยเหลือบริษัทการเงินอเมริกันมาหลายรายแล้ว จะมาอุ้ม Peabody & Company ในขณะที่จมน้ำไปเกือบมิดหัวแล้ว

    แต่ถ้าลองไล่เรียง ความก้าวหน้าของ Peabody ใน London ตั้งแต่เริ่ม ปี 1837 มาจนถึงวันที่ J P Morgan & Co กลายเป็น Morgan Grenfell & Company หลัง ปี 1894 ก็น่าจะพอต่อเรื่องกันได้ว่า ฝีมือเขาดีจริง หรือน่าจะเพราะมีเจ้าพ่อหนุนหลัง หรือทั้ง 2 อย่าง แต่ฝีมือดีอย่างเดียว คงไม่น่ามาได้ไกลขนาดนี้

    Guaranty Trust ของ J P Morgan จึงรับบทสำคัญไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่า Jacob Schiff เสียด้วยซ้ำ ในละครลวงโลกปฏิวัติ Bolsheviks ปล้นรัสเซีย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    5 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 5 J P Morgan ไม่ใช่เป็นบริษัทการเงินเล็กๆ เขาใหญ่ และดังคับโลก เขาสนใจ และรับงาน เฉพาะรายใหญ่ระดับชาติเท่านั้น และแม้ J P Morgan จะเป็นเจ้าพ่อ Wall Street แต่เขาก็สนิทสนม จนเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ Rothschild เจ้าพ่อตัวจริงของฝั่งอังกฤษ ทำให้ผู้คนต่างพากันเดาถึงที่มาของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ 2 กลุ่มการเงิน ที่ไม่แน่ว่าจะมีใครรู้จริง นาย George Peabody เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน จาก Massachusetts เดินทางไปอังกฤษในปี ค.ศ. 1837 เพื่อขายพันธบัตร กิจการสร้างคลอง Chesapeake Ohio ของอเมริกา ซึ่งขายได้ฝืดมากในอเมริกา เนื่องจากอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถอยหลัง เขาหวังว่าคนอังกฤษจะกระเป๋าหนักกว่าคนอเมริกัน แต่ประตูของตลาดลอนดอน ก็เปิดยากเอาการ แต่ Peabody มีความเพียร เขาพยายามเคาะประตูนักการเงินใหญ่ของลอนดอนไปทุกบาน ในที่สุดก็ขายพันธบัตรคลอง Ohio ได้หมด และได้กำไรไม่น้อย นาย Peabody ไม่เอาเงินกำไรกลับอเมริกา เขาเอาเงินนั้นไปลงทุน ตั้งบริษัททำธุรกิจตัวแทนเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออก อยู่ที่ถนน Bond Street ในลอนดอน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้นักธุรกิจ ทั้ง 2 ฝั่ง ของมหาสมุทรแอตแลนติก ใครต้องการส่งสินค้า เขาส่งให้ ใครต้องการขาย เขาหาคนซื้อให้ ใครไม่มีเงิน เขาให้เงินกู้ มันคงเป็นจังหวะดี หรือนาย Peabody มีฝีมือจริง ธุรกิจในลอนดอนของเขา จึงก้าวหน้าไปลิ่ว คงมัวแต่ทำงานหนัก เลยไม่มีเวลาหาเมีย กว่าจะนึกออกก็คงดึกไปแล้ว แทนที่จะไปมองหาสาว เขาเลยมองหาคนที่จะมารับช่วงกิจการต่อไป ซึ่งต้องมีคุณสมบัติตามที่เขา ตั้งไว้ คือ ข้อที่ 1. ต้องเป็นคนเกิดที่อเมริกา ถึงยังไง นาย Peabody ก็ยังรักบ้านเกิด และที่สำคัญ เขาถือว่าบริษัทของเขา เป็นบริษัทอเมริกัน ข้อที่ 2 ต้องเป็นคนที่มีสัญชาตญาณ หรือวิญญาณอังกฤษสิงอยู่หน่อยๆ จะได้ต้อนรับลูกค้า ที่เป็นคนใหญ่คนโตของอังกฤษ ได้อย่างไม่เก้งก้าง ข้อที่ 3 คือต้องรู้จักธุรกิจการเงินของอังกฤษ อเมริกา (Anglo-American finance) เป็นอย่างดี และข้อที่ 4 Peabody จะต้องชอบคนนั้นด้วย เมื่อนาย Junius Morgan พ่อค้าชาว Boston เจอกับ Peabody ที่ London ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งในปี 1850 Junius Morgan ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูก Peabody เอากล้องส่องสำรวจอย่างละเอียด Peabody รู้สึกถูกชะตากับ Junius Morgan อย่างยิ่ง หลังจากไปสืบถามถึงภูมิหลังและชื่อเสียงจนเป็นที่พอใจ ปี 1854 Junius Morgan ก็อพยพครอบครัว ย้ายมาอยู่ที่ London และมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนกิจการ ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Peabody, Morgan & Company นอกเหนือจากขายพันธบัตร ของธุรกิจของฝั่งอเมริกา และของรัฐบาลอเมริกันแล้ว บริษัทยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลฝ่ายเหนือ ในตอนสงครามระหว่างเหนือใต้ ของอเมริกาอีกด้วย งานนี้ทำกำไรให้กับบริษัทมากมาย จน Peabody ได้ขึ้นอันดับไปยืนอยู่แถวหน้าของตลาดเงิน London ปี 1864 Peabody ก็ขอเกษียณตัวเอง และยกธุรกิจทั้งหมดให้กับ Junius ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น J. S Morgan and Company นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 6 ลูกชายของ Junius คือ นาย John Pierpont ที่โด่งดัง เริ่มเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมของอังกฤษที่ Boston แต่ต่อมา การเรียน และการใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอยู่แถวยุโรป เขาจึงมีลักษณะท่าทาง เป็นคนอังกฤษมากกว่าคนอเมริกัน ดูเหมือนเขาจะถูกสร้างให้เป็นตามแบบพิมพ์ที่ Peabody ตั้งใจ John Pierpont ถูกส่งไปฝึกงานกับบริษัทการเงินอื่น ก่อนจะมารับตำแหน่งหุ้นส่วนในกิจการ Dabney, Morgan & Company ซึ่งเป็นสาขา New York ของบริษัทที่ London ในปี 1871 บริษัทได้หุ้นส่วนใหม่อีกคนจาก Philadelphia คือ Anthony Drexel บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อเป็น Drexel, Morgan & Company และในปี 1895 เมื่อ Drexel ตาย บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อกลับมาเป็น J P Morgan & Company และมีสาขาที่ปารีส ชื่อ Morgan, Haries & Company หลังจาก Junius ตาย ไม่กี่ปีต่อมา Pierpont ก็ตัดสินใจปรับปรุงรูปโฉมของบริษัทที่ London ให้กลายเป็นบริษัทอังกฤษแท้ และแบ่งธุรกิจให้สาขาที่อเมริกา ก็รับแต่งานของฝั่งอเมริกาไป และก็เป็นโอกาสให้ J P Morgan Jr. ซึ่งเพื่อนฝูงเรียกว่า Jack ลูกชายของ Pierpont ได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการธุรกิจที่อเมริกา และกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการทำให้โลกนี้กลายเป็นแดนอธรรม หรือ ดงโจร ตามชีวประวัติของ Jack ซึ่งนาย John Forbes เขียนไว้ดังนี้ : J P Morgan, Jr. ได้เป็นหุ้นส่วนของ London House ของ J. P Morgan & Co เมื่อเดือนมกราคม 1898 และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ตัวเขาพร้อมครอบครัว เมีย 1 ลูก 3 ก็ย้ายจาก New York มาใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษนานถึง 8 ปี เขาถูกส่งให้มาอยู่อังกฤษ เพื่อมาทำภาระกิจสำคัญ 2 รายการ ภาระกิจแรก เพื่อเรียนรู้ภาคปฎิบัติว่า คนอังกฤษทำธุรกิจการธนาคารอย่างไร ภายใต้ระบบธนาคารกลาง ซึ่งกำหนดโดย Bank of England ซึ่ง Morgan คนพ่อ มีความหวังอยากจะตั้งระบบธนาคารกลางในอเมริกา และหวังจะให้คนของ Morgan รู้ไว้ก่อนว่าระบบนี้ทำงานอย่างไร ภาระกิจที่สอง เพื่อทำความรู้จักกับนักธุรกิจการเงินของ London อย่างจริงจัง และเลือกหุ้นส่วนที่เป็นอังกฤษ ของแท้ ภาระที่สองนี้ ประสพผลสำเร็จชัดเจน เมื่อ Edward Grenfell ซึ่งเป็นกรรมการของ Bank of England มาเป็นเวลานาน ตกลงมาร่วมเป็นหุ้นส่วนอาวุโส และบริษัทก็เปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้ง เป็น Morgan Grenfell & Company นับว่า Jack ตกได้ปลาตัวใหญ่จริง และสงสัยว่าเขาจะใช้เหยื่อตกปลาชนิดพิเศษ ผู้คนพากันสงสัยว่า เมื่อนักการเงินอเมริกา อาจหาญมาซ่าอยู่แถวตลาด London ซึ่งมีเขี้ยวลากกันทั้งนั้น จะไปรอดหรือ มันคงเอาเขี้ยวงัดกัดกันน่าดู นั่นแสดงว่าไม่รู้จัก ว่าคนเป็นเจ้าพ่อตัวจริง เขาคิดอย่างไร เมื่อ George Peabody มาถึง London ใหม่ๆ เขาแปลกใจมาก เรียกว่า ตกใจจะตรงกว่า เขาตกใจ ที่อยู่ดีๆ ได้รับคำสั่งให้ไปพบเจ้าพ่อ Baron Nathan Mayer Rothschild ใครจะกล้าเบี้ยวใบสั่งเจ้าพ่อ โดยเฉพาะกำลังมาหากิน อยู่กลางดงของเจ้าพ่อ แต่เรื่องกลับโอละพ่อ เจ้าพ่อก็มีวันต้องการมีสมุนนอกบัญชี Rothschild บอกกับนาย Peabody ว่า เขาไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบนัก ของพวกผู้ดีหัวสูงของสังคมอังกฤษ ในสายตาของพวกผู้ดีหลายคน เขาก็เป็นเพียงพวกกา หาใช่พันธุ์หงส์ เพราะฉะนั้น พวกสังคมชั้นสูง ก็ไม่ปลื้ม ไม่จริงใจ ในการคบค้าเขา สนใจแต่จะคบกับเงินของเขาเท่านั้น แล้วนาย Peabody ก็จัดงานฉลองวันชาติของอเมริกาที่ London โดยเชิญบรรดา ขุนนาง ผู้ดีอังกฤษ หัวสูง ยะโสทั้งหลายมาร่วมงาน แขกรับเชิญต่างชอบใจเจ้าภาพ และพอใจที่จะคบค้าด้วย เพราะยังไง ก็เป็น Anglo Saxon เผ่าพันธ์เดียวกัน คงไม่มีใครรู้ว่า ค่าอาหาร ค่าเหล้าในงานเลี้ยงคืน และอีกหลายๆครั้งต่อมา นาย Peabody ไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน ปี 1857 เมื่อตลาด Wall Street เกือบล่ม นักเล่นหุ้นใช้สูตร ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย เหมือนพวกเซียนใหญ่บ้านเรา Peabody และ Morgan คนพ่อ ถลาเข้าไปรับประกันชำระหนี้แทน นักเล่นหุ้น รวม ๆ แล้ว ประมาณ 2 ล้านปอนด์ หวังค่าคอมก้อนใหญ่ แต่ก็มีคนไม่แน่ใจว่า ถึงเวลา ถ้าลูกหนี้เบี้ยวหมด Peabody และ Morgan จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย ในประวัติของ The House of Morgan เขียนโดย Ron Chernow บอกว่า ขณะที่ข่าวลือชิ้นแรกว่อนไปทั่วว่า George Peabody น่าจะร่วงตามลูกหนี้ ข่าวลือชิ้นต่อมา ก็บอกว่า จะมีเจ้ามือใหญ่ของตลาดมาช่วยนาย Peabody โดยมีเงื่อนไข เขาจะต้องปิดกิจการบริษัทที่อังกฤษ และกลับอเมริกาไปภายใน 1 ปี ไม่นานหลังจากมีข่าวลือ ก็มีข่าวจริงออกมา ว่า Bank of England ประกาศให้เงินกู้ 8 แสนปอนด์ ด้วยดอกเบี้ยอัตราต่ำติดพื้นให้แก่ Peabody รวมทั้งให้ credit line อีก 1 ล้านปอนด์ ถ้าจำเป็นและต้องการ มันเป็นเรื่องผิดคาดของตลาดการเงินลอนดอน ที่ Thomas Hanley ผู้ว่าการธนาคาร Bank of England ซึ่งปฎิเสธ ที่จะช่วยเหลือบริษัทการเงินอเมริกันมาหลายรายแล้ว จะมาอุ้ม Peabody & Company ในขณะที่จมน้ำไปเกือบมิดหัวแล้ว แต่ถ้าลองไล่เรียง ความก้าวหน้าของ Peabody ใน London ตั้งแต่เริ่ม ปี 1837 มาจนถึงวันที่ J P Morgan & Co กลายเป็น Morgan Grenfell & Company หลัง ปี 1894 ก็น่าจะพอต่อเรื่องกันได้ว่า ฝีมือเขาดีจริง หรือน่าจะเพราะมีเจ้าพ่อหนุนหลัง หรือทั้ง 2 อย่าง แต่ฝีมือดีอย่างเดียว คงไม่น่ามาได้ไกลขนาดนี้ Guaranty Trust ของ J P Morgan จึงรับบทสำคัญไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่า Jacob Schiff เสียด้วยซ้ำ ในละครลวงโลกปฏิวัติ Bolsheviks ปล้นรัสเซีย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 5 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
  • สแกน สแกม สกัด ‘เงินเทา’ : [Biz Talk]
    รัฐบาล ตั้งทีม Connect the Dots สกัดเงินเทา-สแกมเมอร์ข้ามชาติ มี รองนายกฯและ รมว.คลัง เอกนิติ เป็นประธาน เป็นส่วนหนึ่งของกรรมการชุดใหญ่ ‘คณะสแกมเมอร์’ร่วมมือ ธปท.ก.ล.ต.ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงิน การฟอกเงิน ขีดเส้น ธ.ค.68 เห็นรอยรั่ว‘เงินเทา’
    สแกน สแกม สกัด ‘เงินเทา’ : [Biz Talk] รัฐบาล ตั้งทีม Connect the Dots สกัดเงินเทา-สแกมเมอร์ข้ามชาติ มี รองนายกฯและ รมว.คลัง เอกนิติ เป็นประธาน เป็นส่วนหนึ่งของกรรมการชุดใหญ่ ‘คณะสแกมเมอร์’ร่วมมือ ธปท.ก.ล.ต.ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงิน การฟอกเงิน ขีดเส้น ธ.ค.68 เห็นรอยรั่ว‘เงินเทา’
    Like
    Love
    4
    0 Comments 1 Shares 165 Views 0 0 Reviews
  • ตลาดเสพติด: เมื่อการพนันกลายเป็นธุรกิจที่รัฐควรยึดคืนจากบริษัทเอกชน

    บทความ “Addiction Markets” จาก The Big Newsletter ได้จุดประกายประเด็นร้อนแรงเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการพนันในสหรัฐฯ โดยเสนอแนวคิดที่ท้าทายระบบเดิม: ถึงเวลาหรือยังที่รัฐควรยึดอุตสาหกรรมการพนันกลับมาเป็นของสาธารณะ แทนที่จะปล่อยให้บริษัทเอกชนแสวงหากำไรจากความทุกข์ของผู้คน

    การพนัน = ตลาดเสพติด ผู้เขียนเปรียบเทียบอุตสาหกรรมการพนันกับ “ตลาดเสพติด” (Addiction Markets) ซึ่งหมายถึงธุรกิจที่สร้างรายได้จากพฤติกรรมที่ควบคุมไม่ได้ เช่น การพนัน บุหรี่ แอลกอฮอล์ หรือแม้แต่โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะในยุคที่การพนันออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็วผ่านแอปมือถือและโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม

    บริษัทพนันทำกำไรจากความพ่ายแพ้ของผู้เล่น โมเดลธุรกิจของบริษัทเหล่านี้คือการทำให้ผู้เล่น “เล่นต่อไปเรื่อยๆ” แม้จะเสียเงินไปมากแค่ไหนก็ตาม พวกเขาใช้เทคนิคทางจิตวิทยา เช่น การให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ การออกแบบ UX ที่กระตุ้นให้เล่นต่อ และการโฆษณาที่เจาะกลุ่มเป้าหมายที่เปราะบาง เช่น วัยรุ่นหรือผู้มีรายได้น้อย

    แนวคิดใหม่: ให้รัฐเป็นผู้ดำเนินการ ผู้เขียนเสนอว่า หากรัฐเป็นผู้ควบคุมและดำเนินการอุตสาหกรรมนี้เอง:
    รัฐสามารถจำกัดการโฆษณาและออกแบบระบบให้ลดความเสี่ยง
    รายได้จากการพนันสามารถนำไปใช้ในบริการสาธารณะ เช่น การศึกษาและสุขภาพ
    ลดแรงจูงใจในการทำให้ผู้คน “ติด” เพราะรัฐไม่มีเป้าหมายในการแสวงหากำไรสูงสุด

    ตัวอย่างจากต่างประเทศ บางประเทศ เช่น ฟินแลนด์ และแคนาดาบางจังหวัด มีระบบการพนันที่รัฐเป็นเจ้าของ ซึ่งช่วยควบคุมอัตราการติดพนันได้ดีกว่าระบบเอกชน

    อุตสาหกรรมการพนันคือ “ตลาดเสพติด”
    สร้างรายได้จากพฤติกรรมที่ควบคุมไม่ได้ของผู้เล่น

    บริษัทเอกชนมีแรงจูงใจให้ผู้เล่นติด
    ใช้เทคนิคจิตวิทยา UX และโฆษณาเจาะกลุ่มเปราะบาง

    แนวคิดใหม่: ให้รัฐเป็นผู้ดำเนินการ
    ลดแรงจูงใจในการทำให้ผู้เล่นติด และนำรายได้กลับสู่สังคม

    มีตัวอย่างจากต่างประเทศ
    ฟินแลนด์และแคนาดาบางพื้นที่ใช้ระบบนี้ได้ผลดี

    ความเสี่ยงจากระบบเอกชน
    บริษัทมีเป้าหมายคือกำไร ไม่ใช่ความปลอดภัยของผู้เล่น

    โฆษณาและเทคโนโลยีทำให้เข้าถึงง่ายเกินไป
    โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและผู้มีรายได้น้อย

    การติดพนันมีผลกระทบทางสังคมรุนแรง
    เช่น หนี้สิน ความเครียด ความรุนแรงในครอบครัว และการฆ่าตัวตาย

    https://www.thebignewsletter.com/p/addiction-markets-abolish-corporate
    🎰 ตลาดเสพติด: เมื่อการพนันกลายเป็นธุรกิจที่รัฐควรยึดคืนจากบริษัทเอกชน บทความ “Addiction Markets” จาก The Big Newsletter ได้จุดประกายประเด็นร้อนแรงเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการพนันในสหรัฐฯ โดยเสนอแนวคิดที่ท้าทายระบบเดิม: ถึงเวลาหรือยังที่รัฐควรยึดอุตสาหกรรมการพนันกลับมาเป็นของสาธารณะ แทนที่จะปล่อยให้บริษัทเอกชนแสวงหากำไรจากความทุกข์ของผู้คน 🧠 การพนัน = ตลาดเสพติด ผู้เขียนเปรียบเทียบอุตสาหกรรมการพนันกับ “ตลาดเสพติด” (Addiction Markets) ซึ่งหมายถึงธุรกิจที่สร้างรายได้จากพฤติกรรมที่ควบคุมไม่ได้ เช่น การพนัน บุหรี่ แอลกอฮอล์ หรือแม้แต่โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะในยุคที่การพนันออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็วผ่านแอปมือถือและโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม 📈 บริษัทพนันทำกำไรจากความพ่ายแพ้ของผู้เล่น โมเดลธุรกิจของบริษัทเหล่านี้คือการทำให้ผู้เล่น “เล่นต่อไปเรื่อยๆ” แม้จะเสียเงินไปมากแค่ไหนก็ตาม พวกเขาใช้เทคนิคทางจิตวิทยา เช่น การให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ การออกแบบ UX ที่กระตุ้นให้เล่นต่อ และการโฆษณาที่เจาะกลุ่มเป้าหมายที่เปราะบาง เช่น วัยรุ่นหรือผู้มีรายได้น้อย 🏛️ แนวคิดใหม่: ให้รัฐเป็นผู้ดำเนินการ ผู้เขียนเสนอว่า หากรัฐเป็นผู้ควบคุมและดำเนินการอุตสาหกรรมนี้เอง: 💠 รัฐสามารถจำกัดการโฆษณาและออกแบบระบบให้ลดความเสี่ยง 💠 รายได้จากการพนันสามารถนำไปใช้ในบริการสาธารณะ เช่น การศึกษาและสุขภาพ 💠 ลดแรงจูงใจในการทำให้ผู้คน “ติด” เพราะรัฐไม่มีเป้าหมายในการแสวงหากำไรสูงสุด 📚 ตัวอย่างจากต่างประเทศ บางประเทศ เช่น ฟินแลนด์ และแคนาดาบางจังหวัด มีระบบการพนันที่รัฐเป็นเจ้าของ ซึ่งช่วยควบคุมอัตราการติดพนันได้ดีกว่าระบบเอกชน ✅ อุตสาหกรรมการพนันคือ “ตลาดเสพติด” ➡️ สร้างรายได้จากพฤติกรรมที่ควบคุมไม่ได้ของผู้เล่น ✅ บริษัทเอกชนมีแรงจูงใจให้ผู้เล่นติด ➡️ ใช้เทคนิคจิตวิทยา UX และโฆษณาเจาะกลุ่มเปราะบาง ✅ แนวคิดใหม่: ให้รัฐเป็นผู้ดำเนินการ ➡️ ลดแรงจูงใจในการทำให้ผู้เล่นติด และนำรายได้กลับสู่สังคม ✅ มีตัวอย่างจากต่างประเทศ ➡️ ฟินแลนด์และแคนาดาบางพื้นที่ใช้ระบบนี้ได้ผลดี ‼️ ความเสี่ยงจากระบบเอกชน ⛔ บริษัทมีเป้าหมายคือกำไร ไม่ใช่ความปลอดภัยของผู้เล่น ‼️ โฆษณาและเทคโนโลยีทำให้เข้าถึงง่ายเกินไป ⛔ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและผู้มีรายได้น้อย ‼️ การติดพนันมีผลกระทบทางสังคมรุนแรง ⛔ เช่น หนี้สิน ความเครียด ความรุนแรงในครอบครัว และการฆ่าตัวตาย https://www.thebignewsletter.com/p/addiction-markets-abolish-corporate
    WWW.THEBIGNEWSLETTER.COM
    Addiction Markets: Abolish Corporate-Run Gambling
    Corporate gambling is economic coercion, a way to shift tax burdens away from the wealthy to the poor. It's been here since the 1970s, and now it's corrupting sports and young men. Abolish it.
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ไอ้เสือเอาวา
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 6 “ไอ้เสือเอาวา”

    ตอน 1

    The American International Corporation (AIC) ตั้งขึ้นที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1915 โดยกลุ่ม J P Morgan และผู้ร่วมทุนจาก National City Bank ของกลุ่ม Stillman และกลุ่มผลประโยชน์ของตระกูล Rockefeller เรียกว่าเป็นการร่วมทุนของพวก เจ้าพ่อ ธุรกิจการเงิน และอุตสาหกรรมของอเมริกา สำนักงานใหญ่ของ AIC ตั้ง อยู่เลขที่ 120 ถนนบรอดเวย์ หนังสือบริคณห์ของบริษัท ระบุวัตถุประสงค์ว่า เพื่อทำธุรกิจทุกประเภท (ยกเว้นการธนาคารและสาธารณูปโภค) ในทุกประเทศ “ทั่วโลก” เพื่อเป็นการส่งเสริมธุรกิจการค้าภายในและภายนอกประเทศ และขยายธุรกิจของอเมริกาไปยังต่างประเทศ

    Frank A. Vanderlip เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของเขาว่า เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่าง มาก ที่ American International Corporation ก่อตั้งขึ้นได้สำเร็จ จริงๆแล้ว มันเกิดขึ้น จากการคุยกัน ระหว่าง คนทำงานของ Stone & Webster บริษัทก่อสร้างทางรถไฟระหว่างประเทศ ที่บอกกับ Jim Perkins และ Frank A. Vanderlip แห่ง National City Bank (NCB) ว่า จะไม่เหลือทางรถไฟในอเมริกาให้เราสร้างสักเท่าไรแล้ว !

    บริษัทได้ระบุจำนวนทุน ที่ได้รับอนุญาตให้เรียกชำระ คือ 50 ล้านเหรียญ และนาย Vanderlip บันทึกต่อไปว่า เขาได้เขียนไปหาประธานของ American International Corporation “…หลังจากที่ผมบอกให้พวกเขา รู้ว่า เรากำลังทำจะอะไร พวกเขาดีใจมาก ที่เราชวนพวกเขามาร่วมด้วย ทุกคนลงทุนกันเป็นจำนวนมาก บางคนถึงกับขอเพิ่มอีก และแถมบางคนยังกันท่า ไม่อยากให้บางคนมาร่วมมือด้วย…ทุกคนที่เราไปคุย เอาด้วยทั้งนั้น”
    ตกลงพวกเขากำลังจะทำอะไร ธุรกิจของ AIC คืออะไรกันแน่ นักธุรกิจอเมริกัน ถึงกับแย่งกันเข้ามาร่วมลงทุน

    ในปี 1916 AIC มีการลงทุนในต่างประเทศ เป็นจำนวนมากกว่า 23 ล้านเหรียญ และในปี 1917 เพิ่มเป็นกว่า 27 ล้านเหรียญ มีบริษัทตัวแทน อยู่ที่ลอนดอน ปารีส บัวโนสไอเรส ปักกิ่ง Petrograd รัสเซีย และหลังจากตั้งบริษัทได้ไม่ถึง 2 ปี ธุรกิจของ AIC ก็ขยายไปถึง ออสเตรเลีย อาร์เจนตินา อุรุกวัย ปารากวัย โคลัมเบีย บราซิล ซิลี จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ซีลอน อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สเปน คิวบา เม็กซิโก และอีกหลายๆประเทศในอเมริกากลาง

    หลังจากนั้นไม่นาน American International Corporation (AIC) ได้ตั้งบริษัทลูก อีกหลายบริษัทคือ

    – The Allied Machinery Company of America ตั้งขึ้นในปี 1916 ถือหุ้นทั้งหมดโดย AIC

    – The Grace Russian Company ตั้งขึ้นในปี 1917 ถือหุ้นโดย W.R. Grace & Co และ San Galli Trading Company of Petrograd โดย AIC ถือหุ้นข้างมากใน Grace Russian ร่วมกับ Holbrook ซึ่งเป็นผู้บริหาร Allied Machinery

    – United Fruit Company ซึ่งเข้าไปมีส่วนในการปฏิวัติหลายครั้งในอเมริกากลาง ในปี ช่วงปี 1920 กว่าๆ

    – American International Shipbuilding Corporation ซึ่ง AIC ถือหุ้นทั้งหมด และได้รับสัญญาให้ต่อเรือรบหลายสัญญาจาก Emergency Fleet Corporation สัญญาหนึ่งประมาณ 50 ลำ อีกสัญญา 40 ลำ และยังมีสัญญาให้ต่อเรือบรรทุกสินค้าอีก 60 ลำ นับเป็นบริษัทแห่งเดียว ที่ได้รับสัญญาต่อเรือจำนวนมากที่สุดจาก Emergency Fleet Corporation ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน
    G. Amsinck & Co., Inc of New York ซึ่ง AIC ซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทนี้ ในเดือนพฤศจิกายนปี 1917 Amsinck เป็นแหล่งเงินทุนใหญ่ ในการสนับสนุนการจารกรรมของเยอรมันในอเมริกา

    – Symington Forge Corporation บริษัทซึ่งได้รับสัญญาจากรัฐบาล ให้ทำการหล่อลูกปืนจำนวนมากที่สุด

    ดูเหมือน American International Corporation จะเป็นบริษัท ที่รับงานเกือบทั้งหมดของรัฐบาลอเมริกันและต่างประเทศ เกี่ยวกับกิจกรรมสงคราม

    สรุปสั้นๆ ธุรกิจของบริษัทคือ การทำให้สงครามโลกครั้งที่ 1 เดินหน้านั่นแหละ !

    American International Corporation มีกรรมการ 22 คน กรรมการไม่น้อยกว่า 10 คนมาจาก National City Bank ที่เหลือมาจาก Stillman, Rockefeller, Morgan, Kuhn Loeb, Du Ponts, Stone & Webster และจาก Federal Reserve Banks

    คงเห็นธุรกิจที่ไม่ธรรมดาของ American International Corporation กันแล้ว คราวนี้มาดูอิทธิพลของบริษัทนี้ เกี่ยวกับการปฏิวัติในรัสเซีย

    เมื่อพวก Bolsheviks รุกคืบเข้าไปคุมในรัสเซียกลางได้ Robert Lansing รัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา ได้ขอความเห็นจาก American International Corporation เกี่ยวกับนโยบาย ที่อเมริกาควรดำเนินกับรัฐบาลโซเวียตต่อไป

    ในวันที่ 16 มกราคม 1918 ประมาณ 2 เดือน หลังจากการยึด Petrograd และ Moscow และก่อนที่ Bolsheviks จะควบคุมส่วนอื่นๆได้ นาย William Franklin Sands เลขาธิการของ American International Corporation ได้ทำบันทึกเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของรัสเซีย ส่งให้กับรัฐมนตรี Lansing

    หนังสือปะหน้านำส่งบันทึกของ Sands ลงวันที่ 16 มกราคม 1918 เขียนไว้ดังนี้ :
    กราบเรียน พณฯ รัฐมนตรี
    กระทรวงต่างประเทศ
    วอซิงตัน ดี ซี

    กระผม ขอเรียนเสนอบันทึกที่แนบมานี้ ตามที่ท่านขอให้กระผม แสดงความคิดเห็นของกระผมเสนอท่าน เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง ในรัสเซีย กระผมได้แยกการอธิบายเป็น 3 ส่วน : ประวัติศาสตร์ สาเหตุที่มาของการปฏิวัติ อย่างย่อเท่าที่จะทำได้, ข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบาย, และการบรรยายถึงกิจกรรมของคนอเมริกา ที่กำลังดำเนินการอยู่ในรัสเซีย..”

    แม้ว่าการควบคุมรัสเซียของพวก Bolsheviks จะยังไม่แน่นอน และอันที่จริงพวก Bolsheviks ก็ทำท่าจะไปไม่รอดเอาด้วยซ้ำในกลางปี 1918 แต่ Sands ก็เขียนไว้ในบันทึกของเขาตั้งแต่เดือนมกราคม 1918 ไปแล้วว่า อเมริกาแสดงความล่าช้าเกินไป ในการให้การรับรองของ Trotsky โดยเขาเน้นว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม (ที่เรายังไม่รับรอง Trotsky) บัดนี้ ก็น่าจะให้การรับรองได้แล้ว อย่างน้อยก็ในชัยชนะที่ Trotsky ทำให้เกิดขึ้น จากความเสียสละส่วนตัวเขา

    หลังจากนั้น Sands ก็ย้ำถึงสิ่งที่อเมริกาสามารถจะทำ เพื่อแก้ไขการล่าช้าเสียเวลานั้น ควบคู่ไปกับปฏิวัติของ Bolsheviks คือ “การปฏิวัติของเรา” และสรุปว่า “กระผมมีเหตุผลทุกประการที่น่าเชื่อว่า “แผนการบริหารรัสเซีย” จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภา และได้รับการเห็นชอบจากมหาชนในอเมริกาอย่างท่วมท้น”

    จดหมายของนาย William F Sands ข้างต้น คงชัดเจน คงไม่ต้องอธิบาย หรือสรุปใดอีก

    William F Sands เป็นผู้ที่มีเส้นสายและอิทธิพลในกระทรวงต่างประเทศอย่างลึกซึ้ง
    ถนนอาชีพของ Sands วิ่งไปมา ระหว่างกระทรวงต่างประเทศและวอลสตรีท ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึง ต้นศตวรรษที่ 20 เขารับตำแหน่ง ทางการฑูตหลายตำแหน่ง ในปี 1910 เขาเปลี่ยนจากอาชีพในกระทรวงต่างประเทศ มาร่วมธุรกิจธนาคารกับ James Speyer เพื่อไปช่วยเจรจาเงินกู้ให้กับ ประเทศ Ecuador หลังจากนั้น ก็ไปยึดกิจการน้ำตาลใน Puerto Rico อยู่ 2 ปี ในปี 1916 เขาอยู่ในรัสเซีย ในกิจกรรมกาชาด เพื่อปฏิบัติภาระกิจพิเศษ โดยทำคู่กับ Basil Miles และกลับมาร่วมงานกับ American International Corporation ในนิวยอร์ค

    ในต้นปี 1918 เป็นที่รู้กันว่า Sands เป็นคนที่ได้สัญญาลับพิเศษ จากฝ่ายรัสเซีย นอกจากนั้น Sands ยังเป็นผู้ถือเอกสารติดต่อ ลับพิเศษจากรัสเซีย มาให้กระทรวงต่างประเทศ แถมบางครั้งยังได้อ่านเอกสารก่อนกระทรวงต่างประเทศเสียอีก

    วันที่ 14 มกราคม 1918 เพียง 2 วันก่อนที่ Sands จะเขียนบันทึกของเขาเกี่ยวกับนโยบายที่ควรมีต่อพวก Bolsheviks รัฐมนตรีต่างประเทศ Lansing ได้โทรเลขโดยใส่รหัส Green Cipher ถึงสถานฑูตอเมริกันที่ Stockhlom !

    “เอกสารราชการสำคัญมากสำหรับให้ Sands นำมาส่งที่กระทรวง ถูกส่งทิ้งไว้ที่สถานฑูต ได้มีการส่งต่อให้หรือไม่ Lansing”

    คำตอบจาก Morris ที่ Stockhlom : “เลขที่ 460 ของท่าน 14 มกราคม 5 โมงเย็น เอกสารดังกล่าวได้ส่งต่อไปให้กระทรวงทางถุงเมล์ เลขที่ 34 เมื่อธันวาคม 28”
    และมีเอกสารเป็นบันทึกลงชื่อ “BM” (Basil Miles คณะทำงานของ Sands)
    ” Mr. Philips พวกเขาไม่ได้ส่งเอกสารลับ ส่วนที่ 1 ให้แก่ Sands ที่เขานำมาที่ Stockholm จาก Petrogard”

    ทำไม เลขานุการบริหาร ของ AIC ถึงเป็นบุคคลสำคัญ ขนาดรัฐมนตรีต่างประเทศต้องคอยดูแลตามเอกสารให้ และทำไมเอกสารสำคัญของทางรัสเซีย จึงอยู่ในมือของบุคคลธรรมดาอย่างนาย Sands
    หลายเดือนต่อมา ในวันที่ 1 กรกฏาคม 1918 Sands เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีคลัง McAdoo แนะนำให้มีคณะกรรมาธิการ สำหรับ “ช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย”

    เขาแนะนำว่า เนื่องจากเป็นการยาก สำหรับหน่วยงานของรัฐ ที่จะเข้าไปช่วยจัดหา อุปกรณ์ และเครื่องจักร ที่เกี่ยวเนื่องกับการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย ดังนั้น รัฐบาลจึงควรเรียกให้ฝ่ายเอกชน ที่มีความชำนาญ ด้านธุรกิจการเงิน การค้า และอุตสาหกรรมในอเมริกา มาเป็นผู้จัดหา อุปกรณ์และเครื่องจักร ภายใต้การดูแล ของคณะกรรมาธิการ หรือคณะกรรมการใด ที่ประธานาธิบดีจะเลือก หรือแต่งตั้งขึ้นเพื่อกิจกรรมนี้

    ความหมายของ Sands คือ ถึงเวลาที่จะให้กลุ่มธุรกิจ ไปจัดการ “ปล้น” รัสเซียให้เหลือแต่คราบ ตามที่ตกลงกันได้แล้ว

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    3 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ไอ้เสือเอาวา นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 6 “ไอ้เสือเอาวา” ตอน 1 The American International Corporation (AIC) ตั้งขึ้นที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1915 โดยกลุ่ม J P Morgan และผู้ร่วมทุนจาก National City Bank ของกลุ่ม Stillman และกลุ่มผลประโยชน์ของตระกูล Rockefeller เรียกว่าเป็นการร่วมทุนของพวก เจ้าพ่อ ธุรกิจการเงิน และอุตสาหกรรมของอเมริกา สำนักงานใหญ่ของ AIC ตั้ง อยู่เลขที่ 120 ถนนบรอดเวย์ หนังสือบริคณห์ของบริษัท ระบุวัตถุประสงค์ว่า เพื่อทำธุรกิจทุกประเภท (ยกเว้นการธนาคารและสาธารณูปโภค) ในทุกประเทศ “ทั่วโลก” เพื่อเป็นการส่งเสริมธุรกิจการค้าภายในและภายนอกประเทศ และขยายธุรกิจของอเมริกาไปยังต่างประเทศ Frank A. Vanderlip เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของเขาว่า เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่าง มาก ที่ American International Corporation ก่อตั้งขึ้นได้สำเร็จ จริงๆแล้ว มันเกิดขึ้น จากการคุยกัน ระหว่าง คนทำงานของ Stone & Webster บริษัทก่อสร้างทางรถไฟระหว่างประเทศ ที่บอกกับ Jim Perkins และ Frank A. Vanderlip แห่ง National City Bank (NCB) ว่า จะไม่เหลือทางรถไฟในอเมริกาให้เราสร้างสักเท่าไรแล้ว ! บริษัทได้ระบุจำนวนทุน ที่ได้รับอนุญาตให้เรียกชำระ คือ 50 ล้านเหรียญ และนาย Vanderlip บันทึกต่อไปว่า เขาได้เขียนไปหาประธานของ American International Corporation “…หลังจากที่ผมบอกให้พวกเขา รู้ว่า เรากำลังทำจะอะไร พวกเขาดีใจมาก ที่เราชวนพวกเขามาร่วมด้วย ทุกคนลงทุนกันเป็นจำนวนมาก บางคนถึงกับขอเพิ่มอีก และแถมบางคนยังกันท่า ไม่อยากให้บางคนมาร่วมมือด้วย…ทุกคนที่เราไปคุย เอาด้วยทั้งนั้น” ตกลงพวกเขากำลังจะทำอะไร ธุรกิจของ AIC คืออะไรกันแน่ นักธุรกิจอเมริกัน ถึงกับแย่งกันเข้ามาร่วมลงทุน ในปี 1916 AIC มีการลงทุนในต่างประเทศ เป็นจำนวนมากกว่า 23 ล้านเหรียญ และในปี 1917 เพิ่มเป็นกว่า 27 ล้านเหรียญ มีบริษัทตัวแทน อยู่ที่ลอนดอน ปารีส บัวโนสไอเรส ปักกิ่ง Petrograd รัสเซีย และหลังจากตั้งบริษัทได้ไม่ถึง 2 ปี ธุรกิจของ AIC ก็ขยายไปถึง ออสเตรเลีย อาร์เจนตินา อุรุกวัย ปารากวัย โคลัมเบีย บราซิล ซิลี จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ซีลอน อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สเปน คิวบา เม็กซิโก และอีกหลายๆประเทศในอเมริกากลาง หลังจากนั้นไม่นาน American International Corporation (AIC) ได้ตั้งบริษัทลูก อีกหลายบริษัทคือ – The Allied Machinery Company of America ตั้งขึ้นในปี 1916 ถือหุ้นทั้งหมดโดย AIC – The Grace Russian Company ตั้งขึ้นในปี 1917 ถือหุ้นโดย W.R. Grace & Co และ San Galli Trading Company of Petrograd โดย AIC ถือหุ้นข้างมากใน Grace Russian ร่วมกับ Holbrook ซึ่งเป็นผู้บริหาร Allied Machinery – United Fruit Company ซึ่งเข้าไปมีส่วนในการปฏิวัติหลายครั้งในอเมริกากลาง ในปี ช่วงปี 1920 กว่าๆ – American International Shipbuilding Corporation ซึ่ง AIC ถือหุ้นทั้งหมด และได้รับสัญญาให้ต่อเรือรบหลายสัญญาจาก Emergency Fleet Corporation สัญญาหนึ่งประมาณ 50 ลำ อีกสัญญา 40 ลำ และยังมีสัญญาให้ต่อเรือบรรทุกสินค้าอีก 60 ลำ นับเป็นบริษัทแห่งเดียว ที่ได้รับสัญญาต่อเรือจำนวนมากที่สุดจาก Emergency Fleet Corporation ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน G. Amsinck & Co., Inc of New York ซึ่ง AIC ซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทนี้ ในเดือนพฤศจิกายนปี 1917 Amsinck เป็นแหล่งเงินทุนใหญ่ ในการสนับสนุนการจารกรรมของเยอรมันในอเมริกา – Symington Forge Corporation บริษัทซึ่งได้รับสัญญาจากรัฐบาล ให้ทำการหล่อลูกปืนจำนวนมากที่สุด ดูเหมือน American International Corporation จะเป็นบริษัท ที่รับงานเกือบทั้งหมดของรัฐบาลอเมริกันและต่างประเทศ เกี่ยวกับกิจกรรมสงคราม สรุปสั้นๆ ธุรกิจของบริษัทคือ การทำให้สงครามโลกครั้งที่ 1 เดินหน้านั่นแหละ ! American International Corporation มีกรรมการ 22 คน กรรมการไม่น้อยกว่า 10 คนมาจาก National City Bank ที่เหลือมาจาก Stillman, Rockefeller, Morgan, Kuhn Loeb, Du Ponts, Stone & Webster และจาก Federal Reserve Banks คงเห็นธุรกิจที่ไม่ธรรมดาของ American International Corporation กันแล้ว คราวนี้มาดูอิทธิพลของบริษัทนี้ เกี่ยวกับการปฏิวัติในรัสเซีย เมื่อพวก Bolsheviks รุกคืบเข้าไปคุมในรัสเซียกลางได้ Robert Lansing รัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา ได้ขอความเห็นจาก American International Corporation เกี่ยวกับนโยบาย ที่อเมริกาควรดำเนินกับรัฐบาลโซเวียตต่อไป ในวันที่ 16 มกราคม 1918 ประมาณ 2 เดือน หลังจากการยึด Petrograd และ Moscow และก่อนที่ Bolsheviks จะควบคุมส่วนอื่นๆได้ นาย William Franklin Sands เลขาธิการของ American International Corporation ได้ทำบันทึกเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของรัสเซีย ส่งให้กับรัฐมนตรี Lansing หนังสือปะหน้านำส่งบันทึกของ Sands ลงวันที่ 16 มกราคม 1918 เขียนไว้ดังนี้ : กราบเรียน พณฯ รัฐมนตรี กระทรวงต่างประเทศ วอซิงตัน ดี ซี กระผม ขอเรียนเสนอบันทึกที่แนบมานี้ ตามที่ท่านขอให้กระผม แสดงความคิดเห็นของกระผมเสนอท่าน เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง ในรัสเซีย กระผมได้แยกการอธิบายเป็น 3 ส่วน : ประวัติศาสตร์ สาเหตุที่มาของการปฏิวัติ อย่างย่อเท่าที่จะทำได้, ข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบาย, และการบรรยายถึงกิจกรรมของคนอเมริกา ที่กำลังดำเนินการอยู่ในรัสเซีย..” แม้ว่าการควบคุมรัสเซียของพวก Bolsheviks จะยังไม่แน่นอน และอันที่จริงพวก Bolsheviks ก็ทำท่าจะไปไม่รอดเอาด้วยซ้ำในกลางปี 1918 แต่ Sands ก็เขียนไว้ในบันทึกของเขาตั้งแต่เดือนมกราคม 1918 ไปแล้วว่า อเมริกาแสดงความล่าช้าเกินไป ในการให้การรับรองของ Trotsky โดยเขาเน้นว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม (ที่เรายังไม่รับรอง Trotsky) บัดนี้ ก็น่าจะให้การรับรองได้แล้ว อย่างน้อยก็ในชัยชนะที่ Trotsky ทำให้เกิดขึ้น จากความเสียสละส่วนตัวเขา หลังจากนั้น Sands ก็ย้ำถึงสิ่งที่อเมริกาสามารถจะทำ เพื่อแก้ไขการล่าช้าเสียเวลานั้น ควบคู่ไปกับปฏิวัติของ Bolsheviks คือ “การปฏิวัติของเรา” และสรุปว่า “กระผมมีเหตุผลทุกประการที่น่าเชื่อว่า “แผนการบริหารรัสเซีย” จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภา และได้รับการเห็นชอบจากมหาชนในอเมริกาอย่างท่วมท้น” จดหมายของนาย William F Sands ข้างต้น คงชัดเจน คงไม่ต้องอธิบาย หรือสรุปใดอีก William F Sands เป็นผู้ที่มีเส้นสายและอิทธิพลในกระทรวงต่างประเทศอย่างลึกซึ้ง ถนนอาชีพของ Sands วิ่งไปมา ระหว่างกระทรวงต่างประเทศและวอลสตรีท ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึง ต้นศตวรรษที่ 20 เขารับตำแหน่ง ทางการฑูตหลายตำแหน่ง ในปี 1910 เขาเปลี่ยนจากอาชีพในกระทรวงต่างประเทศ มาร่วมธุรกิจธนาคารกับ James Speyer เพื่อไปช่วยเจรจาเงินกู้ให้กับ ประเทศ Ecuador หลังจากนั้น ก็ไปยึดกิจการน้ำตาลใน Puerto Rico อยู่ 2 ปี ในปี 1916 เขาอยู่ในรัสเซีย ในกิจกรรมกาชาด เพื่อปฏิบัติภาระกิจพิเศษ โดยทำคู่กับ Basil Miles และกลับมาร่วมงานกับ American International Corporation ในนิวยอร์ค ในต้นปี 1918 เป็นที่รู้กันว่า Sands เป็นคนที่ได้สัญญาลับพิเศษ จากฝ่ายรัสเซีย นอกจากนั้น Sands ยังเป็นผู้ถือเอกสารติดต่อ ลับพิเศษจากรัสเซีย มาให้กระทรวงต่างประเทศ แถมบางครั้งยังได้อ่านเอกสารก่อนกระทรวงต่างประเทศเสียอีก วันที่ 14 มกราคม 1918 เพียง 2 วันก่อนที่ Sands จะเขียนบันทึกของเขาเกี่ยวกับนโยบายที่ควรมีต่อพวก Bolsheviks รัฐมนตรีต่างประเทศ Lansing ได้โทรเลขโดยใส่รหัส Green Cipher ถึงสถานฑูตอเมริกันที่ Stockhlom ! “เอกสารราชการสำคัญมากสำหรับให้ Sands นำมาส่งที่กระทรวง ถูกส่งทิ้งไว้ที่สถานฑูต ได้มีการส่งต่อให้หรือไม่ Lansing” คำตอบจาก Morris ที่ Stockhlom : “เลขที่ 460 ของท่าน 14 มกราคม 5 โมงเย็น เอกสารดังกล่าวได้ส่งต่อไปให้กระทรวงทางถุงเมล์ เลขที่ 34 เมื่อธันวาคม 28” และมีเอกสารเป็นบันทึกลงชื่อ “BM” (Basil Miles คณะทำงานของ Sands) ” Mr. Philips พวกเขาไม่ได้ส่งเอกสารลับ ส่วนที่ 1 ให้แก่ Sands ที่เขานำมาที่ Stockholm จาก Petrogard” ทำไม เลขานุการบริหาร ของ AIC ถึงเป็นบุคคลสำคัญ ขนาดรัฐมนตรีต่างประเทศต้องคอยดูแลตามเอกสารให้ และทำไมเอกสารสำคัญของทางรัสเซีย จึงอยู่ในมือของบุคคลธรรมดาอย่างนาย Sands หลายเดือนต่อมา ในวันที่ 1 กรกฏาคม 1918 Sands เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีคลัง McAdoo แนะนำให้มีคณะกรรมาธิการ สำหรับ “ช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย” เขาแนะนำว่า เนื่องจากเป็นการยาก สำหรับหน่วยงานของรัฐ ที่จะเข้าไปช่วยจัดหา อุปกรณ์ และเครื่องจักร ที่เกี่ยวเนื่องกับการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย ดังนั้น รัฐบาลจึงควรเรียกให้ฝ่ายเอกชน ที่มีความชำนาญ ด้านธุรกิจการเงิน การค้า และอุตสาหกรรมในอเมริกา มาเป็นผู้จัดหา อุปกรณ์และเครื่องจักร ภายใต้การดูแล ของคณะกรรมาธิการ หรือคณะกรรมการใด ที่ประธานาธิบดีจะเลือก หรือแต่งตั้งขึ้นเพื่อกิจกรรมนี้ ความหมายของ Sands คือ ถึงเวลาที่จะให้กลุ่มธุรกิจ ไปจัดการ “ปล้น” รัสเซียให้เหลือแต่คราบ ตามที่ตกลงกันได้แล้ว สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 3 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 220 Views 0 Reviews
  • เจ้าแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ อาจารย์หม่อม นิรนาม ไตรภูมิ
    เจ้าแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ เนื้อผงพุทธคุณสีขาว ( พระขนาดใหญ่ สูง 2 นิ้ว ) อาจารย์หม่อม นิรนาม ไตรภูมิ ปี2552 //พระดีพิธีใหญ่ พิธีมหาพุทธาภิเษก เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2552 // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก น่าเก็บ พระไม่ถูกใช้ครับ //@"รับประกันพระแท้ตลอดชีพ"

    ** พุทธคุณ แคล้วคลาดปลอดภัย มหาอุด เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย **

    ** พระผงเจ้าแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ อาจารย์หม่อม นิรนาม ไตรภูมิ ปี 2552 พิธีมหาพุทธาภิเษก เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2552 ประธานฝ่ายสงฆ์ พระพรหมวชิรญาณ ( ประสิทธิ์ เขมังกโร ) กรรมการมหาเถรสมาคม และ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา กรุงเทพ ฯโดยเจ้าพิธีพุทธาภิเษก ฝ่ายสงฆ์นั้น คือ หลวงปู่เกลี้ยง วัดบ้านโนนแกด อำเภอเมือง และ เจ้าพิธีฝ่ายฆราวาส นั้นคือ นายจักรพรรดิ โพธิสัตว์ทองคำ ( อาจารย์หม่อม )

    พระเกจิอาจารย์ร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสก อาทิ

    1. หลวงปู่คำบุ คุตตจิตโต วัดกุดชมพู
    2. หลวงปู่จันทร์หอม วัดบุ่งขี้เหล็ก
    3. หลวงปู่ทองวรรณ วัดปากโดม
    4. หลวงปู่ดี วัดสร้างแก้วใต้
    5. หลวงปู่หมี ปัญญาทโร
    6. หลวงพ่อสายทอง วัดพรหมนิวาสวรวิหาร
    7. หลวงปู่นอง ธัมมโชโต วัดวังสีทอง
    8. หลวงพ่อสมจิตร วัดบ้านด่าน (ศิษย์เอกหลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน)
    9. หลวงปู่สำราญ อนุตตโร วัดหนองบอน และร่างทรงจำนวน 36 ร่าง เจ้าพิธีโดยอาจารย์นิรนาม **

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เจ้าแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ อาจารย์หม่อม นิรนาม ไตรภูมิ เจ้าแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ เนื้อผงพุทธคุณสีขาว ( พระขนาดใหญ่ สูง 2 นิ้ว ) อาจารย์หม่อม นิรนาม ไตรภูมิ ปี2552 //พระดีพิธีใหญ่ พิธีมหาพุทธาภิเษก เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2552 // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก น่าเก็บ พระไม่ถูกใช้ครับ //@"รับประกันพระแท้ตลอดชีพ" ** พุทธคุณ แคล้วคลาดปลอดภัย มหาอุด เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย ** ** พระผงเจ้าแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ อาจารย์หม่อม นิรนาม ไตรภูมิ ปี 2552 พิธีมหาพุทธาภิเษก เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2552 ประธานฝ่ายสงฆ์ พระพรหมวชิรญาณ ( ประสิทธิ์ เขมังกโร ) กรรมการมหาเถรสมาคม และ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา กรุงเทพ ฯโดยเจ้าพิธีพุทธาภิเษก ฝ่ายสงฆ์นั้น คือ หลวงปู่เกลี้ยง วัดบ้านโนนแกด อำเภอเมือง และ เจ้าพิธีฝ่ายฆราวาส นั้นคือ นายจักรพรรดิ โพธิสัตว์ทองคำ ( อาจารย์หม่อม ) พระเกจิอาจารย์ร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสก อาทิ 1. หลวงปู่คำบุ คุตตจิตโต วัดกุดชมพู 2. หลวงปู่จันทร์หอม วัดบุ่งขี้เหล็ก 3. หลวงปู่ทองวรรณ วัดปากโดม 4. หลวงปู่ดี วัดสร้างแก้วใต้ 5. หลวงปู่หมี ปัญญาทโร 6. หลวงพ่อสายทอง วัดพรหมนิวาสวรวิหาร 7. หลวงปู่นอง ธัมมโชโต วัดวังสีทอง 8. หลวงพ่อสมจิตร วัดบ้านด่าน (ศิษย์เอกหลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน) 9. หลวงปู่สำราญ อนุตตโร วัดหนองบอน และร่างทรงจำนวน 36 ร่าง เจ้าพิธีโดยอาจารย์นิรนาม ** ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 87 Views 0 Reviews
  • เจ้าหน้าที่กัมพูชาจับกุมชาวอินโดนีเซีย 106 ราย ในนั้นเป็นผู้หญิง 36 คน ฐานต้องสงสัยร่วมขบวนการสแกมเมอร์ออนไลน์ ตามรายงานของเว็บไซต์ข่าวขแมร์ไทม์ส อ้างอิงถ้อยแถลงของคณะกรรมการต่อต่านอาชญากรรมหลอกลวงทางออนไลน์ของกัมพูชาในวันเสาร์(1พ.ย.)

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104458

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    เจ้าหน้าที่กัมพูชาจับกุมชาวอินโดนีเซีย 106 ราย ในนั้นเป็นผู้หญิง 36 คน ฐานต้องสงสัยร่วมขบวนการสแกมเมอร์ออนไลน์ ตามรายงานของเว็บไซต์ข่าวขแมร์ไทม์ส อ้างอิงถ้อยแถลงของคณะกรรมการต่อต่านอาชญากรรมหลอกลวงทางออนไลน์ของกัมพูชาในวันเสาร์(1พ.ย.) อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104458 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    Love
    Haha
    6
    0 Comments 0 Shares 399 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 3

    ทำไมนักการเงินตัวใหญ่แห่งวอลสตรีท และกรรมการของ Federal Reserve Bank เข้ามาวุ่นวาย จัดการและช่วยเหลือการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ทำไมหุ้นส่วนของ Morgan ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่หลายคน ซึ่งทำงานร่วมกันเป็นวง เพื่อให้มีการหาเงินทุนสนับสนุน ทั้งพวกปฏิวัติ และ พวกต้านปฏิวัติ รวมทั้งการจารกรรม ที่ไม่น่าจะเป็นผลดีกับอเมริกาเอง

    Thompson ดูเหมือนจะตรงไปตรงมา กับเป้าหมายของเขาในรัสเซีย เขาบอกว่า เขาต้องการให้รัสเซีย ยังคงทำสงครามกับเยอรมัน และต้องการใช้รัสเซียเป็นตลาด สำหรับให้อเมริกาค้าขายหลังสงคราม และในบันทึก ที่เขาทำถึง Lloyd George เมื่อเดือนธันวาคม 1917 บอกว่า “……..สถานการณ์ในรัสเซียจบสิ้น และรัสเซียคงตกอยู่ในมือของเยอรมัน ที่จะมายึดเอาทุกอย่างไป….ผมเชื่อว่า ด้วยความฉลาดและความกล้าเท่านั้น ที่จะป้องกันไม่ให้เยอรมันเข้ามาครอบครองรัสเซีย และเอาเนื้อรัสเซียไปกิน ด้วยค่าใช้จ่ายของพวกสัมพันธมิตร” นี่คงใกล้ความในใจของ Thompson มากที่สุด

    Thompson กลัวว่า นักธุรกิจของเยอรมันนั่นแหละ ที่จะเข้าไปจองที่ในรัสเซีย จนไม่เหลือมาถึงอเมริกา และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ Thompson ไปชักจูง หว่านล้อมเอาพรรคพวกแถววอลสตรีท เข้าไปร่วมวงกับพวก Bolsheviks อย่างนั้นหรือ
    มีจดหมายที่น่าสนใจอยู่ 1 ฉบับ ที่แสดงให้เห็นภาพความคิด ในหัวของเหล่าผู้คนที่เข้าไปร่วม เชียร์ Bolsheviks มันเป็นจดหมายของ Raymond Robins ผู้ช่วยของ Thompson ซึ่งเขียนถึง Bruce Lockhart สายลับของอังกฤษ และเป็นสายสืบของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table

    “คุณคงจะได้ยินผู้คนเขาพูดกันว่า ผมเป็นตัวแทนของพวกวอลสตรีท และผมเป็นขี้ข้ารับใช้ของ William B. Thompson เพื่อมาเอาเหมืองทองแดงที่ Altai ให้เขา และผมเองก็ได้รับที่ดินจำนวน 50,000 เอเคอร์ ตรงที่เป็นป่าไม้ที่ดีที่สุดของรัสเซีย และผมได้คว้างานสร้างทางรถไฟ Trans-Siberian Railway ไปเรียบร้อยแล้ว และเขายังให้ผมได้รับสัมปทานผูกขาดสำหรับแพลตินั่มในรัสเซีย ทั้งหมดนี้ เป็นงานที่ผมทำอยู่ในโซเวียต……… คุณคงได้ยินเรื่องพรรค์นี้ เอาล่ะ มันไม่ใช่เรื่องจริงเลยนะเพื่อน แต่สมมุติว่า ถ้ามันเป็นเรื่องจริง เรามาลองสมมุติดูว่า ผมมาอยู่ที่นี่ เพื่อมาลอกคราบรัสเซียให้กับพวกวอลสตรีท ให้กับนักธุรกิจอเมริกัน สมมุติว่า คุณเป็นหมาป่าพันธุ์อังกฤษ และผมเป็นหมาป่าพันธุ์อเมริกัน และเมื่อสงครามโลกนี้จบ เราก็คงขย้ำกันเอง เพื่อแย่งตลาดรัสเซีย ทำไมเราไม่มาเปิดใจกันอย่างตรงไปตรงมา อย่างมนุษย์ทำกัน ทำไมเราไม่คิดว่า เราต่างเป็นหมาป่าที่ฉลาดทั้งคู่ และเราน่าจะรู้ว่า ถ้าเราไม่ออกล่า “ร่วมกัน” ในชั่วโมงนี้ หมาป่าพันธุ์เยอรมัน ก็คงจะกินเราเรียบทั้งคู่ และจับเราเป็นทาส…….”

    มันคงพอให้เรามองเห็นความคิดของ Thompson และนักธุรกิจอเมริกัน และเรื่องราวที่ดำเนินอยู่ ได้พอสมควร Thompson เป็นนักการเงิน นักปั่นหุ้น แม้ว่าจะไม่มีผลประโยชน์ใดอยู่ในรัสเซีย แต่เขาก็ใช้กาชาดเป็นเครื่องมือ เข้าไปในรัสเซีย และมองเห็นโอกาส ว่าจะสร้างอิทธิพล ชักใย ครอบครอง ลอกคราบ และควบคุมรัสเซีย หลังสงครามเลิกอย่างไร โดยเขี่ยเยอรมันให้พ้นทางอย่างเบ็ดเสร็จ เขาลงทุนจ่ายเงิน เพื่อสร้างอำนาจทางการเมือง ทิ้งไว้ในรัสเซีย เขาคือนักล่าชาวอเมริกัน ที่กำลังคิดต่อสู้กับนักล่าชาวเยอรมัน ในดินแดนที่กำลังตกเป็นเหยื่อ

    และ Lenin และ Trotsky ก็คงมองความคิดของนักล่าสาระพัดชาติออกเช่นเดียวกัน และถือโอกาสใช้นักล่าสาระพัดชาติเป็นเหยื่อ เพื่อดำเนินการตามเป้าหมายของตนเองด้วย ในขณะเดียวกัน

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 4

    พวก Bolsheviks เอง ก็มองออก ว่า ตัวแทนของมหาอำนาจตะวันตก ที่ส่งมาประจำที่ Petrograd ไม่ได้ชอบและสนับสนุนพวกเขา โดยเฉพาะตัวแทนจากอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส

    อเมริกา มีตัวแทน คือ ฑูต Francis ซึ่งแสดงความไม่พอใจพวกปฏิวัติ อย่างเปิดเผยมาตลอด แถมให้คำแนะนำ ไปทางวอชิงตัน สวนทางกับพวกวอลสตรีทเสมอ ส่วนอังกฤษมีตัวแทน คือ Sir James Buchanan ซึ่งข่าวว่ายังผูกพันอยู่กับพวกราชวงศ์ซาร์ ที่ถูกปฏิวัติไปแล้ว แต่ภายหลัง ก็ดูเหมือนจะให้การสนับสนุนกับกลุ่ม Kerensky ซึ่งพวกอังกฤษคิดว่า จะทำให้รัสเซีย กลับเข้าร่วมทำสงครามสู้กับเยอรมันต่อไป ส่วนฝรั่งเศสมีตัวแทนคือฑูต Paleologue ซึ่งแสดงความต่อต้านพวก Bolsheviks อย่างเปิดเผย

    แต่พอถึงต้นปี 1918 ก็มีการส่งตัวแสดงใหม่ 3 คน มาเข้าฉาก และทั้ง 3 คน กลายเป็นตัวแทนตัวจริง ของมหาอำนาจตะวันตก และทำให้พวกตัวแทน ที่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการหมดท่า หลุดไปจากเส้นทางการติดต่อโดยสิ้นเชิง เขาฉีกบทเปลี่ยนตัวใหม่ เอาหมาป่ามาใช้แทน หมาบ้าน เพื่อเตรียมฉีกเนื้อรัสเซีย ก่อนหมาป่าพันธุ์เยอรมัน จะมาคาบไป

    Raymond Robins ซึ่งรับหน้าที่ดูแล กิจกรรมกาชาดอเมริกันต่อจาก William Boyce Thompson เมื่อต้นเดือนธันวาคม 1917 แต่ดูเหมือน Robins จะให้ความสนใจ และดำเนินกิจกรรมด้านเศรษฐกิจ การค้า และการเมือง ของรัสเซียมากกว่า กิจกรรมบันเทาทุกข์ให้คนร้สเซีย
    วันที่ 26 ธันวาคม 1917 Robins ส่งโทรเลขไปถึงหุ้นส่วน Morgan คือนาย Henry Davison ซึ่งทำหน้าที่ เป็นประธานคณะกิจกรรมกาชาดอเมริกันชั่วคราวว่า “โปรดเร่งให้ประธานาธิบดี เริ่มมีการติดต่อกับพวก Bolsheviks ด้วย”
    วันที่ 23 มกราคม 1918 Robins ส่งโทรเลขไปหา Thompson ที่ NewYork :
    “รัฐบาลโซเวียตมั่นคงขึ้นทุกวัน พวกเขามีอำนาจเพิ่มขึ้น หลังจากมีการรวมตัวกันได้ จากการปิดสภา แต่ผมไม่สามารถจะผลักดันได้แรงกว่านี้ ให้เห็นถึงความสำคัญของการรับรองรัฐบาล Bolsheviks ทาง Sisson เห็นด้วยกับข้อความนี้ ขอให้ท่านช่วยนำโทรเลขนี้แสดงกับ Creel ด้วย Thatcher และ Wardwell ก็เห็นพ้องด้วย”
    การพยายามผลักดันให้กับพวก Bolsheviks อย่างไม่หยุดยั้ง ของ Robins ทำให้เขาเป็นที่ชื่นชมในพวก Bolsheviks และมีอิทธิพลทางการเมืองพอสมควร แต่ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีรายงานส่งมาทางวอซิงตันว่า Robins เองก็เป็น Bolshevik ไปแล้ว เช่น โทรเลขที่มาจากโคเปนเฮเกน ลงวันที่ 3 ธันวาคม 1918 :

    ลับสุดยอด จากคำยืนยันของ Radek ที่ให้กับ George de Patpourrie กงสุลของออสเตรียฮังการี ประจำมอสโคว์บอกว่า Col. Robins ไอ้โจรร้ายของกาชาดอเมริกันที่มารัสเซีย ขณะนี้อยู่ที่มอสโคว์ เป็นตัวกลางในการเจรจา ระหว่างรัฐบาลโซเวียตโดยผ่านพวก Bolsheviks ให้กับพรรคพวกของตัวในอเมริกา มีผู้คนหลายฝ่ายเห็นว่า Col. Robins เองก็เป็นพวก Bolsheviks ในขณะที่บางฝ่ายก็บอกว่าไม่ใช่ แต่กิจกรรมที่เขากำลังดำเนินอยู่ในรัสเซีย มันตรงกันข้ามกับผลประโยชน์ ของรัฐบาลทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง

    เอกสารในแฟ้มสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค ที่คณะกรรมาธิการ Lusk Committee ยึดมาได้ในปี 1919 ยืนยันว่า ทั้ง Robins และภรรยาเขา มีกิจกรรมใกล้ชิดกับพวก Bolsheviks ในอเมริกา และมีส่วนร่วมในการตั้งสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค

    ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษ ก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปรัสเซีย เพื่อประสานงานอย่างไม่เป็นทางการกับพวก Bolsheviks เช่นเดียวกัน โดยส่งนาย Bruce Lockhart สายลับ ที่พูดภาษารัสเซียได้คล่องแคล่ว Lockhart ก็ทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Robins เขาก็เหมือนเป็น Robins ก๊อบปี้อังกฤษนั่นแหละ

    แต่ต่างกับ Robins ตรงที่ Lockhart ต่อสายตรงถึงกระทรวงต่างประเทศอังกฤษได้
    แม้ Lockhart จะไม่ได้ถูกส่งตัวไปโดยกระทรวงต่างประเทศอังกฤษ หรือรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ แต่ Lockhart ถูกเลือก และส่งไปปฏิบัติภาระกิจในรัสเซีย ตามคำสั่งของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George ก็เห็นชอบด้วย ดูเหมือนในที่สุดแล้ว รัฐบาลอังกฤษ จะเล่นเรื่องรัสเซียอย่างไม่กลัวคนนินทา ต่างกับรัฐบาลอเมริกา ที่ดูยังกล้าๆกลัวๆ
    Maxim Litvinov ซึ่งเป็นตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ของโซเวียตประจำอยู่ที่อังกฤษ ได้เขียนจดหมายแนะนำตัว Lockhart แก่ Trotsky ว่า “….แม้ว่าเขาเป็นสายลับของอังกฤษ แต่เป็นคนที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา และมีความเข้าใจในสถานะและเห็นใจพวกเรา….”

    เป้าหมายของ Milner น่าจะเป็นการหาลู่ทาง เพื่อทำธุรกิจในภาคใต้ของรัสเซียและส่วนอื่นๆ ไม่ต่างกับที่ Morgan แห่งนิวยอร์คกำลังทำอยู่

    ส่วนรัฐบาลฝรั่งเศสก็ส่ง Jaques Sadoul ซึ่งเปิดเผยว่าเขาเป็นพวก Bolsheviks แถมเป็นเพื่อนเก่าแก่กับ Trotsky อีกด้วย

    สรุป รัฐบาลของทั้ง 3 ประเทศ ถอนอำนาจ ของตัวแทนทางการฑูตอย่างเป็นทางการของตนเอง ที่ส่งไปประจำที่ Petrograd และส่งตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ที่เอียงไปทางพวก Bolsheviks ให้ไปทำหน้าที่แทน

    และในที่สุด แม้ว่าจะมีผู้คัดค้านและตั้งคำถามมากมาย ประธานาธิบดี Wilson ก็ยอมเปิดหน้า ให้การรับรองรัฐบาล Bolsheviks การรับรองนี้ มาจากการกดดันของกลุ่มวอลสตรีท โดยเฉพาะ มาจาก American International Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่กลุ่ม Morgan มีอำนาจควบคุม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    2 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 3 ทำไมนักการเงินตัวใหญ่แห่งวอลสตรีท และกรรมการของ Federal Reserve Bank เข้ามาวุ่นวาย จัดการและช่วยเหลือการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ทำไมหุ้นส่วนของ Morgan ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่หลายคน ซึ่งทำงานร่วมกันเป็นวง เพื่อให้มีการหาเงินทุนสนับสนุน ทั้งพวกปฏิวัติ และ พวกต้านปฏิวัติ รวมทั้งการจารกรรม ที่ไม่น่าจะเป็นผลดีกับอเมริกาเอง Thompson ดูเหมือนจะตรงไปตรงมา กับเป้าหมายของเขาในรัสเซีย เขาบอกว่า เขาต้องการให้รัสเซีย ยังคงทำสงครามกับเยอรมัน และต้องการใช้รัสเซียเป็นตลาด สำหรับให้อเมริกาค้าขายหลังสงคราม และในบันทึก ที่เขาทำถึง Lloyd George เมื่อเดือนธันวาคม 1917 บอกว่า “……..สถานการณ์ในรัสเซียจบสิ้น และรัสเซียคงตกอยู่ในมือของเยอรมัน ที่จะมายึดเอาทุกอย่างไป….ผมเชื่อว่า ด้วยความฉลาดและความกล้าเท่านั้น ที่จะป้องกันไม่ให้เยอรมันเข้ามาครอบครองรัสเซีย และเอาเนื้อรัสเซียไปกิน ด้วยค่าใช้จ่ายของพวกสัมพันธมิตร” นี่คงใกล้ความในใจของ Thompson มากที่สุด Thompson กลัวว่า นักธุรกิจของเยอรมันนั่นแหละ ที่จะเข้าไปจองที่ในรัสเซีย จนไม่เหลือมาถึงอเมริกา และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ Thompson ไปชักจูง หว่านล้อมเอาพรรคพวกแถววอลสตรีท เข้าไปร่วมวงกับพวก Bolsheviks อย่างนั้นหรือ มีจดหมายที่น่าสนใจอยู่ 1 ฉบับ ที่แสดงให้เห็นภาพความคิด ในหัวของเหล่าผู้คนที่เข้าไปร่วม เชียร์ Bolsheviks มันเป็นจดหมายของ Raymond Robins ผู้ช่วยของ Thompson ซึ่งเขียนถึง Bruce Lockhart สายลับของอังกฤษ และเป็นสายสืบของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table “คุณคงจะได้ยินผู้คนเขาพูดกันว่า ผมเป็นตัวแทนของพวกวอลสตรีท และผมเป็นขี้ข้ารับใช้ของ William B. Thompson เพื่อมาเอาเหมืองทองแดงที่ Altai ให้เขา และผมเองก็ได้รับที่ดินจำนวน 50,000 เอเคอร์ ตรงที่เป็นป่าไม้ที่ดีที่สุดของรัสเซีย และผมได้คว้างานสร้างทางรถไฟ Trans-Siberian Railway ไปเรียบร้อยแล้ว และเขายังให้ผมได้รับสัมปทานผูกขาดสำหรับแพลตินั่มในรัสเซีย ทั้งหมดนี้ เป็นงานที่ผมทำอยู่ในโซเวียต……… คุณคงได้ยินเรื่องพรรค์นี้ เอาล่ะ มันไม่ใช่เรื่องจริงเลยนะเพื่อน แต่สมมุติว่า ถ้ามันเป็นเรื่องจริง เรามาลองสมมุติดูว่า ผมมาอยู่ที่นี่ เพื่อมาลอกคราบรัสเซียให้กับพวกวอลสตรีท ให้กับนักธุรกิจอเมริกัน สมมุติว่า คุณเป็นหมาป่าพันธุ์อังกฤษ และผมเป็นหมาป่าพันธุ์อเมริกัน และเมื่อสงครามโลกนี้จบ เราก็คงขย้ำกันเอง เพื่อแย่งตลาดรัสเซีย ทำไมเราไม่มาเปิดใจกันอย่างตรงไปตรงมา อย่างมนุษย์ทำกัน ทำไมเราไม่คิดว่า เราต่างเป็นหมาป่าที่ฉลาดทั้งคู่ และเราน่าจะรู้ว่า ถ้าเราไม่ออกล่า “ร่วมกัน” ในชั่วโมงนี้ หมาป่าพันธุ์เยอรมัน ก็คงจะกินเราเรียบทั้งคู่ และจับเราเป็นทาส…….” มันคงพอให้เรามองเห็นความคิดของ Thompson และนักธุรกิจอเมริกัน และเรื่องราวที่ดำเนินอยู่ ได้พอสมควร Thompson เป็นนักการเงิน นักปั่นหุ้น แม้ว่าจะไม่มีผลประโยชน์ใดอยู่ในรัสเซีย แต่เขาก็ใช้กาชาดเป็นเครื่องมือ เข้าไปในรัสเซีย และมองเห็นโอกาส ว่าจะสร้างอิทธิพล ชักใย ครอบครอง ลอกคราบ และควบคุมรัสเซีย หลังสงครามเลิกอย่างไร โดยเขี่ยเยอรมันให้พ้นทางอย่างเบ็ดเสร็จ เขาลงทุนจ่ายเงิน เพื่อสร้างอำนาจทางการเมือง ทิ้งไว้ในรัสเซีย เขาคือนักล่าชาวอเมริกัน ที่กำลังคิดต่อสู้กับนักล่าชาวเยอรมัน ในดินแดนที่กำลังตกเป็นเหยื่อ และ Lenin และ Trotsky ก็คงมองความคิดของนักล่าสาระพัดชาติออกเช่นเดียวกัน และถือโอกาสใช้นักล่าสาระพัดชาติเป็นเหยื่อ เพื่อดำเนินการตามเป้าหมายของตนเองด้วย ในขณะเดียวกัน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 4 พวก Bolsheviks เอง ก็มองออก ว่า ตัวแทนของมหาอำนาจตะวันตก ที่ส่งมาประจำที่ Petrograd ไม่ได้ชอบและสนับสนุนพวกเขา โดยเฉพาะตัวแทนจากอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส อเมริกา มีตัวแทน คือ ฑูต Francis ซึ่งแสดงความไม่พอใจพวกปฏิวัติ อย่างเปิดเผยมาตลอด แถมให้คำแนะนำ ไปทางวอชิงตัน สวนทางกับพวกวอลสตรีทเสมอ ส่วนอังกฤษมีตัวแทน คือ Sir James Buchanan ซึ่งข่าวว่ายังผูกพันอยู่กับพวกราชวงศ์ซาร์ ที่ถูกปฏิวัติไปแล้ว แต่ภายหลัง ก็ดูเหมือนจะให้การสนับสนุนกับกลุ่ม Kerensky ซึ่งพวกอังกฤษคิดว่า จะทำให้รัสเซีย กลับเข้าร่วมทำสงครามสู้กับเยอรมันต่อไป ส่วนฝรั่งเศสมีตัวแทนคือฑูต Paleologue ซึ่งแสดงความต่อต้านพวก Bolsheviks อย่างเปิดเผย แต่พอถึงต้นปี 1918 ก็มีการส่งตัวแสดงใหม่ 3 คน มาเข้าฉาก และทั้ง 3 คน กลายเป็นตัวแทนตัวจริง ของมหาอำนาจตะวันตก และทำให้พวกตัวแทน ที่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการหมดท่า หลุดไปจากเส้นทางการติดต่อโดยสิ้นเชิง เขาฉีกบทเปลี่ยนตัวใหม่ เอาหมาป่ามาใช้แทน หมาบ้าน เพื่อเตรียมฉีกเนื้อรัสเซีย ก่อนหมาป่าพันธุ์เยอรมัน จะมาคาบไป Raymond Robins ซึ่งรับหน้าที่ดูแล กิจกรรมกาชาดอเมริกันต่อจาก William Boyce Thompson เมื่อต้นเดือนธันวาคม 1917 แต่ดูเหมือน Robins จะให้ความสนใจ และดำเนินกิจกรรมด้านเศรษฐกิจ การค้า และการเมือง ของรัสเซียมากกว่า กิจกรรมบันเทาทุกข์ให้คนร้สเซีย วันที่ 26 ธันวาคม 1917 Robins ส่งโทรเลขไปถึงหุ้นส่วน Morgan คือนาย Henry Davison ซึ่งทำหน้าที่ เป็นประธานคณะกิจกรรมกาชาดอเมริกันชั่วคราวว่า “โปรดเร่งให้ประธานาธิบดี เริ่มมีการติดต่อกับพวก Bolsheviks ด้วย” วันที่ 23 มกราคม 1918 Robins ส่งโทรเลขไปหา Thompson ที่ NewYork : “รัฐบาลโซเวียตมั่นคงขึ้นทุกวัน พวกเขามีอำนาจเพิ่มขึ้น หลังจากมีการรวมตัวกันได้ จากการปิดสภา แต่ผมไม่สามารถจะผลักดันได้แรงกว่านี้ ให้เห็นถึงความสำคัญของการรับรองรัฐบาล Bolsheviks ทาง Sisson เห็นด้วยกับข้อความนี้ ขอให้ท่านช่วยนำโทรเลขนี้แสดงกับ Creel ด้วย Thatcher และ Wardwell ก็เห็นพ้องด้วย” การพยายามผลักดันให้กับพวก Bolsheviks อย่างไม่หยุดยั้ง ของ Robins ทำให้เขาเป็นที่ชื่นชมในพวก Bolsheviks และมีอิทธิพลทางการเมืองพอสมควร แต่ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีรายงานส่งมาทางวอซิงตันว่า Robins เองก็เป็น Bolshevik ไปแล้ว เช่น โทรเลขที่มาจากโคเปนเฮเกน ลงวันที่ 3 ธันวาคม 1918 : ลับสุดยอด จากคำยืนยันของ Radek ที่ให้กับ George de Patpourrie กงสุลของออสเตรียฮังการี ประจำมอสโคว์บอกว่า Col. Robins ไอ้โจรร้ายของกาชาดอเมริกันที่มารัสเซีย ขณะนี้อยู่ที่มอสโคว์ เป็นตัวกลางในการเจรจา ระหว่างรัฐบาลโซเวียตโดยผ่านพวก Bolsheviks ให้กับพรรคพวกของตัวในอเมริกา มีผู้คนหลายฝ่ายเห็นว่า Col. Robins เองก็เป็นพวก Bolsheviks ในขณะที่บางฝ่ายก็บอกว่าไม่ใช่ แต่กิจกรรมที่เขากำลังดำเนินอยู่ในรัสเซีย มันตรงกันข้ามกับผลประโยชน์ ของรัฐบาลทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง เอกสารในแฟ้มสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค ที่คณะกรรมาธิการ Lusk Committee ยึดมาได้ในปี 1919 ยืนยันว่า ทั้ง Robins และภรรยาเขา มีกิจกรรมใกล้ชิดกับพวก Bolsheviks ในอเมริกา และมีส่วนร่วมในการตั้งสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษ ก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปรัสเซีย เพื่อประสานงานอย่างไม่เป็นทางการกับพวก Bolsheviks เช่นเดียวกัน โดยส่งนาย Bruce Lockhart สายลับ ที่พูดภาษารัสเซียได้คล่องแคล่ว Lockhart ก็ทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Robins เขาก็เหมือนเป็น Robins ก๊อบปี้อังกฤษนั่นแหละ แต่ต่างกับ Robins ตรงที่ Lockhart ต่อสายตรงถึงกระทรวงต่างประเทศอังกฤษได้ แม้ Lockhart จะไม่ได้ถูกส่งตัวไปโดยกระทรวงต่างประเทศอังกฤษ หรือรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ แต่ Lockhart ถูกเลือก และส่งไปปฏิบัติภาระกิจในรัสเซีย ตามคำสั่งของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George ก็เห็นชอบด้วย ดูเหมือนในที่สุดแล้ว รัฐบาลอังกฤษ จะเล่นเรื่องรัสเซียอย่างไม่กลัวคนนินทา ต่างกับรัฐบาลอเมริกา ที่ดูยังกล้าๆกลัวๆ Maxim Litvinov ซึ่งเป็นตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ของโซเวียตประจำอยู่ที่อังกฤษ ได้เขียนจดหมายแนะนำตัว Lockhart แก่ Trotsky ว่า “….แม้ว่าเขาเป็นสายลับของอังกฤษ แต่เป็นคนที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา และมีความเข้าใจในสถานะและเห็นใจพวกเรา….” เป้าหมายของ Milner น่าจะเป็นการหาลู่ทาง เพื่อทำธุรกิจในภาคใต้ของรัสเซียและส่วนอื่นๆ ไม่ต่างกับที่ Morgan แห่งนิวยอร์คกำลังทำอยู่ ส่วนรัฐบาลฝรั่งเศสก็ส่ง Jaques Sadoul ซึ่งเปิดเผยว่าเขาเป็นพวก Bolsheviks แถมเป็นเพื่อนเก่าแก่กับ Trotsky อีกด้วย สรุป รัฐบาลของทั้ง 3 ประเทศ ถอนอำนาจ ของตัวแทนทางการฑูตอย่างเป็นทางการของตนเอง ที่ส่งไปประจำที่ Petrograd และส่งตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ที่เอียงไปทางพวก Bolsheviks ให้ไปทำหน้าที่แทน และในที่สุด แม้ว่าจะมีผู้คัดค้านและตั้งคำถามมากมาย ประธานาธิบดี Wilson ก็ยอมเปิดหน้า ให้การรับรองรัฐบาล Bolsheviks การรับรองนี้ มาจากการกดดันของกลุ่มวอลสตรีท โดยเฉพาะ มาจาก American International Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่กลุ่ม Morgan มีอำนาจควบคุม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 2 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 227 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 1

    William Boyce Thompson คงเป็นชื่อที่ยังไม่มีใครรู้จักในประวัติศาสตร์ ก่อนศตวรรษที่ 20 แต่ Thompson เป็นผู้ที่รับบทสำคัญยิ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติพวก Bolsheviks
    แน่นอน ที่สุดถ้า Thompson ไม่ไปอยู่ที่รัสเซียในปี 1917 ประวัติศาสตร์หลังจากนั้นอาจจะเปลี่ยนไปคนละเรื่อง และถ้าไม่มีเรื่องสนับสนุนทางการเงิน โดยเฉพาะเรื่องการเมือง และการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้กับ Trotsky และ Lenin โดย Thompson และ Robins กับพรรคพวกในนิวยอร์คแล้ว พวก Bolsheviks อาจจะเหี่ยวแห้งเฉาตายไป และรัสเซียจะออกหัวหรือก้อยไม่รู้ได้ แต่การเมืองโลก อาจจะเป็นฉากอื่น ต่างจากที่เราเห็นกันอยู่นี้อย่างสิ้นเชิง

    ใครคือ William Boyce Thompson

    Thompson คือ นักปั้นหุ้น หรือ ปั่นหุ้นเหมืองแร่ มือดีอันดับหนึ่งในธุรกิจสาขานี้ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาเป็นคนดูแลหุ้นให้กับมหาเศรษฐีตระกูล Guggenheim เจ้าของเหมืองทองแดง ด้วยความสามารถระดับเซียน ในการระดมทุนในตลาดหุ้นประเภทความเสี่ยงสูง ทำให้ Thompson ร่ำรวยขึ้นมา และได้เป็นกรรมการในหลายบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจเหมืองแร่ต่างๆ โดยเฉพาะแร่ทองแดง ที่เป็นแร่สำคัญในการนำมาใช้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ นอกจากนี้ เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคาร Chase National Bank

    และ เป็น Albert H. Wiggin ประธาน Chase Bank ที่เป็นคนดันให้ Thompson เข้าไปมีส่วนในการจัดตั้งระบบธนาคารกลาง Federal Reserve System ของอเมริกา และในปี 1913 Thompson เป็นกรรมการที่ทำงานเต็มเวลา (full time) คนแรกของ Federal Reserve Bank of New York ธนาคารกลางที่สำคัญที่สุดในระบบFederal Reserve System
    เขาไม่ใช่กระจอกไม่มีชื่ออีกต่อไป!
    ปี 1917 William Boyce Thompson เปลี่ยนเป็นอินทรีย์และเริ่มสยายปีกไปทางด้านการเงินและการเมือง เขาแสดงให้เห็นถึงสายตายาวไกล และความคล่องตัวจัดของเขา ด้วยการสนับสนุน Karensky ในการปฎิวัติครั้งแรกของรัสเซีย ในต้นปี 1917 และเปลี่ยนเข็มทิศ หมุนกลับมาสนับสนุน Bolsheviks ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเส้นทางของ Bolsheviks น่าจะดีกว่า หรือว่า มันเป็นการวางแผนไว้เป็น 2 ขั้นตอน ตั้งแต่แรก

    ก่อนจะออกเดินทางกลับจากรัสเซียในต้นเดือนธันวาคม 1917 Thompson ส่งมอบภาระกิจกาชาดเพื่อรัสเซียให้ผู้ช่วยเขา Raymond Robins ให้เป็นคนดูแลต่อ

    Thompson ได้เตรียมการตั้งแต่ปลายปี 1917 ที่จะเดินทางออกจากPetrograd เพื่อปั่นหุ้นตัวสำคัญ “Bolsheviks Revolution” ไปเสนอขายกับรัฐบาลแถบยุโรป และอเมริกาเอง

    ก่อนเดินทาง เขาโทรเลขไปหา Thomas W. Lamont ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ Morgan และกำลังอยู่ที่ปารีส กับ Colonel E.M. House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson

    Lamont ได้บันทึกข้อความเกี่ยวกับโทรเลขของ Thompson ไว้ในชีวประวัติของเขา

    “ขณะ ที่คณะของ House กำลังจะเสร็จสิ้นการเจรจาตามภาระกิจของเขาที่ Paris ในเดือนธันวาคมปี 1917 ผมได้รับโทรเลขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จากเพื่อนนักเรียนเก่า และเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกัน William Boyce Thompson ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ Petrograd กำลังดูแลเรื่องภาระกิจกาชาดอเมริกันอยู่ที่นั่น”

    Lamont รีบเดินทางไปลอนดอน เพื่อพบกับ Thompson ซึ่งเดินทางมาจาก Petrograd เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม โดยผ่าน Norway และมาถึงลอนดอนในวันที่ 10 ธันวาคม Thompson และ Lamont กำลังต้องทำเรื่องที่สำคัญที่สุดในลอนดอน คือ กล่อมกลุ่มรัฐมนตรีกิจการสงคราม ของอังกฤษ British War Cabinet ซึ่งขณะนั้น ลงความเห็นกันไปแล้วว่า ไม่เอาพวก Bolsheviks ให้เปลี่ยนใจมาเชื่อว่า พวก Bolsheviksนั้น ได้ควบคุมรัสเซียสำเร็จแล้ว และเป็นพวกที่อังกฤษต้องเลิกต่อต้าน และเปลี่ยนมาให้การสนับสนุนแก่ Lenin และ Trotsky แทน จะเป็นการดีที่สุด
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 2

    ใน ช่วงปลายปี 1917 ขณะที่ Lamont และ Thompson เดินทางมาถึงลอนดอน เพื่อพบนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ชึ่งดูเหมือนกำลังอ่อนปวกเปียกอยู่ในมือของนักค้าอาวุธผู้ทรงอิทธิพล Sir Basil Zaharoff เป็นข่าวลือทั่วไปในยุโรปว่า ที่ Zaharroff กุม Lloyd George อยู่หมัด เพราะ Zaharoff เป็นคนหาสาวมาบำเรอให้ และ บังเอิญสาวที่ Lloyd Geroge ติดกับ ก็คือ เมียของ Zaharoff นั่นเอง อืม…เกมแบบนี้ เล่นกันมาตลอด แล้วก็มีคนติดกับตลอด

    Zaharoff ที่ผู้คนเรียกเขาว่า “the Merchant of Death” เป็นนักค้าอาวุธที่รอบจัด เขาค้าขายกับทุกคนที่อยากซื้ออาวุธ จะเป็นประเทศใด ฝ่ายไหน เขาก็ขายให้ทั้งนั้น และก็ร่ำรวยจากการทำธุรกิจเช่นนี้ และจากการที่ค้าขายแบบนี้ และน่าจะรวมทั้ง การส่งสินค้าที่ไม่ใช่อาวุธด้วย ทำให้ Zaharoff มีหูตาที่กว้างขวาง ทำให้ลูกค้าของเขาต่างอยากได้ข ่าววงใน ลับสุดยอดจาก Zaharoff ทั้งสิ้น มีหลายครั้ง ที่ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา Lloyd George นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และ Georges Clemenceau นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส ต้องไปล้อมวงประชุมกัน อยู่ที่บ้านของZaharoff ที่กรุงปารีส ถึงขนาดมีข่าวเล่ากันว่า ก่อนจะมีการเคลื่อนพลไปบุกที่ไหน ส่วนใหญ่ Zaharoff ก็จะถูกเชิญมาหารืออยู่เสมอ

    หน่วย ข่าวกรองของอังกฤษ บันทึกไว้ว่า “ภายหลัง มีการพบเอกสารที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเอง เอาความลับไปบอก Sir Basil Zaharoff ซึ่งนายกรัฐมนตรี Lloyd George ก็รู้เรื่องนี้ด้วย”
    นอกจากอ่อนอยู่ในมือของ Zaharoff แล้ว นายกรัฐมนตรี Lloyd George ยังมีคนดันหลังชื่อ Lord Milner อีกด้วย เป็น Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ที่แม้ลึกลับ แต่อำนาจสูงเทียมฟ้า เป็นต้นกำเนิดของ think tank ถังความคิดคู่แฝดที่ทรงอิทธิพล Royal Institute of International Affairs (RIIA) ของอังกฤษ และ Council on Foreign Relations (CFR) ของอเมริกา คงพอจำกันได้

    นายก รัฐมนตรี Lloyd George ได้ทำรายงานต่อ War Cabinet ว่า ได้สนทนากับนาย Thompson มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย และได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับรัสเซีย แตกต่างไปจากที่เราได้ยินกัน นาย Thompson เชื่อว่า พวกปฏิวัติ Bolsheviks ทำงานสำเร็จได้ผลดี และคงจะปกครองรัสเซียไปอีกนาน แต่พวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่ได้แสดงความชื่นชม หรือเห็นพ้องกับฝ่ายปฏิวัติเลย และผู้นำการปฏิวัติ Trotsky และ Lenin ไม่ได้ถูกจ้างโดยฝ่ายเยอรมัน และ Lenin ค่อนข้างจะมีลักษณะไปในทางเป็นครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพเสียด้วยซ้ำ

    นาย Thompson ยังแนะนำอีกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะมีการออกความเห็น ให้การสนับสนุนแก่พวกปฏิวัติบ้าง และควรมีการแสดงความเห็นนี้ ที่ Petrograd เองด้วย ขณะเดียวกัน ก็ควรมีการพิจารณาเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ ของฝ่ายสัมพันธมิตรที่อยู่ที่ Petrograd ที่ไม่เหมาะสมเสียด้วย และฝ่ายสัมพันธมิตรควรจะเข้าใจว่า ขณะนี้รัสเซียไม่ได้มาร่วมอยู่ ในสงครามแล้ว ไม่ว่าจะโดยกองทัพ หรือประชาชน และพวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะเลือกให้ดีว่า เราต้องการรัสเซีย ที่เป็นเพื่อน หรือรัสเซีย ที่เป็นกลาง แบบไม่เป็นมิตร

    หลังจากรับทราบรายงานการสนทนาดังกล่าว ของนายกรัฐมนตรี Lloyd George พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว War Cabinet คณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ก็เห็นพ้องที่จะเดินตามคำแนะนำของ Thompson และสนับสนุนพวก Bolsheviks

    นาย William Boyce Thompson สมกับเป็นเซียนปั่นหุ้นความเสี่ยงสูงจริงๆ

    Lord Milner ซึ่งสั่งให้ นาย Bruce Lockhart อดีตกงสุลอังกฤษ ที่เคยทำงานอยู่ในรัสเซีย ยืนคอยฟังข่าวอยู่หน้าห้องประชุม เพื่อเตรียมพร้อม ที่จะรายงานและสรุปการประชุมส่งไปให้ พรรคพวกทางรัสเซียดำเนินการอย่างไม่เป็นทางการ กับพวกโซเวียตต่อไป
    ต้องถือว่าการเสนอขายหุ้น Bolsheviks ของ นายThompson ประสบความสำเร็จอย่างสูง สมกับการเป็นนักปั่นมือเซียน แมงเม่าระดับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และคณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม อ้าปากหวอ ซื้อ “หุ้น Bolsheviks” กันหมดหน้าตัก

    หลัง จาก Thompson เดินทางกลับไปแล้ว คณะรัฐมนตรีกิจการสงครามของอังกฤษ ก็ได้รับรายงานจากอีกสายข่าว ซึ่งก็อ้างว่า น่าเชื่อถือมากกว่า รายงานนั้นได้บรรยายถึงสรรพคุณ Bolsheviks ตรงกันข้ามกับที่นาย Thompson มาออกหนังสือชี้ชวนไว้ แต่ดูเหมือนมันจะมาสายไป ลงทุนกันจนหมดหน้าตักไปแล้ว รายงานดังกล่าวจึงถูกวางไว้บนโต๊ะ ให้ฝุ่นจับไปแค่นั้นเอง

    รายงาน นั้น มาถึงโต๊ะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ในเดือนเมษายน 1918 จาก General Jan Smuts ว่าเขาได้สนทนากับ General Nieffel หัวหน้ากิจการกองทัพฝรั่งเศส ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย ได้ความว่า :

    “Trotsky…. เป็นคนเลวอย่างสมบูรณ์ แม้จะไม่ใช่พวกชอบเยอรมัน แต่เป็นคนขี้โอ่และหลงตัวเอง และการปฏิวัติของตน เขาไม่น่าไว้วางใจ ไม่ว่าในทางได เขามีอำนาจโดยการมีอิทธิพลครอบงำ เหนือ Lockhart, Robins และตัวแทนของฝรั่งเศส…….”

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    01 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 1 William Boyce Thompson คงเป็นชื่อที่ยังไม่มีใครรู้จักในประวัติศาสตร์ ก่อนศตวรรษที่ 20 แต่ Thompson เป็นผู้ที่รับบทสำคัญยิ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติพวก Bolsheviks แน่นอน ที่สุดถ้า Thompson ไม่ไปอยู่ที่รัสเซียในปี 1917 ประวัติศาสตร์หลังจากนั้นอาจจะเปลี่ยนไปคนละเรื่อง และถ้าไม่มีเรื่องสนับสนุนทางการเงิน โดยเฉพาะเรื่องการเมือง และการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้กับ Trotsky และ Lenin โดย Thompson และ Robins กับพรรคพวกในนิวยอร์คแล้ว พวก Bolsheviks อาจจะเหี่ยวแห้งเฉาตายไป และรัสเซียจะออกหัวหรือก้อยไม่รู้ได้ แต่การเมืองโลก อาจจะเป็นฉากอื่น ต่างจากที่เราเห็นกันอยู่นี้อย่างสิ้นเชิง ใครคือ William Boyce Thompson Thompson คือ นักปั้นหุ้น หรือ ปั่นหุ้นเหมืองแร่ มือดีอันดับหนึ่งในธุรกิจสาขานี้ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาเป็นคนดูแลหุ้นให้กับมหาเศรษฐีตระกูล Guggenheim เจ้าของเหมืองทองแดง ด้วยความสามารถระดับเซียน ในการระดมทุนในตลาดหุ้นประเภทความเสี่ยงสูง ทำให้ Thompson ร่ำรวยขึ้นมา และได้เป็นกรรมการในหลายบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจเหมืองแร่ต่างๆ โดยเฉพาะแร่ทองแดง ที่เป็นแร่สำคัญในการนำมาใช้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ นอกจากนี้ เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคาร Chase National Bank และ เป็น Albert H. Wiggin ประธาน Chase Bank ที่เป็นคนดันให้ Thompson เข้าไปมีส่วนในการจัดตั้งระบบธนาคารกลาง Federal Reserve System ของอเมริกา และในปี 1913 Thompson เป็นกรรมการที่ทำงานเต็มเวลา (full time) คนแรกของ Federal Reserve Bank of New York ธนาคารกลางที่สำคัญที่สุดในระบบFederal Reserve System เขาไม่ใช่กระจอกไม่มีชื่ออีกต่อไป! ปี 1917 William Boyce Thompson เปลี่ยนเป็นอินทรีย์และเริ่มสยายปีกไปทางด้านการเงินและการเมือง เขาแสดงให้เห็นถึงสายตายาวไกล และความคล่องตัวจัดของเขา ด้วยการสนับสนุน Karensky ในการปฎิวัติครั้งแรกของรัสเซีย ในต้นปี 1917 และเปลี่ยนเข็มทิศ หมุนกลับมาสนับสนุน Bolsheviks ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเส้นทางของ Bolsheviks น่าจะดีกว่า หรือว่า มันเป็นการวางแผนไว้เป็น 2 ขั้นตอน ตั้งแต่แรก ก่อนจะออกเดินทางกลับจากรัสเซียในต้นเดือนธันวาคม 1917 Thompson ส่งมอบภาระกิจกาชาดเพื่อรัสเซียให้ผู้ช่วยเขา Raymond Robins ให้เป็นคนดูแลต่อ Thompson ได้เตรียมการตั้งแต่ปลายปี 1917 ที่จะเดินทางออกจากPetrograd เพื่อปั่นหุ้นตัวสำคัญ “Bolsheviks Revolution” ไปเสนอขายกับรัฐบาลแถบยุโรป และอเมริกาเอง ก่อนเดินทาง เขาโทรเลขไปหา Thomas W. Lamont ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ Morgan และกำลังอยู่ที่ปารีส กับ Colonel E.M. House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson Lamont ได้บันทึกข้อความเกี่ยวกับโทรเลขของ Thompson ไว้ในชีวประวัติของเขา “ขณะ ที่คณะของ House กำลังจะเสร็จสิ้นการเจรจาตามภาระกิจของเขาที่ Paris ในเดือนธันวาคมปี 1917 ผมได้รับโทรเลขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จากเพื่อนนักเรียนเก่า และเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกัน William Boyce Thompson ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ Petrograd กำลังดูแลเรื่องภาระกิจกาชาดอเมริกันอยู่ที่นั่น” Lamont รีบเดินทางไปลอนดอน เพื่อพบกับ Thompson ซึ่งเดินทางมาจาก Petrograd เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม โดยผ่าน Norway และมาถึงลอนดอนในวันที่ 10 ธันวาคม Thompson และ Lamont กำลังต้องทำเรื่องที่สำคัญที่สุดในลอนดอน คือ กล่อมกลุ่มรัฐมนตรีกิจการสงคราม ของอังกฤษ British War Cabinet ซึ่งขณะนั้น ลงความเห็นกันไปแล้วว่า ไม่เอาพวก Bolsheviks ให้เปลี่ยนใจมาเชื่อว่า พวก Bolsheviksนั้น ได้ควบคุมรัสเซียสำเร็จแล้ว และเป็นพวกที่อังกฤษต้องเลิกต่อต้าน และเปลี่ยนมาให้การสนับสนุนแก่ Lenin และ Trotsky แทน จะเป็นการดีที่สุด นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 2 ใน ช่วงปลายปี 1917 ขณะที่ Lamont และ Thompson เดินทางมาถึงลอนดอน เพื่อพบนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ชึ่งดูเหมือนกำลังอ่อนปวกเปียกอยู่ในมือของนักค้าอาวุธผู้ทรงอิทธิพล Sir Basil Zaharoff เป็นข่าวลือทั่วไปในยุโรปว่า ที่ Zaharroff กุม Lloyd George อยู่หมัด เพราะ Zaharoff เป็นคนหาสาวมาบำเรอให้ และ บังเอิญสาวที่ Lloyd Geroge ติดกับ ก็คือ เมียของ Zaharoff นั่นเอง อืม…เกมแบบนี้ เล่นกันมาตลอด แล้วก็มีคนติดกับตลอด Zaharoff ที่ผู้คนเรียกเขาว่า “the Merchant of Death” เป็นนักค้าอาวุธที่รอบจัด เขาค้าขายกับทุกคนที่อยากซื้ออาวุธ จะเป็นประเทศใด ฝ่ายไหน เขาก็ขายให้ทั้งนั้น และก็ร่ำรวยจากการทำธุรกิจเช่นนี้ และจากการที่ค้าขายแบบนี้ และน่าจะรวมทั้ง การส่งสินค้าที่ไม่ใช่อาวุธด้วย ทำให้ Zaharoff มีหูตาที่กว้างขวาง ทำให้ลูกค้าของเขาต่างอยากได้ข ่าววงใน ลับสุดยอดจาก Zaharoff ทั้งสิ้น มีหลายครั้ง ที่ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา Lloyd George นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และ Georges Clemenceau นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส ต้องไปล้อมวงประชุมกัน อยู่ที่บ้านของZaharoff ที่กรุงปารีส ถึงขนาดมีข่าวเล่ากันว่า ก่อนจะมีการเคลื่อนพลไปบุกที่ไหน ส่วนใหญ่ Zaharoff ก็จะถูกเชิญมาหารืออยู่เสมอ หน่วย ข่าวกรองของอังกฤษ บันทึกไว้ว่า “ภายหลัง มีการพบเอกสารที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเอง เอาความลับไปบอก Sir Basil Zaharoff ซึ่งนายกรัฐมนตรี Lloyd George ก็รู้เรื่องนี้ด้วย” นอกจากอ่อนอยู่ในมือของ Zaharoff แล้ว นายกรัฐมนตรี Lloyd George ยังมีคนดันหลังชื่อ Lord Milner อีกด้วย เป็น Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ที่แม้ลึกลับ แต่อำนาจสูงเทียมฟ้า เป็นต้นกำเนิดของ think tank ถังความคิดคู่แฝดที่ทรงอิทธิพล Royal Institute of International Affairs (RIIA) ของอังกฤษ และ Council on Foreign Relations (CFR) ของอเมริกา คงพอจำกันได้ นายก รัฐมนตรี Lloyd George ได้ทำรายงานต่อ War Cabinet ว่า ได้สนทนากับนาย Thompson มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย และได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับรัสเซีย แตกต่างไปจากที่เราได้ยินกัน นาย Thompson เชื่อว่า พวกปฏิวัติ Bolsheviks ทำงานสำเร็จได้ผลดี และคงจะปกครองรัสเซียไปอีกนาน แต่พวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่ได้แสดงความชื่นชม หรือเห็นพ้องกับฝ่ายปฏิวัติเลย และผู้นำการปฏิวัติ Trotsky และ Lenin ไม่ได้ถูกจ้างโดยฝ่ายเยอรมัน และ Lenin ค่อนข้างจะมีลักษณะไปในทางเป็นครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพเสียด้วยซ้ำ นาย Thompson ยังแนะนำอีกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะมีการออกความเห็น ให้การสนับสนุนแก่พวกปฏิวัติบ้าง และควรมีการแสดงความเห็นนี้ ที่ Petrograd เองด้วย ขณะเดียวกัน ก็ควรมีการพิจารณาเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ ของฝ่ายสัมพันธมิตรที่อยู่ที่ Petrograd ที่ไม่เหมาะสมเสียด้วย และฝ่ายสัมพันธมิตรควรจะเข้าใจว่า ขณะนี้รัสเซียไม่ได้มาร่วมอยู่ ในสงครามแล้ว ไม่ว่าจะโดยกองทัพ หรือประชาชน และพวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะเลือกให้ดีว่า เราต้องการรัสเซีย ที่เป็นเพื่อน หรือรัสเซีย ที่เป็นกลาง แบบไม่เป็นมิตร หลังจากรับทราบรายงานการสนทนาดังกล่าว ของนายกรัฐมนตรี Lloyd George พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว War Cabinet คณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ก็เห็นพ้องที่จะเดินตามคำแนะนำของ Thompson และสนับสนุนพวก Bolsheviks นาย William Boyce Thompson สมกับเป็นเซียนปั่นหุ้นความเสี่ยงสูงจริงๆ Lord Milner ซึ่งสั่งให้ นาย Bruce Lockhart อดีตกงสุลอังกฤษ ที่เคยทำงานอยู่ในรัสเซีย ยืนคอยฟังข่าวอยู่หน้าห้องประชุม เพื่อเตรียมพร้อม ที่จะรายงานและสรุปการประชุมส่งไปให้ พรรคพวกทางรัสเซียดำเนินการอย่างไม่เป็นทางการ กับพวกโซเวียตต่อไป ต้องถือว่าการเสนอขายหุ้น Bolsheviks ของ นายThompson ประสบความสำเร็จอย่างสูง สมกับการเป็นนักปั่นมือเซียน แมงเม่าระดับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และคณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม อ้าปากหวอ ซื้อ “หุ้น Bolsheviks” กันหมดหน้าตัก หลัง จาก Thompson เดินทางกลับไปแล้ว คณะรัฐมนตรีกิจการสงครามของอังกฤษ ก็ได้รับรายงานจากอีกสายข่าว ซึ่งก็อ้างว่า น่าเชื่อถือมากกว่า รายงานนั้นได้บรรยายถึงสรรพคุณ Bolsheviks ตรงกันข้ามกับที่นาย Thompson มาออกหนังสือชี้ชวนไว้ แต่ดูเหมือนมันจะมาสายไป ลงทุนกันจนหมดหน้าตักไปแล้ว รายงานดังกล่าวจึงถูกวางไว้บนโต๊ะ ให้ฝุ่นจับไปแค่นั้นเอง รายงาน นั้น มาถึงโต๊ะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ในเดือนเมษายน 1918 จาก General Jan Smuts ว่าเขาได้สนทนากับ General Nieffel หัวหน้ากิจการกองทัพฝรั่งเศส ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย ได้ความว่า : “Trotsky…. เป็นคนเลวอย่างสมบูรณ์ แม้จะไม่ใช่พวกชอบเยอรมัน แต่เป็นคนขี้โอ่และหลงตัวเอง และการปฏิวัติของตน เขาไม่น่าไว้วางใจ ไม่ว่าในทางได เขามีอำนาจโดยการมีอิทธิพลครอบงำ เหนือ Lockhart, Robins และตัวแทนของฝรั่งเศส…….” สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 01 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 250 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – จัดฉากกาชาด 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด”

    ตอน 1

    ก่อน ค.ศ.1915 ผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดของสำนักงานใหญ่กาชาดอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่กรุงวอซิงตันคือ คุณนาย Mabel Boardman ซึ่งเป็นผู้ดูแลกิจการต่างๆของกาชาดอเมริกา รวมทั้งการจัดหาทุน ซึ่งคุณนายไปขอบริจาคมาอีกต่อ จากบรรดามหาเศรษฐีต่างๆเช่น J.P. Morgan คุณนาย E.H. Harriman คุณนาย Russell Sage เป็นต้น ในงานจัดหาทุนให้กาชาดในปี ค.ศ.1910 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น หาเงินทุนได้ถึง 2 ล้านเหรียญ เงินทุนนี้มาจากการบริจาคของบรรดามหาเศรษฐี ที่อยู่ในนิวยอร์คเกือบทั้งหมด J.P. Morgan เองบริจาค 1 แสนเหรียญ เศรษฐีอีก 7 คน บริจาครวมกัน 3 แสนเหรียญ มีรายเดียวที่บริจาค 1 หมื่นเหรียญ คือนาย William J. Boardman พ่อของคุณนาย Mabel นั่นเอง

    ส่วนผู้ที่เป็นประธานจัดงานหาทุนให้กาชาดในปี 1910 นั้นคือ มหาเศรษฐีใหญ่ นาย Henry P. Davison หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Morgan

    มันคงไม่ใช่เป็นการหาทุนธรรมดา พวกเศรษฐีนักบริจาค หรือจริงๆ ก็คือ พวกวอลสตรีทนั่นแหละ บอกว่า เพื่อให้ทุนนี้ใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ขอให้กาชาดจัดตั้งคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม the War Council of the American Red Cross

    เอ๊ะ สงครามอะไร ตอนนั้นยังไม่ได้ระเบิดกันสักตูมเลย แต่พวกนักการเงินเตรียมพร้อมสำหรับการเกิดสงครามแล้ว

    นักการเงินผู้บริจาค ไม่ได้พูดเล่น พวกเขาจัดส่ง นาย Henry P. Davison มาให้เป็นประธานคณะกรรมการกาชาดนี้ด้วย โดยบอกว่า มาจากการแนะนำของนาย Cleveland H. Dodge ผู้สนับสนุนเงินทุนหนุนหลังรายใหญ่คนหนึ่ง ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson
    อืม… ใช้แม้กระทั่งกาชาด !
    ส่วนรายชื่อคณะผู้บริหาร ของกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ประกอบไปด้วยรายชื่อของตัวแทนนักธุรกิจใหญ่ๆทางด้านการเงิน และการอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น Anaconda Copper Company, American Tobacco Company, Guarantee Trust Company และตัวแทนของกลุ่ม Rockefeller เป็นต้น เป็นรายชื่อผู้บริหารกาชาด ที่พิลึกที่สุด

    แล้วในการประชุม ของคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ซึ่งประชุมกันที่สำนักงานใหญ่ข องกาชาด ที่กรุงวอซิงตัน เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 1917 ก็มีการหารือกันว่า กาชาดควรเดินทางไปรัสเซีย ตามข้อเสนอของนาย Alexander Ledge จากบริษัท International Harvester Company (ซึ่งภายหลังไปตั้งกิจการใหญ่อยู่ในรัสเซีย) ซึ่งบอกว่า จะสนับสนุนเงินทุน 2 ล้านเหรียญ สำหรับกิจกรรมรัสเซีย

    หลังจากนั้น ที่ประชุมก็ลงมติ ให้กาชาดพิเศษนี้ไปช่วยรัสเซีย ภายใต้การนำของนาย William Boyce Thompson กรรมการของ Federal Reserve Bank of New York ซึ่งเสนอว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับกิจกรรมรัสเซีย โปรดจำชื่อนายคนนี้ไว้ให้ดี เขารับบทสำคัญต่อไป

    เดือนสิงหาคม 1917 กาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย ก็ออกเดินทางเพื่อไปรัสเซีย มันคงเป็นกิจกรรมกาชาด ที่แปลกประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์กิจกรรมกาชาด หรือมันมีแบบนี้อีกที่เรายังไม่รู้

    คณะกาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย มีจำนวน 24 คน มียศทหาร ตั้งแต่นายร้อยถึงนายพัน มีผู้ช่วย 3 คน มีช่างถ่ายภาพและช่างถ่ายภาพยนต์ 2 คน มีล่าม 2 คน มีหมอเพียง 5 คน ที่เหลือเป็นนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ และทนายความ Dr. Frank Billing ศาสตราจารย์ด้านอายุรเวชจากมหาวิทยาลัย Chicago ถูกหลอกมาทำหน้าที่ เป็นหัวหน้าคณะกาชาดเพื่อรัสเซีย แต่หัวหน้าคณะตัวจริง คือ นาย William Boyce Thompson ซึ่งพ่วงเอาทั้งเลขา และผู้ช่วยคนสำคัญของเขา Raymond Robins ไปด้วย

    Alan Wardwell ทำหน้าที่เป็นเลขาของหัวหน้าคณะกาชาด เขาเป็นทนายของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell เขาเป็นลูกชายของ William Thomas Wardwell เหรัญญิกตลอดกาลของ Standard Oil of New Jersey และ Standard Oil of New York ของตระกูลเจ้าพ่อ Rockefeller
    นอกจากนี้ Alan ยังเป็นกรรมการทั้ง Greenwich Savings และ Bank of New York และ Georgian Manganese Company ร่วมกับ W. Averell Harriman ซึ่งเป็นกรรมการของ Guaranty Trust ของพวก Morgan

    ในปี 1917 Alan Wardwell ได้เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell ซึ่งต่อมารวมกับสำนักงานกฏหมาย Davis, Polk, Wardwell, Gradner & Read (Frank L. Polk เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงต่างประเทศของอเมริกา ช่วงการปฏิวัติ Bolsheviks)

    คณะกรรมาธิการของวุฒิสมาชิก Overman ได้เคยตั้งข้อสังเกตว่า Wardwell เอนเอียงไปทางเห็นพ้องกับพวกโซเวียต และในปี ค.ศ.1920 กว่าๆ Wardwell ก็มีส่วนอย่างมากในการจัดตั้งหอการค้ารัสเซียอเมริกัน เพื่อสนับสนุนการค้ากับโซเวียต

    เหรัญญิกของคณะกาชาดอเมริกาเพื่อกิจการสงครามคือ James W. Andrews ซึ่งเป็นผู้สอบบัญชีของ Liggett & Myers Tobacco Company

    Robert Barr สมาชิกที่ร่วมเดินทางอีกคนหนึ่ง เป็นรองประธานกรรมการของ Chase Securities Company (สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 120 Broadway) และเป็นกรรมการของ Chase National Bank

    ผู้ที่ดูแลด้านประชาสัมพันธ์ของคณะกาชาด คือ William Cochran

    Raymond Robins ซึ่งเป็นเลขานุการของ William Boyce Thompson เป็นผู้ชำนาญกิจการเหมืองแร่ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคณะกาชาดอเมริกันกิจการสงคราม และระบุอาชีพตนเองว่า เป็นนักเศรษฐศาสตร์สังคม

    นอกจากนี้ คณะกาชาดนี้ ยังมีสมาชิกจากบริษัท Swift & Company of Union Stockyards Chicago ร่วมไปด้วย 2 คน เป็น Swift ที่มีข้อน่าสงสัยว่า เกี่ยวข้องกับพวกจารกรรมชาวเยอรมันในช่วงสงครามโลกนั่นแหละ ผู้ที่ร่วมเดินทางกับคณะ คือ Harold H. Swift เขาไปในฐานะผู้ช่วยหัวหน้าคณะกาชาด แต่ตัวเขามีตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยประธานของ Swift & Company ส่วนอีกคน คือ William G. Nicholson

    ยังมีอีก 2 คนที่มาร่วมกับคณะ เมื่อไปถึง Petrogradแล้ว คือ Frederick M. Corse ตัวแทนของ National City Bank ใน Petrograd และ Herbert A. Magnuson ซึ่งได้รับการแนะนำมาเป็นพิเศษ จาก John W. Finch ตัวแทนที่ไม่เปิดเผยของ William B. Thompson ในเมืองจีน
    อีกคนที่ร่วมคณะไปด้วยคือ นาย Malcolm Pirnie ซึ่งไปในฐานะวิศวกร ของสำนักงานวิศวกรที่ปรึกษา Hazun, Whipple & Fuller

    นอกจากนี้ คณะกาชาดอเมริกันเพื่อกิจกรรมสงคราม หรือที่เราน่าจะเรียกว่าคณะกาชาดวอลสตรีทเพื่อกิจกรรมรัสเซีย มากกว่า! ยังจ้างล่ามรัสเซีย-อังกฤษ ไปด้วยอีก 3 คน คือ Captain Ilovaisky ซึ่งเป็นพวก Bolsheviks รัสเซีย, นาย Boris Reinstein ซึ่งเป็นชาวรัสเซียอเมริกัน และต่อมาเป็นเลขานุการของ Lenin และเป็นหัวหน้าของหน่วยโฆษณาชวนเชื่อด้านต่างประเทศของพวก ปฏิวัติ และนาย Alexander Gumberg (หรือ Berg ซึ่งมีชื่อจริงว่า Michael Guzenberg) ซึ่งเป็นน้องชายของ Zorin รัฐมนตรีคนหนึ่งของพวก Bolsheviks

    Gumberg นั้น เป็นตัวแทน Bolsheviks ใน Scandinavia และต่อมาเป็นที่ปรึกษาของ Floyd Odlum ของ Atlas Corporation ในอเมริกา และเป็นที่ปรึกษาของ Reeve Schley รองประธานของ Chase Bank

    บรรยายรายชื่อ และสรรพคุณของแต่ละคน ในคณะกาชาดอเมริกันที่ไปรัสเซียเสียยาวเหยียด เพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพชัดขึ้น ถึงความเกี่ยวข้อง พันกัน ระหว่างธุรกิจอเมริกัน กับการปฏิวัติ Bolsheviks

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด”

    ตอน 2

    ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน กาชาดอเมริกันตัวจริง ก็ส่งคณะแพทย์ไปช่วยที่โรมาเนีย ซึ่งกำลังมีการต่อสู้กับฝ่ายเยอรมัน มี Henry W Anderson เป็นหัวหน้า แต่กิจกรรมของกาชาดอเมริกันในรัสเซีย กับกาชาดอเมริกันในโรมาเนีย ต่างกันอย่างกับหนังคนละม้วน และทั้ง 2 คณะ ไม่มีการเกี่ยวข้องประสานงาน หรือช่วยเหลือกัน ไม่ว่าในด้านการแพทย์หรือเงินทุน
    คณะกาชาดอเมริกันไปโรมาเนีย ในเดือนกรกฏาคม 1917 ก่อนกาชาดอเมริกันไปรัสเซียประมาณ 1 เดือน กาชาดอเมริกันไปโรมาเนียไปกัน 30 คน มีหมอไปด้วย 16 คน พยาบาลและผู้ช่วย 10 คน ทนายและนักธุรกิจ 4 คน ขณะที่สายไปรัสเซีย มีหมอและศัลยแพทย์ 7 คน พยาบาลและผู้ช่วย 7 คน ทนายและนักธุรกิจ 15 คน

    วันที่ 27 กันยายน 1917 Vopicka สาธุคุณอเมริกันที่อยู่ในโรมาเนีย โทรเลขแจ้งฑูต Francis ทูตอเมริกัน ที่ประจำอยู่ Petrograd เรื่องการขาดเงินทุนสนับสนุน และสถานการณ์อันแลวร้ายที่โรมาเนีย แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ

    ตุลาคม 1917 คราวนี้ Vopicka โทรเลขไปหา Davison ประธานกาชาดในนิวยอร์ค แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับเช่นกัน ในที่สุด Henry W Anderson ได้ขอให้ฑูต Francis ติดต่อแทนเขา ไปทางลอนดอน ขอให้การบริจาคเพื่อกาชาดอเมริกา แยกบัญชีของโรมาเนีย ออกจากบัญชีของรัสเซียที่ Thompson ดูแลอยู่

    ตกลง กาชาดคณะของ Thompson ไปทำอะไรที่รัสเซีย

    มีข่าวว่า Thompson อยู่ที่ Petrograd รัสเซีย อย่างหรูหรา อุดมสมบูรณ์ และดูเหมือนจะสนใจกิจกรรมอยู่ 2 เรื่อง ช่วงที่ Thompson ไปถึง Petrograd คณะปฎิวัติ ของ Kerensky ยังบริหารอยู่ กิจกรรมของ Thompson ที่รัสเซีย จึงทำทุกอย่าง ที่เป็นการสนับสนุนรัฐบาลใหม่ของรัสเซีย รวมทั้งพยายามจัดหาเงินกู้ Russian Liberty Loan

    เมื่อ Thompson มาถึง Petrograd เขาได้พบกับเลขานุการของ Kerensky คือ Madame Breshko-Brushkovskaya (B.B) และ David Soskice ซึ่ง Thompson บอกกับทั้ง 2 คนว่า เขาจะบริจาคเงิน 2 ล้านเหรียญ ให้แก่คณะกรรมการเพื่อการศึกษา เพื่อให้กลุ่ม Kerensky จะได้มีสื่อของตนเอง มีคณะทำงานที่จะให้ความรู้ สร้างภาพยนตร์ให้คนดู เพื่อได้รับการสนับสนุน ดูเหมือน Thompson จะปรารถนาดีต่อรัสเซียอย่างยิ่ง

    Soskice บอกว่า Thompson ให้เงิน 50,000 รูเบิล แก่ Madame B.B. พร้อมกับบอกว่า “นี่สำหรับการใช้จ่ายตามอัธยาศัยของคุณ”และนำเงินอีก 2,100,000 รูเบิล เข้าบัญชีให้
    ทั้งหมดที่ Thompson ทำก็เพื่อให้รัสเซียยังคงทำสงคราม สู้กับเยอรมันต่อไป

    J.P. Morgan มีหนังสือถึงกระทรวงต่างประเทศ (861.51/190) ยืนยันว่า Morgan ได้โทรเลขโอนเงินจำนวน 425,000 รูเบิลให้แก่ Thompson ตามที่ต้องการ สำหรับเป็นทุนประเดิม Russian Liberty Loan เงินโอนนี้ ได้ดำเนินการผ่านสาขาของ National City Bank ใน Petrograd

    แต่ Thompson ไม่ได้สนับสนุนเฉพาะกลุ่มของ Kerensky เท่านั้น เขาสนับสนุนกลุ่ม Bolsheviks ด้วย !

    หนังสือพิม์ Washington Post ฉบับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1918 ได้ลงข่าวว่า “ William B. Thompson ผู้บริจาคกาชาด ซึ่งอยู่ Petrograd ตั้งแต่เดือนกรกฏาคมถึงพฤศจิกายน ปีที่แล้ว ได้จ่ายเงินจากกระเป๋าตัวเองจำนวน 1 ล้านเหรียญ ให้แก่พวก Bolsheviks เพื่อนำไปใช้จ่ายในการเผยแพร่ทฤษฏีของพวกเขาในเยอรมันและออสเตรีย

    ” นาย Thompson ได้ มีโอกาสศึกษาทฤษฏีของรัสเซีย ในฐานะหัวหน้าภาระกิจกาชาดอเมริกัน ซึ่งเขาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของภาระกิจนี้ จากทุนทรัพย์ส่วนตัว เขาเชื่อว่าพวก Bolsheviks เอาชนะพวกนิยมเยอรมันในรัสเซียได้ แต่ข่าวเกี่ยวกับ Bolsheviks ได้ถูกกลุ่มทหารสมัยซาร์ นำไปบิดเบือน Thompson ไม่เห็นด้วยกับคำติเตียนของคนอเมริกัน ที่มีต่อพวก Bolsheviks เขาเชื่อว่ามีการเข้าใจผิดกัน และการบริจาคเงินของเขาเกิดมาจากความเชื่อมั่นว่า เงินนั้น จะนำไปใช้เพื่อประโยชน์สำหรับอนาคตของรัสเซีย และของฝ่ายสัมพันธมิตร”

    หนังสือชีวประวัติของ Thompson ซึ่งเขียนโดย Hermann Hagedorn ชื่อ The Magnate : William Boyce Thompson and His Time (1869-1930) ได้ลงรูปถ่ายโทรเลขจาก J.P. Morgan ที่นิวยอร์ค ถึง W.B. Thompson ส่งต่อที่ American Red Cross โรงแรมยุโรป เมือง Petrograd และโทรเลขนี้ตีตราแสดงวันที่รับ และสถานที่รับที่เมือง Petrograd “8 Dek 1917” (8 ธันวาคม 1917) มีข้อความว่า
    “นิวยอร์ค Y757/5 24W5 Nil – โทรเลขของท่านได้รับครั้งที่สอง เราได้จ่ายเงินแก่ National City Bank จำนวนหนึ่งล้านเหรียญ ตามคำสั่ง – Morgan”

    ธนาคาร National City Bank สาขา Petrograd เป็นธนาคารต่างประเทศรายเดียว ที่ไม่ถูก Bolsheviks ออกคำสั่งยึด ให้ตกเป็นของรัฐ หรือแปรสภาพเป็นธนาคารของรัสเซีย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    30 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – จัดฉากกาชาด 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด” ตอน 1 ก่อน ค.ศ.1915 ผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดของสำนักงานใหญ่กาชาดอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่กรุงวอซิงตันคือ คุณนาย Mabel Boardman ซึ่งเป็นผู้ดูแลกิจการต่างๆของกาชาดอเมริกา รวมทั้งการจัดหาทุน ซึ่งคุณนายไปขอบริจาคมาอีกต่อ จากบรรดามหาเศรษฐีต่างๆเช่น J.P. Morgan คุณนาย E.H. Harriman คุณนาย Russell Sage เป็นต้น ในงานจัดหาทุนให้กาชาดในปี ค.ศ.1910 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น หาเงินทุนได้ถึง 2 ล้านเหรียญ เงินทุนนี้มาจากการบริจาคของบรรดามหาเศรษฐี ที่อยู่ในนิวยอร์คเกือบทั้งหมด J.P. Morgan เองบริจาค 1 แสนเหรียญ เศรษฐีอีก 7 คน บริจาครวมกัน 3 แสนเหรียญ มีรายเดียวที่บริจาค 1 หมื่นเหรียญ คือนาย William J. Boardman พ่อของคุณนาย Mabel นั่นเอง ส่วนผู้ที่เป็นประธานจัดงานหาทุนให้กาชาดในปี 1910 นั้นคือ มหาเศรษฐีใหญ่ นาย Henry P. Davison หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Morgan มันคงไม่ใช่เป็นการหาทุนธรรมดา พวกเศรษฐีนักบริจาค หรือจริงๆ ก็คือ พวกวอลสตรีทนั่นแหละ บอกว่า เพื่อให้ทุนนี้ใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ขอให้กาชาดจัดตั้งคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม the War Council of the American Red Cross เอ๊ะ สงครามอะไร ตอนนั้นยังไม่ได้ระเบิดกันสักตูมเลย แต่พวกนักการเงินเตรียมพร้อมสำหรับการเกิดสงครามแล้ว นักการเงินผู้บริจาค ไม่ได้พูดเล่น พวกเขาจัดส่ง นาย Henry P. Davison มาให้เป็นประธานคณะกรรมการกาชาดนี้ด้วย โดยบอกว่า มาจากการแนะนำของนาย Cleveland H. Dodge ผู้สนับสนุนเงินทุนหนุนหลังรายใหญ่คนหนึ่ง ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson อืม… ใช้แม้กระทั่งกาชาด ! ส่วนรายชื่อคณะผู้บริหาร ของกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ประกอบไปด้วยรายชื่อของตัวแทนนักธุรกิจใหญ่ๆทางด้านการเงิน และการอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น Anaconda Copper Company, American Tobacco Company, Guarantee Trust Company และตัวแทนของกลุ่ม Rockefeller เป็นต้น เป็นรายชื่อผู้บริหารกาชาด ที่พิลึกที่สุด แล้วในการประชุม ของคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ซึ่งประชุมกันที่สำนักงานใหญ่ข องกาชาด ที่กรุงวอซิงตัน เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 1917 ก็มีการหารือกันว่า กาชาดควรเดินทางไปรัสเซีย ตามข้อเสนอของนาย Alexander Ledge จากบริษัท International Harvester Company (ซึ่งภายหลังไปตั้งกิจการใหญ่อยู่ในรัสเซีย) ซึ่งบอกว่า จะสนับสนุนเงินทุน 2 ล้านเหรียญ สำหรับกิจกรรมรัสเซีย หลังจากนั้น ที่ประชุมก็ลงมติ ให้กาชาดพิเศษนี้ไปช่วยรัสเซีย ภายใต้การนำของนาย William Boyce Thompson กรรมการของ Federal Reserve Bank of New York ซึ่งเสนอว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับกิจกรรมรัสเซีย โปรดจำชื่อนายคนนี้ไว้ให้ดี เขารับบทสำคัญต่อไป เดือนสิงหาคม 1917 กาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย ก็ออกเดินทางเพื่อไปรัสเซีย มันคงเป็นกิจกรรมกาชาด ที่แปลกประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์กิจกรรมกาชาด หรือมันมีแบบนี้อีกที่เรายังไม่รู้ คณะกาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย มีจำนวน 24 คน มียศทหาร ตั้งแต่นายร้อยถึงนายพัน มีผู้ช่วย 3 คน มีช่างถ่ายภาพและช่างถ่ายภาพยนต์ 2 คน มีล่าม 2 คน มีหมอเพียง 5 คน ที่เหลือเป็นนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ และทนายความ Dr. Frank Billing ศาสตราจารย์ด้านอายุรเวชจากมหาวิทยาลัย Chicago ถูกหลอกมาทำหน้าที่ เป็นหัวหน้าคณะกาชาดเพื่อรัสเซีย แต่หัวหน้าคณะตัวจริง คือ นาย William Boyce Thompson ซึ่งพ่วงเอาทั้งเลขา และผู้ช่วยคนสำคัญของเขา Raymond Robins ไปด้วย Alan Wardwell ทำหน้าที่เป็นเลขาของหัวหน้าคณะกาชาด เขาเป็นทนายของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell เขาเป็นลูกชายของ William Thomas Wardwell เหรัญญิกตลอดกาลของ Standard Oil of New Jersey และ Standard Oil of New York ของตระกูลเจ้าพ่อ Rockefeller นอกจากนี้ Alan ยังเป็นกรรมการทั้ง Greenwich Savings และ Bank of New York และ Georgian Manganese Company ร่วมกับ W. Averell Harriman ซึ่งเป็นกรรมการของ Guaranty Trust ของพวก Morgan ในปี 1917 Alan Wardwell ได้เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell ซึ่งต่อมารวมกับสำนักงานกฏหมาย Davis, Polk, Wardwell, Gradner & Read (Frank L. Polk เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงต่างประเทศของอเมริกา ช่วงการปฏิวัติ Bolsheviks) คณะกรรมาธิการของวุฒิสมาชิก Overman ได้เคยตั้งข้อสังเกตว่า Wardwell เอนเอียงไปทางเห็นพ้องกับพวกโซเวียต และในปี ค.ศ.1920 กว่าๆ Wardwell ก็มีส่วนอย่างมากในการจัดตั้งหอการค้ารัสเซียอเมริกัน เพื่อสนับสนุนการค้ากับโซเวียต เหรัญญิกของคณะกาชาดอเมริกาเพื่อกิจการสงครามคือ James W. Andrews ซึ่งเป็นผู้สอบบัญชีของ Liggett & Myers Tobacco Company Robert Barr สมาชิกที่ร่วมเดินทางอีกคนหนึ่ง เป็นรองประธานกรรมการของ Chase Securities Company (สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 120 Broadway) และเป็นกรรมการของ Chase National Bank ผู้ที่ดูแลด้านประชาสัมพันธ์ของคณะกาชาด คือ William Cochran Raymond Robins ซึ่งเป็นเลขานุการของ William Boyce Thompson เป็นผู้ชำนาญกิจการเหมืองแร่ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคณะกาชาดอเมริกันกิจการสงคราม และระบุอาชีพตนเองว่า เป็นนักเศรษฐศาสตร์สังคม นอกจากนี้ คณะกาชาดนี้ ยังมีสมาชิกจากบริษัท Swift & Company of Union Stockyards Chicago ร่วมไปด้วย 2 คน เป็น Swift ที่มีข้อน่าสงสัยว่า เกี่ยวข้องกับพวกจารกรรมชาวเยอรมันในช่วงสงครามโลกนั่นแหละ ผู้ที่ร่วมเดินทางกับคณะ คือ Harold H. Swift เขาไปในฐานะผู้ช่วยหัวหน้าคณะกาชาด แต่ตัวเขามีตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยประธานของ Swift & Company ส่วนอีกคน คือ William G. Nicholson ยังมีอีก 2 คนที่มาร่วมกับคณะ เมื่อไปถึง Petrogradแล้ว คือ Frederick M. Corse ตัวแทนของ National City Bank ใน Petrograd และ Herbert A. Magnuson ซึ่งได้รับการแนะนำมาเป็นพิเศษ จาก John W. Finch ตัวแทนที่ไม่เปิดเผยของ William B. Thompson ในเมืองจีน อีกคนที่ร่วมคณะไปด้วยคือ นาย Malcolm Pirnie ซึ่งไปในฐานะวิศวกร ของสำนักงานวิศวกรที่ปรึกษา Hazun, Whipple & Fuller นอกจากนี้ คณะกาชาดอเมริกันเพื่อกิจกรรมสงคราม หรือที่เราน่าจะเรียกว่าคณะกาชาดวอลสตรีทเพื่อกิจกรรมรัสเซีย มากกว่า! ยังจ้างล่ามรัสเซีย-อังกฤษ ไปด้วยอีก 3 คน คือ Captain Ilovaisky ซึ่งเป็นพวก Bolsheviks รัสเซีย, นาย Boris Reinstein ซึ่งเป็นชาวรัสเซียอเมริกัน และต่อมาเป็นเลขานุการของ Lenin และเป็นหัวหน้าของหน่วยโฆษณาชวนเชื่อด้านต่างประเทศของพวก ปฏิวัติ และนาย Alexander Gumberg (หรือ Berg ซึ่งมีชื่อจริงว่า Michael Guzenberg) ซึ่งเป็นน้องชายของ Zorin รัฐมนตรีคนหนึ่งของพวก Bolsheviks Gumberg นั้น เป็นตัวแทน Bolsheviks ใน Scandinavia และต่อมาเป็นที่ปรึกษาของ Floyd Odlum ของ Atlas Corporation ในอเมริกา และเป็นที่ปรึกษาของ Reeve Schley รองประธานของ Chase Bank บรรยายรายชื่อ และสรรพคุณของแต่ละคน ในคณะกาชาดอเมริกันที่ไปรัสเซียเสียยาวเหยียด เพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพชัดขึ้น ถึงความเกี่ยวข้อง พันกัน ระหว่างธุรกิจอเมริกัน กับการปฏิวัติ Bolsheviks นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด” ตอน 2 ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน กาชาดอเมริกันตัวจริง ก็ส่งคณะแพทย์ไปช่วยที่โรมาเนีย ซึ่งกำลังมีการต่อสู้กับฝ่ายเยอรมัน มี Henry W Anderson เป็นหัวหน้า แต่กิจกรรมของกาชาดอเมริกันในรัสเซีย กับกาชาดอเมริกันในโรมาเนีย ต่างกันอย่างกับหนังคนละม้วน และทั้ง 2 คณะ ไม่มีการเกี่ยวข้องประสานงาน หรือช่วยเหลือกัน ไม่ว่าในด้านการแพทย์หรือเงินทุน คณะกาชาดอเมริกันไปโรมาเนีย ในเดือนกรกฏาคม 1917 ก่อนกาชาดอเมริกันไปรัสเซียประมาณ 1 เดือน กาชาดอเมริกันไปโรมาเนียไปกัน 30 คน มีหมอไปด้วย 16 คน พยาบาลและผู้ช่วย 10 คน ทนายและนักธุรกิจ 4 คน ขณะที่สายไปรัสเซีย มีหมอและศัลยแพทย์ 7 คน พยาบาลและผู้ช่วย 7 คน ทนายและนักธุรกิจ 15 คน วันที่ 27 กันยายน 1917 Vopicka สาธุคุณอเมริกันที่อยู่ในโรมาเนีย โทรเลขแจ้งฑูต Francis ทูตอเมริกัน ที่ประจำอยู่ Petrograd เรื่องการขาดเงินทุนสนับสนุน และสถานการณ์อันแลวร้ายที่โรมาเนีย แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ตุลาคม 1917 คราวนี้ Vopicka โทรเลขไปหา Davison ประธานกาชาดในนิวยอร์ค แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับเช่นกัน ในที่สุด Henry W Anderson ได้ขอให้ฑูต Francis ติดต่อแทนเขา ไปทางลอนดอน ขอให้การบริจาคเพื่อกาชาดอเมริกา แยกบัญชีของโรมาเนีย ออกจากบัญชีของรัสเซียที่ Thompson ดูแลอยู่ ตกลง กาชาดคณะของ Thompson ไปทำอะไรที่รัสเซีย มีข่าวว่า Thompson อยู่ที่ Petrograd รัสเซีย อย่างหรูหรา อุดมสมบูรณ์ และดูเหมือนจะสนใจกิจกรรมอยู่ 2 เรื่อง ช่วงที่ Thompson ไปถึง Petrograd คณะปฎิวัติ ของ Kerensky ยังบริหารอยู่ กิจกรรมของ Thompson ที่รัสเซีย จึงทำทุกอย่าง ที่เป็นการสนับสนุนรัฐบาลใหม่ของรัสเซีย รวมทั้งพยายามจัดหาเงินกู้ Russian Liberty Loan เมื่อ Thompson มาถึง Petrograd เขาได้พบกับเลขานุการของ Kerensky คือ Madame Breshko-Brushkovskaya (B.B) และ David Soskice ซึ่ง Thompson บอกกับทั้ง 2 คนว่า เขาจะบริจาคเงิน 2 ล้านเหรียญ ให้แก่คณะกรรมการเพื่อการศึกษา เพื่อให้กลุ่ม Kerensky จะได้มีสื่อของตนเอง มีคณะทำงานที่จะให้ความรู้ สร้างภาพยนตร์ให้คนดู เพื่อได้รับการสนับสนุน ดูเหมือน Thompson จะปรารถนาดีต่อรัสเซียอย่างยิ่ง Soskice บอกว่า Thompson ให้เงิน 50,000 รูเบิล แก่ Madame B.B. พร้อมกับบอกว่า “นี่สำหรับการใช้จ่ายตามอัธยาศัยของคุณ”และนำเงินอีก 2,100,000 รูเบิล เข้าบัญชีให้ ทั้งหมดที่ Thompson ทำก็เพื่อให้รัสเซียยังคงทำสงคราม สู้กับเยอรมันต่อไป J.P. Morgan มีหนังสือถึงกระทรวงต่างประเทศ (861.51/190) ยืนยันว่า Morgan ได้โทรเลขโอนเงินจำนวน 425,000 รูเบิลให้แก่ Thompson ตามที่ต้องการ สำหรับเป็นทุนประเดิม Russian Liberty Loan เงินโอนนี้ ได้ดำเนินการผ่านสาขาของ National City Bank ใน Petrograd แต่ Thompson ไม่ได้สนับสนุนเฉพาะกลุ่มของ Kerensky เท่านั้น เขาสนับสนุนกลุ่ม Bolsheviks ด้วย ! หนังสือพิม์ Washington Post ฉบับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1918 ได้ลงข่าวว่า “ William B. Thompson ผู้บริจาคกาชาด ซึ่งอยู่ Petrograd ตั้งแต่เดือนกรกฏาคมถึงพฤศจิกายน ปีที่แล้ว ได้จ่ายเงินจากกระเป๋าตัวเองจำนวน 1 ล้านเหรียญ ให้แก่พวก Bolsheviks เพื่อนำไปใช้จ่ายในการเผยแพร่ทฤษฏีของพวกเขาในเยอรมันและออสเตรีย ” นาย Thompson ได้ มีโอกาสศึกษาทฤษฏีของรัสเซีย ในฐานะหัวหน้าภาระกิจกาชาดอเมริกัน ซึ่งเขาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของภาระกิจนี้ จากทุนทรัพย์ส่วนตัว เขาเชื่อว่าพวก Bolsheviks เอาชนะพวกนิยมเยอรมันในรัสเซียได้ แต่ข่าวเกี่ยวกับ Bolsheviks ได้ถูกกลุ่มทหารสมัยซาร์ นำไปบิดเบือน Thompson ไม่เห็นด้วยกับคำติเตียนของคนอเมริกัน ที่มีต่อพวก Bolsheviks เขาเชื่อว่ามีการเข้าใจผิดกัน และการบริจาคเงินของเขาเกิดมาจากความเชื่อมั่นว่า เงินนั้น จะนำไปใช้เพื่อประโยชน์สำหรับอนาคตของรัสเซีย และของฝ่ายสัมพันธมิตร” หนังสือชีวประวัติของ Thompson ซึ่งเขียนโดย Hermann Hagedorn ชื่อ The Magnate : William Boyce Thompson and His Time (1869-1930) ได้ลงรูปถ่ายโทรเลขจาก J.P. Morgan ที่นิวยอร์ค ถึง W.B. Thompson ส่งต่อที่ American Red Cross โรงแรมยุโรป เมือง Petrograd และโทรเลขนี้ตีตราแสดงวันที่รับ และสถานที่รับที่เมือง Petrograd “8 Dek 1917” (8 ธันวาคม 1917) มีข้อความว่า “นิวยอร์ค Y757/5 24W5 Nil – โทรเลขของท่านได้รับครั้งที่สอง เราได้จ่ายเงินแก่ National City Bank จำนวนหนึ่งล้านเหรียญ ตามคำสั่ง – Morgan” ธนาคาร National City Bank สาขา Petrograd เป็นธนาคารต่างประเทศรายเดียว ที่ไม่ถูก Bolsheviks ออกคำสั่งยึด ให้ตกเป็นของรัฐ หรือแปรสภาพเป็นธนาคารของรัสเซีย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 30 เม.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 243 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 5

    คณะกรรมาธิการ 1919 the Senate Overman Committee ได้ลงความเห็นว่า Guaranty Trust มี บทบาทสูง และทำอย่างสม่ำเสมอ ในการสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมันในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นการปฏิบัติตัวอย่างไม่เป็นกลาง ตามคำให้การของนาย Becker เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา

    ที่สำคัญ การสนับสนุนทางการเงิน แก่เยอรมัน ไม่ใช่เพียงแค่เป็นการผิดกฏหมายเท่านั้น เพราะในขณะเดียวกันนั้น Guaranty Trust ก็ให้การสนับสนุนทางการเงิน กับฝ่ายสัมพันธมิตรในเวลานั้นด้วย มันเป็นเรื่องของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการขาดจรรยาบรรณ อย่างร้ายแรงของ Guaranty Trust อีกด้วย

    แต่ฤทธิเดชความพลิกแพลงของนักการเงินวอลสตรีท ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น ยังมีตัวละครสำคัญอีกหลายราย ที่ทำให้แผนการชั่วร้ายของกลุ่มการเงินวอลสตรีท ประสบความสำเร็จ

    Count Jacques Minotto เป็นตัวละครอีกรายหนึ่ง ที่โยงการปฏิวัติ Bolsheviks ในรัสเซียกับกลุ่มธนาคารเยอรมัน และการจารกรรมในอเมริกา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 กับ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์ค
    Jacques Minotto เกิดเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 1891 ที่เบอร์ลิน พ่อเป็นชาวออสเตรียนที่มีเชื้อเจ้า ส่วนแม่เป็นเยอรมัน Minotto เรียนหนังสือที่เบอร์ลิน เมื่อเรียนจบก็เข้าทำงานที่ Deutsche Bank ในเบอร์ลินเมื่อปี 1912 ทำงานที่นั่นไม่นานเท่าไหร่ เขาก็ถูกส่งตัวมาเป็นผู้ช่วยของ Hugo Schmidt ซึ่งเป็นกรรมการของธนาคาร และเป็นตัวแทนของ Deutsche Bank ที่นิวยอร์ค เรียกว่าเป็นเด็กเส้น อยู่นิวยอร์คได้ 1 ปี นาย Minotto เด็กเส้นก็ถูกส่งไปอยู่ Deutsche Bank ที่ลอนดอน ทำให้เขาได้วนเวียนอยู่ในสังคมชั้นสูง ของนักการเมืองและนักการฑูต

    เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มก่อตัว Minotto กลับมาอยู่ที่อเมริกา และได้มีโอกาสพบกับ Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมันประจำอเมริกา หลังจากนั้น Minotto ก็เลยเปลี่ยนที่ทำงาน ย้ายมาทำงานหน้าที่ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์คแทน และอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาย Max May ซึ่งเป็นกรรมการด้านนโยบายฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust เป็น Max May ที่ Olof Aschberg นายธนาคารของพวก Bolsheviks เดินตามต้อยๆ

    เดือนตุลาคม 1914 Guaranty Trust ส่ง Minotto ไปอเมริกาใต้ เพื่อไปทำการสำรวจ และวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง ธุรกิจการเงิน และการค้าในแถบนั้น และก็เหมือนชีวิตในลอนดอน และนิวยอร์ค Minotto พาตัวเองเข้าสู่สังคมชั้นสูง แท้จริงแล้ว ภาระกิจของ Minotto ในลาตินอเมริกาคือ หาทางให้ Guaranty Trust สามารถเป็นตัวกลาง ในการระดมเงินทุนให้เยอรมัน แทนตลาดลอนดอน ซึ่งขณะนั้นปฏิเสธที่จะทำ เนื่องจากอังกฤษกำลังทำสงครามอยู่กับเยอรมัน

    เอะ คราวนี้อังกฤษเกิดมีจรรยาบรรณ อย่าเพิ่งเข้าใจเป็นอย่างนั้น อังกฤษไม่เคยมีนิสัยอย่างนั้น และเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นอย่างนั้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเยอรมันมากกว่า อะไรที่จะเกิดประโยชน์กับเยอรมัน ไม่ว่าเรื่องอะไร ทางใด อังกฤษจะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น เป็นอย่างนี้มากว่าร้อยปี เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่เยอรมันจะรู้ตัวหรือไม่อีกเรื่องนึง

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 6

    เมื่อ Minotto เดินทางกลับมานิวยอร์ค เขากลับมาคบค้ากับ Count Von Berntorff ต่อ และพยายาม สมัครเข้าไปอยู่ในหน่วยข่าวกรอง ของกองทัพเรืออเมริกัน แต่ไม่เป็นผล หลังจากนั้น เขาถูกจับ ข้อหาจัดกิจกรรมที่เป็นการส่งเสริมเยอรมัน ขณะถูกจับ Minotto ทำงานอยู่ที่โรงงานในชิคาโก ให้กับพ่อตาของเขา Louis Swift เจ้าของบริษัท Swift & Co ซึ่งทำอุตสาหกรรมส่งเนื้อสัตว์แช่แข็ง พ่อตาใช้พันธบัตร จำนวน 50,000 เหรียญ ประกัน Minotto ออกมา แต่ตอนหลังคุณพ่อตา ก็ถูกจับข้อหาโปรเยอรมันเช่นเดียวกัน

    เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าไม่ แน่ใจ แต่คุณพ่อตานี้ เป็นพี่ชาย ของ Major Harold H. Swift ที่ร่วมเดินทางไป Petrograd กับ William Boyce Thompson ในคณะภารกิจกาชาด Red Cross Mission เพื่อรัสเซีย ในปี 1917 ที่จะเล่าต่อไปด้วย

    นาย Josef Caillaux เป็นนักการเมืองชื่อดังของฝรั่งเศส เขารู้จักและเที่ยวเตร่กับ Minotto ที่ลาตินอเมริกา เมื่อตอนที่ Minotto ไปทำภาระกิจให้ Guaranty Trust

    ปี 1911 Caillaux ได้เป็นรัฐมนตรีคลัง และในปีเดียวกัน เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส และมี John Louis Malvy เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของเขา หลังจากนั้นไม่กี่ปี คุณนาย Caillaux ก็ปฏิบัติการฆาตกรรม นาย Calmette บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ชื่อดังของฝรั่งเศส Figaro อัยการตั้งข้อหาว่า คุณนาย Caillaux ฆ่า Calmette เพื่อปิดปากไม่ให้ Calmette ตีพิมพ์เอกสารสำคัญฉบับหนึ่ง

    เหตุการณ์นี้ทำให้นาย Caillaux และคุณนายใจโหด หนีออกไปจากฝรั่งเศส และไปอยู่ที่แถบลาตินอเมริกา จน Minotto ได้ไปพบ และในที่สุด Minotto กับครอบครัว Caillaux ก็สนิทสนมกลมเกลียว ท่องเที่ยวด้วยกันไปทั่วอเมริกาใต้ เมื่อได้กลับมาฝรั่งเศสอีกครั้ง ครอบครัว Caillaux พักอยู่ที่ Biarrtiz ในฐานะแขกของ Paul Bolo-Pasha ซึ่งเป็นสายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในฝรั่งเศส

    ในเดือนกรกฏาคม 1915 Minotto เดินทางจากอิตาลีมาฝรั่งเศสและพบกับครอบครัว Caillaux ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ครอบครัว Caillauxเป็นแขกรับเชิญของ Bolo-Pasha และพักที่ Biarrtiz อย่างเคย

    ภาระกิจของ Bolo-Pasha ที่ฝรั่งเศสคือ เพื่อทำการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับเยอรมัน ผ่านหนังสือพิมพ์ชั้นนำของฝรั่งเศสคือ Le Temps และ Figaro หลังจากนั้น Bolo-Pasha ก็เดินทางไปนิวยอร์ค เพื่อพบกับ Von Pavenstedt สายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในอเมริกา และเป็นผู้ที่มีสายสัมพันธุ์ระดับลึก กับ Amsinck & Co ของ Guaranty Trust ที่ กลุ่ม Morgan เป็นเจ้าของ

    มันเป็นเครือข่ายใยแมงมุม ของพวกโคตรแสบและชั่วจริงๆ
    Severance Johnson เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง The Enemy Within เกี่ยวกับ Caillaux และ Malvy ซึ่งพยายามทำการปฏิวัติที่เรี ยกว่า French Bolsheviks ในฝรั่งเศสปี 1918 แต่ไม่สำเร็จว่า “ถ้าการปฏิวัติทำสำเร็จ Malvy ก็คงจะเป็น Trotsky แห่งฝรั่งเศส และ Caillaux ก็คงจะเป็น Lenin”

    Caillaux และ Malvy ได้ ร่วมกันตั้งพรรคสังคมนิยมหัวรุนแรงขึ้นในฝรั่งเศส โดยใช้เงินทุนของเยอรมัน และถูกจับตัวขึ้นศาล ในข้อหาพยายามล้มล้างรัฐบาล จากการไต่สวนของศาล เกี่ยวกับการกระทำเป็นสายลับในฝรั่งเศสในปี 1919 และมีการสืบพยานเกี่ยวกับธนาคารในนิวยอร์ค และสัมพันธ์ของพวกธนาคารกับพวก สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งระบุว่า มีการเชื่อมโยงระหว่าง Count Minotto กับ Caillaux และ Guaranty Trust กับDeutsche Bank และการร่วมมือระหว่าง Hugo Schimdt ของ Deutsche Bank กับ Max May ของ Guaranty Trust

    ต่อมาในปลายปี 1922 Max May ได้เป็นกรรมการของธนาคาร Ruskombank และเป็นตัวแทนของกลุ่ม Guaranty Trust ซึ่งถือหุ้นอยู่ในธนาคารดังกล่าว

    สรุปว่า นาย Max May ของ Guaranty Trust เกี่ยวโยงกับการระดมเงินทุน อย่างไม่ถูกกฏหมายให้แก่เยอรมัน เพื่อทำการจารกรรมในอเมริกา ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ Max May ก็เกี่ยวโยง โดยทางอ้อมกับพวกปฏิวัติ Bolsheviks และเกี่ยวโดยตรงกับการตั้งธนาคาร Ruskombank ธนาคารระหว่างประเทศแห่งแรกในสหภาพโซเวียต

    อาจจะยังเร็วไป ที่จะสรุปว่า การกระทำ ที่ทั้งผิดกฏหมายและผิดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรงเหล่านี้ มีคำอธิบายอย่างไร อาจมีผู้สรุปชั้นแรกตรงไปตรงมา ว่า น่าจะมาจากความต้องการทำกำไร ความงกในการทำธุรกิจ ของกลุ่มนักการเงิน แต่มันจะเป็นแค่นั้นแน่หรือ…

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    29 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 5 คณะกรรมาธิการ 1919 the Senate Overman Committee ได้ลงความเห็นว่า Guaranty Trust มี บทบาทสูง และทำอย่างสม่ำเสมอ ในการสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมันในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นการปฏิบัติตัวอย่างไม่เป็นกลาง ตามคำให้การของนาย Becker เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา ที่สำคัญ การสนับสนุนทางการเงิน แก่เยอรมัน ไม่ใช่เพียงแค่เป็นการผิดกฏหมายเท่านั้น เพราะในขณะเดียวกันนั้น Guaranty Trust ก็ให้การสนับสนุนทางการเงิน กับฝ่ายสัมพันธมิตรในเวลานั้นด้วย มันเป็นเรื่องของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการขาดจรรยาบรรณ อย่างร้ายแรงของ Guaranty Trust อีกด้วย แต่ฤทธิเดชความพลิกแพลงของนักการเงินวอลสตรีท ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น ยังมีตัวละครสำคัญอีกหลายราย ที่ทำให้แผนการชั่วร้ายของกลุ่มการเงินวอลสตรีท ประสบความสำเร็จ Count Jacques Minotto เป็นตัวละครอีกรายหนึ่ง ที่โยงการปฏิวัติ Bolsheviks ในรัสเซียกับกลุ่มธนาคารเยอรมัน และการจารกรรมในอเมริกา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 กับ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์ค Jacques Minotto เกิดเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 1891 ที่เบอร์ลิน พ่อเป็นชาวออสเตรียนที่มีเชื้อเจ้า ส่วนแม่เป็นเยอรมัน Minotto เรียนหนังสือที่เบอร์ลิน เมื่อเรียนจบก็เข้าทำงานที่ Deutsche Bank ในเบอร์ลินเมื่อปี 1912 ทำงานที่นั่นไม่นานเท่าไหร่ เขาก็ถูกส่งตัวมาเป็นผู้ช่วยของ Hugo Schmidt ซึ่งเป็นกรรมการของธนาคาร และเป็นตัวแทนของ Deutsche Bank ที่นิวยอร์ค เรียกว่าเป็นเด็กเส้น อยู่นิวยอร์คได้ 1 ปี นาย Minotto เด็กเส้นก็ถูกส่งไปอยู่ Deutsche Bank ที่ลอนดอน ทำให้เขาได้วนเวียนอยู่ในสังคมชั้นสูง ของนักการเมืองและนักการฑูต เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มก่อตัว Minotto กลับมาอยู่ที่อเมริกา และได้มีโอกาสพบกับ Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมันประจำอเมริกา หลังจากนั้น Minotto ก็เลยเปลี่ยนที่ทำงาน ย้ายมาทำงานหน้าที่ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์คแทน และอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาย Max May ซึ่งเป็นกรรมการด้านนโยบายฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust เป็น Max May ที่ Olof Aschberg นายธนาคารของพวก Bolsheviks เดินตามต้อยๆ เดือนตุลาคม 1914 Guaranty Trust ส่ง Minotto ไปอเมริกาใต้ เพื่อไปทำการสำรวจ และวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง ธุรกิจการเงิน และการค้าในแถบนั้น และก็เหมือนชีวิตในลอนดอน และนิวยอร์ค Minotto พาตัวเองเข้าสู่สังคมชั้นสูง แท้จริงแล้ว ภาระกิจของ Minotto ในลาตินอเมริกาคือ หาทางให้ Guaranty Trust สามารถเป็นตัวกลาง ในการระดมเงินทุนให้เยอรมัน แทนตลาดลอนดอน ซึ่งขณะนั้นปฏิเสธที่จะทำ เนื่องจากอังกฤษกำลังทำสงครามอยู่กับเยอรมัน เอะ คราวนี้อังกฤษเกิดมีจรรยาบรรณ อย่าเพิ่งเข้าใจเป็นอย่างนั้น อังกฤษไม่เคยมีนิสัยอย่างนั้น และเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นอย่างนั้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเยอรมันมากกว่า อะไรที่จะเกิดประโยชน์กับเยอรมัน ไม่ว่าเรื่องอะไร ทางใด อังกฤษจะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น เป็นอย่างนี้มากว่าร้อยปี เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่เยอรมันจะรู้ตัวหรือไม่อีกเรื่องนึง นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 6 เมื่อ Minotto เดินทางกลับมานิวยอร์ค เขากลับมาคบค้ากับ Count Von Berntorff ต่อ และพยายาม สมัครเข้าไปอยู่ในหน่วยข่าวกรอง ของกองทัพเรืออเมริกัน แต่ไม่เป็นผล หลังจากนั้น เขาถูกจับ ข้อหาจัดกิจกรรมที่เป็นการส่งเสริมเยอรมัน ขณะถูกจับ Minotto ทำงานอยู่ที่โรงงานในชิคาโก ให้กับพ่อตาของเขา Louis Swift เจ้าของบริษัท Swift & Co ซึ่งทำอุตสาหกรรมส่งเนื้อสัตว์แช่แข็ง พ่อตาใช้พันธบัตร จำนวน 50,000 เหรียญ ประกัน Minotto ออกมา แต่ตอนหลังคุณพ่อตา ก็ถูกจับข้อหาโปรเยอรมันเช่นเดียวกัน เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าไม่ แน่ใจ แต่คุณพ่อตานี้ เป็นพี่ชาย ของ Major Harold H. Swift ที่ร่วมเดินทางไป Petrograd กับ William Boyce Thompson ในคณะภารกิจกาชาด Red Cross Mission เพื่อรัสเซีย ในปี 1917 ที่จะเล่าต่อไปด้วย นาย Josef Caillaux เป็นนักการเมืองชื่อดังของฝรั่งเศส เขารู้จักและเที่ยวเตร่กับ Minotto ที่ลาตินอเมริกา เมื่อตอนที่ Minotto ไปทำภาระกิจให้ Guaranty Trust ปี 1911 Caillaux ได้เป็นรัฐมนตรีคลัง และในปีเดียวกัน เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส และมี John Louis Malvy เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของเขา หลังจากนั้นไม่กี่ปี คุณนาย Caillaux ก็ปฏิบัติการฆาตกรรม นาย Calmette บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ชื่อดังของฝรั่งเศส Figaro อัยการตั้งข้อหาว่า คุณนาย Caillaux ฆ่า Calmette เพื่อปิดปากไม่ให้ Calmette ตีพิมพ์เอกสารสำคัญฉบับหนึ่ง เหตุการณ์นี้ทำให้นาย Caillaux และคุณนายใจโหด หนีออกไปจากฝรั่งเศส และไปอยู่ที่แถบลาตินอเมริกา จน Minotto ได้ไปพบ และในที่สุด Minotto กับครอบครัว Caillaux ก็สนิทสนมกลมเกลียว ท่องเที่ยวด้วยกันไปทั่วอเมริกาใต้ เมื่อได้กลับมาฝรั่งเศสอีกครั้ง ครอบครัว Caillaux พักอยู่ที่ Biarrtiz ในฐานะแขกของ Paul Bolo-Pasha ซึ่งเป็นสายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในฝรั่งเศส ในเดือนกรกฏาคม 1915 Minotto เดินทางจากอิตาลีมาฝรั่งเศสและพบกับครอบครัว Caillaux ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ครอบครัว Caillauxเป็นแขกรับเชิญของ Bolo-Pasha และพักที่ Biarrtiz อย่างเคย ภาระกิจของ Bolo-Pasha ที่ฝรั่งเศสคือ เพื่อทำการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับเยอรมัน ผ่านหนังสือพิมพ์ชั้นนำของฝรั่งเศสคือ Le Temps และ Figaro หลังจากนั้น Bolo-Pasha ก็เดินทางไปนิวยอร์ค เพื่อพบกับ Von Pavenstedt สายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในอเมริกา และเป็นผู้ที่มีสายสัมพันธุ์ระดับลึก กับ Amsinck & Co ของ Guaranty Trust ที่ กลุ่ม Morgan เป็นเจ้าของ มันเป็นเครือข่ายใยแมงมุม ของพวกโคตรแสบและชั่วจริงๆ Severance Johnson เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง The Enemy Within เกี่ยวกับ Caillaux และ Malvy ซึ่งพยายามทำการปฏิวัติที่เรี ยกว่า French Bolsheviks ในฝรั่งเศสปี 1918 แต่ไม่สำเร็จว่า “ถ้าการปฏิวัติทำสำเร็จ Malvy ก็คงจะเป็น Trotsky แห่งฝรั่งเศส และ Caillaux ก็คงจะเป็น Lenin” Caillaux และ Malvy ได้ ร่วมกันตั้งพรรคสังคมนิยมหัวรุนแรงขึ้นในฝรั่งเศส โดยใช้เงินทุนของเยอรมัน และถูกจับตัวขึ้นศาล ในข้อหาพยายามล้มล้างรัฐบาล จากการไต่สวนของศาล เกี่ยวกับการกระทำเป็นสายลับในฝรั่งเศสในปี 1919 และมีการสืบพยานเกี่ยวกับธนาคารในนิวยอร์ค และสัมพันธ์ของพวกธนาคารกับพวก สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งระบุว่า มีการเชื่อมโยงระหว่าง Count Minotto กับ Caillaux และ Guaranty Trust กับDeutsche Bank และการร่วมมือระหว่าง Hugo Schimdt ของ Deutsche Bank กับ Max May ของ Guaranty Trust ต่อมาในปลายปี 1922 Max May ได้เป็นกรรมการของธนาคาร Ruskombank และเป็นตัวแทนของกลุ่ม Guaranty Trust ซึ่งถือหุ้นอยู่ในธนาคารดังกล่าว สรุปว่า นาย Max May ของ Guaranty Trust เกี่ยวโยงกับการระดมเงินทุน อย่างไม่ถูกกฏหมายให้แก่เยอรมัน เพื่อทำการจารกรรมในอเมริกา ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ Max May ก็เกี่ยวโยง โดยทางอ้อมกับพวกปฏิวัติ Bolsheviks และเกี่ยวโดยตรงกับการตั้งธนาคาร Ruskombank ธนาคารระหว่างประเทศแห่งแรกในสหภาพโซเวียต อาจจะยังเร็วไป ที่จะสรุปว่า การกระทำ ที่ทั้งผิดกฏหมายและผิดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรงเหล่านี้ มีคำอธิบายอย่างไร อาจมีผู้สรุปชั้นแรกตรงไปตรงมา ว่า น่าจะมาจากความต้องการทำกำไร ความงกในการทำธุรกิจ ของกลุ่มนักการเงิน แต่มันจะเป็นแค่นั้นแน่หรือ… สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 29 เม.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 3

    นาย Olof Aschberg หรือ ที่พวกสื่อเรียกเขาว่า “Bolsheviks Banker” นายธนาคารของพวก Bolsheviks เป็นชาวสวีเดน และเป็นเจ้าของธนาคาร “Nya Banken ” ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1912 ที่เมือง Stockholm บรรดากรรมการของ Nya Banken เป็นพวกไฮโซ ในวงการธุรกิจและสังคมในสวีเดนทั้งนั้น แต่ในปี 1918 Nya Banken ก็ถูกฝ่ายสัมพันธมิตร ขึ้นบัญชีดำ เนื่องจากมีข้อกล่าวหาว่า ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมัน คู่ต่อสู้ของฝ่ายสัมพันธมิตร

    แต่นาย Olof Aschberg ไม่เดือดร้อน เขาเลี่ยงบัญชีดำ โดยเปลี่ยนชื่อ Nya Banken เป็น Svensk Ekonomiebolaget (ชื่อยาวชมัด) แต่เขาก็ยังเป็นเจ้าของ และมีอำนาจจัดการอยู่เหมือนเดิม ธนาคารตัวแทนของ Nya Bank ที่ลอนดอน คือ British Bank of North Commerce ซึ่งประธานคือ Lord Earl Grey ซึ่งเป็นเพื่อนของนาย Cecil Rholds แห่งสมาคม Round Table ที่มีอิทธิพลสูงในอังกฤษ ที่เกือบจะเหมือนเป็นรัฐบาลเงาของอังกฤษอยู่แล้ว แบบนี้ Olof Aschberg คงไม่ต้องเกรงใจใคร

    ทำท่าจะเป็นเรื่องเล่นกันรอบวง ไม่มีใครตกหล่น ลงแขก หมาหมู่ รุมกันตื๊บ ร่วมกันโกง แย่งกันกิน สันดานแบบนี้ บางที ร้อยปีก็แก้ไม่หาย เผลอๆ หมาไน และอีแร้ง ยอมถอยให้

    ส่วนแวดวงธุรกิจของ Olof Aschberg ก็ไม่ใช่ธรรมดา ผู้ที่เขาคบค้า เป็นพวกหัวแถวมีอิทธิพลในสมัยนั้นทั้งนั้น เช่น นาย Krassin ซึ่งเป็นผู้จัดการของ Siemens ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมของเยอรมันที่เมืองPetrograd นาย Carl Furstenberg รัฐมนตรีคลังของรัฐบาล Bolsheviks ชุดแรก และนาย Max May ชาวเยอรมันรองประธานฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust of New York ซึ่ง Olof Aschberg ประจบประแจง ชนิดแทบจะเอาลิ้นเช็ดรองเท้าให้
    ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ.1916 Olof Aschberg เดินทางไปนิวยอร์คในฐานะ เจ้าของ Nya Banken และในฐานะตัวแทน ของนาย Pierre Bark รัฐมนตรีคลัง ของซาร์นิโคลัส เรียกว่า ไปแบบฟอร์มใหญ่ หนังสือพิมพ์ New York Time ฉบับวันที่ 4 สิงหาคม 1916 ลงข่าวว่า Aschberg มานิวยอร์ค เพื่อเจรจาเงินกู้ 50 ล้านเหรียญให้แก่ซาร์ของรัสเซีย กับกลุ่มธนาคารอเมริกัน ซึ่งนำโดย National City Bank ซึ่งใช้วิธีออกพันธบัตร ให้ผู้กู้ 50 ล้านเหรียญ กินดอกเบี้ย จากผู้กู้ และเอาพันธบัตรนั้นมาขายต่อในตลาดทุนของอเมริกา ทำกำไรอีกต่อหนึ่ง

    ขณะเดียวกับที่เงินกู้ของรัสเซีย ภายใต้การปกครองของซาร์ กำลังขายว่อนกันอยู่ในตลาดทุนนิวยอร์ค Nya Banken และ Olof Aschberg ก็ส่งเงินอีกจำนวนที่รับมาจากรัฐบาลเยอรมัน ไปให้นักปฏิวัติชาวรัสเซีย ผู้ซึ่งจะไปล้มคณะผู้บริหารชุด Kerensky และเอาพวก Bolsheviks เข้ามาแทน !

    หลักฐานที่แสดงว่า Olof Aschberg เป็นเครือข่ายใกล้ชิด ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่ Bolsheviks Revolution มาจากหลายแหล่ง

    แต่เอกสารที่แสดงให้เห็นชัดถึง ความเกี่ยวข้องของ Nya Banken คือในเอกสารชื่อ “The Charges Against the Bolsheviks” ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นในสมัยของ Kerensky โดยเฉพาะเอกสารชิ้นหนึ่ง ที่ลงชื่อโดย นาย Gregory Alexinsky อดีตสมาชิกรัฐสภา ซึ่งระบุถึงการโอนเงิน บางส่วนไว้ดังนี้ :

    “เกี่ยวกับเรื่องข้อมูล ที่เพิ่งจะได้รับเดี๋ยวนี้ ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับเรื่องการให้เงินใน Stockholm คือ : Bolsheviks Jacob Furstenberg หรือที่รู้จักกันดี ในนาม “Hanecki” และ Parvus (Dr. Helphand) ใน Petrograd : ทนายของ Bolsheviks, M.U. Kozlovsky.. … Kozlovsky เป็นหัวหน้า ในการรับเงินของพวกเยอรมัน และโอนจากเบอร์ลินผ่าน Disconto Gesellschaft มาที่ Stockholm ผ่านมาเข้าที่ Siberian Bank ใน Petrograd ซึ่งขณะนี้เงินในบัญชีดังกล่าว มีเกินกว่า 2 ล้านรูเบิล เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ได้ตรวจสอบ พบว่ามีโทรเลขติดต่อกัน ระหว่างตัวแทนเยอรมันและหัวหน้า Bolsheviks เกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองและการสนับสนุนทางการเงินด้วย”
    หลายปีต่อมา ประมาณปี ค.ศ.1922 โซเวียตได้ตั้งธนาคารระหว่างประเทศ ขึ้นเป็นครั้งแรกชื่อ Ruskombank (Foreign Commercial Bank หรือ Bank of Foreign Commerce) ผู้ร่วมทุนของธนาคารนี้ มี เยอรมัน สวีเดน อเมริกา และอังกฤษ และมีนาย Olof Aschberg เป็นประธาน ส่วนกรรมการอื่นๆ มีทั้งตัวแทนธนาคารตั้งแต่สมัยซาร์ยังมีอำนาจ ตัวแทนจากเยอรมัน ตัวแทนจากสวีเดน ตัวแทนของธนาคารอเมริกัน และตัวแทนของสหภาพโซเวียต

    สถานฑูตอเมริกาใน Stockholm รายงานไปทางวอซิงตันในเรื่องนี้ และขอให้ตรวจสอบเครดิตของ Aschberg ซึ่งมีข่าวว่า “แย่มาก”

    ต้นเดือนตุลาคม 1922 มีการพบกันที่ Berlin ระหว่าง Olof Aschberg กับ Emil Wittenberg กรรมการของ Nationalbank fur Deutschland และ Scheinmann ประธาน Russian State Bank เพื่อหารือ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเยอ รมันใน Ruskombank หลังจากนั้นทั้ง 3 คน ก็เดินทางไป Stockholm และพบกับนาย Max May รองประธานของ Guaranty Trust และมีการตกลงกันให้ Max May มาเป็นหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศของ Ruskombank

    แน่นอนตัวแทนของ Ruskombank ในอเมริกาคือ Guaranty Trust แต่แล้วในต้นปี 1924 เกิดการงัดข้อกัน ระหว่าง Ruskombank กับสำนักงานตัวแทนการค้าของโซเวียต (Soviet Foreign-Trade Commissariat) และ Olof Aschberg ก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง ที่ Ruskombank โดยถูกกล่าวหาว่าใช้เงินของธนาคารอย่างไม่สุจริต

    ภายหลัง Ruskombank เปลี่ยนชื่อเป็น Vneshtorg และใช้อยู่จนปัจจุบันนี้

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 4

    นอกจากจะเลี่ยงกฏหมาย ให้เงินกู้ แก่อังกฤษ ฝรั่งเศส เพื่อเข้าทำสงครามสู้กับเยอรมันแล้ว กลุ่มการเงินของอเมริกา ยังให้เงินกู้กับรัสเซียตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อเข้าร่วมกลุ่มกับอังกฤษ ฝรั่งเศส ทำสงคราม กับ ฝ่ายเยอรมันด้วย และเมื่อซาร์ถูกปฏิวัติโค่นล้ม เงินทุนที่ใช้ในการปฏิวัติโค่นซาร์ ก็มารู้กันภายหลังอีกว่า มาจากเงินทุน ของกลุ่มนักการเงินของอเมริกา กลุ่มเดิมนั่นแหละ ชั่วได้ใจจริงๆ
    แต่อย่าเพิ่งนึกว่า อเมริกาทำชั่วได้เพียงเท่านี้

    ระหว่างที่กำลังทำสงครามโลกนั้น เยอรมันก็พยายามหาเงินกู้ เพื่อเอามาใช้ปฏิบัติงานด้านข่าวกรอง และจารกรรมทั้งในอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ แต่เราคงจะนึกไม่ถึงว่า เงินกู้ที่เยอรมันได้มานั้น ก็มาจากแหล่งเงินกู้กลุ่มเดิม คือ Guaranty Trust และ American International Corporation ซึ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดการ ก่อนและหลังการปฏิวัติของพวก Bolsheviks และรัฐบาลเยอรมัน ก็มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ผ่านนักปฏิวัติกลุ่ม Lenin

    รายงานการให้เงินกู้แก่พวกเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ของกลุ่มธนาคารอเมริกัน ได้ถูกส่งไปให้คณะกรรมาธิการ 1919 Overman Committee ของวุฒิสมาชิกอเมริกา มันเป็นรายงาน ที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา สรุปมาจากคำให้การของนาย Karl Heynen ซึ่งเดินทางเข้ามาในอเมริกาในเดือนเมษายน 1915 โดยอ้างว่า เพื่อมาช่วย Dr. Albert เกี่ยวกับธุรกิจและการเงินของรัฐบาลเยอรมัน หน้าที่ ที่เขาแจ้งกับทางการไว้คือ ดูแลการขนส่งสินค้าจากอเมริกา ผ่านสวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ และฮอลแลนด์ ไปให้เยอรมัน

    เงินกู้รายใหญ่ๆ ของเยอรมัน ที่มาจากแหล่งเงินกู้ในอเมริกาช่วงปี 1915 ถึง 1918 ตามคำให้การของ Heynen คือ

    – เงินกู้จำนวนแรก 4 แสนเหรียญ ทำการกู้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1914 ให้กู้โดย Kuhn, Loeb & Co มีหลักประกันเป็นเงินฝาก จำนวนเงิน 25 ล้านมาร์ค ฝากอยู่ที่ Max M. Warburg ในเมือง Hamburg ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Kuhn, Loeb & Co ที่เยอรมัน

    Caption George B Lester ของฝ่ายข่าวกรองอเมริกัน แจ้งต่อวุฒิสภาว่า เมื่อถาม Heynen ว่า ทำไมกู้เงินจาก Kuhn, Loeb & Co คำตอบคือ “เราเห็นว่า Kuhn, Loeb & Co เป็นธนาคารของรัฐบาลเยอรมัน
    – เงินกู้จำนวนที่สาม มาจาก Chase National Bank (ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ Morgan) จำนวน 3 ล้านเหรียญ

    – เงินกู้จำนวนที่สี่ มาจาก Mechanics and Metal National Bank จำนวน 1 ล้านเหรียญ

    เงินกู้เหล่านี้นำไปใช้ในงานจารกรรมในอเมริกาและเม็กซิโก

    Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมัน ที่ประจำอยู่ที่อเมริกาขณะนั้น เล่าว่า เขาสนิทกับ Adolph Von Pavenstedt มาก จริงๆแล้ว Von Pavenstedt ก็สนิทกับเจ้าหน้าที่ของสถานฑูตเยอรมันทุกคนแหละ “Von Pavenstedt เป็นคนที่ได้รับการเคารพอย่างสูงจากผู้คนทั่วไป เขาอาจเป็นคนเยอรมัน ที่ได้รับการเคารพสูงสุดในนิวยอร์ค ก็ว่าได้”

    Von Pavenstedt เป็นหุ้นส่วนอาวุโสของ Armsinck & Co ซึ่งเป็นบริษัท ที่อยู่ภายใต้การบริหาร และการถือหุ้นของ American International Corporation (AIC) ที่มีคณะกรรมการ เป็นระดับเจ้าพ่อของวอลสตรีททั้งนั้น เช่น Rockefeller, Kahn, Stillman, Du Pont, Winthrop ฯลฯ

    Von Pavenstedt ไม่ได้เป็นเพียงหุ้นส่วนอาวุโส ของ Armsinck &Co อย่างเดียว แต่เขายังเป็นเฟืองตัวสำคัญของเครือข่ายสายลับเยอรมันในอเมริกาอีกด้วย เขาเป็นหัวหน้า ผู้ดูแล และทำหน้าที่จ่ายเงิน ให้แก่บรรดาสายลับเยอรมันในอเมริกา ตกลง Armsinck & Co ของ American International Corporation (AIC) ก็เป็นผู้ให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ในการให้ความสนับสนุนแก่สายลับเยอรมัน ทำจารกรรมในอเมริกาเอง ในช่วงที่กำลังมีสงครามนั่นแหละ

    เป็นไงครับ ชั่วถึงใจไหม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 3 นาย Olof Aschberg หรือ ที่พวกสื่อเรียกเขาว่า “Bolsheviks Banker” นายธนาคารของพวก Bolsheviks เป็นชาวสวีเดน และเป็นเจ้าของธนาคาร “Nya Banken ” ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1912 ที่เมือง Stockholm บรรดากรรมการของ Nya Banken เป็นพวกไฮโซ ในวงการธุรกิจและสังคมในสวีเดนทั้งนั้น แต่ในปี 1918 Nya Banken ก็ถูกฝ่ายสัมพันธมิตร ขึ้นบัญชีดำ เนื่องจากมีข้อกล่าวหาว่า ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมัน คู่ต่อสู้ของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่นาย Olof Aschberg ไม่เดือดร้อน เขาเลี่ยงบัญชีดำ โดยเปลี่ยนชื่อ Nya Banken เป็น Svensk Ekonomiebolaget (ชื่อยาวชมัด) แต่เขาก็ยังเป็นเจ้าของ และมีอำนาจจัดการอยู่เหมือนเดิม ธนาคารตัวแทนของ Nya Bank ที่ลอนดอน คือ British Bank of North Commerce ซึ่งประธานคือ Lord Earl Grey ซึ่งเป็นเพื่อนของนาย Cecil Rholds แห่งสมาคม Round Table ที่มีอิทธิพลสูงในอังกฤษ ที่เกือบจะเหมือนเป็นรัฐบาลเงาของอังกฤษอยู่แล้ว แบบนี้ Olof Aschberg คงไม่ต้องเกรงใจใคร ทำท่าจะเป็นเรื่องเล่นกันรอบวง ไม่มีใครตกหล่น ลงแขก หมาหมู่ รุมกันตื๊บ ร่วมกันโกง แย่งกันกิน สันดานแบบนี้ บางที ร้อยปีก็แก้ไม่หาย เผลอๆ หมาไน และอีแร้ง ยอมถอยให้ ส่วนแวดวงธุรกิจของ Olof Aschberg ก็ไม่ใช่ธรรมดา ผู้ที่เขาคบค้า เป็นพวกหัวแถวมีอิทธิพลในสมัยนั้นทั้งนั้น เช่น นาย Krassin ซึ่งเป็นผู้จัดการของ Siemens ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมของเยอรมันที่เมืองPetrograd นาย Carl Furstenberg รัฐมนตรีคลังของรัฐบาล Bolsheviks ชุดแรก และนาย Max May ชาวเยอรมันรองประธานฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust of New York ซึ่ง Olof Aschberg ประจบประแจง ชนิดแทบจะเอาลิ้นเช็ดรองเท้าให้ ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ.1916 Olof Aschberg เดินทางไปนิวยอร์คในฐานะ เจ้าของ Nya Banken และในฐานะตัวแทน ของนาย Pierre Bark รัฐมนตรีคลัง ของซาร์นิโคลัส เรียกว่า ไปแบบฟอร์มใหญ่ หนังสือพิมพ์ New York Time ฉบับวันที่ 4 สิงหาคม 1916 ลงข่าวว่า Aschberg มานิวยอร์ค เพื่อเจรจาเงินกู้ 50 ล้านเหรียญให้แก่ซาร์ของรัสเซีย กับกลุ่มธนาคารอเมริกัน ซึ่งนำโดย National City Bank ซึ่งใช้วิธีออกพันธบัตร ให้ผู้กู้ 50 ล้านเหรียญ กินดอกเบี้ย จากผู้กู้ และเอาพันธบัตรนั้นมาขายต่อในตลาดทุนของอเมริกา ทำกำไรอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกับที่เงินกู้ของรัสเซีย ภายใต้การปกครองของซาร์ กำลังขายว่อนกันอยู่ในตลาดทุนนิวยอร์ค Nya Banken และ Olof Aschberg ก็ส่งเงินอีกจำนวนที่รับมาจากรัฐบาลเยอรมัน ไปให้นักปฏิวัติชาวรัสเซีย ผู้ซึ่งจะไปล้มคณะผู้บริหารชุด Kerensky และเอาพวก Bolsheviks เข้ามาแทน ! หลักฐานที่แสดงว่า Olof Aschberg เป็นเครือข่ายใกล้ชิด ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่ Bolsheviks Revolution มาจากหลายแหล่ง แต่เอกสารที่แสดงให้เห็นชัดถึง ความเกี่ยวข้องของ Nya Banken คือในเอกสารชื่อ “The Charges Against the Bolsheviks” ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นในสมัยของ Kerensky โดยเฉพาะเอกสารชิ้นหนึ่ง ที่ลงชื่อโดย นาย Gregory Alexinsky อดีตสมาชิกรัฐสภา ซึ่งระบุถึงการโอนเงิน บางส่วนไว้ดังนี้ : “เกี่ยวกับเรื่องข้อมูล ที่เพิ่งจะได้รับเดี๋ยวนี้ ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับเรื่องการให้เงินใน Stockholm คือ : Bolsheviks Jacob Furstenberg หรือที่รู้จักกันดี ในนาม “Hanecki” และ Parvus (Dr. Helphand) ใน Petrograd : ทนายของ Bolsheviks, M.U. Kozlovsky.. … Kozlovsky เป็นหัวหน้า ในการรับเงินของพวกเยอรมัน และโอนจากเบอร์ลินผ่าน Disconto Gesellschaft มาที่ Stockholm ผ่านมาเข้าที่ Siberian Bank ใน Petrograd ซึ่งขณะนี้เงินในบัญชีดังกล่าว มีเกินกว่า 2 ล้านรูเบิล เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ได้ตรวจสอบ พบว่ามีโทรเลขติดต่อกัน ระหว่างตัวแทนเยอรมันและหัวหน้า Bolsheviks เกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองและการสนับสนุนทางการเงินด้วย” หลายปีต่อมา ประมาณปี ค.ศ.1922 โซเวียตได้ตั้งธนาคารระหว่างประเทศ ขึ้นเป็นครั้งแรกชื่อ Ruskombank (Foreign Commercial Bank หรือ Bank of Foreign Commerce) ผู้ร่วมทุนของธนาคารนี้ มี เยอรมัน สวีเดน อเมริกา และอังกฤษ และมีนาย Olof Aschberg เป็นประธาน ส่วนกรรมการอื่นๆ มีทั้งตัวแทนธนาคารตั้งแต่สมัยซาร์ยังมีอำนาจ ตัวแทนจากเยอรมัน ตัวแทนจากสวีเดน ตัวแทนของธนาคารอเมริกัน และตัวแทนของสหภาพโซเวียต สถานฑูตอเมริกาใน Stockholm รายงานไปทางวอซิงตันในเรื่องนี้ และขอให้ตรวจสอบเครดิตของ Aschberg ซึ่งมีข่าวว่า “แย่มาก” ต้นเดือนตุลาคม 1922 มีการพบกันที่ Berlin ระหว่าง Olof Aschberg กับ Emil Wittenberg กรรมการของ Nationalbank fur Deutschland และ Scheinmann ประธาน Russian State Bank เพื่อหารือ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเยอ รมันใน Ruskombank หลังจากนั้นทั้ง 3 คน ก็เดินทางไป Stockholm และพบกับนาย Max May รองประธานของ Guaranty Trust และมีการตกลงกันให้ Max May มาเป็นหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศของ Ruskombank แน่นอนตัวแทนของ Ruskombank ในอเมริกาคือ Guaranty Trust แต่แล้วในต้นปี 1924 เกิดการงัดข้อกัน ระหว่าง Ruskombank กับสำนักงานตัวแทนการค้าของโซเวียต (Soviet Foreign-Trade Commissariat) และ Olof Aschberg ก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง ที่ Ruskombank โดยถูกกล่าวหาว่าใช้เงินของธนาคารอย่างไม่สุจริต ภายหลัง Ruskombank เปลี่ยนชื่อเป็น Vneshtorg และใช้อยู่จนปัจจุบันนี้ นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 4 นอกจากจะเลี่ยงกฏหมาย ให้เงินกู้ แก่อังกฤษ ฝรั่งเศส เพื่อเข้าทำสงครามสู้กับเยอรมันแล้ว กลุ่มการเงินของอเมริกา ยังให้เงินกู้กับรัสเซียตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อเข้าร่วมกลุ่มกับอังกฤษ ฝรั่งเศส ทำสงคราม กับ ฝ่ายเยอรมันด้วย และเมื่อซาร์ถูกปฏิวัติโค่นล้ม เงินทุนที่ใช้ในการปฏิวัติโค่นซาร์ ก็มารู้กันภายหลังอีกว่า มาจากเงินทุน ของกลุ่มนักการเงินของอเมริกา กลุ่มเดิมนั่นแหละ ชั่วได้ใจจริงๆ แต่อย่าเพิ่งนึกว่า อเมริกาทำชั่วได้เพียงเท่านี้ ระหว่างที่กำลังทำสงครามโลกนั้น เยอรมันก็พยายามหาเงินกู้ เพื่อเอามาใช้ปฏิบัติงานด้านข่าวกรอง และจารกรรมทั้งในอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ แต่เราคงจะนึกไม่ถึงว่า เงินกู้ที่เยอรมันได้มานั้น ก็มาจากแหล่งเงินกู้กลุ่มเดิม คือ Guaranty Trust และ American International Corporation ซึ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดการ ก่อนและหลังการปฏิวัติของพวก Bolsheviks และรัฐบาลเยอรมัน ก็มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ผ่านนักปฏิวัติกลุ่ม Lenin รายงานการให้เงินกู้แก่พวกเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ของกลุ่มธนาคารอเมริกัน ได้ถูกส่งไปให้คณะกรรมาธิการ 1919 Overman Committee ของวุฒิสมาชิกอเมริกา มันเป็นรายงาน ที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา สรุปมาจากคำให้การของนาย Karl Heynen ซึ่งเดินทางเข้ามาในอเมริกาในเดือนเมษายน 1915 โดยอ้างว่า เพื่อมาช่วย Dr. Albert เกี่ยวกับธุรกิจและการเงินของรัฐบาลเยอรมัน หน้าที่ ที่เขาแจ้งกับทางการไว้คือ ดูแลการขนส่งสินค้าจากอเมริกา ผ่านสวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ และฮอลแลนด์ ไปให้เยอรมัน เงินกู้รายใหญ่ๆ ของเยอรมัน ที่มาจากแหล่งเงินกู้ในอเมริกาช่วงปี 1915 ถึง 1918 ตามคำให้การของ Heynen คือ – เงินกู้จำนวนแรก 4 แสนเหรียญ ทำการกู้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1914 ให้กู้โดย Kuhn, Loeb & Co มีหลักประกันเป็นเงินฝาก จำนวนเงิน 25 ล้านมาร์ค ฝากอยู่ที่ Max M. Warburg ในเมือง Hamburg ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Kuhn, Loeb & Co ที่เยอรมัน Caption George B Lester ของฝ่ายข่าวกรองอเมริกัน แจ้งต่อวุฒิสภาว่า เมื่อถาม Heynen ว่า ทำไมกู้เงินจาก Kuhn, Loeb & Co คำตอบคือ “เราเห็นว่า Kuhn, Loeb & Co เป็นธนาคารของรัฐบาลเยอรมัน – เงินกู้จำนวนที่สาม มาจาก Chase National Bank (ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ Morgan) จำนวน 3 ล้านเหรียญ – เงินกู้จำนวนที่สี่ มาจาก Mechanics and Metal National Bank จำนวน 1 ล้านเหรียญ เงินกู้เหล่านี้นำไปใช้ในงานจารกรรมในอเมริกาและเม็กซิโก Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมัน ที่ประจำอยู่ที่อเมริกาขณะนั้น เล่าว่า เขาสนิทกับ Adolph Von Pavenstedt มาก จริงๆแล้ว Von Pavenstedt ก็สนิทกับเจ้าหน้าที่ของสถานฑูตเยอรมันทุกคนแหละ “Von Pavenstedt เป็นคนที่ได้รับการเคารพอย่างสูงจากผู้คนทั่วไป เขาอาจเป็นคนเยอรมัน ที่ได้รับการเคารพสูงสุดในนิวยอร์ค ก็ว่าได้” Von Pavenstedt เป็นหุ้นส่วนอาวุโสของ Armsinck & Co ซึ่งเป็นบริษัท ที่อยู่ภายใต้การบริหาร และการถือหุ้นของ American International Corporation (AIC) ที่มีคณะกรรมการ เป็นระดับเจ้าพ่อของวอลสตรีททั้งนั้น เช่น Rockefeller, Kahn, Stillman, Du Pont, Winthrop ฯลฯ Von Pavenstedt ไม่ได้เป็นเพียงหุ้นส่วนอาวุโส ของ Armsinck &Co อย่างเดียว แต่เขายังเป็นเฟืองตัวสำคัญของเครือข่ายสายลับเยอรมันในอเมริกาอีกด้วย เขาเป็นหัวหน้า ผู้ดูแล และทำหน้าที่จ่ายเงิน ให้แก่บรรดาสายลับเยอรมันในอเมริกา ตกลง Armsinck & Co ของ American International Corporation (AIC) ก็เป็นผู้ให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ในการให้ความสนับสนุนแก่สายลับเยอรมัน ทำจารกรรมในอเมริกาเอง ในช่วงที่กำลังมีสงครามนั่นแหละ เป็นไงครับ ชั่วถึงใจไหม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 เม.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 1

    ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อาณาจักรของธุรกิจการเงิน การอุตสาหกรรมและการค้าของอเม ริกา ถูกครอบงำโดยยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่มคือ Standard Oil- Rockefeller Enterprise กลุ่มหนึ่ง และ Morgan อีกกลุ่มหนึ่ง ยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่ม น่าจะตีกัน แต่แปลก นอกจากไม่ตีกันแล้ว ยังจับมือร่วมกัน เพื่อครอบงำอาณาจักรธุรกิจของอเมริกาอีกด้วย โดยใช้วิธีการถือหุ้น และเป็นกรรมการบริษัท ไขว้กันไปมา มันเป็นการครอบงำ ที่แนบเนียน ยากที่คนภายนอกจะดูออก

    กลุ่ม Rockefeller เน้น การผูกขาดด้านอุตสาหกรรมน้ำมัน โดยเป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันStandard Oil ที่ใหญ่คับอเมริกา และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน รวมทั้ง ลงทุนในการสร้างทางรถไฟ พร้อมถือหุ้นส่วนใหญ่ใน กองทุนทองแดง กองทุนถลุงแร่ กองทุนยาสูบ แค่นั้นคงใหญ่ไม่พอ กลุ่มนี้จึงไปถือหุ้นส่วนใหญ่ใน National City Bank ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุด และรวมไปถึง บริษัทเงินทุนใหญ่ของอเมริกาคือ United State Trust Company และ Hanover Nation Bank และบริษัทประกันชีวิตระดับใหญ่ต่างๆ อีกด้วย

    ส่วนกลุ่ม Morgan เน้นการผูกขาดด้านอุตสาหกรรมเหล็ก การขนส่งทางเรือ การสร้างทางรถไฟ อุตสาหกรรมด้านเครื่องไฟฟ้า รวมถึง General Electric ยางพารา และสถาบันการเงิน เช่น National Bank of Commerce, the Chase National Bank, New York Life Insurance และ Guaranty Trust Company ที่มีบทบาทสำคัญ
    J.P. Morgan และ Guaranty Trust ถูกพาดพิง ว่าพัวพันเกือบตลอดระยะเวลา และเกือบทุกเรื่องราว เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียนี้ มารู้จักประวัติของกลุ่มนี้กันหน่อย

    ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กลุ่ม Guaranty Trust ยังเป็นของพวกตระกูล Harriman แต่เมื่อพี่ใหญ่ Edward Henry Harriman ตายในปี ค.ศ.1909 Morgan และพวก จึงเข้าไปกวาดซื้อหุ้นทั้งหมดของ Harriman และกลายเป็นเจ้าของ Guaranty Trust รวมทั้งบริษัทประกันในเครือแทน ต่อมาในปีเดียวกัน Morgan ก็ไล่ซื้อหุ้นของบริษัทอื่นๆ เพิ่มอีก และเอาเข้ามาอยู่ในชื่อของ Guaranty Trust หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 Guaranty Trust และ Bankers Trust จึงเป็นบริษัททรัสต์ ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง และอันดับสองของอเมริกา และทั้ง 2 กลุ่มบริษัท เป็นของกลุ่มทุน Morgan

    เห็นใยแมงมุมคร่าวๆ ของธุรกิจ ของยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ในช่วงแรกแล้วนะครับ

    ยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ต่างเข้าไปมีส่วน เกี่ยวพัน กับการสนับสนุนเงินทุนให้กับพวกปฏิวัติ Bolsheviks ตั้งแต่ก่อน ค.ศ.1917 แล้ว ไม่มากก็น้อย

    มีบันทึกแสดงว่า ค.ศ.1913 สำนักงานกฏหมาย Sullivan & Cromwell มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของปานามา เรื่องนี้อยู่ในบันทึกการไต่สวนของรัฐสภาในปี 1913 ซึ่งชี้แจงโดยสมาชิกสภา Rainey

    “….การปฏิวัติที่เกี่ยวกับช่องแคบปานามา ถ้าไม่ใช่เพราะรัฐบาล(อเมริกา) นี้เข้าไปมีส่วนแล้ว การปฏิวัติก็คงทำไม่สำเร็จแน่ มันเป็นการกระทำของรัฐบาลนี้ ที่ผิดตามสนธิสัญญา ค.ศ.1846 มันเป็นการปฏิวัติ ที่ทำโดยนักปฏิวัติชาวปานามา 10 ถึง 12 คน ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของบริษัท Panama Railroad & Steamship ซึ่งทำงานอยู่ในนิวยอร์ค และอยู่ในความดูแลของนาย William Nelson Cromwell และพวกเจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศในวอชิงตัน บุคคลเหล่านี้ รู้เรื่องการปฏิวัติที่กำลังจะ เกิดขึ้น อย่างดี วัตถุประสงค์ของการปฏิวัติ ก็เพื่อเข้าไปยึดโคลัมเบีย เพื่อจะครอบครอง คลองปานามา ด้วยการใช้เงิน 40 ล้านเหรียญ ”

    “ผมจะเสนอข้อพิสูจน์ เป็นเอกสาร ที่ประกาศอิสรภาพ ซึ่งประกาศในปานามา วันที่ 3 พฤศจิกายน 1903 เป็นเอกสารซึ่งจัดเตรียมขึ้นในนครนิวยอร์ค โดย สำนักงานของ Nelson Cromwell….”
    เอกสารตัวอย่างอีกรายการ ที่แสดงให้เห็น ถึงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ ของพวก Wall Street ที่ ดำเนินการในนิวยอร์คคือ การปฏิวัติในจีน ปี ค.ศ.1912 ซึ่งนำโดยนายซุนยัดเซ็น (Sun Yat-sen) แม้ว่าสุดท้ายแล้ว การเข้าไปยุ่งกับการปฏิวัติของกลุ่มนักการเงินนี้ จะได้รับผลตอบแทนอย่างไร จะยังไม่เห็นชัด แต่เจตนาและบทบาทของนักการเงินนิวยอร์คเหล่านั้น ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด ถึงจำนวนเงิน ข้อมูลของสมาคมลับทางฝั่งจีนที่ให้ร่วมมือ รวมทั้งมีรายการส่งอาวุธ ที่ต้องการให้ซื้อและส่งให้ทางเรือด้วย

    กลุ่มนักการเงินนิวยอร์ค ที่ร่วมกันปฏิวัติกับซุนยัดเซ็น มีชื่อนาย Charles B. Hill ทนายจากสำนักงาน Hunt, Hill & Betts ซึ่งในปี ค.ศ.1912 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 165 ถนนบรอดเวย์ นิวยอร์ค แต่ในปี 1917 ย้ายไปอยู่ที่ 120 บรอดเวย์

    นาย Charles B. Hill นี้ เป็นกรรมการของหลายบริษัทในเครือ Westinghouse, Bryant Electric, Perkins Electric Switch และ Westinghouse Lamp ทั้งหมดเป็นบริษัทในเครือของ Westinghouse Electric ที่มีสำนักงานในนิวยอร์คอยู่ที่ เลขที่ 120 Broadway และนาย Charles R. Crane ผู้ที่จัดตั้งบริษัทในเครือ Westinghouse ในรัสเซีย ก็เป็นที่รู้กันดีว่า เขามีบทบาทสำคัญ เกี่ยวกับการทำปฏิวัติของพวก Bolsheviks และเขาก็เดินทางไปรัสเซีย พร้อมกับกลุ่มของ Trotsky ในช่วงเดือนมีนาคม 1917

    การดำเนินงานของ Hill Syndicate ที่เมืองจีนในปี 1910 ถูกบันทึกไว้ในหลักฐาน เรียกว่า Laurence Boothe Papers ที่เก็บอยู่ใน Hoover Institute เอกสาร ชุดนี้มี 110 รายการ รวมทั้งจดหมาย ของซุนยัดเซ็น ที่ติดต่อกับชาวอเมริกันที่หนุนหลังเขา และเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกอเมริกันสนับสนุนทางการเงิน ซุนยัดเซ็น สัญญากับ Hill Syndicate ที่จะจัดการให้สัมปทานรถไฟ ธนาคาร และสัมปทานการค้าอีกหลายรายการ หลังจากการปฏิวัติที่จีนทำสำเร็จ
    อีกกรณีที่แสดงว่า เป็นการปฏิวัติ ที่มีการสนับสนุนโดยกลุ่มธุรกิจการ เงินในนิวยอร์ค คือ การปฏิวัติที่ Mexico ใน ปี 1915-1916 สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งอาศัยอยู่ในอเมริกา ถูกกล่าวหาและถูกดำเนินคดีในนิวยอร์คเมื่อเดือนพฤษภาคม 1917 ว่าได้มีการพยายามโยงเอารัฐบาลอเมริกัน ไปเกี่ยวพันกับเม็กซิโก และญี่ปุ่น โดยพยายามขนย้ายอาวุธยุทธภันฑ์ ที่จัดส่งไปให้สัมพันธมิตรในยุโรป โดยมีการจ่ายเงิน ให้ส่งอาวุธนั้นไปให้นักปฏิวัติชาวเม็กซิกันคือ Pancho Villa แทน โดยการจ่ายเงินผ่าน Guaranty Trust เป็นจำนวนเงิน 380,000 เหรียญ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 1915

    การเกี่ยวพันของกลุ่มวอลสตรีท กับการปฏิวัติของเม็กซิกันนี้ ได้ปรากฏอยู่ในจดหมายของนาย Linclon Steffens คอมมิวนิสต์อเมริกัน ที่มีไปถึง Colonel House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ของประธานาธิบดี Wilson และได้มีการรายงานอยู่ใน นสพ. New York Times เรื่อง “Texas Revolution (การซ้อมใหญ่ก่อนการแสดงจริง ของการปฏิวัติพวก Bolsheviks)” ว่าเป็นการร่วมมือกัน ระหว่างพวกเยอรมันกับพวก Bolsheviks

    และจากการให้การของ John A Walls อัยการเขตประจำเมือง Brownsville Texas ต่อคณะกรรมาธิการ 1919 Fall Committee ซึ่งส่งมอบเอกสาร ที่มีหลักฐานแสดงว่า มีความเชื่อมโยงระหว่างผลประโยชน์ในอเมริกา, พวก Bolsheviks, กลุ่มนักเคลื่อนไหวชาวเยอรมัน และกองกำลังของ Carranza ในเม็กซิโก

    รัฐบาล Carranza นี้ ได้ชื่อว่า เป็นรัฐบาลแรกในโลก ที่มีการปกครองที่ใช้รัฐธรรมนูญแบบเดียวกับของโซเวียต (ซึ่งร่างตามแบบของ Trotsky) และได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มวอลสตรีทให้เป็นรัฐบาล

    การปฏิวัติ Carranza ไม่ มีทางสำเร็จได้ ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุน ด้านอาวุธยุทธภัณฑ์จากอเมริกา และไม่สามารถจะอยู่ในอำนาจได้นาน ถ้าไม่มีการช่วยเหลือจากอเมริกา

    การปฏิวัติรัสเซียของกลุ่ม Bolsheviks ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มี นายธนาคารชาวสวีเดน Olof Aschberg เป็นตัวกลางประสาน กลุ่มวอลสตรีท กับอีกหลายๆฝ่าย ก็คงไม่สำเร็จเหมือนกัน

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 2

    ยุโรปเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในเดือนสิงหาคม 1914 ส่วนอเมริกายังไม่เข้าร่วมทำสงครามโลก และประกาศตัวเป็นกลาง ภายใต้กฏหมายระหว่างประเทศ ประเทศที่ประกาศตัวเป็นกลาง ไม่สามารถให้เงินกู้ กับประเทศที่กำลังทำสงครามได้ มันเป็นเรื่องของการขัดต่อกฏหมาย และขัดศีลธรรม แต่ดูเหมือนกลุ่มวอลสตรีท และอเมริกา จะไม่เห็นว่า 2 เรื่องนี้ เป็นปัญหาแต่อย่างใด

    และน้อยคนที่จะรู้ว่า เมื่ออังกฤษจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น อังกฤษเองก็กำลังถังแตก เงินคงคลังหมดเกลี้ยง รัฐบาลอังกฤษปิดปากแน่นสนิท ไม่ให้ประชาชนและสื่อรู้เรื่อง แต่อังกฤษก็ยังเดินหน้าตามแผนเข้าสู่สงครามโลก เนื่องจากมีเป้าหมายชัดเจนที่จะขจัดเยอรมัน ให้ออกไปจากเส้นทางตามแผนสู่การ เป็นมหาอำนาจใหญ่ หมายเลขหนึ่งของโลก ที่อังกฤษวางไว้ แค่เป็นจักรภพอังกฤษ มันใหญ๋ไม่พอ สำหรับชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย ของเท้าซ้าย

    อังกฤษทำได้อย่างไร ทำสงครามทั้งๆที่ไม่มีเงิน อังกฤษทำได้เพราะมี กลุ่ม Morgan จัดการให้ Morgan ได้รับมอบหมายจากอังกฤษ ให้ทำหน้าที่ เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวของอังกฤษเพื่อระดมทุน โดยการออกพันธบัตรสงคราม ( War Bond) ในปี 1915 แถม และระดมทุนเผื่อฝรั่งเศสอีกด้วย อังกฤษ รวมทั้งฝรั่งเศส เข้าสู่สงครามโลกด้วยการกู้ยืมเงินจากอเมริกา ที่บอกว่าเป็นกลางและไม่ร่วมทำสงครามด้วย !

    J.P. Morgan ตะแบงว่าไม่ใช่เป็นเงินให้กู้เพื่อทำสงคราม แต่เป็นเพียงวิธีการจัดการ เพื่อให้เอาเงินไปใช้ ในด้านการค้าขายระหว่างประเทศเท่านั้น มีปัญหาไหม

    จะมีปัญหาได้อย่างไร เพราะผู้ที่ออกมาอธิบาย สนันสนุนการออกพันธบัตร War Bond ของ Morgan คือ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา

    ประธานาธิบดี Wilson ทำหน้าที่ เหมือนเป็นผู้รับประกันการขายพันธบัตร ( underwriter) เขาบอกว่า มันเป็นพันธบัตรที่ออกขายในอเมริกา เพื่อนำเงินที่ได้จากการขาย ไปให้รัฐบาลต่างชาติ ใช้เป็นเงินคงคลัง หรือเงินเก็บน่ะ เขาไม่ได้เอาไปใช้ในการสงคราม ในทางปฏิบัติ อังกฤษและฝรั่งเศส นำเงินที่ได้รับ ลงบัญชีเป็นเงินฝากในประเทศของตัว และใช้เป็นหลักประกันในการสั่งซื้อสินค้า และยุทธภัณฑ์ต่างๆ จากอเมริกา เพื่อใช้ในการทำสงคราม มันผิดกฏหมายเกี่ยวกับความเป็นกลางตรงไหน
    นี่มันเรื่อง 100 ปีมาแล้ว นักการเงินของเขา ยังคิดตะแบงได้ขนาดนี้ แล้วเดี๋ยวนี้เขาจะพลิกแพลงขนาดไหน แต่สมันน้อยอย่าเพิ่งขวัญอ่อนตกใจ มันก็ใช้สูตรเดิมๆ นั่นแหละ แค่เปลี่ยนชื่อเรียก เติมลูกเล่น สลับขั้นตอนเข้าไปอีกหน่อย แค่นั้นเราก็มึน คิดตามมันกันไม่ทันไปค่อนโลก แต่ถ้าเราไม่ว่าง่ายเชื่อมันไปหมด ในสิ่งที่มันสร้างมาหลอกเรา เราก็รู้ทันมันได้ ฝรั่งมันไม่ได้ฉลาดเก่งกว่าเรานักหรอกครับ

    แค่ออกพันธบัตร War Bond ให้อังกฤษกับฝรั่งเศส สงครามโลกคงไม่ได้เกิดขึ้นตามแผนที่วางไว้ ดังนั้น กลุ่มนักการเงินของอเมริกา จึงต้องสนับสนุนเงินกู้ให้รัสเซียด้วย ตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อให้มีเงินมาร่วมทำสงครามสู้กับฝ่ายเยอรมัน ตามที่ฝ่ายสัมพันธมิตร หรืออังกฤษต้องการ

    เจ้ามือให้เงินกู้ลูกค้ารอบวงแบบนี้ เจ้ามือคงปิดทางเจ๊งไว้เรียบร้อยแล้ว

    มีหลักฐานเป็นเอกสารของกระทรวง ต่างประเทศ ที่แสดงว่า National City Bank ซึ่งมีกลุ่ม Stillman และ Rockefeller เป็นเจ้าของ และ Guaranty Trust ซึ่งเป็นของกลุ่ม Morgan ได้ร่วมกันให้เงินกู้ก้อนใหญ่แก่รัสเซีย ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงคราม และเป็นการให้กู้หลังจากที่กระทรวงต่างประเทศ ได้แจ้งกับกลุ่มผู้ให้กู้ว่า เป็นการผิดกฏหมายระหว่างประเทศ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 1 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อาณาจักรของธุรกิจการเงิน การอุตสาหกรรมและการค้าของอเม ริกา ถูกครอบงำโดยยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่มคือ Standard Oil- Rockefeller Enterprise กลุ่มหนึ่ง และ Morgan อีกกลุ่มหนึ่ง ยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่ม น่าจะตีกัน แต่แปลก นอกจากไม่ตีกันแล้ว ยังจับมือร่วมกัน เพื่อครอบงำอาณาจักรธุรกิจของอเมริกาอีกด้วย โดยใช้วิธีการถือหุ้น และเป็นกรรมการบริษัท ไขว้กันไปมา มันเป็นการครอบงำ ที่แนบเนียน ยากที่คนภายนอกจะดูออก กลุ่ม Rockefeller เน้น การผูกขาดด้านอุตสาหกรรมน้ำมัน โดยเป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันStandard Oil ที่ใหญ่คับอเมริกา และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน รวมทั้ง ลงทุนในการสร้างทางรถไฟ พร้อมถือหุ้นส่วนใหญ่ใน กองทุนทองแดง กองทุนถลุงแร่ กองทุนยาสูบ แค่นั้นคงใหญ่ไม่พอ กลุ่มนี้จึงไปถือหุ้นส่วนใหญ่ใน National City Bank ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุด และรวมไปถึง บริษัทเงินทุนใหญ่ของอเมริกาคือ United State Trust Company และ Hanover Nation Bank และบริษัทประกันชีวิตระดับใหญ่ต่างๆ อีกด้วย ส่วนกลุ่ม Morgan เน้นการผูกขาดด้านอุตสาหกรรมเหล็ก การขนส่งทางเรือ การสร้างทางรถไฟ อุตสาหกรรมด้านเครื่องไฟฟ้า รวมถึง General Electric ยางพารา และสถาบันการเงิน เช่น National Bank of Commerce, the Chase National Bank, New York Life Insurance และ Guaranty Trust Company ที่มีบทบาทสำคัญ J.P. Morgan และ Guaranty Trust ถูกพาดพิง ว่าพัวพันเกือบตลอดระยะเวลา และเกือบทุกเรื่องราว เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียนี้ มารู้จักประวัติของกลุ่มนี้กันหน่อย ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กลุ่ม Guaranty Trust ยังเป็นของพวกตระกูล Harriman แต่เมื่อพี่ใหญ่ Edward Henry Harriman ตายในปี ค.ศ.1909 Morgan และพวก จึงเข้าไปกวาดซื้อหุ้นทั้งหมดของ Harriman และกลายเป็นเจ้าของ Guaranty Trust รวมทั้งบริษัทประกันในเครือแทน ต่อมาในปีเดียวกัน Morgan ก็ไล่ซื้อหุ้นของบริษัทอื่นๆ เพิ่มอีก และเอาเข้ามาอยู่ในชื่อของ Guaranty Trust หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 Guaranty Trust และ Bankers Trust จึงเป็นบริษัททรัสต์ ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง และอันดับสองของอเมริกา และทั้ง 2 กลุ่มบริษัท เป็นของกลุ่มทุน Morgan เห็นใยแมงมุมคร่าวๆ ของธุรกิจ ของยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ในช่วงแรกแล้วนะครับ ยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ต่างเข้าไปมีส่วน เกี่ยวพัน กับการสนับสนุนเงินทุนให้กับพวกปฏิวัติ Bolsheviks ตั้งแต่ก่อน ค.ศ.1917 แล้ว ไม่มากก็น้อย มีบันทึกแสดงว่า ค.ศ.1913 สำนักงานกฏหมาย Sullivan & Cromwell มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของปานามา เรื่องนี้อยู่ในบันทึกการไต่สวนของรัฐสภาในปี 1913 ซึ่งชี้แจงโดยสมาชิกสภา Rainey “….การปฏิวัติที่เกี่ยวกับช่องแคบปานามา ถ้าไม่ใช่เพราะรัฐบาล(อเมริกา) นี้เข้าไปมีส่วนแล้ว การปฏิวัติก็คงทำไม่สำเร็จแน่ มันเป็นการกระทำของรัฐบาลนี้ ที่ผิดตามสนธิสัญญา ค.ศ.1846 มันเป็นการปฏิวัติ ที่ทำโดยนักปฏิวัติชาวปานามา 10 ถึง 12 คน ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของบริษัท Panama Railroad & Steamship ซึ่งทำงานอยู่ในนิวยอร์ค และอยู่ในความดูแลของนาย William Nelson Cromwell และพวกเจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศในวอชิงตัน บุคคลเหล่านี้ รู้เรื่องการปฏิวัติที่กำลังจะ เกิดขึ้น อย่างดี วัตถุประสงค์ของการปฏิวัติ ก็เพื่อเข้าไปยึดโคลัมเบีย เพื่อจะครอบครอง คลองปานามา ด้วยการใช้เงิน 40 ล้านเหรียญ ” “ผมจะเสนอข้อพิสูจน์ เป็นเอกสาร ที่ประกาศอิสรภาพ ซึ่งประกาศในปานามา วันที่ 3 พฤศจิกายน 1903 เป็นเอกสารซึ่งจัดเตรียมขึ้นในนครนิวยอร์ค โดย สำนักงานของ Nelson Cromwell….” เอกสารตัวอย่างอีกรายการ ที่แสดงให้เห็น ถึงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ ของพวก Wall Street ที่ ดำเนินการในนิวยอร์คคือ การปฏิวัติในจีน ปี ค.ศ.1912 ซึ่งนำโดยนายซุนยัดเซ็น (Sun Yat-sen) แม้ว่าสุดท้ายแล้ว การเข้าไปยุ่งกับการปฏิวัติของกลุ่มนักการเงินนี้ จะได้รับผลตอบแทนอย่างไร จะยังไม่เห็นชัด แต่เจตนาและบทบาทของนักการเงินนิวยอร์คเหล่านั้น ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด ถึงจำนวนเงิน ข้อมูลของสมาคมลับทางฝั่งจีนที่ให้ร่วมมือ รวมทั้งมีรายการส่งอาวุธ ที่ต้องการให้ซื้อและส่งให้ทางเรือด้วย กลุ่มนักการเงินนิวยอร์ค ที่ร่วมกันปฏิวัติกับซุนยัดเซ็น มีชื่อนาย Charles B. Hill ทนายจากสำนักงาน Hunt, Hill & Betts ซึ่งในปี ค.ศ.1912 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 165 ถนนบรอดเวย์ นิวยอร์ค แต่ในปี 1917 ย้ายไปอยู่ที่ 120 บรอดเวย์ นาย Charles B. Hill นี้ เป็นกรรมการของหลายบริษัทในเครือ Westinghouse, Bryant Electric, Perkins Electric Switch และ Westinghouse Lamp ทั้งหมดเป็นบริษัทในเครือของ Westinghouse Electric ที่มีสำนักงานในนิวยอร์คอยู่ที่ เลขที่ 120 Broadway และนาย Charles R. Crane ผู้ที่จัดตั้งบริษัทในเครือ Westinghouse ในรัสเซีย ก็เป็นที่รู้กันดีว่า เขามีบทบาทสำคัญ เกี่ยวกับการทำปฏิวัติของพวก Bolsheviks และเขาก็เดินทางไปรัสเซีย พร้อมกับกลุ่มของ Trotsky ในช่วงเดือนมีนาคม 1917 การดำเนินงานของ Hill Syndicate ที่เมืองจีนในปี 1910 ถูกบันทึกไว้ในหลักฐาน เรียกว่า Laurence Boothe Papers ที่เก็บอยู่ใน Hoover Institute เอกสาร ชุดนี้มี 110 รายการ รวมทั้งจดหมาย ของซุนยัดเซ็น ที่ติดต่อกับชาวอเมริกันที่หนุนหลังเขา และเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกอเมริกันสนับสนุนทางการเงิน ซุนยัดเซ็น สัญญากับ Hill Syndicate ที่จะจัดการให้สัมปทานรถไฟ ธนาคาร และสัมปทานการค้าอีกหลายรายการ หลังจากการปฏิวัติที่จีนทำสำเร็จ อีกกรณีที่แสดงว่า เป็นการปฏิวัติ ที่มีการสนับสนุนโดยกลุ่มธุรกิจการ เงินในนิวยอร์ค คือ การปฏิวัติที่ Mexico ใน ปี 1915-1916 สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งอาศัยอยู่ในอเมริกา ถูกกล่าวหาและถูกดำเนินคดีในนิวยอร์คเมื่อเดือนพฤษภาคม 1917 ว่าได้มีการพยายามโยงเอารัฐบาลอเมริกัน ไปเกี่ยวพันกับเม็กซิโก และญี่ปุ่น โดยพยายามขนย้ายอาวุธยุทธภันฑ์ ที่จัดส่งไปให้สัมพันธมิตรในยุโรป โดยมีการจ่ายเงิน ให้ส่งอาวุธนั้นไปให้นักปฏิวัติชาวเม็กซิกันคือ Pancho Villa แทน โดยการจ่ายเงินผ่าน Guaranty Trust เป็นจำนวนเงิน 380,000 เหรียญ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 1915 การเกี่ยวพันของกลุ่มวอลสตรีท กับการปฏิวัติของเม็กซิกันนี้ ได้ปรากฏอยู่ในจดหมายของนาย Linclon Steffens คอมมิวนิสต์อเมริกัน ที่มีไปถึง Colonel House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ของประธานาธิบดี Wilson และได้มีการรายงานอยู่ใน นสพ. New York Times เรื่อง “Texas Revolution (การซ้อมใหญ่ก่อนการแสดงจริง ของการปฏิวัติพวก Bolsheviks)” ว่าเป็นการร่วมมือกัน ระหว่างพวกเยอรมันกับพวก Bolsheviks และจากการให้การของ John A Walls อัยการเขตประจำเมือง Brownsville Texas ต่อคณะกรรมาธิการ 1919 Fall Committee ซึ่งส่งมอบเอกสาร ที่มีหลักฐานแสดงว่า มีความเชื่อมโยงระหว่างผลประโยชน์ในอเมริกา, พวก Bolsheviks, กลุ่มนักเคลื่อนไหวชาวเยอรมัน และกองกำลังของ Carranza ในเม็กซิโก รัฐบาล Carranza นี้ ได้ชื่อว่า เป็นรัฐบาลแรกในโลก ที่มีการปกครองที่ใช้รัฐธรรมนูญแบบเดียวกับของโซเวียต (ซึ่งร่างตามแบบของ Trotsky) และได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มวอลสตรีทให้เป็นรัฐบาล การปฏิวัติ Carranza ไม่ มีทางสำเร็จได้ ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุน ด้านอาวุธยุทธภัณฑ์จากอเมริกา และไม่สามารถจะอยู่ในอำนาจได้นาน ถ้าไม่มีการช่วยเหลือจากอเมริกา การปฏิวัติรัสเซียของกลุ่ม Bolsheviks ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มี นายธนาคารชาวสวีเดน Olof Aschberg เป็นตัวกลางประสาน กลุ่มวอลสตรีท กับอีกหลายๆฝ่าย ก็คงไม่สำเร็จเหมือนกัน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 2 ยุโรปเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในเดือนสิงหาคม 1914 ส่วนอเมริกายังไม่เข้าร่วมทำสงครามโลก และประกาศตัวเป็นกลาง ภายใต้กฏหมายระหว่างประเทศ ประเทศที่ประกาศตัวเป็นกลาง ไม่สามารถให้เงินกู้ กับประเทศที่กำลังทำสงครามได้ มันเป็นเรื่องของการขัดต่อกฏหมาย และขัดศีลธรรม แต่ดูเหมือนกลุ่มวอลสตรีท และอเมริกา จะไม่เห็นว่า 2 เรื่องนี้ เป็นปัญหาแต่อย่างใด และน้อยคนที่จะรู้ว่า เมื่ออังกฤษจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น อังกฤษเองก็กำลังถังแตก เงินคงคลังหมดเกลี้ยง รัฐบาลอังกฤษปิดปากแน่นสนิท ไม่ให้ประชาชนและสื่อรู้เรื่อง แต่อังกฤษก็ยังเดินหน้าตามแผนเข้าสู่สงครามโลก เนื่องจากมีเป้าหมายชัดเจนที่จะขจัดเยอรมัน ให้ออกไปจากเส้นทางตามแผนสู่การ เป็นมหาอำนาจใหญ่ หมายเลขหนึ่งของโลก ที่อังกฤษวางไว้ แค่เป็นจักรภพอังกฤษ มันใหญ๋ไม่พอ สำหรับชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย ของเท้าซ้าย อังกฤษทำได้อย่างไร ทำสงครามทั้งๆที่ไม่มีเงิน อังกฤษทำได้เพราะมี กลุ่ม Morgan จัดการให้ Morgan ได้รับมอบหมายจากอังกฤษ ให้ทำหน้าที่ เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวของอังกฤษเพื่อระดมทุน โดยการออกพันธบัตรสงคราม ( War Bond) ในปี 1915 แถม และระดมทุนเผื่อฝรั่งเศสอีกด้วย อังกฤษ รวมทั้งฝรั่งเศส เข้าสู่สงครามโลกด้วยการกู้ยืมเงินจากอเมริกา ที่บอกว่าเป็นกลางและไม่ร่วมทำสงครามด้วย ! J.P. Morgan ตะแบงว่าไม่ใช่เป็นเงินให้กู้เพื่อทำสงคราม แต่เป็นเพียงวิธีการจัดการ เพื่อให้เอาเงินไปใช้ ในด้านการค้าขายระหว่างประเทศเท่านั้น มีปัญหาไหม จะมีปัญหาได้อย่างไร เพราะผู้ที่ออกมาอธิบาย สนันสนุนการออกพันธบัตร War Bond ของ Morgan คือ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา ประธานาธิบดี Wilson ทำหน้าที่ เหมือนเป็นผู้รับประกันการขายพันธบัตร ( underwriter) เขาบอกว่า มันเป็นพันธบัตรที่ออกขายในอเมริกา เพื่อนำเงินที่ได้จากการขาย ไปให้รัฐบาลต่างชาติ ใช้เป็นเงินคงคลัง หรือเงินเก็บน่ะ เขาไม่ได้เอาไปใช้ในการสงคราม ในทางปฏิบัติ อังกฤษและฝรั่งเศส นำเงินที่ได้รับ ลงบัญชีเป็นเงินฝากในประเทศของตัว และใช้เป็นหลักประกันในการสั่งซื้อสินค้า และยุทธภัณฑ์ต่างๆ จากอเมริกา เพื่อใช้ในการทำสงคราม มันผิดกฏหมายเกี่ยวกับความเป็นกลางตรงไหน นี่มันเรื่อง 100 ปีมาแล้ว นักการเงินของเขา ยังคิดตะแบงได้ขนาดนี้ แล้วเดี๋ยวนี้เขาจะพลิกแพลงขนาดไหน แต่สมันน้อยอย่าเพิ่งขวัญอ่อนตกใจ มันก็ใช้สูตรเดิมๆ นั่นแหละ แค่เปลี่ยนชื่อเรียก เติมลูกเล่น สลับขั้นตอนเข้าไปอีกหน่อย แค่นั้นเราก็มึน คิดตามมันกันไม่ทันไปค่อนโลก แต่ถ้าเราไม่ว่าง่ายเชื่อมันไปหมด ในสิ่งที่มันสร้างมาหลอกเรา เราก็รู้ทันมันได้ ฝรั่งมันไม่ได้ฉลาดเก่งกว่าเรานักหรอกครับ แค่ออกพันธบัตร War Bond ให้อังกฤษกับฝรั่งเศส สงครามโลกคงไม่ได้เกิดขึ้นตามแผนที่วางไว้ ดังนั้น กลุ่มนักการเงินของอเมริกา จึงต้องสนับสนุนเงินกู้ให้รัสเซียด้วย ตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อให้มีเงินมาร่วมทำสงครามสู้กับฝ่ายเยอรมัน ตามที่ฝ่ายสัมพันธมิตร หรืออังกฤษต้องการ เจ้ามือให้เงินกู้ลูกค้ารอบวงแบบนี้ เจ้ามือคงปิดทางเจ๊งไว้เรียบร้อยแล้ว มีหลักฐานเป็นเอกสารของกระทรวง ต่างประเทศ ที่แสดงว่า National City Bank ซึ่งมีกลุ่ม Stillman และ Rockefeller เป็นเจ้าของ และ Guaranty Trust ซึ่งเป็นของกลุ่ม Morgan ได้ร่วมกันให้เงินกู้ก้อนใหญ่แก่รัสเซีย ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงคราม และเป็นการให้กู้หลังจากที่กระทรวงต่างประเทศ ได้แจ้งกับกลุ่มผู้ให้กู้ว่า เป็นการผิดกฏหมายระหว่างประเทศ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 เม.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 288 Views 0 Reviews
  • ทีมบริหารชุดใหญ่! เพื่อไทยแต่งตั้งรองหัวหน้าพรรค 13 คน จัดสรร สส. คุมพื้นที่ กทม. ภาคกลาง ภาคใต้ และอีสาน
    https://www.thai-tai.tv/news/22137/
    .
    #ไทยไท #จุลพันธ์อมรวิวัฒน์ #พรรคเพื่อไทย #กรรมการบริหารพรรค #ประเสริฐจันทรรวงทอง #กกบหชุดใหม่

    ทีมบริหารชุดใหญ่! เพื่อไทยแต่งตั้งรองหัวหน้าพรรค 13 คน จัดสรร สส. คุมพื้นที่ กทม. ภาคกลาง ภาคใต้ และอีสาน https://www.thai-tai.tv/news/22137/ . #ไทยไท #จุลพันธ์อมรวิวัฒน์ #พรรคเพื่อไทย #กรรมการบริหารพรรค #ประเสริฐจันทรรวงทอง #กกบหชุดใหม่
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ป้ายปลอม
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 2 “ป้ายปลอม”
    ตอน 1

    ต้นปี ค.ศ.1918 นาย Edgar Sisson ผู้แทนของคณะกรรมาธิการ ด้านข้อมูลสาธารณะ (US Committee on Public Information ของอเมริกา) มาสำรวจและตรวจสอบหลักฐานที่เมือง Petrograd เนื่องจากมีข่าวว่าพวก Bolsheviks ซึ่งบุคคลหลายกลุ่มในอเมริกากำลังสนับสนุนนั้น เป็นพวกเยอรมัน ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริง ก็น่าจะมีผลกระทบกับความสัมพันธ์ ระหว่างอเมริกากับอังกฤษอย่างยิ่ง

    หลังจากสำรวจเสร็จ นาย Edgar Sission ก็หอบเอาเอกสารของรัสเซียมัดใหญ่ ซึ่งอ้างว่ามีข้อพิสูจน์ว่า Trotsky และ Lenin และพวกปฏิวัติ Bolsheviks ทั้งก๊วนเป็นสายลับของรัฐบาลเยอรมัน เอกสารเหล่านั้น ต่อมาเรียกว่า “Sission Documents”

    Sission Documents ถูกขนขึ้นเรือมาอย่างเร่งรีบและปิดลับ เพื่อนำส่งไปที่กรุงวอซิงตัน ให้คณะกรรมการ National Board for Historical Service ทำการพิสูจน์ว่าเอกสารทั้งมัดใหญ่นั่น เป็นของแท้ หรือเป็นของปลอม ถูกแต่งมาต้มกันหรือเปล่า

    นักประวัติศาสตร์ชื่อดัง 2 คน J. Franklin Jameson และ Samuel N. Harper ถูกเรียกมาทำหน้าที่ตรวจสอบ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อย เขาแบ่งเอกสารออกเป็น 3 กลุ่ม
    เกี่ยวกับเอกสารกลุ่ม 1 นักประวัติศาสตร์ทั้ง 2 สรุปว่า

    “เราได้ตรวจสอบด้วยความระมัดระวังในทุกด้าน ตามที่นักเรียนประวัติศาสตร์จะรู้จักและใช้เป็นแนวทาง จากการตรวจสอบหลักฐานดังกล่าว เราไม่มีความลังเลที่จะประกาศว่า เราไม่มีเหตุผลที่จะตั้งข้อสงสัย ถึงความเป็นของแท้ของเอกสาร 53 ชิ้นนี้” แปลว่า พวกเขามีความเห็นว่า เอกสาร 52 ชิ้นนั้น เป็นของแท้ แต่นักวิชาการ ต้องพูดให้เข้าใจยากไว้ก่อน
    สำหรับเอกสารกลุ่ม 2 นักประวัติศาสตร์ทั้ง 2 มั่นใจน้อยลง แต่ก็ไม่ใช้คำว่า เป็นเอกสารปลอม พวกเขาให้ความเห็นว่า น่าจะเป็นสำเนาของเอกสารต้นฉบับ

    ส่วน เอกสารกลุ่ม 3 พวกเขาไม่มีความมั่นใจเลย ในความจริงแท้ของเอกสาร แต่ก็ยังไม่อยากที่จะเรียกว่าเป็นเอกสารปลอม ขอดูต่อไป (เผื่อจะมีอะไรมาทำให้ชัดขึ้นว่า แท้หรือปลอม ทำนองนั้น)

    Sission Documents ถูกนำไปพิมพ์โดย Committee on Public Information ซึ่งประธานคือ George Creel ซึ่งปรากฏภายหลังว่า เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนขบวนการ Bolsheviks

    เมื่อเอกสารออกไปสู่สาธารณะ บรรดาสื่ออเมริกันส่วนใหญ่มีความเห็นว่าเป็นเอกสารจริง เว้นแต่ New York Evening Post ซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าของโดย Thomas W. Lamont หุ้นส่วนของกลุ่ม Morgan หนังสือพิมพ์ Evening Post ถึงกับท้าทายความเป็นของแท้ของเอกสาร

    ต่อมาภายหลัง Sission Documents มีการตรวจสอบใหม่ และผลปรากฏว่าเอกสารเกือบทั้งหมด เป็นของปลอม ! ข้อผิดพลาดที่ปรากฏในเอกสารส่วนใหญ่ เป็นเรื่องของความไม่สอดคล้องในการสะกดชื่อ วันที่อ้าง ตราประทับ ฯลฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ระมัดระวังของผู้ทำเอกสาร หรือใช้มืออ่อนหัดในตลาดการปลอมเอกสารมาดำเนินการ

    แต่ Sission Documents นี้ ก็ถูกนำมาใช้อ้างในงานค้นคว้าศึกษา เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียของพวก Bolsheviks มากมาย และโดยทั่วไปแม้จะเป็นเอกสารปลอม แต่เหตุการณ์ที่อ้างไว้ในเอกสาร ส่วนใหญ่เป็นเหตการณ์จริง

    ที่น่าสนใจคือ เอกสารทั้งหมดถูกส่งไปให้ Edgar Sisson โดย Alexander Gumberg (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Berg ซึ่งชื่อจริงคือ Michael Gruzenberg) ซึ่งตัวแทนของ Bolsheviks ในสแกนดิเนเวีย และต่อมาเป็นที่ปรึกษาพิเศษของ Chase National Bank ของตระกูล Rockefeller และนาย Floyd Odium ของ Atlas Corporation

    นี่มันซ้อนกันหลายชั้นจนน่างง และตัวละครชักทยอยโผล่หัวมากขึ้น แต่อย่าเพิ่งงงนะครับ นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง ยังไม่ถึงตอนมันยกร่องเลย

    ส่วนพวก Bolsheviks เอง ไม่ยอมรับเอกสารเหล่านี้ รวมทั้ง John Reed คอลัมนิสต์ชื่อดัง ซึ่งกินเงินเดือนจากนิตยสาร Metropolitan ซึ่งเป็นของ J.P. Morgan ก็ไม่ยอมรับเช่นเดียวกัน

    ทั้งหมดนี้อาจเป็นแผนการของ Gumberg ที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของ Sission โดยการจัดการปลอมเอกสารขึ้นมา หรืออาจจะเป็นความคิดของ Gumberg หรือ Creel ที่ทำขึ้น เหมือนเป็นเครื่องหมายปลอม บอกเส้นทาง..ให้คนที่คิดติดตามเรื่อง เลี้ยวผิด และหลงทาง ก็เป็นได้
    Sission Documents ถูกเอามาใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่า เยอรมันกับพวก Bolsheviks เกี่ยวข้องกัน หรือร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด และถูกเอามาใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่า มันเป็นการร่วมมือระหว่างพวกยิวกับพวก Bolsheviks แต่ที่สำคัญ เอกสารนี้ ได้ถูกใช้เป็นม่านควัน เอามาบังสายตาชาวบ้านทั่วไป ให้พร่ามัว มองไม่เห็นความจริง หรือเข้าใจความจริง ไขว้เขวไปอีกด้วย ทำให้เกิดสับสนจนเบื่อ แล้วเลิกติดตาม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ป้ายปลอม นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 2 “ป้ายปลอม” ตอน 1 ต้นปี ค.ศ.1918 นาย Edgar Sisson ผู้แทนของคณะกรรมาธิการ ด้านข้อมูลสาธารณะ (US Committee on Public Information ของอเมริกา) มาสำรวจและตรวจสอบหลักฐานที่เมือง Petrograd เนื่องจากมีข่าวว่าพวก Bolsheviks ซึ่งบุคคลหลายกลุ่มในอเมริกากำลังสนับสนุนนั้น เป็นพวกเยอรมัน ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริง ก็น่าจะมีผลกระทบกับความสัมพันธ์ ระหว่างอเมริกากับอังกฤษอย่างยิ่ง หลังจากสำรวจเสร็จ นาย Edgar Sission ก็หอบเอาเอกสารของรัสเซียมัดใหญ่ ซึ่งอ้างว่ามีข้อพิสูจน์ว่า Trotsky และ Lenin และพวกปฏิวัติ Bolsheviks ทั้งก๊วนเป็นสายลับของรัฐบาลเยอรมัน เอกสารเหล่านั้น ต่อมาเรียกว่า “Sission Documents” Sission Documents ถูกขนขึ้นเรือมาอย่างเร่งรีบและปิดลับ เพื่อนำส่งไปที่กรุงวอซิงตัน ให้คณะกรรมการ National Board for Historical Service ทำการพิสูจน์ว่าเอกสารทั้งมัดใหญ่นั่น เป็นของแท้ หรือเป็นของปลอม ถูกแต่งมาต้มกันหรือเปล่า นักประวัติศาสตร์ชื่อดัง 2 คน J. Franklin Jameson และ Samuel N. Harper ถูกเรียกมาทำหน้าที่ตรวจสอบ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อย เขาแบ่งเอกสารออกเป็น 3 กลุ่ม เกี่ยวกับเอกสารกลุ่ม 1 นักประวัติศาสตร์ทั้ง 2 สรุปว่า “เราได้ตรวจสอบด้วยความระมัดระวังในทุกด้าน ตามที่นักเรียนประวัติศาสตร์จะรู้จักและใช้เป็นแนวทาง จากการตรวจสอบหลักฐานดังกล่าว เราไม่มีความลังเลที่จะประกาศว่า เราไม่มีเหตุผลที่จะตั้งข้อสงสัย ถึงความเป็นของแท้ของเอกสาร 53 ชิ้นนี้” แปลว่า พวกเขามีความเห็นว่า เอกสาร 52 ชิ้นนั้น เป็นของแท้ แต่นักวิชาการ ต้องพูดให้เข้าใจยากไว้ก่อน สำหรับเอกสารกลุ่ม 2 นักประวัติศาสตร์ทั้ง 2 มั่นใจน้อยลง แต่ก็ไม่ใช้คำว่า เป็นเอกสารปลอม พวกเขาให้ความเห็นว่า น่าจะเป็นสำเนาของเอกสารต้นฉบับ ส่วน เอกสารกลุ่ม 3 พวกเขาไม่มีความมั่นใจเลย ในความจริงแท้ของเอกสาร แต่ก็ยังไม่อยากที่จะเรียกว่าเป็นเอกสารปลอม ขอดูต่อไป (เผื่อจะมีอะไรมาทำให้ชัดขึ้นว่า แท้หรือปลอม ทำนองนั้น) Sission Documents ถูกนำไปพิมพ์โดย Committee on Public Information ซึ่งประธานคือ George Creel ซึ่งปรากฏภายหลังว่า เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนขบวนการ Bolsheviks เมื่อเอกสารออกไปสู่สาธารณะ บรรดาสื่ออเมริกันส่วนใหญ่มีความเห็นว่าเป็นเอกสารจริง เว้นแต่ New York Evening Post ซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าของโดย Thomas W. Lamont หุ้นส่วนของกลุ่ม Morgan หนังสือพิมพ์ Evening Post ถึงกับท้าทายความเป็นของแท้ของเอกสาร ต่อมาภายหลัง Sission Documents มีการตรวจสอบใหม่ และผลปรากฏว่าเอกสารเกือบทั้งหมด เป็นของปลอม ! ข้อผิดพลาดที่ปรากฏในเอกสารส่วนใหญ่ เป็นเรื่องของความไม่สอดคล้องในการสะกดชื่อ วันที่อ้าง ตราประทับ ฯลฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ระมัดระวังของผู้ทำเอกสาร หรือใช้มืออ่อนหัดในตลาดการปลอมเอกสารมาดำเนินการ แต่ Sission Documents นี้ ก็ถูกนำมาใช้อ้างในงานค้นคว้าศึกษา เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียของพวก Bolsheviks มากมาย และโดยทั่วไปแม้จะเป็นเอกสารปลอม แต่เหตุการณ์ที่อ้างไว้ในเอกสาร ส่วนใหญ่เป็นเหตการณ์จริง ที่น่าสนใจคือ เอกสารทั้งหมดถูกส่งไปให้ Edgar Sisson โดย Alexander Gumberg (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Berg ซึ่งชื่อจริงคือ Michael Gruzenberg) ซึ่งตัวแทนของ Bolsheviks ในสแกนดิเนเวีย และต่อมาเป็นที่ปรึกษาพิเศษของ Chase National Bank ของตระกูล Rockefeller และนาย Floyd Odium ของ Atlas Corporation นี่มันซ้อนกันหลายชั้นจนน่างง และตัวละครชักทยอยโผล่หัวมากขึ้น แต่อย่าเพิ่งงงนะครับ นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง ยังไม่ถึงตอนมันยกร่องเลย ส่วนพวก Bolsheviks เอง ไม่ยอมรับเอกสารเหล่านี้ รวมทั้ง John Reed คอลัมนิสต์ชื่อดัง ซึ่งกินเงินเดือนจากนิตยสาร Metropolitan ซึ่งเป็นของ J.P. Morgan ก็ไม่ยอมรับเช่นเดียวกัน ทั้งหมดนี้อาจเป็นแผนการของ Gumberg ที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของ Sission โดยการจัดการปลอมเอกสารขึ้นมา หรืออาจจะเป็นความคิดของ Gumberg หรือ Creel ที่ทำขึ้น เหมือนเป็นเครื่องหมายปลอม บอกเส้นทาง..ให้คนที่คิดติดตามเรื่อง เลี้ยวผิด และหลงทาง ก็เป็นได้ Sission Documents ถูกเอามาใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่า เยอรมันกับพวก Bolsheviks เกี่ยวข้องกัน หรือร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด และถูกเอามาใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่า มันเป็นการร่วมมือระหว่างพวกยิวกับพวก Bolsheviks แต่ที่สำคัญ เอกสารนี้ ได้ถูกใช้เป็นม่านควัน เอามาบังสายตาชาวบ้านทั่วไป ให้พร่ามัว มองไม่เห็นความจริง หรือเข้าใจความจริง ไขว้เขวไปอีกด้วย ทำให้เกิดสับสนจนเบื่อ แล้วเลิกติดตาม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 เม.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
  • Atlas: เบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ที่อาจเปลี่ยนโลกออนไลน์...แต่ไม่ใช่ในทางที่ดี

    ลองจินตนาการว่าเบราว์เซอร์ที่คุณใช้ทุกวันไม่ได้พาคุณไปยังเว็บไซต์ต่างๆ แต่กลับสร้างเนื้อหาขึ้นมาเอง แล้วแสดงผลในรูปแบบที่ “เหมือน” เว็บเพจ — นั่นคือสิ่งที่ Atlas จาก OpenAI กำลังทำอยู่

    Atlas ไม่ใช่แค่เบราว์เซอร์ธรรมดา มันคือเครื่องมือที่ใช้ AI สร้างคำตอบแทนการค้นหาข้อมูลจากเว็บจริงๆ และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “การต่อต้านเว็บ” อย่างแท้จริง

    มีคนลองใช้ Atlas แล้วพิมพ์คำว่า “Taylor Swift showgirl” หวังว่าจะได้ลิงก์ไปดูวิดีโอหรือเพลย์ลิสต์ แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นข้อความที่ดูเหมือนเด็กรีบทำรายงานส่งครู — ไม่มีลิงก์ไปยังเว็บไซต์จริง ไม่มีข้อมูลใหม่ และไม่มีทางรู้เลยว่า Taylor Swift มีเว็บไซต์ของตัวเอง

    มันเหมือนคุณพิมพ์ในช่องค้นหา แต่จริงๆ แล้วคุณกำลังพิมพ์ในช่อง prompt ที่ให้ AI สร้างคำตอบขึ้นมาเอง

    นอกจากนี้ Atlas ยังบังคับให้คุณพิมพ์คำสั่งเหมือนยุค DOS แทนที่จะคลิกง่ายๆ แบบที่เราเคยชิน เช่น ถ้าคุณอยากหาไฟล์ Google Docs ที่เคยเปิด ก็ต้องพิมพ์ว่า “search web history for a doc about atlas core design” แทนที่จะพิมพ์แค่ “atlas design” แล้วคลิกจากรายการที่แสดง

    และที่น่ากลัวที่สุดคือ Atlas ทำให้คุณกลายเป็น “ตัวแทน” ของ AI โดยที่คุณไม่รู้ตัว มันขอให้คุณเปิดใช้ฟีเจอร์ “memories” เพื่อเก็บข้อมูลทุกอย่างที่คุณทำ แล้วใช้ข้อมูลนั้นฝึกโมเดลของมัน — ตั้งแต่ไฟล์ลับใน Google Docs ไปจนถึงคอมเมนต์ที่คุณพิมพ์ใน Facebook แต่ยังไม่ได้กดส่ง

    สรุปเนื้อหาสำคัญและคำเตือน

    Atlas คือเบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI
    ใช้ AI สร้างเนื้อหาแทนการแสดงผลจากเว็บไซต์จริง
    แสดงผลในรูปแบบที่คล้ายเว็บเพจ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิด
    ไม่มีลิงก์ไปยังเว็บไซต์ต้นทาง เช่น เว็บไซต์ของศิลปินหรือแบรนด์
    ข้อมูลที่แสดงอาจล้าหลังหลายสัปดาห์ เพราะไม่อัปเดตแบบเรียลไทม์

    ประสบการณ์ผู้ใช้ถูกเปลี่ยนให้คล้ายการพิมพ์คำสั่ง
    ต้องพิมพ์คำสั่งแบบ command-line แทนการคลิก
    ลดความสะดวกในการใช้งาน และเพิ่มโอกาสเกิดข้อผิดพลาด
    ขัดกับแนวคิดของเว็บที่เน้นการเข้าถึงง่ายและคลิกได้

    Atlas ส่งเสริมให้ผู้ใช้เปิดฟีเจอร์ “memories”
    เก็บข้อมูลการใช้งานทั้งหมดของผู้ใช้
    ใช้ข้อมูลเหล่านั้นฝึกโมเดล AI โดยไม่ขอความยินยอมอย่างชัดเจน
    เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวที่เบราว์เซอร์ทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้

    ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว
    AI สามารถเห็นไฟล์ลับ ข้อความที่ยังไม่ได้ส่ง และพฤติกรรมการใช้งาน
    สร้างโปรไฟล์การใช้งานที่ละเอียดเกินกว่าที่เบราว์เซอร์ทั่วไปเคยทำได้
    ผู้ใช้กลายเป็น “ตัวแทน” ที่เปิดประตูให้ AI เข้าถึงข้อมูลที่ไม่ควรเข้าถึง

    ความเสี่ยงด้านความถูกต้องของข้อมูล
    ข้อมูลที่แสดงอาจเป็นการ “แต่งขึ้น” โดยไม่มีแหล่งอ้างอิง
    ไม่มีการอัปเดตแบบเรียลไทม์เหมือนเครื่องมือค้นหาทั่วไป
    อาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นข้อมูลจริงจากเว็บ

    ความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตและการพึ่งพา AI
    มีรายงานว่าผู้ใช้บางคนเกิดภาวะพึ่งพาอารมณ์กับ AI
    มีกรณีที่ AI แนะนำพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้
    ควรมีคำเตือนชัดเจนก่อนติดตั้งหรือใช้งาน Atlas

    https://www.anildash.com//2025/10/22/atlas-anti-web-browser/
    🧠 Atlas: เบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ที่อาจเปลี่ยนโลกออนไลน์...แต่ไม่ใช่ในทางที่ดี ลองจินตนาการว่าเบราว์เซอร์ที่คุณใช้ทุกวันไม่ได้พาคุณไปยังเว็บไซต์ต่างๆ แต่กลับสร้างเนื้อหาขึ้นมาเอง แล้วแสดงผลในรูปแบบที่ “เหมือน” เว็บเพจ — นั่นคือสิ่งที่ Atlas จาก OpenAI กำลังทำอยู่ Atlas ไม่ใช่แค่เบราว์เซอร์ธรรมดา มันคือเครื่องมือที่ใช้ AI สร้างคำตอบแทนการค้นหาข้อมูลจากเว็บจริงๆ และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “การต่อต้านเว็บ” อย่างแท้จริง มีคนลองใช้ Atlas แล้วพิมพ์คำว่า “Taylor Swift showgirl” หวังว่าจะได้ลิงก์ไปดูวิดีโอหรือเพลย์ลิสต์ แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นข้อความที่ดูเหมือนเด็กรีบทำรายงานส่งครู — ไม่มีลิงก์ไปยังเว็บไซต์จริง ไม่มีข้อมูลใหม่ และไม่มีทางรู้เลยว่า Taylor Swift มีเว็บไซต์ของตัวเอง มันเหมือนคุณพิมพ์ในช่องค้นหา แต่จริงๆ แล้วคุณกำลังพิมพ์ในช่อง prompt ที่ให้ AI สร้างคำตอบขึ้นมาเอง นอกจากนี้ Atlas ยังบังคับให้คุณพิมพ์คำสั่งเหมือนยุค DOS แทนที่จะคลิกง่ายๆ แบบที่เราเคยชิน เช่น ถ้าคุณอยากหาไฟล์ Google Docs ที่เคยเปิด ก็ต้องพิมพ์ว่า “search web history for a doc about atlas core design” แทนที่จะพิมพ์แค่ “atlas design” แล้วคลิกจากรายการที่แสดง และที่น่ากลัวที่สุดคือ Atlas ทำให้คุณกลายเป็น “ตัวแทน” ของ AI โดยที่คุณไม่รู้ตัว มันขอให้คุณเปิดใช้ฟีเจอร์ “memories” เพื่อเก็บข้อมูลทุกอย่างที่คุณทำ แล้วใช้ข้อมูลนั้นฝึกโมเดลของมัน — ตั้งแต่ไฟล์ลับใน Google Docs ไปจนถึงคอมเมนต์ที่คุณพิมพ์ใน Facebook แต่ยังไม่ได้กดส่ง 📌 สรุปเนื้อหาสำคัญและคำเตือน ✅ Atlas คือเบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ➡️ ใช้ AI สร้างเนื้อหาแทนการแสดงผลจากเว็บไซต์จริง ➡️ แสดงผลในรูปแบบที่คล้ายเว็บเพจ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิด ➡️ ไม่มีลิงก์ไปยังเว็บไซต์ต้นทาง เช่น เว็บไซต์ของศิลปินหรือแบรนด์ ➡️ ข้อมูลที่แสดงอาจล้าหลังหลายสัปดาห์ เพราะไม่อัปเดตแบบเรียลไทม์ ✅ ประสบการณ์ผู้ใช้ถูกเปลี่ยนให้คล้ายการพิมพ์คำสั่ง ➡️ ต้องพิมพ์คำสั่งแบบ command-line แทนการคลิก ➡️ ลดความสะดวกในการใช้งาน และเพิ่มโอกาสเกิดข้อผิดพลาด ➡️ ขัดกับแนวคิดของเว็บที่เน้นการเข้าถึงง่ายและคลิกได้ ✅ Atlas ส่งเสริมให้ผู้ใช้เปิดฟีเจอร์ “memories” ➡️ เก็บข้อมูลการใช้งานทั้งหมดของผู้ใช้ ➡️ ใช้ข้อมูลเหล่านั้นฝึกโมเดล AI โดยไม่ขอความยินยอมอย่างชัดเจน ➡️ เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวที่เบราว์เซอร์ทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ ‼️ ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว ⛔ AI สามารถเห็นไฟล์ลับ ข้อความที่ยังไม่ได้ส่ง และพฤติกรรมการใช้งาน ⛔ สร้างโปรไฟล์การใช้งานที่ละเอียดเกินกว่าที่เบราว์เซอร์ทั่วไปเคยทำได้ ⛔ ผู้ใช้กลายเป็น “ตัวแทน” ที่เปิดประตูให้ AI เข้าถึงข้อมูลที่ไม่ควรเข้าถึง ‼️ ความเสี่ยงด้านความถูกต้องของข้อมูล ⛔ ข้อมูลที่แสดงอาจเป็นการ “แต่งขึ้น” โดยไม่มีแหล่งอ้างอิง ⛔ ไม่มีการอัปเดตแบบเรียลไทม์เหมือนเครื่องมือค้นหาทั่วไป ⛔ อาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นข้อมูลจริงจากเว็บ ‼️ ความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตและการพึ่งพา AI ⛔ มีรายงานว่าผู้ใช้บางคนเกิดภาวะพึ่งพาอารมณ์กับ AI ⛔ มีกรณีที่ AI แนะนำพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ⛔ ควรมีคำเตือนชัดเจนก่อนติดตั้งหรือใช้งาน Atlas https://www.anildash.com//2025/10/22/atlas-anti-web-browser/
    0 Comments 0 Shares 142 Views 0 Reviews
  • "โจรปราบโจร" วาทะเดือด "รังสิมันต์" อัด "ธรรมนัส" ปม ช. กรรมการบริหารพรรค มั่นใจ "ธรรมนัส-ชาดา" รู้ดีว่า "ชนนพัฒฐ์" คือใคร
    https://www.thai-tai.tv/news/22113/
    .
    #ไทยไท #รังสิมันต์โรม #ธรรมนัส #ชนนพัฒฐ์ #เว็บพนัน #สแกมเมอร์ #โจรจะอุ้มโจร
    "โจรปราบโจร" วาทะเดือด "รังสิมันต์" อัด "ธรรมนัส" ปม ช. กรรมการบริหารพรรค มั่นใจ "ธรรมนัส-ชาดา" รู้ดีว่า "ชนนพัฒฐ์" คือใคร https://www.thai-tai.tv/news/22113/ . #ไทยไท #รังสิมันต์โรม #ธรรมนัส #ชนนพัฒฐ์ #เว็บพนัน #สแกมเมอร์ #โจรจะอุ้มโจร
    0 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews
  • ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการประชุมฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานชายแดนส่วนภูมิภาค กองทัพภาคที่ 2-ภูมิภาคทหารที่ 4 ฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชา เพื่อหารือแผนปฏิบัติการปรับกำลังและถอนอาวุธหนัก ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบกำหนดวัน D-Day วันที่ 1 พ.ย. 2568 โดยเฟส 1 ปรับกำลังอาวุธจรวดหลายลำกล้อง เฟส 2 เริ่มวันที่ 22 พ.ย. 2568 ปรับกำลังอาวุธประเภทปืนใหญ่ และ เฟส 3 เริ่มวันที่ 13 ธ.ค. 2568 อาวุธยานเกราะ รถถัง ทั้งนี้ วันที่ 15 พ.ย. 2568 จะประชุมทบทวนการปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาและหารือการปรับกำลัง เพื่อให้ส่วนที่เกี่ยวข้องมีเวลาวางแผนเข้าตรวจสอบและเคลื่อนย้าย

    -มีเรื่องอื่นสำคัญกว่าแรร์เอิร์ธ
    -วาระโลกรัฐบาลต้องจริงจัง
    -รอได้เลยคนละครึ่งพลัส#2
    -อินเดียเร่งนำเข้าทองคำ
    ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการประชุมฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานชายแดนส่วนภูมิภาค กองทัพภาคที่ 2-ภูมิภาคทหารที่ 4 ฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชา เพื่อหารือแผนปฏิบัติการปรับกำลังและถอนอาวุธหนัก ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบกำหนดวัน D-Day วันที่ 1 พ.ย. 2568 โดยเฟส 1 ปรับกำลังอาวุธจรวดหลายลำกล้อง เฟส 2 เริ่มวันที่ 22 พ.ย. 2568 ปรับกำลังอาวุธประเภทปืนใหญ่ และ เฟส 3 เริ่มวันที่ 13 ธ.ค. 2568 อาวุธยานเกราะ รถถัง ทั้งนี้ วันที่ 15 พ.ย. 2568 จะประชุมทบทวนการปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาและหารือการปรับกำลัง เพื่อให้ส่วนที่เกี่ยวข้องมีเวลาวางแผนเข้าตรวจสอบและเคลื่อนย้าย -มีเรื่องอื่นสำคัญกว่าแรร์เอิร์ธ -วาระโลกรัฐบาลต้องจริงจัง -รอได้เลยคนละครึ่งพลัส#2 -อินเดียเร่งนำเข้าทองคำ
    Like
    3
    0 Comments 1 Shares 276 Views 0 0 Reviews
  • “OpenAI รีแบรนด์ใหม่เป็นองค์กรเพื่อสาธารณประโยชน์ – Microsoft ถือหุ้น 27% พร้อมเดินหน้าสู่ยุค AGI”

    ในความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของวงการ AI ล่าสุด OpenAI และ Microsoft ได้ประกาศข้อตกลงปรับโครงสร้างองค์กร โดยเปลี่ยน OpenAI LP ซึ่งเป็นแขนธุรกิจแบบแสวงหากำไร ให้กลายเป็น “OpenAI Group PBC” – บริษัทเพื่อสาธารณประโยชน์ (Public Benefit Corporation) ที่ยังคงอยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรไม่แสวงหากำไรเดิม ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น “OpenAI Foundation”

    การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ OpenAI สามารถเคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้นในด้านธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาพันธกิจในการพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ โดย Microsoft ยังคงถือหุ้น 27% ใน OpenAI PBC ซึ่งมีมูลค่าประเมินล่าสุดอยู่ที่ $135 พันล้าน จากการลงทุนรวม $13.8 พันล้าน

    ข้อตกลงใหม่ยังเปิดทางให้ OpenAI สามารถร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์รายอื่นได้ โดย Microsoft จะไม่ถือสิทธิ์พิเศษในการเข้าถึงทรัพยากรคอมพิวต์อีกต่อไป แม้ว่า Azure จะยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลักที่ OpenAI ใช้งาน พร้อมคำมั่นว่าจะใช้จ่ายถึง $250 พันล้านกับบริการ Azure

    ที่น่าสนใจคือ ข้อตกลงนี้ยังมีเงื่อนไขเกี่ยวกับ AGI (Artificial General Intelligence) โดย Microsoft จะมีสิทธิ์เข้าถึงโมเดลและผลิตภัณฑ์ของ OpenAI อย่างพิเศษจนถึงปี 2032 หรือจนกว่า AGI จะถูกประกาศอย่างเป็นทางการโดยคณะกรรมการอิสระ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenAI ปรับโครงสร้างเป็นบริษัทเพื่อสาธารณประโยชน์ (PBC)
    องค์กรไม่แสวงหากำไรเดิมเปลี่ยนชื่อเป็น OpenAI Foundation
    Microsoft ถือหุ้น 27% มูลค่าประเมิน $135 พันล้าน
    OpenAI PBC มีมูลค่ารวม $500 พันล้าน และสามารถระดมทุนเพิ่มได้

    ความเปลี่ยนแปลงด้านความร่วมมือ
    Microsoft ไม่ถือสิทธิ์พิเศษในการเข้าถึง compute อีกต่อไป
    OpenAI สามารถร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์อื่นได้
    Azure ยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลัก พร้อมคำมั่นใช้จ่าย $250 พันล้าน

    เงื่อนไขเกี่ยวกับ AGI
    Microsoft มีสิทธิ์เข้าถึงโมเดลและผลิตภัณฑ์ของ OpenAI จนถึงปี 2032
    หาก AGI ถูกประกาศก่อนปี 2032 ข้อตกลงจะถูกทบทวนใหม่
    สิทธิ์การเข้าถึง IP ด้านการวิจัยของ Microsoft จะหมดอายุในปี 2030 หรือเมื่อ AGI ถูกประกาศ

    ความเป็นมาของ OpenAI
    ก่อตั้งในปี 2015 เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร
    ปี 2019 สร้าง OpenAI LP เพื่อดึงดูดการลงทุนแบบจำกัดผลตอบแทน
    โครงสร้างเดิมซับซ้อนเกินไป จึงนำไปสู่การปรับใหม่ในปี 2025

    การปรับโครงสร้างครั้งนี้สะท้อนถึงการเติบโตของ OpenAI จากองค์กรวิจัยสู่ผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก — พร้อมเปิดทางสู่ยุค AGI ที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้ามนุษยชาติในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-and-microsoft-sign-agreement-to-restructure-openai-into-a-public-benefit-corporation-with-microsoft-retaining-27-percent-stake-non-profit-open-ai-foundation-to-oversee-open-ai-pbc
    🤝 “OpenAI รีแบรนด์ใหม่เป็นองค์กรเพื่อสาธารณประโยชน์ – Microsoft ถือหุ้น 27% พร้อมเดินหน้าสู่ยุค AGI” ในความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของวงการ AI ล่าสุด OpenAI และ Microsoft ได้ประกาศข้อตกลงปรับโครงสร้างองค์กร โดยเปลี่ยน OpenAI LP ซึ่งเป็นแขนธุรกิจแบบแสวงหากำไร ให้กลายเป็น “OpenAI Group PBC” – บริษัทเพื่อสาธารณประโยชน์ (Public Benefit Corporation) ที่ยังคงอยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรไม่แสวงหากำไรเดิม ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น “OpenAI Foundation” การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ OpenAI สามารถเคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้นในด้านธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาพันธกิจในการพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ โดย Microsoft ยังคงถือหุ้น 27% ใน OpenAI PBC ซึ่งมีมูลค่าประเมินล่าสุดอยู่ที่ $135 พันล้าน จากการลงทุนรวม $13.8 พันล้าน ข้อตกลงใหม่ยังเปิดทางให้ OpenAI สามารถร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์รายอื่นได้ โดย Microsoft จะไม่ถือสิทธิ์พิเศษในการเข้าถึงทรัพยากรคอมพิวต์อีกต่อไป แม้ว่า Azure จะยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลักที่ OpenAI ใช้งาน พร้อมคำมั่นว่าจะใช้จ่ายถึง $250 พันล้านกับบริการ Azure ที่น่าสนใจคือ ข้อตกลงนี้ยังมีเงื่อนไขเกี่ยวกับ AGI (Artificial General Intelligence) โดย Microsoft จะมีสิทธิ์เข้าถึงโมเดลและผลิตภัณฑ์ของ OpenAI อย่างพิเศษจนถึงปี 2032 หรือจนกว่า AGI จะถูกประกาศอย่างเป็นทางการโดยคณะกรรมการอิสระ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenAI ปรับโครงสร้างเป็นบริษัทเพื่อสาธารณประโยชน์ (PBC) ➡️ องค์กรไม่แสวงหากำไรเดิมเปลี่ยนชื่อเป็น OpenAI Foundation ➡️ Microsoft ถือหุ้น 27% มูลค่าประเมิน $135 พันล้าน ➡️ OpenAI PBC มีมูลค่ารวม $500 พันล้าน และสามารถระดมทุนเพิ่มได้ ✅ ความเปลี่ยนแปลงด้านความร่วมมือ ➡️ Microsoft ไม่ถือสิทธิ์พิเศษในการเข้าถึง compute อีกต่อไป ➡️ OpenAI สามารถร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์อื่นได้ ➡️ Azure ยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลัก พร้อมคำมั่นใช้จ่าย $250 พันล้าน ✅ เงื่อนไขเกี่ยวกับ AGI ➡️ Microsoft มีสิทธิ์เข้าถึงโมเดลและผลิตภัณฑ์ของ OpenAI จนถึงปี 2032 ➡️ หาก AGI ถูกประกาศก่อนปี 2032 ข้อตกลงจะถูกทบทวนใหม่ ➡️ สิทธิ์การเข้าถึง IP ด้านการวิจัยของ Microsoft จะหมดอายุในปี 2030 หรือเมื่อ AGI ถูกประกาศ ✅ ความเป็นมาของ OpenAI ➡️ ก่อตั้งในปี 2015 เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ➡️ ปี 2019 สร้าง OpenAI LP เพื่อดึงดูดการลงทุนแบบจำกัดผลตอบแทน ➡️ โครงสร้างเดิมซับซ้อนเกินไป จึงนำไปสู่การปรับใหม่ในปี 2025 การปรับโครงสร้างครั้งนี้สะท้อนถึงการเติบโตของ OpenAI จากองค์กรวิจัยสู่ผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก — พร้อมเปิดทางสู่ยุค AGI ที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้ามนุษยชาติในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า. https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-and-microsoft-sign-agreement-to-restructure-openai-into-a-public-benefit-corporation-with-microsoft-retaining-27-percent-stake-non-profit-open-ai-foundation-to-oversee-open-ai-pbc
    0 Comments 0 Shares 182 Views 0 Reviews
  • Gunra Ransomware โจมตีทั้ง Windows และ Linux — แต่เวอร์ชัน Linux มีจุดอ่อนร้ายแรงที่อาจช่วยให้กู้ไฟล์ได้

    Gunra Ransomware ถูกเปิดโปงโดย AhnLab ว่าเป็นมัลแวร์แบบ cross-platform ที่โจมตีทั้ง Windows และ Linux โดยใช้การเข้ารหัสข้อมูลเพื่อเรียกค่าไถ่ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เวอร์ชัน Linux มีจุดอ่อนในการสร้างคีย์เข้ารหัส ที่อาจเปิดช่องให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถกู้คืนไฟล์ได้ผ่านการ brute force

    ข้อมูลสำคัญจากรายงานของ AhnLab

    Gunra มีทั้งไฟล์ .exe สำหรับ Windows และ .elf สำหรับ Linux
    ทั้งสองเวอร์ชันสามารถเข้ารหัสไฟล์และขู่เปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่
    Linux variant รองรับ argument เช่น --threads, --path, --exts, --ratio, --limit, --store เพื่อปรับแต่งการเข้ารหัส

    ใช้ ChaCha20 ใน Linux และ ChaCha8 ใน Windows
    Linux ใช้ ChaCha20 พร้อมสร้าง key/nonce ใหม่ทุกไฟล์
    Windows ใช้ ChaCha8 และสร้าง key ด้วย CryptGenRandom API ที่ปลอดภัย

    จุดอ่อนในเวอร์ชัน Linux: ใช้ time() และ rand() สร้างคีย์
    การใช้ time-based seed ทำให้ key ซ้ำได้ง่าย
    นักวิจัยพบว่า brute force สามารถกู้คืนคีย์ได้ เพราะมีเพียง 256 ค่า byte ที่ต้องทดสอบต่อจุด
    หากเหยื่อเก็บไฟล์เข้ารหัสและ timestamp ไว้ อาจกู้คืนได้สำเร็จ

    พฤติกรรมการเข้ารหัสของ Gunra
    เข้ารหัส 1MB แล้วข้าม byte ตามค่า --ratio
    หากใช้ --store จะเข้ารหัสคีย์ด้วย RSA และบันทึกไว้ในไฟล์ .keystore
    หากไม่ใช้ --store คีย์จะถูกแนบไว้ท้ายไฟล์

    ไฟล์บางประเภทถูกยกเว้นจากการเข้ารหัส
    เช่น R3ADM3.txt และไฟล์ .encrt เพื่อให้เหยื่อสามารถอ่านคำสั่งเรียกค่าไถ่ได้

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Linux และองค์กร
    แม้จะมีช่องโหว่ แต่การกู้คืนไฟล์ต้องใช้ข้อมูลเฉพาะ
    ต้องมีไฟล์เข้ารหัสและ timestamp ที่แม่นยำ
    การ brute force ต้องใช้ทรัพยากรและความเชี่ยวชาญสูง

    Windows variant ยังไม่สามารถกู้คืนได้
    ใช้ CryptGenRandom API ที่ปลอดภัย ทำให้ key ไม่สามารถเดาได้
    การเข้ารหัสใน Windows จึงถือว่า “แทบไม่สามารถย้อนกลับได้”

    การป้องกันยังคงเป็นแนวทางหลัก
    หลีกเลี่ยงการรันไฟล์จากแหล่งที่ไม่ปลอดภัย
    สำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ และแยกเก็บจากระบบหลัก
    ใช้ระบบตรวจจับพฤติกรรมและการเข้ารหัสที่ทันสมัย

    https://securityonline.info/ahnlab-uncovers-gunra-ransomware-dual-platform-threat-with-weak-linux-encryption/
    🛡️💻 Gunra Ransomware โจมตีทั้ง Windows และ Linux — แต่เวอร์ชัน Linux มีจุดอ่อนร้ายแรงที่อาจช่วยให้กู้ไฟล์ได้ Gunra Ransomware ถูกเปิดโปงโดย AhnLab ว่าเป็นมัลแวร์แบบ cross-platform ที่โจมตีทั้ง Windows และ Linux โดยใช้การเข้ารหัสข้อมูลเพื่อเรียกค่าไถ่ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เวอร์ชัน Linux มีจุดอ่อนในการสร้างคีย์เข้ารหัส ที่อาจเปิดช่องให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถกู้คืนไฟล์ได้ผ่านการ brute force ✅ ข้อมูลสำคัญจากรายงานของ AhnLab ✅ Gunra มีทั้งไฟล์ .exe สำหรับ Windows และ .elf สำหรับ Linux ➡️ ทั้งสองเวอร์ชันสามารถเข้ารหัสไฟล์และขู่เปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่ ➡️ Linux variant รองรับ argument เช่น --threads, --path, --exts, --ratio, --limit, --store เพื่อปรับแต่งการเข้ารหัส ✅ ใช้ ChaCha20 ใน Linux และ ChaCha8 ใน Windows ➡️ Linux ใช้ ChaCha20 พร้อมสร้าง key/nonce ใหม่ทุกไฟล์ ➡️ Windows ใช้ ChaCha8 และสร้าง key ด้วย CryptGenRandom API ที่ปลอดภัย ✅ จุดอ่อนในเวอร์ชัน Linux: ใช้ time() และ rand() สร้างคีย์ ➡️ การใช้ time-based seed ทำให้ key ซ้ำได้ง่าย ➡️ นักวิจัยพบว่า brute force สามารถกู้คืนคีย์ได้ เพราะมีเพียง 256 ค่า byte ที่ต้องทดสอบต่อจุด ➡️ หากเหยื่อเก็บไฟล์เข้ารหัสและ timestamp ไว้ อาจกู้คืนได้สำเร็จ ✅ พฤติกรรมการเข้ารหัสของ Gunra ➡️ เข้ารหัส 1MB แล้วข้าม byte ตามค่า --ratio ➡️ หากใช้ --store จะเข้ารหัสคีย์ด้วย RSA และบันทึกไว้ในไฟล์ .keystore ➡️ หากไม่ใช้ --store คีย์จะถูกแนบไว้ท้ายไฟล์ ✅ ไฟล์บางประเภทถูกยกเว้นจากการเข้ารหัส ➡️ เช่น R3ADM3.txt และไฟล์ .encrt เพื่อให้เหยื่อสามารถอ่านคำสั่งเรียกค่าไถ่ได้ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Linux และองค์กร ‼️ แม้จะมีช่องโหว่ แต่การกู้คืนไฟล์ต้องใช้ข้อมูลเฉพาะ ⛔ ต้องมีไฟล์เข้ารหัสและ timestamp ที่แม่นยำ ⛔ การ brute force ต้องใช้ทรัพยากรและความเชี่ยวชาญสูง ‼️ Windows variant ยังไม่สามารถกู้คืนได้ ⛔ ใช้ CryptGenRandom API ที่ปลอดภัย ทำให้ key ไม่สามารถเดาได้ ⛔ การเข้ารหัสใน Windows จึงถือว่า “แทบไม่สามารถย้อนกลับได้” ‼️ การป้องกันยังคงเป็นแนวทางหลัก ⛔ หลีกเลี่ยงการรันไฟล์จากแหล่งที่ไม่ปลอดภัย ⛔ สำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ และแยกเก็บจากระบบหลัก ⛔ ใช้ระบบตรวจจับพฤติกรรมและการเข้ารหัสที่ทันสมัย https://securityonline.info/ahnlab-uncovers-gunra-ransomware-dual-platform-threat-with-weak-linux-encryption/
    SECURITYONLINE.INFO
    AhnLab Uncovers Gunra Ransomware: Dual-Platform Threat with Weak Linux Encryption
    ASEC exposed a flaw in Gunra Linux ransomware: its ChaCha20 keys are generated using an insecure time()/rand() seed, potentially allowing victims to brute-force decryption and recover files.
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • Herodotus: มัลแวร์ Android ยุคใหม่ที่พิมพ์เหมือนมนุษย์ หลอกระบบตรวจจับพฤติกรรมได้แนบเนียน

    Trojan ตัวใหม่ชื่อว่า Herodotus ถูกค้นพบโดย ThreatFabric ซึ่งเป็นมัลแวร์ Android ที่ออกแบบมาเพื่อหลอกระบบตรวจจับพฤติกรรมผู้ใช้ (behavioral biometrics) โดยใช้เทคนิค “พิมพ์แบบมนุษย์” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบป้องกันการฉ้อโกงที่ทันสมัย

    จุดเด่นของ Herodotus ที่ทำให้มันอันตราย

    พฤติกรรมการพิมพ์แบบมนุษย์
    มัลแวร์จะแยกข้อความออกเป็นตัวอักษร แล้วใส่ ดีเลย์แบบสุ่ม ระหว่าง 300–3000 มิลลิวินาที เพื่อให้ดูเหมือนผู้ใช้จริงกำลังพิมพ์
    เทคนิคนี้ช่วยหลอกระบบตรวจจับพฤติกรรมที่ใช้ความเร็วและจังหวะการพิมพ์เป็นเกณฑ์

    การควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล
    ผู้โจมตีสามารถคลิก, ปัดหน้าจอ, พิมพ์ข้อความ และสั่งงานระดับระบบ เช่น “Back” หรือ “Home” ได้
    ใช้ overlay ปลอมที่แสดงข้อความเช่น “กรุณารอสักครู่ ระบบธนาคารกำลังตรวจสอบข้อมูล…” เพื่อหลอกผู้ใช้ขณะโจมตี

    เทคนิคการแพร่กระจายที่แนบเนียน
    ใช้ SMiShing (SMS phishing) และ side-loading เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ติดตั้ง dropper
    Dropper จะติดตั้ง payload โดยใช้หน้าจอปลอมที่ดูเหมือนกำลังโหลด เพื่อขอสิทธิ์ Accessibility โดยไม่ให้ผู้ใช้สงสัย

    โครงสร้างมัลแวร์แบบ modular และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
    มีการใช้โค้ดบางส่วนจาก Brokewell Trojan เช่น string ‘BRKWL_JAVA’
    ผู้พัฒนาใช้ชื่อ “K1R0” และเริ่มเปิดให้เช่าแบบ Malware-as-a-Service แล้ว

    เป้าหมายการโจมตีขยายทั่วโลก
    เริ่มจากอิตาลีและบราซิล โดยใช้ชื่อปลอมเช่น “Banca Sicura” และ “Modulo Seguranca Stone”
    มี template overlay สำหรับธนาคารในสหรัฐฯ, ตุรกี, อังกฤษ, โปแลนด์ และแพลตฟอร์มคริปโต

    ระบบตรวจจับพฤติกรรมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป
    Herodotus สามารถหลอกระบบที่ใช้ input timing ได้อย่างแนบเนียน
    การพึ่งพา behavioral biometrics เพียงอย่างเดียวอาจทำให้เกิด false negative

    การให้สิทธิ์ Accessibility โดยไม่รู้ตัวคือช่องโหว่ใหญ่
    หน้าจอปลอมสามารถหลอกให้ผู้ใช้อนุญาตสิทธิ์ที่อันตราย
    Accessibility Services เปิดทางให้มัลแวร์ควบคุมอุปกรณ์ได้เต็มรูปแบบ

    มัลแวร์แบบเช่า (MaaS) จะทำให้การโจมตีแพร่หลายมากขึ้น
    ผู้โจมตีไม่ต้องมีทักษะสูงก็สามารถใช้ Herodotus ได้
    องค์กรต้องเตรียมระบบตรวจจับที่หลากหลายมากขึ้น เช่น AI-based anomaly detection

    https://securityonline.info/next-gen-android-trojan-herodotus-mimics-human-typing-to-bypass-behavioral-biometrics-anti-fraud-systems/
    📱🧠 Herodotus: มัลแวร์ Android ยุคใหม่ที่พิมพ์เหมือนมนุษย์ หลอกระบบตรวจจับพฤติกรรมได้แนบเนียน Trojan ตัวใหม่ชื่อว่า Herodotus ถูกค้นพบโดย ThreatFabric ซึ่งเป็นมัลแวร์ Android ที่ออกแบบมาเพื่อหลอกระบบตรวจจับพฤติกรรมผู้ใช้ (behavioral biometrics) โดยใช้เทคนิค “พิมพ์แบบมนุษย์” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบป้องกันการฉ้อโกงที่ทันสมัย ✅ จุดเด่นของ Herodotus ที่ทำให้มันอันตราย ✅ พฤติกรรมการพิมพ์แบบมนุษย์ ➡️ มัลแวร์จะแยกข้อความออกเป็นตัวอักษร แล้วใส่ ดีเลย์แบบสุ่ม ระหว่าง 300–3000 มิลลิวินาที เพื่อให้ดูเหมือนผู้ใช้จริงกำลังพิมพ์ ➡️ เทคนิคนี้ช่วยหลอกระบบตรวจจับพฤติกรรมที่ใช้ความเร็วและจังหวะการพิมพ์เป็นเกณฑ์ ✅ การควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล ➡️ ผู้โจมตีสามารถคลิก, ปัดหน้าจอ, พิมพ์ข้อความ และสั่งงานระดับระบบ เช่น “Back” หรือ “Home” ได้ ➡️ ใช้ overlay ปลอมที่แสดงข้อความเช่น “กรุณารอสักครู่ ระบบธนาคารกำลังตรวจสอบข้อมูล…” เพื่อหลอกผู้ใช้ขณะโจมตี ✅ เทคนิคการแพร่กระจายที่แนบเนียน ➡️ ใช้ SMiShing (SMS phishing) และ side-loading เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ติดตั้ง dropper ➡️ Dropper จะติดตั้ง payload โดยใช้หน้าจอปลอมที่ดูเหมือนกำลังโหลด เพื่อขอสิทธิ์ Accessibility โดยไม่ให้ผู้ใช้สงสัย ✅ โครงสร้างมัลแวร์แบบ modular และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ➡️ มีการใช้โค้ดบางส่วนจาก Brokewell Trojan เช่น string ‘BRKWL_JAVA’ ➡️ ผู้พัฒนาใช้ชื่อ “K1R0” และเริ่มเปิดให้เช่าแบบ Malware-as-a-Service แล้ว ✅ เป้าหมายการโจมตีขยายทั่วโลก ➡️ เริ่มจากอิตาลีและบราซิล โดยใช้ชื่อปลอมเช่น “Banca Sicura” และ “Modulo Seguranca Stone” ➡️ มี template overlay สำหรับธนาคารในสหรัฐฯ, ตุรกี, อังกฤษ, โปแลนด์ และแพลตฟอร์มคริปโต ‼️ ระบบตรวจจับพฤติกรรมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ⛔ Herodotus สามารถหลอกระบบที่ใช้ input timing ได้อย่างแนบเนียน ⛔ การพึ่งพา behavioral biometrics เพียงอย่างเดียวอาจทำให้เกิด false negative ‼️ การให้สิทธิ์ Accessibility โดยไม่รู้ตัวคือช่องโหว่ใหญ่ ⛔ หน้าจอปลอมสามารถหลอกให้ผู้ใช้อนุญาตสิทธิ์ที่อันตราย ⛔ Accessibility Services เปิดทางให้มัลแวร์ควบคุมอุปกรณ์ได้เต็มรูปแบบ ‼️ มัลแวร์แบบเช่า (MaaS) จะทำให้การโจมตีแพร่หลายมากขึ้น ⛔ ผู้โจมตีไม่ต้องมีทักษะสูงก็สามารถใช้ Herodotus ได้ ⛔ องค์กรต้องเตรียมระบบตรวจจับที่หลากหลายมากขึ้น เช่น AI-based anomaly detection https://securityonline.info/next-gen-android-trojan-herodotus-mimics-human-typing-to-bypass-behavioral-biometrics-anti-fraud-systems/
    SECURITYONLINE.INFO
    Next-Gen Android Trojan Herodotus Mimics Human Typing to Bypass Behavioral Biometrics Anti-Fraud Systems
    Herodotus is a new Android banking Trojan that evades anti-fraud systems by simulating human input: it inserts randomized typing delays (300-3000ms) during remote-control attacks in Italy and Brazil.
    0 Comments 0 Shares 131 Views 0 Reviews
  • ผลการศึกษาใหม่เผย: แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมช้ากว่าที่เคยคิด – Kia ครองแชมป์สุขภาพแบตดีที่สุด

    ผลการศึกษาจากสวีเดนโดยบริษัท Kvdbil วิเคราะห์สุขภาพแบตเตอรี่ (State of Health – SoH) ของรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดกว่า 1,300 คัน พบว่า กว่า 80% ของรถ EV มือสองยังคงรักษาความจุแบตเตอรี่ไว้ได้มากกว่า 90% แม้ผ่านการใช้งานหลายปี ซึ่งสวนทางกับความเชื่อเดิมที่ว่าแบตเตอรี่ EV จะเสื่อมเร็วและต้องเปลี่ยนใหม่ภายในไม่กี่ปี

    ผลการจัดอันดับแบรนด์และรุ่นที่แบตเตอรี่เสื่อมน้อยที่สุด
    Kia EV6 และ Kia e-Niro ครองอันดับสูงสุดในกลุ่มรถไฟฟ้า
    Tesla Model Y ตามมาในอันดับที่สาม แม้จะเป็นรุ่นที่มีจำนวนมากที่สุดในกลุ่ม
    แบรนด์ที่มีสุขภาพแบตดีที่สุดโดยรวม ได้แก่ Kia, Audi, Opel และ Tesla
    ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเสื่อมของแบตเตอรี่ ได้แก่ อายุรถ, สภาพอากาศ, พฤติกรรมการขับขี่, และ รูปแบบการชาร์จ

    การศึกษานี้ช่วยลบล้างความเชื่อผิด ๆ ว่าแบตเตอรี่ EV จะเสื่อมเร็วและต้องเปลี่ยนใหม่ภายใน 5–8 ปี โดยพบว่าแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่มีระบบระบายความร้อนดีสามารถใช้งานได้นานกว่าที่คาดไว้

    ข้อมูลสำคัญจากการศึกษา
    กว่า 80% ของรถ EV มือสองยังคงมีแบตเตอรี่ที่มี SoH มากกว่า 90%
    Kia EV6 และ e-Niro มีสุขภาพแบตดีที่สุดในกลุ่ม
    Tesla Model Y อยู่ในอันดับ 3 แม้จะมีจำนวนมากที่สุด
    ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสื่อมของแบตเตอรี่: อายุ, สภาพอากาศ, พฤติกรรมการขับขี่, การชาร์จ
    แบตเตอรี่ EV เสื่อมช้ากว่าที่เคยคาดไว้ และอาจใช้งานได้นานกว่าตัวรถเอง

    คำแนะนำในการรักษาสุขภาพแบตเตอรี่
    จำกัดการชาร์จรายวันไว้ที่ 80%
    หลีกเลี่ยงการใช้ DC fast charging บ่อยครั้ง
    หลีกเลี่ยงการจอดรถในที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด
    ใช้ระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพ

    คำเตือนสำหรับผู้ซื้อรถ EV มือสอง
    อย่าตัดสินสุขภาพแบตจากอายุรถเพียงอย่างเดียว
    รถที่ใช้งานหนักหรือชาร์จผิดวิธีอาจมีแบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าค่าเฉลี่ย
    ควรตรวจสอบรายงาน SoH ก่อนซื้อรถ EV มือสองทุกครั้ง

    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/new-study-crowns-the-king-of-ev-battery-health-and-it-shows-batteries-dont-degrade-as-badly-as-first-feared
    🔋👑 ผลการศึกษาใหม่เผย: แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมช้ากว่าที่เคยคิด – Kia ครองแชมป์สุขภาพแบตดีที่สุด ผลการศึกษาจากสวีเดนโดยบริษัท Kvdbil วิเคราะห์สุขภาพแบตเตอรี่ (State of Health – SoH) ของรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดกว่า 1,300 คัน พบว่า กว่า 80% ของรถ EV มือสองยังคงรักษาความจุแบตเตอรี่ไว้ได้มากกว่า 90% แม้ผ่านการใช้งานหลายปี ซึ่งสวนทางกับความเชื่อเดิมที่ว่าแบตเตอรี่ EV จะเสื่อมเร็วและต้องเปลี่ยนใหม่ภายในไม่กี่ปี 🚗 ผลการจัดอันดับแบรนด์และรุ่นที่แบตเตอรี่เสื่อมน้อยที่สุด 💠 Kia EV6 และ Kia e-Niro ครองอันดับสูงสุดในกลุ่มรถไฟฟ้า 💠 Tesla Model Y ตามมาในอันดับที่สาม แม้จะเป็นรุ่นที่มีจำนวนมากที่สุดในกลุ่ม 💠 แบรนด์ที่มีสุขภาพแบตดีที่สุดโดยรวม ได้แก่ Kia, Audi, Opel และ Tesla 💠 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเสื่อมของแบตเตอรี่ ได้แก่ อายุรถ, สภาพอากาศ, พฤติกรรมการขับขี่, และ รูปแบบการชาร์จ การศึกษานี้ช่วยลบล้างความเชื่อผิด ๆ ว่าแบตเตอรี่ EV จะเสื่อมเร็วและต้องเปลี่ยนใหม่ภายใน 5–8 ปี โดยพบว่าแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่มีระบบระบายความร้อนดีสามารถใช้งานได้นานกว่าที่คาดไว้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากการศึกษา ➡️ กว่า 80% ของรถ EV มือสองยังคงมีแบตเตอรี่ที่มี SoH มากกว่า 90% ➡️ Kia EV6 และ e-Niro มีสุขภาพแบตดีที่สุดในกลุ่ม ➡️ Tesla Model Y อยู่ในอันดับ 3 แม้จะมีจำนวนมากที่สุด ➡️ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสื่อมของแบตเตอรี่: อายุ, สภาพอากาศ, พฤติกรรมการขับขี่, การชาร์จ ➡️ แบตเตอรี่ EV เสื่อมช้ากว่าที่เคยคาดไว้ และอาจใช้งานได้นานกว่าตัวรถเอง ✅ คำแนะนำในการรักษาสุขภาพแบตเตอรี่ ➡️ จำกัดการชาร์จรายวันไว้ที่ 80% ➡️ หลีกเลี่ยงการใช้ DC fast charging บ่อยครั้ง ➡️ หลีกเลี่ยงการจอดรถในที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด ➡️ ใช้ระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ซื้อรถ EV มือสอง ⛔ อย่าตัดสินสุขภาพแบตจากอายุรถเพียงอย่างเดียว ⛔ รถที่ใช้งานหนักหรือชาร์จผิดวิธีอาจมีแบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าค่าเฉลี่ย ⛔ ควรตรวจสอบรายงาน SoH ก่อนซื้อรถ EV มือสองทุกครั้ง https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/new-study-crowns-the-king-of-ev-battery-health-and-it-shows-batteries-dont-degrade-as-badly-as-first-feared
    0 Comments 0 Shares 162 Views 0 Reviews
  • เหรียญครูบาเจ้าศรีวิชัย ปี2482 ย้อนยุค
    เหรียญครูบาเจ้าศรีวิชัย ปี2482 ย้อนยุค เนื้อทองแดงรมดำ // พระดีพิธีใหญ่ นักบุญแห่งล้านนาไท พระเก่าเก็บ พศ.ลึก // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ //

    ** พุทธคุณโดดเด่นด้าน เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย และคงกระพันชาตรี ช่วยให้ผู้บูชาเป็นที่รักของคนทั่วไป ป้องกันอันตรายต่างๆ จากภยันตรายทั้งปวง ทำให้เป็นที่ต้องการของเหล่าทหาร ตำรวจ และประชาชนทั่วไป **

    ** เหรียญครูบาศรีวิชัย นับเป็นหนึ่งในวัตถุมงคลล้ำค่าและเป็นที่แสวงหาอย่างสูงในแวดวงนักนิยมสะสมพระเครื่องของไทย ด้วยประวัติการสร้างที่เปี่ยมด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ พิธีกรรมการปลุกเสกที่ยิ่งใหญ่ และพุทธคุณอันเป็นที่ประจักษ์ แม้ว่าครูบาศรีวิชัยจะมรณภาพไปแล้วในปี พ.ศ. 2481 จึงนับเป็น "เหรียญตาย" ที่ได้รับความนิยม **

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    โทรศัพท์ 0881915131
    LINE 0881915131
    เหรียญครูบาเจ้าศรีวิชัย ปี2482 ย้อนยุค เหรียญครูบาเจ้าศรีวิชัย ปี2482 ย้อนยุค เนื้อทองแดงรมดำ // พระดีพิธีใหญ่ นักบุญแห่งล้านนาไท พระเก่าเก็บ พศ.ลึก // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ // ** พุทธคุณโดดเด่นด้าน เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย และคงกระพันชาตรี ช่วยให้ผู้บูชาเป็นที่รักของคนทั่วไป ป้องกันอันตรายต่างๆ จากภยันตรายทั้งปวง ทำให้เป็นที่ต้องการของเหล่าทหาร ตำรวจ และประชาชนทั่วไป ** ** เหรียญครูบาศรีวิชัย นับเป็นหนึ่งในวัตถุมงคลล้ำค่าและเป็นที่แสวงหาอย่างสูงในแวดวงนักนิยมสะสมพระเครื่องของไทย ด้วยประวัติการสร้างที่เปี่ยมด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ พิธีกรรมการปลุกเสกที่ยิ่งใหญ่ และพุทธคุณอันเป็นที่ประจักษ์ แม้ว่าครูบาศรีวิชัยจะมรณภาพไปแล้วในปี พ.ศ. 2481 จึงนับเป็น "เหรียญตาย" ที่ได้รับความนิยม ** ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ โทรศัพท์ 0881915131 LINE 0881915131
    0 Comments 0 Shares 106 Views 0 Reviews
  • Python Software Foundation ถอนตัวจากทุน NSF มูลค่า $1.5 ล้าน หลังเงื่อนไขขัดต่อค่านิยมด้าน DEI

    Python Software Foundation (PSF) ประกาศถอนตัวจากการรับทุนสนับสนุนมูลค่า $1.5 ล้านจาก National Science Foundation (NSF) ของสหรัฐฯ แม้จะผ่านการคัดเลือกแล้วก็ตาม เนื่องจากเงื่อนไขของทุนขัดแย้งกับพันธกิจด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (DEI) ขององค์กร

    PSF ได้ยื่นขอทุนจากโครงการ “Safety, Security, and Privacy of Open Source Ecosystems” ของ NSF เพื่อพัฒนาเครื่องมือป้องกันมัลแวร์ใน PyPI โดยใช้การวิเคราะห์ความสามารถของแพ็กเกจและฐานข้อมูลมัลแวร์ที่รู้จัก เพื่อเปลี่ยนจากการตรวจสอบแบบ “หลังเกิดเหตุ” เป็น “ก่อนเกิดเหตุ”

    หลังจากผ่านการคัดเลือก PSF กลับพบว่าเงื่อนไขของทุนระบุว่าองค์กรต้องไม่ดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ “ส่งเสริมหรือสนับสนุนอุดมการณ์ด้าน DEI ที่ขัดต่อกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติของรัฐบาลกลาง” และหากละเมิด NSF สามารถเรียกคืนเงินทุนที่จ่ายไปแล้วได้

    PSF เห็นว่าเงื่อนไขนี้ไม่เพียงจำกัดเฉพาะโครงการที่ได้รับทุน แต่ครอบคลุมกิจกรรมทั้งหมดขององค์กร ซึ่งขัดแย้งกับพันธกิจที่เน้นการสนับสนุนชุมชน Python ที่หลากหลายและทั่วโลก

    แม้จะเสียดายโอกาสและผลกระทบทางการเงิน (ทุนนี้คิดเป็น 30% ของงบประมาณประจำปีของ PSF) แต่คณะกรรมการของ PSF ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ถอนตัวจากทุนดังกล่าว เพื่อรักษาค่านิยมขององค์กร

    วัตถุประสงค์ของโครงการทุน
    พัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์มัลแวร์ใน PyPI
    เปลี่ยนจากการตรวจสอบแบบ reactive เป็น proactive
    ขยายผลไปยังระบบ open source อื่น เช่น NPM และ Crates.io

    เงื่อนไขของทุน NSF ที่เป็นปัญหา
    ห้ามดำเนินกิจกรรมที่ส่งเสริม DEI ที่ขัดต่อกฎหมายของรัฐบาลกลาง
    ครอบคลุมกิจกรรมทั้งหมดขององค์กร ไม่ใช่แค่โครงการที่ได้รับทุน
    NSF สามารถเรียกคืนเงินทุนที่จ่ายไปแล้ว หากพบการละเมิด

    การตัดสินใจของ PSF
    ถอนตัวจากทุนแม้จะผ่านการคัดเลือกแล้ว
    คณะกรรมการลงมติเป็นเอกฉันท์
    ยืนยันว่าค่านิยมด้าน DEI สำคัญกว่าผลประโยชน์ทางการเงิน

    ผลกระทบต่อองค์กร
    สูญเสียทุนมูลค่า $1.5 ล้าน ซึ่งคิดเป็น 30% ของงบประมาณ
    ต้องการการสนับสนุนจากสมาชิกและผู้บริจาคมากขึ้น
    เปิดรับสมาชิก สนับสนุน และสปอนเซอร์เพื่อรักษาภารกิจ

    คำเตือนสำหรับองค์กรที่ขอรับทุน
    ควรอ่านเงื่อนไขของทุนอย่างละเอียดก่อนเซ็นสัญญา
    ต้องพิจารณาว่าเงื่อนไขขัดกับค่านิยมองค์กรหรือไม่
    การรับทุนอาจมีผลต่อกิจกรรมอื่น ๆ ขององค์กรโดยไม่รู้ตัว

    https://pyfound.blogspot.com/2025/10/NSF-funding-statement.html
    🐍 Python Software Foundation ถอนตัวจากทุน NSF มูลค่า $1.5 ล้าน หลังเงื่อนไขขัดต่อค่านิยมด้าน DEI Python Software Foundation (PSF) ประกาศถอนตัวจากการรับทุนสนับสนุนมูลค่า $1.5 ล้านจาก National Science Foundation (NSF) ของสหรัฐฯ แม้จะผ่านการคัดเลือกแล้วก็ตาม เนื่องจากเงื่อนไขของทุนขัดแย้งกับพันธกิจด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (DEI) ขององค์กร PSF ได้ยื่นขอทุนจากโครงการ “Safety, Security, and Privacy of Open Source Ecosystems” ของ NSF เพื่อพัฒนาเครื่องมือป้องกันมัลแวร์ใน PyPI โดยใช้การวิเคราะห์ความสามารถของแพ็กเกจและฐานข้อมูลมัลแวร์ที่รู้จัก เพื่อเปลี่ยนจากการตรวจสอบแบบ “หลังเกิดเหตุ” เป็น “ก่อนเกิดเหตุ” หลังจากผ่านการคัดเลือก PSF กลับพบว่าเงื่อนไขของทุนระบุว่าองค์กรต้องไม่ดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ “ส่งเสริมหรือสนับสนุนอุดมการณ์ด้าน DEI ที่ขัดต่อกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติของรัฐบาลกลาง” และหากละเมิด NSF สามารถเรียกคืนเงินทุนที่จ่ายไปแล้วได้ PSF เห็นว่าเงื่อนไขนี้ไม่เพียงจำกัดเฉพาะโครงการที่ได้รับทุน แต่ครอบคลุมกิจกรรมทั้งหมดขององค์กร ซึ่งขัดแย้งกับพันธกิจที่เน้นการสนับสนุนชุมชน Python ที่หลากหลายและทั่วโลก แม้จะเสียดายโอกาสและผลกระทบทางการเงิน (ทุนนี้คิดเป็น 30% ของงบประมาณประจำปีของ PSF) แต่คณะกรรมการของ PSF ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ถอนตัวจากทุนดังกล่าว เพื่อรักษาค่านิยมขององค์กร ✅ วัตถุประสงค์ของโครงการทุน ➡️ พัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์มัลแวร์ใน PyPI ➡️ เปลี่ยนจากการตรวจสอบแบบ reactive เป็น proactive ➡️ ขยายผลไปยังระบบ open source อื่น เช่น NPM และ Crates.io ✅ เงื่อนไขของทุน NSF ที่เป็นปัญหา ➡️ ห้ามดำเนินกิจกรรมที่ส่งเสริม DEI ที่ขัดต่อกฎหมายของรัฐบาลกลาง ➡️ ครอบคลุมกิจกรรมทั้งหมดขององค์กร ไม่ใช่แค่โครงการที่ได้รับทุน ➡️ NSF สามารถเรียกคืนเงินทุนที่จ่ายไปแล้ว หากพบการละเมิด ✅ การตัดสินใจของ PSF ➡️ ถอนตัวจากทุนแม้จะผ่านการคัดเลือกแล้ว ➡️ คณะกรรมการลงมติเป็นเอกฉันท์ ➡️ ยืนยันว่าค่านิยมด้าน DEI สำคัญกว่าผลประโยชน์ทางการเงิน ✅ ผลกระทบต่อองค์กร ➡️ สูญเสียทุนมูลค่า $1.5 ล้าน ซึ่งคิดเป็น 30% ของงบประมาณ ➡️ ต้องการการสนับสนุนจากสมาชิกและผู้บริจาคมากขึ้น ➡️ เปิดรับสมาชิก สนับสนุน และสปอนเซอร์เพื่อรักษาภารกิจ ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กรที่ขอรับทุน ⛔ ควรอ่านเงื่อนไขของทุนอย่างละเอียดก่อนเซ็นสัญญา ⛔ ต้องพิจารณาว่าเงื่อนไขขัดกับค่านิยมองค์กรหรือไม่ ⛔ การรับทุนอาจมีผลต่อกิจกรรมอื่น ๆ ขององค์กรโดยไม่รู้ตัว https://pyfound.blogspot.com/2025/10/NSF-funding-statement.html
    PYFOUND.BLOGSPOT.COM
    The PSF has withdrawn a $1.5 million proposal to US government grant program
    In January 2025, the PSF submitted a proposal to the US government National Science Foundation under the Safety, Security, and Privacy of Op...
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • "Microsoft Edge เปิดตัว Copilot Actions และ Journeys ยกระดับการท่องเว็บด้วย AI อัจฉริยะ"

    ไมโครซอฟท์กำลังยกระดับประสบการณ์การใช้งานเบราว์เซอร์ Edge ด้วยการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สองตัวในโหมด Copilot ได้แก่ Copilot Actions และ Journeys ซึ่งเป็นการผสานพลังของ AI เข้ากับการท่องเว็บอย่างลึกซึ้งและชาญฉลาดยิ่งขึ้น

    ฟีเจอร์แรก Copilot Actions ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานผ่านข้อความหรือเสียง เช่น “เช็คอีเมลให้หน่อย” หรือ “จองร้านอาหารให้หน่อย” แล้ว Copilot จะดำเนินการให้โดยอัตโนมัติ ตั้งแต่เปิดเว็บไซต์ ล็อกอิน กรอกฟอร์ม ไปจนถึงทำงานข้ามเว็บไซต์ได้เลย

    อีกฟีเจอร์คือ Journeys ซึ่งจะจัดระเบียบประวัติการท่องเว็บของผู้ใช้ตามหัวข้อหรือโปรเจกต์ เช่น ถ้าเคยค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการวางแผนเที่ยวญี่ปุ่นไว้ แล้วกลับมาเปิดอีกครั้ง Journeys จะเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ทันที พร้อมแนะนำสิ่งที่อาจสนใจต่อเนื่องจากพฤติกรรมการใช้งานที่ผ่านมา

    ทั้งสองฟีเจอร์นี้ยังอยู่ในช่วงทดลองใช้เฉพาะในสหรัฐฯ และผู้ใช้สามารถควบคุมการเปิด-ปิดได้ตลอดเวลา โดยไมโครซอฟท์เน้นย้ำเรื่องความเป็นส่วนตัวและความโปร่งใสในการเข้าถึงข้อมูล

    นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลน่าสนใจจากวงการเบราว์เซอร์ AI ที่กำลังร้อนแรง เช่น Perplexity เปิดตัว Comet และ OpenAI ก็มี ChatGPT Atlas ที่เน้นการใช้งานร่วมกับเว็บเบราว์เซอร์เช่นกัน แสดงให้เห็นว่า “AI + เบราว์เซอร์” กำลังกลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่ทุกค่ายกำลังเร่งพัฒนา

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Microsoft Edge
    Copilot Actions ช่วยสั่งงานผ่านข้อความหรือเสียง เช่น เปิดเว็บ เช็คเมล จองร้านอาหาร
    Journeys จัดระเบียบประวัติการท่องเว็บตามหัวข้อ พร้อมแนะนำสิ่งที่เกี่ยวข้อง

    การทำงานของ Copilot
    สามารถทำงานข้ามเว็บไซต์ เช่น ล็อกอิน กรอกฟอร์ม และดำเนินการอัตโนมัติ
    ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานเพื่อให้คำแนะนำที่ตรงใจ

    ความเป็นส่วนตัวและการควบคุม
    ผู้ใช้สามารถเปิดหรือปิดฟีเจอร์ได้ตลอดเวลา
    มีการแสดงสัญลักษณ์ชัดเจนเมื่อมีการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว

    สถานะการใช้งาน
    ฟีเจอร์ยังอยู่ในช่วงทดลองใช้ในสหรัฐฯ เท่านั้น
    มีแผนขยายการใช้งานไปยังประเทศอื่นในอนาคต

    แนวโน้มของเบราว์เซอร์ AI
    Perplexity เปิดตัว Comet และ OpenAI มี ChatGPT Atlas
    การผสาน AI กับเบราว์เซอร์กำลังกลายเป็นเทรนด์ใหม่ในวงการเทคโนโลยี

    ข้อควรระวังในการใช้งาน AI บนเบราว์เซอร์
    การให้สิทธิ์ AI เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวควรทำด้วยความระมัดระวัง
    ควรตรวจสอบการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวอย่างสม่ำเสมอ

    https://securityonline.info/beyond-chatbots-microsoft-edge-unveils-new-ai-features-for-automated-browsing/
    🪟 "Microsoft Edge เปิดตัว Copilot Actions และ Journeys ยกระดับการท่องเว็บด้วย AI อัจฉริยะ" ไมโครซอฟท์กำลังยกระดับประสบการณ์การใช้งานเบราว์เซอร์ Edge ด้วยการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สองตัวในโหมด Copilot ได้แก่ Copilot Actions และ Journeys ซึ่งเป็นการผสานพลังของ AI เข้ากับการท่องเว็บอย่างลึกซึ้งและชาญฉลาดยิ่งขึ้น ฟีเจอร์แรก Copilot Actions ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานผ่านข้อความหรือเสียง เช่น “เช็คอีเมลให้หน่อย” หรือ “จองร้านอาหารให้หน่อย” แล้ว Copilot จะดำเนินการให้โดยอัตโนมัติ ตั้งแต่เปิดเว็บไซต์ ล็อกอิน กรอกฟอร์ม ไปจนถึงทำงานข้ามเว็บไซต์ได้เลย อีกฟีเจอร์คือ Journeys ซึ่งจะจัดระเบียบประวัติการท่องเว็บของผู้ใช้ตามหัวข้อหรือโปรเจกต์ เช่น ถ้าเคยค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการวางแผนเที่ยวญี่ปุ่นไว้ แล้วกลับมาเปิดอีกครั้ง Journeys จะเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ทันที พร้อมแนะนำสิ่งที่อาจสนใจต่อเนื่องจากพฤติกรรมการใช้งานที่ผ่านมา ทั้งสองฟีเจอร์นี้ยังอยู่ในช่วงทดลองใช้เฉพาะในสหรัฐฯ และผู้ใช้สามารถควบคุมการเปิด-ปิดได้ตลอดเวลา โดยไมโครซอฟท์เน้นย้ำเรื่องความเป็นส่วนตัวและความโปร่งใสในการเข้าถึงข้อมูล นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลน่าสนใจจากวงการเบราว์เซอร์ AI ที่กำลังร้อนแรง เช่น Perplexity เปิดตัว Comet และ OpenAI ก็มี ChatGPT Atlas ที่เน้นการใช้งานร่วมกับเว็บเบราว์เซอร์เช่นกัน แสดงให้เห็นว่า “AI + เบราว์เซอร์” กำลังกลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่ทุกค่ายกำลังเร่งพัฒนา ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Microsoft Edge ➡️ Copilot Actions ช่วยสั่งงานผ่านข้อความหรือเสียง เช่น เปิดเว็บ เช็คเมล จองร้านอาหาร ➡️ Journeys จัดระเบียบประวัติการท่องเว็บตามหัวข้อ พร้อมแนะนำสิ่งที่เกี่ยวข้อง ✅ การทำงานของ Copilot ➡️ สามารถทำงานข้ามเว็บไซต์ เช่น ล็อกอิน กรอกฟอร์ม และดำเนินการอัตโนมัติ ➡️ ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานเพื่อให้คำแนะนำที่ตรงใจ ✅ ความเป็นส่วนตัวและการควบคุม ➡️ ผู้ใช้สามารถเปิดหรือปิดฟีเจอร์ได้ตลอดเวลา ➡️ มีการแสดงสัญลักษณ์ชัดเจนเมื่อมีการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว ✅ สถานะการใช้งาน ➡️ ฟีเจอร์ยังอยู่ในช่วงทดลองใช้ในสหรัฐฯ เท่านั้น ➡️ มีแผนขยายการใช้งานไปยังประเทศอื่นในอนาคต ✅ แนวโน้มของเบราว์เซอร์ AI ➡️ Perplexity เปิดตัว Comet และ OpenAI มี ChatGPT Atlas ➡️ การผสาน AI กับเบราว์เซอร์กำลังกลายเป็นเทรนด์ใหม่ในวงการเทคโนโลยี ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน AI บนเบราว์เซอร์ ⛔ การให้สิทธิ์ AI เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวควรทำด้วยความระมัดระวัง ⛔ ควรตรวจสอบการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวอย่างสม่ำเสมอ https://securityonline.info/beyond-chatbots-microsoft-edge-unveils-new-ai-features-for-automated-browsing/
    SECURITYONLINE.INFO
    Beyond Chatbots: Microsoft Edge Unveils New AI Features for Automated Browsing
    Microsoft Edge adds two new AI features, Copilot Actions and Journeys, enabling automated, multi-step web tasks and context-aware browsing history.
    0 Comments 0 Shares 90 Views 0 Reviews
  • รัฐบาลงุบงิบเจรจา ไทยเสี่ยงเสียดินแดน : [THE MESSAGE]
    นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมด้วยนายวีระ สมความคิด นักเคลื่อนไหวภาคประชาชน เผยถึงการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา(JBC) และคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) รวมถึงการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย–สหรัฐอเมริกา ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่หายาก ห่วงทิศทางการดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัฐบาล โดยเฉพาะประเด็นที่อาจกระทบต่ออธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศ ทั้งการเจรจาระหว่างไทย–กัมพูชา และการทำบันทึกความเข้าใจกับสหรัฐอเมริกาในประเด็นแร่หายาก ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญเชิงยุทธศาสตร์ระดับโลก แต่กลับปกปิดข้อมูล อ้างเป็นเรื่องความลับทางการเจรจา เสี่ยงต่อการชักศึกเข้าบ้าน รัฐบาลไทยไม่เรียกร้องความรับผิดชอบจากกัมพูชา กรณีละเมิด MOU 2543 ส่วนพื้นที่ที่ยังไม่สามารถนำคืนมาได้ อาจกลายเป็นพื้นที่ที่ไทยไม่สามารถอ้างสิทธิ์ได้อีก หากไม่ดำเนินการเชิงรุก เรียกร้องรัฐบาลเปิดเผยรายละเอียดการเจรจา
    รัฐบาลงุบงิบเจรจา ไทยเสี่ยงเสียดินแดน : [THE MESSAGE] นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมด้วยนายวีระ สมความคิด นักเคลื่อนไหวภาคประชาชน เผยถึงการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา(JBC) และคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) รวมถึงการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย–สหรัฐอเมริกา ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่หายาก ห่วงทิศทางการดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัฐบาล โดยเฉพาะประเด็นที่อาจกระทบต่ออธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศ ทั้งการเจรจาระหว่างไทย–กัมพูชา และการทำบันทึกความเข้าใจกับสหรัฐอเมริกาในประเด็นแร่หายาก ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญเชิงยุทธศาสตร์ระดับโลก แต่กลับปกปิดข้อมูล อ้างเป็นเรื่องความลับทางการเจรจา เสี่ยงต่อการชักศึกเข้าบ้าน รัฐบาลไทยไม่เรียกร้องความรับผิดชอบจากกัมพูชา กรณีละเมิด MOU 2543 ส่วนพื้นที่ที่ยังไม่สามารถนำคืนมาได้ อาจกลายเป็นพื้นที่ที่ไทยไม่สามารถอ้างสิทธิ์ได้อีก หากไม่ดำเนินการเชิงรุก เรียกร้องรัฐบาลเปิดเผยรายละเอียดการเจรจา
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 305 Views 0 0 Reviews
More Results