• สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล เล่าถึงเหตุการณ์เจอมือยิงสนธิที่พนมเปญที่เป็นทหาร อยู่ในกลุ่มเดียวกับชายชุดดำที่ซุ่มยิงพลเอกร่มเกล้าโดยระยุว่าได้อาวุธสงครามจากฮุนเซน

    “ผมจะพาให้คนอ่าน อ่านบทความรำลึกความหลังเกี่ยวกับจักรภพ เพ็ญแข ของคุณ อาคม ซิดนี่ย์ บทความนี้เขียนเป็นตอนๆ ขณะนี้มี 3 ตอนด้วยกัน ผู้อ่านที่มีเวลา ควรอ่านหมด แต่ถ้าไม่มีเวลา ขอแนะนำให้อ่านตอนที่ 2 ซึ่งคุณอาคมได้เล่าการไปเยี่ยมจักรภพที่บ้านพักในพนมเปญ (ผมจำเป็นต้องเล่าว่าผมเคยพบจักรภพครั้งเดียวที่ที่พักผม เป็นการพบทีละหลายคน คือเขามาคนเดียวพบกับผมกับเพื่อนผู้ลี้ภัยหลายคน วันนั้นไม่ได้คุยอะไรมากโดยเฉพาะเรื่องความเป็นอยู่ของเขา แต่ผมมีโอกาสสอบถามเรื่องนี้จากเพื่อนบางคน ภาพโดยรวมไม่ต่างจากที่คุณอาคมเล่า แต่ให้ฟังจากคุณอาคมซึ่งได้ไปคุยด้วยโดยตรงดีกว่า)

    ตอนนั้นจักรภพพักอยู่กับ "มือปืน" ชาวไทย (ที่ผมทราบมามีอยู่ 4-5 คน) หรือที่คุณอาคมเรียกว่า "ชายชุดดำ" คนเหล่านี้เป็นคนไทย "เสื้อแดง" ที่ลี้ภัยไปอยู่ที่นั่น ตอนที่ผมคัดมานี้ เป็นตอนที่"ชายชุดดำ" คนหนึ่งเล่าเบื้องหลังการยิงสนธิ ลิ้ม ให้คุณอาคมฟัง ผมเห็นว่าน่าสนใจมาก และผมเองต้องบอกว่าไม่เคยรู้มาก่อน ผมรู้เรื่องที่คนเหล่านี้แอบซุ่มตีพลเอกร่มเกล้ามาก่อน แต่ไม่รู้เรื่องสนธิ ที่ผ่านมาผมเข้าใจมาโดยตลอดว่า กลุ่มที่ยิงสนธิ เป็นพวกลูกน้อง "พระบรมฯ"

    .........................................................

    - ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทความที่แล้วว่าการไปหาจักรภพ สิ่งที่เหนือความคาดหมายของผมคือ จักรภพเปิดตัวชายชุดดำและมือปืนยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล ในค่ำคืนนั้น ทำให้เป็นที่สนใจของผู้คนที่ร่วมอยู่ในงานเลื้ยงสิบกว่าคน ที่ต่างก็พากันสอบถามด้วยความอยากรู้ที่มาของชายชุดดำ ก็นับว่าเป็นของแถมที่มีประ โยชน์อย่างยิ่ง ส่วนผมไม่ได้รีบร้อน ผมรอจนเป็นคนสุดท้ายจึงได้พูดคุยกับชายชุดดำอย่างใกล้ชิด กับคำถามแรก

    1. เป็นทหาร บก เรือ หรืออากาศ? ปรากฏว่าผิดหมดเขาเป็นสามัญชนที่อาสามาร่วมต่อสู้โดยไม่ได้เป็นทหารสังกัดเหล่าทัพใด

    2. เมื่อไม่ได้เป็นทหารแล้วเอาอาวุธมาจากไหน? คำตอบก็คือเวทีคนเสื้อแดง...เป็นคำตอบที่ทำให้ผมรู้สึกเหนือความคาดหมายมากยิ่งขึ้น

    3. ผมต้องถามย้ำเวทีคนเสื้อแดง แล้วเสื้อแดงทำไมจึงมีอาวุธสงครามให้ใช้....คำตอบสมเด็จฮุนเซนให้มาเพื่อการต่อสู้จำนวน 2 ตู้ คอนเทนเนอร์ ซึ่งจักรภพก็ยืนยันในข้อเท็จ จริง….ทำให้เชื่อสนิจใจจากที่เคยได้ยินมาบ้าง

    4. ต่อคำถามที่ว่า อาวุธมากมายขนาดนี้น่าจะเพียงพอสำหรับการต่อสู้แบบกองโจรหรือโจมตีแล้วพลางตัวเข้ากับมวลชน สร้างความระส่ำให้กับเจ้าหน้าที่.....คำตอบคือไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง เพราะแค่กระสุนหมด จะเบิกกระสุนรอบใหม่ยังต้องจ่ายตัง เลยถอดใจทิ้งอาวุธและหนีมาอยู่กัมพูชา

    5. ก็ไหนบอกว่าเป็นอาวุธที่ฮุนเซนให้มาเพื่อช่วยการต่อสู้ เหตุใดจึงต้องซื้อ....คำตอบคือใช่ฮุนเซนให้มาเพื่อการต่อสู้จริง แต่คนเสื้อแดงเอาไปขายเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองไม่ได้เก็บไว้สำหรับต่อสู้…..ผมหวังว่าพี่น้องเสื้อแดงที่ได้อ่านบทความนี้คงจะกระจ่างถึงสาเหตุแห่งความพ่ายแพ้

    - กว่าผมจะได้คุยกับมือปืนที่ยิงสนธิ ซึ่งเป็นทหารบก ผมตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดยิงกระสุนเข้าใส่จนรถพรุนทั้งคันทำไมโดนสนธิแค่ถากๆนัดเดียว.....คำตอบคือ “ผมนั่งอยู่ท้ายรถกระ บะเมื่อเข้าระยะหวังผลก็ลุกขึ้นยิง วิถีกระสุนจึงลงต่ำส่วนใหญ่ลงพื้นรถมากกว่า ซึ่งผมก็ยังคาใจและมีคำถามที่อยากจะถามต่อ ก็พอดีเพื่อนๆร่วมงานต่างก็เริ่มขยับจะกลับโรงแรมที่พักเพราะเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง ผมก็เลยไม่มีโอกาสได้สอบถามมากกว่านี้

    ที่มา : https://www.facebook.com/photo?fbid=2307139029757258&set=a.537421386729040
    สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล เล่าถึงเหตุการณ์เจอมือยิงสนธิที่พนมเปญที่เป็นทหาร อยู่ในกลุ่มเดียวกับชายชุดดำที่ซุ่มยิงพลเอกร่มเกล้าโดยระยุว่าได้อาวุธสงครามจากฮุนเซน “ผมจะพาให้คนอ่าน อ่านบทความรำลึกความหลังเกี่ยวกับจักรภพ เพ็ญแข ของคุณ อาคม ซิดนี่ย์ บทความนี้เขียนเป็นตอนๆ ขณะนี้มี 3 ตอนด้วยกัน ผู้อ่านที่มีเวลา ควรอ่านหมด แต่ถ้าไม่มีเวลา ขอแนะนำให้อ่านตอนที่ 2 ซึ่งคุณอาคมได้เล่าการไปเยี่ยมจักรภพที่บ้านพักในพนมเปญ (ผมจำเป็นต้องเล่าว่าผมเคยพบจักรภพครั้งเดียวที่ที่พักผม เป็นการพบทีละหลายคน คือเขามาคนเดียวพบกับผมกับเพื่อนผู้ลี้ภัยหลายคน วันนั้นไม่ได้คุยอะไรมากโดยเฉพาะเรื่องความเป็นอยู่ของเขา แต่ผมมีโอกาสสอบถามเรื่องนี้จากเพื่อนบางคน ภาพโดยรวมไม่ต่างจากที่คุณอาคมเล่า แต่ให้ฟังจากคุณอาคมซึ่งได้ไปคุยด้วยโดยตรงดีกว่า) ตอนนั้นจักรภพพักอยู่กับ "มือปืน" ชาวไทย (ที่ผมทราบมามีอยู่ 4-5 คน) หรือที่คุณอาคมเรียกว่า "ชายชุดดำ" คนเหล่านี้เป็นคนไทย "เสื้อแดง" ที่ลี้ภัยไปอยู่ที่นั่น ตอนที่ผมคัดมานี้ เป็นตอนที่"ชายชุดดำ" คนหนึ่งเล่าเบื้องหลังการยิงสนธิ ลิ้ม ให้คุณอาคมฟัง ผมเห็นว่าน่าสนใจมาก และผมเองต้องบอกว่าไม่เคยรู้มาก่อน ผมรู้เรื่องที่คนเหล่านี้แอบซุ่มตีพลเอกร่มเกล้ามาก่อน แต่ไม่รู้เรื่องสนธิ ที่ผ่านมาผมเข้าใจมาโดยตลอดว่า กลุ่มที่ยิงสนธิ เป็นพวกลูกน้อง "พระบรมฯ" ......................................................... - ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทความที่แล้วว่าการไปหาจักรภพ สิ่งที่เหนือความคาดหมายของผมคือ จักรภพเปิดตัวชายชุดดำและมือปืนยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล ในค่ำคืนนั้น ทำให้เป็นที่สนใจของผู้คนที่ร่วมอยู่ในงานเลื้ยงสิบกว่าคน ที่ต่างก็พากันสอบถามด้วยความอยากรู้ที่มาของชายชุดดำ ก็นับว่าเป็นของแถมที่มีประ โยชน์อย่างยิ่ง ส่วนผมไม่ได้รีบร้อน ผมรอจนเป็นคนสุดท้ายจึงได้พูดคุยกับชายชุดดำอย่างใกล้ชิด กับคำถามแรก 1. เป็นทหาร บก เรือ หรืออากาศ? ปรากฏว่าผิดหมดเขาเป็นสามัญชนที่อาสามาร่วมต่อสู้โดยไม่ได้เป็นทหารสังกัดเหล่าทัพใด 2. เมื่อไม่ได้เป็นทหารแล้วเอาอาวุธมาจากไหน? คำตอบก็คือเวทีคนเสื้อแดง...เป็นคำตอบที่ทำให้ผมรู้สึกเหนือความคาดหมายมากยิ่งขึ้น 3. ผมต้องถามย้ำเวทีคนเสื้อแดง แล้วเสื้อแดงทำไมจึงมีอาวุธสงครามให้ใช้....คำตอบสมเด็จฮุนเซนให้มาเพื่อการต่อสู้จำนวน 2 ตู้ คอนเทนเนอร์ ซึ่งจักรภพก็ยืนยันในข้อเท็จ จริง….ทำให้เชื่อสนิจใจจากที่เคยได้ยินมาบ้าง 4. ต่อคำถามที่ว่า อาวุธมากมายขนาดนี้น่าจะเพียงพอสำหรับการต่อสู้แบบกองโจรหรือโจมตีแล้วพลางตัวเข้ากับมวลชน สร้างความระส่ำให้กับเจ้าหน้าที่.....คำตอบคือไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง เพราะแค่กระสุนหมด จะเบิกกระสุนรอบใหม่ยังต้องจ่ายตัง เลยถอดใจทิ้งอาวุธและหนีมาอยู่กัมพูชา 5. ก็ไหนบอกว่าเป็นอาวุธที่ฮุนเซนให้มาเพื่อช่วยการต่อสู้ เหตุใดจึงต้องซื้อ....คำตอบคือใช่ฮุนเซนให้มาเพื่อการต่อสู้จริง แต่คนเสื้อแดงเอาไปขายเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองไม่ได้เก็บไว้สำหรับต่อสู้…..ผมหวังว่าพี่น้องเสื้อแดงที่ได้อ่านบทความนี้คงจะกระจ่างถึงสาเหตุแห่งความพ่ายแพ้ - กว่าผมจะได้คุยกับมือปืนที่ยิงสนธิ ซึ่งเป็นทหารบก ผมตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดยิงกระสุนเข้าใส่จนรถพรุนทั้งคันทำไมโดนสนธิแค่ถากๆนัดเดียว.....คำตอบคือ “ผมนั่งอยู่ท้ายรถกระ บะเมื่อเข้าระยะหวังผลก็ลุกขึ้นยิง วิถีกระสุนจึงลงต่ำส่วนใหญ่ลงพื้นรถมากกว่า ซึ่งผมก็ยังคาใจและมีคำถามที่อยากจะถามต่อ ก็พอดีเพื่อนๆร่วมงานต่างก็เริ่มขยับจะกลับโรงแรมที่พักเพราะเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง ผมก็เลยไม่มีโอกาสได้สอบถามมากกว่านี้ ที่มา : https://www.facebook.com/photo?fbid=2307139029757258&set=a.537421386729040
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..พูดจริงๆนะ.,ประชาชนควรมีธนาคารกลางของประชาชนแยกออกต่างหากให้ชัดเชนไปจากแบงค์ชาติปัจจุบันนี้,ให้แบงค์ชาติไปทำหน้าที่เต็มที่กับแบงค์เอกชนมหาชนของนายทุนผู้ถือหุ้นต่างๆ,ส่วนธนาคารกลางภาคประชาชนถึงเวลาบริหารจัดการสภาพคล่องของประชาชนคนไทยเอง เป็นกองทุนภาคประชาชนภายใต้การกำกับตัวเองของธนาคารกลางของภาคประชาชนจริงๆ,เช่น เงินงบประมาณลงอัดไปในกองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศก็ดึงมาบริหารจัดการเองแทนธกส.ทางตรง,สามารถตั้งธนาคารกองทุนหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านได้จริงจังเต็มที่ในการบริหารจัดการสภาคคล่องเงินทุนสัมมาอาชีพช่วยประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนทางตรงติดบ้านใกล้บ้านจริงได้คือมีสำนักประจำทุกๆ80,000หมู่บ้านชุมชนทั่วประเทศจริงนั้นเอง,ธนาคารกลางภาคประชาชนสามารถเปิดรับฝากออมตังได้จริงถอนตังได้จริงประจำหมู่บ้านนั้นๆทันที,สามารถให้เงินทุนสัมมาอาชีพแบบยืมไร้ดอกเบี้ยได้,และฝากไม่มีดอกเบี้ยด้วยเช่นกันนั้นเอง,เป็นสถานีรักษาตังแทนเก็บไว้ในบ้านนั้นเอง,เรียลไทม์อะเลิทป๊อบอัพหากมีการถอนเงินโอนเงินจากบัญชีหรือมีการเคลื่อนไหวตังนั้นเอง,ซึ่งเราจะผูกขาดยึดคลื่นความถี่หนึ่งไว้เป็นสาธารณะประโยชน์เพื่อเราประชาชนไว้มิให้ กสทช.ผูกขาดมอบคลื่นนั้นให้เอกชนไปทำแดก,เราจะมาใช้ประโยชน์ด้านอีกมุก,ป้องกันปัญหาจากผู้ไม่ประสงค์ดีดูดตังเราไปอีกชั้นหนึ่งหากมี,ใครต้องการตังมายืมที่กองทุนเรานี้ทันทีที่เกืดจากการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพเป็นระบบ,เชื่อมโครงการช่วยเหลือรัฐ,เช่นตังช่วยเหลือเกษตรกรปล่อยกู้ ปกติผ่านธกส. รัฐโอนงบประมาณหลวงให้ธกส.จัดการทั้งหมด ก็โอนมาที่เรากองทุนเราแทน ธนาคารกลางของประชาชนแทนเช่น200,000ล้านบาทหรือหลายกว่าล้านล้านบาทที่ช่วยอุ้มธนาคารเอกชนต่างๆสมัยยุคปี40นั้น โอนมาช่วยประชาชนคนเกษตร ประชาชนรับไป ตอนเอามาคืนก็หมุนเวียนตังนั้นฟรีๆช่วยประชาชนคนอื่นๆต่อไปได้ ทั้งเราสามารถหาตลาด จัดโปรส่งเสริมการขายออกไป การผลิตต้นทางให้ปลอดสารพิษต้นทุนต่ำได้ อาจติดต่อคนนำเข้าสายการเกษตรเองในนามภาคประชาชน อาจภาษีนำเข้า0%,ประชาชนคนชาวบ้านจะลดค่าปุ๋ยค่าอุปกรณ์ล้ำทุ่นแรงทางการเกษตรหรือนวัตกรรมล้ำๆจากต่างชาติมาไทยได้ไม่แพงนั้นเอง,ตัดตอนพ่อค้าคนกลางก็ว่าเพื่อผลักดันให้คนไทยเรายืนได้จริงพึ่งพาตนเองรอดจริงในทุกๆคนไทยเราจริงมิใช่แหกตาปลอมๆเหมือนในอดีตที่ผ่านๆมา,เมื่อประชาชนมีรายได้,แบบปลูกพืชสมุนไพรสกัดแปรรูปประยุกต์ผสมผสานในสินค้าทั่วไทยทั่วโลกขายสาระพัดตรึมก็ว่า อาทิอดีตกัญชาเสรีกำลังโปร ทั้งปลูกค้าขายในชาวบ้านทั้งส่งให้โรงพยาบาลรัฐเราสกัดฟรีๆทำยารักษาโรคครอบจักรวาล เม็ดที่ประยุกต์ค้าขายในสินค้าต่างๆด้วย จริงๆทั่วโลกอาจกว่า100ล้านล้านบาทเข้าประเทศไทยได้สบายมา เช่นชานมไข่มุกผสมสารสกัดกัญชาเสรี จะเพิ่มยอดคำสั่งซื้อขนาดไหน บำรุงร่างกายทางธรรมชาติ ยอดขายชานมไข่มุกทั่วโลกกว่าหมื่นล้านเหรียญต่อปี,ใยกัญชงกัญชาสามารถใช้ทำโครงสร้างรถยนต์ได้อีก ชุดเกราะกันกระสุนก็ด้วย,เครื่องบินก็ใช่อัดแน่นแข็งแกร่งและเบาอีกด้วย,สมมุติตังมากมายในมือประชาชนเราไว้ใจก็มาฝากตังที่กองทุนหมู่บ้านใครมันทั่วประเทศ ตังทั้งหมดอาจกว่า10ล้านล้านบาทส่วนของภาคครัวเรือนประชาชนที่เก็บออมจริงก็ว่า,จะมีดาต้าจริงในธนาคารกลางของประชาชนเราจริงอีกด้วย,เปรียบเทียบตังสะพัดต่อปีแบบอดีตกว่า 50-60ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านๆมาในอดีตเก่าอาจหลายๆปีมาแล้วก่อนยุคเศรษฐกิจจะพังมาถึงไทยปัจจุบันนี้ก็ตาม,ทำสถิติสูงสุด จะสามารถรับรู้แยกชัดเจนว่าเป็นตังของภาคฝ่ายอุตสาหกรรมที่มีธนาคารเอกชนปล่อยกู้กำกับดูแลโดยแบงค์ชาติอีกทีสร้างสภาพสะพัดนั้นด้วยมั้ยในชนชั้นกลางชนชั้นสูงผู้ดีมีตังปกติมั้ยหรือภาคประชาชนชาวบ้านธรรมดาแบบเราๆคือธนาคารภาคประชาชนรวบรวมข้อมูลนี้เอง,เก็บสำรวจค้นคว้าพบเจอเองก็ว่าด้วย,จากนั้นเราสามารถบริหารจัดการตังนี้ในระบบหมุนสภาพคล่องจริงแก่ไทบ้านเราจริงๆได้,คล่องขึ้นแน่นอน ใครต้องการตังตรงไหนเบิกทันที เวลานั้นเช่นแต่ละวันฝากถอนแค่1ล้านล้านบาททั่วประเทศ, ตังในระบบเย็นคือ9ล้านล้านบาท ทดลองปล่อยยืมให้ชาวบ้านคนละ10,000บาทค้าขายทำสัมมาอาชีพเล็กๆน้อยๆและปล่อยยืมระหว่างรอเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ปลูกพืชผักระยะสั้นๆหรือหาบเร่แผงลอยรถเข็ญขายในบ้านในตลาดชุมชนตลาดนัดตลาดค่ำตลาดคลองถมชุมชนตนอีก10,000บาทรวมอาจ20,000บาท หมู่บ้านละ100คน,มี80,000หมู่บ้านทั่วประเทศชุมชนคือ160,000,000,000บาทหรือ160,000ล้านบาทเอง,ตังยังเหลือ8.84ล้านล้านบาทโน้นในธนาคารภาคประชาชนเรา,จากนั้นเราสามารถสร้างแพลตฟอร์มตลาดเสรีออนไลน์เองได้แบบซ็อปปี้ ลาซาด้า อะไรนั้นขึ้นเอง เรามีโลจิสต์ขนส่งเราเองศูนย์รวบรวมสินค้าเข้าและออกคือกองทุนร้านหมู่บ้านเรานั้นเอง เป็นไปรษณีย์ขนส่งในตัว รับสินค้าประชาชนช่วยค้าขายได้,อาจมีโดรนขนส่งประจำสำนักงานหมู่บ้านนั้นๆคนละ2-3ตัว ส่งถึงมือคนรับซื้อในหมู่บ้านตนเอง เข้าป่าเข้าเขาขึ้นดอยขึ้นภูลำบาก,ส่งผ่านโดรนตั้งพิกัดgpsประกอบคลื่นมือถือดาวเทียมรวมก็ได้อีก,สั่งผลิตดาวเทียมเน็ตแบบstarlinkก็ได้ตัวละไม่เกิน3,000ล้านบาทเอง,ภาคเหนือเรา4ดวง อีสาน4ดวง กลาง4ดวง ตะวันออก2ดวง ตะวันตก2ดวง ใต้4ดวง ชัดเจนคลื่นส่งแน่นอนรวม20ดวงคูณ3,000ล้านคือ60,000ล้านบาทเอง บวกระบบควบคุมดูแลทั้งหมดทั้งประเทศไม่เกิน100,000ล้านบาทต่อปีภายในประเทศไทยเรา,และเชื่อมstarlinkหรือดาวเทียมนานาชาติทั่วโลกอีก สะดวกในการค้าขายของประชาชนคนไทยเราอีกไม่เกิน1แสนล้านบาทต่อปี,ซึ่งแพลตฟอร์มเราจะรองรับชาวโลกสากลมาร่วมค้าขายเสรีแลกเปลี่ยนสินค้ากันได้คือเราสร้างฮับตลาดอีคอมเมิร์ซโลกประจำประเทศไทยนั้นเอง,รองรับสกุลเงินbricsในอนาคตด้วย,รายได้ในตลาดอีคอมเมิร์ซทั่วโลกคือ30-40ล้านล้านเหรียญต่อปี,ไทยเราอาจสร้างปรากฎการณ์ครั้งใหม่เฉพาะภายในแพลตฟอร์มไทยเราเองอาจกว่าสะพัดถึง100ล้านล้านเหรียญก็ได้ คือGtG GtB BtB Btc CtC แพลตฟอร์มเราตอบสนองความสะดวกสบายให้ได้หมดก็ว่า,คือตังในบัญชีเงินฝากของประชาชนไทยเราจะเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นนั้นเอง,และนั้นคือเงินในธนาคารกลางภาคประชาชนเราที่ฝากเอาไว้ก็เพิ่มขึ้นมหาศาลด้วย,เรายิ่งสามารถช่วยเหลือชาวบ้านคนไทยเราประชาชนไทบ้านเราที่ขาดโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนแบบธนาึราเอกชนเอกชนเจ้าสัวไทย,เรายิ่งปล่อยยืมให้ชาวบ้านเราเองมากขึ้นเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆแบบไม่คิดกำไรดอกเบี้ยใดๆเลยนั้นเอง.,ตลอดขุดคลองคอดกระในอนาคต สร้างแลนด์บริดจ์ในภาคใต้ใดๆก็ตาม ,พื้นที่บริหารจัดการทั้งหมด เราประชาชนทั้งลงทุนสร้างเอง ขุดเองจ้างเองเป็นเจ้าของเองร่วมกันในนามภาคประชาชนไทยเราก็ว่า100%,พื้นที่บริหารแลนด์บริดจ์เิย พื้นที่บริหารคลองคอดกระเอย เราภาคประชาชนร่วมกันเป็นเจ้าของตัวจริงและบริหารจัดการตัวจริงร่วมกันนั้น อย่างเป็นรูปธรรม เช่น จัดตั้งกองทุนคาบมหาสมุทรประจำประเทศไทยขึ้น แจกหุ้นสามัญฟรีๆแก่คนไทยคนละ10,000หุ้นทันทีแม้พึงเกิดก็รับอัตโนมัติที่เป็นคนไทยเรา เป็นเจ้าของจริงจับต้องได้ มีหลักฐานพิสูจน์ได้,ไม่ใช่อ้างว่าทำในนามรัฐบาลแล้วรัฐบาลก็ยกสิทธิบริหารจัดการทั้งหมดและเงินทองก็ว่าผ่องถ่ายไปให้เอกชนไทยและเอกชนต่างชาติทำกินหาแดกเองจนร่ำรวยมั่งคั่งแบบบ่อน้ำมันไทยเรา,จึงต้องตัดตอนยุติการทำหน้าที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อประชาชนไม่สุจริตต่อชาติไทยตนทันที,จากนั้นออกหุ้นเพิ่มทุนเพิ่มทันทีให้ประชาชนคนไทยสามารถซื้อสิทธิความเป็นเจ้าของเพิ่มได้อีกคนละไม่เกิน10,000หุ้นๆละ0.01บาท.,ความเป็นเจ้าของนี้ไม่สามารถซื้อขายต่อได้ทุกๆกรณีจะเป็นหุ้นสามัญหรือหุ้นเพิ่มทุนก็ตาม,และจะตายสูญทันทีไปพร้อมกับคนไทยนั้นๆไม่สามารถมอบเป็นมรดกสืบต่อได้,เพราะทุกๆคนไทยมีสถานะการได้มาเมื่อเกิดทันทีอยู่แล้วทุกๆคนและสิทธิซื้อเพิ่มก็เสมอกันหมดตลอดชีพ,ห้ามนำเข้าตลาดหุ้นทุกๆกรณีด้วย,อธิปไตยนี้จะเป็นของคนไทยเราจริงทันที100%,ทุนการก่อสร้างแลนด์บริดจ์ประมาณการคือ1ล้านล้านบาท, ขุดคลองคอดกระคือ2ล้านล้านบาท ถ้า2เลนก็4ล้านล้านบาท,เงินกองทุนเราเติบโตต่อเนื่องหรือขั้นต่ำมีในมือกว่า8ล้านล้านบาทก็ว่า สามารถโยกตังมาลงทุนได้,และเหลือพ้นบริหารจัดการทั้งหมดต่อไปในอนาคตด้วย,ไม่รวมเงินมากมายที่ไหลเข้าสะสมออมในธนาคารเราต่อเนื่องทุกวินาทีด้วยตลิดปีอาจกว่า100ล้านล้านบาทในแพลตฟอร์มตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยเราเอง,เมื่อขุดคลองคอดกระเสร็จ สร้างแลนด์บริดจ์เสร็จ เราประเทศไทยจะเป็นฮับสากลของโลกสาระพัดฮับทันที อาทิ ฮับการรักษาทางเทคโนโลยีและสมุนไพรของโลก ฮับโรงพยาบาลโลกนั่นเอง,ฮับการขนส่งทางเรือและทางบกของโลก,ฮับต่อเรือขนาดใหญ่ของโลก,ฮับยานยนต์ภายในโลกและยานยนต์อวกาศโลก, สรุปสาระพัดฮับก็ว่า เม็ดเงินโคตรมหาศาลในพื้นที่บริเวณบริหารจัเการนี้ขั่นต่ำในอนาคต1,000ล้านล้านบาทต่อปีที่เข้าสู่ประเทศไทยเรา เฉลี่ยประชาชนคนไทยเราจะได้ประโยชน์จริงจากการถือหุ้นสามัญหุ้นเพิ่มทุน20,000หุ้นนั้นแน่นอน,เข้าบัญชีคนไทยทุกๆคนต่อปีขั้นต่ำ10ล้านบาทต่อปีนั้นเอง.อนาคตเราอาจจะมีประชากร100ล้านคน,หรือวัคซีนออกฤทธิ์อาจเหลือแค่10ล้านคนก็ว่าอีก,รอด10%ก็ว่า,สรุปรายได้เราเข้ามาสารพัดทางนั้นเอง,เราคนไทยจะไม่ผีบ้าดิ้นรนบ้าคลั่งแบบๆในอดีตๆที่ผ่านๆมานั้นเอง,จะมีเวลาพัฒนาตนเองสู่ประเทศผู้นำแห่งจิตวิญญาณของโลกในอนาคตก็ด้วย,บันเทิงกันเลยแน่ล่ะ ทุกๆคนไทยจะได้ท่องเที่ยวผ่านจิตท่องอาณาจักรจักรวาลน้อยใหญ่เสรีเป็นอันมาก แล้วนำพาโลกเราสู่แสงสว่างแห่งธรรมจักรวาลของจริงนั้นเอง.,ประเทศไทยเราจึงธรรมดาที่ไหน?.,555มโนก็ว่า.

    https://youtube.com/shorts/-p9TQjRaM-o?si=Jyhv-HoJ5HiR0r_i
    ..พูดจริงๆนะ.,ประชาชนควรมีธนาคารกลางของประชาชนแยกออกต่างหากให้ชัดเชนไปจากแบงค์ชาติปัจจุบันนี้,ให้แบงค์ชาติไปทำหน้าที่เต็มที่กับแบงค์เอกชนมหาชนของนายทุนผู้ถือหุ้นต่างๆ,ส่วนธนาคารกลางภาคประชาชนถึงเวลาบริหารจัดการสภาพคล่องของประชาชนคนไทยเอง เป็นกองทุนภาคประชาชนภายใต้การกำกับตัวเองของธนาคารกลางของภาคประชาชนจริงๆ,เช่น เงินงบประมาณลงอัดไปในกองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศก็ดึงมาบริหารจัดการเองแทนธกส.ทางตรง,สามารถตั้งธนาคารกองทุนหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านได้จริงจังเต็มที่ในการบริหารจัดการสภาคคล่องเงินทุนสัมมาอาชีพช่วยประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนทางตรงติดบ้านใกล้บ้านจริงได้คือมีสำนักประจำทุกๆ80,000หมู่บ้านชุมชนทั่วประเทศจริงนั้นเอง,ธนาคารกลางภาคประชาชนสามารถเปิดรับฝากออมตังได้จริงถอนตังได้จริงประจำหมู่บ้านนั้นๆทันที,สามารถให้เงินทุนสัมมาอาชีพแบบยืมไร้ดอกเบี้ยได้,และฝากไม่มีดอกเบี้ยด้วยเช่นกันนั้นเอง,เป็นสถานีรักษาตังแทนเก็บไว้ในบ้านนั้นเอง,เรียลไทม์อะเลิทป๊อบอัพหากมีการถอนเงินโอนเงินจากบัญชีหรือมีการเคลื่อนไหวตังนั้นเอง,ซึ่งเราจะผูกขาดยึดคลื่นความถี่หนึ่งไว้เป็นสาธารณะประโยชน์เพื่อเราประชาชนไว้มิให้ กสทช.ผูกขาดมอบคลื่นนั้นให้เอกชนไปทำแดก,เราจะมาใช้ประโยชน์ด้านอีกมุก,ป้องกันปัญหาจากผู้ไม่ประสงค์ดีดูดตังเราไปอีกชั้นหนึ่งหากมี,ใครต้องการตังมายืมที่กองทุนเรานี้ทันทีที่เกืดจากการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพเป็นระบบ,เชื่อมโครงการช่วยเหลือรัฐ,เช่นตังช่วยเหลือเกษตรกรปล่อยกู้ ปกติผ่านธกส. รัฐโอนงบประมาณหลวงให้ธกส.จัดการทั้งหมด ก็โอนมาที่เรากองทุนเราแทน ธนาคารกลางของประชาชนแทนเช่น200,000ล้านบาทหรือหลายกว่าล้านล้านบาทที่ช่วยอุ้มธนาคารเอกชนต่างๆสมัยยุคปี40นั้น โอนมาช่วยประชาชนคนเกษตร ประชาชนรับไป ตอนเอามาคืนก็หมุนเวียนตังนั้นฟรีๆช่วยประชาชนคนอื่นๆต่อไปได้ ทั้งเราสามารถหาตลาด จัดโปรส่งเสริมการขายออกไป การผลิตต้นทางให้ปลอดสารพิษต้นทุนต่ำได้ อาจติดต่อคนนำเข้าสายการเกษตรเองในนามภาคประชาชน อาจภาษีนำเข้า0%,ประชาชนคนชาวบ้านจะลดค่าปุ๋ยค่าอุปกรณ์ล้ำทุ่นแรงทางการเกษตรหรือนวัตกรรมล้ำๆจากต่างชาติมาไทยได้ไม่แพงนั้นเอง,ตัดตอนพ่อค้าคนกลางก็ว่าเพื่อผลักดันให้คนไทยเรายืนได้จริงพึ่งพาตนเองรอดจริงในทุกๆคนไทยเราจริงมิใช่แหกตาปลอมๆเหมือนในอดีตที่ผ่านๆมา,เมื่อประชาชนมีรายได้,แบบปลูกพืชสมุนไพรสกัดแปรรูปประยุกต์ผสมผสานในสินค้าทั่วไทยทั่วโลกขายสาระพัดตรึมก็ว่า อาทิอดีตกัญชาเสรีกำลังโปร ทั้งปลูกค้าขายในชาวบ้านทั้งส่งให้โรงพยาบาลรัฐเราสกัดฟรีๆทำยารักษาโรคครอบจักรวาล เม็ดที่ประยุกต์ค้าขายในสินค้าต่างๆด้วย จริงๆทั่วโลกอาจกว่า100ล้านล้านบาทเข้าประเทศไทยได้สบายมา เช่นชานมไข่มุกผสมสารสกัดกัญชาเสรี จะเพิ่มยอดคำสั่งซื้อขนาดไหน บำรุงร่างกายทางธรรมชาติ ยอดขายชานมไข่มุกทั่วโลกกว่าหมื่นล้านเหรียญต่อปี,ใยกัญชงกัญชาสามารถใช้ทำโครงสร้างรถยนต์ได้อีก ชุดเกราะกันกระสุนก็ด้วย,เครื่องบินก็ใช่อัดแน่นแข็งแกร่งและเบาอีกด้วย,สมมุติตังมากมายในมือประชาชนเราไว้ใจก็มาฝากตังที่กองทุนหมู่บ้านใครมันทั่วประเทศ ตังทั้งหมดอาจกว่า10ล้านล้านบาทส่วนของภาคครัวเรือนประชาชนที่เก็บออมจริงก็ว่า,จะมีดาต้าจริงในธนาคารกลางของประชาชนเราจริงอีกด้วย,เปรียบเทียบตังสะพัดต่อปีแบบอดีตกว่า 50-60ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านๆมาในอดีตเก่าอาจหลายๆปีมาแล้วก่อนยุคเศรษฐกิจจะพังมาถึงไทยปัจจุบันนี้ก็ตาม,ทำสถิติสูงสุด จะสามารถรับรู้แยกชัดเจนว่าเป็นตังของภาคฝ่ายอุตสาหกรรมที่มีธนาคารเอกชนปล่อยกู้กำกับดูแลโดยแบงค์ชาติอีกทีสร้างสภาพสะพัดนั้นด้วยมั้ยในชนชั้นกลางชนชั้นสูงผู้ดีมีตังปกติมั้ยหรือภาคประชาชนชาวบ้านธรรมดาแบบเราๆคือธนาคารภาคประชาชนรวบรวมข้อมูลนี้เอง,เก็บสำรวจค้นคว้าพบเจอเองก็ว่าด้วย,จากนั้นเราสามารถบริหารจัดการตังนี้ในระบบหมุนสภาพคล่องจริงแก่ไทบ้านเราจริงๆได้,คล่องขึ้นแน่นอน ใครต้องการตังตรงไหนเบิกทันที เวลานั้นเช่นแต่ละวันฝากถอนแค่1ล้านล้านบาททั่วประเทศ, ตังในระบบเย็นคือ9ล้านล้านบาท ทดลองปล่อยยืมให้ชาวบ้านคนละ10,000บาทค้าขายทำสัมมาอาชีพเล็กๆน้อยๆและปล่อยยืมระหว่างรอเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ปลูกพืชผักระยะสั้นๆหรือหาบเร่แผงลอยรถเข็ญขายในบ้านในตลาดชุมชนตลาดนัดตลาดค่ำตลาดคลองถมชุมชนตนอีก10,000บาทรวมอาจ20,000บาท หมู่บ้านละ100คน,มี80,000หมู่บ้านทั่วประเทศชุมชนคือ160,000,000,000บาทหรือ160,000ล้านบาทเอง,ตังยังเหลือ8.84ล้านล้านบาทโน้นในธนาคารภาคประชาชนเรา,จากนั้นเราสามารถสร้างแพลตฟอร์มตลาดเสรีออนไลน์เองได้แบบซ็อปปี้ ลาซาด้า อะไรนั้นขึ้นเอง เรามีโลจิสต์ขนส่งเราเองศูนย์รวบรวมสินค้าเข้าและออกคือกองทุนร้านหมู่บ้านเรานั้นเอง เป็นไปรษณีย์ขนส่งในตัว รับสินค้าประชาชนช่วยค้าขายได้,อาจมีโดรนขนส่งประจำสำนักงานหมู่บ้านนั้นๆคนละ2-3ตัว ส่งถึงมือคนรับซื้อในหมู่บ้านตนเอง เข้าป่าเข้าเขาขึ้นดอยขึ้นภูลำบาก,ส่งผ่านโดรนตั้งพิกัดgpsประกอบคลื่นมือถือดาวเทียมรวมก็ได้อีก,สั่งผลิตดาวเทียมเน็ตแบบstarlinkก็ได้ตัวละไม่เกิน3,000ล้านบาทเอง,ภาคเหนือเรา4ดวง อีสาน4ดวง กลาง4ดวง ตะวันออก2ดวง ตะวันตก2ดวง ใต้4ดวง ชัดเจนคลื่นส่งแน่นอนรวม20ดวงคูณ3,000ล้านคือ60,000ล้านบาทเอง บวกระบบควบคุมดูแลทั้งหมดทั้งประเทศไม่เกิน100,000ล้านบาทต่อปีภายในประเทศไทยเรา,และเชื่อมstarlinkหรือดาวเทียมนานาชาติทั่วโลกอีก สะดวกในการค้าขายของประชาชนคนไทยเราอีกไม่เกิน1แสนล้านบาทต่อปี,ซึ่งแพลตฟอร์มเราจะรองรับชาวโลกสากลมาร่วมค้าขายเสรีแลกเปลี่ยนสินค้ากันได้คือเราสร้างฮับตลาดอีคอมเมิร์ซโลกประจำประเทศไทยนั้นเอง,รองรับสกุลเงินbricsในอนาคตด้วย,รายได้ในตลาดอีคอมเมิร์ซทั่วโลกคือ30-40ล้านล้านเหรียญต่อปี,ไทยเราอาจสร้างปรากฎการณ์ครั้งใหม่เฉพาะภายในแพลตฟอร์มไทยเราเองอาจกว่าสะพัดถึง100ล้านล้านเหรียญก็ได้ คือGtG GtB BtB Btc CtC แพลตฟอร์มเราตอบสนองความสะดวกสบายให้ได้หมดก็ว่า,คือตังในบัญชีเงินฝากของประชาชนไทยเราจะเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นนั้นเอง,และนั้นคือเงินในธนาคารกลางภาคประชาชนเราที่ฝากเอาไว้ก็เพิ่มขึ้นมหาศาลด้วย,เรายิ่งสามารถช่วยเหลือชาวบ้านคนไทยเราประชาชนไทบ้านเราที่ขาดโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนแบบธนาึราเอกชนเอกชนเจ้าสัวไทย,เรายิ่งปล่อยยืมให้ชาวบ้านเราเองมากขึ้นเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆแบบไม่คิดกำไรดอกเบี้ยใดๆเลยนั้นเอง.,ตลอดขุดคลองคอดกระในอนาคต สร้างแลนด์บริดจ์ในภาคใต้ใดๆก็ตาม ,พื้นที่บริหารจัดการทั้งหมด เราประชาชนทั้งลงทุนสร้างเอง ขุดเองจ้างเองเป็นเจ้าของเองร่วมกันในนามภาคประชาชนไทยเราก็ว่า100%,พื้นที่บริหารแลนด์บริดจ์เิย พื้นที่บริหารคลองคอดกระเอย เราภาคประชาชนร่วมกันเป็นเจ้าของตัวจริงและบริหารจัดการตัวจริงร่วมกันนั้น อย่างเป็นรูปธรรม เช่น จัดตั้งกองทุนคาบมหาสมุทรประจำประเทศไทยขึ้น แจกหุ้นสามัญฟรีๆแก่คนไทยคนละ10,000หุ้นทันทีแม้พึงเกิดก็รับอัตโนมัติที่เป็นคนไทยเรา เป็นเจ้าของจริงจับต้องได้ มีหลักฐานพิสูจน์ได้,ไม่ใช่อ้างว่าทำในนามรัฐบาลแล้วรัฐบาลก็ยกสิทธิบริหารจัดการทั้งหมดและเงินทองก็ว่าผ่องถ่ายไปให้เอกชนไทยและเอกชนต่างชาติทำกินหาแดกเองจนร่ำรวยมั่งคั่งแบบบ่อน้ำมันไทยเรา,จึงต้องตัดตอนยุติการทำหน้าที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อประชาชนไม่สุจริตต่อชาติไทยตนทันที,จากนั้นออกหุ้นเพิ่มทุนเพิ่มทันทีให้ประชาชนคนไทยสามารถซื้อสิทธิความเป็นเจ้าของเพิ่มได้อีกคนละไม่เกิน10,000หุ้นๆละ0.01บาท.,ความเป็นเจ้าของนี้ไม่สามารถซื้อขายต่อได้ทุกๆกรณีจะเป็นหุ้นสามัญหรือหุ้นเพิ่มทุนก็ตาม,และจะตายสูญทันทีไปพร้อมกับคนไทยนั้นๆไม่สามารถมอบเป็นมรดกสืบต่อได้,เพราะทุกๆคนไทยมีสถานะการได้มาเมื่อเกิดทันทีอยู่แล้วทุกๆคนและสิทธิซื้อเพิ่มก็เสมอกันหมดตลอดชีพ,ห้ามนำเข้าตลาดหุ้นทุกๆกรณีด้วย,อธิปไตยนี้จะเป็นของคนไทยเราจริงทันที100%,ทุนการก่อสร้างแลนด์บริดจ์ประมาณการคือ1ล้านล้านบาท, ขุดคลองคอดกระคือ2ล้านล้านบาท ถ้า2เลนก็4ล้านล้านบาท,เงินกองทุนเราเติบโตต่อเนื่องหรือขั้นต่ำมีในมือกว่า8ล้านล้านบาทก็ว่า สามารถโยกตังมาลงทุนได้,และเหลือพ้นบริหารจัดการทั้งหมดต่อไปในอนาคตด้วย,ไม่รวมเงินมากมายที่ไหลเข้าสะสมออมในธนาคารเราต่อเนื่องทุกวินาทีด้วยตลิดปีอาจกว่า100ล้านล้านบาทในแพลตฟอร์มตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยเราเอง,เมื่อขุดคลองคอดกระเสร็จ สร้างแลนด์บริดจ์เสร็จ เราประเทศไทยจะเป็นฮับสากลของโลกสาระพัดฮับทันที อาทิ ฮับการรักษาทางเทคโนโลยีและสมุนไพรของโลก ฮับโรงพยาบาลโลกนั่นเอง,ฮับการขนส่งทางเรือและทางบกของโลก,ฮับต่อเรือขนาดใหญ่ของโลก,ฮับยานยนต์ภายในโลกและยานยนต์อวกาศโลก, สรุปสาระพัดฮับก็ว่า เม็ดเงินโคตรมหาศาลในพื้นที่บริเวณบริหารจัเการนี้ขั่นต่ำในอนาคต1,000ล้านล้านบาทต่อปีที่เข้าสู่ประเทศไทยเรา เฉลี่ยประชาชนคนไทยเราจะได้ประโยชน์จริงจากการถือหุ้นสามัญหุ้นเพิ่มทุน20,000หุ้นนั้นแน่นอน,เข้าบัญชีคนไทยทุกๆคนต่อปีขั้นต่ำ10ล้านบาทต่อปีนั้นเอง.อนาคตเราอาจจะมีประชากร100ล้านคน,หรือวัคซีนออกฤทธิ์อาจเหลือแค่10ล้านคนก็ว่าอีก,รอด10%ก็ว่า,สรุปรายได้เราเข้ามาสารพัดทางนั้นเอง,เราคนไทยจะไม่ผีบ้าดิ้นรนบ้าคลั่งแบบๆในอดีตๆที่ผ่านๆมานั้นเอง,จะมีเวลาพัฒนาตนเองสู่ประเทศผู้นำแห่งจิตวิญญาณของโลกในอนาคตก็ด้วย,บันเทิงกันเลยแน่ล่ะ ทุกๆคนไทยจะได้ท่องเที่ยวผ่านจิตท่องอาณาจักรจักรวาลน้อยใหญ่เสรีเป็นอันมาก แล้วนำพาโลกเราสู่แสงสว่างแห่งธรรมจักรวาลของจริงนั้นเอง.,ประเทศไทยเราจึงธรรมดาที่ไหน?.,555มโนก็ว่า. https://youtube.com/shorts/-p9TQjRaM-o?si=Jyhv-HoJ5HiR0r_i
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากฝั่ง Intel: Battlemage BMG-G31 มาแน่ พร้อมท้าชน RTX 5060 Ti

    หลังจาก Intel ได้เปิดตัว Arc B580 และ Arc B570 ซึ่งใช้ชิป BMG-G21 และประสบความสำเร็จในตลาด GPU ราคาไม่เกิน $250 ล่าสุดมีการพบข้อมูลจาก GitHub ว่า BMG-G31 ซึ่งเป็นชิปขนาดใหญ่กว่ากำลังจะมา โดยมีการเพิ่มใน Compute Runtime พร้อม device ID ใหม่ 4 รายการ ได้แก่ 0xE220–0xE223

    ตามรายงาน BMG-G31 จะมาพร้อมกับ:
    - 32 Xe2 Cores — มากกว่ารุ่น B580 ถึง 60%
    - หน่วยความจำ GDDR6 ขนาด 16GB กับ bus กว้าง 256-bit
    - Bandwidth ประมาณ 608GB/s สูงกว่า B580 อย่างชัดเจน

    เป้าหมายคือการชนกับการ์ดระดับกลางอย่าง RTX 5060 Ti และ RX 9060 XT โดยจะตั้งราคาไว้ราว $329–$349 ซึ่งถ้าออกมาจริงก็อาจกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในกลุ่มประสิทธิภาพต่อราคา

    ก่อนหน้านี้ Intel ได้โชว์ว่า Arc B580 ที่ขายเพียง $249 ยังสามารถให้ประสบการณ์เกม AAA ได้ดี ดังนั้น BMG-G31 อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการขยับเข้าสู่ GPU ระดับกลางที่มีการแข่งขันดุเดือดมากขึ้น

    Intel เพิ่มการรองรับ BMG-G31 GPU ใน Compute Runtime ล่าสุด
    พบรหัสอุปกรณ์ใหม่ 4 ตัว: 0xE220–0xE223

    BMG-G31 คาดว่าจะมี 32 Xe2 Cores และแรม GDDR6 ขนาด 16 GB
    ใช้ bus กว้าง 256-bit และ bandwidth สูงถึง 608 GB/s

    เทียบกับ B580 แล้วถือว่าเพิ่ม core count ถึง 60%
    B580 ใช้ 20 Xe2 Cores และ bus 192-bit เท่านั้น

    ตั้งเป้าแข่งขันกับ RTX 5060 Ti และ RX 9060 XT
    ซึ่งอยู่ในกลุ่มราคาประมาณ $350–$450

    ราคาที่คาดของ BMG-G31 คือ $329–$349 หาก Intel เปิดตัวตามแผน
    น่าจะเปิดตัวช่วงปลายปี 2025

    ใช้กระบวนการผลิต TSMC 5nm เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า
    สอดคล้องกับแนวโน้มการลดขนาดและเพิ่มประสิทธิภาพในยุค AI

    ข้อมูลทั้งหมดยังอยู่ในขั้น “การเพิ่มการรองรับ” เท่านั้น
    ยังไม่มีการยืนยันสเปกหรือวันเปิดตัวจาก Intel อย่างเป็นทางการ

    การเปรียบเทียบกับ RTX และ RX อิงจากการคาดการณ์ spec เท่านั้น
    ต้องรอผลการทดสอบจริงก่อนตัดสินประสิทธิภาพ

    ตลาด GPU ระดับกลางแข่งขันรุนแรงมาก
    ถ้า Intel ตั้งราคาสูงเกิน ความน่าสนใจอาจลดลงทันที

    ความคาดหวังของผู้ใช้ที่เห็นสเปก “แรง” อาจทำให้ผิดหวังถ้า software support ยังไม่ดี
    Intel ยังต้องพิสูจน์ด้าน driver และ game compatibility อย่างต่อเนื่อง

    https://wccftech.com/intel-adds-big-battlemage-bmg-g31-gpu-support-four-device-ids-spotted/
    🎙️ เรื่องเล่าจากฝั่ง Intel: Battlemage BMG-G31 มาแน่ พร้อมท้าชน RTX 5060 Ti หลังจาก Intel ได้เปิดตัว Arc B580 และ Arc B570 ซึ่งใช้ชิป BMG-G21 และประสบความสำเร็จในตลาด GPU ราคาไม่เกิน $250 ล่าสุดมีการพบข้อมูลจาก GitHub ว่า BMG-G31 ซึ่งเป็นชิปขนาดใหญ่กว่ากำลังจะมา โดยมีการเพิ่มใน Compute Runtime พร้อม device ID ใหม่ 4 รายการ ได้แก่ 0xE220–0xE223 ตามรายงาน BMG-G31 จะมาพร้อมกับ: - 32 Xe2 Cores — มากกว่ารุ่น B580 ถึง 60% - หน่วยความจำ GDDR6 ขนาด 16GB กับ bus กว้าง 256-bit - Bandwidth ประมาณ 608GB/s สูงกว่า B580 อย่างชัดเจน เป้าหมายคือการชนกับการ์ดระดับกลางอย่าง RTX 5060 Ti และ RX 9060 XT โดยจะตั้งราคาไว้ราว $329–$349 ซึ่งถ้าออกมาจริงก็อาจกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในกลุ่มประสิทธิภาพต่อราคา ก่อนหน้านี้ Intel ได้โชว์ว่า Arc B580 ที่ขายเพียง $249 ยังสามารถให้ประสบการณ์เกม AAA ได้ดี ดังนั้น BMG-G31 อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการขยับเข้าสู่ GPU ระดับกลางที่มีการแข่งขันดุเดือดมากขึ้น ✅ Intel เพิ่มการรองรับ BMG-G31 GPU ใน Compute Runtime ล่าสุด ➡️ พบรหัสอุปกรณ์ใหม่ 4 ตัว: 0xE220–0xE223 ✅ BMG-G31 คาดว่าจะมี 32 Xe2 Cores และแรม GDDR6 ขนาด 16 GB ➡️ ใช้ bus กว้าง 256-bit และ bandwidth สูงถึง 608 GB/s ✅ เทียบกับ B580 แล้วถือว่าเพิ่ม core count ถึง 60% ➡️ B580 ใช้ 20 Xe2 Cores และ bus 192-bit เท่านั้น ✅ ตั้งเป้าแข่งขันกับ RTX 5060 Ti และ RX 9060 XT ➡️ ซึ่งอยู่ในกลุ่มราคาประมาณ $350–$450 ✅ ราคาที่คาดของ BMG-G31 คือ $329–$349 หาก Intel เปิดตัวตามแผน ➡️ น่าจะเปิดตัวช่วงปลายปี 2025 ✅ ใช้กระบวนการผลิต TSMC 5nm เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า ➡️ สอดคล้องกับแนวโน้มการลดขนาดและเพิ่มประสิทธิภาพในยุค AI ‼️ ข้อมูลทั้งหมดยังอยู่ในขั้น “การเพิ่มการรองรับ” เท่านั้น ⛔ ยังไม่มีการยืนยันสเปกหรือวันเปิดตัวจาก Intel อย่างเป็นทางการ ‼️ การเปรียบเทียบกับ RTX และ RX อิงจากการคาดการณ์ spec เท่านั้น ⛔ ต้องรอผลการทดสอบจริงก่อนตัดสินประสิทธิภาพ ‼️ ตลาด GPU ระดับกลางแข่งขันรุนแรงมาก ⛔ ถ้า Intel ตั้งราคาสูงเกิน ความน่าสนใจอาจลดลงทันที ‼️ ความคาดหวังของผู้ใช้ที่เห็นสเปก “แรง” อาจทำให้ผิดหวังถ้า software support ยังไม่ดี ⛔ Intel ยังต้องพิสูจน์ด้าน driver และ game compatibility อย่างต่อเนื่อง https://wccftech.com/intel-adds-big-battlemage-bmg-g31-gpu-support-four-device-ids-spotted/
    WCCFTECH.COM
    Intel Adds Big Battlemage "BMG-G31" GPU Support To Compute Runtime, Four Device IDs Spotted
    Intel's big Battlemage GPU, BMG-G31, has received new support along with the addition of four Device IDs within the Compute Runtime.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: Salt Typhoon แฮกเข้า US National Guard แบบเนียน 9 เดือนเต็ม

    ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนชื่อว่า Salt Typhoon ได้เจาะเข้าเครือข่ายของกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติสหรัฐ โดยไม่มีการตรวจจับได้นานถึง 9 เดือนเต็ม

    ข้อมูลที่ถูกขโมยประกอบด้วย:
    - สิทธิ์ผู้ดูแลระบบ (admin credentials)
    - ผังการจราจรบนเครือข่าย (network traffic diagrams)
    - แผนที่ทางภูมิศาสตร์
    - ข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII)

    ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่ม Salt Typhoon ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลการติดต่อระหว่างเครือข่ายของรัฐต่าง ๆ และอีก 4 ดินแดนของสหรัฐ แปลว่าพวกเขาอาจ “กระจายการโจมตี” ต่อไปยังระบบอื่น ๆ ได้โดยง่าย

    ถึงแม้รายงานจะไม่เปิดเผยวิธีการเจาะระบบครั้งนี้โดยตรง แต่ Department of Homeland Security เชื่อว่า Salt Typhoonอาจใช้ช่องโหว่ในอุปกรณ์เครือข่าย เช่น Cisco routers ที่ไม่ได้รับการอัปเดต (CVE exploitation)

    กลุ่ม Salt Typhoon ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “Typhoon collective” ที่รวมถึง Brass Typhoon, Volt Typhoon ฯลฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อแทรกซึมเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐทั้งด้านทหาร การสื่อสาร และพลังงาน เพื่อใช้เป็นช่องทางโจมตีหากเกิดความตึงเครียดทางการทูต โดยเฉพาะประเด็น ไต้หวัน ระหว่างจีน-สหรัฐ

    Salt Typhoon แฮกเข้าเครือข่ายของ US National Guard นานถึง 9 เดือน
    ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 โดยไม่มีการตรวจพบ

    ขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น admin credentials และ PII ของทหาร
    รวมถึงผังเครือข่าย แผนที่ และข้อมูลการสื่อสารระหว่างรัฐ

    สามารถเข้าถึงข้อมูลจากเครือข่ายระหว่างรัฐและดินแดนอื่นอีก 4 แห่ง
    อาจเป็นช่องทางในการกระจายการโจมตีเพิ่มเติมไปยังองค์กรอื่น

    DHS คาดว่ากลุ่มนี้ใช้ช่องโหว่ของอุปกรณ์ Cisco ในการเจาะระบบ
    โดยใช้มัลแวร์เช่น JumblePath และ GhostSpider ที่ใช้ในปฏิบัติการก่อนหน้า

    Salt Typhoon เป็นกลุ่มที่มีการโจมตีองค์กรอื่น ๆ มาแล้ว เช่น AT&T, Viasat
    แสดงถึงความต่อเนื่องและความสามารถในการบุกระบบเชิงลึก

    จุดประสงค์หลักคือเตรียมการสำหรับความขัดแย้งเรื่องไต้หวัน
    เพื่อให้พร้อมโจมตีหรือรบกวนระบบของสหรัฐในกรณีเกิดสงคราม

    การเจาะระบบระดับหน่วยงานทหารนานถึง 9 เดือนโดยไม่มีใครพบ
    แสดงถึงช่องโหว่ด้านการตรวจจับภัย (threat detection) ในระบบราชการ

    การละเมิดข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII) อาจนำไปสู่การถูกโจมตีเจาะจงในอนาคต
    เช่น phishing หรือการขู่กรรโชกแบบ targeted

    ช่องโหว่ของอุปกรณ์ที่ไม่ได้แพตช์ยังเป็นปัญหาใหญ่
    ต้องเร่งอัปเดตซอฟต์แวร์และควบคุมการใช้อุปกรณ์เครือข่ายให้ดีกว่านี้

    ปฏิบัติการลับของแฮกเกอร์ที่รอให้เกิดความขัดแย้งแล้วค่อยโจมตี
    เป็นภัยคุกคามระดับชาติที่ต้องการความร่วมมือจากหลายหน่วยงานเพื่อป้องกัน

    https://www.techradar.com/pro/security/chinese-hackers-were-able-to-breach-us-national-guard-and-stay-undetected-for-months
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: Salt Typhoon แฮกเข้า US National Guard แบบเนียน 9 เดือนเต็ม ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนชื่อว่า Salt Typhoon ได้เจาะเข้าเครือข่ายของกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติสหรัฐ โดยไม่มีการตรวจจับได้นานถึง 9 เดือนเต็ม 🧠 ข้อมูลที่ถูกขโมยประกอบด้วย: - สิทธิ์ผู้ดูแลระบบ (admin credentials) - ผังการจราจรบนเครือข่าย (network traffic diagrams) - แผนที่ทางภูมิศาสตร์ - ข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII) ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่ม Salt Typhoon ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลการติดต่อระหว่างเครือข่ายของรัฐต่าง ๆ และอีก 4 ดินแดนของสหรัฐ แปลว่าพวกเขาอาจ “กระจายการโจมตี” ต่อไปยังระบบอื่น ๆ ได้โดยง่าย ถึงแม้รายงานจะไม่เปิดเผยวิธีการเจาะระบบครั้งนี้โดยตรง แต่ Department of Homeland Security เชื่อว่า Salt Typhoonอาจใช้ช่องโหว่ในอุปกรณ์เครือข่าย เช่น Cisco routers ที่ไม่ได้รับการอัปเดต (CVE exploitation) กลุ่ม Salt Typhoon ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “Typhoon collective” ที่รวมถึง Brass Typhoon, Volt Typhoon ฯลฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อแทรกซึมเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐทั้งด้านทหาร การสื่อสาร และพลังงาน เพื่อใช้เป็นช่องทางโจมตีหากเกิดความตึงเครียดทางการทูต โดยเฉพาะประเด็น ไต้หวัน ระหว่างจีน-สหรัฐ ✅ Salt Typhoon แฮกเข้าเครือข่ายของ US National Guard นานถึง 9 เดือน ➡️ ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 โดยไม่มีการตรวจพบ ✅ ขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น admin credentials และ PII ของทหาร ➡️ รวมถึงผังเครือข่าย แผนที่ และข้อมูลการสื่อสารระหว่างรัฐ ✅ สามารถเข้าถึงข้อมูลจากเครือข่ายระหว่างรัฐและดินแดนอื่นอีก 4 แห่ง ➡️ อาจเป็นช่องทางในการกระจายการโจมตีเพิ่มเติมไปยังองค์กรอื่น ✅ DHS คาดว่ากลุ่มนี้ใช้ช่องโหว่ของอุปกรณ์ Cisco ในการเจาะระบบ ➡️ โดยใช้มัลแวร์เช่น JumblePath และ GhostSpider ที่ใช้ในปฏิบัติการก่อนหน้า ✅ Salt Typhoon เป็นกลุ่มที่มีการโจมตีองค์กรอื่น ๆ มาแล้ว เช่น AT&T, Viasat ➡️ แสดงถึงความต่อเนื่องและความสามารถในการบุกระบบเชิงลึก ✅ จุดประสงค์หลักคือเตรียมการสำหรับความขัดแย้งเรื่องไต้หวัน ➡️ เพื่อให้พร้อมโจมตีหรือรบกวนระบบของสหรัฐในกรณีเกิดสงคราม ‼️ การเจาะระบบระดับหน่วยงานทหารนานถึง 9 เดือนโดยไม่มีใครพบ ⛔ แสดงถึงช่องโหว่ด้านการตรวจจับภัย (threat detection) ในระบบราชการ ‼️ การละเมิดข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII) อาจนำไปสู่การถูกโจมตีเจาะจงในอนาคต ⛔ เช่น phishing หรือการขู่กรรโชกแบบ targeted ‼️ ช่องโหว่ของอุปกรณ์ที่ไม่ได้แพตช์ยังเป็นปัญหาใหญ่ ⛔ ต้องเร่งอัปเดตซอฟต์แวร์และควบคุมการใช้อุปกรณ์เครือข่ายให้ดีกว่านี้ ‼️ ปฏิบัติการลับของแฮกเกอร์ที่รอให้เกิดความขัดแย้งแล้วค่อยโจมตี ⛔ เป็นภัยคุกคามระดับชาติที่ต้องการความร่วมมือจากหลายหน่วยงานเพื่อป้องกัน https://www.techradar.com/pro/security/chinese-hackers-were-able-to-breach-us-national-guard-and-stay-undetected-for-months
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • สื่อเขมรวอนชาวโลกอย่าตัดสินกัมพูชาจากปัญหาในอดีตว่าเป็นศูนย์กลางแก๊งสแกมเมอร์ ขอให้ดูการกระทำปัจจุบันและวิสัยทัศน์ในอนาคตของรัฐบาล ยันมุ่งมั่นกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์จริงจัง ไม่ใช่แค่สร้างภาพ กัมพูชาไม่ใช่ปัญหาแต่จะเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาระดับโลก

    ภายหลังจากนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ลงนามในคำสั่งกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในกัมพูชา เมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา ทำให้มีการจับกุมแก๊งอชญากรรมออนไลน์ในหลายจังหวัดทั่วประเทศ เช่น ในกรุงพนมเปญ เมืองสีหนุวิลล์ เมืองปอยเปต จังหวัดกระแจะ จังหวัดอุดรมีชัย จังหวัดกัมปงสปือ เป็นต้น ล่าสุด วันนี้(18 ก.ค.) สำนักข่าว Khmer Times เผยแพร่รายงานพิเศษในหัวข้อ “สงครามอันไม่หยุดยั้งของกัมพูชาต่อการฉ้อโกงออนไลน์: จากวิกฤตชาติสู่ความรับผิดชอบระดับโลก” มีใจความว่า ปัจจุบันกัมพูชากำลังมุ่งมั่นและเป็นกำลังสำคัญระดับแนวหน้าของการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ระดับโลก ในยุคที่กลุ่มอาชญากรใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากกลุ่มเปราะบาง ฟอกเงินจากการกระทำที่ผิดกฎหมาย และลักลอบค้ามนุษย์ข้ามพรมแดน รัฐบาลกัมพูชา ภายใต้การนำอันเข้มแข็งของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้ริเริ่มการรณรงค์อย่างไม่ลดละและต่อเนื่องเพื่อกำจัดภัยร้ายนี้ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินกัมพูชา

    นี่ไม่ใช่การแสดงออกทางการเมืองชั่วคราว แต่เป็นการระดมกำลังจากรัฐบาลทั้งหมด ซึ่งได้รับการประสานงาน การบังคับบัญชา และการหนุนหลังจากผู้มีอำนาจสูงสุด

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000067683

    #Thaitimes #MGROnline #ศูนย์กลางแก๊งสแกมเมอร์ #กัมพูชา
    สื่อเขมรวอนชาวโลกอย่าตัดสินกัมพูชาจากปัญหาในอดีตว่าเป็นศูนย์กลางแก๊งสแกมเมอร์ ขอให้ดูการกระทำปัจจุบันและวิสัยทัศน์ในอนาคตของรัฐบาล ยันมุ่งมั่นกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์จริงจัง ไม่ใช่แค่สร้างภาพ กัมพูชาไม่ใช่ปัญหาแต่จะเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาระดับโลก • ภายหลังจากนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ลงนามในคำสั่งกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในกัมพูชา เมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา ทำให้มีการจับกุมแก๊งอชญากรรมออนไลน์ในหลายจังหวัดทั่วประเทศ เช่น ในกรุงพนมเปญ เมืองสีหนุวิลล์ เมืองปอยเปต จังหวัดกระแจะ จังหวัดอุดรมีชัย จังหวัดกัมปงสปือ เป็นต้น ล่าสุด วันนี้(18 ก.ค.) สำนักข่าว Khmer Times เผยแพร่รายงานพิเศษในหัวข้อ “สงครามอันไม่หยุดยั้งของกัมพูชาต่อการฉ้อโกงออนไลน์: จากวิกฤตชาติสู่ความรับผิดชอบระดับโลก” มีใจความว่า ปัจจุบันกัมพูชากำลังมุ่งมั่นและเป็นกำลังสำคัญระดับแนวหน้าของการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ระดับโลก ในยุคที่กลุ่มอาชญากรใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากกลุ่มเปราะบาง ฟอกเงินจากการกระทำที่ผิดกฎหมาย และลักลอบค้ามนุษย์ข้ามพรมแดน รัฐบาลกัมพูชา ภายใต้การนำอันเข้มแข็งของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้ริเริ่มการรณรงค์อย่างไม่ลดละและต่อเนื่องเพื่อกำจัดภัยร้ายนี้ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินกัมพูชา • นี่ไม่ใช่การแสดงออกทางการเมืองชั่วคราว แต่เป็นการระดมกำลังจากรัฐบาลทั้งหมด ซึ่งได้รับการประสานงาน การบังคับบัญชา และการหนุนหลังจากผู้มีอำนาจสูงสุด • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000067683 • #Thaitimes #MGROnline #ศูนย์กลางแก๊งสแกมเมอร์ #กัมพูชา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • โฆษก ศบ.ทก.ด้านการต่างประเทศ เผยสถานการณ์ภาพรวมจุดผ่านแดนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เรียกร้องกัมพูชาประสานเวลาเปิดด่านกับฝ่ายไทย เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน พร้อมเรียกร้องกัมพูชาตระหนักถึงผลกระทบต่อการค้าในภูมิภาคจากการปิดด่านโดยไม่มีเหตุผล ยืนยัน กต.ไม่นิ่งนอนใจ รอผลตรวจสอบจากกองทัพ หากพบกัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ พร้อมส่งหนังสือประท้วงตามกลไกทวิภาคีและช่องทางที่เหมาะสม

    วันนี้(18 ก.ค.) นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ​ ศบ.ทก.​ ด้านการต่างประเทศ แถลงผลการประชุม ศบ.ทก.ว่า สถานการณ์ในพื้นที่โดยรวมจุดผ่านแดนทุกแห่ง เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ฝ่ายไทยยังคงความเข้มงวดในการควบคุมจุดผ่านแดนต่างๆ เพื่อความมั่นคง ปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่ ยืนยันว่าไม่ได้ปิดด่าน เป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลเพิ่มเติม ที่มุ่งเน้นการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ แต่ยังอนุโลมการผ่านแดนสำหรับผู้ที่มีความจำเป็นตามหลักมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำในข้อเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาประสานเวลาการเปิดปิดด่านกับฝ่ายไทย เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนทั้งสองฝ่าย เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนที่มีความจำเป็นที่จะข้ามแดน และเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมความร่วมมือต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมกันทั้งสองประเทศ หากฝ่ายกัมพูชามีความจริงใจที่จะจัดการกับเรื่องดังกล่าวตามที่ได้มีการประกาศไว้ ก็ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก แต่สื่อจากต่างประเทศบางแห่งก็ได้ตั้งข้อสังเกต ถึงการจริงจังของฝ่ายกัมพูชา ว่าจะมีมาตรการเหล่านี้อย่างไร พร้อมย้ำว่าการดำเนินการดังกล่าวได้ผลต่อเมื่อมีการประสานงานในเรื่องบริหารจุดผ่านแดนกับฝ่ายไทย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000067650

    #Thaitimes #MGROnline #กัมพูชา
    โฆษก ศบ.ทก.ด้านการต่างประเทศ เผยสถานการณ์ภาพรวมจุดผ่านแดนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เรียกร้องกัมพูชาประสานเวลาเปิดด่านกับฝ่ายไทย เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน พร้อมเรียกร้องกัมพูชาตระหนักถึงผลกระทบต่อการค้าในภูมิภาคจากการปิดด่านโดยไม่มีเหตุผล ยืนยัน กต.ไม่นิ่งนอนใจ รอผลตรวจสอบจากกองทัพ หากพบกัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ พร้อมส่งหนังสือประท้วงตามกลไกทวิภาคีและช่องทางที่เหมาะสม • วันนี้(18 ก.ค.) นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ​ ศบ.ทก.​ ด้านการต่างประเทศ แถลงผลการประชุม ศบ.ทก.ว่า สถานการณ์ในพื้นที่โดยรวมจุดผ่านแดนทุกแห่ง เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ฝ่ายไทยยังคงความเข้มงวดในการควบคุมจุดผ่านแดนต่างๆ เพื่อความมั่นคง ปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่ ยืนยันว่าไม่ได้ปิดด่าน เป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลเพิ่มเติม ที่มุ่งเน้นการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ แต่ยังอนุโลมการผ่านแดนสำหรับผู้ที่มีความจำเป็นตามหลักมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำในข้อเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาประสานเวลาการเปิดปิดด่านกับฝ่ายไทย เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนทั้งสองฝ่าย เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนที่มีความจำเป็นที่จะข้ามแดน และเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมความร่วมมือต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมกันทั้งสองประเทศ หากฝ่ายกัมพูชามีความจริงใจที่จะจัดการกับเรื่องดังกล่าวตามที่ได้มีการประกาศไว้ ก็ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก แต่สื่อจากต่างประเทศบางแห่งก็ได้ตั้งข้อสังเกต ถึงการจริงจังของฝ่ายกัมพูชา ว่าจะมีมาตรการเหล่านี้อย่างไร พร้อมย้ำว่าการดำเนินการดังกล่าวได้ผลต่อเมื่อมีการประสานงานในเรื่องบริหารจุดผ่านแดนกับฝ่ายไทย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000067650 • #Thaitimes #MGROnline #กัมพูชา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนและสเมริกามองประเทศไทยในบริบททางยุทธศาสตร์และผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองประเทศต่างให้ความสำคัญกับบทบาทของไทยในภูมิภาค ดังนี้

    ### มุมมองของจีนต่อไทย:
    1. **หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เชิงภูมิภาค**
    - จีนมองไทยเป็น "ศูนย์กลางเชื่อมโยงอาเซียน-จีน" ภายใต้ความริเริ่ม Belt and Road (BRI) โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงและระเบียงเศรษฐกิจอีสานตะวันออก (EEC)
    - ให้ความสำคัญกับไทยในฐานะคู่ค้าอันดับ 1 ในอาเซียน (มูลค่าการค้า 1.35 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023)

    2. **ความร่วมมือด้านความมั่นคง**
    - ส่งเสริมการฝึกทหารร่วมและความร่วมมือด้านอาชญากรรมข้ามชาติ
    - เน้นการแก้ไขปัญหาภาคใต้ของไทยโดยไม่แทรกแซงกิจการภายใน

    3. **มิติทางวัฒนธรรม**
    - ใช้ "อำนาจอ่อน" ผ่านสถาบันขงจื่อและการท่องเที่ยว (นักท่องเที่ยวจีนมาไทยกว่า 5 ล้านคน/ปีก่อนโควิด)

    ### มุมมองของสหรัฐอเมริกาต่อไทย:
    1. **พันธมิตรด้านความมั่นคงแบบดั้งเดิม**
    - เน้นบทบาทไทยในสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันอาเซียน-สหรัฐฯ (ADMM-Plus) และการฝึก Cobra Gold
    - ยังคงสถานะ "พันธมิตรนอกนาโต้" (Major Non-NATO Ally) แม้มีความกังวลหลังรัฐประการ 2557

    2. **เกมภูมิรัฐศาสตร์**
    - มองไทยเป็นจุดสมดุลสำคัญต่อการขยายอิทธิพลจีนในลุ่มแม่น้ำโขง
    - สนับสนุนความเข้มแข็งของอาเซียนผ่านโครงการ Mekong-US Partnership

    3. **ประเด็นค่านิยม**
    - กดดันไทยเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง
    - ใช้กลไกตรวจสอบการค้า (เช่น รายงาน TIP Report) เป็นเครื่องมือทางการทูต

    ### จุดร่วมของทั้งสองมหาอำนาจ:
    - เห็นไทยเป็น "ประตูสู่อาเซียน" ด้วยศักยภาพทางโลจิสติกส์และฐานการผลิต
    - ต่างแข่งขันลงทุนใน EEC โดยจีนเน้นอุตสาหกรรม (เช่น ยานยนต์ EV) สหรัฐฯ เน้นดิจิทัลและพลังงานสะอาด
    - ให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหารของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลก

    ### ยุทธศาสตร์ "สมดุลอำนาจ" ของไทย:
    ไทยดำเนินนโยบาย "ไม้สามเส้า" อย่างชาญฉลาด โดย:
    1. รักษาความสัมพันธ์ทางทหารกับสหรัฐฯ
    2. ผลักดันความร่วมมือเศรษฐกิจกับจีน
    3. ยึดอาเซียนเป็นศูนย์กลาง

    ข้อมูลล่าสุดปี 2024 แสดงให้เห็นว่าไทยสามารถรักษาสัดส่วนการค้ากับทั้งสองมหาอำนาจได้ใกล้เคียงกัน (การค้าไทย-จีน 18% ของทั้งหมด ไทย-สหรัฐฯ 11%) สะท้อนความสำเร็จของยุทธศาสตร์นี้ภายใต้บริบทความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจที่ทวีความรุนแรงขึ้น
    จีนและสเมริกามองประเทศไทยในบริบททางยุทธศาสตร์และผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองประเทศต่างให้ความสำคัญกับบทบาทของไทยในภูมิภาค ดังนี้ ### มุมมองของจีนต่อไทย: 1. **หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เชิงภูมิภาค** - จีนมองไทยเป็น "ศูนย์กลางเชื่อมโยงอาเซียน-จีน" ภายใต้ความริเริ่ม Belt and Road (BRI) โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงและระเบียงเศรษฐกิจอีสานตะวันออก (EEC) - ให้ความสำคัญกับไทยในฐานะคู่ค้าอันดับ 1 ในอาเซียน (มูลค่าการค้า 1.35 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023) 2. **ความร่วมมือด้านความมั่นคง** - ส่งเสริมการฝึกทหารร่วมและความร่วมมือด้านอาชญากรรมข้ามชาติ - เน้นการแก้ไขปัญหาภาคใต้ของไทยโดยไม่แทรกแซงกิจการภายใน 3. **มิติทางวัฒนธรรม** - ใช้ "อำนาจอ่อน" ผ่านสถาบันขงจื่อและการท่องเที่ยว (นักท่องเที่ยวจีนมาไทยกว่า 5 ล้านคน/ปีก่อนโควิด) ### มุมมองของสหรัฐอเมริกาต่อไทย: 1. **พันธมิตรด้านความมั่นคงแบบดั้งเดิม** - เน้นบทบาทไทยในสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันอาเซียน-สหรัฐฯ (ADMM-Plus) และการฝึก Cobra Gold - ยังคงสถานะ "พันธมิตรนอกนาโต้" (Major Non-NATO Ally) แม้มีความกังวลหลังรัฐประการ 2557 2. **เกมภูมิรัฐศาสตร์** - มองไทยเป็นจุดสมดุลสำคัญต่อการขยายอิทธิพลจีนในลุ่มแม่น้ำโขง - สนับสนุนความเข้มแข็งของอาเซียนผ่านโครงการ Mekong-US Partnership 3. **ประเด็นค่านิยม** - กดดันไทยเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง - ใช้กลไกตรวจสอบการค้า (เช่น รายงาน TIP Report) เป็นเครื่องมือทางการทูต ### จุดร่วมของทั้งสองมหาอำนาจ: - เห็นไทยเป็น "ประตูสู่อาเซียน" ด้วยศักยภาพทางโลจิสติกส์และฐานการผลิต - ต่างแข่งขันลงทุนใน EEC โดยจีนเน้นอุตสาหกรรม (เช่น ยานยนต์ EV) สหรัฐฯ เน้นดิจิทัลและพลังงานสะอาด - ให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหารของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลก ### ยุทธศาสตร์ "สมดุลอำนาจ" ของไทย: ไทยดำเนินนโยบาย "ไม้สามเส้า" อย่างชาญฉลาด โดย: 1. รักษาความสัมพันธ์ทางทหารกับสหรัฐฯ 2. ผลักดันความร่วมมือเศรษฐกิจกับจีน 3. ยึดอาเซียนเป็นศูนย์กลาง ข้อมูลล่าสุดปี 2024 แสดงให้เห็นว่าไทยสามารถรักษาสัดส่วนการค้ากับทั้งสองมหาอำนาจได้ใกล้เคียงกัน (การค้าไทย-จีน 18% ของทั้งหมด ไทย-สหรัฐฯ 11%) สะท้อนความสำเร็จของยุทธศาสตร์นี้ภายใต้บริบทความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจที่ทวีความรุนแรงขึ้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: ช่องโหว่เก่าใน SonicWall กลับมาหลอกหลอนองค์กรอีกครั้ง

    Google Threat Intelligence Group (GTIG) รายงานว่ากลุ่มแฮกเกอร์ UNC6148 ซึ่งมีแรงจูงใจทางการเงิน ได้ใช้ช่องโหว่ zero-day ในอุปกรณ์ SonicWall SMA 100 series เพื่อฝังมัลแวร์ OVERSTEP ซึ่งเป็น rootkit แบบ user-mode ที่สามารถ:
    - แก้ไขกระบวนการบูตของอุปกรณ์
    - ขโมยข้อมูล credential และ OTP seed
    - ซ่อนตัวเองจากระบบตรวจจับ

    แม้อุปกรณ์จะได้รับการแพตช์แล้ว แต่แฮกเกอร์ยังสามารถเข้าถึงได้ผ่าน credential ที่ขโมยไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้การอัปเดตไม่สามารถป้องกันการโจมตีได้อย่างสมบูรณ์

    หนึ่งในองค์กรที่ถูกโจมตีในเดือนพฤษภาคม 2025 ถูกนำข้อมูลไปเผยแพร่บนเว็บไซต์ World Leaks ในเดือนมิถุนายน และมีความเชื่อมโยงกับการโจมตีที่ใช้ ransomware ชื่อ Abyss ซึ่งเคยเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2023 ถึงต้นปี 2024

    กลุ่มแฮกเกอร์ UNC6148 ใช้ช่องโหว่ใน SonicWall SMA 100 series
    แม้อุปกรณ์จะได้รับการแพตช์แล้ว แต่ยังถูกเจาะผ่าน credential เดิม

    มัลแวร์ OVERSTEP เป็น rootkit แบบ user-mode
    แก้ไขกระบวนการบูต ขโมยข้อมูล และซ่อนตัวเองจากระบบ

    การโจมตีเริ่มต้นตั้งแต่ตุลาคม 2024 และยังดำเนินต่อเนื่อง
    มีเป้าหมายเพื่อขโมยข้อมูลและเรียกค่าไถ่

    องค์กรที่ถูกโจมตีถูกนำข้อมูลไปเผยแพร่บนเว็บไซต์ World Leaks
    แสดงถึงความรุนแรงของการละเมิดข้อมูล

    GTIG เชื่อมโยงการโจมตีกับ ransomware ชื่อ Abyss (VSOCIETY)
    เคยใช้โจมตี SonicWall ในช่วงปลายปี 2023

    การโจมตีเน้นอุปกรณ์ที่หมดอายุการสนับสนุน (end-of-life)
    เช่น SonicWall SMA 100 series ที่ยังมีการใช้งานอยู่ในบางองค์กร

    https://www.techradar.com/pro/security/hacker-using-backdoor-to-exploit-sonicwall-secure-mobile-access-to-steal-credentials
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: ช่องโหว่เก่าใน SonicWall กลับมาหลอกหลอนองค์กรอีกครั้ง Google Threat Intelligence Group (GTIG) รายงานว่ากลุ่มแฮกเกอร์ UNC6148 ซึ่งมีแรงจูงใจทางการเงิน ได้ใช้ช่องโหว่ zero-day ในอุปกรณ์ SonicWall SMA 100 series เพื่อฝังมัลแวร์ OVERSTEP ซึ่งเป็น rootkit แบบ user-mode ที่สามารถ: - แก้ไขกระบวนการบูตของอุปกรณ์ - ขโมยข้อมูล credential และ OTP seed - ซ่อนตัวเองจากระบบตรวจจับ แม้อุปกรณ์จะได้รับการแพตช์แล้ว แต่แฮกเกอร์ยังสามารถเข้าถึงได้ผ่าน credential ที่ขโมยไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้การอัปเดตไม่สามารถป้องกันการโจมตีได้อย่างสมบูรณ์ หนึ่งในองค์กรที่ถูกโจมตีในเดือนพฤษภาคม 2025 ถูกนำข้อมูลไปเผยแพร่บนเว็บไซต์ World Leaks ในเดือนมิถุนายน และมีความเชื่อมโยงกับการโจมตีที่ใช้ ransomware ชื่อ Abyss ซึ่งเคยเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2023 ถึงต้นปี 2024 ✅ กลุ่มแฮกเกอร์ UNC6148 ใช้ช่องโหว่ใน SonicWall SMA 100 series ➡️ แม้อุปกรณ์จะได้รับการแพตช์แล้ว แต่ยังถูกเจาะผ่าน credential เดิม ✅ มัลแวร์ OVERSTEP เป็น rootkit แบบ user-mode ➡️ แก้ไขกระบวนการบูต ขโมยข้อมูล และซ่อนตัวเองจากระบบ ✅ การโจมตีเริ่มต้นตั้งแต่ตุลาคม 2024 และยังดำเนินต่อเนื่อง ➡️ มีเป้าหมายเพื่อขโมยข้อมูลและเรียกค่าไถ่ ✅ องค์กรที่ถูกโจมตีถูกนำข้อมูลไปเผยแพร่บนเว็บไซต์ World Leaks ➡️ แสดงถึงความรุนแรงของการละเมิดข้อมูล ✅ GTIG เชื่อมโยงการโจมตีกับ ransomware ชื่อ Abyss (VSOCIETY) ➡️ เคยใช้โจมตี SonicWall ในช่วงปลายปี 2023 ✅ การโจมตีเน้นอุปกรณ์ที่หมดอายุการสนับสนุน (end-of-life) ➡️ เช่น SonicWall SMA 100 series ที่ยังมีการใช้งานอยู่ในบางองค์กร https://www.techradar.com/pro/security/hacker-using-backdoor-to-exploit-sonicwall-secure-mobile-access-to-steal-credentials
    WWW.TECHRADAR.COM
    Hacker using backdoor to exploit SonicWall Secure Mobile Access to steal credentials
    The vulnerability is fully patched, but criminals are still finding a way
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกความรู้สึก: เมื่อ AI ยังไม่เข้าใจอารมณ์แบบอังกฤษ

    แม้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานธุรการ เช่น การติดตามพัสดุหรือการจองบริการต่าง ๆ ได้ดี แต่เมื่อพูดถึงการสื่อสารที่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การแจ้งข่าวร้าย หรือการปิดบัญชีหลังการสูญเสีย AI กลับยังไม่สามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสม

    ผลสำรวจจาก ServiceNow พบว่า:
    - 69% ของผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรเชื่อว่า AI ไม่เข้าใจน้ำเสียงทางอารมณ์
    - 68% ระบุว่า AI ยังไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
    - มีเพียง 3% เท่านั้นที่ไว้วางใจให้ AI จัดการงานที่มีความอ่อนไหวทางอารมณ์

    แม้ผู้บริโภคจะไม่ชอบการรอคิวนาน (59%) หรือการต้องพูดซ้ำหลายครั้ง (46%) กับเจ้าหน้าที่มนุษย์ แต่พวกเขายังเลือกที่จะพูดคุยกับคนจริง ๆ มากกว่า AI เพราะรู้สึกว่า “เข้าใจ” มากกว่า

    ServiceNow จึงเสนอว่า AI ควรพัฒนาให้สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้มากขึ้น แทนที่จะพยายามแทนที่ทั้งหมด โดยเฉพาะในงานบริการลูกค้าที่ต้องการความเข้าใจและความเห็นใจ

    69% ของผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรเชื่อว่า AI ไม่เข้าใจอารมณ์
    โดยเฉพาะน้ำเสียง ความหงุดหงิด หรือความเศร้า

    68% ระบุว่า AI ยังไม่ตอบสนองความคาดหวังในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
    แม้จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

    มีเพียง 3% ที่ไว้วางใจให้ AI จัดการงานที่มีความอ่อนไหวทางอารมณ์
    เช่น การปิดบัญชีธนาคารหลังการเสียชีวิต

    ผู้บริโภคยังชอบพูดคุยกับเจ้าหน้าที่มนุษย์มากกว่า AI
    แม้จะต้องรอคิวนานหรือพูดซ้ำหลายครั้ง

    ServiceNow เสนอให้พัฒนา AI เพื่อทำงานร่วมกับมนุษย์
    ไม่ใช่แทนที่ทั้งหมด โดยเน้นความร่วมมือและความเข้าใจ

    AI ยังมีประโยชน์ในงานธุรการ เช่น การติดตามพัสดุหรือจองบริการ
    เพราะไม่ต้องใช้การตีความอารมณ์

    การใช้ AI ในงานบริการลูกค้าที่มีอารมณ์เกี่ยวข้องอาจสร้างความไม่พอใจ
    โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้รู้สึกว่า “ไม่ได้รับการเข้าใจ”

    ความไว้วางใจต่อ AI ยังต่ำมากในสหราชอาณาจักร
    อาจส่งผลต่อการนำ AI ไปใช้ในองค์กรหรือบริการสาธารณะ

    การพัฒนา AI ที่เข้าใจอารมณ์ยังเป็นความท้าทายทางเทคโนโลยี
    ต้องใช้ข้อมูลหลากหลายและการฝึกโมเดลที่ซับซ้อน

    หากองค์กรพึ่งพา AI มากเกินไป อาจสูญเสียความสัมพันธ์กับลูกค้า
    โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่ยังต้องการการสื่อสารแบบมนุษย์

    https://www.techradar.com/pro/ai-doesnt-understand-british-emotional-tone-and-its-turning-customers-off-the-technology
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกความรู้สึก: เมื่อ AI ยังไม่เข้าใจอารมณ์แบบอังกฤษ แม้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานธุรการ เช่น การติดตามพัสดุหรือการจองบริการต่าง ๆ ได้ดี แต่เมื่อพูดถึงการสื่อสารที่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การแจ้งข่าวร้าย หรือการปิดบัญชีหลังการสูญเสีย AI กลับยังไม่สามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสม ผลสำรวจจาก ServiceNow พบว่า: - 69% ของผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรเชื่อว่า AI ไม่เข้าใจน้ำเสียงทางอารมณ์ - 68% ระบุว่า AI ยังไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา - มีเพียง 3% เท่านั้นที่ไว้วางใจให้ AI จัดการงานที่มีความอ่อนไหวทางอารมณ์ แม้ผู้บริโภคจะไม่ชอบการรอคิวนาน (59%) หรือการต้องพูดซ้ำหลายครั้ง (46%) กับเจ้าหน้าที่มนุษย์ แต่พวกเขายังเลือกที่จะพูดคุยกับคนจริง ๆ มากกว่า AI เพราะรู้สึกว่า “เข้าใจ” มากกว่า ServiceNow จึงเสนอว่า AI ควรพัฒนาให้สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้มากขึ้น แทนที่จะพยายามแทนที่ทั้งหมด โดยเฉพาะในงานบริการลูกค้าที่ต้องการความเข้าใจและความเห็นใจ ✅ 69% ของผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรเชื่อว่า AI ไม่เข้าใจอารมณ์ ➡️ โดยเฉพาะน้ำเสียง ความหงุดหงิด หรือความเศร้า ✅ 68% ระบุว่า AI ยังไม่ตอบสนองความคาดหวังในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ➡️ แม้จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ✅ มีเพียง 3% ที่ไว้วางใจให้ AI จัดการงานที่มีความอ่อนไหวทางอารมณ์ ➡️ เช่น การปิดบัญชีธนาคารหลังการเสียชีวิต ✅ ผู้บริโภคยังชอบพูดคุยกับเจ้าหน้าที่มนุษย์มากกว่า AI ➡️ แม้จะต้องรอคิวนานหรือพูดซ้ำหลายครั้ง ✅ ServiceNow เสนอให้พัฒนา AI เพื่อทำงานร่วมกับมนุษย์ ➡️ ไม่ใช่แทนที่ทั้งหมด โดยเน้นความร่วมมือและความเข้าใจ ✅ AI ยังมีประโยชน์ในงานธุรการ เช่น การติดตามพัสดุหรือจองบริการ ➡️ เพราะไม่ต้องใช้การตีความอารมณ์ ‼️ การใช้ AI ในงานบริการลูกค้าที่มีอารมณ์เกี่ยวข้องอาจสร้างความไม่พอใจ ⛔ โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้รู้สึกว่า “ไม่ได้รับการเข้าใจ” ‼️ ความไว้วางใจต่อ AI ยังต่ำมากในสหราชอาณาจักร ⛔ อาจส่งผลต่อการนำ AI ไปใช้ในองค์กรหรือบริการสาธารณะ ‼️ การพัฒนา AI ที่เข้าใจอารมณ์ยังเป็นความท้าทายทางเทคโนโลยี ⛔ ต้องใช้ข้อมูลหลากหลายและการฝึกโมเดลที่ซับซ้อน ‼️ หากองค์กรพึ่งพา AI มากเกินไป อาจสูญเสียความสัมพันธ์กับลูกค้า ⛔ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่ยังต้องการการสื่อสารแบบมนุษย์ https://www.techradar.com/pro/ai-doesnt-understand-british-emotional-tone-and-its-turning-customers-off-the-technology
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • อาการหนัก! 'ทักษิณ' กล่าวหาคนไทยไม่รักกัน ไปเข้าข้างผู้นำเขมรไร้จริยธรรม
    ///////////////


    "ทักษิณ" ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ งงทำไมคนไทยไม่รักกัน ตอก พรรคที่เพิ่งหลุดร่วมรัฐบาลไป เป็นเขมรหรือไทย หลังติงอิ๊งค์ขายชาติ บอก ปัจจุบันการเมืองไม่มีเสถียรภาพเหมือนสมัยรัฐบาล ‘คึกฤทธิ์’ บอกสุดท้ายบ้านเมืองไม่ไปไหน

    วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์
    นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รมช.ศึกษาธิการ และนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ นายปิฎก สุขสวัสดิ์ และนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ร่วมงาน
    จากนั้น เวลา 19.30 น.นายทักษิณ ขึ้นเวทีปาฐกถาว่า หลายเรื่องพูดมาตั้งแต่เป็นนายกฯ เมื่อ 20 ปีแล้ว แต่มันไม่ไป วันนี้ก็ไม่ไปไหน หลายเรื่องก็ถอยเสียไปด้วยซ้ำ ตนจากไปต่างประเทศหลายปี กลับมาหลายเรื่องแย่กว่าเดิม แต่หลายเรื่องก็ก้าวหน้ามาก โดยเฉพาะเรื่องภาคเอกชนหรือส่วนราชการที่มีคนเก่งๆ วันนี้ประเทศไทยเราต้องการความเชื่อมั่นในหมู่คนไทยด้วยกันก่อน วันนี้คนไทยด้วยกันบางทีก็ไม่เชื่อมั่นตัวเอง และไม่คิดจะ
    พยายามที่จะรวมพลังกัน มีความเป็นหนึ่งที่จะแก้ปัญหาด้วยกัน
    “เรื่องที่เกิดขึ้นกับกัมพูชา ผมก็แปลกใจผู้นำเขมรมันไร้จริยธรรมจะตาย แต่เรากลับไปเข้าข้างมัน ผมก็งงว่าวันนี้ทำไมคนไทยไม่รักกัน ทั้งที่สิ่งนี้ไม่น่าเกิด ไม่มีผู้นำคนไหนในโลกเขาทำกัน แต่เรากลับทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคที่เพิ่งหลุดจากพรรคร่วมรัฐบาล ก็กลับมามองว่า
    เป็นการขายชาติ เลยไม่รู้ว่าตกลงว่าเขาเป็นเขมรหรือเป็นไทย” นายทักษิณ กล่าว
    นายทักษิณ กล่าวต่อว่า วันนี้สิ่งที่ทำให้สะดุดปัญหาของประเทศที่ทำให้ประเทศนั้นชะงักอยู่ อันแรกคือปัญหาการเมือง ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่ตอนนั้นพรรคไทยรักไทยเข้ามาจากการเลือกตั้งครั้งแรก โดย
    เป็นการขายนโยบาย และชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย แต่ตอนหลังความเข้มแข็งของพรรคไทยรักไทย หลังมีการปฏิวัติกลับถอยกลับ วันนี้การตั้งรัฐบาลผสมหลายๆ พรรค ต้องนึกถึงเมื่อ 51 ปีที่แล้วที่ไปช่วยราชการนายปรีดา พัฒนถาบุตร อดีตรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาล
    ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกฯ เหมือนกันเลยที่การเมืองไม่มีเสถียรภาพล้มกันไปล้มกันมา ผลสุดท้ายบ้านเมืองไม่ไปไหน ตนก็อยากจะขอร้องทุกคนว่าการเมืองเปลี่ยนแปลงได้ แต่บ้านเมืองต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องต่อไป ไม่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร ข้าราชการ นักธุรกิจก็ทำงานต่อไป ใครเป็นรัฐบาลก็มีหน้าที่มาเสริมทำให้ภาคเอกชนแข็งแรง
    อาการหนัก! 'ทักษิณ' กล่าวหาคนไทยไม่รักกัน ไปเข้าข้างผู้นำเขมรไร้จริยธรรม /////////////// "ทักษิณ" ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ งงทำไมคนไทยไม่รักกัน ตอก พรรคที่เพิ่งหลุดร่วมรัฐบาลไป เป็นเขมรหรือไทย หลังติงอิ๊งค์ขายชาติ บอก ปัจจุบันการเมืองไม่มีเสถียรภาพเหมือนสมัยรัฐบาล ‘คึกฤทธิ์’ บอกสุดท้ายบ้านเมืองไม่ไปไหน วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รมช.ศึกษาธิการ และนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ นายปิฎก สุขสวัสดิ์ และนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ร่วมงาน จากนั้น เวลา 19.30 น.นายทักษิณ ขึ้นเวทีปาฐกถาว่า หลายเรื่องพูดมาตั้งแต่เป็นนายกฯ เมื่อ 20 ปีแล้ว แต่มันไม่ไป วันนี้ก็ไม่ไปไหน หลายเรื่องก็ถอยเสียไปด้วยซ้ำ ตนจากไปต่างประเทศหลายปี กลับมาหลายเรื่องแย่กว่าเดิม แต่หลายเรื่องก็ก้าวหน้ามาก โดยเฉพาะเรื่องภาคเอกชนหรือส่วนราชการที่มีคนเก่งๆ วันนี้ประเทศไทยเราต้องการความเชื่อมั่นในหมู่คนไทยด้วยกันก่อน วันนี้คนไทยด้วยกันบางทีก็ไม่เชื่อมั่นตัวเอง และไม่คิดจะ พยายามที่จะรวมพลังกัน มีความเป็นหนึ่งที่จะแก้ปัญหาด้วยกัน “เรื่องที่เกิดขึ้นกับกัมพูชา ผมก็แปลกใจผู้นำเขมรมันไร้จริยธรรมจะตาย แต่เรากลับไปเข้าข้างมัน ผมก็งงว่าวันนี้ทำไมคนไทยไม่รักกัน ทั้งที่สิ่งนี้ไม่น่าเกิด ไม่มีผู้นำคนไหนในโลกเขาทำกัน แต่เรากลับทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคที่เพิ่งหลุดจากพรรคร่วมรัฐบาล ก็กลับมามองว่า เป็นการขายชาติ เลยไม่รู้ว่าตกลงว่าเขาเป็นเขมรหรือเป็นไทย” นายทักษิณ กล่าว นายทักษิณ กล่าวต่อว่า วันนี้สิ่งที่ทำให้สะดุดปัญหาของประเทศที่ทำให้ประเทศนั้นชะงักอยู่ อันแรกคือปัญหาการเมือง ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่ตอนนั้นพรรคไทยรักไทยเข้ามาจากการเลือกตั้งครั้งแรก โดย เป็นการขายนโยบาย และชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย แต่ตอนหลังความเข้มแข็งของพรรคไทยรักไทย หลังมีการปฏิวัติกลับถอยกลับ วันนี้การตั้งรัฐบาลผสมหลายๆ พรรค ต้องนึกถึงเมื่อ 51 ปีที่แล้วที่ไปช่วยราชการนายปรีดา พัฒนถาบุตร อดีตรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกฯ เหมือนกันเลยที่การเมืองไม่มีเสถียรภาพล้มกันไปล้มกันมา ผลสุดท้ายบ้านเมืองไม่ไปไหน ตนก็อยากจะขอร้องทุกคนว่าการเมืองเปลี่ยนแปลงได้ แต่บ้านเมืองต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องต่อไป ไม่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร ข้าราชการ นักธุรกิจก็ทำงานต่อไป ใครเป็นรัฐบาลก็มีหน้าที่มาเสริมทำให้ภาคเอกชนแข็งแรง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยกระดับการผลิตของคุณด้วยเครื่องจักรระดับมืออาชีพ!
    สำหรับผู้ประกอบการที่มองหาเครื่องจักรคุณภาพสูงเพื่อยกระดับการผลิตซอส เนยถั่ว หรือผลิตภัณฑ์ที่มีความละเอียดสูงอื่นๆ เครื่อง Colloid Mill 100 จาก BONNY คือคำตอบที่คุณตามหา! เครื่องจักรนี้ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในระดับอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอและมีคุณภาพสูงสุด
    ทำไมต้องเลือก Colloid Mill 100 สำหรับธุรกิจของคุณ?
    ประสิทธิภาพการบดเหนือกว่า: ทำงานด้วยระบบเฟืองบดคู่ที่ทรงพลัง ให้ความละเอียดของอนุภาคที่สม่ำเสมอและเนียนกริบ เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการเนื้อสัมผัสพิเศษ
    สร้างจากวัสดุคุณภาพสูง: ตัวเครื่องผลิตจากสเตนเลสเกรด 304 แข็งแรงทนทาน ทนต่อการกัดกร่อน และเป็นไปตามมาตรฐานสุขอนามัยสำหรับการผลิตอาหาร
    ระบบที่ออกแบบมาเพื่อการผลิตต่อเนื่อง:
    ระบบไหลวน: ช่วยให้มั่นใจได้ถึงความละเอียดที่ยอดเยี่ยม ลดความจำเป็นในการผ่านกระบวนการซ้ำหลายรอบ
    ระบบหล่อเย็น: ควบคุมอุณหภูมิระหว่างการบดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันความร้อนทำลายคุณภาพของวัตถุดิบ
    กำลังการผลิตที่ตอบโจทย์: ด้วยมอเตอร์ขนาด 10 HP. (ไฟ 380 V.) และความเร็วรอบฟันตี 2,800 rpm. สามารถผลิตได้มากถึง 50-100 กก./ชม. พร้อมรองรับการผลิตในปริมาณมาก
    ลงทุนอย่างคุ้มค่า: ขนาดเครื่องกะทัดรัด (88x49x88 ซม.) ประหยัดพื้นที่ในโรงงาน พร้อมรับประกันสินค้านานถึง 1 ปี ให้คุณมั่นใจในทุกการใช้งาน
    อย่ารอช้า! ยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ของคุณ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดด้วยเครื่องจักรคุณภาพจาก BONNY
    #ColloidMill #เครื่องจักรโรงงาน #ระดับอุตสาหกรรม #เนยถั่ว #ทำซอส #BONNY #ย่งฮะเฮง #เครื่องแปรรูปอาหาร #เครื่องบด #เครื่องบดละเอียด #โรงงานอาหาร #อุตสาหกรรมอาหาร #ผลิตซอส #ผลิตเนยถั่ว #เครื่องจักรแปรรูป #สแตนเลส304 #เครื่องบดอเนกประสงค์ #เครื่องผลิตอาหาร #เครื่องครัวอุตสาหกรรม #เทคโนโลยีอาหาร #คุณภาพสูง #ประสิทธิภาพสูง #ราคาพิเศษ
    สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่:
    ย่งฮะเฮง เครื่องบด ย่อย หั่น สับ สไลซ์ คั้น อัด เลื่อย สำหรับ อาหาร ยา พลังงานหมุนเวียน
    LINE Business ID: @yonghahheng (มี @ ข้างหน้า) หรือคลิก: https://lin.ee/HV4lSKp
    โทร: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com
    📢 ยกระดับการผลิตของคุณด้วยเครื่องจักรระดับมืออาชีพ! 🚀 สำหรับผู้ประกอบการที่มองหาเครื่องจักรคุณภาพสูงเพื่อยกระดับการผลิตซอส เนยถั่ว หรือผลิตภัณฑ์ที่มีความละเอียดสูงอื่นๆ เครื่อง Colloid Mill 100 จาก BONNY คือคำตอบที่คุณตามหา! เครื่องจักรนี้ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในระดับอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอและมีคุณภาพสูงสุด ✨ ทำไมต้องเลือก Colloid Mill 100 สำหรับธุรกิจของคุณ? ✨ ประสิทธิภาพการบดเหนือกว่า: ทำงานด้วยระบบเฟืองบดคู่ที่ทรงพลัง ให้ความละเอียดของอนุภาคที่สม่ำเสมอและเนียนกริบ เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการเนื้อสัมผัสพิเศษ สร้างจากวัสดุคุณภาพสูง: ตัวเครื่องผลิตจากสเตนเลสเกรด 304 แข็งแรงทนทาน ทนต่อการกัดกร่อน และเป็นไปตามมาตรฐานสุขอนามัยสำหรับการผลิตอาหาร ระบบที่ออกแบบมาเพื่อการผลิตต่อเนื่อง: ระบบไหลวน: ช่วยให้มั่นใจได้ถึงความละเอียดที่ยอดเยี่ยม ลดความจำเป็นในการผ่านกระบวนการซ้ำหลายรอบ ระบบหล่อเย็น: ควบคุมอุณหภูมิระหว่างการบดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันความร้อนทำลายคุณภาพของวัตถุดิบ กำลังการผลิตที่ตอบโจทย์: ด้วยมอเตอร์ขนาด 10 HP. (ไฟ 380 V.) และความเร็วรอบฟันตี 2,800 rpm. สามารถผลิตได้มากถึง 50-100 กก./ชม. พร้อมรองรับการผลิตในปริมาณมาก ลงทุนอย่างคุ้มค่า: ขนาดเครื่องกะทัดรัด (88x49x88 ซม.) ประหยัดพื้นที่ในโรงงาน พร้อมรับประกันสินค้านานถึง 1 ปี ให้คุณมั่นใจในทุกการใช้งาน อย่ารอช้า! ยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ของคุณ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดด้วยเครื่องจักรคุณภาพจาก BONNY #ColloidMill #เครื่องจักรโรงงาน #ระดับอุตสาหกรรม #เนยถั่ว #ทำซอส #BONNY #ย่งฮะเฮง #เครื่องแปรรูปอาหาร #เครื่องบด #เครื่องบดละเอียด #โรงงานอาหาร #อุตสาหกรรมอาหาร #ผลิตซอส #ผลิตเนยถั่ว #เครื่องจักรแปรรูป #สแตนเลส304 #เครื่องบดอเนกประสงค์ #เครื่องผลิตอาหาร #เครื่องครัวอุตสาหกรรม #เทคโนโลยีอาหาร #คุณภาพสูง #ประสิทธิภาพสูง #ราคาพิเศษ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่: 📍 ย่งฮะเฮง เครื่องบด ย่อย หั่น สับ สไลซ์ คั้น อัด เลื่อย สำหรับ อาหาร ยา พลังงานหมุนเวียน 📱 LINE Business ID: @yonghahheng (มี @ ข้างหน้า) หรือคลิก: https://lin.ee/HV4lSKp 📞 โทร: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 🌐 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com 📧 อีเมล: sales@yoryonghahheng.com
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานการณ์ล่าสุดทิศทาง Pokrovsk

    กองกำลัง "วอสต็อก" แห่งกองทัพรัสเซียได้เข้ายึดครองเมืองโนโวคัตสเก (Novokhatske) ทางใต้ของ Pokrovsk ได้เพิ่มอีกหนึ่งแห่ง (วิดีโอประกอบ)

    ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวของกองกำลังรัสเซียในทิศทาง Udachne และ Rodynske คืบหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อปิดล้อม Pokrovsk
    สถานการณ์ล่าสุดทิศทาง Pokrovsk กองกำลัง "วอสต็อก" แห่งกองทัพรัสเซียได้เข้ายึดครองเมืองโนโวคัตสเก (Novokhatske) ทางใต้ของ Pokrovsk ได้เพิ่มอีกหนึ่งแห่ง (วิดีโอประกอบ) ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวของกองกำลังรัสเซียในทิศทาง Udachne และ Rodynske คืบหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อปิดล้อม Pokrovsk
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • CPU ที่ลุงรอ !! ออกเมื่อไหร่ ลุงพร้อมย้ายจาก x64 ไป Arm64 ทันที

    เรื่องเล่าจากโลกชิป: Nvidia กับความฝัน Arm CPU ที่สะดุดกลางทาง

    Nvidia มีแผนจะเปิดตัวชิป CPU สถาปัตยกรรม Arm รุ่นแรกของบริษัทในชื่อ N1x เพื่อแข่งขันกับ Snapdragon X Elite, Intel Core Ultra 200HX, Apple M3 และ AMD Ryzen AI Max โดยชิปนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานใน AI PC และอุปกรณ์พกพาที่เน้นประสิทธิภาพสูง

    แต่ล่าสุดมีรายงานจาก SemiAccurate ว่าทีมวิศวกรของ Nvidia พบปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ที่ร้ายแรงใน N1x ซึ่งอาจต้องเปลี่ยนแปลงการออกแบบซิลิคอนใหม่ทั้งหมด ส่งผลให้การเปิดตัวและการจัดส่งต้องเลื่อนออกไปเป็นปี 2026

    ก่อนหน้านี้ Nvidia เคยอ้างว่า N1 และ N1x เข้าสู่การผลิตเต็มรูปแบบแล้ว และมีตัวอย่างชิปปรากฏในฐานข้อมูล Geekbench พร้อมคะแนนที่น่าประทับใจ แต่ข้อมูลล่าสุดทำให้คำกล่าวนั้นดู “มองโลกในแง่ดีเกินไป”

    แม้จะมีอุปสรรค แต่โปรเจกต์ N1 ยังได้รับความสนใจจากวงการ และมีพันธมิตรร่วมพัฒนา เช่น MediaTek และอาจรวมถึง Alienware สำหรับโน้ตบุ๊กเกมที่ใช้ CPU Arm คู่กับ GPU GeForce

    อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายตั้งคำถามว่า การผลักดัน Arm ในตลาด PC แบบดั้งเดิมอาจไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะนัก เพราะ x86 ยังพัฒนาอย่างต่อเนื่องและครองตลาดอยู่

    Nvidia พบปัญหาฮาร์ดแวร์ในชิป N1x ที่อาจต้องออกแบบซิลิคอนใหม่
    ส่งผลให้เลื่อนเปิดตัวและจัดส่งไปเป็นปี 2026

    ก่อนหน้านี้มีตัวอย่าง N1x ปรากฏใน Geekbench พร้อมคะแนนดี
    แสดงศักยภาพในการแข่งขันกับชิประดับสูงในตลาด

    N1x เป็นชิป Arm ที่ออกแบบมาเพื่อ AI PC และอุปกรณ์พกพา
    ตั้งเป้าแข่งขันกับ Snapdragon X Elite, Apple M3, Intel Core Ultra และ AMD Ryzen AI Max

    Nvidia มีพันธมิตรเช่น MediaTek และอาจร่วมมือกับ Alienware
    เพื่อผลิตโน้ตบุ๊กเกมที่ใช้ CPU Arm คู่กับ GPU GeForce

    โปรเจกต์ N1 ยังได้รับความสนใจจากวงการแม้มีอุปสรรค
    สะท้อนความมุ่งมั่นของ Nvidia ในการเข้าสู่ตลาด CPU

    https://www.techspot.com/news/108679-nvidia-arm-cpu-dream-hits-hardware-wall-debut.html
    CPU ที่ลุงรอ !! ออกเมื่อไหร่ ลุงพร้อมย้ายจาก x64 ไป Arm64 ทันที 🎙️ เรื่องเล่าจากโลกชิป: Nvidia กับความฝัน Arm CPU ที่สะดุดกลางทาง Nvidia มีแผนจะเปิดตัวชิป CPU สถาปัตยกรรม Arm รุ่นแรกของบริษัทในชื่อ N1x เพื่อแข่งขันกับ Snapdragon X Elite, Intel Core Ultra 200HX, Apple M3 และ AMD Ryzen AI Max โดยชิปนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานใน AI PC และอุปกรณ์พกพาที่เน้นประสิทธิภาพสูง แต่ล่าสุดมีรายงานจาก SemiAccurate ว่าทีมวิศวกรของ Nvidia พบปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ที่ร้ายแรงใน N1x ซึ่งอาจต้องเปลี่ยนแปลงการออกแบบซิลิคอนใหม่ทั้งหมด ส่งผลให้การเปิดตัวและการจัดส่งต้องเลื่อนออกไปเป็นปี 2026 ก่อนหน้านี้ Nvidia เคยอ้างว่า N1 และ N1x เข้าสู่การผลิตเต็มรูปแบบแล้ว และมีตัวอย่างชิปปรากฏในฐานข้อมูล Geekbench พร้อมคะแนนที่น่าประทับใจ แต่ข้อมูลล่าสุดทำให้คำกล่าวนั้นดู “มองโลกในแง่ดีเกินไป” แม้จะมีอุปสรรค แต่โปรเจกต์ N1 ยังได้รับความสนใจจากวงการ และมีพันธมิตรร่วมพัฒนา เช่น MediaTek และอาจรวมถึง Alienware สำหรับโน้ตบุ๊กเกมที่ใช้ CPU Arm คู่กับ GPU GeForce อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายตั้งคำถามว่า การผลักดัน Arm ในตลาด PC แบบดั้งเดิมอาจไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะนัก เพราะ x86 ยังพัฒนาอย่างต่อเนื่องและครองตลาดอยู่ ✅ Nvidia พบปัญหาฮาร์ดแวร์ในชิป N1x ที่อาจต้องออกแบบซิลิคอนใหม่ ➡️ ส่งผลให้เลื่อนเปิดตัวและจัดส่งไปเป็นปี 2026 ✅ ก่อนหน้านี้มีตัวอย่าง N1x ปรากฏใน Geekbench พร้อมคะแนนดี ➡️ แสดงศักยภาพในการแข่งขันกับชิประดับสูงในตลาด ✅ N1x เป็นชิป Arm ที่ออกแบบมาเพื่อ AI PC และอุปกรณ์พกพา ➡️ ตั้งเป้าแข่งขันกับ Snapdragon X Elite, Apple M3, Intel Core Ultra และ AMD Ryzen AI Max ✅ Nvidia มีพันธมิตรเช่น MediaTek และอาจร่วมมือกับ Alienware ➡️ เพื่อผลิตโน้ตบุ๊กเกมที่ใช้ CPU Arm คู่กับ GPU GeForce ✅ โปรเจกต์ N1 ยังได้รับความสนใจจากวงการแม้มีอุปสรรค ➡️ สะท้อนความมุ่งมั่นของ Nvidia ในการเข้าสู่ตลาด CPU https://www.techspot.com/news/108679-nvidia-arm-cpu-dream-hits-hardware-wall-debut.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Nvidia's Arm CPU dream hits a hardware wall, debut pushed to 2026
    Nvidia has encountered a new hardware problem with its much-anticipated N1x Arm CPU, and this time it is a major one. According to multiple industry sources cited...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: 7 แนวทางความปลอดภัยที่ควรเลิกใช้ ก่อนที่มันจะทำร้ายองค์กร

    ในยุคที่ภัยไซเบอร์ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเร็ว การยึดติดกับแนวทางเก่า ๆ อาจกลายเป็นจุดอ่อนร้ายแรงขององค์กร บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 7 แนวทางด้านความปลอดภัยที่ล้าสมัยและควรเลิกใช้ทันที พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในวงการ

    1️⃣ การพึ่ง perimeter-only security
    ไม่เพียงพอในยุค cloud และ hybrid work ต้องใช้แนวคิด Zero Trust

    2️⃣ การเน้น compliance มากกว่าความปลอดภัยจริง
    การตรวจสอบตามข้อกำหนดไม่ช่วยป้องกันภัยคุกคามที่แท้จริง
    ทีมงานอาจมัวแต่ตอบ audit แทนที่จะป้องกันภัยจริง

    3️⃣ การใช้ VPN แบบเก่า (legacy VPNs)
    ไม่สามารถรองรับการทำงานแบบ remote และขาดการอัปเดตที่ปลอดภัย
    เสี่ยงต่อการโจมตีและการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต

    4️⃣ การคิดว่า EDR เพียงพอแล้ว
    ผู้โจมตีสามารถหลบเลี่ยง EDR โดยโจมตีผ่าน cloud, network หรือ API
    เช่น การใช้ OAuth token หรือการโจมตีผ่าน IoT

    5️⃣ การใช้ SMS เป็นวิธี 2FA
    เสี่ยงต่อการถูกโจมตีผ่าน SIM swapping และช่องโหว่ของเครือข่ายโทรศัพท์
    ไม่ปลอดภัยสำหรับการป้องกันบัญชีสำคัญ

    6️⃣ การใช้ SIEM แบบ on-premises
    เสียค่าใช้จ่ายสูงและไม่สามารถตรวจจับภัยในระบบ cloud ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    เสี่ยงต่อการพลาดข้อมูลสำคัญจากระบบ cloud

    7️⃣ การปล่อยให้ผู้ใช้เป็นผู้รับแบบ passive ในวัฒนธรรมความปลอดภัย
    ต้องสร้างการมีส่วนร่วมและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกัน phishing และ social engineering
    การขาดการฝึกอบรมทำให้ phishing และ social engineering สำเร็จง่ายขึ้น

    https://www.csoonline.com/article/4022848/7-obsolete-security-practices-that-should-be-terminated-immediately.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: 7 แนวทางความปลอดภัยที่ควรเลิกใช้ ก่อนที่มันจะทำร้ายองค์กร ในยุคที่ภัยไซเบอร์ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเร็ว การยึดติดกับแนวทางเก่า ๆ อาจกลายเป็นจุดอ่อนร้ายแรงขององค์กร บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 7 แนวทางด้านความปลอดภัยที่ล้าสมัยและควรเลิกใช้ทันที พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในวงการ 1️⃣ การพึ่ง perimeter-only security ➡️ ไม่เพียงพอในยุค cloud และ hybrid work ต้องใช้แนวคิด Zero Trust 2️⃣ การเน้น compliance มากกว่าความปลอดภัยจริง ➡️ การตรวจสอบตามข้อกำหนดไม่ช่วยป้องกันภัยคุกคามที่แท้จริง ⛔ ทีมงานอาจมัวแต่ตอบ audit แทนที่จะป้องกันภัยจริง 3️⃣ การใช้ VPN แบบเก่า (legacy VPNs) ➡️ ไม่สามารถรองรับการทำงานแบบ remote และขาดการอัปเดตที่ปลอดภัย ⛔ เสี่ยงต่อการโจมตีและการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต 4️⃣ การคิดว่า EDR เพียงพอแล้ว ➡️ ผู้โจมตีสามารถหลบเลี่ยง EDR โดยโจมตีผ่าน cloud, network หรือ API ⛔ เช่น การใช้ OAuth token หรือการโจมตีผ่าน IoT 5️⃣ การใช้ SMS เป็นวิธี 2FA ➡️ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีผ่าน SIM swapping และช่องโหว่ของเครือข่ายโทรศัพท์ ⛔ ไม่ปลอดภัยสำหรับการป้องกันบัญชีสำคัญ 6️⃣ การใช้ SIEM แบบ on-premises ➡️ เสียค่าใช้จ่ายสูงและไม่สามารถตรวจจับภัยในระบบ cloud ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ⛔ เสี่ยงต่อการพลาดข้อมูลสำคัญจากระบบ cloud 7️⃣ การปล่อยให้ผู้ใช้เป็นผู้รับแบบ passive ในวัฒนธรรมความปลอดภัย ➡️ ต้องสร้างการมีส่วนร่วมและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกัน phishing และ social engineering ⛔ การขาดการฝึกอบรมทำให้ phishing และ social engineering สำเร็จง่ายขึ้น https://www.csoonline.com/article/4022848/7-obsolete-security-practices-that-should-be-terminated-immediately.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    7 obsolete security practices that should be terminated immediately
    Bad habits can be hard to break. Yet when it comes to security, an outdated practice is not only useless, but potentially dangerous.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องวิจัย: แบตเตอรี่กัมมันตรังสีที่อาจไม่ต้องชาร์จอีกเลย

    ทีมนักวิจัยจาก Daegu Gyeongbuk Institute of Science and Technology (DGIST) นำโดยศาสตราจารย์ Su-Il In ได้พัฒนาแบตเตอรี่ชนิดใหม่ที่เรียกว่า “Perovskite Betavoltaic Cell” (PBC) ซึ่งใช้พลังงานจากการสลายตัวของคาร์บอน-14 (Carbon-14) เพื่อผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องนานหลายสิบปี โดยไม่ต้องชาร์จ

    แบตเตอรี่ชนิดนี้ใช้อนุภาคคาร์บอน-14 ร่วมกับ quantum dots เป็นขั้วไฟฟ้า และเคลือบด้วยฟิล์ม perovskite ที่เสริมความเสถียรด้วยสารเติมแต่งคลอรีนสองชนิด (MACl และ CsCl) เพื่อเพิ่มการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนถึง 56,000 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน

    แม้จะยังมีประสิทธิภาพต่ำกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั่วไป แต่การออกแบบให้มีคาร์บอน-14 ทั้งขั้วบวกและลบช่วยเพิ่มการแผ่รังสีเบต้าและลดการสูญเสียพลังงาน ทำให้สามารถใช้งานได้นานหลายร้อยปี เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานต่ำแต่ต่อเนื่อง เช่น pacemaker, โดรน, probe อวกาศ หรืออุปกรณ์ในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว

    ทีมนักวิจัยจาก DGIST พัฒนาแบตเตอรี่แบบ betavoltaic โดยใช้ perovskite
    เป็นการรวม perovskite กับแหล่งพลังงานกัมมันตรังสีเป็นครั้งแรก

    ใช้คาร์บอน-14 ซึ่งปล่อยรังสีเบต้าอย่างปลอดภัย
    ไม่ทะลุผิวหนังและสามารถป้องกันได้ด้วยอะลูมิเนียม

    ฟิล์ม perovskite เสริมด้วย MACl และ CsCl เพื่อเพิ่มความเสถียร
    เพิ่ม electron mobility ได้ถึง 56,000 เท่า

    ใช้ titanium dioxide ร่วมกับ dye ที่ผ่านการบำบัดด้วยกรดซิตริก
    เกิดปฏิกิริยา avalanche ของอิเล็กตรอนเมื่อโดนรังสีเบต้า

    ประสิทธิภาพการแปลงพลังงานเพิ่มจาก 0.48% เป็น 2.86%
    แม้ยังต่ำ แต่ถือเป็นก้าวสำคัญของเทคโนโลยีนี้

    คาร์บอน-14 เป็นผลพลอยได้จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
    ราคาถูก หาง่าย และสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้

    มีแผนพัฒนาเพื่อใช้ในอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น pacemaker, โดรน, probe อวกาศ
    “พลังงานนิวเคลียร์ในอุปกรณ์ขนาดเท่านิ้ว” ตามคำกล่าวของศาสตราจารย์ In

    ประสิทธิภาพยังต่ำกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั่วไป
    ต้องปรับปรุงรูปทรงของตัวปล่อยรังสีและตัวดูดซับเพิ่มเติม

    การใช้สารกัมมันตรังสีแม้ปลอดภัย ต้องผ่านการรับรองด้านชีวภาพ
    โดยเฉพาะหากนำไปใช้ในอุปกรณ์ทางการแพทย์

    การผลิตและใช้งานในเชิงพาณิชย์ยังอยู่ในขั้นต้น
    ต้องการการพัฒนาเพิ่มเติมก่อนนำไปใช้จริง

    การจัดการคาร์บอน-14 ต้องมีระบบควบคุมที่เข้มงวด
    แม้จะปลอดภัย แต่ยังเป็นสารกัมมันตรังสีที่ต้องดูแลอย่างรอบคอบ

    https://www.neowin.net/news/this-amazing-new-battery-has-life-so-long-you-may-never-have-to-recharge/
    🎙️ เรื่องเล่าจากห้องวิจัย: แบตเตอรี่กัมมันตรังสีที่อาจไม่ต้องชาร์จอีกเลย ทีมนักวิจัยจาก Daegu Gyeongbuk Institute of Science and Technology (DGIST) นำโดยศาสตราจารย์ Su-Il In ได้พัฒนาแบตเตอรี่ชนิดใหม่ที่เรียกว่า “Perovskite Betavoltaic Cell” (PBC) ซึ่งใช้พลังงานจากการสลายตัวของคาร์บอน-14 (Carbon-14) เพื่อผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องนานหลายสิบปี โดยไม่ต้องชาร์จ แบตเตอรี่ชนิดนี้ใช้อนุภาคคาร์บอน-14 ร่วมกับ quantum dots เป็นขั้วไฟฟ้า และเคลือบด้วยฟิล์ม perovskite ที่เสริมความเสถียรด้วยสารเติมแต่งคลอรีนสองชนิด (MACl และ CsCl) เพื่อเพิ่มการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนถึง 56,000 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน แม้จะยังมีประสิทธิภาพต่ำกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั่วไป แต่การออกแบบให้มีคาร์บอน-14 ทั้งขั้วบวกและลบช่วยเพิ่มการแผ่รังสีเบต้าและลดการสูญเสียพลังงาน ทำให้สามารถใช้งานได้นานหลายร้อยปี เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานต่ำแต่ต่อเนื่อง เช่น pacemaker, โดรน, probe อวกาศ หรืออุปกรณ์ในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว ✅ ทีมนักวิจัยจาก DGIST พัฒนาแบตเตอรี่แบบ betavoltaic โดยใช้ perovskite ➡️ เป็นการรวม perovskite กับแหล่งพลังงานกัมมันตรังสีเป็นครั้งแรก ✅ ใช้คาร์บอน-14 ซึ่งปล่อยรังสีเบต้าอย่างปลอดภัย ➡️ ไม่ทะลุผิวหนังและสามารถป้องกันได้ด้วยอะลูมิเนียม ✅ ฟิล์ม perovskite เสริมด้วย MACl และ CsCl เพื่อเพิ่มความเสถียร ➡️ เพิ่ม electron mobility ได้ถึง 56,000 เท่า ✅ ใช้ titanium dioxide ร่วมกับ dye ที่ผ่านการบำบัดด้วยกรดซิตริก ➡️ เกิดปฏิกิริยา avalanche ของอิเล็กตรอนเมื่อโดนรังสีเบต้า ✅ ประสิทธิภาพการแปลงพลังงานเพิ่มจาก 0.48% เป็น 2.86% ➡️ แม้ยังต่ำ แต่ถือเป็นก้าวสำคัญของเทคโนโลยีนี้ ✅ คาร์บอน-14 เป็นผลพลอยได้จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ➡️ ราคาถูก หาง่าย และสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ✅ มีแผนพัฒนาเพื่อใช้ในอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น pacemaker, โดรน, probe อวกาศ ➡️ “พลังงานนิวเคลียร์ในอุปกรณ์ขนาดเท่านิ้ว” ตามคำกล่าวของศาสตราจารย์ In ‼️ ประสิทธิภาพยังต่ำกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั่วไป ⛔ ต้องปรับปรุงรูปทรงของตัวปล่อยรังสีและตัวดูดซับเพิ่มเติม ‼️ การใช้สารกัมมันตรังสีแม้ปลอดภัย ต้องผ่านการรับรองด้านชีวภาพ ⛔ โดยเฉพาะหากนำไปใช้ในอุปกรณ์ทางการแพทย์ ‼️ การผลิตและใช้งานในเชิงพาณิชย์ยังอยู่ในขั้นต้น ⛔ ต้องการการพัฒนาเพิ่มเติมก่อนนำไปใช้จริง ‼️ การจัดการคาร์บอน-14 ต้องมีระบบควบคุมที่เข้มงวด ⛔ แม้จะปลอดภัย แต่ยังเป็นสารกัมมันตรังสีที่ต้องดูแลอย่างรอบคอบ https://www.neowin.net/news/this-amazing-new-battery-has-life-so-long-you-may-never-have-to-recharge/
    WWW.NEOWIN.NET
    This amazing new battery has life so long you may never have to recharge
    Radiocarbon and perovskite unite in a compact nuclear battery promising safe, almost ever-lasting power for extreme environments and miniature tech applications.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลเพื่อแม้ว ทรยศชาติต่อเนื่อง ไร้คำสั่งให้ทหารสร้างรั้วเหมือนในอดีต เพราะไอ้แม้วเป็นเบี้ยล่างไอ้ฮุน แต่เชื่อเถอะว่า คนไทยทั้งประเทศต้องการให้สร้างรั้ว และเราไม่กลัวคำขู่กระจอกของไอ้ฮุนเซน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    รัฐบาลเพื่อแม้ว ทรยศชาติต่อเนื่อง ไร้คำสั่งให้ทหารสร้างรั้วเหมือนในอดีต เพราะไอ้แม้วเป็นเบี้ยล่างไอ้ฮุน แต่เชื่อเถอะว่า คนไทยทั้งประเทศต้องการให้สร้างรั้ว และเราไม่กลัวคำขู่กระจอกของไอ้ฮุนเซน #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัครสมาชิกช่อง SONDHITALK ใน YouTube เดือนละ 100 บาท เพื่อร่วมสนับสนุนรายการของเราอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

    เปิด YouTube → ไปที่ช่อง SONDHITALK

    1 → Android คลิกปุ่ม “สมัคร” “Join”
    1.2 → (iOS) คลิกคำอธิบาย “เพิ่มเติม” หรือ "...more"
    1.3 → (iOS) เมื่อ popup ขึ้น ให้คลิก Link สมัครสมาชิก Membership
    1.4 → (iOS) แล้วเลือก default browser App หรือ แอปเบราว์เซอร์เริ่มต้น

    2. เมื่อเข้าหน้าสมัคร Join this channel SONDHITALK
    - กรุณาตรวจชื่อ Email
    - เสร็จแล้วคลิก “สมัคร” หรือคลิก “Join”

    3. เลือกวิธีชำระเงินที่รองรับ (Android / iOS)
    - TrueMoney Wallet
    - Shopee Pay
    - บัตรเครดิต / เดบิต
    - เรียกเก็บผ่านเบอร์มือถือ (เฉพาะบน Android เท่านั้น)

    4. เมื่อท่านเลือกข้อมูลที่ต้องการผูกหักเงินได้แล้ว หรือ กรอกข้อมูลถูกต้อง ตามที่ระบบต้องการแล้ว
    - ให้คลิก “ซื้อ หรือ สมัครใช้บริการ หรือ Buy”
    - เพื่อยืนยันการสมัคร

    5. เมื่อท่านทำรายการ “ซื้อ หรือ สมัครใช้บริการ หรือ Buy” สำเร็จแล้ว ท่านจะเห็นข้อความ

    "ยินดีต้อนรับ"
    "เรายินดีอย่างยิ่งที่มีคุณเป็นสมาชิก"

    หมายเหตุ
    - ระบบการชำระเงินจะผูกกับ Google Account ของคุณ
    - ระบบจะขอ “ยืนยันตัวตน” หลังคลิก “ซื้อ / สมัครใช้บริการ / Buy”
    - ท่านอาจต้องให้ใส่ รหัสผ่าน ของ Gmail ที่คุณใช้กับ YouTube
    - หรือถ้าใช้มือถือรุ่นใหม่ → ใช้ สแกนนิ้ว / สแกนหน้า (Face ID) แทนได้เลย

    ระบบจะหักเงินอัตโนมัติทุกเดือนจนกว่าจะยกเลิก

    ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมสนับสนุน
    SONDHITALK
    ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว

    ทางเข้าช่อง >> https://www.youtube.com/@sondhitalk

    ติดต่อสอบถาม Line ID เพิ่มเพื่อนชื่อ @sondhitalk
    หรือคลิกเพิ่มเพื่อน https://lin.ee/hBk0QJF

    #sondhitalk #สนธิ #youtube #สมัครสมาชิก #membership #thaitimes
    สมัครสมาชิกช่อง SONDHITALK ใน YouTube เดือนละ 100 บาท เพื่อร่วมสนับสนุนรายการของเราอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เปิด YouTube → ไปที่ช่อง SONDHITALK 1 → Android คลิกปุ่ม “สมัคร” “Join” 1.2 → (iOS) คลิกคำอธิบาย “เพิ่มเติม” หรือ "...more" 1.3 → (iOS) เมื่อ popup ขึ้น ให้คลิก Link สมัครสมาชิก Membership 1.4 → (iOS) แล้วเลือก default browser App หรือ แอปเบราว์เซอร์เริ่มต้น 2. เมื่อเข้าหน้าสมัคร Join this channel SONDHITALK - กรุณาตรวจชื่อ Email - เสร็จแล้วคลิก “สมัคร” หรือคลิก “Join” 3. เลือกวิธีชำระเงินที่รองรับ (Android / iOS) - TrueMoney Wallet - Shopee Pay - บัตรเครดิต / เดบิต - เรียกเก็บผ่านเบอร์มือถือ (เฉพาะบน Android เท่านั้น) 4. เมื่อท่านเลือกข้อมูลที่ต้องการผูกหักเงินได้แล้ว หรือ กรอกข้อมูลถูกต้อง ตามที่ระบบต้องการแล้ว - ให้คลิก “ซื้อ หรือ สมัครใช้บริการ หรือ Buy” - เพื่อยืนยันการสมัคร 5. เมื่อท่านทำรายการ “ซื้อ หรือ สมัครใช้บริการ หรือ Buy” สำเร็จแล้ว ท่านจะเห็นข้อความ "ยินดีต้อนรับ" "เรายินดีอย่างยิ่งที่มีคุณเป็นสมาชิก" หมายเหตุ - ระบบการชำระเงินจะผูกกับ Google Account ของคุณ - ระบบจะขอ “ยืนยันตัวตน” หลังคลิก “ซื้อ / สมัครใช้บริการ / Buy” - ท่านอาจต้องให้ใส่ รหัสผ่าน ของ Gmail ที่คุณใช้กับ YouTube - หรือถ้าใช้มือถือรุ่นใหม่ → ใช้ สแกนนิ้ว / สแกนหน้า (Face ID) แทนได้เลย 🔁 ระบบจะหักเงินอัตโนมัติทุกเดือนจนกว่าจะยกเลิก ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมสนับสนุน ✨SONDHITALK✨ ✨ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว✨ ทางเข้าช่อง >> https://www.youtube.com/@sondhitalk ติดต่อสอบถาม Line ID เพิ่มเพื่อนชื่อ @sondhitalk หรือคลิกเพิ่มเพื่อน https://lin.ee/hBk0QJF #sondhitalk #สนธิ #youtube #สมัครสมาชิก #membership #thaitimes
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 898 มุมมอง 0 รีวิว
  • MIT พัฒนาอุปกรณ์ฝังใต้ผิวหนัง ปล่อยฮอร์โมนช่วยชีวิตเมื่อระดับน้ำตาลตก

    ทีมวิศวกรจาก MIT ได้สร้างอุปกรณ์ขนาดเท่าเหรียญที่ฝังใต้ผิวหนัง ซึ่งสามารถปล่อย glucagon—ฮอร์โมนที่ช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด—ได้ทันทีเมื่อเกิดภาวะ hypoglycemia โดยไม่ต้องรอให้ผู้ป่วยรู้ตัวหรือมีคนช่วยฉีดยา

    อุปกรณ์นี้ประกอบด้วย:
    - แหล่งเก็บ glucagon แบบผง (มีความเสถียรมากกว่าสารละลาย)
    - วัสดุโลหะจำรูปร่าง (shape-memory alloy) ที่เปิดฝาเมื่อถูกความร้อน
    - เสาอากาศที่รับคลื่นวิทยุเฉพาะเพื่อกระตุ้นการปล่อยยา
    - ระบบเชื่อมต่อกับเครื่องวัดน้ำตาลแบบต่อเนื่อง (CGM) เพื่อปล่อยยาอัตโนมัติ

    เมื่อระดับน้ำตาลลดต่ำเกินไป:
    - CGM ส่งสัญญาณไปยังอุปกรณ์
    - เกิดกระแสไฟฟ้าเล็กน้อยเพื่อให้โลหะจำรูปร่างร้อนถึง 40°C
    - ฝาเปิดและ glucagon ถูกปล่อยออกมา ละลายและเข้าสู่ร่างกาย

    ในการทดลองกับหนูเบาหวาน อุปกรณ์สามารถฟื้นฟูระดับน้ำตาลได้ภายใน 10 นาที และยังสามารถใช้ปล่อย epinephrine สำหรับกรณีแพ้รุนแรงหรือหัวใจหยุดเต้นได้ด้วย

    แม้ร่างกายจะสร้างพังผืดรอบอุปกรณ์หลังฝัง แต่ทีมวิจัยพบว่าอุปกรณ์ยังทำงานได้ดี และกำลังพัฒนาให้ใช้งานได้นานถึง 1 ปี ก่อนต้องเปลี่ยนใหม่

    https://www.techspot.com/news/108650-mit-engineers-create-implant-automatically-treats-dangerously-low.html
    MIT พัฒนาอุปกรณ์ฝังใต้ผิวหนัง ปล่อยฮอร์โมนช่วยชีวิตเมื่อระดับน้ำตาลตก ทีมวิศวกรจาก MIT ได้สร้างอุปกรณ์ขนาดเท่าเหรียญที่ฝังใต้ผิวหนัง ซึ่งสามารถปล่อย glucagon—ฮอร์โมนที่ช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด—ได้ทันทีเมื่อเกิดภาวะ hypoglycemia โดยไม่ต้องรอให้ผู้ป่วยรู้ตัวหรือมีคนช่วยฉีดยา อุปกรณ์นี้ประกอบด้วย: - แหล่งเก็บ glucagon แบบผง (มีความเสถียรมากกว่าสารละลาย) - วัสดุโลหะจำรูปร่าง (shape-memory alloy) ที่เปิดฝาเมื่อถูกความร้อน - เสาอากาศที่รับคลื่นวิทยุเฉพาะเพื่อกระตุ้นการปล่อยยา - ระบบเชื่อมต่อกับเครื่องวัดน้ำตาลแบบต่อเนื่อง (CGM) เพื่อปล่อยยาอัตโนมัติ เมื่อระดับน้ำตาลลดต่ำเกินไป: - CGM ส่งสัญญาณไปยังอุปกรณ์ - เกิดกระแสไฟฟ้าเล็กน้อยเพื่อให้โลหะจำรูปร่างร้อนถึง 40°C - ฝาเปิดและ glucagon ถูกปล่อยออกมา ละลายและเข้าสู่ร่างกาย ในการทดลองกับหนูเบาหวาน อุปกรณ์สามารถฟื้นฟูระดับน้ำตาลได้ภายใน 10 นาที และยังสามารถใช้ปล่อย epinephrine สำหรับกรณีแพ้รุนแรงหรือหัวใจหยุดเต้นได้ด้วย แม้ร่างกายจะสร้างพังผืดรอบอุปกรณ์หลังฝัง แต่ทีมวิจัยพบว่าอุปกรณ์ยังทำงานได้ดี และกำลังพัฒนาให้ใช้งานได้นานถึง 1 ปี ก่อนต้องเปลี่ยนใหม่ https://www.techspot.com/news/108650-mit-engineers-create-implant-automatically-treats-dangerously-low.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    New MIT implant automatically treats dangerously low blood sugar in people with type 1 diabetes
    For individuals with type 1 diabetes – an autoimmune condition – maintaining stable blood sugar is a constant challenge. Rapid-acting insulin must be administered, either through injections...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผิดความมั่นคง สำนวนคลิปฮุนเซนถึงอัยการ : [THE MESSAGE]
    พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 นำสำนวนคดีคลิปเสียงนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา คุยกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม มีความหนา 50 หน้า มอบให้อัยการสูงสุดพิจารณาฟ้องต่อศาล โดยนายศักดิ์เกษม นิไทรโยค โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด รับมอบ ชี้เข้าข่ายความผิดม.116 เกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ตรวจสอบ พบเฟสบุ๊กชื่อ "Samdech Hun Sen of Cambodia" โพสต์ข้อความและปล่อยคลิปเสียง
    มีแอดมินเพจมากกว่า 1 คน แต่ไม่สามารถระบุได้ว่ามีนายฮุน เซน ร่วมด้วยหรือไม่ ทำงานเป็นขั้นเป็นตอนอยู่ในกัมพูชา ยืนยัน ไม่ได้ฟ้องแก้เกี้ยว สอบสวนพบกระทำความผิดจริง มีพฤติการณ์โพสต์ต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหวังผลบางอย่าง ยอมรับ เป็นคดีที่ละเอียดอ่อน อาจกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงต้องทำสำนวนคดีอย่างรอบคอบ เป็นไปตามพยานหลักฐานที่มี
    ผิดความมั่นคง สำนวนคลิปฮุนเซนถึงอัยการ : [THE MESSAGE] พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 นำสำนวนคดีคลิปเสียงนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา คุยกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม มีความหนา 50 หน้า มอบให้อัยการสูงสุดพิจารณาฟ้องต่อศาล โดยนายศักดิ์เกษม นิไทรโยค โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด รับมอบ ชี้เข้าข่ายความผิดม.116 เกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ตรวจสอบ พบเฟสบุ๊กชื่อ "Samdech Hun Sen of Cambodia" โพสต์ข้อความและปล่อยคลิปเสียง มีแอดมินเพจมากกว่า 1 คน แต่ไม่สามารถระบุได้ว่ามีนายฮุน เซน ร่วมด้วยหรือไม่ ทำงานเป็นขั้นเป็นตอนอยู่ในกัมพูชา ยืนยัน ไม่ได้ฟ้องแก้เกี้ยว สอบสวนพบกระทำความผิดจริง มีพฤติการณ์โพสต์ต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหวังผลบางอย่าง ยอมรับ เป็นคดีที่ละเอียดอ่อน อาจกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงต้องทำสำนวนคดีอย่างรอบคอบ เป็นไปตามพยานหลักฐานที่มี
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 368 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ทักษิณ-ฮุนเซน แตกหัก!(ไม่)จริง : [NEWS UPDATE]
    นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน
    มองบทบาทของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่แม้มีรอยร้าวในบางมิติ แต่ยังไม่ถึงขั้นแตกหักอย่างแท้จริง ผู้นำกัมพูชายังพูดถึงความลับที่ยังไม่ถูกเปิดเผย ขณะที่รัฐบาลไทยยังอ่อนข้อ ขาดความกล้าหาญจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่มีฐานปฏิบัติการในกัมพูชา ส่วนการถอนโครงการเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เป็นเพียงยุทธวิธีทางการเมืองภายใน หาก
    น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม ไม่ไว้ใจนายฮุน เซนจริง ควรกล้าแสดงจุดยืนยกเลิก MOU ที่ทำไว้กับกัมพูชา แล้วกลับมาใช้แผนที่กลาง เส้นมัธยัสถ์ตามหลักสากล พร้อมเปิดกระบวนการ JBC อย่างโปร่งใส เหมือนที่เมียนมาใช้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไม่ใช่ปล่อยให้ไทยเสียเปรียบต่อเนื่อง



    ภัยคุกคามคนทั้งโลก

    ต้องอ่าน"ทรัมป์"ให้ขาด

    หวังเจรจาภาษีเหลือ 0%

    ใช้ประวัติน้ำ-ไฟขอสินเชื่อ
    ทักษิณ-ฮุนเซน แตกหัก!(ไม่)จริง : [NEWS UPDATE] นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน มองบทบาทของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่แม้มีรอยร้าวในบางมิติ แต่ยังไม่ถึงขั้นแตกหักอย่างแท้จริง ผู้นำกัมพูชายังพูดถึงความลับที่ยังไม่ถูกเปิดเผย ขณะที่รัฐบาลไทยยังอ่อนข้อ ขาดความกล้าหาญจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่มีฐานปฏิบัติการในกัมพูชา ส่วนการถอนโครงการเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เป็นเพียงยุทธวิธีทางการเมืองภายใน หาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม ไม่ไว้ใจนายฮุน เซนจริง ควรกล้าแสดงจุดยืนยกเลิก MOU ที่ทำไว้กับกัมพูชา แล้วกลับมาใช้แผนที่กลาง เส้นมัธยัสถ์ตามหลักสากล พร้อมเปิดกระบวนการ JBC อย่างโปร่งใส เหมือนที่เมียนมาใช้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไม่ใช่ปล่อยให้ไทยเสียเปรียบต่อเนื่อง ภัยคุกคามคนทั้งโลก ต้องอ่าน"ทรัมป์"ให้ขาด หวังเจรจาภาษีเหลือ 0% ใช้ประวัติน้ำ-ไฟขอสินเชื่อ
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 412 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เด็กเต้นแข่งเรือโบราณ ปาคู จาลูร์ ซอฟต์พาวเวอร์อินโดนีเซีย

    กลายเป็นที่ถูกพูดถึงสนั่นโลกโซเชียลฯ และกลายเป็นมีมไปทั่วโลก สำหรับไวรัลสุดน่ารักจากเทศกาลแข่งเรือโบราณ “ปาคู จาลูร์” (Pacu Jalur) บนหมู่เกาะรีเยา (Riau) ทางภาคตะวันออกของเกาะสุมาตรา จรดช่องแคบมะละกา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อเด็กชายรายหนึ่งนามว่า เรย์ยาน อาร์กัน ดิกา (Rayyan Arkan Dikha) หรือ ดิกา (Dikha) วัย 11 ขวบ กลายเป็นจุดสนใจจากลีลาการเต้นบนหัวเรือระหว่างแข่งขัน ในตำแหน่งที่เรียกว่า ตูกัง ตาริ (Tukang Tari) ชุดสีดำเรียบหรู และแว่นกันแดด เปรียบกับแดนเซอร์ ทำหน้าที่ปลุกพลังให้กับฝีพาย ซึ่งเขาทำหน้าที่นี้มาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ แถมเพลงที่นำมาประกอบในครั้งนี้ก็เป็นเพลงฮิปฮอป “Young Black & Rich” ของศิลปินชาวอเมริกัน เมลลี ไมค์ (Melly Mike)

    ท่าเต้นของดิกาแพร่กระจายไวอย่างรวดเร็วใน TikTok และ IG พร้อมเกิดกระแสที่เรียกว่า ออรา ฟาร์มมิ่ง (Aura Farming) หรือการเต้นเลียนแบบเพื่อเรียกความสนใจ โดยมีคนดังและสโมสรกีฬาร่วมเทรนด์ เช่น สโมสรฟุตบอลปารีส แซงต์ แชร์กแมง (PSG) ที่โพสต์วิดีโอเลียนแบบพร้อมข้อความว่า “กลิ่นอายได้แผ่ไปถึงปารีสแล้ว” ส่วนเอซี มิลาน เขียนแคปชันสุดฮาว่า “Aura Farming แม่นยำ 1899%” แถมยังมี ทราวิส เคลซ์ นักอเมริกันฟุตบอล แฟนหนุ่มของเทย์เลอร์ สวิฟต์ รวมถึงนักเตะไทย “เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์” ก็เข้าร่วมกระแสนี้ด้วย

    ล่าสุด เมลลี ไมค์ ประกาศว่าจะเดินทางมาร่วมงานเทศกาลปาคู จาลูร์ ในปีนี้ด้วยตนเอง ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-24 ส.ค. 2568 ขณะที่เด็กชายดิกาได้รับแต่งตั้งเป็นทูตวัฒนธรรมจังหวัดรีเยา และได้รับเชิญให้เดินทางพร้อมครอบครัวไปยังกรุงจาการ์ตา เพื่อเข้าพบรัฐมนตรีด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของอินโดนีเซีย รวมถึงออกรายการโทรทัศน์ และได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลอินโดนีเซีย ในฐานะที่ทำให้มรดกทางวัฒนธรรมของอินโดนีเซียเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

    เทศกาลปาคู จาลูร์ ถือเป็นหนึ่งในมรดกวัฒนธรรมที่สำคัญของอินโดนีเซีย จัดขึ้นที่ริมแม่น้ำอินดรากิรี (Indragiri River) โดยมีการแข่งขันพายเรือจาลูร์ ที่สร้างจากไม้ทั้งท่อน ไม่มีข้อต่อ พร้อมการตกแต่งที่วิจิตรงดงาม ไฮไลต์ของเทศกาลคือการมีนักเต้นแสดงอยู่บนหัวเรือ สร้างสีสันและความตื่นตาตื่นใจให้ผู้ชม มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษชาวควนซิงในศตวรรษที่ 22 ต่อมาถูกพัฒนาให้เป็นกิจกรรมประเพณี เคยใช้เฉลิมฉลองวันสำคัญทางศาสนา และในสมัยอาณานิคมเนเธอร์แลนด์ก็เคยจัดเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดของราชินีด้วย ปัจจุบันจัดต่อเนื่องทุกปี และดึงดูดผู้เข้าชมได้มากกว่า 1 ล้านคนต่อปี

    #Newskit
    เด็กเต้นแข่งเรือโบราณ ปาคู จาลูร์ ซอฟต์พาวเวอร์อินโดนีเซีย กลายเป็นที่ถูกพูดถึงสนั่นโลกโซเชียลฯ และกลายเป็นมีมไปทั่วโลก สำหรับไวรัลสุดน่ารักจากเทศกาลแข่งเรือโบราณ “ปาคู จาลูร์” (Pacu Jalur) บนหมู่เกาะรีเยา (Riau) ทางภาคตะวันออกของเกาะสุมาตรา จรดช่องแคบมะละกา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อเด็กชายรายหนึ่งนามว่า เรย์ยาน อาร์กัน ดิกา (Rayyan Arkan Dikha) หรือ ดิกา (Dikha) วัย 11 ขวบ กลายเป็นจุดสนใจจากลีลาการเต้นบนหัวเรือระหว่างแข่งขัน ในตำแหน่งที่เรียกว่า ตูกัง ตาริ (Tukang Tari) ชุดสีดำเรียบหรู และแว่นกันแดด เปรียบกับแดนเซอร์ ทำหน้าที่ปลุกพลังให้กับฝีพาย ซึ่งเขาทำหน้าที่นี้มาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ แถมเพลงที่นำมาประกอบในครั้งนี้ก็เป็นเพลงฮิปฮอป “Young Black & Rich” ของศิลปินชาวอเมริกัน เมลลี ไมค์ (Melly Mike) ท่าเต้นของดิกาแพร่กระจายไวอย่างรวดเร็วใน TikTok และ IG พร้อมเกิดกระแสที่เรียกว่า ออรา ฟาร์มมิ่ง (Aura Farming) หรือการเต้นเลียนแบบเพื่อเรียกความสนใจ โดยมีคนดังและสโมสรกีฬาร่วมเทรนด์ เช่น สโมสรฟุตบอลปารีส แซงต์ แชร์กแมง (PSG) ที่โพสต์วิดีโอเลียนแบบพร้อมข้อความว่า “กลิ่นอายได้แผ่ไปถึงปารีสแล้ว” ส่วนเอซี มิลาน เขียนแคปชันสุดฮาว่า “Aura Farming แม่นยำ 1899%” แถมยังมี ทราวิส เคลซ์ นักอเมริกันฟุตบอล แฟนหนุ่มของเทย์เลอร์ สวิฟต์ รวมถึงนักเตะไทย “เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์” ก็เข้าร่วมกระแสนี้ด้วย ล่าสุด เมลลี ไมค์ ประกาศว่าจะเดินทางมาร่วมงานเทศกาลปาคู จาลูร์ ในปีนี้ด้วยตนเอง ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-24 ส.ค. 2568 ขณะที่เด็กชายดิกาได้รับแต่งตั้งเป็นทูตวัฒนธรรมจังหวัดรีเยา และได้รับเชิญให้เดินทางพร้อมครอบครัวไปยังกรุงจาการ์ตา เพื่อเข้าพบรัฐมนตรีด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของอินโดนีเซีย รวมถึงออกรายการโทรทัศน์ และได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลอินโดนีเซีย ในฐานะที่ทำให้มรดกทางวัฒนธรรมของอินโดนีเซียเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เทศกาลปาคู จาลูร์ ถือเป็นหนึ่งในมรดกวัฒนธรรมที่สำคัญของอินโดนีเซีย จัดขึ้นที่ริมแม่น้ำอินดรากิรี (Indragiri River) โดยมีการแข่งขันพายเรือจาลูร์ ที่สร้างจากไม้ทั้งท่อน ไม่มีข้อต่อ พร้อมการตกแต่งที่วิจิตรงดงาม ไฮไลต์ของเทศกาลคือการมีนักเต้นแสดงอยู่บนหัวเรือ สร้างสีสันและความตื่นตาตื่นใจให้ผู้ชม มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษชาวควนซิงในศตวรรษที่ 22 ต่อมาถูกพัฒนาให้เป็นกิจกรรมประเพณี เคยใช้เฉลิมฉลองวันสำคัญทางศาสนา และในสมัยอาณานิคมเนเธอร์แลนด์ก็เคยจัดเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดของราชินีด้วย ปัจจุบันจัดต่อเนื่องทุกปี และดึงดูดผู้เข้าชมได้มากกว่า 1 ล้านคนต่อปี #Newskit
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ฮุนเซน” หยิบคำพูด "ทักษิณ" โบ้ยนานาชาติควรสนใจปัญหาฉ้อโกงออนไลน์ในไทย เลิกโยนผิดให้กัมพูชา ลั่นพร้อมเล่นเกมปิดด่านต่อเนื่องตามที่ “ทักษิณ” บอกว่าใครดำน้ำอึดกว่าคนนั้นชนะ เตรียมใช้เวลา 3 ชั่วโมงแฉทักษิณอีกครั้ง ซัดเป็นคนทรยศชาติตัวเอง ตนรู้เรื่องการเมืองไทยดีเพราะทักษิณรายงานตลอดเกือบทุกวัน แม้แต่เรื่องปลด "อนุทิน" ยึด มท.ให้เพื่อไทย ทั้งที่ไม่เกี่ยวกับกัมพูชาเลย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000065851

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    “ฮุนเซน” หยิบคำพูด "ทักษิณ" โบ้ยนานาชาติควรสนใจปัญหาฉ้อโกงออนไลน์ในไทย เลิกโยนผิดให้กัมพูชา ลั่นพร้อมเล่นเกมปิดด่านต่อเนื่องตามที่ “ทักษิณ” บอกว่าใครดำน้ำอึดกว่าคนนั้นชนะ เตรียมใช้เวลา 3 ชั่วโมงแฉทักษิณอีกครั้ง ซัดเป็นคนทรยศชาติตัวเอง ตนรู้เรื่องการเมืองไทยดีเพราะทักษิณรายงานตลอดเกือบทุกวัน แม้แต่เรื่องปลด "อนุทิน" ยึด มท.ให้เพื่อไทย ทั้งที่ไม่เกี่ยวกับกัมพูชาเลย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000065851 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    Sad
    7
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 436 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?
    #12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง

    สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว

    เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย

    บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย

    จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน

    นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์

    ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”

    การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

    การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย

    ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน

    อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน

    “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ”

    แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง

    นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย

    ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ

    ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา

    ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา

    เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย

    แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?

    คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น

    ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม?

    นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป

    โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก

    แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ

    โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้

    ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"

    โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด

    ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

    ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ

    หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก

    แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ

    ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา

    ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง"

    คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า

    หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้

    ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย

    ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ

    การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้

    ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา

    การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น

    ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน

    การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้

    แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด

    จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง

    สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา

    การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน

    นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย

    เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน

    โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า

    กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ
    🤠#เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?🤠 🤠#12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง🤠 สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์ 🥰ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”🥰 การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ” แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย 🥰แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?🥰 คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น 🥰ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม? 🥰 นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้ 🥰ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"🥰 โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง" คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า 🥰หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้🥰 ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้ 🥰ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา🥰 การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด 🥰จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง🥰 สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน 💓โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า💓 😍กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ😍
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 353 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลืม ransomware ไปก่อน—Quantum Computing คือภัยไซเบอร์ที่องค์กรทั่วโลกกลัวที่สุด

    รายงานล่าสุดจาก Capgemini Research Institute ซึ่งสำรวจองค์กรขนาดใหญ่กว่า 1,000 แห่งใน 13 ประเทศ พบว่า 70% ขององค์กรเหล่านี้มองว่า Quantum Computing คือภัยคุกคามด้านความปลอดภัยที่ร้ายแรงที่สุดในอนาคต มากกว่าการโจมตีแบบ ransomware ที่เคยเป็นอันดับหนึ่ง

    เหตุผลคือ Quantum Computer จะสามารถ “ถอดรหัส” ระบบเข้ารหัสที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ทั้งหมด เช่น RSA, ECC และ AES ซึ่งเป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยในระบบธนาคาร, การสื่อสาร, โครงสร้างพื้นฐาน และแม้แต่ระบบป้องกันประเทศ

    สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือแนวโน้ม “Harvest Now, Decrypt Later” หรือการที่หน่วยงานบางแห่ง (โดยเฉพาะรัฐ) กำลังเก็บข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ล่วงหน้า เพื่อรอวันที่ Quantum Computer มีพลังมากพอจะถอดรหัสได้—ซึ่งหลายองค์กรเชื่อว่า “Q-Day” หรือวันที่เกิดเหตุการณ์นี้จะมาถึงภายใน 5–10 ปี

    Capgemini แนะนำให้องค์กรเริ่มเปลี่ยนไปใช้ระบบ “Post-Quantum Cryptography” ตั้งแต่วันนี้ เพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต และสร้างความเชื่อมั่นระยะยาว

    ข้อมูลจากข่าว
    - รายงานจาก Capgemini พบว่า 70% ขององค์กรขนาดใหญ่มองว่า Quantum Computing เป็นภัยไซเบอร์อันดับหนึ่ง
    - Quantum Computer สามารถถอดรหัสระบบเข้ารหัสแบบดั้งเดิมได้ เช่น RSA, ECC, AES
    - แนวโน้ม “Harvest Now, Decrypt Later” คือการเก็บข้อมูลไว้ล่วงหน้าเพื่อรอถอดรหัสในอนาคต
    - 65% ขององค์กรกังวลว่า Q-Day จะเกิดภายใน 5 ปี และ 60% เชื่อว่าจะเกิดภายใน 10 ปี
    - องค์กรเริ่มเปลี่ยนไปใช้ Post-Quantum Cryptography เพื่อป้องกันล่วงหน้า
    - Capgemini แนะนำให้เปลี่ยนเร็วเพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจและความเชื่อมั่นระยะยาว

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - หากไม่เปลี่ยนระบบเข้ารหัสให้รองรับ Quantum ภายในเวลาอันใกล้ องค์กรอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลมหาศาล
    - ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้วันนี้ อาจถูกถอดรหัสในอนาคตโดยไม่มีทางป้องกัน
    - การเปลี่ยนระบบเข้ารหัสต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมาก องค์กรควรวางแผนล่วงหน้า
    - การรอให้ Q-Day มาถึงก่อนค่อยเปลี่ยนอาจสายเกินไป และส่งผลต่อความมั่นคงของระบบทั้งหมด
    - องค์กรที่ไม่เตรียมตัวอาจเสียเปรียบด้านการแข่งขันและความไว้วางใจจากลูกค้า

    https://www.techradar.com/pro/security/forget-ransomware-most-firms-think-quantum-computing-is-the-biggest-security-risk-to-come
    ลืม ransomware ไปก่อน—Quantum Computing คือภัยไซเบอร์ที่องค์กรทั่วโลกกลัวที่สุด รายงานล่าสุดจาก Capgemini Research Institute ซึ่งสำรวจองค์กรขนาดใหญ่กว่า 1,000 แห่งใน 13 ประเทศ พบว่า 70% ขององค์กรเหล่านี้มองว่า Quantum Computing คือภัยคุกคามด้านความปลอดภัยที่ร้ายแรงที่สุดในอนาคต มากกว่าการโจมตีแบบ ransomware ที่เคยเป็นอันดับหนึ่ง เหตุผลคือ Quantum Computer จะสามารถ “ถอดรหัส” ระบบเข้ารหัสที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ทั้งหมด เช่น RSA, ECC และ AES ซึ่งเป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยในระบบธนาคาร, การสื่อสาร, โครงสร้างพื้นฐาน และแม้แต่ระบบป้องกันประเทศ สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือแนวโน้ม “Harvest Now, Decrypt Later” หรือการที่หน่วยงานบางแห่ง (โดยเฉพาะรัฐ) กำลังเก็บข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ล่วงหน้า เพื่อรอวันที่ Quantum Computer มีพลังมากพอจะถอดรหัสได้—ซึ่งหลายองค์กรเชื่อว่า “Q-Day” หรือวันที่เกิดเหตุการณ์นี้จะมาถึงภายใน 5–10 ปี Capgemini แนะนำให้องค์กรเริ่มเปลี่ยนไปใช้ระบบ “Post-Quantum Cryptography” ตั้งแต่วันนี้ เพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต และสร้างความเชื่อมั่นระยะยาว ✅ ข้อมูลจากข่าว - รายงานจาก Capgemini พบว่า 70% ขององค์กรขนาดใหญ่มองว่า Quantum Computing เป็นภัยไซเบอร์อันดับหนึ่ง - Quantum Computer สามารถถอดรหัสระบบเข้ารหัสแบบดั้งเดิมได้ เช่น RSA, ECC, AES - แนวโน้ม “Harvest Now, Decrypt Later” คือการเก็บข้อมูลไว้ล่วงหน้าเพื่อรอถอดรหัสในอนาคต - 65% ขององค์กรกังวลว่า Q-Day จะเกิดภายใน 5 ปี และ 60% เชื่อว่าจะเกิดภายใน 10 ปี - องค์กรเริ่มเปลี่ยนไปใช้ Post-Quantum Cryptography เพื่อป้องกันล่วงหน้า - Capgemini แนะนำให้เปลี่ยนเร็วเพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจและความเชื่อมั่นระยะยาว ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - หากไม่เปลี่ยนระบบเข้ารหัสให้รองรับ Quantum ภายในเวลาอันใกล้ องค์กรอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลมหาศาล - ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้วันนี้ อาจถูกถอดรหัสในอนาคตโดยไม่มีทางป้องกัน - การเปลี่ยนระบบเข้ารหัสต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมาก องค์กรควรวางแผนล่วงหน้า - การรอให้ Q-Day มาถึงก่อนค่อยเปลี่ยนอาจสายเกินไป และส่งผลต่อความมั่นคงของระบบทั้งหมด - องค์กรที่ไม่เตรียมตัวอาจเสียเปรียบด้านการแข่งขันและความไว้วางใจจากลูกค้า https://www.techradar.com/pro/security/forget-ransomware-most-firms-think-quantum-computing-is-the-biggest-security-risk-to-come
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI สร้างมัลแวร์หลบหลีก Microsoft Defender ได้ – แค่ฝึกสามเดือนก็แฮกทะลุ

    นักวิจัยจาก Outflank ซึ่งเป็นทีม red team ด้านความปลอดภัย เปิดเผยว่า พวกเขาสามารถฝึกโมเดล Qwen 2.5 (โมเดล LLM แบบโอเพนซอร์สจาก Alibaba) ให้สร้างมัลแวร์ที่สามารถหลบหลีก Microsoft Defender for Endpoint ได้สำเร็จประมาณ 8% ของกรณี หลังใช้เวลาเพียง 3 เดือนและงบประมาณราว $1,500

    ผลลัพธ์นี้จะถูกนำเสนอในงาน Black Hat 2025 ซึ่งเป็นงานสัมมนาด้านความปลอดภัยระดับโลก โดยถือเป็น “proof of concept” ที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถถูกนำมาใช้สร้างภัยคุกคามไซเบอร์ได้จริง

    เมื่อเปรียบเทียบกับโมเดลอื่น:
    - Anthropic’s AI ทำได้ <1%
    - DeepSeek ทำได้ <0.5%
    - Qwen 2.5 จึงถือว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่ามากในบริบทนี้

    นักวิจัยยังระบุว่า หากมีทรัพยากร GPU มากกว่านี้ และใช้ reinforcement learning อย่างจริงจัง ประสิทธิภาพของโมเดลอาจเพิ่มขึ้นอีกมาก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนสำหรับอนาคตของการโจมตีแบบอัตโนมัติ

    แม้ Microsoft Defender จะยังคงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในภาพรวม แต่การพัฒนา AI ฝั่งรุก (offensive AI) กำลังไล่ตามอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้ระบบป้องกันต้องปรับตัวอย่างหนักในอนาคต

    ข้อมูลจากข่าว
    - นักวิจัยจาก Outflank ฝึกโมเดล Qwen 2.5 ให้สร้างมัลแวร์ที่หลบหลีก Microsoft Defender ได้
    - ใช้เวลา 3 เดือนและงบประมาณ $1,500 ในการฝึกโมเดล
    - ประสิทธิภาพของโมเดลอยู่ที่ 8% ซึ่งสูงกว่าโมเดลอื่น ๆ ที่ทดสอบ
    - จะมีการนำเสนอผลการทดลองในงาน Black Hat 2025
    - ใช้เทคนิค reinforcement learning เพื่อปรับปรุงความสามารถของโมเดล
    - ถือเป็น proof of concept ที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถสร้างภัยไซเบอร์ได้จริง

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การใช้ AI สร้างมัลแวร์อาจกลายเป็นเครื่องมือใหม่ของแฮกเกอร์ในอนาคต
    - โมเดลโอเพนซอร์สสามารถถูกนำไปใช้ในทางร้ายได้ หากไม่มีการควบคุม
    - Microsoft Defender อาจต้องปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจาก AI
    - การมี GPU และทรัพยากรเพียงพออาจทำให้บุคคลทั่วไปสามารถฝึกโมเดลโจมตีได้
    - การพึ่งพาเครื่องมือป้องกันเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีการฝึกอบรมและวางระบบความปลอดภัยเชิงรุก
    - องค์กรควรเริ่มรวม AI threat modeling เข้าในแผนความปลอดภัยไซเบอร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ai-malware-can-now-evade-microsoft-defender-open-source-llm-outsmarts-tool-around-8-percent-of-the-time-after-three-months-of-training
    AI สร้างมัลแวร์หลบหลีก Microsoft Defender ได้ – แค่ฝึกสามเดือนก็แฮกทะลุ นักวิจัยจาก Outflank ซึ่งเป็นทีม red team ด้านความปลอดภัย เปิดเผยว่า พวกเขาสามารถฝึกโมเดล Qwen 2.5 (โมเดล LLM แบบโอเพนซอร์สจาก Alibaba) ให้สร้างมัลแวร์ที่สามารถหลบหลีก Microsoft Defender for Endpoint ได้สำเร็จประมาณ 8% ของกรณี หลังใช้เวลาเพียง 3 เดือนและงบประมาณราว $1,500 ผลลัพธ์นี้จะถูกนำเสนอในงาน Black Hat 2025 ซึ่งเป็นงานสัมมนาด้านความปลอดภัยระดับโลก โดยถือเป็น “proof of concept” ที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถถูกนำมาใช้สร้างภัยคุกคามไซเบอร์ได้จริง เมื่อเปรียบเทียบกับโมเดลอื่น: - Anthropic’s AI ทำได้ <1% - DeepSeek ทำได้ <0.5% - Qwen 2.5 จึงถือว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่ามากในบริบทนี้ นักวิจัยยังระบุว่า หากมีทรัพยากร GPU มากกว่านี้ และใช้ reinforcement learning อย่างจริงจัง ประสิทธิภาพของโมเดลอาจเพิ่มขึ้นอีกมาก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนสำหรับอนาคตของการโจมตีแบบอัตโนมัติ แม้ Microsoft Defender จะยังคงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในภาพรวม แต่การพัฒนา AI ฝั่งรุก (offensive AI) กำลังไล่ตามอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้ระบบป้องกันต้องปรับตัวอย่างหนักในอนาคต ✅ ข้อมูลจากข่าว - นักวิจัยจาก Outflank ฝึกโมเดล Qwen 2.5 ให้สร้างมัลแวร์ที่หลบหลีก Microsoft Defender ได้ - ใช้เวลา 3 เดือนและงบประมาณ $1,500 ในการฝึกโมเดล - ประสิทธิภาพของโมเดลอยู่ที่ 8% ซึ่งสูงกว่าโมเดลอื่น ๆ ที่ทดสอบ - จะมีการนำเสนอผลการทดลองในงาน Black Hat 2025 - ใช้เทคนิค reinforcement learning เพื่อปรับปรุงความสามารถของโมเดล - ถือเป็น proof of concept ที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถสร้างภัยไซเบอร์ได้จริง ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การใช้ AI สร้างมัลแวร์อาจกลายเป็นเครื่องมือใหม่ของแฮกเกอร์ในอนาคต - โมเดลโอเพนซอร์สสามารถถูกนำไปใช้ในทางร้ายได้ หากไม่มีการควบคุม - Microsoft Defender อาจต้องปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจาก AI - การมี GPU และทรัพยากรเพียงพออาจทำให้บุคคลทั่วไปสามารถฝึกโมเดลโจมตีได้ - การพึ่งพาเครื่องมือป้องกันเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีการฝึกอบรมและวางระบบความปลอดภัยเชิงรุก - องค์กรควรเริ่มรวม AI threat modeling เข้าในแผนความปลอดภัยไซเบอร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ai-malware-can-now-evade-microsoft-defender-open-source-llm-outsmarts-tool-around-8-percent-of-the-time-after-three-months-of-training
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AI malware can now evade Microsoft Defender — open-source LLM outsmarts tool around 8% of the time after three months of training
    Researchers plan to show off a model that successfully outsmarts Microsoft's security tooling about 8% of the time at Black Hat 2025.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts