• เครื่องบินของโปแลนด์และพันธมิตรนาโต ถูกส่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในวันเสาร์ (20 ก.ย.) เพื่อรับประกันความปลอดภัยน่านฟ้าของโปแลนด์ หลังรัสเซียปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเล็งเป้าหมายเล่นงานทางตะวันตกของยูเครน ใกล้ชายแดนโปแลนด์
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000090286

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire

    เครื่องบินของโปแลนด์และพันธมิตรนาโต ถูกส่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในวันเสาร์ (20 ก.ย.) เพื่อรับประกันความปลอดภัยน่านฟ้าของโปแลนด์ หลังรัสเซียปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเล็งเป้าหมายเล่นงานทางตะวันตกของยูเครน ใกล้ชายแดนโปแลนด์ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000090286 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • ขายของดีไม่ต้องพูดเยอะ … เจ็บคอ … ใช้ถุงดี คือ กำไรแฝงแบบงงๆค่ะ …ถุงตราปู ร้านกินจุ๊บจิ๊บ ราคาโรงงานมาเองค่าาา ⭕️ กดดูรายละเอียดสินค้าถุงใส่แก้วน้ำ PP ตราปูใน TikTok (สีฟ้า 3.5x14)(สีชมพู 4x14) https://vt.tiktok.com/ZSSFcE17r/ถุงใส่แก้วน้ำ PP ตราปู ใน Shopee (สีฟ้า 3.5x14) (สีชมพู 4x14) https://th.shp.ee/vaLNPhJ https://th.shp.ee/tEVm9rc เลือกชมสินค้าอื่นๆของเราได้ทั้งสองช่องทาง1. Shopee : shopee.co.th/kinjubjibshop2. TikTok : https://www.tiktok.com/@kinjubjibshop?_t=ZS-8txYHQWejyM&_เลือกช้อปได้ตามความชอบและคูปองของแต่ละช่องทางได้เลยค่ะ#ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #ถุงตราปู #ถุงเย็น #ถุงใส่แก้ว
    ขายของดีไม่ต้องพูดเยอะ … เจ็บคอ … ใช้ถุงดี คือ กำไรแฝงแบบงงๆค่ะ …ถุงตราปู ร้านกินจุ๊บจิ๊บ ราคาโรงงานมาเองค่าาา 🌶️♨️⭕️ กดดูรายละเอียดสินค้าถุงใส่แก้วน้ำ PP ตราปูใน TikTok (สีฟ้า 3.5x14)(สีชมพู 4x14) https://vt.tiktok.com/ZSSFcE17r/ถุงใส่แก้วน้ำ PP ตราปู ใน Shopee (สีฟ้า 3.5x14) (สีชมพู 4x14) https://th.shp.ee/vaLNPhJ https://th.shp.ee/tEVm9rc เลือกชมสินค้าอื่นๆของเราได้ทั้งสองช่องทาง1. Shopee : shopee.co.th/kinjubjibshop2. TikTok : https://www.tiktok.com/@kinjubjibshop?_t=ZS-8txYHQWejyM&_เลือกช้อปได้ตามความชอบและคูปองของแต่ละช่องทางได้เลยค่ะ#ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #ถุงตราปู #ถุงเย็น #ถุงใส่แก้ว
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 0 Reviews
  • Low-poly crystal sculpture series:
    [EP.3] Zebra the strips
    Low-poly crystal sculpture series: [EP.3] Zebra the strips 😝😁
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • Happy family time
    Happy family time
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯในวันเสาร์ (20 ก.ย.) ขู่อัฟกานิสถานจะโดนลงโทษ แต่ไม่ระบุอย่างเจาะจง ถ้าประเทศที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตอลิบานแห่งนี้ ไม่ยอมมอบ "ฐานทัพอากาศบากรัม" คืนแก่อเมริกา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000090289

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire

    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯในวันเสาร์ (20 ก.ย.) ขู่อัฟกานิสถานจะโดนลงโทษ แต่ไม่ระบุอย่างเจาะจง ถ้าประเทศที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตอลิบานแห่งนี้ ไม่ยอมมอบ "ฐานทัพอากาศบากรัม" คืนแก่อเมริกา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000090289 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 186 Views 0 Reviews
  • องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meterological Organization - WMO) คาดการณ์ว่าปรากฏการณ์ลานีญา (La Niña) จะกลับมาอีกครั้งในช่วงปลายปี พ.ศ. 2568 นี้ โดยมีความเป็นไปได้ 55% ที่จะมีการเปลี่ยนผันเข้าสู่ปรากฏการณ์ลานีญาระหว่างเดือนกันยายน - พฤศจิกายน และความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นเป็น 60% ในช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2568

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000090280

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meterological Organization - WMO) คาดการณ์ว่าปรากฏการณ์ลานีญา (La Niña) จะกลับมาอีกครั้งในช่วงปลายปี พ.ศ. 2568 นี้ โดยมีความเป็นไปได้ 55% ที่จะมีการเปลี่ยนผันเข้าสู่ปรากฏการณ์ลานีญาระหว่างเดือนกันยายน - พฤศจิกายน และความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นเป็น 60% ในช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2568 อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000090280 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    Sad
    3
    0 Comments 0 Shares 178 Views 0 Reviews
  • หยุดยิงยังไม่ถึง 2 เดือน เขมรออกอาการ ลักลอบนำเข้าสินค้าไทย-แรงงานกัมพูชาเสี่ยงกลับไทยหางานทำ ตบหน้านโยบายผู้นำกัมพูชา พูดได้-แต่ทำไม่ได้ ขณะที่เปลี่ยนปั๊ม PTT เป็น Peace ของเตีย เสียม ดึงเรื่องช้ารอนโยบาย 2 ผู้นำ หวั่นคืนดีกันแล้วไม่คุ้ม ส่วนบ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว สระแก้วได้รัฐบาลเต็มดูแล

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000090288

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    หยุดยิงยังไม่ถึง 2 เดือน เขมรออกอาการ ลักลอบนำเข้าสินค้าไทย-แรงงานกัมพูชาเสี่ยงกลับไทยหางานทำ ตบหน้านโยบายผู้นำกัมพูชา พูดได้-แต่ทำไม่ได้ ขณะที่เปลี่ยนปั๊ม PTT เป็น Peace ของเตีย เสียม ดึงเรื่องช้ารอนโยบาย 2 ผู้นำ หวั่นคืนดีกันแล้วไม่คุ้ม ส่วนบ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว สระแก้วได้รัฐบาลเต็มดูแล อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000090288 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    Haha
    3
    0 Comments 0 Shares 160 Views 0 Reviews
  • ธุรกิจผลิต-จำหน่าย-บริการ ดูความเสี่ยงยังไง ?
    ธุรกิจผลิต-จำหน่าย-บริการ ดูความเสี่ยงยังไง ?
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 0 Reviews
  • FENGSHUI DAILY
    อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว
    สีเสริมดวง เสริมความเฮง
    ทิศมงคล เวลามงคล
    อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่
    วันจันทร์ที่ 22 เดือนกันยายน พ.ศ.2568
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    FENGSHUI DAILY อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว สีเสริมดวง เสริมความเฮง ทิศมงคล เวลามงคล อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่ วันจันทร์ที่ 22 เดือนกันยายน พ.ศ.2568 ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • Love
    1
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews
  • 0 Comments 0 Shares 16 Views 0 0 Reviews
  • 0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • ไอ้หน้าหล่อ 2สัญชาติ,
    ..ลากไส้จริงๆพรรคภาคใต้นี้อันตรายตั้งแต่ก่อนถือกำเนิดขึ้นแล้ว จัดตั้งพรรคมาเพื่องานนี้ด้วย เครื่องมือนอมินีต่างชาติตั้งแต่แรกแล้ว ceoประจำประเทศไทย,ยุคชวนเป็นยุคล่าสุดที่แสดงผลงานได้ดี,ตัวพ่อmou43ด้วย,ระดับชวนไม่รู้เป็นไปไม่ได้,แต่ไทยเรายุคอดีตนั้นไทยยังไม่พร้อมไม่มีเน็ต,ยุคปัจจุบันเหี้ยทุกๆพรรคต่างชาติครอบวำได้หมด เอาแต่มันสั่งจะเล่นบทอะไร.ิิ

    https://youtube.com/shorts/yBGoeciVdwQ?si=8PuMkNBQ73rpcqI2
    ไอ้หน้าหล่อ 2สัญชาติ, ..ลากไส้จริงๆพรรคภาคใต้นี้อันตรายตั้งแต่ก่อนถือกำเนิดขึ้นแล้ว จัดตั้งพรรคมาเพื่องานนี้ด้วย เครื่องมือนอมินีต่างชาติตั้งแต่แรกแล้ว ceoประจำประเทศไทย,ยุคชวนเป็นยุคล่าสุดที่แสดงผลงานได้ดี,ตัวพ่อmou43ด้วย,ระดับชวนไม่รู้เป็นไปไม่ได้,แต่ไทยเรายุคอดีตนั้นไทยยังไม่พร้อมไม่มีเน็ต,ยุคปัจจุบันเหี้ยทุกๆพรรคต่างชาติครอบวำได้หมด เอาแต่มันสั่งจะเล่นบทอะไร.ิิ https://youtube.com/shorts/yBGoeciVdwQ?si=8PuMkNBQ73rpcqI2
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • วิจารณ์สนั่นโลโก้ Maybank บนตึก Merdeka 118

    แม้ว่าโลโก้เมย์แบงก์ (Maybank) ธนาคารอันดับหนึ่งของมาเลเซีย กลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ในเมืองโคตากินาบาลู รัฐซาบาห์ เพราะสาขาที่ปิดถาวรบนถนนจาลันพันตาย (Jalan Pantai) กลายเป็นจุดถ่ายรูปเช็กอินยอดนิยมของนักท่องเที่ยว แต่สำหรับอาคาร์เมอร์เดก้า 118 (Merdeka 118) ความสูง 118 ชั้น 678.9 เมตร ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ที่สูงเป็นอันดับสองของโลก รองจากตึกบุรจญ์เคาะลีฟะฮ์ (Burj Khalifa) ในนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ดูจะไม่สบอารมณ์กับชาวมาเลเซียเท่าไหร่นัก

    บนสื่อโซเชียลฯ ในมาเลเซียวิจารณ์กรณีที่กลุ่มเมย์แบงก์ ซึ่งเป็นผู้เช่าหลักติดโลโก้ Maybank เป็นตัวอักษรสีเหลืองบนยอดตึกของอาคารดังกล่าว โดยมองว่าอาจทำให้เสียภาพลักษณ์และไม่สะท้อนความหมายของอาคารดังกล่าว ทั้งที่อาคารดังกล่าวออกแบบเป็นสัญลักษณ์ที่นายตุนกู อับดุล ระฮ์มัน (Tunku Abdul Rahman) นายกรัฐมนตรีมาเลเซียคนแรก กำลังยื่นมือออกไปขณะอ่านคำประกาศอิสรภาพ ว่า "เมอร์เดก้า" แปลว่าอิสรภาพ เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2500 ที่สนามกีฬาเมอร์เดก้า

    ชาวเน็ตมาเลเซียเกรงว่าในไม่ช้าผู้คนจะจดจำอาคาร Merdeka 118 ในชื่อ Maybank Tower แทน ถ้าเปรียบเทียบกับอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์ หรือตึกแฝด ย่าน KLCC (Kuala Lumpur City Centre) ทางบริษัทพลังงานแห่งชาติของมาเลเซีย ก็ไม่ได้ใส่โลโก้ของตน ทั้งที่เป็นเจ้าของอาคารที่แท้จริง โดยเห็นว่าหากไม่มีโลโก้ Maybank อาคารดังกล่าวจะดูปกติเรียบร้อยกว่านี้

    ก่อนหน้านี้ กลุ่มเมย์แบงก์ตัดสินใจเช่าอาคารเมอร์เดก้า 118 กับบริษัท เปอร์โมดาลัน เนชันแนล เบอร์ฮัด (Permodalan Nasional Berhad หรือ PNB) เจ้าของอาคารดังกล่าว จำนวน 33 ชั้น 650,000 ตารางฟุต รวมระยะเวลา 21 ปี พร้อมย้ายสำนักงานใหญ่ จากเดิมอาคารเมย์แบงก์บนถนนตุน ราซัค (Tun Razak) และธุรกิจในเครือ เช่น เมย์แบงก์ อิสลาม, เมย์แบงก์ อินเวสเมนท์ แบงก์ และเมย์แบงก์ แอสเซท แมเนจเมนท์ มารวมกันที่นี่ คาดว่าจะรองรับพนักงานประมาณ 5,900 คน อีกทั้งได้รับสิทธิ์ในการตั้งชื่อและติดป้ายบนอาคาร ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์บนอาคารสูงระดับโลก คาดว่าจะทยอยย้ายไปยังสำนักงานแห่งใหม่ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2569

    อนึ่ง กลุ่มเมย์แบงก์ประกอบธุรกิจการเงินใน 18 ประเทศ ประกอบด้วยธนาคาร 8 ประเทศ (ธนาคารตามหลักศาสนาอิสลาม 4 ประเทศ) การลงทุน 16 ประเทศ ประกันภัยและตะกาฟุล 5 ประเทศ ในประเทศไทยประกอบธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์ โดยซื้อกิจการจากกิมเอ็ง โฮลดิ้งส์ ประเทศสิงค์โปร์ เมื่อปี 2554 มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่อาคารดิ ออฟฟิศเศส แอท เซ็นทรัลเวิลด์

    #Newskit
    วิจารณ์สนั่นโลโก้ Maybank บนตึก Merdeka 118 แม้ว่าโลโก้เมย์แบงก์ (Maybank) ธนาคารอันดับหนึ่งของมาเลเซีย กลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ในเมืองโคตากินาบาลู รัฐซาบาห์ เพราะสาขาที่ปิดถาวรบนถนนจาลันพันตาย (Jalan Pantai) กลายเป็นจุดถ่ายรูปเช็กอินยอดนิยมของนักท่องเที่ยว แต่สำหรับอาคาร์เมอร์เดก้า 118 (Merdeka 118) ความสูง 118 ชั้น 678.9 เมตร ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ที่สูงเป็นอันดับสองของโลก รองจากตึกบุรจญ์เคาะลีฟะฮ์ (Burj Khalifa) ในนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ดูจะไม่สบอารมณ์กับชาวมาเลเซียเท่าไหร่นัก บนสื่อโซเชียลฯ ในมาเลเซียวิจารณ์กรณีที่กลุ่มเมย์แบงก์ ซึ่งเป็นผู้เช่าหลักติดโลโก้ Maybank เป็นตัวอักษรสีเหลืองบนยอดตึกของอาคารดังกล่าว โดยมองว่าอาจทำให้เสียภาพลักษณ์และไม่สะท้อนความหมายของอาคารดังกล่าว ทั้งที่อาคารดังกล่าวออกแบบเป็นสัญลักษณ์ที่นายตุนกู อับดุล ระฮ์มัน (Tunku Abdul Rahman) นายกรัฐมนตรีมาเลเซียคนแรก กำลังยื่นมือออกไปขณะอ่านคำประกาศอิสรภาพ ว่า "เมอร์เดก้า" แปลว่าอิสรภาพ เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2500 ที่สนามกีฬาเมอร์เดก้า ชาวเน็ตมาเลเซียเกรงว่าในไม่ช้าผู้คนจะจดจำอาคาร Merdeka 118 ในชื่อ Maybank Tower แทน ถ้าเปรียบเทียบกับอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์ หรือตึกแฝด ย่าน KLCC (Kuala Lumpur City Centre) ทางบริษัทพลังงานแห่งชาติของมาเลเซีย ก็ไม่ได้ใส่โลโก้ของตน ทั้งที่เป็นเจ้าของอาคารที่แท้จริง โดยเห็นว่าหากไม่มีโลโก้ Maybank อาคารดังกล่าวจะดูปกติเรียบร้อยกว่านี้ ก่อนหน้านี้ กลุ่มเมย์แบงก์ตัดสินใจเช่าอาคารเมอร์เดก้า 118 กับบริษัท เปอร์โมดาลัน เนชันแนล เบอร์ฮัด (Permodalan Nasional Berhad หรือ PNB) เจ้าของอาคารดังกล่าว จำนวน 33 ชั้น 650,000 ตารางฟุต รวมระยะเวลา 21 ปี พร้อมย้ายสำนักงานใหญ่ จากเดิมอาคารเมย์แบงก์บนถนนตุน ราซัค (Tun Razak) และธุรกิจในเครือ เช่น เมย์แบงก์ อิสลาม, เมย์แบงก์ อินเวสเมนท์ แบงก์ และเมย์แบงก์ แอสเซท แมเนจเมนท์ มารวมกันที่นี่ คาดว่าจะรองรับพนักงานประมาณ 5,900 คน อีกทั้งได้รับสิทธิ์ในการตั้งชื่อและติดป้ายบนอาคาร ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์บนอาคารสูงระดับโลก คาดว่าจะทยอยย้ายไปยังสำนักงานแห่งใหม่ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2569 อนึ่ง กลุ่มเมย์แบงก์ประกอบธุรกิจการเงินใน 18 ประเทศ ประกอบด้วยธนาคาร 8 ประเทศ (ธนาคารตามหลักศาสนาอิสลาม 4 ประเทศ) การลงทุน 16 ประเทศ ประกันภัยและตะกาฟุล 5 ประเทศ ในประเทศไทยประกอบธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์ โดยซื้อกิจการจากกิมเอ็ง โฮลดิ้งส์ ประเทศสิงค์โปร์ เมื่อปี 2554 มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่อาคารดิ ออฟฟิศเศส แอท เซ็นทรัลเวิลด์ #Newskit
    1 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • “Learn Your Way: Google ปฏิวัติหนังสือเรียนด้วย AI — เปลี่ยนเนื้อหาคงที่ให้กลายเป็นประสบการณ์เรียนรู้เฉพาะตัว”

    Google Research เปิดตัวโครงการ “Learn Your Way” ซึ่งเป็นการทดลองใช้ Generative AI เพื่อเปลี่ยนหนังสือเรียนแบบเดิมให้กลายเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ปรับแต่งได้ตามผู้เรียนแต่ละคน โดยใช้โมเดล LearnLM ที่ฝังหลักการด้านการเรียนรู้ไว้โดยตรง และผสานเข้ากับ Gemini 2.5 Pro เพื่อสร้างเนื้อหาหลากหลายรูปแบบจากต้นฉบับเดียวกัน เช่น แผนภาพความคิด, สไลด์พร้อมเสียงบรรยาย, บทเรียนเสียง, แบบทดสอบ และข้อความเชิงโต้ตอบ

    แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนหลักการ “dual coding theory” ที่ระบุว่าการเชื่อมโยงข้อมูลในหลายรูปแบบจะช่วยสร้างโครงสร้างความเข้าใจที่แข็งแรงขึ้นในสมอง โดย Learn Your Way ให้ผู้เรียนเลือกระดับชั้นและความสนใจ เช่น กีฬา ดนตรี หรืออาหาร จากนั้นระบบจะปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับระดับความเข้าใจ พร้อมแทนตัวอย่างทั่วไปด้วยสิ่งที่ผู้เรียนสนใจ

    ผลการทดลองกับนักเรียน 60 คนในชิคาโกพบว่า กลุ่มที่ใช้ Learn Your Way มีคะแนนการจดจำเนื้อหาในระยะยาวสูงกว่ากลุ่มที่ใช้ PDF ปกติถึง 11% และ 93% ของผู้เรียนกล่าวว่าต้องการใช้เครื่องมือนี้ในการเรียนครั้งต่อไป

    Google ยังพัฒนาโมเดลเฉพาะสำหรับสร้างภาพประกอบการเรียนรู้ เนื่องจากโมเดลภาพทั่วไปยังไม่สามารถสร้างภาพที่มีคุณภาพทางการศึกษาได้อย่างแม่นยำ โดยใช้กระบวนการหลายขั้นตอนร่วมกับ AI agent เฉพาะทาง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Learn Your Way เป็นโครงการทดลองจาก Google ที่ใช้ GenAI ปรับเนื้อหาหนังสือเรียนให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคน
    ใช้โมเดล LearnLM ผสานกับ Gemini 2.5 Pro เพื่อสร้างเนื้อหาหลากหลายรูปแบบ
    ผู้เรียนสามารถเลือกระดับชั้นและความสนใจเพื่อให้ระบบปรับเนื้อหาให้ตรงกับตน
    ผลการทดลองพบว่าผู้ใช้ Learn Your Way มีคะแนนจดจำเนื้อหาสูงกว่ากลุ่มควบคุมถึง 11%

    รูปแบบเนื้อหาที่สร้างได้
    ข้อความเชิงโต้ตอบพร้อมภาพและคำถามฝังในเนื้อหา
    แบบทดสอบรายบทเพื่อประเมินความเข้าใจแบบเรียลไทม์
    สไลด์พร้อมเสียงบรรยายและกิจกรรมเติมคำ
    บทเรียนเสียงจำลองบทสนทนาระหว่างครูและนักเรียน
    แผนภาพความคิดที่สามารถขยายและย่อเพื่อดูภาพรวมและรายละเอียด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    หลักการ dual coding theory ถูกใช้ในงานวิจัยด้านการเรียนรู้มานานกว่า 40 ปี
    OpenStax เป็นผู้ให้เนื้อหาต้นฉบับสำหรับการทดลอง Learn Your Way
    การปรับเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้
    การใช้ AI เพื่อสร้างเนื้อหาเฉพาะบุคคลเริ่มเป็นมาตรฐานใน K-12 ทั่วโลก

    https://research.google/blog/learn-your-way-reimagining-textbooks-with-generative-ai/
    📚 “Learn Your Way: Google ปฏิวัติหนังสือเรียนด้วย AI — เปลี่ยนเนื้อหาคงที่ให้กลายเป็นประสบการณ์เรียนรู้เฉพาะตัว” Google Research เปิดตัวโครงการ “Learn Your Way” ซึ่งเป็นการทดลองใช้ Generative AI เพื่อเปลี่ยนหนังสือเรียนแบบเดิมให้กลายเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ปรับแต่งได้ตามผู้เรียนแต่ละคน โดยใช้โมเดล LearnLM ที่ฝังหลักการด้านการเรียนรู้ไว้โดยตรง และผสานเข้ากับ Gemini 2.5 Pro เพื่อสร้างเนื้อหาหลากหลายรูปแบบจากต้นฉบับเดียวกัน เช่น แผนภาพความคิด, สไลด์พร้อมเสียงบรรยาย, บทเรียนเสียง, แบบทดสอบ และข้อความเชิงโต้ตอบ แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนหลักการ “dual coding theory” ที่ระบุว่าการเชื่อมโยงข้อมูลในหลายรูปแบบจะช่วยสร้างโครงสร้างความเข้าใจที่แข็งแรงขึ้นในสมอง โดย Learn Your Way ให้ผู้เรียนเลือกระดับชั้นและความสนใจ เช่น กีฬา ดนตรี หรืออาหาร จากนั้นระบบจะปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับระดับความเข้าใจ พร้อมแทนตัวอย่างทั่วไปด้วยสิ่งที่ผู้เรียนสนใจ ผลการทดลองกับนักเรียน 60 คนในชิคาโกพบว่า กลุ่มที่ใช้ Learn Your Way มีคะแนนการจดจำเนื้อหาในระยะยาวสูงกว่ากลุ่มที่ใช้ PDF ปกติถึง 11% และ 93% ของผู้เรียนกล่าวว่าต้องการใช้เครื่องมือนี้ในการเรียนครั้งต่อไป Google ยังพัฒนาโมเดลเฉพาะสำหรับสร้างภาพประกอบการเรียนรู้ เนื่องจากโมเดลภาพทั่วไปยังไม่สามารถสร้างภาพที่มีคุณภาพทางการศึกษาได้อย่างแม่นยำ โดยใช้กระบวนการหลายขั้นตอนร่วมกับ AI agent เฉพาะทาง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Learn Your Way เป็นโครงการทดลองจาก Google ที่ใช้ GenAI ปรับเนื้อหาหนังสือเรียนให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคน ➡️ ใช้โมเดล LearnLM ผสานกับ Gemini 2.5 Pro เพื่อสร้างเนื้อหาหลากหลายรูปแบบ ➡️ ผู้เรียนสามารถเลือกระดับชั้นและความสนใจเพื่อให้ระบบปรับเนื้อหาให้ตรงกับตน ➡️ ผลการทดลองพบว่าผู้ใช้ Learn Your Way มีคะแนนจดจำเนื้อหาสูงกว่ากลุ่มควบคุมถึง 11% ✅ รูปแบบเนื้อหาที่สร้างได้ ➡️ ข้อความเชิงโต้ตอบพร้อมภาพและคำถามฝังในเนื้อหา ➡️ แบบทดสอบรายบทเพื่อประเมินความเข้าใจแบบเรียลไทม์ ➡️ สไลด์พร้อมเสียงบรรยายและกิจกรรมเติมคำ ➡️ บทเรียนเสียงจำลองบทสนทนาระหว่างครูและนักเรียน ➡️ แผนภาพความคิดที่สามารถขยายและย่อเพื่อดูภาพรวมและรายละเอียด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ หลักการ dual coding theory ถูกใช้ในงานวิจัยด้านการเรียนรู้มานานกว่า 40 ปี ➡️ OpenStax เป็นผู้ให้เนื้อหาต้นฉบับสำหรับการทดลอง Learn Your Way ➡️ การปรับเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้ ➡️ การใช้ AI เพื่อสร้างเนื้อหาเฉพาะบุคคลเริ่มเป็นมาตรฐานใน K-12 ทั่วโลก https://research.google/blog/learn-your-way-reimagining-textbooks-with-generative-ai/
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • “แผนที่โลกกลับหัว: Robert Simmon ท้าทายความเคยชิน — เมื่อ ‘ใต้’ ขึ้นมาอยู่บนสุด โลกก็เปลี่ยนไป”

    ถ้าคุณหลับตาแล้วนึกถึงแผนที่โลก ภาพที่ปรากฏในหัวน่าจะเป็นแบบที่เราคุ้นเคย: อเมริกาเหนือและยุโรปอยู่ด้านบน แอฟริกาอยู่ตรงกลาง และออสเตรเลียกับแอนตาร์กติกาอยู่ด้านล่าง แต่ Robert Simmon นักทำแผนที่ผู้เคยร่วมงานกับ NASA Earth Observatory และ Planet Labs ได้ตั้งคำถามว่า “ทำไมต้องเป็นแบบนั้น?” และเขาได้ตอบด้วยการสร้างแผนที่โลกแบบ “south-up” หรือ “ใต้ขึ้นบน” ที่พลิกทุกอย่างกลับหัว

    แผนที่ของ Simmon ยังคงถูกต้องทางภูมิศาสตร์ทุกประการ มีประเทศ ทะเลสาบ เมือง และถนนครบถ้วน พร้อมแผนที่ย่อยแสดงชีวนิเวศของโลก การใช้ที่ดิน และความลึกของมหาสมุทร แต่เมื่อมองด้วยทิศใต้เป็นด้านบน ทุกอย่างดูแปลกตาและชวนให้ตั้งคำถามว่า “ทำไมเราถึงยึดติดกับการวางทิศเหนือไว้ด้านบน?”

    ความจริงคือ แผนที่ในอดีตไม่ได้มีทิศเหนืออยู่ด้านบนเสมอไป ในยุคจีนโบราณ เช่น สมัยราชวงศ์ฮั่นและถัง นักเดินเรือใช้เข็มแม่เหล็กที่ชี้ไปทางใต้เป็นหลัก และแผนที่จำนวนมากในยุโรปยุคกลางก็มีทิศตะวันออกหรือใต้เป็นด้านบน การที่ทิศเหนือกลายเป็นมาตรฐานเกิดจากอิทธิพลของ Ptolemy ซึ่งเป็นผู้กำหนดเส้นละติจูดและลองจิจูด ทำให้แผนที่ที่ตามมารับเอาทิศเหนือไว้ด้านบนโดยอัตโนมัติ

    นอกจากนี้ยังมีมิติทางจิตวิทยา: เรามักมองว่าสิ่งที่อยู่ด้านบนคือ “ดี” และสิ่งที่อยู่ด้านล่างคือ “แย่” ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้ทางภูมิศาสตร์ เช่น การมองว่าประเทศทางเหนือมีสถานะสูงกว่าโดยไม่รู้ตัว การเปลี่ยนแผนที่ให้ใต้ขึ้นบนจึงไม่ใช่แค่การกลับหัวภาพ — แต่เป็นการกลับหัวความคิด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Robert Simmon สร้างแผนที่โลกแบบ south-up เพื่อท้าทายความเคยชิน
    แผนที่มีข้อมูลครบถ้วน เช่น ประเทศ เมือง ถนน มหาสมุทร และแผนที่ย่อย
    การวางทิศใต้ไว้ด้านบนทำให้ผู้ดูรู้สึกแปลกตาและตั้งคำถามกับมาตรฐานเดิม
    แผนที่นี้ถูกส่งเข้าร่วมโครงการ Maps.com เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณะ

    ประวัติศาสตร์และหลักการ
    ในอดีตแผนที่มีทิศใต้หรือทิศตะวันออกเป็นด้านบน ไม่ใช่ทิศเหนือเสมอไป
    นักเดินเรือจีนโบราณใช้เข็มแม่เหล็กที่ชี้ไปทางใต้เป็นหลัก
    Ptolemy เป็นผู้กำหนดระบบละติจูด–ลองจิจูด ทำให้ทิศเหนือกลายเป็นมาตรฐาน
    การวางทิศบนแผนที่มีผลต่อการรับรู้ทางจิตวิทยาและสังคม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การใช้แผนที่ south-up ถูกนำไปใช้ในห้องเรียนเพื่อกระตุ้นการคิดเชิงวิพากษ์
    นักวิจัยพบว่าเมื่อใช้แผนที่แบบ south-up อคติทางภูมิศาสตร์ลดลง
    ภาษาอังกฤษมีคำพูดที่สะท้อนอคติ เช่น “up north” กับ “down south”
    แผนที่แบบกลับหัวเคยถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองในศตวรรษที่ 20

    https://www.maps.com/this-map-is-not-upside-down/
    🗺️ “แผนที่โลกกลับหัว: Robert Simmon ท้าทายความเคยชิน — เมื่อ ‘ใต้’ ขึ้นมาอยู่บนสุด โลกก็เปลี่ยนไป” ถ้าคุณหลับตาแล้วนึกถึงแผนที่โลก ภาพที่ปรากฏในหัวน่าจะเป็นแบบที่เราคุ้นเคย: อเมริกาเหนือและยุโรปอยู่ด้านบน แอฟริกาอยู่ตรงกลาง และออสเตรเลียกับแอนตาร์กติกาอยู่ด้านล่าง แต่ Robert Simmon นักทำแผนที่ผู้เคยร่วมงานกับ NASA Earth Observatory และ Planet Labs ได้ตั้งคำถามว่า “ทำไมต้องเป็นแบบนั้น?” และเขาได้ตอบด้วยการสร้างแผนที่โลกแบบ “south-up” หรือ “ใต้ขึ้นบน” ที่พลิกทุกอย่างกลับหัว แผนที่ของ Simmon ยังคงถูกต้องทางภูมิศาสตร์ทุกประการ มีประเทศ ทะเลสาบ เมือง และถนนครบถ้วน พร้อมแผนที่ย่อยแสดงชีวนิเวศของโลก การใช้ที่ดิน และความลึกของมหาสมุทร แต่เมื่อมองด้วยทิศใต้เป็นด้านบน ทุกอย่างดูแปลกตาและชวนให้ตั้งคำถามว่า “ทำไมเราถึงยึดติดกับการวางทิศเหนือไว้ด้านบน?” ความจริงคือ แผนที่ในอดีตไม่ได้มีทิศเหนืออยู่ด้านบนเสมอไป ในยุคจีนโบราณ เช่น สมัยราชวงศ์ฮั่นและถัง นักเดินเรือใช้เข็มแม่เหล็กที่ชี้ไปทางใต้เป็นหลัก และแผนที่จำนวนมากในยุโรปยุคกลางก็มีทิศตะวันออกหรือใต้เป็นด้านบน การที่ทิศเหนือกลายเป็นมาตรฐานเกิดจากอิทธิพลของ Ptolemy ซึ่งเป็นผู้กำหนดเส้นละติจูดและลองจิจูด ทำให้แผนที่ที่ตามมารับเอาทิศเหนือไว้ด้านบนโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีมิติทางจิตวิทยา: เรามักมองว่าสิ่งที่อยู่ด้านบนคือ “ดี” และสิ่งที่อยู่ด้านล่างคือ “แย่” ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้ทางภูมิศาสตร์ เช่น การมองว่าประเทศทางเหนือมีสถานะสูงกว่าโดยไม่รู้ตัว การเปลี่ยนแผนที่ให้ใต้ขึ้นบนจึงไม่ใช่แค่การกลับหัวภาพ — แต่เป็นการกลับหัวความคิด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Robert Simmon สร้างแผนที่โลกแบบ south-up เพื่อท้าทายความเคยชิน ➡️ แผนที่มีข้อมูลครบถ้วน เช่น ประเทศ เมือง ถนน มหาสมุทร และแผนที่ย่อย ➡️ การวางทิศใต้ไว้ด้านบนทำให้ผู้ดูรู้สึกแปลกตาและตั้งคำถามกับมาตรฐานเดิม ➡️ แผนที่นี้ถูกส่งเข้าร่วมโครงการ Maps.com เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณะ ✅ ประวัติศาสตร์และหลักการ ➡️ ในอดีตแผนที่มีทิศใต้หรือทิศตะวันออกเป็นด้านบน ไม่ใช่ทิศเหนือเสมอไป ➡️ นักเดินเรือจีนโบราณใช้เข็มแม่เหล็กที่ชี้ไปทางใต้เป็นหลัก ➡️ Ptolemy เป็นผู้กำหนดระบบละติจูด–ลองจิจูด ทำให้ทิศเหนือกลายเป็นมาตรฐาน ➡️ การวางทิศบนแผนที่มีผลต่อการรับรู้ทางจิตวิทยาและสังคม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การใช้แผนที่ south-up ถูกนำไปใช้ในห้องเรียนเพื่อกระตุ้นการคิดเชิงวิพากษ์ ➡️ นักวิจัยพบว่าเมื่อใช้แผนที่แบบ south-up อคติทางภูมิศาสตร์ลดลง ➡️ ภาษาอังกฤษมีคำพูดที่สะท้อนอคติ เช่น “up north” กับ “down south” ➡️ แผนที่แบบกลับหัวเคยถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองในศตวรรษที่ 20 https://www.maps.com/this-map-is-not-upside-down/
    WWW.MAPS.COM
    This Map Is Not Upside Down
    While conventional and commonplace today, maps have not always had north at the top. And they don't need to.
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • “Jeff Geerling เสียใจที่สร้างคลัสเตอร์ AI ด้วย Raspberry Pi มูลค่า $3,000 — บทเรียนจากความฝันสู่ความจริงที่ไม่คุ้มค่า”

    Jeff Geerling นักพัฒนาและบล็อกเกอร์สายฮาร์ดแวร์ชื่อดัง ได้เผยแพร่บทความในเดือนกันยายน 2025 เล่าถึงประสบการณ์การสร้างคลัสเตอร์ AI ด้วย Raspberry Pi Compute Module 5 (CM5) จำนวน 10 ตัว รวม RAM ทั้งหมด 160 GB โดยใช้ Compute Blade ซึ่งเป็นบอร์ดที่ออกแบบมาเพื่อการจัดการคลัสเตอร์ขนาดเล็กโดยเฉพาะ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ $3,000

    แม้จะเป็นโปรเจกต์ที่น่าตื่นเต้น แต่ Jeff ยอมรับว่าเขา “เสียใจ” กับการลงทุนครั้งนี้ เพราะผลลัพธ์ที่ได้ไม่คุ้มค่าในแง่ของประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคลัสเตอร์ Framework Desktop มูลค่า $8,000 ที่เขาเคยสร้างไว้ก่อนหน้านี้

    ในด้าน HPC (High Performance Computing) คลัสเตอร์ Pi สามารถทำความเร็วได้ 325 Gflops หลังปรับปรุงระบบระบายความร้อน ซึ่งถือว่าเร็วกว่า Pi เดี่ยวถึง 10 เท่า แต่ยังช้ากว่าคลัสเตอร์ Framework ถึง 4 เท่า แม้จะมีประสิทธิภาพด้านพลังงานดีกว่าเล็กน้อย

    ส่วนด้าน AI กลับน่าผิดหวังยิ่งกว่า เพราะ Pi 5 ยังไม่สามารถใช้ Vulkan กับ llama.cpp ได้ ทำให้ inference ต้องพึ่ง CPU เท่านั้น ผลคือการรันโมเดล Llama 3.3:70B ได้เพียง 0.28 tokens/sec และแม้จะใช้ distributed-llama ก็ยังได้แค่ 0.85 tokens/sec ซึ่งช้ากว่าคลัสเตอร์ Framework ถึง 5 เท่า

    Jeff สรุปว่า คลัสเตอร์ Pi อาจเหมาะกับงานเฉพาะทาง เช่น CI jobs, edge computing ที่ต้องการความปลอดภัยสูง หรือการเรียนรู้เชิงทดลอง แต่ไม่เหมาะกับงาน AI หรือ HPC ที่จริงจัง และเขายังแซวตัวเองว่า “นี่คือคลัสเตอร์ที่แย่ — ยกเว้น blade หมายเลข 9 ที่ตายทุกครั้งที่รัน benchmark”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jeff Geerling สร้างคลัสเตอร์ AI ด้วย Raspberry Pi CM5 จำนวน 10 ตัว รวม RAM 160 GB
    ใช้ Compute Blade และอุปกรณ์เสริม รวมค่าใช้จ่ายประมาณ $3,000
    คลัสเตอร์ทำความเร็ว HPC ได้ 325 Gflops หลังปรับปรุงระบบระบายความร้อน
    ด้าน AI ทำความเร็วได้เพียง 0.28–0.85 tokens/sec เมื่อรันโมเดล Llama 3.3:70B

    การเปรียบเทียบกับคลัสเตอร์ Framework
    คลัสเตอร์ Framework Desktop มูลค่า $8,000 เร็วกว่าคลัสเตอร์ Pi ถึง 4–5 เท่า
    Framework ใช้ APU และ Vulkan ทำให้ inference เร็วกว่าอย่างชัดเจน
    Pi cluster มีประสิทธิภาพด้านพลังงานดีกว่าเล็กน้อย แต่ไม่คุ้มค่าในภาพรวม
    การรัน distributed-llama บน Pi cluster มีข้อจำกัดด้านจำนวน node และความเสถียร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Raspberry Pi CM5 ใช้ CPU Cortex-A76 และมีแบนด์วิดธ์หน่วยความจำประมาณ 10 GB/sec
    Compute Blade ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้พัฒนา แต่ยังไม่เหมาะกับงาน AI ขนาดใหญ่
    UC Santa Barbara เคยสร้างคลัสเตอร์ Pi ขนาด 1,050 node ซึ่งยังถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก
    บริษัท Unredacted Labs ใช้ Pi cluster สำหรับ Tor exit relays เพราะมีความปลอดภัยสูง

    https://www.jeffgeerling.com/blog/2025/i-regret-building-3000-pi-ai-cluster
    🧠 “Jeff Geerling เสียใจที่สร้างคลัสเตอร์ AI ด้วย Raspberry Pi มูลค่า $3,000 — บทเรียนจากความฝันสู่ความจริงที่ไม่คุ้มค่า” Jeff Geerling นักพัฒนาและบล็อกเกอร์สายฮาร์ดแวร์ชื่อดัง ได้เผยแพร่บทความในเดือนกันยายน 2025 เล่าถึงประสบการณ์การสร้างคลัสเตอร์ AI ด้วย Raspberry Pi Compute Module 5 (CM5) จำนวน 10 ตัว รวม RAM ทั้งหมด 160 GB โดยใช้ Compute Blade ซึ่งเป็นบอร์ดที่ออกแบบมาเพื่อการจัดการคลัสเตอร์ขนาดเล็กโดยเฉพาะ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ $3,000 แม้จะเป็นโปรเจกต์ที่น่าตื่นเต้น แต่ Jeff ยอมรับว่าเขา “เสียใจ” กับการลงทุนครั้งนี้ เพราะผลลัพธ์ที่ได้ไม่คุ้มค่าในแง่ของประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคลัสเตอร์ Framework Desktop มูลค่า $8,000 ที่เขาเคยสร้างไว้ก่อนหน้านี้ ในด้าน HPC (High Performance Computing) คลัสเตอร์ Pi สามารถทำความเร็วได้ 325 Gflops หลังปรับปรุงระบบระบายความร้อน ซึ่งถือว่าเร็วกว่า Pi เดี่ยวถึง 10 เท่า แต่ยังช้ากว่าคลัสเตอร์ Framework ถึง 4 เท่า แม้จะมีประสิทธิภาพด้านพลังงานดีกว่าเล็กน้อย ส่วนด้าน AI กลับน่าผิดหวังยิ่งกว่า เพราะ Pi 5 ยังไม่สามารถใช้ Vulkan กับ llama.cpp ได้ ทำให้ inference ต้องพึ่ง CPU เท่านั้น ผลคือการรันโมเดล Llama 3.3:70B ได้เพียง 0.28 tokens/sec และแม้จะใช้ distributed-llama ก็ยังได้แค่ 0.85 tokens/sec ซึ่งช้ากว่าคลัสเตอร์ Framework ถึง 5 เท่า Jeff สรุปว่า คลัสเตอร์ Pi อาจเหมาะกับงานเฉพาะทาง เช่น CI jobs, edge computing ที่ต้องการความปลอดภัยสูง หรือการเรียนรู้เชิงทดลอง แต่ไม่เหมาะกับงาน AI หรือ HPC ที่จริงจัง และเขายังแซวตัวเองว่า “นี่คือคลัสเตอร์ที่แย่ — ยกเว้น blade หมายเลข 9 ที่ตายทุกครั้งที่รัน benchmark” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jeff Geerling สร้างคลัสเตอร์ AI ด้วย Raspberry Pi CM5 จำนวน 10 ตัว รวม RAM 160 GB ➡️ ใช้ Compute Blade และอุปกรณ์เสริม รวมค่าใช้จ่ายประมาณ $3,000 ➡️ คลัสเตอร์ทำความเร็ว HPC ได้ 325 Gflops หลังปรับปรุงระบบระบายความร้อน ➡️ ด้าน AI ทำความเร็วได้เพียง 0.28–0.85 tokens/sec เมื่อรันโมเดล Llama 3.3:70B ✅ การเปรียบเทียบกับคลัสเตอร์ Framework ➡️ คลัสเตอร์ Framework Desktop มูลค่า $8,000 เร็วกว่าคลัสเตอร์ Pi ถึง 4–5 เท่า ➡️ Framework ใช้ APU และ Vulkan ทำให้ inference เร็วกว่าอย่างชัดเจน ➡️ Pi cluster มีประสิทธิภาพด้านพลังงานดีกว่าเล็กน้อย แต่ไม่คุ้มค่าในภาพรวม ➡️ การรัน distributed-llama บน Pi cluster มีข้อจำกัดด้านจำนวน node และความเสถียร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Raspberry Pi CM5 ใช้ CPU Cortex-A76 และมีแบนด์วิดธ์หน่วยความจำประมาณ 10 GB/sec ➡️ Compute Blade ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้พัฒนา แต่ยังไม่เหมาะกับงาน AI ขนาดใหญ่ ➡️ UC Santa Barbara เคยสร้างคลัสเตอร์ Pi ขนาด 1,050 node ซึ่งยังถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก ➡️ บริษัท Unredacted Labs ใช้ Pi cluster สำหรับ Tor exit relays เพราะมีความปลอดภัยสูง https://www.jeffgeerling.com/blog/2025/i-regret-building-3000-pi-ai-cluster
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • “C-200 มีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลก — ตัดง่ายขึ้น 50% ด้วยแรงสั่น 40,000 ครั้งต่อวินาที”

    Seattle Ultrasonics บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีครัวจากสหรัฐฯ ได้เปิดตัว C-200 มีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป โดยใช้เทคโนโลยีแรงสั่นสะเทือนระดับอุตสาหกรรมที่ถูกย่อส่วนให้พอดีกับด้ามมีด เมื่อเปิดใช้งาน ใบมีดจะสั่นด้วยความถี่กว่า 40,000 ครั้งต่อวินาที ทำให้ลดแรงต้านจากอาหารลงได้ถึง 50% และลดการติดของอาหารบนใบมีดอย่างเห็นได้ชัด

    ตัวใบมีดผลิตจากเหล็กญี่ปุ่นแบบสามชั้น (san mai) ชนิด AUS-10 ที่ผ่านการชุบแข็งถึงระดับ 60HRC ทำให้คมและทนทานแม้ไม่ได้เปิดโหมดอัลตราโซนิก โดยออกแบบให้เหมาะกับทั้งผู้ใช้ถนัดซ้ายและขวา ใช้ได้กับเทคนิคการหั่นทั่วไป เช่น การสับกระเทียม การหั่นแบบโยก หรือการตัดวัตถุดิบที่เปียกและลื่นอย่างมะเขือเทศหรือปลา

    เมื่อเปิดใช้งาน ใบมีดสามารถเปลี่ยนของเหลวให้กลายเป็นละอองฝอยได้ เช่น น้ำมะนาวที่ปลายมีดจะถูกแปรสภาพเป็นละอองละเอียดโดยไม่ผ่านความร้อน ซึ่งสามารถใช้ตกแต่งอาหารหรือเครื่องดื่มได้อย่างน่าสนใจ

    C-200 มาพร้อมระบบชาร์จ USB-C และรองรับการชาร์จแบบไร้สายผ่านแท่นไม้สักที่ออกแบบมาให้วางบนเคาน์เตอร์หรือแขวนผนังได้โดยไม่ต้องเจาะหรือเดินสายไฟ มีดรุ่นนี้กันน้ำระดับ IP65 สามารถล้างด้วยมือได้เหมือนมีดทั่วไป และเปิดให้พรีออเดอร์แล้วในราคา $399 โดยจะเริ่มจัดส่งในเดือนมกราคม 2026

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    C-200 เป็นมีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    ใบมีดสั่นด้วยความถี่ 40,000 ครั้งต่อวินาที ลดแรงต้านลง 50%
    ผลิตจากเหล็กญี่ปุ่น AUS-10 แบบ san mai แข็งระดับ 60HRC
    ออกแบบให้ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา รองรับเทคนิคการหั่นทั่วไป

    ฟีเจอร์เสริมและการใช้งาน
    สามารถเปลี่ยนของเหลวเป็นละอองฝอยโดยไม่ใช้ความร้อน
    กันน้ำระดับ IP65 ล้างมือได้เหมือนมีดทั่วไป
    ชาร์จผ่าน USB-C หรือแท่นชาร์จไร้สายแบบไม้สัก
    ราคาเปิดตัว $399 พร้อมจัดส่งเดือนมกราคม 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เทคโนโลยีอัลตราโซนิกเคยใช้ในอุตสาหกรรมตัดวัสดุ เช่น พลาสติกและโลหะ
    Scott Heimendinger ผู้ก่อตั้งบริษัท เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีอาหารของ Modernist Cuisine
    การสั่นระดับไมโครช่วยลดแรงเสียดทานและเพิ่มความแม่นยำในการตัด
    มีดอัลตราโซนิกอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในครัวเรือนยุคใหม่

    https://seattleultrasonics.com/
    🔪 “C-200 มีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลก — ตัดง่ายขึ้น 50% ด้วยแรงสั่น 40,000 ครั้งต่อวินาที” Seattle Ultrasonics บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีครัวจากสหรัฐฯ ได้เปิดตัว C-200 มีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป โดยใช้เทคโนโลยีแรงสั่นสะเทือนระดับอุตสาหกรรมที่ถูกย่อส่วนให้พอดีกับด้ามมีด เมื่อเปิดใช้งาน ใบมีดจะสั่นด้วยความถี่กว่า 40,000 ครั้งต่อวินาที ทำให้ลดแรงต้านจากอาหารลงได้ถึง 50% และลดการติดของอาหารบนใบมีดอย่างเห็นได้ชัด ตัวใบมีดผลิตจากเหล็กญี่ปุ่นแบบสามชั้น (san mai) ชนิด AUS-10 ที่ผ่านการชุบแข็งถึงระดับ 60HRC ทำให้คมและทนทานแม้ไม่ได้เปิดโหมดอัลตราโซนิก โดยออกแบบให้เหมาะกับทั้งผู้ใช้ถนัดซ้ายและขวา ใช้ได้กับเทคนิคการหั่นทั่วไป เช่น การสับกระเทียม การหั่นแบบโยก หรือการตัดวัตถุดิบที่เปียกและลื่นอย่างมะเขือเทศหรือปลา เมื่อเปิดใช้งาน ใบมีดสามารถเปลี่ยนของเหลวให้กลายเป็นละอองฝอยได้ เช่น น้ำมะนาวที่ปลายมีดจะถูกแปรสภาพเป็นละอองละเอียดโดยไม่ผ่านความร้อน ซึ่งสามารถใช้ตกแต่งอาหารหรือเครื่องดื่มได้อย่างน่าสนใจ C-200 มาพร้อมระบบชาร์จ USB-C และรองรับการชาร์จแบบไร้สายผ่านแท่นไม้สักที่ออกแบบมาให้วางบนเคาน์เตอร์หรือแขวนผนังได้โดยไม่ต้องเจาะหรือเดินสายไฟ มีดรุ่นนี้กันน้ำระดับ IP65 สามารถล้างด้วยมือได้เหมือนมีดทั่วไป และเปิดให้พรีออเดอร์แล้วในราคา $399 โดยจะเริ่มจัดส่งในเดือนมกราคม 2026 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ C-200 เป็นมีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ ใบมีดสั่นด้วยความถี่ 40,000 ครั้งต่อวินาที ลดแรงต้านลง 50% ➡️ ผลิตจากเหล็กญี่ปุ่น AUS-10 แบบ san mai แข็งระดับ 60HRC ➡️ ออกแบบให้ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา รองรับเทคนิคการหั่นทั่วไป ✅ ฟีเจอร์เสริมและการใช้งาน ➡️ สามารถเปลี่ยนของเหลวเป็นละอองฝอยโดยไม่ใช้ความร้อน ➡️ กันน้ำระดับ IP65 ล้างมือได้เหมือนมีดทั่วไป ➡️ ชาร์จผ่าน USB-C หรือแท่นชาร์จไร้สายแบบไม้สัก ➡️ ราคาเปิดตัว $399 พร้อมจัดส่งเดือนมกราคม 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เทคโนโลยีอัลตราโซนิกเคยใช้ในอุตสาหกรรมตัดวัสดุ เช่น พลาสติกและโลหะ ➡️ Scott Heimendinger ผู้ก่อตั้งบริษัท เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีอาหารของ Modernist Cuisine ➡️ การสั่นระดับไมโครช่วยลดแรงเสียดทานและเพิ่มความแม่นยำในการตัด ➡️ มีดอัลตราโซนิกอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในครัวเรือนยุคใหม่ https://seattleultrasonics.com/
    SEATTLEULTRASONICS.COM
    Seattle Ultrasonics
    Discover Seattle Ultrasonics, a startup founded by culinary technologist Scott Heimendinger. We're on a mission to make happy home cooks, and we're starting by building a better knife.
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • “Microsoft เตือนพนักงาน H-1B กลับสหรัฐฯ ภายใน 24 ชั่วโมง — หลังทรัมป์ประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่าเป็น $100,000”

    วันที่ 19 กันยายน 2025 ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ลงนามในคำสั่งบริหารที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก โดยประกาศให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใหม่สำหรับวีซ่าทำงานชั่วคราวประเภท H-1B เป็นจำนวน $100,000 ต่อปีต่อคน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน เวลา 00.01 น. ตามเวลาสหรัฐฯ

    Microsoft ได้ส่งอีเมลภายในถึงพนักงานที่ถือวีซ่า H-1B และ H-4 (วีซ่าครอบครัว) โดยแนะนำให้รีบเดินทางกลับเข้าสหรัฐฯ ภายใน 24 ชั่วโมงก่อนคำสั่งมีผล และให้ผู้ที่อยู่ในสหรัฐฯ อยู่ต่อโดยไม่เดินทางออกนอกประเทศในช่วงนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากค่าธรรมเนียมใหม่ที่อาจทำให้การกลับเข้าประเทศมีความยุ่งยากหรือมีค่าใช้จ่ายสูง

    คำสั่งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทเทคโนโลยีที่พึ่งพาบุคลากรต่างชาติ โดยเฉพาะจากอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับวีซ่า H-1B มากที่สุดถึง 71% ของทั้งหมดในปีที่ผ่านมา โดยในครึ่งแรกของปี 2025 Amazon ได้รับอนุมัติวีซ่ามากกว่า 12,000 ราย ขณะที่ Microsoft และ Meta ได้รับมากกว่า 5,000 รายต่อบริษัท

    แม้คำสั่งจะถูกวิจารณ์ว่าเป็นการถอยหลังด้านนโยบายแรงงานและอาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ แต่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกลับมองว่าเป็นการ “คัดกรอง” ให้เหลือเฉพาะแรงงานที่มีทักษะสูงจริง ๆ และไม่สามารถถูกแทนที่ได้โดยแรงงานอเมริกัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ประธานาธิบดี Trump ลงนามคำสั่งเรียกเก็บค่าธรรมเนียม H-1B visa ใหม่ $100,000 ต่อปี
    Microsoft ส่งอีเมลเตือนพนักงาน H-1B และ H-4 ให้รีบกลับเข้าสหรัฐฯ ก่อนวันที่ 21 กันยายน
    พนักงานที่อยู่ในสหรัฐฯ ถูกแนะนำให้อยู่ต่อและหลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกประเทศ
    คำสั่งมีผลตั้งแต่เวลา 00.01 น. วันที่ 21 กันยายน 2025 ตามเวลาสหรัฐฯ

    สถานการณ์และผลกระทบ
    อินเดียเป็นประเทศที่ได้รับวีซ่า H-1B มากที่สุดถึง 71% ของทั้งหมด
    Amazon ได้รับอนุมัติวีซ่ามากกว่า 12,000 รายในครึ่งปีแรกของ 2025
    Microsoft และ Meta ได้รับมากกว่า 5,000 รายต่อบริษัท
    เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่าคำสั่งนี้จะช่วยคัดกรองแรงงานที่มีทักษะสูงจริง ๆ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    H-1B visa เป็นวีซ่าทำงานชั่วคราวสำหรับแรงงานต่างชาติในสายงานเฉพาะทาง
    ปัจจุบันค่าธรรมเนียมวีซ่าอยู่ที่ประมาณ $2,000–$5,000 ต่อราย ขึ้นอยู่กับขนาดบริษัท
    คำสั่งใหม่อาจถูกท้าทายทางกฎหมายในอนาคตจากบริษัทหรือองค์กรสิทธิมนุษยชน
    NASSCOM ของอินเดียกำลังศึกษาผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและแรงงาน

    https://timesofindia.indiatimes.com/technology/tech-news/microsoft-has-a-24-hour-deadline-warning-for-indian-and-other-foreign-employees-after-h1-b-visa-fees-hike-to-100000-strongly-recommend-h1b-visa-holders-/articleshow/124010245.cms
    🛂 “Microsoft เตือนพนักงาน H-1B กลับสหรัฐฯ ภายใน 24 ชั่วโมง — หลังทรัมป์ประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่าเป็น $100,000” วันที่ 19 กันยายน 2025 ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ลงนามในคำสั่งบริหารที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก โดยประกาศให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใหม่สำหรับวีซ่าทำงานชั่วคราวประเภท H-1B เป็นจำนวน $100,000 ต่อปีต่อคน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน เวลา 00.01 น. ตามเวลาสหรัฐฯ Microsoft ได้ส่งอีเมลภายในถึงพนักงานที่ถือวีซ่า H-1B และ H-4 (วีซ่าครอบครัว) โดยแนะนำให้รีบเดินทางกลับเข้าสหรัฐฯ ภายใน 24 ชั่วโมงก่อนคำสั่งมีผล และให้ผู้ที่อยู่ในสหรัฐฯ อยู่ต่อโดยไม่เดินทางออกนอกประเทศในช่วงนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากค่าธรรมเนียมใหม่ที่อาจทำให้การกลับเข้าประเทศมีความยุ่งยากหรือมีค่าใช้จ่ายสูง คำสั่งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทเทคโนโลยีที่พึ่งพาบุคลากรต่างชาติ โดยเฉพาะจากอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับวีซ่า H-1B มากที่สุดถึง 71% ของทั้งหมดในปีที่ผ่านมา โดยในครึ่งแรกของปี 2025 Amazon ได้รับอนุมัติวีซ่ามากกว่า 12,000 ราย ขณะที่ Microsoft และ Meta ได้รับมากกว่า 5,000 รายต่อบริษัท แม้คำสั่งจะถูกวิจารณ์ว่าเป็นการถอยหลังด้านนโยบายแรงงานและอาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ แต่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกลับมองว่าเป็นการ “คัดกรอง” ให้เหลือเฉพาะแรงงานที่มีทักษะสูงจริง ๆ และไม่สามารถถูกแทนที่ได้โดยแรงงานอเมริกัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ประธานาธิบดี Trump ลงนามคำสั่งเรียกเก็บค่าธรรมเนียม H-1B visa ใหม่ $100,000 ต่อปี ➡️ Microsoft ส่งอีเมลเตือนพนักงาน H-1B และ H-4 ให้รีบกลับเข้าสหรัฐฯ ก่อนวันที่ 21 กันยายน ➡️ พนักงานที่อยู่ในสหรัฐฯ ถูกแนะนำให้อยู่ต่อและหลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกประเทศ ➡️ คำสั่งมีผลตั้งแต่เวลา 00.01 น. วันที่ 21 กันยายน 2025 ตามเวลาสหรัฐฯ ✅ สถานการณ์และผลกระทบ ➡️ อินเดียเป็นประเทศที่ได้รับวีซ่า H-1B มากที่สุดถึง 71% ของทั้งหมด ➡️ Amazon ได้รับอนุมัติวีซ่ามากกว่า 12,000 รายในครึ่งปีแรกของ 2025 ➡️ Microsoft และ Meta ได้รับมากกว่า 5,000 รายต่อบริษัท ➡️ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่าคำสั่งนี้จะช่วยคัดกรองแรงงานที่มีทักษะสูงจริง ๆ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ H-1B visa เป็นวีซ่าทำงานชั่วคราวสำหรับแรงงานต่างชาติในสายงานเฉพาะทาง ➡️ ปัจจุบันค่าธรรมเนียมวีซ่าอยู่ที่ประมาณ $2,000–$5,000 ต่อราย ขึ้นอยู่กับขนาดบริษัท ➡️ คำสั่งใหม่อาจถูกท้าทายทางกฎหมายในอนาคตจากบริษัทหรือองค์กรสิทธิมนุษยชน ➡️ NASSCOM ของอินเดียกำลังศึกษาผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและแรงงาน https://timesofindia.indiatimes.com/technology/tech-news/microsoft-has-a-24-hour-deadline-warning-for-indian-and-other-foreign-employees-after-h1-b-visa-fees-hike-to-100000-strongly-recommend-h1b-visa-holders-/articleshow/124010245.cms
    TIMESOFINDIA.INDIATIMES.COM
    Microsoft has a 24-hour deadline warning for Indian and other foreign employees after H1-B visa fees hike to $100,000: Strongly recommend H1B visa holders…. - The Times of India
    Tech News News: Microsoft urged its H-1B and H-4 visa employees to return to the US before the September 21 deadline due to a new $100,000 annual fee per H-1B worker.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • “Obsidian ใช้หลัก ‘Less is safer’ ลดความเสี่ยงจาก Supply Chain Attack — เมื่อการเขียนเองปลอดภัยกว่าการพึ่งพา”

    Obsidian แอปจดบันทึกยอดนิยมที่เน้นความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย ได้เปิดเผยแนวทางการออกแบบซอฟต์แวร์ที่มุ่งลดความเสี่ยงจาก Supply Chain Attack ซึ่งเป็นการโจมตีผ่านการแฝงโค้ดอันตรายในไลบรารีโอเพ่นซอร์สที่ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์โจมตี npm ครั้งใหญ่เมื่อเดือนกันยายน 2025 ที่มีแพ็กเกจยอดนิยมกว่า 27 ตัวถูกฝังมัลแวร์2

    Obsidian เลือกใช้แนวทาง “Less is safer” โดยลดการพึ่งพาโค้ดจากภายนอกให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฟีเจอร์หลักอย่าง Canvas และ Bases ถูกเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมดแทนการใช้ไลบรารีสำเร็จรูป ส่วนฟังก์ชันขนาดเล็กจะถูกเขียนเองในโค้ดของทีม และโมดูลขนาดกลางจะถูก fork และเก็บไว้ในระบบหากใบอนุญาตอนุญาตให้ทำได้

    สำหรับไลบรารีขนาดใหญ่ เช่น pdf.js, Mermaid และ MathJax จะใช้เวอร์ชันที่ผ่านการตรวจสอบแล้วและล็อกไว้แบบแน่นอน (version pinning) พร้อม lockfile ที่เป็นแหล่งอ้างอิงหลักในการ build เพื่อให้การติดตั้งมีความแน่นอนและตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย

    Obsidian ยังหลีกเลี่ยงการใช้ postinstall script ซึ่งเป็นช่องทางที่มัลแวร์มักใช้ในการแฝงตัว และมีระบบตรวจสอบการอัปเดตที่ละเอียด เช่น อ่าน changelog ทีละบรรทัด ตรวจสอบ sub-dependencies และรันเทสต์ทั้งอัตโนมัติและด้วยมือก่อน commit lockfile ใหม่

    นอกจากนี้ยังมีการเว้นช่วงระหว่างการอัปเดตและการปล่อยเวอร์ชันจริง เพื่อให้ชุมชนและนักวิจัยด้านความปลอดภัยมีเวลาตรวจสอบ หากมีเวอร์ชันที่เป็นอันตรายถูกปล่อยออกมา จะสามารถตรวจพบได้ก่อนที่ Obsidian จะนำมาใช้งานจริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Obsidian ใช้แนวทาง “Less is safer” เพื่อลดความเสี่ยงจาก Supply Chain Attack
    ฟีเจอร์หลักถูกเขียนขึ้นใหม่แทนการใช้ไลบรารีสำเร็จรูป
    ใช้ version pinning และ lockfile เพื่อควบคุมเวอร์ชันของ dependencies
    หลีกเลี่ยงการใช้ postinstall script เพื่อป้องกันการรันโค้ดอันตราย

    กระบวนการอัปเดตที่ปลอดภัย
    อ่าน changelog ทีละบรรทัดและตรวจสอบ sub-dependencies ก่อนอัปเดต
    รันเทสต์ทั้งอัตโนมัติและด้วยมือก่อน commit lockfile ใหม่
    เว้นช่วงระหว่างการอัปเดตและการปล่อยเวอร์ชันจริงเพื่อให้มีเวลาเฝ้าระวัง
    ใช้เฉพาะ dependencies ที่จำเป็นจริง ๆ และไม่อัปเดตบ่อย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เหตุการณ์โจมตี npm ล่าสุดมีแพ็กเกจยอดนิยมกว่า 27 ตัวถูกฝังมัลแวร์
    มัลแวร์ใน npm ใช้เทคนิค obfuscation และแฝงตัวใน browser API เพื่อขโมยข้อมูล
    การโจมตีผ่าน supply chain มักเกิดจาก human error เช่น การคลิกลิงก์ phishing โดย maintainer
    การใช้ lockfile และการตรวจสอบ sub-dependencies เป็นแนวทางที่องค์กรควรนำไปใช้

    https://obsidian.md/blog/less-is-safer/
    🛡️ “Obsidian ใช้หลัก ‘Less is safer’ ลดความเสี่ยงจาก Supply Chain Attack — เมื่อการเขียนเองปลอดภัยกว่าการพึ่งพา” Obsidian แอปจดบันทึกยอดนิยมที่เน้นความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย ได้เปิดเผยแนวทางการออกแบบซอฟต์แวร์ที่มุ่งลดความเสี่ยงจาก Supply Chain Attack ซึ่งเป็นการโจมตีผ่านการแฝงโค้ดอันตรายในไลบรารีโอเพ่นซอร์สที่ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์โจมตี npm ครั้งใหญ่เมื่อเดือนกันยายน 2025 ที่มีแพ็กเกจยอดนิยมกว่า 27 ตัวถูกฝังมัลแวร์2 Obsidian เลือกใช้แนวทาง “Less is safer” โดยลดการพึ่งพาโค้ดจากภายนอกให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฟีเจอร์หลักอย่าง Canvas และ Bases ถูกเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมดแทนการใช้ไลบรารีสำเร็จรูป ส่วนฟังก์ชันขนาดเล็กจะถูกเขียนเองในโค้ดของทีม และโมดูลขนาดกลางจะถูก fork และเก็บไว้ในระบบหากใบอนุญาตอนุญาตให้ทำได้ สำหรับไลบรารีขนาดใหญ่ เช่น pdf.js, Mermaid และ MathJax จะใช้เวอร์ชันที่ผ่านการตรวจสอบแล้วและล็อกไว้แบบแน่นอน (version pinning) พร้อม lockfile ที่เป็นแหล่งอ้างอิงหลักในการ build เพื่อให้การติดตั้งมีความแน่นอนและตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย Obsidian ยังหลีกเลี่ยงการใช้ postinstall script ซึ่งเป็นช่องทางที่มัลแวร์มักใช้ในการแฝงตัว และมีระบบตรวจสอบการอัปเดตที่ละเอียด เช่น อ่าน changelog ทีละบรรทัด ตรวจสอบ sub-dependencies และรันเทสต์ทั้งอัตโนมัติและด้วยมือก่อน commit lockfile ใหม่ นอกจากนี้ยังมีการเว้นช่วงระหว่างการอัปเดตและการปล่อยเวอร์ชันจริง เพื่อให้ชุมชนและนักวิจัยด้านความปลอดภัยมีเวลาตรวจสอบ หากมีเวอร์ชันที่เป็นอันตรายถูกปล่อยออกมา จะสามารถตรวจพบได้ก่อนที่ Obsidian จะนำมาใช้งานจริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Obsidian ใช้แนวทาง “Less is safer” เพื่อลดความเสี่ยงจาก Supply Chain Attack ➡️ ฟีเจอร์หลักถูกเขียนขึ้นใหม่แทนการใช้ไลบรารีสำเร็จรูป ➡️ ใช้ version pinning และ lockfile เพื่อควบคุมเวอร์ชันของ dependencies ➡️ หลีกเลี่ยงการใช้ postinstall script เพื่อป้องกันการรันโค้ดอันตราย ✅ กระบวนการอัปเดตที่ปลอดภัย ➡️ อ่าน changelog ทีละบรรทัดและตรวจสอบ sub-dependencies ก่อนอัปเดต ➡️ รันเทสต์ทั้งอัตโนมัติและด้วยมือก่อน commit lockfile ใหม่ ➡️ เว้นช่วงระหว่างการอัปเดตและการปล่อยเวอร์ชันจริงเพื่อให้มีเวลาเฝ้าระวัง ➡️ ใช้เฉพาะ dependencies ที่จำเป็นจริง ๆ และไม่อัปเดตบ่อย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เหตุการณ์โจมตี npm ล่าสุดมีแพ็กเกจยอดนิยมกว่า 27 ตัวถูกฝังมัลแวร์ ➡️ มัลแวร์ใน npm ใช้เทคนิค obfuscation และแฝงตัวใน browser API เพื่อขโมยข้อมูล ➡️ การโจมตีผ่าน supply chain มักเกิดจาก human error เช่น การคลิกลิงก์ phishing โดย maintainer ➡️ การใช้ lockfile และการตรวจสอบ sub-dependencies เป็นแนวทางที่องค์กรควรนำไปใช้ https://obsidian.md/blog/less-is-safer/
    OBSIDIAN.MD
    Less is safer: how Obsidian reduces the risk of supply chain attacks
    Supply chain attacks are malicious updates that sneak into open source code used by many apps. Here’s how we design Obsidian to ensure that the app is a secure and private environment for your thoughts.
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • “ราชินีมดที่ให้กำเนิดต่างสายพันธุ์ — คำจำกัดความของ ‘สปีชีส์’ อาจต้องเขียนใหม่”

    ในโลกของชีววิทยา มีหลักการหนึ่งที่ดูเหมือนจะมั่นคง: สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งจะให้กำเนิดลูกหลานในสายพันธุ์เดียวกัน แต่การค้นพบล่าสุดในวารสาร Nature เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2025 ได้เขย่าความเชื่อนี้อย่างรุนแรง เมื่อพบว่า “ราชินีมดเก็บเกี่ยวไอบีเรีย” (Messor ibericus) สามารถวางไข่ที่ฟักออกมาเป็นมดเพศผู้ของอีกสายพันธุ์หนึ่งคือ “มดเก็บเกี่ยวช่างสร้าง” (Messor structor)

    นักวิจัยพบว่า M. ibericus จะผสมพันธุ์กับ M. structor แล้วเก็บสเปิร์มไว้ใช้ในภายหลัง แต่ที่น่าทึ่งคือ พวกเขาเชื่อว่าราชินีมดสามารถ “ลบ” DNA ของตัวเองออกจากไข่บางฟอง แล้วแทนที่ด้วย DNA ของ M. structor ทำให้ลูกที่เกิดออกมาเป็นโคลนของสายพันธุ์อื่นโดยสมบูรณ์

    ผลลัพธ์คือ ราชินีมดสามารถให้กำเนิดมดเพศผู้ได้ทั้งสองสายพันธุ์ และมดงานทั้งหมดในรังของ M. ibericus เป็นลูกผสมระหว่างสองสายพันธุ์นี้ ซึ่งถือเป็นระบบสืบพันธุ์ที่ไม่เคยพบมาก่อนในสัตว์ชนิดใด

    นักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “xenoparity” หรือ “การให้กำเนิดต่างสายพันธุ์” และยังพบว่าแม้ M. ibericus กับ M. structor จะมีวิวัฒนาการแยกจากกันมากกว่า 5 ล้านปี แต่ราชินีมดยังสามารถสร้างลูกหลานจากทั้งสองสายพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การทดลองในห้องแล็บใช้เวลานานถึง 2 ปีในการเฝ้ารังมดกว่า 50 รัง จนในที่สุดก็สามารถสังเกตเห็นการเกิดของมด M. structor จากไข่ของราชินี M. ibericus ได้โดยตรง ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่าการโคลนข้ามสายพันธุ์นี้เกิดขึ้นจริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ราชินีมด Messor ibericus สามารถวางไข่ที่ฟักออกมาเป็นมดเพศผู้ของสายพันธุ์ Messor structor
    มดงานในรังของ M. ibericus เป็นลูกผสมของทั้งสองสายพันธุ์
    นักวิจัยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “xenoparity” หรือ “การให้กำเนิดต่างสายพันธุ์”
    การทดลองในห้องแล็บใช้เวลานานถึง 2 ปีจนสามารถสังเกตการเกิดของมดต่างสายพันธุ์ได้

    กลไกและผลกระทบทางวิวัฒนาการ
    M. ibericus อาจลบ DNA ของตัวเองจากไข่แล้วแทนที่ด้วย DNA ของ M. structor
    มดเพศผู้ของทั้งสองสายพันธุ์มี mitochondrial DNA จาก M. ibericus ซึ่งสืบทอดจากแม่
    การโคลนช่วยให้ M. ibericus มีมดงานจำนวนมากแม้ไม่มีรังของ M. structor ใกล้เคียง
    การกระจายตัวของ M. structor ขยายไปยังพื้นที่ใหม่ผ่านการโคลนโดย M. ibericus

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    มดเป็นสัตว์ eusocial ที่มีระบบสืบพันธุ์ซับซ้อนและมีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน
    ปรากฏการณ์ “sperm parasitism” เคยพบในมดบางชนิด แต่ไม่เคยถึงขั้นโคลนต่างสายพันธุ์
    นักชีววิทยาเปรียบเทียบว่า “เหมือนมนุษย์มีลูกเป็นลิงชิมแปนซี แล้วใช้ลูกเหล่านั้นสร้างลูกผสมเพื่อทำงานบ้าน”
    การค้นพบนี้อาจเปลี่ยนแนวคิดเรื่องนิยามของ “สปีชีส์” ในชีววิทยา

    https://www.smithsonianmag.com/smart-news/these-ant-queens-seem-to-defy-biology-they-lay-eggs-that-hatch-into-another-species-180987292/
    🧬 “ราชินีมดที่ให้กำเนิดต่างสายพันธุ์ — คำจำกัดความของ ‘สปีชีส์’ อาจต้องเขียนใหม่” ในโลกของชีววิทยา มีหลักการหนึ่งที่ดูเหมือนจะมั่นคง: สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งจะให้กำเนิดลูกหลานในสายพันธุ์เดียวกัน แต่การค้นพบล่าสุดในวารสาร Nature เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2025 ได้เขย่าความเชื่อนี้อย่างรุนแรง เมื่อพบว่า “ราชินีมดเก็บเกี่ยวไอบีเรีย” (Messor ibericus) สามารถวางไข่ที่ฟักออกมาเป็นมดเพศผู้ของอีกสายพันธุ์หนึ่งคือ “มดเก็บเกี่ยวช่างสร้าง” (Messor structor) นักวิจัยพบว่า M. ibericus จะผสมพันธุ์กับ M. structor แล้วเก็บสเปิร์มไว้ใช้ในภายหลัง แต่ที่น่าทึ่งคือ พวกเขาเชื่อว่าราชินีมดสามารถ “ลบ” DNA ของตัวเองออกจากไข่บางฟอง แล้วแทนที่ด้วย DNA ของ M. structor ทำให้ลูกที่เกิดออกมาเป็นโคลนของสายพันธุ์อื่นโดยสมบูรณ์ ผลลัพธ์คือ ราชินีมดสามารถให้กำเนิดมดเพศผู้ได้ทั้งสองสายพันธุ์ และมดงานทั้งหมดในรังของ M. ibericus เป็นลูกผสมระหว่างสองสายพันธุ์นี้ ซึ่งถือเป็นระบบสืบพันธุ์ที่ไม่เคยพบมาก่อนในสัตว์ชนิดใด นักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “xenoparity” หรือ “การให้กำเนิดต่างสายพันธุ์” และยังพบว่าแม้ M. ibericus กับ M. structor จะมีวิวัฒนาการแยกจากกันมากกว่า 5 ล้านปี แต่ราชินีมดยังสามารถสร้างลูกหลานจากทั้งสองสายพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทดลองในห้องแล็บใช้เวลานานถึง 2 ปีในการเฝ้ารังมดกว่า 50 รัง จนในที่สุดก็สามารถสังเกตเห็นการเกิดของมด M. structor จากไข่ของราชินี M. ibericus ได้โดยตรง ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่าการโคลนข้ามสายพันธุ์นี้เกิดขึ้นจริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ราชินีมด Messor ibericus สามารถวางไข่ที่ฟักออกมาเป็นมดเพศผู้ของสายพันธุ์ Messor structor ➡️ มดงานในรังของ M. ibericus เป็นลูกผสมของทั้งสองสายพันธุ์ ➡️ นักวิจัยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “xenoparity” หรือ “การให้กำเนิดต่างสายพันธุ์” ➡️ การทดลองในห้องแล็บใช้เวลานานถึง 2 ปีจนสามารถสังเกตการเกิดของมดต่างสายพันธุ์ได้ ✅ กลไกและผลกระทบทางวิวัฒนาการ ➡️ M. ibericus อาจลบ DNA ของตัวเองจากไข่แล้วแทนที่ด้วย DNA ของ M. structor ➡️ มดเพศผู้ของทั้งสองสายพันธุ์มี mitochondrial DNA จาก M. ibericus ซึ่งสืบทอดจากแม่ ➡️ การโคลนช่วยให้ M. ibericus มีมดงานจำนวนมากแม้ไม่มีรังของ M. structor ใกล้เคียง ➡️ การกระจายตัวของ M. structor ขยายไปยังพื้นที่ใหม่ผ่านการโคลนโดย M. ibericus ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ มดเป็นสัตว์ eusocial ที่มีระบบสืบพันธุ์ซับซ้อนและมีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน ➡️ ปรากฏการณ์ “sperm parasitism” เคยพบในมดบางชนิด แต่ไม่เคยถึงขั้นโคลนต่างสายพันธุ์ ➡️ นักชีววิทยาเปรียบเทียบว่า “เหมือนมนุษย์มีลูกเป็นลิงชิมแปนซี แล้วใช้ลูกเหล่านั้นสร้างลูกผสมเพื่อทำงานบ้าน” ➡️ การค้นพบนี้อาจเปลี่ยนแนวคิดเรื่องนิยามของ “สปีชีส์” ในชีววิทยา https://www.smithsonianmag.com/smart-news/these-ant-queens-seem-to-defy-biology-they-lay-eggs-that-hatch-into-another-species-180987292/
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • “Nostr: โปรโตคอลสื่อสารไร้ศูนย์กลางที่อาจเปลี่ยนโฉมอินเทอร์เน็ต — เมื่อทุกคนถือกุญแจของตัวเอง”

    ในยุคที่โซเชียลมีเดียถูกควบคุมโดยบริษัทใหญ่และรัฐบาลหลายแห่ง Nostr ได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเสนอทางเลือกใหม่ที่ “ไม่มีใครควบคุม” โดยเป็นโปรโตคอลเปิดที่ให้ทุกคนสามารถสร้างแอปหรือใช้งานได้อย่างอิสระ ไม่ต้องพึ่งเซิร์ฟเวอร์กลาง ไม่ต้องลงทะเบียน และไม่มีโฆษณา

    Nostr ย่อมาจาก “Notes and Other Stuff Transmitted by Relays” ซึ่งหมายถึงการส่งข้อความผ่านเครือข่ายของรีเลย์ (relay) ที่ทำหน้าที่รับ ส่ง และเก็บข้อมูล โดยผู้ใช้สามารถเลือกรีเลย์ที่ต้องการได้เอง และหากรีเลย์หนึ่งล่ม ข้อมูลก็ยังอยู่ในรีเลย์อื่น ทำให้ระบบมีความทนทานสูง

    ผู้ใช้แต่ละคนจะมี public key เป็นตัวระบุ และใช้ private key ในการเซ็นข้อความเพื่อยืนยันว่าเป็นเจ้าของจริง ซึ่งช่วยป้องกันการปลอมแปลงและเพิ่มความโปร่งใสในการสื่อสาร ทุกข้อความที่ส่งออกไปจะถูกเซ็นดิจิทัล และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้

    ในปี 2025 Nostr ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีแอปที่รองรับมากมาย เช่น Damus, Primal และ Amethyst รวมถึงการเชื่อมต่อกับ Bitcoin เพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบไร้ตัวกลาง เช่น การให้ทิปผ่าน Lightning Network หรือการขายคอนเทนต์โดยตรง

    อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ โดยเฉพาะเรื่องความเสถียรของรีเลย์ที่บางแห่งอาจล่มบ่อย หรือจำกัดการใช้งานเฉพาะสมาชิกที่จ่ายเงิน รวมถึงการจัดการเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งไม่มีระบบกลางในการควบคุม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nostr เป็นโปรโตคอลเปิดสำหรับการสื่อสารแบบไร้ศูนย์กลาง
    ใช้ระบบรีเลย์ในการส่งและเก็บข้อความ ผู้ใช้เลือกรีเลย์ได้เอง
    ทุกข้อความถูกเซ็นด้วย private key เพื่อยืนยันตัวตน
    ไม่มีเซิร์ฟเวอร์กลาง ไม่มีโฆษณา และไม่ต้องลงทะเบียน

    การใช้งานและการเติบโต
    แอปยอดนิยมที่ใช้ Nostr ได้แก่ Damus, Primal, Amethyst
    เชื่อมต่อกับ Bitcoin เพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบ peer-to-peer
    ผู้ใช้สามารถให้ทิปหรือขายคอนเทนต์โดยตรงผ่าน Lightning Network
    โปรโตคอลได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในปี 2025 และมีผู้ใช้หลายล้านคน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nostr ถูกเปรียบเทียบกับ Bitcoin ในแง่ของการกระจายอำนาจและความโปร่งใส
    การเซ็นข้อความด้วย cryptographic key ช่วยป้องกันการปลอมแปลง
    นักพัฒนาใช้ nostr-tools library ในการสร้างแอปและจัดการ key
    การไม่มีระบบกลางช่วยให้ไอเดียใหม่ ๆ ถูกทดลองได้อย่างรวดเร็ว


    https://nostr.com/
    🌐 “Nostr: โปรโตคอลสื่อสารไร้ศูนย์กลางที่อาจเปลี่ยนโฉมอินเทอร์เน็ต — เมื่อทุกคนถือกุญแจของตัวเอง” ในยุคที่โซเชียลมีเดียถูกควบคุมโดยบริษัทใหญ่และรัฐบาลหลายแห่ง Nostr ได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเสนอทางเลือกใหม่ที่ “ไม่มีใครควบคุม” โดยเป็นโปรโตคอลเปิดที่ให้ทุกคนสามารถสร้างแอปหรือใช้งานได้อย่างอิสระ ไม่ต้องพึ่งเซิร์ฟเวอร์กลาง ไม่ต้องลงทะเบียน และไม่มีโฆษณา Nostr ย่อมาจาก “Notes and Other Stuff Transmitted by Relays” ซึ่งหมายถึงการส่งข้อความผ่านเครือข่ายของรีเลย์ (relay) ที่ทำหน้าที่รับ ส่ง และเก็บข้อมูล โดยผู้ใช้สามารถเลือกรีเลย์ที่ต้องการได้เอง และหากรีเลย์หนึ่งล่ม ข้อมูลก็ยังอยู่ในรีเลย์อื่น ทำให้ระบบมีความทนทานสูง ผู้ใช้แต่ละคนจะมี public key เป็นตัวระบุ และใช้ private key ในการเซ็นข้อความเพื่อยืนยันว่าเป็นเจ้าของจริง ซึ่งช่วยป้องกันการปลอมแปลงและเพิ่มความโปร่งใสในการสื่อสาร ทุกข้อความที่ส่งออกไปจะถูกเซ็นดิจิทัล และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ในปี 2025 Nostr ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีแอปที่รองรับมากมาย เช่น Damus, Primal และ Amethyst รวมถึงการเชื่อมต่อกับ Bitcoin เพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบไร้ตัวกลาง เช่น การให้ทิปผ่าน Lightning Network หรือการขายคอนเทนต์โดยตรง อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ โดยเฉพาะเรื่องความเสถียรของรีเลย์ที่บางแห่งอาจล่มบ่อย หรือจำกัดการใช้งานเฉพาะสมาชิกที่จ่ายเงิน รวมถึงการจัดการเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งไม่มีระบบกลางในการควบคุม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nostr เป็นโปรโตคอลเปิดสำหรับการสื่อสารแบบไร้ศูนย์กลาง ➡️ ใช้ระบบรีเลย์ในการส่งและเก็บข้อความ ผู้ใช้เลือกรีเลย์ได้เอง ➡️ ทุกข้อความถูกเซ็นด้วย private key เพื่อยืนยันตัวตน ➡️ ไม่มีเซิร์ฟเวอร์กลาง ไม่มีโฆษณา และไม่ต้องลงทะเบียน ✅ การใช้งานและการเติบโต ➡️ แอปยอดนิยมที่ใช้ Nostr ได้แก่ Damus, Primal, Amethyst ➡️ เชื่อมต่อกับ Bitcoin เพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบ peer-to-peer ➡️ ผู้ใช้สามารถให้ทิปหรือขายคอนเทนต์โดยตรงผ่าน Lightning Network ➡️ โปรโตคอลได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในปี 2025 และมีผู้ใช้หลายล้านคน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nostr ถูกเปรียบเทียบกับ Bitcoin ในแง่ของการกระจายอำนาจและความโปร่งใส ➡️ การเซ็นข้อความด้วย cryptographic key ช่วยป้องกันการปลอมแปลง ➡️ นักพัฒนาใช้ nostr-tools library ในการสร้างแอปและจัดการ key ➡️ การไม่มีระบบกลางช่วยให้ไอเดียใหม่ ๆ ถูกทดลองได้อย่างรวดเร็ว https://nostr.com/
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • “Internet Archive ยอมความคดีละเมิดลิขสิทธิ์เพลง 621 ล้านดอลลาร์ — เมื่อการอนุรักษ์เสียงกลายเป็นสนามรบของกฎหมาย”

    หลังจากต่อสู้ในศาลมานานกว่า 2 ปี Internet Archive ได้บรรลุข้อตกลงยุติคดีละเมิดลิขสิทธิ์กับกลุ่มค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ นำโดย Universal Music Group, Capitol Records และ Sony Music Entertainment ซึ่งฟ้องร้องโครงการ Great 78 Project ที่มีเป้าหมายในการอนุรักษ์และเผยแพร่เพลงเก่าจากแผ่นเสียง shellac ขนาด 78 รอบต่อนาที ที่ผลิตระหว่างปี 1890–1950

    ค่ายเพลงกล่าวหาว่า Internet Archive ทำตัวเป็น “ร้านขายแผ่นเสียงเถื่อน” โดยอ้างว่าโครงการนี้เป็นเพียงข้ออ้างในการเผยแพร่เพลงโดยไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์ และอาจทำให้สูญเสียรายได้จากการสตรีมเพลง โดยมีการประเมินความเสียหายสูงถึง 621 ล้านดอลลาร์ จากการละเมิดลิขสิทธิ์เพลงกว่า 4,000 รายการ รวมถึงเพลงของศิลปินระดับตำนานอย่าง Billie Holiday, Frank Sinatra และ Louis Armstrong

    ฝ่าย Internet Archive ยืนยันว่าโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อการศึกษาและการอนุรักษ์วัฒนธรรมเสียงที่กำลังจะสูญหาย โดยอ้างสิทธิ์ตามกฎหมายลิขสิทธิ์ที่อนุญาตให้ห้องสมุดสามารถใช้เนื้อหาบางส่วนเพื่อการศึกษาได้ แต่ศาลไม่รับฟังข้อโต้แย้งนี้ และคดีมีแนวโน้มจะเข้าสู่การพิจารณาความเสียหายเต็มรูปแบบก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะตัดสินใจยุติข้อพิพาทด้วยข้อตกลงลับ

    แม้จะไม่มีการเปิดเผยจำนวนเงินที่ตกลงกัน แต่หลายฝ่ายเชื่อว่า Internet Archive ต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อหลีกเลี่ยงการล้มละลาย และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรนี้ถูกฟ้อง — ก่อนหน้านี้ก็เคยแพ้คดีจากกลุ่มสำนักพิมพ์หนังสือที่กล่าวหาว่าละเมิดลิขสิทธิ์จากการสแกนและเผยแพร่หนังสือออนไลน์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Internet Archive ยุติคดีละเมิดลิขสิทธิ์กับค่ายเพลงด้วยข้อตกลงลับ
    คดีเกี่ยวข้องกับโครงการ Great 78 Project ที่ดิจิไทซ์เพลงจากแผ่น shellac
    ค่ายเพลงกล่าวหาว่าโครงการนี้เป็นการเผยแพร่เพลงโดยไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์
    ประเมินความเสียหายสูงถึง 621 ล้านดอลลาร์จากเพลงกว่า 4,000 รายการ

    จุดยืนของ Internet Archive
    อ้างว่าโครงการมีเป้าหมายเพื่อการศึกษาและการอนุรักษ์วัฒนธรรม
    ใช้ข้อยกเว้นตามกฎหมายลิขสิทธิ์สำหรับห้องสมุดและการใช้เพื่อการศึกษา
    โครงการ Great 78 มีแผนดิจิไทซ์แผ่นเสียงกว่า 400,000 รายการ
    ได้รับการสนับสนุนจากนักอนุรักษ์เสียงและนักวิชาการหลายคน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แผ่นเสียง 78 rpm เป็นสื่อบันทึกเสียงหลักก่อนยุคแผ่นไวนิล
    นักดนตรีกว่า 850 คนเคยลงชื่อคัดค้านการฟ้องร้อง Internet Archive
    การใช้ fair use ในคดีลิขสิทธิ์ยังเป็นประเด็นถกเถียงในวงกฎหมาย
    Internet Archive เคยแพ้คดีสแกนหนังสือกับสำนักพิมพ์ใหญ่ในปี 2024

    https://arstechnica.com/tech-policy/2025/09/internet-archives-big-battle-with-music-publishers-ends-in-settlement/
    🎙️ “Internet Archive ยอมความคดีละเมิดลิขสิทธิ์เพลง 621 ล้านดอลลาร์ — เมื่อการอนุรักษ์เสียงกลายเป็นสนามรบของกฎหมาย” หลังจากต่อสู้ในศาลมานานกว่า 2 ปี Internet Archive ได้บรรลุข้อตกลงยุติคดีละเมิดลิขสิทธิ์กับกลุ่มค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ นำโดย Universal Music Group, Capitol Records และ Sony Music Entertainment ซึ่งฟ้องร้องโครงการ Great 78 Project ที่มีเป้าหมายในการอนุรักษ์และเผยแพร่เพลงเก่าจากแผ่นเสียง shellac ขนาด 78 รอบต่อนาที ที่ผลิตระหว่างปี 1890–1950 ค่ายเพลงกล่าวหาว่า Internet Archive ทำตัวเป็น “ร้านขายแผ่นเสียงเถื่อน” โดยอ้างว่าโครงการนี้เป็นเพียงข้ออ้างในการเผยแพร่เพลงโดยไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์ และอาจทำให้สูญเสียรายได้จากการสตรีมเพลง โดยมีการประเมินความเสียหายสูงถึง 621 ล้านดอลลาร์ จากการละเมิดลิขสิทธิ์เพลงกว่า 4,000 รายการ รวมถึงเพลงของศิลปินระดับตำนานอย่าง Billie Holiday, Frank Sinatra และ Louis Armstrong ฝ่าย Internet Archive ยืนยันว่าโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อการศึกษาและการอนุรักษ์วัฒนธรรมเสียงที่กำลังจะสูญหาย โดยอ้างสิทธิ์ตามกฎหมายลิขสิทธิ์ที่อนุญาตให้ห้องสมุดสามารถใช้เนื้อหาบางส่วนเพื่อการศึกษาได้ แต่ศาลไม่รับฟังข้อโต้แย้งนี้ และคดีมีแนวโน้มจะเข้าสู่การพิจารณาความเสียหายเต็มรูปแบบก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะตัดสินใจยุติข้อพิพาทด้วยข้อตกลงลับ แม้จะไม่มีการเปิดเผยจำนวนเงินที่ตกลงกัน แต่หลายฝ่ายเชื่อว่า Internet Archive ต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อหลีกเลี่ยงการล้มละลาย และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรนี้ถูกฟ้อง — ก่อนหน้านี้ก็เคยแพ้คดีจากกลุ่มสำนักพิมพ์หนังสือที่กล่าวหาว่าละเมิดลิขสิทธิ์จากการสแกนและเผยแพร่หนังสือออนไลน์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Internet Archive ยุติคดีละเมิดลิขสิทธิ์กับค่ายเพลงด้วยข้อตกลงลับ ➡️ คดีเกี่ยวข้องกับโครงการ Great 78 Project ที่ดิจิไทซ์เพลงจากแผ่น shellac ➡️ ค่ายเพลงกล่าวหาว่าโครงการนี้เป็นการเผยแพร่เพลงโดยไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์ ➡️ ประเมินความเสียหายสูงถึง 621 ล้านดอลลาร์จากเพลงกว่า 4,000 รายการ ✅ จุดยืนของ Internet Archive ➡️ อ้างว่าโครงการมีเป้าหมายเพื่อการศึกษาและการอนุรักษ์วัฒนธรรม ➡️ ใช้ข้อยกเว้นตามกฎหมายลิขสิทธิ์สำหรับห้องสมุดและการใช้เพื่อการศึกษา ➡️ โครงการ Great 78 มีแผนดิจิไทซ์แผ่นเสียงกว่า 400,000 รายการ ➡️ ได้รับการสนับสนุนจากนักอนุรักษ์เสียงและนักวิชาการหลายคน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แผ่นเสียง 78 rpm เป็นสื่อบันทึกเสียงหลักก่อนยุคแผ่นไวนิล ➡️ นักดนตรีกว่า 850 คนเคยลงชื่อคัดค้านการฟ้องร้อง Internet Archive ➡️ การใช้ fair use ในคดีลิขสิทธิ์ยังเป็นประเด็นถกเถียงในวงกฎหมาย ➡️ Internet Archive เคยแพ้คดีสแกนหนังสือกับสำนักพิมพ์ใหญ่ในปี 2024 https://arstechnica.com/tech-policy/2025/09/internet-archives-big-battle-with-music-publishers-ends-in-settlement/
    ARSTECHNICA.COM
    Internet Archive’s big battle with music publishers ends in settlement
    The true cost of keeping the Internet Archive alive will likely remain unknown.
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • “IPFire 2.29 อัปเดตครั้งใหญ่ ปรับปรุง OpenVPN ทั้งระบบ — เสริมความปลอดภัย พร้อมลดพลังงาน CPU”

    IPFire 2.29 Core Update 197 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของระบบไฟร์วอลล์แบบโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ดูแลระบบและองค์กรทั่วโลก จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการปรับปรุง OpenVPN ครั้งใหญ่ โดยอัปเกรดเป็นเวอร์ชัน 2.6 ซึ่งมาพร้อมความปลอดภัยที่แข็งแกร่งขึ้น รองรับลูกค้าได้หลากหลายขึ้น และมีโค้ดเบสที่ทันสมัยมากขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนค่าคอนฟิกเดิมของผู้ใช้เลย

    การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใน OpenVPN ได้แก่ การรวมไฟล์คอนฟิกทั้งหมดไว้ในไฟล์เดียว (ไม่ต้องใช้ ZIP), การยกเลิกการใช้ compression เพื่อความปลอดภัย, และการเปลี่ยนรูปแบบการจัดสรร IP จาก subnet topology เป็นแบบ IP เดี่ยวต่อ client ซึ่งช่วยเพิ่มขนาด pool ได้ถึง 4 เท่า นอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนค่าคอนฟิกได้โดยไม่ต้องหยุดบริการ road warrior ก่อน และเมื่อเซิร์ฟเวอร์รีสตาร์ต ลูกค้าจะได้รับการแจ้งเตือนและเชื่อมต่อใหม่ทันที

    นอกจาก OpenVPN แล้ว IPFire ยังอัปเดต WireGuard VPN ให้รองรับการนำเข้าไฟล์คอนฟิกที่มี line break แบบ Windows และไม่สนใจเส้นทาง IPv6 ที่ไม่จำเป็น พร้อมเพิ่มระบบมอนิเตอร์การเชื่อมต่อ WireGuard และฟีเจอร์ ARP ping สำหรับตรวจสอบ gateway และตำแหน่งของ IPFire

    อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือการปรับระบบ CPU ให้เข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานโดยใช้ Intel P-State หรือ schedutil governor ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและความร้อน โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการส่งต่อแพ็กเก็ตตามผลทดสอบของทีมพัฒนา

    เวอร์ชันนี้ยังเพิ่มการรองรับการ restore backup ผ่านเว็บ UI ที่มีขนาดเกิน 2 GB, เพิ่มเครื่องมือจำลอง TPM 2.0 สำหรับ VM ที่ใช้ Windows 11 ขึ้นไป, และเพิ่ม arpwatch สำหรับแจ้งเตือนเมื่อมี host ใหม่ในเครือข่ายท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตแพ็กเกจจำนวนมาก เช่น Apache, OpenSSL, SQLite, Suricata, Bash, Git, HAProxy และอื่น ๆ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    อัปเดต OpenVPN เป็นเวอร์ชัน 2.6 พร้อมปรับปรุงความปลอดภัยและความเข้ากันได้
    รวมไฟล์คอนฟิกไว้ในไฟล์เดียว ไม่ต้องใช้ ZIP container
    ยกเลิกการใช้ compression เพื่อความปลอดภัย
    เปลี่ยนจาก subnet topology เป็น IP เดี่ยวต่อ client เพื่อเพิ่มขนาด pool

    ฟีเจอร์ใหม่ในระบบ
    ปรับ CPU ให้เข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานด้วย Intel P-State หรือ schedutil governor
    อัปเดต WireGuard VPN ให้รองรับ line break แบบ Windows และไม่สนใจ IPv6 route
    เพิ่มระบบมอนิเตอร์ WireGuard และ ARP ping สำหรับ gateway และ location
    รองรับการ restore backup ผ่านเว็บ UI ที่มีขนาดเกิน 2 GB

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    OpenVPN 2.6 รองรับ cipher negotiation และใช้ SHA512 เป็นค่าเริ่มต้นเมื่อไม่มี AEAD
    การยกเลิก compression เป็นแนวทางที่สอดคล้องกับการป้องกันช่องโหว่ CRIME
    การจำลอง TPM 2.0 ช่วยให้ VM สามารถติดตั้ง Windows 11 ได้โดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์จริง
    IPFire ได้รับการสนับสนุนจากชุมชนและองค์กรทั่วโลกในฐานะไฟร์วอลล์ที่ปลอดภัยและยืดหยุ่น

    https://9to5linux.com/ipfire-2-29-core-update-197-introduces-a-complete-openvpn-overhaul
    🛡️ “IPFire 2.29 อัปเดตครั้งใหญ่ ปรับปรุง OpenVPN ทั้งระบบ — เสริมความปลอดภัย พร้อมลดพลังงาน CPU” IPFire 2.29 Core Update 197 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของระบบไฟร์วอลล์แบบโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ดูแลระบบและองค์กรทั่วโลก จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการปรับปรุง OpenVPN ครั้งใหญ่ โดยอัปเกรดเป็นเวอร์ชัน 2.6 ซึ่งมาพร้อมความปลอดภัยที่แข็งแกร่งขึ้น รองรับลูกค้าได้หลากหลายขึ้น และมีโค้ดเบสที่ทันสมัยมากขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนค่าคอนฟิกเดิมของผู้ใช้เลย การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใน OpenVPN ได้แก่ การรวมไฟล์คอนฟิกทั้งหมดไว้ในไฟล์เดียว (ไม่ต้องใช้ ZIP), การยกเลิกการใช้ compression เพื่อความปลอดภัย, และการเปลี่ยนรูปแบบการจัดสรร IP จาก subnet topology เป็นแบบ IP เดี่ยวต่อ client ซึ่งช่วยเพิ่มขนาด pool ได้ถึง 4 เท่า นอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนค่าคอนฟิกได้โดยไม่ต้องหยุดบริการ road warrior ก่อน และเมื่อเซิร์ฟเวอร์รีสตาร์ต ลูกค้าจะได้รับการแจ้งเตือนและเชื่อมต่อใหม่ทันที นอกจาก OpenVPN แล้ว IPFire ยังอัปเดต WireGuard VPN ให้รองรับการนำเข้าไฟล์คอนฟิกที่มี line break แบบ Windows และไม่สนใจเส้นทาง IPv6 ที่ไม่จำเป็น พร้อมเพิ่มระบบมอนิเตอร์การเชื่อมต่อ WireGuard และฟีเจอร์ ARP ping สำหรับตรวจสอบ gateway และตำแหน่งของ IPFire อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือการปรับระบบ CPU ให้เข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานโดยใช้ Intel P-State หรือ schedutil governor ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและความร้อน โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการส่งต่อแพ็กเก็ตตามผลทดสอบของทีมพัฒนา เวอร์ชันนี้ยังเพิ่มการรองรับการ restore backup ผ่านเว็บ UI ที่มีขนาดเกิน 2 GB, เพิ่มเครื่องมือจำลอง TPM 2.0 สำหรับ VM ที่ใช้ Windows 11 ขึ้นไป, และเพิ่ม arpwatch สำหรับแจ้งเตือนเมื่อมี host ใหม่ในเครือข่ายท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตแพ็กเกจจำนวนมาก เช่น Apache, OpenSSL, SQLite, Suricata, Bash, Git, HAProxy และอื่น ๆ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ อัปเดต OpenVPN เป็นเวอร์ชัน 2.6 พร้อมปรับปรุงความปลอดภัยและความเข้ากันได้ ➡️ รวมไฟล์คอนฟิกไว้ในไฟล์เดียว ไม่ต้องใช้ ZIP container ➡️ ยกเลิกการใช้ compression เพื่อความปลอดภัย ➡️ เปลี่ยนจาก subnet topology เป็น IP เดี่ยวต่อ client เพื่อเพิ่มขนาด pool ✅ ฟีเจอร์ใหม่ในระบบ ➡️ ปรับ CPU ให้เข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานด้วย Intel P-State หรือ schedutil governor ➡️ อัปเดต WireGuard VPN ให้รองรับ line break แบบ Windows และไม่สนใจ IPv6 route ➡️ เพิ่มระบบมอนิเตอร์ WireGuard และ ARP ping สำหรับ gateway และ location ➡️ รองรับการ restore backup ผ่านเว็บ UI ที่มีขนาดเกิน 2 GB ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ OpenVPN 2.6 รองรับ cipher negotiation และใช้ SHA512 เป็นค่าเริ่มต้นเมื่อไม่มี AEAD ➡️ การยกเลิก compression เป็นแนวทางที่สอดคล้องกับการป้องกันช่องโหว่ CRIME ➡️ การจำลอง TPM 2.0 ช่วยให้ VM สามารถติดตั้ง Windows 11 ได้โดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์จริง ➡️ IPFire ได้รับการสนับสนุนจากชุมชนและองค์กรทั่วโลกในฐานะไฟร์วอลล์ที่ปลอดภัยและยืดหยุ่น https://9to5linux.com/ipfire-2-29-core-update-197-introduces-a-complete-openvpn-overhaul
    9TO5LINUX.COM
    IPFire 2.29 Core Update 197 Introduces a Complete OpenVPN Overhaul - 9to5Linux
    IPFire 2.29 Update 197 firewall distribution is now available for download with a complete OpenVPN overhaul and performance tweaks.
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • เส้นทางใดๆล้วนต้องเดินลำพัง
    ประสบการณ์ล้วนปัจจัตตัง
    #ไร้สาระกับลุงทุเรียนกวน
    #ไร้คิดบนรู้สึกตัวสิ้นภพชาติ
    เส้นทางใดๆล้วนต้องเดินลำพัง ประสบการณ์ล้วนปัจจัตตัง #ไร้สาระกับลุงทุเรียนกวน #ไร้คิดบนรู้สึกตัวสิ้นภพชาติ
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 0 Reviews