• หลังหายไปจากตลาดตั้งแต่ RTX 3050 รุ่น desktop ในปี 2022 (เพราะ RTX 40 ซีรีส์ไม่มีตัว 4050 แบบ desktop) Nvidia ก็ประกาศกลับมาทำ GPU รุ่นราคาถูกอย่างเป็นทางการอีกครั้ง กับการเปิดตัว RTX 5050 ในเดือนกรกฎาคม 2025

    จุดน่าสนใจคือ แม้จะราคาแค่ $249 แต่ RTX 5050:
    - ใช้ CUDA core 2,560 หน่วย (เท่ากับ RTX 3050 เดิม)
    - มี VRAM ขนาด 8GB GDDR6 แบบ 128-bit
    - แต่ได้ core เทคโนโลยีใหม่ทั้ง DLSS 4 multi-frame gen, 9th-gen NVENC, 6th-gen NVDEC, และรองรับ PCIe Gen5

    แม้จะใช้ GDDR6 (ไม่ใช่ GDDR7 แบบรุ่นใหญ่ใน RTX 50 ซีรีส์) แต่ได้ Tensor cores ที่รองรับ AI TOPS ระดับสูง (421 TOPS) และ RT core แรงระดับ 40 TFLOPS — มากพอจะใช้ฟีเจอร์ยุคใหม่บนความละเอียด 1080p ได้อย่างลื่น ๆ

    พลังงานอยู่ที่ 130W ใช้แค่ 8-pin ปกติ และแนะนำ PSU 550W เท่านั้น — ประหยัด ไซซ์เล็ก ใส่เคสได้ง่าย

    คาดว่า Nvidia เปิดตัวรุ่นนี้มาเพื่อตอบโต้งานหนักจาก AMD ที่เปิดตัวซีรีส์ RX 9000 XT ในช่วงเดียวกัน

    ✅ RTX 5050 เปิดตัวด้วยราคา $249 พร้อมวางจำหน่ายกรกฎาคม 2025  
    • ถูกกว่า RTX 5060 อยู่ $50

    ✅ ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell พร้อมฟีเจอร์ใหม่ระดับเดียวกับรุ่นท็อป  
    • DLSS 4 Multi-frame Generation  
    • NVENC Gen9, NVDEC Gen6  
    • PCIe Gen5 รองรับการ์ด/เมนบอร์ดรุ่นใหม่

    ✅ สเปก RTX 5050  
    • CUDA: 2,560 cores (เท่ากับ RTX 3050)  
    • VRAM: 8GB GDDR6 (128-bit)  
    • Clock: 2.57GHz  
    • TGP: 130W / PSU 550W / 1x 8-pin

    ✅ ยังคงพอร์ตแสดงผลคลาสสิก  
    • 3x DisplayPort, 1x HDMI

    ✅ สามารถใช้ DLSS4 ได้ แม้จะเป็นรุ่น GDDR6 ไม่ใช่ GDDR7

    ✅ ถือเป็นรุ่นซีรีส์ "50" ตัวแรกตั้งแต่ RTX 3050 เมื่อ 3 ปีก่อน

    https://www.neowin.net/news/nvidia-announces-rtx-5050-desktop-graphics-card-for-more-affordable-next-gen-gaming/
    หลังหายไปจากตลาดตั้งแต่ RTX 3050 รุ่น desktop ในปี 2022 (เพราะ RTX 40 ซีรีส์ไม่มีตัว 4050 แบบ desktop) Nvidia ก็ประกาศกลับมาทำ GPU รุ่นราคาถูกอย่างเป็นทางการอีกครั้ง กับการเปิดตัว RTX 5050 ในเดือนกรกฎาคม 2025 จุดน่าสนใจคือ แม้จะราคาแค่ $249 แต่ RTX 5050: - ใช้ CUDA core 2,560 หน่วย (เท่ากับ RTX 3050 เดิม) - มี VRAM ขนาด 8GB GDDR6 แบบ 128-bit - แต่ได้ core เทคโนโลยีใหม่ทั้ง DLSS 4 multi-frame gen, 9th-gen NVENC, 6th-gen NVDEC, และรองรับ PCIe Gen5 แม้จะใช้ GDDR6 (ไม่ใช่ GDDR7 แบบรุ่นใหญ่ใน RTX 50 ซีรีส์) แต่ได้ Tensor cores ที่รองรับ AI TOPS ระดับสูง (421 TOPS) และ RT core แรงระดับ 40 TFLOPS — มากพอจะใช้ฟีเจอร์ยุคใหม่บนความละเอียด 1080p ได้อย่างลื่น ๆ พลังงานอยู่ที่ 130W ใช้แค่ 8-pin ปกติ และแนะนำ PSU 550W เท่านั้น — ประหยัด ไซซ์เล็ก ใส่เคสได้ง่าย คาดว่า Nvidia เปิดตัวรุ่นนี้มาเพื่อตอบโต้งานหนักจาก AMD ที่เปิดตัวซีรีส์ RX 9000 XT ในช่วงเดียวกัน ✅ RTX 5050 เปิดตัวด้วยราคา $249 พร้อมวางจำหน่ายกรกฎาคม 2025   • ถูกกว่า RTX 5060 อยู่ $50 ✅ ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell พร้อมฟีเจอร์ใหม่ระดับเดียวกับรุ่นท็อป   • DLSS 4 Multi-frame Generation   • NVENC Gen9, NVDEC Gen6   • PCIe Gen5 รองรับการ์ด/เมนบอร์ดรุ่นใหม่ ✅ สเปก RTX 5050   • CUDA: 2,560 cores (เท่ากับ RTX 3050)   • VRAM: 8GB GDDR6 (128-bit)   • Clock: 2.57GHz   • TGP: 130W / PSU 550W / 1x 8-pin ✅ ยังคงพอร์ตแสดงผลคลาสสิก   • 3x DisplayPort, 1x HDMI ✅ สามารถใช้ DLSS4 ได้ แม้จะเป็นรุ่น GDDR6 ไม่ใช่ GDDR7 ✅ ถือเป็นรุ่นซีรีส์ "50" ตัวแรกตั้งแต่ RTX 3050 เมื่อ 3 ปีก่อน https://www.neowin.net/news/nvidia-announces-rtx-5050-desktop-graphics-card-for-more-affordable-next-gen-gaming/
    WWW.NEOWIN.NET
    Nvidia announces RTX 5050 desktop graphics card for more affordable next-gen gaming
    Nvidia has a new budget-friendly graphics card for those who cannot afford an expensive GPU but still want to taste those sweet next-gen frames that the RTX 50 series offers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายคนอาจยังลังเลว่าจะย้ายมา Windows 11 ดีไหม บางคนไม่ชอบเมนู Start ใหม่ บางคนเครื่องเก่าไม่รองรับ หรือบางคนก็แค่รู้สึกว่า “10 ก็ยังดีอยู่”

    Microsoft เลยออกบล็อกบทความที่พยายามตอบทุกข้อกังขา โดยบอกว่า Windows 11 ไม่ใช่แค่ “สกินใหม่ของ Windows 10” แต่คือระบบปฏิบัติการที่ยกระดับในหลายด้าน:

    1️⃣ ความปลอดภัย: Windows 11 บังคับใช้ TPM 2.0, VBS, และ Smart App Control ซึ่งทำให้ Microsoft เคลมว่าลดการโจมตีทาง firmware ได้ถึง 3 เท่า และลดเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยลง 62%

    2️⃣ ความเร็ว: อัปเดตเร็วขึ้นกว่า Windows 10 ถึง 2.3 เท่า โดยเฉพาะขั้นตอนติดตั้ง patch ที่หลายคนไม่ชอบ

    3️⃣ ประสบการณ์ใหม่: มี Snap Layout, Virtual Desktop แบบใหม่ และ UI สะอาดขึ้น (แม้บางคนจะไม่ชอบ Start menu ใหม่ก็ตาม)

    4️⃣ การเข้าถึง (Accessibility): เพิ่มฟีเจอร์เช่น Voice Access, Live Captions, Voice Typing สำหรับผู้ใช้ที่มีข้อจำกัดด้านร่างกาย

    5️⃣ AI บนเครื่อง: มีฟีเจอร์เช่น Windows Recall, AI Settings Agent, Click-to-Do, Paint Cocreator — แต่นี่ใช้ได้เฉพาะบน PC รุ่นใหม่เท่านั้น

    และถ้ายังไม่อยากย้าย Microsoft ก็ใจดีบอกว่า “อยู่กับ Windows 10 ต่อได้” เพราะจะมี Extended Security Updates ฟรี ถ้าใช้ Windows Backup แล้วผูกกับ Microsoft Account

    https://www.neowin.net/news/microsoft-explains-why-windows-10-users-should-upgrade-to-windows-11/
    หลายคนอาจยังลังเลว่าจะย้ายมา Windows 11 ดีไหม บางคนไม่ชอบเมนู Start ใหม่ บางคนเครื่องเก่าไม่รองรับ หรือบางคนก็แค่รู้สึกว่า “10 ก็ยังดีอยู่” Microsoft เลยออกบล็อกบทความที่พยายามตอบทุกข้อกังขา โดยบอกว่า Windows 11 ไม่ใช่แค่ “สกินใหม่ของ Windows 10” แต่คือระบบปฏิบัติการที่ยกระดับในหลายด้าน: 1️⃣ ความปลอดภัย: Windows 11 บังคับใช้ TPM 2.0, VBS, และ Smart App Control ซึ่งทำให้ Microsoft เคลมว่าลดการโจมตีทาง firmware ได้ถึง 3 เท่า และลดเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยลง 62% 2️⃣ ความเร็ว: อัปเดตเร็วขึ้นกว่า Windows 10 ถึง 2.3 เท่า โดยเฉพาะขั้นตอนติดตั้ง patch ที่หลายคนไม่ชอบ 3️⃣ ประสบการณ์ใหม่: มี Snap Layout, Virtual Desktop แบบใหม่ และ UI สะอาดขึ้น (แม้บางคนจะไม่ชอบ Start menu ใหม่ก็ตาม) 4️⃣ การเข้าถึง (Accessibility): เพิ่มฟีเจอร์เช่น Voice Access, Live Captions, Voice Typing สำหรับผู้ใช้ที่มีข้อจำกัดด้านร่างกาย 5️⃣ AI บนเครื่อง: มีฟีเจอร์เช่น Windows Recall, AI Settings Agent, Click-to-Do, Paint Cocreator — แต่นี่ใช้ได้เฉพาะบน PC รุ่นใหม่เท่านั้น และถ้ายังไม่อยากย้าย Microsoft ก็ใจดีบอกว่า “อยู่กับ Windows 10 ต่อได้” เพราะจะมี Extended Security Updates ฟรี ถ้าใช้ Windows Backup แล้วผูกกับ Microsoft Account https://www.neowin.net/news/microsoft-explains-why-windows-10-users-should-upgrade-to-windows-11/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft explains why Windows 10 users should upgrade to Windows 11
    Windows 10 will soon be out of support, and to help you pull the trigger on Windows 11, Microsoft lists reasons why the new operating system is better.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัยก่อนเวลาคุณซื้อคอมพ์ใหม่ มักจะมีซอฟต์แวร์เวอร์ชันทดลองแถมมาให้ (trial) ซึ่งถ้าเครื่องคุณผลิตโดยผู้ผลิตที่มีข้อตกลงกับเจ้าของซอฟต์แวร์นั้น — ตัวซอฟต์แวร์จะ ปลดล็อกเป็นเวอร์ชันเต็มอัตโนมัติ แบบไม่ต้องกรอกอะไรเลย

    สิ่งที่คนไม่รู้คือ ตัวซอฟต์แวร์ใช้วิธี “แอบดู BIOS copyright string” ว่าตรงกับชื่อผู้ผลิตที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ เช่น “Copyright Fabrikam Computer”

    แต่มีบริษัทพีซีบางแห่ง (ในข่าวใช้ชื่อสมมุติว่า Contoso) หัวใสมาก — เพราะไม่มีสิทธิ์ใช้งานซอฟต์แวร์เวอร์ชันเต็ม แต่ ต้องการให้ลูกค้าที่ซื้อพีซีของตัวเองได้รับประสบการณ์แบบ "แจกของแถมเหมือนแบรนด์ดัง" เลยแอบเขียน string ปลอมใน BIOS ว่า:

    > Copyright Contoso Not Copyright Fabrikam Computer

    แล้วซอฟต์แวร์ก็ “อ่านพลาด” เพราะมันแค่หา substring ที่ตรงกับ Copyright Fabrikam Computer — ซึ่งคำนี้อยู่พอดีใน string ยาวของ Contoso!

    ผลคือซอฟต์แวร์เข้าใจผิดว่า “เจอเครื่องที่มีสิทธิ์” แล้วจึงปลดล็อกเป็นเวอร์ชันเต็มให้ฟรี ๆ — แม้ว่า Contoso ไม่มีสิทธิ์แม้แต่นิดเดียว

    Microsoft รู้เข้าระหว่างที่พยายามแยกความแตกต่างของเครื่องพีซีเก่าและใหม่เพื่อการพัฒนา Plug and Play…แล้วพบ BIOS ที่เขียน string ปลอมแบบนี้ซ้อนอยู่

    https://www.neowin.net/news/pc-manufacturers-used-to-trick-bios-copyright-strings-to-get-full-editions-of-trial-software/
    สมัยก่อนเวลาคุณซื้อคอมพ์ใหม่ มักจะมีซอฟต์แวร์เวอร์ชันทดลองแถมมาให้ (trial) ซึ่งถ้าเครื่องคุณผลิตโดยผู้ผลิตที่มีข้อตกลงกับเจ้าของซอฟต์แวร์นั้น — ตัวซอฟต์แวร์จะ ปลดล็อกเป็นเวอร์ชันเต็มอัตโนมัติ แบบไม่ต้องกรอกอะไรเลย สิ่งที่คนไม่รู้คือ ตัวซอฟต์แวร์ใช้วิธี “แอบดู BIOS copyright string” ว่าตรงกับชื่อผู้ผลิตที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ เช่น “Copyright Fabrikam Computer” แต่มีบริษัทพีซีบางแห่ง (ในข่าวใช้ชื่อสมมุติว่า Contoso) หัวใสมาก — เพราะไม่มีสิทธิ์ใช้งานซอฟต์แวร์เวอร์ชันเต็ม แต่ ต้องการให้ลูกค้าที่ซื้อพีซีของตัวเองได้รับประสบการณ์แบบ "แจกของแถมเหมือนแบรนด์ดัง" เลยแอบเขียน string ปลอมใน BIOS ว่า: > Copyright Contoso Not Copyright Fabrikam Computer แล้วซอฟต์แวร์ก็ “อ่านพลาด” เพราะมันแค่หา substring ที่ตรงกับ Copyright Fabrikam Computer — ซึ่งคำนี้อยู่พอดีใน string ยาวของ Contoso! ผลคือซอฟต์แวร์เข้าใจผิดว่า “เจอเครื่องที่มีสิทธิ์” แล้วจึงปลดล็อกเป็นเวอร์ชันเต็มให้ฟรี ๆ — แม้ว่า Contoso ไม่มีสิทธิ์แม้แต่นิดเดียว Microsoft รู้เข้าระหว่างที่พยายามแยกความแตกต่างของเครื่องพีซีเก่าและใหม่เพื่อการพัฒนา Plug and Play…แล้วพบ BIOS ที่เขียน string ปลอมแบบนี้ซ้อนอยู่ https://www.neowin.net/news/pc-manufacturers-used-to-trick-bios-copyright-strings-to-get-full-editions-of-trial-software/
    WWW.NEOWIN.NET
    PC manufacturers used to trick BIOS copyright strings to get full editions of trial software
    A Microsoft engineer has shared a rather interesting anecdote about how OEMs used to trick licensing processes by obfuscating copyright strings in the PC BIOS.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนแรกหลายองค์กรคิดว่า “ระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่แล้ว” น่าจะพอเอาอยู่กับ AI — เพราะก็มี patch, มี asset inventory, มี firewall อยู่แล้ว แต่วันนี้กลายเป็นว่า... AI คือสัตว์คนละสายพันธุ์เลยครับ

    เพราะ AI ขยายพื้นที่โจมตีออกไปถึง API, third-party, supply chain และยังมีความเสี่ยงใหม่แบบเฉพาะตัว เช่น model poisoning, prompt injection, data inference ซึ่งไม่เคยต้องรับมือในโลก legacy มาก่อน

    และแม้ว่าองค์กรจะลงทุนกับ AI อย่างหนัก แต่เกือบครึ่ง (46%) ของโครงการ AI ถูกหยุดกลางคันหรือไม่เคยได้ไปถึง production ด้วยซ้ำ — ส่วนใหญ่เกิดจากความล้มเหลวในด้าน governance, ความเสี่ยง, ข้อมูลไม่สะอาด และขาดทีมที่เข้าใจ AI จริง ๆ

    ข่าวนี้จึงเสนอบทบาทใหม่ 5 แบบที่ CISO ต้องกลายร่างเป็น: “นักกฎหมาย, นักวิเคราะห์, ครู, นักวิจัย และนักสร้างพันธมิตร”

    ✅ 5 ขั้นตอนสำคัญที่ CISO ต้องทำเพื่อรักษาความปลอดภัยของ AI:
    ✅ 1. เริ่มทุกอย่างด้วยโมเดล AI Governance ที่แข็งแรงและครอบคลุม  
    • ต้องมี alignment ระหว่างทีมธุรกิจ–เทคโนโลยีว่า AI จะใช้ทำอะไร และใช้อย่างไร  
    • สร้าง framework ที่รวม ethics, compliance, transparency และ success metrics  
    • ใช้แนวทางจาก NIST AI RMF, ISO/IEC 42001:2023, UNESCO AI Ethics, RISE และ CARE

    ✅ 2. พัฒนา “มุมมองความเสี่ยงของ AI” ที่ต่อเนื่องและลึกกว่าระบบปกติ  
    • สร้าง AI asset inventory, risk register, และ software bill of materials  
    • ติดตามภัยคุกคามเฉพาะ AI เช่น data leakage, model drift, prompt injection  
    • ใช้ MITRE ATLAS และตรวจสอบ vendor + third-party supply chain อย่างใกล้ชิด

    ✅ 3. ขยายนิยาม “data integrity” ให้ครอบคลุมถึงโมเดล AI ด้วย  
    • ไม่ใช่แค่ข้อมูลไม่โดนแก้ไข แต่รวมถึง bias, fairness และ veracity  
    • เช่นเคยมีกรณี Amazon และ UK ใช้ AI ที่กลายเป็นอคติทางเพศและสีผิว

    ✅ 4. ยกระดับ “AI literacy” ให้ทั้งองค์กรเข้าใจและใช้งานอย่างปลอดภัย  
    • เริ่มจากทีม Security → Dev → ฝ่ายธุรกิจ  
    • สอน OWASP Top 10 for LLMs, Google’s SAIF, CSA Secure AI  
    • End user ต้องรู้เรื่อง misuse, data leak และ deepfake ด้วย

    ✅ 5. มอง AI Security แบบ “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “อัตโนมัติเต็มขั้น”  
    • ใช้ AI ช่วย triage alert, คัด log, วิเคราะห์ risk score แต่ยังต้องมีคนคุม  
    • พิจารณาผู้ให้บริการ AI Security อย่างรอบคอบ เพราะหลายเจ้าแค่ “แปะป้าย AI” แต่ยังไม่ mature

    https://www.csoonline.com/article/4011384/the-cisos-5-step-guide-to-securing-ai-operations.html
    ตอนแรกหลายองค์กรคิดว่า “ระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่แล้ว” น่าจะพอเอาอยู่กับ AI — เพราะก็มี patch, มี asset inventory, มี firewall อยู่แล้ว แต่วันนี้กลายเป็นว่า... AI คือสัตว์คนละสายพันธุ์เลยครับ เพราะ AI ขยายพื้นที่โจมตีออกไปถึง API, third-party, supply chain และยังมีความเสี่ยงใหม่แบบเฉพาะตัว เช่น model poisoning, prompt injection, data inference ซึ่งไม่เคยต้องรับมือในโลก legacy มาก่อน และแม้ว่าองค์กรจะลงทุนกับ AI อย่างหนัก แต่เกือบครึ่ง (46%) ของโครงการ AI ถูกหยุดกลางคันหรือไม่เคยได้ไปถึง production ด้วยซ้ำ — ส่วนใหญ่เกิดจากความล้มเหลวในด้าน governance, ความเสี่ยง, ข้อมูลไม่สะอาด และขาดทีมที่เข้าใจ AI จริง ๆ ข่าวนี้จึงเสนอบทบาทใหม่ 5 แบบที่ CISO ต้องกลายร่างเป็น: “นักกฎหมาย, นักวิเคราะห์, ครู, นักวิจัย และนักสร้างพันธมิตร” ✅ 5 ขั้นตอนสำคัญที่ CISO ต้องทำเพื่อรักษาความปลอดภัยของ AI: ✅ 1. เริ่มทุกอย่างด้วยโมเดล AI Governance ที่แข็งแรงและครอบคลุม   • ต้องมี alignment ระหว่างทีมธุรกิจ–เทคโนโลยีว่า AI จะใช้ทำอะไร และใช้อย่างไร   • สร้าง framework ที่รวม ethics, compliance, transparency และ success metrics   • ใช้แนวทางจาก NIST AI RMF, ISO/IEC 42001:2023, UNESCO AI Ethics, RISE และ CARE ✅ 2. พัฒนา “มุมมองความเสี่ยงของ AI” ที่ต่อเนื่องและลึกกว่าระบบปกติ   • สร้าง AI asset inventory, risk register, และ software bill of materials   • ติดตามภัยคุกคามเฉพาะ AI เช่น data leakage, model drift, prompt injection   • ใช้ MITRE ATLAS และตรวจสอบ vendor + third-party supply chain อย่างใกล้ชิด ✅ 3. ขยายนิยาม “data integrity” ให้ครอบคลุมถึงโมเดล AI ด้วย   • ไม่ใช่แค่ข้อมูลไม่โดนแก้ไข แต่รวมถึง bias, fairness และ veracity   • เช่นเคยมีกรณี Amazon และ UK ใช้ AI ที่กลายเป็นอคติทางเพศและสีผิว ✅ 4. ยกระดับ “AI literacy” ให้ทั้งองค์กรเข้าใจและใช้งานอย่างปลอดภัย   • เริ่มจากทีม Security → Dev → ฝ่ายธุรกิจ   • สอน OWASP Top 10 for LLMs, Google’s SAIF, CSA Secure AI   • End user ต้องรู้เรื่อง misuse, data leak และ deepfake ด้วย ✅ 5. มอง AI Security แบบ “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “อัตโนมัติเต็มขั้น”   • ใช้ AI ช่วย triage alert, คัด log, วิเคราะห์ risk score แต่ยังต้องมีคนคุม   • พิจารณาผู้ให้บริการ AI Security อย่างรอบคอบ เพราะหลายเจ้าแค่ “แปะป้าย AI” แต่ยังไม่ mature https://www.csoonline.com/article/4011384/the-cisos-5-step-guide-to-securing-ai-operations.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The CISO’s 5-step guide to securing AI operations
    Security leaders must become AI cheerleaders, risk experts, data stewards, teachers, and researchers. Here’s how to lead your organization toward more secure and effective AI use.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯไม่สามารถทำลายศักยภาพทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน และแค่ทำให้พวกเขาถอยหลังกลับไปไม่กี่เดือนเท่านั้น ตามรายงานของรอยเตอร์อ้างอิงจากคำประเมินข่าวกรองหนึ่งของอเมริกา ในขณะที่ข้อตกลงหยุดยิงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เป็นคนกลาง ระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล เริ่มมีผลบังคับใช้แล้ว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000059580

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯไม่สามารถทำลายศักยภาพทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน และแค่ทำให้พวกเขาถอยหลังกลับไปไม่กี่เดือนเท่านั้น ตามรายงานของรอยเตอร์อ้างอิงจากคำประเมินข่าวกรองหนึ่งของอเมริกา ในขณะที่ข้อตกลงหยุดยิงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เป็นคนกลาง ระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล เริ่มมีผลบังคับใช้แล้ว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000059580 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • จินตนาการดูนะครับว่าเด็กคนนึงรู้สึกเหงา ไม่มีเพื่อนคุย หรืออยากระบายสิ่งที่อายเกินกว่าจะเล่าให้ใครฟัง — เขาเลยเข้าไปในแอป AI และพูดได้ทุกอย่างโดยไม่มีใครตัดสิน

    น่าฟังใช่ไหมครับ? แต่นั่นแหละคือช่องที่น่ากังวล

    เพราะแชตบอตพวกนี้ ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับเด็ก และอาจตอบกลับด้วยเนื้อหาที่ผิด, รุนแรง หรือไม่เหมาะสมโดยไม่ได้ตั้งใจ — บางครั้งถึงขั้นมี เรื่องเพศรุนแรงหรือคำแนะนำอันตราย ก็เกิดขึ้นแล้วในหลายกรณี

    ที่น่าห่วงคือ เด็ก ๆ โดยเฉพาะวัยรุ่นจะมีลักษณะ “เชื่อมโยงกับบอต” แบบ parasocial — คือรู้สึกผูกพันกับสิ่งที่ไม่ใช่คนจริง ๆ ได้ง่าย เพราะพวกเขา ยังแยกไม่ชัดว่าอะไรจริง–อะไรเสมือน โดยเฉพาะเมื่อบอตพูดจานุ่มนวล เข้าใจ และไม่ตัดสิน

    บางคนถึงขั้นคิดว่าแชตบอตคือ “เพื่อนแท้” คนเดียวของเขาในโลก ซึ่งแน่นอนว่า...บอตไม่มีหัวใจ ไม่มีความรับผิดชอบ และไม่สามารถเป็นที่พึ่งทางอารมณ์อย่างแท้จริงได้

    ✅ AI แชตบอตเริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเด็กและวัยรุ่น — ใช้คุยเพื่อความบันเทิงหรือความเหงา  
    • มีพฤติกรรมคล้ายมนุษย์ ใช้น้ำเสียงเป็นมิตร เข้าใจง่าย  
    • บางแพลตฟอร์มมี “บอตเพื่อน” แบบมีบุคลิกเฉพาะตัว (Companion AI)

    ✅ AI ไม่ได้ถูกออกแบบให้รองรับจริยธรรมและการปกป้องเด็กโดยเฉพาะ  
    • อาจตอบคำถามผิด หรือมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมโดยไม่ได้ตั้งใจ  
    • ไม่มีความรับผิดชอบทางอารมณ์หรือจริยธรรมแบบมนุษย์

    ✅ เด็กบางคนสร้างความผูกพันระดับสูงกับแชตบอต (parasocial relationship)  
    • เพราะเด็กยังไม่มีวิจารณญาณพอจะประเมินว่าอีกฝั่งคือ AI  
    • อาจเริ่มปิดใจจากคนจริง และถ่ายทอดเรื่องส่วนตัวกับบอตมากเกินไป

    ✅ AI ไม่สามารถทำหน้าที่แทน “ความสัมพันธ์ที่มั่นคงในชีวิตจริง” ได้  
    • ไม่มีความรับผิดชอบ, ไม่เข้าใจชีวิตของเด็กจริง ๆ, ไม่รู้บริบทของแต่ละคน

    ✅ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ:
    • พ่อแม่ควรถามลูกว่าเคยใช้แชตบอตไหม ใช้อย่างไร เคยเจออะไรแปลกหรือไม่  
    • ควรเปิดบทสนทนาอย่างนุ่มนวล–ไม่ดุหรือสั่งห้ามทันที  
    • หากเห็นข้อความน่าสงสัยในแชต คุยกันว่า “บอตตอบแบบนี้เพราะอะไร”
    • เน้นย้ำว่าชีวิตจริงต้องมีเพื่อนและคนจริงที่พร้อมรับฟัง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/24/opinion-are-ai-chatbots-safe-for-kids
    จินตนาการดูนะครับว่าเด็กคนนึงรู้สึกเหงา ไม่มีเพื่อนคุย หรืออยากระบายสิ่งที่อายเกินกว่าจะเล่าให้ใครฟัง — เขาเลยเข้าไปในแอป AI และพูดได้ทุกอย่างโดยไม่มีใครตัดสิน น่าฟังใช่ไหมครับ? แต่นั่นแหละคือช่องที่น่ากังวล เพราะแชตบอตพวกนี้ ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับเด็ก และอาจตอบกลับด้วยเนื้อหาที่ผิด, รุนแรง หรือไม่เหมาะสมโดยไม่ได้ตั้งใจ — บางครั้งถึงขั้นมี เรื่องเพศรุนแรงหรือคำแนะนำอันตราย ก็เกิดขึ้นแล้วในหลายกรณี ที่น่าห่วงคือ เด็ก ๆ โดยเฉพาะวัยรุ่นจะมีลักษณะ “เชื่อมโยงกับบอต” แบบ parasocial — คือรู้สึกผูกพันกับสิ่งที่ไม่ใช่คนจริง ๆ ได้ง่าย เพราะพวกเขา ยังแยกไม่ชัดว่าอะไรจริง–อะไรเสมือน โดยเฉพาะเมื่อบอตพูดจานุ่มนวล เข้าใจ และไม่ตัดสิน บางคนถึงขั้นคิดว่าแชตบอตคือ “เพื่อนแท้” คนเดียวของเขาในโลก ซึ่งแน่นอนว่า...บอตไม่มีหัวใจ ไม่มีความรับผิดชอบ และไม่สามารถเป็นที่พึ่งทางอารมณ์อย่างแท้จริงได้ ✅ AI แชตบอตเริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเด็กและวัยรุ่น — ใช้คุยเพื่อความบันเทิงหรือความเหงา   • มีพฤติกรรมคล้ายมนุษย์ ใช้น้ำเสียงเป็นมิตร เข้าใจง่าย   • บางแพลตฟอร์มมี “บอตเพื่อน” แบบมีบุคลิกเฉพาะตัว (Companion AI) ✅ AI ไม่ได้ถูกออกแบบให้รองรับจริยธรรมและการปกป้องเด็กโดยเฉพาะ   • อาจตอบคำถามผิด หรือมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมโดยไม่ได้ตั้งใจ   • ไม่มีความรับผิดชอบทางอารมณ์หรือจริยธรรมแบบมนุษย์ ✅ เด็กบางคนสร้างความผูกพันระดับสูงกับแชตบอต (parasocial relationship)   • เพราะเด็กยังไม่มีวิจารณญาณพอจะประเมินว่าอีกฝั่งคือ AI   • อาจเริ่มปิดใจจากคนจริง และถ่ายทอดเรื่องส่วนตัวกับบอตมากเกินไป ✅ AI ไม่สามารถทำหน้าที่แทน “ความสัมพันธ์ที่มั่นคงในชีวิตจริง” ได้   • ไม่มีความรับผิดชอบ, ไม่เข้าใจชีวิตของเด็กจริง ๆ, ไม่รู้บริบทของแต่ละคน ✅ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ: • พ่อแม่ควรถามลูกว่าเคยใช้แชตบอตไหม ใช้อย่างไร เคยเจออะไรแปลกหรือไม่   • ควรเปิดบทสนทนาอย่างนุ่มนวล–ไม่ดุหรือสั่งห้ามทันที   • หากเห็นข้อความน่าสงสัยในแชต คุยกันว่า “บอตตอบแบบนี้เพราะอะไร” • เน้นย้ำว่าชีวิตจริงต้องมีเพื่อนและคนจริงที่พร้อมรับฟัง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/24/opinion-are-ai-chatbots-safe-for-kids
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Opinion: Are AI chatbots safe for kids?
    Artificial intelligence chatbots are now a part of daily life for many families.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • จำคดีที่นักเขียนหลายคนฟ้องว่า AI เอางานเขาไปสอนบอตโดยไม่ได้รับอนุญาตไหมครับ? หนึ่งในคดีนั้นคือกลุ่มนักเขียนอย่าง Andrea Bartz, Charles Graeber และ Kirk Johnson ฟ้องบริษัท Anthropic ว่าเอาหนังสือของพวกเขาไปใช้ฝึก AI โดยไม่ได้จ่ายหรือขออนุญาต

    แต่ตอนนี้ ผู้พิพากษา William Alsup แห่งศาล San Francisco ตัดสินว่า “การฝึก Claude ด้วยเนื้อหาหนังสือบางส่วนแบบมีจุดมุ่งหมายเพื่อเรียนรู้–สร้างสิ่งใหม่” นั้น ถือว่าเป็น Fair Use ซึ่งเป็นกฎหมายในสหรัฐที่ยอมให้ใช้ลิขสิทธิ์ได้ในบางกรณี เช่น งานวิจัย วิจารณ์ หรือใช้ในลักษณะ transformative

    แต่...ผู้พิพากษายังระบุชัดว่า “การโหลดและเก็บไฟล์หนังสือเถื่อนเป็นล้านเล่ม” เพื่อรวมไว้ใน Central Library นั้น ละเมิดลิขสิทธิ์แน่นอน — และ Anthropic ต้องขึ้นศาลในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อตัดสินจำนวนเงินชดเชย (อาจสูงถึง $150,000 ต่อเล่ม หากเข้าข่ายเจตนา)

    นี่เป็นคำตัดสินแรกของสหรัฐในเรื่อง “AI + Fair Use” และน่าจะมีผลกระทบต่อคดีอื่น ๆ ที่ OpenAI, Meta, Microsoft กำลังโดนฟ้องจากนักเขียน, สำนักข่าว, และเจ้าของเนื้อหามากมายเลยครับ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/24/anthropic-wins-key-ruling-on-ai-in-authors039-copyright-lawsuit
    จำคดีที่นักเขียนหลายคนฟ้องว่า AI เอางานเขาไปสอนบอตโดยไม่ได้รับอนุญาตไหมครับ? หนึ่งในคดีนั้นคือกลุ่มนักเขียนอย่าง Andrea Bartz, Charles Graeber และ Kirk Johnson ฟ้องบริษัท Anthropic ว่าเอาหนังสือของพวกเขาไปใช้ฝึก AI โดยไม่ได้จ่ายหรือขออนุญาต แต่ตอนนี้ ผู้พิพากษา William Alsup แห่งศาล San Francisco ตัดสินว่า “การฝึก Claude ด้วยเนื้อหาหนังสือบางส่วนแบบมีจุดมุ่งหมายเพื่อเรียนรู้–สร้างสิ่งใหม่” นั้น ถือว่าเป็น Fair Use ซึ่งเป็นกฎหมายในสหรัฐที่ยอมให้ใช้ลิขสิทธิ์ได้ในบางกรณี เช่น งานวิจัย วิจารณ์ หรือใช้ในลักษณะ transformative แต่...ผู้พิพากษายังระบุชัดว่า “การโหลดและเก็บไฟล์หนังสือเถื่อนเป็นล้านเล่ม” เพื่อรวมไว้ใน Central Library นั้น ละเมิดลิขสิทธิ์แน่นอน — และ Anthropic ต้องขึ้นศาลในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อตัดสินจำนวนเงินชดเชย (อาจสูงถึง $150,000 ต่อเล่ม หากเข้าข่ายเจตนา) นี่เป็นคำตัดสินแรกของสหรัฐในเรื่อง “AI + Fair Use” และน่าจะมีผลกระทบต่อคดีอื่น ๆ ที่ OpenAI, Meta, Microsoft กำลังโดนฟ้องจากนักเขียน, สำนักข่าว, และเจ้าของเนื้อหามากมายเลยครับ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/24/anthropic-wins-key-ruling-on-ai-in-authors039-copyright-lawsuit
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Anthropic wins key US ruling on AI training in authors' copyright lawsuit
    (Reuters) -A federal judge in San Francisco ruled late on Monday that Anthropic's use of books without permission to train its artificial intelligence system was legal under U.S. copyright law.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีงานวิจัยจาก University of Georgia วิเคราะห์แผนยุทธศาสตร์ด้าน AI ของ 50 ประเทศทั่วโลก โดยเน้นเรื่อง “การเตรียมคน” ผ่านนโยบายด้านการศึกษาและอาชีวะ ฝั่งยุโรป (เช่น เยอรมนี สเปน) ดูจะนำหน้าชัดเจน เพราะให้ความสำคัญสูงมากในเรื่อง lifelong learning และการฝึกอบรม AI สำหรับแรงงานทุกช่วงวัย

    ในขณะที่สหรัฐ, ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศอยู่ในกลุ่ม “ให้ความสำคัญระดับกลาง” คือรู้ว่า AI สำคัญ แต่ยังไม่มีแผนจัดเต็มในระดับชาติเหมือนยุโรป

    สิ่งที่น่าสนใจคือ มีเพียง “13 จาก 50 ประเทศ” เท่านั้นที่ให้ AI training อยู่ในระดับความสำคัญสูงสุด — และมีเพียงบางประเทศเท่านั้นที่กล้าเริ่มสอน AI ตั้งแต่ชั้นประถมหรืออนุบาลเลย

    แต่แม้จะพูดถึง AI เป็นเรื่องใหญ่ สิ่งหนึ่งที่กลับถูกมองข้ามคือ “soft skills” แบบมนุษย์ เช่น การสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกับผู้อื่น — ซึ่งนักวิจัยเตือนว่าทักษะเหล่านี้คือสิ่งที่ AI แทนไม่ได้ และจะเป็น “จุดต่างสำคัญของมนุษย์ในที่ทำงานอนาคต”

    ✅ งานวิจัยสำรวจแผนพัฒนาทักษะ AI ของ 50 ประเทศ พบว่าเพียง 13 ประเทศให้ความสำคัญสูงสุด  
    • 11 ประเทศในยุโรป + เม็กซิโก + ออสเตรเลีย อยู่ในกลุ่ม “ให้ความสำคัญระดับสูง”  
    • สหรัฐ, ญี่ปุ่น และอีก 22 ประเทศ จัดอยู่ในกลุ่ม “ให้ความสำคัญระดับกลาง”

    ✅ เกณฑ์วัดระดับความพร้อม ได้แก่:  
    • เป้าหมายระดับชาติ, วิธีการดำเนินงาน, ตัวอย่างโครงการ, ตัวชี้วัดความสำเร็จ, เครื่องมือสนับสนุน, และแผนระยะเวลา

    ✅ ประเทศที่เตรียมพร้อมสูงจะมีแผนบูรณาการตั้งแต่ระดับประถม – มหาวิทยาลัย – ที่ทำงาน  
    • เยอรมนีสร้างวัฒนธรรมส่งเสริมความสนใจด้าน AI  
    • สเปนเริ่มสอนพื้นฐาน AI ตั้งแต่ระดับอนุบาล

    ✅ มากกว่าครึ่งของประเทศมีนโยบายฝึกอบรมพนักงานในองค์กรแบบเฉพาะอุตสาหกรรม  
    • หลายประเทศสร้างหลักสูตรฝึกอบรม AI สำหรับงานเฉพาะทาง เช่น การผลิต, การแพทย์, พลังงาน

    ✅ บางประเทศ (เช่นในเอเชีย) มุ่งเน้นด้านความมั่นคงและสาธารณสุข มากกว่าการพัฒนาทักษะแรงงานโดยตรง

    ✅ ทักษะ AI เริ่มกลายเป็น "ข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขัน" ระหว่างประเทศในอนาคต  
    • ใครเตรียมคนไว้ก่อน = พร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจใหม่ก่อน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/25/the-world-is-preparing-for-the-age-of-ai-in-the-workplace-but-not-at-the-same-pace
    มีงานวิจัยจาก University of Georgia วิเคราะห์แผนยุทธศาสตร์ด้าน AI ของ 50 ประเทศทั่วโลก โดยเน้นเรื่อง “การเตรียมคน” ผ่านนโยบายด้านการศึกษาและอาชีวะ ฝั่งยุโรป (เช่น เยอรมนี สเปน) ดูจะนำหน้าชัดเจน เพราะให้ความสำคัญสูงมากในเรื่อง lifelong learning และการฝึกอบรม AI สำหรับแรงงานทุกช่วงวัย ในขณะที่สหรัฐ, ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศอยู่ในกลุ่ม “ให้ความสำคัญระดับกลาง” คือรู้ว่า AI สำคัญ แต่ยังไม่มีแผนจัดเต็มในระดับชาติเหมือนยุโรป สิ่งที่น่าสนใจคือ มีเพียง “13 จาก 50 ประเทศ” เท่านั้นที่ให้ AI training อยู่ในระดับความสำคัญสูงสุด — และมีเพียงบางประเทศเท่านั้นที่กล้าเริ่มสอน AI ตั้งแต่ชั้นประถมหรืออนุบาลเลย แต่แม้จะพูดถึง AI เป็นเรื่องใหญ่ สิ่งหนึ่งที่กลับถูกมองข้ามคือ “soft skills” แบบมนุษย์ เช่น การสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกับผู้อื่น — ซึ่งนักวิจัยเตือนว่าทักษะเหล่านี้คือสิ่งที่ AI แทนไม่ได้ และจะเป็น “จุดต่างสำคัญของมนุษย์ในที่ทำงานอนาคต” ✅ งานวิจัยสำรวจแผนพัฒนาทักษะ AI ของ 50 ประเทศ พบว่าเพียง 13 ประเทศให้ความสำคัญสูงสุด   • 11 ประเทศในยุโรป + เม็กซิโก + ออสเตรเลีย อยู่ในกลุ่ม “ให้ความสำคัญระดับสูง”   • สหรัฐ, ญี่ปุ่น และอีก 22 ประเทศ จัดอยู่ในกลุ่ม “ให้ความสำคัญระดับกลาง” ✅ เกณฑ์วัดระดับความพร้อม ได้แก่:   • เป้าหมายระดับชาติ, วิธีการดำเนินงาน, ตัวอย่างโครงการ, ตัวชี้วัดความสำเร็จ, เครื่องมือสนับสนุน, และแผนระยะเวลา ✅ ประเทศที่เตรียมพร้อมสูงจะมีแผนบูรณาการตั้งแต่ระดับประถม – มหาวิทยาลัย – ที่ทำงาน   • เยอรมนีสร้างวัฒนธรรมส่งเสริมความสนใจด้าน AI   • สเปนเริ่มสอนพื้นฐาน AI ตั้งแต่ระดับอนุบาล ✅ มากกว่าครึ่งของประเทศมีนโยบายฝึกอบรมพนักงานในองค์กรแบบเฉพาะอุตสาหกรรม   • หลายประเทศสร้างหลักสูตรฝึกอบรม AI สำหรับงานเฉพาะทาง เช่น การผลิต, การแพทย์, พลังงาน ✅ บางประเทศ (เช่นในเอเชีย) มุ่งเน้นด้านความมั่นคงและสาธารณสุข มากกว่าการพัฒนาทักษะแรงงานโดยตรง ✅ ทักษะ AI เริ่มกลายเป็น "ข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขัน" ระหว่างประเทศในอนาคต   • ใครเตรียมคนไว้ก่อน = พร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจใหม่ก่อน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/25/the-world-is-preparing-for-the-age-of-ai-in-the-workplace-but-not-at-the-same-pace
    WWW.THESTAR.COM.MY
    The world is preparing for the age of AI in the workplace, but not at the same pace
    There's no doubt that artificial intelligence will profoundly transform the job market in the coming decades. But how are governments preparing their citizens for this revolution?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าใครเคยทำงานคลังสินค้าหรือดูคลิปใน TikTok จะรู้เลยว่างาน “โหลดของขึ้นรถ” คือสุดยอดของความเหนื่อย — ต้องยกกล่องหนัก ๆ ท่ามกลางความร้อน (ในรถไม่มีแอร์), ท่าทางที่ผิดหลักสรีระ และต้องทำให้เร็วมาก

    ที่ผ่านมาแม้คลังสินค้าจะเริ่มอัตโนมัติแล้ว แต่ขั้นตอนนี้กลับ “ยังต้องใช้แรงงานคน” อยู่เป็นด่านสุดท้าย — จนกระทั่งหุ่นยนต์ยุคใหม่เริ่มฉลาดพอจะรับหน้าที่แทน

    ตอนนี้มี 4 บริษัทที่พาหุ่นยนต์เข้าสนามจริง:
    - Ambi Robotics: มีหุ่นยนต์ AmbiStack ใช้ AI วิเคราะห์ “กล่องที่ไม่รู้จักมาก่อน” แล้วเรียงลงพาเลตแบบอัตโนมัติ โดยคำนึงถึงน้ำหนัก, ความเปราะ, จุดถ่วง — แถมเรียนรู้จากประสบการณ์จริงได้เรื่อย ๆ
    - Boston Dynamics: ส่ง Stretch ลงสนาม มันมีแขนดูดทรงพลัง เก็บกล่องหลากชนิดได้แม้มีรอยขาด แถมมีกล้อง LiDAR ให้มองเห็นรอบตัว และเรียกคนช่วยเมื่อเกิดปัญหา
    - FedEx + Dexterity AI: ทดลอง DexR หุ่นสองแขนที่ใช้ AI คิดผังการวางกล่องแบบ “สร้างกำแพง” ภายในครึ่งวินาที แล้วขยับแขนให้กล่องแน่นสุด ๆ โดยไม่ชนกัน
    - Walmart: ใช้ “FoxBots” รถยกพาเลตอัตโนมัติที่สามารถขนกล่องซ้อนสองชั้นกว่า 60 ชุดต่อชั่วโมง

    แรงงานคนจึงเริ่ม “เปลี่ยนบทบาท” มาเป็นผู้ดูแลหุ่นแทน — คอยตรวจสอบ, แก้ปัญหา และปรับปรุงการทำงาน เป็นสัญญาณว่า…อาจไม่มี “คนยกของ” อีกต่อไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    https://www.techspot.com/news/108425-robots-transforming-warehouse-automation-ending-back-breaking-truck.html
    ถ้าใครเคยทำงานคลังสินค้าหรือดูคลิปใน TikTok จะรู้เลยว่างาน “โหลดของขึ้นรถ” คือสุดยอดของความเหนื่อย — ต้องยกกล่องหนัก ๆ ท่ามกลางความร้อน (ในรถไม่มีแอร์), ท่าทางที่ผิดหลักสรีระ และต้องทำให้เร็วมาก ที่ผ่านมาแม้คลังสินค้าจะเริ่มอัตโนมัติแล้ว แต่ขั้นตอนนี้กลับ “ยังต้องใช้แรงงานคน” อยู่เป็นด่านสุดท้าย — จนกระทั่งหุ่นยนต์ยุคใหม่เริ่มฉลาดพอจะรับหน้าที่แทน ตอนนี้มี 4 บริษัทที่พาหุ่นยนต์เข้าสนามจริง: - Ambi Robotics: มีหุ่นยนต์ AmbiStack ใช้ AI วิเคราะห์ “กล่องที่ไม่รู้จักมาก่อน” แล้วเรียงลงพาเลตแบบอัตโนมัติ โดยคำนึงถึงน้ำหนัก, ความเปราะ, จุดถ่วง — แถมเรียนรู้จากประสบการณ์จริงได้เรื่อย ๆ - Boston Dynamics: ส่ง Stretch ลงสนาม มันมีแขนดูดทรงพลัง เก็บกล่องหลากชนิดได้แม้มีรอยขาด แถมมีกล้อง LiDAR ให้มองเห็นรอบตัว และเรียกคนช่วยเมื่อเกิดปัญหา - FedEx + Dexterity AI: ทดลอง DexR หุ่นสองแขนที่ใช้ AI คิดผังการวางกล่องแบบ “สร้างกำแพง” ภายในครึ่งวินาที แล้วขยับแขนให้กล่องแน่นสุด ๆ โดยไม่ชนกัน - Walmart: ใช้ “FoxBots” รถยกพาเลตอัตโนมัติที่สามารถขนกล่องซ้อนสองชั้นกว่า 60 ชุดต่อชั่วโมง แรงงานคนจึงเริ่ม “เปลี่ยนบทบาท” มาเป็นผู้ดูแลหุ่นแทน — คอยตรวจสอบ, แก้ปัญหา และปรับปรุงการทำงาน เป็นสัญญาณว่า…อาจไม่มี “คนยกของ” อีกต่อไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า https://www.techspot.com/news/108425-robots-transforming-warehouse-automation-ending-back-breaking-truck.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Robots are transforming warehouse automation and ending back-breaking truck loading
    The last stronghold of human labor in warehouses – the grueling job of loading and unloading trucks – is rapidly giving way to a new generation of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟังดูเหมือน Sci-Fi เลยใช่ไหมครับ? X Display คือบริษัทจาก North Carolina ที่ทำเทคโนโลยี MicroLED แต่รอบนี้เขาเอา “แนวคิดจอแสดงผล” มาประยุกต์ใหม่ ไม่ได้ไว้โชว์ภาพให้คนดู แต่กลายเป็นช่องสื่อสารสำหรับ เครื่องคุยกับเครื่อง

    ระบบนี้ประกอบด้วย:
    - ตัวส่งข้อมูล: ใช้ emitters หลายพันตัว ส่งแสงหลายความยาวคลื่นพร้อมกัน → เขียนข้อมูลเป็น “เฟรมของแสง” ต่อเนื่อง
    - ตัวรับข้อมูล: กล้องความเร็วสูงพิเศษ (เหมือน “ตา” ของอีกเครื่อง) จับเฟรมแสง แล้วแปลงกลับเป็นดิจิทัลอีกที

    ผลลัพธ์คือการส่งข้อมูลแบบไร้สายในศูนย์ข้อมูลความเร็วสูง โดย ไม่ต้องใช้สาย fiber เลย และทาง X Display เคลมว่า "ประหยัดพลังงานกว่าทรานซีฟเวอร์ 800G แบบดั้งเดิม 2–3 เท่า"

    เทคโนโลยีนี้ไม่เหมาะกับเกมเมอร์หรืองานกราฟิกทั่วไป — แต่มาเพื่องานใหญ่อย่าง AI data center, supercomputer clusters, optical networking และ ระบบ LiFi (ส่งข้อมูลผ่านแสง)

    https://www.techspot.com/news/108424-x-display-made-ultra-fast-cable-free-display.html
    ฟังดูเหมือน Sci-Fi เลยใช่ไหมครับ? X Display คือบริษัทจาก North Carolina ที่ทำเทคโนโลยี MicroLED แต่รอบนี้เขาเอา “แนวคิดจอแสดงผล” มาประยุกต์ใหม่ ไม่ได้ไว้โชว์ภาพให้คนดู แต่กลายเป็นช่องสื่อสารสำหรับ เครื่องคุยกับเครื่อง ระบบนี้ประกอบด้วย: - ตัวส่งข้อมูล: ใช้ emitters หลายพันตัว ส่งแสงหลายความยาวคลื่นพร้อมกัน → เขียนข้อมูลเป็น “เฟรมของแสง” ต่อเนื่อง - ตัวรับข้อมูล: กล้องความเร็วสูงพิเศษ (เหมือน “ตา” ของอีกเครื่อง) จับเฟรมแสง แล้วแปลงกลับเป็นดิจิทัลอีกที ผลลัพธ์คือการส่งข้อมูลแบบไร้สายในศูนย์ข้อมูลความเร็วสูง โดย ไม่ต้องใช้สาย fiber เลย และทาง X Display เคลมว่า "ประหยัดพลังงานกว่าทรานซีฟเวอร์ 800G แบบดั้งเดิม 2–3 เท่า" เทคโนโลยีนี้ไม่เหมาะกับเกมเมอร์หรืองานกราฟิกทั่วไป — แต่มาเพื่องานใหญ่อย่าง AI data center, supercomputer clusters, optical networking และ ระบบ LiFi (ส่งข้อมูลผ่านแสง) https://www.techspot.com/news/108424-x-display-made-ultra-fast-cable-free-display.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    X Display unveils ultra-fast, cable-free display that turns data into light
    X Display is focused on developing and licensing new intellectual property related to MicroLED and other display technologies. The North Carolina-based developer recently unveiled a novel application...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครที่เคยอยู่เมืองเล็กหรือห่างไกลคงเข้าใจดีว่า “ของใช้หมด” แต่ร้านค้าอยู่ห่างไกล หรือสั่งออนไลน์ต้องรอเป็นสัปดาห์นั้นน่าเบื่อแค่ไหน เช่น น้ำยาล้างจานหมดแต่ของจะมาถึงวันศุกร์หน้า...

    Amazon เลยมองว่า “ความเร็ว = คุณภาพชีวิต” โดยเฉพาะสำหรับชุมชนชนบทที่ห้างร้านไม่ได้อยู่ข้างบ้านเหมือนคนเมือง บริษัทจึงลงทุนกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อขยายเครือข่ายส่งของ จนภายในปี 2026 จะให้บริการแบบเร็วสุดในกว่า 4,000 เมืองและหมู่บ้านเล็กทั่วอเมริกา

    ที่เด็ดคือ Amazon ใช้ AI วิเคราะห์ว่าสินค้าอะไร “ชุมชนนั้นใช้บ่อย” แล้วเอามาสต็อกล่วงหน้าใกล้จุดกระจายสินค้า เพื่อให้ส่งทันภายใน 5 ชั่วโมง (กรณี Prime)

    ที่น่าสนใจก็คือ…ยอดสั่งของในเมืองเล็ก ๆ ที่ได้รับบริการส่งด่วนนี้พุ่งขึ้นทันที โดย 90% ของของที่ถูกสั่งซ้ำบ่อยที่สุด เป็นของใช้ประจำวัน เช่น ทิชชู่ อาหารสัตว์ นี่แสดงว่าความเร็วของการส่ง สร้างพฤติกรรมการซื้อ ใหม่ได้เลย

    https://www.techspot.com/news/108435-amazon-expanding-fast-delivery-tens-millions-customer-rural.html
    ใครที่เคยอยู่เมืองเล็กหรือห่างไกลคงเข้าใจดีว่า “ของใช้หมด” แต่ร้านค้าอยู่ห่างไกล หรือสั่งออนไลน์ต้องรอเป็นสัปดาห์นั้นน่าเบื่อแค่ไหน เช่น น้ำยาล้างจานหมดแต่ของจะมาถึงวันศุกร์หน้า... Amazon เลยมองว่า “ความเร็ว = คุณภาพชีวิต” โดยเฉพาะสำหรับชุมชนชนบทที่ห้างร้านไม่ได้อยู่ข้างบ้านเหมือนคนเมือง บริษัทจึงลงทุนกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อขยายเครือข่ายส่งของ จนภายในปี 2026 จะให้บริการแบบเร็วสุดในกว่า 4,000 เมืองและหมู่บ้านเล็กทั่วอเมริกา ที่เด็ดคือ Amazon ใช้ AI วิเคราะห์ว่าสินค้าอะไร “ชุมชนนั้นใช้บ่อย” แล้วเอามาสต็อกล่วงหน้าใกล้จุดกระจายสินค้า เพื่อให้ส่งทันภายใน 5 ชั่วโมง (กรณี Prime) ที่น่าสนใจก็คือ…ยอดสั่งของในเมืองเล็ก ๆ ที่ได้รับบริการส่งด่วนนี้พุ่งขึ้นทันที โดย 90% ของของที่ถูกสั่งซ้ำบ่อยที่สุด เป็นของใช้ประจำวัน เช่น ทิชชู่ อาหารสัตว์ นี่แสดงว่าความเร็วของการส่ง สร้างพฤติกรรมการซื้อ ใหม่ได้เลย https://www.techspot.com/news/108435-amazon-expanding-fast-delivery-tens-millions-customer-rural.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Amazon says it's expanding same-day and next-day delivery to 4,000 more small cities and towns
    Once the calendar rolls over to 2026, Amazon's speedy delivery options will be available in more than 4,000 smaller cities and towns across the country. The company...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าใครเคยตามข่าวสายการ์ดจอช่วง RTX 4090 จะรู้ว่า “หัวต่อ 12VHPWR” เคยมีปัญหาไฟไหม้ ละลายสายจากการเสียบไม่สุด, สายงอเกินไป หรือใช้หัวแปลงที่ไม่เหมาะสม ซึ่งพอเข้าสู่ยุค RTX 5090 ก็ยังมีคนเจอปัญหานี้อีก!

    Asus เลยโชว์การทดสอบด้วยการเอา RTX 5090 รุ่น BTF 2.5 ที่ใช้หัวเสียบ GC-HPWR บนเมนบอร์ด มาป้อนพลังไฟมากกว่าเดิม 3 เท่า พร้อมวัดอุณหภูมิหัวต่อ เปรียบเทียบกับหัว 16-pin เดิม — และผลลัพธ์ก็คือ…หัวใหม่เย็นกว่า ทนกว่า เสถียรกว่า

    การทดสอบนี้ทำให้เห็นว่า BTF + GC-HPWR อาจจะเป็นคำตอบของอนาคต ที่ไม่ต้องง้อสาย PCIe หนัก ๆ อีกต่อไป

    ✅ Asus ทดสอบ RTX 5090 รุ่น BTF โดยจ่ายไฟสูงสุดถึง 2,600W เพื่อพิสูจน์ความทนของหัวต่อใหม่ GC-HPWR  
    • ทดสอบแบบใช้ GC-HPWR คู่กับ 16-pin พร้อมกัน: แบ่งโหลดฝั่งละ 1,200–1,400W  
    • อุณหภูมิ GC-HPWR อยู่แค่ ~41°C แม้จะป้อนไฟเกิน 1,900W  
    • ฝั่ง 16-pin เดิมอุณหภูมิขึ้นไปถึง ~70°C

    ✅ GC-HPWR คือหัวต่อไฟที่อยู่บนเมนบอร์ด ไม่มีสายต่อออกจากการ์ดจอ  
    • รองรับพลังงานได้มากขึ้น พร้อมลดความเสี่ยงเรื่องสายหัก, เสียบไม่สุด  
    • ออกแบบมาสำหรับ BTF (Back To the Future) platform ของ Asus

    ✅ มาตรฐาน BTF 2.5 ยกระดับจาก 600W (รุ่นก่อน) เป็น 1,000W โดยยังคงอุณหภูมิต่ำ  
    • ขณะจ่าย 600–1,300W อุณหภูมิอยู่แค่ 35–38°C

    ✅ สามารถใช้งานคู่กับ 16-pin เดิมได้ หากต้องการโหลดมากกว่า 1 แหล่ง  
    • Asus ย้ำว่า “เสถียร แม้ใช้ร่วมกัน”

    ✅ การสาธิตนี้เกิดขึ้นในจีน และมีวิดีโอบน Bilibili ที่ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของ GC-HPWR อย่างชัดเจน

    https://www.techspot.com/news/108436-asus-pushes-2600w-rtx-5090-prove-new-cableless.html
    ถ้าใครเคยตามข่าวสายการ์ดจอช่วง RTX 4090 จะรู้ว่า “หัวต่อ 12VHPWR” เคยมีปัญหาไฟไหม้ ละลายสายจากการเสียบไม่สุด, สายงอเกินไป หรือใช้หัวแปลงที่ไม่เหมาะสม ซึ่งพอเข้าสู่ยุค RTX 5090 ก็ยังมีคนเจอปัญหานี้อีก! Asus เลยโชว์การทดสอบด้วยการเอา RTX 5090 รุ่น BTF 2.5 ที่ใช้หัวเสียบ GC-HPWR บนเมนบอร์ด มาป้อนพลังไฟมากกว่าเดิม 3 เท่า พร้อมวัดอุณหภูมิหัวต่อ เปรียบเทียบกับหัว 16-pin เดิม — และผลลัพธ์ก็คือ…หัวใหม่เย็นกว่า ทนกว่า เสถียรกว่า การทดสอบนี้ทำให้เห็นว่า BTF + GC-HPWR อาจจะเป็นคำตอบของอนาคต ที่ไม่ต้องง้อสาย PCIe หนัก ๆ อีกต่อไป ✅ Asus ทดสอบ RTX 5090 รุ่น BTF โดยจ่ายไฟสูงสุดถึง 2,600W เพื่อพิสูจน์ความทนของหัวต่อใหม่ GC-HPWR   • ทดสอบแบบใช้ GC-HPWR คู่กับ 16-pin พร้อมกัน: แบ่งโหลดฝั่งละ 1,200–1,400W   • อุณหภูมิ GC-HPWR อยู่แค่ ~41°C แม้จะป้อนไฟเกิน 1,900W   • ฝั่ง 16-pin เดิมอุณหภูมิขึ้นไปถึง ~70°C ✅ GC-HPWR คือหัวต่อไฟที่อยู่บนเมนบอร์ด ไม่มีสายต่อออกจากการ์ดจอ   • รองรับพลังงานได้มากขึ้น พร้อมลดความเสี่ยงเรื่องสายหัก, เสียบไม่สุด   • ออกแบบมาสำหรับ BTF (Back To the Future) platform ของ Asus ✅ มาตรฐาน BTF 2.5 ยกระดับจาก 600W (รุ่นก่อน) เป็น 1,000W โดยยังคงอุณหภูมิต่ำ   • ขณะจ่าย 600–1,300W อุณหภูมิอยู่แค่ 35–38°C ✅ สามารถใช้งานคู่กับ 16-pin เดิมได้ หากต้องการโหลดมากกว่า 1 แหล่ง   • Asus ย้ำว่า “เสถียร แม้ใช้ร่วมกัน” ✅ การสาธิตนี้เกิดขึ้นในจีน และมีวิดีโอบน Bilibili ที่ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของ GC-HPWR อย่างชัดเจน https://www.techspot.com/news/108436-asus-pushes-2600w-rtx-5090-prove-new-cableless.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Asus pushes 2,600W into RTX 5090 to prove new cableless GPU power connector works
    In a recent Bilibili video, translated by Tom's Hardware, Asus China GM Tony Yu pumped nearly 2 kilowatts into an Nvidia RTX 5090 to showcase the resilience...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทีมนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหมแห่งชาติจีน ได้เปิดตัว โดรนขนาดเล็กเท่ายุง ที่สามารถบินจริงด้วยปีกแบบชีวกลศาสตร์ (bionic) และถูกออกแบบมาเพื่อ “ภารกิจสอดแนม” โดยเฉพาะ 🦟🛰️

    นึกถึงโดรนที่ตัวเล็กขนาดหยิบขึ้นมาหนีบไว้ระหว่างนิ้วได้เลยครับ — เพราะนี่คือผลงานล่าสุดของศูนย์วิจัยกองทัพจีนที่ถูกนำเสนอผ่านช่อง CCTV-7 ของรัฐ จนกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก

    ตัวโดรนมีลักษณะคล้ายแมลงจริง ทั้งรูปร่างและวิธีบิน โดยใช้ ปีกชีวกล ที่ขยับพัดปีกได้เหมือนแมลงมากกว่าใช้ใบพัดเหมือนโดรนทั่วไป มีสองเวอร์ชันที่โชว์ในสื่อ:

    - รุ่นที่มี 2 ปีก: ขนาดเล็กมาก เคลื่อนไหวแบบแมลง
    - รุ่นที่มี 4 ปีก: ควบคุมผ่านสมาร์ตโฟน ใช้งานในระดับสูงกว่า

    ถึงแม้จะไม่มีรายละเอียดสเปกฮาร์ดแวร์ที่แน่ชัด แต่เชื่อว่าตัวโดรนสามารถเก็บข้อมูลภาพ เสียง หรือสัญญาณ และส่งกลับได้ — เหมาะกับภารกิจสอดแนมโดยไม่ให้เป้าหมายรู้ตัว

    น่าสนใจตรงที่ ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลว่าสิ่งนี้ถูกใช้จริงทางทหารหรือยังอยู่ในขั้นวิจัย แต่หลายฝ่ายเชื่อว่า โดรนระดับแมลง (insect-scale UAV) จะเป็นหมากตัวใหม่ในสนามรบอนาคตแน่นอน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/mosquito-sized-drone-is-designed-for-chinese-spy-missions-military-robotics-lab-reveals-incredibly-tiny-bionic-flying-robots
    ทีมนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหมแห่งชาติจีน ได้เปิดตัว โดรนขนาดเล็กเท่ายุง ที่สามารถบินจริงด้วยปีกแบบชีวกลศาสตร์ (bionic) และถูกออกแบบมาเพื่อ “ภารกิจสอดแนม” โดยเฉพาะ 🦟🛰️ นึกถึงโดรนที่ตัวเล็กขนาดหยิบขึ้นมาหนีบไว้ระหว่างนิ้วได้เลยครับ — เพราะนี่คือผลงานล่าสุดของศูนย์วิจัยกองทัพจีนที่ถูกนำเสนอผ่านช่อง CCTV-7 ของรัฐ จนกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ตัวโดรนมีลักษณะคล้ายแมลงจริง ทั้งรูปร่างและวิธีบิน โดยใช้ ปีกชีวกล ที่ขยับพัดปีกได้เหมือนแมลงมากกว่าใช้ใบพัดเหมือนโดรนทั่วไป มีสองเวอร์ชันที่โชว์ในสื่อ: - รุ่นที่มี 2 ปีก: ขนาดเล็กมาก เคลื่อนไหวแบบแมลง - รุ่นที่มี 4 ปีก: ควบคุมผ่านสมาร์ตโฟน ใช้งานในระดับสูงกว่า ถึงแม้จะไม่มีรายละเอียดสเปกฮาร์ดแวร์ที่แน่ชัด แต่เชื่อว่าตัวโดรนสามารถเก็บข้อมูลภาพ เสียง หรือสัญญาณ และส่งกลับได้ — เหมาะกับภารกิจสอดแนมโดยไม่ให้เป้าหมายรู้ตัว น่าสนใจตรงที่ ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลว่าสิ่งนี้ถูกใช้จริงทางทหารหรือยังอยู่ในขั้นวิจัย แต่หลายฝ่ายเชื่อว่า โดรนระดับแมลง (insect-scale UAV) จะเป็นหมากตัวใหม่ในสนามรบอนาคตแน่นอน https://www.tomshardware.com/tech-industry/mosquito-sized-drone-is-designed-for-chinese-spy-missions-military-robotics-lab-reveals-incredibly-tiny-bionic-flying-robots
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนนี้ถ้าใครเคยใส่แว่น AR หรือ VR นาน ๆ จะรู้เลยว่า “มันร้อนแถวขมับมาก!” เพราะมีทั้งชิป AI, กล้อง, เซนเซอร์ และจอความละเอียดสูง ที่รวมกันแล้วใช้พลังงาน 1.5–2 วัตต์ขึ้นไป — ซึ่งฟังดูน้อย แต่เพราะแว่นสัมผัสผิวหน้าโดยตรง แค่ร้อนขึ้น 2–3 องศาก็เริ่มอึดอัดแล้ว

    xMEMS เลยออกแบบ µCooling (อ่านว่า “ไมโครคูลลิ่ง”) ที่สามารถฝังอยู่ในกรอบแว่นได้โดยไม่กินพื้นที่หรือเพิ่มน้ำหนัก จุดเด่นคือ:

    - ไม่ใช้มอเตอร์หรือพัดลมจริง → ไม่มีเสียง ไม่มีแรงสั่น
    - เย็นแบบพุ่งตรงเฉพาะจุด → ลดอุณหภูมิพื้นผิวแว่นที่แตะผิวหน้า
    - ขนาดจิ๋วแค่ 9.3 x 7.6 x 1.1 มม. → ซ่อนได้แนบเนียนสุด ๆ

    จากการทดสอบจริงบนแว่น 1.5W พบว่าสามารถลดความร้อนได้สูงถึง 40%, ลด thermal resistance ลง 75% และเพิ่ม margin ได้อีก 0.6W — แปลว่าผู้ผลิตแว่นสามารถใส่ชิปที่แรงขึ้นโดยยังเย็นอยู่ได้

    ตัว µCooling นี้เคยถูกใช้งานแล้วกับสมาร์ตโฟน, SSD และ Optical Transceiver และตอนนี้กำลังจะใช้ใน XR Smart Glasses รุ่นใหม่ โดยจะเริ่มผลิตจริงในต้นปี 2026

    ✅ xMEMS เปิดตัว µCooling สำหรับแว่น XR เป็นระบบทำความเย็น solid-state ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว  
    • ทำงานเงียบ ไม่มีแรงสั่นสะเทือน และไม่ต้องบำรุงรักษา

    ✅ แก้ปัญหาความร้อนที่เกิดจากชิป AI, กล้อง, และ AR display ในแว่นที่มี TDP 1.5–2W  
    • ความร้อนสะสมบริเวณที่สัมผัสผิวหน้าทำให้เกิดความไม่สบายเมื่อใส่นาน

    ✅ µCooling ให้ผลดังนี้เมื่อใส่ในแว่น XR ที่ใช้ 1.5W:
    • ลดอุณหภูมิระบบได้สูงสุด 40%  
    • ลด thermal resistance ได้ 75%  
    • เพิ่ม thermal margin ได้อีก 0.6W  
    • แปลว่าระบบทำงานได้นานขึ้น ร้อนน้อยลง และใช้ชิปที่แรงขึ้นได้

    ✅ มีขนาดเล็กมาก: 9.3 x 7.6 x 1.13 มม. → ฝังในกรอบแว่นได้โดยไม่กระทบดีไซน์  
    • เหมาะกับการสวมใส่ทั้งวัน

    ✅ xMEMS วางแผนเริ่มผลิตเพื่อแว่น XR แบบ volume ในช่วง Q1 ปี 2026

    https://www.techpowerup.com/338299/xmems-announces-ucooling-fan-on-a-chip-solution-for-xr-smart-glasses
    ตอนนี้ถ้าใครเคยใส่แว่น AR หรือ VR นาน ๆ จะรู้เลยว่า “มันร้อนแถวขมับมาก!” เพราะมีทั้งชิป AI, กล้อง, เซนเซอร์ และจอความละเอียดสูง ที่รวมกันแล้วใช้พลังงาน 1.5–2 วัตต์ขึ้นไป — ซึ่งฟังดูน้อย แต่เพราะแว่นสัมผัสผิวหน้าโดยตรง แค่ร้อนขึ้น 2–3 องศาก็เริ่มอึดอัดแล้ว xMEMS เลยออกแบบ µCooling (อ่านว่า “ไมโครคูลลิ่ง”) ที่สามารถฝังอยู่ในกรอบแว่นได้โดยไม่กินพื้นที่หรือเพิ่มน้ำหนัก จุดเด่นคือ: - ไม่ใช้มอเตอร์หรือพัดลมจริง → ไม่มีเสียง ไม่มีแรงสั่น - เย็นแบบพุ่งตรงเฉพาะจุด → ลดอุณหภูมิพื้นผิวแว่นที่แตะผิวหน้า - ขนาดจิ๋วแค่ 9.3 x 7.6 x 1.1 มม. → ซ่อนได้แนบเนียนสุด ๆ จากการทดสอบจริงบนแว่น 1.5W พบว่าสามารถลดความร้อนได้สูงถึง 40%, ลด thermal resistance ลง 75% และเพิ่ม margin ได้อีก 0.6W — แปลว่าผู้ผลิตแว่นสามารถใส่ชิปที่แรงขึ้นโดยยังเย็นอยู่ได้ ตัว µCooling นี้เคยถูกใช้งานแล้วกับสมาร์ตโฟน, SSD และ Optical Transceiver และตอนนี้กำลังจะใช้ใน XR Smart Glasses รุ่นใหม่ โดยจะเริ่มผลิตจริงในต้นปี 2026 ✅ xMEMS เปิดตัว µCooling สำหรับแว่น XR เป็นระบบทำความเย็น solid-state ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว   • ทำงานเงียบ ไม่มีแรงสั่นสะเทือน และไม่ต้องบำรุงรักษา ✅ แก้ปัญหาความร้อนที่เกิดจากชิป AI, กล้อง, และ AR display ในแว่นที่มี TDP 1.5–2W   • ความร้อนสะสมบริเวณที่สัมผัสผิวหน้าทำให้เกิดความไม่สบายเมื่อใส่นาน ✅ µCooling ให้ผลดังนี้เมื่อใส่ในแว่น XR ที่ใช้ 1.5W: • ลดอุณหภูมิระบบได้สูงสุด 40%   • ลด thermal resistance ได้ 75%   • เพิ่ม thermal margin ได้อีก 0.6W   • แปลว่าระบบทำงานได้นานขึ้น ร้อนน้อยลง และใช้ชิปที่แรงขึ้นได้ ✅ มีขนาดเล็กมาก: 9.3 x 7.6 x 1.13 มม. → ฝังในกรอบแว่นได้โดยไม่กระทบดีไซน์   • เหมาะกับการสวมใส่ทั้งวัน ✅ xMEMS วางแผนเริ่มผลิตเพื่อแว่น XR แบบ volume ในช่วง Q1 ปี 2026 https://www.techpowerup.com/338299/xmems-announces-ucooling-fan-on-a-chip-solution-for-xr-smart-glasses
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    xMEMS Announces µCooling Fan-on-a-Chip Solution for XR Smart Glasses
    xMEMS Labs, Inc., inventor of the world's first monolithic silicon MEMS air pump, today announced the expansion of its revolutionary µCooling fan-on-a-chip platform into XR smart glasses, providing the industry's first in-frame active cooling solution for AI-powered wearable displays. As smart gl...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครที่เคยทำงานกับระบบเซิร์ฟเวอร์หรือ Data Center จะรู้ว่าหนึ่งในปัญหาคอขวดใหญ่สุดคือ “หน่วยความจำไม่พอ” หรือไม่สามารถขยายได้ตามปริมาณข้อมูลที่โตแบบเอ็กซ์โปเนนเชียล — โดยเฉพาะในยุคที่งาน AI ต้องใช้โมเดลใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และต้องการแรมมากกว่าก่อนหลายเท่า

    Primemas เลยสร้าง “Hublet” — หน่วยย่อยที่ทำหน้าที่เหมือนด่านแปลงสัญญาณและจัดการ DRAM ที่เชื่อมต่อด้วยมาตรฐาน CXL 3.0 ซึ่งทำให้สามารถนำไปประกอบเป็นระบบความจำแบบยืดหยุ่นได้หลายขนาด เช่น:

    - 1x1 Hublet: รองรับ DRAM ได้ถึง 512 GB ในฟอร์มแฟกเตอร์เล็ก E3.S
    - 2x2 Hublet: รองรับ Add-in card แบบ PCIe ที่ใส่ได้ถึง 2 TB
    - 4x4 Hublet: ประกอบเป็น rack memory appliance ขนาด 1U ได้ถึง 8 TB

    ที่น่าสนใจคือ Primemas ทำงานร่วมกับ Micron ในโปรแกรม CXL ASIC Validation Lab (AVL) เพื่อทดสอบความเข้ากันได้กับแรมแบบ 128 GB RDIMM รุ่นล่าสุด ซึ่งจะช่วยเร่งให้เทคโนโลยีนี้นำไปใช้ได้จริงเร็วขึ้น

    https://www.techpowerup.com/338302/primemas-announces-availability-of-customer-samples-of-its-cxl-3-0-soc-memory-controller
    ใครที่เคยทำงานกับระบบเซิร์ฟเวอร์หรือ Data Center จะรู้ว่าหนึ่งในปัญหาคอขวดใหญ่สุดคือ “หน่วยความจำไม่พอ” หรือไม่สามารถขยายได้ตามปริมาณข้อมูลที่โตแบบเอ็กซ์โปเนนเชียล — โดยเฉพาะในยุคที่งาน AI ต้องใช้โมเดลใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และต้องการแรมมากกว่าก่อนหลายเท่า Primemas เลยสร้าง “Hublet” — หน่วยย่อยที่ทำหน้าที่เหมือนด่านแปลงสัญญาณและจัดการ DRAM ที่เชื่อมต่อด้วยมาตรฐาน CXL 3.0 ซึ่งทำให้สามารถนำไปประกอบเป็นระบบความจำแบบยืดหยุ่นได้หลายขนาด เช่น: - 1x1 Hublet: รองรับ DRAM ได้ถึง 512 GB ในฟอร์มแฟกเตอร์เล็ก E3.S - 2x2 Hublet: รองรับ Add-in card แบบ PCIe ที่ใส่ได้ถึง 2 TB - 4x4 Hublet: ประกอบเป็น rack memory appliance ขนาด 1U ได้ถึง 8 TB ที่น่าสนใจคือ Primemas ทำงานร่วมกับ Micron ในโปรแกรม CXL ASIC Validation Lab (AVL) เพื่อทดสอบความเข้ากันได้กับแรมแบบ 128 GB RDIMM รุ่นล่าสุด ซึ่งจะช่วยเร่งให้เทคโนโลยีนี้นำไปใช้ได้จริงเร็วขึ้น https://www.techpowerup.com/338302/primemas-announces-availability-of-customer-samples-of-its-cxl-3-0-soc-memory-controller
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Primemas Announces Availability of Customer Samples of Its CXL 3.0 SoC Memory Controller
    Primemas Inc., a fabless semiconductor company specializing in chiplet-based SoC solutions through its Hublet architecture, today announced the availability of customer samples of the world's first Compute Express Link (CXL) memory 3.0 controller. Primemas has been delivering engineering samples and...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากเดิมการรับ ESU ต้องผ่านฝ่าย IT องค์กรหรือผู้ให้บริการ แต่ตอนนี้ Microsoft ใจดีเปิดช่องให้ “คนทั่วไป” ก็สมัครใช้งานได้ง่าย ๆ เลยครับ — แค่ใช้เครื่องมือบน Windows 10 ที่เตรียมไว้ให้ แล้วเลือกว่าจะเข้าร่วม ESU แบบไหน:

    - ใช้ Windows Backup ผูกบัญชี Microsoft
    - แลก 1,000 คะแนน Microsoft Rewards
    - หรือจ่าย ครั้งเดียว $30 เพื่อครอบคลุม 1 ปี

    ระบบนี้จะทำให้คอมพิวเตอร์ของเรายังได้รับอัปเดตความปลอดภัยต่อไปตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2025 ถึง 13 ตุลาคม 2026 แม้ Windows 10 จะหมดซัพพอร์ตแล้วก็ตาม

    แต่ Microsoft ย้ำว่านี่เป็น “ทางเลือกชั่วคราว” เพื่อให้ผู้ใช้มีเวลาหาทางย้ายไป Windows 11 ซึ่งปลอดภัยและมีฟีเจอร์ใหม่ดีกว่า

    https://www.techradar.com/computing/windows/windows-10-users-who-dont-want-to-upgrade-to-windows-11-get-new-lifeline-from-microsoft
    จากเดิมการรับ ESU ต้องผ่านฝ่าย IT องค์กรหรือผู้ให้บริการ แต่ตอนนี้ Microsoft ใจดีเปิดช่องให้ “คนทั่วไป” ก็สมัครใช้งานได้ง่าย ๆ เลยครับ — แค่ใช้เครื่องมือบน Windows 10 ที่เตรียมไว้ให้ แล้วเลือกว่าจะเข้าร่วม ESU แบบไหน: - ใช้ Windows Backup ผูกบัญชี Microsoft - แลก 1,000 คะแนน Microsoft Rewards - หรือจ่าย ครั้งเดียว $30 เพื่อครอบคลุม 1 ปี ระบบนี้จะทำให้คอมพิวเตอร์ของเรายังได้รับอัปเดตความปลอดภัยต่อไปตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2025 ถึง 13 ตุลาคม 2026 แม้ Windows 10 จะหมดซัพพอร์ตแล้วก็ตาม แต่ Microsoft ย้ำว่านี่เป็น “ทางเลือกชั่วคราว” เพื่อให้ผู้ใช้มีเวลาหาทางย้ายไป Windows 11 ซึ่งปลอดภัยและมีฟีเจอร์ใหม่ดีกว่า https://www.techradar.com/computing/windows/windows-10-users-who-dont-want-to-upgrade-to-windows-11-get-new-lifeline-from-microsoft
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • มัลแวร์ตัวนี้แอบแนบมากับแอปที่ดูเหมือนปกติ — เช่น แอปส่งข้อความ หรือแอปเทรดคริปโต — แล้วพอเรากดอนุญาตให้เข้าถึงรูปภาพ มันจะ “แอบเปิดกล้องหลัง” ใช้ AI อ่านตัวอักษรในภาพ (OCR) โดยเฉพาะภาพที่คนชอบแคปหน้าจอ “รหัสกู้คืน (recovery phrase)” ของกระเป๋าเงินคริปโตไว้ตอนสมัครใช้งานครั้งแรก

    ยิ่งไปกว่านั้น มันยัง เฝ้าดูภาพใหม่ ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในแกลเลอรีอยู่ตลอด หากเราเผลอแคปรหัสคริปโตใหม่ ๆ ทีหลัง หรือมีภาพเอกสารสำคัญ ก็อาจถูกส่งออกโดยที่เราไม่รู้เลย

    นักวิจัยจาก Kaspersky ระบุว่า มัลแวร์นี้ถูกเผยแพร่ในสโตร์ตั้งแต่ต้นปี 2024 และแม้ปัจจุบันจะถูกลบออกแล้ว แต่ก็ยังมีเวอร์ชันที่แพร่ต่อผ่านเว็บนอกหรือแอป sideload อยู่

    ✅ มัลแวร์ SparkKitty ใช้ OCR วิเคราะห์ภาพในเครื่องเพื่อขโมยรหัสคริปโตที่เป็น recovery phrase  
    • โดยเฉพาะภาพที่ผู้ใช้มักแคปเก็บไว้ตอนสมัครกระเป๋าเงินดิจิทัล

    ✅ พบแพร่กระจายทั้งใน Google Play และ App Store ตั้งแต่ต้นปี 2024  
    • แอปที่ติดมัลแวร์ชื่อ “SOEX” มียอดดาวน์โหลดเกิน 10,000 ครั้ง

    ✅ หลังติดตั้ง แอปจะขอสิทธิ์เข้าถึงรูปภาพ แล้วสแกนหาภาพที่มีรหัสกระเป๋าคริปโต  
    • หากพบ จะส่งข้อมูลกลับไปให้แฮกเกอร์แบบลับ ๆ

    ✅ มัลแวร์สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในแกลเลอรีได้  
    • เช่น มีรูปใหม่เพิ่มเข้ามา หรือมีการลบภาพเดิม

    ✅ เป็นมัลแวร์ข้ามแพลตฟอร์มรุ่นแรกที่ใช้งาน OCR บนมือถือเพื่อขโมยข้อมูลจากภาพ

    ✅ Kaspersky เตือนผู้ใช้ให้สังเกตแอปที่ขอ permission เกินความจำเป็น โดยเฉพาะสิทธิ์การดู-แก้ไขภาพ หรือเพิ่ม certificate

    ✅ แนะนำให้เก็บ recovery phrase ไว้ใน encrypted vault เช่น password manager ที่น่าเชื่อถือ แทนการแคปภาพ

    https://www.techradar.com/pro/security/this-dangerous-new-malware-is-hitting-ios-and-android-phones-alike-and-its-even-stealing-photos-and-crypto
    มัลแวร์ตัวนี้แอบแนบมากับแอปที่ดูเหมือนปกติ — เช่น แอปส่งข้อความ หรือแอปเทรดคริปโต — แล้วพอเรากดอนุญาตให้เข้าถึงรูปภาพ มันจะ “แอบเปิดกล้องหลัง” ใช้ AI อ่านตัวอักษรในภาพ (OCR) โดยเฉพาะภาพที่คนชอบแคปหน้าจอ “รหัสกู้คืน (recovery phrase)” ของกระเป๋าเงินคริปโตไว้ตอนสมัครใช้งานครั้งแรก ยิ่งไปกว่านั้น มันยัง เฝ้าดูภาพใหม่ ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในแกลเลอรีอยู่ตลอด หากเราเผลอแคปรหัสคริปโตใหม่ ๆ ทีหลัง หรือมีภาพเอกสารสำคัญ ก็อาจถูกส่งออกโดยที่เราไม่รู้เลย นักวิจัยจาก Kaspersky ระบุว่า มัลแวร์นี้ถูกเผยแพร่ในสโตร์ตั้งแต่ต้นปี 2024 และแม้ปัจจุบันจะถูกลบออกแล้ว แต่ก็ยังมีเวอร์ชันที่แพร่ต่อผ่านเว็บนอกหรือแอป sideload อยู่ ✅ มัลแวร์ SparkKitty ใช้ OCR วิเคราะห์ภาพในเครื่องเพื่อขโมยรหัสคริปโตที่เป็น recovery phrase   • โดยเฉพาะภาพที่ผู้ใช้มักแคปเก็บไว้ตอนสมัครกระเป๋าเงินดิจิทัล ✅ พบแพร่กระจายทั้งใน Google Play และ App Store ตั้งแต่ต้นปี 2024   • แอปที่ติดมัลแวร์ชื่อ “SOEX” มียอดดาวน์โหลดเกิน 10,000 ครั้ง ✅ หลังติดตั้ง แอปจะขอสิทธิ์เข้าถึงรูปภาพ แล้วสแกนหาภาพที่มีรหัสกระเป๋าคริปโต   • หากพบ จะส่งข้อมูลกลับไปให้แฮกเกอร์แบบลับ ๆ ✅ มัลแวร์สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในแกลเลอรีได้   • เช่น มีรูปใหม่เพิ่มเข้ามา หรือมีการลบภาพเดิม ✅ เป็นมัลแวร์ข้ามแพลตฟอร์มรุ่นแรกที่ใช้งาน OCR บนมือถือเพื่อขโมยข้อมูลจากภาพ ✅ Kaspersky เตือนผู้ใช้ให้สังเกตแอปที่ขอ permission เกินความจำเป็น โดยเฉพาะสิทธิ์การดู-แก้ไขภาพ หรือเพิ่ม certificate ✅ แนะนำให้เก็บ recovery phrase ไว้ใน encrypted vault เช่น password manager ที่น่าเชื่อถือ แทนการแคปภาพ https://www.techradar.com/pro/security/this-dangerous-new-malware-is-hitting-ios-and-android-phones-alike-and-its-even-stealing-photos-and-crypto
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายคนอาจคิดว่า Starlink ของ Elon Musk คือสุดยอดแล้วในเรื่องอินเทอร์เน็ตดาวเทียม แต่ทีมวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์จีนและมหาวิทยาลัยการสื่อสารปักกิ่งเพิ่งโชว์ว่า เขาสามารถส่งข้อมูลที่ความเร็ว 1Gbps จากดาวเทียมที่โคจรอยู่ไกลกว่ากันถึง 67 เท่า ได้สำเร็จ แถมใช้เลเซอร์แค่ “2 วัตต์” ซึ่งเบามาก — เปรียบเทียบได้กับหลอดไฟกลางคืนเลยทีเดียว

    เคล็ดลับอยู่ที่การผสมสองเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน:
    - Adaptive Optics (AO): ช่วยแก้ปัญาแสงเลเซอร์โดนรบกวนจากชั้นบรรยากาศ
    - Mode Diversity Reception (MDR): เลือกสัญญาณจากช่องที่ดีที่สุด (จาก 8 ช่อง) ในเวลาเรียลไทม์

    ผลที่ได้ไม่ใช่แค่ความเร็ว แต่ยังมี “ความนิ่ง” ที่ดีกว่าระบบเดิม 20% และมีอัตราการส่งข้อมูลผิด (error rate) ต่ำมาก

    ✅ ทีมวิจัยจีนประสบความสำเร็จในการส่งข้อมูล 1Gbps จากดาวเทียม geostationary ที่สูง 22,807 ไมล์  
    • เปรียบเทียบกับ Starlink ที่โคจรแค่ ~341 ไมล์  
    • เป็นระยะทางไกลกว่าเกือบ 70 เท่า

    ✅ ใช้เลเซอร์กำลังเพียง 2 วัตต์ ในการส่งข้อมูลลงมายังโลก  
    ให้ความเร็วใกล้เคียง fiber optics  
    • คิดเป็นพลังงานต่ำมากเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ระดับเดียวกัน

    ✅ ใช้เทคนิค AO + MDR เพื่อแก้ปัญหาแสงโดนรบกวนในชั้นบรรยากาศ  
    • AO ช่วยปรับรูปร่างแสงเลเซอร์ให้คม  
    • MDR เลือก 3 ใน 8 ช่องที่ดีที่สุด เพื่อลด error rate

    ✅ อัตราความสำเร็จของสัญญาณเพิ่มจาก 72% → 91.1%  
    • ทำให้สัญญาณนิ่ง ใช้จริงได้ทั้งดูวิดีโอ, ส่งไฟล์, และใช้งานในสภาพแวดล้อมรุนแรง

    ✅ ระบบนี้ทดลองที่หอดูดาว Lijiang ด้วยกล้องโทรทรรศน์ที่มี AO แบบกระจกจิ๋วนับร้อย

    ✅ ดาวเทียมนี้ยังเหมาะกับการสื่อสารในพื้นที่ห่างไกล, ภารกิจในอวกาศ, หรือแม้กระทั่งสื่อสารกับสถานีอวกาศ (ISS)

    https://www.techradar.com/computing/wi-fi-broadband/forget-starlink-this-chinese-satellite-internet-tech-is-capable-of-1gbps-speeds-that-are-five-times-faster
    หลายคนอาจคิดว่า Starlink ของ Elon Musk คือสุดยอดแล้วในเรื่องอินเทอร์เน็ตดาวเทียม แต่ทีมวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์จีนและมหาวิทยาลัยการสื่อสารปักกิ่งเพิ่งโชว์ว่า เขาสามารถส่งข้อมูลที่ความเร็ว 1Gbps จากดาวเทียมที่โคจรอยู่ไกลกว่ากันถึง 67 เท่า ได้สำเร็จ แถมใช้เลเซอร์แค่ “2 วัตต์” ซึ่งเบามาก — เปรียบเทียบได้กับหลอดไฟกลางคืนเลยทีเดียว เคล็ดลับอยู่ที่การผสมสองเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน: - Adaptive Optics (AO): ช่วยแก้ปัญาแสงเลเซอร์โดนรบกวนจากชั้นบรรยากาศ - Mode Diversity Reception (MDR): เลือกสัญญาณจากช่องที่ดีที่สุด (จาก 8 ช่อง) ในเวลาเรียลไทม์ ผลที่ได้ไม่ใช่แค่ความเร็ว แต่ยังมี “ความนิ่ง” ที่ดีกว่าระบบเดิม 20% และมีอัตราการส่งข้อมูลผิด (error rate) ต่ำมาก ✅ ทีมวิจัยจีนประสบความสำเร็จในการส่งข้อมูล 1Gbps จากดาวเทียม geostationary ที่สูง 22,807 ไมล์   • เปรียบเทียบกับ Starlink ที่โคจรแค่ ~341 ไมล์   • เป็นระยะทางไกลกว่าเกือบ 70 เท่า ✅ ใช้เลเซอร์กำลังเพียง 2 วัตต์ ในการส่งข้อมูลลงมายังโลก   ให้ความเร็วใกล้เคียง fiber optics   • คิดเป็นพลังงานต่ำมากเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ระดับเดียวกัน ✅ ใช้เทคนิค AO + MDR เพื่อแก้ปัญหาแสงโดนรบกวนในชั้นบรรยากาศ   • AO ช่วยปรับรูปร่างแสงเลเซอร์ให้คม   • MDR เลือก 3 ใน 8 ช่องที่ดีที่สุด เพื่อลด error rate ✅ อัตราความสำเร็จของสัญญาณเพิ่มจาก 72% → 91.1%   • ทำให้สัญญาณนิ่ง ใช้จริงได้ทั้งดูวิดีโอ, ส่งไฟล์, และใช้งานในสภาพแวดล้อมรุนแรง ✅ ระบบนี้ทดลองที่หอดูดาว Lijiang ด้วยกล้องโทรทรรศน์ที่มี AO แบบกระจกจิ๋วนับร้อย ✅ ดาวเทียมนี้ยังเหมาะกับการสื่อสารในพื้นที่ห่างไกล, ภารกิจในอวกาศ, หรือแม้กระทั่งสื่อสารกับสถานีอวกาศ (ISS) https://www.techradar.com/computing/wi-fi-broadband/forget-starlink-this-chinese-satellite-internet-tech-is-capable-of-1gbps-speeds-that-are-five-times-faster
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI ถูกพูดถึงเสมอว่า “ช่วยให้เรามีเวลาเพิ่มขึ้น” เช่น ช่วยจัดการงานบ้าน, จ่ายบิล, วางแผนการเดินทาง หรือแม้แต่ช่วยสรุปรายงานต่าง ๆ — แต่คำถามคือ...ใครล่ะที่เข้าถึง AI แบบนั้นได้จริง?

    งานวิจัยจาก Lloyds Bank ในสหราชอาณาจักรพบว่า คนที่มีรายได้มากกว่า £100,000 ส่วนใหญ่ใช้งาน AI ผู้ช่วย, รถไร้คนขับ และอุปกรณ์อัจฉริยะเพื่อประหยัดเวลาจริง — และกว่าครึ่งบอกว่าพวกเขาใช้ AI “แทบทุกวัน” เพื่อเคลียร์งานน่าเบื่อ

    ในขณะที่คนทั่วไปแม้จะเปิดรับเทคโนโลยี แต่ก็มักติดปัญหาเรื่องราคาและทักษะดิจิทัล เช่น ใช้ banking app ได้ แต่ยังไม่คุ้นเคยกับ AI ในรูปแบบซับซ้อน หรือไม่มีอุปกรณ์ที่เข้ากันได้

    คำถามคือ…AI ที่สร้าง “เวลาเพิ่ม” นั้น ทำให้ทุกคนว่างขึ้นเท่ากันไหม หรือแค่ทำให้ “คนที่รวยอยู่แล้ว รวยเวลามากขึ้นอีก”?

    ✅ AI ช่วยประหยัดเวลาได้สูงสุดถึง 110 นาทีต่อวัน (ประมาณ 13–14 ชั่วโมงต่อสัปดาห์)  
    • โดยเฉพาะจากการจัดการงานบ้าน, เดินทาง, การเงิน, หรือกิจกรรมซ้ำซาก

    ✅ ผู้มีรายได้สูงกว่า £100,000 มีแนวโน้มใช้ AI มากกว่า  
    • เช่น ผู้ช่วย AI, รถอัตโนมัติ, โดรน, และ smart home devices  
    • 99% ของกลุ่มนี้เห็นว่า “เวลาว่างมีค่ามากที่สุด”

    ✅ 47% ของคนทั่วไปชี้ว่างานบ้านคือสิ่งกินเวลามากที่สุด  
    • รองลงมาคือการจัดการเรื่องการเงินส่วนตัว (31%)

    ✅ แอปจัดการการเงิน เช่น แอปธนาคาร เป็น AI ที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายที่สุด  
    • 48% ของผู้ใหญ่ใน UK ใช้อยู่แล้ว

    ✅ เทคโนโลยีที่ใช้ AI เพื่อประหยัดเวลายังต้องการทั้งเงินและทักษะใช้งาน

    https://www.techradar.com/pro/bank-says-people-can-get-almost-14-hours-of-free-time-every-week-thanks-to-ai-but-you-need-to-be-rich
    AI ถูกพูดถึงเสมอว่า “ช่วยให้เรามีเวลาเพิ่มขึ้น” เช่น ช่วยจัดการงานบ้าน, จ่ายบิล, วางแผนการเดินทาง หรือแม้แต่ช่วยสรุปรายงานต่าง ๆ — แต่คำถามคือ...ใครล่ะที่เข้าถึง AI แบบนั้นได้จริง? งานวิจัยจาก Lloyds Bank ในสหราชอาณาจักรพบว่า คนที่มีรายได้มากกว่า £100,000 ส่วนใหญ่ใช้งาน AI ผู้ช่วย, รถไร้คนขับ และอุปกรณ์อัจฉริยะเพื่อประหยัดเวลาจริง — และกว่าครึ่งบอกว่าพวกเขาใช้ AI “แทบทุกวัน” เพื่อเคลียร์งานน่าเบื่อ ในขณะที่คนทั่วไปแม้จะเปิดรับเทคโนโลยี แต่ก็มักติดปัญหาเรื่องราคาและทักษะดิจิทัล เช่น ใช้ banking app ได้ แต่ยังไม่คุ้นเคยกับ AI ในรูปแบบซับซ้อน หรือไม่มีอุปกรณ์ที่เข้ากันได้ คำถามคือ…AI ที่สร้าง “เวลาเพิ่ม” นั้น ทำให้ทุกคนว่างขึ้นเท่ากันไหม หรือแค่ทำให้ “คนที่รวยอยู่แล้ว รวยเวลามากขึ้นอีก”? ✅ AI ช่วยประหยัดเวลาได้สูงสุดถึง 110 นาทีต่อวัน (ประมาณ 13–14 ชั่วโมงต่อสัปดาห์)   • โดยเฉพาะจากการจัดการงานบ้าน, เดินทาง, การเงิน, หรือกิจกรรมซ้ำซาก ✅ ผู้มีรายได้สูงกว่า £100,000 มีแนวโน้มใช้ AI มากกว่า   • เช่น ผู้ช่วย AI, รถอัตโนมัติ, โดรน, และ smart home devices   • 99% ของกลุ่มนี้เห็นว่า “เวลาว่างมีค่ามากที่สุด” ✅ 47% ของคนทั่วไปชี้ว่างานบ้านคือสิ่งกินเวลามากที่สุด   • รองลงมาคือการจัดการเรื่องการเงินส่วนตัว (31%) ✅ แอปจัดการการเงิน เช่น แอปธนาคาร เป็น AI ที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายที่สุด   • 48% ของผู้ใหญ่ใน UK ใช้อยู่แล้ว ✅ เทคโนโลยีที่ใช้ AI เพื่อประหยัดเวลายังต้องการทั้งเงินและทักษะใช้งาน https://www.techradar.com/pro/bank-says-people-can-get-almost-14-hours-of-free-time-every-week-thanks-to-ai-but-you-need-to-be-rich
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปี 2026 ที่จะถึงนี้ Pixel 11 จะไม่ใช่แค่การอัปเกรดกล้องหรือดีไซน์เท่านั้น แต่ชิป Tensor G6 ที่อยู่ในเครื่องนั้นกำลังจะกลายเป็น “หัวใจใหม่” ที่แรงกว่าเดิมแบบคนละระดับ เพราะ Google ตัดสินใจเลือกใช้ TSMC 2nm ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเล็กที่สุดในอุตสาหกรรม ณ ตอนนี้

    เดิมที Tensor G5 ของ Pixel 10 ยังใช้ 3nm (N3E) ก็ว่าแรงแล้ว แต่นี่กระโดดข้าม N3P ไปเลย! แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่เร็ว — แต่น่าจะช่วยเรื่องประหยัดพลังงาน, ลดความร้อน และเปิดทางให้ใส่ฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ ได้แบบจัดเต็ม

    แหล่งข่าวยังบอกว่า Google ยอมลงทุนสูง แม้จะผลิตมือถือได้น้อยกว่าคู่แข่งอย่าง Apple แต่ก็อยากเป็น “ผู้นำด้านนวัตกรรม AI บนมือถือ” และเลือกเทคโนโลยีที่ดีที่สุดแทนการประหยัดต้นทุน

    ✅ Tensor G6 จะถูกผลิตบนเทคโนโลยี 2nm ของ TSMC สำหรับ Pixel 11 series (ปี 2026)  
    • ข้าม TSMC N3P (3nm รุ่น 3) ไปใช้ 2nm ทันที  
    • ถือเป็นชิป smartphone กลุ่มแรก ๆ ที่ใช้ 2nm

    ✅ Google เปลี่ยนจาก Samsung มาใช้ TSMC ตั้งแต่ Tensor G5 (Pixel 10)  
    • หลังพบปัญหาคุณภาพกับการผลิตก่อนหน้า  
    • มีการเจรจากับ TSMC เพื่อสัญญาระยะยาว 5 ปี

    ✅ ข้อดีของ TSMC 2nm (เทียบกับ 3nm):  
    • ประหยัดพลังงานขึ้น ~25–30%  
    • เพิ่มความเร็วประมวลผล  
    • รองรับการทำงาน AI บนเครื่องแบบหนัก ๆ

    ✅ ใช้เทคโนโลยี GAAFET (Gate-All-Around) เพื่อย่อทรานซิสเตอร์ให้เล็กลงอีก  
    • เทียบเท่าเทคโนโลยีใน Apple A20 หรือ Snapdragon 8 Gen 5 รุ่นอนาคต

    https://wccftech.com/tensor-g6-found-in-the-pixel-11-series-to-be-mass-produced-on-tsmc-2nm-process/
    ปี 2026 ที่จะถึงนี้ Pixel 11 จะไม่ใช่แค่การอัปเกรดกล้องหรือดีไซน์เท่านั้น แต่ชิป Tensor G6 ที่อยู่ในเครื่องนั้นกำลังจะกลายเป็น “หัวใจใหม่” ที่แรงกว่าเดิมแบบคนละระดับ เพราะ Google ตัดสินใจเลือกใช้ TSMC 2nm ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเล็กที่สุดในอุตสาหกรรม ณ ตอนนี้ เดิมที Tensor G5 ของ Pixel 10 ยังใช้ 3nm (N3E) ก็ว่าแรงแล้ว แต่นี่กระโดดข้าม N3P ไปเลย! แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่เร็ว — แต่น่าจะช่วยเรื่องประหยัดพลังงาน, ลดความร้อน และเปิดทางให้ใส่ฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ ได้แบบจัดเต็ม แหล่งข่าวยังบอกว่า Google ยอมลงทุนสูง แม้จะผลิตมือถือได้น้อยกว่าคู่แข่งอย่าง Apple แต่ก็อยากเป็น “ผู้นำด้านนวัตกรรม AI บนมือถือ” และเลือกเทคโนโลยีที่ดีที่สุดแทนการประหยัดต้นทุน ✅ Tensor G6 จะถูกผลิตบนเทคโนโลยี 2nm ของ TSMC สำหรับ Pixel 11 series (ปี 2026)   • ข้าม TSMC N3P (3nm รุ่น 3) ไปใช้ 2nm ทันที   • ถือเป็นชิป smartphone กลุ่มแรก ๆ ที่ใช้ 2nm ✅ Google เปลี่ยนจาก Samsung มาใช้ TSMC ตั้งแต่ Tensor G5 (Pixel 10)   • หลังพบปัญหาคุณภาพกับการผลิตก่อนหน้า   • มีการเจรจากับ TSMC เพื่อสัญญาระยะยาว 5 ปี ✅ ข้อดีของ TSMC 2nm (เทียบกับ 3nm):   • ประหยัดพลังงานขึ้น ~25–30%   • เพิ่มความเร็วประมวลผล   • รองรับการทำงาน AI บนเครื่องแบบหนัก ๆ ✅ ใช้เทคโนโลยี GAAFET (Gate-All-Around) เพื่อย่อทรานซิสเตอร์ให้เล็กลงอีก   • เทียบเท่าเทคโนโลยีใน Apple A20 หรือ Snapdragon 8 Gen 5 รุ่นอนาคต https://wccftech.com/tensor-g6-found-in-the-pixel-11-series-to-be-mass-produced-on-tsmc-2nm-process/
    WCCFTECH.COM
    Google’s Tensor G6 Will Reportedly Be Mass Produced On TSMC’s 2nm Process, Allowing The Pixel 11 Series To Maintain Competition With Rivals By Sticking With The Cutting-Edge Lithography
    The Tensor G6 could keep pace with the competition, with Google’s SoC found in the Pixel 11 family reportedly fabricated on TSMC’s 2nm technology
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • โฆษกกองกำลัง Khatam al-Anbiya ของอิหนร่านออกมาเตือนอิสราเอลอีกรอบว่าพร้อมกลับมาโจมตีตอบโต้ทันที พร้อมกับกล่าวว่าไม่เคยไว้ใจคำรับรองของอเมริกาแม้แต่น้อย:

    ประเด็นน่าสนใจในคำแถลงล่าสุด:

    • อิสราเอลละเมิดน่านฟ้าอิหร่านด้วยโดรนเมื่อเช้านี้

    • กองกำลังของอิหร่านไม่เคยไว้ใจคำรับรองของผู้นำสหรัฐฯ และระบอบไซออนิสต์เลยแม้แต่น้อย เพราะที่ผ่านมา มีแต่คำโกหกที่สร้างขึ้น และพวกเขาก็เตรียมพร้อม 100% ที่จะเผชิญหน้ากับการรุกรานด้วยความพร้อมเต็มที่ และพร้อมที่จะตอบโต้การรุกรานใดๆ ก็ตามได้ทันที

    • คำเตือนถึงอเมริกาและอิสราเอล: หากการรุกรานยังคงดำเนินต่อไป การตอบสนองที่รุนแรงยิ่งขึ้นกำลังรอพวกเขาอยู่


    และนี่คือการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของอิสราเอลเพียงบางส่วนจนถึงขณะนี้ สื่ออิหร่านได้รวบรวมไว้:

    ▪️ ระบบเรดาร์ตรวจการณ์ในเตหะรานถูกทำลายจากโดรน
    ▪️ เมืองบาโบลซาร์ถูกยิงด้วยจรวดจนเกิดการระเบิด
    ▪️ อิสราเอลใช้เครื่องบินรบสร้าง sonic boom (เสียงดังที่เกิดจากการบินด้วยความเร็วเหนือเสียง) บนท้องฟ้าในเมืองราชต์ เพื่อข่มขวัญชาวอิหร่าน
    ▪️ อิหร่านตรวจพบโดรนของอิสราเอล และสามารถยิงมันตกลงได้ในเมืองฮาเมดาน
    ▪️ พบโดรนสอดแนมขนาดเล็กบ่อยครั้งในเมืองทาบริซ
    โฆษกกองกำลัง Khatam al-Anbiya ของอิหนร่านออกมาเตือนอิสราเอลอีกรอบว่าพร้อมกลับมาโจมตีตอบโต้ทันที พร้อมกับกล่าวว่าไม่เคยไว้ใจคำรับรองของอเมริกาแม้แต่น้อย: ประเด็นน่าสนใจในคำแถลงล่าสุด: • อิสราเอลละเมิดน่านฟ้าอิหร่านด้วยโดรนเมื่อเช้านี้ • กองกำลังของอิหร่านไม่เคยไว้ใจคำรับรองของผู้นำสหรัฐฯ และระบอบไซออนิสต์เลยแม้แต่น้อย เพราะที่ผ่านมา มีแต่คำโกหกที่สร้างขึ้น และพวกเขาก็เตรียมพร้อม 100% ที่จะเผชิญหน้ากับการรุกรานด้วยความพร้อมเต็มที่ และพร้อมที่จะตอบโต้การรุกรานใดๆ ก็ตามได้ทันที • คำเตือนถึงอเมริกาและอิสราเอล: หากการรุกรานยังคงดำเนินต่อไป การตอบสนองที่รุนแรงยิ่งขึ้นกำลังรอพวกเขาอยู่ และนี่คือการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของอิสราเอลเพียงบางส่วนจนถึงขณะนี้ สื่ออิหร่านได้รวบรวมไว้: ▪️ ระบบเรดาร์ตรวจการณ์ในเตหะรานถูกทำลายจากโดรน ▪️ เมืองบาโบลซาร์ถูกยิงด้วยจรวดจนเกิดการระเบิด ▪️ อิสราเอลใช้เครื่องบินรบสร้าง sonic boom (เสียงดังที่เกิดจากการบินด้วยความเร็วเหนือเสียง) บนท้องฟ้าในเมืองราชต์ เพื่อข่มขวัญชาวอิหร่าน ▪️ อิหร่านตรวจพบโดรนของอิสราเอล และสามารถยิงมันตกลงได้ในเมืองฮาเมดาน ▪️ พบโดรนสอดแนมขนาดเล็กบ่อยครั้งในเมืองทาบริซ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 20 0 รีวิว
  • *****.....28.....ประสบการณ์จริง.....เหตุการณ์จริง.....ครบทุกด้าน.....เนื้อทองระฆัง..... ( ผสมระฆังเก่าวัดพระธาตุ ) ..........*****

    *****.....ขอน้อมนำ.....3.....สิ่งศักดิ์สิทธิ์.....แห่งแดนใต้.....มารวมไว้.....ในเหรียญเดียวกัน.....รุ่น.....ไตรบารมี 56.....*****

    *****.....1.หลวงปู่ทวด.....เหยียบน้ำทะเลจืด.....*****
    *****.....2.พ่อท่าน คล้าย วาจาสิทธิ์.....*****
    *****.....3.ปลุกเสกภายใต้ร่มเงาบารมี.....พระบรมสารีริกธาตุ.....ของ.....สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.....ประดิษฐานอยู่ที่.....วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร.....จ.นครศรีธรรมราช.....มานานนับ.....1,000.....ปี.....พระบารมีแผ่ไพศาล.....ไปทั้ง.....3....โลก.....*****

    *****.....line : oak_999.....หรือ.....โทร.....089-471-5666.....*****

    #พระเก๊มีทุกรุ่น #พระใหม่ดีกว่าพระเก๊แน่นอน #พระใหม่พิธีดี #เจตนาการสร้างดี #พระใหม่ยอดนิยม #พระสายใต้ #พระเครื่อง #พระเครื่องยอดนิยม #หลวงปู่ทวด #หลวงพ่อทวด #พ่อท่านคล้าย #ไตรบารมี56 #ทวดคล้าย #หน้าทวดหลังคล้าย #ประสบการณ์จริงเพียบ #รับประกันพระแท้ตลอดชีพ #ทุกเหรียญตอกโค๊ดตอกเลขรันนัมเบอร์
    *****.....28.....ประสบการณ์จริง.....เหตุการณ์จริง.....ครบทุกด้าน.....เนื้อทองระฆัง..... ( ผสมระฆังเก่าวัดพระธาตุ ) ..........***** *****.....ขอน้อมนำ.....3.....สิ่งศักดิ์สิทธิ์.....แห่งแดนใต้.....มารวมไว้.....ในเหรียญเดียวกัน.....รุ่น.....ไตรบารมี 56.....***** *****.....1.หลวงปู่ทวด.....เหยียบน้ำทะเลจืด.....***** *****.....2.พ่อท่าน คล้าย วาจาสิทธิ์.....***** *****.....3.ปลุกเสกภายใต้ร่มเงาบารมี.....พระบรมสารีริกธาตุ.....ของ.....สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.....ประดิษฐานอยู่ที่.....วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร.....จ.นครศรีธรรมราช.....มานานนับ.....1,000.....ปี.....พระบารมีแผ่ไพศาล.....ไปทั้ง.....3....โลก.....***** *****.....line : oak_999.....หรือ.....โทร.....089-471-5666.....***** #พระเก๊มีทุกรุ่น #พระใหม่ดีกว่าพระเก๊แน่นอน #พระใหม่พิธีดี #เจตนาการสร้างดี #พระใหม่ยอดนิยม #พระสายใต้ #พระเครื่อง #พระเครื่องยอดนิยม #หลวงปู่ทวด #หลวงพ่อทวด #พ่อท่านคล้าย #ไตรบารมี56 #ทวดคล้าย #หน้าทวดหลังคล้าย #ประสบการณ์จริงเพียบ #รับประกันพระแท้ตลอดชีพ #ทุกเหรียญตอกโค๊ดตอกเลขรันนัมเบอร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ธนาธร' เรียกร้องการเมืองกลับสู่สภาวะปกติ ชี้เส้นทางประเทศตีบตัน ไม่เห็นความหวังเท่าไหร่ เห็นด้วย ปชน. บอกรัฐบาลต้องยุบสภา
    https://www.thai-tai.tv/news/19725/
    'ธนาธร' เรียกร้องการเมืองกลับสู่สภาวะปกติ ชี้เส้นทางประเทศตีบตัน ไม่เห็นความหวังเท่าไหร่ เห็นด้วย ปชน. บอกรัฐบาลต้องยุบสภา https://www.thai-tai.tv/news/19725/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' โต้นายกฯ ถ้าคลิปไม่หลุดและทำตามที่พูด จะเกิดความเสียหายอะไรบ้าง
    https://www.thai-tai.tv/news/19726/
    'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' โต้นายกฯ ถ้าคลิปไม่หลุดและทำตามที่พูด จะเกิดความเสียหายอะไรบ้าง https://www.thai-tai.tv/news/19726/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วันนั้นเป็นวันประชุมใหญ่ระดับผู้บริหาร ทั้งทีมไอทีเตรียมงานกันทั้งสัปดาห์
    แต่ลืมดู ‘Storage เต็ม’ ใน Server ที่เก็บเอกสารประชุม...
    ระบบล่มตั้งแต่ 09.00 น.
    ประชุมต้องเลื่อน ลูกค้าภายนอกรอข้อมูลไม่ทัน”
    ปัญหาแบบนี้เกิดได้กับองค์กรที่ ไม่มีระบบ Monitoring และแจ้งเตือนที่ทันเวลา
    ที่ Thinkable เราช่วยแก้ปัญหาแบบนี้ด้วย
    🛠️ ระบบ Zabbix Monitoring แจ้งเตือนทันทีเมื่อ Storage ใกล้เต็ม
    🛠️ เชื่อมต่อ MS Teams, Telegram หรือ Email แจ้งเตือนแบบไม่พลาด
    🛠️ ปรับแต่ง Dashboard เฉพาะองค์กร พร้อมตั้งค่า Alert ได้เอง
    หมดปัญหา “ระบบล่มโดยไม่รู้ตัว” พร้อมใช้งานทุกสถานการณ์
    📩 สนใจให้เราตรวจสอบระบบฟรีก่อนติดตั้งจริง ทักมาทาง Inbox หรือคลิกดูบริการเพิ่มเติมที่
    🔗 www.thinkable-inn.com
    “วันนั้นเป็นวันประชุมใหญ่ระดับผู้บริหาร ทั้งทีมไอทีเตรียมงานกันทั้งสัปดาห์ แต่ลืมดู ‘Storage เต็ม’ ใน Server ที่เก็บเอกสารประชุม... ระบบล่มตั้งแต่ 09.00 น. ประชุมต้องเลื่อน ลูกค้าภายนอกรอข้อมูลไม่ทัน” ปัญหาแบบนี้เกิดได้กับองค์กรที่ ไม่มีระบบ Monitoring และแจ้งเตือนที่ทันเวลา ที่ Thinkable เราช่วยแก้ปัญหาแบบนี้ด้วย 🛠️ ระบบ Zabbix Monitoring แจ้งเตือนทันทีเมื่อ Storage ใกล้เต็ม 🛠️ เชื่อมต่อ MS Teams, Telegram หรือ Email แจ้งเตือนแบบไม่พลาด 🛠️ ปรับแต่ง Dashboard เฉพาะองค์กร พร้อมตั้งค่า Alert ได้เอง หมดปัญหา “ระบบล่มโดยไม่รู้ตัว” พร้อมใช้งานทุกสถานการณ์ 📩 สนใจให้เราตรวจสอบระบบฟรีก่อนติดตั้งจริง ทักมาทาง Inbox หรือคลิกดูบริการเพิ่มเติมที่ 🔗 www.thinkable-inn.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว