• เกิดเหตุถังแก๊สระเบิดภายในครัวบ้าน “ต๊อบ เถ้าแก่น้อย” ย่านดอนเมือง มีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นแม่บ้านหลังดังกล่าว 2 ราย

    เมื่อวันนี้ (2 ม.ค.) เวลา 07.00 น. พ.ต.ท.ชำนาญยุทธ ก้องฆ้อง สว.(สอบสวน) สน.ดอนเมือง ได้รับแจ้งเหตุไฟไหม้ภายในซอยเทิดราชัน 9 ถนนเทิดราชัน แขวงสีกัน เขตดอนเมือง ก่อนรุดตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.สุกฤต มังคละสวัสดิ์ ผกก.สน.ดอนเมือง ก่อนประสานเจ้าหน้าที่ดับเพลิงสถานีดับเพลิงดอนเมือง อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูร่วมตรวจสอบ

    ที่เกิดเหตุเป็นลักษณะโครงการบ้านพักขนาดใหญ่ภายในมีบ้านพักเพียง 3 หลัง บริเวณห้องครัวของบ้านเลขที่ 42 พบเครื่องครัว โต๊ะ เก้าอี้ ประตู หน้าต่าง พังเสียหายกระจักกระจาย เนื้อที่ประมาณ 20 ตารางเมตร ทั้งนี้ยังพบผู้บาดเจ็บ 2 ราย ทราบชื่อ น.ส.มินตรา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี และ น.ส.ละอองทิพย์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี มีบาดแผลไฟลวกบริเวณมือ เท้า และใบหน้า ศรีษะ เจ้าหน้าที่ได้เร่งนำตัวส่งโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) ทำการรักษา

    จากการสอบถามผู้บาดเจ็บเบื้องต้นทราบว่า แก๊สได้ระเบิดขณะที่กำลังเปิดเตาแก๊ส ซึ่งเจ้าหน้าที่คาดว่าอาจจะเป็นเพราะขณะผู้บาดเจ็บกำลังจุดเตา แต่ไฟที่เตาไม่ติดทำให้มีแก๊สสะสม เมื่อพยายามจุดอีกทำให้เกิดประกายไฟและเกิดระเบิดขึ้น

    ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านของนักธุรกิจหนุ่มหมื่นล้าน “ต๊อบ อิทธิพัทธ์ เจ้าของแบรนด์สาหร่ายชื่อดัง “เถ้าแก่น้อย“ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จะได้ทำการสอบสวนผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงตรวจสอบหาสาเหตุของการเกิดระเบิดอย่างละเอียดอีกครั้ง

    #MGROnline #ต๊อบเถ้าแก่น้อย #ถังแก๊สระเบิด
    เกิดเหตุถังแก๊สระเบิดภายในครัวบ้าน “ต๊อบ เถ้าแก่น้อย” ย่านดอนเมือง มีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นแม่บ้านหลังดังกล่าว 2 ราย • เมื่อวันนี้ (2 ม.ค.) เวลา 07.00 น. พ.ต.ท.ชำนาญยุทธ ก้องฆ้อง สว.(สอบสวน) สน.ดอนเมือง ได้รับแจ้งเหตุไฟไหม้ภายในซอยเทิดราชัน 9 ถนนเทิดราชัน แขวงสีกัน เขตดอนเมือง ก่อนรุดตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.สุกฤต มังคละสวัสดิ์ ผกก.สน.ดอนเมือง ก่อนประสานเจ้าหน้าที่ดับเพลิงสถานีดับเพลิงดอนเมือง อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูร่วมตรวจสอบ • ที่เกิดเหตุเป็นลักษณะโครงการบ้านพักขนาดใหญ่ภายในมีบ้านพักเพียง 3 หลัง บริเวณห้องครัวของบ้านเลขที่ 42 พบเครื่องครัว โต๊ะ เก้าอี้ ประตู หน้าต่าง พังเสียหายกระจักกระจาย เนื้อที่ประมาณ 20 ตารางเมตร ทั้งนี้ยังพบผู้บาดเจ็บ 2 ราย ทราบชื่อ น.ส.มินตรา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี และ น.ส.ละอองทิพย์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี มีบาดแผลไฟลวกบริเวณมือ เท้า และใบหน้า ศรีษะ เจ้าหน้าที่ได้เร่งนำตัวส่งโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) ทำการรักษา • จากการสอบถามผู้บาดเจ็บเบื้องต้นทราบว่า แก๊สได้ระเบิดขณะที่กำลังเปิดเตาแก๊ส ซึ่งเจ้าหน้าที่คาดว่าอาจจะเป็นเพราะขณะผู้บาดเจ็บกำลังจุดเตา แต่ไฟที่เตาไม่ติดทำให้มีแก๊สสะสม เมื่อพยายามจุดอีกทำให้เกิดประกายไฟและเกิดระเบิดขึ้น • ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านของนักธุรกิจหนุ่มหมื่นล้าน “ต๊อบ อิทธิพัทธ์ เจ้าของแบรนด์สาหร่ายชื่อดัง “เถ้าแก่น้อย“ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จะได้ทำการสอบสวนผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงตรวจสอบหาสาเหตุของการเกิดระเบิดอย่างละเอียดอีกครั้ง • #MGROnline #ต๊อบเถ้าแก่น้อย #ถังแก๊สระเบิด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 349 มุมมอง 0 รีวิว
  • 13/12/67

    เปลี่ยนด่วน! ผลวิจัยชี้ ใช้เครื่องครัวทำจากพลาสติกสีดำเสี่ยงเป็นมะเร็ง...

    ผลจากการศึกษาวิจัยโดยนักวิจัยจากสถาบันวิจัยท็อกซิก-ฟรี ฟิวเจอร์และสถาบันเพื่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมแห่งอัมสเตอร์ดัม มหาวิทยาลัยเสรีอัมสเตอร์ดัม ซึ่งได้ทำการทดสอบผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน 203 รายการที่ผลิตด้วยพลาสติกสีดำ พบว่า 85% ของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มีสารหน่วงการติดไฟผสมอยู่ในปริมาณสูง 

    งานวิจัยดังกล่าวเพิ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสารคีโมสเฟียร์ มีเมแกน หลิว ผู้จัดการด้านวิทยาศาสตร์และนโยบาย เป็นผู้ร่วมดูแลโครงการวิจัย เธออธิบายว่า สารหน่วงการติดไฟหรือ Retardant คือสารชนิดเดียวกันกับสารที่ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น เครื่องรับโทรทัศน์, โทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์

    สารชนิดนี้จะพบในอุปกรณ์ที่ผลิตด้วยพลาสติกสีดำเท่านั้น ไม่มีในพลาสติกสีอื่น เนื่องจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้และเคลือบสารหน่วงการติดไฟเหล่านี้มักจะมีสีดำ

    หลิวชี้ว่า ความจริงแล้วก็ไม่ควรใช้สารเคมีที่ก่อมะเร็งได้ในการผลิตอยู่แล้ว และระบบการรีไซเคิลก็ทำให้สารนี้เข้าสู่สิ่งแวดล้อมและเข้าสู่บ้านเรือนประชาชนในหลาย ๆ ทาง และจากการตรวจสอบก็พบสารนี้อยู่ในปริมาณที่น่ากังวลใจ

    ผลการศึกษาพบว่า พลาสติกที่ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้อาจถูกนำไปรีไซเคิลและกลายเป็นวัสดุผลิตอุปกรณ์เครื่องครัวซึ่งไม่ได้ต้องการคุณสมบัติการหน่วงการติดไฟเท่าไหร่นัก และกลับกลายเป็นว่า ทำให้เรามีโอกาสสัมผัสสารอันตรายนี้โดยไม่จำเป็น ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับเด็กและสตรีในวัยเจริญพันธุ์

    นักวิจัยระบุว่า ปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสสารนี้ ได้แก่ การก่อโรคมะเร็ง, รบกวนการทำงานต่อมไร้ท่อ, เป็นพิษต่อระบบประสาทและระบบสืบพันธุ์ รวมทั้งเป็นพิษต่อตัวอ่อนในครรภ์

    แม้จะไม่ได้เปิดเผยชื่อยี่ห้อหรือผู้ผลิต แต่ทีมวิจัยพบสารหน่วงการติดไฟในระดับสูงสุดในเครื่องใช้ประเภทไม้พาย, ถาดซูชิที่เป็นบรรจุภัณฑ์วางขายตามร้านค้า และสร้อยคอลูกปัดพลาสติก

    หนึ่งในสารเคมีอันตรายที่ตรวจพบในภาชนะคือสารต้องห้ามที่เรียกว่า decaBDE ซึ่งใช้ทำชิ้นส่วนด้านนอกของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การศึกษายังเผยให้เห็นว่าสารดังกล่าวแทรกซึมเข้าสู่บ้านของเราผ่านทางวัสดุพลาสติกรีไซเคิล เช่น การนำวัสดุของตู้เครื่องรับโทรทัศน์ไปรีไซเคิลเป็นภาชนะจัดเก็บอาหาร

    เฮเทอร์ สเตเปิลตัน ศาสตราจารย์ดีเด่นจากสถาบันโรนี-ริเชล การ์เซีย-จอห์นสันแห่งมหาวิทยาลัยดุ๊ก กล่าวแนะนำว่า ควรพยายามกำจัดเครื่องใช้ในครัวที่เป็นพลาสติกสีดำทิ้งไป หรือค่อยๆ ปรับเปลี่ยนการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ให้น้อยลง 

    หากว่ายังไม่สามารถเปลี่ยนเครื่องใช้เสี่ยงอันตรายเหล่านี้ได้ในทันที ก็ควรหลีกเลี่ยงการนำไปใช้หรือสัมผัสของของร้อนเป็นเวลานาน ๆ อย่างไรก็ตาม ควรเปลี่ยนเครื่องใช้นั้นทิ้งไปในทันทีหากมันละลายหรือเสียรูปเนื่องจากความร้อน

    สำหรับตัวเลือกภาชนะหรือเครื่องใช้ในครัวที่ดีกว่าพลาสติกสีดำคือเครื่องใช้ที่ทำจากโลหะ ไม้และเซรามิก แต่ก็ต้องทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคอย่างสม่ำเสมอ
    cr:Dailynews
    13/12/67 เปลี่ยนด่วน! ผลวิจัยชี้ ใช้เครื่องครัวทำจากพลาสติกสีดำเสี่ยงเป็นมะเร็ง... ผลจากการศึกษาวิจัยโดยนักวิจัยจากสถาบันวิจัยท็อกซิก-ฟรี ฟิวเจอร์และสถาบันเพื่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมแห่งอัมสเตอร์ดัม มหาวิทยาลัยเสรีอัมสเตอร์ดัม ซึ่งได้ทำการทดสอบผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน 203 รายการที่ผลิตด้วยพลาสติกสีดำ พบว่า 85% ของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มีสารหน่วงการติดไฟผสมอยู่ในปริมาณสูง  งานวิจัยดังกล่าวเพิ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสารคีโมสเฟียร์ มีเมแกน หลิว ผู้จัดการด้านวิทยาศาสตร์และนโยบาย เป็นผู้ร่วมดูแลโครงการวิจัย เธออธิบายว่า สารหน่วงการติดไฟหรือ Retardant คือสารชนิดเดียวกันกับสารที่ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น เครื่องรับโทรทัศน์, โทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์ สารชนิดนี้จะพบในอุปกรณ์ที่ผลิตด้วยพลาสติกสีดำเท่านั้น ไม่มีในพลาสติกสีอื่น เนื่องจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้และเคลือบสารหน่วงการติดไฟเหล่านี้มักจะมีสีดำ หลิวชี้ว่า ความจริงแล้วก็ไม่ควรใช้สารเคมีที่ก่อมะเร็งได้ในการผลิตอยู่แล้ว และระบบการรีไซเคิลก็ทำให้สารนี้เข้าสู่สิ่งแวดล้อมและเข้าสู่บ้านเรือนประชาชนในหลาย ๆ ทาง และจากการตรวจสอบก็พบสารนี้อยู่ในปริมาณที่น่ากังวลใจ ผลการศึกษาพบว่า พลาสติกที่ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้อาจถูกนำไปรีไซเคิลและกลายเป็นวัสดุผลิตอุปกรณ์เครื่องครัวซึ่งไม่ได้ต้องการคุณสมบัติการหน่วงการติดไฟเท่าไหร่นัก และกลับกลายเป็นว่า ทำให้เรามีโอกาสสัมผัสสารอันตรายนี้โดยไม่จำเป็น ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับเด็กและสตรีในวัยเจริญพันธุ์ นักวิจัยระบุว่า ปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสสารนี้ ได้แก่ การก่อโรคมะเร็ง, รบกวนการทำงานต่อมไร้ท่อ, เป็นพิษต่อระบบประสาทและระบบสืบพันธุ์ รวมทั้งเป็นพิษต่อตัวอ่อนในครรภ์ แม้จะไม่ได้เปิดเผยชื่อยี่ห้อหรือผู้ผลิต แต่ทีมวิจัยพบสารหน่วงการติดไฟในระดับสูงสุดในเครื่องใช้ประเภทไม้พาย, ถาดซูชิที่เป็นบรรจุภัณฑ์วางขายตามร้านค้า และสร้อยคอลูกปัดพลาสติก หนึ่งในสารเคมีอันตรายที่ตรวจพบในภาชนะคือสารต้องห้ามที่เรียกว่า decaBDE ซึ่งใช้ทำชิ้นส่วนด้านนอกของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การศึกษายังเผยให้เห็นว่าสารดังกล่าวแทรกซึมเข้าสู่บ้านของเราผ่านทางวัสดุพลาสติกรีไซเคิล เช่น การนำวัสดุของตู้เครื่องรับโทรทัศน์ไปรีไซเคิลเป็นภาชนะจัดเก็บอาหาร เฮเทอร์ สเตเปิลตัน ศาสตราจารย์ดีเด่นจากสถาบันโรนี-ริเชล การ์เซีย-จอห์นสันแห่งมหาวิทยาลัยดุ๊ก กล่าวแนะนำว่า ควรพยายามกำจัดเครื่องใช้ในครัวที่เป็นพลาสติกสีดำทิ้งไป หรือค่อยๆ ปรับเปลี่ยนการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ให้น้อยลง  หากว่ายังไม่สามารถเปลี่ยนเครื่องใช้เสี่ยงอันตรายเหล่านี้ได้ในทันที ก็ควรหลีกเลี่ยงการนำไปใช้หรือสัมผัสของของร้อนเป็นเวลานาน ๆ อย่างไรก็ตาม ควรเปลี่ยนเครื่องใช้นั้นทิ้งไปในทันทีหากมันละลายหรือเสียรูปเนื่องจากความร้อน สำหรับตัวเลือกภาชนะหรือเครื่องใช้ในครัวที่ดีกว่าพลาสติกสีดำคือเครื่องใช้ที่ทำจากโลหะ ไม้และเซรามิก แต่ก็ต้องทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคอย่างสม่ำเสมอ cr:Dailynews
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 400 มุมมอง 0 รีวิว
  • KKV สโตร์แบรนด์จีน ใต้ปีกมิสเตอร์ดีไอวาย

    การเปิดร้าน KKV ไลฟ์สไตล์สโตร์จากประเทศจีน สาขาแรกในประเทศไทยที่ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ ซึ่งจะจัดงานปาร์ตี้สำหรับแขกรับเชิญพิเศษในวันที่ 29 ต.ค. ก่อนวันเปิดร้านจริง และยังเตรียมเปิดสาขาเดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นแบรนด์จากประเทศจีน ที่จะเข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดร้านค้าไลฟ์สไตล์ในไทย แต่เบื้องหลังพบว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจของ บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เจ้าของร้านมิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. (Mr. D.I.Y.) ธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์สัญชาติมาเลเซีย ที่มีสาขากว่า 800 แห่งใน 74 จังหวัดทั่วประเทศ

    ก่อนหน้านี้ มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท เคเควี ซัพพลาย เชน จำกัด (KKVSC) จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2567 ทุนจดทะเบียน 190 ล้านบาท และบริษัท เคเควี บิสซิเนส แมเนจเมนท์ จำกัด (KKVBM) จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2567 ทุนจดทะเบียน 172 ล้านบาท มีนายชิน กวานกุ้ย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. และนางสาวฐิตานันท์ ซุน รองผู้จัดการใหญ่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. เป็นกรรมการบริษัท

    ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2567 เว็บไซต์ The Edge Malaysia ระบุว่า บริษัท มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. (เอ็ม) เบอร์ฮัด เปิดเผยครั้งแรกวันที่ 13 ส.ค. 2567 ว่า ได้ลงทุน 9.6 ล้านริงกิต (ประมาณ 73 ล้านบาท) เพื่อซื้อหุ้น 49% ในธุรกิจของ KKV เครือข่ายร้านค้าปลีกไลฟ์สไตล์จากจีนในมาเลเซียเมื่อเดือน พ.ค. 2567 ขณะนั้นเปิดสาขามาแล้ว 3 สาขา โดยพบว่าสามารถสร้างรายได้มากกว่ารายได้เฉลี่ยต่อเดือนของร้านของ Mr DIY ถึงสามเท่า

    อีกด้านหนึ่ง ในหนังสือชี้ชวนเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) พบว่าโครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มบริษัทมิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. หนึ่งในนั้นคือ KKVSC ซึ่งประกอบธุรกิจหลัก คือ การซื้อมาขายไป (Trading) สำหรับจำหน่ายในร้านค้าภายใต้แบรนด์ “KKV” และ KKVBM ซึ่งประกอบธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจร้านค้าปลีกภายใต้แบรนด์ “KKV” แต่วันที่ของเอกสารยังไม่มีการประกอบกิจการใดๆ ซึ่งบริษัทฯ ตั้งใจที่จะดำเนินร้านค้าปลีกที่จำหน่ายของใช้ส่วนตัว ของใช้ในบ้าน เครื่องครัว ของเล่น และอาหารและเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์ “KKV”

    ด้วยประสบการณ์ในการขยายสาขามากกว่า 800 แห่ง ภายในระยะเวลา 8 ปี และก่อนหน้านี้ KKV ได้ขยายสาขาในมาเลเซียแล้ว 7 แห่ง จึงเป็นที่น่าจับตามองว่า ร้าน KKV ในประเทศไทยจะมีผลตอบรับจากผู้บริโภคมากน้อยขนาดไหน

    #Newskit #KKVThailand #MrDIY
    KKV สโตร์แบรนด์จีน ใต้ปีกมิสเตอร์ดีไอวาย การเปิดร้าน KKV ไลฟ์สไตล์สโตร์จากประเทศจีน สาขาแรกในประเทศไทยที่ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ ซึ่งจะจัดงานปาร์ตี้สำหรับแขกรับเชิญพิเศษในวันที่ 29 ต.ค. ก่อนวันเปิดร้านจริง และยังเตรียมเปิดสาขาเดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นแบรนด์จากประเทศจีน ที่จะเข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดร้านค้าไลฟ์สไตล์ในไทย แต่เบื้องหลังพบว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจของ บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เจ้าของร้านมิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. (Mr. D.I.Y.) ธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์สัญชาติมาเลเซีย ที่มีสาขากว่า 800 แห่งใน 74 จังหวัดทั่วประเทศ ก่อนหน้านี้ มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท เคเควี ซัพพลาย เชน จำกัด (KKVSC) จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2567 ทุนจดทะเบียน 190 ล้านบาท และบริษัท เคเควี บิสซิเนส แมเนจเมนท์ จำกัด (KKVBM) จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2567 ทุนจดทะเบียน 172 ล้านบาท มีนายชิน กวานกุ้ย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. และนางสาวฐิตานันท์ ซุน รองผู้จัดการใหญ่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. เป็นกรรมการบริษัท ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2567 เว็บไซต์ The Edge Malaysia ระบุว่า บริษัท มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. (เอ็ม) เบอร์ฮัด เปิดเผยครั้งแรกวันที่ 13 ส.ค. 2567 ว่า ได้ลงทุน 9.6 ล้านริงกิต (ประมาณ 73 ล้านบาท) เพื่อซื้อหุ้น 49% ในธุรกิจของ KKV เครือข่ายร้านค้าปลีกไลฟ์สไตล์จากจีนในมาเลเซียเมื่อเดือน พ.ค. 2567 ขณะนั้นเปิดสาขามาแล้ว 3 สาขา โดยพบว่าสามารถสร้างรายได้มากกว่ารายได้เฉลี่ยต่อเดือนของร้านของ Mr DIY ถึงสามเท่า อีกด้านหนึ่ง ในหนังสือชี้ชวนเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) พบว่าโครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มบริษัทมิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. หนึ่งในนั้นคือ KKVSC ซึ่งประกอบธุรกิจหลัก คือ การซื้อมาขายไป (Trading) สำหรับจำหน่ายในร้านค้าภายใต้แบรนด์ “KKV” และ KKVBM ซึ่งประกอบธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจร้านค้าปลีกภายใต้แบรนด์ “KKV” แต่วันที่ของเอกสารยังไม่มีการประกอบกิจการใดๆ ซึ่งบริษัทฯ ตั้งใจที่จะดำเนินร้านค้าปลีกที่จำหน่ายของใช้ส่วนตัว ของใช้ในบ้าน เครื่องครัว ของเล่น และอาหารและเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์ “KKV” ด้วยประสบการณ์ในการขยายสาขามากกว่า 800 แห่ง ภายในระยะเวลา 8 ปี และก่อนหน้านี้ KKV ได้ขยายสาขาในมาเลเซียแล้ว 7 แห่ง จึงเป็นที่น่าจับตามองว่า ร้าน KKV ในประเทศไทยจะมีผลตอบรับจากผู้บริโภคมากน้อยขนาดไหน #Newskit #KKVThailand #MrDIY
    Like
    3
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 708 มุมมอง 0 รีวิว