• เช็ก โรมาเนีย และสโลวีเนียประท้วงการถูกกีดกันจากประชุมปารีส

    สาธารณรัฐเช็ก โรมาเนีย และสโลวีเนียแสดงความไม่พอใจที่ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมผู้นำยุโรปที่ปารีส

    แหล่งข่าวจากรัฐบาลเช็กระบุว่าไม่มีประเทศยุโรปใดรับผู้ลี้ภัยยูเครนต่อประชากรมากกว่าเช็ก พร้อมเน้นย้ำบทบาทสำคัญในการส่งกำลังบำรุงอาวุธให้ยูเครน โดยเฉพาะการจัดหากระสุนให้เคียฟ "นอกจากโปแลนด์แล้ว ไม่มีประเทศใดใกล้ชิดสงครามมากกว่าเช็ก" เจ้าหน้าที่กล่าว พร้อมวิจารณ์ "ความหยิ่งยโส" ของประธานาธิบดีฝรั่งเศส Emmanuel Macron ที่กีดกันพวกเขา

    ด้าน Cristian Diaconescu ที่ปรึกษาด้านกลาโหมและความมั่นคงของโรมาเนียแสดงความผิดหวังที่ถูกกีดกัน "แม้จะทุ่มเทช่วยเหลือมาตลอด" แต่ยืนยันว่าหากมีการประชุมต่อเนื่อง พวกเขาก็พร้อมจะมีส่วนร่วม

    ประธานาธิบดี Nataša Pirc Musar แห่งสโลวีเนียวิจารณ์การเลือกเชิญว่าส่งสัญญาณว่า "สมาชิก EU ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม" และเสริมว่า "นี่ไม่ใช่ยุโรปที่จะเป็นพันธมิตรที่คู่ควรกับสหรัฐฯ"
    เช็ก โรมาเนีย และสโลวีเนียประท้วงการถูกกีดกันจากประชุมปารีส สาธารณรัฐเช็ก โรมาเนีย และสโลวีเนียแสดงความไม่พอใจที่ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมผู้นำยุโรปที่ปารีส แหล่งข่าวจากรัฐบาลเช็กระบุว่าไม่มีประเทศยุโรปใดรับผู้ลี้ภัยยูเครนต่อประชากรมากกว่าเช็ก พร้อมเน้นย้ำบทบาทสำคัญในการส่งกำลังบำรุงอาวุธให้ยูเครน โดยเฉพาะการจัดหากระสุนให้เคียฟ "นอกจากโปแลนด์แล้ว ไม่มีประเทศใดใกล้ชิดสงครามมากกว่าเช็ก" เจ้าหน้าที่กล่าว พร้อมวิจารณ์ "ความหยิ่งยโส" ของประธานาธิบดีฝรั่งเศส Emmanuel Macron ที่กีดกันพวกเขา ด้าน Cristian Diaconescu ที่ปรึกษาด้านกลาโหมและความมั่นคงของโรมาเนียแสดงความผิดหวังที่ถูกกีดกัน "แม้จะทุ่มเทช่วยเหลือมาตลอด" แต่ยืนยันว่าหากมีการประชุมต่อเนื่อง พวกเขาก็พร้อมจะมีส่วนร่วม ประธานาธิบดี Nataša Pirc Musar แห่งสโลวีเนียวิจารณ์การเลือกเชิญว่าส่งสัญญาณว่า "สมาชิก EU ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม" และเสริมว่า "นี่ไม่ใช่ยุโรปที่จะเป็นพันธมิตรที่คู่ควรกับสหรัฐฯ"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงการเติบโตของการใช้งาน passkeys ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการยืนยันตัวตนแบบไม่ใช้รหัสผ่านที่ได้รับการยกย่องอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ในปี 2024 ได้ แม้ว่าเทคโนโลยีนี้จะมีประสิทธิภาพในการทำให้การเข้าสู่ระบบง่ายขึ้นเพียงแค่แตะลายนิ้วมือ แต่หลายบริษัทก็ยังลังเลที่จะนำมาใช้

    Andrew Shikiar ซีอีโอและผู้อำนวยการบริหารของ FIDO Alliance ได้กล่าวถึงความเปราะบางของการยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัยต่อการโจมตีแบบฟิชชิ่งที่ซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้โจมตีใช้ AI ในการสร้างอีเมลที่น่าเชื่อถือมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม passkeys มีการป้องกันที่แข็งแกร่งต่อภัยคุกคามเหล่านี้ เนื่องจากการแลกเปลี่ยนคีย์เข้ารหัสที่รวดเร็วและเงียบจะไม่เริ่มต้นหากไม่มีเว็บไซต์ที่ถูกต้อง

    แม้ว่า passkeys จะมีการนำมาใช้เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีก่อน โดยในปีที่แล้ว Shikiar คาดการณ์ว่าบัญชีที่เปิดใช้งาน passkeys จะถึง 20 พันล้านบัญชีภายในปี 2025 แต่ในช่วงต้นเดือนมกราคม ตัวเลขนี้อยู่ที่เพียง 15 พันล้านบัญชีเท่านั้น

    Shikiar แสดงความผิดหวังในความช้าของการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมสายการบินและโรงแรม แต่ยังคงมองในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคต โดยเชื่อว่าอุตสาหกรรมการเดินทางและการบริการจะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตในปี 2025 นอกจากนี้ เขายังบอกเป็นนัยถึงการเปิดตัว passkey โดยธนาคารอเมริกันรายใหญ่ในอนาคตอันใกล้

    การนำ passkeys มาใช้ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น และต้องการประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้นเพื่อดึงดูดผู้คนให้มาใช้มากขึ้น นอกจากนี้ ความกระตือรือร้นของผู้ให้บริการระบบปฏิบัติการและเบราว์เซอร์ในการโปรโมตบริการ passkey ของตนเองยังทำให้เกิดความสับสนในระบบนิเวศของ passkey

    โดยรวมแล้ว passkeys เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการปรับปรุงความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการยืนยันตัวตน แต่ยังต้องการเวลาและการปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย

    https://www.techspot.com/news/106609-passkeys-reach-15-billion-accounts-but-fall-short.html
    บทความนี้กล่าวถึงการเติบโตของการใช้งาน passkeys ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการยืนยันตัวตนแบบไม่ใช้รหัสผ่านที่ได้รับการยกย่องอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ในปี 2024 ได้ แม้ว่าเทคโนโลยีนี้จะมีประสิทธิภาพในการทำให้การเข้าสู่ระบบง่ายขึ้นเพียงแค่แตะลายนิ้วมือ แต่หลายบริษัทก็ยังลังเลที่จะนำมาใช้ Andrew Shikiar ซีอีโอและผู้อำนวยการบริหารของ FIDO Alliance ได้กล่าวถึงความเปราะบางของการยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัยต่อการโจมตีแบบฟิชชิ่งที่ซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้โจมตีใช้ AI ในการสร้างอีเมลที่น่าเชื่อถือมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม passkeys มีการป้องกันที่แข็งแกร่งต่อภัยคุกคามเหล่านี้ เนื่องจากการแลกเปลี่ยนคีย์เข้ารหัสที่รวดเร็วและเงียบจะไม่เริ่มต้นหากไม่มีเว็บไซต์ที่ถูกต้อง แม้ว่า passkeys จะมีการนำมาใช้เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีก่อน โดยในปีที่แล้ว Shikiar คาดการณ์ว่าบัญชีที่เปิดใช้งาน passkeys จะถึง 20 พันล้านบัญชีภายในปี 2025 แต่ในช่วงต้นเดือนมกราคม ตัวเลขนี้อยู่ที่เพียง 15 พันล้านบัญชีเท่านั้น Shikiar แสดงความผิดหวังในความช้าของการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมสายการบินและโรงแรม แต่ยังคงมองในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคต โดยเชื่อว่าอุตสาหกรรมการเดินทางและการบริการจะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตในปี 2025 นอกจากนี้ เขายังบอกเป็นนัยถึงการเปิดตัว passkey โดยธนาคารอเมริกันรายใหญ่ในอนาคตอันใกล้ การนำ passkeys มาใช้ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น และต้องการประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้นเพื่อดึงดูดผู้คนให้มาใช้มากขึ้น นอกจากนี้ ความกระตือรือร้นของผู้ให้บริการระบบปฏิบัติการและเบราว์เซอร์ในการโปรโมตบริการ passkey ของตนเองยังทำให้เกิดความสับสนในระบบนิเวศของ passkey โดยรวมแล้ว passkeys เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการปรับปรุงความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการยืนยันตัวตน แต่ยังต้องการเวลาและการปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย https://www.techspot.com/news/106609-passkeys-reach-15-billion-accounts-but-fall-short.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Passkeys reach 15 billion accounts but fall short of expectations so far
    Andrew Shikiar, CEO and Executive Director of the FIDO Alliance has been a vocal advocate for passkeys. PC Mag notes that Shikiar didn't mince words about the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเปิดตัวโมเดลเอไอล่าสุดที่ดีปซีคคุยว่า ดีพอๆ กับ หรือดีกว่าโมเดลที่เป็นผู้นำในวงการอุตสาหกรรมนี้ของอเมริกา แถมใช้ต้นทุนแค่เศษเงินของบิ๊กเทคเหล่านั้นด้วย กำลังทำให้ระเบียบโลกเทคโนโลยีปั่นป่วนหนัก
    .
    สตาร์ทอัปจีนแห่งนี้ดึงดูดความสนใจในแวดวงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ทั่วโลก หลังจากเปิดเผยเมื่อเดือนที่แล้วว่า การเทรน ดีปซีค-วี3 ใช้พลังการคำนวณจากชิปเอช800 ของเอ็นวิเดีย มูลค่าไม่ถึง 6 ล้านดอลลาร์
    .
    ผู้ช่วยเอไอของดีปซีคที่ขับเคลื่อนโดยดีปซีค-วี3 สามารถแซงแชตจีพีทีขึ้นเป็นแอปฟรีที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดบนแอปสโตร์ของแอปเปิลในอเมริกาเมื่อวันจันทร์ (27 ม.ค.)
    .
    ข่าวนี้ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับเหตุผลที่บริษัทเทคโนโลยีบางแห่งของอเมริกาตัดสินใจทุ่มเงินหลักหมื่นล้านแสนล้านดอลลาร์ไปกับเอไอ และยังทำให้ราคาหุ้นบิ๊กเทคหลายแห่งที่รวมถึงเอ็นวิเดียร่วงหนัก
    .
    ต่อไปนี้คือข้อเท็จจริงบางอย่างเกี่ยวกับบริษัทที่กำลังเขย่าวงการเอไอทั่วโลกอยู่ในขณะนี้
    .
    สั่นสะเทือนวงการเอไอ
    .
    ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2022 ที่โอเพ่นเอไอเปิดตัวแชตจีพีที ตอนนั้นบริษัทเทคโนโลยีจีนต่างร้อนรนสร้างแชตบอตที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอออกมาแข่ง แต่การเปิดตัวแชตบอตของยักษ์จีนอย่าง ไป่ตู้ กลับสร้างความผิดหวังอย่างกว้างขวาง เนื่องจากสะท้อนว่าศักยภาพด้านเอไอระหว่างบริษัทอเมริกันกับบริษัทจีน ยังแตกต่างห่างชั้นกันมาก
    .
    อย่างไรก็ตาม เวลานี้คุณภาพและประสิทธิภาพด้านต้นทุนของโมเดลเอไอของดีปซีคทำให้ความรู้สึกพลิกกลับตาลปัตร สตาร์ทอัปเอไอแห่งนี้ของจีนระบุว่า ดีปซีค-วี3 และดีปซีค-อาร์1 ที่ได้รับการยกย่องจากพวกผู้บริหารในซิลลิคอนแวลลีย์ รวมถึงวิศวกรในบริษัทไฮเทคอเมริกานั้น มีประสิทธิภาพเทียบเท่าโมเดลเอไอรุ่นที่ล้ำสมัยที่สุดของโอเพ่นเอไอและเมตา แถมต้นทุนถูกกว่าแบบเทียบกันไม่ได้
    .
    โพสต์ของดีปซีคบนวีแชตระบุว่า ดีปซีค-อาร์1 ที่เปิดตัวสัปดาห์ที่แล้วนั้น ต้นทุนถูกกว่าโอเพ่นเอไอ o1 ถึง 20-50 เท่า ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับงาน
    .
    ทว่า ยังมีบางคนแสดงความข้องใจอย่างเปิดเผยต่อเรื่องราวความสำเร็จของดีปซีค ตัวอย่างเช่น อเล็กซานเดอร์ หวัง ซีอีโอสเกล เอไอที่กล่าวโดยไม่ได้โชว์หลักฐานระหว่างให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นบีซีเมื่อวันพฤหัสฯ (23) ที่แล้ว ว่า ดีปซีคมีการแอบใช้ชิปเอช100 ของเอ็นวิเดีย 50,000 ชิ้น แต่เปิดเผยไม่ได้เนื่องจากละเมิดมาตรการควบคุมการส่งออกของวอชิงตันที่แบนการขายชิปเอไอขั้นสูงให้บริษัทจีน
    .
    ต่อมาในวันจันทร์ นักวิเคราะห์ของเบิร์นสไตน์ย้ำในบันทึกการวิจัยว่า แม้ต้นทุนการเทรนเอไอวี3 ไม่เป็นที่รับรู้ แต่คิดว่า น่าจะมากกว่า 5.58 ล้านดอลลาร์ตามที่ดีปซีคบอก นอกจากนั้นยังไม่มีการเปิดเผยต้นทุนการเทรนอาร์1 อีกด้วย
    .
    เบื้องหลังดีปซีค
    .
    ดีปซีคเป็นบริษัทสตาร์ทอัปที่ตั้งสำนักงานอยู่ในเมืองหางโจว ทางภาคตะวันออกของจีน ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิควบคุมบริษัทคือ เหลียง เหวินเฟิง ผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนบริหารความเสี่ยงเชิงปริมาณ “ไฮ-ฟลายเออร์”
    .
    เดือนมีนาคม 2023 กองทุนของเหลียงประกาศผ่านวีแชตว่า กำลังทุ่มเททรัพยากรในการสร้างกลุ่มการวิจัยอิสระใหม่เพื่อสำรวจองค์ประกอบสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (Artificial General Intelligence) ที่โอเพ่นเอไอระบุว่า หมายถึงระบบอัตโนมัติที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ในงานที่มีมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์เกือบทั้งหมด และปลายปีนั้นดีปซีคก็ถือกำเนิดขึ้น
    .
    ไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า ไฮ-ฟลายเออร์ลงทุนในดีปซีคเท่าไร แต่ออฟฟิศของกองทุนแห่งนี้อยู่ในตึกเดียวกับดีปซีค และยังเป็นเจ้าของสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับคลัสเตอร์ชิปที่ใช้ในการเทรนโมเดลเอไอ
    .
    ดีปซีคในสายตาปักกิ่ง
    .
    แวดวงนักการเมืองระดับสูงของจีนต่างรับรู้ถึงความสำเร็จของดีปซีค สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า วันจันทร์ (20) ที่ผ่านมา ซึ่งมีการเปิดตัวดีปซีค-อาร์1 เหลียงได้ไปเข้าร่วมการประชุมเชิงสัมมนาแบบปิด ร่วมกับนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่ง โดยมีนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียงเป็นเจ้าภาพ
    .
    การที่เหลียงได้รับเชิญในวันนั้นเป็นสัญญาณว่า ความสำเร็จของดีปซีคน่าจะมีความสำคัญต่อเป้าหมายของปักกิ่งในการเอาชนะมาตรการควบคุมการส่งออกของวอชิงตัน และหาทางประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเองในอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์อย่างเอไอ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009081
    ..............
    Sondhi X
    การเปิดตัวโมเดลเอไอล่าสุดที่ดีปซีคคุยว่า ดีพอๆ กับ หรือดีกว่าโมเดลที่เป็นผู้นำในวงการอุตสาหกรรมนี้ของอเมริกา แถมใช้ต้นทุนแค่เศษเงินของบิ๊กเทคเหล่านั้นด้วย กำลังทำให้ระเบียบโลกเทคโนโลยีปั่นป่วนหนัก . สตาร์ทอัปจีนแห่งนี้ดึงดูดความสนใจในแวดวงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ทั่วโลก หลังจากเปิดเผยเมื่อเดือนที่แล้วว่า การเทรน ดีปซีค-วี3 ใช้พลังการคำนวณจากชิปเอช800 ของเอ็นวิเดีย มูลค่าไม่ถึง 6 ล้านดอลลาร์ . ผู้ช่วยเอไอของดีปซีคที่ขับเคลื่อนโดยดีปซีค-วี3 สามารถแซงแชตจีพีทีขึ้นเป็นแอปฟรีที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดบนแอปสโตร์ของแอปเปิลในอเมริกาเมื่อวันจันทร์ (27 ม.ค.) . ข่าวนี้ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับเหตุผลที่บริษัทเทคโนโลยีบางแห่งของอเมริกาตัดสินใจทุ่มเงินหลักหมื่นล้านแสนล้านดอลลาร์ไปกับเอไอ และยังทำให้ราคาหุ้นบิ๊กเทคหลายแห่งที่รวมถึงเอ็นวิเดียร่วงหนัก . ต่อไปนี้คือข้อเท็จจริงบางอย่างเกี่ยวกับบริษัทที่กำลังเขย่าวงการเอไอทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ . สั่นสะเทือนวงการเอไอ . ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2022 ที่โอเพ่นเอไอเปิดตัวแชตจีพีที ตอนนั้นบริษัทเทคโนโลยีจีนต่างร้อนรนสร้างแชตบอตที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอออกมาแข่ง แต่การเปิดตัวแชตบอตของยักษ์จีนอย่าง ไป่ตู้ กลับสร้างความผิดหวังอย่างกว้างขวาง เนื่องจากสะท้อนว่าศักยภาพด้านเอไอระหว่างบริษัทอเมริกันกับบริษัทจีน ยังแตกต่างห่างชั้นกันมาก . อย่างไรก็ตาม เวลานี้คุณภาพและประสิทธิภาพด้านต้นทุนของโมเดลเอไอของดีปซีคทำให้ความรู้สึกพลิกกลับตาลปัตร สตาร์ทอัปเอไอแห่งนี้ของจีนระบุว่า ดีปซีค-วี3 และดีปซีค-อาร์1 ที่ได้รับการยกย่องจากพวกผู้บริหารในซิลลิคอนแวลลีย์ รวมถึงวิศวกรในบริษัทไฮเทคอเมริกานั้น มีประสิทธิภาพเทียบเท่าโมเดลเอไอรุ่นที่ล้ำสมัยที่สุดของโอเพ่นเอไอและเมตา แถมต้นทุนถูกกว่าแบบเทียบกันไม่ได้ . โพสต์ของดีปซีคบนวีแชตระบุว่า ดีปซีค-อาร์1 ที่เปิดตัวสัปดาห์ที่แล้วนั้น ต้นทุนถูกกว่าโอเพ่นเอไอ o1 ถึง 20-50 เท่า ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับงาน . ทว่า ยังมีบางคนแสดงความข้องใจอย่างเปิดเผยต่อเรื่องราวความสำเร็จของดีปซีค ตัวอย่างเช่น อเล็กซานเดอร์ หวัง ซีอีโอสเกล เอไอที่กล่าวโดยไม่ได้โชว์หลักฐานระหว่างให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นบีซีเมื่อวันพฤหัสฯ (23) ที่แล้ว ว่า ดีปซีคมีการแอบใช้ชิปเอช100 ของเอ็นวิเดีย 50,000 ชิ้น แต่เปิดเผยไม่ได้เนื่องจากละเมิดมาตรการควบคุมการส่งออกของวอชิงตันที่แบนการขายชิปเอไอขั้นสูงให้บริษัทจีน . ต่อมาในวันจันทร์ นักวิเคราะห์ของเบิร์นสไตน์ย้ำในบันทึกการวิจัยว่า แม้ต้นทุนการเทรนเอไอวี3 ไม่เป็นที่รับรู้ แต่คิดว่า น่าจะมากกว่า 5.58 ล้านดอลลาร์ตามที่ดีปซีคบอก นอกจากนั้นยังไม่มีการเปิดเผยต้นทุนการเทรนอาร์1 อีกด้วย . เบื้องหลังดีปซีค . ดีปซีคเป็นบริษัทสตาร์ทอัปที่ตั้งสำนักงานอยู่ในเมืองหางโจว ทางภาคตะวันออกของจีน ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิควบคุมบริษัทคือ เหลียง เหวินเฟิง ผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนบริหารความเสี่ยงเชิงปริมาณ “ไฮ-ฟลายเออร์” . เดือนมีนาคม 2023 กองทุนของเหลียงประกาศผ่านวีแชตว่า กำลังทุ่มเททรัพยากรในการสร้างกลุ่มการวิจัยอิสระใหม่เพื่อสำรวจองค์ประกอบสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (Artificial General Intelligence) ที่โอเพ่นเอไอระบุว่า หมายถึงระบบอัตโนมัติที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ในงานที่มีมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์เกือบทั้งหมด และปลายปีนั้นดีปซีคก็ถือกำเนิดขึ้น . ไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า ไฮ-ฟลายเออร์ลงทุนในดีปซีคเท่าไร แต่ออฟฟิศของกองทุนแห่งนี้อยู่ในตึกเดียวกับดีปซีค และยังเป็นเจ้าของสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับคลัสเตอร์ชิปที่ใช้ในการเทรนโมเดลเอไอ . ดีปซีคในสายตาปักกิ่ง . แวดวงนักการเมืองระดับสูงของจีนต่างรับรู้ถึงความสำเร็จของดีปซีค สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า วันจันทร์ (20) ที่ผ่านมา ซึ่งมีการเปิดตัวดีปซีค-อาร์1 เหลียงได้ไปเข้าร่วมการประชุมเชิงสัมมนาแบบปิด ร่วมกับนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่ง โดยมีนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียงเป็นเจ้าภาพ . การที่เหลียงได้รับเชิญในวันนั้นเป็นสัญญาณว่า ความสำเร็จของดีปซีคน่าจะมีความสำคัญต่อเป้าหมายของปักกิ่งในการเอาชนะมาตรการควบคุมการส่งออกของวอชิงตัน และหาทางประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเองในอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์อย่างเอไอ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009081 .............. Sondhi X
    Like
    Wow
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2015 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงนี้อ่านเล่มไหนก็รู้สึกชอบและสนุกไปหมดเลยครับ อาจเพราะเป็นคนเลือกที่อยากอ่านเองจริง ๆ และก็มักไม่พบความผิดหวังกับเล่มที่เลือกนั้น ล่าสุดก็เรื่องนี้ที่สะดุดตาตั้งแต่ปกหน้า พอเจอในแอป hibrary ที่คนจองคิวไม่มาก และระบุว่าเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน ระทึกขวัญกลางกรุงโตเกียว คิดว่าน่าสนใจจึงต่อคิวจอง และเมื่อวันก่อนครบกำหนดต้องคืน จึงรีบอ่านแบบติดเทอร์โบรวดเดียวจนจบทันก่อนเวลาเส้นตายแบบเฉียดฉิว เมื่ออ่านจบก็พบว่า

    "ดีจริงที่ตัดสินใจที่จะลองอ่าน ถ้าไม่งั้นคงน่าเสียดายยิ่ง"

    #silenttokyoandsothisisxmas
    สนพ.ไดฟุกุ (อ่านหนังสือของไดฟุกุติดกันหลายเล่ม เป็นสนพ.หนึ่งที่ผลิตหนังสือค่อนข้างคุณภาพทีเดียว แต่ผมอ่านแบบอีบุ๊ก)
    ฮาตะ ทาเคฮิโตะ เขียน
    เกวลิน ลิขิตวิทยาวุฒิ แปล
    248 หน้า 280 บาท
    พิมพ์ในญี่ปุ่นครั้งแรก 2559 ในไทยพิมพ์ครั้งแรกปี 2564

    คุณจะทำอย่างไร ถ้ารู้ว่าเมืองที่ตนอาศัยอยู่กำลังจะเกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ใจกลางกรุง?

    เริ่มเรื่องก็ระทึกขวัญแต่ต้น ด้วยการที่แม่บ้านวัยสี่สิบกว่ารายหนึ่งตั้งใจจะออกไปซื้อของขวัญให้สามี เพราะใกล้จะถึงคริสต์มาส เธอจึงออกจากบ้านไปยังย่านกลางเมือง หลังซื้อของแล้วจึงมานั่งรับแดดกะจะกินแซนด์วิช บนม้านั่งตัวหนึ่งที่ลานสาธารณะหน้าสถานีรถไฟเอบิสุ ครู่หนึ่งชายที่ไหนไม่รู้ เข้ามาคุยกับเธอพูดจาแปลก ๆ บอกว่าใต้ม้านั่งมีระเบิด ห้ามเธอลุกขึ้นไม่งั้นระเบิดจะทำงาน เพราะเมื่อมีน้ำหนักมากกว่า30กิโลกรัมกดทับ วงจรจะเริ่มเตรียมพร้อม ทางเดียวที่จะรอด เธอต้องนั่งรอจนกว่าจะมีคนจากสถานทีโทรทัศน์แห่งหนึ่งมาที่นี่ แล้วให้เขานั่งลงข้าง ๆ จากนั้นเธอจึงลุกขึ้นได้ แต่ให้บอกสิ่งที่เธอได้ยินนี้กับเขาด้วยเพื่อจะได้ไม่ตายเพราะระเบิด และสุดท้ายให้บอกเขาว่า นี่คือสงคราม!

    🧨

    จากจุดเริ่มนั้นเอง ที่สถานีโทรทัศน์แห่งนั้น มีสายโทรแจ้งว่าจะมีการระเบิดขึ้นที่...หนุ่มทำงานพาร์ตไทม์ในสถานีที่ได้รับงานเป็นเบ๊ทั่วไป ถูกสั่งให้ไปยังจุดดังกล่าวพร้อมจนท.อีกคนที่ติดอุปกรณ์การถ่ายทำไปด้วย ทั้งสองจำใจไปแต่เชื่อว่าคงเป็นการล้อกันเล่น เมื่อไปถึงพบหญิงที่นั่งอยู่ข้างม้านั่งที่คนในสายแจ้ง ทั้งสองเข้าไปใกล้กะจะไปนั่งม้านั่งใกล้กันเพื่อสังเกต แต่เธอกลับเรียกให้ชายที่ถือกล้องนั่งลงถามว่ามาจากสถานีโทรทัศน์ใช่ไหม เขาแปลกใจจึงนั่งลงจะสอบถาม เธอรีบกระโดดขึ้นทันทีพลางบอกรายละเอียดทั้งหมด

    🧨

    ชายที่นั่งไม่เชื่อจะลุก เธอรีบกดไหล่และหว่านล้อมว่าวิธีเดียวที่จะรอดคือต้องทำตามคำบอกของชายคนที่แจ้งรายละเอียดกับเธอไว้ในตอนแรก นั่นคือให้เขาใช้กล้องบันทึกสิ่งที่ตัวเองประสบแล้วเผยแพร่ออกไป จากนั้นเธอเอาของที่คล้ายนาฬิกาข้อมือดิจิทัลมาคล้องกับข้อมือของหนุ่มพาร์ตไทม์โดยเขาไม่ทันตั้งตัว พลางเธอชูให้ดูว่าที่ข้อมือตัวเองก็มี บอกว่านี่เป็นระเบิดด้วยเช่นกัน ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของชายแปลกหน้าที่เข้ามาคุยกับเธอ เขาจะสั่งงานระยะไกลให้นาฬิการะเบิด แล้วรีบบอกกับเด็กหนุ่มว่าต้องไปต่อที่แห่งหนึ่งตามคำสั่ง จากนั้นทิ้งชายที่น่าสงสารไว้ตามลำพัง ซึ่งเขาก็กลัวมากจึงรีบทำตามที่เธอบอก ในที่สุดเรื่องก็ทราบถึงตำรวจ จนแห่กันมากู้ระเบิดด้วยการใช้ไนโตรเจนเหลวกะให้หยุดการทำงานของระบบ ปรากฏว่าเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น

    🧨

    ที่แท้เป็นการข่มขู่ แค่ระเบิดเสียงแต่ยังไม่มีอำนาจทำลายล้าง ทว่าด้วยเหตุนี้ทางตำรวจสืบสวนกลางจึงตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลและสืบเรื่องนี้ขึ้น จากการวิเคราะห์ทำให้ตำรวจทราบว่า ระเบิดนั้นถูกติดตั้งตัวจับอุณหภูมิไว้ด้วย แสดงว่าคนที่ประกอบระเบิดเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้ด้านนี้และคาดเดาได้ว่าตำรวจจะใช้ไนโตรเจนเหลว จึงดักทางด้วยการติดตั้งระบบให้ไม่อาจกู้ด้วยวิธีที่ตำรวจใช้ ในทีมสืบสวน มีการจับคู่ของนายตำรวจมากประสบการณ์วัยสี่สิบกว่ากับตำรวจหนุ่มไฟแรงคู่หนึ่ง ซึ่งมีบทบาทในการตามสืบข้อมูลเกี่ยวกับการระเบิดครั้งนี้อย่างกัดติด ด้วยตำรวจวัยกลางคนนั้นเคยแต่งงานกับลูกสาวของระดับสูงของหัวหน้าที่ตั้งทีมครั้งนี้ ทว่ามีเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้ต้องหย่ากันไป อย่างไรเขาคือผู้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเกี่ยวกับสถานการณ์อันตราย

    🧨

    ด้านหญิงกลางคนกับหนุ่มพาร์ตไทม์ เดินทางไปยังอาคารหลังหนึ่งเป็นห้องเช่า ที่ภายในมีทีวีและอุปกรณ์กล้อง พร้อมซองสีขาวที่เขียนรายละเอียดบอกไว้ให้เด็กหนุ่มต้องอ่านข้อความตามที่มีบทพูดไว้ให้ โดยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนทำหน้าที่บันทึกภาพ จากนั้นให้นำโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นในยูทูปเห็น เนื้อหาสรุปคือให้บอกว่าผมคือผู้ที่วางระเบิดนั้นเอง และยื่นข้อเสนอขอคุยกับนายกถ่ายทอดออกทางสถานีโทรทัศน์ ถ้าไม่ทำตาม จะมีการวางระเบิดในย่านใจกลางชิบูย่า หน้ารูปปั้นหมาฮาจิโกะ เส้นตายคือ18.30น. ปรากฏว่านายกฯออกข่าวตอบโต้ว่าไม่ต้องการเจรจาใดกับผู้ก่อการร้ายทั้งสิ้น และจะทำสงครามกับคนไม่หวังดีอย่างถึงที่สุด

    🧨

    ด้านหนุ่มพาร์ตไทม์ได้รับคำสั่งต่อไปให้ไปทำคนเดียว จึงต้องแยกกับหญิงกลางคนที่ถูกให้เฝ้ารอคำสั่งอยู่ในห้องแห่งนั้น ส่วนตำรวจก็วิ่งขาขวิด ล้อมรั้วด้วยแถบเหลืองรอบรูปปั้นฮาจิโกะด้วยรัศมีประมาณหนึ่ง และให้หน่วยกอบกู้ระเบิดพยายามเร่งค้นหาวัตถุระเบิดที่ถูกซุกซ่อนอยู่ แต่คนโตเกียวและชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เข้าใจว่าคลิปที่เผยแพร่ น่าจะเป็นการหลอกลวงเหมือนเช่นระเบิดก่อนหน้าที่สถานีเอบิสุ จึงไม่รู้สึกกลัวแถมยังแห่มายังบริเวณลานอันเป็นสถานที่ถูกระบุ ด้วยต้องการมาเซลฟี่ตนเอง บ้างมาเป็นกลุ่ม เพื่ออัปโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นเห็น

    🧨

    มีหญิงสาวพนักงานบริษัทธรรมดาสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน คนหนึ่งเป็นชู้กับสามีของคนอื่นและคะยั้นคะยอชวนเพื่อนไปนัดบอดก่อนหน้านี้ ซึ่งเพื่อนของเธอเพิ่งอกหักจากแฟนที่รักกันมากว่าสิบปี แล้วทิ้งไปอยู่กับกิ๊กที่ตั้งท้องไม่กี่เดือน เพื่อนสาวคนนี้กำลังคิดจะเริ่มต้นใหม่และรู้สึกดีกับหนุ่มคนหนึ่งในงานนัดบอด โดยเขาคนนั้นเป็นเจ้าของบริษัทที่สร้างแอปพลิเคชันที่เปิดตัวดีและมีคนใช้เยอะ ธุรกิจไปได้สวยทั้งที่ยังอายุไม่มาก แต่ค่อนข้างเย็นชาไม่สนใจคนรอบข้าง สองสาวตั้งใจจะมากินอาหารฉลองก่อนคริสต์มาส แล้วเห็นหนุ่มคนที่ตนสนใจเข้าพอดีในสถานที่ใกล้รูปปั้นฮาจิโกะ เพื่อนคนที่ใจกล้าจึงชวนอีกคนว่าให้ลองตามไปดูเขาว่าทำไมถึงมาอยู่แถวชิบูย่า ทั้งที่ก่อนหน้าตอนเธอชวนมากินข้าวด้วยกัน ปฏิเสธว่ามีนัดสำคัญที่อื่น เธอไม่อยากไปแต่สุดท้ายก็โดนเพื่อนลากไปจนได้

    🧨

    ด้านตำรวจยังคงพยายามตามหาว่าระเบิดถูกซ่อนตรงไหน เวลากระชั้นสั้นเข้าใกล้ถึงกำหนดที่ถูกประกาศว่าจะมีการระเบิด แต่ผู้คนยิ่งมาออกันอย่างเนืองแน่นด้วยความสนุกสนาน

    สุดท้ายจึงเกิดโศกนาฏกรรมใหญ่ เพราะมีการระเบิดขึ้นจริง ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แต่เรื่องราวไม่จบเท่านี้ เพราะหลังเหตุร้ายแรง นายกฯยังคงยืนยันคำพูดแข็งกร้าวเช่นเดิม ดังนั้นจึงมีข้อความต่อมาของคนร้ายที่แจ้งให้ทราบว่า ถ้านายกยังไม่ทำตามข้อเสนอ ระเบิดครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในคืนวันคริสต์มาสอีฟ คราวนี้บอกแค่เวลา แต่ไม่ระบุจุดที่จะระเบิด บอกเพียงว่าในกรุงโตเกียว

    🧨

    เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป..

    ตำรวจจะหาตัวคนร้ายเจอไหม ..

    สถานที่ใดจะเกิดระเบิดครั้งต่อไป..

    หญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงบริเวณย่านชิบูย่าตายหรือไม่..

    ชายคนที่หญิงสาวรู้สึกสนใจ ทำไมโกหกเธอ แล้วเขามาทำอะไร รอดตายหรือไม่..

    หญิงวัยกลางคนที่ประสบเหตุคนแรกเล่า ที่ข้อมือยังมีนาฬิกาที่พร้อมระเบิดถ้าขัดคำสั่งคนร้าย เธอถูกให้ทำเรื่องใดต่อไป..

    หนุ่มพาร์ตไทม์ที่ได้รับมอบหมายงานไปทำตามลำพัง จะรอดหรือไม่ ใคร ๆ ต่างเข้าใจว่าเขาคือคนร้ายไปหมดแล้ว ...

    ยังมีอีกหลายตัวละครที่มีบทบาทต่อเนื้อเรื่อง ที่ผมเล่าได้ไม่หมด ต้องไปหาอ่านกันต่อแล้วล่ะ

    .......

    ภาควิเคราะห์✒️

    ตัวละครเยอะ และโผล่มาเรื่อย ๆ เฉพาะที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลักก็เกือบสิบคน ยังมีประเภทโผล่มาประปรายเพราะมีความสัมพันธ์กับตัวละครที่เกี่ยวข้องอีกพอสมควร แต่เนื่องจากผมมีเวลาจำกัดที่ต้องอ่านให้จบทันก่อนหนังสือจะคืนเข้าระบบตามกำหนด จึงไม่สามารถค่อย ๆ เสพอ่านอย่างละเมียดบรรจง แต่ใช้วิธีอ่านแบบกวาดตาโดยไว ซึ่งปกติจะไม่อยากอ่านแบบนี้ถ้าไม่จำเป็น เนื่องจากจะจดจำชื่อตัวละคร หรือดื่มด่ำกับสำนวนและการบรรยายของผู้เขียนได้น้อย

    ✒️

    ดีที่เล่มนี้ไม่เน้นการบรรยายเยอะ แต่สนทนามากกว่า มีบรรยายบ้างแต่ไม่ยาวเป็นหน้า ค่อนข้างเดินเรื่องกระชับฉับไว ให้รายละเอียดเท่าที่จำเป็น ตัวละครคุยกันเยอะ ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังครับ ยิ่งอ่านประวัติคนเขียนด้วยจึงเข้าใจ เพราะเป็นทั้งนักเขียนหนังสือ นักเขียนบท โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ มิน่าล่ะจึงสะท้อนความเชี่ยวชาญและแนวคิดการทำงานในการผลิตหนัง มาใช้ในงานเขียนด้วย

    ✒️

    อ่านแล้วนึกถึงหนังเรื่อง pulp fiction เมื่อปี 2537 ครับ ลักษณะการเล่ามีความเดินเรื่องคล้ายอย่างในหนัง คือไม่ได้เล่าไปทีละลำดับ แต่สลับระหว่างตัวละครหลักกลับไปกลับมา ฉากโน้นฉากนี้ แล้วพอตัวละครเยอะ ก็จะเข้าใจยากหน่อย แต่พอนำมาร้อยเรียงกันเองในหัวแล้วจะเริ่มมองภาพใหญ่ออก เพียงแค่ผู้เขียนเลือกหยิบเล่าในบริเวณจำกัดของ jigsaw บางส่วนในภาพทั้งหมด แล้วกระโดดไปเล่ามุมอื่นของชีวิตตัวละครตัวอื่น วนไปวนมาแบบนี้ จนค่อย ๆ กลายเป็นภาพที่ต่อสำเร็จเป็นรูปร่างมากขึ้นเรื่อย ๆ

    ✒️

    อ่านไปเหมือนจะงง แล้วพาลทำให้ไม่เข้าใจและไม่ชอบ หมดสนุกได้หากเราไม่คุ้นเคยกับการเล่าแบบนี้ ผมนึกถึงตัวเองตอนได้ดู pulp fiction ในโรงหนังลิโด้ครั้งแรกสมัยก่อน ถึงกับอุทานในใจ

    แหม..หนังอะไรวะเนี่ย ดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจอะไรเลย ตัวละครต่าง ๆ ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาแบบไม่มีต้น ไม่มีปลาย มาทำบ้าอะไรของมันเดี๋ยวเดียวก็ตัดไป กลายเป็นตัวอื่นโผล่มาแล้วก็ลักษณะเดียวกันคือไม่มีรายละเอียดให้รู้ งงไปจนแทบเลยกลางเรื่องไปพอสมควรแล้วนั่นแหละ แบบดูไปด่าไปในใจ แต่ก็ทนดูต่อไปเพราะอยากรู้ว่าตกลงเรื่องราวมันยังไงกันแน่

    ✒️

    พอดูจบถึงกับแทบโห่ร้องออกมาแบบไม่มีเสียง นี่มันหนังโคตรดี สุดยอดอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน คิดได้ยังไง ถ้าดำเนินเรื่องตามลำดับเวลาก่อนหลังที่ควรจะเป็น เราก็เข้าใจง่ายตั้งแต่ต้นละ แต่นี่ดันตัดเอาแค่บางช่วงสลับไปมาจนงงไปหมด ให้ไปต่อเอาเองในหัว

    หนังสือเล่มนี้ก็มีความคล้ายในการเล่าแบบหนังเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ได้มากเท่าและไม่ได้ชัดเจนเท่า ยังมีความเล่าตามลำดับในโครงสร้างใหญ่ไปตามวันที่เริ่มตั้งแต่ 22 ธันวาคม จนถึงก่อนวันคริสต์มาส แต่ทว่าจะมีช่วงที่เล่าให้ทราบถึงความเป็นไปในตัวละครบางตัวในอดีต เป็นเชิงภาคขยายจากในคราวแรกที่ไม่ได้ให้รายละเอียดตัวละครอะไรมากมาย

    ✒️

    กลางเล่มไปแล้วที่หลังเกิดเหตุระเบิดใหญ่อันน่าตกใจและมีการสูญเสียทำได้ดีทีเดียว ฉากกลางย่านชิบูย่าในภาพก่อนหน้าที่กำลังวุ่นวายและเต็มไปด้วยความเอะอะของเหล่าผู้คน ที่ไม่ตระหนักถึงอันตรายใดแล้วไม่สนใจคำเตือนตำรวจ กับภายหลังเหตุระเบิด รวมถึงความไต่ระดับของการเดินเรื่องที่บางตัวละครพยายามตามหาความจริง จิกกัดไม่ปล่อย ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่ตำรวจและยังเป็นผู้หญิง มีฉากหนึ่งที่อ่านแล้วอดนึกไม่ได้ว่า

    "อยากตายนักหรือไง"

    เพราะเธอไปจี้ถาม คุ้ยแคะแกะแผลจะคาดคั้นเอาคำตอบกับคนที่น่าสงสัยให้ได้ ช่วงบทสนทนาตอนนั้นคือลุ้นมาก นางปากดีคนนี้จะถูกหมกตายไหมเนี่ย ช่างปากกล้า ปากเก่งในเวลาที่ไม่ควรจริง ๆ แล้วเหตุการณ์ต่อจากฉากนั้น ก็ทำเอาแทบกลั้นลมหายใจอ่านทีเดียว

    ✒️

    ผู้เขียนฉลาดในการหลอกล่อคนอ่านมาตั้งแต่ต้นเริ่มเรื่องทีเดียว เรียกว่าเอาอยู่ หัวปั่นเพราะเบาะแสที่ให้มาทีละนิด เราก็คิดว่าเออ คนนี้หรือคนนั้นมีแววนะว่าอาจจะใช่คนร้ายที่เจ้าแผนการทั้งหมด เพียงเพื่อสุดท้ายจะพบกับความพลิกเหมือนลูกรูบิกที่บิดที สีที่เหมือนจะเรียงกันได้ครบ แต่ทำเอาแทบสลบเพราะนอกจากไม่เรียงสำเร็จทุกสี ยังเหมือนวิ่งหนีออกไปไกลกว่าเก่า

    อ้าว..ที่แท้คนนี้เองเหรอ..เราหมุนไปผิดทางตั้งแต่แรกเลยเหรอเนี่ย

    พอย้อนไปเก็บรายละเอียดหลังอ่านจบ โดยทวนเนื้อหาใหม่ในบางช่วงบางบทสนทนา การบรรยายรายละเอียดที่ผู้เขียนใส่ไว้ใหม่ จึงเกิดความรู้สึกเหมือน อะไรที่มันขัดกันในหัว หมุนเคลื่อนตัวลงล็อกดัง "กริ๊ก" ในตำแหน่งที่ถูกต้องเป๊ะ

    ✒️

    เราอ่านไม่ดีเองตั้งแต่แรก ละเลยส่วนสำคัญไปเพราะไม่ละเอียดและไม่คิดตามมากพอ แท้จริงร่องรอยของความจริงได้วางไว้ให้เห็นอยู่แล้ว ช่างสุดยอดจริง ๆ สมกับที่เล่มนี้ขายดีในญี่ปุ่น รวมถึงตอนสร้างเป็นหนังก็มีผลตอบรับดีด้วย (ตามที่ในหนังสือระบุไว้ในช่วงคำนำสำนักพิมพ์ หรือความในใจของผู้แปลก็ไม่แน่ใจ)

    ชอบที่ตอนจบ บทสรุปที่ให้คนอ่านได้เก็บไปคิดทบทวนถึงสิ่งที่คนเขียนต้องการสื่อไปถึงชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศ หรือที่จริงชาวโลกก็ว่าได้ เกี่ยวกับสงครามว่าคือสิ่งที่นักการเมือง ผู้มีอำนาจ และพลเมืองที่อยู่ในประเทศนั้น ๆ ควรจะปฏิบัติเช่นไร หรือไม่ควรปฏิบัติเช่นไร

    ✒️บทสรุปของคนร้ายจะตายหรือไม่

    ตอนที่เรื่องเฉลยโดยให้คนร้ายบอกเล่าความจริงในใจกับใครคนหนึ่งนั้น รู้สึกชอบวิธีเฉลยที่ผู้เขียนเลือกใช้ครับ รูปแบบเรียบง่ายแต่เข้ากับนิสัยของตัวละครตัวนี้ดี บ่งบอกตัวตนของคนคนนี้ได้ค่อนข้างชัดเจน

    คนอ่านหลายคนอาจไม่ชอบเหตุผลและแรงจูงใจของคนร้าย และไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ แต่ผมคิดว่าพอจะเข้าใจนะ แต่ไม่ใช่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนร้ายเลือกกระทำ คนเราเมื่อยึดติดในสิ่งใด สัตว์ใด คนใด ความเชื่อใดมากจนฝังแน่นไปถึงจิต

    ✒️

    มันยากเหลือเกินที่จะลบล้างเอาเจ้าความคิดนั้นให้หลุดออกไปได้ ในแง่นี้ผมจึงคิดว่าเข้าใจและเห็นใจสงสารคนร้ายพอสมควร ส่วนประชาชนคนที่ตายไปมากมายนั้น หากพูดกันอย่างไม่อคติ จะไปโทษคนร้ายทั้งหมดก็ไม่ได้ แท้จริงเหล่าคนที่ตายไป จะมากน้อยเพราะเขาทำตัวเอง พาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่อันตราย ทั้งที่ทางตำรวจก็แจ้งเตือน ห้ามปราม แต่ก็ไม่สนใจ รวมถึงพวกสื่อต่าง ๆ ที่เอาแต่อยากทำข่าวโดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ทำนั้นจะส่งผลให้สถานการณ์แย่กว่าเดิมหรือเป็นอันตรายต่อสังคม ประชาชนและประเทศชาติหรือไม่

    ผมว่าเล่มนี้สะท้อนมุมมองเรื่องเหล่านี้ได้ดี

    แต่เหนืออื่นใดคือฉากจบที่ตัวละครหนึ่งที่น่าสงสารและน่าเห็นใจมาก แต่กลับเป็นฝ่ายพูดและให้กำลังใจกับตัวละครอีกตัวที่บาดเจ็บทางใจอย่างร้ายแรงได้อย่างเข้าถึงจิตใจภายใน ราวกับคำพูดนั้นไปสัมผัสและลูบไล้ที่หัวใจด้วยความแผ่วเบาที่สุด

    ช่างอบอุ่นหัวใจดีเหลือเกิน หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ประสบมา

    สำนวนแปลอ่านได้อย่างไม่รู้สึกสะดุด

    ..........

    อ่านจบ ไปลองค้นข้อมูลที่มีการสร้างเป็นหนังต่อ พอเห็นภาพโปสเตอร์ยิ่งอยากดูมาก เพราะมีนักแสดงคนโปรดเล่นด้วยนั่นคือ อิชิดะ ยูริโกะ และคนอื่น ๆ ก็ต่างเป็นนักแสดงคุณภาพทั้งนั้น สุดท้ายเจอที่มีคนทำซับบรรยายไทย จึงโหลดมาชม แต่ดูจบแล้วพบว่า ฉบับหนังสือดีกว่าพอสมควร คือหนังสร้างออกมาได้โอเคอยู่ นักแสดงก็ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองได้ดี แต่มันมีอยู่หลายช่วงที่รู้สึกว่าน่าจะเล่าได้ดีกว่านี้ อาจเพราะเวลาจำกัด รายละเอียดมากมายจึงใส่มาได้ไม่หมด จึงทำให้ลดความสนุกลงไปจากฉบับหนังสือเยอะเลย

    แต่ฉากสำคัญที่เกิดระเบิดกลางย่านชิบูย่าทำออกมาได้ดี

    ใครสนใจลองไปหาชมดูครับ

    สุดท้ายขอจบด้วยประโยคที่ตัวละครสองตัวในเรื่องเอ่ยไว้ได้อย่างน่าประทับใจ โดยระบุว่าเป็นคำกล่าวของนักเขียนนิยายที่มีชื่อว่า Stephen King

    "ผู้ชนะในการแข่งขันปาขี้คือคนที่มือเปื้อนน้อยที่สุด คนมีคุณภาพคือคนที่ไม่ทำให้มือตัวเองเปื้อนจากอะไรไร้สาระอย่างการขว้างปาเจตนาร้ายใส่คนอื่น"

    #หนังญี่ปุ่น
    #หนังน่าดู
    #หนังสือน่าอ่าน
    #บทความ
    #รีววิหนังสือ
    #thaitimes
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #ระเบิดกลางกรุง
    #โตเกียว
    #สงคราม
    #แง่คิด
    #ระทึกขวัญ
    #สืบสวน
    #ก่อการร้าย
    ช่วงนี้อ่านเล่มไหนก็รู้สึกชอบและสนุกไปหมดเลยครับ อาจเพราะเป็นคนเลือกที่อยากอ่านเองจริง ๆ และก็มักไม่พบความผิดหวังกับเล่มที่เลือกนั้น ล่าสุดก็เรื่องนี้ที่สะดุดตาตั้งแต่ปกหน้า พอเจอในแอป hibrary ที่คนจองคิวไม่มาก และระบุว่าเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน ระทึกขวัญกลางกรุงโตเกียว คิดว่าน่าสนใจจึงต่อคิวจอง และเมื่อวันก่อนครบกำหนดต้องคืน จึงรีบอ่านแบบติดเทอร์โบรวดเดียวจนจบทันก่อนเวลาเส้นตายแบบเฉียดฉิว เมื่ออ่านจบก็พบว่า "ดีจริงที่ตัดสินใจที่จะลองอ่าน ถ้าไม่งั้นคงน่าเสียดายยิ่ง" #silenttokyoandsothisisxmas สนพ.ไดฟุกุ (อ่านหนังสือของไดฟุกุติดกันหลายเล่ม เป็นสนพ.หนึ่งที่ผลิตหนังสือค่อนข้างคุณภาพทีเดียว แต่ผมอ่านแบบอีบุ๊ก) ฮาตะ ทาเคฮิโตะ เขียน เกวลิน ลิขิตวิทยาวุฒิ แปล 248 หน้า 280 บาท พิมพ์ในญี่ปุ่นครั้งแรก 2559 ในไทยพิมพ์ครั้งแรกปี 2564 คุณจะทำอย่างไร ถ้ารู้ว่าเมืองที่ตนอาศัยอยู่กำลังจะเกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ใจกลางกรุง? เริ่มเรื่องก็ระทึกขวัญแต่ต้น ด้วยการที่แม่บ้านวัยสี่สิบกว่ารายหนึ่งตั้งใจจะออกไปซื้อของขวัญให้สามี เพราะใกล้จะถึงคริสต์มาส เธอจึงออกจากบ้านไปยังย่านกลางเมือง หลังซื้อของแล้วจึงมานั่งรับแดดกะจะกินแซนด์วิช บนม้านั่งตัวหนึ่งที่ลานสาธารณะหน้าสถานีรถไฟเอบิสุ ครู่หนึ่งชายที่ไหนไม่รู้ เข้ามาคุยกับเธอพูดจาแปลก ๆ บอกว่าใต้ม้านั่งมีระเบิด ห้ามเธอลุกขึ้นไม่งั้นระเบิดจะทำงาน เพราะเมื่อมีน้ำหนักมากกว่า30กิโลกรัมกดทับ วงจรจะเริ่มเตรียมพร้อม ทางเดียวที่จะรอด เธอต้องนั่งรอจนกว่าจะมีคนจากสถานทีโทรทัศน์แห่งหนึ่งมาที่นี่ แล้วให้เขานั่งลงข้าง ๆ จากนั้นเธอจึงลุกขึ้นได้ แต่ให้บอกสิ่งที่เธอได้ยินนี้กับเขาด้วยเพื่อจะได้ไม่ตายเพราะระเบิด และสุดท้ายให้บอกเขาว่า นี่คือสงคราม! 🧨 จากจุดเริ่มนั้นเอง ที่สถานีโทรทัศน์แห่งนั้น มีสายโทรแจ้งว่าจะมีการระเบิดขึ้นที่...หนุ่มทำงานพาร์ตไทม์ในสถานีที่ได้รับงานเป็นเบ๊ทั่วไป ถูกสั่งให้ไปยังจุดดังกล่าวพร้อมจนท.อีกคนที่ติดอุปกรณ์การถ่ายทำไปด้วย ทั้งสองจำใจไปแต่เชื่อว่าคงเป็นการล้อกันเล่น เมื่อไปถึงพบหญิงที่นั่งอยู่ข้างม้านั่งที่คนในสายแจ้ง ทั้งสองเข้าไปใกล้กะจะไปนั่งม้านั่งใกล้กันเพื่อสังเกต แต่เธอกลับเรียกให้ชายที่ถือกล้องนั่งลงถามว่ามาจากสถานีโทรทัศน์ใช่ไหม เขาแปลกใจจึงนั่งลงจะสอบถาม เธอรีบกระโดดขึ้นทันทีพลางบอกรายละเอียดทั้งหมด 🧨 ชายที่นั่งไม่เชื่อจะลุก เธอรีบกดไหล่และหว่านล้อมว่าวิธีเดียวที่จะรอดคือต้องทำตามคำบอกของชายคนที่แจ้งรายละเอียดกับเธอไว้ในตอนแรก นั่นคือให้เขาใช้กล้องบันทึกสิ่งที่ตัวเองประสบแล้วเผยแพร่ออกไป จากนั้นเธอเอาของที่คล้ายนาฬิกาข้อมือดิจิทัลมาคล้องกับข้อมือของหนุ่มพาร์ตไทม์โดยเขาไม่ทันตั้งตัว พลางเธอชูให้ดูว่าที่ข้อมือตัวเองก็มี บอกว่านี่เป็นระเบิดด้วยเช่นกัน ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของชายแปลกหน้าที่เข้ามาคุยกับเธอ เขาจะสั่งงานระยะไกลให้นาฬิการะเบิด แล้วรีบบอกกับเด็กหนุ่มว่าต้องไปต่อที่แห่งหนึ่งตามคำสั่ง จากนั้นทิ้งชายที่น่าสงสารไว้ตามลำพัง ซึ่งเขาก็กลัวมากจึงรีบทำตามที่เธอบอก ในที่สุดเรื่องก็ทราบถึงตำรวจ จนแห่กันมากู้ระเบิดด้วยการใช้ไนโตรเจนเหลวกะให้หยุดการทำงานของระบบ ปรากฏว่าเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น 🧨 ที่แท้เป็นการข่มขู่ แค่ระเบิดเสียงแต่ยังไม่มีอำนาจทำลายล้าง ทว่าด้วยเหตุนี้ทางตำรวจสืบสวนกลางจึงตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลและสืบเรื่องนี้ขึ้น จากการวิเคราะห์ทำให้ตำรวจทราบว่า ระเบิดนั้นถูกติดตั้งตัวจับอุณหภูมิไว้ด้วย แสดงว่าคนที่ประกอบระเบิดเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้ด้านนี้และคาดเดาได้ว่าตำรวจจะใช้ไนโตรเจนเหลว จึงดักทางด้วยการติดตั้งระบบให้ไม่อาจกู้ด้วยวิธีที่ตำรวจใช้ ในทีมสืบสวน มีการจับคู่ของนายตำรวจมากประสบการณ์วัยสี่สิบกว่ากับตำรวจหนุ่มไฟแรงคู่หนึ่ง ซึ่งมีบทบาทในการตามสืบข้อมูลเกี่ยวกับการระเบิดครั้งนี้อย่างกัดติด ด้วยตำรวจวัยกลางคนนั้นเคยแต่งงานกับลูกสาวของระดับสูงของหัวหน้าที่ตั้งทีมครั้งนี้ ทว่ามีเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้ต้องหย่ากันไป อย่างไรเขาคือผู้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเกี่ยวกับสถานการณ์อันตราย 🧨 ด้านหญิงกลางคนกับหนุ่มพาร์ตไทม์ เดินทางไปยังอาคารหลังหนึ่งเป็นห้องเช่า ที่ภายในมีทีวีและอุปกรณ์กล้อง พร้อมซองสีขาวที่เขียนรายละเอียดบอกไว้ให้เด็กหนุ่มต้องอ่านข้อความตามที่มีบทพูดไว้ให้ โดยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนทำหน้าที่บันทึกภาพ จากนั้นให้นำโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นในยูทูปเห็น เนื้อหาสรุปคือให้บอกว่าผมคือผู้ที่วางระเบิดนั้นเอง และยื่นข้อเสนอขอคุยกับนายกถ่ายทอดออกทางสถานีโทรทัศน์ ถ้าไม่ทำตาม จะมีการวางระเบิดในย่านใจกลางชิบูย่า หน้ารูปปั้นหมาฮาจิโกะ เส้นตายคือ18.30น. ปรากฏว่านายกฯออกข่าวตอบโต้ว่าไม่ต้องการเจรจาใดกับผู้ก่อการร้ายทั้งสิ้น และจะทำสงครามกับคนไม่หวังดีอย่างถึงที่สุด 🧨 ด้านหนุ่มพาร์ตไทม์ได้รับคำสั่งต่อไปให้ไปทำคนเดียว จึงต้องแยกกับหญิงกลางคนที่ถูกให้เฝ้ารอคำสั่งอยู่ในห้องแห่งนั้น ส่วนตำรวจก็วิ่งขาขวิด ล้อมรั้วด้วยแถบเหลืองรอบรูปปั้นฮาจิโกะด้วยรัศมีประมาณหนึ่ง และให้หน่วยกอบกู้ระเบิดพยายามเร่งค้นหาวัตถุระเบิดที่ถูกซุกซ่อนอยู่ แต่คนโตเกียวและชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เข้าใจว่าคลิปที่เผยแพร่ น่าจะเป็นการหลอกลวงเหมือนเช่นระเบิดก่อนหน้าที่สถานีเอบิสุ จึงไม่รู้สึกกลัวแถมยังแห่มายังบริเวณลานอันเป็นสถานที่ถูกระบุ ด้วยต้องการมาเซลฟี่ตนเอง บ้างมาเป็นกลุ่ม เพื่ออัปโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นเห็น 🧨 มีหญิงสาวพนักงานบริษัทธรรมดาสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน คนหนึ่งเป็นชู้กับสามีของคนอื่นและคะยั้นคะยอชวนเพื่อนไปนัดบอดก่อนหน้านี้ ซึ่งเพื่อนของเธอเพิ่งอกหักจากแฟนที่รักกันมากว่าสิบปี แล้วทิ้งไปอยู่กับกิ๊กที่ตั้งท้องไม่กี่เดือน เพื่อนสาวคนนี้กำลังคิดจะเริ่มต้นใหม่และรู้สึกดีกับหนุ่มคนหนึ่งในงานนัดบอด โดยเขาคนนั้นเป็นเจ้าของบริษัทที่สร้างแอปพลิเคชันที่เปิดตัวดีและมีคนใช้เยอะ ธุรกิจไปได้สวยทั้งที่ยังอายุไม่มาก แต่ค่อนข้างเย็นชาไม่สนใจคนรอบข้าง สองสาวตั้งใจจะมากินอาหารฉลองก่อนคริสต์มาส แล้วเห็นหนุ่มคนที่ตนสนใจเข้าพอดีในสถานที่ใกล้รูปปั้นฮาจิโกะ เพื่อนคนที่ใจกล้าจึงชวนอีกคนว่าให้ลองตามไปดูเขาว่าทำไมถึงมาอยู่แถวชิบูย่า ทั้งที่ก่อนหน้าตอนเธอชวนมากินข้าวด้วยกัน ปฏิเสธว่ามีนัดสำคัญที่อื่น เธอไม่อยากไปแต่สุดท้ายก็โดนเพื่อนลากไปจนได้ 🧨 ด้านตำรวจยังคงพยายามตามหาว่าระเบิดถูกซ่อนตรงไหน เวลากระชั้นสั้นเข้าใกล้ถึงกำหนดที่ถูกประกาศว่าจะมีการระเบิด แต่ผู้คนยิ่งมาออกันอย่างเนืองแน่นด้วยความสนุกสนาน สุดท้ายจึงเกิดโศกนาฏกรรมใหญ่ เพราะมีการระเบิดขึ้นจริง ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แต่เรื่องราวไม่จบเท่านี้ เพราะหลังเหตุร้ายแรง นายกฯยังคงยืนยันคำพูดแข็งกร้าวเช่นเดิม ดังนั้นจึงมีข้อความต่อมาของคนร้ายที่แจ้งให้ทราบว่า ถ้านายกยังไม่ทำตามข้อเสนอ ระเบิดครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในคืนวันคริสต์มาสอีฟ คราวนี้บอกแค่เวลา แต่ไม่ระบุจุดที่จะระเบิด บอกเพียงว่าในกรุงโตเกียว 🧨 เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป.. ตำรวจจะหาตัวคนร้ายเจอไหม .. สถานที่ใดจะเกิดระเบิดครั้งต่อไป.. หญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงบริเวณย่านชิบูย่าตายหรือไม่.. ชายคนที่หญิงสาวรู้สึกสนใจ ทำไมโกหกเธอ แล้วเขามาทำอะไร รอดตายหรือไม่.. หญิงวัยกลางคนที่ประสบเหตุคนแรกเล่า ที่ข้อมือยังมีนาฬิกาที่พร้อมระเบิดถ้าขัดคำสั่งคนร้าย เธอถูกให้ทำเรื่องใดต่อไป.. หนุ่มพาร์ตไทม์ที่ได้รับมอบหมายงานไปทำตามลำพัง จะรอดหรือไม่ ใคร ๆ ต่างเข้าใจว่าเขาคือคนร้ายไปหมดแล้ว ... ยังมีอีกหลายตัวละครที่มีบทบาทต่อเนื้อเรื่อง ที่ผมเล่าได้ไม่หมด ต้องไปหาอ่านกันต่อแล้วล่ะ ....... ภาควิเคราะห์✒️ ตัวละครเยอะ และโผล่มาเรื่อย ๆ เฉพาะที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลักก็เกือบสิบคน ยังมีประเภทโผล่มาประปรายเพราะมีความสัมพันธ์กับตัวละครที่เกี่ยวข้องอีกพอสมควร แต่เนื่องจากผมมีเวลาจำกัดที่ต้องอ่านให้จบทันก่อนหนังสือจะคืนเข้าระบบตามกำหนด จึงไม่สามารถค่อย ๆ เสพอ่านอย่างละเมียดบรรจง แต่ใช้วิธีอ่านแบบกวาดตาโดยไว ซึ่งปกติจะไม่อยากอ่านแบบนี้ถ้าไม่จำเป็น เนื่องจากจะจดจำชื่อตัวละคร หรือดื่มด่ำกับสำนวนและการบรรยายของผู้เขียนได้น้อย ✒️ ดีที่เล่มนี้ไม่เน้นการบรรยายเยอะ แต่สนทนามากกว่า มีบรรยายบ้างแต่ไม่ยาวเป็นหน้า ค่อนข้างเดินเรื่องกระชับฉับไว ให้รายละเอียดเท่าที่จำเป็น ตัวละครคุยกันเยอะ ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังครับ ยิ่งอ่านประวัติคนเขียนด้วยจึงเข้าใจ เพราะเป็นทั้งนักเขียนหนังสือ นักเขียนบท โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ มิน่าล่ะจึงสะท้อนความเชี่ยวชาญและแนวคิดการทำงานในการผลิตหนัง มาใช้ในงานเขียนด้วย ✒️ อ่านแล้วนึกถึงหนังเรื่อง pulp fiction เมื่อปี 2537 ครับ ลักษณะการเล่ามีความเดินเรื่องคล้ายอย่างในหนัง คือไม่ได้เล่าไปทีละลำดับ แต่สลับระหว่างตัวละครหลักกลับไปกลับมา ฉากโน้นฉากนี้ แล้วพอตัวละครเยอะ ก็จะเข้าใจยากหน่อย แต่พอนำมาร้อยเรียงกันเองในหัวแล้วจะเริ่มมองภาพใหญ่ออก เพียงแค่ผู้เขียนเลือกหยิบเล่าในบริเวณจำกัดของ jigsaw บางส่วนในภาพทั้งหมด แล้วกระโดดไปเล่ามุมอื่นของชีวิตตัวละครตัวอื่น วนไปวนมาแบบนี้ จนค่อย ๆ กลายเป็นภาพที่ต่อสำเร็จเป็นรูปร่างมากขึ้นเรื่อย ๆ ✒️ อ่านไปเหมือนจะงง แล้วพาลทำให้ไม่เข้าใจและไม่ชอบ หมดสนุกได้หากเราไม่คุ้นเคยกับการเล่าแบบนี้ ผมนึกถึงตัวเองตอนได้ดู pulp fiction ในโรงหนังลิโด้ครั้งแรกสมัยก่อน ถึงกับอุทานในใจ แหม..หนังอะไรวะเนี่ย ดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจอะไรเลย ตัวละครต่าง ๆ ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาแบบไม่มีต้น ไม่มีปลาย มาทำบ้าอะไรของมันเดี๋ยวเดียวก็ตัดไป กลายเป็นตัวอื่นโผล่มาแล้วก็ลักษณะเดียวกันคือไม่มีรายละเอียดให้รู้ งงไปจนแทบเลยกลางเรื่องไปพอสมควรแล้วนั่นแหละ แบบดูไปด่าไปในใจ แต่ก็ทนดูต่อไปเพราะอยากรู้ว่าตกลงเรื่องราวมันยังไงกันแน่ ✒️ พอดูจบถึงกับแทบโห่ร้องออกมาแบบไม่มีเสียง นี่มันหนังโคตรดี สุดยอดอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน คิดได้ยังไง ถ้าดำเนินเรื่องตามลำดับเวลาก่อนหลังที่ควรจะเป็น เราก็เข้าใจง่ายตั้งแต่ต้นละ แต่นี่ดันตัดเอาแค่บางช่วงสลับไปมาจนงงไปหมด ให้ไปต่อเอาเองในหัว หนังสือเล่มนี้ก็มีความคล้ายในการเล่าแบบหนังเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ได้มากเท่าและไม่ได้ชัดเจนเท่า ยังมีความเล่าตามลำดับในโครงสร้างใหญ่ไปตามวันที่เริ่มตั้งแต่ 22 ธันวาคม จนถึงก่อนวันคริสต์มาส แต่ทว่าจะมีช่วงที่เล่าให้ทราบถึงความเป็นไปในตัวละครบางตัวในอดีต เป็นเชิงภาคขยายจากในคราวแรกที่ไม่ได้ให้รายละเอียดตัวละครอะไรมากมาย ✒️ กลางเล่มไปแล้วที่หลังเกิดเหตุระเบิดใหญ่อันน่าตกใจและมีการสูญเสียทำได้ดีทีเดียว ฉากกลางย่านชิบูย่าในภาพก่อนหน้าที่กำลังวุ่นวายและเต็มไปด้วยความเอะอะของเหล่าผู้คน ที่ไม่ตระหนักถึงอันตรายใดแล้วไม่สนใจคำเตือนตำรวจ กับภายหลังเหตุระเบิด รวมถึงความไต่ระดับของการเดินเรื่องที่บางตัวละครพยายามตามหาความจริง จิกกัดไม่ปล่อย ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่ตำรวจและยังเป็นผู้หญิง มีฉากหนึ่งที่อ่านแล้วอดนึกไม่ได้ว่า "อยากตายนักหรือไง" เพราะเธอไปจี้ถาม คุ้ยแคะแกะแผลจะคาดคั้นเอาคำตอบกับคนที่น่าสงสัยให้ได้ ช่วงบทสนทนาตอนนั้นคือลุ้นมาก นางปากดีคนนี้จะถูกหมกตายไหมเนี่ย ช่างปากกล้า ปากเก่งในเวลาที่ไม่ควรจริง ๆ แล้วเหตุการณ์ต่อจากฉากนั้น ก็ทำเอาแทบกลั้นลมหายใจอ่านทีเดียว ✒️ ผู้เขียนฉลาดในการหลอกล่อคนอ่านมาตั้งแต่ต้นเริ่มเรื่องทีเดียว เรียกว่าเอาอยู่ หัวปั่นเพราะเบาะแสที่ให้มาทีละนิด เราก็คิดว่าเออ คนนี้หรือคนนั้นมีแววนะว่าอาจจะใช่คนร้ายที่เจ้าแผนการทั้งหมด เพียงเพื่อสุดท้ายจะพบกับความพลิกเหมือนลูกรูบิกที่บิดที สีที่เหมือนจะเรียงกันได้ครบ แต่ทำเอาแทบสลบเพราะนอกจากไม่เรียงสำเร็จทุกสี ยังเหมือนวิ่งหนีออกไปไกลกว่าเก่า อ้าว..ที่แท้คนนี้เองเหรอ..เราหมุนไปผิดทางตั้งแต่แรกเลยเหรอเนี่ย พอย้อนไปเก็บรายละเอียดหลังอ่านจบ โดยทวนเนื้อหาใหม่ในบางช่วงบางบทสนทนา การบรรยายรายละเอียดที่ผู้เขียนใส่ไว้ใหม่ จึงเกิดความรู้สึกเหมือน อะไรที่มันขัดกันในหัว หมุนเคลื่อนตัวลงล็อกดัง "กริ๊ก" ในตำแหน่งที่ถูกต้องเป๊ะ ✒️ เราอ่านไม่ดีเองตั้งแต่แรก ละเลยส่วนสำคัญไปเพราะไม่ละเอียดและไม่คิดตามมากพอ แท้จริงร่องรอยของความจริงได้วางไว้ให้เห็นอยู่แล้ว ช่างสุดยอดจริง ๆ สมกับที่เล่มนี้ขายดีในญี่ปุ่น รวมถึงตอนสร้างเป็นหนังก็มีผลตอบรับดีด้วย (ตามที่ในหนังสือระบุไว้ในช่วงคำนำสำนักพิมพ์ หรือความในใจของผู้แปลก็ไม่แน่ใจ) ชอบที่ตอนจบ บทสรุปที่ให้คนอ่านได้เก็บไปคิดทบทวนถึงสิ่งที่คนเขียนต้องการสื่อไปถึงชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศ หรือที่จริงชาวโลกก็ว่าได้ เกี่ยวกับสงครามว่าคือสิ่งที่นักการเมือง ผู้มีอำนาจ และพลเมืองที่อยู่ในประเทศนั้น ๆ ควรจะปฏิบัติเช่นไร หรือไม่ควรปฏิบัติเช่นไร ✒️บทสรุปของคนร้ายจะตายหรือไม่ ตอนที่เรื่องเฉลยโดยให้คนร้ายบอกเล่าความจริงในใจกับใครคนหนึ่งนั้น รู้สึกชอบวิธีเฉลยที่ผู้เขียนเลือกใช้ครับ รูปแบบเรียบง่ายแต่เข้ากับนิสัยของตัวละครตัวนี้ดี บ่งบอกตัวตนของคนคนนี้ได้ค่อนข้างชัดเจน คนอ่านหลายคนอาจไม่ชอบเหตุผลและแรงจูงใจของคนร้าย และไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ แต่ผมคิดว่าพอจะเข้าใจนะ แต่ไม่ใช่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนร้ายเลือกกระทำ คนเราเมื่อยึดติดในสิ่งใด สัตว์ใด คนใด ความเชื่อใดมากจนฝังแน่นไปถึงจิต ✒️ มันยากเหลือเกินที่จะลบล้างเอาเจ้าความคิดนั้นให้หลุดออกไปได้ ในแง่นี้ผมจึงคิดว่าเข้าใจและเห็นใจสงสารคนร้ายพอสมควร ส่วนประชาชนคนที่ตายไปมากมายนั้น หากพูดกันอย่างไม่อคติ จะไปโทษคนร้ายทั้งหมดก็ไม่ได้ แท้จริงเหล่าคนที่ตายไป จะมากน้อยเพราะเขาทำตัวเอง พาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่อันตราย ทั้งที่ทางตำรวจก็แจ้งเตือน ห้ามปราม แต่ก็ไม่สนใจ รวมถึงพวกสื่อต่าง ๆ ที่เอาแต่อยากทำข่าวโดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ทำนั้นจะส่งผลให้สถานการณ์แย่กว่าเดิมหรือเป็นอันตรายต่อสังคม ประชาชนและประเทศชาติหรือไม่ ผมว่าเล่มนี้สะท้อนมุมมองเรื่องเหล่านี้ได้ดี แต่เหนืออื่นใดคือฉากจบที่ตัวละครหนึ่งที่น่าสงสารและน่าเห็นใจมาก แต่กลับเป็นฝ่ายพูดและให้กำลังใจกับตัวละครอีกตัวที่บาดเจ็บทางใจอย่างร้ายแรงได้อย่างเข้าถึงจิตใจภายใน ราวกับคำพูดนั้นไปสัมผัสและลูบไล้ที่หัวใจด้วยความแผ่วเบาที่สุด ช่างอบอุ่นหัวใจดีเหลือเกิน หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ประสบมา สำนวนแปลอ่านได้อย่างไม่รู้สึกสะดุด .......... อ่านจบ ไปลองค้นข้อมูลที่มีการสร้างเป็นหนังต่อ พอเห็นภาพโปสเตอร์ยิ่งอยากดูมาก เพราะมีนักแสดงคนโปรดเล่นด้วยนั่นคือ อิชิดะ ยูริโกะ และคนอื่น ๆ ก็ต่างเป็นนักแสดงคุณภาพทั้งนั้น สุดท้ายเจอที่มีคนทำซับบรรยายไทย จึงโหลดมาชม แต่ดูจบแล้วพบว่า ฉบับหนังสือดีกว่าพอสมควร คือหนังสร้างออกมาได้โอเคอยู่ นักแสดงก็ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองได้ดี แต่มันมีอยู่หลายช่วงที่รู้สึกว่าน่าจะเล่าได้ดีกว่านี้ อาจเพราะเวลาจำกัด รายละเอียดมากมายจึงใส่มาได้ไม่หมด จึงทำให้ลดความสนุกลงไปจากฉบับหนังสือเยอะเลย แต่ฉากสำคัญที่เกิดระเบิดกลางย่านชิบูย่าทำออกมาได้ดี ใครสนใจลองไปหาชมดูครับ สุดท้ายขอจบด้วยประโยคที่ตัวละครสองตัวในเรื่องเอ่ยไว้ได้อย่างน่าประทับใจ โดยระบุว่าเป็นคำกล่าวของนักเขียนนิยายที่มีชื่อว่า Stephen King "ผู้ชนะในการแข่งขันปาขี้คือคนที่มือเปื้อนน้อยที่สุด คนมีคุณภาพคือคนที่ไม่ทำให้มือตัวเองเปื้อนจากอะไรไร้สาระอย่างการขว้างปาเจตนาร้ายใส่คนอื่น" #หนังญี่ปุ่น #หนังน่าดู #หนังสือน่าอ่าน #บทความ #รีววิหนังสือ #thaitimes #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #ระเบิดกลางกรุง #โตเกียว #สงคราม #แง่คิด #ระทึกขวัญ #สืบสวน #ก่อการร้าย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 809 มุมมอง 0 รีวิว
  • สติดำเนิน
    เกินขาดระวัง
    มีความผิดหวัง
    ยังต้องขวนขวาย

    มีกรรมเครื่องอยู่
    รู้ยับยั้งได้
    คุมตัณหาไว้
    ให้เมตตาธรรม

    เมตตาตนเอง
    เกรงกลัวบาปกรรม
    ละอายอย่าทำ
    สำนึกให้ดี

    ดีชั่วถลำ
    กรรมล้วนคลุกคลี
    ปัญญาให้มี
    ดีคัดกรองใช้

    ถูกการเวลา
    พาถูกที่หมาย
    เป็นธรรมอำไพ
    ให้ดีเจริญ

    อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ
    ท่านทั้งหลายจงยังไว้ซึ่งความไม่ประมาทเถิด

    สาธุ! พุทธัง ธัมมัง สรณังคัจฉามิ
    สติดำเนิน เกินขาดระวัง มีความผิดหวัง ยังต้องขวนขวาย มีกรรมเครื่องอยู่ รู้ยับยั้งได้ คุมตัณหาไว้ ให้เมตตาธรรม เมตตาตนเอง เกรงกลัวบาปกรรม ละอายอย่าทำ สำนึกให้ดี ดีชั่วถลำ กรรมล้วนคลุกคลี ปัญญาให้มี ดีคัดกรองใช้ ถูกการเวลา พาถูกที่หมาย เป็นธรรมอำไพ ให้ดีเจริญ อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ ท่านทั้งหลายจงยังไว้ซึ่งความไม่ประมาทเถิด สาธุ! พุทธัง ธัมมัง สรณังคัจฉามิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่ากลัวความผิดหวัง
    เพราะความผิดหวัง
    คือภูมิต้านทาน
    ความเจ็บปวดที่ดีที่สุด

    จากหนังสือ |ไม่เอาน่ะอย่าคิดมาก

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #ไม่เอาน่ะอย่าคิดมาก
    อย่ากลัวความผิดหวัง เพราะความผิดหวัง คือภูมิต้านทาน ความเจ็บปวดที่ดีที่สุด จากหนังสือ |ไม่เอาน่ะอย่าคิดมาก #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #ไม่เอาน่ะอย่าคิดมาก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทหารกองกำลังพิเศษกรีนเบเรต์ ผู้ต้องสงสัยจุดชนวนระเบิดรถกระบะไฟฟ้าไซเบอร์ทรัค บริเวณด้านหน้าโรงแรมทรัมป์ อินเตอร์เนชัลแนล โฮเท็ล ในลาสเวกัส ในวันขึ้นปีใหม่ อ้างว่าปฏิบัติการของเขานั้นไม่ใช่การโจมตีก่อการร้าย แต่เป็นการเตือนสติถึงอเมริกันชนทุกคน ตามรายงานของอาร์ทนิวส์อ้างอิงข้อความและบันทึกต่างๆที่พบในสมาร์ทโฟนของเขา
    .
    ในวันที่ 1 มกราคม 2025 รถกระบะไซเบอร์ทรัคของเทสลา บรรทุกพลุไฟ ถังแก๊สและเชื้อเพลิง เกิดระเบิดบริเวณด้านนอกโรงแรมทรัมป์ อินเตอร์เนเชันแนล โฮเท็ล ในลาสเวกัส คนขับที่ถูกระบะตัวตนว่าได้แก่จ่าสิบเอกแมทธิว อลัน ลิเวลส์เบอร์เกอร์ สมาชิกหน่วยรบพิเศษกรีนเบเรต์ ถูกพบเสียชีวิตในรถคันดังกล่าว แรงระเบิดทำให้ผู้สัญจรผ่านไปมาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 7 คน โรงแรมได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย และเบื้องต้นพวกเจ้าหน้าที่สืบสวนจากรัฐบาลกลาง เกรงว่ามันมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นการลงมือโจมตีก่อการร้าย
    .
    อย่างไรก็ตามในข้อความต่างๆ ซึ่งตำรวจลาสเวกัสเผยแพร่เมื่อวันศุกร์(3ม.ค.) เผยให้เห็นว่า ลิเวลส์เบอร์เกอร์ มีความผิดหวังอย่างมากเกี่ยวกับประเด็นในสังคมต่างๆนานาและมีปมขัดแย้งภายใน โดยข้อความหนึ่ง เขาเขียนว่า "ผมต้องการชำระล้างจิตใจพวกพี่น้อง ที่ผมสูญเสียไป และปล่อยวางตัวเอง จากภาระการใช้ชีวิตที่ผมต้องแบกรับ"
    .
    "นี่ไม่ใช่ก่อการร้าย แต่เป็นสัญญาณเตือนสติ อเมริกันชนใส่ใจแต่เพียงเรื่องน่าตื่นเต้นและความรุนแรง มันอาจเป็นเรื่องดีกว่าที่ผมจะสื่อสารให้พวกเขาเข้าใจประเด็นของผม ด้วยพลุไฟและระเบิด"ลิเวลส์เบอร์เกอร์เขียน
    .
    เขาได้ระบุถึงประเด็นทางสังคมต่างๆนานา ที่เขาบอกว่าอยากให้จัดการ ในนั้นรวมถึงแปรรูปอาหาร โรคอ้วน ความไม่เท่าเทียมทางรายได้ คนเร่ร่อน ผู้นำอ่อนแอ และคอรัปชันอย่างโจ่งแจ้ง
    .
    "หยุดหมกหมุ่นกับหลากหลาย ความเสมอภาค และการยอมรับความแตกต่าง (DEI) เราทุกคนล้วนแตกต่างกันอยู่แล้ว DEI คือมะเร็ง" เขาเขียน พร้อมระบุว่า "ขอบคุณ ที่พวกเราปฏิเสธผู้สมัครจาก DEI และเราจะมีประธานาธิบดีจริงๆ ไม่ใช่จากหนังตลก" เขาเขียน
    .
    "เราต้องหยุดสงครามในยูเครนด้วยการเจรจาหาทางออก มันเป็นหนทางเดียว" เขาระบุ พร้อมบอกว่า "ประชากรของเราอ้วนเกินไปที่จะเข้าร่วมกองทัพ และเรากำลังเผชิญการทำสงครามกับจีน รัสเซีย เกาหลีเหนือและอิหร่าน ก่อนปี 2030"
    .
    ในบันทึกฉบับที่ 2 ของเขา จ่าหน้าถึงเพื่อนสมาชิกหน่วยรบพิเศษกรีนเบเรต์ นายทหารผ่านศึก พวกนักรบและชาวอเมริกันชนทุกคน ในสิ่งที่ดูเหมือนเป็นการเรียกร้องให้คนเหล่านี้รับประกันว่าพวกเดโมแครต จะไม่ขัดขวาง ทรัมป์ จากการเข้ารับอำนาจและกวาดล้างอาการป่วยต่างๆนานาของประเทศ
    .
    "เรากำลังอยู่ภายใต้ผู้นำที่อ่อนแอและปวกเปียก ที่ทำหน้าที่เพียงเพื่อความมั่งคั่งของตนเอง" เขาเขียน "พยายามด้วยวิธีสันติก่อน แต่ก็เตรียมพร้อมสู้เอาพวกเดโมแครตออกจากรัฐบาลกลางและกองทัพในทุกหนทางที่จำเป็น พวกเขาต้องไปและจำเป็นต้องมีการรีเซ็ตประเทศของเราครั้งใหญ่ เพื่อหลีกเลี่ยงการล่มสลาย"
    .
    ลิเวลส์เบอร์เกอร์ เป็นสมาชิกของกองกำลังพิเศษ ที่ถึงขั้นได้รับเหรียญกล้าหาญ เขาเคยถูกส่งเข้าประจำการทั้งในอัฟกานิสถาน ทาจิกิสถาน จอร์เจีย คองโก และแม้รายงานข่าวอาจรวมถึงยูเครนด้วย อ้างอิงข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ ระบุว่าเขากำลังต่อสู้กับความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตหลายเหตุการณ์ ในนั้นรวมถึงการเพิ่งหย่าขาดกับภรรยาเมื่อเร็วๆนี้
    .
    รายงานข่าวระบุว่า ลิเวลส์เบอร์เกอร์ ใช้ปืนสั้นยิงตัวเอง ก่อนจุดชนวนระเบิด และบันทึกต่างๆของเขาบ่งชี้ว่าเขาเต็มไปด้วยแรงกดดันชีวิตส่วนตัวและอาชีพการงาน แม้ขณะเดียวกันทีมสืบสวนมีความระมัดระวังในการตีความบันทึกเหล่านี้ ในขณะที่พวกเขากำลังแกะรอยหาแรงจูงใจในการก่อเหตุ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000001229
    ..............
    Sondhi X
    ทหารกองกำลังพิเศษกรีนเบเรต์ ผู้ต้องสงสัยจุดชนวนระเบิดรถกระบะไฟฟ้าไซเบอร์ทรัค บริเวณด้านหน้าโรงแรมทรัมป์ อินเตอร์เนชัลแนล โฮเท็ล ในลาสเวกัส ในวันขึ้นปีใหม่ อ้างว่าปฏิบัติการของเขานั้นไม่ใช่การโจมตีก่อการร้าย แต่เป็นการเตือนสติถึงอเมริกันชนทุกคน ตามรายงานของอาร์ทนิวส์อ้างอิงข้อความและบันทึกต่างๆที่พบในสมาร์ทโฟนของเขา . ในวันที่ 1 มกราคม 2025 รถกระบะไซเบอร์ทรัคของเทสลา บรรทุกพลุไฟ ถังแก๊สและเชื้อเพลิง เกิดระเบิดบริเวณด้านนอกโรงแรมทรัมป์ อินเตอร์เนเชันแนล โฮเท็ล ในลาสเวกัส คนขับที่ถูกระบะตัวตนว่าได้แก่จ่าสิบเอกแมทธิว อลัน ลิเวลส์เบอร์เกอร์ สมาชิกหน่วยรบพิเศษกรีนเบเรต์ ถูกพบเสียชีวิตในรถคันดังกล่าว แรงระเบิดทำให้ผู้สัญจรผ่านไปมาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 7 คน โรงแรมได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย และเบื้องต้นพวกเจ้าหน้าที่สืบสวนจากรัฐบาลกลาง เกรงว่ามันมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นการลงมือโจมตีก่อการร้าย . อย่างไรก็ตามในข้อความต่างๆ ซึ่งตำรวจลาสเวกัสเผยแพร่เมื่อวันศุกร์(3ม.ค.) เผยให้เห็นว่า ลิเวลส์เบอร์เกอร์ มีความผิดหวังอย่างมากเกี่ยวกับประเด็นในสังคมต่างๆนานาและมีปมขัดแย้งภายใน โดยข้อความหนึ่ง เขาเขียนว่า "ผมต้องการชำระล้างจิตใจพวกพี่น้อง ที่ผมสูญเสียไป และปล่อยวางตัวเอง จากภาระการใช้ชีวิตที่ผมต้องแบกรับ" . "นี่ไม่ใช่ก่อการร้าย แต่เป็นสัญญาณเตือนสติ อเมริกันชนใส่ใจแต่เพียงเรื่องน่าตื่นเต้นและความรุนแรง มันอาจเป็นเรื่องดีกว่าที่ผมจะสื่อสารให้พวกเขาเข้าใจประเด็นของผม ด้วยพลุไฟและระเบิด"ลิเวลส์เบอร์เกอร์เขียน . เขาได้ระบุถึงประเด็นทางสังคมต่างๆนานา ที่เขาบอกว่าอยากให้จัดการ ในนั้นรวมถึงแปรรูปอาหาร โรคอ้วน ความไม่เท่าเทียมทางรายได้ คนเร่ร่อน ผู้นำอ่อนแอ และคอรัปชันอย่างโจ่งแจ้ง . "หยุดหมกหมุ่นกับหลากหลาย ความเสมอภาค และการยอมรับความแตกต่าง (DEI) เราทุกคนล้วนแตกต่างกันอยู่แล้ว DEI คือมะเร็ง" เขาเขียน พร้อมระบุว่า "ขอบคุณ ที่พวกเราปฏิเสธผู้สมัครจาก DEI และเราจะมีประธานาธิบดีจริงๆ ไม่ใช่จากหนังตลก" เขาเขียน . "เราต้องหยุดสงครามในยูเครนด้วยการเจรจาหาทางออก มันเป็นหนทางเดียว" เขาระบุ พร้อมบอกว่า "ประชากรของเราอ้วนเกินไปที่จะเข้าร่วมกองทัพ และเรากำลังเผชิญการทำสงครามกับจีน รัสเซีย เกาหลีเหนือและอิหร่าน ก่อนปี 2030" . ในบันทึกฉบับที่ 2 ของเขา จ่าหน้าถึงเพื่อนสมาชิกหน่วยรบพิเศษกรีนเบเรต์ นายทหารผ่านศึก พวกนักรบและชาวอเมริกันชนทุกคน ในสิ่งที่ดูเหมือนเป็นการเรียกร้องให้คนเหล่านี้รับประกันว่าพวกเดโมแครต จะไม่ขัดขวาง ทรัมป์ จากการเข้ารับอำนาจและกวาดล้างอาการป่วยต่างๆนานาของประเทศ . "เรากำลังอยู่ภายใต้ผู้นำที่อ่อนแอและปวกเปียก ที่ทำหน้าที่เพียงเพื่อความมั่งคั่งของตนเอง" เขาเขียน "พยายามด้วยวิธีสันติก่อน แต่ก็เตรียมพร้อมสู้เอาพวกเดโมแครตออกจากรัฐบาลกลางและกองทัพในทุกหนทางที่จำเป็น พวกเขาต้องไปและจำเป็นต้องมีการรีเซ็ตประเทศของเราครั้งใหญ่ เพื่อหลีกเลี่ยงการล่มสลาย" . ลิเวลส์เบอร์เกอร์ เป็นสมาชิกของกองกำลังพิเศษ ที่ถึงขั้นได้รับเหรียญกล้าหาญ เขาเคยถูกส่งเข้าประจำการทั้งในอัฟกานิสถาน ทาจิกิสถาน จอร์เจีย คองโก และแม้รายงานข่าวอาจรวมถึงยูเครนด้วย อ้างอิงข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ ระบุว่าเขากำลังต่อสู้กับความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตหลายเหตุการณ์ ในนั้นรวมถึงการเพิ่งหย่าขาดกับภรรยาเมื่อเร็วๆนี้ . รายงานข่าวระบุว่า ลิเวลส์เบอร์เกอร์ ใช้ปืนสั้นยิงตัวเอง ก่อนจุดชนวนระเบิด และบันทึกต่างๆของเขาบ่งชี้ว่าเขาเต็มไปด้วยแรงกดดันชีวิตส่วนตัวและอาชีพการงาน แม้ขณะเดียวกันทีมสืบสวนมีความระมัดระวังในการตีความบันทึกเหล่านี้ ในขณะที่พวกเขากำลังแกะรอยหาแรงจูงใจในการก่อเหตุ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000001229 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1305 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ส่งความสุขต้อนรับปีใหม่
    สวัสดี ขึ้นปีใหม่ ปี 68
    ผ่านท้ายปี มีเรื่องแฝด ทำฉงน
    น่าสงสาร ผสห กันทุกคน
    ช่างระะยำ ทำร้ายคน มานมนาน
    ผสห ไม่ต้องห่วง เรื่องไม่หาย
    เริ่มปีใหม่ จะจัดให้ สมศักดิ์ศรี
    คนทำซั่ว ย่อมได้รับ ผลที่มี
    ยุติธรรม คำนี้ พี่ทวงเอง
    ..................................................
    สวัสดี ปีใหม่ฝรั่ง มิตรรักแฟนเพจคิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 ทุกท่าน
    ขอบน้ำใจ สำหรับคำขอพรที่ส่งมาอย่างอุดหนาฝาคั่ง
    ทำเอาพี่คิงส์ใจฟู สุดๆ
    ปีใหม่นี้ มีเรื่องที่เราต้องลุยกันต่ออีกเพียบ
    ทั้งเรื่องการเมือง ที่ร้อนแรง การก้าวคืบของโทนี่
    หรือความJangไร ของพรรคส้ม
    รวมไปถึง ขบวนการฟอก ที่มีกระบวนการตรวจสอบ
    พี่คิงส์ และโอม ไม่เคยหยุดทำงานกันซักวันเดียว
    ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เพราะเข้าใจ
    ถึงความรู้สึกของ ผสห ทุกกคน
    ตรามใด ที่ยังไม่สุดซอย นำผู้กระทำผิด
    เข้าสู่กระบวนการไม่ได้ เราต้องดำเนินการให้เข้มข้นขึ้น
    ขอให้ ผู้ติดตาม และ ผสห ไม่ต้องกังวล
    พี่คิงส์ กับโอม ซื้อไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะเคยผ่านความผิดหวัง
    จากที่ไหนมาก็ตาม แต่เราสองคนจะทำให้ ผสห ทุกคนได้รู้ว่า
    คนไทยที่พร้อมสู้ และทวงความยุติธรรม ให้กับคนที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง
    ขอแค่คุณคือคนไทยที่ถูกรังแก และต้องการที่จะสู้
    เพจคิงส์โพธิ์แดง และโอม รวมถึงแฟนเพจ
    พร้อมจะสู้ไปพร้อมกับคุณเช่นกัน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ส่งความสุขต้อนรับปีใหม่ สวัสดี ขึ้นปีใหม่ ปี 68 ผ่านท้ายปี มีเรื่องแฝด ทำฉงน น่าสงสาร ผสห กันทุกคน ช่างระะยำ ทำร้ายคน มานมนาน ผสห ไม่ต้องห่วง เรื่องไม่หาย เริ่มปีใหม่ จะจัดให้ สมศักดิ์ศรี คนทำซั่ว ย่อมได้รับ ผลที่มี ยุติธรรม คำนี้ พี่ทวงเอง .................................................. สวัสดี ปีใหม่ฝรั่ง มิตรรักแฟนเพจคิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 ทุกท่าน ขอบน้ำใจ สำหรับคำขอพรที่ส่งมาอย่างอุดหนาฝาคั่ง ทำเอาพี่คิงส์ใจฟู สุดๆ ปีใหม่นี้ มีเรื่องที่เราต้องลุยกันต่ออีกเพียบ ทั้งเรื่องการเมือง ที่ร้อนแรง การก้าวคืบของโทนี่ หรือความJangไร ของพรรคส้ม รวมไปถึง ขบวนการฟอก ที่มีกระบวนการตรวจสอบ พี่คิงส์ และโอม ไม่เคยหยุดทำงานกันซักวันเดียว ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เพราะเข้าใจ ถึงความรู้สึกของ ผสห ทุกกคน ตรามใด ที่ยังไม่สุดซอย นำผู้กระทำผิด เข้าสู่กระบวนการไม่ได้ เราต้องดำเนินการให้เข้มข้นขึ้น ขอให้ ผู้ติดตาม และ ผสห ไม่ต้องกังวล พี่คิงส์ กับโอม ซื้อไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะเคยผ่านความผิดหวัง จากที่ไหนมาก็ตาม แต่เราสองคนจะทำให้ ผสห ทุกคนได้รู้ว่า คนไทยที่พร้อมสู้ และทวงความยุติธรรม ให้กับคนที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง ขอแค่คุณคือคนไทยที่ถูกรังแก และต้องการที่จะสู้ เพจคิงส์โพธิ์แดง และโอม รวมถึงแฟนเพจ พร้อมจะสู้ไปพร้อมกับคุณเช่นกัน #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 531 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองกำลังรัสเซียทำลายเครื่องยิงขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน "แพทริออต" 4 หน่วย ที่บรรดาตะวันตกจัดหาให้แก่ยูเครน เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ท่ามกลางปฏิบัติการรุกคืบที่ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง จากการเปิดเผยของกระทรวงกลาโหมรัสเซีย
    .
    ถ้อยแถลงของกองทัพรัสเซียระบุว่า เครื่องบินกองทัพอากาศ 4 ลำ รวมถึงโดรนและกองปืนใหญ่ ได้ทำลายยานยนต์ควบคุมการรบ, สถานีเรดาร์ AN/MPQ-65 จำนวน 1 สถานี และแท่นยิงระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานแพทริออต 4 ชุด ที่ผลิตในอเมริกา
    .
    นอกเหนือจากนี้แล้ว ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ทหารรัสเซียยังปลดปล่อยหมู่บ้าน 2 แห่ง ในสาธารณรัฐประชาชนโดเนตส์ก หนึ่งในนั้นได้แก่หมู่บ้านเวเซลี ไก ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองคูรัคโฮโว ไปทางใต้ราว 10 กิโลเมตร และหมู่บ้านปุชคิโน ที่อยู่ห่างจากเมืองโปครอฟส์ก ไปทางใต้ราวๆ 15 กิโลเมตร
    .
    ที่ผ่านมา กองกำลังยูเครนคุ้มกันอย่างหนาแน่นป้องกันเมืองโครัคโฮโว หนึ่งในพื้นที่ชุมชนใหญ่ๆไม่กี่แห่งที่ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของเคียฟ ในภูมิภาคดอนบาส โดยถิ่นพักอาศัยใหญ่ที่สุดที่อยู่ภายใต้การยูเครนคือเมืองโปครอฟส์ก ตั้งอยู่ห่างจากเมืองคูรัคโฮโว ไปทางเหนือราว 30 กิโลเมตร
    .
    เมื่อเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ให้คำจำกัดความพื้นที่ทั้ง 2 แห่ง ว่าเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดสำหรับกองกำลังเคียฟ
    .
    ในช่วง 2 เดือนหลังสุด กองทัพรัสเซียสามารถรุกคืบในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ความเป็นปรปักษ์เริ่มต้นขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ยึดครองดินแดนได้ราวๆ 1,500 ตารางกิโลเมตร
    .
    ก่อนหน้านี้ในช่วงกลางสัปดาห์ เซเลนสกี แสดงความผิดหวังกับบรรดาผู้บริจาคอาวุธตะวันตก ต่อกรณีที่ไม่ยอมทำตามเสียงเรียกร้องของเขาที่ขอระบบป้องกันภัยทางอากาศเพิ่มเติม เนื่องจากยูเครนกำลังเผชิญความท้าทายต่างๆนานาในสมรภูมิรบ และกำลังดิ้นรนปกป้องตำแหน่งสำคัญๆจากการโจมตีพิสัยไกล
    .
    ย้อนกลับไปในเดือนเมษายน เซเลนสกีบอกว่ายูเครนต้องการระบบแพทริออต 25 หน่วย เพื่อต้านทานการโจมตีด้วยขีปนาวุธของรัสเซียอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศเเผยว่ากำลังมีความพยายามในการให้ได้มาซึ่งระบบป้องกันภัยทางอากาศเพิ่มเติมอีกอย่างน้อยๆ "20 หน่วย" และเน้นว่าระบบแพทริออต คือตัวเลือกลำดับต้นๆที่ร้องขอไป
    .
    พวกเจ้าหน้าที่รัสเซียเน้นย้ำว่าไม่มีความช่วยเหลือทางทหารของตะวันตกใดๆที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของความขัดแย้ง และความพยายามดังกล่าวรังแต่จะทำให้สงครามยืดเยื้อ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000120426
    ..............
    Sondhi X
    กองกำลังรัสเซียทำลายเครื่องยิงขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน "แพทริออต" 4 หน่วย ที่บรรดาตะวันตกจัดหาให้แก่ยูเครน เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ท่ามกลางปฏิบัติการรุกคืบที่ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง จากการเปิดเผยของกระทรวงกลาโหมรัสเซีย . ถ้อยแถลงของกองทัพรัสเซียระบุว่า เครื่องบินกองทัพอากาศ 4 ลำ รวมถึงโดรนและกองปืนใหญ่ ได้ทำลายยานยนต์ควบคุมการรบ, สถานีเรดาร์ AN/MPQ-65 จำนวน 1 สถานี และแท่นยิงระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานแพทริออต 4 ชุด ที่ผลิตในอเมริกา . นอกเหนือจากนี้แล้ว ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ทหารรัสเซียยังปลดปล่อยหมู่บ้าน 2 แห่ง ในสาธารณรัฐประชาชนโดเนตส์ก หนึ่งในนั้นได้แก่หมู่บ้านเวเซลี ไก ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองคูรัคโฮโว ไปทางใต้ราว 10 กิโลเมตร และหมู่บ้านปุชคิโน ที่อยู่ห่างจากเมืองโปครอฟส์ก ไปทางใต้ราวๆ 15 กิโลเมตร . ที่ผ่านมา กองกำลังยูเครนคุ้มกันอย่างหนาแน่นป้องกันเมืองโครัคโฮโว หนึ่งในพื้นที่ชุมชนใหญ่ๆไม่กี่แห่งที่ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของเคียฟ ในภูมิภาคดอนบาส โดยถิ่นพักอาศัยใหญ่ที่สุดที่อยู่ภายใต้การยูเครนคือเมืองโปครอฟส์ก ตั้งอยู่ห่างจากเมืองคูรัคโฮโว ไปทางเหนือราว 30 กิโลเมตร . เมื่อเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ให้คำจำกัดความพื้นที่ทั้ง 2 แห่ง ว่าเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดสำหรับกองกำลังเคียฟ . ในช่วง 2 เดือนหลังสุด กองทัพรัสเซียสามารถรุกคืบในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ความเป็นปรปักษ์เริ่มต้นขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ยึดครองดินแดนได้ราวๆ 1,500 ตารางกิโลเมตร . ก่อนหน้านี้ในช่วงกลางสัปดาห์ เซเลนสกี แสดงความผิดหวังกับบรรดาผู้บริจาคอาวุธตะวันตก ต่อกรณีที่ไม่ยอมทำตามเสียงเรียกร้องของเขาที่ขอระบบป้องกันภัยทางอากาศเพิ่มเติม เนื่องจากยูเครนกำลังเผชิญความท้าทายต่างๆนานาในสมรภูมิรบ และกำลังดิ้นรนปกป้องตำแหน่งสำคัญๆจากการโจมตีพิสัยไกล . ย้อนกลับไปในเดือนเมษายน เซเลนสกีบอกว่ายูเครนต้องการระบบแพทริออต 25 หน่วย เพื่อต้านทานการโจมตีด้วยขีปนาวุธของรัสเซียอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศเเผยว่ากำลังมีความพยายามในการให้ได้มาซึ่งระบบป้องกันภัยทางอากาศเพิ่มเติมอีกอย่างน้อยๆ "20 หน่วย" และเน้นว่าระบบแพทริออต คือตัวเลือกลำดับต้นๆที่ร้องขอไป . พวกเจ้าหน้าที่รัสเซียเน้นย้ำว่าไม่มีความช่วยเหลือทางทหารของตะวันตกใดๆที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของความขัดแย้ง และความพยายามดังกล่าวรังแต่จะทำให้สงครามยืดเยื้อ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000120426 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 749 มุมมอง 0 รีวิว
  • จงเรียนรู้ว่า
    ความผิดหวัง
    เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
    แต่ชีวิตที่มีความสุข
    คือชีวิตที่มีความหวัง

    จากหนังสือ |ไม่เอาน่ะ อย่าคิดมาก

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #ไม่เอาน่ะอย่าคิดมาก
    จงเรียนรู้ว่า ความผิดหวัง เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ชีวิตที่มีความสุข คือชีวิตที่มีความหวัง จากหนังสือ |ไม่เอาน่ะ อย่าคิดมาก #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #ไม่เอาน่ะอย่าคิดมาก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาจีน CHAGEE ฉาว ทุจริตรางวัล Tear & Win

    CHAGEE (ชาจี) ร้านเครื่องดื่มชาจีนระดับพรีเมียมที่มีต้นกำเนิดจากมณฑลยูนนาน ประเทศจีน มีสาขาในบางประเทศ หนึ่งในนั้นคือมาเลเซีย กำลังเฉลิมฉลองครบรอบ 7 ปี จัดโปรโมชัน Tear & Win ระหว่างวันที่ 16-17 พ.ย. เมื่อลูกค้าซื้อชาอู่หลงพีชขาวแก้วใหญ่ หรือชานมมะลิแก้วใหญ่ แกะตามรอยปรุที่กระดาษครอบแก้วเครื่องดื่มเพื่อลุ้นรับรางวัลทั้งแมคบุ๊ก ไอแพด ไอโฟน แอปเปิ้ลวอตซ์ สินค้าลักชัวรีอย่างกระเป๋าแบรนด์เนม ลิปสติก น้ำหอม และของรางวัลอีกมากมาย

    ปรากฎว่ามีชาวเน็ตมาเลเซียรายหนึ่ง ถ่ายวีดีโอคลิปขณะที่พนักงานร้านรายหนึ่ง กำลังแยกแก้วโดยการเขย่ากระดาษครอบแก้ว เพื่อดูว่ามีสิ่งของอยู่ด้านใน ซึ่งเป็นของรางวัลชิ้นเล็ก เช่น ลิปสติก น้ำหอม ฯลฯ หรือไม่ และถอดกระดาษครอบแก้วออกจากแก้วเครื่องดื่มเพื่อส่องดูคูปองว่าเป็นรางวัลอะไร ก่อนจะนำแก้วที่คัดแยกแล้วไปไว้ด้านหลังร้าน

    เมื่อมีการโพสต์คลิปลงในแพลตฟอร์ม X ชื่อ naquib กลายเป็นที่วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ตั้งข้อสังเกตว่าคนที่ได้รับของรางวัลมูลค่าสูงมีแต่อินฟลูเอนเซอร์ และคาดว่าอาจมีแต่ครอบครัวและเพื่อนพนักงานเท่านั้นที่ได้รับรางวัล ส่วนลูกค้าตัวจริงที่รอคิวนานเป็นชั่วโมงกลับได้รางวัลมูลค่าต่ำที่สุด เช่น คูปองซื้อ 1 แถม 1 คูปองฟรีชาผลไม้ 1 แก้ว หรือคูปองส่วนลด 50%

    ต่อมาบริษัทชาจี มาเลเซีย ทักเข้ามาในกล่องข้อความของ naquib ร้องขอให้ลบวีดีโอคลิปดังกล่าว ไม่เช่นนั้นจะดำเนินคดีตามกฎหมาย อ้างว่าเกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของพนักงานคนหนึ่ง ทำให้จำต้องลบวีดีโอคลิปทิ้ง แต่ไม่พ้นชาวเน็ตมาเลเซียคนอื่นๆ ก็อปปี้แล้วอัปโหลดวีดีโอคลิปนี้ต่อ มองว่าการที่ชาจี มาเลเซียข่มขู่ให้ลบคลิปไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง

    เมื่อกระแสคว่ำบาตรชาจีในมาเลเซียเริ่มเกิดขึ้น ในที่สุด ชาจี มาเลเซีย ก็ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ขออภัยสำหรับความผิดหวังหรือความกังวลที่เกิดจากวีดีโอดังกล่าว ซึ่งทำให้เกิดประสบการณ์เชิงลบกับทางร้าน ขณะนี้กำลังสืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นโดยละเอียดและจะดำเนินการต่อเรื่องนี้อย่างเหมาะสม อีกทั้งตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2567 ทางร้านจะเปลี่ยนจากสินค้าจริงเป็นสลิปรหัส QR เพื่อดูผลการจับสลากรางวัลได้อย่างสะดวกและราบรื่น

    ขณะเดียวกัน มีลูกค้าเข้าไปคอมเมนต์ในอินสตาแกรม @my.chagee ว่า แม้จะเปลี่ยนเป็นรหัส QR ปัญหาเดียวกันจะยังคงเกิดขึ้น เนื่องจากพนักงานสามารถเข้าถึงคูปองได้โดยการถอดแก้วออก แล้วแอบสแกน QR ได้เหมือนกัน พร้อมเสนอว่าให้ลองปิดผนึกแก้วแทน หรือทำเป็นสติกเกอร์ ทำเป็นขูดแก้วแล้วรับรางวัลจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

    #Newskit #Chagee #CHAGEEMY
    ชาจีน CHAGEE ฉาว ทุจริตรางวัล Tear & Win CHAGEE (ชาจี) ร้านเครื่องดื่มชาจีนระดับพรีเมียมที่มีต้นกำเนิดจากมณฑลยูนนาน ประเทศจีน มีสาขาในบางประเทศ หนึ่งในนั้นคือมาเลเซีย กำลังเฉลิมฉลองครบรอบ 7 ปี จัดโปรโมชัน Tear & Win ระหว่างวันที่ 16-17 พ.ย. เมื่อลูกค้าซื้อชาอู่หลงพีชขาวแก้วใหญ่ หรือชานมมะลิแก้วใหญ่ แกะตามรอยปรุที่กระดาษครอบแก้วเครื่องดื่มเพื่อลุ้นรับรางวัลทั้งแมคบุ๊ก ไอแพด ไอโฟน แอปเปิ้ลวอตซ์ สินค้าลักชัวรีอย่างกระเป๋าแบรนด์เนม ลิปสติก น้ำหอม และของรางวัลอีกมากมาย ปรากฎว่ามีชาวเน็ตมาเลเซียรายหนึ่ง ถ่ายวีดีโอคลิปขณะที่พนักงานร้านรายหนึ่ง กำลังแยกแก้วโดยการเขย่ากระดาษครอบแก้ว เพื่อดูว่ามีสิ่งของอยู่ด้านใน ซึ่งเป็นของรางวัลชิ้นเล็ก เช่น ลิปสติก น้ำหอม ฯลฯ หรือไม่ และถอดกระดาษครอบแก้วออกจากแก้วเครื่องดื่มเพื่อส่องดูคูปองว่าเป็นรางวัลอะไร ก่อนจะนำแก้วที่คัดแยกแล้วไปไว้ด้านหลังร้าน เมื่อมีการโพสต์คลิปลงในแพลตฟอร์ม X ชื่อ naquib กลายเป็นที่วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ตั้งข้อสังเกตว่าคนที่ได้รับของรางวัลมูลค่าสูงมีแต่อินฟลูเอนเซอร์ และคาดว่าอาจมีแต่ครอบครัวและเพื่อนพนักงานเท่านั้นที่ได้รับรางวัล ส่วนลูกค้าตัวจริงที่รอคิวนานเป็นชั่วโมงกลับได้รางวัลมูลค่าต่ำที่สุด เช่น คูปองซื้อ 1 แถม 1 คูปองฟรีชาผลไม้ 1 แก้ว หรือคูปองส่วนลด 50% ต่อมาบริษัทชาจี มาเลเซีย ทักเข้ามาในกล่องข้อความของ naquib ร้องขอให้ลบวีดีโอคลิปดังกล่าว ไม่เช่นนั้นจะดำเนินคดีตามกฎหมาย อ้างว่าเกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของพนักงานคนหนึ่ง ทำให้จำต้องลบวีดีโอคลิปทิ้ง แต่ไม่พ้นชาวเน็ตมาเลเซียคนอื่นๆ ก็อปปี้แล้วอัปโหลดวีดีโอคลิปนี้ต่อ มองว่าการที่ชาจี มาเลเซียข่มขู่ให้ลบคลิปไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง เมื่อกระแสคว่ำบาตรชาจีในมาเลเซียเริ่มเกิดขึ้น ในที่สุด ชาจี มาเลเซีย ก็ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ขออภัยสำหรับความผิดหวังหรือความกังวลที่เกิดจากวีดีโอดังกล่าว ซึ่งทำให้เกิดประสบการณ์เชิงลบกับทางร้าน ขณะนี้กำลังสืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นโดยละเอียดและจะดำเนินการต่อเรื่องนี้อย่างเหมาะสม อีกทั้งตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2567 ทางร้านจะเปลี่ยนจากสินค้าจริงเป็นสลิปรหัส QR เพื่อดูผลการจับสลากรางวัลได้อย่างสะดวกและราบรื่น ขณะเดียวกัน มีลูกค้าเข้าไปคอมเมนต์ในอินสตาแกรม @my.chagee ว่า แม้จะเปลี่ยนเป็นรหัส QR ปัญหาเดียวกันจะยังคงเกิดขึ้น เนื่องจากพนักงานสามารถเข้าถึงคูปองได้โดยการถอดแก้วออก แล้วแอบสแกน QR ได้เหมือนกัน พร้อมเสนอว่าให้ลองปิดผนึกแก้วแทน หรือทำเป็นสติกเกอร์ ทำเป็นขูดแก้วแล้วรับรางวัลจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า #Newskit #Chagee #CHAGEEMY
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1052 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันที่สองของการชุมนุมประท้วงผลการเลือกตั้งในจอร์เจียยังเหงาหงอย

    แม้จะมีแรงสนับสนุนอย่างเปิดเผยจากยุโรป อมเริกา หรือแม้แต่ฝ่ายประธานาธิบดีจอร์เจีย แต่ก็ยังไม่สามารถระตุ้นให้ประชาชนชาวจอร์เจียออกมาร่วมชุมนุมกันได้ตามที่คาดหวัง

    มีรายงานว่า จำนวนผู้มาชุมนุมวันที่สองมีเพียงหลักร้อยเท่านั้น ไม่ได้แตกต่างจากวันแรกเท่าไหร่

    หลังจากทราบผลการเลือกตั้ง แกนนำกลุ่มต่อต้านพรรครัฐบาลของจอร์เจียที่ชนะการเลือกตั้ง รีบประกาศจัดการชุมนุมเพื่อคัดค้านผลการเลือกตั้งทันที โดยคาดหวังว่าความผิดหวังของประชาชนส่วนหนึ่งจะสามารถผลักดันให้เกิดการชุมนุมครั้งใหญ่ได้เหมือนที่ผ่านมา
    วันที่สองของการชุมนุมประท้วงผลการเลือกตั้งในจอร์เจียยังเหงาหงอย แม้จะมีแรงสนับสนุนอย่างเปิดเผยจากยุโรป อมเริกา หรือแม้แต่ฝ่ายประธานาธิบดีจอร์เจีย แต่ก็ยังไม่สามารถระตุ้นให้ประชาชนชาวจอร์เจียออกมาร่วมชุมนุมกันได้ตามที่คาดหวัง มีรายงานว่า จำนวนผู้มาชุมนุมวันที่สองมีเพียงหลักร้อยเท่านั้น ไม่ได้แตกต่างจากวันแรกเท่าไหร่ หลังจากทราบผลการเลือกตั้ง แกนนำกลุ่มต่อต้านพรรครัฐบาลของจอร์เจียที่ชนะการเลือกตั้ง รีบประกาศจัดการชุมนุมเพื่อคัดค้านผลการเลือกตั้งทันที โดยคาดหวังว่าความผิดหวังของประชาชนส่วนหนึ่งจะสามารถผลักดันให้เกิดการชุมนุมครั้งใหญ่ได้เหมือนที่ผ่านมา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 33 0 รีวิว
  • วิธีจัดการกับความผิดหวัง
    วิธีจัดการกับความผิดหวัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 38 0 รีวิว
  • ในโลกปัจจุบัน การแบ่งแยกทางจิตวิญญาณดูจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนหลายคนอาจพบว่า ตัวเองเข้าไปอยู่ในพื้นที่หรือสถานการณ์ที่แตกต่างจากตนเอง จนทำให้เกิดความไม่พอใจ อารมณ์เสีย เพราะการเผลอเข้าไปในเขตที่ไม่ตรงกับจิตวิญญาณของตัวเอง

    สิ่งสำคัญคือการรู้จักตัวเองให้ดี ว่าจิตวิญญาณของเราอยู่ในโซนไหน การนิยามตัวเองอย่างชัดเจนว่าเราเป็นใคร คิดและรู้สึกอย่างไร จะช่วยให้เราสามารถจัดการกับความสัมพันธ์และการคาดหวังจากผู้คนรอบตัวได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องพยายามให้ทุกคนเข้าใจเราหรือมีสามัญสำนึกตรงกัน การยอมรับว่าแต่ละคนมีจิตวิญญาณที่แตกต่างกัน ก็จะช่วยให้เราหายใจได้โล่งขึ้น ไม่ต้องเจอกับความผิดหวังหรือหงุดหงิดในชีวิตประจำวัน

    ในยุคที่ผู้คนบนโลกดูเหมือนจะคลุ้มคลั่งและมีความแตกต่างกันอย่างรุนแรง ถ้าคุณเป็นคนที่ขี้เกรงใจ ใฝ่สันติ และไม่อยากเบียดเบียนใครเลย สุดท้ายคุณจะพบคนที่มีจิตวิญญาณเหมือนกัน แม้ว่าพวกเขาอาจจะหายากก็ตาม การที่คุณตกลงกับตัวเองว่าจะอยู่ในโลกจิตวิญญาณแบบใด จะช่วยให้คุณรักษาสติและเลือกปฏิบัติต่อสถานการณ์ต่างๆ อย่างมีความสุข ไม่ต้องตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่ใช้ความสงบในการตอบสนอง

    เมื่อเราเลือกอยู่ในโซนจิตวิญญาณที่เย็นและประณีต จะช่วยให้เรารับมือกับความร้อนของโลกภายนอกได้อย่างมีสติ และไม่ต้องติดอยู่ในวงจรความโกรธ ความเกลียด หรือการตอบโต้ที่ทำให้เกิดทุกข์มากขึ้น ดังนั้น การฝึกตนให้รู้จักจิตวิญญาณของตัวเองและเลือกอยู่ในโซนที่เราอยากอยู่นั้น จะนำพาให้ชีวิตมีความสงบเย็นอย่างแท้จริง ไม่ต้องติดอยู่ในวงจรความร้อนแรงของโลก
    ในโลกปัจจุบัน การแบ่งแยกทางจิตวิญญาณดูจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนหลายคนอาจพบว่า ตัวเองเข้าไปอยู่ในพื้นที่หรือสถานการณ์ที่แตกต่างจากตนเอง จนทำให้เกิดความไม่พอใจ อารมณ์เสีย เพราะการเผลอเข้าไปในเขตที่ไม่ตรงกับจิตวิญญาณของตัวเอง สิ่งสำคัญคือการรู้จักตัวเองให้ดี ว่าจิตวิญญาณของเราอยู่ในโซนไหน การนิยามตัวเองอย่างชัดเจนว่าเราเป็นใคร คิดและรู้สึกอย่างไร จะช่วยให้เราสามารถจัดการกับความสัมพันธ์และการคาดหวังจากผู้คนรอบตัวได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องพยายามให้ทุกคนเข้าใจเราหรือมีสามัญสำนึกตรงกัน การยอมรับว่าแต่ละคนมีจิตวิญญาณที่แตกต่างกัน ก็จะช่วยให้เราหายใจได้โล่งขึ้น ไม่ต้องเจอกับความผิดหวังหรือหงุดหงิดในชีวิตประจำวัน ในยุคที่ผู้คนบนโลกดูเหมือนจะคลุ้มคลั่งและมีความแตกต่างกันอย่างรุนแรง ถ้าคุณเป็นคนที่ขี้เกรงใจ ใฝ่สันติ และไม่อยากเบียดเบียนใครเลย สุดท้ายคุณจะพบคนที่มีจิตวิญญาณเหมือนกัน แม้ว่าพวกเขาอาจจะหายากก็ตาม การที่คุณตกลงกับตัวเองว่าจะอยู่ในโลกจิตวิญญาณแบบใด จะช่วยให้คุณรักษาสติและเลือกปฏิบัติต่อสถานการณ์ต่างๆ อย่างมีความสุข ไม่ต้องตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่ใช้ความสงบในการตอบสนอง เมื่อเราเลือกอยู่ในโซนจิตวิญญาณที่เย็นและประณีต จะช่วยให้เรารับมือกับความร้อนของโลกภายนอกได้อย่างมีสติ และไม่ต้องติดอยู่ในวงจรความโกรธ ความเกลียด หรือการตอบโต้ที่ทำให้เกิดทุกข์มากขึ้น ดังนั้น การฝึกตนให้รู้จักจิตวิญญาณของตัวเองและเลือกอยู่ในโซนที่เราอยากอยู่นั้น จะนำพาให้ชีวิตมีความสงบเย็นอย่างแท้จริง ไม่ต้องติดอยู่ในวงจรความร้อนแรงของโลก
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลสำรวจในหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าคนจ้างงานส่วนใหญ่ ไม่อยากรับคนวัย Gen Z เข้าทำงาน หรือหากรับเข้าทำงานแล้วก็ถูกไล่ออกหลังจากทำงานได้แค่ไม่กี่เดือน โดยให้เหตุผลว่า Gen Z ทำงานไม่เป็น ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ตั้งใจทำงาน คิดอะไรเองไม่เป็น มีปัญหาด้านการสื่อสาร และไร้มารยาทในที่ทำงาน

    บริษัทในสหรัฐฯ 1 ใน 7 เปิดเผยว่าอาจจะต้องหยุดรับนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานตั้งแต่ปีหน้า ขณะที่บางบริษัทบอกว่านักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานควรเข้าคอร์สอบรมเรื่องมารยาทในออฟฟิศและการพูดคุยกับผู้อื่นก่อนที่จะเริ่มงาน

    New York Post ลงบทความเรื่อง Gen Z can’t cope with life or hold down a job ซึ่งแปลว่า Gen Z รับมือกับชีวิตหรือทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ เผยสาเหตุหลักที่ทำให้ คน Gen Z ทั่วโลกกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะสภาพสังคมและการเลี้ยงดูที่แตกต่างจากคนยุคก่อน เราจะเห็นว่าพ่อแม่ยุคใหม่เลี้ยงดูลูกแบบประคบประหงม ไม่เคยสอนลูกให้รู้จักความลำบาก หรือความรับผิดชอบใดๆ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เด็กไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับความผิดหวัง เราจะเห็นว่าการแข่งขันกีฬา หรือการแข่งขันดนตรีสำหรับเด็กๆ สมัยนี้ จะต้องมีรางวัลให้เด็กทุกคนที่เข้าร่วม เพื่อไม่ให้เด็กที่แพ้การแข่งขันต้องเสียใจ แต่การทำแบบนี้ ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้เรื่องแพ้ชนะ และไม่เคยเรียนรู้เรื่องความผิดหวัง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง ที่ซึ่งบางครั้งเราก็เป็นผู้ชนะ บางครั้งเราก็เป็นผู้แพ้ เด็กทุกคนควรจะเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ชนะที่ดีและเป็นผู้แพ้ที่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก หากไม่เคยเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน พอโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจอกับความผิดหวัง ก็จะรับมือทางอารมณ์ไม่ทัน

    การที่ Gen Z เติบโตมากับโลกดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ที่ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นผ่านหน้าจอด้วยการส่งข้อความตลอดเวลา ทำให้คนรุ่นนี้ไม่มีทักษะการพูดคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้า หลายคนไม่กล้าหรืออึดอัดที่จะต้องพูดคุยกับคนอื่น เลือกคำพูดไม่ถูก จับใจความไม่ได้ ใช้คำพูดห้วนๆ สีหน้านิ่งเฉย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทในการพูดคุยกับผู้อื่น เรื่องนี้ทำให่คน Gen Z จำนวนมาก มีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นในที่ทำงาน

    ตอกย้ำด้วยค่านิยมของ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความสบายใจของตัวเองเป็นอันดับแรก ถ้าหากพวกเขาเจอกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ พวกเขาก็จะไม่ทนทำงานต่อ หรือหากเจอกับคำพูดที่ฟังแล้วไม่สบายใจเพียงนิดเดียว ก็จะปิดหูไม่ทนฟังอีกต่อไป ตรงนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเอง และทำให้คน Gen Z ทำงานที่ไหนก็ไม่ได้

    ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เพราะคน Gen Z เป็นคนอุปนิสัยแบบนี้โดยสายเลือด แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมให้เด็กรุ่นใหม่ได้เจอกับโลกของการทำงาน ไม่เคยสอนให้เด็กรู้จักเรื่องความผิดหวัง ความรับผิดชอบ และความไม่แน่นอนของชีวิต ในบางครั้งเราต้องย้ำเตือนให้เด็กรุ่นใหม่เรียนรู้คุณค่าของความพยายาม การทำงานหนัก และชีวิตนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและความผิดหวังที่ทุกคนต้องฟันฝ่าเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่เราตั้งเอาไว้
    —————
    TNNWorldNews
    ผลสำรวจในหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าคนจ้างงานส่วนใหญ่ ไม่อยากรับคนวัย Gen Z เข้าทำงาน หรือหากรับเข้าทำงานแล้วก็ถูกไล่ออกหลังจากทำงานได้แค่ไม่กี่เดือน โดยให้เหตุผลว่า Gen Z ทำงานไม่เป็น ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ตั้งใจทำงาน คิดอะไรเองไม่เป็น มีปัญหาด้านการสื่อสาร และไร้มารยาทในที่ทำงาน บริษัทในสหรัฐฯ 1 ใน 7 เปิดเผยว่าอาจจะต้องหยุดรับนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานตั้งแต่ปีหน้า ขณะที่บางบริษัทบอกว่านักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานควรเข้าคอร์สอบรมเรื่องมารยาทในออฟฟิศและการพูดคุยกับผู้อื่นก่อนที่จะเริ่มงาน New York Post ลงบทความเรื่อง Gen Z can’t cope with life or hold down a job ซึ่งแปลว่า Gen Z รับมือกับชีวิตหรือทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ เผยสาเหตุหลักที่ทำให้ คน Gen Z ทั่วโลกกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะสภาพสังคมและการเลี้ยงดูที่แตกต่างจากคนยุคก่อน เราจะเห็นว่าพ่อแม่ยุคใหม่เลี้ยงดูลูกแบบประคบประหงม ไม่เคยสอนลูกให้รู้จักความลำบาก หรือความรับผิดชอบใดๆ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เด็กไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับความผิดหวัง เราจะเห็นว่าการแข่งขันกีฬา หรือการแข่งขันดนตรีสำหรับเด็กๆ สมัยนี้ จะต้องมีรางวัลให้เด็กทุกคนที่เข้าร่วม เพื่อไม่ให้เด็กที่แพ้การแข่งขันต้องเสียใจ แต่การทำแบบนี้ ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้เรื่องแพ้ชนะ และไม่เคยเรียนรู้เรื่องความผิดหวัง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง ที่ซึ่งบางครั้งเราก็เป็นผู้ชนะ บางครั้งเราก็เป็นผู้แพ้ เด็กทุกคนควรจะเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ชนะที่ดีและเป็นผู้แพ้ที่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก หากไม่เคยเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน พอโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจอกับความผิดหวัง ก็จะรับมือทางอารมณ์ไม่ทัน การที่ Gen Z เติบโตมากับโลกดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ที่ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นผ่านหน้าจอด้วยการส่งข้อความตลอดเวลา ทำให้คนรุ่นนี้ไม่มีทักษะการพูดคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้า หลายคนไม่กล้าหรืออึดอัดที่จะต้องพูดคุยกับคนอื่น เลือกคำพูดไม่ถูก จับใจความไม่ได้ ใช้คำพูดห้วนๆ สีหน้านิ่งเฉย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทในการพูดคุยกับผู้อื่น เรื่องนี้ทำให่คน Gen Z จำนวนมาก มีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นในที่ทำงาน ตอกย้ำด้วยค่านิยมของ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความสบายใจของตัวเองเป็นอันดับแรก ถ้าหากพวกเขาเจอกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ พวกเขาก็จะไม่ทนทำงานต่อ หรือหากเจอกับคำพูดที่ฟังแล้วไม่สบายใจเพียงนิดเดียว ก็จะปิดหูไม่ทนฟังอีกต่อไป ตรงนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเอง และทำให้คน Gen Z ทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เพราะคน Gen Z เป็นคนอุปนิสัยแบบนี้โดยสายเลือด แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมให้เด็กรุ่นใหม่ได้เจอกับโลกของการทำงาน ไม่เคยสอนให้เด็กรู้จักเรื่องความผิดหวัง ความรับผิดชอบ และความไม่แน่นอนของชีวิต ในบางครั้งเราต้องย้ำเตือนให้เด็กรุ่นใหม่เรียนรู้คุณค่าของความพยายาม การทำงานหนัก และชีวิตนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและความผิดหวังที่ทุกคนต้องฟันฝ่าเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่เราตั้งเอาไว้ ————— TNNWorldNews
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลสำรวจในหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าคนจ้างงานส่วนใหญ่ ไม่อยากรับคนวัย Gen Z เข้าทำงาน หรือหากรับเข้าทำงานแล้วก็ถูกไล่ออกหลังจากทำงานได้แค่ไม่กี่เดือน โดยให้เหตุผลว่า Gen Z ทำงานไม่เป็น ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ตั้งใจทำงาน คิดอะไรเองไม่เป็น มีปัญหาด้านการสื่อสาร และไร้มารยาทในที่ทำงาน

    บริษัทในสหรัฐฯ 1 ใน 7 เปิดเผยว่าอาจจะต้องหยุดรับนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานตั้งแต่ปีหน้า ขณะที่บางบริษัทบอกว่านักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานควรเข้าคอร์สอบรมเรื่องมารยาทในออฟฟิศและการพูดคุยกับผู้อื่นก่อนที่จะเริ่มงาน

    New York Post ลงบทความเรื่อง Gen Z can’t cope with life or hold down a job ซึ่งแปลว่า Gen Z รับมือกับชีวิตหรือทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ เผยสาเหตุหลักที่ทำให้ คน Gen Z ทั่วโลกกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะสภาพสังคมและการเลี้ยงดูที่แตกต่างจากคนยุคก่อน เราจะเห็นว่าพ่อแม่ยุคใหม่เลี้ยงดูลูกแบบประคบประหงม ไม่เคยสอนลูกให้รู้จักความลำบาก หรือความรับผิดชอบใดๆ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เด็กไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับความผิดหวัง เราจะเห็นว่าการแข่งขันกีฬา หรือการแข่งขันดนตรีสำหรับเด็กๆ สมัยนี้ จะต้องมีรางวัลให้เด็กทุกคนที่เข้าร่วม เพื่อไม่ให้เด็กที่แพ้การแข่งขันต้องเสียใจ แต่การทำแบบนี้ ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้เรื่องแพ้ชนะ และไม่เคยเรียนรู้เรื่องความผิดหวัง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง ที่ซึ่งบางครั้งเราก็เป็นผู้ชนะ บางครั้งเราก็เป็นผู้แพ้ เด็กทุกคนควรจะเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ชนะที่ดีและเป็นผู้แพ้ที่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก หากไม่เคยเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน พอโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจอกับความผิดหวัง ก็จะรับมือทางอารมณ์ไม่ทัน

    การที่ Gen Z เติบโตมากับโลกดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ที่ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นผ่านหน้าจอด้วยการส่งข้อความตลอดเวลา ทำให้คนรุ่นนี้ไม่มีทักษะการพูดคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้า หลายคนไม่กล้าหรืออึดอัดที่จะต้องพูดคุยกับคนอื่น เลือกคำพูดไม่ถูก จับใจความไม่ได้ ใช้คำพูดห้วนๆ สีหน้านิ่งเฉย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทในการพูดคุยกับผู้อื่น เรื่องนี้ทำให่คน Gen Z จำนวนมาก มีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นในที่ทำงาน

    ตอกย้ำด้วยค่านิยมของ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความสบายใจของตัวเองเป็นอันดับแรก ถ้าหากพวกเขาเจอกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ พวกเขาก็จะไม่ทนทำงานต่อ หรือหากเจอกับคำพูดที่ฟังแล้วไม่สบายใจเพียงนิดเดียว ก็จะปิดหูไม่ทนฟังอีกต่อไป ตรงนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเอง และทำให้คน Gen Z ทำงานที่ไหนก็ไม่ได้

    ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เพราะคน Gen Z เป็นคนอุปนิสัยแบบนี้โดยสายเลือด แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมให้เด็กรุ่นใหม่ได้เจอกับโลกของการทำงาน ไม่เคยสอนให้เด็กรู้จักเรื่องความผิดหวัง ความรับผิดชอบ และความไม่แน่นอนของชีวิต ในบางครั้งเราต้องย้ำเตือนให้เด็กรุ่นใหม่เรียนรู้คุณค่าของความพยายาม การทำงานหนัก และชีวิตนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและความผิดหวังที่ทุกคนต้องฟันฝ่าเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่เราตั้งเอาไว้
    —————
    ภาพ: Reuters
    TNNWorldNews
    ผลสำรวจในหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าคนจ้างงานส่วนใหญ่ ไม่อยากรับคนวัย Gen Z เข้าทำงาน หรือหากรับเข้าทำงานแล้วก็ถูกไล่ออกหลังจากทำงานได้แค่ไม่กี่เดือน โดยให้เหตุผลว่า Gen Z ทำงานไม่เป็น ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ตั้งใจทำงาน คิดอะไรเองไม่เป็น มีปัญหาด้านการสื่อสาร และไร้มารยาทในที่ทำงาน บริษัทในสหรัฐฯ 1 ใน 7 เปิดเผยว่าอาจจะต้องหยุดรับนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานตั้งแต่ปีหน้า ขณะที่บางบริษัทบอกว่านักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานควรเข้าคอร์สอบรมเรื่องมารยาทในออฟฟิศและการพูดคุยกับผู้อื่นก่อนที่จะเริ่มงาน New York Post ลงบทความเรื่อง Gen Z can’t cope with life or hold down a job ซึ่งแปลว่า Gen Z รับมือกับชีวิตหรือทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ เผยสาเหตุหลักที่ทำให้ คน Gen Z ทั่วโลกกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะสภาพสังคมและการเลี้ยงดูที่แตกต่างจากคนยุคก่อน เราจะเห็นว่าพ่อแม่ยุคใหม่เลี้ยงดูลูกแบบประคบประหงม ไม่เคยสอนลูกให้รู้จักความลำบาก หรือความรับผิดชอบใดๆ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เด็กไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับความผิดหวัง เราจะเห็นว่าการแข่งขันกีฬา หรือการแข่งขันดนตรีสำหรับเด็กๆ สมัยนี้ จะต้องมีรางวัลให้เด็กทุกคนที่เข้าร่วม เพื่อไม่ให้เด็กที่แพ้การแข่งขันต้องเสียใจ แต่การทำแบบนี้ ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้เรื่องแพ้ชนะ และไม่เคยเรียนรู้เรื่องความผิดหวัง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง ที่ซึ่งบางครั้งเราก็เป็นผู้ชนะ บางครั้งเราก็เป็นผู้แพ้ เด็กทุกคนควรจะเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ชนะที่ดีและเป็นผู้แพ้ที่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก หากไม่เคยเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน พอโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจอกับความผิดหวัง ก็จะรับมือทางอารมณ์ไม่ทัน การที่ Gen Z เติบโตมากับโลกดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ที่ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นผ่านหน้าจอด้วยการส่งข้อความตลอดเวลา ทำให้คนรุ่นนี้ไม่มีทักษะการพูดคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้า หลายคนไม่กล้าหรืออึดอัดที่จะต้องพูดคุยกับคนอื่น เลือกคำพูดไม่ถูก จับใจความไม่ได้ ใช้คำพูดห้วนๆ สีหน้านิ่งเฉย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทในการพูดคุยกับผู้อื่น เรื่องนี้ทำให่คน Gen Z จำนวนมาก มีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นในที่ทำงาน ตอกย้ำด้วยค่านิยมของ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความสบายใจของตัวเองเป็นอันดับแรก ถ้าหากพวกเขาเจอกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ พวกเขาก็จะไม่ทนทำงานต่อ หรือหากเจอกับคำพูดที่ฟังแล้วไม่สบายใจเพียงนิดเดียว ก็จะปิดหูไม่ทนฟังอีกต่อไป ตรงนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเอง และทำให้คน Gen Z ทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เพราะคน Gen Z เป็นคนอุปนิสัยแบบนี้โดยสายเลือด แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมให้เด็กรุ่นใหม่ได้เจอกับโลกของการทำงาน ไม่เคยสอนให้เด็กรู้จักเรื่องความผิดหวัง ความรับผิดชอบ และความไม่แน่นอนของชีวิต ในบางครั้งเราต้องย้ำเตือนให้เด็กรุ่นใหม่เรียนรู้คุณค่าของความพยายาม การทำงานหนัก และชีวิตนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและความผิดหวังที่ทุกคนต้องฟันฝ่าเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่เราตั้งเอาไว้ ————— ภาพ: Reuters TNNWorldNews
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 281 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวสั้น EV

    Geely รถยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีน เรียกการลงคะแนนเสียงภาษีของสหภาพยุโรปว่า 'ความผิดหวังครั้งใหญ่'
    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กีลี่ บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีน แสดงความ "ผิดหวังอย่างยิ่ง"
    หลังจากที่ประเทศในสหภาพยุโรปไฟเขียวขั้นสุดท้ายเพื่อเก็บภาษีเพิ่มเติมจำนวนมากสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน
    “การตัดสินใจดังกล่าวไม่สร้างสรรค์ และอาจขัดขวางความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสหภาพยุโรปและจีน
    ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลเสียต่อบริษัทในยุโรปและผลประโยชน์ของผู้บริโภค” บริษัทระบุในแถลงการณ์บนเว็บไซต์
    ข่าวสั้น EV Geely รถยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีน เรียกการลงคะแนนเสียงภาษีของสหภาพยุโรปว่า 'ความผิดหวังครั้งใหญ่' เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กีลี่ บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีน แสดงความ "ผิดหวังอย่างยิ่ง" หลังจากที่ประเทศในสหภาพยุโรปไฟเขียวขั้นสุดท้ายเพื่อเก็บภาษีเพิ่มเติมจำนวนมากสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน “การตัดสินใจดังกล่าวไม่สร้างสรรค์ และอาจขัดขวางความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสหภาพยุโรปและจีน ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลเสียต่อบริษัทในยุโรปและผลประโยชน์ของผู้บริโภค” บริษัทระบุในแถลงการณ์บนเว็บไซต์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิสราเอลควรลงมือโจมตีที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน แก้แค้นกรณีที่เตหะรานยิงห่าขีปนาวุธเข้าใส่รัฐยิวเมื่อเร็วๆ นี้ จากเสียงกระตุ้นของโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแแทนพรรครีพับลิกันลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
    .
    เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่แล้ว อิหร่านรัวยิงขีปนาวุธราว 180 ลูกเข้าใส่อิสาเอล แก้แค้นเหตุลอบสังหาร อิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำทางการเมืองของฮามาส และฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำของฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งทั้ง 2 คนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเตหะราน ทั้งนี้กองทัพอิสราเอลยอมรับว่าขีปนาวุธบางส่วนเล็ดลอดระบบป้องกันภัยทางอากาศพุ่งโดนฐานทัพอากาศของพวกเขา
    .
    การโจมตีของอิหร่านมีขึ้นตามหลังในสิ่งที่อิสราเอลเรียกว่า "ปฏิบัติการทางภาคพื้นอย่างจำกัด" ในภาคใต้ของเลบานอน เล็งเป้างานฮิซบอลเลาะห์ พันธมิตรของเตหะราน
    .
    ระหว่างปราศรัยหาเสียงในนอร์ทแคโรไลนา ในวันศุกร์ (4 ต.ค.) ทรัมป์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วต่อจุดยืนสาวเหยี่ยวของเขาในประเด็นอิหร่าน ไม่เห็นด้วยกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ก่อนหน้านี้ออกมาปฏิเสธสนับสนุนอิสราเอลโจมตีที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของเตหะราน
    .
    "พวกเขาถามเขา คุณคิดอย่างไรกับอิหร่าน คุณจะเล่นงานอิหร่านไหม? แล้วเขาก็พูดไปเรื่อย ตราบใดที่พวกเขาไม่โจมตีที่ตั้งนิวเคลียร์ มันเป็นสิ่งที่คุณต้องการโจมตีใช่หรือเปล่า? เมื่อนั้นเราต้องเจอกับความเสี่ยงใหญ่หลวงที่สุด นั่นคืออาวุธนิวเคลียร์" ทรัมป์ระบุ
    .
    "เมื่อพวกเขาถามเขาในคำถามดังกล่าว คำตอบที่ควรจะเป็นคือ โจมตีนิวเคลียร์ก่อน แล้วค่อยกังวลในเรื่องที่เหลือในภายหลัง" ทรัมป์ระบุ
    .
    ในปี 2018 ในฐานะประธานาธิบดีอเมริกา ทรัมป์เป็นหัวหอกในการถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ทำไว้กับอิหร่านเมื่อปี 2015 ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว อิหร่านยอมจำกัดโครงการนิวเคลียร์แลกกับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ณ เวลานั้น ทรัมป์ อ้างว่าข้อตกลงแทบไม่ช่วยใดๆ ในการป้องกันอย่างถาวร ไม่ให้เตหะรานจากการมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง
    .
    ตามหลังอิหร่านโจมตีอิสราเอล สำนักข่าว Axios รายงานว่ารัฐยิวกำลังหาทางแก้แค้นอย่างหนักหน่วงต่อห่าขีปนาวุธ และทุกทางเลือกยังคงวางอยู่บนโต๊ะพิจารณา ในนั้นรวมถึงโจมตีที่ตั้งนิวเคลียร์ของอิหร่าน ส่วนเป้าหมายอื่นๆ ที่เป็นไปได้นั้น อาจรวมถึงแท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน หรือระบบป้องกันภัยทางอากาศ เช่นเดียวกับลงมือลอบสังหารอย่างเจาะจง
    .
    ขณะเดียวกัน สำนักข่าวอัลจาซีราห์ รายงานว่า อิหร่านได้แจ้งเตือนผ่านไปยังสหรัฐฯ ว่าการโจมตีใดๆ ของอิสราเอลจะเจอกับการตอบโต้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
    .
    ท่ามกลางความตึงเครียดที่พุ่งสูงขึ้นในตะวันออกกลาง เว็บไซต์ข่าวโพลิติโกของสหรัฐฯ รายงานว่า ไบเดน มีความผิดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อการกระทำของอิสราเอล ในนั้นรวมถึงเหตุโจมตีเล่นงานฮิซบอลเลาะห์เมื่อเร็วๆ นี้ และสงครามในกาซา ขณะที่ทำเนียบขาวยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ที่้พวกเขาอาจไม่สามารถป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายสู่ "สงครามภูมิภาคเต็มรูปแบบ" ได้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000095171
    ..............
    Sondhi X
    อิสราเอลควรลงมือโจมตีที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน แก้แค้นกรณีที่เตหะรานยิงห่าขีปนาวุธเข้าใส่รัฐยิวเมื่อเร็วๆ นี้ จากเสียงกระตุ้นของโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแแทนพรรครีพับลิกันลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ . เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่แล้ว อิหร่านรัวยิงขีปนาวุธราว 180 ลูกเข้าใส่อิสาเอล แก้แค้นเหตุลอบสังหาร อิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำทางการเมืองของฮามาส และฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำของฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งทั้ง 2 คนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเตหะราน ทั้งนี้กองทัพอิสราเอลยอมรับว่าขีปนาวุธบางส่วนเล็ดลอดระบบป้องกันภัยทางอากาศพุ่งโดนฐานทัพอากาศของพวกเขา . การโจมตีของอิหร่านมีขึ้นตามหลังในสิ่งที่อิสราเอลเรียกว่า "ปฏิบัติการทางภาคพื้นอย่างจำกัด" ในภาคใต้ของเลบานอน เล็งเป้างานฮิซบอลเลาะห์ พันธมิตรของเตหะราน . ระหว่างปราศรัยหาเสียงในนอร์ทแคโรไลนา ในวันศุกร์ (4 ต.ค.) ทรัมป์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วต่อจุดยืนสาวเหยี่ยวของเขาในประเด็นอิหร่าน ไม่เห็นด้วยกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ก่อนหน้านี้ออกมาปฏิเสธสนับสนุนอิสราเอลโจมตีที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของเตหะราน . "พวกเขาถามเขา คุณคิดอย่างไรกับอิหร่าน คุณจะเล่นงานอิหร่านไหม? แล้วเขาก็พูดไปเรื่อย ตราบใดที่พวกเขาไม่โจมตีที่ตั้งนิวเคลียร์ มันเป็นสิ่งที่คุณต้องการโจมตีใช่หรือเปล่า? เมื่อนั้นเราต้องเจอกับความเสี่ยงใหญ่หลวงที่สุด นั่นคืออาวุธนิวเคลียร์" ทรัมป์ระบุ . "เมื่อพวกเขาถามเขาในคำถามดังกล่าว คำตอบที่ควรจะเป็นคือ โจมตีนิวเคลียร์ก่อน แล้วค่อยกังวลในเรื่องที่เหลือในภายหลัง" ทรัมป์ระบุ . ในปี 2018 ในฐานะประธานาธิบดีอเมริกา ทรัมป์เป็นหัวหอกในการถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ทำไว้กับอิหร่านเมื่อปี 2015 ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว อิหร่านยอมจำกัดโครงการนิวเคลียร์แลกกับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ณ เวลานั้น ทรัมป์ อ้างว่าข้อตกลงแทบไม่ช่วยใดๆ ในการป้องกันอย่างถาวร ไม่ให้เตหะรานจากการมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง . ตามหลังอิหร่านโจมตีอิสราเอล สำนักข่าว Axios รายงานว่ารัฐยิวกำลังหาทางแก้แค้นอย่างหนักหน่วงต่อห่าขีปนาวุธ และทุกทางเลือกยังคงวางอยู่บนโต๊ะพิจารณา ในนั้นรวมถึงโจมตีที่ตั้งนิวเคลียร์ของอิหร่าน ส่วนเป้าหมายอื่นๆ ที่เป็นไปได้นั้น อาจรวมถึงแท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน หรือระบบป้องกันภัยทางอากาศ เช่นเดียวกับลงมือลอบสังหารอย่างเจาะจง . ขณะเดียวกัน สำนักข่าวอัลจาซีราห์ รายงานว่า อิหร่านได้แจ้งเตือนผ่านไปยังสหรัฐฯ ว่าการโจมตีใดๆ ของอิสราเอลจะเจอกับการตอบโต้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน . ท่ามกลางความตึงเครียดที่พุ่งสูงขึ้นในตะวันออกกลาง เว็บไซต์ข่าวโพลิติโกของสหรัฐฯ รายงานว่า ไบเดน มีความผิดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อการกระทำของอิสราเอล ในนั้นรวมถึงเหตุโจมตีเล่นงานฮิซบอลเลาะห์เมื่อเร็วๆ นี้ และสงครามในกาซา ขณะที่ทำเนียบขาวยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ที่้พวกเขาอาจไม่สามารถป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายสู่ "สงครามภูมิภาคเต็มรูปแบบ" ได้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000095171 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Angry
    Yay
    13
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1426 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณติ่งๆคะ………ที่พวกเราผ่านพบเห็นกันมาในเมืองไทย พี่ปูเขาก็ผ่านเส้นทางนี้มาเหมือนกันค่าาาา………!!!

    ตอนยี่สิบ……คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ………แคร์ที่ไหน..?!!!

    ในช่วงที่เมดเวเดฟเป็นประธานาธิบดีนั้น เขาเข้าขากันได้ดีกับบารัค โอบามา ที่มีการลงนามในสัญญาค้าขายต่อกัน เปิดโปรแกรมรับนักลงทุนต่างชาติใหม่ (ที่ปูตินปิดไปเมื่อ 2009)
    ในการประชุม World Trade Organization ที่ Davos ปลายปี 2010 เมดเวเดฟที่เตรียมคำตอบไว้มากมายเกี่ยวกับการตลาดที่จะตอบนักข่าว….
    แต่…เขาโดนถามในสิ่งที่เขาไม่มีความรู้ที่จะตอบให้ นั่นคือ
    ทางรัสเซียมีนโยบายอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องการลุกฮือของกลุ่มชาติอาหรับ (Arab Spring) ที่ต่อต้าน Qaddafi (ลิเบีย) และHosni Mubarak (อียิบต์)
    เขาตอบไปอย่างที่นักประชาธิปไตย ควรจะตอบ นั่นคือ เพราะ
    การที่รัฐบาลไม่ตอบสนองกับความต้องการของประชาชน…!!!

    ซึ่งนั่นคือการผิดพลาดมหันต์……ในฐานะผู้นำรัสเซียที่รัฐบาลเคยผ่านการปราบม๊อบมาสารพัดชนิด และแต่ละรายก็ไม่พ้นการเข้าทุบตี และ จับเข้าคุกไปทุกครั้ง
    คราวนี้จะมาทำโลกสวย….
    เล่นเอา……ปูตินที่กำลังวุ่นอยู่ที่ Sochi ถึงกับกุมขมับ……

    แถม……ข้อความของเมดเวเดฟ……รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (ในเวลานั้น) คือ Joe Biden โดดรับลูกทันที……เขาเอาคำพูดของเมดเวเดฟไปใช้ในอภิปรายที่ Moscow State University ในเดือนมีนาคม 2011 โดยว่า…
    “ประชาชนชาวรัสเซียส่วนใหญ่ย่อมต้องการสิทธิในการเลือกผู้นำเหมือนอย่างชาติอื่นๆ เขาต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ในประเทศที่มีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก และต้องการสื่อที่เป็นกระบอกเสียงในการที่จะต่อสู้กับการคอรัปชั่น…เพราะนั่นคือ การเป็นกิ่งใบของต้นประชาธิปไตย ผมใคร่วิงวอนนักศึกษาในวันนี้อย่ารับความเป็นประชาธิปไตยแบบครึ่งๆกลางๆ อย่าเชื่อในสัญญามาร..(Faustian bargain) …”

    ~~~คงไม่ต้องสงสัยเลยนะคะ ว่า ทำไมปูตินถึงได้แค้นฝังหุ่นกับโจ ไบเดน…และ อเมริกา…

    แต่เบื้องหลังฉาก การมาของโจ ไบเดน คือการหนีบเมดเวเดฟ
    เข้าไปเป็นพวกในสนธิสัญญาร่วมรบ กับกลุ่มนาโต้ เพื่อที่จะส่งทหารไปช่วยในลิเบีย และร่วมในการปิดน่านฟ้า เพื่อขจัด
    กัดดาฟี
    เมดเวเดฟ……ตกบันไดพลอยโจน เพราะคำพูดของตัวเองที่ค้ำคออยู่ จึงตกลงตามนั้น

    ปูตินได้มองเห็นแล้วว่าเมดเวเดฟกำลังตกหลุมพรางของกลุ่มตะวันตก เพราะเขายังอ่อนประสบการณ์ ไม่เคยเป็น KGB เป็นคนโลกสวย และ ชื่นชอบแสงสีวัฒนธรรมตะวันตกอย่าง ฝรั่งเศส อิตาลี และพอมีโอบามาเป็นเกลอเข้าหน่อย เลยเป็นปลื้ม……
    เขาจึงเรียกมาดุแกมเตือนว่า……เรื่องการลุกฮือโดยการปั่นของอเมริกา จะไม่หยุดลงแค่นี้แน่นอน เพราะมันได้กลายเป็นนโนบายหลักของพญาอินทรีย์ที่จะต้องสร้างความแตกแยกในตะวันออกกลาง
    เขาได้บอกกับเมดเวเดฟต่อ……ว่า…
    “ย้อนกลับไปดูอดีตนะ ถ้ามีเวลาค้นคว้า……ว่า กลุ่มชาวอิหร่าน
    ที่ก่อกบฎขึ้นมา ด้วยการนำของโคไมนี่ (Khomeini) แล้วไอ้โคไมนี่คนนี้….เค้าอยู่ที่ไหน…จะบอกให้……เค้านอนเล่นเดินสบายอยู่ที่ฝรั่งเศส
    รอรับนโยบายจากพวกตะวันตกเอามาปั่นยุแยง……แล้วไงล่ะ
    ดาบนั้นคืนสนอง ตอนนี้อิหร่านมีนิวเคลียร์เป็นของตัวเอง…สมน้ำหน้า…และสิ่งที่ตะวันตกทำนั้น ไม่ใช่ว่าจะเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับประชาชนเสียเมื่อไหร่ ถ้าดูในประวัติศาสตร์ในยุคกลาง…เขาทำมาแล้ว ในเรื่องชักชวนพวกเพื่อนบ้านออกไปรวมกันแล้วไปตีบ้านอื่น……ในยุคนั้นเขาเรียกว่า Crusade….ตอนนี้ก็เหมือนเดิม เขาเรียกว่า “กองทัพนาโต้”
    ที่มีวัตถุประสงค์ทำเพื่อให้กัดดาฟี่หัวแข็งลงจากอำนาจ
    เพื่อที่จะเอากลุ่มที่ตัวเองสนับสนุนขึ้นมาแทน……มันคือการปล้นประเทศโดยการเปลี่ยนผู้นำเท่านั้น
    แต่…ประชาธิปไตยไม่ได้คืบหน้าไปไหน ประชาชนก็ทำมาหากินแบบอดๆอยากๆเหมือนเดิม ……”

    (~~~ข้อความตรงนี้”โดนใจ” มากค่ะ อธิบายได้หมดถึงความเป็นอเมริกาในทุกวันนี้…)

    ในขณะเดียวกันปูตินก็เริ่มได้กลิ่นไอว่า…สิ่งที่เกิดขึ้นในกลุ่มตะวันออกกลาง……น่าจะเกิดขึ้นในรัสเซียไม่ช้าก็เร็ว…!!!

    แต่เพราะเหตุการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้นเรียงเป็นไข่ปลานี้ สภาได้พิจารณาแล้ว เห็นพ้องกันว่า จะขยายอายุเวลาของประธานาธิบดีไปเป็นหกปี เริ่มจากสมัยหน้าของการเลือกตั้ง
    เพราะรัสเซียเป็นประเทศใหญ่ มีพื้นที่ที่ยังต้องพัฒนาอีกมาก

    ในเดือนพฤษภาคม 2011 เป็นสามปีที่เมดเวเดฟได้อยู่ในตำแหน่ง ผลงานเด่นของเขาคือ ศูนย์เทคโนโลยี Skolkovo ที่สร้างเพื่อให้เท่าเทียมหรือเกินหน้า Silicon Valley ที่ California
    และได้ก่อตั้งกลุ่มการเมืองเป็นของตัวเอง ชื่อ All Russia People’s Front แบบรวบรวมคนรุ่นใหม่ หัวทันสมัย ใฝ่ความเจริญทางประชาธิปไตยและเศรษฐกิจขึ้นมา พุ่งเป้าที่กลุ่มคนเพิ่มเริ่มทำงาน
    เพียงแค่ประกาศ…สมาชิกหลั่งไหลเข้ามาสมัครกันอย่างหนาแน่น ทั้งส่วนตัวและองค์กรต่างๆ
    แต่เมื่อเขาถูกสัมภาษณ์ในนิตยสาร The Financial Times
    ที่ถูกถามว่า….เขาลงสมัครรับเลือกตั้งในสมัยที่สองหรือไม่?
    เขาตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ว่า………มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ “คณะ” แต่โดยทั่วไป.……ประธานาธิบดีย่อมต้องการที่จะลงสนามต่อในครั้งต่อไป…”
    คำตอบกำกวมแบบนั้น ได้ชี้ชัดว่า….เมดเวเดฟ……ไม่ใช่ของจริง…!!

    ส่วน”ของจริง” นั้น ไม่ค่อยออกงาน หรือให้สัมภาษณ์บ่อยๆ แต่ยังคงความนิยมชื่นชอบอย่างไม่เคยจาง เพราะเป็นคนที่ถึงลูกถึงคน ยังไปลั้ลลากิจกรรมกับกลุ่มยุวชน Nashi….ไปสวดมนต์
    ในโบสถ์ ……ไปดำน้ำลึกหาวัตถุโบราณ …
    ยังเรียกเสียงกรี๊ดสลบได้ในทุกความเคลื่อนไหว…

    เมื่อตอนหาเสียงการเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่มี เมดเวเดฟ, ปูติน ,พรรคคอมมิวนิสต์ และ พรรค Liberal Democrats
    ที่คราวนี้ออกจะดุเดือดเลือดพล่าน เพราะ……กลุ่มใต้ดิน และ บนดินที่ต่อต้านการกลับมาของปูตินได้ผนึกกำลังกันอย่างแข็งขัน แบ่งกันเป็นก๊กเล็กก๊กน้อย
    หัวหน้านำคือ Boris Nemtsov นักฟิสิกส์หัวรุนแรง เคยเป็นนักการเมืองในยุคของเยลซินจนมาสู่ผู้แทนในสภาดูมา, Sergei Mironov หัวหน้าพรรค A Just Russia และ Aleksei Navalny ทนายความนักเคลื่อนไหว ต่อต้านคอร์รัปชั่น
    และทั้งหมด……ต่อต้านปูติน

    การต่อต้านได้เริ่มขยายตัวขึ้น และกล้าขึ้น ถึงขนาดกล้าโห่ไล่ปูตินในงานเปิดกีฬาชกมวยในสเตเดี้ยมที่มอสโคว์
    เรื่องการต่อต้านนั้น ปูตินเจอมาเยอะ แต่คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามถึงขั้นทำรายการวิทยุที่ใช้ชื่อรายการว่า “หมดยุคของปูตินได้แล้ว” ดำเนินรายการโดย Alexei Navalny (หรือ AN ที่จะใช้ต่อไป)
    และมีการจัดตั้งการชุมนุม พากันเดินขบวนไปที่นั่นที่นี่
    ตำรวจได้เข้าทำการจับกุม AN ในฐานะสร้างความวุ่นวาย จำคุกไปสิบห้าวัน
    แต่เมื่อออกมา เขาได้จัดขบวนใหญ่กว่าเดิม ระดมคนรุ่นใหม่ นักศึกษาที่มากันมากมาย

    ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012 สิบกว่าวันก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง
    ที่โบสถ์ออโธดอกซ์ Cathedral of Christ the Savoir
    มีผู้หญิงสาวห้าคน ที่ขึ้นไปปีนป่ายบนเสาสลัก ถอดเสื้อโค้ท
    ออก ข้างในแต่งกายสไตล์พั้งค์ แต่สวมหน้ากากหลากสี ……ต่างตะโกนพร้อมกับชูกำปั้นกันไปมา
    เสียงที่ตะโกนดังก้องด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย
    หนึ่งในนั้น คือ Yekaterina Samutsevich (นักดนตรี) กำลังจะเอากีตาร์ขึ้นมาดีด แต่การ์ดได้ดึงตัวเธอออกมาก่อน
    ทั้งหมด……ยังไม่หยุดตะโกน……ปูตินออกไป……ปูตินออกไป……!!
    เป็นเรื่องใหญ่ในข่าวภาคค่ำในคืนนั้น ……ที่สาวไปว่า ต้นตอเหตุมากจากกลุ่มเกย์และเลสเบี้ยนที่ต้องการความเท่าเทียม
    และได้มี กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “***** Riot” (ไปแปลกันเองนะคะ แต่ดิฉันจะเรียกว่า PR)

    กลุ่มนี้มีประมาณสิบกว่าคน ที่ไม่เปิดเผยตัวเอง แต่พร้อมที่จะก่อความวุ่นวายต่อต้านปูตินในวันที่เขาจะประกาศตัวลงชิงประธานาธิบดี แนวการต้านคือ การวาดอวัยวะเพศในที่ต่างๆในกรุงเซนต์ และ มอสโคว์ และ การร่วมเพศ เป็นสัญญลักษณ์
    เช่นออกคลิปการร่วมเพศในที่สำคัญๆอย่างโจ่งแจ้ง

    ปูตินแก้เกมด้วยการ…ไม่พูดถึงเรื่องต่อต้าน แต่เขาประชุมผู้นำของทุกศาสนา เช่น ออโธดอกซ์,ยิว, พุทธ, อิสลาม และ คาธอลิก แม้แต่ Seventhday Adventists ให้มาร่วมรับฟังความเห็นที่ Danilov Monastery โดยมีพระอธิการ Kirill เป็นองค์ประธาน
    ที่ทั้งหมดได้แสดงความเสียใจกับการต่อต้านที่หยาบคาย ลบหลู่สถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ เป็นสิ่งที่รับไม่ได้…
    ปูตินไม่ต้องทำอะไร……เพียงแต่ช่วยทำข่าวให้กระจายออกไป
    กลุ่มต่อต้านได้รับคำตำหนิและรังเกียจเดียดฉันท์จากประชาชนกลับไปอย่างมากมาย

    จากนั้น ปูตินยังใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวด้วยการที่จัดกิจกรรมรักชาติ ขึ้นที่โน่นที่นี่
    จนถึงวันที่ 4 มีนาคม วันเลือกตั้ง เขาได้ประกาศชัยชนะด้วยการรับคะแนนเสียงถึง 63%
    นั่นคือ การกลับมาอย่างสง่าผ่าเผยของปูติน ……
    ที่ฝ่ายก่อกวนเจ้าเก่า AN ที่นำผู้ชุมนุมกว่าสองพันคนข้างนอกนั้น ถึงกับหัวเสียด้วยความผิดหวัง
    ส่วน Sergei Udaltsov หัวหอกการต่อต้าน……ไม่ยอมแพ้ เขาสั่งให้ทุกคนเตรียมตัวตั้งเต้นท์นอนบนถนน (ตามแบบการประท้วงที่เคียฟ, ยูเครนในปี 2004)
    ข่าวทางรัฐบาลได้ออกมาอย่างน่ารัก น่าเอ็นดู ……ว่า
    “ผู้ชุมนุมก็เปรียบเสมือนลูกๆที่มีนิสัยเสีย ไม่ได้อะไรดังใจก็ฟาดหัวฟาดหาง เราก็เปรียบเสมือนพ่อแม่ที่ไม่ตามใจ
    เราไม่รีบไปซื้อของเล่นให้ …แต่จะสอนให้ไปสนใจเล่นอย่างอื่นที่มีประโยชน์แทน……”

    ของเล่นที่มีประโยชน์ที่พวกชุมชุมได้รับตอนที่ตั้งเต้นท์ไม่ทันเสร็จ……คือ ตำรวจพร้อมกระบองได้เข้าบุกแบบถึงพริกถึงขิง จับเข้าคุกนับร้อย บาดเจ็บหลายสิบ
    ถนนในมอสโคว์….โล่งสะอาดในวันต่อมา….!!!!


    Wiwanda W. Vichit
    คุณติ่งๆคะ………ที่พวกเราผ่านพบเห็นกันมาในเมืองไทย พี่ปูเขาก็ผ่านเส้นทางนี้มาเหมือนกันค่าาาา………!!! ตอนยี่สิบ……คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ………แคร์ที่ไหน..?!!! ในช่วงที่เมดเวเดฟเป็นประธานาธิบดีนั้น เขาเข้าขากันได้ดีกับบารัค โอบามา ที่มีการลงนามในสัญญาค้าขายต่อกัน เปิดโปรแกรมรับนักลงทุนต่างชาติใหม่ (ที่ปูตินปิดไปเมื่อ 2009) ในการประชุม World Trade Organization ที่ Davos ปลายปี 2010 เมดเวเดฟที่เตรียมคำตอบไว้มากมายเกี่ยวกับการตลาดที่จะตอบนักข่าว…. แต่…เขาโดนถามในสิ่งที่เขาไม่มีความรู้ที่จะตอบให้ นั่นคือ ทางรัสเซียมีนโยบายอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องการลุกฮือของกลุ่มชาติอาหรับ (Arab Spring) ที่ต่อต้าน Qaddafi (ลิเบีย) และHosni Mubarak (อียิบต์) เขาตอบไปอย่างที่นักประชาธิปไตย ควรจะตอบ นั่นคือ เพราะ การที่รัฐบาลไม่ตอบสนองกับความต้องการของประชาชน…!!! ซึ่งนั่นคือการผิดพลาดมหันต์……ในฐานะผู้นำรัสเซียที่รัฐบาลเคยผ่านการปราบม๊อบมาสารพัดชนิด และแต่ละรายก็ไม่พ้นการเข้าทุบตี และ จับเข้าคุกไปทุกครั้ง คราวนี้จะมาทำโลกสวย…. เล่นเอา……ปูตินที่กำลังวุ่นอยู่ที่ Sochi ถึงกับกุมขมับ…… แถม……ข้อความของเมดเวเดฟ……รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (ในเวลานั้น) คือ Joe Biden โดดรับลูกทันที……เขาเอาคำพูดของเมดเวเดฟไปใช้ในอภิปรายที่ Moscow State University ในเดือนมีนาคม 2011 โดยว่า… “ประชาชนชาวรัสเซียส่วนใหญ่ย่อมต้องการสิทธิในการเลือกผู้นำเหมือนอย่างชาติอื่นๆ เขาต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ในประเทศที่มีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก และต้องการสื่อที่เป็นกระบอกเสียงในการที่จะต่อสู้กับการคอรัปชั่น…เพราะนั่นคือ การเป็นกิ่งใบของต้นประชาธิปไตย ผมใคร่วิงวอนนักศึกษาในวันนี้อย่ารับความเป็นประชาธิปไตยแบบครึ่งๆกลางๆ อย่าเชื่อในสัญญามาร..(Faustian bargain) …” ~~~คงไม่ต้องสงสัยเลยนะคะ ว่า ทำไมปูตินถึงได้แค้นฝังหุ่นกับโจ ไบเดน…และ อเมริกา… แต่เบื้องหลังฉาก การมาของโจ ไบเดน คือการหนีบเมดเวเดฟ เข้าไปเป็นพวกในสนธิสัญญาร่วมรบ กับกลุ่มนาโต้ เพื่อที่จะส่งทหารไปช่วยในลิเบีย และร่วมในการปิดน่านฟ้า เพื่อขจัด กัดดาฟี เมดเวเดฟ……ตกบันไดพลอยโจน เพราะคำพูดของตัวเองที่ค้ำคออยู่ จึงตกลงตามนั้น ปูตินได้มองเห็นแล้วว่าเมดเวเดฟกำลังตกหลุมพรางของกลุ่มตะวันตก เพราะเขายังอ่อนประสบการณ์ ไม่เคยเป็น KGB เป็นคนโลกสวย และ ชื่นชอบแสงสีวัฒนธรรมตะวันตกอย่าง ฝรั่งเศส อิตาลี และพอมีโอบามาเป็นเกลอเข้าหน่อย เลยเป็นปลื้ม…… เขาจึงเรียกมาดุแกมเตือนว่า……เรื่องการลุกฮือโดยการปั่นของอเมริกา จะไม่หยุดลงแค่นี้แน่นอน เพราะมันได้กลายเป็นนโนบายหลักของพญาอินทรีย์ที่จะต้องสร้างความแตกแยกในตะวันออกกลาง เขาได้บอกกับเมดเวเดฟต่อ……ว่า… “ย้อนกลับไปดูอดีตนะ ถ้ามีเวลาค้นคว้า……ว่า กลุ่มชาวอิหร่าน ที่ก่อกบฎขึ้นมา ด้วยการนำของโคไมนี่ (Khomeini) แล้วไอ้โคไมนี่คนนี้….เค้าอยู่ที่ไหน…จะบอกให้……เค้านอนเล่นเดินสบายอยู่ที่ฝรั่งเศส รอรับนโยบายจากพวกตะวันตกเอามาปั่นยุแยง……แล้วไงล่ะ ดาบนั้นคืนสนอง ตอนนี้อิหร่านมีนิวเคลียร์เป็นของตัวเอง…สมน้ำหน้า…และสิ่งที่ตะวันตกทำนั้น ไม่ใช่ว่าจะเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับประชาชนเสียเมื่อไหร่ ถ้าดูในประวัติศาสตร์ในยุคกลาง…เขาทำมาแล้ว ในเรื่องชักชวนพวกเพื่อนบ้านออกไปรวมกันแล้วไปตีบ้านอื่น……ในยุคนั้นเขาเรียกว่า Crusade….ตอนนี้ก็เหมือนเดิม เขาเรียกว่า “กองทัพนาโต้” ที่มีวัตถุประสงค์ทำเพื่อให้กัดดาฟี่หัวแข็งลงจากอำนาจ เพื่อที่จะเอากลุ่มที่ตัวเองสนับสนุนขึ้นมาแทน……มันคือการปล้นประเทศโดยการเปลี่ยนผู้นำเท่านั้น แต่…ประชาธิปไตยไม่ได้คืบหน้าไปไหน ประชาชนก็ทำมาหากินแบบอดๆอยากๆเหมือนเดิม ……” (~~~ข้อความตรงนี้”โดนใจ” มากค่ะ อธิบายได้หมดถึงความเป็นอเมริกาในทุกวันนี้…) ในขณะเดียวกันปูตินก็เริ่มได้กลิ่นไอว่า…สิ่งที่เกิดขึ้นในกลุ่มตะวันออกกลาง……น่าจะเกิดขึ้นในรัสเซียไม่ช้าก็เร็ว…!!! แต่เพราะเหตุการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้นเรียงเป็นไข่ปลานี้ สภาได้พิจารณาแล้ว เห็นพ้องกันว่า จะขยายอายุเวลาของประธานาธิบดีไปเป็นหกปี เริ่มจากสมัยหน้าของการเลือกตั้ง เพราะรัสเซียเป็นประเทศใหญ่ มีพื้นที่ที่ยังต้องพัฒนาอีกมาก ในเดือนพฤษภาคม 2011 เป็นสามปีที่เมดเวเดฟได้อยู่ในตำแหน่ง ผลงานเด่นของเขาคือ ศูนย์เทคโนโลยี Skolkovo ที่สร้างเพื่อให้เท่าเทียมหรือเกินหน้า Silicon Valley ที่ California และได้ก่อตั้งกลุ่มการเมืองเป็นของตัวเอง ชื่อ All Russia People’s Front แบบรวบรวมคนรุ่นใหม่ หัวทันสมัย ใฝ่ความเจริญทางประชาธิปไตยและเศรษฐกิจขึ้นมา พุ่งเป้าที่กลุ่มคนเพิ่มเริ่มทำงาน เพียงแค่ประกาศ…สมาชิกหลั่งไหลเข้ามาสมัครกันอย่างหนาแน่น ทั้งส่วนตัวและองค์กรต่างๆ แต่เมื่อเขาถูกสัมภาษณ์ในนิตยสาร The Financial Times ที่ถูกถามว่า….เขาลงสมัครรับเลือกตั้งในสมัยที่สองหรือไม่? เขาตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ว่า………มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ “คณะ” แต่โดยทั่วไป.……ประธานาธิบดีย่อมต้องการที่จะลงสนามต่อในครั้งต่อไป…” คำตอบกำกวมแบบนั้น ได้ชี้ชัดว่า….เมดเวเดฟ……ไม่ใช่ของจริง…!! ส่วน”ของจริง” นั้น ไม่ค่อยออกงาน หรือให้สัมภาษณ์บ่อยๆ แต่ยังคงความนิยมชื่นชอบอย่างไม่เคยจาง เพราะเป็นคนที่ถึงลูกถึงคน ยังไปลั้ลลากิจกรรมกับกลุ่มยุวชน Nashi….ไปสวดมนต์ ในโบสถ์ ……ไปดำน้ำลึกหาวัตถุโบราณ … ยังเรียกเสียงกรี๊ดสลบได้ในทุกความเคลื่อนไหว… เมื่อตอนหาเสียงการเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่มี เมดเวเดฟ, ปูติน ,พรรคคอมมิวนิสต์ และ พรรค Liberal Democrats ที่คราวนี้ออกจะดุเดือดเลือดพล่าน เพราะ……กลุ่มใต้ดิน และ บนดินที่ต่อต้านการกลับมาของปูตินได้ผนึกกำลังกันอย่างแข็งขัน แบ่งกันเป็นก๊กเล็กก๊กน้อย หัวหน้านำคือ Boris Nemtsov นักฟิสิกส์หัวรุนแรง เคยเป็นนักการเมืองในยุคของเยลซินจนมาสู่ผู้แทนในสภาดูมา, Sergei Mironov หัวหน้าพรรค A Just Russia และ Aleksei Navalny ทนายความนักเคลื่อนไหว ต่อต้านคอร์รัปชั่น และทั้งหมด……ต่อต้านปูติน การต่อต้านได้เริ่มขยายตัวขึ้น และกล้าขึ้น ถึงขนาดกล้าโห่ไล่ปูตินในงานเปิดกีฬาชกมวยในสเตเดี้ยมที่มอสโคว์ เรื่องการต่อต้านนั้น ปูตินเจอมาเยอะ แต่คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามถึงขั้นทำรายการวิทยุที่ใช้ชื่อรายการว่า “หมดยุคของปูตินได้แล้ว” ดำเนินรายการโดย Alexei Navalny (หรือ AN ที่จะใช้ต่อไป) และมีการจัดตั้งการชุมนุม พากันเดินขบวนไปที่นั่นที่นี่ ตำรวจได้เข้าทำการจับกุม AN ในฐานะสร้างความวุ่นวาย จำคุกไปสิบห้าวัน แต่เมื่อออกมา เขาได้จัดขบวนใหญ่กว่าเดิม ระดมคนรุ่นใหม่ นักศึกษาที่มากันมากมาย ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012 สิบกว่าวันก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ที่โบสถ์ออโธดอกซ์ Cathedral of Christ the Savoir มีผู้หญิงสาวห้าคน ที่ขึ้นไปปีนป่ายบนเสาสลัก ถอดเสื้อโค้ท ออก ข้างในแต่งกายสไตล์พั้งค์ แต่สวมหน้ากากหลากสี ……ต่างตะโกนพร้อมกับชูกำปั้นกันไปมา เสียงที่ตะโกนดังก้องด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย หนึ่งในนั้น คือ Yekaterina Samutsevich (นักดนตรี) กำลังจะเอากีตาร์ขึ้นมาดีด แต่การ์ดได้ดึงตัวเธอออกมาก่อน ทั้งหมด……ยังไม่หยุดตะโกน……ปูตินออกไป……ปูตินออกไป……!! เป็นเรื่องใหญ่ในข่าวภาคค่ำในคืนนั้น ……ที่สาวไปว่า ต้นตอเหตุมากจากกลุ่มเกย์และเลสเบี้ยนที่ต้องการความเท่าเทียม และได้มี กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “Pussy Riot” (ไปแปลกันเองนะคะ แต่ดิฉันจะเรียกว่า PR) กลุ่มนี้มีประมาณสิบกว่าคน ที่ไม่เปิดเผยตัวเอง แต่พร้อมที่จะก่อความวุ่นวายต่อต้านปูตินในวันที่เขาจะประกาศตัวลงชิงประธานาธิบดี แนวการต้านคือ การวาดอวัยวะเพศในที่ต่างๆในกรุงเซนต์ และ มอสโคว์ และ การร่วมเพศ เป็นสัญญลักษณ์ เช่นออกคลิปการร่วมเพศในที่สำคัญๆอย่างโจ่งแจ้ง ปูตินแก้เกมด้วยการ…ไม่พูดถึงเรื่องต่อต้าน แต่เขาประชุมผู้นำของทุกศาสนา เช่น ออโธดอกซ์,ยิว, พุทธ, อิสลาม และ คาธอลิก แม้แต่ Seventhday Adventists ให้มาร่วมรับฟังความเห็นที่ Danilov Monastery โดยมีพระอธิการ Kirill เป็นองค์ประธาน ที่ทั้งหมดได้แสดงความเสียใจกับการต่อต้านที่หยาบคาย ลบหลู่สถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ เป็นสิ่งที่รับไม่ได้… ปูตินไม่ต้องทำอะไร……เพียงแต่ช่วยทำข่าวให้กระจายออกไป กลุ่มต่อต้านได้รับคำตำหนิและรังเกียจเดียดฉันท์จากประชาชนกลับไปอย่างมากมาย จากนั้น ปูตินยังใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวด้วยการที่จัดกิจกรรมรักชาติ ขึ้นที่โน่นที่นี่ จนถึงวันที่ 4 มีนาคม วันเลือกตั้ง เขาได้ประกาศชัยชนะด้วยการรับคะแนนเสียงถึง 63% นั่นคือ การกลับมาอย่างสง่าผ่าเผยของปูติน …… ที่ฝ่ายก่อกวนเจ้าเก่า AN ที่นำผู้ชุมนุมกว่าสองพันคนข้างนอกนั้น ถึงกับหัวเสียด้วยความผิดหวัง ส่วน Sergei Udaltsov หัวหอกการต่อต้าน……ไม่ยอมแพ้ เขาสั่งให้ทุกคนเตรียมตัวตั้งเต้นท์นอนบนถนน (ตามแบบการประท้วงที่เคียฟ, ยูเครนในปี 2004) ข่าวทางรัฐบาลได้ออกมาอย่างน่ารัก น่าเอ็นดู ……ว่า “ผู้ชุมนุมก็เปรียบเสมือนลูกๆที่มีนิสัยเสีย ไม่ได้อะไรดังใจก็ฟาดหัวฟาดหาง เราก็เปรียบเสมือนพ่อแม่ที่ไม่ตามใจ เราไม่รีบไปซื้อของเล่นให้ …แต่จะสอนให้ไปสนใจเล่นอย่างอื่นที่มีประโยชน์แทน……” ของเล่นที่มีประโยชน์ที่พวกชุมชุมได้รับตอนที่ตั้งเต้นท์ไม่ทันเสร็จ……คือ ตำรวจพร้อมกระบองได้เข้าบุกแบบถึงพริกถึงขิง จับเข้าคุกนับร้อย บาดเจ็บหลายสิบ ถนนในมอสโคว์….โล่งสะอาดในวันต่อมา….!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 854 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาร่วมแสดงความยินดีกับท่านนายกรัฐมนตรีพี่ปูหน่อยค่าาาา….ติ่งขาาาาา……!!!!

    ตอนเก้า………บุญหล่นทับ……จนนักเลงสายลับรับแทบไม่ทัน……!!!

    จากกรณีท่านอัยการ ทำให้มีการปลดออกอีกหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง บางคนก็มีการไว้หน้า เช่น เสนอให้ไปทำงานที่สถานทูตที่เดนมาร์คบ้าง ฟินแลนด์บ้าง
    และเยลซินได้มอบหมายให้ปูตินดูแลรับผิดชอบในฝ่ายอารักขาส่วนตัวควบคู่ไปกับเป็นผู้อำนวยการของ FSB
    ปูตินได้ถือโอกาสนี้…ขออำนาจเด็ดขาดในการบริหารงานและตัดสินใจ
    ซึ่งเขาก็ได้ตามนั้น
    นั่นเท่ากับ……ปูตินได้เข้ามาอยู่ใน”วงใน” ของเยลซินไปโดยปริยาย ในระยะเวลาเพียงสองปีครึ่งของการทำงานในมอสโคว์
    แต่เวลาในการผงาดของปูติน มันเป็นเวลาเดียวกันกับความอ่อนเปลี้ยของเยลซิน ที่รุมเร้าด้วยสุขภาพ และความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกกับการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพของทีมที่เลือกมา

    วันที่ 5 มีนาคม 1999 ได้เกิดเหตุขึ้น นายพล Gennady Shpigun แห่งกระทรวงกลาโหม ที่ได้มีภาระกิจที่เมือง Grozny, Chechen (Chechen Republic of Ichkeria) ได้ถูกลักพาตัวไปเมื่อทันที่ที่ถึงสนามบิน โดยกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ใส่หน้ากากคลุมหน้าคลุมตา พร้อมอาวุธเต็มพิกัด
    โดยปรกติสถานะการณ์ในเชเชนนั้น ร้อนระอุมาตั้งแต่หลังจากที่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นเอกราชในปี 1991 จากรัสเซีย แต่ก็เป็นแบบครึ่งๆกลางๆ
    การต่อต้านจึงลุกฮือขึ้นอีก ในปี 1993 เยลซินจึงให้นายพล Lebed ขี้เก๊กยกทัพไปปราบ
    แต่ปรากฏว่าแพ้ยับกลับมาในปี 1996
    ทางเชเชนก็เสียหายไม่น้อย บ้านเมืองพังพินาศ
    ทำได้แค่สงบศึก ต่างคนต่างอยู่
    เพราะต่างก็เสียทหารไปจำนวนมาก แต่รัสเซียยังคอยแทรกแซง หรือกำไว้แบบหลวม……
    จึงได้เกิดขบวนการต่อต้านรัสเซีย ที่ก่อความไม่สงบ มีการจับตัวคนนั้นคนนี้ไปบ่อยๆ
    เพียงแต่คราวนี้เหิมเกริม……อุกอาจจับตัวรัฐมนตรีกลาโหมไป พร้อมเรียกร้องค่าไถ่ตัวถึง สิบห้าล้านยูเอสดอลล่าร์
    ตามาด้วยการระเบิดที่ใจกลางเมือง Vladikavkas ทางคอเคซัส มีคนตายถึง 60 คน

    เยลซินสั่งการให้ปูตินและ Seigei Stepashin นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมาหมาดๆ ( แทน Yevgeny Primakov) ให้ไปดูสถานะการณ์ที่เมือง Vladikavkas โดยด่วน
    เพื่อไปพบกับ Aslan Maskhadov ประธานาธิบดีเชเชนที่ยังมีสัมพันธภาพที่ดีกับรัสเซีย
    การไปพบครั้งนี้ อัสลานได้มีทีท่าแปลกๆ เขาพูดว่า
    “ได้ข่าวมาว่า ทางรัสเซียได้มอบหมายให้”หน่วยงานพิเศษ” จะเข้ามาปฎิบัติการสังหารผม เพื่อที่จะได้เป็นข้ออ้างที่จะประกาศเป็นสถานะการณ์ฉุกเฉิน แล้วยกทัพเข้ามาควบคุมพื้นที่ ……”
    ปูตินได้ยินดังนั้น…โกรธจนหูกระดิก เพราะไอ้หน่วยงานพิเศษที่ว่านั้น มันก็หมายถึง FSB ที่เขาดูแลอยู่
    และอีกประการหนึ่ง ในเรื่องที่รัสเซียแพ้สงครามในเชเชนทั้งๆที่มีกำลังมากกว่าถึงสามเท่านั้น มันก็น่าอับอายพออยู่แล้ว
    เป็นอันว่า….เรื่องการเจรจานั้น……เลิกคิดไปได้เลย
    ถึงแม้ว่า……จะตระหนักดีในความจริงที่ว่า รัสเซียจะไม่ได้รบกับกบฏเชเชน แต่…มันอาจจะเป็นการรบกับ NATO ศัตรูดั้งเดิมก็ได้
    ที่ทำให้ปูตินต้องหาทางเจรจากับเยลซิน……

    ฝ่ายกลาโหมได้ตั้งรับแนวปะทะ ฝ่ายกบฏเชเชนได้ล่วงล้ำไปใน Dagestan และได้รับข่าวร้ายว่าได้พบกับร่างที่หมดลมหายใจของนายพล Shpigun ที่ถูกลักพาตัวไปแล้ว

    ทางกองทัพรัสเซียได้ทำการเตรียมการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม
    ปูตินได้เดินทางไปพบกับกองกำลังของรัสเซียที่รัฐดาเกสถาน
    หลายครั้งเพื่อความมั่นใจว่า แม่ทัพ Anatoly Kvashnin มีความพร้อม

    วันที่ 5 สิงหาคม เยลซินได้มีคำสั่งให้ปูตินเข้าพบในบ้านพัก
    ชายขอบกรุงมอสโคว์
    พอนั่งลงเสร็จ เยลซินได้จ้องหน้าปูติน และกล่าวขึ้นมาว่า
    “ฉันตัดสินใจแล้วนะ ที่เรียกเธอมาในวันนี้ คือ ฉันอยากจะแต่งตั้งเธอให้เป็นนายกรัฐมนตรี…”
    ปูตินเงียบไปอึดใจหนึ่ง ฟังเยลซินได้บรรยายปัญหาของภาระของรัสเซียแบกไว้ในคอเคซัส
    ให้ปูตินฟัง ถึงเรื่อง เศรษฐกิจ สภาพเงินเฟ้อ และที่เขากังวลเป็นอย่างมากคือ ปัญหาของโครงสร้างและบุคลากรสภาที่ไม่แข็งแรงพอกับการที่จะมีเลือกตั้งในสี่เดือนข้างหน้า
    เขาเคยมีความหวังกับ Yury Luzhkov หรือไม่ก็ Yevgeny Primakov
    แต่ต้องมาพบกับหลังบ้านของ Luzhkov ทำธุรกิจที่อิงการเมือง
    จนร่ำรวยมหาศาล ในขณะที่บ้านเมืองยังอยู่ในสภาพอดมื้อกินมื้อ
    แถมตัวสามี Yury ก็เถียงแทนเมียฉอดๆ ว่า
    “ก็ชั้นทำงานให้กับเครมลิน…ไม่ได้ทำเพื่อชาติ…”

    เยลซินถามขึ้นมาว่า
    “เธอจะทำได้ไหม ทำในสิ่งที่ฉันต้องการที่จะเห็น นั่นคือ พาประเทศชาติของเราให้เจริญอยู่ยงอย่างแข็งแรงต่อไป..”
    ปูตินอึกอัก “กระผมไม่แน่ใจ เรื่องงาน กระผมไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น
    แต่ถ้าจะต้องไปหาเสียง……ไปโฆษณาตัวเอง กระผมไม่ชอบ”
    “นั่นไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น เป็นธุระของทางเราเอง”
    “ถ้าเช่นนั้น ก็แล้วแต่ท่านจะกรุณา…”
    “ไม่ต้องกังวล เธอเตรียมตัวไว้ได้เลย เพราะเธอจะไปไกลกว่านี้แน่นอน”

    วันที่ 9 สิงหาคม เยลซินได้ออกทีวี ประกาศว่า
    “เราได้เลือกได้บุคคลที่เหมาะสมที่จะมาทำงานรับใช้ประเทศชาติแล้ว ขอให้ท่านเชื่อใจได้เลยว่า เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์อย่างมากมาย
    และมีความสามารถเหลือล้น”

    ข่าวนี้ได้สร้างความฮือฮาประหลาดใจกับทุกคนในเครมลิน ที่ส่วนใหญ่มองไปในด้านลบ เพราะ ปูตินไอ้หน้าจืดเนี่ยนะ………นายกรัฐมนตรี ?!!!
    มีประสบการณ์อะไรมา……นี่เท่ากับว่าส่งมาลงนรก หมดอนาคตต่อไปเชียว
    อย่างมากก็สามเดือน จะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!!
    ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนักหน่วงของปูติน เพราะวลาดิเมียร์ผู้พ่ออยู่ในสภาพเจ็บหนัก ที่เขาต้องไปเยี่ยมเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ส่วนมาเรีย มารดาได้จากไปเมื่อสองปีที่แล้ว
    และทุกครั้งที่พ่อเห็นเขา…พ่อจะพูดว่า ….”ลูกชายของพ่อ เจ้าช่างเหมือนกับซาร์เลยเชียวนะ……”
    วลาดิเมียร์ได้ถึงแก่กรรมในวันที่ 2 สิงหาคม ไม่ทันที่จะได้รับรู้ว่าลูกชายจะได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรีในกาลอันใกล้

    ปูตินเองก็มานั่งทบทวนดู ว่า อนาคตเขาอาจจะไม่ต่างไปจากเหล่าอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆของเยลซิน ที่ล้วนมีอายุราชการสั้น สามเดือน หกเดือน เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับ Stepashin, Ptimakov และ Kiriyenko
    แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็คิดว่า ช่างมันประไร เขามีอายุเพียงสี่สิบหก
    และจะได้รับงานที่เป็นการท้าทายความสามารถ มีอำนาจเด็ดขาด
    ที่จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำ โดยเฉพาะเรื่องสงครามที่เชเชน ที่เขาจะต้องกู้ชื่อเสียงกลับมาให้ได้ …
    เท่ากับว่า……เขาไม่ได้ลงทุนอะไรเลย และเขาได้คิดถึงในสมัยที่ยังเป็นเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้าวิ่งออกในอาคารสงเคราะห์ ที่ไม่เคยกลัวใคร
    ไม่เคยรอเสียเวลาในการถกเถียง….เปิดฉากปะทะก่อนทุกครั้ง…
    และครั้งนี้…ในคอเคซัส….เขาจะไปให้พวกมันเห็นว่านรกมีจริงงงง……!!!

    ปูตินได้รับการผ่านในการเสนอชื่อในสภาเพื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 16 สิงหาคม
    สิ่งแรกที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆทำ คือ แต่งตัวลำลอง บินไปชายแดนเชเชน ไปพบปะพูดคุยกับทหารหาญ ไปมอบเหรียญกล้าหาญ

    ทางฝ่ายกบฏเชเชนได้ทำการท้าทายอำนาจใหม่อย่างเหิมเกริม นั่นคือการวางระเบิดอพาร์ตเมนต์ในเมือง Volgodonsk มีคนเสียชีวิตนับสิบ

    วันที่ 23 สิงหาคม ฝูงบินจากรัสเซียส่งเข้าไปถล่มถึงกลางกรุง Grozny
    ถล่มโรงกลั่นน้ำมันจนราบเป็นหน้ากลอง เป็นการถล่มแบบนอกตำรายุทธการ เพราะมาแบบล้างแค้นสถานเดียว
    ปูตินอยู่สังเกตการณ์ทั้งหมด มีนักข่าวไปถามว่า
    “บอมบ์เพื่อหวังผลอะไร..?”
    ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน เพราะปูตินพูดจาด้วยภาษานักเลงแบบที่ได้ยินตามมุมถนน เขาตอบว่า
    “เบื่อโคตรๆ ที่ต้องมาตอบอะไรซ้ำซากแบบนี้ เราถล่มเฉพาะจุดที่เรารู้ว่าพวกไอ้เลวนั่นมันสุมหัวอยู่กัน โทษทีนะ ถ้าพบว่ามันนั่งอยู่ในส้วม ก็จะส่งมันลงท่อไปตรงนั้นเลย…”

    หลังจากที่ถล่มจนราบแล้ว วันที่ 29 กันยายน ปูตินได้ถามกับ ประธานาธิบดีเชเชน Aslan Maskhadov ว่า..
    “ถ้านายพร้อมที่จะเจรจา……เรามีทางเลือกให้สถานเดียวคือ ส่งตัวไอ้อาชญากรสงคราม Basayev กับ Khattab และไอ้พวกหัวกระทิตามบัญชีรายชื่อทั้งหลายมา และ นี่ไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยน……แต่เป็นคำสั่ง..!!”
    ทางอัสลาน ก็ได้แต่ปฏิเสธ บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวางระเบิด……
    และเรื่องที่จะส่งตัว คนพวกนั้นก็ทำไม่ได้อีก เพราะมันจะกลายเป็นการหักหลังกัน…”
    คือสรุปว่า….เขาเลือกที่จะอยู่ตรงข้ามกับรัสเซีย

    วันรุ่งขึ้น…กองทัพรัสเซียกว่า แปดหมื่นนายบุกประชิดเชเชน มีสำรองไว้อีก 93,000 แทบจะเป็นขนาดเดียวกันกับที่รัสเซียบุกอาฟกานิสถาน ที่ใหญ่กว่าเชเชนสี่สิบเท่า…
    วันที่ 1 ตุลาคม รัสเซียไม่ยอมรับรัฐบาลของอัสลาน
    วันที่ 5 ตุลาคม…รัสเซียเข้าครองพื้นที่กว่าครึ่งของทางเหนือ และ วันต่อมาก็ข้ามแม่น้ำไปยังเมืองหลวง Grozny
    ปูตินไม่ยอมเสียกำลังทหารในการบุก
    เขาให้สัมภาษณ์ว่า……
    เราใช้การส่งฝูงบินโจมตีเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทหาร เอาไว้เข้าตามเก็บกวาดให้เรียบ เพราะการรบสมัยใหม่นี้
    มีเครื่องทุ่นแรงเยอะ ไม่ใช่อย่างสมัยสงครามโลก……”
    นักข่าวถามว่า “ ถ้าฝูงบินไม่สำเร็จผลล่ะ……”
    “เราก็ชนะอยู่ดี………เพราะในตำราของเรา……ไม่มีคำว่า…ถ้า……”

    *** สงครามเชเชนครั้งนี้คือครั้งที่สอง จาก ครั้งแรกในปี1996
    ครั้งนี้เริ่มในวันที่ 7 สิงหาคม 1999 ถึง 30 เมษายน 2000
    ที่รัสเซียได้ชัยชนะ……
    แต่ยังมีการปราบปรามกลุ่มต่อต้าน ที่มารูปของการก่อวินาศกรรมอีก ตั้งแต่ ปี 2000-2009 ที่หัวหน้าใหญ่อย่าง Aslan Maskhadov (อดีตประธานาธิบดี) ที่หนีไปอยู่ในถ้ำ ยังถูกตามเก็บจนหมด ส่วนเหล่าลูกน้องก็สลายตัวไปปนอยู่ในกลุ่มของ ISIS
    บัดนี้ คือ สาธารณรัฐเชเชน (หรือ เซซเนีย) คือ สาธารณรัฐหนึ่งของรัสเซีย ที่มี นายกรัฐมนตรี คือ Ramzan Kadyrov เป็นลูกชายของอดีตประธานาธิบดีคนแรกของเชเชน Akhmad Kadyrov ที่ได้มีโอกาสเป็น ประธานาธิบดีเพียงไม่กี่เดือน ก็ถูกลอบสังหาร..

    NATO ได้ยื่นมือเข้ามาตามเคยในการที่จะเรียกร้องหาความยุติธรรม และเรื่องเจรจาสงบศึก ทางรัสเซียก็ย้อนกลับไปว่า แล้วกองทัพนาโต้ที่เข้าไปบอมบ์ Kosovo เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน (1999) มีชาวยูโกสลาฟตายกว่า 500 คน
    ไหนล่ะ…ความยุติธรรม……???

    Wiwanda W. Vichit
    มาร่วมแสดงความยินดีกับท่านนายกรัฐมนตรีพี่ปูหน่อยค่าาาา….ติ่งขาาาาา……!!!! ตอนเก้า………บุญหล่นทับ……จนนักเลงสายลับรับแทบไม่ทัน……!!! จากกรณีท่านอัยการ ทำให้มีการปลดออกอีกหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง บางคนก็มีการไว้หน้า เช่น เสนอให้ไปทำงานที่สถานทูตที่เดนมาร์คบ้าง ฟินแลนด์บ้าง และเยลซินได้มอบหมายให้ปูตินดูแลรับผิดชอบในฝ่ายอารักขาส่วนตัวควบคู่ไปกับเป็นผู้อำนวยการของ FSB ปูตินได้ถือโอกาสนี้…ขออำนาจเด็ดขาดในการบริหารงานและตัดสินใจ ซึ่งเขาก็ได้ตามนั้น นั่นเท่ากับ……ปูตินได้เข้ามาอยู่ใน”วงใน” ของเยลซินไปโดยปริยาย ในระยะเวลาเพียงสองปีครึ่งของการทำงานในมอสโคว์ แต่เวลาในการผงาดของปูติน มันเป็นเวลาเดียวกันกับความอ่อนเปลี้ยของเยลซิน ที่รุมเร้าด้วยสุขภาพ และความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกกับการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพของทีมที่เลือกมา วันที่ 5 มีนาคม 1999 ได้เกิดเหตุขึ้น นายพล Gennady Shpigun แห่งกระทรวงกลาโหม ที่ได้มีภาระกิจที่เมือง Grozny, Chechen (Chechen Republic of Ichkeria) ได้ถูกลักพาตัวไปเมื่อทันที่ที่ถึงสนามบิน โดยกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ใส่หน้ากากคลุมหน้าคลุมตา พร้อมอาวุธเต็มพิกัด โดยปรกติสถานะการณ์ในเชเชนนั้น ร้อนระอุมาตั้งแต่หลังจากที่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นเอกราชในปี 1991 จากรัสเซีย แต่ก็เป็นแบบครึ่งๆกลางๆ การต่อต้านจึงลุกฮือขึ้นอีก ในปี 1993 เยลซินจึงให้นายพล Lebed ขี้เก๊กยกทัพไปปราบ แต่ปรากฏว่าแพ้ยับกลับมาในปี 1996 ทางเชเชนก็เสียหายไม่น้อย บ้านเมืองพังพินาศ ทำได้แค่สงบศึก ต่างคนต่างอยู่ เพราะต่างก็เสียทหารไปจำนวนมาก แต่รัสเซียยังคอยแทรกแซง หรือกำไว้แบบหลวม…… จึงได้เกิดขบวนการต่อต้านรัสเซีย ที่ก่อความไม่สงบ มีการจับตัวคนนั้นคนนี้ไปบ่อยๆ เพียงแต่คราวนี้เหิมเกริม……อุกอาจจับตัวรัฐมนตรีกลาโหมไป พร้อมเรียกร้องค่าไถ่ตัวถึง สิบห้าล้านยูเอสดอลล่าร์ ตามาด้วยการระเบิดที่ใจกลางเมือง Vladikavkas ทางคอเคซัส มีคนตายถึง 60 คน เยลซินสั่งการให้ปูตินและ Seigei Stepashin นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมาหมาดๆ ( แทน Yevgeny Primakov) ให้ไปดูสถานะการณ์ที่เมือง Vladikavkas โดยด่วน เพื่อไปพบกับ Aslan Maskhadov ประธานาธิบดีเชเชนที่ยังมีสัมพันธภาพที่ดีกับรัสเซีย การไปพบครั้งนี้ อัสลานได้มีทีท่าแปลกๆ เขาพูดว่า “ได้ข่าวมาว่า ทางรัสเซียได้มอบหมายให้”หน่วยงานพิเศษ” จะเข้ามาปฎิบัติการสังหารผม เพื่อที่จะได้เป็นข้ออ้างที่จะประกาศเป็นสถานะการณ์ฉุกเฉิน แล้วยกทัพเข้ามาควบคุมพื้นที่ ……” ปูตินได้ยินดังนั้น…โกรธจนหูกระดิก เพราะไอ้หน่วยงานพิเศษที่ว่านั้น มันก็หมายถึง FSB ที่เขาดูแลอยู่ และอีกประการหนึ่ง ในเรื่องที่รัสเซียแพ้สงครามในเชเชนทั้งๆที่มีกำลังมากกว่าถึงสามเท่านั้น มันก็น่าอับอายพออยู่แล้ว เป็นอันว่า….เรื่องการเจรจานั้น……เลิกคิดไปได้เลย ถึงแม้ว่า……จะตระหนักดีในความจริงที่ว่า รัสเซียจะไม่ได้รบกับกบฏเชเชน แต่…มันอาจจะเป็นการรบกับ NATO ศัตรูดั้งเดิมก็ได้ ที่ทำให้ปูตินต้องหาทางเจรจากับเยลซิน…… ฝ่ายกลาโหมได้ตั้งรับแนวปะทะ ฝ่ายกบฏเชเชนได้ล่วงล้ำไปใน Dagestan และได้รับข่าวร้ายว่าได้พบกับร่างที่หมดลมหายใจของนายพล Shpigun ที่ถูกลักพาตัวไปแล้ว ทางกองทัพรัสเซียได้ทำการเตรียมการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ปูตินได้เดินทางไปพบกับกองกำลังของรัสเซียที่รัฐดาเกสถาน หลายครั้งเพื่อความมั่นใจว่า แม่ทัพ Anatoly Kvashnin มีความพร้อม วันที่ 5 สิงหาคม เยลซินได้มีคำสั่งให้ปูตินเข้าพบในบ้านพัก ชายขอบกรุงมอสโคว์ พอนั่งลงเสร็จ เยลซินได้จ้องหน้าปูติน และกล่าวขึ้นมาว่า “ฉันตัดสินใจแล้วนะ ที่เรียกเธอมาในวันนี้ คือ ฉันอยากจะแต่งตั้งเธอให้เป็นนายกรัฐมนตรี…” ปูตินเงียบไปอึดใจหนึ่ง ฟังเยลซินได้บรรยายปัญหาของภาระของรัสเซียแบกไว้ในคอเคซัส ให้ปูตินฟัง ถึงเรื่อง เศรษฐกิจ สภาพเงินเฟ้อ และที่เขากังวลเป็นอย่างมากคือ ปัญหาของโครงสร้างและบุคลากรสภาที่ไม่แข็งแรงพอกับการที่จะมีเลือกตั้งในสี่เดือนข้างหน้า เขาเคยมีความหวังกับ Yury Luzhkov หรือไม่ก็ Yevgeny Primakov แต่ต้องมาพบกับหลังบ้านของ Luzhkov ทำธุรกิจที่อิงการเมือง จนร่ำรวยมหาศาล ในขณะที่บ้านเมืองยังอยู่ในสภาพอดมื้อกินมื้อ แถมตัวสามี Yury ก็เถียงแทนเมียฉอดๆ ว่า “ก็ชั้นทำงานให้กับเครมลิน…ไม่ได้ทำเพื่อชาติ…” เยลซินถามขึ้นมาว่า “เธอจะทำได้ไหม ทำในสิ่งที่ฉันต้องการที่จะเห็น นั่นคือ พาประเทศชาติของเราให้เจริญอยู่ยงอย่างแข็งแรงต่อไป..” ปูตินอึกอัก “กระผมไม่แน่ใจ เรื่องงาน กระผมไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น แต่ถ้าจะต้องไปหาเสียง……ไปโฆษณาตัวเอง กระผมไม่ชอบ” “นั่นไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น เป็นธุระของทางเราเอง” “ถ้าเช่นนั้น ก็แล้วแต่ท่านจะกรุณา…” “ไม่ต้องกังวล เธอเตรียมตัวไว้ได้เลย เพราะเธอจะไปไกลกว่านี้แน่นอน” วันที่ 9 สิงหาคม เยลซินได้ออกทีวี ประกาศว่า “เราได้เลือกได้บุคคลที่เหมาะสมที่จะมาทำงานรับใช้ประเทศชาติแล้ว ขอให้ท่านเชื่อใจได้เลยว่า เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์อย่างมากมาย และมีความสามารถเหลือล้น” ข่าวนี้ได้สร้างความฮือฮาประหลาดใจกับทุกคนในเครมลิน ที่ส่วนใหญ่มองไปในด้านลบ เพราะ ปูตินไอ้หน้าจืดเนี่ยนะ………นายกรัฐมนตรี ?!!! มีประสบการณ์อะไรมา……นี่เท่ากับว่าส่งมาลงนรก หมดอนาคตต่อไปเชียว อย่างมากก็สามเดือน จะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!! ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนักหน่วงของปูติน เพราะวลาดิเมียร์ผู้พ่ออยู่ในสภาพเจ็บหนัก ที่เขาต้องไปเยี่ยมเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ส่วนมาเรีย มารดาได้จากไปเมื่อสองปีที่แล้ว และทุกครั้งที่พ่อเห็นเขา…พ่อจะพูดว่า ….”ลูกชายของพ่อ เจ้าช่างเหมือนกับซาร์เลยเชียวนะ……” วลาดิเมียร์ได้ถึงแก่กรรมในวันที่ 2 สิงหาคม ไม่ทันที่จะได้รับรู้ว่าลูกชายจะได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรีในกาลอันใกล้ ปูตินเองก็มานั่งทบทวนดู ว่า อนาคตเขาอาจจะไม่ต่างไปจากเหล่าอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆของเยลซิน ที่ล้วนมีอายุราชการสั้น สามเดือน หกเดือน เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับ Stepashin, Ptimakov และ Kiriyenko แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็คิดว่า ช่างมันประไร เขามีอายุเพียงสี่สิบหก และจะได้รับงานที่เป็นการท้าทายความสามารถ มีอำนาจเด็ดขาด ที่จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำ โดยเฉพาะเรื่องสงครามที่เชเชน ที่เขาจะต้องกู้ชื่อเสียงกลับมาให้ได้ … เท่ากับว่า……เขาไม่ได้ลงทุนอะไรเลย และเขาได้คิดถึงในสมัยที่ยังเป็นเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้าวิ่งออกในอาคารสงเคราะห์ ที่ไม่เคยกลัวใคร ไม่เคยรอเสียเวลาในการถกเถียง….เปิดฉากปะทะก่อนทุกครั้ง… และครั้งนี้…ในคอเคซัส….เขาจะไปให้พวกมันเห็นว่านรกมีจริงงงง……!!! ปูตินได้รับการผ่านในการเสนอชื่อในสภาเพื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 16 สิงหาคม สิ่งแรกที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆทำ คือ แต่งตัวลำลอง บินไปชายแดนเชเชน ไปพบปะพูดคุยกับทหารหาญ ไปมอบเหรียญกล้าหาญ ทางฝ่ายกบฏเชเชนได้ทำการท้าทายอำนาจใหม่อย่างเหิมเกริม นั่นคือการวางระเบิดอพาร์ตเมนต์ในเมือง Volgodonsk มีคนเสียชีวิตนับสิบ วันที่ 23 สิงหาคม ฝูงบินจากรัสเซียส่งเข้าไปถล่มถึงกลางกรุง Grozny ถล่มโรงกลั่นน้ำมันจนราบเป็นหน้ากลอง เป็นการถล่มแบบนอกตำรายุทธการ เพราะมาแบบล้างแค้นสถานเดียว ปูตินอยู่สังเกตการณ์ทั้งหมด มีนักข่าวไปถามว่า “บอมบ์เพื่อหวังผลอะไร..?” ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน เพราะปูตินพูดจาด้วยภาษานักเลงแบบที่ได้ยินตามมุมถนน เขาตอบว่า “เบื่อโคตรๆ ที่ต้องมาตอบอะไรซ้ำซากแบบนี้ เราถล่มเฉพาะจุดที่เรารู้ว่าพวกไอ้เลวนั่นมันสุมหัวอยู่กัน โทษทีนะ ถ้าพบว่ามันนั่งอยู่ในส้วม ก็จะส่งมันลงท่อไปตรงนั้นเลย…” หลังจากที่ถล่มจนราบแล้ว วันที่ 29 กันยายน ปูตินได้ถามกับ ประธานาธิบดีเชเชน Aslan Maskhadov ว่า.. “ถ้านายพร้อมที่จะเจรจา……เรามีทางเลือกให้สถานเดียวคือ ส่งตัวไอ้อาชญากรสงคราม Basayev กับ Khattab และไอ้พวกหัวกระทิตามบัญชีรายชื่อทั้งหลายมา และ นี่ไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยน……แต่เป็นคำสั่ง..!!” ทางอัสลาน ก็ได้แต่ปฏิเสธ บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวางระเบิด…… และเรื่องที่จะส่งตัว คนพวกนั้นก็ทำไม่ได้อีก เพราะมันจะกลายเป็นการหักหลังกัน…” คือสรุปว่า….เขาเลือกที่จะอยู่ตรงข้ามกับรัสเซีย วันรุ่งขึ้น…กองทัพรัสเซียกว่า แปดหมื่นนายบุกประชิดเชเชน มีสำรองไว้อีก 93,000 แทบจะเป็นขนาดเดียวกันกับที่รัสเซียบุกอาฟกานิสถาน ที่ใหญ่กว่าเชเชนสี่สิบเท่า… วันที่ 1 ตุลาคม รัสเซียไม่ยอมรับรัฐบาลของอัสลาน วันที่ 5 ตุลาคม…รัสเซียเข้าครองพื้นที่กว่าครึ่งของทางเหนือ และ วันต่อมาก็ข้ามแม่น้ำไปยังเมืองหลวง Grozny ปูตินไม่ยอมเสียกำลังทหารในการบุก เขาให้สัมภาษณ์ว่า…… เราใช้การส่งฝูงบินโจมตีเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทหาร เอาไว้เข้าตามเก็บกวาดให้เรียบ เพราะการรบสมัยใหม่นี้ มีเครื่องทุ่นแรงเยอะ ไม่ใช่อย่างสมัยสงครามโลก……” นักข่าวถามว่า “ ถ้าฝูงบินไม่สำเร็จผลล่ะ……” “เราก็ชนะอยู่ดี………เพราะในตำราของเรา……ไม่มีคำว่า…ถ้า……” *** สงครามเชเชนครั้งนี้คือครั้งที่สอง จาก ครั้งแรกในปี1996 ครั้งนี้เริ่มในวันที่ 7 สิงหาคม 1999 ถึง 30 เมษายน 2000 ที่รัสเซียได้ชัยชนะ…… แต่ยังมีการปราบปรามกลุ่มต่อต้าน ที่มารูปของการก่อวินาศกรรมอีก ตั้งแต่ ปี 2000-2009 ที่หัวหน้าใหญ่อย่าง Aslan Maskhadov (อดีตประธานาธิบดี) ที่หนีไปอยู่ในถ้ำ ยังถูกตามเก็บจนหมด ส่วนเหล่าลูกน้องก็สลายตัวไปปนอยู่ในกลุ่มของ ISIS บัดนี้ คือ สาธารณรัฐเชเชน (หรือ เซซเนีย) คือ สาธารณรัฐหนึ่งของรัสเซีย ที่มี นายกรัฐมนตรี คือ Ramzan Kadyrov เป็นลูกชายของอดีตประธานาธิบดีคนแรกของเชเชน Akhmad Kadyrov ที่ได้มีโอกาสเป็น ประธานาธิบดีเพียงไม่กี่เดือน ก็ถูกลอบสังหาร.. NATO ได้ยื่นมือเข้ามาตามเคยในการที่จะเรียกร้องหาความยุติธรรม และเรื่องเจรจาสงบศึก ทางรัสเซียก็ย้อนกลับไปว่า แล้วกองทัพนาโต้ที่เข้าไปบอมบ์ Kosovo เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน (1999) มีชาวยูโกสลาฟตายกว่า 500 คน ไหนล่ะ…ความยุติธรรม……??? Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 880 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่มีใครเก่งไปกว่าใคร
    มีแต่ใครถนัดอะไรมากกว่ากัน
    .
    .
    จากหนังสือ | สัญญานะว่าจะยิ้มให้กับตัวเอง

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #สัญญานะว่าจะยิ้มให้กับตัวเอง #ความผิดหวัง
    #Thaitimes #การรักตัวเอง
    ไม่มีใครเก่งไปกว่าใคร มีแต่ใครถนัดอะไรมากกว่ากัน . . จากหนังสือ | สัญญานะว่าจะยิ้มให้กับตัวเอง #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #สัญญานะว่าจะยิ้มให้กับตัวเอง #ความผิดหวัง #Thaitimes #การรักตัวเอง
    Like
    Love
    Yay
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 726 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต่อให้วันนี้
    จะมีคนผิดหวังในตัวเธอ
    แต่เธอ ต้องไม่ผิดหวังในตัวเอง

    จากหนังสือ | สัญญานะว่าจะยิ้มให้กับตัวเอง

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #สัญญานะว่าจะยิ้มให้กับตัวเอง #ความผิดหวัง
    #Thaitimes #การรักตัวเอง
    ต่อให้วันนี้ จะมีคนผิดหวังในตัวเธอ แต่เธอ ต้องไม่ผิดหวังในตัวเอง จากหนังสือ | สัญญานะว่าจะยิ้มให้กับตัวเอง #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #สัญญานะว่าจะยิ้มให้กับตัวเอง #ความผิดหวัง #Thaitimes #การรักตัวเอง
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 729 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉันมักจะฉงน ฉงาย และตั้งคำถามกลับว่า ถามทำไม
    คำถามย้อนเวลาน่ะ
    ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะบอกตัวเองว่าอะไร หรืออยากแก้ไขอะไรไหม หรือจะไม่ทำอะไรไหม ถ้ามีโอกาสให้ย้อนเวลาได้ จะกลับไปทำอะไร
    ที่ฉันสงสัย จะย้อนไปทำไม ที่ผ่านไปแล้ว ก็จบลงตรงนั้นแล้ว หากเจ็บปวดตอนนี้ก็ทุเลา หรือหายดีแล้วนี่ จะย้อนไปเริ่มเจ็บอีกทำไม หากมีความสุข ก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันสุขอย่างนั้นไม่ได้นานหรอก
    ทุกอย่างผ่านไปแล้ว มันมีข้อเสีย แต่ก็ข้อดีอยู่
    หากย้อนได้ ฉันในเวลานั้น อายุแค่นั้น ประสบการณ์ชีวิตแค่นั้น สิ่งแวดล้อมแบบนั้น เชื่อว่าตัวเองก็ต้องทำแบเดิมอีกอยู่ดี ตัดสินใจผิด ขี้ขลาด ไม่มั่นใจ กลัว แล้วความเจ็บปวด ความผิดหวังก็ถาโถมมาใส่ฉันอีกครั่ง ฉันจะกลับไปเริ่มความรู้สึกเจ็บปวดในตอนนั้นอีกครั้งทำไม
    เป็นแบบนี้แหละ เป็นฉันแบบนี้ในปัจจุบันนี้แหละ แม้จะไม่ดีทุกอย่าง แต่มีบางอย่างที่ฉันได้เรียนรู้แล้ว
    ๑๖ ก.ย. ๖๗
    ฉันมักจะฉงน ฉงาย และตั้งคำถามกลับว่า ถามทำไม คำถามย้อนเวลาน่ะ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะบอกตัวเองว่าอะไร หรืออยากแก้ไขอะไรไหม หรือจะไม่ทำอะไรไหม ถ้ามีโอกาสให้ย้อนเวลาได้ จะกลับไปทำอะไร ที่ฉันสงสัย จะย้อนไปทำไม ที่ผ่านไปแล้ว ก็จบลงตรงนั้นแล้ว หากเจ็บปวดตอนนี้ก็ทุเลา หรือหายดีแล้วนี่ จะย้อนไปเริ่มเจ็บอีกทำไม หากมีความสุข ก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันสุขอย่างนั้นไม่ได้นานหรอก ทุกอย่างผ่านไปแล้ว มันมีข้อเสีย แต่ก็ข้อดีอยู่ หากย้อนได้ ฉันในเวลานั้น อายุแค่นั้น ประสบการณ์ชีวิตแค่นั้น สิ่งแวดล้อมแบบนั้น เชื่อว่าตัวเองก็ต้องทำแบเดิมอีกอยู่ดี ตัดสินใจผิด ขี้ขลาด ไม่มั่นใจ กลัว แล้วความเจ็บปวด ความผิดหวังก็ถาโถมมาใส่ฉันอีกครั่ง ฉันจะกลับไปเริ่มความรู้สึกเจ็บปวดในตอนนั้นอีกครั้งทำไม เป็นแบบนี้แหละ เป็นฉันแบบนี้ในปัจจุบันนี้แหละ แม้จะไม่ดีทุกอย่าง แต่มีบางอย่างที่ฉันได้เรียนรู้แล้ว ๑๖ ก.ย. ๖๗
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ลองเปิดหัวใจแน๊กชาลีมาถึงวันนี้ต้องอดทนกับอะไรบ้าง
    วันนี้คิงส์โพธิ์แดงอยากชวนเพื่อนๆมาร่วมประสบการณ์
    ย้อนดูความจริงกับน้องชายแห่งชาติกับความผิดพลาด
    ที่น้องต้องออกมาขอโทษซ้ำแล้วซ้ำอีก น้องขอโทษอะไร
    น้องต้องเจออะไร และต้องอดทนกับอะไร มาลองไล่กันดู
    1. #อดทนกับการรับรู้ว่านั่นคือการแสดง การที่แน๊กต้องเจอกับการแสดงและสตอรี่ที่กามินสร้างขึ้น นั่งดูนั่งสงสารมาเป็นเดือน กว่าจะตัดสินใจว่าเอาหละ อยากช่วยผู้หญิงคนนี้จัง ช่างน่าสงสารจริงๆ การแสดงที่เต็มไปด้วยความแบ๊ว แม๊จะอายุปาไปสามสิบกว่าปี แต่สร้างภาพลักษณ์ได้ไม่ต่างกับวัยทีน เมื่อรู้ความจริง นี่คือความอดทนที่พูดไม่ได้
    2. #อดทนกับอิลำยองติดแอล บ้านแน๊ก เห็นน้องดูทะเล้น ดูขี้เล่น แต่จะเห็นภาพชัดเจนว่า ที่บ้านเน็ก เป็นบ้านที่มีการเลี้ยงดูน้องมาอย่างดี ความสะอาด และการไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุก และหลายคนรู้ว่าแน๊ก แพ้กลิ่นแอลอย่างมาก ถึงขนาดไอไม่หยุด แต่อิเหวิงกามิจ มันไม่แคร์ จนแน๊กต้องจำทน เอาแอลเข้าบ้าน ทั้งๆที่บ้านหลังนี้ เคยมีแอลเข้ามา นี่คือความอดทนของแน๊กข้อที่สอง
    3. #อดทนกับการแสดง ด้วยความที่แน๊กเชื่อว่า ความรักความจริงใจที่มอบให้อิเหวิง จะสามารถเปลี่ยนให้นางเป็นคนใหม่ได้ โดยไม่รู้ว่า การมาของอิเหวิง หน้าจอมือถือ คือการแสดงที่อิเหวิงเรียกว่า มาทำงาน แต่แน๊กคิดว่านี่คือสิ่งที่จะช่วยให้กามิจมีทุนเรียนต่อ พูดง่ายๆ ยังอินกับภาพเดิม จนทุกอย่างถูกเปิดเผย
    4. #อดทนกับความรู้สึกผิดกับครอบครัว ความเสียใจที่เกินกว่าที่ใครจะนึกถึงคือ การที่กามิจ เล่นกับหัวใจของแฟนคลับยังไม่พอ ยังแสดงจนแม่ชาลี ต้องอดทนกับพฤติกรรม เพียงเพื่อ รักคนที่ลูกชายรัก แฟนเพจคิดว่าการที่ต้องรู้ว่า ตัวเองพาอิห่านจิกสก็อยที่ไหนเข้าบ้าน ทำให้แม่ต้องอดทน มันเจ็บขนาดไหน
    5. #อดทนกับความซกม๊กสก็อยฉกปก ที่บ้านแน๊ก สังเกตุได้ มีความเป็นระเบียบ ความสะอาด จากภาพที่เห็นการแสดง ใครจะคิด ว่าอิเหวิง เป็นคนซกม๊กตามแบบฉบับสก็อยกิมจิ มันคนละภาพ ถ้าเป็นคิงส์โพธิ์แดง เจอไม่ตรงปกแบบนี้ ยันโครมกลับกิมจิไปนานแล้ว แล้วคนรักสะอาดอยา่งแน๊ก ต้องทนกับการไม่อาบน้ำเป็นสัปดาห์สองสัปดาห์ จะอาบน้ำต้องบังคับ ต้องเข็น กลิ่นตัวที่โชย กลิ่นแอลที่ยังคลุ้ง ตื่นมาไม่แปลงฟัน กินส้มตำได้เลย อะไรแบบนี้ นี่คือความอดทนที่แน๊กต้องพยายามเปลี่ยนนางให้เป็นคนที่แฟนคลับคาดหวัง จนในที่สุดแม้กระทั่งในไลฟ์ แน็กบอกแล้วอย่าแดรกแอล แต่อิเหวิงไม่ฟัง จนเห็นภาพเมาปลิ้นกลางไลฟ์ ชาลีก็ทำหน้าเซ็ง แต่ก็ต้องอดทน กลบเกลื่อนความผิดหวัง
    6. #ต้องทนกับการถูกหักหลัง จากคนอย่างโจ จิตเปื่อย ที่เกาะกระแสแน๊กเป็นปลิง ที่ไปสร้างข้อมูลผิดๆ เพียงเพราะแน๊ก ขวางการทำมาหาแดรกของนาง สร้างกลุ่มเพื่อให้ร้าย เลยเถิดไปถึงการทำให้เ-ก-ลี-ย-ด-ชั-ง ไม่ใช่แค่แน๊ก แต่ลามไปถึงหลานตัวน้อยของแน๊ก มาตร้าย พวกทุยสมุน โจ ตกขาว เล่นกันแรงมาก แต่ชาลีอดทน ไม่อยากเอาเรื่อง จนได้ใจ ทำเป็นกิจกรรมการให้ร้ายเป็นล่ำเป็นสัน จนเป็นเหมือนกอง กำลัง ของอิโจ ไว้เล่นงานแน๊ก อันนี้สุดจริง
    7. #ต้องอดทนที่คนใกล้ตัวที่จิตอ่อน หลงตามอิโจไป ถึงขนาดต้องเชิญมาที่บ้าน เพื่ออธิบายความจริง แต่ก่อนหน้านั้น จะเจ็บเบอร์ไหน เดาไม่ถูกเลย ที่ให้เกียรติเชิญมาฟัง และให้ซักถามทุกข้อ ปรากฏทุกคนเข้าใจหมด ยกเว้นอิโจ ที่ไม่จบ ก็วนกลับไปให้ร้ายน้องตามห้องตามกลุ่มแบบที่เคยๆ ไปสร้างความเข้าใจผิด จนสาวกเข้าใจแบบฝังหัวว่า น้องแน๊กเปื่อย ทั้งๆที่อิโจนี่แหละ เปื่อยของจริง
    8. #ต้องอดทนกับการตัดสินใจที่จะตัดอิเหวิงออกจากชีวิต ไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่เพราะทนไม่ได้ที่โจ และอิเหวิง ได้สร้างอิทธิพลทางออนไลน์ ดึงคนไทยจิตอ่อน ไปเปย์กันแบบหมดเนื้อหมดตัว เมื่อห้ามไม่ได้ ต้องจำใจ แยกดีกว่า แต่คำว่าแยก มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครคิด กว่าที่ชาลีจะมูฟออนได้ ก็เพิ่งเมื่อวาน ที่ลั่นออกมาว่า "ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว" นั่นแหละ
    นี่คือสิ่งที่พี่คิงส์ ประเมิน หัวใจของแน๊กที่ต้องอดทน
    จนคิดว่า แน๊ก เอ็งพระเอกไปป่าวฟร๊ะ
    แต่ก็คงเป็นเพราะแบบนี้ คนไทยถึงรักเอ็ง
    แน๊ก ชาลี
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    #ลองเปิดหัวใจแน๊กชาลีมาถึงวันนี้ต้องอดทนกับอะไรบ้าง วันนี้คิงส์โพธิ์แดงอยากชวนเพื่อนๆมาร่วมประสบการณ์ ย้อนดูความจริงกับน้องชายแห่งชาติกับความผิดพลาด ที่น้องต้องออกมาขอโทษซ้ำแล้วซ้ำอีก น้องขอโทษอะไร น้องต้องเจออะไร และต้องอดทนกับอะไร มาลองไล่กันดู 1. #อดทนกับการรับรู้ว่านั่นคือการแสดง การที่แน๊กต้องเจอกับการแสดงและสตอรี่ที่กามินสร้างขึ้น นั่งดูนั่งสงสารมาเป็นเดือน กว่าจะตัดสินใจว่าเอาหละ อยากช่วยผู้หญิงคนนี้จัง ช่างน่าสงสารจริงๆ การแสดงที่เต็มไปด้วยความแบ๊ว แม๊จะอายุปาไปสามสิบกว่าปี แต่สร้างภาพลักษณ์ได้ไม่ต่างกับวัยทีน เมื่อรู้ความจริง นี่คือความอดทนที่พูดไม่ได้ 2. #อดทนกับอิลำยองติดแอล บ้านแน๊ก เห็นน้องดูทะเล้น ดูขี้เล่น แต่จะเห็นภาพชัดเจนว่า ที่บ้านเน็ก เป็นบ้านที่มีการเลี้ยงดูน้องมาอย่างดี ความสะอาด และการไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุก และหลายคนรู้ว่าแน๊ก แพ้กลิ่นแอลอย่างมาก ถึงขนาดไอไม่หยุด แต่อิเหวิงกามิจ มันไม่แคร์ จนแน๊กต้องจำทน เอาแอลเข้าบ้าน ทั้งๆที่บ้านหลังนี้ เคยมีแอลเข้ามา นี่คือความอดทนของแน๊กข้อที่สอง 3. #อดทนกับการแสดง ด้วยความที่แน๊กเชื่อว่า ความรักความจริงใจที่มอบให้อิเหวิง จะสามารถเปลี่ยนให้นางเป็นคนใหม่ได้ โดยไม่รู้ว่า การมาของอิเหวิง หน้าจอมือถือ คือการแสดงที่อิเหวิงเรียกว่า มาทำงาน แต่แน๊กคิดว่านี่คือสิ่งที่จะช่วยให้กามิจมีทุนเรียนต่อ พูดง่ายๆ ยังอินกับภาพเดิม จนทุกอย่างถูกเปิดเผย 4. #อดทนกับความรู้สึกผิดกับครอบครัว ความเสียใจที่เกินกว่าที่ใครจะนึกถึงคือ การที่กามิจ เล่นกับหัวใจของแฟนคลับยังไม่พอ ยังแสดงจนแม่ชาลี ต้องอดทนกับพฤติกรรม เพียงเพื่อ รักคนที่ลูกชายรัก แฟนเพจคิดว่าการที่ต้องรู้ว่า ตัวเองพาอิห่านจิกสก็อยที่ไหนเข้าบ้าน ทำให้แม่ต้องอดทน มันเจ็บขนาดไหน 5. #อดทนกับความซกม๊กสก็อยฉกปก ที่บ้านแน๊ก สังเกตุได้ มีความเป็นระเบียบ ความสะอาด จากภาพที่เห็นการแสดง ใครจะคิด ว่าอิเหวิง เป็นคนซกม๊กตามแบบฉบับสก็อยกิมจิ มันคนละภาพ ถ้าเป็นคิงส์โพธิ์แดง เจอไม่ตรงปกแบบนี้ ยันโครมกลับกิมจิไปนานแล้ว แล้วคนรักสะอาดอยา่งแน๊ก ต้องทนกับการไม่อาบน้ำเป็นสัปดาห์สองสัปดาห์ จะอาบน้ำต้องบังคับ ต้องเข็น กลิ่นตัวที่โชย กลิ่นแอลที่ยังคลุ้ง ตื่นมาไม่แปลงฟัน กินส้มตำได้เลย อะไรแบบนี้ นี่คือความอดทนที่แน๊กต้องพยายามเปลี่ยนนางให้เป็นคนที่แฟนคลับคาดหวัง จนในที่สุดแม้กระทั่งในไลฟ์ แน็กบอกแล้วอย่าแดรกแอล แต่อิเหวิงไม่ฟัง จนเห็นภาพเมาปลิ้นกลางไลฟ์ ชาลีก็ทำหน้าเซ็ง แต่ก็ต้องอดทน กลบเกลื่อนความผิดหวัง 6. #ต้องทนกับการถูกหักหลัง จากคนอย่างโจ จิตเปื่อย ที่เกาะกระแสแน๊กเป็นปลิง ที่ไปสร้างข้อมูลผิดๆ เพียงเพราะแน๊ก ขวางการทำมาหาแดรกของนาง สร้างกลุ่มเพื่อให้ร้าย เลยเถิดไปถึงการทำให้เ-ก-ลี-ย-ด-ชั-ง ไม่ใช่แค่แน๊ก แต่ลามไปถึงหลานตัวน้อยของแน๊ก มาตร้าย พวกทุยสมุน โจ ตกขาว เล่นกันแรงมาก แต่ชาลีอดทน ไม่อยากเอาเรื่อง จนได้ใจ ทำเป็นกิจกรรมการให้ร้ายเป็นล่ำเป็นสัน จนเป็นเหมือนกอง กำลัง ของอิโจ ไว้เล่นงานแน๊ก อันนี้สุดจริง 7. #ต้องอดทนที่คนใกล้ตัวที่จิตอ่อน หลงตามอิโจไป ถึงขนาดต้องเชิญมาที่บ้าน เพื่ออธิบายความจริง แต่ก่อนหน้านั้น จะเจ็บเบอร์ไหน เดาไม่ถูกเลย ที่ให้เกียรติเชิญมาฟัง และให้ซักถามทุกข้อ ปรากฏทุกคนเข้าใจหมด ยกเว้นอิโจ ที่ไม่จบ ก็วนกลับไปให้ร้ายน้องตามห้องตามกลุ่มแบบที่เคยๆ ไปสร้างความเข้าใจผิด จนสาวกเข้าใจแบบฝังหัวว่า น้องแน๊กเปื่อย ทั้งๆที่อิโจนี่แหละ เปื่อยของจริง 8. #ต้องอดทนกับการตัดสินใจที่จะตัดอิเหวิงออกจากชีวิต ไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่เพราะทนไม่ได้ที่โจ และอิเหวิง ได้สร้างอิทธิพลทางออนไลน์ ดึงคนไทยจิตอ่อน ไปเปย์กันแบบหมดเนื้อหมดตัว เมื่อห้ามไม่ได้ ต้องจำใจ แยกดีกว่า แต่คำว่าแยก มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครคิด กว่าที่ชาลีจะมูฟออนได้ ก็เพิ่งเมื่อวาน ที่ลั่นออกมาว่า "ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว" นั่นแหละ นี่คือสิ่งที่พี่คิงส์ ประเมิน หัวใจของแน๊กที่ต้องอดทน จนคิดว่า แน๊ก เอ็งพระเอกไปป่าวฟร๊ะ แต่ก็คงเป็นเพราะแบบนี้ คนไทยถึงรักเอ็ง แน๊ก ชาลี #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    Like
    Sad
    4
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2841 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความผิดหวัง มีไว้ให้เรียนรู้ มิใช่แบกรับ
    ผิดหวังจากสิ่งใด ให้วางสิ่งนั้นลง ^^

    จากหนังสือ |ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดาว

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #Thaitimes
    ความผิดหวัง มีไว้ให้เรียนรู้ มิใช่แบกรับ ผิดหวังจากสิ่งใด ให้วางสิ่งนั้นลง ^^ จากหนังสือ |ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดาว #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 675 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts