• เผือกเส้นสวยเป๊ะ! หากคุณกำลังมองหาเครื่องจักรที่สามารถหั่น เผือก ให้ออกมาเป็น เส้นยาวเรียว ได้มาตรฐานสม่ำเสมอ เหมือนที่คุณเห็นในภาพนี้ (เน้นความสม่ำเสมอของเส้น) คุณมาถูกที่แล้ว!

    เครื่องหั่นมันฝรั่ง (Potato Slicer) Model YPS-J300-606-Z-S จาก ย.ย่งฮะเฮง คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ ร้านขนม โรงงานแปรรูป และผู้ค้าส่ง ได้ชิ้นงานคุณภาพสูงเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็น:

    เผือกเส้นทอด/อบ: ได้เส้นสวยเท่ากันหมด ทอดแล้วสุกพร้อมกัน กรอบนาน

    เผือกเส้นสำหรับขนม: หรือส่วนผสมอาหารอื่น ๆ ที่ต้องการความประณีต

    สเปคเครื่องจักรที่สร้างสรรค์คุณภาพ:
    สร้างชิ้นงานสวยเป๊ะ: เครื่องนี้สามารถหั่นเผือกเป็นเส้นได้สวยงามตามภาพที่คุณเห็น และสามารถ ปรับความหนาบางได้ อย่างแม่นยำ เพื่อให้ได้ขนาดที่ต้องการทุกล็อตการผลิต
    ความเร็วเหนือกว่าแรงงานคน: ทำงานต่อเนื่องด้วยกำลังการผลิตสูง 100 – 300 กิโลกรัมต่อชั่วโมง! (มอเตอร์ 1 HP, 220 V.)

    หยุดพึ่งพาการหั่นด้วยมือ! ลงทุนกับเครื่องจักรที่สร้างสรรค์ชิ้นงานคุณภาพและความสม่ำเสมอ เหมือนที่คุณต้องการ เพื่อขยายตลาดได้อย่างมั่นใจ

    สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม:
    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

    เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.)
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    แชท: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com

    #เครื่องหั่นเผือก #เผือกเส้น #เผือกทอด #เผือกแปรรูป #เครื่องหั่นผัก #เครื่องหั่นมันฝรั่ง #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #เครื่องจักรอุตสาหกรรม #เครื่องครัวเชิงพาณิชย์ #ยงฮะเฮง #Yoryonghahheng #เครื่องหั่นสแตนเลส #โรงงานอาหาร #ธุรกิจร้านขนม #ผู้ค้าส่ง #ลดต้นทุน #เพิ่มผลผลิต #กำลังการผลิตสูง #มาตรฐานการผลิต #อาหารแช่แข็ง #วัตถุดิบ #อุปกรณ์ครัว #ครัวมืออาชีพ #เครื่องจักร1HP #ลงทุนธุรกิจ #สินค้าอุตสาหกรรม #ทำกำไร #เผือก #มืออาชีพ #เทคนิคการผลิต
    ✨ เผือกเส้นสวยเป๊ะ! หากคุณกำลังมองหาเครื่องจักรที่สามารถหั่น เผือก ให้ออกมาเป็น เส้นยาวเรียว ได้มาตรฐานสม่ำเสมอ เหมือนที่คุณเห็นในภาพนี้ (เน้นความสม่ำเสมอของเส้น) คุณมาถูกที่แล้ว! เครื่องหั่นมันฝรั่ง (Potato Slicer) Model YPS-J300-606-Z-S จาก ย.ย่งฮะเฮง คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ ร้านขนม โรงงานแปรรูป และผู้ค้าส่ง ได้ชิ้นงานคุณภาพสูงเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็น: เผือกเส้นทอด/อบ: ได้เส้นสวยเท่ากันหมด ทอดแล้วสุกพร้อมกัน กรอบนาน เผือกเส้นสำหรับขนม: หรือส่วนผสมอาหารอื่น ๆ ที่ต้องการความประณีต ⚙️ สเปคเครื่องจักรที่สร้างสรรค์คุณภาพ: 📌สร้างชิ้นงานสวยเป๊ะ: เครื่องนี้สามารถหั่นเผือกเป็นเส้นได้สวยงามตามภาพที่คุณเห็น และสามารถ ปรับความหนาบางได้ อย่างแม่นยำ เพื่อให้ได้ขนาดที่ต้องการทุกล็อตการผลิต 📌ความเร็วเหนือกว่าแรงงานคน: ทำงานต่อเนื่องด้วยกำลังการผลิตสูง 100 – 300 กิโลกรัมต่อชั่วโมง! (มอเตอร์ 1 HP, 220 V.) 🔥 หยุดพึ่งพาการหั่นด้วยมือ! ลงทุนกับเครื่องจักรที่สร้างสรรค์ชิ้นงานคุณภาพและความสม่ำเสมอ เหมือนที่คุณต้องการ เพื่อขยายตลาดได้อย่างมั่นใจ 🛒 สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม: ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.) แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 แชท: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com #เครื่องหั่นเผือก #เผือกเส้น #เผือกทอด #เผือกแปรรูป #เครื่องหั่นผัก #เครื่องหั่นมันฝรั่ง #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #เครื่องจักรอุตสาหกรรม #เครื่องครัวเชิงพาณิชย์ #ยงฮะเฮง #Yoryonghahheng #เครื่องหั่นสแตนเลส #โรงงานอาหาร #ธุรกิจร้านขนม #ผู้ค้าส่ง #ลดต้นทุน #เพิ่มผลผลิต #กำลังการผลิตสูง #มาตรฐานการผลิต #อาหารแช่แข็ง #วัตถุดิบ #อุปกรณ์ครัว #ครัวมืออาชีพ #เครื่องจักร1HP #ลงทุนธุรกิจ #สินค้าอุตสาหกรรม #ทำกำไร #เผือก #มืออาชีพ #เทคนิคการผลิต
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Lockheed Martin เปิดตัว Vectis — โดรนรบอัจฉริยะที่บินเคียงข้าง F-35 พร้อมเปลี่ยนโฉมสงครามทางอากาศ”

    Skunk Works หน่วยพัฒนาโครงการลับของ Lockheed Martin ที่เคยสร้างตำนานอย่าง SR-71 Blackbird ได้เปิดตัว Vectis อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 — โดรนรบอัตโนมัติรุ่นใหม่ภายใต้โครงการ Collaborative Combat Aircraft (CCA) ที่ออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่แบบมีนักบิน เช่น F-35 และ F-22

    Vectis เป็นโดรนประเภท Group 5 ซึ่งหมายถึง UAV ขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน 1,320 ปอนด์ และสามารถบินสูงกว่า 18,000 ฟุต โดยมีความสามารถหลากหลาย ทั้งการโจมตีเป้าหมาย, ปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW), การลาดตระเวนและสอดแนม (ISR), รวมถึงการป้องกันและโจมตีทางอากาศ

    แม้จะยังไม่มีต้นแบบที่เสร็จสมบูรณ์ แต่ Lockheed ยืนยันว่า Vectis จะใช้เทคโนโลยี stealth ขั้นสูง, ระบบควบคุมแบบเปิด (open systems) ที่ลดการผูกขาดจากผู้ผลิต และสามารถเชื่อมต่อกับระบบ MDCX (Multi-Domain Combat System) เพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินรุ่นที่ 5 และรุ่นถัดไปได้อย่างไร้รอยต่อ

    Vectis ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T (Manned-Unmanned Teaming) โดยมีนักบินในเครื่องบินขับไล่เป็น “ผู้บัญชาการสนามรบ” ที่ควบคุมฝูงโดรนจากระยะไกล

    นอกจากนี้ Vectis ยังถูกวางตำแหน่งให้เป็นแพลตฟอร์มที่ “ผลิตได้เร็วและราคาถูก” โดยใช้เทคนิคการผลิตแบบดิจิทัลและวิศวกรรมขั้นสูงที่เรียนรู้จากโครงการเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น อินโด-แปซิฟิก, ยุโรป และตะวันออกกลาง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Vectis เป็นโดรนรบอัตโนมัติ Group 5 ภายใต้โครงการ CCA ของ Lockheed Martin
    เปิดตัวโดย Skunk Works เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025
    ออกแบบให้ทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่ เช่น F-35 และ F-22 ผ่านระบบ MDCX
    รองรับภารกิจ ISR, EW, precision strike และ counter-air ทั้งเชิงรุกและรับ
    สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T
    ใช้เทคโนโลยี stealth และระบบควบคุมแบบ open system เพื่อลด vendor lock
    มีดีไซน์ปีกแบบ delta wing และช่องรับอากาศอยู่ด้านบนของลำตัว
    วางแผนให้ผลิตได้เร็วและราคาถูก ด้วยเทคนิคการผลิตแบบดิจิทัล
    รองรับการปฏิบัติการในภูมิภาค Indo-Pacific, Europe และ Central Command

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    CCA เป็นแนวคิดใหม่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่เน้นการใช้โดรนร่วมกับเครื่องบินขับไล่
    MUM-T ช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตนักบิน และเพิ่มประสิทธิภาพการรบแบบฝูง
    MDCX เป็นระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ที่ใช้ในเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed
    Vectis เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันร่วมกับ YFQ-42A ของ General Atomics และ YFQ-44A ของ Anduril
    ชื่อ “Vectis” มาจากภาษาละติน แปลว่า “คาน” หรือ “แรงงัด” สื่อถึงพลังในการเปลี่ยนสมดุลสนามรบ

    https://www.slashgear.com/1977823/lockheed-martin-vectis-combat-drone-revealed/
    ✈️ “Lockheed Martin เปิดตัว Vectis — โดรนรบอัจฉริยะที่บินเคียงข้าง F-35 พร้อมเปลี่ยนโฉมสงครามทางอากาศ” Skunk Works หน่วยพัฒนาโครงการลับของ Lockheed Martin ที่เคยสร้างตำนานอย่าง SR-71 Blackbird ได้เปิดตัว Vectis อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 — โดรนรบอัตโนมัติรุ่นใหม่ภายใต้โครงการ Collaborative Combat Aircraft (CCA) ที่ออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่แบบมีนักบิน เช่น F-35 และ F-22 Vectis เป็นโดรนประเภท Group 5 ซึ่งหมายถึง UAV ขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน 1,320 ปอนด์ และสามารถบินสูงกว่า 18,000 ฟุต โดยมีความสามารถหลากหลาย ทั้งการโจมตีเป้าหมาย, ปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW), การลาดตระเวนและสอดแนม (ISR), รวมถึงการป้องกันและโจมตีทางอากาศ แม้จะยังไม่มีต้นแบบที่เสร็จสมบูรณ์ แต่ Lockheed ยืนยันว่า Vectis จะใช้เทคโนโลยี stealth ขั้นสูง, ระบบควบคุมแบบเปิด (open systems) ที่ลดการผูกขาดจากผู้ผลิต และสามารถเชื่อมต่อกับระบบ MDCX (Multi-Domain Combat System) เพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินรุ่นที่ 5 และรุ่นถัดไปได้อย่างไร้รอยต่อ Vectis ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T (Manned-Unmanned Teaming) โดยมีนักบินในเครื่องบินขับไล่เป็น “ผู้บัญชาการสนามรบ” ที่ควบคุมฝูงโดรนจากระยะไกล นอกจากนี้ Vectis ยังถูกวางตำแหน่งให้เป็นแพลตฟอร์มที่ “ผลิตได้เร็วและราคาถูก” โดยใช้เทคนิคการผลิตแบบดิจิทัลและวิศวกรรมขั้นสูงที่เรียนรู้จากโครงการเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น อินโด-แปซิฟิก, ยุโรป และตะวันออกกลาง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Vectis เป็นโดรนรบอัตโนมัติ Group 5 ภายใต้โครงการ CCA ของ Lockheed Martin ➡️ เปิดตัวโดย Skunk Works เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 ➡️ ออกแบบให้ทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่ เช่น F-35 และ F-22 ผ่านระบบ MDCX ➡️ รองรับภารกิจ ISR, EW, precision strike และ counter-air ทั้งเชิงรุกและรับ ➡️ สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T ➡️ ใช้เทคโนโลยี stealth และระบบควบคุมแบบ open system เพื่อลด vendor lock ➡️ มีดีไซน์ปีกแบบ delta wing และช่องรับอากาศอยู่ด้านบนของลำตัว ➡️ วางแผนให้ผลิตได้เร็วและราคาถูก ด้วยเทคนิคการผลิตแบบดิจิทัล ➡️ รองรับการปฏิบัติการในภูมิภาค Indo-Pacific, Europe และ Central Command ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ CCA เป็นแนวคิดใหม่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่เน้นการใช้โดรนร่วมกับเครื่องบินขับไล่ ➡️ MUM-T ช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตนักบิน และเพิ่มประสิทธิภาพการรบแบบฝูง ➡️ MDCX เป็นระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ที่ใช้ในเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed ➡️ Vectis เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันร่วมกับ YFQ-42A ของ General Atomics และ YFQ-44A ของ Anduril ➡️ ชื่อ “Vectis” มาจากภาษาละติน แปลว่า “คาน” หรือ “แรงงัด” สื่อถึงพลังในการเปลี่ยนสมดุลสนามรบ https://www.slashgear.com/1977823/lockheed-martin-vectis-combat-drone-revealed/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Lockheed Martin's Skunk Works Project Is No Longer A Secret: Meet The Vectis Combat Drone - SlashGear
    The Lockheed Martin Vectis drone is a combat-ready aircraft revealed in an uncharacteristically public manner, and is also reportedly headed for open market.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกอินเตอร์เฟซ: PCIe 8.0 กับความเร็วระดับ 1TB/s ที่พร้อมป้อนข้อมูลให้ AI และดาต้าเซ็นเตอร์

    PCI-SIG กลุ่มพันธมิตรผู้กำหนดมาตรฐาน PCI Express ได้ประกาศสเปกของ PCIe 8.0 อย่างเป็นทางการ โดยยังคงรักษาธรรมเนียม “เพิ่มความเร็วเป็นสองเท่าทุกสามปี” ซึ่งในเวอร์ชันใหม่นี้จะมีอัตราการส่งข้อมูลสูงถึง 256 GT/s ต่อเลน และสามารถให้แบนด์วิดธ์แบบสองทิศทางได้ถึง 1TB/s บนการเชื่อมต่อแบบ x16

    แม้จะยังไม่ใช่สเปกที่พร้อมใช้งานในตลาดทั่วไป (คาดว่าจะปล่อยให้สมาชิกในปี 2028) แต่เป้าหมายของ PCIe 8.0 ชัดเจนมาก: รองรับงานที่ต้องการแบนด์วิดธ์สูง เช่น AI, machine learning, quantum computing, edge computing, และระบบในอุตสาหกรรมยานยนต์หรือการทหาร

    เทคโนโลยีที่ใช้ยังคงเป็น PAM4 พร้อม Flit Mode encoding และ forward error correction (FEC) เหมือนใน PCIe 6.0 และ 7.0 แต่การผลักดันความเร็วถึง 256 GT/s ต่อเลนบนสายทองแดงนั้นเป็นความท้าทายอย่างมาก ทำให้ PCI-SIG เริ่มพิจารณาการใช้ optical interconnects และ advanced packaging เช่น co-packaged optics หรือ chiplets

    PCIe 8.0 จะมีอัตราการส่งข้อมูล 256 GT/s ต่อเลน
    ให้แบนด์วิดธ์สูงสุด 1TB/s บนการเชื่อมต่อแบบ x16

    ใช้เทคโนโลยี PAM4, FEC และ Flit Mode encoding
    เหมือนกับ PCIe 6.0 และ 7.0

    ยังคงรองรับการใช้งานร่วมกับเวอร์ชันก่อนหน้า
    เพื่อความสะดวกในการอัปเกรดระบบ

    เป้าหมายหลักคือรองรับงาน AI, HPC, quantum computing และ edge computing
    รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์, ดาต้าเซ็นเตอร์ และการทหาร

    PCIe 8.0 คาดว่าจะปล่อยให้สมาชิก PCI-SIG ในปี 2028
    การใช้งานในตลาดทั่วไปอาจต้องรอถึงช่วงปี 2030

    PCIe 5.0 มีความเร็วสูงสุด 32 GT/s ต่อเลน
    PCIe 8.0 เร็วกว่า 8 เท่าในแง่ raw bit rate

    PAM4 ช่วยเพิ่ม bit rate โดยไม่ต้องเพิ่ม clock speed
    แต่ต้องใช้วงจรที่ซับซ้อนเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด

    PCIe 7.0 เริ่มใช้ optical-aware retimers เพื่อรองรับการเชื่อมต่อแบบไฟเบอร์
    แนวโน้มนี้จะขยายไปยัง PCIe 8.0

    การใช้ chiplets และ co-packaged optics ช่วยลดระยะทางสัญญาณ
    เพิ่มความเสถียรในการส่งข้อมูลความเร็วสูง

    การส่งข้อมูล 256 GT/s บนสายทองแดงยังไม่มีมาตรฐานที่รองรับ
    อาจเกิดปัญหา signal loss และความไม่เสถียร

    การพัฒนา PCIe 8.0 ต้องใช้วัสดุและเทคนิคการผลิตที่แม่นยำสูง
    เพิ่มต้นทุนและความซับซ้อนในการออกแบบ

    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่ได้สัมผัส PCIe 8.0 จนถึงช่วงปี 2030
    เพราะเป้าหมายหลักคือระบบระดับองค์กรและดาต้าเซ็นเตอร์

    การใช้ PAM ระดับสูงกว่านี้ (เช่น PAM8) ยังไม่เหมาะสมในเชิงต้นทุน
    เพราะความแตกต่างของระดับสัญญาณเล็กลงและเสี่ยงต่อการเกิด error

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/pci-sig-announces-pcie-8-0-spec-with-twice-the-bandwidth-1tb-s-of-peak-bandwidth-256-gt-s-per-lane-and-a-possible-new-connector
    🚀🔌 เรื่องเล่าจากโลกอินเตอร์เฟซ: PCIe 8.0 กับความเร็วระดับ 1TB/s ที่พร้อมป้อนข้อมูลให้ AI และดาต้าเซ็นเตอร์ PCI-SIG กลุ่มพันธมิตรผู้กำหนดมาตรฐาน PCI Express ได้ประกาศสเปกของ PCIe 8.0 อย่างเป็นทางการ โดยยังคงรักษาธรรมเนียม “เพิ่มความเร็วเป็นสองเท่าทุกสามปี” ซึ่งในเวอร์ชันใหม่นี้จะมีอัตราการส่งข้อมูลสูงถึง 256 GT/s ต่อเลน และสามารถให้แบนด์วิดธ์แบบสองทิศทางได้ถึง 1TB/s บนการเชื่อมต่อแบบ x16 แม้จะยังไม่ใช่สเปกที่พร้อมใช้งานในตลาดทั่วไป (คาดว่าจะปล่อยให้สมาชิกในปี 2028) แต่เป้าหมายของ PCIe 8.0 ชัดเจนมาก: รองรับงานที่ต้องการแบนด์วิดธ์สูง เช่น AI, machine learning, quantum computing, edge computing, และระบบในอุตสาหกรรมยานยนต์หรือการทหาร เทคโนโลยีที่ใช้ยังคงเป็น PAM4 พร้อม Flit Mode encoding และ forward error correction (FEC) เหมือนใน PCIe 6.0 และ 7.0 แต่การผลักดันความเร็วถึง 256 GT/s ต่อเลนบนสายทองแดงนั้นเป็นความท้าทายอย่างมาก ทำให้ PCI-SIG เริ่มพิจารณาการใช้ optical interconnects และ advanced packaging เช่น co-packaged optics หรือ chiplets ✅ PCIe 8.0 จะมีอัตราการส่งข้อมูล 256 GT/s ต่อเลน ➡️ ให้แบนด์วิดธ์สูงสุด 1TB/s บนการเชื่อมต่อแบบ x16 ✅ ใช้เทคโนโลยี PAM4, FEC และ Flit Mode encoding ➡️ เหมือนกับ PCIe 6.0 และ 7.0 ✅ ยังคงรองรับการใช้งานร่วมกับเวอร์ชันก่อนหน้า ➡️ เพื่อความสะดวกในการอัปเกรดระบบ ✅ เป้าหมายหลักคือรองรับงาน AI, HPC, quantum computing และ edge computing ➡️ รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์, ดาต้าเซ็นเตอร์ และการทหาร ✅ PCIe 8.0 คาดว่าจะปล่อยให้สมาชิก PCI-SIG ในปี 2028 ➡️ การใช้งานในตลาดทั่วไปอาจต้องรอถึงช่วงปี 2030 ✅ PCIe 5.0 มีความเร็วสูงสุด 32 GT/s ต่อเลน ➡️ PCIe 8.0 เร็วกว่า 8 เท่าในแง่ raw bit rate ✅ PAM4 ช่วยเพิ่ม bit rate โดยไม่ต้องเพิ่ม clock speed ➡️ แต่ต้องใช้วงจรที่ซับซ้อนเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด ✅ PCIe 7.0 เริ่มใช้ optical-aware retimers เพื่อรองรับการเชื่อมต่อแบบไฟเบอร์ ➡️ แนวโน้มนี้จะขยายไปยัง PCIe 8.0 ✅ การใช้ chiplets และ co-packaged optics ช่วยลดระยะทางสัญญาณ ➡️ เพิ่มความเสถียรในการส่งข้อมูลความเร็วสูง ‼️ การส่งข้อมูล 256 GT/s บนสายทองแดงยังไม่มีมาตรฐานที่รองรับ ⛔ อาจเกิดปัญหา signal loss และความไม่เสถียร ‼️ การพัฒนา PCIe 8.0 ต้องใช้วัสดุและเทคนิคการผลิตที่แม่นยำสูง ⛔ เพิ่มต้นทุนและความซับซ้อนในการออกแบบ ‼️ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่ได้สัมผัส PCIe 8.0 จนถึงช่วงปี 2030 ⛔ เพราะเป้าหมายหลักคือระบบระดับองค์กรและดาต้าเซ็นเตอร์ ‼️ การใช้ PAM ระดับสูงกว่านี้ (เช่น PAM8) ยังไม่เหมาะสมในเชิงต้นทุน ⛔ เพราะความแตกต่างของระดับสัญญาณเล็กลงและเสี่ยงต่อการเกิด error https://www.tomshardware.com/tech-industry/pci-sig-announces-pcie-8-0-spec-with-twice-the-bandwidth-1tb-s-of-peak-bandwidth-256-gt-s-per-lane-and-a-possible-new-connector
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • Huawei ยังเดินหน้าท้าทายแม้จะถูกจำกัดด้านเทคโนโลยีจากตะวันตกมาหลายปี ด้วยการเปิดตัวชิป Kirin รุ่นใหม่ทุกครั้งที่มี Mate รุ่นใหม่ และครั้งนี้ Kirin 9030 กำลังถูกจับตาว่า จะขยับประสิทธิภาพขึ้นอีก 20% เมื่อเทียบกับรุ่นเดิมอย่าง Kirin 9020 (หรืออาจจะ 9010 ก็ยังไม่แน่ เพราะข่าวลือไม่ระบุชัด)

    คำถามคือ — Huawei กับ SMIC จะผลิตชิปนี้ด้วยกระบวนการอะไร? เพราะเท่าที่รู้ตอนนี้ SMIC ยังไม่สามารถผลิต 5nm แบบ EUV ได้ และแม้จะมีข่าวลือว่าทำสำเร็จ “แบบไม่มี EUV” แล้วก็ตาม แต่ยังไม่มีใครยืนยันได้ว่าผลิตได้จริงในระดับ mass production

    ด้วยเหตุนี้ หลายฝ่ายเชื่อว่า Kirin 9030 น่าจะยังอยู่ที่ 7nm เหมือนรุ่นก่อน แต่ “อัดแรงขึ้นได้อีก 20%” จากการจูนสถาปัตยกรรมหรือเทคนิคการผลิตแบบพิเศษ — ซึ่งถือว่าน่าประทับใจไม่น้อยในยุคที่สหรัฐฯ ยังพยายามปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน

    Huawei เตรียมเปิดตัวชิป Kirin 9030 ในช่วงเปิดตัวซีรีส์ Mate 80 ปลายปี 2025  
    • คาดว่าเป็นรุ่นต่อจาก Kirin 9020  
    • ใช้ในสมาร์ตโฟนระดับเรือธงของบริษัท

    ข่าวลือระบุว่า Kirin 9030 จะเร็วขึ้น 20% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า  
    • ยังไม่ชัดว่าเทียบกับ Kirin 9020 หรือ 9010  
    • เป็นการอัปเกรดที่สำคัญแม้จะใช้กระบวนการผลิตเดิม

    มีโอกาสสูงว่า Kirin 9030 ยังใช้กระบวนการ 7nm จาก SMIC แบบไม่มี EUV  
    • SMIC ยังผลิตชิป 5nm ได้จำกัด และ yield ต่ำ  
    • EUV ยังไม่สามารถใช้งานได้เพราะมาตรการควบคุมการส่งออก

    แม้จะล้าหลังกว่าชิป Snapdragon หรือ Apple A-series แต่ Huawei ยังมียอดขายที่แข็งแรง โดยเฉพาะในจีน

    https://wccftech.com/kirin-9030-for-the-huawei-mate-80-series-rumored-to-be-20-percent-faster/
    Huawei ยังเดินหน้าท้าทายแม้จะถูกจำกัดด้านเทคโนโลยีจากตะวันตกมาหลายปี ด้วยการเปิดตัวชิป Kirin รุ่นใหม่ทุกครั้งที่มี Mate รุ่นใหม่ และครั้งนี้ Kirin 9030 กำลังถูกจับตาว่า จะขยับประสิทธิภาพขึ้นอีก 20% เมื่อเทียบกับรุ่นเดิมอย่าง Kirin 9020 (หรืออาจจะ 9010 ก็ยังไม่แน่ เพราะข่าวลือไม่ระบุชัด) คำถามคือ — Huawei กับ SMIC จะผลิตชิปนี้ด้วยกระบวนการอะไร? เพราะเท่าที่รู้ตอนนี้ SMIC ยังไม่สามารถผลิต 5nm แบบ EUV ได้ และแม้จะมีข่าวลือว่าทำสำเร็จ “แบบไม่มี EUV” แล้วก็ตาม แต่ยังไม่มีใครยืนยันได้ว่าผลิตได้จริงในระดับ mass production ด้วยเหตุนี้ หลายฝ่ายเชื่อว่า Kirin 9030 น่าจะยังอยู่ที่ 7nm เหมือนรุ่นก่อน แต่ “อัดแรงขึ้นได้อีก 20%” จากการจูนสถาปัตยกรรมหรือเทคนิคการผลิตแบบพิเศษ — ซึ่งถือว่าน่าประทับใจไม่น้อยในยุคที่สหรัฐฯ ยังพยายามปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน ✅ Huawei เตรียมเปิดตัวชิป Kirin 9030 ในช่วงเปิดตัวซีรีส์ Mate 80 ปลายปี 2025   • คาดว่าเป็นรุ่นต่อจาก Kirin 9020   • ใช้ในสมาร์ตโฟนระดับเรือธงของบริษัท ✅ ข่าวลือระบุว่า Kirin 9030 จะเร็วขึ้น 20% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า   • ยังไม่ชัดว่าเทียบกับ Kirin 9020 หรือ 9010   • เป็นการอัปเกรดที่สำคัญแม้จะใช้กระบวนการผลิตเดิม ✅ มีโอกาสสูงว่า Kirin 9030 ยังใช้กระบวนการ 7nm จาก SMIC แบบไม่มี EUV   • SMIC ยังผลิตชิป 5nm ได้จำกัด และ yield ต่ำ   • EUV ยังไม่สามารถใช้งานได้เพราะมาตรการควบคุมการส่งออก ✅ แม้จะล้าหลังกว่าชิป Snapdragon หรือ Apple A-series แต่ Huawei ยังมียอดขายที่แข็งแรง โดยเฉพาะในจีน https://wccftech.com/kirin-9030-for-the-huawei-mate-80-series-rumored-to-be-20-percent-faster/
    WCCFTECH.COM
    Huawei’s Kirin 9030 For The Upcoming Mate 80 Flagship Smartphone Series Is Rumored To Provide A 20 Percent Performance Improvement, But Lithography Details Not Revealed
    A new rumor claims that Huawei is developing the Kirin 9030 for the Mate 80 lineup and it is allegedly 20 percent faster than the previous generation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 312 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทีมนักวิจัยจากจีนและอังกฤษพัฒนา nano-PeLEDs ที่สร้างหน้าจอระดับนาโนที่มีความละเอียดสูงอย่างไม่น่าเชื่อ เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงช่วยให้ภาพคมชัด แต่ยังสามารถใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น เกมและการแพทย์ พร้อมทั้งมีการพัฒนา Active-Matrix Display เพื่อนำไปใช้เชิงพาณิชย์

    ความยืดหยุ่นในขนาดจิ๋ว:
    - ต่างจาก micro-LEDs ทั่วไปที่ประสิทธิภาพลดลงเมื่อขนาดเล็กลง Nano-PeLEDs สามารถรักษาประสิทธิภาพการใช้งานได้ดีแม้ขนาดเล็กถึง 3.5 ไมครอน ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าในการออกแบบเซมิคอนดักเตอร์.

    เทคนิคการผลิตที่ก้าวล้ำ:
    - เนื่องจากวัสดุ Perovskites เปราะบาง ทีมวิจัยได้พัฒนาเทคนิคใหม่ที่ใช้ Localized Contact Fabrication ซึ่งช่วยปกป้องวัสดุและยังคงคุณภาพของภาพระดับสูง.

    การประยุกต์ใช้งานที่กว้างขวาง:
    - นวัตกรรมนี้สามารถนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น การเล่นเกม Augmented Reality และภาพทางการแพทย์ ด้วยความสามารถในการแสดงผลที่ละเอียดและแม่นยำอย่างยิ่ง.

    ขั้นตอนต่อไปสำหรับการใช้งานจริง:
    - นักวิจัยร่วมมือกับบริษัทที่เชี่ยวชาญด้าน Thin-Film Transistor (TFT) เพื่อพัฒนา Active-Matrix Micro-PeLED Display ที่นำไปสู่การใช้งานจริงสำหรับการแสดงผลในเชิงพาณิชย์

    https://www.techspot.com/news/107344-researchers-develop-90-nanometer-leds-future-ultra-high.html
    ทีมนักวิจัยจากจีนและอังกฤษพัฒนา nano-PeLEDs ที่สร้างหน้าจอระดับนาโนที่มีความละเอียดสูงอย่างไม่น่าเชื่อ เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงช่วยให้ภาพคมชัด แต่ยังสามารถใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น เกมและการแพทย์ พร้อมทั้งมีการพัฒนา Active-Matrix Display เพื่อนำไปใช้เชิงพาณิชย์ ความยืดหยุ่นในขนาดจิ๋ว: - ต่างจาก micro-LEDs ทั่วไปที่ประสิทธิภาพลดลงเมื่อขนาดเล็กลง Nano-PeLEDs สามารถรักษาประสิทธิภาพการใช้งานได้ดีแม้ขนาดเล็กถึง 3.5 ไมครอน ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าในการออกแบบเซมิคอนดักเตอร์. เทคนิคการผลิตที่ก้าวล้ำ: - เนื่องจากวัสดุ Perovskites เปราะบาง ทีมวิจัยได้พัฒนาเทคนิคใหม่ที่ใช้ Localized Contact Fabrication ซึ่งช่วยปกป้องวัสดุและยังคงคุณภาพของภาพระดับสูง. การประยุกต์ใช้งานที่กว้างขวาง: - นวัตกรรมนี้สามารถนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น การเล่นเกม Augmented Reality และภาพทางการแพทย์ ด้วยความสามารถในการแสดงผลที่ละเอียดและแม่นยำอย่างยิ่ง. ขั้นตอนต่อไปสำหรับการใช้งานจริง: - นักวิจัยร่วมมือกับบริษัทที่เชี่ยวชาญด้าน Thin-Film Transistor (TFT) เพื่อพัฒนา Active-Matrix Micro-PeLED Display ที่นำไปสู่การใช้งานจริงสำหรับการแสดงผลในเชิงพาณิชย์ https://www.techspot.com/news/107344-researchers-develop-90-nanometer-leds-future-ultra-high.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Researchers develop 90-nanometer LEDs for future ultra high-resolution displays
    These nano-PeLEDs feature pixel lengths as small as 90 nanometers, enabling an unprecedented pixel density of 127,000 pixels per inch (PPI). For comparison, a typical 27-inch 4K...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 397 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยจาก Imec ที่เบลเยี่ยมได้พัฒนาวิธีการฝังเลเซอร์โดยตรงบนซิลิคอน ซึ่งเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญสำหรับการลดต้นทุนและปรับปรุงชิปโฟโตนิกส์สำหรับการสื่อสารโทรคมนาคมและ AI ปกติแล้ว ซิลิคอนไม่สามารถสร้างแสงได้ดี จึงต้องใช้เลเซอร์ในการทำงาน ทีนักวิจัยจาก Imec ใช้วิธีการฝังเลเซอร์โดยตรงบนซิลิคอน โดยอาศัยการแกะสลักเป็นร่องรูปลูกศรลงบนแผ่นเวเฟอร์ซิลิคอน หลังจากนั้นพวกเขาจะใส่ Gallium Arsenide (GaAs) ลงในร่องดังกล่าว ซึ่ง GaAs นี้จะทำการสัมผัสกับซิลิคอนเฉพาะที่ด้านล่างของร่องเท่านั้น การวางตำแหน่งแบบนี้ทำให้ความบกพร่องของเลเซอร์ถูกกักเก็บไว้ในร่องและไม่กระจายไปยังวัสดุเลเซอร์ด้านบน

    เลเซอร์นี้ใช้ Indium Gallium Arsenide (InGaAs) ในโครงสร้าง diode p-i-n ที่ทำงานได้ที่อุณหภูมิห้องด้วยการฉีดไฟฟ้าต่อเนื่อง ซึ่งประหยัดพลังงานได้มาก นอกจากนี้ กระบวนการผลิตนี้ยังสามารถนำไปใช้ในเวเฟอร์ซิลิคอนขนาด 300 มิลลิเมตร โดยใช้เทคนิคการผลิต CMOS ที่มีอยู่แล้ว ทำให้มีความยืดหยุ่นในการผลิต

    เลเซอร์ที่พัฒนาขึ้นนี้มีความยาวคลื่น 1,020 นาโนเมตร ซึ่งสั้นกว่าที่ใช้ในโทรคมนาคม ทีมวิจัยกำลังพยายามขยายความยาวคลื่นและลดความบกพร่องใกล้กับการติดต่อไฟฟ้าเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    การพัฒนานี้อาจทำให้การสื่อสารโทรคมนาคมและการประมวลผล AI มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการปรับปรุงเทคโนโลยีโฟโตนิกส์

    https://www.techradar.com/pro/like-a-field-plowed-prior-to-planting-researchers-want-to-grow-lasers-yes-lasers-on-material-commonly-found-in-sand
    นักวิจัยจาก Imec ที่เบลเยี่ยมได้พัฒนาวิธีการฝังเลเซอร์โดยตรงบนซิลิคอน ซึ่งเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญสำหรับการลดต้นทุนและปรับปรุงชิปโฟโตนิกส์สำหรับการสื่อสารโทรคมนาคมและ AI ปกติแล้ว ซิลิคอนไม่สามารถสร้างแสงได้ดี จึงต้องใช้เลเซอร์ในการทำงาน ทีนักวิจัยจาก Imec ใช้วิธีการฝังเลเซอร์โดยตรงบนซิลิคอน โดยอาศัยการแกะสลักเป็นร่องรูปลูกศรลงบนแผ่นเวเฟอร์ซิลิคอน หลังจากนั้นพวกเขาจะใส่ Gallium Arsenide (GaAs) ลงในร่องดังกล่าว ซึ่ง GaAs นี้จะทำการสัมผัสกับซิลิคอนเฉพาะที่ด้านล่างของร่องเท่านั้น การวางตำแหน่งแบบนี้ทำให้ความบกพร่องของเลเซอร์ถูกกักเก็บไว้ในร่องและไม่กระจายไปยังวัสดุเลเซอร์ด้านบน เลเซอร์นี้ใช้ Indium Gallium Arsenide (InGaAs) ในโครงสร้าง diode p-i-n ที่ทำงานได้ที่อุณหภูมิห้องด้วยการฉีดไฟฟ้าต่อเนื่อง ซึ่งประหยัดพลังงานได้มาก นอกจากนี้ กระบวนการผลิตนี้ยังสามารถนำไปใช้ในเวเฟอร์ซิลิคอนขนาด 300 มิลลิเมตร โดยใช้เทคนิคการผลิต CMOS ที่มีอยู่แล้ว ทำให้มีความยืดหยุ่นในการผลิต เลเซอร์ที่พัฒนาขึ้นนี้มีความยาวคลื่น 1,020 นาโนเมตร ซึ่งสั้นกว่าที่ใช้ในโทรคมนาคม ทีมวิจัยกำลังพยายามขยายความยาวคลื่นและลดความบกพร่องใกล้กับการติดต่อไฟฟ้าเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การพัฒนานี้อาจทำให้การสื่อสารโทรคมนาคมและการประมวลผล AI มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการปรับปรุงเทคโนโลยีโฟโตนิกส์ https://www.techradar.com/pro/like-a-field-plowed-prior-to-planting-researchers-want-to-grow-lasers-yes-lasers-on-material-commonly-found-in-sand
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 369 มุมมอง 0 รีวิว
  • นาฬิกา Breguet La Musicale: สุดยอดแห่งเสียงเพลงบนข้อมือ
    Breguet La Musicale นับเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของวงการนาฬิกาหรู ที่ผสมผสานศิลปะแห่งการทำนาฬิกาเข้ากับดนตรีได้อย่างลงตัว ด้วยการนำเสียงเพลงมาบรรเลงอยู่ในตัวเรือนนาฬิกา ทำให้ผู้สวมใส่ได้เพลิดเพลินกับบทเพลงอันไพเราะได้ทุกเมื่อที่ต้องการ

    ความพิเศษของ Breguet La Musicale
    เสียงเพลงอันไพเราะ: นาฬิกาสามารถบรรเลงบทเพลงได้หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทเพลงคลาสสิก เช่น อเรียจากโอเปร่า หรือบทเพลงบรรเลงอันไพเราะ
    กลไกอันซับซ้อน: ภายในตัวเรือนนาฬิกาบรรจุกลไกอันซับซ้อนที่ถูกออกแบบมาเพื่อผลิตเสียงเพลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยใช้เทคนิคการผลิตที่ประณีตและวัสดุคุณภาพสูง
    ดีไซน์หรูหรา: นาฬิกามีดีไซน์ที่หรูหราและสง่างาม ผสมผสานความคลาสสิกและความทันสมัยได้อย่างลงตัว
    วัสดุคุณภาพสูง: ตัวเรือนนาฬิกาผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง เช่น ทองคำหรือแพลทินัม ทำให้มีความทนทานและสวยงาม
    เปิดในหน้าต่างใหม่
    www.gphg.org
    Breguet La Musicale watch
    กลไกการทำงาน
    กลไกการทำงานของ Breguet La Musicale นั้นซับซ้อนและน่าทึ่ง โดยประกอบด้วยส่วนประกอบต่างๆ มากมายที่ทำงานร่วมกันเพื่อผลิตเสียงเพลงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งรวมถึง

    กลไกตั้งเวลา: ควบคุมจังหวะและความเร็วของเสียงเพลง
    กลไกผลิตเสียง: ผลิตเสียงเพลงออกมาจากการสั่นสะเทือนของชิ้นส่วนต่างๆ ภายในนาฬิกา
    กลไกเลือกเพลง: ช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถเลือกเพลงที่ต้องการฟังได้
    เปิดในหน้าต่างใหม่
    www.ablogtowatch.com
    Breguet La Musicale movement
    ราคา
    นาฬิกา Breguet La Musicale มีราคาสูงมาก เนื่องจากเป็นนาฬิกาที่ผลิตด้วยฝีมือช่างผู้เชี่ยวชาญและใช้วัสดุคุณภาพสูง ราคาของนาฬิกาอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับรุ่นและวัสดุที่ใช้ในการผลิต
    นาฬิกา Breguet La Musicale: สุดยอดแห่งเสียงเพลงบนข้อมือ Breguet La Musicale นับเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของวงการนาฬิกาหรู ที่ผสมผสานศิลปะแห่งการทำนาฬิกาเข้ากับดนตรีได้อย่างลงตัว ด้วยการนำเสียงเพลงมาบรรเลงอยู่ในตัวเรือนนาฬิกา ทำให้ผู้สวมใส่ได้เพลิดเพลินกับบทเพลงอันไพเราะได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ความพิเศษของ Breguet La Musicale เสียงเพลงอันไพเราะ: นาฬิกาสามารถบรรเลงบทเพลงได้หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทเพลงคลาสสิก เช่น อเรียจากโอเปร่า หรือบทเพลงบรรเลงอันไพเราะ กลไกอันซับซ้อน: ภายในตัวเรือนนาฬิกาบรรจุกลไกอันซับซ้อนที่ถูกออกแบบมาเพื่อผลิตเสียงเพลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยใช้เทคนิคการผลิตที่ประณีตและวัสดุคุณภาพสูง ดีไซน์หรูหรา: นาฬิกามีดีไซน์ที่หรูหราและสง่างาม ผสมผสานความคลาสสิกและความทันสมัยได้อย่างลงตัว วัสดุคุณภาพสูง: ตัวเรือนนาฬิกาผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง เช่น ทองคำหรือแพลทินัม ทำให้มีความทนทานและสวยงาม เปิดในหน้าต่างใหม่ www.gphg.org Breguet La Musicale watch กลไกการทำงาน กลไกการทำงานของ Breguet La Musicale นั้นซับซ้อนและน่าทึ่ง โดยประกอบด้วยส่วนประกอบต่างๆ มากมายที่ทำงานร่วมกันเพื่อผลิตเสียงเพลงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งรวมถึง กลไกตั้งเวลา: ควบคุมจังหวะและความเร็วของเสียงเพลง กลไกผลิตเสียง: ผลิตเสียงเพลงออกมาจากการสั่นสะเทือนของชิ้นส่วนต่างๆ ภายในนาฬิกา กลไกเลือกเพลง: ช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถเลือกเพลงที่ต้องการฟังได้ เปิดในหน้าต่างใหม่ www.ablogtowatch.com Breguet La Musicale movement ราคา นาฬิกา Breguet La Musicale มีราคาสูงมาก เนื่องจากเป็นนาฬิกาที่ผลิตด้วยฝีมือช่างผู้เชี่ยวชาญและใช้วัสดุคุณภาพสูง ราคาของนาฬิกาอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับรุ่นและวัสดุที่ใช้ในการผลิต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 9 0 รีวิว
  • เทคนิคการผลิตดาบอายุกว่า 2,500 ปีช่วยให้จีนสร้างเครื่องเจาะอุโมงค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้

    วิศวกรชาวจีนสามารถสร้างเครื่องเจาะอุโมงค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้สำเร็จ โดยเอาชนะความท้าทายที่สำคัญในการสร้างเหล็กที่แข็งแกร่งเพียงพอสำหรับอุปกรณ์ขนาดใหญ่

    ระหว่างที่จีนพยายามสร้างอุปกรณ์ก่อสร้างอุโมงค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรในโครงการต้องเอาชนะอุปสรรคสำคัญประการหนึ่ง นั่นก็คือ ยังไม่มีประเทศใดสามารถผลิตเหล็กที่แข็งแกร่งพอสำหรับเครื่องจักรขนาดมหึมานี้ได้

    เครื่องเจาะอุโมงค์ (TBM) มีตลับลูกปืนหลักที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 8.61 เมตร (28 ฟุต) ซึ่งสูงเท่ากับอาคารสามชั้น ตลับลูกปืนนี้ขับเคลื่อนเครื่องจักรขนาดยักษ์ที่มีน้ำหนักมากกว่า 10,000 ตัน ซึ่งหนักเกือบเท่ากับหอไอเฟล

    ภาระทั้งหมดนี้จะถูกรับโดยชั้นผิวของตลับลูกปืนที่มีความหนาน้อยกว่า 1 ซม. (0.4 นิ้ว)

    ปัญหาหลักในการผลิตตลับลูกปืนขนาดนั้นก็คือ อุณหภูมิของพื้นที่ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปด้วยความเร็วที่ต่างกันในระหว่างกระบวนการ และความไม่สม่ำเสมอนี้อาจทำให้เหล็กอ่อนลงได้

    ความก้าวหน้าดังกล่าวเกิดขึ้นจากการใช้เทคนิคการตีดาบโบราณที่ใช้กันเมื่อ 2,500 ปีก่อนในการตี 'ดาบโกวเจี้ยน' ซึ่งเป็นอาวุธในตำนานของกษัตริย์จีน

    เทคนิคนี้เกี่ยวข้องกับการเคลือบโลหะด้วยดินเหนียวในระหว่างกระบวนการชุบแข็งเพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิสม่ำเสมอ และป้องกันจุดอ่อนของเหล็ก

    ความสำเร็จของจีนในการพัฒนาเครื่องจักรขั้นสูงนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการแสวงหาความสามารถในการพึ่งพาตนเองในอุปกรณ์การผลิตอัจฉริยะระดับไฮเอนด์

    ที่มา : https://archive.ph/2024.08.31-123911/https://www.scmp.com/news/china/science/article/3276498/2500-year-old-blacksmith-technique-brings-chinas-mammoth-machine-life-engineers

    #Thaitimes
    เทคนิคการผลิตดาบอายุกว่า 2,500 ปีช่วยให้จีนสร้างเครื่องเจาะอุโมงค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ วิศวกรชาวจีนสามารถสร้างเครื่องเจาะอุโมงค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้สำเร็จ โดยเอาชนะความท้าทายที่สำคัญในการสร้างเหล็กที่แข็งแกร่งเพียงพอสำหรับอุปกรณ์ขนาดใหญ่ ระหว่างที่จีนพยายามสร้างอุปกรณ์ก่อสร้างอุโมงค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรในโครงการต้องเอาชนะอุปสรรคสำคัญประการหนึ่ง นั่นก็คือ ยังไม่มีประเทศใดสามารถผลิตเหล็กที่แข็งแกร่งพอสำหรับเครื่องจักรขนาดมหึมานี้ได้ เครื่องเจาะอุโมงค์ (TBM) มีตลับลูกปืนหลักที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 8.61 เมตร (28 ฟุต) ซึ่งสูงเท่ากับอาคารสามชั้น ตลับลูกปืนนี้ขับเคลื่อนเครื่องจักรขนาดยักษ์ที่มีน้ำหนักมากกว่า 10,000 ตัน ซึ่งหนักเกือบเท่ากับหอไอเฟล ภาระทั้งหมดนี้จะถูกรับโดยชั้นผิวของตลับลูกปืนที่มีความหนาน้อยกว่า 1 ซม. (0.4 นิ้ว) ปัญหาหลักในการผลิตตลับลูกปืนขนาดนั้นก็คือ อุณหภูมิของพื้นที่ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปด้วยความเร็วที่ต่างกันในระหว่างกระบวนการ และความไม่สม่ำเสมอนี้อาจทำให้เหล็กอ่อนลงได้ ความก้าวหน้าดังกล่าวเกิดขึ้นจากการใช้เทคนิคการตีดาบโบราณที่ใช้กันเมื่อ 2,500 ปีก่อนในการตี 'ดาบโกวเจี้ยน' ซึ่งเป็นอาวุธในตำนานของกษัตริย์จีน เทคนิคนี้เกี่ยวข้องกับการเคลือบโลหะด้วยดินเหนียวในระหว่างกระบวนการชุบแข็งเพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิสม่ำเสมอ และป้องกันจุดอ่อนของเหล็ก ความสำเร็จของจีนในการพัฒนาเครื่องจักรขั้นสูงนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการแสวงหาความสามารถในการพึ่งพาตนเองในอุปกรณ์การผลิตอัจฉริยะระดับไฮเอนด์ ที่มา : https://archive.ph/2024.08.31-123911/https://www.scmp.com/news/china/science/article/3276498/2500-year-old-blacksmith-technique-brings-chinas-mammoth-machine-life-engineers #Thaitimes
    Like
    Yay
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 641 มุมมอง 0 รีวิว