สหรัฐฯ ปฏิเสธลงนามในสนธิสัญญาไซเบอร์ของ UN แม้กว่า 70 ประเทศร่วมมือกันสร้างกรอบต่อต้านอาชญากรรมดิจิทัล
ในพิธีลงนามสนธิสัญญาไซเบอร์ของสหประชาชาติที่กรุงฮานอยเมื่อปลายตุลาคม 2025 ประเทศต่าง ๆ กว่า 70 แห่ง รวมถึงจีน รัสเซีย สหภาพยุโรป และบราซิล ได้ร่วมลงนามในข้อตกลงเพื่อสร้างกลไกสากลในการรับมือกับอาชญากรรมไซเบอร์ แต่สหรัฐอเมริกากลับเลือก “ไม่ลงนาม” โดยให้เหตุผลว่ายังอยู่ระหว่างการพิจารณาเนื้อหาของสนธิสัญญา
สนธิสัญญานี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานสากลในการจัดการหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์, การแบ่งปันข้อมูลข้ามประเทศ, และการนิยามอาชญากรรมที่เกิดขึ้นผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น การเผยแพร่ภาพลับโดยไม่ได้รับความยินยอม, การฟอกเงินผ่านคริปโต, และการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์
เลขาธิการ UN António Guterres กล่าวว่าสนธิสัญญานี้จะช่วยประเทศกำลังพัฒนาให้มีทรัพยากรและความสามารถในการรับมือกับภัยไซเบอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายทั่วโลกกว่า 10.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มสิทธิมนุษยชนและบริษัทเทคโนโลยีออกมาเตือนว่าสนธิสัญญานี้อาจเปิดช่องให้รัฐบาลใช้อำนาจสอดแนมประชาชน, ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว, และใช้กฎหมายนี้ปราบปรามผู้เห็นต่าง โดยไม่มีการคุ้มครองข้อมูลที่ชัดเจน
แม้ Guterres จะย้ำว่าสนธิสัญญานี้ต้อง “เคารพสิทธิมนุษยชนทั้งออนไลน์และออฟไลน์” แต่การที่สหรัฐฯ ไม่ลงนามก็สะท้อนถึงความกังวลในระดับสูง และอาจส่งผลต่อการยอมรับของสนธิสัญญานี้ในระดับโลก
ประเทศที่ลงนามในสนธิสัญญาไซเบอร์ UN
รวมกว่า 70 ประเทศ เช่น จีน รัสเซีย EU บราซิล ไนจีเรีย
มีเป้าหมายเพื่อสร้างกลไกสากลในการจัดการอาชญากรรมไซเบอร์
จุดเด่นของสนธิสัญญา
สร้างมาตรฐานการจัดการหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์
นิยามอาชญากรรมใหม่ เช่น การเผยแพร่ภาพลับโดยไม่ยินยอม
สร้างเครือข่าย 24/7 สำหรับความร่วมมือข้ามประเทศ
สนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการฝึกอบรมและรับมือภัยไซเบอร์
ท่าทีของสหรัฐฯ
ไม่ลงนาม โดยระบุว่า “ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา”
ส่งตัวแทนเข้าร่วมพิธี แต่ไม่ร่วมลงนาม
ความเห็นจาก UN
Guterres ย้ำว่าต้องเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวและศักดิ์ศรี
สนธิสัญญานี้ช่วยแก้ปัญหาการแบ่งปันหลักฐานข้ามประเทศ
ความเสี่ยงจากสนธิสัญญา
อาจเปิดช่องให้รัฐบาลใช้กฎหมายนี้สอดแนมประชาชน
ขาดการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ชัดเจน
อาจถูกใช้ปราบปรามผู้เห็นต่างหรือผู้ประท้วง
ความเห็นจากนักสิทธิมนุษยชน
สนธิสัญญานี้อาจ “รับรองการกดขี่ไซเบอร์” ทั้งในประเทศและข้ามพรมแดน
การลงนามอาจเท่ากับการยอมรับการละเมิดเสรีภาพดิจิทัล
นี่คือจุดตัดสำคัญระหว่าง “ความมั่นคงดิจิทัล” กับ “สิทธิเสรีภาพออนไลน์” และการที่สหรัฐฯ ยังไม่ลงนาม อาจเป็นสัญญาณว่าการสร้างกฎไซเบอร์ระดับโลกยังต้องหาจุดสมดุลที่ทุกฝ่ายยอมรับได้.
https://therecord.media/us-declines-signing-cybercrime-treaty?
ในพิธีลงนามสนธิสัญญาไซเบอร์ของสหประชาชาติที่กรุงฮานอยเมื่อปลายตุลาคม 2025 ประเทศต่าง ๆ กว่า 70 แห่ง รวมถึงจีน รัสเซีย สหภาพยุโรป และบราซิล ได้ร่วมลงนามในข้อตกลงเพื่อสร้างกลไกสากลในการรับมือกับอาชญากรรมไซเบอร์ แต่สหรัฐอเมริกากลับเลือก “ไม่ลงนาม” โดยให้เหตุผลว่ายังอยู่ระหว่างการพิจารณาเนื้อหาของสนธิสัญญา
สนธิสัญญานี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานสากลในการจัดการหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์, การแบ่งปันข้อมูลข้ามประเทศ, และการนิยามอาชญากรรมที่เกิดขึ้นผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น การเผยแพร่ภาพลับโดยไม่ได้รับความยินยอม, การฟอกเงินผ่านคริปโต, และการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์
เลขาธิการ UN António Guterres กล่าวว่าสนธิสัญญานี้จะช่วยประเทศกำลังพัฒนาให้มีทรัพยากรและความสามารถในการรับมือกับภัยไซเบอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายทั่วโลกกว่า 10.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มสิทธิมนุษยชนและบริษัทเทคโนโลยีออกมาเตือนว่าสนธิสัญญานี้อาจเปิดช่องให้รัฐบาลใช้อำนาจสอดแนมประชาชน, ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว, และใช้กฎหมายนี้ปราบปรามผู้เห็นต่าง โดยไม่มีการคุ้มครองข้อมูลที่ชัดเจน
แม้ Guterres จะย้ำว่าสนธิสัญญานี้ต้อง “เคารพสิทธิมนุษยชนทั้งออนไลน์และออฟไลน์” แต่การที่สหรัฐฯ ไม่ลงนามก็สะท้อนถึงความกังวลในระดับสูง และอาจส่งผลต่อการยอมรับของสนธิสัญญานี้ในระดับโลก
ประเทศที่ลงนามในสนธิสัญญาไซเบอร์ UN
รวมกว่า 70 ประเทศ เช่น จีน รัสเซีย EU บราซิล ไนจีเรีย
มีเป้าหมายเพื่อสร้างกลไกสากลในการจัดการอาชญากรรมไซเบอร์
จุดเด่นของสนธิสัญญา
สร้างมาตรฐานการจัดการหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์
นิยามอาชญากรรมใหม่ เช่น การเผยแพร่ภาพลับโดยไม่ยินยอม
สร้างเครือข่าย 24/7 สำหรับความร่วมมือข้ามประเทศ
สนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการฝึกอบรมและรับมือภัยไซเบอร์
ท่าทีของสหรัฐฯ
ไม่ลงนาม โดยระบุว่า “ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา”
ส่งตัวแทนเข้าร่วมพิธี แต่ไม่ร่วมลงนาม
ความเห็นจาก UN
Guterres ย้ำว่าต้องเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวและศักดิ์ศรี
สนธิสัญญานี้ช่วยแก้ปัญหาการแบ่งปันหลักฐานข้ามประเทศ
ความเสี่ยงจากสนธิสัญญา
อาจเปิดช่องให้รัฐบาลใช้กฎหมายนี้สอดแนมประชาชน
ขาดการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ชัดเจน
อาจถูกใช้ปราบปรามผู้เห็นต่างหรือผู้ประท้วง
ความเห็นจากนักสิทธิมนุษยชน
สนธิสัญญานี้อาจ “รับรองการกดขี่ไซเบอร์” ทั้งในประเทศและข้ามพรมแดน
การลงนามอาจเท่ากับการยอมรับการละเมิดเสรีภาพดิจิทัล
นี่คือจุดตัดสำคัญระหว่าง “ความมั่นคงดิจิทัล” กับ “สิทธิเสรีภาพออนไลน์” และการที่สหรัฐฯ ยังไม่ลงนาม อาจเป็นสัญญาณว่าการสร้างกฎไซเบอร์ระดับโลกยังต้องหาจุดสมดุลที่ทุกฝ่ายยอมรับได้.
https://therecord.media/us-declines-signing-cybercrime-treaty?
🇺🇳🛡️ สหรัฐฯ ปฏิเสธลงนามในสนธิสัญญาไซเบอร์ของ UN แม้กว่า 70 ประเทศร่วมมือกันสร้างกรอบต่อต้านอาชญากรรมดิจิทัล
ในพิธีลงนามสนธิสัญญาไซเบอร์ของสหประชาชาติที่กรุงฮานอยเมื่อปลายตุลาคม 2025 ประเทศต่าง ๆ กว่า 70 แห่ง รวมถึงจีน รัสเซีย สหภาพยุโรป และบราซิล ได้ร่วมลงนามในข้อตกลงเพื่อสร้างกลไกสากลในการรับมือกับอาชญากรรมไซเบอร์ แต่สหรัฐอเมริกากลับเลือก “ไม่ลงนาม” โดยให้เหตุผลว่ายังอยู่ระหว่างการพิจารณาเนื้อหาของสนธิสัญญา
สนธิสัญญานี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานสากลในการจัดการหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์, การแบ่งปันข้อมูลข้ามประเทศ, และการนิยามอาชญากรรมที่เกิดขึ้นผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น การเผยแพร่ภาพลับโดยไม่ได้รับความยินยอม, การฟอกเงินผ่านคริปโต, และการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์
เลขาธิการ UN António Guterres กล่าวว่าสนธิสัญญานี้จะช่วยประเทศกำลังพัฒนาให้มีทรัพยากรและความสามารถในการรับมือกับภัยไซเบอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายทั่วโลกกว่า 10.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มสิทธิมนุษยชนและบริษัทเทคโนโลยีออกมาเตือนว่าสนธิสัญญานี้อาจเปิดช่องให้รัฐบาลใช้อำนาจสอดแนมประชาชน, ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว, และใช้กฎหมายนี้ปราบปรามผู้เห็นต่าง โดยไม่มีการคุ้มครองข้อมูลที่ชัดเจน
แม้ Guterres จะย้ำว่าสนธิสัญญานี้ต้อง “เคารพสิทธิมนุษยชนทั้งออนไลน์และออฟไลน์” แต่การที่สหรัฐฯ ไม่ลงนามก็สะท้อนถึงความกังวลในระดับสูง และอาจส่งผลต่อการยอมรับของสนธิสัญญานี้ในระดับโลก
✅ ประเทศที่ลงนามในสนธิสัญญาไซเบอร์ UN
➡️ รวมกว่า 70 ประเทศ เช่น จีน รัสเซีย EU บราซิล ไนจีเรีย
➡️ มีเป้าหมายเพื่อสร้างกลไกสากลในการจัดการอาชญากรรมไซเบอร์
✅ จุดเด่นของสนธิสัญญา
➡️ สร้างมาตรฐานการจัดการหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์
➡️ นิยามอาชญากรรมใหม่ เช่น การเผยแพร่ภาพลับโดยไม่ยินยอม
➡️ สร้างเครือข่าย 24/7 สำหรับความร่วมมือข้ามประเทศ
➡️ สนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการฝึกอบรมและรับมือภัยไซเบอร์
✅ ท่าทีของสหรัฐฯ
➡️ ไม่ลงนาม โดยระบุว่า “ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา”
➡️ ส่งตัวแทนเข้าร่วมพิธี แต่ไม่ร่วมลงนาม
✅ ความเห็นจาก UN
➡️ Guterres ย้ำว่าต้องเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวและศักดิ์ศรี
➡️ สนธิสัญญานี้ช่วยแก้ปัญหาการแบ่งปันหลักฐานข้ามประเทศ
‼️ ความเสี่ยงจากสนธิสัญญา
⛔ อาจเปิดช่องให้รัฐบาลใช้กฎหมายนี้สอดแนมประชาชน
⛔ ขาดการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ชัดเจน
⛔ อาจถูกใช้ปราบปรามผู้เห็นต่างหรือผู้ประท้วง
‼️ ความเห็นจากนักสิทธิมนุษยชน
⛔ สนธิสัญญานี้อาจ “รับรองการกดขี่ไซเบอร์” ทั้งในประเทศและข้ามพรมแดน
⛔ การลงนามอาจเท่ากับการยอมรับการละเมิดเสรีภาพดิจิทัล
นี่คือจุดตัดสำคัญระหว่าง “ความมั่นคงดิจิทัล” กับ “สิทธิเสรีภาพออนไลน์” และการที่สหรัฐฯ ยังไม่ลงนาม อาจเป็นสัญญาณว่าการสร้างกฎไซเบอร์ระดับโลกยังต้องหาจุดสมดุลที่ทุกฝ่ายยอมรับได้.
https://therecord.media/us-declines-signing-cybercrime-treaty?
0 Comments
0 Shares
10 Views
0 Reviews