
รายการ
ค้นพบผู้คนใหม่ๆ สร้างการเชื่อมต่อใหม่ๆ และรู้จักเพื่อนใหม่
- กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อกดถูกใจ แชร์ และแสดงความคิดเห็น!
- ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ลงนามในบันทึกข้อความเมื่อวันศุกร์ (21 ก.พ.) สั่งการให้คณะกรรมการว่าด้วยการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐฯ (Committee on Foreign Investment in the United States - CFIUS) จำกัดการลงทุนของจีนในภาคส่วนที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ตามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว
.
เจ้าหน้าที่รายนี้ระบุว่า บันทึกข้อความด้านความมั่นคงแห่งชาติฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ แต่ขณะเดียวกันก็มุ่งปกป้องผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ จากภัยคุกคามอันเกิดจากรัฐที่ไม่เป็นมิตรอย่างเช่น จีน เป็นต้น
.
คำสั่งของ ทรัมป์ ระบุว่า จีน "ฉวยโอกาสจากเงินลงทุนและความช่างประดิษฐ์คิดค้นของสหรัฐฯ เพื่อเอาไปเป็นทุนสนับสนุนและยกระดับปฏิบัติการกองทัพ ข่าวกรอง และความมั่นคงของพวกเขาให้มีความทันสมัย ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ"
.
ภายใต้คำสั่งนี้ สหรัฐฯ จะมีการตั้งกฎเกณฑ์ใหม่ "เพื่อปิดกั้นการแสวงหาประโยชน์จากเงินทุน เทคโนโลยี และองค์ความรู้ของเราโดยศัตรูต่างชาติ เช่น จีน และเพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาวอเมริกันเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาต"
.
เจ้าหน้าที่ผู้นี้ยังบอกด้วยว่า รัฐบาล ทรัมป์ กำลังพิจารณาขยายมาตรการจำกัดการลงทุนของสหรัฐฯในจีนเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เปราะบาง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ ควอนตัม เทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ และอื่นๆ
.
ด้านกระทรวงพาณิชย์จีนได้มีถ้อยแถลงตอบโต้ในวันเสาร์ (22) โดยเรียกร้องให้สหรัฐฯ เลิกนำเศรษฐกิจมาเป็น "เครื่องมือทางการเมือง" และ "อาวุธ" พร้อมยืนยันว่าจีนจะเฝ้าจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจะมีมาตรการตอบโต้ที่เหมาะสมเพื่อธำรงไว้ซึ่งสิทธิอันชอบธรรมและผลประโยชน์ของจีน
.
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ คาดว่าจะยิ่งกระพือความตึงเครียดในด้านเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากที่ ทรัมป์ สั่งขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนเป็นมาตรการแรกๆ หลังจากที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเทอมสองเมื่อเดือน ม.ค.
.
CFIUS ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการลงทุนจากต่างชาติในสหรัฐฯ เพื่อประเมินความเสี่ยงด้านความมั่นคง พบว่ามูลค่าการลงทุนของจีนนั้นลดลงไปมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
.
ข้อมูลจาก Rhodium Group พบว่า มูลค่าการลงทุนจากจีนต่อปีลดลงจากระดับ 46,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2016 เหลือไม่ถึง 5,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2022
.
คำสั่งของ ทรัมป์ ยังมีการอ้างถึงองค์กรและบุคคลต่างชาติซึ่งเข้าไปถือครองที่ดินทำการเกษตรในสหรัฐฯ ประมาณ 43 ล้านเอเคอร์ หรือคิดเป็น 2% ของที่ดินทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งในจำนวนนี้เป็นที่ดินซึ่งถือครองโดยจีนมากกว่า 350,000 เอเคอร์ใน 27 รัฐ
.
ทั้งนี้ กลุ่มเกษตรกรผู้ทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์และสมาชิกรัฐสภาหลายคนได้แสดงความกังวลในช่วงไม่กี่ปีมานี้ว่า การที่นักลงทุนและรัฐบาลต่างชาติเข้าไปซื้อที่ดินในสหรัฐฯ ทำให้ราคาที่ดินทำการเกษตรพุ่งสูงขึ้น และถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ
.
อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000017986
..............
Sondhi Xประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ลงนามในบันทึกข้อความเมื่อวันศุกร์ (21 ก.พ.) สั่งการให้คณะกรรมการว่าด้วยการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐฯ (Committee on Foreign Investment in the United States - CFIUS) จำกัดการลงทุนของจีนในภาคส่วนที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ตามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว . เจ้าหน้าที่รายนี้ระบุว่า บันทึกข้อความด้านความมั่นคงแห่งชาติฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ แต่ขณะเดียวกันก็มุ่งปกป้องผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ จากภัยคุกคามอันเกิดจากรัฐที่ไม่เป็นมิตรอย่างเช่น จีน เป็นต้น . คำสั่งของ ทรัมป์ ระบุว่า จีน "ฉวยโอกาสจากเงินลงทุนและความช่างประดิษฐ์คิดค้นของสหรัฐฯ เพื่อเอาไปเป็นทุนสนับสนุนและยกระดับปฏิบัติการกองทัพ ข่าวกรอง และความมั่นคงของพวกเขาให้มีความทันสมัย ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ" . ภายใต้คำสั่งนี้ สหรัฐฯ จะมีการตั้งกฎเกณฑ์ใหม่ "เพื่อปิดกั้นการแสวงหาประโยชน์จากเงินทุน เทคโนโลยี และองค์ความรู้ของเราโดยศัตรูต่างชาติ เช่น จีน และเพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาวอเมริกันเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาต" . เจ้าหน้าที่ผู้นี้ยังบอกด้วยว่า รัฐบาล ทรัมป์ กำลังพิจารณาขยายมาตรการจำกัดการลงทุนของสหรัฐฯในจีนเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เปราะบาง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ ควอนตัม เทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ และอื่นๆ . ด้านกระทรวงพาณิชย์จีนได้มีถ้อยแถลงตอบโต้ในวันเสาร์ (22) โดยเรียกร้องให้สหรัฐฯ เลิกนำเศรษฐกิจมาเป็น "เครื่องมือทางการเมือง" และ "อาวุธ" พร้อมยืนยันว่าจีนจะเฝ้าจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจะมีมาตรการตอบโต้ที่เหมาะสมเพื่อธำรงไว้ซึ่งสิทธิอันชอบธรรมและผลประโยชน์ของจีน . ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ คาดว่าจะยิ่งกระพือความตึงเครียดในด้านเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากที่ ทรัมป์ สั่งขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนเป็นมาตรการแรกๆ หลังจากที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเทอมสองเมื่อเดือน ม.ค. . CFIUS ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการลงทุนจากต่างชาติในสหรัฐฯ เพื่อประเมินความเสี่ยงด้านความมั่นคง พบว่ามูลค่าการลงทุนของจีนนั้นลดลงไปมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา . ข้อมูลจาก Rhodium Group พบว่า มูลค่าการลงทุนจากจีนต่อปีลดลงจากระดับ 46,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2016 เหลือไม่ถึง 5,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2022 . คำสั่งของ ทรัมป์ ยังมีการอ้างถึงองค์กรและบุคคลต่างชาติซึ่งเข้าไปถือครองที่ดินทำการเกษตรในสหรัฐฯ ประมาณ 43 ล้านเอเคอร์ หรือคิดเป็น 2% ของที่ดินทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งในจำนวนนี้เป็นที่ดินซึ่งถือครองโดยจีนมากกว่า 350,000 เอเคอร์ใน 27 รัฐ . ทั้งนี้ กลุ่มเกษตรกรผู้ทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์และสมาชิกรัฐสภาหลายคนได้แสดงความกังวลในช่วงไม่กี่ปีมานี้ว่า การที่นักลงทุนและรัฐบาลต่างชาติเข้าไปซื้อที่ดินในสหรัฐฯ ทำให้ราคาที่ดินทำการเกษตรพุ่งสูงขึ้น และถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000017986 .............. Sondhi X - จากข้อมูลของ CNN :
ยูเครนสูญเสียดินแดนไปแล้ว 11% ตั้งแต่ปี 2022
หากรวมพื้นที่ตั้งแต่ปี 2014 ยูเครนจะสูญเสียดินแดนไปประมาณ 18%จากข้อมูลของ CNN : ยูเครนสูญเสียดินแดนไปแล้ว 11% ตั้งแต่ปี 2022 หากรวมพื้นที่ตั้งแต่ปี 2014 ยูเครนจะสูญเสียดินแดนไปประมาณ 18% - ฟรีดริช แมร์ซ ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนถัดไปของเยอรมนี ในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) ตั้งข้อสงสัยองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) จะยังอยู่ในรูปแบบในปัจจุบันต่อไปหรือไม่ ในเดือนมิถุนายนนี้ ตามหลังความเห็นของรัฐบาลสหรัฐฯ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมเรียกร้องยุโรปต้องสถาปนาความเป็นเอกราชด้านศักยภาพการป้องกันตนเองอย่างเร่งด่วน รับมืออเมริกาตีตัวออกห่าง
.
"ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ผมจะจำเป็นต้องพูดอะไรแบบนี้ในรายการโทรทัศน์หนึ่งๆ แต่หลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความคิดเห็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มันชัดเจนว่ารัฐบาลนี้ไม่แคร์อะไรเท่าไหร่เกี่ยวกับชะตากรรมของยุโรป" แมร์ซ บอกับสถานีโทรทัศน์เออาร์ดีของเยอรมนี หลังจากพรรคอนุรักษนิยมของเขาคว้าชัยในศึกเลือกตั้ง
.
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลทรัมป์ สร้างความตกตะลึงแก่บรรดาพันธมิตรยุโรป ด้วยการบอกกับยุโรปว่าพวกเขาต้องรับผิดชอบความมั่นคงของตนเองและพึ่งพิงสหรัฐฯ น้อยลง ในขณะเดียวกัน แถลงพูดคุยเจรจากับรัสเซีย เพื่อยุติสงครามในยูเครน โดยที่ยุโรปไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
.
พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เตือนบรรดาชาติยุโรปเช่นกัน "ความเป็นจริงทางยุทธศาสตร์" คือตัวขัดขวางสหรัฐฯ จากการมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับความมั่นคงของยุโรป
.
อ้างถึงที่ประชุมซัมมิตนาโต ที่มีกำหนดจัดขึ้นในเดือนมิถุนายน ทาง แมร์ซ บอกว่าเขาจะจับตามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น "ว่า ณ ตอนนั้น เราจะยังคงพูดเกี่ยวกับนาโตในรูปแบบปัจจุบันหรือไม่ หรือเราจะจำเป็นต้องสถาปนาศักยภาพการป้องกันตนเองที่เป็นอิสระขึ้นมา รวดเร็วกว่าเดิมมาก"
.
เมื่อวันศุกร์ (21 ก.พ.) แมร์ซ ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ ZDF ว่าเยอรมนีจะต้องพร้อมรับมือกับข้อแม้ต่างๆ ในความเป็นไปได้ที่ ทรัมป์ อาจไม่ยึดถือคำมั่นสัญญาป้องกันตนเองร่วมกันของนาโตอีกต่อไป
.
เขาบอกว่านี่อาจหมายความว่าเยอรมนีอาจจำเป็นต้องพึ่งพิงสหรัฐฯ น้อยลงกว่าเดิมในเรื่องเกี่ยวกับร่มนิวเคลียร์ และสนับสนุนให้มีการพูดคุยกับ 2 มหาอำนาจนิวเคลียร์ยุโรป อย่างฝรั่งเศสและเยอรมนี เกี่ยวกับการขยายขอบเขตการคุ้มครองทางนิวเคลียร์
.
รอยเตอร์รายงานว่า แมร์ซ มีความเป็นสายเหยี่ยวในเรื่องรัสเซีย มากกว่า โอลาฟ โชลซ์ รักษาการนายกรัฐมนตรี เขาเคยชี้บ่งชี้ว่าภายใต้การบริหารงานของเขา เยอรมนีอาจส่งขีปนาวุธพิสัยกลาง "ทอรัส" ไปให้เคียฟ บางอย่างที่ โชลซ์ ปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว
.
ในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) แมร์ซ พูดไปในทิศทางเดียวกับโรเบิร์ต ฮาเบ็ค รักษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ ที่เตือนว่า "เวลานี้ในอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างออกไปอย่างมากจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา อเมริกาไม่ได้แค่ทิ้งยุโรปไว้เพียงลำพัง แต่ดำเนินการต่างๆ สวนทางกับยุโรปด้วย" ฮาเบ็ค
.
อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000018014
..............
Sondhi Xฟรีดริช แมร์ซ ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนถัดไปของเยอรมนี ในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) ตั้งข้อสงสัยองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) จะยังอยู่ในรูปแบบในปัจจุบันต่อไปหรือไม่ ในเดือนมิถุนายนนี้ ตามหลังความเห็นของรัฐบาลสหรัฐฯ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมเรียกร้องยุโรปต้องสถาปนาความเป็นเอกราชด้านศักยภาพการป้องกันตนเองอย่างเร่งด่วน รับมืออเมริกาตีตัวออกห่าง . "ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ผมจะจำเป็นต้องพูดอะไรแบบนี้ในรายการโทรทัศน์หนึ่งๆ แต่หลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความคิดเห็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มันชัดเจนว่ารัฐบาลนี้ไม่แคร์อะไรเท่าไหร่เกี่ยวกับชะตากรรมของยุโรป" แมร์ซ บอกับสถานีโทรทัศน์เออาร์ดีของเยอรมนี หลังจากพรรคอนุรักษนิยมของเขาคว้าชัยในศึกเลือกตั้ง . เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลทรัมป์ สร้างความตกตะลึงแก่บรรดาพันธมิตรยุโรป ด้วยการบอกกับยุโรปว่าพวกเขาต้องรับผิดชอบความมั่นคงของตนเองและพึ่งพิงสหรัฐฯ น้อยลง ในขณะเดียวกัน แถลงพูดคุยเจรจากับรัสเซีย เพื่อยุติสงครามในยูเครน โดยที่ยุโรปไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย . พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เตือนบรรดาชาติยุโรปเช่นกัน "ความเป็นจริงทางยุทธศาสตร์" คือตัวขัดขวางสหรัฐฯ จากการมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับความมั่นคงของยุโรป . อ้างถึงที่ประชุมซัมมิตนาโต ที่มีกำหนดจัดขึ้นในเดือนมิถุนายน ทาง แมร์ซ บอกว่าเขาจะจับตามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น "ว่า ณ ตอนนั้น เราจะยังคงพูดเกี่ยวกับนาโตในรูปแบบปัจจุบันหรือไม่ หรือเราจะจำเป็นต้องสถาปนาศักยภาพการป้องกันตนเองที่เป็นอิสระขึ้นมา รวดเร็วกว่าเดิมมาก" . เมื่อวันศุกร์ (21 ก.พ.) แมร์ซ ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ ZDF ว่าเยอรมนีจะต้องพร้อมรับมือกับข้อแม้ต่างๆ ในความเป็นไปได้ที่ ทรัมป์ อาจไม่ยึดถือคำมั่นสัญญาป้องกันตนเองร่วมกันของนาโตอีกต่อไป . เขาบอกว่านี่อาจหมายความว่าเยอรมนีอาจจำเป็นต้องพึ่งพิงสหรัฐฯ น้อยลงกว่าเดิมในเรื่องเกี่ยวกับร่มนิวเคลียร์ และสนับสนุนให้มีการพูดคุยกับ 2 มหาอำนาจนิวเคลียร์ยุโรป อย่างฝรั่งเศสและเยอรมนี เกี่ยวกับการขยายขอบเขตการคุ้มครองทางนิวเคลียร์ . รอยเตอร์รายงานว่า แมร์ซ มีความเป็นสายเหยี่ยวในเรื่องรัสเซีย มากกว่า โอลาฟ โชลซ์ รักษาการนายกรัฐมนตรี เขาเคยชี้บ่งชี้ว่าภายใต้การบริหารงานของเขา เยอรมนีอาจส่งขีปนาวุธพิสัยกลาง "ทอรัส" ไปให้เคียฟ บางอย่างที่ โชลซ์ ปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว . ในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) แมร์ซ พูดไปในทิศทางเดียวกับโรเบิร์ต ฮาเบ็ค รักษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ ที่เตือนว่า "เวลานี้ในอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างออกไปอย่างมากจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา อเมริกาไม่ได้แค่ทิ้งยุโรปไว้เพียงลำพัง แต่ดำเนินการต่างๆ สวนทางกับยุโรปด้วย" ฮาเบ็ค . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000018014 .............. Sondhi X - ช่วงที่ผ่านมานี้ การลงโทษทางการค้าจากสหรัฐอเมริกาต่อประเทศจีนเหมือนจะกลับให้ผลตรงกันข้าม เนื่องจากประเทศจีนกลับค้นพบวิธีในการฝ่าฟันปัญหาและมีความก้าวหน้าเหนือคู่แข่งอย่างน่าทึ่งในเรื่องของเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductors) รายงานจากการสำรวจของสถาบัน Korea Institute of S&T Evaluation and Planning ที่รวมเอาความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญจำนวน 39 คน พบว่าจีนสามารถมีความก้าวหน้ามากกว่าเกาหลีใต้ในทุกด้านของเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์
รายงานนี้เผยว่า ในเทคโนโลยีหน่วยความจำที่มีความต้านทานและความเข้มสูง จีนได้คะแนน 94.1% ขณะที่เกาหลีใต้ได้เพียง 90.9% นอกจากนี้ ในเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ AI ที่มีประสิทธิภาพสูง จีนยังคงมีความเหนือกว่า โดยได้คะแนน 88.3% เมื่อเทียบกับเกาหลีใต้ที่ได้ 84.1% ส่วนในเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์กำลัง (Power Semiconductors) จีนได้คะแนน 79.8% ขณะที่เกาหลีใต้ได้เพียง 67.5%
นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีเซนเซอร์ประสิทธิภาพสูงแบบใหม่ที่จีนยังคงมีคะแนนนำหน้าเกาหลีใต้เช่นกัน โดยได้คะแนน 83.9% ขณะที่เกาหลีใต้ได้ 81.3% แต่มีเพียงเทคโนโลยีแพ็กเกจเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงเท่านั้นที่ทั้งสองประเทศได้คะแนนเท่ากันที่ 74.2%
ในปี 2022 จีนยังคงตามหลังเกาหลีใต้อยู่มาก แต่ในปัจจุบันกลับพบว่าทั้งสองประเทศได้สลับตำแหน่งกัน ซึ่งผลสำรวจนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าเกาหลีใต้จำเป็นต้องมุ่งพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
นาย Park Yong-in หัวหน้าฝ่ายเซมิคอนดักเตอร์ของ Samsung ได้กล่าวในที่ประชุมว่า พนักงานในทีม System LSI ควรรับผิดชอบและแบ่งปันภาระในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เรือธงเพื่อสร้างความได้เปรียบในตลาด คาดว่าในอนาคตเราจะได้เห็นความก้าวหน้าในการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ต่อไป
https://wccftech.com/china-has-surpassed-south-korean-in-all-semiconductor-technologies-claims-survey/ช่วงที่ผ่านมานี้ การลงโทษทางการค้าจากสหรัฐอเมริกาต่อประเทศจีนเหมือนจะกลับให้ผลตรงกันข้าม เนื่องจากประเทศจีนกลับค้นพบวิธีในการฝ่าฟันปัญหาและมีความก้าวหน้าเหนือคู่แข่งอย่างน่าทึ่งในเรื่องของเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductors) รายงานจากการสำรวจของสถาบัน Korea Institute of S&T Evaluation and Planning ที่รวมเอาความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญจำนวน 39 คน พบว่าจีนสามารถมีความก้าวหน้ามากกว่าเกาหลีใต้ในทุกด้านของเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ รายงานนี้เผยว่า ในเทคโนโลยีหน่วยความจำที่มีความต้านทานและความเข้มสูง จีนได้คะแนน 94.1% ขณะที่เกาหลีใต้ได้เพียง 90.9% นอกจากนี้ ในเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ AI ที่มีประสิทธิภาพสูง จีนยังคงมีความเหนือกว่า โดยได้คะแนน 88.3% เมื่อเทียบกับเกาหลีใต้ที่ได้ 84.1% ส่วนในเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์กำลัง (Power Semiconductors) จีนได้คะแนน 79.8% ขณะที่เกาหลีใต้ได้เพียง 67.5% นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีเซนเซอร์ประสิทธิภาพสูงแบบใหม่ที่จีนยังคงมีคะแนนนำหน้าเกาหลีใต้เช่นกัน โดยได้คะแนน 83.9% ขณะที่เกาหลีใต้ได้ 81.3% แต่มีเพียงเทคโนโลยีแพ็กเกจเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงเท่านั้นที่ทั้งสองประเทศได้คะแนนเท่ากันที่ 74.2% ในปี 2022 จีนยังคงตามหลังเกาหลีใต้อยู่มาก แต่ในปัจจุบันกลับพบว่าทั้งสองประเทศได้สลับตำแหน่งกัน ซึ่งผลสำรวจนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าเกาหลีใต้จำเป็นต้องมุ่งพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น นาย Park Yong-in หัวหน้าฝ่ายเซมิคอนดักเตอร์ของ Samsung ได้กล่าวในที่ประชุมว่า พนักงานในทีม System LSI ควรรับผิดชอบและแบ่งปันภาระในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เรือธงเพื่อสร้างความได้เปรียบในตลาด คาดว่าในอนาคตเราจะได้เห็นความก้าวหน้าในการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ต่อไป https://wccftech.com/china-has-surpassed-south-korean-in-all-semiconductor-technologies-claims-survey/WCCFTECH.COMChina Has Managed To Successfully Surpass South Korea In All Categories Of Semiconductor Technology, At Least According To A Survey Of Local ExpertsA survey involving local experts has revealed that China has comprehensively beaten South Korea in all semiconductor technologies0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว - จับผิดฮั้วเลือก ส.ว.สายสีน้ำเงินขยับ "นันทนา" เชียร์ดีเอสไอ
.
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ของส.ว.บางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ที่เข้ามาตรวจสอบกระบวนการเลือกส.ว. ปรากฎว่ายังมีส.ว.อีกส่วนหนึ่งที่สนับสนุนการทำงานของดีเอสไอ นำโดย น.ส.นันทนา นันทวโรภาส ส.ว.ในกลุ่มอิสระ ซึ่งระบุว่า เดิมทีทำหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการสืบสวน สอบสวนการทุจริตเลือกตั้งต่างๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป 7 เดือนแล้ว กกต.ยังเงียบอยู่ ทำให้มีประชาชนเริ่มกังขาการทำหน้าที่ของ กกต. และการที่ดีเอสไอแสดงท่าทีว่าจะเข้ามารับทำคดีนี้ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชนที่เขามีข้อสงสัยเกี่ยวกับการได้มาซึ่ง ส.ว.ชุดนี้
.
"ส่วนกระบวนการที่ดีเอสไอจะดำเนินการสืบสวนนั้น เข้าใจว่าเป็นเรื่องทางคดีอาญาเกี่ยวกับการอั้งยี่ที่แยกออกจากเรื่องคดีเลือกตั้ง ซึ่งหากทางดีเอสไอเข้ามาดำเนินการและสามารถทำให้คลายข้อสงสัยของประชาชนจำนวนมากได้ ก็เห็นด้วย"
.
"ส่วนตัวเห็นว่ากระบวนการได้มาซึ่ง ส.ว.ตรงนี้มันวิปริตบิดเบี้ยวไปตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ นั่นคือเป็นกระบวนการที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วม เพราะเป็นคนที่สมัคร จ่ายเงิน และเข้ามาเลือกกันเอง ฉะนั้น หากกระบวนการไปถึงขั้นตอนที่พบว่ามีความผิดปกติ ไม่ชอบมาพากล และต้องมีการล้มกระดาน คิดว่าก่อนที่จะมีการล้มกระดานควรจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการได้มาซึ่ง ส.ว. เพื่อเปลี่ยนกติกาก่อน เพราะหากมีการล้มกระดานจริง แต่ยังใช้กติกาเดิม มันก็เหมือนเดิม ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร" ส.ว.นันทนา ระบุ
.
ขณะเดียวกัน มีรายงานจากวุฒิสภาว่า นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ประธานคณะกรรมาธิการคมนาคม วุฒิสภา ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการประสานงานวุฒิสภาหรือ วิปวุฒิสภา ได้นัดหารือวิปวุฒิสภา เป็นกรณีพิเศษ ในวันจันทร์ที่ 24 ก.พ.นี้ ที่ห้องประชุม 406-407 ตึกวุฒิสภา เวลา 08.00 น. ที่เป็นช่วงก่อนเข้าประชุมวุฒิสภา โดยได้มีการส่งข้อความถึงสว.ที่อยู่ในวิปวุฒิสภาให้แจ้งการเข้าประชุม โดยหากใครลาการประชุมขอให้แจ้งล่วงหน้า ซึ่งเดิมที วิปวุฒิสภา จะนัดประชุมวันที่ 26 ก.พ.แต่ได้เลื่อนมาเป็น 24 ก.พ. หลังคณะกรรมการคดีพิเศษ หรือบอร์ดดีเอสไอ นัดประชุมวันที่ 25 ก.พ. เพื่อลงมติว่าจะรับเรื่องการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้าสอบสวนการเลือกสว.ชุดปัจจุบันเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ซึ่งการจะรับเป็นคดีพิเศษ ต้องใช้เสียงของกรรมการอย่างน้อย 2 ใน 3 จากกรรมการที่มีอยู่ 22 คนหรือประมาณ 15 เสียง ดีเอสไอถึงเข้าสอบสวนได้ แต่ต้องจับตาว่าจะมีกรรมการเข้าประชุมครบหรือไม่
.
นอกจากนี้ ยังมีการรายงานอีกว่า ได้มีการขอความร่วมมือจากกลุ่มส.ว.ให้งดการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนไว้ก่อน เพื่อรอฟังมติที่ประชุมบอร์ดดีเอสไอในวันอังคารที่ 25 ก.พ.
.............
Sondhi Xจับผิดฮั้วเลือก ส.ว.สายสีน้ำเงินขยับ "นันทนา" เชียร์ดีเอสไอ . ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ของส.ว.บางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ที่เข้ามาตรวจสอบกระบวนการเลือกส.ว. ปรากฎว่ายังมีส.ว.อีกส่วนหนึ่งที่สนับสนุนการทำงานของดีเอสไอ นำโดย น.ส.นันทนา นันทวโรภาส ส.ว.ในกลุ่มอิสระ ซึ่งระบุว่า เดิมทีทำหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการสืบสวน สอบสวนการทุจริตเลือกตั้งต่างๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป 7 เดือนแล้ว กกต.ยังเงียบอยู่ ทำให้มีประชาชนเริ่มกังขาการทำหน้าที่ของ กกต. และการที่ดีเอสไอแสดงท่าทีว่าจะเข้ามารับทำคดีนี้ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชนที่เขามีข้อสงสัยเกี่ยวกับการได้มาซึ่ง ส.ว.ชุดนี้ . "ส่วนกระบวนการที่ดีเอสไอจะดำเนินการสืบสวนนั้น เข้าใจว่าเป็นเรื่องทางคดีอาญาเกี่ยวกับการอั้งยี่ที่แยกออกจากเรื่องคดีเลือกตั้ง ซึ่งหากทางดีเอสไอเข้ามาดำเนินการและสามารถทำให้คลายข้อสงสัยของประชาชนจำนวนมากได้ ก็เห็นด้วย" . "ส่วนตัวเห็นว่ากระบวนการได้มาซึ่ง ส.ว.ตรงนี้มันวิปริตบิดเบี้ยวไปตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ นั่นคือเป็นกระบวนการที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วม เพราะเป็นคนที่สมัคร จ่ายเงิน และเข้ามาเลือกกันเอง ฉะนั้น หากกระบวนการไปถึงขั้นตอนที่พบว่ามีความผิดปกติ ไม่ชอบมาพากล และต้องมีการล้มกระดาน คิดว่าก่อนที่จะมีการล้มกระดานควรจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการได้มาซึ่ง ส.ว. เพื่อเปลี่ยนกติกาก่อน เพราะหากมีการล้มกระดานจริง แต่ยังใช้กติกาเดิม มันก็เหมือนเดิม ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร" ส.ว.นันทนา ระบุ . ขณะเดียวกัน มีรายงานจากวุฒิสภาว่า นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ประธานคณะกรรมาธิการคมนาคม วุฒิสภา ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการประสานงานวุฒิสภาหรือ วิปวุฒิสภา ได้นัดหารือวิปวุฒิสภา เป็นกรณีพิเศษ ในวันจันทร์ที่ 24 ก.พ.นี้ ที่ห้องประชุม 406-407 ตึกวุฒิสภา เวลา 08.00 น. ที่เป็นช่วงก่อนเข้าประชุมวุฒิสภา โดยได้มีการส่งข้อความถึงสว.ที่อยู่ในวิปวุฒิสภาให้แจ้งการเข้าประชุม โดยหากใครลาการประชุมขอให้แจ้งล่วงหน้า ซึ่งเดิมที วิปวุฒิสภา จะนัดประชุมวันที่ 26 ก.พ.แต่ได้เลื่อนมาเป็น 24 ก.พ. หลังคณะกรรมการคดีพิเศษ หรือบอร์ดดีเอสไอ นัดประชุมวันที่ 25 ก.พ. เพื่อลงมติว่าจะรับเรื่องการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้าสอบสวนการเลือกสว.ชุดปัจจุบันเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ซึ่งการจะรับเป็นคดีพิเศษ ต้องใช้เสียงของกรรมการอย่างน้อย 2 ใน 3 จากกรรมการที่มีอยู่ 22 คนหรือประมาณ 15 เสียง ดีเอสไอถึงเข้าสอบสวนได้ แต่ต้องจับตาว่าจะมีกรรมการเข้าประชุมครบหรือไม่ . นอกจากนี้ ยังมีการรายงานอีกว่า ได้มีการขอความร่วมมือจากกลุ่มส.ว.ให้งดการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนไว้ก่อน เพื่อรอฟังมติที่ประชุมบอร์ดดีเอสไอในวันอังคารที่ 25 ก.พ. ............. Sondhi X -
- Raja Koduri อดีตผู้บริหารของ Intel ที่เคยรับผิดชอบกลุ่มกราฟิกของบริษัท ได้ออกมาพูดถึงปัญหาภายในของ Intel ที่ทำให้นวัตกรรมไม่สามารถก้าวหน้าได้ โดยเขายกตัวอย่างโปรเจ็กต์ Falcon Shores ว่าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของปัญหานี้
Koduri อธิบายว่า Intel มีเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาหลายอย่างที่สามารถเปลี่ยนแปลงตลาดได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในศูนย์ข้อมูล อุปกรณ์ปลายทาง หรืออุปกรณ์ส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักคือผู้นำบริษัทที่ไม่สามารถทำให้ Intel ตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมได้ ซึ่งเขากล่าวถึงการตัดสินใจทางการเมืองและกระบวนการที่ทำให้การพัฒนาช้าลง
ในบทความที่เขาโพสต์ใน X, Koduri กล่าวถึงปัญหาที่เขาเรียกว่า "งูในสเปรดชีตและพาวเวอร์พอยต์" ที่หมายถึงการตัดสินใจที่เกิดขึ้นจากกระบวนการบริหารที่ซับซ้อนและไม่เข้าใจถึงความสำคัญของประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งทำให้ความพยายามในการทดลองนวัตกรรมใหม่ ๆ ต้องหยุดชะงัก
Koduri ยังกล่าวถึงอดีต CEO Andy Grove ว่าเป็นคนเดียวที่เข้าใจถึงรายละเอียดของทุกชั้นในองค์กรของ Intel และเขาเชื่อว่า Intel ยังคงมีศักยภาพในการแข่งขันกับ NVIDIA ในระยะยาว แต่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าความคาดหวังเท่านั้น
ตัวอย่างที่ Koduri ยกขึ้นมาคือโปรเจ็กต์ Rialto Bridge และ Falcon Shores ซึ่งเป็นกราฟิกการ์ดที่มุ่งเน้นการประมวลผลประสิทธิภาพสูงและ AI หาก Intel เปิดตัว Rialto Bridge ในปี 2024 น่าจะทำให้พวกเขาสามารถแข่งขันกับ NVIDIA Hopper H100 ได้อย่างสบาย แต่พวกเขากลับไม่สามารถจับโอกาสนั้นได้ ทำให้รายได้ในส่วนของ AI ต่ำที่สุดในบรรดาคู่แข่ง
Koduri ได้เสนอแนะวิธีการที่เขาเชื่อว่าจะสามารถขับเคลื่อน Intel ไปข้างหน้าได้และหวังว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรได้ในอนาคตประกอบด้วย
1) การลดกระบวนการตัดสินใจที่ซับซ้อน: Koduri กล่าวว่ากระบวนการบริหารที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดและความซับซ้อนเป็นปัญหาหลักที่ทำให้ Intel ไม่สามารถก้าวหน้าได้ เขาแนะนำว่า Intel ควรปรับลดขั้นตอนการตัดสินใจให้น้อยลงและให้ความสำคัญกับผลลัพธ์จริงจังมากขึ้น
2) การปรับปรุงการวิจัยและพัฒนา: Intel ควรมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาในเทคโนโลยีใหม่ ๆ และเน้นการทดลองนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยไม่กลัวความล้มเหลว Koduri เชื่อว่าการทดลองและนวัตกรรมเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้บริษัทก้าวหน้าได้
3) การนำโครงการที่ถูกยกเลิกกลับมาใช้ใหม่: Koduri กล่าวว่าโครงการบางโครงการที่ถูกยกเลิก เช่น Rialto Bridge และ Falcon Shores นั้นมีศักยภาพในการแข่งขันกับคู่แข่ง แต่กลับไม่สามารถเปิดตัวได้เนื่องจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด เขาแนะนำให้พิจารณาการนำโครงการเหล่านี้กลับมาใช้ใหม่
4) การเสริมสร้างทีมงานที่มีความสามารถ: Koduri เน้นถึงความสำคัญของการมีทีมงานที่มีความสามารถและมีความรับผิดชอบในทุกชั้นขององค์กร เขาเชื่อว่าการให้ทีมงานมีอิสระในการทำงานและการสนับสนุนที่เพียงพอจะทำให้บริษัทสามารถก้าวข้ามความท้าทายได้
5) การลดความกลัวในการทดลอง: Koduri กล่าวว่าควรสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการทดลองและการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยไม่ต้องกลัวความล้มเหลว การพัฒนานวัตกรรมต้องการความกล้าในการทดลองและการเรียนรู้จากความผิดพลาด
https://wccftech.com/intel-ex-exec-raja-koduri-says-you-dont-learn-without-shipping/Raja Koduri อดีตผู้บริหารของ Intel ที่เคยรับผิดชอบกลุ่มกราฟิกของบริษัท ได้ออกมาพูดถึงปัญหาภายในของ Intel ที่ทำให้นวัตกรรมไม่สามารถก้าวหน้าได้ โดยเขายกตัวอย่างโปรเจ็กต์ Falcon Shores ว่าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของปัญหานี้ Koduri อธิบายว่า Intel มีเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาหลายอย่างที่สามารถเปลี่ยนแปลงตลาดได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในศูนย์ข้อมูล อุปกรณ์ปลายทาง หรืออุปกรณ์ส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักคือผู้นำบริษัทที่ไม่สามารถทำให้ Intel ตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมได้ ซึ่งเขากล่าวถึงการตัดสินใจทางการเมืองและกระบวนการที่ทำให้การพัฒนาช้าลง ในบทความที่เขาโพสต์ใน X, Koduri กล่าวถึงปัญหาที่เขาเรียกว่า "งูในสเปรดชีตและพาวเวอร์พอยต์" ที่หมายถึงการตัดสินใจที่เกิดขึ้นจากกระบวนการบริหารที่ซับซ้อนและไม่เข้าใจถึงความสำคัญของประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งทำให้ความพยายามในการทดลองนวัตกรรมใหม่ ๆ ต้องหยุดชะงัก Koduri ยังกล่าวถึงอดีต CEO Andy Grove ว่าเป็นคนเดียวที่เข้าใจถึงรายละเอียดของทุกชั้นในองค์กรของ Intel และเขาเชื่อว่า Intel ยังคงมีศักยภาพในการแข่งขันกับ NVIDIA ในระยะยาว แต่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าความคาดหวังเท่านั้น ตัวอย่างที่ Koduri ยกขึ้นมาคือโปรเจ็กต์ Rialto Bridge และ Falcon Shores ซึ่งเป็นกราฟิกการ์ดที่มุ่งเน้นการประมวลผลประสิทธิภาพสูงและ AI หาก Intel เปิดตัว Rialto Bridge ในปี 2024 น่าจะทำให้พวกเขาสามารถแข่งขันกับ NVIDIA Hopper H100 ได้อย่างสบาย แต่พวกเขากลับไม่สามารถจับโอกาสนั้นได้ ทำให้รายได้ในส่วนของ AI ต่ำที่สุดในบรรดาคู่แข่ง Koduri ได้เสนอแนะวิธีการที่เขาเชื่อว่าจะสามารถขับเคลื่อน Intel ไปข้างหน้าได้และหวังว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรได้ในอนาคตประกอบด้วย 1) การลดกระบวนการตัดสินใจที่ซับซ้อน: Koduri กล่าวว่ากระบวนการบริหารที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดและความซับซ้อนเป็นปัญหาหลักที่ทำให้ Intel ไม่สามารถก้าวหน้าได้ เขาแนะนำว่า Intel ควรปรับลดขั้นตอนการตัดสินใจให้น้อยลงและให้ความสำคัญกับผลลัพธ์จริงจังมากขึ้น 2) การปรับปรุงการวิจัยและพัฒนา: Intel ควรมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาในเทคโนโลยีใหม่ ๆ และเน้นการทดลองนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยไม่กลัวความล้มเหลว Koduri เชื่อว่าการทดลองและนวัตกรรมเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้บริษัทก้าวหน้าได้ 3) การนำโครงการที่ถูกยกเลิกกลับมาใช้ใหม่: Koduri กล่าวว่าโครงการบางโครงการที่ถูกยกเลิก เช่น Rialto Bridge และ Falcon Shores นั้นมีศักยภาพในการแข่งขันกับคู่แข่ง แต่กลับไม่สามารถเปิดตัวได้เนื่องจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด เขาแนะนำให้พิจารณาการนำโครงการเหล่านี้กลับมาใช้ใหม่ 4) การเสริมสร้างทีมงานที่มีความสามารถ: Koduri เน้นถึงความสำคัญของการมีทีมงานที่มีความสามารถและมีความรับผิดชอบในทุกชั้นขององค์กร เขาเชื่อว่าการให้ทีมงานมีอิสระในการทำงานและการสนับสนุนที่เพียงพอจะทำให้บริษัทสามารถก้าวข้ามความท้าทายได้ 5) การลดความกลัวในการทดลอง: Koduri กล่าวว่าควรสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการทดลองและการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยไม่ต้องกลัวความล้มเหลว การพัฒนานวัตกรรมต้องการความกล้าในการทดลองและการเรียนรู้จากความผิดพลาด https://wccftech.com/intel-ex-exec-raja-koduri-says-you-dont-learn-without-shipping/WCCFTECH.COMIntel's Ex-Exec Raja Koduri Says "You Don't Learn Without Shipping"; Gives A Rundown Into What's Wrong With Team Blue & How Intel Is Held Back By Bureaucratic SnakesIntel's former executive Raja Koduri has revealed that Team Blue's internal structure "stifles innovation", citing Falcon Shores as example.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว - บริษัท Dell กำลังจะทำสัญญากับบริษัท xAI ของ Elon Musk เพื่อส่งมอบเซิร์ฟเวอร์ที่มีมูลค่าถึง $5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้จะใช้ชิป Nvidia GB200 ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผลทางด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ข้อตกลงนี้คาดว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Memphis supercomputer ของ xAI ซึ่งกำลังสร้างขึ้นในเมืองเมมฟิส โดยใช้เซิร์ฟเวอร์จาก Dell และ Supermicro บางส่วน รายงานบอกว่าข้อตกลงนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาบางส่วน แต่คาดว่าจะสามารถส่งมอบเซิร์ฟเวอร์ได้ในปลายปี 2025
Elon Musk เคยกล่าวไว้ว่า "การจะสามารถแข่งขันในด้าน AI ได้นั้นต้องใช้เงินหลายพันล้านเหรียญต่อปี" และครั้งนี้เขาได้แสดงให้เห็นถึงการทุ่มทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ AI อย่างจริงจัง
นอกจากนี้ Dell ยังคาดการณ์ว่ารายได้จากเซิร์ฟเวอร์ AI ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น $14 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปีงบประมาณ 2026 การชนะข้อตกลงนี้จะทำให้ Dell สามารถยกระดับสถานะของตนในตลาดเซิร์ฟเวอร์ที่รองรับ AI ได้อย่างชัดเจน
ก่อนหน้านี้ HPE ได้รับสัญญามูลค่า $1 พันล้านเหรียญสหรัฐจาก xAI เพื่อส่งมอบเซิร์ฟเวอร์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการทำงาน AI ซึ่งแสดงถึงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดนี้ การที่ Dell สามารถเข้ามาแย่งข้อตกลงจากคู่แข่งยิ่งทำให้เห็นว่า Dell มีความตั้งใจที่จะขยายตลาดนี้อย่างจริงจัง
นักวิเคราะห์คาดว่า Dell จะส่งมอบเซิร์ฟเวอร์ AI มูลค่ามากกว่า $10 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีงบประมาณที่ผ่านมา และมูลค่านี้จะเพิ่มขึ้นเป็น $14 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2026 การทำสัญญากับ xAI ครั้งนี้จะช่วยยกระดับสถานะของ Dell ในตลาด AI และเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทอย่างชัดเจน ซึ่งนักวิเคราะห์ Woo Jin Ho ของ Bloomberg Intelligence ระบุว่าจะ "ทำให้บริษัทกลายเป็นผู้นำด้านเซิร์ฟเวอร์ AI อย่างมั่นคง"
https://www.techradar.com/pro/xai-could-sign-a-usd5-billion-deal-with-dell-for-thousands-of-servers-with-nvidias-gb200-blackwell-ai-gpu-acceleratorsบริษัท Dell กำลังจะทำสัญญากับบริษัท xAI ของ Elon Musk เพื่อส่งมอบเซิร์ฟเวอร์ที่มีมูลค่าถึง $5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้จะใช้ชิป Nvidia GB200 ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผลทางด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ข้อตกลงนี้คาดว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Memphis supercomputer ของ xAI ซึ่งกำลังสร้างขึ้นในเมืองเมมฟิส โดยใช้เซิร์ฟเวอร์จาก Dell และ Supermicro บางส่วน รายงานบอกว่าข้อตกลงนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาบางส่วน แต่คาดว่าจะสามารถส่งมอบเซิร์ฟเวอร์ได้ในปลายปี 2025 Elon Musk เคยกล่าวไว้ว่า "การจะสามารถแข่งขันในด้าน AI ได้นั้นต้องใช้เงินหลายพันล้านเหรียญต่อปี" และครั้งนี้เขาได้แสดงให้เห็นถึงการทุ่มทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ AI อย่างจริงจัง นอกจากนี้ Dell ยังคาดการณ์ว่ารายได้จากเซิร์ฟเวอร์ AI ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น $14 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปีงบประมาณ 2026 การชนะข้อตกลงนี้จะทำให้ Dell สามารถยกระดับสถานะของตนในตลาดเซิร์ฟเวอร์ที่รองรับ AI ได้อย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ HPE ได้รับสัญญามูลค่า $1 พันล้านเหรียญสหรัฐจาก xAI เพื่อส่งมอบเซิร์ฟเวอร์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการทำงาน AI ซึ่งแสดงถึงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดนี้ การที่ Dell สามารถเข้ามาแย่งข้อตกลงจากคู่แข่งยิ่งทำให้เห็นว่า Dell มีความตั้งใจที่จะขยายตลาดนี้อย่างจริงจัง นักวิเคราะห์คาดว่า Dell จะส่งมอบเซิร์ฟเวอร์ AI มูลค่ามากกว่า $10 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีงบประมาณที่ผ่านมา และมูลค่านี้จะเพิ่มขึ้นเป็น $14 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2026 การทำสัญญากับ xAI ครั้งนี้จะช่วยยกระดับสถานะของ Dell ในตลาด AI และเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทอย่างชัดเจน ซึ่งนักวิเคราะห์ Woo Jin Ho ของ Bloomberg Intelligence ระบุว่าจะ "ทำให้บริษัทกลายเป็นผู้นำด้านเซิร์ฟเวอร์ AI อย่างมั่นคง" https://www.techradar.com/pro/xai-could-sign-a-usd5-billion-deal-with-dell-for-thousands-of-servers-with-nvidias-gb200-blackwell-ai-gpu-acceleratorsWWW.TECHRADAR.COMDell's deal with Grok's mothership set to be confirmed according to business reportsThe order is expected to form part of xAI's Memphis supercomputer project0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว - ข่าวนี้กล่าวถึงการซื้อกิจการของบริษัท Seagate ที่มีเป้าหมายจะเข้าซื้อบริษัท Intevac ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตฮาร์ดดิสก์แบบ HAMR (Heat-Assisted Magnetic Recording) การซื้อกิจการนี้มีความสำคัญเพราะ HAMR ถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีที่สามารถนำฮาร์ดดิสก์ให้มีความจุสูงถึง 100TB หรือมากกว่าในอนาคต
Seagate ประกาศการซื้อ Intevac ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2025 หลังจากที่เพิ่งเปิดตัวฮาร์ดดิสก์ขนาด 36TB และประกาศว่าจะมีรุ่น 60TB ตามมาในไม่ช้า ด้วยการเข้าซื้อ Intevac ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตระบบ sputtering สำหรับการเคลือบวัสดุบาง ๆ เช่น โลหะผสมเหล็ก-แพลทินัม (FePt) ลงบนแผ่นฮาร์ดดิสก์ จะช่วยให้ Seagate สามารถผลิตชั้นแม่เหล็กที่มีความสม่ำเสมอสูง มีอัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวนที่ดีขึ้น และมีข้อบกพร่องน้อยลง ส่งผลให้การเก็บข้อมูลมีความหนาแน่นมากขึ้น
เทคโนโลยี HAMR ใช้ความร้อนในการลดความต้านทานแม่เหล็ก ทำให้สามารถเขียนข้อมูลเป็นหน่วยที่เล็กและเสถียรกว่า ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มความจุของฮาร์ดดิสก์
การซื้อกิจการนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการของ Intevac แล้ว โดยมีข้อตกลงให้ Seagate ซื้อ Intevac ด้วยเงินสดในราคาหุ้นละ $4 การซื้อขายนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเดือนเมษายน 2025
อย่างไรก็ตาม การซื้อกิจการนี้อาจถูกคัดค้านจากคู่แข่งอย่าง Western Digital และ Resonac ซึ่งเป็นลูกค้าของ Toshiba เนื่องจากกังวลว่าการซื้อกิจการจะทำให้การแข่งขันลดลงและอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตฮาร์ดดิสก์แบบ HAMR ของพวกเขา
Seagate คาดว่าจะสามารถเพิ่มการผลิตฮาร์ดดิสก์แบบ HAMR ได้หลังจากการซื้อกิจการนี้ แต่การกระทำดังกล่าวอาจทำให้ Western Digital และ Toshiba ต้องซื้อเครื่องมือ sputtering จาก Seagate ซึ่งเป็นคู่แข่งที่สำคัญ
https://www.techradar.com/pro/race-to-100tb-hdd-heats-up-as-seagate-pulls-rug-under-western-digital-toshiba-feet-by-acquiring-hamr-specialistข่าวนี้กล่าวถึงการซื้อกิจการของบริษัท Seagate ที่มีเป้าหมายจะเข้าซื้อบริษัท Intevac ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตฮาร์ดดิสก์แบบ HAMR (Heat-Assisted Magnetic Recording) การซื้อกิจการนี้มีความสำคัญเพราะ HAMR ถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีที่สามารถนำฮาร์ดดิสก์ให้มีความจุสูงถึง 100TB หรือมากกว่าในอนาคต Seagate ประกาศการซื้อ Intevac ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2025 หลังจากที่เพิ่งเปิดตัวฮาร์ดดิสก์ขนาด 36TB และประกาศว่าจะมีรุ่น 60TB ตามมาในไม่ช้า ด้วยการเข้าซื้อ Intevac ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตระบบ sputtering สำหรับการเคลือบวัสดุบาง ๆ เช่น โลหะผสมเหล็ก-แพลทินัม (FePt) ลงบนแผ่นฮาร์ดดิสก์ จะช่วยให้ Seagate สามารถผลิตชั้นแม่เหล็กที่มีความสม่ำเสมอสูง มีอัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวนที่ดีขึ้น และมีข้อบกพร่องน้อยลง ส่งผลให้การเก็บข้อมูลมีความหนาแน่นมากขึ้น เทคโนโลยี HAMR ใช้ความร้อนในการลดความต้านทานแม่เหล็ก ทำให้สามารถเขียนข้อมูลเป็นหน่วยที่เล็กและเสถียรกว่า ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มความจุของฮาร์ดดิสก์ การซื้อกิจการนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการของ Intevac แล้ว โดยมีข้อตกลงให้ Seagate ซื้อ Intevac ด้วยเงินสดในราคาหุ้นละ $4 การซื้อขายนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเดือนเมษายน 2025 อย่างไรก็ตาม การซื้อกิจการนี้อาจถูกคัดค้านจากคู่แข่งอย่าง Western Digital และ Resonac ซึ่งเป็นลูกค้าของ Toshiba เนื่องจากกังวลว่าการซื้อกิจการจะทำให้การแข่งขันลดลงและอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตฮาร์ดดิสก์แบบ HAMR ของพวกเขา Seagate คาดว่าจะสามารถเพิ่มการผลิตฮาร์ดดิสก์แบบ HAMR ได้หลังจากการซื้อกิจการนี้ แต่การกระทำดังกล่าวอาจทำให้ Western Digital และ Toshiba ต้องซื้อเครื่องมือ sputtering จาก Seagate ซึ่งเป็นคู่แข่งที่สำคัญ https://www.techradar.com/pro/race-to-100tb-hdd-heats-up-as-seagate-pulls-rug-under-western-digital-toshiba-feet-by-acquiring-hamr-specialistWWW.TECHRADAR.COMHas Seagate scored a game-changing deal? World's largest HDD vendor buys HAMR company, critical to 100TB HDD goalBarring legal challenges, Seagate deal could close imminently0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว - Google Cloud ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับ Cloud Key Management Service (Cloud KMS) ซึ่งรวมถึงลายเซ็นดิจิทัลที่ปลอดภัยจากควอนตัม (Quantum-Safe Digital Signatures) ซึ่งสามารถใช้งานได้ในสถานะพรีวิว ฟีเจอร์นี้ถูกพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อมาตรฐานการเข้ารหัสหลังควอนตัม (Post-Quantum Cryptography: PQC) ของสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIST) ซึ่งคำนึงถึงความเสี่ยงในอนาคตที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมอาจทำลายระบบเข้ารหัสแบบเดิมได้
Cloud KMS เป็นเครื่องมือของ Google Cloud สำหรับการจัดการคีย์การเข้ารหัสที่ใช้เข้ารหัสและเซ็นข้อมูลอย่างปลอดภัย แต่การใช้การเข้ารหัสแบบปัจจุบันเช่น RSA และ ECC อาจมีความเสี่ยงที่ข้อมูลจะถูกเปิดเผยในอนาคตผ่านการโจมตีแบบ "เก็บข้อมูลไว้ก่อนและถอดรหัสภายหลัง" (Harvest Now, Decrypt Later: HNDL) แม้ว่าคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่สามารถทำลายการเข้ารหัสแบบปัจจุบันยังไม่มีอยู่ในขณะนี้ ผู้เชี่ยวชาญทุกคนเห็นว่าความเสี่ยงนี้สูงเกินไปที่จะเพิกเฉย
เพื่อป้องกันข้อมูลในอนาคต Google ได้รวมการเข้ารหัสที่ปลอดภัยจากควอนตัมเข้ากับ Cloud KMS และ Cloud HSM (Hardware Security Modules) ซึ่งใช้สองอัลกอริธึมใหม่คือ ML-DSA-65 (FIPS 204) ซึ่งเป็นอัลกอริธึมลายเซ็นดิจิทัลแบบ lattice-based และ SLH-DSA-SHA2-128S (FIPS 205) ซึ่งเป็นอัลกอริธึมลายเซ็นดิจิทัลแบบ stateless hash-based
ลายเซ็นดิจิทัลที่ปลอดภัยจากควอนตัมจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเซ็นและตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัลได้เหมือนกับการใช้การเข้ารหัสแบบคลาสสิค โดยการใช้งานอัลกอริธึม PQC ใหม่นี้จะเปิดให้ใช้งานได้ผ่านซอฟต์แวร์ BoringCrypto และ Tink ที่เป็นโอเพนซอร์ส ซึ่งจะช่วยรักษาความโปร่งใสและอนุญาตให้อิสระในการตรวจสอบด้านความปลอดภัย
Google ยังเชิญชวนองค์กรต่าง ๆ ให้เริ่มทดสอบและรวมอัลกอริธึมที่ปลอดภัยจากควอนตัมเข้ากับระบบที่มีอยู่ และรายงานปัญหาที่พบเพื่อช่วยปรับปรุง
การเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่นี้เป็นการตอบสนองต่อการประกาศความก้าวหน้าในด้านควอนตัมของ Microsoft ที่เปิดตัวชิป Majorana 1 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการสร้างคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต
https://www.bleepingcomputer.com/news/security/google-cloud-introduces-quantum-safe-digital-signatures-in-kms/Google Cloud ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับ Cloud Key Management Service (Cloud KMS) ซึ่งรวมถึงลายเซ็นดิจิทัลที่ปลอดภัยจากควอนตัม (Quantum-Safe Digital Signatures) ซึ่งสามารถใช้งานได้ในสถานะพรีวิว ฟีเจอร์นี้ถูกพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อมาตรฐานการเข้ารหัสหลังควอนตัม (Post-Quantum Cryptography: PQC) ของสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIST) ซึ่งคำนึงถึงความเสี่ยงในอนาคตที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมอาจทำลายระบบเข้ารหัสแบบเดิมได้ Cloud KMS เป็นเครื่องมือของ Google Cloud สำหรับการจัดการคีย์การเข้ารหัสที่ใช้เข้ารหัสและเซ็นข้อมูลอย่างปลอดภัย แต่การใช้การเข้ารหัสแบบปัจจุบันเช่น RSA และ ECC อาจมีความเสี่ยงที่ข้อมูลจะถูกเปิดเผยในอนาคตผ่านการโจมตีแบบ "เก็บข้อมูลไว้ก่อนและถอดรหัสภายหลัง" (Harvest Now, Decrypt Later: HNDL) แม้ว่าคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่สามารถทำลายการเข้ารหัสแบบปัจจุบันยังไม่มีอยู่ในขณะนี้ ผู้เชี่ยวชาญทุกคนเห็นว่าความเสี่ยงนี้สูงเกินไปที่จะเพิกเฉย เพื่อป้องกันข้อมูลในอนาคต Google ได้รวมการเข้ารหัสที่ปลอดภัยจากควอนตัมเข้ากับ Cloud KMS และ Cloud HSM (Hardware Security Modules) ซึ่งใช้สองอัลกอริธึมใหม่คือ ML-DSA-65 (FIPS 204) ซึ่งเป็นอัลกอริธึมลายเซ็นดิจิทัลแบบ lattice-based และ SLH-DSA-SHA2-128S (FIPS 205) ซึ่งเป็นอัลกอริธึมลายเซ็นดิจิทัลแบบ stateless hash-based ลายเซ็นดิจิทัลที่ปลอดภัยจากควอนตัมจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเซ็นและตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัลได้เหมือนกับการใช้การเข้ารหัสแบบคลาสสิค โดยการใช้งานอัลกอริธึม PQC ใหม่นี้จะเปิดให้ใช้งานได้ผ่านซอฟต์แวร์ BoringCrypto และ Tink ที่เป็นโอเพนซอร์ส ซึ่งจะช่วยรักษาความโปร่งใสและอนุญาตให้อิสระในการตรวจสอบด้านความปลอดภัย Google ยังเชิญชวนองค์กรต่าง ๆ ให้เริ่มทดสอบและรวมอัลกอริธึมที่ปลอดภัยจากควอนตัมเข้ากับระบบที่มีอยู่ และรายงานปัญหาที่พบเพื่อช่วยปรับปรุง การเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่นี้เป็นการตอบสนองต่อการประกาศความก้าวหน้าในด้านควอนตัมของ Microsoft ที่เปิดตัวชิป Majorana 1 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการสร้างคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต https://www.bleepingcomputer.com/news/security/google-cloud-introduces-quantum-safe-digital-signatures-in-kms/WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COMGoogle Cloud introduces quantum-safe digital signatures in KMSGoogle Cloud has introduced quantum-safe digital signatures to its Cloud Key Management Service (Cloud KMS), making them available in preview.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว - มีรายงานเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูลแชทภายในของกลุ่มแรนซัมแวร์ Black Basta ซึ่งถูกเปิดเผยโดยบุคคลลึกลับที่ใช้ชื่อว่า ExploitWhispers ข้อมูลดังกล่าวได้ถูกอัพโหลดไปยังช่อง Telegram เฉพาะทาง ซึ่งข้อมูลนี้ถูกพบว่ามีการเก็บบันทึกการแชทภายในตั้งแต่เดือนกันยายน 2023 ถึงกันยายน 2024
การรั่วไหลดังกล่าวมีข้อมูลหลากหลาย เช่น เทมเพลตฟิชชิ่ง อีเมลที่ใช้ในการส่งฟิชชิ่ง ที่อยู่คริปโตเคอร์เรนซี ข้อมูลรั่วไหลของเหยื่อ และข้อมูลการยืนยันการโจมตีแบบต่าง ๆ นอกจากนี้ยังพบลิงก์ ZoomInfo ที่มีมากถึง 367 ลิงก์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีบริษัทมากมายที่ถูกกลุ่มนี้โจมตีในช่วงเวลานี้
หนึ่งในบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการรั่วไหลครั้งนี้ อ้างว่าการรั่วไหลเกิดขึ้นเพราะกลุ่ม Black Basta ได้โจมตีธนาคารรัสเซีย นอกจากนี้ PRODAFT บริษัทข่าวกรองภัยคุกคามไซเบอร์ กล่าวว่ากลุ่ม Black Basta มีความขัดแย้งภายในและบางสมาชิกยังเคยหลอกลวงเหยื่อด้วยการเก็บเงินค่าไถ่โดยไม่ให้ decryptors ที่ใช้งานได้
กลุ่ม Black Basta เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์ที่มีชื่อเสียงและมีเหยื่อหลากหลายทั่วโลก รวมถึงบริษัทในเครือข่ายด้านการดูแลสุขภาพและหน่วยงานรัฐบาล พวกเขาเคยโจมตีบริษัทต่าง ๆ เช่น Rheinmetall (ผู้ผลิตเครื่องยนต์และอาวุธชั้นนำของเยอรมนี), Hyundai's European division, BT Group (อดีต British Telecom), Ascension (บริษัทการดูแลสุขภาพในสหรัฐ), ABB (ผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐ), American Dental Association, Capita (บริษัทด้านเทคโนโลยีในสหราชอาณาจักร), Toronto Public Library และ Yellow Pages Canada
Black Basta เริ่มกิจการในเดือนเมษายน 2022 และกลายเป็นที่รู้จักเพราะการโจมตีองค์กรและเก็บค่าไถ่มากถึง $100 ล้านจากเหยื่อกว่า 90 รายจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2023 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 นักวิจัยจากยูเครนเคยรั่วไหลข้อมูลการแชทภายในและซอร์สโค้ดของ Conti ransomware ซึ่งมีพื้นฐานเป็นกลุ่มแรนซัมแวร์ชื่อดังจากรัสเซีย
https://www.bleepingcomputer.com/news/security/black-basta-ransomware-gang-s-internal-chat-logs-leak-online/มีรายงานเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูลแชทภายในของกลุ่มแรนซัมแวร์ Black Basta ซึ่งถูกเปิดเผยโดยบุคคลลึกลับที่ใช้ชื่อว่า ExploitWhispers ข้อมูลดังกล่าวได้ถูกอัพโหลดไปยังช่อง Telegram เฉพาะทาง ซึ่งข้อมูลนี้ถูกพบว่ามีการเก็บบันทึกการแชทภายในตั้งแต่เดือนกันยายน 2023 ถึงกันยายน 2024 การรั่วไหลดังกล่าวมีข้อมูลหลากหลาย เช่น เทมเพลตฟิชชิ่ง อีเมลที่ใช้ในการส่งฟิชชิ่ง ที่อยู่คริปโตเคอร์เรนซี ข้อมูลรั่วไหลของเหยื่อ และข้อมูลการยืนยันการโจมตีแบบต่าง ๆ นอกจากนี้ยังพบลิงก์ ZoomInfo ที่มีมากถึง 367 ลิงก์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีบริษัทมากมายที่ถูกกลุ่มนี้โจมตีในช่วงเวลานี้ หนึ่งในบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการรั่วไหลครั้งนี้ อ้างว่าการรั่วไหลเกิดขึ้นเพราะกลุ่ม Black Basta ได้โจมตีธนาคารรัสเซีย นอกจากนี้ PRODAFT บริษัทข่าวกรองภัยคุกคามไซเบอร์ กล่าวว่ากลุ่ม Black Basta มีความขัดแย้งภายในและบางสมาชิกยังเคยหลอกลวงเหยื่อด้วยการเก็บเงินค่าไถ่โดยไม่ให้ decryptors ที่ใช้งานได้ กลุ่ม Black Basta เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์ที่มีชื่อเสียงและมีเหยื่อหลากหลายทั่วโลก รวมถึงบริษัทในเครือข่ายด้านการดูแลสุขภาพและหน่วยงานรัฐบาล พวกเขาเคยโจมตีบริษัทต่าง ๆ เช่น Rheinmetall (ผู้ผลิตเครื่องยนต์และอาวุธชั้นนำของเยอรมนี), Hyundai's European division, BT Group (อดีต British Telecom), Ascension (บริษัทการดูแลสุขภาพในสหรัฐ), ABB (ผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐ), American Dental Association, Capita (บริษัทด้านเทคโนโลยีในสหราชอาณาจักร), Toronto Public Library และ Yellow Pages Canada Black Basta เริ่มกิจการในเดือนเมษายน 2022 และกลายเป็นที่รู้จักเพราะการโจมตีองค์กรและเก็บค่าไถ่มากถึง $100 ล้านจากเหยื่อกว่า 90 รายจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2023 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 นักวิจัยจากยูเครนเคยรั่วไหลข้อมูลการแชทภายในและซอร์สโค้ดของ Conti ransomware ซึ่งมีพื้นฐานเป็นกลุ่มแรนซัมแวร์ชื่อดังจากรัสเซีย https://www.bleepingcomputer.com/news/security/black-basta-ransomware-gang-s-internal-chat-logs-leak-online/WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COMBlack Basta ransomware gang's internal chat logs leak onlineAn unknown leaker has released what they claim to be an archive of internal Matrix chat logs belonging to the Black Basta ransomware operation.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว - ฝึกกล้ามหลัง ด้วย Dumbbellsฝึกกล้ามหลัง ด้วย Dumbbells0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 4 0 รีวิว
- Morse Micro เพิ่งเปิดตัวเราเตอร์รุ่นใหม่ MM-HL1-EXT ที่มีเทคโนโลยี Wi-Fi HaLow ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องการเชื่อมต่อระยะไกลได้ถึง 10 ไมล์ ในพื้นที่ชนบท และ 1.86 ไมล์ในพื้นที่เมือง โดยใช้มาตรฐาน IEEE 802.11ah Wi-Fi HaLow เราเตอร์นี้ยังรองรับ Wi-Fi 4 (802.11n) ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 300Mbps ในย่านความถี่ 2.4GHz และ 32Mbps ในย่านความถี่ 900MHz ที่เป็นมาตรฐานในสหรัฐอเมริกา ทำให้มันเป็นโซลูชันการเชื่อมต่อที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างและตอบสนองต่อการใช้งาน IoT และอุตสาหกรรมได้ดี
เราเตอร์ MM-HL1-EXT ขับเคลื่อนด้วย MediaTek MT7621A ซีพียูแบบดูอัลคอร์ พร้อมกับหน่วยความจำ DRAM ขนาด 256MB และ NAND flash ขนาด 32MB โมดูลวิทยุใช้ชิปเซ็ต MM6108 ของ Morse Micro ควบคู่กับ AzureWave AW-HM593 ที่ส่งพลังงานได้สูงสุดถึง 23 dBm เราเตอร์ยังมีพอร์ต Ethernet แบบกิกะบิต 2 พอร์ต และรองรับการเชื่อมต่อผ่าน Ethernet-over-USB อีกด้วย
เราเตอร์นี้ยังทำงานบนแพลตฟอร์ม OpenWrt 23.05 ที่เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สและสามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ รองรับการอัปเดตเฟิร์มแวร์ออนไลน์ ทำให้สามารถปรับตัวได้ตามความต้องการในอนาคต
ถึงแม้ว่าเราเตอร์นี้จะมีความเร็ว Wi-Fi HaLow สูงสุดที่ 32Mbps ที่แบนด์วิดธ์ 8MHz แต่ด้วยความสามารถในการรองรับ Wi-Fi 4 ที่ความเร็วสูงสุด 300Mbps ที่แบนด์วิดธ์ 40MHz ทำให้มันมีความหลากหลายและเหมาะสมสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมที่มีความรุนแรง สองหน่วยของ HaLowLink 1 สามารถใช้เป็นทางเลือกไร้สายแทนการติดตั้งภายนอกและการติดตั้งระยะไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้เราเตอร์ MM-HL1-EXT ได้รับการรับรองการใช้งานในอเมริกาเหนือ (FCC), แคนาดา (IC) และออสเตรเลีย (RCM) Morse Micro กำลังดำเนินการเพื่อรับรองการใช้งานใน EMEA (868MHz) และเอเชียด้วย
ที่น่าสนใจคือ Morse Micro ได้พัฒนาเทคโนโลยี Wi-Fi HaLow มานานเกือบสิบปี และได้แสดงความสามารถของฮาร์ดแวร์เราเตอร์ที่สามารถครอบคลุมระยะทาง 2 ไมล์ด้วยแบตเตอรี่เหรียญได้ ในการทดสอบเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 และเพิ่มระยะทางเป็น 10 ไมล์ในเดือนกันยายน
ปัจจุบันเราเตอร์ MM-HL1-EXT มีวางจำหน่ายใน Mouser ราคาประมาณ $99 โดยสต็อกยังมีจำกัด แต่คาดว่าจะมีสินค้ามากขึ้นในวันที่ 14 เมษายน 2025 สำหรับการสั่งซื้อจำนวนมากมีเวลารอจากโรงงานประมาณแปดสัปดาห์
https://www.techspot.com/news/106889-morse-micro-mm-hl1-ext-router-combines-wi.htmlMorse Micro เพิ่งเปิดตัวเราเตอร์รุ่นใหม่ MM-HL1-EXT ที่มีเทคโนโลยี Wi-Fi HaLow ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องการเชื่อมต่อระยะไกลได้ถึง 10 ไมล์ ในพื้นที่ชนบท และ 1.86 ไมล์ในพื้นที่เมือง โดยใช้มาตรฐาน IEEE 802.11ah Wi-Fi HaLow เราเตอร์นี้ยังรองรับ Wi-Fi 4 (802.11n) ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 300Mbps ในย่านความถี่ 2.4GHz และ 32Mbps ในย่านความถี่ 900MHz ที่เป็นมาตรฐานในสหรัฐอเมริกา ทำให้มันเป็นโซลูชันการเชื่อมต่อที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างและตอบสนองต่อการใช้งาน IoT และอุตสาหกรรมได้ดี เราเตอร์ MM-HL1-EXT ขับเคลื่อนด้วย MediaTek MT7621A ซีพียูแบบดูอัลคอร์ พร้อมกับหน่วยความจำ DRAM ขนาด 256MB และ NAND flash ขนาด 32MB โมดูลวิทยุใช้ชิปเซ็ต MM6108 ของ Morse Micro ควบคู่กับ AzureWave AW-HM593 ที่ส่งพลังงานได้สูงสุดถึง 23 dBm เราเตอร์ยังมีพอร์ต Ethernet แบบกิกะบิต 2 พอร์ต และรองรับการเชื่อมต่อผ่าน Ethernet-over-USB อีกด้วย เราเตอร์นี้ยังทำงานบนแพลตฟอร์ม OpenWrt 23.05 ที่เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สและสามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ รองรับการอัปเดตเฟิร์มแวร์ออนไลน์ ทำให้สามารถปรับตัวได้ตามความต้องการในอนาคต ถึงแม้ว่าเราเตอร์นี้จะมีความเร็ว Wi-Fi HaLow สูงสุดที่ 32Mbps ที่แบนด์วิดธ์ 8MHz แต่ด้วยความสามารถในการรองรับ Wi-Fi 4 ที่ความเร็วสูงสุด 300Mbps ที่แบนด์วิดธ์ 40MHz ทำให้มันมีความหลากหลายและเหมาะสมสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมที่มีความรุนแรง สองหน่วยของ HaLowLink 1 สามารถใช้เป็นทางเลือกไร้สายแทนการติดตั้งภายนอกและการติดตั้งระยะไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้เราเตอร์ MM-HL1-EXT ได้รับการรับรองการใช้งานในอเมริกาเหนือ (FCC), แคนาดา (IC) และออสเตรเลีย (RCM) Morse Micro กำลังดำเนินการเพื่อรับรองการใช้งานใน EMEA (868MHz) และเอเชียด้วย ที่น่าสนใจคือ Morse Micro ได้พัฒนาเทคโนโลยี Wi-Fi HaLow มานานเกือบสิบปี และได้แสดงความสามารถของฮาร์ดแวร์เราเตอร์ที่สามารถครอบคลุมระยะทาง 2 ไมล์ด้วยแบตเตอรี่เหรียญได้ ในการทดสอบเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 และเพิ่มระยะทางเป็น 10 ไมล์ในเดือนกันยายน ปัจจุบันเราเตอร์ MM-HL1-EXT มีวางจำหน่ายใน Mouser ราคาประมาณ $99 โดยสต็อกยังมีจำกัด แต่คาดว่าจะมีสินค้ามากขึ้นในวันที่ 14 เมษายน 2025 สำหรับการสั่งซื้อจำนวนมากมีเวลารอจากโรงงานประมาณแปดสัปดาห์ https://www.techspot.com/news/106889-morse-micro-mm-hl1-ext-router-combines-wi.htmlWWW.TECHSPOT.COMNew long-range Wi-Fi HaLow router hits the market for less than $100, up to 10-mile connectivityThe MM-HL1-EXT sets itself apart from conventional Wi-Fi routers by operating in the 900MHz band in the U.S. while also supporting 2.4GHz Wi-Fi 4 (802.11n). This dual-band...0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว -
- ครกตำข้าวครกม็องโบราณขนาดใหญ่สูง130ซม.ไม้ประดู่และเนื้อแข็ง ที่ปั่นฝ้ายโบราณไม้สัก สนใจโทรสอบถามได้082-1922198อยู่ลำพูนครับครกตำข้าวครกม็องโบราณขนาดใหญ่สูง130ซม.ไม้ประดู่และเนื้อแข็ง ที่ปั่นฝ้ายโบราณไม้สัก สนใจโทรสอบถามได้082-1922198อยู่ลำพูนครับ
- เป็นเรื่องน่าปวดหัวจริงๆ ครับ สำหรับการสู้กันของอาจารย์และ AI เพื่อที่จะทดสอบลูกศิษย์ว่ามีความรู้จริงๆ หรือเปล่า
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัย Minnesota ซึ่งนักศึกษาชื่อ Haishan Yang กำลังฟ้องร้องมหาวิทยาลัยหลังจากที่เขาถูกไล่ออกในปีที่แล้ว เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเขียนเรียงความสำหรับการสอบ Yang อายุ 33 ปี เป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาระดับปริญญาเอกที่สอง ขณะกำลังเดินทางไปประเทศโมร็อกโกในช่วงฤดูร้อนปี 2024 เขาได้ทำการสอบที่ต้องเขียนเรียงความ 3 ชิ้นภายในเวลา 8 ชั่วโมง
ถึงแม้ว่า Yang จะได้รับอนุญาตให้ใช้บันทึก รายงาน และหนังสือได้ แต่เครื่องมือ AI ถูกห้ามใช้ ทุกคณะบัณฑิตที่ตรวจสอบข้อสอบของ Yang แสดงความกังวลว่าเรียงความไม่ใช่ผลงานของเขาเอง พวกเขาชี้ถึงคำตอบที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ได้ถูกสอนในชั้นเรียน รวมทั้งการใช้ตัวย่อที่ไม่ค่อยพบในสาขานี้ แต่ปรากฏในคำตอบที่ถูกสร้างขึ้นโดย ChatGPT เป็นประจำ
นอกจากนี้ สองคณาจารย์ยังได้นำคำถามเรียงความไปให้ ChatGPT เพื่อเปรียบเทียบกับคำตอบของ Yang พบว่าการจัดรูปแบบ การใช้ภาษา และเนื้อหาเหมือนกันอย่างมาก ซึ่งศาสตราจารย์ Peter Huckfeldt ได้เขียนจดหมายถึงคณะกรรมการการพิจารณาว่า “ผมประหลาดใจในความคล้ายคลึงกันระหว่างสองสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่เป็นไปได้”
Yang อ้างว่าเหตุนี้เกิดจากการที่ OpenAI ใช้แหล่งข้อมูลเดียวกันกับเขา และกล่าวว่าคณาจารย์อาจแก้ไขคำตอบของ ChatGPT เพื่อให้ดูเหมือนกับคำตอบของเขา นอกจากนี้ยังกล่าวถึงปัญหาวิธีการตรวจสอบการใช้ AI ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือและมีอคติ โดยเฉพาะกับคนที่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแรก
Yang กล่าวถึงประสบการณ์ของเขาในฐานะผู้ช่วยวิจัยที่ได้รับการตัดการสนับสนุนทางการเงินจากมหาวิทยาลัยเนื่องจากการแสดงความเห็นไม่ดี หลังจากที่เขาโต้แย้งและชนะคดี มหาวิทยาลัย
ลุงรู้เรื่องปัญหาแบบนี้มานานแล้ว รู้สึกเฉยๆ สำหรับนักเรียนในระดับ ม.ต้น - ป.ตรี แต่นี่มัน ป.เอกเลยนะ Yang คงต้องเข้าใจสิว่าเขาปล่อยผ่านไม่ได้ง่ายๆ ส่วนการพรูฟที่ดีที่สุดในความคิดของลุงคือคือการทดสอบแบบถามตอบปากเปล่านี่แหละ
https://www.techspot.com/news/106881-university-minnesota-sued-student-who-ai-expulsion-part.htmlเป็นเรื่องน่าปวดหัวจริงๆ ครับ สำหรับการสู้กันของอาจารย์และ AI เพื่อที่จะทดสอบลูกศิษย์ว่ามีความรู้จริงๆ หรือเปล่า เรื่องนี้เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัย Minnesota ซึ่งนักศึกษาชื่อ Haishan Yang กำลังฟ้องร้องมหาวิทยาลัยหลังจากที่เขาถูกไล่ออกในปีที่แล้ว เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเขียนเรียงความสำหรับการสอบ Yang อายุ 33 ปี เป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาระดับปริญญาเอกที่สอง ขณะกำลังเดินทางไปประเทศโมร็อกโกในช่วงฤดูร้อนปี 2024 เขาได้ทำการสอบที่ต้องเขียนเรียงความ 3 ชิ้นภายในเวลา 8 ชั่วโมง ถึงแม้ว่า Yang จะได้รับอนุญาตให้ใช้บันทึก รายงาน และหนังสือได้ แต่เครื่องมือ AI ถูกห้ามใช้ ทุกคณะบัณฑิตที่ตรวจสอบข้อสอบของ Yang แสดงความกังวลว่าเรียงความไม่ใช่ผลงานของเขาเอง พวกเขาชี้ถึงคำตอบที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ได้ถูกสอนในชั้นเรียน รวมทั้งการใช้ตัวย่อที่ไม่ค่อยพบในสาขานี้ แต่ปรากฏในคำตอบที่ถูกสร้างขึ้นโดย ChatGPT เป็นประจำ นอกจากนี้ สองคณาจารย์ยังได้นำคำถามเรียงความไปให้ ChatGPT เพื่อเปรียบเทียบกับคำตอบของ Yang พบว่าการจัดรูปแบบ การใช้ภาษา และเนื้อหาเหมือนกันอย่างมาก ซึ่งศาสตราจารย์ Peter Huckfeldt ได้เขียนจดหมายถึงคณะกรรมการการพิจารณาว่า “ผมประหลาดใจในความคล้ายคลึงกันระหว่างสองสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่เป็นไปได้” Yang อ้างว่าเหตุนี้เกิดจากการที่ OpenAI ใช้แหล่งข้อมูลเดียวกันกับเขา และกล่าวว่าคณาจารย์อาจแก้ไขคำตอบของ ChatGPT เพื่อให้ดูเหมือนกับคำตอบของเขา นอกจากนี้ยังกล่าวถึงปัญหาวิธีการตรวจสอบการใช้ AI ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือและมีอคติ โดยเฉพาะกับคนที่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแรก Yang กล่าวถึงประสบการณ์ของเขาในฐานะผู้ช่วยวิจัยที่ได้รับการตัดการสนับสนุนทางการเงินจากมหาวิทยาลัยเนื่องจากการแสดงความเห็นไม่ดี หลังจากที่เขาโต้แย้งและชนะคดี มหาวิทยาลัย ลุงรู้เรื่องปัญหาแบบนี้มานานแล้ว รู้สึกเฉยๆ สำหรับนักเรียนในระดับ ม.ต้น - ป.ตรี แต่นี่มัน ป.เอกเลยนะ Yang คงต้องเข้าใจสิว่าเขาปล่อยผ่านไม่ได้ง่ายๆ ส่วนการพรูฟที่ดีที่สุดในความคิดของลุงคือคือการทดสอบแบบถามตอบปากเปล่านี่แหละ https://www.techspot.com/news/106881-university-minnesota-sued-student-who-ai-expulsion-part.htmlWWW.TECHSPOT.COMUniversity of Minnesota sued by student who says AI expulsion was part of a conspiracyHaishan Yang was working toward his second PhD from the University of Minnesota when he was expelled last year. It's alleged that he used artificial intelligence tools...0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว - งานนี้แม้ชัยชนะจะเป็นของโปรสาวอเมริกัน แต่คนไทยก็เหมือนชนะไปกับเธอด้วย เพราะถ้าแอลเจิล หยิน ไม่มีโปรต้อมเป็นลมใต้ปีก ก็อาจไปไม่ถึงดวงดาว
#ดราม่าฮอนด้าLPGA #แคตดี้ไทยหิ้วสาวมะกัน #แองเจิลหยิน #โปรต้อม #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ
งานนี้แม้ชัยชนะจะเป็นของโปรสาวอเมริกัน แต่คนไทยก็เหมือนชนะไปกับเธอด้วย เพราะถ้าแอลเจิล หยิน ไม่มีโปรต้อมเป็นลมใต้ปีก ก็อาจไปไม่ถึงดวงดาว #ดราม่าฮอนด้าLPGA #แคตดี้ไทยหิ้วสาวมะกัน #แองเจิลหยิน #โปรต้อม #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ - ชายชาวฟลอริดา ชื่อ Jonathan Challinger ขับรถ Tesla Cybertruck ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (self-driving) แต่รถกลับชนเข้ากับเสาไฟโดยไม่ได้พยายามชะลอหรือเลี้ยวก่อนชน ขณะที่เขาโพสต์เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้บนสื่อสังคม X เขากลับขอบคุณ Tesla ที่สร้างระบบความปลอดภัยระดับโลก เนื่องจากเขาไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อยจากเหตุการณ์นี้
Challinger เล่าในโพสต์ว่า รถ Cybertruck ของเขาทำงานผิดพลาด ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการชนขณะที่กำลังวิ่งอยู่ในเลนที่กำลังจะสิ้นสุด ส่งผลให้รถวิ่งข้ามขอบถนนและชนเข้ากับเสาไฟทันที โพสต์นี้ได้รับการรับชมเกือบสองล้านครั้งก่อนที่จะถูกลบออก
สิ่งที่น่าสนใจคือแม้ว่า Tesla จะมีฟีเจอร์ขับขี่อัตโนมัติที่สามารถนำรถผ่านทางโค้ง สี่แยก การเลี้ยวซ้ายและขวา วงเวียน และทางหลวงได้ แต่ในคู่มือของ Cybertruck ยังคงระบุว่าผู้ขับขี่จะต้องมีความตื่นตัวตลอดเวลาและต้องมีมือจับพวงมาลัยในขณะที่เปิดใช้งานระบบขับขี่อัตโนมัติ
Elon Musk, ซีอีโอของ Tesla เคยประกาศในเดือนมกราคมว่าบริษัทจะเปิดตัวรถแท็กซี่อัตโนมัติ (robotaxis) ในเมืองออสตินภายในฤดูร้อนปีนี้ และยังวางแผนที่จะขยายระบบขับขี่อัตโนมัติโดยไม่ต้องควบคุม (unsupervised Full Self-Driving) ไปยังรัฐแคลิฟอร์เนียและพื้นที่อื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกาภายในสิ้นปี 2025
แม้ว่าในเหตุการณ์นี้ Challinger จะชี้โทษตัวเองว่าเป็นฝ่ายผิดและเรียกร้องให้ผู้ขับขี่ทุกคนมีความตื่นตัวในการขับขี่อย่างเต็มที่ แต่ก็ยังเป็นข้อเตือนใจให้เห็นว่าระบบขับขี่อัตโนมัติยังไม่สมบูรณ์และยังคงต้องการการเฝ้าระวังจากผู้ขับขี่
https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/22/tesla-is-safest-in-the-world-says-driver-whose-cybertruck-self-drove-into-poleชายชาวฟลอริดา ชื่อ Jonathan Challinger ขับรถ Tesla Cybertruck ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (self-driving) แต่รถกลับชนเข้ากับเสาไฟโดยไม่ได้พยายามชะลอหรือเลี้ยวก่อนชน ขณะที่เขาโพสต์เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้บนสื่อสังคม X เขากลับขอบคุณ Tesla ที่สร้างระบบความปลอดภัยระดับโลก เนื่องจากเขาไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อยจากเหตุการณ์นี้ Challinger เล่าในโพสต์ว่า รถ Cybertruck ของเขาทำงานผิดพลาด ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการชนขณะที่กำลังวิ่งอยู่ในเลนที่กำลังจะสิ้นสุด ส่งผลให้รถวิ่งข้ามขอบถนนและชนเข้ากับเสาไฟทันที โพสต์นี้ได้รับการรับชมเกือบสองล้านครั้งก่อนที่จะถูกลบออก สิ่งที่น่าสนใจคือแม้ว่า Tesla จะมีฟีเจอร์ขับขี่อัตโนมัติที่สามารถนำรถผ่านทางโค้ง สี่แยก การเลี้ยวซ้ายและขวา วงเวียน และทางหลวงได้ แต่ในคู่มือของ Cybertruck ยังคงระบุว่าผู้ขับขี่จะต้องมีความตื่นตัวตลอดเวลาและต้องมีมือจับพวงมาลัยในขณะที่เปิดใช้งานระบบขับขี่อัตโนมัติ Elon Musk, ซีอีโอของ Tesla เคยประกาศในเดือนมกราคมว่าบริษัทจะเปิดตัวรถแท็กซี่อัตโนมัติ (robotaxis) ในเมืองออสตินภายในฤดูร้อนปีนี้ และยังวางแผนที่จะขยายระบบขับขี่อัตโนมัติโดยไม่ต้องควบคุม (unsupervised Full Self-Driving) ไปยังรัฐแคลิฟอร์เนียและพื้นที่อื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกาภายในสิ้นปี 2025 แม้ว่าในเหตุการณ์นี้ Challinger จะชี้โทษตัวเองว่าเป็นฝ่ายผิดและเรียกร้องให้ผู้ขับขี่ทุกคนมีความตื่นตัวในการขับขี่อย่างเต็มที่ แต่ก็ยังเป็นข้อเตือนใจให้เห็นว่าระบบขับขี่อัตโนมัติยังไม่สมบูรณ์และยังคงต้องการการเฝ้าระวังจากผู้ขับขี่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/22/tesla-is-safest-in-the-world-says-driver-whose-cybertruck-self-drove-into-poleWWW.THESTAR.COM.MYTesla is safest in the world, says driver whose Cybertruck self-drove into poleThe car "made no attempt to slow down or turn until it had already hit the curb,"the man said in a the post, which received nearly two million views and was later deleted.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว - Alibaba Cloud ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านคลาวด์คอมพิวติ้งของ Alibaba Group ได้เปิดตัวโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) รุ่นใหม่ชื่อว่า Animate Anyone 2 โมเดลนี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอนิเมชันตัวละครที่เสมือนจริงจากภาพนิ่งและวิดีโอเพียงหนึ่งคลิปได้อย่างง่ายดาย
Animate Anyone 2 สามารถประมวลผลสัญญาณการเคลื่อนไหวและสัญญาณสิ่งแวดล้อมจากเนื้อหาที่เป็นแหล่งอ้างอิง เช่น วิดีโอต้นฉบับ เพื่อสร้างคลิปใหม่ที่มีความสมจริงสูง เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการสร้างแอนิเมชันตัวละครในอดีตที่ใช้เพียงสัญญาณการเคลื่อนไหวเท่านั้น โมเดลนี้ช่วยให้ตัวละครสามารถแสดงการเคลื่อนไหวที่สมจริงและประสานกับสิ่งแวดล้อมเดิมได้อย่างไม่มีสะดุด
โมเดลนี้สร้างขึ้นจากเวอร์ชันแรกของ Animate Anyone ที่ประกาศเปิดตัวในปลายปี 2023 ซึ่งเน้นการสร้างวิดีโอตัวละครจากภาพนิ่ง หลังจากนั้น OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ก็ได้เปิดตัวโมเดล Sora ที่สามารถสร้างวิดีโอจากข้อความได้ ทำให้เกิดการแข่งขันในวงการเทคโนโลยี AI ของบริษัทใหญ่ในจีนและสตาร์ทอัพหลายแห่ง
นอกจากนี้ Animate Anyone 2 ยังมีความสามารถในการสร้างการโต้ตอบระหว่างตัวละครโดยรักษาความสมเหตุสมผลของการเคลื่อนไหวและความสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมด้วย ทีมวิจัยจาก Tongyi Lab ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยและพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ของ Alibaba Cloud ได้นำเสนอผลการศึกษานี้ใน arXiv ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลงานวิจัยแบบโอเพนซอร์ส
สิ่งที่น่าสนใจคือ ByteDance บริษัทเจ้าของ TikTok ก็เพิ่งเปิดตัวโมเดลมัลติโมดัลชื่อ OmniHuman-1 ที่สามารถเปลี่ยนภาพและเสียงให้เป็นวิดีโอที่ดูสมจริง การเปิดตัวโมเดลเหล่านี้ทำให้วงการสื่อและโฆษณามีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยเฉพาะในจีนที่โมเดล Sora ยังไม่สามารถใช้งานได้
เพื่อทดสอบวิธีการของ Animate Anyone 2 ในหลายสถานการณ์ ทีมวิจัยได้เก็บรวบรวมวิดีโอตัวละคร 100,000 คลิปจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งรวมถึงหลายประเภทของฉาก การกระทำ และการโต้ตอบระหว่างคนและวัตถุ อย่างไรก็ตาม การใช้โมเดลวีดีโอเจเนอเรชันเหล่านี้ยังมีความเสี่ยงที่จะมีการแพร่กระจายวิดีโอ deepfake เพิ่มขึ้น
Liang Haisheng ผู้เชี่ยวชาญด้านโฆษณาจากปักกิ่งกล่าวว่า แม้ว่าเครื่องมือสร้างวิดีโอเหล่านี้จะมีประโยชน์ในการทำวิดีโอตัวอย่างเพื่อเสนอไอเดียให้กับลูกค้า แต่พวกมันยังขาดความสามารถในการแสดงอารมณ์และการแสดงหน้าที่ละเอียดอ่อนของมนุษย์
https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/21/alibaba-cloud-ai-model-animate-anyone-2-simplifies-making-of-lifelike-character-animationAlibaba Cloud ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านคลาวด์คอมพิวติ้งของ Alibaba Group ได้เปิดตัวโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) รุ่นใหม่ชื่อว่า Animate Anyone 2 โมเดลนี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอนิเมชันตัวละครที่เสมือนจริงจากภาพนิ่งและวิดีโอเพียงหนึ่งคลิปได้อย่างง่ายดาย Animate Anyone 2 สามารถประมวลผลสัญญาณการเคลื่อนไหวและสัญญาณสิ่งแวดล้อมจากเนื้อหาที่เป็นแหล่งอ้างอิง เช่น วิดีโอต้นฉบับ เพื่อสร้างคลิปใหม่ที่มีความสมจริงสูง เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการสร้างแอนิเมชันตัวละครในอดีตที่ใช้เพียงสัญญาณการเคลื่อนไหวเท่านั้น โมเดลนี้ช่วยให้ตัวละครสามารถแสดงการเคลื่อนไหวที่สมจริงและประสานกับสิ่งแวดล้อมเดิมได้อย่างไม่มีสะดุด โมเดลนี้สร้างขึ้นจากเวอร์ชันแรกของ Animate Anyone ที่ประกาศเปิดตัวในปลายปี 2023 ซึ่งเน้นการสร้างวิดีโอตัวละครจากภาพนิ่ง หลังจากนั้น OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ก็ได้เปิดตัวโมเดล Sora ที่สามารถสร้างวิดีโอจากข้อความได้ ทำให้เกิดการแข่งขันในวงการเทคโนโลยี AI ของบริษัทใหญ่ในจีนและสตาร์ทอัพหลายแห่ง นอกจากนี้ Animate Anyone 2 ยังมีความสามารถในการสร้างการโต้ตอบระหว่างตัวละครโดยรักษาความสมเหตุสมผลของการเคลื่อนไหวและความสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมด้วย ทีมวิจัยจาก Tongyi Lab ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยและพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ของ Alibaba Cloud ได้นำเสนอผลการศึกษานี้ใน arXiv ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลงานวิจัยแบบโอเพนซอร์ส สิ่งที่น่าสนใจคือ ByteDance บริษัทเจ้าของ TikTok ก็เพิ่งเปิดตัวโมเดลมัลติโมดัลชื่อ OmniHuman-1 ที่สามารถเปลี่ยนภาพและเสียงให้เป็นวิดีโอที่ดูสมจริง การเปิดตัวโมเดลเหล่านี้ทำให้วงการสื่อและโฆษณามีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยเฉพาะในจีนที่โมเดล Sora ยังไม่สามารถใช้งานได้ เพื่อทดสอบวิธีการของ Animate Anyone 2 ในหลายสถานการณ์ ทีมวิจัยได้เก็บรวบรวมวิดีโอตัวละคร 100,000 คลิปจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งรวมถึงหลายประเภทของฉาก การกระทำ และการโต้ตอบระหว่างคนและวัตถุ อย่างไรก็ตาม การใช้โมเดลวีดีโอเจเนอเรชันเหล่านี้ยังมีความเสี่ยงที่จะมีการแพร่กระจายวิดีโอ deepfake เพิ่มขึ้น Liang Haisheng ผู้เชี่ยวชาญด้านโฆษณาจากปักกิ่งกล่าวว่า แม้ว่าเครื่องมือสร้างวิดีโอเหล่านี้จะมีประโยชน์ในการทำวิดีโอตัวอย่างเพื่อเสนอไอเดียให้กับลูกค้า แต่พวกมันยังขาดความสามารถในการแสดงอารมณ์และการแสดงหน้าที่ละเอียดอ่อนของมนุษย์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/21/alibaba-cloud-ai-model-animate-anyone-2-simplifies-making-of-lifelike-character-animationWWW.THESTAR.COM.MYAlibaba Cloud AI model Animate Anyone 2 simplifies making of lifelike character animationChina appears to have upped the ante in this field of generative AI, which is poised to disrupt the entertainment and advertising industries.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว - Adrian Kingsley-Hughes นักเขียนจาก ZDNET ได้ทดสอบที่ชาร์จราคาถูกที่มีความสามารถ 600W ซึ่งถูกมองว่าเป็นที่ชาร์จประสิทธิภาพสูงที่มีพอร์ตถึง 8 พอร์ต โดยมีราคาประมาณ $99 ซึ่งถูกกว่าที่ชาร์จจาก Ugreen Nexode 300W ที่มีราคา $140 อย่างมาก แต่กลับพบว่ามีปัญหาหลายอย่างเมื่อเริ่มใช้งาน
ปัญหาแรกที่พบคือการชาร์จไม่สม่ำเสมอ พอร์ต USB-C หนึ่งสามารถชาร์จได้ 140W ในขณะที่พอร์ต 140W อีกพอร์ตไม่สามารถชาร์จได้เกิน 65W และหนึ่งในพอร์ต 100W ก็ไม่ทำงานเลย นอกจากนี้ การเสียบหรือถอดอุปกรณ์จากที่ชาร์จยังทำให้ที่ชาร์จต้องรีบูตใหม่อยู่บ่อยครั้ง
เมื่อตัดสินใจเปิดที่ชาร์จออกมา Kingsley-Hughes พบว่าในนั้นมีวัสดุคล้ายกับสารทึบน้ำ (thermal compound) แต่มีลักษณะและกลิ่นเหมือนกับสารเคลือบหน้าต่าง ที่หนักมากเกินปกติ ทำให้ที่ชาร์จดูหนักกว่าในความเป็นจริง
นอกจากนี้ ยังพบว่าการแยกแรงดันไฟฟ้าระหว่างส่วนไฟฟ้าหลักและส่วนแรงดันต่ำในที่ชาร์จไม่เพียงพอ ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายด้านความปลอดภัยหากมีการทำงานผิดพลาด ทำให้แรงดันไฟฟ้าหลักถูกส่งออกมา
เมื่อเปิดที่ชาร์จดู ยังพบว่าการออกแบบภายในไม่ดี และคอนเนกเตอร์ด้านข้างที่ง่ายต่อการเปิดออกมา ทำให้เกิดอันตรายหากที่ชาร์จหล่นจากโต๊ะและทำให้ส่วนแรงดันสูงเผยออกมา
ข่าวนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเลือกซื้อที่ชาร์จจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการรับรองความปลอดภัย เพื่อป้องกันปัญหาด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้น
https://www.zdnet.com/article/i-opened-up-a-cheap-600w-charger-to-test-its-build-and-found-goo-inside/Adrian Kingsley-Hughes นักเขียนจาก ZDNET ได้ทดสอบที่ชาร์จราคาถูกที่มีความสามารถ 600W ซึ่งถูกมองว่าเป็นที่ชาร์จประสิทธิภาพสูงที่มีพอร์ตถึง 8 พอร์ต โดยมีราคาประมาณ $99 ซึ่งถูกกว่าที่ชาร์จจาก Ugreen Nexode 300W ที่มีราคา $140 อย่างมาก แต่กลับพบว่ามีปัญหาหลายอย่างเมื่อเริ่มใช้งาน ปัญหาแรกที่พบคือการชาร์จไม่สม่ำเสมอ พอร์ต USB-C หนึ่งสามารถชาร์จได้ 140W ในขณะที่พอร์ต 140W อีกพอร์ตไม่สามารถชาร์จได้เกิน 65W และหนึ่งในพอร์ต 100W ก็ไม่ทำงานเลย นอกจากนี้ การเสียบหรือถอดอุปกรณ์จากที่ชาร์จยังทำให้ที่ชาร์จต้องรีบูตใหม่อยู่บ่อยครั้ง เมื่อตัดสินใจเปิดที่ชาร์จออกมา Kingsley-Hughes พบว่าในนั้นมีวัสดุคล้ายกับสารทึบน้ำ (thermal compound) แต่มีลักษณะและกลิ่นเหมือนกับสารเคลือบหน้าต่าง ที่หนักมากเกินปกติ ทำให้ที่ชาร์จดูหนักกว่าในความเป็นจริง นอกจากนี้ ยังพบว่าการแยกแรงดันไฟฟ้าระหว่างส่วนไฟฟ้าหลักและส่วนแรงดันต่ำในที่ชาร์จไม่เพียงพอ ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายด้านความปลอดภัยหากมีการทำงานผิดพลาด ทำให้แรงดันไฟฟ้าหลักถูกส่งออกมา เมื่อเปิดที่ชาร์จดู ยังพบว่าการออกแบบภายในไม่ดี และคอนเนกเตอร์ด้านข้างที่ง่ายต่อการเปิดออกมา ทำให้เกิดอันตรายหากที่ชาร์จหล่นจากโต๊ะและทำให้ส่วนแรงดันสูงเผยออกมา ข่าวนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเลือกซื้อที่ชาร์จจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการรับรองความปลอดภัย เพื่อป้องกันปัญหาด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้น https://www.zdnet.com/article/i-opened-up-a-cheap-600w-charger-to-test-its-build-and-found-goo-inside/WWW.ZDNET.COMI opened up a cheap 600W charger to test its build, and found 'goo' insideCan an off-brand charger compete with the big names? I put it through its paces to find out.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว - คอนโดบ้านเจ้าพระยา ชั้น 8 บรรยากาศยามเช้าคอนโดบ้านเจ้าพระยา ชั้น 8 บรรยากาศยามเช้า
- Adrian Kingsley-Hughes นักเขียนจาก ZDNET ได้พบว่าแท็บเล็ตราคาถูกอย่าง Blackview Tab 90 กลับทำให้เขาใช้มันมากกว่า iPad Pro ของเขาเสียอีก แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ใช้ในระบบปฏิบัติการ iOS และ iPadOS มาก็ตาม
Adrian เล่าถึงความประทับใจที่ได้จาก Blackview Tab 90 โดยชี้ให้เห็นถึงความคุ้มค่าของการใช้แท็บเล็ตนี้สำหรับการดูคอนเทนต์และเล่นโซเชียลมีเดีย แม้ว่า Blackview Tab 90 จะมีหน้าจอความละเอียดต่ำกว่า iPad Pro คือ 800 x 1280 พิกเซล แต่กลับพบว่ามันเพียงพอสำหรับการดูวิดีโอจาก YouTube และ Netflix แถมยังรองรับการสตรีมมิ่งเนื้อหาความคมชัดสูง (HD) จากบริการต่างๆ เช่น Netflix, HBO, และ Amazon Prime ด้วย
แท็บเล็ตรุ่นนี้มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Unisoc Tiger T606 แบบ octa-core, RAM 4GB (สามารถเพิ่มได้ถึง 8GB), และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล 128GB ซึ่งพอเพียงสำหรับการใช้งานทั่วไป นอกจากนี้ แบตเตอรี่ขนาด 8,200mAh ยังสามารถใช้งานได้ถึง 10 ชั่วโมง แต่การชาร์จไฟค่อนข้างช้า โดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงในการชาร์จเต็ม
หนึ่งในเหตุผลที่ Adrian ชอบใช้ Blackview Tab 90 มากกว่า iPad Pro คือความรู้สึกที่แท็บเล็ตรุ่นนี้ให้เมื่อถืออยู่ในมือ โดยที่มีความบางและน้ำหนักเบากว่า แม้ว่าความจริงแล้ว iPad Pro จะบางกว่าถ้าถอดออกจากเคส แต่ Blackview Tab 90 ยังถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการใช้งานในบ้าน เช่น ในครัว โรงรถ หรือห้องทำงาน
ในราคาประมาณ $150 Blackview Tab 90 ถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่มองหาแท็บเล็ตราคาประหยัดและมีฟีเจอร์ที่คุ้มค่า
https://www.zdnet.com/article/i-use-this-cheap-android-tablet-more-than-my-ipad-pro-and-dont-regret-it/Adrian Kingsley-Hughes นักเขียนจาก ZDNET ได้พบว่าแท็บเล็ตราคาถูกอย่าง Blackview Tab 90 กลับทำให้เขาใช้มันมากกว่า iPad Pro ของเขาเสียอีก แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ใช้ในระบบปฏิบัติการ iOS และ iPadOS มาก็ตาม Adrian เล่าถึงความประทับใจที่ได้จาก Blackview Tab 90 โดยชี้ให้เห็นถึงความคุ้มค่าของการใช้แท็บเล็ตนี้สำหรับการดูคอนเทนต์และเล่นโซเชียลมีเดีย แม้ว่า Blackview Tab 90 จะมีหน้าจอความละเอียดต่ำกว่า iPad Pro คือ 800 x 1280 พิกเซล แต่กลับพบว่ามันเพียงพอสำหรับการดูวิดีโอจาก YouTube และ Netflix แถมยังรองรับการสตรีมมิ่งเนื้อหาความคมชัดสูง (HD) จากบริการต่างๆ เช่น Netflix, HBO, และ Amazon Prime ด้วย แท็บเล็ตรุ่นนี้มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Unisoc Tiger T606 แบบ octa-core, RAM 4GB (สามารถเพิ่มได้ถึง 8GB), และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล 128GB ซึ่งพอเพียงสำหรับการใช้งานทั่วไป นอกจากนี้ แบตเตอรี่ขนาด 8,200mAh ยังสามารถใช้งานได้ถึง 10 ชั่วโมง แต่การชาร์จไฟค่อนข้างช้า โดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงในการชาร์จเต็ม หนึ่งในเหตุผลที่ Adrian ชอบใช้ Blackview Tab 90 มากกว่า iPad Pro คือความรู้สึกที่แท็บเล็ตรุ่นนี้ให้เมื่อถืออยู่ในมือ โดยที่มีความบางและน้ำหนักเบากว่า แม้ว่าความจริงแล้ว iPad Pro จะบางกว่าถ้าถอดออกจากเคส แต่ Blackview Tab 90 ยังถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการใช้งานในบ้าน เช่น ในครัว โรงรถ หรือห้องทำงาน ในราคาประมาณ $150 Blackview Tab 90 ถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่มองหาแท็บเล็ตราคาประหยัดและมีฟีเจอร์ที่คุ้มค่า https://www.zdnet.com/article/i-use-this-cheap-android-tablet-more-than-my-ipad-pro-and-dont-regret-it/WWW.ZDNET.COMI use this cheap Android tablet more than my iPad Pro - and don't regret itLooking for a budget-friendly tablet? The Blackview Tab 90 delivers great entertainment without breaking the bank.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว - Rolls-Royce กำลังมุ่งหน้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าด้วยการเปิดตัวรถรุ่น Black Badge Spectre ซึ่งเป็นรถที่ทรงพลังที่สุดที่แบรนด์เคยพัฒนามา นี่เป็นความก้าวหน้าตามธรรมชาติของผู้ผลิตรถหรูที่มีชื่อเสียงมายาวนาน โดยเน้นที่ความเงียบสงบและการขับขี่ที่นุ่มนวล
Black Badge Spectre นั้นสร้างต่อยอดจากความสำเร็จของรถ Spectre รุ่นมาตรฐาน ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของ Rolls-Royce โดยในปีที่ผ่านมา Spectre รุ่นมาตรฐานเป็นรุ่นที่มีความต้องการมากที่สุดในยุโรป ความนิยมนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มลูกค้า Rolls-Royce ที่กำลังมีอายุน้อยลงและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
Black Badge Spectre มีการออกแบบที่ผสมผสานความหรูหราแบบดั้งเดิมของ Rolls-Royce เข้ากับความทันสมัยและดุดันมากขึ้น คุณสมบัติเด่น ได้แก่ กระจังหน้าที่ส่องสว่าง Illuminated Pantheon Grille และตัวเลือกสีใหม่ Vapour Violet ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแสงนีออนของวัฒนธรรมคลับในยุค 1980s และ 1990s นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนส่วนประกอบโครเมียมให้เป็นสีเข้ม และสามารถเลือกฝากระโปรงหน้าสี Ice Black เพื่อเพิ่มความโดดเด่นได้
ภายในรถมีการตกแต่งด้วยลายทอคาร์บอนและล้ออะลูมิเนียมฟอร์จขนาด 23 นิ้วที่มี 5 ซี่ ซึ่งเสริมให้รถดูทันสมัยยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการออกแบบที่ดึงดูดสายตาแล้ว Black Badge Spectre ยังมอบประสิทธิภาพการขับขี่ที่เพิ่มขึ้น โดยมีพลังงานสูงถึง 485 กิโลวัตต์ (659 แรงม้า) ที่สามารถเข้าถึงได้ด้วยปุ่ม Infinity บนพวงมาลัย ระบบแชสซีและการควบคุมการเลี้ยวได้รับการปรับปรุงเพื่อลดการโยนตัวของรถขณะเร่งและเบรก
นอกจากนี้ รถยังมีฟีเจอร์ใหม่ Spirited Mode ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับระบบควบคุมการเร่ง (launch control) ทำให้สามารถเร่งจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 4.1 วินาที ซึ่งเร็วกว่า Spectre รุ่นมาตรฐานถึง 0.3 วินาที โดยสามารถทำได้ด้วยแรงบิดที่เพิ่มขึ้นชั่วคราวถึง 1,075 นิวตันเมตร (Nm)
แม้ว่า Rolls-Royce จะยังคงไม่เปิดเผยราคาหรือยอดขาย แต่คาดว่าความต้องการของ Black Badge Spectre จะสูงมาก เนื่องจากความสนใจจากลูกค้าตั้งแต่เริ่มเปิดตัวทำให้บริษัทต้องสร้างรถรุ่นนี้ไว้ล่วงหน้าเป็นกลุ่มลับก่อนที่จะมีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ
ในเรื่องของการชาร์จ แบตเตอรี่ขนาด 120 กิโลวัตต์ชั่วโมงของ Spectre มีความเร็วในการชาร์จสูงสุดที่ 195 กิโลวัตต์ ซึ่งอาจจะดูน้อยเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่น ๆ แต่สำหรับกลุ่มลูกค้าของ Rolls-Royce ซึ่งมักมีผู้ช่วยส่วนตัวในการดูแลเรื่องการชาร์จและการบำรุงรักษา จึงไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล
การเปลี่ยนแปลงสู่รถยนต์ไฟฟ้าของ Rolls-Royce ดูเหมือนจะราบรื่นกว่าแบรนด์รถหรูอื่น ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการสนับสนุนจาก BMW Group ที่มอบเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงระบบอินโฟเทนเมนต์ iDrive เวอร์ชันที่ปรับแต่งเฉพาะ
https://www.techspot.com/news/106888-rolls-royce-goes-bolder-black-badge-spectre-ev.htmlRolls-Royce กำลังมุ่งหน้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าด้วยการเปิดตัวรถรุ่น Black Badge Spectre ซึ่งเป็นรถที่ทรงพลังที่สุดที่แบรนด์เคยพัฒนามา นี่เป็นความก้าวหน้าตามธรรมชาติของผู้ผลิตรถหรูที่มีชื่อเสียงมายาวนาน โดยเน้นที่ความเงียบสงบและการขับขี่ที่นุ่มนวล Black Badge Spectre นั้นสร้างต่อยอดจากความสำเร็จของรถ Spectre รุ่นมาตรฐาน ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของ Rolls-Royce โดยในปีที่ผ่านมา Spectre รุ่นมาตรฐานเป็นรุ่นที่มีความต้องการมากที่สุดในยุโรป ความนิยมนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มลูกค้า Rolls-Royce ที่กำลังมีอายุน้อยลงและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น Black Badge Spectre มีการออกแบบที่ผสมผสานความหรูหราแบบดั้งเดิมของ Rolls-Royce เข้ากับความทันสมัยและดุดันมากขึ้น คุณสมบัติเด่น ได้แก่ กระจังหน้าที่ส่องสว่าง Illuminated Pantheon Grille และตัวเลือกสีใหม่ Vapour Violet ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแสงนีออนของวัฒนธรรมคลับในยุค 1980s และ 1990s นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนส่วนประกอบโครเมียมให้เป็นสีเข้ม และสามารถเลือกฝากระโปรงหน้าสี Ice Black เพื่อเพิ่มความโดดเด่นได้ ภายในรถมีการตกแต่งด้วยลายทอคาร์บอนและล้ออะลูมิเนียมฟอร์จขนาด 23 นิ้วที่มี 5 ซี่ ซึ่งเสริมให้รถดูทันสมัยยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการออกแบบที่ดึงดูดสายตาแล้ว Black Badge Spectre ยังมอบประสิทธิภาพการขับขี่ที่เพิ่มขึ้น โดยมีพลังงานสูงถึง 485 กิโลวัตต์ (659 แรงม้า) ที่สามารถเข้าถึงได้ด้วยปุ่ม Infinity บนพวงมาลัย ระบบแชสซีและการควบคุมการเลี้ยวได้รับการปรับปรุงเพื่อลดการโยนตัวของรถขณะเร่งและเบรก นอกจากนี้ รถยังมีฟีเจอร์ใหม่ Spirited Mode ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับระบบควบคุมการเร่ง (launch control) ทำให้สามารถเร่งจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 4.1 วินาที ซึ่งเร็วกว่า Spectre รุ่นมาตรฐานถึง 0.3 วินาที โดยสามารถทำได้ด้วยแรงบิดที่เพิ่มขึ้นชั่วคราวถึง 1,075 นิวตันเมตร (Nm) แม้ว่า Rolls-Royce จะยังคงไม่เปิดเผยราคาหรือยอดขาย แต่คาดว่าความต้องการของ Black Badge Spectre จะสูงมาก เนื่องจากความสนใจจากลูกค้าตั้งแต่เริ่มเปิดตัวทำให้บริษัทต้องสร้างรถรุ่นนี้ไว้ล่วงหน้าเป็นกลุ่มลับก่อนที่จะมีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ ในเรื่องของการชาร์จ แบตเตอรี่ขนาด 120 กิโลวัตต์ชั่วโมงของ Spectre มีความเร็วในการชาร์จสูงสุดที่ 195 กิโลวัตต์ ซึ่งอาจจะดูน้อยเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่น ๆ แต่สำหรับกลุ่มลูกค้าของ Rolls-Royce ซึ่งมักมีผู้ช่วยส่วนตัวในการดูแลเรื่องการชาร์จและการบำรุงรักษา จึงไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล การเปลี่ยนแปลงสู่รถยนต์ไฟฟ้าของ Rolls-Royce ดูเหมือนจะราบรื่นกว่าแบรนด์รถหรูอื่น ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการสนับสนุนจาก BMW Group ที่มอบเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงระบบอินโฟเทนเมนต์ iDrive เวอร์ชันที่ปรับแต่งเฉพาะ https://www.techspot.com/news/106888-rolls-royce-goes-bolder-black-badge-spectre-ev.htmlWWW.TECHSPOT.COMRolls-Royce goes bolder with the Black Badge Spectre EVThe Black Badge Spectre builds on the success of the standard Spectre – Rolls-Royce's first electric car – which was reportedly the most requested Rolls-Royce model in...0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว - 3 ปี สิ้นดาราสาว “แตงโม-ภัทรธิดา” คดีปริศนาแห่งแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ยังไร้ข้อสรุป
📅 ครบ 3 ปี การจากไปของ "แตงโม นิดา" วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เป็นวันที่แฟนคลับ และประชาชนทั่วประเทศไทย ต้องตกใจและตกตะลึง กับข่าวการเสียชีวิตของ "แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์" นักแสดงสาวชื่อดัง ที่พลัดตกจากเรือสปีดโบ๊ต กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ท่ามกลางปริศนา และข้อกังขามากมาย คดีนี้กลายเป็นหนึ่งในคดี ที่ถูกจับตามองมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ไทย
⏳ ย้อนรอยคืนเกิดเหตุ 24 กุมภาพันธ์ 2565
🔹 ช่วงเย็น แตงโมพร้อมกลุ่มเพื่อน 5 คน ได้แก่ ปอ ตนุภัทร, กระติก อิจศรินทร์, แซน วิศาพัช, จ๊อบ นิทัศน์ และโรเบิร์ต ไพบูลย์ นัดกันไปทานอาหาร ก่อนทั้งหมดลงเรือสปีดโบ๊ต ล่องแม่น้ำเจ้าพระยา
🔹 เวลา 22.32 น. แตงโมตกน้ำบริเวณสะพานพระราม 7 โดยอ้างว่าไปปัสสาวะท้ายเรือ
🔹 หลังจากนั้น 30 นาที กลุ่มเพื่อนที่อยู่บนเรือ อ้างว่าวนเรือกลับมาหา แต่ไม่พบ
🔹 00.20 น. 25 ก.พ. 2565 ทีมกู้ภัยและนักประดาน้ำ เริ่มปฏิบัติการค้นหา
🔹 13.10 น. 26 ก.พ. 2565 พบศพแตงโม ลอยขึ้นใกล้ท่าเรือพิบูลสงคราม 1
🚨 แม้จะพบร่างแล้ว แต่ปริศนาเกี่ยวกับการเสียชีวิต กลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ!
🕵️♂️ คำถามที่ยังไม่มีคำตอบในคดีแตงโม
แม้ว่าตำรวจจะสรุปว่า "แตงโมเสียชีวิต จากอุบัติเหตุพลัดตกน้ำ" แต่สังคมยังคงมีข้อสงสัยมากมาย อาทิ
❓ บาดแผลที่ต้นขาเกิดจากอะไร?
➡️ แพทย์นิติเวช พบแผลฉกรรจ์ที่ขาซ้าย คาดว่าเกิดจากใบพัดเรือ ทำให้ขาขยับไม่ได้ ซึ่งขัดแย้งกับคำให้การที่อ้างว่า "เธอตกน้ำ และพยายามว่ายน้ำกลับ"
❓ ทำไมกลุ่มเพื่อน จึงมีคำให้การไม่ตรงกัน?
➡️ แต่ละคนให้ปากคำแตกต่างกัน บางช่วงเวลา ไม่มีหลักฐานแน่ชัด ว่าทำอะไร
❓ หลักฐานที่สำคัญหายไปไหน?
➡️ เรือลำเกิดเหตุ ถูกทำความสะอาดก่อนตรวจสอบ ส่วนโทรศัพท์มือถือของแตงโม ถูกส่งไปต่างประเทศ แต่ภายหลังมีการกู้ข้อมูลกลับมา
❓ คลิปและรูปที่ถูกเผยแพร่ เป็นของจริงหรือไม่?
➡️ มีการตั้งข้อสังเกตว่า ภาพที่แตงโมถ่ายก่อนตกน้ำ อาจถูกตัดต่อ
🏛️ การดำเนินคดี และคำตัดสิน
📌 ตลอด 3 ปี ที่ผ่านมา มีการดำเนินคดี กับบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายราย แต่กระบวนการยุติธรรม ยังเต็มไปด้วยข้อกังขา
🔴 ศาลจังหวัดนนทบุรี อนุมัติหมายจับ
- ปอ ตนุภัทร และโรเบิร์ต ไพบูลย์ ข้อหากระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต
- กระติก อิจศรินทร์ ให้การเท็จ และละเว้นการแจ้งเหตุ
- แซน วิศาพัช ถูกตั้งข้อสงสัยว่า เป็นพยานปากสำคัญ ที่ให้ข้อมูลขัดแย้ง
🔴 นางภนิดา แม่ของแตงโม รับเงินชดเชย 2 ล้านบาท
➡️ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า "แลกเงินกับคดีลูก"
🔴 ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ในปี 2567
➡️ มีการพบหลักฐานใหม่ ที่อาจทำให้คดีพลิก
💔 ดราม่าภายในครอบครัว และคนใกล้ชิด
😢 คดีนี้ไม่เพียงแต่ สร้างความสะเทือนใจต่อสังคม แต่ยังนำไปสู่ความขัดแย้งในครอบครัว
🔹 แม่ของแตงโมถูกวิจารณ์หนัก เพราะยอมรับเงินเยียวยา และดูเหมือนไม่มุ่งหาความจริง
🔹 เพื่อนสนิทแฉกันเอง หลายคนที่เคยสนิทกับแตงโม กลับกลายเป็นคู่กรณีกันในศาล
🔹 ผู้ต้องหาให้สัมภาษณ์โต้แย้งกันเอง ทำให้คดีดูซับซ้อนยิ่งขึ้น
📌 คดีแตงโม ความยุติธรรมจะมาถึงเมื่อไหร่?
⏳ แม้จะผ่านมา 3 ปี แต่คดีแตงโมยังเป็นปริศนา มีหลายฝ่ายเรียกร้อง ให้มีการรื้อฟื้นคดี และนำตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริง มาลงโทษ
🔎 ล่าสุดมีหลักฐานใหม่ ที่ถูกนำมาเปิดเผย เช่น
✅ คลิปจากมือถือแตงโม ที่อาจระบุได้ว่า เธอไม่ได้อยู่บนเรือ ในช่วงเวลาที่ตกน้ำ
✅ ข้อมูลจากกลุ่มอิสระ ที่พบข้อผิดพลาด ในการสืบสวนของตำรวจ
🔥 “เวรกรรมกำลังทำงาน” เป็นคำพูดที่หลายคนในโซเชียล ใช้กันมากขึ้น เมื่อเห็นว่า หลายคนที่เคยปกป้องกันในคดีนี้ เริ่มมีปัญหากับกฎหมาย และสังคม
📢 แตงโมยังคงรอความเป็นธรรม การเสียชีวิตของ "แตงโม นิดา" ไม่ใช่แค่เรื่องของดาราสาวคนหนึ่ง แต่เป็นตัวอย่าง ของปัญหาความยุติธรรมในสังคมไทย ที่ยังต้องการคำตอบ
📍 สุดท้ายแล้ว "คดีนี้จะถูกปิดไปพร้อมกับความลับ หรือความจริงจะถูกเปิดเผยในที่สุด?" 📢
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 241015 ก.พ. 2568
🔥 #แตงโมนิดา #คดีแตงโม #3ปีที่จากไป #ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน #DSI #เปิดโปงความจริง #ลับลวงพราง #แตงโมต้องได้รับความเป็นธรรม3 ปี สิ้นดาราสาว “แตงโม-ภัทรธิดา” คดีปริศนาแห่งแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ยังไร้ข้อสรุป 📅 ครบ 3 ปี การจากไปของ "แตงโม นิดา" วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เป็นวันที่แฟนคลับ และประชาชนทั่วประเทศไทย ต้องตกใจและตกตะลึง กับข่าวการเสียชีวิตของ "แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์" นักแสดงสาวชื่อดัง ที่พลัดตกจากเรือสปีดโบ๊ต กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ท่ามกลางปริศนา และข้อกังขามากมาย คดีนี้กลายเป็นหนึ่งในคดี ที่ถูกจับตามองมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ไทย ⏳ ย้อนรอยคืนเกิดเหตุ 24 กุมภาพันธ์ 2565 🔹 ช่วงเย็น แตงโมพร้อมกลุ่มเพื่อน 5 คน ได้แก่ ปอ ตนุภัทร, กระติก อิจศรินทร์, แซน วิศาพัช, จ๊อบ นิทัศน์ และโรเบิร์ต ไพบูลย์ นัดกันไปทานอาหาร ก่อนทั้งหมดลงเรือสปีดโบ๊ต ล่องแม่น้ำเจ้าพระยา 🔹 เวลา 22.32 น. แตงโมตกน้ำบริเวณสะพานพระราม 7 โดยอ้างว่าไปปัสสาวะท้ายเรือ 🔹 หลังจากนั้น 30 นาที กลุ่มเพื่อนที่อยู่บนเรือ อ้างว่าวนเรือกลับมาหา แต่ไม่พบ 🔹 00.20 น. 25 ก.พ. 2565 ทีมกู้ภัยและนักประดาน้ำ เริ่มปฏิบัติการค้นหา 🔹 13.10 น. 26 ก.พ. 2565 พบศพแตงโม ลอยขึ้นใกล้ท่าเรือพิบูลสงคราม 1 🚨 แม้จะพบร่างแล้ว แต่ปริศนาเกี่ยวกับการเสียชีวิต กลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ! 🕵️♂️ คำถามที่ยังไม่มีคำตอบในคดีแตงโม แม้ว่าตำรวจจะสรุปว่า "แตงโมเสียชีวิต จากอุบัติเหตุพลัดตกน้ำ" แต่สังคมยังคงมีข้อสงสัยมากมาย อาทิ ❓ บาดแผลที่ต้นขาเกิดจากอะไร? ➡️ แพทย์นิติเวช พบแผลฉกรรจ์ที่ขาซ้าย คาดว่าเกิดจากใบพัดเรือ ทำให้ขาขยับไม่ได้ ซึ่งขัดแย้งกับคำให้การที่อ้างว่า "เธอตกน้ำ และพยายามว่ายน้ำกลับ" ❓ ทำไมกลุ่มเพื่อน จึงมีคำให้การไม่ตรงกัน? ➡️ แต่ละคนให้ปากคำแตกต่างกัน บางช่วงเวลา ไม่มีหลักฐานแน่ชัด ว่าทำอะไร ❓ หลักฐานที่สำคัญหายไปไหน? ➡️ เรือลำเกิดเหตุ ถูกทำความสะอาดก่อนตรวจสอบ ส่วนโทรศัพท์มือถือของแตงโม ถูกส่งไปต่างประเทศ แต่ภายหลังมีการกู้ข้อมูลกลับมา ❓ คลิปและรูปที่ถูกเผยแพร่ เป็นของจริงหรือไม่? ➡️ มีการตั้งข้อสังเกตว่า ภาพที่แตงโมถ่ายก่อนตกน้ำ อาจถูกตัดต่อ 🏛️ การดำเนินคดี และคำตัดสิน 📌 ตลอด 3 ปี ที่ผ่านมา มีการดำเนินคดี กับบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายราย แต่กระบวนการยุติธรรม ยังเต็มไปด้วยข้อกังขา 🔴 ศาลจังหวัดนนทบุรี อนุมัติหมายจับ - ปอ ตนุภัทร และโรเบิร์ต ไพบูลย์ ข้อหากระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต - กระติก อิจศรินทร์ ให้การเท็จ และละเว้นการแจ้งเหตุ - แซน วิศาพัช ถูกตั้งข้อสงสัยว่า เป็นพยานปากสำคัญ ที่ให้ข้อมูลขัดแย้ง 🔴 นางภนิดา แม่ของแตงโม รับเงินชดเชย 2 ล้านบาท ➡️ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า "แลกเงินกับคดีลูก" 🔴 ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ในปี 2567 ➡️ มีการพบหลักฐานใหม่ ที่อาจทำให้คดีพลิก 💔 ดราม่าภายในครอบครัว และคนใกล้ชิด 😢 คดีนี้ไม่เพียงแต่ สร้างความสะเทือนใจต่อสังคม แต่ยังนำไปสู่ความขัดแย้งในครอบครัว 🔹 แม่ของแตงโมถูกวิจารณ์หนัก เพราะยอมรับเงินเยียวยา และดูเหมือนไม่มุ่งหาความจริง 🔹 เพื่อนสนิทแฉกันเอง หลายคนที่เคยสนิทกับแตงโม กลับกลายเป็นคู่กรณีกันในศาล 🔹 ผู้ต้องหาให้สัมภาษณ์โต้แย้งกันเอง ทำให้คดีดูซับซ้อนยิ่งขึ้น 📌 คดีแตงโม ความยุติธรรมจะมาถึงเมื่อไหร่? ⏳ แม้จะผ่านมา 3 ปี แต่คดีแตงโมยังเป็นปริศนา มีหลายฝ่ายเรียกร้อง ให้มีการรื้อฟื้นคดี และนำตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริง มาลงโทษ 🔎 ล่าสุดมีหลักฐานใหม่ ที่ถูกนำมาเปิดเผย เช่น ✅ คลิปจากมือถือแตงโม ที่อาจระบุได้ว่า เธอไม่ได้อยู่บนเรือ ในช่วงเวลาที่ตกน้ำ ✅ ข้อมูลจากกลุ่มอิสระ ที่พบข้อผิดพลาด ในการสืบสวนของตำรวจ 🔥 “เวรกรรมกำลังทำงาน” เป็นคำพูดที่หลายคนในโซเชียล ใช้กันมากขึ้น เมื่อเห็นว่า หลายคนที่เคยปกป้องกันในคดีนี้ เริ่มมีปัญหากับกฎหมาย และสังคม 📢 แตงโมยังคงรอความเป็นธรรม การเสียชีวิตของ "แตงโม นิดา" ไม่ใช่แค่เรื่องของดาราสาวคนหนึ่ง แต่เป็นตัวอย่าง ของปัญหาความยุติธรรมในสังคมไทย ที่ยังต้องการคำตอบ 📍 สุดท้ายแล้ว "คดีนี้จะถูกปิดไปพร้อมกับความลับ หรือความจริงจะถูกเปิดเผยในที่สุด?" 📢 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 241015 ก.พ. 2568 🔥 #แตงโมนิดา #คดีแตงโม #3ปีที่จากไป #ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน #DSI #เปิดโปงความจริง #ลับลวงพราง #แตงโมต้องได้รับความเป็นธรรม0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว