• 🧘‍♂️ วิธีรักเป็น ผ่านการเจริญสติและเข้าใจความผูกพัน 🧘‍♀️


    ---

    🔹 ความผูกพันไม่ใช่ความเข้าใจ

    📌 หลายคนเข้าใจผิดว่า "อยู่ด้วยกันมานาน" = "เข้าใจกันดี"
    ❌ แต่ความจริง… ความคุ้นเคยอาจทำให้มองข้ามกัน
    ❌ ความผูกพันที่ไม่มีสติ อาจกลายเป็นความเฉยชาต่อกัน
    ✅ การมีสติในความรัก = รู้ตัวว่าเรามีอะไร และมีค่าขนาดไหน

    💡 "อยู่กันไปนานๆ ไม่ใช่ปัญหา... อยู่แล้วไม่เห็นค่ากันต่างหากที่เป็นปัญหา"


    ---

    🔹 กำแพงของความเป็นอื่น

    💭 คนสองคนถูกกั้นด้วย "กำแพงของความอยาก"
    👉 อยากให้เขาเป็นแบบที่เราคิด
    👉 อยากให้เขาเข้าใจเราก่อน
    👉 อยากให้เขาปรับตัวให้พอดีกับเรา

    💡 ถ้าคนหนึ่งอยากอย่าง อีกคนอยากอีกอย่าง → เดินไปกันคนละทางโดยไม่รู้ตัว

    ✅ ทางออก:
    ✔ ลดความคาดหวัง → เปิดใจรับอีกฝ่ายในสิ่งที่เขาเป็น
    ✔ เห็นค่าของกันและกัน → หมั่นสำรวจว่า "วันนี้เรามีอะไรดีๆ อยู่บ้าง"
    ✔ สื่อสารอย่างเข้าใจ → ถาม ไม่ใช่เดา / ฟัง ไม่ใช่รอพูด


    ---

    🔹 เมื่อมีสติ เราจะรักเป็น

    ✅ รักที่แท้จริง = ความพร้อมจะแบ่งปัน
    ✔ แบ่งปัน "ใจเดียว" ให้กัน
    ✔ แบ่งปัน "เวลา" เพื่อใช้ร่วมกัน
    ✔ แบ่งปัน "ความฝัน" แล้วเดินไปด้วยกัน

    💡 "รักเป็น = มองข้ามข้อบกพร่อง หมั่นเห็นใจ และเข้าใจ"
    ❌ ไม่ใช่เอาแต่เรียกร้องให้อีกฝ่ายเห็นใจเรา


    ---

    🔹 อย่ารอให้สายเกินไป

    📌 "การทำความเข้าใจกัน… ถ้าไม่รีบ อาจช้าเกินไป"
    ❌ หลายคนตระหนักถึงคุณค่าของคนรัก "เมื่อเขาหายไปแล้ว"
    ✅ แต่คนที่มีสติ… จะตระหนักได้ตั้งแต่วันนี้ ว่าอะไรมีค่า และต้องให้เวลาอะไร

    💡 "อย่าเอาคำว่า 'ไม่มีเวลา' ไปใช้กับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต"
    เพราะความรัก… เติบโตได้ ด้วยเวลาที่ให้กัน ❤️

    🧘‍♂️ วิธีรักเป็น ผ่านการเจริญสติและเข้าใจความผูกพัน 🧘‍♀️ --- 🔹 ความผูกพันไม่ใช่ความเข้าใจ 📌 หลายคนเข้าใจผิดว่า "อยู่ด้วยกันมานาน" = "เข้าใจกันดี" ❌ แต่ความจริง… ความคุ้นเคยอาจทำให้มองข้ามกัน ❌ ความผูกพันที่ไม่มีสติ อาจกลายเป็นความเฉยชาต่อกัน ✅ การมีสติในความรัก = รู้ตัวว่าเรามีอะไร และมีค่าขนาดไหน 💡 "อยู่กันไปนานๆ ไม่ใช่ปัญหา... อยู่แล้วไม่เห็นค่ากันต่างหากที่เป็นปัญหา" --- 🔹 กำแพงของความเป็นอื่น 💭 คนสองคนถูกกั้นด้วย "กำแพงของความอยาก" 👉 อยากให้เขาเป็นแบบที่เราคิด 👉 อยากให้เขาเข้าใจเราก่อน 👉 อยากให้เขาปรับตัวให้พอดีกับเรา 💡 ถ้าคนหนึ่งอยากอย่าง อีกคนอยากอีกอย่าง → เดินไปกันคนละทางโดยไม่รู้ตัว ✅ ทางออก: ✔ ลดความคาดหวัง → เปิดใจรับอีกฝ่ายในสิ่งที่เขาเป็น ✔ เห็นค่าของกันและกัน → หมั่นสำรวจว่า "วันนี้เรามีอะไรดีๆ อยู่บ้าง" ✔ สื่อสารอย่างเข้าใจ → ถาม ไม่ใช่เดา / ฟัง ไม่ใช่รอพูด --- 🔹 เมื่อมีสติ เราจะรักเป็น ✅ รักที่แท้จริง = ความพร้อมจะแบ่งปัน ✔ แบ่งปัน "ใจเดียว" ให้กัน ✔ แบ่งปัน "เวลา" เพื่อใช้ร่วมกัน ✔ แบ่งปัน "ความฝัน" แล้วเดินไปด้วยกัน 💡 "รักเป็น = มองข้ามข้อบกพร่อง หมั่นเห็นใจ และเข้าใจ" ❌ ไม่ใช่เอาแต่เรียกร้องให้อีกฝ่ายเห็นใจเรา --- 🔹 อย่ารอให้สายเกินไป 📌 "การทำความเข้าใจกัน… ถ้าไม่รีบ อาจช้าเกินไป" ❌ หลายคนตระหนักถึงคุณค่าของคนรัก "เมื่อเขาหายไปแล้ว" ✅ แต่คนที่มีสติ… จะตระหนักได้ตั้งแต่วันนี้ ว่าอะไรมีค่า และต้องให้เวลาอะไร 💡 "อย่าเอาคำว่า 'ไม่มีเวลา' ไปใช้กับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต" เพราะความรัก… เติบโตได้ ด้วยเวลาที่ให้กัน ❤️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • อำนาจ 🪷 วันพระ พฤหัสบดีที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ ๒๕๖๘ . Lord Acton . ท่าน ว. วชิรเมธี . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    อำนาจ 🪷 วันพระ พฤหัสบดีที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ ๒๕๖๘ . Lord Acton . ท่าน ว. วชิรเมธี . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 2 0 รีวิว
  • ช่วงสุญญากาศของชีวิต : โอกาสทองของการเจริญสติ

    "ช่วงสุญญากาศของชีวิต" คือช่วงที่จิตใจรู้สึกว่างเปล่า เบื่อหน่าย ไม่แคร์อะไร ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป หรือแม้กระทั่งรู้สึกว่าไม่มีเป้าหมายชีวิต ช่วงเวลาแบบนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน บางคนอาจพบเป็นครั้งคราว แต่ถ้าเกิดบ่อยหรือยืดเยื้อจนกลายเป็นสภาพจิตถาวร ก็อาจทำให้ชีวิตรู้สึกว่า "สูญเปล่า" ได้


    ---

    🔹 วิธีเปลี่ยนช่วงสุญญากาศของชีวิตให้เป็นประโยชน์

    1️⃣ เปลี่ยนมุมมอง : จาก “ฉันเบื่อ” เป็น “ภาวะเบื่อเกิดขึ้น”

    ✅ อย่าหลงไปคิดว่า "ฉันเป็นคนเบื่อ"
    → คิดแบบนี้จะทำให้รู้สึกว่า "ความเบื่อเป็นตัวฉัน" หลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องจมอยู่กับมัน
    ✅ ให้เปลี่ยนเป็น "ตอนนี้มีภาวะเบื่อเกิดขึ้น"
    → มองว่าความเบื่อเป็นเพียงอารมณ์ชั่วคราว ไม่ใช่ตัวเรา มันมาได้ ก็ไปได้

    💡 ตัวอย่างการสังเกต:

    ตอนนี้รู้สึกเบื่อ เพราะไม่ได้อย่างที่หวัง

    ตอนนี้รู้สึกเซ็ง เพราะทำอะไรซ้ำๆ

    ตอนนี้รู้สึกหมดพลัง เพราะเจอเรื่องน่าเบื่อ


    เพียงแค่รู้ทันและแยก "ตัวเรา" ออกจากอารมณ์เบื่อ ความรู้สึกหนักๆ จะเริ่มเบาลง


    ---

    2️⃣ สังเกตเหตุของความเบื่อ : อะไรทำให้รู้สึกแบบนี้?

    ✅ เจาะลึกว่าทำไมถึงเบื่อ

    เบื่อเพราะไม่มีเป้าหมาย?

    เบื่อเพราะรู้สึกว่าชีวิตไม่มีอะไรท้าทาย?

    เบื่อเพราะสภาพแวดล้อมซ้ำซาก?

    เบื่อเพราะมีแรงกดดันที่ทำให้หมดพลัง?


    💡 เมื่อรู้เหตุแล้ว ลองแก้ที่ต้นเหตุ:

    ถ้าเบื่อเพราะไม่มีเป้าหมาย → ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ให้ชีวิตมีแรงขับเคลื่อน

    ถ้าเบื่อเพราะซ้ำซาก → เปลี่ยนกิจวัตร ลองทำอะไรใหม่ๆ

    ถ้าเบื่อเพราะกดดัน → ลดความคาดหวังหรือให้เวลากับตัวเองมากขึ้น



    ---

    3️⃣ เปลี่ยนเหตุของความเบื่อ : ทดลองเปลี่ยนกิจกรรม

    ✅ ลองเปลี่ยนสถานการณ์ให้จิตใจได้สดชื่นขึ้น

    ออกไปเดินเล่น สูดอากาศ เปลี่ยนสภาพแวดล้อม

    ลองทำกิจกรรมใหม่ๆ เช่น อ่านหนังสือ ดูสารคดี หรือเรียนรู้สิ่งใหม่

    พูดคุยกับคนที่ให้แรงบันดาลใจ


    💡 ถ้าความเบื่อเกิดจากความรู้สึกซึมเศร้า → ออกกำลังกายสามารถช่วยได้
    เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายสามารถเปลี่ยนสารเคมีในสมอง ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้


    ---

    4️⃣ ใช้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสฝึกเจริญสติ

    ✅ แทนที่จะปล่อยให้ความเบื่อเข้าครอบงำ → ใช้มันเป็นเครื่องมือฝึกสติ

    นั่งนิ่งๆ แล้วสังเกตความรู้สึกของตัวเอง

    รับรู้ถึงลมหายใจ → หายใจเข้าออกลึกๆ สังเกตว่าความเบื่อเปลี่ยนไปไหม

    จดจ่อกับปัจจุบัน เช่น ฟังเสียงรอบตัว สัมผัสอากาศที่ผิวกาย


    💡 สติช่วยให้เห็นว่าอารมณ์ทุกชนิดไม่เที่ยง → ความเบื่อก็เช่นกัน

    เดี๋ยวมันมา เดี๋ยวมันไป

    ถ้าไม่ไปตอกย้ำหรือจมอยู่กับมัน ความเบื่อจะลดลงเอง



    ---

    5️⃣ เปลี่ยนช่วงว่างเปล่า ให้เป็นโอกาสตั้งเป้าหมายใหม่

    ✅ ถ้ารู้สึกว่าสูญเสียเป้าหมายชีวิต → นี่อาจเป็นโอกาสดีในการค้นหาเป้าหมายใหม่
    💡 ลองถามตัวเอง:

    อะไรคือสิ่งที่เราสนใจแต่ยังไม่ได้ลอง?

    มีอะไรที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติม?

    สิ่งที่เคยทำให้มีความสุขคืออะไร?


    🎯 เปลี่ยนช่วงเวลาว่างเปล่าให้เป็นช่วงเวลาของการ "เริ่มต้นใหม่"


    ---

    🔹 สรุป : สุญญากาศของชีวิตไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

    💡 ความเบื่อเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ แต่ไม่ได้เป็นตัวตนของเรา
    💡 ใช้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสฝึกสติ และค้นหาเป้าหมายใหม่
    💡 แค่รู้เท่าทันความเบื่อ ก็สามารถเปลี่ยนมันเป็นพลังบวกได้

    📌 คุณไม่ได้เกิดมาเพื่อให้ชีวิตสูญเปล่า ทุกช่วงเวลามีคุณค่า ขึ้นอยู่กับคุณเลือกใช้มันอย่างไร!

    ช่วงสุญญากาศของชีวิต : โอกาสทองของการเจริญสติ "ช่วงสุญญากาศของชีวิต" คือช่วงที่จิตใจรู้สึกว่างเปล่า เบื่อหน่าย ไม่แคร์อะไร ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป หรือแม้กระทั่งรู้สึกว่าไม่มีเป้าหมายชีวิต ช่วงเวลาแบบนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน บางคนอาจพบเป็นครั้งคราว แต่ถ้าเกิดบ่อยหรือยืดเยื้อจนกลายเป็นสภาพจิตถาวร ก็อาจทำให้ชีวิตรู้สึกว่า "สูญเปล่า" ได้ --- 🔹 วิธีเปลี่ยนช่วงสุญญากาศของชีวิตให้เป็นประโยชน์ 1️⃣ เปลี่ยนมุมมอง : จาก “ฉันเบื่อ” เป็น “ภาวะเบื่อเกิดขึ้น” ✅ อย่าหลงไปคิดว่า "ฉันเป็นคนเบื่อ" → คิดแบบนี้จะทำให้รู้สึกว่า "ความเบื่อเป็นตัวฉัน" หลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องจมอยู่กับมัน ✅ ให้เปลี่ยนเป็น "ตอนนี้มีภาวะเบื่อเกิดขึ้น" → มองว่าความเบื่อเป็นเพียงอารมณ์ชั่วคราว ไม่ใช่ตัวเรา มันมาได้ ก็ไปได้ 💡 ตัวอย่างการสังเกต: ตอนนี้รู้สึกเบื่อ เพราะไม่ได้อย่างที่หวัง ตอนนี้รู้สึกเซ็ง เพราะทำอะไรซ้ำๆ ตอนนี้รู้สึกหมดพลัง เพราะเจอเรื่องน่าเบื่อ เพียงแค่รู้ทันและแยก "ตัวเรา" ออกจากอารมณ์เบื่อ ความรู้สึกหนักๆ จะเริ่มเบาลง --- 2️⃣ สังเกตเหตุของความเบื่อ : อะไรทำให้รู้สึกแบบนี้? ✅ เจาะลึกว่าทำไมถึงเบื่อ เบื่อเพราะไม่มีเป้าหมาย? เบื่อเพราะรู้สึกว่าชีวิตไม่มีอะไรท้าทาย? เบื่อเพราะสภาพแวดล้อมซ้ำซาก? เบื่อเพราะมีแรงกดดันที่ทำให้หมดพลัง? 💡 เมื่อรู้เหตุแล้ว ลองแก้ที่ต้นเหตุ: ถ้าเบื่อเพราะไม่มีเป้าหมาย → ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ให้ชีวิตมีแรงขับเคลื่อน ถ้าเบื่อเพราะซ้ำซาก → เปลี่ยนกิจวัตร ลองทำอะไรใหม่ๆ ถ้าเบื่อเพราะกดดัน → ลดความคาดหวังหรือให้เวลากับตัวเองมากขึ้น --- 3️⃣ เปลี่ยนเหตุของความเบื่อ : ทดลองเปลี่ยนกิจกรรม ✅ ลองเปลี่ยนสถานการณ์ให้จิตใจได้สดชื่นขึ้น ออกไปเดินเล่น สูดอากาศ เปลี่ยนสภาพแวดล้อม ลองทำกิจกรรมใหม่ๆ เช่น อ่านหนังสือ ดูสารคดี หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ พูดคุยกับคนที่ให้แรงบันดาลใจ 💡 ถ้าความเบื่อเกิดจากความรู้สึกซึมเศร้า → ออกกำลังกายสามารถช่วยได้ เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายสามารถเปลี่ยนสารเคมีในสมอง ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ --- 4️⃣ ใช้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสฝึกเจริญสติ ✅ แทนที่จะปล่อยให้ความเบื่อเข้าครอบงำ → ใช้มันเป็นเครื่องมือฝึกสติ นั่งนิ่งๆ แล้วสังเกตความรู้สึกของตัวเอง รับรู้ถึงลมหายใจ → หายใจเข้าออกลึกๆ สังเกตว่าความเบื่อเปลี่ยนไปไหม จดจ่อกับปัจจุบัน เช่น ฟังเสียงรอบตัว สัมผัสอากาศที่ผิวกาย 💡 สติช่วยให้เห็นว่าอารมณ์ทุกชนิดไม่เที่ยง → ความเบื่อก็เช่นกัน เดี๋ยวมันมา เดี๋ยวมันไป ถ้าไม่ไปตอกย้ำหรือจมอยู่กับมัน ความเบื่อจะลดลงเอง --- 5️⃣ เปลี่ยนช่วงว่างเปล่า ให้เป็นโอกาสตั้งเป้าหมายใหม่ ✅ ถ้ารู้สึกว่าสูญเสียเป้าหมายชีวิต → นี่อาจเป็นโอกาสดีในการค้นหาเป้าหมายใหม่ 💡 ลองถามตัวเอง: อะไรคือสิ่งที่เราสนใจแต่ยังไม่ได้ลอง? มีอะไรที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติม? สิ่งที่เคยทำให้มีความสุขคืออะไร? 🎯 เปลี่ยนช่วงเวลาว่างเปล่าให้เป็นช่วงเวลาของการ "เริ่มต้นใหม่" --- 🔹 สรุป : สุญญากาศของชีวิตไม่ใช่เรื่องเลวร้าย 💡 ความเบื่อเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ แต่ไม่ได้เป็นตัวตนของเรา 💡 ใช้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสฝึกสติ และค้นหาเป้าหมายใหม่ 💡 แค่รู้เท่าทันความเบื่อ ก็สามารถเปลี่ยนมันเป็นพลังบวกได้ 📌 คุณไม่ได้เกิดมาเพื่อให้ชีวิตสูญเปล่า ทุกช่วงเวลามีคุณค่า ขึ้นอยู่กับคุณเลือกใช้มันอย่างไร!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ep 22 ) ใช้ธรรมนำหน้า . ให้อยู่ในธรรม . สนธิทอล์คธรรม . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย . CapCut แปลภาษาจีน . Google ตรวจสอบการแปลภาษา (ขออภัยในความผิดพลาด)
    Ep 22 ) ใช้ธรรมนำหน้า . ให้อยู่ในธรรม . สนธิทอล์คธรรม . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย . CapCut แปลภาษาจีน . Google ตรวจสอบการแปลภาษา (ขออภัยในความผิดพลาด)
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 5 0 รีวิว
  • 📌 คนดีดูง่าย แต่เป็นได้ยาก

    ✅ คนดีที่แท้จริง
    ✔️ ละชั่วได้แล้ว → ทำดีได้จริง
    ✔️ ใจไม่ร้าย → ไม่คิดร้าย → ไม่ทำร้ายใคร
    ✔️ ให้ทานแบบสละออกจริงๆ ไม่ใช่ให้เพื่ออวด
    ✔️ รักษาศีลเพื่อรักษาใจ ไม่ใช่เพื่อสร้างภาพ
    ✔️ เจริญสติ เพื่อพ้นทุกข์ ไม่ใช่เพื่อเอาชนะใคร


    ---

    ❌ คนที่ดูเหมือนดี แต่ไม่ใช่จริง
    ❌ ทำบุญให้คนเห็นเยอะๆ แต่ลับหลังทำบาปหนัก
    ❌ คิดร้าย พูดร้าย แต่หลอกตัวเองว่าตัวเองดี
    ❌ สร้างบุญเพื่อกลบกรรม ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง

    📍 แบบนี้คือ ‘พาลแท้’ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส
    👉 พาลแท้ คือ คนชั่วที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี
    👉 ยิ่งสร้างภาพดีมากเท่าไร ยิ่งมีสายสัมพันธ์อันดีกับนรก


    ---

    📌 ทำอย่างไรให้เป็นคนดีของจริง?

    ✅ เริ่มจากละชั่ว → หยุดทำสิ่งที่รู้ว่าผิด
    ✅ ค่อยๆ ทำดี → ด้วยใจที่สะอาด ไม่ใช่เพื่อเอาหน้า
    ✅ มีสติรู้ตัว → ไม่เผลอหลอกตัวเองว่า "ข้าคือคนดี"

    💡 เพราะคนดีจริง…
    ไม่ต้องประกาศว่าเป็นคนดี แต่ใครอยู่ใกล้ก็รู้สึกได้เอง!

    📌 คนดีดูง่าย แต่เป็นได้ยาก ✅ คนดีที่แท้จริง ✔️ ละชั่วได้แล้ว → ทำดีได้จริง ✔️ ใจไม่ร้าย → ไม่คิดร้าย → ไม่ทำร้ายใคร ✔️ ให้ทานแบบสละออกจริงๆ ไม่ใช่ให้เพื่ออวด ✔️ รักษาศีลเพื่อรักษาใจ ไม่ใช่เพื่อสร้างภาพ ✔️ เจริญสติ เพื่อพ้นทุกข์ ไม่ใช่เพื่อเอาชนะใคร --- ❌ คนที่ดูเหมือนดี แต่ไม่ใช่จริง ❌ ทำบุญให้คนเห็นเยอะๆ แต่ลับหลังทำบาปหนัก ❌ คิดร้าย พูดร้าย แต่หลอกตัวเองว่าตัวเองดี ❌ สร้างบุญเพื่อกลบกรรม ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง 📍 แบบนี้คือ ‘พาลแท้’ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส 👉 พาลแท้ คือ คนชั่วที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี 👉 ยิ่งสร้างภาพดีมากเท่าไร ยิ่งมีสายสัมพันธ์อันดีกับนรก --- 📌 ทำอย่างไรให้เป็นคนดีของจริง? ✅ เริ่มจากละชั่ว → หยุดทำสิ่งที่รู้ว่าผิด ✅ ค่อยๆ ทำดี → ด้วยใจที่สะอาด ไม่ใช่เพื่อเอาหน้า ✅ มีสติรู้ตัว → ไม่เผลอหลอกตัวเองว่า "ข้าคือคนดี" 💡 เพราะคนดีจริง… ไม่ต้องประกาศว่าเป็นคนดี แต่ใครอยู่ใกล้ก็รู้สึกได้เอง!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • ๓ ส่วนหัวใจสำคัญของวันมาฆบูชา . วันพระที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ ๒๕๖๘ . พระเมธีวชิโรดม . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    ๓ ส่วนหัวใจสำคัญของวันมาฆบูชา . วันพระที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ ๒๕๖๘ . พระเมธีวชิโรดม . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 1 0 รีวิว
  • 📌 ความไม่เที่ยงของ "คนคนหนึ่ง" → ทางขึ้น หรือทางลง?

    ในชีวิตของทุกคน เราต่างเคยเห็นว่า "ไม่มีอะไรคงที่"
    บางวัน สดใส → บางวัน หม่นหมอง
    บางช่วง จิตสว่าง → บางช่วง จิตมืด
    บางครา คิดดี → บางครั้ง คิดร้าย
    บางคน พูดน่าฟัง → บางคน พูดสับสน

    นี่คือ "อนิจจังของความเป็นคน"
    แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ…
    👉 เราจะทำให้มันเป็น "อนิจจังขาขึ้น" หรือ "อนิจจังขาลง"?

    ---

    🎯 2 แบบของความไม่เที่ยง

    🔺 อนิจจังขาขึ้น

    > "ยิ่งนาน ยิ่งดีขึ้น ยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น"
    "ยิ่งใช้เวลากับกันและกัน ยิ่งมีความสุข"

    ✅ กาย: ดูสดใสขึ้น, มีพลังบวก, มีสุขภาพที่ดี
    ✅ ใจ: มีเมตตามากขึ้น, เข้าใจโลกมากขึ้น
    ✅ ความคิด: มองโลกในแง่ดีขึ้น, มีเหตุผลมากขึ้น
    ✅ คำพูด: สื่อสารชัดเจน เข้าใจกันง่ายขึ้น

    👉 อนิจจังขาขึ้น คือการพัฒนา
    หากเราอยู่กับใครแล้วทำให้ เขาดีขึ้น และเราดีขึ้น นั่นแปลว่า
    "เราเป็นพลังบวกให้กันและกัน"

    ---

    🔻 อนิจจังขาลง

    > "ยิ่งอยู่ ยิ่งทุกข์ ยิ่งทำร้ายกัน"
    "ยิ่งนาน ยิ่งเบื่อ ยิ่งหมดศรัทธา"

    ❌ กาย: โทรมลง, หมดพลัง, ป่วยง่ายขึ้น
    ❌ ใจ: หงุดหงิดง่ายขึ้น, ความอดทนน้อยลง
    ❌ ความคิด: ติดลบ, ขี้ระแวง, หวาดระแวง
    ❌ คำพูด: เริ่มสื่อสารไม่เข้าใจ, ใช้คำพูดที่ทำร้ายกัน

    👉 อนิจจังขาลง คือความเสื่อมถอย
    หากเราอยู่กับใครแล้วทำให้ เขาแย่ลง และเราแย่ลง นั่นแปลว่า
    "เราเป็นภาระทางใจให้กันและกัน"

    ---

    🔍 เรามีผลต่อกันเสมอ → เลือกจะเป็นแรง "พาขึ้น" หรือ "พาลง"?

    🟢 หากเราเป็นพลังบวกให้ใคร → เราทำให้เขาดีขึ้น
    🔴 หากเราเป็นพลังลบให้ใคร → เราทำให้เขาแย่ลง

    ✅ อยู่ใกล้ใคร ให้เขาสบายใจขึ้น หรือเครียดลง?
    ✅ เราทำให้คนรอบข้าง มี "อนิจจังขาขึ้น" หรือ "ขาลง"?

    👉 การพิจารณาตรงนี้จะทำให้เรารู้ว่า…
    🔹 เราเป็นคนแบบไหน?
    🔹 เราควรอยู่ใกล้ใคร?
    🔹 เราจะมีอิทธิพลต่อชีวิตใคร ในแบบที่ดีขึ้นหรือแย่ลง?

    ---

    📌 วิธี "ฝึกตัวเอง" ให้เป็นอนิจจังขาขึ้น

    1️⃣ รู้จักสังเกต

    ถ้าเรามีอารมณ์ขุ่นมัว ใจร้อน หงุดหงิดง่าย
    ให้สังเกตว่ามันเกิดจากอะไร?

    ถ้าพบว่าเกิดจาก คนรอบตัว
    ให้ถามว่า "เราเป็นพลังลบให้กันหรือเปล่า?"

    2️⃣ ฝึกคิดบวกให้มากขึ้น

    หลีกเลี่ยงความคิดลบ ที่ทำให้รู้สึกทุกข์

    พยายามเข้าใจความไม่เที่ยงของอารมณ์

    เลือกโฟกัสที่สิ่งดีๆ ในตัวคนรอบข้าง

    3️⃣ สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี

    อยู่ใกล้คนที่ ช่วยพัฒนาคุณ

    หลีกเลี่ยง สังคมที่ทำให้คุณเสื่อมถอย

    ฝึกทำ กิจกรรมที่เพิ่มพลังบวกในชีวิต เช่น อ่านหนังสือดีๆ, ฟังธรรมะ

    4️⃣ เจริญสติ - เห็นความเปลี่ยนแปลงของจิตตัวเอง

    ทุกวันจิตเราจะ ขึ้นๆ ลงๆ

    อย่าด่วนตัดสินว่า "เราจะเป็นคนแบบนี้ตลอดไป"

    ให้มองเห็นว่า "เรามีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง"

    สังเกตดูว่า "ถ้าเราทำสิ่งนี้ จิตเราดีขึ้นไหม?"

    ---

    📌 สรุป → "ทางเลือกของคุณ อยู่ที่ใจคุณ"

    คุณเลือกได้ว่า… จะเป็น "พลังบวก" หรือ "พลังลบ"

    คุณเลือกได้ว่า… จะทำให้คนรอบข้าง "พัฒนา" หรือ "เสื่อมถอย"

    คุณเลือกได้ว่า… จะอยู่ใน "อนิจจังขาขึ้น" หรือ "ขาลง"

    💡 สุดท้าย… ถ้าคุณพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
    คุณจะกลายเป็นคนที่ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้! 🔥
    📌 ความไม่เที่ยงของ "คนคนหนึ่ง" → ทางขึ้น หรือทางลง? ในชีวิตของทุกคน เราต่างเคยเห็นว่า "ไม่มีอะไรคงที่" บางวัน สดใส → บางวัน หม่นหมอง บางช่วง จิตสว่าง → บางช่วง จิตมืด บางครา คิดดี → บางครั้ง คิดร้าย บางคน พูดน่าฟัง → บางคน พูดสับสน นี่คือ "อนิจจังของความเป็นคน" แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ… 👉 เราจะทำให้มันเป็น "อนิจจังขาขึ้น" หรือ "อนิจจังขาลง"? --- 🎯 2 แบบของความไม่เที่ยง 🔺 อนิจจังขาขึ้น > "ยิ่งนาน ยิ่งดีขึ้น ยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น" "ยิ่งใช้เวลากับกันและกัน ยิ่งมีความสุข" ✅ กาย: ดูสดใสขึ้น, มีพลังบวก, มีสุขภาพที่ดี ✅ ใจ: มีเมตตามากขึ้น, เข้าใจโลกมากขึ้น ✅ ความคิด: มองโลกในแง่ดีขึ้น, มีเหตุผลมากขึ้น ✅ คำพูด: สื่อสารชัดเจน เข้าใจกันง่ายขึ้น 👉 อนิจจังขาขึ้น คือการพัฒนา หากเราอยู่กับใครแล้วทำให้ เขาดีขึ้น และเราดีขึ้น นั่นแปลว่า "เราเป็นพลังบวกให้กันและกัน" --- 🔻 อนิจจังขาลง > "ยิ่งอยู่ ยิ่งทุกข์ ยิ่งทำร้ายกัน" "ยิ่งนาน ยิ่งเบื่อ ยิ่งหมดศรัทธา" ❌ กาย: โทรมลง, หมดพลัง, ป่วยง่ายขึ้น ❌ ใจ: หงุดหงิดง่ายขึ้น, ความอดทนน้อยลง ❌ ความคิด: ติดลบ, ขี้ระแวง, หวาดระแวง ❌ คำพูด: เริ่มสื่อสารไม่เข้าใจ, ใช้คำพูดที่ทำร้ายกัน 👉 อนิจจังขาลง คือความเสื่อมถอย หากเราอยู่กับใครแล้วทำให้ เขาแย่ลง และเราแย่ลง นั่นแปลว่า "เราเป็นภาระทางใจให้กันและกัน" --- 🔍 เรามีผลต่อกันเสมอ → เลือกจะเป็นแรง "พาขึ้น" หรือ "พาลง"? 🟢 หากเราเป็นพลังบวกให้ใคร → เราทำให้เขาดีขึ้น 🔴 หากเราเป็นพลังลบให้ใคร → เราทำให้เขาแย่ลง ✅ อยู่ใกล้ใคร ให้เขาสบายใจขึ้น หรือเครียดลง? ✅ เราทำให้คนรอบข้าง มี "อนิจจังขาขึ้น" หรือ "ขาลง"? 👉 การพิจารณาตรงนี้จะทำให้เรารู้ว่า… 🔹 เราเป็นคนแบบไหน? 🔹 เราควรอยู่ใกล้ใคร? 🔹 เราจะมีอิทธิพลต่อชีวิตใคร ในแบบที่ดีขึ้นหรือแย่ลง? --- 📌 วิธี "ฝึกตัวเอง" ให้เป็นอนิจจังขาขึ้น 1️⃣ รู้จักสังเกต ถ้าเรามีอารมณ์ขุ่นมัว ใจร้อน หงุดหงิดง่าย ให้สังเกตว่ามันเกิดจากอะไร? ถ้าพบว่าเกิดจาก คนรอบตัว ให้ถามว่า "เราเป็นพลังลบให้กันหรือเปล่า?" 2️⃣ ฝึกคิดบวกให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงความคิดลบ ที่ทำให้รู้สึกทุกข์ พยายามเข้าใจความไม่เที่ยงของอารมณ์ เลือกโฟกัสที่สิ่งดีๆ ในตัวคนรอบข้าง 3️⃣ สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี อยู่ใกล้คนที่ ช่วยพัฒนาคุณ หลีกเลี่ยง สังคมที่ทำให้คุณเสื่อมถอย ฝึกทำ กิจกรรมที่เพิ่มพลังบวกในชีวิต เช่น อ่านหนังสือดีๆ, ฟังธรรมะ 4️⃣ เจริญสติ - เห็นความเปลี่ยนแปลงของจิตตัวเอง ทุกวันจิตเราจะ ขึ้นๆ ลงๆ อย่าด่วนตัดสินว่า "เราจะเป็นคนแบบนี้ตลอดไป" ให้มองเห็นว่า "เรามีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง" สังเกตดูว่า "ถ้าเราทำสิ่งนี้ จิตเราดีขึ้นไหม?" --- 📌 สรุป → "ทางเลือกของคุณ อยู่ที่ใจคุณ" คุณเลือกได้ว่า… จะเป็น "พลังบวก" หรือ "พลังลบ" คุณเลือกได้ว่า… จะทำให้คนรอบข้าง "พัฒนา" หรือ "เสื่อมถอย" คุณเลือกได้ว่า… จะอยู่ใน "อนิจจังขาขึ้น" หรือ "ขาลง" 💡 สุดท้าย… ถ้าคุณพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น คุณจะกลายเป็นคนที่ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้! 🔥
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำดี . วันพระ พุธที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ ๒๕๒๘ . พระเมธีวชิโรดม . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    ทำดี . วันพระ พุธที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ ๒๕๒๘ . พระเมธีวชิโรดม . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 1 0 รีวิว
  • ออร่าของคน มาจากอะไร?

    คำว่า "ออร่า" ที่เราพูดถึงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เรื่องของแสงสีที่ออกมาจากตัวบุคคล แต่หมายถึง "รัศมีแห่งความรู้สึก" ที่แผ่ออกมาโดยที่คนรอบข้างสามารถรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ ความอบอุ่น หรือพลังงานเชิงบวกที่ทำให้ดูน่าดึงดูดขึ้น

    ออร่าเป็นสิ่งที่สามารถ "เปลี่ยนแปลง" ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมหรือโครงสร้างร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "พฤติกรรม อารมณ์ และพลังภายใน" ของแต่ละคน


    ---

    ปัจจัยที่ทำให้คนดูมีออร่ามากขึ้น

    1. ทำกิจกรรมเพื่อคนอื่น

    คนที่มี น้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จะมีออร่าที่สดใส

    จิตใจที่ขยายออกไปเพื่อคนอื่น ทำให้พลังชีวิตเปล่งประกาย

    ออร่าของความเมตตา สร้างเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ



    2. มีความขวนขวาย กระตือรือร้น

    คนที่ มีเป้าหมาย มีพลังชีวิต มีไฟในการทำงาน จะดูสดใส

    รัศมีของความกระตือรือร้นทำให้ใบหน้าและแววตาดูมีพลัง

    คนเหล่านี้ดูน่าสนใจ เพราะพลังของพวกเขาส่งผลให้คนรอบข้างรู้สึกมีแรงบันดาลใจ



    3. รักษาจิตให้สะอาด ด้วยศีล

    คนที่ มีศีล มีความสุจริตใจ จะมีออร่าแห่งความสงบและน่าเชื่อถือ

    ใบหน้าจะดูอ่อนโยนขึ้น เพราะจิตใจไม่เร่าร้อนด้วยกิเลส

    คนที่โกหก หรือทำผิดศีลบ่อยๆ จะมีออร่าขุ่นมัว ดูไม่น่าไว้ใจ



    4. มีจิตโปร่งใส ด้วยการเจริญสติ

    คนที่ ฝึกเจริญสติอยู่เสมอ จะมีแววตาที่สงบและแจ่มใส

    ออร่าของความสงบ จะทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจเมื่อต้องอยู่ใกล้

    ความสว่างจากภายใน ทำให้คนเหล่านี้ดูมีเสน่ห์แบบลึกซึ้ง





    ---

    ออร่า ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เป็นผลของกรรมในปัจจุบัน

    ออร่า ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เกิดจากวิถีชีวิตของเราเอง

    คนที่ คิดดี พูดดี ทำดี ย่อมมีออร่าที่ดี

    คนที่ คิดลบ อิจฉา โกรธง่าย จะมีออร่าที่ขุ่นมัว

    ออร่า เปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามสภาวะจิตของแต่ละคน


    ดังนั้น ถ้าอยากดูดีขึ้น ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า หรือศัลยกรรม
    แต่ต้อง ปรับจิตใจให้สะอาด ปรับพฤติกรรมให้เป็นกุศล
    ออร่าที่แท้จริงจะค่อยๆ เปล่งออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ!

    ออร่าของคน มาจากอะไร? คำว่า "ออร่า" ที่เราพูดถึงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เรื่องของแสงสีที่ออกมาจากตัวบุคคล แต่หมายถึง "รัศมีแห่งความรู้สึก" ที่แผ่ออกมาโดยที่คนรอบข้างสามารถรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ ความอบอุ่น หรือพลังงานเชิงบวกที่ทำให้ดูน่าดึงดูดขึ้น ออร่าเป็นสิ่งที่สามารถ "เปลี่ยนแปลง" ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมหรือโครงสร้างร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "พฤติกรรม อารมณ์ และพลังภายใน" ของแต่ละคน --- ปัจจัยที่ทำให้คนดูมีออร่ามากขึ้น 1. ทำกิจกรรมเพื่อคนอื่น คนที่มี น้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จะมีออร่าที่สดใส จิตใจที่ขยายออกไปเพื่อคนอื่น ทำให้พลังชีวิตเปล่งประกาย ออร่าของความเมตตา สร้างเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 2. มีความขวนขวาย กระตือรือร้น คนที่ มีเป้าหมาย มีพลังชีวิต มีไฟในการทำงาน จะดูสดใส รัศมีของความกระตือรือร้นทำให้ใบหน้าและแววตาดูมีพลัง คนเหล่านี้ดูน่าสนใจ เพราะพลังของพวกเขาส่งผลให้คนรอบข้างรู้สึกมีแรงบันดาลใจ 3. รักษาจิตให้สะอาด ด้วยศีล คนที่ มีศีล มีความสุจริตใจ จะมีออร่าแห่งความสงบและน่าเชื่อถือ ใบหน้าจะดูอ่อนโยนขึ้น เพราะจิตใจไม่เร่าร้อนด้วยกิเลส คนที่โกหก หรือทำผิดศีลบ่อยๆ จะมีออร่าขุ่นมัว ดูไม่น่าไว้ใจ 4. มีจิตโปร่งใส ด้วยการเจริญสติ คนที่ ฝึกเจริญสติอยู่เสมอ จะมีแววตาที่สงบและแจ่มใส ออร่าของความสงบ จะทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจเมื่อต้องอยู่ใกล้ ความสว่างจากภายใน ทำให้คนเหล่านี้ดูมีเสน่ห์แบบลึกซึ้ง --- ออร่า ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เป็นผลของกรรมในปัจจุบัน ออร่า ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เกิดจากวิถีชีวิตของเราเอง คนที่ คิดดี พูดดี ทำดี ย่อมมีออร่าที่ดี คนที่ คิดลบ อิจฉา โกรธง่าย จะมีออร่าที่ขุ่นมัว ออร่า เปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามสภาวะจิตของแต่ละคน ดังนั้น ถ้าอยากดูดีขึ้น ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า หรือศัลยกรรม แต่ต้อง ปรับจิตใจให้สะอาด ปรับพฤติกรรมให้เป็นกุศล ออร่าที่แท้จริงจะค่อยๆ เปล่งออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประโยชน์ของการรู้อดีตชาติ และข้อควรระวัง

    1. ประโยชน์ของการรู้อดีตชาติ (เมื่อรู้ด้วยวิชชาแท้จริง)

    เป็นวิชชาแรกที่ช่วยชำแรกอวิชชา
    การระลึกชาติได้จริง (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ) เป็นหนึ่งในวิชชาสามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เห็นว่า "การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง" และมีเหตุปัจจัยที่ทำให้ต้องเกิดในแต่ละภพภูมิ

    ช่วยให้เข้าใจเหตุของปัจจุบัน
    บางคนสงสัยว่าทำไมตนเองเกิดมาในครอบครัวนี้ หรือมีชีวิตที่แตกต่างจากผู้อื่น การระลึกชาติได้เองโดยการฝึกสมาธิถึงระดับลึก จะช่วยให้เห็นว่า สิ่งที่เป็นอยู่เกิดจากกรรมเก่า และสามารถแก้ไขปัจจุบันได้อย่างถูกต้อง

    ลดความหลงในตัวตน
    เมื่อเห็นว่าตัวเองเคยเกิดมาในหลายรูปแบบ ทั้งยากดีมีจน ชายหญิง หลากหลายชาติพันธุ์ ก็จะคลายความยึดติดว่าชีวิตชาตินี้เป็น "ตัวกู ของกู" ไปเอง

    2. ข้อควรระวังของการอยากรู้อดีตชาติ

    หากเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็น อาจพอกพูนอุปาทาน
    พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "การไปนึกถึงอดีตชาติโดยไม่เข้าใจเหตุและผล จะทำให้ยึดติดและเสริมอัตตาทิฏฐิ" เช่น ถ้ารู้ว่าเคยเป็นกษัตริย์ อาจเกิดทิฏฐิว่าตัวเองสูงส่ง หรือหากเคยเป็นคนจน อาจเศร้าหมองติดอยู่กับความรู้สึกต่ำต้อย

    หากไปรับฟังจากผู้อื่น อาจถูกชี้นำผิดพลาด
    บางคนไปให้หมอดู หรือนักจิตสัมผัสบอกอดีตชาติ อาจได้รับข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง และอาจทำให้เกิดการคิดมาก ฟุ้งซ่าน หรือยึดติดกับอดีตจนละเลยปัจจุบัน

    อาจเป็นเหตุให้หมกมุ่น จนหลงลืมปัจจุบัน
    การใช้ชีวิตที่ดีอยู่ที่ปัจจุบัน ถ้าหมกมุ่นกับอดีตมากเกินไป อาจทำให้พลาดโอกาสในการปรับปรุงตนเองในชาตินี้

    3. วิธีที่ดีที่สุดในการใช้ประโยชน์จากอดีตชาติ

    แทนที่จะพยายามไปรู้อดีตชาติ ให้สังเกต "ปัจจุบันกรรม" เพราะปัจจุบันคือผลของอดีต และสิ่งที่เราทำในปัจจุบันก็คือการสร้างอนาคต

    เจริญสติ รู้กายใจตามความเป็นจริง โดยไม่ยึดติดกับอดีต จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้เร็วกว่าการระลึกชาติ

    ถ้าระลึกอดีตชาติได้จริง (ผ่านสมาธิระดับสูง) ให้ใช้เพื่อการเข้าใจกรรม ไม่ใช่เพื่อสร้างอัตตาทิฏฐิ

    สรุป:
    ถ้าการรู้อดีตชาติช่วยให้เข้าใจกรรม และนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็เป็นประโยชน์
    แต่ถ้าหมกมุ่นกับอดีตโดยไม่มีสติ อาจเป็นอุปสรรคต่อการพ้นทุกข์
    ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะปัจจุบันเป็นสิ่งที่เราปรับแก้ได้ และเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า
    ประโยชน์ของการรู้อดีตชาติ และข้อควรระวัง 1. ประโยชน์ของการรู้อดีตชาติ (เมื่อรู้ด้วยวิชชาแท้จริง) เป็นวิชชาแรกที่ช่วยชำแรกอวิชชา การระลึกชาติได้จริง (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ) เป็นหนึ่งในวิชชาสามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เห็นว่า "การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง" และมีเหตุปัจจัยที่ทำให้ต้องเกิดในแต่ละภพภูมิ ช่วยให้เข้าใจเหตุของปัจจุบัน บางคนสงสัยว่าทำไมตนเองเกิดมาในครอบครัวนี้ หรือมีชีวิตที่แตกต่างจากผู้อื่น การระลึกชาติได้เองโดยการฝึกสมาธิถึงระดับลึก จะช่วยให้เห็นว่า สิ่งที่เป็นอยู่เกิดจากกรรมเก่า และสามารถแก้ไขปัจจุบันได้อย่างถูกต้อง ลดความหลงในตัวตน เมื่อเห็นว่าตัวเองเคยเกิดมาในหลายรูปแบบ ทั้งยากดีมีจน ชายหญิง หลากหลายชาติพันธุ์ ก็จะคลายความยึดติดว่าชีวิตชาตินี้เป็น "ตัวกู ของกู" ไปเอง 2. ข้อควรระวังของการอยากรู้อดีตชาติ หากเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็น อาจพอกพูนอุปาทาน พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "การไปนึกถึงอดีตชาติโดยไม่เข้าใจเหตุและผล จะทำให้ยึดติดและเสริมอัตตาทิฏฐิ" เช่น ถ้ารู้ว่าเคยเป็นกษัตริย์ อาจเกิดทิฏฐิว่าตัวเองสูงส่ง หรือหากเคยเป็นคนจน อาจเศร้าหมองติดอยู่กับความรู้สึกต่ำต้อย หากไปรับฟังจากผู้อื่น อาจถูกชี้นำผิดพลาด บางคนไปให้หมอดู หรือนักจิตสัมผัสบอกอดีตชาติ อาจได้รับข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง และอาจทำให้เกิดการคิดมาก ฟุ้งซ่าน หรือยึดติดกับอดีตจนละเลยปัจจุบัน อาจเป็นเหตุให้หมกมุ่น จนหลงลืมปัจจุบัน การใช้ชีวิตที่ดีอยู่ที่ปัจจุบัน ถ้าหมกมุ่นกับอดีตมากเกินไป อาจทำให้พลาดโอกาสในการปรับปรุงตนเองในชาตินี้ 3. วิธีที่ดีที่สุดในการใช้ประโยชน์จากอดีตชาติ แทนที่จะพยายามไปรู้อดีตชาติ ให้สังเกต "ปัจจุบันกรรม" เพราะปัจจุบันคือผลของอดีต และสิ่งที่เราทำในปัจจุบันก็คือการสร้างอนาคต เจริญสติ รู้กายใจตามความเป็นจริง โดยไม่ยึดติดกับอดีต จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้เร็วกว่าการระลึกชาติ ถ้าระลึกอดีตชาติได้จริง (ผ่านสมาธิระดับสูง) ให้ใช้เพื่อการเข้าใจกรรม ไม่ใช่เพื่อสร้างอัตตาทิฏฐิ สรุป: ถ้าการรู้อดีตชาติช่วยให้เข้าใจกรรม และนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็เป็นประโยชน์ แต่ถ้าหมกมุ่นกับอดีตโดยไม่มีสติ อาจเป็นอุปสรรคต่อการพ้นทุกข์ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะปัจจุบันเป็นสิ่งที่เราปรับแก้ได้ และเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🪷 วันพระ อังคาร ๒๘ มกราคม พ.ศ ๒๕๖๘ . นักปราชญ์ ฉลาด โง่ . ท่าน ว. วชิรเมธี . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย https://youtu.be/wrjaK_feAe4?si=TawtfpYBCknLtbMq
    🪷 วันพระ อังคาร ๒๘ มกราคม พ.ศ ๒๕๖๘ . นักปราชญ์ ฉลาด โง่ . ท่าน ว. วชิรเมธี . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย https://youtu.be/wrjaK_feAe4?si=TawtfpYBCknLtbMq
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว – เพชรบูรณ์
    อีกหนึ่งวัดสวยงามอลังการตา ที่ต้องมาเมื่อมาเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวภาคเหนือ ต้องยกให้ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว หรือ วัดพระธาตุผาแก้ว หนึ่งใน เพชรบูรณ์ที่เที่ยว ค่ะ ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาของหมู่บ้านทางแดง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์
    วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ในนาม “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” ได้รับการอนุมัติจัดตั้งเป็นวัด เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ โดยมีพระครูปลัด ปารมี สุรยุทโธ เป็นเจ้าอาวาส

    เจดีย์พระธาตุผาแก้ว สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี และเป็นที่สืบพระศาสนาให้ดำรงอยู่คู่แผ่นดินไทย เพื่อประโยชน์แก่มนุษยชาติและคนรุ่นหลัง ได้มีโอกาสเรียนรู้ต่อไป บนยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งได้รับพระราชทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ความพิเศษของเจดีย์ คือ ลวดลายการตกแต่งด้วยถ้วยกระเบื้อง หินสีต่าง ๆ ดูงดงามแปลกตาและบริเวณใต้ฐานพระเจดีย์ใช้เป็นที่เก็บรวบรวมหลักธรรมคำสอน ภาพปริศนาธรรม และเป็นที่เจริญสติภาวนา สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป

    การเดินทาง : เดินทางมาได้ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว - จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสระบุรี และใช้เส้นทางหมายเลข 21 สระบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ เมื่อ ผ่านตัวเมืองจังหวัดเพชรบูรณ์มาสักระยะ จนใกล้หลักกิโลเมตรที่ 260 ให้สังเกตอนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมืองทางซ้ายมือ และเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 หล่มสัก พิษณุโลก ขับต่อไปยัง ทางหลวงหมายเลข 12 ประมาณ 30 นาที หลักกิโลเมตรที่ 103 มีจุดสังเกตคือ อบต.แคมป์สนอยู่ทางขวามือ และธนาคารกสิกรไทย เยื้องขึ้นไปทางซ้ายมือ ตรงไปกลับรถ และจะเห็นป้าย พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว อยู่ปากซอยทางเข้า หมู่บ้านทางแดง ซึ่งอยู่ด้านข้าง อบต.แคมป์สน เลี้ยวซ้ายเข้าไป ตรงตลอดจนเห็นสะพานทางเข้าวัด เลี้ยวขวาข้ามสะพานและจอดรถ ณ บริเวณที่จัดไว้

    #วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว
    #ท่องเที่ยว
    วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว – เพชรบูรณ์ อีกหนึ่งวัดสวยงามอลังการตา ที่ต้องมาเมื่อมาเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวภาคเหนือ ต้องยกให้ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว หรือ วัดพระธาตุผาแก้ว หนึ่งใน เพชรบูรณ์ที่เที่ยว ค่ะ ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาของหมู่บ้านทางแดง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ในนาม “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” ได้รับการอนุมัติจัดตั้งเป็นวัด เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ โดยมีพระครูปลัด ปารมี สุรยุทโธ เป็นเจ้าอาวาส เจดีย์พระธาตุผาแก้ว สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี และเป็นที่สืบพระศาสนาให้ดำรงอยู่คู่แผ่นดินไทย เพื่อประโยชน์แก่มนุษยชาติและคนรุ่นหลัง ได้มีโอกาสเรียนรู้ต่อไป บนยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งได้รับพระราชทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ความพิเศษของเจดีย์ คือ ลวดลายการตกแต่งด้วยถ้วยกระเบื้อง หินสีต่าง ๆ ดูงดงามแปลกตาและบริเวณใต้ฐานพระเจดีย์ใช้เป็นที่เก็บรวบรวมหลักธรรมคำสอน ภาพปริศนาธรรม และเป็นที่เจริญสติภาวนา สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป การเดินทาง : เดินทางมาได้ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว - จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสระบุรี และใช้เส้นทางหมายเลข 21 สระบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ เมื่อ ผ่านตัวเมืองจังหวัดเพชรบูรณ์มาสักระยะ จนใกล้หลักกิโลเมตรที่ 260 ให้สังเกตอนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมืองทางซ้ายมือ และเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 หล่มสัก พิษณุโลก ขับต่อไปยัง ทางหลวงหมายเลข 12 ประมาณ 30 นาที หลักกิโลเมตรที่ 103 มีจุดสังเกตคือ อบต.แคมป์สนอยู่ทางขวามือ และธนาคารกสิกรไทย เยื้องขึ้นไปทางซ้ายมือ ตรงไปกลับรถ และจะเห็นป้าย พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว อยู่ปากซอยทางเข้า หมู่บ้านทางแดง ซึ่งอยู่ด้านข้าง อบต.แคมป์สน เลี้ยวซ้ายเข้าไป ตรงตลอดจนเห็นสะพานทางเข้าวัด เลี้ยวขวาข้ามสะพานและจอดรถ ณ บริเวณที่จัดไว้ #วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว #ท่องเที่ยว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 404 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ep 18.3 ) จุดเริ่มต้นของสมาธิ . สนธิทอล์คธรรม . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    Ep 18.3 ) จุดเริ่มต้นของสมาธิ . สนธิทอล์คธรรม . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 7 0 รีวิว
  • ความรักในสังสารวัฏ

    ในวัฏสงสาร ความรักเป็นเพียงสิ่งลวงที่ดูเหมือนจะให้ความอบอุ่น แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ อนิจจัง และ ทุกขัง เพราะไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง ความรักก็มักนำมาซึ่งความยึดมั่น และความยึดมั่นนี้เองที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์

    แม้รักแท้ดูเหมือนมั่นคง แต่สุดท้ายก็ต้องพลัดพราก ไม่ว่าจะด้วยความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ หรือความตาย


    ---

    อริยสัจ 4 เบื้องต้น ผ่านอาการ "อกหัก"

    1. ทุกข์
    ทุกข์เกิดขึ้นเพราะการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก หรือการไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา
    ทุกข์ในอาการอกหัก คือ ความเศร้า ความว้าเหว่ และการถวิลหาความรักที่จากไป


    2. สมุทัย
    เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา (ความทะยานอยาก)
    เราอยากให้คนรักอยู่กับเรา อยากให้เขาทำให้เรามีความสุข อยากให้ความสัมพันธ์เป็นไปตามที่เราคาดหวัง


    3. นิโรธ
    ความดับทุกข์เกิดจากการปล่อยวาง ยอมรับความจริงว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง
    เมื่อเรามองเห็นทุกข์และสาเหตุอย่างแจ่มชัด เราจะค่อยๆ คลายความยึดติด และพบกับความสงบในใจ


    4. มรรค
    ทางสู่ความดับทุกข์ คือการเจริญ สติ และ สมาธิ

    พิจารณาอารมณ์และความคิดของตนเอง

    ฝึกสังเกตอาการยึดมั่นและปล่อยวาง

    ใช้ปัญญาเห็นว่า ความรักและความทุกข์ทั้งปวงเป็นของชั่วคราว





    ---

    วิธีเจริญสติ เพื่อปล่อยวางความรักที่พลัดพราก

    1. ดูใจตนเอง
    เมื่อเกิดความเศร้า ให้พิจารณาว่าอารมณ์นั้นเป็นเพียง สภาวะของจิต ที่เกิดขึ้นชั่วคราว แล้วมันจะผ่านไป


    2. เห็นอารมณ์ตามจริง
    มองว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ความคิดถึงหรือความเศร้า เป็นเพียง "ปรากฏการณ์" ที่จิตปรุงแต่งขึ้น


    3. พิจารณาอนิจจัง
    ความรักที่เคยทำให้สุขใจ สุดท้ายก็กลายเป็นทุกข์ได้ เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง


    4. ฝึกปล่อยวาง

    ยอมรับว่า คนรักที่จากไป ไม่ได้เป็นของเรา

    เห็นว่าความยึดติดนั้นนำมาซึ่งความทุกข์





    ---

    จากความรัก สู่ความวิเวกอันสงบ

    เมื่อเราสามารถปล่อยวางความรักหรือความยึดมั่นได้ จิตใจจะเริ่มรู้สึกเบาสบาย และสงบเย็น นี่คือความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ไม่ต้องพึ่งพาใครหรือสิ่งใด

    จงฝึกเห็นความรักในฐานะธรรมชาติที่เกิดขึ้นและดับไป
    จงปลื้มใจในความวิเวก และค้นพบอิสรภาพทางใจแทน

    "เมื่อเราไม่ยึดติดในความรัก เราจะมอบความรักที่แท้จริงให้แก่ตนเองได้"

    ความรักในสังสารวัฏ ในวัฏสงสาร ความรักเป็นเพียงสิ่งลวงที่ดูเหมือนจะให้ความอบอุ่น แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ อนิจจัง และ ทุกขัง เพราะไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง ความรักก็มักนำมาซึ่งความยึดมั่น และความยึดมั่นนี้เองที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ แม้รักแท้ดูเหมือนมั่นคง แต่สุดท้ายก็ต้องพลัดพราก ไม่ว่าจะด้วยความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ หรือความตาย --- อริยสัจ 4 เบื้องต้น ผ่านอาการ "อกหัก" 1. ทุกข์ ทุกข์เกิดขึ้นเพราะการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก หรือการไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา ทุกข์ในอาการอกหัก คือ ความเศร้า ความว้าเหว่ และการถวิลหาความรักที่จากไป 2. สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา (ความทะยานอยาก) เราอยากให้คนรักอยู่กับเรา อยากให้เขาทำให้เรามีความสุข อยากให้ความสัมพันธ์เป็นไปตามที่เราคาดหวัง 3. นิโรธ ความดับทุกข์เกิดจากการปล่อยวาง ยอมรับความจริงว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง เมื่อเรามองเห็นทุกข์และสาเหตุอย่างแจ่มชัด เราจะค่อยๆ คลายความยึดติด และพบกับความสงบในใจ 4. มรรค ทางสู่ความดับทุกข์ คือการเจริญ สติ และ สมาธิ พิจารณาอารมณ์และความคิดของตนเอง ฝึกสังเกตอาการยึดมั่นและปล่อยวาง ใช้ปัญญาเห็นว่า ความรักและความทุกข์ทั้งปวงเป็นของชั่วคราว --- วิธีเจริญสติ เพื่อปล่อยวางความรักที่พลัดพราก 1. ดูใจตนเอง เมื่อเกิดความเศร้า ให้พิจารณาว่าอารมณ์นั้นเป็นเพียง สภาวะของจิต ที่เกิดขึ้นชั่วคราว แล้วมันจะผ่านไป 2. เห็นอารมณ์ตามจริง มองว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ความคิดถึงหรือความเศร้า เป็นเพียง "ปรากฏการณ์" ที่จิตปรุงแต่งขึ้น 3. พิจารณาอนิจจัง ความรักที่เคยทำให้สุขใจ สุดท้ายก็กลายเป็นทุกข์ได้ เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง 4. ฝึกปล่อยวาง ยอมรับว่า คนรักที่จากไป ไม่ได้เป็นของเรา เห็นว่าความยึดติดนั้นนำมาซึ่งความทุกข์ --- จากความรัก สู่ความวิเวกอันสงบ เมื่อเราสามารถปล่อยวางความรักหรือความยึดมั่นได้ จิตใจจะเริ่มรู้สึกเบาสบาย และสงบเย็น นี่คือความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ไม่ต้องพึ่งพาใครหรือสิ่งใด จงฝึกเห็นความรักในฐานะธรรมชาติที่เกิดขึ้นและดับไป จงปลื้มใจในความวิเวก และค้นพบอิสรภาพทางใจแทน "เมื่อเราไม่ยึดติดในความรัก เราจะมอบความรักที่แท้จริงให้แก่ตนเองได้"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 290 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหตุดีไม่ร้าย
    เหตุร้ายไม่ดี
    เหตุทุกข์นั้นมี
    ดีดับเหตุได้

    เหตุสุขให้มี
    ดีกรรมอาศัย
    ทุกข์มีดับไป
    ให้สุขแทนที่

    เจริญสติ
    จิตสงบดี
    นิ่งพาถ้วนถี่
    ดีปัญญาได้
    เหตุดีไม่ร้าย เหตุร้ายไม่ดี เหตุทุกข์นั้นมี ดีดับเหตุได้ เหตุสุขให้มี ดีกรรมอาศัย ทุกข์มีดับไป ให้สุขแทนที่ เจริญสติ จิตสงบดี นิ่งพาถ้วนถี่ ดีปัญญาได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า การตอบแทนบุญคุณของพระองค์ที่สมบูรณ์ที่สุดคือการ ปฏิบัติธรรมเป็นบูชา เพราะพระองค์ทรงมุ่งหมายให้สัตว์โลกหลุดพ้นจากความทุกข์ และการปฏิบัติธรรมคือหนทางที่นำไปสู่จุดมุ่งหมายนี้โดยตรง


    ---

    วิธีปฏิบัติธรรมเป็นบูชา

    1. เริ่มต้นด้วยการทำจิตดีๆ ให้เกิดขึ้น

    ด้วยทาน: เปิดใจด้วยการแบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่น

    ด้วยศีล: รักษาความประพฤติของตนให้สะอาดบริสุทธิ์

    ด้วยสมาธิและสติ: ฝึกเจริญสติ รู้กายรู้ใจจนกระจ่างในความไม่เที่ยง



    2. การถวายจิตดีๆ เป็นบูชา

    หากสามารถทำจิตให้สงบและเบาสบายได้แม้เพียงชั่วครู่ ก็น้อมนำจิตดีๆ นั้นถวายแทนการบูชา

    การปฏิบัติที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ของตัวเรา คือสิ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงพอพระทัยที่สุด





    ---

    ทางเลือกสำหรับผู้เริ่มต้น

    หากยังไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ลึกซึ้งนัก ก็สามารถแสดงความกตัญญูต่อพระพุทธเจ้าได้ด้วยการ:

    นำรูปหรือพระพุทธรูปมาบูชา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในการปฏิบัติดี

    ทำบุญ ถวายทาน หรือร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา

    ศึกษาและเผยแผ่คำสอนของพระองค์



    ---

    การตอบแทนคุณครูบาอาจารย์

    ปฏิบัติตามคำสอน: งดเว้นจากสิ่งไม่ดีและลงมือปฏิบัติธรรม

    เผยแผ่คำสอน: ช่วยสืบทอดคำสอนของท่านให้กว้างไกล

    เคารพและระลึกถึงท่าน: ด้วยการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี



    ---

    สรุป

    การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์เริ่มต้นได้จากใจจริง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ขอเพียงมีความตั้งใจจริง และลงมือทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทุกการกระทำที่ดีงาม ล้วนถือเป็นการตอบแทนคุณอันสมบูรณ์แล้ว.

    การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า การตอบแทนบุญคุณของพระองค์ที่สมบูรณ์ที่สุดคือการ ปฏิบัติธรรมเป็นบูชา เพราะพระองค์ทรงมุ่งหมายให้สัตว์โลกหลุดพ้นจากความทุกข์ และการปฏิบัติธรรมคือหนทางที่นำไปสู่จุดมุ่งหมายนี้โดยตรง --- วิธีปฏิบัติธรรมเป็นบูชา 1. เริ่มต้นด้วยการทำจิตดีๆ ให้เกิดขึ้น ด้วยทาน: เปิดใจด้วยการแบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยศีล: รักษาความประพฤติของตนให้สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยสมาธิและสติ: ฝึกเจริญสติ รู้กายรู้ใจจนกระจ่างในความไม่เที่ยง 2. การถวายจิตดีๆ เป็นบูชา หากสามารถทำจิตให้สงบและเบาสบายได้แม้เพียงชั่วครู่ ก็น้อมนำจิตดีๆ นั้นถวายแทนการบูชา การปฏิบัติที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ของตัวเรา คือสิ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงพอพระทัยที่สุด --- ทางเลือกสำหรับผู้เริ่มต้น หากยังไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ลึกซึ้งนัก ก็สามารถแสดงความกตัญญูต่อพระพุทธเจ้าได้ด้วยการ: นำรูปหรือพระพุทธรูปมาบูชา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในการปฏิบัติดี ทำบุญ ถวายทาน หรือร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ศึกษาและเผยแผ่คำสอนของพระองค์ --- การตอบแทนคุณครูบาอาจารย์ ปฏิบัติตามคำสอน: งดเว้นจากสิ่งไม่ดีและลงมือปฏิบัติธรรม เผยแผ่คำสอน: ช่วยสืบทอดคำสอนของท่านให้กว้างไกล เคารพและระลึกถึงท่าน: ด้วยการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี --- สรุป การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์เริ่มต้นได้จากใจจริง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ขอเพียงมีความตั้งใจจริง และลงมือทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทุกการกระทำที่ดีงาม ล้วนถือเป็นการตอบแทนคุณอันสมบูรณ์แล้ว.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 422 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความสุขและความพอใจที่แท้จริง

    การเข้าใจธรรมชาติของ ความอยาก และการเจริญสติรู้เท่าทันจิตใจเป็นหัวใจสำคัญของการปลดเปลื้องตัวเองจากความทุกข์


    ---

    1. ต้นเหตุของความทุกข์คือความอยาก

    ความอยากในกาม: การปรารถนาสิ่งที่น่าพอใจผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    ความอยากมี อยากเป็น: การดิ้นรนเพื่อให้ได้สถานะ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน หรือสิ่งที่ปรารถนา

    ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น: การปฏิเสธหรือผลักไสสิ่งที่ไม่พอใจ


    สิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักดันที่ทำให้จิตใจไม่สงบ เกิดความกระวนกระวายและทุกข์อย่างต่อเนื่อง


    ---

    2. ความอยากทำให้จิตเพี้ยน

    มองสิ่งที่อยากได้ผิดเพี้ยน: เมื่ออยากได้มาก สิ่งนั้นจะดูดีเกินจริง มีเสน่ห์เกินจริง

    ความหลงที่เกิดจากความอยาก: จิตที่ถูกครอบงำด้วยความอยากจะฟุ้งซ่าน ขาดความเป็นกลาง และไร้เหตุผล

    เมื่อได้มาแล้ว ความอยากนั้นจะลดลง และค่าของสิ่งที่ได้มาเริ่มจางหาย กลายเป็นธรรมดา



    ---

    3. การเจริญสติรู้ทันความอยาก

    สังเกตความอยาก: เมื่อความอยากเกิดขึ้น ให้รู้ทันว่าความอยากนั้นกำลังทำให้จิตใจผิดเพี้ยน

    เห็นธรรมชาติของจิต: เห็นว่าจิตแปรปรวนไปตามความอยาก และสุดท้ายจะลงเอยด้วยความรู้สึก “เฉยๆ”

    สติชั้นสูง: การสังเกตความอยากจนเกิดความเข้าใจในความเป็นธรรมดาของสิ่งต่างๆ จะทำให้จิตสงบและลดการยึดมั่น



    ---

    4. วิธีฝึกใจให้พอจริง

    ฝึกมองสิ่งที่มีด้วยใจเปิดกว้าง: เห็นคุณค่าในสิ่งที่มีอยู่โดยไม่ปรุงแต่ง

    ยอมรับความธรรมดา: ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือเลว เห็นมันตามที่เป็น ไม่ใช่ตามที่ใจปรุงแต่ง

    อยู่กับปัจจุบัน: หายใจเข้า-ออก พร้อมกับรู้ตัวในสิ่งที่ทำในขณะนั้น



    ---

    สรุป

    ความสุขที่แท้จริงเกิดจากการฝึกจิตให้รู้เท่าทันความอยาก และไม่ปล่อยให้มันครอบงำใจ การรู้จักพอใจในสิ่งที่มี และการมองทุกสิ่งด้วยสายตาที่เป็นกลาง จะทำให้คุณพบกับความสงบสุขและความอิ่มเอมในชีวิตอย่างยั่งยืน!

    ความสุขและความพอใจที่แท้จริง การเข้าใจธรรมชาติของ ความอยาก และการเจริญสติรู้เท่าทันจิตใจเป็นหัวใจสำคัญของการปลดเปลื้องตัวเองจากความทุกข์ --- 1. ต้นเหตุของความทุกข์คือความอยาก ความอยากในกาม: การปรารถนาสิ่งที่น่าพอใจผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความอยากมี อยากเป็น: การดิ้นรนเพื่อให้ได้สถานะ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน หรือสิ่งที่ปรารถนา ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น: การปฏิเสธหรือผลักไสสิ่งที่ไม่พอใจ สิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักดันที่ทำให้จิตใจไม่สงบ เกิดความกระวนกระวายและทุกข์อย่างต่อเนื่อง --- 2. ความอยากทำให้จิตเพี้ยน มองสิ่งที่อยากได้ผิดเพี้ยน: เมื่ออยากได้มาก สิ่งนั้นจะดูดีเกินจริง มีเสน่ห์เกินจริง ความหลงที่เกิดจากความอยาก: จิตที่ถูกครอบงำด้วยความอยากจะฟุ้งซ่าน ขาดความเป็นกลาง และไร้เหตุผล เมื่อได้มาแล้ว ความอยากนั้นจะลดลง และค่าของสิ่งที่ได้มาเริ่มจางหาย กลายเป็นธรรมดา --- 3. การเจริญสติรู้ทันความอยาก สังเกตความอยาก: เมื่อความอยากเกิดขึ้น ให้รู้ทันว่าความอยากนั้นกำลังทำให้จิตใจผิดเพี้ยน เห็นธรรมชาติของจิต: เห็นว่าจิตแปรปรวนไปตามความอยาก และสุดท้ายจะลงเอยด้วยความรู้สึก “เฉยๆ” สติชั้นสูง: การสังเกตความอยากจนเกิดความเข้าใจในความเป็นธรรมดาของสิ่งต่างๆ จะทำให้จิตสงบและลดการยึดมั่น --- 4. วิธีฝึกใจให้พอจริง ฝึกมองสิ่งที่มีด้วยใจเปิดกว้าง: เห็นคุณค่าในสิ่งที่มีอยู่โดยไม่ปรุงแต่ง ยอมรับความธรรมดา: ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือเลว เห็นมันตามที่เป็น ไม่ใช่ตามที่ใจปรุงแต่ง อยู่กับปัจจุบัน: หายใจเข้า-ออก พร้อมกับรู้ตัวในสิ่งที่ทำในขณะนั้น --- สรุป ความสุขที่แท้จริงเกิดจากการฝึกจิตให้รู้เท่าทันความอยาก และไม่ปล่อยให้มันครอบงำใจ การรู้จักพอใจในสิ่งที่มี และการมองทุกสิ่งด้วยสายตาที่เป็นกลาง จะทำให้คุณพบกับความสงบสุขและความอิ่มเอมในชีวิตอย่างยั่งยืน!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 249 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ep 18.2 ) “ถ้าไม่ไหว อย่าแบกมัน” (หลวงพ่อชา สุภัทฺโท) . สนธิทอล์คธรรม . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    Ep 18.2 ) “ถ้าไม่ไหว อย่าแบกมัน” (หลวงพ่อชา สุภัทฺโท) . สนธิทอล์คธรรม . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 385 มุมมอง 19 0 รีวิว
  • Ep 18.1 ) "พุทโธของเราหาย" (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) . สนธิทอล์คธรรม . เครดิตเพจ . ธรรมะไทย . สำนักข่าวมติชน. ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย . ปีนี้มีชัย สว่างไสว คล่องตัวไม่ติดขัด ใช้สติที่ฝึกมา ป้องกันภัยด้วยตัวเอง
    Ep 18.1 ) "พุทโธของเราหาย" (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) . สนธิทอล์คธรรม . เครดิตเพจ . ธรรมะไทย . สำนักข่าวมติชน. ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย . ปีนี้มีชัย สว่างไสว คล่องตัวไม่ติดขัด ใช้สติที่ฝึกมา ป้องกันภัยด้วยตัวเอง
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 901 มุมมอง 17 0 รีวิว
  • Merry Christmas and Happy New Year 2025 . Mindfulness Habits Academy . สถาบันฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    Merry Christmas and Happy New Year 2025 . Mindfulness Habits Academy . สถาบันฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 2 0 รีวิว
  • Ep. 19 ) เชื่อมโยงกัน 🪷 วันพระ จันทร์ที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๗ พระเมธีวชิโรดม . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    Ep. 19 ) เชื่อมโยงกัน 🪷 วันพระ จันทร์ที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๗ พระเมธีวชิโรดม . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 4 0 รีวิว
  • Ep. 18 ) อานาปานสติ . หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน • คุณลุงสนธิ ลิ้มทองกุล (งานมุฑิตาสักการะ เจริญอายุวัฒนมงคล #หลวงพ่ออลงกต วันอาทิตย์ ๘ ธ.ค ๒๕๖๗) • บ้านพระอาทิตย์ • สนธิทอล์คธรรม • ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    Ep. 18 ) อานาปานสติ . หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน • คุณลุงสนธิ ลิ้มทองกุล (งานมุฑิตาสักการะ เจริญอายุวัฒนมงคล #หลวงพ่ออลงกต วันอาทิตย์ ๘ ธ.ค ๒๕๖๗) • บ้านพระอาทิตย์ • สนธิทอล์คธรรม • ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 591 มุมมอง 14 0 รีวิว
  • 🙏🏻✨🪷 กราบขอบพระคุณพี่ๆ ผู้สื่อข่าว พี่ๆ แอดมิน ที่นำเสนอข่าวเพื่อความเป็นธรรมให้น้องแตงโม อย่างสูงนะคะ✨ จาก คลิปข่าว : https://youtu.be/ellfbuHYFYY?si=9xf1wuyH24H1DGbP💞 จากที่เรียนรู้ปฎิบัติธรรมมาจากพระ จากครูบาอาจารย์ เข้าใจว่า การปลุกเสกตนเอง โดยการทำทาน ศีล ภาวนาให้ครบอย่างต่อเนื่องด้วยใจบริสุทธิ์ ✨ ท่านจะมีสติปัญญาในการบริหารภาระกิจ แก้โจทย์ปัญหาชีวิตของตัวท่านเองอย่างลึกซึ้งได้สำเร็จลุล่วง และสามารถช่วยเหลือผู้อื่น มีพลังอธิษฐานจิตแผ่กุศลให้ทั้งคนเป็นและคนตายได้ทุกมิติสำเร็จเร็วพลัน💞 คุณลุงสนธิ อ.ปานเทพ และพี่ๆ ทีมข่าว คุณหญิงหมอพรทิพย์ คุณอัจฉริยะ คุณหมอธวัชชัย ทีมอาจารย์หมอ พี่ท๊อป พี่ไทท์ คุณต่าย สายธาร ปฎิบัติธรรมทาน ศีล ภาวนา ครบทุกประการ มีจิตโพธิสัตว์ ทำดีเพื่อดี ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง🤍 ใครคิด พูด ทำร้าย ทุกท่านที่กล่าวมา จะได้รับกรรมอย่างเผ็ดร้อน อย่างไม่มีประมาณ เพราะทุกท่านปฎิบัติอย่างอดทน อย่างไม่ย่อท้อ อย่างทำดีเพื่อดี เพื่อให้สังคมดีขึ้น สังคมไม่ลำบากยากแค้น💞 พ่อแม่พี่น้องคะ พวกเรา มาปลุกเสกตัวเอง ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย ปลุกจิตโพธิสัตว์ของเรา ทำ ทาน ศีล ภาวนา คิด พูด ทำดี อย่างต่อเนื่อง เพื่อรวมพลังทำดี รวมพลังอธิฐาน ช่วยทีมจิตโพธิสัตว์ (คุณลุงสนธิ อ.ปานเทพ และพี่ๆ ทีมข่าว คุณหญิงหมอพรทิพย์ คุณอัจฉริยะ คุณหมอธวัชชัย ทีมอาจารย์หมอ พี่ท๊อป พี่ไทท์ คุณต่าย สายธาร และสำคัญมากเลยคือ พี่ๆ ผู้สื่อข่าว คุณแอดมิน ทีมงานทุกท่าน) ทำงานได้สำเร็จ ช่วยให้น้องแตงโมได้รับความเป็นธรรม ให้ทุกท่านปราศจากอุปสรรค อันตรายทุกประการ กันดีไม๊คะ 💞 สาธุ เรามาปลุกเสกจิตโพธิสัตว์ ปลุกสติปัญญา และกายหยาบของพวกเรากันทำประโยชน์เพื่อ จิต กายตัวเอง และส่วนรวมกันค่ะ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยค่ะ
    🙏🏻✨🪷 กราบขอบพระคุณพี่ๆ ผู้สื่อข่าว พี่ๆ แอดมิน ที่นำเสนอข่าวเพื่อความเป็นธรรมให้น้องแตงโม อย่างสูงนะคะ✨ จาก คลิปข่าว : https://youtu.be/ellfbuHYFYY?si=9xf1wuyH24H1DGbP💞 จากที่เรียนรู้ปฎิบัติธรรมมาจากพระ จากครูบาอาจารย์ เข้าใจว่า การปลุกเสกตนเอง โดยการทำทาน ศีล ภาวนาให้ครบอย่างต่อเนื่องด้วยใจบริสุทธิ์ ✨ ท่านจะมีสติปัญญาในการบริหารภาระกิจ แก้โจทย์ปัญหาชีวิตของตัวท่านเองอย่างลึกซึ้งได้สำเร็จลุล่วง และสามารถช่วยเหลือผู้อื่น มีพลังอธิษฐานจิตแผ่กุศลให้ทั้งคนเป็นและคนตายได้ทุกมิติสำเร็จเร็วพลัน💞 คุณลุงสนธิ อ.ปานเทพ และพี่ๆ ทีมข่าว คุณหญิงหมอพรทิพย์ คุณอัจฉริยะ คุณหมอธวัชชัย ทีมอาจารย์หมอ พี่ท๊อป พี่ไทท์ คุณต่าย สายธาร ปฎิบัติธรรมทาน ศีล ภาวนา ครบทุกประการ มีจิตโพธิสัตว์ ทำดีเพื่อดี ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง🤍 ใครคิด พูด ทำร้าย ทุกท่านที่กล่าวมา จะได้รับกรรมอย่างเผ็ดร้อน อย่างไม่มีประมาณ เพราะทุกท่านปฎิบัติอย่างอดทน อย่างไม่ย่อท้อ อย่างทำดีเพื่อดี เพื่อให้สังคมดีขึ้น สังคมไม่ลำบากยากแค้น💞 พ่อแม่พี่น้องคะ พวกเรา มาปลุกเสกตัวเอง ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย ปลุกจิตโพธิสัตว์ของเรา ทำ ทาน ศีล ภาวนา คิด พูด ทำดี อย่างต่อเนื่อง เพื่อรวมพลังทำดี รวมพลังอธิฐาน ช่วยทีมจิตโพธิสัตว์ (คุณลุงสนธิ อ.ปานเทพ และพี่ๆ ทีมข่าว คุณหญิงหมอพรทิพย์ คุณอัจฉริยะ คุณหมอธวัชชัย ทีมอาจารย์หมอ พี่ท๊อป พี่ไทท์ คุณต่าย สายธาร และสำคัญมากเลยคือ พี่ๆ ผู้สื่อข่าว คุณแอดมิน ทีมงานทุกท่าน) ทำงานได้สำเร็จ ช่วยให้น้องแตงโมได้รับความเป็นธรรม ให้ทุกท่านปราศจากอุปสรรค อันตรายทุกประการ กันดีไม๊คะ 💞 สาธุ เรามาปลุกเสกจิตโพธิสัตว์ ปลุกสติปัญญา และกายหยาบของพวกเรากันทำประโยชน์เพื่อ จิต กายตัวเอง และส่วนรวมกันค่ะ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยค่ะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 505 มุมมอง 0 รีวิว
  • การลดกรรมกับคนที่มีเวรพัวพันกัน

    ทำความเข้าใจกรรมที่ผูกพัน

    1. ถามระดับความทุกข์ในใจ

    รู้สึกบีบคั้นแค่ไหน?

    ทุกข์ที่เผชิญอยู่เข้มข้น เบาบาง หรือหนักหน่วงถึงขั้นแทบเป็นแทบตาย?

    2. ตรวจสอบว่าความทุกข์เลี่ยงได้หรือไม่

    เลี่ยงไม่ได้: แม้พยายามหลบหลีก หรือทำดีแค่ไหน แต่สถานการณ์ไม่ดีขึ้นเลย

    เลี่ยงได้แต่ไม่ยอมเลี่ยง: เรายังคงยึดติดหรือเอาใจไปผูกพันกับสถานการณ์เอง

    3. สันนิษฐานต้นเหตุ

    เราอาจเคยบีบคั้นเขาให้ทุกข์ในลักษณะเดียวกันในอดีต

    ถ้าเคยบีบคั้นเขาแบบไม่เปิดโอกาสให้หลบเลี่ยง เราก็จะได้รับผลกรรมแบบเดียวกัน

    ---

    วิธีลดกรรม

    1. คลี่คลายใจตัวเองก่อน

    อย่าตั้งความหวังว่าเขาจะมาดีกับเรา เพราะการคาดหวังเกินตัวจะเพิ่มทุกข์

    ตั้งเป้าหมายลดทุกข์ในใจของตัวเองก่อน โดย เจริญสติ และฝึกมองเห็นความไม่เที่ยงของใจ

    2. ฝึกใจให้วางลง

    เปรียบเสมือนเชือกที่ตึงจากแรงดึงของทั้งสองขั้ว

    ถ้าเราผ่อนความคาดหวัง ลดทิฐิมานะ ความตึงเครียดจะลดลง

    3. เจริญสติอย่างถูกวิธี

    การเจริญสติช่วยให้เราเห็นว่า ใจไม่เที่ยงและคลายการยึดมั่นในตนเอง

    เมื่อเกิดปัญญาเห็นตามจริงว่า "เวร" ไม่ใช่ของเรา ใจก็จะเบาลง

    4. ใช้ศีลเป็นเครื่องค้ำจุน

    การถือศีลช่วยควบคุมการกระทำไม่ให้สร้างเวรกรรมใหม่

    แม้ไม่ได้ลดทุกข์ทันที แต่ช่วยเตรียมใจให้สงบและพร้อมสำหรับการเจริญสติ

    ---

    ผลของการลดกรรม

    เมื่อจิตใจเบาลงและคลี่คลายจากความยึดมั่นในเวร

    ความสัมพันธ์กับคนที่มีเวรพัวพันจะเริ่มผ่อนคลาย

    เหตุการณ์ที่เคยสร้างทุกข์ให้กันจะค่อยๆจางหาย

    สุดท้ายคุณจะพบความสงบและอิสระจากพันธนาการของกรรม!
    การลดกรรมกับคนที่มีเวรพัวพันกัน ทำความเข้าใจกรรมที่ผูกพัน 1. ถามระดับความทุกข์ในใจ รู้สึกบีบคั้นแค่ไหน? ทุกข์ที่เผชิญอยู่เข้มข้น เบาบาง หรือหนักหน่วงถึงขั้นแทบเป็นแทบตาย? 2. ตรวจสอบว่าความทุกข์เลี่ยงได้หรือไม่ เลี่ยงไม่ได้: แม้พยายามหลบหลีก หรือทำดีแค่ไหน แต่สถานการณ์ไม่ดีขึ้นเลย เลี่ยงได้แต่ไม่ยอมเลี่ยง: เรายังคงยึดติดหรือเอาใจไปผูกพันกับสถานการณ์เอง 3. สันนิษฐานต้นเหตุ เราอาจเคยบีบคั้นเขาให้ทุกข์ในลักษณะเดียวกันในอดีต ถ้าเคยบีบคั้นเขาแบบไม่เปิดโอกาสให้หลบเลี่ยง เราก็จะได้รับผลกรรมแบบเดียวกัน --- วิธีลดกรรม 1. คลี่คลายใจตัวเองก่อน อย่าตั้งความหวังว่าเขาจะมาดีกับเรา เพราะการคาดหวังเกินตัวจะเพิ่มทุกข์ ตั้งเป้าหมายลดทุกข์ในใจของตัวเองก่อน โดย เจริญสติ และฝึกมองเห็นความไม่เที่ยงของใจ 2. ฝึกใจให้วางลง เปรียบเสมือนเชือกที่ตึงจากแรงดึงของทั้งสองขั้ว ถ้าเราผ่อนความคาดหวัง ลดทิฐิมานะ ความตึงเครียดจะลดลง 3. เจริญสติอย่างถูกวิธี การเจริญสติช่วยให้เราเห็นว่า ใจไม่เที่ยงและคลายการยึดมั่นในตนเอง เมื่อเกิดปัญญาเห็นตามจริงว่า "เวร" ไม่ใช่ของเรา ใจก็จะเบาลง 4. ใช้ศีลเป็นเครื่องค้ำจุน การถือศีลช่วยควบคุมการกระทำไม่ให้สร้างเวรกรรมใหม่ แม้ไม่ได้ลดทุกข์ทันที แต่ช่วยเตรียมใจให้สงบและพร้อมสำหรับการเจริญสติ --- ผลของการลดกรรม เมื่อจิตใจเบาลงและคลี่คลายจากความยึดมั่นในเวร ความสัมพันธ์กับคนที่มีเวรพัวพันจะเริ่มผ่อนคลาย เหตุการณ์ที่เคยสร้างทุกข์ให้กันจะค่อยๆจางหาย สุดท้ายคุณจะพบความสงบและอิสระจากพันธนาการของกรรม!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ep. 17 ) ”ให้ของขวัญตัวเอง“ วันพระ อาทิตย์ที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๗ 🪷 ดร. พระมหาสันทัศน์ โสตฺถิวํโส . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    Ep. 17 ) ”ให้ของขวัญตัวเอง“ วันพระ อาทิตย์ที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๗ 🪷 ดร. พระมหาสันทัศน์ โสตฺถิวํโส . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 525 มุมมอง 6 0 รีวิว
Pages Boosts