• ภาพชาวยูเครนใน Dnepropetrovsk กำลังหลบหนีการบังคับจับตัวเข้าสู่แนวหน้า แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอมแพ้!! มันก็เลยเป็นออกมาแบบที่เห็น 😂
    ภาพชาวยูเครนใน Dnepropetrovsk กำลังหลบหนีการบังคับจับตัวเข้าสู่แนวหน้า แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอมแพ้!! มันก็เลยเป็นออกมาแบบที่เห็น 😂
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 18 0 รีวิว
  • ปัตตานี - คนร้ายขว้างไปป์บอมใส่จุดตรวจริมถนนสายนาเกตุ-โคกโพธิ์ ม.7 บ้านดอน ต.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ก่อนเร่งเครื่องหลบหนีไป โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ เชื่อเป็นกลุ่มก่อความไม่สงบที่พยายามสร้างสถานการณ์

    วันนี้ (11 มี.ค.) พ.ต.อ.มุสตาพา มะนิ ผกก.สภ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งคนร้ายขว้างไปป์บอมบ์ ใส่จุดตรวจยูเทิร์น ตั้งอยู่ริมถนนสายนาเกตุ-โคกโพธิ์ ม.7 บ้านดอน ต.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี หลังได้รับแจ้งจึงรีบนำกำลังเข้าที่เกิดเหตุ พร้อมรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ เมื่อไปถึงพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ประจำป้อมจุดตรวจออกมาด้านนอกคุมพื้นที่หลังเกิดเหตุ พร้อมกับปิดกั้นเส้นทางดังกล่าวไว้ชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบร่องรอยระเบิดบริเวณบังเกอร์และหลุมระเบิดอยู่บริเวณด้านข้างป้อมจุดตรวจ และมีชิ้นส่วนระเบิดและสะเก็ดระเบิดกระจายไปทั่วบริเวณ เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน

    จากการสอบสวนก่อนเกิดเหตุทราบว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำป้อม กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในป้อม ปรากฏว่าได้มีคนร้าย 2 คน ขับรถจักรยานยนต์มาทาง อ.โคกโพธิ์ เมื่อมาถึงด้านหน้าของจุดตรวจโคราช จึงได้ขว้างไปป์บอมบ์ตกด้านข้างจนเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่น เจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายในต่างกระโดดหลบก่อนจะออกมาด้านนอกเพราะเกรงว่าจะมีการโจมตีซ้ำ แต่หลังเกิดเหตุคนร้ายได้เร่งเครื่องหลบหนีไป

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/south/detail/9680000023344

    #MGROnline #ปัตตานี #ไปป์บอม #จุดตรวจริม #ถนนสายนาเกตุ_โคกโพธิ์
    ปัตตานี - คนร้ายขว้างไปป์บอมใส่จุดตรวจริมถนนสายนาเกตุ-โคกโพธิ์ ม.7 บ้านดอน ต.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ก่อนเร่งเครื่องหลบหนีไป โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ เชื่อเป็นกลุ่มก่อความไม่สงบที่พยายามสร้างสถานการณ์ • วันนี้ (11 มี.ค.) พ.ต.อ.มุสตาพา มะนิ ผกก.สภ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งคนร้ายขว้างไปป์บอมบ์ ใส่จุดตรวจยูเทิร์น ตั้งอยู่ริมถนนสายนาเกตุ-โคกโพธิ์ ม.7 บ้านดอน ต.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี หลังได้รับแจ้งจึงรีบนำกำลังเข้าที่เกิดเหตุ พร้อมรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ เมื่อไปถึงพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ประจำป้อมจุดตรวจออกมาด้านนอกคุมพื้นที่หลังเกิดเหตุ พร้อมกับปิดกั้นเส้นทางดังกล่าวไว้ชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบร่องรอยระเบิดบริเวณบังเกอร์และหลุมระเบิดอยู่บริเวณด้านข้างป้อมจุดตรวจ และมีชิ้นส่วนระเบิดและสะเก็ดระเบิดกระจายไปทั่วบริเวณ เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน • จากการสอบสวนก่อนเกิดเหตุทราบว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำป้อม กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในป้อม ปรากฏว่าได้มีคนร้าย 2 คน ขับรถจักรยานยนต์มาทาง อ.โคกโพธิ์ เมื่อมาถึงด้านหน้าของจุดตรวจโคราช จึงได้ขว้างไปป์บอมบ์ตกด้านข้างจนเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่น เจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายในต่างกระโดดหลบก่อนจะออกมาด้านนอกเพราะเกรงว่าจะมีการโจมตีซ้ำ แต่หลังเกิดเหตุคนร้ายได้เร่งเครื่องหลบหนีไป • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/south/detail/9680000023344 • #MGROnline #ปัตตานี #ไปป์บอม #จุดตรวจริม #ถนนสายนาเกตุ_โคกโพธิ์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปิดตำนาน เริงสวาทสีกา คาดาดฟ้า เรือเดินสมุทร “ยันตระ” เสียชีวิตที่อเมริกา หลังปลอมพาสปอร์ต หนีคดีจนหมดอายุความ 🚢⚖️

    🔵 อวสานตำนานพระชื่อดัง กับชีวิตที่กลับกลายเป็นประวัติศาสตร์สังคมไทย เมื่อเอ่ยถึงชื่อ "ยันตระ อมโร" หรือนายวินัย ละอองสุวรรณ เชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยต้องรู้จัก ไม่ใช่เพียงเพราะเคยเป็น พระภิกษุชื่อดัง ผู้มีผู้ศรัทธามากมาย ทั้งในไทยและต่างประเทศ หากแต่เพราะชีวิตของยันตระ เต็มไปด้วยเรื่องราวดราม่า ฉาวโฉ่ และคดีความที่สั่นสะเทือนวงการสงฆ์ไทย ในยุคหนึ่ง โดยเฉพาะกรณี อาบัติปาราชิก จากข้อกล่าวหาล่วงละเมิดสีกา รวมถึงภาพลักษณ์ ที่แวดล้อมไปด้วยความศรัทธา และความขัดแย้งทางความคิด ซึ่งยังคงตามหลอกหลอน จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตในต่างแดน ✨

    🔵 จากลูกชาวบ้าน สู่พระนักปฏิบัติชื่อดัง นายวินัย ละอองสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2494 ที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในครอบครัวชาวบ้านธรรมดา ก่อนอุปสมบท ได้ใช้ชีวิตเป็นนักพรตฤๅษีอยู่หลายปี ได้รับการยกย่องว่าเป็น นักปฏิบัติธรรมผู้ทรงภูมิ ทำให้มีผู้คนเลื่อมใสมากมาย

    ต่อมาในวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในธรรมยุติกนิกาย ที่วัดรัตนาราม จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมตั้งนามให้ตัวเองว่า "ยันตระ อมโรภิกขุ" แปลว่า ผู้ไกลจากกิเลส ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มานาน ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นนักพรตฤาษี 🧘‍♂️

    "วัดสุญญตาราม" อาณาจักรแห่งความว่าง หลังจากนั้น พระยันตระได้รับการนิมนต์ ไปเผยแผ่ธรรมในหลายประเทศ มีการจัดตั้ง "สำนักวัดสุญญตาราม" ทั้งในไทยและต่างแดนหลายแห่ง เช่น
    ✅ วัดป่าสุญญตาราม กาญจนบุรี
    ✅ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน ออสเตรเลีย
    ✅ วัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

    บทสวดและคำสอน แนวกรรมฐานของพระยันตระ ถูกตีพิมพ์และเผยแพร่ไปในวงกว้าง หลายคนมองว่ายันตระเป็นพระที่มีความรู้ในพระไตรปิฎก และการปฏิบัติที่เข้มขลัง ✨

    🔵 คดีอื้อฉาว ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของพระยันตระ ด้วยข้อกล่าวหาเรื่องเพศสัมพันธ์ และพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในปี พ.ศ. 2537 วงการสงฆ์สะเทือน เมื่อสีกากลุ่มหนึ่ง ยื่นคำร้องต่อสมเด็จพระสังฆราช และอธิบดีกรมการศาสนา กล่าวหาพระยันตระว่า มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ กับสีกาหลายคน โดยมีพยานหลักฐานสนับสนุนมากมาย 📂

    ข้อกล่าวหาที่โด่งดัง
    🚢 เหตุการณ์บนเรือเดินสมุทร กล่าวหาว่า ยันตระมีเพศสัมพันธ์กับสีกา บนดาดฟ้าเรือ ระหว่างเดินทางจากสวีเดนไปฟินแลนด์

    🏡 กุฏิริมน้ำในออสเตรเลีย กล่าวหาว่า ยันตระมีพฤติกรรมจับต้องกายสตรี ด้วยความกำหนัด

    🚐 เหตุการณ์ในรถตู้ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย มีหลักฐานว่า ยันตระเข้าไปหาสีกาในรถตู้ และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม

    📞 บทสนทนาทางโทรศัพท์ พร่ำพูดถึงความรัก และมีหลักฐานเทปเสียง

    👧 ข้อกล่าวหาการมีบุตรสาว นางจันทิมา มายะรังษี นำเด็กหญิงที่อ้างว่า เป็นบุตรสาวของยันตระ มาแสดงตัว พร้อมภาพถ่ายที่แสดงถึงความสัมพันธ์ ฉันท์สามีภรรยา

    💳 หลักฐานบัตรเครดิต รายการใช้จ่ายในสถานบริการทางเพศ ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

    🔵 มติของมหาเถรสมาคม หลังการสืบสวนสอบสวน และตรวจสอบพยานหลักฐาน มหาเถรสมาคมมีมติให้ "พระยันตระ อมโรภิกขุ" ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ โดยปริยาย ❌

    แต่แทนที่จะยอมรับคำตัดสิน ยันตระกลับประกาศไม่ยอมรับมติ และอ้างว่ายังเป็นพระภิกษุอยู่ โดยเปลี่ยนจีวรเป็นสีเขียว จนได้รับฉายาใหม่จากสื่อว่า

    🦎 "จิ้งเขียว"
    🦹‍♂️ "สมียันดะ"
    🧘‍♂️ "ยันดะ"

    🔵 ปลอมพาสปอร์ต หนีคดีข้ามโลก เมื่อพ้นจากสมณเพศ ยันตระได้ทำพาสปอร์ตปลอม หลบหนีออกจากประเทศไทยไปสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง

    📜 ตลอด 20 ปี ยันตระใช้ชีวิตที่วัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย

    ⏳ ระยะเวลาผ่านไป คดีต่าง ๆ หมดอายุความ ทำให้ยันตระาสามารถกลับประเทศไทยได้อีกครั้ง

    🔵 กลับมาเยือนเมืองไทย
    🗓️ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ยันตระเดินทางกลับประเทศไทยอีกครั้ง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีลูกศิษย์รอต้อนรับจำนวนมาก

    🏠 ยันตระได้พบปะกับลูกศิษย์ตามสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงเดินทางไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระเขี้ยวแก้ว ที่ท้องสนามหลวง

    📍 จากนั้นได้กลับไปยังบ้านเกิดที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อกราบอดีตพระอุปัชฌาย์

    บั้นปลายที่แคลิฟอร์เนีย สุดท้ายแล้ว ยันตระกลับไปยังวัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย และเสียชีวิตในวันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2568 สิริรวมอายุ 73 ปี 51 พรรษา 🕊️

    🔵 เสียงสะท้อนจากสังคม และศรัทธาที่ไม่เสื่อมคลาย แม้จะมีข้อกล่าวหาฉาวโฉ่ แต่ก็ยังมีศิษยานุศิษย์ที่ศรัทธาในคำสอน และการปฏิบัติธรรม องพระยันตระ

    🧎‍♂️ หลายคนยังคงกราบไหว้และนับถือ 👉 แต่ในโลกโซเชียลมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เหมาะสมหรือไม่ที่พระรูปอื่นๆ ยังคงกราบไหว้บุคคลที่ถูกถอดจากสมณเพศ 💬

    🔵 สรุปเรื่องราวชีวิต "ยันตระ อมโร"
    1️⃣ จากนักพรตสู่พระภิกษุผู้ยิ่งใหญ่
    2️⃣ คำสอนและแนวปฏิบัติที่มีผู้ศรัทธาทั่วโลก
    3️⃣ คดีอื้อฉาวที่ทำลายชื่อเสียงและนำไปสู่การถอดถอน
    4️⃣ การหลบหนีและใช้ชีวิตในฐานะผู้ลี้ภัย
    5️⃣ การกลับบ้านเกิดหลังคดีหมดอายุความ
    6️⃣ จบบั้นปลายชีวิตในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

    🔵 ชีวิตของ "ยันตระ อมโร" เปรียบเหมือนนิยาย ที่มีทั้งช่วงรุ่งเรืองและตกต่ำ ด้วยพฤติกรรมและการกระทำ ที่นำไปสู่ข้อกล่าวหาหนัก แต่ก็ยังคงมีคนศรัทธาไม่เสื่อมคลาย 💔✨

    👉 เรื่องราวของยันตระ จึงเป็นบทเรียนสำหรับสังคมไทย ในเรื่องศรัทธา ปัญญา และความรับผิดชอบต่อการกระทำ

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 101152 มี.ค. 2568

    🔵 #ยันตระอมโร #ข่าวดราม่า #ประวัติพระดัง #วัดสุญญตาราม #สีกาคาดาดฟ้า #ข่าวไทยวันนี้ #เรื่องเล่าพระดัง #ข่าวพระดัง #ยันตระเสียชีวิต #ข่าวด่วนไทย
    ปิดตำนาน เริงสวาทสีกา คาดาดฟ้า เรือเดินสมุทร “ยันตระ” เสียชีวิตที่อเมริกา หลังปลอมพาสปอร์ต หนีคดีจนหมดอายุความ 🚢⚖️ 🔵 อวสานตำนานพระชื่อดัง กับชีวิตที่กลับกลายเป็นประวัติศาสตร์สังคมไทย เมื่อเอ่ยถึงชื่อ "ยันตระ อมโร" หรือนายวินัย ละอองสุวรรณ เชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยต้องรู้จัก ไม่ใช่เพียงเพราะเคยเป็น พระภิกษุชื่อดัง ผู้มีผู้ศรัทธามากมาย ทั้งในไทยและต่างประเทศ หากแต่เพราะชีวิตของยันตระ เต็มไปด้วยเรื่องราวดราม่า ฉาวโฉ่ และคดีความที่สั่นสะเทือนวงการสงฆ์ไทย ในยุคหนึ่ง โดยเฉพาะกรณี อาบัติปาราชิก จากข้อกล่าวหาล่วงละเมิดสีกา รวมถึงภาพลักษณ์ ที่แวดล้อมไปด้วยความศรัทธา และความขัดแย้งทางความคิด ซึ่งยังคงตามหลอกหลอน จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตในต่างแดน ✨ 🔵 จากลูกชาวบ้าน สู่พระนักปฏิบัติชื่อดัง นายวินัย ละอองสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2494 ที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในครอบครัวชาวบ้านธรรมดา ก่อนอุปสมบท ได้ใช้ชีวิตเป็นนักพรตฤๅษีอยู่หลายปี ได้รับการยกย่องว่าเป็น นักปฏิบัติธรรมผู้ทรงภูมิ ทำให้มีผู้คนเลื่อมใสมากมาย ต่อมาในวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในธรรมยุติกนิกาย ที่วัดรัตนาราม จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมตั้งนามให้ตัวเองว่า "ยันตระ อมโรภิกขุ" แปลว่า ผู้ไกลจากกิเลส ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มานาน ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นนักพรตฤาษี 🧘‍♂️ "วัดสุญญตาราม" อาณาจักรแห่งความว่าง หลังจากนั้น พระยันตระได้รับการนิมนต์ ไปเผยแผ่ธรรมในหลายประเทศ มีการจัดตั้ง "สำนักวัดสุญญตาราม" ทั้งในไทยและต่างแดนหลายแห่ง เช่น ✅ วัดป่าสุญญตาราม กาญจนบุรี ✅ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน ออสเตรเลีย ✅ วัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา บทสวดและคำสอน แนวกรรมฐานของพระยันตระ ถูกตีพิมพ์และเผยแพร่ไปในวงกว้าง หลายคนมองว่ายันตระเป็นพระที่มีความรู้ในพระไตรปิฎก และการปฏิบัติที่เข้มขลัง ✨ 🔵 คดีอื้อฉาว ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของพระยันตระ ด้วยข้อกล่าวหาเรื่องเพศสัมพันธ์ และพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในปี พ.ศ. 2537 วงการสงฆ์สะเทือน เมื่อสีกากลุ่มหนึ่ง ยื่นคำร้องต่อสมเด็จพระสังฆราช และอธิบดีกรมการศาสนา กล่าวหาพระยันตระว่า มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ กับสีกาหลายคน โดยมีพยานหลักฐานสนับสนุนมากมาย 📂 ข้อกล่าวหาที่โด่งดัง 🚢 เหตุการณ์บนเรือเดินสมุทร กล่าวหาว่า ยันตระมีเพศสัมพันธ์กับสีกา บนดาดฟ้าเรือ ระหว่างเดินทางจากสวีเดนไปฟินแลนด์ 🏡 กุฏิริมน้ำในออสเตรเลีย กล่าวหาว่า ยันตระมีพฤติกรรมจับต้องกายสตรี ด้วยความกำหนัด 🚐 เหตุการณ์ในรถตู้ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย มีหลักฐานว่า ยันตระเข้าไปหาสีกาในรถตู้ และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม 📞 บทสนทนาทางโทรศัพท์ พร่ำพูดถึงความรัก และมีหลักฐานเทปเสียง 👧 ข้อกล่าวหาการมีบุตรสาว นางจันทิมา มายะรังษี นำเด็กหญิงที่อ้างว่า เป็นบุตรสาวของยันตระ มาแสดงตัว พร้อมภาพถ่ายที่แสดงถึงความสัมพันธ์ ฉันท์สามีภรรยา 💳 หลักฐานบัตรเครดิต รายการใช้จ่ายในสถานบริการทางเพศ ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ 🔵 มติของมหาเถรสมาคม หลังการสืบสวนสอบสวน และตรวจสอบพยานหลักฐาน มหาเถรสมาคมมีมติให้ "พระยันตระ อมโรภิกขุ" ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ โดยปริยาย ❌ แต่แทนที่จะยอมรับคำตัดสิน ยันตระกลับประกาศไม่ยอมรับมติ และอ้างว่ายังเป็นพระภิกษุอยู่ โดยเปลี่ยนจีวรเป็นสีเขียว จนได้รับฉายาใหม่จากสื่อว่า 🦎 "จิ้งเขียว" 🦹‍♂️ "สมียันดะ" 🧘‍♂️ "ยันดะ" 🔵 ปลอมพาสปอร์ต หนีคดีข้ามโลก เมื่อพ้นจากสมณเพศ ยันตระได้ทำพาสปอร์ตปลอม หลบหนีออกจากประเทศไทยไปสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง 📜 ตลอด 20 ปี ยันตระใช้ชีวิตที่วัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย ⏳ ระยะเวลาผ่านไป คดีต่าง ๆ หมดอายุความ ทำให้ยันตระาสามารถกลับประเทศไทยได้อีกครั้ง 🔵 กลับมาเยือนเมืองไทย 🗓️ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ยันตระเดินทางกลับประเทศไทยอีกครั้ง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีลูกศิษย์รอต้อนรับจำนวนมาก 🏠 ยันตระได้พบปะกับลูกศิษย์ตามสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงเดินทางไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระเขี้ยวแก้ว ที่ท้องสนามหลวง 📍 จากนั้นได้กลับไปยังบ้านเกิดที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อกราบอดีตพระอุปัชฌาย์ บั้นปลายที่แคลิฟอร์เนีย สุดท้ายแล้ว ยันตระกลับไปยังวัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย และเสียชีวิตในวันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2568 สิริรวมอายุ 73 ปี 51 พรรษา 🕊️ 🔵 เสียงสะท้อนจากสังคม และศรัทธาที่ไม่เสื่อมคลาย แม้จะมีข้อกล่าวหาฉาวโฉ่ แต่ก็ยังมีศิษยานุศิษย์ที่ศรัทธาในคำสอน และการปฏิบัติธรรม องพระยันตระ 🧎‍♂️ หลายคนยังคงกราบไหว้และนับถือ 👉 แต่ในโลกโซเชียลมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เหมาะสมหรือไม่ที่พระรูปอื่นๆ ยังคงกราบไหว้บุคคลที่ถูกถอดจากสมณเพศ 💬 🔵 สรุปเรื่องราวชีวิต "ยันตระ อมโร" 1️⃣ จากนักพรตสู่พระภิกษุผู้ยิ่งใหญ่ 2️⃣ คำสอนและแนวปฏิบัติที่มีผู้ศรัทธาทั่วโลก 3️⃣ คดีอื้อฉาวที่ทำลายชื่อเสียงและนำไปสู่การถอดถอน 4️⃣ การหลบหนีและใช้ชีวิตในฐานะผู้ลี้ภัย 5️⃣ การกลับบ้านเกิดหลังคดีหมดอายุความ 6️⃣ จบบั้นปลายชีวิตในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา 🔵 ชีวิตของ "ยันตระ อมโร" เปรียบเหมือนนิยาย ที่มีทั้งช่วงรุ่งเรืองและตกต่ำ ด้วยพฤติกรรมและการกระทำ ที่นำไปสู่ข้อกล่าวหาหนัก แต่ก็ยังคงมีคนศรัทธาไม่เสื่อมคลาย 💔✨ 👉 เรื่องราวของยันตระ จึงเป็นบทเรียนสำหรับสังคมไทย ในเรื่องศรัทธา ปัญญา และความรับผิดชอบต่อการกระทำ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 101152 มี.ค. 2568 🔵 #ยันตระอมโร #ข่าวดราม่า #ประวัติพระดัง #วัดสุญญตาราม #สีกาคาดาดฟ้า #ข่าวไทยวันนี้ #เรื่องเล่าพระดัง #ข่าวพระดัง #ยันตระเสียชีวิต #ข่าวด่วนไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อยากช่วยมากกว่านี้ แต่คงทำไม่ได้!!"

    เจ้าหน้าที่ทหารรัสเซียที่ฐานทัพอากาศฮไมมิม ในซีเรีย พยายามช่วยเหลือชาวซีเรียด้านมนุษยธรรมอย่างเต็มที่ หลังจากต้องหลบหนีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยกลุ่มอาชญากรของอัล-จูลานีทั่วซีเรีย

    มีรายงานว่า ชาวอลาวีมากกว่า 7,000 คน หลบภัยอยู่ในฐานทัพอากาศของรัสเซียแห่งนี้
    "อยากช่วยมากกว่านี้ แต่คงทำไม่ได้!!" เจ้าหน้าที่ทหารรัสเซียที่ฐานทัพอากาศฮไมมิม ในซีเรีย พยายามช่วยเหลือชาวซีเรียด้านมนุษยธรรมอย่างเต็มที่ หลังจากต้องหลบหนีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยกลุ่มอาชญากรของอัล-จูลานีทั่วซีเรีย มีรายงานว่า ชาวอลาวีมากกว่า 7,000 คน หลบภัยอยู่ในฐานทัพอากาศของรัสเซียแห่งนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 26 0 รีวิว
  • กองทหารรัสเซียที่ฐานทัพอากาศ Hmeimim ในซีเรียตะวันตกกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียผ่อนคลายความกังวล หลังจากต้องหลบหนีการสังหารหมู่โดยกองกำลัง HTS ของรัฐบาลซีเรียใหม่

    ขณะที่ทั้งสื่อและผู้นำโลกตะวันตกยังคงนิ่งเฉย
    กองทหารรัสเซียที่ฐานทัพอากาศ Hmeimim ในซีเรียตะวันตกกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียผ่อนคลายความกังวล หลังจากต้องหลบหนีการสังหารหมู่โดยกองกำลัง HTS ของรัฐบาลซีเรียใหม่ ขณะที่ทั้งสื่อและผู้นำโลกตะวันตกยังคงนิ่งเฉย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพทหารยูเครนกำลังแตกกระเจิงหลบหนีออกจากตำแหน่งของพวกเขาในเมือง Malaya Loknya ทางด้านตะวันตกของแนวเขา Kursk
    ภาพทหารยูเครนกำลังแตกกระเจิงหลบหนีออกจากตำแหน่งของพวกเขาในเมือง Malaya Loknya ทางด้านตะวันตกของแนวเขา Kursk
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงเวลาที่ชายสวมชุดดำ นั่งท้ายรถกระบะกระบะยี่ห้อ ISUZU D-Max ตอนครึ่ง สีบรอนซ์เงิน และ รถยนต์เก๋งสีบรอนซ์เงิน ขับผ่านด่านตรวจหน้าที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ก่อนใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ อส.พร้อมกับขว้างระเบิดและมีการปะทะกัน แล้วหลบหนีไป ทำให้เจ้าหน้าที่ อส.เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 8 คน และประชาชนได้รับบาดเจ็บ 3 คน เหตุเกิดเวลาประมาณ 19.00 น. วันนี้ (8 มี.ค.2568)
    ช่วงเวลาที่ชายสวมชุดดำ นั่งท้ายรถกระบะกระบะยี่ห้อ ISUZU D-Max ตอนครึ่ง สีบรอนซ์เงิน และ รถยนต์เก๋งสีบรอนซ์เงิน ขับผ่านด่านตรวจหน้าที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ก่อนใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ อส.พร้อมกับขว้างระเบิดและมีการปะทะกัน แล้วหลบหนีไป ทำให้เจ้าหน้าที่ อส.เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 8 คน และประชาชนได้รับบาดเจ็บ 3 คน เหตุเกิดเวลาประมาณ 19.00 น. วันนี้ (8 มี.ค.2568)
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 30 0 รีวิว
  • ตร.ไซเบอร์หิ้วแก๊งคอลเซ็นเตอร์จากเมืองปอยเปต 93 ราย ฝากขังศาลอาญา ล่าสุดวืดประกัน ศาลชี้อัตราโทษสูง เกรงหลบหนี เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงส่งเข้าเรือนจำทันที

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000021534

    #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ตร.ไซเบอร์หิ้วแก๊งคอลเซ็นเตอร์จากเมืองปอยเปต 93 ราย ฝากขังศาลอาญา ล่าสุดวืดประกัน ศาลชี้อัตราโทษสูง เกรงหลบหนี เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงส่งเข้าเรือนจำทันที อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000021534 #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    13
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 764 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amouranth หรือ Kaitlyn Siragusa สตรีมเมอร์แพล็ตฟอร์มผู้ใหญ่ชื่อดัง อ้างว่าเธอถูกโจรติดอาวุธบุกเข้าบ้านในช่วงดึกของวันที่ 2 มีนาคม คาดว่ามีเป้าหมายที่ทรัพย์สินดิจิทัลของเธอ ซึ่งรวมถึงบิทคอยน์มูลค่ากว่า 20 ล้านดอลลาร์ ที่เธอเคยเปิดเผยไว้ก่อนหน้านี้

    ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 Amouranth เคยโพสต์ภาพหน้าจอจากบัญชี Coinbase ของเธอ เผยให้เห็นว่าเธอถือครองบิทคอยน์ 211 เหรียญ และ Ether อีก 80,000 เหรียญ ทำให้เธอเป็นหนึ่งในอินฟลูเอนเซอร์ที่มีสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวนมาก

    ไม่กี่ชั่วโมงหลังเหตุการณ์ เธอได้อัปเดตผ่านโซเชียลมีเดียว่า มีโจรติดอาวุธ 3 คนพยายามบุกเข้ามาในบ้าน และจากฟุตเทจกล้องวงจรปิด พบว่าเกิดเสียงดัง 3 ครั้ง ก่อนที่กลุ่มคนร้ายจะรีบหลบหนีออกไป

    ขบวนการ "Crypto Wrench Attack" ระบาด! คนคริปโตตกเป็นเป้าหมาย

    เหตุการณ์ของ Amouranth เป็นส่วนหนึ่งของกระแสการโจมตีแบบ "Crypto Wrench Attack" ซึ่งเป็นการใช้ความรุนแรงข่มขู่ให้เหยื่อโอนคริปโตให้กับคนร้าย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000021138

    #MGROnline #Crypto #cryptocurrency #บิทคอยน์
    Amouranth หรือ Kaitlyn Siragusa สตรีมเมอร์แพล็ตฟอร์มผู้ใหญ่ชื่อดัง อ้างว่าเธอถูกโจรติดอาวุธบุกเข้าบ้านในช่วงดึกของวันที่ 2 มีนาคม คาดว่ามีเป้าหมายที่ทรัพย์สินดิจิทัลของเธอ ซึ่งรวมถึงบิทคอยน์มูลค่ากว่า 20 ล้านดอลลาร์ ที่เธอเคยเปิดเผยไว้ก่อนหน้านี้ • ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 Amouranth เคยโพสต์ภาพหน้าจอจากบัญชี Coinbase ของเธอ เผยให้เห็นว่าเธอถือครองบิทคอยน์ 211 เหรียญ และ Ether อีก 80,000 เหรียญ ทำให้เธอเป็นหนึ่งในอินฟลูเอนเซอร์ที่มีสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวนมาก • ไม่กี่ชั่วโมงหลังเหตุการณ์ เธอได้อัปเดตผ่านโซเชียลมีเดียว่า มีโจรติดอาวุธ 3 คนพยายามบุกเข้ามาในบ้าน และจากฟุตเทจกล้องวงจรปิด พบว่าเกิดเสียงดัง 3 ครั้ง ก่อนที่กลุ่มคนร้ายจะรีบหลบหนีออกไป • ขบวนการ "Crypto Wrench Attack" ระบาด! คนคริปโตตกเป็นเป้าหมาย • เหตุการณ์ของ Amouranth เป็นส่วนหนึ่งของกระแสการโจมตีแบบ "Crypto Wrench Attack" ซึ่งเป็นการใช้ความรุนแรงข่มขู่ให้เหยื่อโอนคริปโตให้กับคนร้าย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000021138 • #MGROnline #Crypto #cryptocurrency #บิทคอยน์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 236 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 3-3-68
    .
    เช้าวันจันทร์ วันนี้คุณสนธิมีหลายเรื่องมาเล่าให้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฮอต ๆ อย่าง "การส่งกลับชาวอุยกูร์" ที่หลบหนีเข้าเมือง และอาศัยอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว, วิวาทะระหว่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์-เจดี แแวนซ์ ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับ นายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนที่ทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ รวมไปถึงคดีที่คุณสนธิฟ้อง "ทนายอั๋น" ที่ศาลมีคำพิพากษาลงมาแล้ว ... เชิญรับชม
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=UnMK7GV-aJI
    .
    #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #อุยกูร์ #ซินเกียง #ทรัมป์เซเลนสกี
    สนธิเล่าเรื่อง 3-3-68 . เช้าวันจันทร์ วันนี้คุณสนธิมีหลายเรื่องมาเล่าให้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฮอต ๆ อย่าง "การส่งกลับชาวอุยกูร์" ที่หลบหนีเข้าเมือง และอาศัยอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว, วิวาทะระหว่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์-เจดี แแวนซ์ ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับ นายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนที่ทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ รวมไปถึงคดีที่คุณสนธิฟ้อง "ทนายอั๋น" ที่ศาลมีคำพิพากษาลงมาแล้ว ... เชิญรับชม . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=UnMK7GV-aJI . #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #อุยกูร์ #ซินเกียง #ทรัมป์เซเลนสกี
    Like
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
  • ท่ามกลางเสียงประณามไทย ทั้งจากสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร เยอรมนีและสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ(UNHCR) ในกรณีส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปยังจีน เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ จากการตรวจสอบข่าวเก่าๆพบว่าหน่วยงานผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติแห่งนี้เคยปฏิเสธคำร้องจากรัฐบาลไทย ที่ขอให้ช่วยเหลือชาวอุยกูร์ 48 คน ที่ถูกควบคุมตัวในไทยมานานกว่า 10 ปี โดยสาเหตุที่ไม่สู้เต็มใจ ก็คือกลัวจีนโกรธ จนตัดลดความช่วยเหลือและเงินบริจาค
    .
    เว็บไซต์ข่าว The New Humanitarian รายงานพาดหัวข่าว UN declined offers to assist Uyghur asylum seekers detained in Thailand ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2022 อ้างอิงเอกสารภายในของ UNHCR ระบุว่าหน่วยงานผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติแห่งนี้ ปฏิเสธรัฐบาลไทย ไม่ยอมเข้าช่วยเหลือผู้ขอลี้ภัยชาวอุยกูร์จากจีน 48 คน ที่ถูกควบคุมตัวในไทยเป็นเวลานานกว่า 10 ปี
    .
    รายงานข่าวระบุว่าในบรรดาผู้ขอลี้ภัยเหล่านั้น มีอยู่ 5 คน ที่ต้องโทษจำคุก ที่เกี่ยวข้องกับความพยายามหลบหนีในปี 2020 ส่วนที่เหลือ 43 คน ถูกควบคุมตัวโดยปราศจากการตั้งข้อหาใดๆในสถานกักตัวคนต่างด้าว ซอนสวนพลู ในกรุงเทพฯ พวกเขาถูกห้ามติดต่อกัยครอบครัว ทนายความ หรือกระทั่งผู้ต้องขังคนอื่นๆ
    .
    เป็นเวลานานหลายปีที่ทาง UNHCR ยืนกรานว่ารัฐบาลไทยขัดขวางหน่วยงานของสหประชาชาติแห่งนี้เข้าถึงคนกลุ่มนี้ เพื่อรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับอนุมัติสถานะผู้ลี้ภัยและอำนวยความสะดวกพวกเขาในการย้ายไปตั้งรกรากในประเทศที่ 3
    .
    อย่างไรก็ตามรายงานของ The New Humanitarian อ้างอิงเอกสารภายใน ย้อนกลับไปในปี 2020 เผยว่ารัฐบาลของไทยได้เริ่มส่งคำร้องอย่างไม่เป็นทางการถึง UNHCR ตั้งแต่เกือบ 5 ปีก่อนหน้านั้น ให้แสดงบทบาทอย่างกระตือรือร้นในการคลี่คลายการคุมตัวชาวอุยกูร์เหล่านี้อย่างไม่มีกำหนด แต่พวกทางเจ้าหน้าที่ UNHCR คัดค้านที่จะทำเช่นนั้น
    .
    The New Humanitarian ระบุว่า UNHCR มอบความช่วยเหลือปกป้องชีวิตแก่ผู้แสวงหาลี้ภัยทั่วโลก แต่รายงานในปี 2023 ที่เผยแพร่โดยครงการสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์(UHRP - Uyghur Human Rights Project) ระบุว่าอิทธิพลที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆของจีนเหนือประเทศเจ้าบ้านบางชาติ "บ่อนทำลายความพยายามทางการเมืองหรือด้านมนุษยธรรมใดๆที่จะรับรองและมอบการปกป้องอย่างเหมาะสมกับพวกผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์" และเอกสารภายในบ่งชี้ว่าอิทธิพลของจีนยังแผ่ลามมาถึงหน่วงานด้านผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติแห่งนี้ด้วย
    .
    "เอกสารแสดงให้เห็นว่า UNHCR ล้มเหวในการยึดถืออานัติในการปกป้องพวกผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์" The New Humanitarian รายงานในตอนนั้น อ้างคำสัมภาษณ์ของ จอห์น ควินลีย์ ผู้อำนวยการองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน Fortify Rights หลังจากได้เห็นเอกสาร "พวกผู้นำของ UNHCR ดูเหมือนจะไม่ทำงานเชิงรุก ในความพยายามหาทางออกสำหรับพวกผู้ลี้ภัยชาวอุยกูรณ์ ผู้ซึ่งใช้ชีวิตในการถูกควบคุมตัวมานานหลายปี"
    .
    บาบาร์ บาลอช โฆษกของ UNHCR บอกกับ The New Humanitarian เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ว่าหน่วยงานแห่งนี้เดินหน้าหยิบยกประเด็นนี้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ไทย "แต่ไม่อยู่ในขั้น ที่เราได้รับอนุญาตให้เข้าถึงคนกลุ่มนี้ หรือประสานงานกับผู้รับผิดชอบคดี ในจุดประสงค์อำนวยความสะดวกหนทางคลี่คลายปัญหา หาไม่แล้ว มันจะสะท้อนความเข้าใจผิดๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น"
    .
    เขาปฏิเสธให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของ UNHCR ต่อคดีนี้ โดยอ้างว่ามันเป็นความลับ
    .
    รายงานของ The New Humanitarian อ้างอิงเอกสารภายในของ UNHCR ฉบับหนึ่งระบุว่า "รัฐบาลไทยเพิ่มความพยายามมากขึ้น ขอให้ทาง UNHCR หาทางออกในประเด็นนี้" และมีความเป็นไปได้ที่ไทยอาจเปิดทางให้ UNHCR เข้าถึงผู้ต้องขังชาวอุยกูร์เหล่านั้น
    .
    อย่างไรก็ตามสำนักงานของ UNHCR ประจำประเทศไทย กลับมองข้อเสนอของ ไทย ด้วยความสงสัย "สำนักงานประจำประเทศไทย มองเรื่องนี้ว่า ไทย อาจใช้ UNHCR เป็นโล่เบี่ยงเบนความโกรธเคืองของจีน" เอกสารฉบับหนึ่งระบุ ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่ของ UNHCR ประจำในประเทศไทย จึงตัดสินใจในช่วงปลายปี 2020 ไม่แนะนำให้ตอบสนองเชิงรุกใดๆ
    .
    เอกสารฉบับหนึ่งเตือนถึง "ความเสี่ยงของผลกระทบในทาทางลบใดๆต่อปฏิบัติการของ UNHCR ในจีน และผลกระทบในแง่ของเงินทุนและการสนับสนุนที่มีต่อ UNHCR ในนั้นรวมถึงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับล่าง 10 ตำแหน่ง และโครงการต่างๆคิดเป็นมูลค่า 7.7 ล้านดอลลาร์
    .
    "หนึ่งในแง่มุมสุดช็อคของเอกสารนี้ก็คือ ดูเหมือน ไทย เป็นฝ่ายกดดันให้ UNHCR เข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น แต่ทาง UNHCR หยุดชะงัก เพราะว่าพวกเขากลัวจีนจะโกรธ และลดความร่วมมือหรือลดเงินบริจาคที่มอบให้หน่วยงานแห่งนี้" ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียขององค์กรฮิวแมนไรท์วอตช์ บอกกับ The New Humanitarian ในตอนนั้น หลังจากได้เห็นเอกสาร
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020219
    ..................
    Sondhi X

    ท่ามกลางเสียงประณามไทย ทั้งจากสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร เยอรมนีและสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ(UNHCR) ในกรณีส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปยังจีน เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ จากการตรวจสอบข่าวเก่าๆพบว่าหน่วยงานผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติแห่งนี้เคยปฏิเสธคำร้องจากรัฐบาลไทย ที่ขอให้ช่วยเหลือชาวอุยกูร์ 48 คน ที่ถูกควบคุมตัวในไทยมานานกว่า 10 ปี โดยสาเหตุที่ไม่สู้เต็มใจ ก็คือกลัวจีนโกรธ จนตัดลดความช่วยเหลือและเงินบริจาค . เว็บไซต์ข่าว The New Humanitarian รายงานพาดหัวข่าว UN declined offers to assist Uyghur asylum seekers detained in Thailand ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2022 อ้างอิงเอกสารภายในของ UNHCR ระบุว่าหน่วยงานผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติแห่งนี้ ปฏิเสธรัฐบาลไทย ไม่ยอมเข้าช่วยเหลือผู้ขอลี้ภัยชาวอุยกูร์จากจีน 48 คน ที่ถูกควบคุมตัวในไทยเป็นเวลานานกว่า 10 ปี . รายงานข่าวระบุว่าในบรรดาผู้ขอลี้ภัยเหล่านั้น มีอยู่ 5 คน ที่ต้องโทษจำคุก ที่เกี่ยวข้องกับความพยายามหลบหนีในปี 2020 ส่วนที่เหลือ 43 คน ถูกควบคุมตัวโดยปราศจากการตั้งข้อหาใดๆในสถานกักตัวคนต่างด้าว ซอนสวนพลู ในกรุงเทพฯ พวกเขาถูกห้ามติดต่อกัยครอบครัว ทนายความ หรือกระทั่งผู้ต้องขังคนอื่นๆ . เป็นเวลานานหลายปีที่ทาง UNHCR ยืนกรานว่ารัฐบาลไทยขัดขวางหน่วยงานของสหประชาชาติแห่งนี้เข้าถึงคนกลุ่มนี้ เพื่อรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับอนุมัติสถานะผู้ลี้ภัยและอำนวยความสะดวกพวกเขาในการย้ายไปตั้งรกรากในประเทศที่ 3 . อย่างไรก็ตามรายงานของ The New Humanitarian อ้างอิงเอกสารภายใน ย้อนกลับไปในปี 2020 เผยว่ารัฐบาลของไทยได้เริ่มส่งคำร้องอย่างไม่เป็นทางการถึง UNHCR ตั้งแต่เกือบ 5 ปีก่อนหน้านั้น ให้แสดงบทบาทอย่างกระตือรือร้นในการคลี่คลายการคุมตัวชาวอุยกูร์เหล่านี้อย่างไม่มีกำหนด แต่พวกทางเจ้าหน้าที่ UNHCR คัดค้านที่จะทำเช่นนั้น . The New Humanitarian ระบุว่า UNHCR มอบความช่วยเหลือปกป้องชีวิตแก่ผู้แสวงหาลี้ภัยทั่วโลก แต่รายงานในปี 2023 ที่เผยแพร่โดยครงการสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์(UHRP - Uyghur Human Rights Project) ระบุว่าอิทธิพลที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆของจีนเหนือประเทศเจ้าบ้านบางชาติ "บ่อนทำลายความพยายามทางการเมืองหรือด้านมนุษยธรรมใดๆที่จะรับรองและมอบการปกป้องอย่างเหมาะสมกับพวกผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์" และเอกสารภายในบ่งชี้ว่าอิทธิพลของจีนยังแผ่ลามมาถึงหน่วงานด้านผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติแห่งนี้ด้วย . "เอกสารแสดงให้เห็นว่า UNHCR ล้มเหวในการยึดถืออานัติในการปกป้องพวกผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์" The New Humanitarian รายงานในตอนนั้น อ้างคำสัมภาษณ์ของ จอห์น ควินลีย์ ผู้อำนวยการองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน Fortify Rights หลังจากได้เห็นเอกสาร "พวกผู้นำของ UNHCR ดูเหมือนจะไม่ทำงานเชิงรุก ในความพยายามหาทางออกสำหรับพวกผู้ลี้ภัยชาวอุยกูรณ์ ผู้ซึ่งใช้ชีวิตในการถูกควบคุมตัวมานานหลายปี" . บาบาร์ บาลอช โฆษกของ UNHCR บอกกับ The New Humanitarian เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ว่าหน่วยงานแห่งนี้เดินหน้าหยิบยกประเด็นนี้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ไทย "แต่ไม่อยู่ในขั้น ที่เราได้รับอนุญาตให้เข้าถึงคนกลุ่มนี้ หรือประสานงานกับผู้รับผิดชอบคดี ในจุดประสงค์อำนวยความสะดวกหนทางคลี่คลายปัญหา หาไม่แล้ว มันจะสะท้อนความเข้าใจผิดๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น" . เขาปฏิเสธให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของ UNHCR ต่อคดีนี้ โดยอ้างว่ามันเป็นความลับ . รายงานของ The New Humanitarian อ้างอิงเอกสารภายในของ UNHCR ฉบับหนึ่งระบุว่า "รัฐบาลไทยเพิ่มความพยายามมากขึ้น ขอให้ทาง UNHCR หาทางออกในประเด็นนี้" และมีความเป็นไปได้ที่ไทยอาจเปิดทางให้ UNHCR เข้าถึงผู้ต้องขังชาวอุยกูร์เหล่านั้น . อย่างไรก็ตามสำนักงานของ UNHCR ประจำประเทศไทย กลับมองข้อเสนอของ ไทย ด้วยความสงสัย "สำนักงานประจำประเทศไทย มองเรื่องนี้ว่า ไทย อาจใช้ UNHCR เป็นโล่เบี่ยงเบนความโกรธเคืองของจีน" เอกสารฉบับหนึ่งระบุ ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่ของ UNHCR ประจำในประเทศไทย จึงตัดสินใจในช่วงปลายปี 2020 ไม่แนะนำให้ตอบสนองเชิงรุกใดๆ . เอกสารฉบับหนึ่งเตือนถึง "ความเสี่ยงของผลกระทบในทาทางลบใดๆต่อปฏิบัติการของ UNHCR ในจีน และผลกระทบในแง่ของเงินทุนและการสนับสนุนที่มีต่อ UNHCR ในนั้นรวมถึงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับล่าง 10 ตำแหน่ง และโครงการต่างๆคิดเป็นมูลค่า 7.7 ล้านดอลลาร์ . "หนึ่งในแง่มุมสุดช็อคของเอกสารนี้ก็คือ ดูเหมือน ไทย เป็นฝ่ายกดดันให้ UNHCR เข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น แต่ทาง UNHCR หยุดชะงัก เพราะว่าพวกเขากลัวจีนจะโกรธ และลดความร่วมมือหรือลดเงินบริจาคที่มอบให้หน่วยงานแห่งนี้" ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียขององค์กรฮิวแมนไรท์วอตช์ บอกกับ The New Humanitarian ในตอนนั้น หลังจากได้เห็นเอกสาร . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020219 .................. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    25
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1412 มุมมอง 0 รีวิว
  • 39 ปี ลอบสังหารนายกสวีเดน "อูลอฟ พัลเมอ" คดีปริศนาที่ใช้เวลาสืบสวนนาน 34 ปี

    🕵️‍♂️ เหตุการณ์ลอบสังหารผู้นำประเทศ ที่เป็นปริศนายาวนานที่สุดในโลก ย้อนไปเมื่อ 39 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 สวีเดนต้องเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อ "อูลอฟ พัลเมอ" (Olof Palme) นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม คดีนี้ใช้เวลาสืบสวนนานถึง 34 ปี ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะประกาศปิดคดี โดยมีการตั้งข้อสงสัยว่า "สตีก เอ็งสเตริม" (Stig Engström) เป็นผู้ก่อเหตุ แต่เจ้าตัวเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543

    นี่คือหนึ่งในคดีฆาตกรรมทางการเมือง ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และยังคงเป็นที่ถกเถียง ในแวดวงกฎหมายและสื่อมวลชน มาจนถึงปัจจุบัน

    🔎 นายกรัฐมนตรีสวีเดน ผู้ทรงอิทธิพลและขั้วขัดแย้ง ✨ "สเวน อูลอฟ โยอาคิม พัลเมอ" (Sven Olof Joachim Palme) เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2470 เป็นนักการเมืองคนสำคัญของสวีเดน และเป็นผู้นำของพรรคสังคมประชาธิปไตยสวีเดน (Social Democrats - SAP)

    📌 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย
    - วาระแรก พ.ศ. 2512 - 2519
    - วาระที่สอง พ.ศ. 2525 - 2529

    นายกพัลเมอเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้า สนับสนุนสิทธิแรงงาน สวัสดิการสังคม และต่อต้านสงคราม มีนโยบายที่ไม่ฝักใฝ่ขั้วมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือสหภาพโซเวียต ทำให้ถูกมองว่า เป็นบุคคลที่ "แตกต่าง" ในเวทีการเมืองโลก

    🌍 นักการเมืองที่กล้าท้าทายอำนาจโลก นายกพัลเมอเป็นผู้นำชาวตะวันตกคนแรกที่
    ✅ เดินทางไปเยือนคิวบา และพบกับ "ฟิเดล คาสโตร" หลังการปฏิวัติคิวบา
    ✅ วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิจักรวรรดินิยม และการปกครองแบบเผด็จการ
    ✅ ต่อต้านระบอบแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้
    ✅ เปรียบเทียบการทิ้งระเบิดฮานอยของสหรัฐฯ กับ "อาชญากรรมสงคราม"

    📢 ความกล้าของนายกพัลเมอ ทำให้มีทั้งผู้สนับสนุนและศัตรูมากมาย และนั่นอาจเป็นสาเหตุ ที่นำไปสู่การลอบสังหารในท้ายที่สุด

    🔫 คืนสังหาร 28 กุมภาพันธ์ 2529 คืนวันศุกร์ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์สวีเดนตลอดกาล 🌃

    📍 เหตุเกิดที่ถนนสเวียแวเกน (Sveavägen) หนึ่งในถนนที่คึกคักที่สุด ของกรุงสต็อกโฮล์ม

    🚶‍♂️ ไม่มีการ์ดคุ้มกัน ในคืนนั้น นายกพัลเมอและภรรยา "ลิสเบต พัลเมอ" (Lisbeth Palme) ตัดสินใจไปชมภาพยนตร์ "The Mozart Brothers" โดย ไม่ได้มีบอดี้การ์ดไปด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับนายกพัลเมอ

    🕵️‍♂️ มือปืนลอบสังหาร เวลา 23.21 น. นายกพัลเมอและภรรยา เดินออกจากโรงภาพยนตร์ มือปืนเดินปรี่เข้ามาจากด้านหลัง และจ่อยิงนายกพัลเมอเข้ากลางหลังหนึ่งนัด ด้วยปืนลูกโม่ .357 แม็กนัม เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ และจ่อยิงภรรยานายกพัลเมออีกหนึ่งนัด แล้วหลบหนีไป โดยไม่มีใครสามารถจับตัวได้

    💥 การลอบสังหารครั้งนี้ เป็นการฆาตกรรมผู้นำประเทศสวีเดนครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2335 ใช้เวลาสืบสวนที่ยาวนาน 34 ปี 🏛️

    🔍 การสอบสวนครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์สวีเดน มีพยานถูกสอบปากคำหลายพันคน บุคคลที่ถูกสอบสวนในฐานะผู้ต้องสงสัย มากกว่า 130 ราย คดีนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบตำรวจ และกฎหมายของสวีเดน

    👤 ผู้ต้องสงสัยรายแรก "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน"
    ปี 2531 ตำรวจจับกุม "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน" (Christer Pettersson) ชายติดยาในพื้นที่ และศาลตัดสินว่า มีความผิดฐานฆาตกรรม

    ❌ แต่ภายหลัง ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสิน และปล่อยตัวเขาเป็นอิสระ เนื่องจาก
    1️⃣ ไม่มีหลักฐานชัดเจน
    2️⃣ อาวุธที่ใช้ก่อเหตุไม่เคยถูกพบ
    3️⃣ แรงจูงใจในการสังหารไม่ชัดเจน

    เพ็ตเตอช็อนเสียชีวิตในปี 2547 ทำให้การสืบสวน หวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง

    🛑 ปิดคดีในปี 2563: ฆาตกรคือ "สกันเดียแมน"?
    🔎 ในเดือน มิถุนายน 2563 คณะอัยการสวีเดนประกาศว่า

    👉 สตีก เอ็งสเตริม (Stig Engström) หรือ "สกันเดียแมน" เป็นผู้ต้องสงสัยหลัก

    👨‍💼 "สกันเดียแมน" เป็นนักออกแบบกราฟิก ทำงานที่บริษัท "สกันเดีย" (Skandia) ใกล้ที่เกิดเหตุ มีทักษะในการใช้ปืน ได้วิพากษ์วิจารณ์นายกพัลเมออย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีปัญหาด้านการเงิน และติดสุรา

    💀 แต่ปัญหาคือ เอ็งสเตริมเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543 ทำให้ ไม่มีทางนำตัวมาพิจารณาคดีในชั้นศาลได้

    📢 "การสืบสวนจึงถูกปิด โดยไม่มีการตั้งข้อหาใด ๆ"

    🤔 คำถามที่ยังไร้คำตอบ
    ❓ แรงจูงใจของฆาตกรคืออะไร?
    ❓ เป็นแผนลอบสังหาร จากรัฐบาลเผด็จการหรือไม่?
    ❓ มีองค์กรลับอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า?
    ❓ เหตุใดตำรวจถึงใช้เวลานานถึง 34 ปี ในการสรุปคดีนี้?

    แม้ว่าอัยการจะปิดคดีนี้ไปแล้ว แต่ข้อสงสัยมากมายยังคงอยู่ ทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็น "ปริศนาแห่งสวีเดน" ที่จะถูกพูดถึงไปอีกนาน

    🔥 คดีฆาตกรรมที่สะเทือนโลก
    📌 "อูลอฟ พัลเมอ" เป็นนายกฯ ที่มีอุดมการณ์ชัดเจน
    📌 ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม ในปี 2529
    📌 คดีนี้สืบสวนนาน 34 ปี ก่อนสรุปว่า "สตีก เอ็งสเตริม" เป็นมือปืน
    📌 คดีถูกปิด แต่คำถามมากมาย ยังคงไม่มีคำตอบ

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 282037 ก.พ. 2568

    #OlofPalme #ฆาตกรรมปริศนา #ลอบสังหาร #คดีดัง #สวีเดน #TrueCrime
    39 ปี ลอบสังหารนายกสวีเดน "อูลอฟ พัลเมอ" คดีปริศนาที่ใช้เวลาสืบสวนนาน 34 ปี 🕵️‍♂️ เหตุการณ์ลอบสังหารผู้นำประเทศ ที่เป็นปริศนายาวนานที่สุดในโลก ย้อนไปเมื่อ 39 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 สวีเดนต้องเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อ "อูลอฟ พัลเมอ" (Olof Palme) นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม คดีนี้ใช้เวลาสืบสวนนานถึง 34 ปี ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะประกาศปิดคดี โดยมีการตั้งข้อสงสัยว่า "สตีก เอ็งสเตริม" (Stig Engström) เป็นผู้ก่อเหตุ แต่เจ้าตัวเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543 นี่คือหนึ่งในคดีฆาตกรรมทางการเมือง ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และยังคงเป็นที่ถกเถียง ในแวดวงกฎหมายและสื่อมวลชน มาจนถึงปัจจุบัน 🔎 นายกรัฐมนตรีสวีเดน ผู้ทรงอิทธิพลและขั้วขัดแย้ง ✨ "สเวน อูลอฟ โยอาคิม พัลเมอ" (Sven Olof Joachim Palme) เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2470 เป็นนักการเมืองคนสำคัญของสวีเดน และเป็นผู้นำของพรรคสังคมประชาธิปไตยสวีเดน (Social Democrats - SAP) 📌 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย - วาระแรก พ.ศ. 2512 - 2519 - วาระที่สอง พ.ศ. 2525 - 2529 นายกพัลเมอเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้า สนับสนุนสิทธิแรงงาน สวัสดิการสังคม และต่อต้านสงคราม มีนโยบายที่ไม่ฝักใฝ่ขั้วมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือสหภาพโซเวียต ทำให้ถูกมองว่า เป็นบุคคลที่ "แตกต่าง" ในเวทีการเมืองโลก 🌍 นักการเมืองที่กล้าท้าทายอำนาจโลก นายกพัลเมอเป็นผู้นำชาวตะวันตกคนแรกที่ ✅ เดินทางไปเยือนคิวบา และพบกับ "ฟิเดล คาสโตร" หลังการปฏิวัติคิวบา ✅ วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิจักรวรรดินิยม และการปกครองแบบเผด็จการ ✅ ต่อต้านระบอบแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ ✅ เปรียบเทียบการทิ้งระเบิดฮานอยของสหรัฐฯ กับ "อาชญากรรมสงคราม" 📢 ความกล้าของนายกพัลเมอ ทำให้มีทั้งผู้สนับสนุนและศัตรูมากมาย และนั่นอาจเป็นสาเหตุ ที่นำไปสู่การลอบสังหารในท้ายที่สุด 🔫 คืนสังหาร 28 กุมภาพันธ์ 2529 คืนวันศุกร์ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์สวีเดนตลอดกาล 🌃 📍 เหตุเกิดที่ถนนสเวียแวเกน (Sveavägen) หนึ่งในถนนที่คึกคักที่สุด ของกรุงสต็อกโฮล์ม 🚶‍♂️ ไม่มีการ์ดคุ้มกัน ในคืนนั้น นายกพัลเมอและภรรยา "ลิสเบต พัลเมอ" (Lisbeth Palme) ตัดสินใจไปชมภาพยนตร์ "The Mozart Brothers" โดย ไม่ได้มีบอดี้การ์ดไปด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับนายกพัลเมอ 🕵️‍♂️ มือปืนลอบสังหาร เวลา 23.21 น. นายกพัลเมอและภรรยา เดินออกจากโรงภาพยนตร์ มือปืนเดินปรี่เข้ามาจากด้านหลัง และจ่อยิงนายกพัลเมอเข้ากลางหลังหนึ่งนัด ด้วยปืนลูกโม่ .357 แม็กนัม เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ และจ่อยิงภรรยานายกพัลเมออีกหนึ่งนัด แล้วหลบหนีไป โดยไม่มีใครสามารถจับตัวได้ 💥 การลอบสังหารครั้งนี้ เป็นการฆาตกรรมผู้นำประเทศสวีเดนครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2335 ใช้เวลาสืบสวนที่ยาวนาน 34 ปี 🏛️ 🔍 การสอบสวนครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์สวีเดน มีพยานถูกสอบปากคำหลายพันคน บุคคลที่ถูกสอบสวนในฐานะผู้ต้องสงสัย มากกว่า 130 ราย คดีนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบตำรวจ และกฎหมายของสวีเดน 👤 ผู้ต้องสงสัยรายแรก "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน" ปี 2531 ตำรวจจับกุม "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน" (Christer Pettersson) ชายติดยาในพื้นที่ และศาลตัดสินว่า มีความผิดฐานฆาตกรรม ❌ แต่ภายหลัง ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสิน และปล่อยตัวเขาเป็นอิสระ เนื่องจาก 1️⃣ ไม่มีหลักฐานชัดเจน 2️⃣ อาวุธที่ใช้ก่อเหตุไม่เคยถูกพบ 3️⃣ แรงจูงใจในการสังหารไม่ชัดเจน เพ็ตเตอช็อนเสียชีวิตในปี 2547 ทำให้การสืบสวน หวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง 🛑 ปิดคดีในปี 2563: ฆาตกรคือ "สกันเดียแมน"? 🔎 ในเดือน มิถุนายน 2563 คณะอัยการสวีเดนประกาศว่า 👉 สตีก เอ็งสเตริม (Stig Engström) หรือ "สกันเดียแมน" เป็นผู้ต้องสงสัยหลัก 👨‍💼 "สกันเดียแมน" เป็นนักออกแบบกราฟิก ทำงานที่บริษัท "สกันเดีย" (Skandia) ใกล้ที่เกิดเหตุ มีทักษะในการใช้ปืน ได้วิพากษ์วิจารณ์นายกพัลเมออย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีปัญหาด้านการเงิน และติดสุรา 💀 แต่ปัญหาคือ เอ็งสเตริมเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543 ทำให้ ไม่มีทางนำตัวมาพิจารณาคดีในชั้นศาลได้ 📢 "การสืบสวนจึงถูกปิด โดยไม่มีการตั้งข้อหาใด ๆ" 🤔 คำถามที่ยังไร้คำตอบ ❓ แรงจูงใจของฆาตกรคืออะไร? ❓ เป็นแผนลอบสังหาร จากรัฐบาลเผด็จการหรือไม่? ❓ มีองค์กรลับอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า? ❓ เหตุใดตำรวจถึงใช้เวลานานถึง 34 ปี ในการสรุปคดีนี้? แม้ว่าอัยการจะปิดคดีนี้ไปแล้ว แต่ข้อสงสัยมากมายยังคงอยู่ ทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็น "ปริศนาแห่งสวีเดน" ที่จะถูกพูดถึงไปอีกนาน 🔥 คดีฆาตกรรมที่สะเทือนโลก 📌 "อูลอฟ พัลเมอ" เป็นนายกฯ ที่มีอุดมการณ์ชัดเจน 📌 ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม ในปี 2529 📌 คดีนี้สืบสวนนาน 34 ปี ก่อนสรุปว่า "สตีก เอ็งสเตริม" เป็นมือปืน 📌 คดีถูกปิด แต่คำถามมากมาย ยังคงไม่มีคำตอบ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 282037 ก.พ. 2568 #OlofPalme #ฆาตกรรมปริศนา #ลอบสังหาร #คดีดัง #สวีเดน #TrueCrime
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 336 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อเดือนมกราคม มาร์โค รูบิโอ ที่เพิ่งได้รับการเสนอให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้การกับสภาคองเกรส เรื่องสำคัญที่เขาย้ำกับสภาก็คือต้องล็อบบี้ไม่ให้ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ไปให้จีน

    เขาบอกว่า “ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งมากของสหรัฐฯ และเป็นพันธมิตรทางประวัติศาสตร์ที่แข็งแกร่ง นั่นคือพื้นที่ที่ผมคิดว่าการทูตสามารถบรรลุผลได้จริง เนื่องจากความสัมพันธ์นั้นมีความสำคัญและใกล้ชิดกันมาก”

    รูบิโอ มั่นใจมากกว่าเขาจะใช้บารมีของสหรัฐที่มีต่อไทยสกัดกั้นการส่งตัวอุยกูร์ไปจีน ในช่วงเวลาที่ประเด็นอุยกูร์เป็นวาระของชาติตะวันตกอีกครั้งในช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา

    แต่หนึ่งเดือนหลังจากนั้น รูบิโอ ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ปรากฏว่าการทูตของสหรัฐฯ เละเทะไปหมด รวมถึงความหวังที่จะเห็นไทยเป็นพัธมิตรที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ด้วย เพราะไทยส่งอุยกูร์ให้จีนไปแล้ว

    พูดง่ายๆ คือภารกิจแรกของ รูบิโอ ในการรักษาพันธมิตรล้มเหลวไม่เป็นท่า ดังนั้นจากที่ต้องการจะรักษาไทยในฐานะพันธมิตรทางประวัติศาสตร์ รูบิโอกล่าวในแถลงการณ์ว่า “เราขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการที่ไทยบังคับส่งตัวชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คนกลับประเทศจีน”

    และกล่าวว่าไทยเสี่ยงที่จะ “ละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศ” ตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ของสหประชาชาติและอนุสัญญาโลกอื่นๆ และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ไทย “ตรวจสอบอย่างต่อเนื่องอย่างเต็มที่” ว่าทางการจีนปกป้องสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์หรือไม่

    ฝ่ายสถานทูตจีนในไทยกล่าวดักเอาไว้ว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศนั้น “ดำเนินการตามกฎหมายของจีนและไทย กฎหมายระหว่างประเทศ และแนวปฏิบัติทั่วไป”

    แต่โปรดทราบว่าแนวปฏิบัติและการตีความสิทธิมนุษยชนของจีนและตะวันตกนั้นไม่ตรงกันเอาเลย ส่วนใครจะถูกจะผิดนั้นโปรดพิจารณากันเอาเอง

    อีกเรื่องคือการที่อุยกูร์เป็นประเด็นอีกครั้ง เพราะมีกลุ่มอุยกูร์ที่ถูกขึ้นบัญชีก่อการร้าย [ETIM] ไปร่วมรบในซีเรียกับฝ่ายที่ชนะล่าสุด เรื่องนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่ตะวันตกบี้ไทยเรื่องจะส่งอุยกูร์พอดี ส่วนสถานทูตจีนประจำกรุงเทพฯ ออกมาชี้แจงเมื่อเดือนที่แล้วว่าผู้ต้องขังชาวอุยกูร์มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้าย และ “บุคคลจำนวนหนึ่งที่ถูกล่อลวงโดยกองกำลังภายนอกได้หลบหนีออกนอกประเทศและเข้าร่วมกับ ‘ขบวนการอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก’ [ETIM] ซึ่งเป็นองค์กรก่อการร้ายที่ได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติ”

    ETIM พอเดินทางมาถึงเอเชียกลางและต่อมาถึงซีเรีย ก็เปลี่ยนร่างเป็นขบวนการ Turkistan Islamic Party (TIP)

    ยิ่งหลังจากรัฐบาลอัสซาดล่มเมื่อเดือนธันวาคม 2024 พวก TIP ก็ประกาศว่า "เราจะขับไล่พวกคนจีนนอกศาสนาออกไป (จากซินเจียง)” พอถึงมกราคม 2025 สื่อตะวันตกก็เริ่มประโคมไม่หยุดว่าอุยกูร์ที่ช่วยรบในซีเรียจะเล่นงานจีน เช่น The Economist ชี้ว่า Militant Uyghurs in Syria threaten the Chinese government และ The Telegraph ที่รายงานว่า Uyghur fighters in Syria vow to come for China next (สองสื่ออังกฤษมีท่าทีต่อต้านจีนอยู่แล้ว) - รัฐบาลจีนเห็นแบบนี้คงนิ่งไม่ไหว

    จากการรายงานของ Reuters เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ทูตจีนเพิ่งพบกับผู้นำซีเรียคนใหม่ (ซึ่งมีพวกอุยกูร์ช่วยรบอยู่ในกองทัพ) ในรายงานนี้ย้ำว่า "ในปี 2015 เจ้าหน้าที่จีนกล่าวว่าชาวอุยกูร์จำนวนมากที่หลบหนีไปยังตุรกีผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้วางแผนที่จะนำญิฮาดกลับไปยังจีน โดยอ้างว่าบางคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับ "กิจกรรมก่อการร้าย""

    เรื่อง ETIM ผมเพิ่งเขียนไปเมื่อไม่นานมานี้ สามารถเลื่อนลงไปอ่านได้เพราะมีบริบทเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ตอนนี้ระหว่างตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ กับจีน โดยมีไทยเป็น "โซ่ข้อกลาง"

    ส่วนชาติตะวันตกและสำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติก็ประณามไทยเช่นกัน (อย่างเบาๆ คือ "เสียใจ") แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับดุลความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน-สหรัฐมากกว่า

    กรณีล่าสุด (รวมถึงอีกหลายกรณีก่อนหน้านี้) ไม่บอกก็รู้ว่าไทยเอียงไปทางจีนอย่างมากแล้วในตอนนี้

    ป.ล. - เป็นที่น่าสังเกตว่า ในวันที่ไทยส่งอุยกูร์ให้จีนนั้น รัสเซียก็เดินเกม "สร้างแนวร่วม" ในอาเซียนด้วยการส่ง ชอยกู รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงไปหารือกับผู้นำอินโดนีเซียและมาเลเซีย กรณีเหล่านี้น่าจะสะท้อนถึงการเดิมเกมรุกของแกนหลัก "ทางการเมือง" ของกลุ่ม BRICS

    ที่มา : เฟซบุ๊กของกรกิจ ดิษฐาน
    เมื่อเดือนมกราคม มาร์โค รูบิโอ ที่เพิ่งได้รับการเสนอให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้การกับสภาคองเกรส เรื่องสำคัญที่เขาย้ำกับสภาก็คือต้องล็อบบี้ไม่ให้ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ไปให้จีน เขาบอกว่า “ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งมากของสหรัฐฯ และเป็นพันธมิตรทางประวัติศาสตร์ที่แข็งแกร่ง นั่นคือพื้นที่ที่ผมคิดว่าการทูตสามารถบรรลุผลได้จริง เนื่องจากความสัมพันธ์นั้นมีความสำคัญและใกล้ชิดกันมาก” รูบิโอ มั่นใจมากกว่าเขาจะใช้บารมีของสหรัฐที่มีต่อไทยสกัดกั้นการส่งตัวอุยกูร์ไปจีน ในช่วงเวลาที่ประเด็นอุยกูร์เป็นวาระของชาติตะวันตกอีกครั้งในช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา แต่หนึ่งเดือนหลังจากนั้น รูบิโอ ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ปรากฏว่าการทูตของสหรัฐฯ เละเทะไปหมด รวมถึงความหวังที่จะเห็นไทยเป็นพัธมิตรที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ด้วย เพราะไทยส่งอุยกูร์ให้จีนไปแล้ว พูดง่ายๆ คือภารกิจแรกของ รูบิโอ ในการรักษาพันธมิตรล้มเหลวไม่เป็นท่า ดังนั้นจากที่ต้องการจะรักษาไทยในฐานะพันธมิตรทางประวัติศาสตร์ รูบิโอกล่าวในแถลงการณ์ว่า “เราขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการที่ไทยบังคับส่งตัวชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คนกลับประเทศจีน” และกล่าวว่าไทยเสี่ยงที่จะ “ละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศ” ตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ของสหประชาชาติและอนุสัญญาโลกอื่นๆ และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ไทย “ตรวจสอบอย่างต่อเนื่องอย่างเต็มที่” ว่าทางการจีนปกป้องสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์หรือไม่ ฝ่ายสถานทูตจีนในไทยกล่าวดักเอาไว้ว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศนั้น “ดำเนินการตามกฎหมายของจีนและไทย กฎหมายระหว่างประเทศ และแนวปฏิบัติทั่วไป” แต่โปรดทราบว่าแนวปฏิบัติและการตีความสิทธิมนุษยชนของจีนและตะวันตกนั้นไม่ตรงกันเอาเลย ส่วนใครจะถูกจะผิดนั้นโปรดพิจารณากันเอาเอง อีกเรื่องคือการที่อุยกูร์เป็นประเด็นอีกครั้ง เพราะมีกลุ่มอุยกูร์ที่ถูกขึ้นบัญชีก่อการร้าย [ETIM] ไปร่วมรบในซีเรียกับฝ่ายที่ชนะล่าสุด เรื่องนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่ตะวันตกบี้ไทยเรื่องจะส่งอุยกูร์พอดี ส่วนสถานทูตจีนประจำกรุงเทพฯ ออกมาชี้แจงเมื่อเดือนที่แล้วว่าผู้ต้องขังชาวอุยกูร์มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้าย และ “บุคคลจำนวนหนึ่งที่ถูกล่อลวงโดยกองกำลังภายนอกได้หลบหนีออกนอกประเทศและเข้าร่วมกับ ‘ขบวนการอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก’ [ETIM] ซึ่งเป็นองค์กรก่อการร้ายที่ได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติ” ETIM พอเดินทางมาถึงเอเชียกลางและต่อมาถึงซีเรีย ก็เปลี่ยนร่างเป็นขบวนการ Turkistan Islamic Party (TIP) ยิ่งหลังจากรัฐบาลอัสซาดล่มเมื่อเดือนธันวาคม 2024 พวก TIP ก็ประกาศว่า "เราจะขับไล่พวกคนจีนนอกศาสนาออกไป (จากซินเจียง)” พอถึงมกราคม 2025 สื่อตะวันตกก็เริ่มประโคมไม่หยุดว่าอุยกูร์ที่ช่วยรบในซีเรียจะเล่นงานจีน เช่น The Economist ชี้ว่า Militant Uyghurs in Syria threaten the Chinese government และ The Telegraph ที่รายงานว่า Uyghur fighters in Syria vow to come for China next (สองสื่ออังกฤษมีท่าทีต่อต้านจีนอยู่แล้ว) - รัฐบาลจีนเห็นแบบนี้คงนิ่งไม่ไหว จากการรายงานของ Reuters เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ทูตจีนเพิ่งพบกับผู้นำซีเรียคนใหม่ (ซึ่งมีพวกอุยกูร์ช่วยรบอยู่ในกองทัพ) ในรายงานนี้ย้ำว่า "ในปี 2015 เจ้าหน้าที่จีนกล่าวว่าชาวอุยกูร์จำนวนมากที่หลบหนีไปยังตุรกีผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้วางแผนที่จะนำญิฮาดกลับไปยังจีน โดยอ้างว่าบางคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับ "กิจกรรมก่อการร้าย"" เรื่อง ETIM ผมเพิ่งเขียนไปเมื่อไม่นานมานี้ สามารถเลื่อนลงไปอ่านได้เพราะมีบริบทเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ตอนนี้ระหว่างตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ กับจีน โดยมีไทยเป็น "โซ่ข้อกลาง" ส่วนชาติตะวันตกและสำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติก็ประณามไทยเช่นกัน (อย่างเบาๆ คือ "เสียใจ") แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับดุลความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน-สหรัฐมากกว่า กรณีล่าสุด (รวมถึงอีกหลายกรณีก่อนหน้านี้) ไม่บอกก็รู้ว่าไทยเอียงไปทางจีนอย่างมากแล้วในตอนนี้ ป.ล. - เป็นที่น่าสังเกตว่า ในวันที่ไทยส่งอุยกูร์ให้จีนนั้น รัสเซียก็เดินเกม "สร้างแนวร่วม" ในอาเซียนด้วยการส่ง ชอยกู รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงไปหารือกับผู้นำอินโดนีเซียและมาเลเซีย กรณีเหล่านี้น่าจะสะท้อนถึงการเดิมเกมรุกของแกนหลัก "ทางการเมือง" ของกลุ่ม BRICS ที่มา : เฟซบุ๊กของกรกิจ ดิษฐาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 312 มุมมอง 0 รีวิว
  • หมวกกันน็อกใบเดียว ใช้ทำร้ายผู้อื่นถึงตายได้

    เหตุอุกอาจทำร้ายร่างกายใจกลางเมือง ขณะที่ นพ.ชเนษฎ์ ศรีสุโข เจ้าของมาลิคลินิกเวชกรรม สาขาสีลม 3 กำลังเดินออกจากคลีนิกหลังเลิกงาน มีคนร้ายเป็นชาย 2 คน บุกเข้ามารุมทำร้ายด้วยการใช้หมวกกันน็อกรุมตีหลายครั้งจนเลือดอาบ เจ้าตัวพยายามวิ่งหลบหนีหกล้มกลางถนน ก่อนที่จะมีรถยนต์ของชาวบ้านขับผ่านมา คนร้ายจึงขับขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า รุ่นพีซีเอ็กซ์ สีแสด ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนหลบหนีไป เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 18.28 น. ของวันที่ 25 ม.ค. 2568 นพ.ชเนษฎ์ ได้รับบาดเจ็บ ศีรษะถูกตีด้วยของแข็งจนเลือดอาบ ก่อนแจ้งความกับ ว่าที่ พ.ต.ท.สถิต สะดีวงศ์ พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ และตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจ

    เมื่อมีการนำเสนอข่าวผ่านสื่อมวลชน ผู้ก่อเหตุพร้อมด้วยทนายความจึงเข้ามอบตัวสู้คดีและประกันตัวออกไป อ้างว่าหูแว่ว ติดยา ในวันที่ไปศาลแขวงพระนครใต้ เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2568 จำเลยพาภรรยา ญาติ และลูกน้อยไปศาลพร้อมทนายความด้วย ตอนแรกจำเลยกล่าวหาว่า นพ.ชเนษฎ์ ไปด่าพ่อ แต่ต่อมาก็อ้างว่าพนักงานคลีนิกไปด่าพ่อ ซึ่ง นพ.ชเนษฎ์ ตั้งข้อสังเกตว่าที่ผ่านมา มีความพยายามใช้ชื่อปลอมร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ ให้เข้ามาสอบสวนคลินิก แต่ไม่พบความผิดปกติใดๆ ก่อนจะเกิดเรื่องขึ้น ถึงกระนั้นเหตุการณ์นี้เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล ทุกวันนี้ต้องว่าจ้างทีมอารักขามืออาชีพช่วยดูแลความปลอดภัย

    สิ่งที่น่าคิดจากคดีนี้ก็คือ คนร้ายเลือกใช้หมวกกันน็อกเป็นอาวุธทำร้ายร่างกาย นพ.ชเนษฎ์ เปิดเผยว่า บริษัทรักษาความปลอดภัยในไทยหลายแห่งได้แจ้งมาว่า จากคดีดังกล่าวพบว่าหมวกกันน็อกเป็นที่นิยมในหมู่คนร้าย เพราะมีโทษเบาไปถึงศาลแขวง ไม่ใช่ศาลอาญา รวมทั้งหามาเป็นอาวุธได้ง่าย มีการแนะนำให้ตนหาหมวกกันน็อกมาลองทุบแตงโมดู จึงทดลองทุบเอง ที่กลุ่มสืบเสาะและพินิจ กรมคุมประพฤติ กรุงเทพมหานคร 5 ซึ่งเฟซบุ๊กส่วนตัวของ นพ.ชเนษฎ์ นำมาเผยแพร่ พบว่าแตงโมแตก ซึ่งหากทุบจุดสำคัญของศีรษะอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

    ถึงกระนั้น ตามกฎหมายแล้วหมวกกันน็อกไม่ถือว่าเป็นอาวุธ และในทางคดีพบว่าเป็นการทำร้ายร่างกายธรรมดาไม่สาหัส ทำให้คดีทำร้ายร่างกายครั้งนี้ไปถึงแค่ศาลแขวง ไปไม่ถึงศาลอาญา แม้เหตุการณ์นี้จะทำให้ นพ.ชเนษฎ์ บาดเจ็บถึงขั้นเลือดอาบก็ตาม ปัจจุบัน ณ เดือนมกราคม 2568 ประเทศไทยมีรถจักรยานยนต์มากกว่า 22.85 ล้านคัน รถจักรยายยนต์รับจ้างกว่า 1.17 แสนคัน และมีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์รวมกันกว่า 13.10 ล้านใบ การใช้หมวกกันน็อกเป็นอาวุธทำร้ายร่างกาย ถือเป็นอีกช่องโหว่ทางกฎหมาย ที่พลเมืองดีและสุจริตชนทั้งหลายพึงระวัง

    #Newskit
    หมวกกันน็อกใบเดียว ใช้ทำร้ายผู้อื่นถึงตายได้ เหตุอุกอาจทำร้ายร่างกายใจกลางเมือง ขณะที่ นพ.ชเนษฎ์ ศรีสุโข เจ้าของมาลิคลินิกเวชกรรม สาขาสีลม 3 กำลังเดินออกจากคลีนิกหลังเลิกงาน มีคนร้ายเป็นชาย 2 คน บุกเข้ามารุมทำร้ายด้วยการใช้หมวกกันน็อกรุมตีหลายครั้งจนเลือดอาบ เจ้าตัวพยายามวิ่งหลบหนีหกล้มกลางถนน ก่อนที่จะมีรถยนต์ของชาวบ้านขับผ่านมา คนร้ายจึงขับขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า รุ่นพีซีเอ็กซ์ สีแสด ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนหลบหนีไป เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 18.28 น. ของวันที่ 25 ม.ค. 2568 นพ.ชเนษฎ์ ได้รับบาดเจ็บ ศีรษะถูกตีด้วยของแข็งจนเลือดอาบ ก่อนแจ้งความกับ ว่าที่ พ.ต.ท.สถิต สะดีวงศ์ พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ และตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจ เมื่อมีการนำเสนอข่าวผ่านสื่อมวลชน ผู้ก่อเหตุพร้อมด้วยทนายความจึงเข้ามอบตัวสู้คดีและประกันตัวออกไป อ้างว่าหูแว่ว ติดยา ในวันที่ไปศาลแขวงพระนครใต้ เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2568 จำเลยพาภรรยา ญาติ และลูกน้อยไปศาลพร้อมทนายความด้วย ตอนแรกจำเลยกล่าวหาว่า นพ.ชเนษฎ์ ไปด่าพ่อ แต่ต่อมาก็อ้างว่าพนักงานคลีนิกไปด่าพ่อ ซึ่ง นพ.ชเนษฎ์ ตั้งข้อสังเกตว่าที่ผ่านมา มีความพยายามใช้ชื่อปลอมร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ ให้เข้ามาสอบสวนคลินิก แต่ไม่พบความผิดปกติใดๆ ก่อนจะเกิดเรื่องขึ้น ถึงกระนั้นเหตุการณ์นี้เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล ทุกวันนี้ต้องว่าจ้างทีมอารักขามืออาชีพช่วยดูแลความปลอดภัย สิ่งที่น่าคิดจากคดีนี้ก็คือ คนร้ายเลือกใช้หมวกกันน็อกเป็นอาวุธทำร้ายร่างกาย นพ.ชเนษฎ์ เปิดเผยว่า บริษัทรักษาความปลอดภัยในไทยหลายแห่งได้แจ้งมาว่า จากคดีดังกล่าวพบว่าหมวกกันน็อกเป็นที่นิยมในหมู่คนร้าย เพราะมีโทษเบาไปถึงศาลแขวง ไม่ใช่ศาลอาญา รวมทั้งหามาเป็นอาวุธได้ง่าย มีการแนะนำให้ตนหาหมวกกันน็อกมาลองทุบแตงโมดู จึงทดลองทุบเอง ที่กลุ่มสืบเสาะและพินิจ กรมคุมประพฤติ กรุงเทพมหานคร 5 ซึ่งเฟซบุ๊กส่วนตัวของ นพ.ชเนษฎ์ นำมาเผยแพร่ พบว่าแตงโมแตก ซึ่งหากทุบจุดสำคัญของศีรษะอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ถึงกระนั้น ตามกฎหมายแล้วหมวกกันน็อกไม่ถือว่าเป็นอาวุธ และในทางคดีพบว่าเป็นการทำร้ายร่างกายธรรมดาไม่สาหัส ทำให้คดีทำร้ายร่างกายครั้งนี้ไปถึงแค่ศาลแขวง ไปไม่ถึงศาลอาญา แม้เหตุการณ์นี้จะทำให้ นพ.ชเนษฎ์ บาดเจ็บถึงขั้นเลือดอาบก็ตาม ปัจจุบัน ณ เดือนมกราคม 2568 ประเทศไทยมีรถจักรยานยนต์มากกว่า 22.85 ล้านคัน รถจักรยายยนต์รับจ้างกว่า 1.17 แสนคัน และมีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์รวมกันกว่า 13.10 ล้านใบ การใช้หมวกกันน็อกเป็นอาวุธทำร้ายร่างกาย ถือเป็นอีกช่องโหว่ทางกฎหมาย ที่พลเมืองดีและสุจริตชนทั้งหลายพึงระวัง #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 361 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลวงปู่ทวด 5 แชะ พิมพ์สี่เหลี่ยมกรรมการ พ่อท่านแดง วัดศรีมหาโพธิ์ จ.ปัตตานี ปี2538
    เนื้อว่านหลวงปู่ทวด 5 แชะ พิมพ์สี่เหลี่ยมกรรมการ พ่อท่านแดง วัดศรีมหาโพธิ์ จ.ปัตตานี ปี2538 //พระดีพิธีใหญ่ รุ่นประสบการณ์ 5 แชะ พิธีพุทธาภิเษกถึง 3 ครั้ง // พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณเด่นทาง เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย ทั้งคงกระพันชาตรี โด่งดังไปทั่วประเทศ เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ดีนัก. เป็นมหามงคลและสุดยอดนิรันตราย >>

    ** หลวงปู่ทวดพ่อท่านแดงเนื้อว่านห้าแชะด้านหลังฝังเพชรหน้าทั่งพิมพ์กรรมการสี่เหลียม พระเครื่องที่สร้างในปี พ.ศ. 2538 สร้างเป็นพิมพ์พิเศษ มีพิธีพุทธาภิเษกถึง 3 ครั้ง

    ครั้งที่1 ที่วัดช้างให้โดยพ่อท่านแดงจุดเทียนชัยพุทธาภิเษก มีพระอาจารย์นอง วัดทรายขาว หลวงพ่อเขียว วัดห้วยเงาะ ฯลฯ ร่วมพิธีปลุกเสกด้วย

    ครั้งที่2 พ่อท่านแดงได้ปลุกเสกเดี่ยวเป็นเวลา 9 วัน

    ครั้งที่ 3 มีพิธีใหญ่ที่วัดศรีมหาโพธิ์ มีพระเกจิ ทั่วทุกสารทิศมาร่วมในพิธีมากมาย

    ** สาเหตุที่ทำให้เรียกรุ่นนี้ว่า รุ่น ห้าแชะ ก็เนื่องมาจากเมื่อปี 2539 พนักงานธนาคารทหารไทย สาขายะลา ต้องนำเงินไปส่งให้ลูกค้าเป็นจำนวน 610,000 บาทซึ่งร้านที่ไปส่งนั้นห่างจากธนาคารเพียงแค่ 100เมตร ระหว่างทางได้มีโจร 2 คน มาดักปล้น ซึ่งนายธนาคารไม่ยอมให้เงินไปจึงขัดขืนโจรได้ชักปืนออกมายิง 4 นัดแต่กระสุนด้านโจรจึงเกิดอาการตกตะลึง จากนั้นจึงวิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์เพื่อจะหลบหนีแต่ก่อนจะขับหนีได้หันมายิงอีก 1 นัด แต่ยังยิงไม่ออกอยู่ดีซึ่งพนักงานธนาคารเชื่อว่าเป็นเพราะบารมีของพระเครื่องที่พกติดตัวก็คือพระหลวงพ่อทวดพิมพ์พิเศษที่พ่อท่านแดงปลุกเสก ซึ่งขณะนี้พระเครื่องรุ่นนี้กำลังได้รับความนิยมจากในวงการเป็นอย่างมาก ต่อไปจะหาได้ยากยิ่งและราคาสูงขึ้นอีกด้วยอย่ามัวรอช้านะครับ >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    หลวงปู่ทวด 5 แชะ พิมพ์สี่เหลี่ยมกรรมการ พ่อท่านแดง วัดศรีมหาโพธิ์ จ.ปัตตานี ปี2538 เนื้อว่านหลวงปู่ทวด 5 แชะ พิมพ์สี่เหลี่ยมกรรมการ พ่อท่านแดง วัดศรีมหาโพธิ์ จ.ปัตตานี ปี2538 //พระดีพิธีใหญ่ รุ่นประสบการณ์ 5 แชะ พิธีพุทธาภิเษกถึง 3 ครั้ง // พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณเด่นทาง เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย ทั้งคงกระพันชาตรี โด่งดังไปทั่วประเทศ เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ดีนัก. เป็นมหามงคลและสุดยอดนิรันตราย >> ** หลวงปู่ทวดพ่อท่านแดงเนื้อว่านห้าแชะด้านหลังฝังเพชรหน้าทั่งพิมพ์กรรมการสี่เหลียม พระเครื่องที่สร้างในปี พ.ศ. 2538 สร้างเป็นพิมพ์พิเศษ มีพิธีพุทธาภิเษกถึง 3 ครั้ง ครั้งที่1 ที่วัดช้างให้โดยพ่อท่านแดงจุดเทียนชัยพุทธาภิเษก มีพระอาจารย์นอง วัดทรายขาว หลวงพ่อเขียว วัดห้วยเงาะ ฯลฯ ร่วมพิธีปลุกเสกด้วย ครั้งที่2 พ่อท่านแดงได้ปลุกเสกเดี่ยวเป็นเวลา 9 วัน ครั้งที่ 3 มีพิธีใหญ่ที่วัดศรีมหาโพธิ์ มีพระเกจิ ทั่วทุกสารทิศมาร่วมในพิธีมากมาย ** สาเหตุที่ทำให้เรียกรุ่นนี้ว่า รุ่น ห้าแชะ ก็เนื่องมาจากเมื่อปี 2539 พนักงานธนาคารทหารไทย สาขายะลา ต้องนำเงินไปส่งให้ลูกค้าเป็นจำนวน 610,000 บาทซึ่งร้านที่ไปส่งนั้นห่างจากธนาคารเพียงแค่ 100เมตร ระหว่างทางได้มีโจร 2 คน มาดักปล้น ซึ่งนายธนาคารไม่ยอมให้เงินไปจึงขัดขืนโจรได้ชักปืนออกมายิง 4 นัดแต่กระสุนด้านโจรจึงเกิดอาการตกตะลึง จากนั้นจึงวิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์เพื่อจะหลบหนีแต่ก่อนจะขับหนีได้หันมายิงอีก 1 นัด แต่ยังยิงไม่ออกอยู่ดีซึ่งพนักงานธนาคารเชื่อว่าเป็นเพราะบารมีของพระเครื่องที่พกติดตัวก็คือพระหลวงพ่อทวดพิมพ์พิเศษที่พ่อท่านแดงปลุกเสก ซึ่งขณะนี้พระเครื่องรุ่นนี้กำลังได้รับความนิยมจากในวงการเป็นอย่างมาก ต่อไปจะหาได้ยากยิ่งและราคาสูงขึ้นอีกด้วยอย่ามัวรอช้านะครับ >> ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานข่าวไฟแนนซ์เชียลไทม์ระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ประกาศยกเลิก “ข้อตกลงสัมปทาน” ในภาคพลังงานของเวเนซุเอลา ซึ่งอนุญาตให้บริษัทเชฟรอนสามารถสูบและส่งออกน้ำมันในประเทศอเมริกาใต้ที่ถูกคว่ำบาตรได้ ทรัมป์ได้โพสต์บนแพลตฟอร์ม Truth Social ของเขา ทรัมป์กล่าวเมื่อวันพุธที่26 กุมภาพันธ์ว่า เขากำลัง “ยกเลิกข้อตกลงสัมปทาน” ที่รัฐบาลของโจ ไบเดนให้ไว้แก่บริษัทเชฟรอนเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2022ว่า “เราขอยกเลิกข้อตกลงที่โจ ไบเดน ให้กับนิโคลัส มาดูโร แห่งเวเนซุเอลา ที่เกี่ยวกับข้อตกลงธุรกรรมน้ำมัน และยังเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขการเลือกตั้งภายในเวเนซุเอลาที่ระบอบมาดูโรไม่ปฏิบัติตาม” ทรัมป์เขียน มาตรการดังกล่าวเป็นความพยายามที่จะโน้มน้าวให้มาดูโร ประธานาธิบดีเผด็จการของเวเนซุเอลา จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่เสรีและยุติธรรม แม้ว่าทรัมป์จะไม่ได้เอ่ยชื่อเชฟรอนโดยตรง แต่เชฟรอนก็เป็นบริษัทเดียวที่ได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินการร่วมกับบริษัทเปโตรเลออส เดอ เวเนซุเอลา (PDVSA) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของเวเนซุเอลาในสัมปทานเดือนพฤศจิกายน 2022 ใบอนุญาตอื่นๆ ได้ถูกมอบให้กับบริษัทเรปโซล เอนี่ และเมาเรล แอนด์ โพรม เชฟรอนกล่าวว่ากำลังพิจารณาถึงผลกระทบจากการตัดสินใจครั้งนี้ และเสริมว่าบริษัทดำเนินธุรกิจในเวเนซุเอลาโดยปฏิบัติตามกฎหมายและกรอบการคว่ำบาตรที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดไว้ นักวิเคราะห์กล่าวว่าการสูญเสียใบอนุญาตสัมปทานของเชฟรอนจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมน้ำมันของเวเนซุเอลา “การสูญเสียสารเจือจางที่เชฟรอนจัดหาให้เป็นปัญหาใหญ่ ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่สำหรับการผลิตของพวกเขา” ชไรเนอร์ ปาร์กเกอร์ นักวิเคราะห์จาก Rystad Energy ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษา กล่าว สารเจือจางเป็นสารที่ผู้ผลิตน้ำมันใช้ในการเจือจางน้ำมันดิบหนักประเภทหนึ่งที่ผลิตในเวเนซุเอลา และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสกัดและขนส่ง นายพาร์คเกอร์กล่าวว่า การสูญเสียสารเจือจางอาจทำให้การผลิตน้ำมันของเวเนซุเอลาลดลงต่ำกว่า 500,000 บาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่อยู่ที่ 900,000 บาร์เรลต่อวันเมื่อปีที่แล้ว แม้จะมีปริมาณสำรองน้ำมันที่พิสูจน์แล้วมากที่สุดในโลกและเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งโอเปก แต่การทุจริต การบริหารจัดการที่ผิดพลาด และการคว่ำบาตรที่นำโดยสหรัฐฯ ทำให้การผลิตน้ำมันดิบของประเทศลดลงจากประมาณ 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2016 เหลือ 400,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2020 ซึ่งฟื้นตัวเมื่อปีที่แล้ว โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะการร่วมทุนของเชฟรอน อัสดรูบัล โอลิเวโรส กรรมการบริษัทที่ปรึกษา Ecoanalitica ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองการากัส คาดการณ์ว่าการยกเลิกใบอนุญาตของเชฟรอนอาจทำให้การเติบโตของ GDP หดตัวลงจาก 3.2% เหลือ 2% ในปีนี้ “เห็นได้ชัดว่าการยกเลิกใบอนุญาตมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ไม่เพียงแต่ต่อการเติบโตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแนวโน้มของกระแสเงินตราต่างประเทศ อัตราเงินเฟ้อ และการลดค่าเงินด้วย” โอลิเวโรสกล่าว มาดูโรเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สามในเดือนมกราคม แม้จะมีหลักฐานมากมายเกี่ยวกับการทุจริตในการเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คู่แข่งหลักของเขาในการลงคะแนนเสียงครั้งนั้น คือ เอ็ดมันโด กอนซาเลซ ซึ่งตอนนี้ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ ในขณะที่ มาเรีย คอรินา มาชาโด ผู้นำฝ่ายค้านที่เป็นที่นิยมมากที่สุด ซึ่งถูกห้ามไม่ให้ลงสมัคร กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ เดลซี โรดริเกซ รองประธานาธิบดีเวเนซุเอลา กล่าวว่าการตัดสินใจยกเลิกใบอนุญาตของเชฟรอนนั้น “สร้างความเสียหายและอธิบายไม่ได้” เชฟรอนได้ล็อบบี้อย่างหนักเพื่อปกป้องสัมปทานของสหรัฐฯ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวเนซุเอลา สิ่งที่คุณเห็นเมื่อประเทศต่างๆ จากตะวันตกออกจากประเทศ คุณจะเห็นบริษัทจากจีนและรัสเซียเพิ่มการมีอยู่ของตนเองเป็นผล” ไมค์ เวิร์ธ ซีอีโอ กล่าวกับไฟแนนเชียล ไทมส์ในการสัมภาษณ์เมื่อเดือนที่แล้ว ในช่วงปลายเดือนมกราคม ริชาร์ด เกรเนลล์ ผู้แทนพิเศษของทรัมป์ที่ดูแลวิกฤตการณ์ ได้เดินทางไปยังกรุงการากัส ซึ่งเขาได้พบกับมาดูโร และประกาศข้อตกลงให้เวเนซุเอลารับผู้ถูกเนรเทศออกจากประเทศ ชาวเวเนซุเอลามากกว่า 7 ล้านคนหลบหนีความยากลำบากทางเศรษฐกิจและการปราบปรามในประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่มอาชญากร Tren de Aragua ก็ได้ขยายตัวไปทั่วโลก รวมถึงในสหรัฐอเมริกาด้วย
    รายงานข่าวไฟแนนซ์เชียลไทม์ระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ประกาศยกเลิก “ข้อตกลงสัมปทาน” ในภาคพลังงานของเวเนซุเอลา ซึ่งอนุญาตให้บริษัทเชฟรอนสามารถสูบและส่งออกน้ำมันในประเทศอเมริกาใต้ที่ถูกคว่ำบาตรได้ ทรัมป์ได้โพสต์บนแพลตฟอร์ม Truth Social ของเขา ทรัมป์กล่าวเมื่อวันพุธที่26 กุมภาพันธ์ว่า เขากำลัง “ยกเลิกข้อตกลงสัมปทาน” ที่รัฐบาลของโจ ไบเดนให้ไว้แก่บริษัทเชฟรอนเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2022ว่า “เราขอยกเลิกข้อตกลงที่โจ ไบเดน ให้กับนิโคลัส มาดูโร แห่งเวเนซุเอลา ที่เกี่ยวกับข้อตกลงธุรกรรมน้ำมัน และยังเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขการเลือกตั้งภายในเวเนซุเอลาที่ระบอบมาดูโรไม่ปฏิบัติตาม” ทรัมป์เขียน มาตรการดังกล่าวเป็นความพยายามที่จะโน้มน้าวให้มาดูโร ประธานาธิบดีเผด็จการของเวเนซุเอลา จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่เสรีและยุติธรรม แม้ว่าทรัมป์จะไม่ได้เอ่ยชื่อเชฟรอนโดยตรง แต่เชฟรอนก็เป็นบริษัทเดียวที่ได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินการร่วมกับบริษัทเปโตรเลออส เดอ เวเนซุเอลา (PDVSA) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของเวเนซุเอลาในสัมปทานเดือนพฤศจิกายน 2022 ใบอนุญาตอื่นๆ ได้ถูกมอบให้กับบริษัทเรปโซล เอนี่ และเมาเรล แอนด์ โพรม เชฟรอนกล่าวว่ากำลังพิจารณาถึงผลกระทบจากการตัดสินใจครั้งนี้ และเสริมว่าบริษัทดำเนินธุรกิจในเวเนซุเอลาโดยปฏิบัติตามกฎหมายและกรอบการคว่ำบาตรที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดไว้ นักวิเคราะห์กล่าวว่าการสูญเสียใบอนุญาตสัมปทานของเชฟรอนจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมน้ำมันของเวเนซุเอลา “การสูญเสียสารเจือจางที่เชฟรอนจัดหาให้เป็นปัญหาใหญ่ ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่สำหรับการผลิตของพวกเขา” ชไรเนอร์ ปาร์กเกอร์ นักวิเคราะห์จาก Rystad Energy ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษา กล่าว สารเจือจางเป็นสารที่ผู้ผลิตน้ำมันใช้ในการเจือจางน้ำมันดิบหนักประเภทหนึ่งที่ผลิตในเวเนซุเอลา และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสกัดและขนส่ง นายพาร์คเกอร์กล่าวว่า การสูญเสียสารเจือจางอาจทำให้การผลิตน้ำมันของเวเนซุเอลาลดลงต่ำกว่า 500,000 บาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่อยู่ที่ 900,000 บาร์เรลต่อวันเมื่อปีที่แล้ว แม้จะมีปริมาณสำรองน้ำมันที่พิสูจน์แล้วมากที่สุดในโลกและเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งโอเปก แต่การทุจริต การบริหารจัดการที่ผิดพลาด และการคว่ำบาตรที่นำโดยสหรัฐฯ ทำให้การผลิตน้ำมันดิบของประเทศลดลงจากประมาณ 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2016 เหลือ 400,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2020 ซึ่งฟื้นตัวเมื่อปีที่แล้ว โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะการร่วมทุนของเชฟรอน อัสดรูบัล โอลิเวโรส กรรมการบริษัทที่ปรึกษา Ecoanalitica ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองการากัส คาดการณ์ว่าการยกเลิกใบอนุญาตของเชฟรอนอาจทำให้การเติบโตของ GDP หดตัวลงจาก 3.2% เหลือ 2% ในปีนี้ “เห็นได้ชัดว่าการยกเลิกใบอนุญาตมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ไม่เพียงแต่ต่อการเติบโตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแนวโน้มของกระแสเงินตราต่างประเทศ อัตราเงินเฟ้อ และการลดค่าเงินด้วย” โอลิเวโรสกล่าว มาดูโรเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สามในเดือนมกราคม แม้จะมีหลักฐานมากมายเกี่ยวกับการทุจริตในการเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คู่แข่งหลักของเขาในการลงคะแนนเสียงครั้งนั้น คือ เอ็ดมันโด กอนซาเลซ ซึ่งตอนนี้ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ ในขณะที่ มาเรีย คอรินา มาชาโด ผู้นำฝ่ายค้านที่เป็นที่นิยมมากที่สุด ซึ่งถูกห้ามไม่ให้ลงสมัคร กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ เดลซี โรดริเกซ รองประธานาธิบดีเวเนซุเอลา กล่าวว่าการตัดสินใจยกเลิกใบอนุญาตของเชฟรอนนั้น “สร้างความเสียหายและอธิบายไม่ได้” เชฟรอนได้ล็อบบี้อย่างหนักเพื่อปกป้องสัมปทานของสหรัฐฯ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวเนซุเอลา สิ่งที่คุณเห็นเมื่อประเทศต่างๆ จากตะวันตกออกจากประเทศ คุณจะเห็นบริษัทจากจีนและรัสเซียเพิ่มการมีอยู่ของตนเองเป็นผล” ไมค์ เวิร์ธ ซีอีโอ กล่าวกับไฟแนนเชียล ไทมส์ในการสัมภาษณ์เมื่อเดือนที่แล้ว ในช่วงปลายเดือนมกราคม ริชาร์ด เกรเนลล์ ผู้แทนพิเศษของทรัมป์ที่ดูแลวิกฤตการณ์ ได้เดินทางไปยังกรุงการากัส ซึ่งเขาได้พบกับมาดูโร และประกาศข้อตกลงให้เวเนซุเอลารับผู้ถูกเนรเทศออกจากประเทศ ชาวเวเนซุเอลามากกว่า 7 ล้านคนหลบหนีความยากลำบากทางเศรษฐกิจและการปราบปรามในประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่มอาชญากร Tren de Aragua ก็ได้ขยายตัวไปทั่วโลก รวมถึงในสหรัฐอเมริกาด้วย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 234 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรือประมงเวียดนามหันหัวพุ่งชน "เรือหลวงเทพา" กองทัพเรือพังเสียหาย หลังพยายามเข้าไปจับกุมรุกลํ้าน่านนํ้าไทยเข้ามาทำประมงนับ 10 ลำ ก่อนจับเรือได้ 1 ลำ ผู้ต้องหา 4 คน ที่เหลือหลบหนีไปได้
    .
    เมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่บริเวณท่าเรืออเนกประสงค์ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด เรือหลวงเทพา และเรือต.246 ลากเรือประมงต่างชาติ 1 ลำ พร้อมลูกเรือประมงจำนวน 4 คน มาเทียบท่าเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ หลังถูกจับกุมได้ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศไทย เมื่อเช้าวันนี้ โดยมี พล.ร.ท.อาภา ชพานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1/ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 พร้อมด้วย พล.ร.ต.ไชยนันท์ ชูใหม่ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 และคณะ ร่วมให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนที่มาติดตามสถานการณ์
    .
    พล.ร.ท.อาภา เปิดเผยว่า ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 (ศรชล.ภาค 1) บูรณาการร่วมกับ ทัพเรือภาคที่ 1 (ทรภ.1) กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) หมวดเรือลาดตระเวนชายแดน (มชด.) รวมถึงการประสานงานด้านการข่าวร่วมกับ กรมข่าวทหารเรือ (ขว.ทร.) จากการปฏิบัติการด้านการข่าวนำไปสู่การจับกุมเรือประมงต่างชาติรุกล้ำเข้าทำการประมงในเขตน่านน้ำไทยจำนวน 1 ลำ
    .
    โดยเมื่อ 24 ก.พ. ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าว กรณีตรวจพบเรือประมงต่างชาติรุกล้ำเข้ามาทำการประมงในเขตน่านน้ำไทย โดยตรวจพบเป็นกลุ่มเรือประมงต่างชาติ จำนวนประมาณ 10 ลำ ประกอบด้วยเรือประมงลากคู่ เรืออวนล้อม และเรือไดปั่นไฟ เข้ามาทำการประมงอยู่ในน่านน้ำไทย บริเวณพิกัด ละติจูด 11 องศา 06 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 102 องศา 26 ลิปดาตะวันออก ลงไปจนถึง ละติจูด 10 องศา 58 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 102 องศา 25 ลิปดาตะวันออก อย่างต่อเนื่อง และมีพฤติการณ์รุกล้ำเข้ามาทำประมงในห้วงเวลากลางคืนในพื้นที่ดังกล่าว และจะออกจากพื้นที่วิ่งลงใต้ไปจอดพักคอยในเวลากลางวัน เพื่อรอทำการประมงในห้วงกลางคืนของทุกวัน
    .
    จากปัจจัยพื้นที่และเวลา ศรชล.ภาค 1 จึงขอรับการสนับสนุนเรือในบัญชีกำลัง ศรชล.ภาค 1 จาก กปช.จต. โดยเป็นเรือใน มชด./1 และอากาศยานจาก มวบ.กปก.ทรภ.1 ในการตรวจสอบในพื้นที่และกลุ่มเรือประมงดังกล่าว ซึ่ง กปช.จต. ให้การสนับสนุน ร.ล.เทพา และ เรือ ต.264 พร้อมด้วย ทรภ.1 จัด บ.ตช.1 สนับสนุน ศรชล.ภาค 1 และผลการปฏิบัติ จับกุมเรือประมงต่างชาติ ได้จำนวน 1 ลำ พร้อม ลูกเรือจำนวน 4 คน ส่วนที่เหลือเร่งเครื่องและหันทิศทางหนีออกนอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศไทยไปได้
    .
    พล.ร.ท.อาภา ตอบคำถามสื่อมวลชนเพิ่มเติมกรณีที่มีเรือประมงเวียดนามทำการชนเรือหลวงเทพา ว่า ระหว่างทำการจับกุมนั้น เรือประมงเวียดนามหลายลำได้เร่งเครื่องยนต์และหลบหนีไปนอกเขตเศรษฐกิจพิเศษ แต่มีเรือประมงเวียดนามอีกลำที่หลบหนีไม่ทัน ได้หันหัวเรือพุ่งเข้าชนเรือหลวงเทพาที่บริเวณด้านข้างเรือด้านขวา ทำให้ยุบไปส่วนหนึ่ง แต่ไม่มากนัก แต่สุดท้ายถูกจับได้พร้อมลูกเรือ 4 คน ส่วนก่อนการจับกุมได้ทำการยิงปืนเอ็ม 16 ขู่ เพื่อให้หยุดการหลบหนี ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ดำเนินการตามหลักสากล
    .
    ทั้งนี้ ทางกองทัพเรือจะดำเนินการอย่างเข้มงวดต่อไป โดยก่อนหน้านี้ เรือประมงเวียดนามได้เข้ามาลักลอบทำประมงในเขตน่านน้ำไทยบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ทัพเรือภาค 2 หรืออ่าวไทยตอนล่าง ซึ่งได้มีการจับกุมบ่อยครั้ง และครั้งนี้ ได้เข้ามายังพื้นที่ทัพเรือภาค 1 ซึ่งเหนือขึ้นมา และครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในปี 2568 ที่มีการจับกุมได้ของพื้นที่ทัพเรือภาค 1 ทั้งนี้ ทางกองทัพเรือจะได้ทำหนังสือแจ้งไปยังรัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศให้ประสานไปยังรัฐบาลเวียดนามในการดูแลในเรื่องนี้ต่อไป
    .
    สุดท้ายศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 ขอขอบคุณพี่น้องชาวประมง ในความร่วมมือที่ได้แจ้งเบาะแสของเรือที่กระทำความผิด และขอให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนและชาวประมงไทยว่า “ในพื้นที่รับผิดชอบของ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 นั้น เราจะปกป้อง และรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างเต็มความสามารถ โดยมิยอมให้เรือประมงต่างชาติรุกล้ำเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรในการทำการประมงเป็นอันขาด ทั้งนี้เพื่อให้ทรัพยากรของประเทศไทย คงอยู่กับลูกหลานของคนไทย”
    ---------
    ที่มา : เดลินิวส์
    ที่มา : https://www.dailynews.co.th/news/4436420/
    เรือประมงเวียดนามหันหัวพุ่งชน "เรือหลวงเทพา" กองทัพเรือพังเสียหาย หลังพยายามเข้าไปจับกุมรุกลํ้าน่านนํ้าไทยเข้ามาทำประมงนับ 10 ลำ ก่อนจับเรือได้ 1 ลำ ผู้ต้องหา 4 คน ที่เหลือหลบหนีไปได้ . เมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่บริเวณท่าเรืออเนกประสงค์ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด เรือหลวงเทพา และเรือต.246 ลากเรือประมงต่างชาติ 1 ลำ พร้อมลูกเรือประมงจำนวน 4 คน มาเทียบท่าเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ หลังถูกจับกุมได้ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศไทย เมื่อเช้าวันนี้ โดยมี พล.ร.ท.อาภา ชพานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1/ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 พร้อมด้วย พล.ร.ต.ไชยนันท์ ชูใหม่ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 และคณะ ร่วมให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนที่มาติดตามสถานการณ์ . พล.ร.ท.อาภา เปิดเผยว่า ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 (ศรชล.ภาค 1) บูรณาการร่วมกับ ทัพเรือภาคที่ 1 (ทรภ.1) กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) หมวดเรือลาดตระเวนชายแดน (มชด.) รวมถึงการประสานงานด้านการข่าวร่วมกับ กรมข่าวทหารเรือ (ขว.ทร.) จากการปฏิบัติการด้านการข่าวนำไปสู่การจับกุมเรือประมงต่างชาติรุกล้ำเข้าทำการประมงในเขตน่านน้ำไทยจำนวน 1 ลำ . โดยเมื่อ 24 ก.พ. ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าว กรณีตรวจพบเรือประมงต่างชาติรุกล้ำเข้ามาทำการประมงในเขตน่านน้ำไทย โดยตรวจพบเป็นกลุ่มเรือประมงต่างชาติ จำนวนประมาณ 10 ลำ ประกอบด้วยเรือประมงลากคู่ เรืออวนล้อม และเรือไดปั่นไฟ เข้ามาทำการประมงอยู่ในน่านน้ำไทย บริเวณพิกัด ละติจูด 11 องศา 06 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 102 องศา 26 ลิปดาตะวันออก ลงไปจนถึง ละติจูด 10 องศา 58 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 102 องศา 25 ลิปดาตะวันออก อย่างต่อเนื่อง และมีพฤติการณ์รุกล้ำเข้ามาทำประมงในห้วงเวลากลางคืนในพื้นที่ดังกล่าว และจะออกจากพื้นที่วิ่งลงใต้ไปจอดพักคอยในเวลากลางวัน เพื่อรอทำการประมงในห้วงกลางคืนของทุกวัน . จากปัจจัยพื้นที่และเวลา ศรชล.ภาค 1 จึงขอรับการสนับสนุนเรือในบัญชีกำลัง ศรชล.ภาค 1 จาก กปช.จต. โดยเป็นเรือใน มชด./1 และอากาศยานจาก มวบ.กปก.ทรภ.1 ในการตรวจสอบในพื้นที่และกลุ่มเรือประมงดังกล่าว ซึ่ง กปช.จต. ให้การสนับสนุน ร.ล.เทพา และ เรือ ต.264 พร้อมด้วย ทรภ.1 จัด บ.ตช.1 สนับสนุน ศรชล.ภาค 1 และผลการปฏิบัติ จับกุมเรือประมงต่างชาติ ได้จำนวน 1 ลำ พร้อม ลูกเรือจำนวน 4 คน ส่วนที่เหลือเร่งเครื่องและหันทิศทางหนีออกนอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศไทยไปได้ . พล.ร.ท.อาภา ตอบคำถามสื่อมวลชนเพิ่มเติมกรณีที่มีเรือประมงเวียดนามทำการชนเรือหลวงเทพา ว่า ระหว่างทำการจับกุมนั้น เรือประมงเวียดนามหลายลำได้เร่งเครื่องยนต์และหลบหนีไปนอกเขตเศรษฐกิจพิเศษ แต่มีเรือประมงเวียดนามอีกลำที่หลบหนีไม่ทัน ได้หันหัวเรือพุ่งเข้าชนเรือหลวงเทพาที่บริเวณด้านข้างเรือด้านขวา ทำให้ยุบไปส่วนหนึ่ง แต่ไม่มากนัก แต่สุดท้ายถูกจับได้พร้อมลูกเรือ 4 คน ส่วนก่อนการจับกุมได้ทำการยิงปืนเอ็ม 16 ขู่ เพื่อให้หยุดการหลบหนี ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ดำเนินการตามหลักสากล . ทั้งนี้ ทางกองทัพเรือจะดำเนินการอย่างเข้มงวดต่อไป โดยก่อนหน้านี้ เรือประมงเวียดนามได้เข้ามาลักลอบทำประมงในเขตน่านน้ำไทยบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ทัพเรือภาค 2 หรืออ่าวไทยตอนล่าง ซึ่งได้มีการจับกุมบ่อยครั้ง และครั้งนี้ ได้เข้ามายังพื้นที่ทัพเรือภาค 1 ซึ่งเหนือขึ้นมา และครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในปี 2568 ที่มีการจับกุมได้ของพื้นที่ทัพเรือภาค 1 ทั้งนี้ ทางกองทัพเรือจะได้ทำหนังสือแจ้งไปยังรัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศให้ประสานไปยังรัฐบาลเวียดนามในการดูแลในเรื่องนี้ต่อไป . สุดท้ายศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 ขอขอบคุณพี่น้องชาวประมง ในความร่วมมือที่ได้แจ้งเบาะแสของเรือที่กระทำความผิด และขอให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนและชาวประมงไทยว่า “ในพื้นที่รับผิดชอบของ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 นั้น เราจะปกป้อง และรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างเต็มความสามารถ โดยมิยอมให้เรือประมงต่างชาติรุกล้ำเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรในการทำการประมงเป็นอันขาด ทั้งนี้เพื่อให้ทรัพยากรของประเทศไทย คงอยู่กับลูกหลานของคนไทย” --------- ที่มา : เดลินิวส์ ที่มา : https://www.dailynews.co.th/news/4436420/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
  • "บิ๊กต๋อง" งัดยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” ล้างอาชญากรอีสานใต้ เช็กรูรั่วแนวชายแดน

    “บิ๊กต๋อง” หรือ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (ผบช.ภ.3) ได้ประกาศใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) เป็นแนวทางหลัก ในการปราบปรามอาชญากรรมใน 8 จังหวัดอีสานใต้ ได้แก่

    - นครราชสีมา
    - ชัยภูมิ
    - บุรีรัมย์
    - สุรินทร์
    - ศรีสะเกษ
    - อุบลราชธานี
    - อำนาจเจริญ
    - ยโสธร

    กลยุทธ์นี้ถูกออกแบบมา เพื่อสกัดและทำลายภัยคุกคามร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มค้ายาเสพติดข้ามชาติ อาชญากรติดอาวุธหนัก หรือกลุ่มที่กระทำผิดรุนแรงต่อสังคม แนวทางนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเด็ดขาดมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังมีการ ไล่เช็กรูรั่วตามแนวชายแดน เพื่อป้องกันการลักลอบกระทำผิดข้ามแดน

    ทำความเข้าใจยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” คืออะไร?
    ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) มีเป้าหมายหลักคือ การยับยั้ง และทำลายภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อประชาชน และความมั่นคง โดยมี 2 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่

    1️⃣ "สตอป" (Stop) คือ หยุดยั้ง
    เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามสกัด และควบคุมเป้าหมาย โดยใช้วิธีการเจรจา วางกำลังปิดล้อม หรือบีบให้เป้าหมาย เข้าสู่สถานการณ์ที่ตำรวจสามารถควบคุมได้ หากเป้าหมายให้ความร่วมมือ อาจไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ขั้นตอน “ดีสทรอย”

    2️⃣ "ดีสทรอย" (Destroy) ทำลาย
    หากเป้าหมายไม่ยอมจำนน หรือมีพฤติกรรมคุกคามรุนแรง เจ้าหน้าที่สามารถใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด
    การใช้อาวุธเป็นทางเลือกสุดท้าย เพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่

    ยุทธวิธีนี้เน้นความรอบคอบและรัดกุม เพื่อให้แน่ใจว่า ทุกปฏิบัติการเป็นไปตามกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชน

    สถานการณ์ที่ตำรวจอีสานใต้ ใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย"
    ✅ ปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด ใช้เมื่อเผชิญกับ เครือข่ายค้ายาเสพติดที่ติดอาวุธ และพร้อมปะทะ ปฏิบัติการมักเกิดขึ้นในพื้นที่ แนวชายแดนไทย-กัมพูชา และไทย-ลาว หรือกรณีที่พบการลักลอบขนยาเสพติด ผ่านช่องทางธรรมชาติ เช่น แนวป่าชายแดน หรือแม่น้ำโขง

    ✅ รับมือกับกลุ่มติดอาวุธ หรือกลุ่มก่อการร้าย เมื่อเผชิญกับผู้ก่ออาชญากรรมที่มีอาวุธหนัก และปฏิเสธการมอบตัว รวมถึงกรณีที่ต้องเข้าจู่โจม แหล่งกบดานของอาชญากรข้ามชาติ

    ✅ ไล่ล่าคนร้ายที่พยายามหลบหนี ใช้เมื่อคนร้ายขับรถแหกด่าน หรือมีแนวโน้มใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีมาตรการในการ ปิดล้อมสกัดจับ เพื่อไม่ให้คนร้ายสร้างอันตรายต่อประชาชน

    ✅ รับมือเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ใช้ในสถานการณ์เหตุกราดยิง หรือเหตุรุนแรงที่กระทบต่อสาธารณชน มุ่งเน้นการระงับเหตุโดยเร็ว เพื่อลดการสูญเสีย

    แนวทางปฏิบัติของยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย"
    📌 ขั้ยตอนแรก วิเคราะห์สถานการณ์ก่อนดำเนินการ
    เจ้าหน้าที่ต้องประเมินระดับภัยคุกคาม ก่อนเลือกใช้กำลัง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่

    📌 ขั้นตอนที่สอง ใช้มาตรการป้องกันก่อนใช้กำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีสั่งให้หยุด หรือเจรจาต่อรอง ก่อนใช้อาวุธ หากคนร้ายให้ความร่วมมือ อาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้กำลังรุนแรง

    📌 ขั้นตอนที่สาม ใช้กำลังเฉพาะเมื่อจำเป็น หากเป้าหมายมีพฤติกรรมรุนแรง เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้อาวุธ ตามหลักยุทธวิธี โดยเน้นการยิงเพื่อหยุดภัยคุกคาม ไม่ใช่การสังหารโดยไม่มีเหตุอันควร

    📌 ขั้นตอนสุดท้าย. ควบคุมสถานการณ์หลังปฏิบัติการ ตรวจสอบพื้นที่ และให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ และรายงานผลการปฏิบัติ เพื่อความโปร่งใส

    ข้อถกเถียงเกี่ยวกับยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย"
    แม้ว่ายุทธวิธีนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของตำรวจ มีประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมร้ายแรง แต่ก็ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณา ได้แก่

    🔹 สิทธิของผู้ต้องหา การใช้กำลังเกินกว่าเหตุ อาจละเมิดสิทธิมนุษยชน
    🔹 ความเสี่ยงต่อประชาชน หากปฏิบัติการเกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะ อาจมีประชาชนได้รับผลกระทบ
    🔹 ความโปร่งใสของการปฏิบัติ ต้องมีมาตรการตรวจสอบให้แน่ใจว่า เจ้าหน้าที่ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย

    ตัวอย่างการใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" ในพื้นที่อีสานใต้
    🔴 ปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดชายแดน
    ตำรวจภูธรภาค 3 ใช้ยุทธวิธีนี้ จับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติ พบการยิงปะทะในบางกรณี ที่คนร้ายพยายามหลบหนี และใช้กำลังตอบโต้

    🔴 กรณีเหตุกราดยิงในโคราช
    เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ยุทธวิธีนี้ ในการยุติเหตุรุนแรง และป้องกันการสูญเสียเพิ่มเติม

    ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" เป็นแนวทางสำคัญ ที่ตำรวจภูธรภาค 3 นำมาใช้เพื่อลดภัยคุกคามร้ายแรง และรักษาความปลอดภัยของประชาชน แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการใช้กำลัง แต่หากดำเนินการอย่างโปร่งใส มีมาตรฐาน และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ยุทธวิธีนี้ก็จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อย ในพื้นที่อีสานใต้

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252337 ก.พ. 2568

    #StopAndDestroy #บิ๊กต๋อง #ยุทธวิธีตำรวจ #ปราบปรามยาเสพติด #อาชญากรรมอีสานใต้ #แนวชายแดน #ตำรวจภูธรภาค3 #CrimeControl #SouthIsaan #BorderSecurity
    "บิ๊กต๋อง" งัดยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” ล้างอาชญากรอีสานใต้ เช็กรูรั่วแนวชายแดน “บิ๊กต๋อง” หรือ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (ผบช.ภ.3) ได้ประกาศใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) เป็นแนวทางหลัก ในการปราบปรามอาชญากรรมใน 8 จังหวัดอีสานใต้ ได้แก่ - นครราชสีมา - ชัยภูมิ - บุรีรัมย์ - สุรินทร์ - ศรีสะเกษ - อุบลราชธานี - อำนาจเจริญ - ยโสธร กลยุทธ์นี้ถูกออกแบบมา เพื่อสกัดและทำลายภัยคุกคามร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มค้ายาเสพติดข้ามชาติ อาชญากรติดอาวุธหนัก หรือกลุ่มที่กระทำผิดรุนแรงต่อสังคม แนวทางนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเด็ดขาดมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังมีการ ไล่เช็กรูรั่วตามแนวชายแดน เพื่อป้องกันการลักลอบกระทำผิดข้ามแดน ทำความเข้าใจยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” คืออะไร? ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) มีเป้าหมายหลักคือ การยับยั้ง และทำลายภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อประชาชน และความมั่นคง โดยมี 2 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ 1️⃣ "สตอป" (Stop) คือ หยุดยั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามสกัด และควบคุมเป้าหมาย โดยใช้วิธีการเจรจา วางกำลังปิดล้อม หรือบีบให้เป้าหมาย เข้าสู่สถานการณ์ที่ตำรวจสามารถควบคุมได้ หากเป้าหมายให้ความร่วมมือ อาจไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ขั้นตอน “ดีสทรอย” 2️⃣ "ดีสทรอย" (Destroy) ทำลาย หากเป้าหมายไม่ยอมจำนน หรือมีพฤติกรรมคุกคามรุนแรง เจ้าหน้าที่สามารถใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด การใช้อาวุธเป็นทางเลือกสุดท้าย เพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่ ยุทธวิธีนี้เน้นความรอบคอบและรัดกุม เพื่อให้แน่ใจว่า ทุกปฏิบัติการเป็นไปตามกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชน สถานการณ์ที่ตำรวจอีสานใต้ ใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" ✅ ปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด ใช้เมื่อเผชิญกับ เครือข่ายค้ายาเสพติดที่ติดอาวุธ และพร้อมปะทะ ปฏิบัติการมักเกิดขึ้นในพื้นที่ แนวชายแดนไทย-กัมพูชา และไทย-ลาว หรือกรณีที่พบการลักลอบขนยาเสพติด ผ่านช่องทางธรรมชาติ เช่น แนวป่าชายแดน หรือแม่น้ำโขง ✅ รับมือกับกลุ่มติดอาวุธ หรือกลุ่มก่อการร้าย เมื่อเผชิญกับผู้ก่ออาชญากรรมที่มีอาวุธหนัก และปฏิเสธการมอบตัว รวมถึงกรณีที่ต้องเข้าจู่โจม แหล่งกบดานของอาชญากรข้ามชาติ ✅ ไล่ล่าคนร้ายที่พยายามหลบหนี ใช้เมื่อคนร้ายขับรถแหกด่าน หรือมีแนวโน้มใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีมาตรการในการ ปิดล้อมสกัดจับ เพื่อไม่ให้คนร้ายสร้างอันตรายต่อประชาชน ✅ รับมือเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ใช้ในสถานการณ์เหตุกราดยิง หรือเหตุรุนแรงที่กระทบต่อสาธารณชน มุ่งเน้นการระงับเหตุโดยเร็ว เพื่อลดการสูญเสีย แนวทางปฏิบัติของยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" 📌 ขั้ยตอนแรก วิเคราะห์สถานการณ์ก่อนดำเนินการ เจ้าหน้าที่ต้องประเมินระดับภัยคุกคาม ก่อนเลือกใช้กำลัง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ 📌 ขั้นตอนที่สอง ใช้มาตรการป้องกันก่อนใช้กำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีสั่งให้หยุด หรือเจรจาต่อรอง ก่อนใช้อาวุธ หากคนร้ายให้ความร่วมมือ อาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้กำลังรุนแรง 📌 ขั้นตอนที่สาม ใช้กำลังเฉพาะเมื่อจำเป็น หากเป้าหมายมีพฤติกรรมรุนแรง เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้อาวุธ ตามหลักยุทธวิธี โดยเน้นการยิงเพื่อหยุดภัยคุกคาม ไม่ใช่การสังหารโดยไม่มีเหตุอันควร 📌 ขั้นตอนสุดท้าย. ควบคุมสถานการณ์หลังปฏิบัติการ ตรวจสอบพื้นที่ และให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ และรายงานผลการปฏิบัติ เพื่อความโปร่งใส ข้อถกเถียงเกี่ยวกับยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" แม้ว่ายุทธวิธีนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของตำรวจ มีประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมร้ายแรง แต่ก็ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณา ได้แก่ 🔹 สิทธิของผู้ต้องหา การใช้กำลังเกินกว่าเหตุ อาจละเมิดสิทธิมนุษยชน 🔹 ความเสี่ยงต่อประชาชน หากปฏิบัติการเกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะ อาจมีประชาชนได้รับผลกระทบ 🔹 ความโปร่งใสของการปฏิบัติ ต้องมีมาตรการตรวจสอบให้แน่ใจว่า เจ้าหน้าที่ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย ตัวอย่างการใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" ในพื้นที่อีสานใต้ 🔴 ปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดชายแดน ตำรวจภูธรภาค 3 ใช้ยุทธวิธีนี้ จับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติ พบการยิงปะทะในบางกรณี ที่คนร้ายพยายามหลบหนี และใช้กำลังตอบโต้ 🔴 กรณีเหตุกราดยิงในโคราช เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ยุทธวิธีนี้ ในการยุติเหตุรุนแรง และป้องกันการสูญเสียเพิ่มเติม ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" เป็นแนวทางสำคัญ ที่ตำรวจภูธรภาค 3 นำมาใช้เพื่อลดภัยคุกคามร้ายแรง และรักษาความปลอดภัยของประชาชน แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการใช้กำลัง แต่หากดำเนินการอย่างโปร่งใส มีมาตรฐาน และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ยุทธวิธีนี้ก็จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อย ในพื้นที่อีสานใต้ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252337 ก.พ. 2568 #StopAndDestroy #บิ๊กต๋อง #ยุทธวิธีตำรวจ #ปราบปรามยาเสพติด #อาชญากรรมอีสานใต้ #แนวชายแดน #ตำรวจภูธรภาค3 #CrimeControl #SouthIsaan #BorderSecurity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 434 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ ปิดฉาก ไมค์ ระยอง เหลือแต่ ไมค์ ระ..ำ ตัวที่เหลืออย่าหวังขอประกันตัวเพื่อหลบหนีคดี 112
    #7ดอกจิก
    ♣ ปิดฉาก ไมค์ ระยอง เหลือแต่ ไมค์ ระ..ำ ตัวที่เหลืออย่าหวังขอประกันตัวเพื่อหลบหนีคดี 112 #7ดอกจิก
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไมโรสลาฟ โอเลชโก (Myroslav Oleshko) บล็อกเกอร์ชาวยูเครนโพสต์วิดีพร้อมคำบรรยายเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ยูเครนที่บังคับจับชายชาวยูเครนเข้าสู่แนวหน้า หรือบางครั้งรีดไถเงินเพื่อไม่ต้องถูกส่งตัวเข้าแนวหน้า:

    ชาวอเมริกันและยุโรป จงดูวิดีโอนี้!
    นี่คือยูเครนของผม ประเทศที่ผู้คนถูกลักพาตัวบนท้องถนน ถูกจับขังไว้ในห้องใต้ดิน แล้วปล่อยให้อดอาหารและน้ำ เพื่อบังคับให้พวกเขาเข้าสู่แนวหน้า

    บางรายจะถูกข่มขู่รีดไถเงินระหว่าง 5,000 ถึง 20,000 ดอลลาร์ เพื่อแลกกับการไปเสี่ยงชีวิตที่แนวหน้า และถ้าหากไม่ยอมจ่ายเงิน แน่นอนว่าจุดหมายปลายทางของพวกเขาคือแนวหน้าของสงคราม

    หลายคนถูกต้องจบชีวิตลงที่แนวหน้าจากการปลิดชีวิตตัวเอง เนื่องจากความยากจน ไม่มีเงินจ่ายในการหลบเลี่ยงสู่แนวหน้า

    สื่อของพวกคุณคงไม่มีใครรายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้หรอก เพราะพวกเขากำลังโกหกคุณ นักการเมืองของพวกคุณก็โกหกเช่นกัน เพื่อช่วยกันปกป้องเผด็จการเซเลนสกี ซึ่งตอนนี้ได้แซงหน้ารัสเซียไปแล้ว

    ขณะนี้ผู้ชายยูเครนจำนวนมากกลัวการออกไปนอกบ้าน ส่วนผู้หญิงที่มีลูกชายในวัย 17 ปี กำลังหาทางหนีออกนอกประเทศอย่างสิ้นหวัง เพราะพรมแดนของเราถูกปิดสำหรับทุกคน ยกเว้นเพื่อนและหุ้นส่วนทางธุรกิจของเซเลนสกี

    ส่วนชาวยูเครนคนไหนที่ยอมเสี่ยงหลบหนีข้ามพรมแดนผ่านภูเขาและทุ่งนาจะถูกสังหารทันที

    ผู้ที่ต้อต้านเซเลนสกี รวมทั้งตัวผมเอง ต้องเผชิญกับคดีอาญาที่ถูกจัดฉากขึ้น บางรายถูกจับกุม และถูกทรมานในเรือนจำเพื่อบังคับให้รับสารภาพจากข้อหาที่พวกเขาไม่ได้ทำ

    และหากผู้ต่อต้านเหล่านั้น หลบหนีออกนอกประเทศไปได้ เซเลนสกีจะจับกุมญาติของพวกเขาและตั้งขอหา เช่น แม่ เพียงแค่แชร์วิดีโอบน Facebook ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล

    เราต้องการการเลือกตั้ง ความจริงที่ว่าผู้นำสหภาพยุโรปประกาศในวันนี้ว่าพวกเขาสนับสนุนการตัดสินใจของเซเลนสกีที่จะไม่จัดการเลือกตั้งนั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก พวกเขากำลังสนับสนุนการสังหาร การจับกุม และการทรมานผู้คนเพิ่มเติม ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนโยนความผิดไปให้ทางรัสเซีย”



    ไมโรสลาฟ โอเลชโก (Myroslav Oleshko) บล็อกเกอร์ชาวยูเครนโพสต์วิดีพร้อมคำบรรยายเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ยูเครนที่บังคับจับชายชาวยูเครนเข้าสู่แนวหน้า หรือบางครั้งรีดไถเงินเพื่อไม่ต้องถูกส่งตัวเข้าแนวหน้า: ชาวอเมริกันและยุโรป จงดูวิดีโอนี้! นี่คือยูเครนของผม ประเทศที่ผู้คนถูกลักพาตัวบนท้องถนน ถูกจับขังไว้ในห้องใต้ดิน แล้วปล่อยให้อดอาหารและน้ำ เพื่อบังคับให้พวกเขาเข้าสู่แนวหน้า บางรายจะถูกข่มขู่รีดไถเงินระหว่าง 5,000 ถึง 20,000 ดอลลาร์ เพื่อแลกกับการไปเสี่ยงชีวิตที่แนวหน้า และถ้าหากไม่ยอมจ่ายเงิน แน่นอนว่าจุดหมายปลายทางของพวกเขาคือแนวหน้าของสงคราม หลายคนถูกต้องจบชีวิตลงที่แนวหน้าจากการปลิดชีวิตตัวเอง เนื่องจากความยากจน ไม่มีเงินจ่ายในการหลบเลี่ยงสู่แนวหน้า สื่อของพวกคุณคงไม่มีใครรายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้หรอก เพราะพวกเขากำลังโกหกคุณ นักการเมืองของพวกคุณก็โกหกเช่นกัน เพื่อช่วยกันปกป้องเผด็จการเซเลนสกี ซึ่งตอนนี้ได้แซงหน้ารัสเซียไปแล้ว ขณะนี้ผู้ชายยูเครนจำนวนมากกลัวการออกไปนอกบ้าน ส่วนผู้หญิงที่มีลูกชายในวัย 17 ปี กำลังหาทางหนีออกนอกประเทศอย่างสิ้นหวัง เพราะพรมแดนของเราถูกปิดสำหรับทุกคน ยกเว้นเพื่อนและหุ้นส่วนทางธุรกิจของเซเลนสกี ส่วนชาวยูเครนคนไหนที่ยอมเสี่ยงหลบหนีข้ามพรมแดนผ่านภูเขาและทุ่งนาจะถูกสังหารทันที ผู้ที่ต้อต้านเซเลนสกี รวมทั้งตัวผมเอง ต้องเผชิญกับคดีอาญาที่ถูกจัดฉากขึ้น บางรายถูกจับกุม และถูกทรมานในเรือนจำเพื่อบังคับให้รับสารภาพจากข้อหาที่พวกเขาไม่ได้ทำ และหากผู้ต่อต้านเหล่านั้น หลบหนีออกนอกประเทศไปได้ เซเลนสกีจะจับกุมญาติของพวกเขาและตั้งขอหา เช่น แม่ เพียงแค่แชร์วิดีโอบน Facebook ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เราต้องการการเลือกตั้ง ความจริงที่ว่าผู้นำสหภาพยุโรปประกาศในวันนี้ว่าพวกเขาสนับสนุนการตัดสินใจของเซเลนสกีที่จะไม่จัดการเลือกตั้งนั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก พวกเขากำลังสนับสนุนการสังหาร การจับกุม และการทรมานผู้คนเพิ่มเติม ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนโยนความผิดไปให้ทางรัสเซีย”
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทักษิณขออภัยกรณีตากใบ อ้างทำงานผิดพลาด

    นับเป็นการลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในรอบประมาณ 20 ปี สำหรับนายทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษานายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2568 นายทักษิณพร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และคณะ เดินทางมายังโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส

    ช่วงหนึ่งนายทักษิณได้กล่าวกับคณะครูและประชาชนที่มาต้อนรับว่า ขออภัยต่อความผิดพลาดในเหตุการณ์ตากใบ แล้วต่อมานายทักษิณให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า "เรื่องตากใบ ตอนผมเป็นนายกฯ ผมมีความตั้งใจห่วงใยพี่น้อง 100% แต่การทำงานมีความผิดพลาดได้บ้าง ถ้าผมมีอะไรผิดพลาด ที่ไม่เป็นที่พอใจ ก็ขออภัยด้วย เพื่อเราจะได้หันกลับมาช่วยกันแก้ปัญหาด้วยกัน พี่น้องมุสลิมมีสิ่งที่สำคัญมาก ถูกสอนมาว่า ความเข้าใจ เกรงใจ รักสันติสุข การให้อภัย เพราะฉะนั้นเมื่อเราขออภัยในสิ่งที่ผมอาจจะทำสิ่งที่ไม่ถูกใจหรือผิดพลาดบ้าง ผมต้องขออภัยด้วย"

    สำหรับเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่สถานีตำรวจภูธรตากใบ จ.นราธิวาส เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2547 ชาวบ้านกว่า 2,000 คน รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวชาวมุสลิม 6 คน ที่ถูกควบคุมตัวโดยกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปล้นปืนและก่อความไม่สงบ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสลายการชุมนุม ผู้ชุมนุมเสียชีวิตทันที 5 คน ที่เหลือนอนทับซ้อนกันในรถบรรทุกทหารไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี ห่างออกไป 150 กิโลเมตร มีผู้ชุมนุมขาดอากาศหายใจ เสียชีวิต 78 คน บาดเจ็บและพิการอีกมาก

    สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการตั้ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นคณะกรรมการเยียวยาฯ และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. จ่ายเงินเยียวยากว่า 641 ล้านบาท ผู้เสียชีวิตจ่ายรายละ 7.5 ล้านบาท ผู้บาดเจ็บ ผู้พิการได้รับลดหลั่นกันไป แต่ต่อมาในปี 2567 มีครอบครัวผู้เสียชีวิต 48 รายพร้อมญาติยื่นฟ้องคดีด้วยเอง ศาลประทับรับฟ้องเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2567 และออกหมายจับผู้ต้องหา 7 คน พบว่าแต่ละคนหลบหนี โดยเฉพาะ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ยื่นใบลาออกจาก สส. กระทั่งคดีขาดอายุความ หลังเที่ยงคืนวันที่ 26 ต.ค. 2567 ที่ผ่านมา

    ก่อนหน้านี้ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ไปสัมภาษณ์ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บกรณีตากใบ ระบุว่า พวกเขาต้องการได้ยินคำขอโทษจากนายทักษิณ และทวงถามความยุติธรรม แม้คดีขาดอายุความไปแล้ว

    #Newskit
    ทักษิณขออภัยกรณีตากใบ อ้างทำงานผิดพลาด นับเป็นการลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในรอบประมาณ 20 ปี สำหรับนายทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษานายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2568 นายทักษิณพร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และคณะ เดินทางมายังโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ช่วงหนึ่งนายทักษิณได้กล่าวกับคณะครูและประชาชนที่มาต้อนรับว่า ขออภัยต่อความผิดพลาดในเหตุการณ์ตากใบ แล้วต่อมานายทักษิณให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า "เรื่องตากใบ ตอนผมเป็นนายกฯ ผมมีความตั้งใจห่วงใยพี่น้อง 100% แต่การทำงานมีความผิดพลาดได้บ้าง ถ้าผมมีอะไรผิดพลาด ที่ไม่เป็นที่พอใจ ก็ขออภัยด้วย เพื่อเราจะได้หันกลับมาช่วยกันแก้ปัญหาด้วยกัน พี่น้องมุสลิมมีสิ่งที่สำคัญมาก ถูกสอนมาว่า ความเข้าใจ เกรงใจ รักสันติสุข การให้อภัย เพราะฉะนั้นเมื่อเราขออภัยในสิ่งที่ผมอาจจะทำสิ่งที่ไม่ถูกใจหรือผิดพลาดบ้าง ผมต้องขออภัยด้วย" สำหรับเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่สถานีตำรวจภูธรตากใบ จ.นราธิวาส เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2547 ชาวบ้านกว่า 2,000 คน รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวชาวมุสลิม 6 คน ที่ถูกควบคุมตัวโดยกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปล้นปืนและก่อความไม่สงบ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสลายการชุมนุม ผู้ชุมนุมเสียชีวิตทันที 5 คน ที่เหลือนอนทับซ้อนกันในรถบรรทุกทหารไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี ห่างออกไป 150 กิโลเมตร มีผู้ชุมนุมขาดอากาศหายใจ เสียชีวิต 78 คน บาดเจ็บและพิการอีกมาก สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการตั้ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นคณะกรรมการเยียวยาฯ และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. จ่ายเงินเยียวยากว่า 641 ล้านบาท ผู้เสียชีวิตจ่ายรายละ 7.5 ล้านบาท ผู้บาดเจ็บ ผู้พิการได้รับลดหลั่นกันไป แต่ต่อมาในปี 2567 มีครอบครัวผู้เสียชีวิต 48 รายพร้อมญาติยื่นฟ้องคดีด้วยเอง ศาลประทับรับฟ้องเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2567 และออกหมายจับผู้ต้องหา 7 คน พบว่าแต่ละคนหลบหนี โดยเฉพาะ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ยื่นใบลาออกจาก สส. กระทั่งคดีขาดอายุความ หลังเที่ยงคืนวันที่ 26 ต.ค. 2567 ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ไปสัมภาษณ์ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บกรณีตากใบ ระบุว่า พวกเขาต้องการได้ยินคำขอโทษจากนายทักษิณ และทวงถามความยุติธรรม แม้คดีขาดอายุความไปแล้ว #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 440 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🪭แม่สื่อสมัยโบราณ 🪭

    สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสู่ขอและ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ และมีการกล่าวถึงการใช้แม่สื่อ แต่เพื่อนเพจคงไม่ได้อรรถรสว่าจริงๆ แล้วการใช้แม่สื่อมีความสำคัญมาก ในบางยุคสมัยอย่างเช่นสมัยถังถึงกับบัญญัติเป็นกฎหมายไว้ว่าการแต่งงานต้องมีแม่สื่อ

    เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า มีหน่วยงานรัฐรับหน้าที่แม่สื่อ?

    ในบันทึกพิธีการโจวหลี่ซึ่งเป็นบันทึกโบราณที่ถูกจัดทำขึ้นในสมัยฮั่นว่าด้วยพิธีการต่างๆ ของสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกมีการระบุไว้ว่า: สำนักงาน ‘เหมยซึ’ (媒氏) มีหน้าที่ดูแลการแต่งงานของประชาชน... ทำทะเบียนบันทึกวันเดือนปีเกิดของทุกคนและจัดให้บุรุษแต่งงานเมื่ออายุสามสิบปีและสตรีเมื่ออายุยี่สิบปี... จัดเทศกาลกลางฤดูใบไม้ผลิหรือที่เรียกว่า ‘จงชุนฮุ่ย’ (仲春会) เพื่อเป็นโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะดูตัว...

    ก่อนจะลงลึกเรื่องหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อเหมยซึนี้ เรามาคุยกันเล็กน้อยเรื่องเกณฑ์อายุสมรสที่กล่าวถึงข้างต้น

    พวกเราจะคุ้นเคยว่ากฎหมายกำหนดเกณฑ์อายุขั้นต่ำไว้ แต่ในสมัยโบราณมีกำหนดเกณฑ์อายุสูงสุดไว้ด้วย ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ผู้คนแต่งงานมีลูกสืบสกุล ในความเชื่อของคนโบราณคือการไม่มีบุตรสืบสกุลถือเป็นความอกตัญญูอย่างใหญ่หลวง แต่จริงๆ แล้วในมุมมองของรัฐมันมีเหตุผลด้านการพัฒนาประเทศ อย่าลืมว่าแรกเริ่มเลยเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนโดยเกษตรกรรม เมื่อประชากรน้อยผลผลิตก็น้อยรัฐก็จน อีกทั้งในสมัยโบราณมีศึกสงครามและอายุขัยของคนไม่ยาวเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นทางการจึงพยายามกระตุ้นให้คนแต่งงานและมีลูกหลานกัน จนถึงขั้นกำหนดเป็นกฎหมายบังคับ เพียงแต่เกณฑ์อายุตามกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย อย่างเช่นในสมัยฮั่นบุรุษต้องแต่งงานภายในอายุสามสิบปีและสตรีภายในอายุสิบห้าปี หาไม่แล้วต้องถูกปรับด้วยการจ่ายภาษีเพิ่มเป็นห้าเท่า (ในสมัยนั้นจ่ายภาษีเป็นรายหัว ไม่เกี่ยวกับรายได้) และในสมัยราชวงศ์เหนือใต้กำหนดว่าหากสตรีไม่แต่งงานภายในอายุสิบห้าปีพ่อแม่ต้องโทษจำคุก

    แต่ในสมัยโบราณก็มีคนที่ไม่ได้แต่งงานภายในอายุที่กฎหมายที่กำหนด บ้างยืดเวลาออกไปเพราะเหตุผลการไว้ทุกข์ให้พ่อแม่ บ้างมีเหตุผลอื่น แต่ Storyฯ ไม่ได้ไปหาข้อมูลต่อว่าแต่ละยุคสมัยเขามีวิธีหลีกเลี่ยงการแต่งงานกันอย่างไร แต่ที่ชัดเจนก็คือว่า ผู้ที่ถึงเกณฑ์อายุสูงสุดแล้วยังไม่ได้แต่งงานจะมีสำนักงานแม่สื่อมาช่วยจัดการหาคู่ให้ โดยมีความพยายามหว่านล้อมให้เจ้าตัวเห็นชอบและมีตัวเลือกให้ ไม่ใช่นึกจะบังคับแต่งกับใครก็บังคับเลย ประมาณว่าเป็นการบังคับแต่งงานแบบประนีประนอม และนี่เป็นหนึ่งในหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อ

    ทีนี้มาเข้าเรื่องหน้าที่แม่สื่อ... สำหรับหน้าที่แม่สื่อนี้ สำนักงานเหมยซึไม่เพียงหาคู่ให้กับผู้ที่ใกล้จะเลยเกณฑ์อายุสูงสุด หากแต่ยังช่วยหาคู่ให้กับผู้ที่ไม่มีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่จัดการเรื่องนี้ รวมถึงจัดงานเทศกาลที่บังคับให้หนุ่มสาวออกมาพบปะและดูตัวกัน นอกจากนี้ ยังเป็นธุระดูแลเรื่องพิธีการต่างๆ ให้ถูกต้องเช่นส่งคนไปช่วยสู่ขอ กำหนดวันแต่งงาน ช่วยจัดงานแต่งงาน และดูแลสินสอดให้เหมาะสม ในบางสมัยถึงกับมีหน้าที่จัดสรรเงินจากงบประมาณแผ่นดินหรือหาคณบดีท้องถิ่นมาเป็นผู้อุปถัมภ์เพื่อให้บุรุษที่ยากจนสามารถมีเงินสินสอดไปแต่งเมียได้ และอย่างในสมัยฉินมีหน้าที่จัดสรรที่ดินทำกินให้คู่บ่าวสาวไปตั้งต้นชีวิตใหม่ได้ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ อันเกิดขึ้นในการหมั้นหมายและแต่งงาน

    และจากตัวอย่างที่ยกมาจากบันทึกโจวหลี่ จะเห็นว่าหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อมีอีกส่วนหนึ่งคืองานด้านทะเบียน โดยมีหน้าที่บันทึกว่าใครเกิดเมื่อไหร่แต่งงานแล้วหรือยัง หย่าร้างหรือไม่ รวมถึงดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน เช่นการลงโทษตามกฏหมาย (เช่น หลบหนีการแต่งงาน)

    ดังนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่แม่สื่อในงานพิธีการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานมงคลสมรสก็คือคนจากสำนักงานเหมยซึนี่เอง หรือที่เรียกว่า ‘แม่สื่อหลวง’ (官媒) แต่ผู้ที่เป็นแม่สื่อหลวงอาจไม่ใช่ขุนนางทุกคน เพราะเขาจะมีการจ้างคนนอกช่วยทำงาน กล่าวคือคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถมีฝีปากเป็นเลิศคล่องแคล่วแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ไม่มีประวัติอาชญากรรม ฯลฯ มาขึ้นทะเบียนเป็นแม่สื่อหลวงที่ต้องออกไปช่วยเจรจาทาบทามสู่ขอ ช่วยทำพิธีการต่างๆ โดยคนเหล่านี้ได้รับค่าจ้างหลวงแต่ไม่ใช่ข้าราชการ และส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือในท้องที่นั้นๆ หรือเป็นผู้ที่ผู้อาวุโสเหล่านี้แนะนำมา

    ในยุคที่รุ่งเรืองมากๆ อย่างสมัยซ่งนั้น กิจการแม่สื่อมืออาชีพก็เฟื่องฟูตาม มีทั้งแม่สื่อฝ่ายชายและแม่สื่อฝ่ายหญิง ในสมัยซ่งถึงขนาดมีแบ่งแยกระดับของแม่สื่อ ในบันทึก ‘ตงจิงเมิ่งหัวลู่’ ที่ให้รายละเอียดวิถีชีวิตและธรรมเนียมปฏิบัติของคนสมัยซ่งเหนือได้กล่าวไว้ว่า แม่สื่อขั้นสูงสุดนั้นมีผ้าโพกศีรษะสวมเสื้อนอกสีม่วง ให้บริการเฉพาะขุนนางและครอบครัวขุนนาง

    และต่อมาพัฒนาขึ้นเป็น ‘แม่สื่อเอกชน’ (私媒) แบบมืออาชีพ กล่าวคือได้ค่าจ้างจากครอบครัวบ่าวสาว แต่ก็ต้องขึ้นทะเบียนกับทางการอยู่ดี

    ทำไมแค่ช่วยสู่ขอช่วยจัดงานแต่งยังต้องทำเป็นทางการขนาดนั้น? นั่นเป็นเพราะว่าแม่สื่อมีหน้าที่และความรับผิดได้ตามกฎหมาย เป็นต้นว่า หากแม่สื่อโฆษณาคุณสมบัติของบุรุษสตรีเกินจริงจนเข้าข่ายบิดเบือนหรือหลอกลวงก็จะมีโทษ; แม่สื่อมีหน้าที่ตรวจสอบและสืบข้อมูลประวัติของทั้งสองครอบครัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นการแต่งงานที่เข้าข่ายต้องห้าม (เช่น ข้ามสถานะระหว่างบุคคลธรรมดากับบุคคลในทะเบียนทาส; เป็นพยานสำคัญว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกคนหรือไม่ ตั้งแต่ข้อมูลวันเดือนปีเกิด เอกสารการหมั้นและการรับตัวเจ้าสาว หรือหากรู้เห็นเป็นใจการหนีสมรสก็มีโทษเช่นกัน; เป็นพยานสำคัญว่าสินสอดและสินเดิมเจ้าสาวถูกต้องครบถ้วนตามรายการบัญชีที่ทำ; และอาจเป็นพยานหรือเป็นผู้ช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างครอบครัวบ่าวสาวได้ ฯลฯ

    แม่สื่อเป็นบุรุษหรือสตรีก็ได้ เพียงแต่ในยุคที่กิจการแม่สื่อเฟื่องฟู คนที่นิยมทำหน้าที่นี้เป็นสตรีเสียส่วนใหญ่ และจวบจนสมัยชิงยังมีการกล่าวถึงแม่สื่อหลวง โดยมีตัวอย่างจากบทประพันธ์โบราณชื่อ ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ (醒世恒言 /วจีปลุกให้โลกตื่น) ซึ่งเป็นผลงานของเฝิงเมิ่งหลง นักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงตอนปลายหมิงต้นชิง ดังนั้น แม่สื่อหลวงและแม่สื่อเอกชนอยู่คู่กับจีนมาหลายพันปีแล้ว

    และแน่นอนว่า แม่สื่อเอกชนแบบที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการก็มี เช่นอาจมีการเชิญผู้ใหญ่คนรู้จักไปช่วยพูดจาทาบทาม เพื่อนเพจเชื้อสายจีนน่าจะนึกภาพออกเพราะบ้านเราเรียกว่า ‘เถ้าแก่’ แต่เถ้าแก่นี้ไม่ใช่แม่สื่อหลักเพราะตามกระบวนการของกฎหมายต้องมีแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วช่วยดำเนินเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแม่สื่อหลวงหรือแม่สื่อเอกชน ดังนั้นในบริบทนี้ บางครอบครัวอาจใช้เถ้าแก่มาเสริม จึงเกิดเป็นสำนวนที่ว่า ‘ซานเหมยลิ่วพิ่น’ ( 三媒六聘/สามแม่สื่อหกพิธีการแต่งงาน) กล่าวคือแม่สื่อหรือเถ้าแก่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และคนกลางซึ่งมักเป็นแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วนั่นเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://meihuamag.com/牵线说媒,这行当已有五千年历史/
    http://sino.newdu.com/m/view.php?aid=91147
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.sss.net.cn/106001/30036.aspx
    http://www.heyuanxw.com/2014/wenhua_1216/15238.html
    http://iolaw.cssn.cn/xspl/200607/t20060726_4598436.shtml
    http://www.xinfajia.net/2592.html
    https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=795664&remap=gb#%娶妇
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_26937009

    #แม่สื่อ #กวนเหมย #ซือเหมย #เหมยซึ #การแต่งงานจีนโบราณ #สาระจีน
    🪭แม่สื่อสมัยโบราณ 🪭 สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสู่ขอและ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ และมีการกล่าวถึงการใช้แม่สื่อ แต่เพื่อนเพจคงไม่ได้อรรถรสว่าจริงๆ แล้วการใช้แม่สื่อมีความสำคัญมาก ในบางยุคสมัยอย่างเช่นสมัยถังถึงกับบัญญัติเป็นกฎหมายไว้ว่าการแต่งงานต้องมีแม่สื่อ เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า มีหน่วยงานรัฐรับหน้าที่แม่สื่อ? ในบันทึกพิธีการโจวหลี่ซึ่งเป็นบันทึกโบราณที่ถูกจัดทำขึ้นในสมัยฮั่นว่าด้วยพิธีการต่างๆ ของสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกมีการระบุไว้ว่า: สำนักงาน ‘เหมยซึ’ (媒氏) มีหน้าที่ดูแลการแต่งงานของประชาชน... ทำทะเบียนบันทึกวันเดือนปีเกิดของทุกคนและจัดให้บุรุษแต่งงานเมื่ออายุสามสิบปีและสตรีเมื่ออายุยี่สิบปี... จัดเทศกาลกลางฤดูใบไม้ผลิหรือที่เรียกว่า ‘จงชุนฮุ่ย’ (仲春会) เพื่อเป็นโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะดูตัว... ก่อนจะลงลึกเรื่องหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อเหมยซึนี้ เรามาคุยกันเล็กน้อยเรื่องเกณฑ์อายุสมรสที่กล่าวถึงข้างต้น พวกเราจะคุ้นเคยว่ากฎหมายกำหนดเกณฑ์อายุขั้นต่ำไว้ แต่ในสมัยโบราณมีกำหนดเกณฑ์อายุสูงสุดไว้ด้วย ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ผู้คนแต่งงานมีลูกสืบสกุล ในความเชื่อของคนโบราณคือการไม่มีบุตรสืบสกุลถือเป็นความอกตัญญูอย่างใหญ่หลวง แต่จริงๆ แล้วในมุมมองของรัฐมันมีเหตุผลด้านการพัฒนาประเทศ อย่าลืมว่าแรกเริ่มเลยเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนโดยเกษตรกรรม เมื่อประชากรน้อยผลผลิตก็น้อยรัฐก็จน อีกทั้งในสมัยโบราณมีศึกสงครามและอายุขัยของคนไม่ยาวเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นทางการจึงพยายามกระตุ้นให้คนแต่งงานและมีลูกหลานกัน จนถึงขั้นกำหนดเป็นกฎหมายบังคับ เพียงแต่เกณฑ์อายุตามกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย อย่างเช่นในสมัยฮั่นบุรุษต้องแต่งงานภายในอายุสามสิบปีและสตรีภายในอายุสิบห้าปี หาไม่แล้วต้องถูกปรับด้วยการจ่ายภาษีเพิ่มเป็นห้าเท่า (ในสมัยนั้นจ่ายภาษีเป็นรายหัว ไม่เกี่ยวกับรายได้) และในสมัยราชวงศ์เหนือใต้กำหนดว่าหากสตรีไม่แต่งงานภายในอายุสิบห้าปีพ่อแม่ต้องโทษจำคุก แต่ในสมัยโบราณก็มีคนที่ไม่ได้แต่งงานภายในอายุที่กฎหมายที่กำหนด บ้างยืดเวลาออกไปเพราะเหตุผลการไว้ทุกข์ให้พ่อแม่ บ้างมีเหตุผลอื่น แต่ Storyฯ ไม่ได้ไปหาข้อมูลต่อว่าแต่ละยุคสมัยเขามีวิธีหลีกเลี่ยงการแต่งงานกันอย่างไร แต่ที่ชัดเจนก็คือว่า ผู้ที่ถึงเกณฑ์อายุสูงสุดแล้วยังไม่ได้แต่งงานจะมีสำนักงานแม่สื่อมาช่วยจัดการหาคู่ให้ โดยมีความพยายามหว่านล้อมให้เจ้าตัวเห็นชอบและมีตัวเลือกให้ ไม่ใช่นึกจะบังคับแต่งกับใครก็บังคับเลย ประมาณว่าเป็นการบังคับแต่งงานแบบประนีประนอม และนี่เป็นหนึ่งในหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อ ทีนี้มาเข้าเรื่องหน้าที่แม่สื่อ... สำหรับหน้าที่แม่สื่อนี้ สำนักงานเหมยซึไม่เพียงหาคู่ให้กับผู้ที่ใกล้จะเลยเกณฑ์อายุสูงสุด หากแต่ยังช่วยหาคู่ให้กับผู้ที่ไม่มีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่จัดการเรื่องนี้ รวมถึงจัดงานเทศกาลที่บังคับให้หนุ่มสาวออกมาพบปะและดูตัวกัน นอกจากนี้ ยังเป็นธุระดูแลเรื่องพิธีการต่างๆ ให้ถูกต้องเช่นส่งคนไปช่วยสู่ขอ กำหนดวันแต่งงาน ช่วยจัดงานแต่งงาน และดูแลสินสอดให้เหมาะสม ในบางสมัยถึงกับมีหน้าที่จัดสรรเงินจากงบประมาณแผ่นดินหรือหาคณบดีท้องถิ่นมาเป็นผู้อุปถัมภ์เพื่อให้บุรุษที่ยากจนสามารถมีเงินสินสอดไปแต่งเมียได้ และอย่างในสมัยฉินมีหน้าที่จัดสรรที่ดินทำกินให้คู่บ่าวสาวไปตั้งต้นชีวิตใหม่ได้ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ อันเกิดขึ้นในการหมั้นหมายและแต่งงาน และจากตัวอย่างที่ยกมาจากบันทึกโจวหลี่ จะเห็นว่าหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อมีอีกส่วนหนึ่งคืองานด้านทะเบียน โดยมีหน้าที่บันทึกว่าใครเกิดเมื่อไหร่แต่งงานแล้วหรือยัง หย่าร้างหรือไม่ รวมถึงดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน เช่นการลงโทษตามกฏหมาย (เช่น หลบหนีการแต่งงาน) ดังนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่แม่สื่อในงานพิธีการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานมงคลสมรสก็คือคนจากสำนักงานเหมยซึนี่เอง หรือที่เรียกว่า ‘แม่สื่อหลวง’ (官媒) แต่ผู้ที่เป็นแม่สื่อหลวงอาจไม่ใช่ขุนนางทุกคน เพราะเขาจะมีการจ้างคนนอกช่วยทำงาน กล่าวคือคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถมีฝีปากเป็นเลิศคล่องแคล่วแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ไม่มีประวัติอาชญากรรม ฯลฯ มาขึ้นทะเบียนเป็นแม่สื่อหลวงที่ต้องออกไปช่วยเจรจาทาบทามสู่ขอ ช่วยทำพิธีการต่างๆ โดยคนเหล่านี้ได้รับค่าจ้างหลวงแต่ไม่ใช่ข้าราชการ และส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือในท้องที่นั้นๆ หรือเป็นผู้ที่ผู้อาวุโสเหล่านี้แนะนำมา ในยุคที่รุ่งเรืองมากๆ อย่างสมัยซ่งนั้น กิจการแม่สื่อมืออาชีพก็เฟื่องฟูตาม มีทั้งแม่สื่อฝ่ายชายและแม่สื่อฝ่ายหญิง ในสมัยซ่งถึงขนาดมีแบ่งแยกระดับของแม่สื่อ ในบันทึก ‘ตงจิงเมิ่งหัวลู่’ ที่ให้รายละเอียดวิถีชีวิตและธรรมเนียมปฏิบัติของคนสมัยซ่งเหนือได้กล่าวไว้ว่า แม่สื่อขั้นสูงสุดนั้นมีผ้าโพกศีรษะสวมเสื้อนอกสีม่วง ให้บริการเฉพาะขุนนางและครอบครัวขุนนาง และต่อมาพัฒนาขึ้นเป็น ‘แม่สื่อเอกชน’ (私媒) แบบมืออาชีพ กล่าวคือได้ค่าจ้างจากครอบครัวบ่าวสาว แต่ก็ต้องขึ้นทะเบียนกับทางการอยู่ดี ทำไมแค่ช่วยสู่ขอช่วยจัดงานแต่งยังต้องทำเป็นทางการขนาดนั้น? นั่นเป็นเพราะว่าแม่สื่อมีหน้าที่และความรับผิดได้ตามกฎหมาย เป็นต้นว่า หากแม่สื่อโฆษณาคุณสมบัติของบุรุษสตรีเกินจริงจนเข้าข่ายบิดเบือนหรือหลอกลวงก็จะมีโทษ; แม่สื่อมีหน้าที่ตรวจสอบและสืบข้อมูลประวัติของทั้งสองครอบครัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นการแต่งงานที่เข้าข่ายต้องห้าม (เช่น ข้ามสถานะระหว่างบุคคลธรรมดากับบุคคลในทะเบียนทาส; เป็นพยานสำคัญว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกคนหรือไม่ ตั้งแต่ข้อมูลวันเดือนปีเกิด เอกสารการหมั้นและการรับตัวเจ้าสาว หรือหากรู้เห็นเป็นใจการหนีสมรสก็มีโทษเช่นกัน; เป็นพยานสำคัญว่าสินสอดและสินเดิมเจ้าสาวถูกต้องครบถ้วนตามรายการบัญชีที่ทำ; และอาจเป็นพยานหรือเป็นผู้ช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างครอบครัวบ่าวสาวได้ ฯลฯ แม่สื่อเป็นบุรุษหรือสตรีก็ได้ เพียงแต่ในยุคที่กิจการแม่สื่อเฟื่องฟู คนที่นิยมทำหน้าที่นี้เป็นสตรีเสียส่วนใหญ่ และจวบจนสมัยชิงยังมีการกล่าวถึงแม่สื่อหลวง โดยมีตัวอย่างจากบทประพันธ์โบราณชื่อ ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ (醒世恒言 /วจีปลุกให้โลกตื่น) ซึ่งเป็นผลงานของเฝิงเมิ่งหลง นักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงตอนปลายหมิงต้นชิง ดังนั้น แม่สื่อหลวงและแม่สื่อเอกชนอยู่คู่กับจีนมาหลายพันปีแล้ว และแน่นอนว่า แม่สื่อเอกชนแบบที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการก็มี เช่นอาจมีการเชิญผู้ใหญ่คนรู้จักไปช่วยพูดจาทาบทาม เพื่อนเพจเชื้อสายจีนน่าจะนึกภาพออกเพราะบ้านเราเรียกว่า ‘เถ้าแก่’ แต่เถ้าแก่นี้ไม่ใช่แม่สื่อหลักเพราะตามกระบวนการของกฎหมายต้องมีแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วช่วยดำเนินเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแม่สื่อหลวงหรือแม่สื่อเอกชน ดังนั้นในบริบทนี้ บางครอบครัวอาจใช้เถ้าแก่มาเสริม จึงเกิดเป็นสำนวนที่ว่า ‘ซานเหมยลิ่วพิ่น’ ( 三媒六聘/สามแม่สื่อหกพิธีการแต่งงาน) กล่าวคือแม่สื่อหรือเถ้าแก่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และคนกลางซึ่งมักเป็นแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วนั่นเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://meihuamag.com/牵线说媒,这行当已有五千年历史/ http://sino.newdu.com/m/view.php?aid=91147 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.sss.net.cn/106001/30036.aspx http://www.heyuanxw.com/2014/wenhua_1216/15238.html http://iolaw.cssn.cn/xspl/200607/t20060726_4598436.shtml http://www.xinfajia.net/2592.html https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=795664&remap=gb#%娶妇 https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_26937009 #แม่สื่อ #กวนเหมย #ซือเหมย #เหมยซึ #การแต่งงานจีนโบราณ #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 716 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ผู้ต้องหาหลบหนีคดี' เดือด! ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาคดี 112 จำคุกอดีตแนวร่วมฯขนสมุดปกแดง
    https://www.thai-tai.tv/news/17195/
    'ผู้ต้องหาหลบหนีคดี' เดือด! ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาคดี 112 จำคุกอดีตแนวร่วมฯขนสมุดปกแดง https://www.thai-tai.tv/news/17195/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไต้หวันยกย่องถ้อยคำที่ "เป็นพวกและเป็นมิตร" เกี่ยวกับเกาะแห่งนี้บนเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่มีการอัปเดตใหม่ ซึ่งถอดข้อความที่ว่าวอชิงตัน "ไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป
    .
    สหรัฐฯ เป็นผู้สนับสนุนรายสำคัญที่สุดของไต้หวันมาช้านาน แม้พวกเขาถอนการรับรองทางการทูตเกาะปกครองตนเองแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 1979 แล้วหันไปสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มีอิทธิพลมากกว่าแทน
    .
    ภาษาอย่างเป็นทางการที่ใช้จำกัดความความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ไต้หวัน เป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างมากและความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ต่อการเปลี่ยนแปลงในเอกสารข้อเท็จจริงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เกี่ยวกับเกาะไต้หวัน เคยโหมกระพือการตอบโต้ด้วยความเดือดดาลมาจากจีน ซึ่งอ้างว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน
    .
    นอกจากปรับแต่งข้อความอื่นๆ แล้ว ในการอัปเดตล่าสุดของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ลบบรรทัดที่มีการเน้นย้ำว่า "เราไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป เอเอฟพีวิเคราะห์ข้อความบนเพจกระทวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้านี้
    .
    อย่างไรก็ตาม บนเพจยังคงเน้นย้ำว่าวอชิงตันยอมรับเพียงปักกิ่ง ในฐานะรัฐบาลจีนภายใต้ "นโยบายจีนเดียวที่ยืดถือมานาน" และคัดค้านการ "เปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบันแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ว่าจากฝ่ายใดก็ตาม"
    .
    กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันบอกว่าถ้อยคำ "ที่เป็นบวกและเป็นมิตร" ในเอกสารข้อเท็จจริงที่อัปเดตเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ สะท้อนถึงความใกล้ชิดและเป็นมิตรในความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ
    .
    หลิน เชีย-ลัง รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน ขอบคุณรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ "สำหรับคำมั่นสัญญาต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน เศรษฐกิจไต้หวัน-อเมริกา ความเป็นหุ้นส่วนทางการค้าและเทคโนโลยี รวมถึงด้านอวกาศนานาชาติของไต้หวัน" กระทรวงการต่างประเทศระบุ
    .
    สถาบันอเมริกาในไต้หวัน (AIT) ซึ่งถือเป็นสถานทูตโดยพฤตินัยของสหรัฐฯ บอกว่าการอัปเดตดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติ "เราเน้นย้ำมาช้านานว่าเราคัดค้านการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงฝ่ายเดียวจากทั้ง 2 ฝ่าย ต่อสถานภาพในปัจจุบัน" โฆษกของ AIT ระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ต่อเอเอฟพี
    .
    "เราไม่ขอแสดงความคิดเห็นกับทุกสมมติฐานต่างๆ ที่จีนนำเสนอ หนึ่งเดียวที่เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน" ถ้อยแถลงระบุ
    .
    ไต้หวันพยายามหาทางอยู่ฝ่ายเดียวกับ ทรัมป์ ผู้ซึ่งสไตล์ทางการทูตก่อความกังวลเกี่ยวกับความตั้งใจของเขาในการปกป้องเกาะแห่งนี้จากจีน
    .
    ทรัมป์ เคยก่อความวิตกกังวลแก่ไต้หวัน ด้วยการบ่งชี้ว่าไทเปควรจ่ายเงินตอบแทนแก่สหรัฐฯ สำหรับเป็นค่าปกป้องและกล่าวหาเกาะแห่งนี้ขโมยอุตสาหกรรมชิปของอเมริกา
    .
    ไล่ ชิงเต๋อ ประธานาธิบดีไต้หวัน ประกาศกร้าวเมื่อวันศุกร์ (14 ก.พ.) ว่าจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ และด้านการป้องกันตนเอง หลัง ทรัมป์ ขู่รีดภาษี 100% ต่อชิปเซเมคอนดักเตอร์ของเกาะแห่งนี้
    .
    ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐฯ ถอดข้อความเกี่ยวกับการไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวันออกไป โดยในเดือนพฤษภาคม 2022 รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ณ ขณะนั้น ได้ถอดข้อความดังกล่าว ซึ่งก่อความเดือดดาลแก่จีน ก่อคืนสถานะมันกลับมาหลังจากนั้น
    .
    ข้อพิพาทระหว่างจีนกับไต้หวัน ต้องย้อนกลับไปใน 1949 ครั้งที่กองกำลังชาตินิยมก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค หลบหนีไปยังไต้หวัน หลังพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองแก่กองกำลังคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตง
    .
    ไต้หวัน ซึ่งมีรัฐบาล กองทัพและค่าเงินเป็นของตนเอง เรียกตัวเองว่าเป็นชาติอธิปไตย แต่ไม่ถึงขั้นประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเส้นตายที่ปักกิ่งขีดไว้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015544
    ..............
    Sondhi X
    ไต้หวันยกย่องถ้อยคำที่ "เป็นพวกและเป็นมิตร" เกี่ยวกับเกาะแห่งนี้บนเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่มีการอัปเดตใหม่ ซึ่งถอดข้อความที่ว่าวอชิงตัน "ไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป . สหรัฐฯ เป็นผู้สนับสนุนรายสำคัญที่สุดของไต้หวันมาช้านาน แม้พวกเขาถอนการรับรองทางการทูตเกาะปกครองตนเองแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 1979 แล้วหันไปสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มีอิทธิพลมากกว่าแทน . ภาษาอย่างเป็นทางการที่ใช้จำกัดความความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ไต้หวัน เป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างมากและความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ต่อการเปลี่ยนแปลงในเอกสารข้อเท็จจริงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เกี่ยวกับเกาะไต้หวัน เคยโหมกระพือการตอบโต้ด้วยความเดือดดาลมาจากจีน ซึ่งอ้างว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน . นอกจากปรับแต่งข้อความอื่นๆ แล้ว ในการอัปเดตล่าสุดของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ลบบรรทัดที่มีการเน้นย้ำว่า "เราไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป เอเอฟพีวิเคราะห์ข้อความบนเพจกระทวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้านี้ . อย่างไรก็ตาม บนเพจยังคงเน้นย้ำว่าวอชิงตันยอมรับเพียงปักกิ่ง ในฐานะรัฐบาลจีนภายใต้ "นโยบายจีนเดียวที่ยืดถือมานาน" และคัดค้านการ "เปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบันแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ว่าจากฝ่ายใดก็ตาม" . กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันบอกว่าถ้อยคำ "ที่เป็นบวกและเป็นมิตร" ในเอกสารข้อเท็จจริงที่อัปเดตเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ สะท้อนถึงความใกล้ชิดและเป็นมิตรในความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ . หลิน เชีย-ลัง รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน ขอบคุณรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ "สำหรับคำมั่นสัญญาต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน เศรษฐกิจไต้หวัน-อเมริกา ความเป็นหุ้นส่วนทางการค้าและเทคโนโลยี รวมถึงด้านอวกาศนานาชาติของไต้หวัน" กระทรวงการต่างประเทศระบุ . สถาบันอเมริกาในไต้หวัน (AIT) ซึ่งถือเป็นสถานทูตโดยพฤตินัยของสหรัฐฯ บอกว่าการอัปเดตดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติ "เราเน้นย้ำมาช้านานว่าเราคัดค้านการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงฝ่ายเดียวจากทั้ง 2 ฝ่าย ต่อสถานภาพในปัจจุบัน" โฆษกของ AIT ระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ต่อเอเอฟพี . "เราไม่ขอแสดงความคิดเห็นกับทุกสมมติฐานต่างๆ ที่จีนนำเสนอ หนึ่งเดียวที่เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน" ถ้อยแถลงระบุ . ไต้หวันพยายามหาทางอยู่ฝ่ายเดียวกับ ทรัมป์ ผู้ซึ่งสไตล์ทางการทูตก่อความกังวลเกี่ยวกับความตั้งใจของเขาในการปกป้องเกาะแห่งนี้จากจีน . ทรัมป์ เคยก่อความวิตกกังวลแก่ไต้หวัน ด้วยการบ่งชี้ว่าไทเปควรจ่ายเงินตอบแทนแก่สหรัฐฯ สำหรับเป็นค่าปกป้องและกล่าวหาเกาะแห่งนี้ขโมยอุตสาหกรรมชิปของอเมริกา . ไล่ ชิงเต๋อ ประธานาธิบดีไต้หวัน ประกาศกร้าวเมื่อวันศุกร์ (14 ก.พ.) ว่าจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ และด้านการป้องกันตนเอง หลัง ทรัมป์ ขู่รีดภาษี 100% ต่อชิปเซเมคอนดักเตอร์ของเกาะแห่งนี้ . ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐฯ ถอดข้อความเกี่ยวกับการไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวันออกไป โดยในเดือนพฤษภาคม 2022 รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ณ ขณะนั้น ได้ถอดข้อความดังกล่าว ซึ่งก่อความเดือดดาลแก่จีน ก่อคืนสถานะมันกลับมาหลังจากนั้น . ข้อพิพาทระหว่างจีนกับไต้หวัน ต้องย้อนกลับไปใน 1949 ครั้งที่กองกำลังชาตินิยมก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค หลบหนีไปยังไต้หวัน หลังพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองแก่กองกำลังคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตง . ไต้หวัน ซึ่งมีรัฐบาล กองทัพและค่าเงินเป็นของตนเอง เรียกตัวเองว่าเป็นชาติอธิปไตย แต่ไม่ถึงขั้นประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเส้นตายที่ปักกิ่งขีดไว้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015544 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1471 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไต้หวันในวันอาทิตย์(16ก.พ.) ยกย่องถ้อยคำที่ "เป็นพวกและเป็นมิตร" เกี่ยวกับเกาะแห่งนี้บนเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯที่มีการอัพเดทใหม่ ซึ่งถอดข้อความที่ว่าวอชิงตัน "ไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป

    สหรัฐฯเป็นผู้สนับสนุนรายสำคัญที่สุดของไต้หวันมาช้านาน แม้พวกเขาถอนการรับรองทางการทูตเกาะปกครองตนเองแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 1979 แล้วหันไปสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มีอิทธิพลมากกว่าแทน

    ภาษาอย่างเป็นทางการที่ใช้จำกัดความความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ไต้หวัน เป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างมากและความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ต่อการเปลี่ยนแปลงในเอกสารข้อเท็จจริงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเกี่ยวกับเกาะไต้หวัน เคยโหมกระพือการตอบโต้ด้วยความเดือดดาลมาจากจีน ซึ่งอ้างว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน

    นอกจากปรับแต่งข้อความอื่นๆแล้ว ในการอัทเดทล่าสุดของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯได้ลบบรรทัดที่มีการเน้นย้ำว่า "เราไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป เอเอฟพีวิเคราะห์ข้อความบนเพจกระทวงการต่างประเทศสหรัฐฯเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้านี้

    อย่างไรก็ตามบนเพจยังคงเน้นย้ำว่าวอชิงตันยอมรับเพียงปักกิ่ง ในฐานะรัฐบาลจีนภายใต้ "นโยบายจีนเดียวที่ยืดถือมานาน" และคัดค้านการ "เปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบันแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ว่าจากฝ่ายใดก็ตาม"

    กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันบอกว่าถ้อยคำ "ที่เป็นบวกและเป็นมิตร" ในเอกสารข้อเท็จจริงที่อัพเดทเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ สะท้อนถึงความใกล้ชิดและเป็นมิตรในความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ

    หลิน เชีย-ลัง รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน ขอบคุณรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ "สำหรับคำมั่้นสัญญาต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน เศรษฐกิจไต้หวัน-อเมริกา ความเป็นหุ้นส่วนทางการค้าและเทคโนโลยี รวมถึงด้านอวกาศนานาชาติของไต้หวัน" กระทรวงการต่างประเทศระบุ

    สถาบันอเมริกาในไต้หวัน(AIT) ซึ่งถือเป็นสถานทูตโดยพฤตินัยของสหรัฐฯ บอกว่าการอัพเดทดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติ "เราเน้นย้ำมาช้านานว่าเราคัดค้านการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงฝ่ายเดียวจากทั้ง 2 ฝ่าย ต่อสถานภาพในปัจจุบัน" โฆษกของ AIT ระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ต่อเอเอฟพี

    "เราไม่ขอแสดงความคิดเห็นกับทุกสมมุติฐานต่างๆที่จีนนำเสนอ หนึ่งเดียวที่เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน" ถ้อยแถลงระบุ

    ไต้หวัน พยายามหาทางอยู่ฝ่ายเดียวกับ ทรัมป์ ผู้ซึ่งสไตล์ทางการทูตก่อความกังวลเกี่ยวกับความตั้งใจของเขาในการปกป้องเกาะแห่งนี้จากจีน

    ทรัมป์ เคยก่อความวิตกกังวลแก่ไต้หวัน ด้วยการบ่งชี้ว่าไทเปควรจ่ายเงินตอบแทนแก่สหรัฐฯ สำหรับเป็นค่าปกป้องและกล่าวหาเกาะแห่งนี้ขโมยอุตสาหกรรมชิปของอเมริกา

    ไล่ ชิงเต๋อ ประธานาธิบดีไต้หวัน ประกาศกร้าวเมื่อวันศุกร์(14ก.พ.) ว่าจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯและด้านการป้องกันตนเอง หลัง ทรัมป์ ขู่รีดภาษี 100% ต่อชิปเซเมคอนดัคเตอร์ของเกาะแห่งนี้

    ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐฯถอดข้อความเกี่ยวกับการไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวันออกไป โดยในเดือนพฤษภาคม 2022 รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ณ ขณะนั้น ได้ถอดข้อความดังกล่าว ซึ่งก่อความเดือดดาลแก่จีน ก่อคืนสถานะมันกลับมาหลังจากนั้น

    ข้อพิพาทระหว่างจีนกับไต้หวัน ต้องย้อนกลับไปใน 1949 ครั้งที่กองกำลังชาตินิยมก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค หลบหนีไปยังไต้หวัน หลังพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองแก่กองกำลังคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตง

    หต้หวัน ซึ่งมีรัฐบาล กองทัพและค่าเงินเป็นของตนเอง เรียกตัวเองว่าเป็นชาติอธิปไตย แต่ไม่ถึงขั้นประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเส้นตายที่ปักกิ่งขีดไว้

    (ที่มา:เอเอฟพี)
    https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.36XB67E
    ไต้หวันในวันอาทิตย์(16ก.พ.) ยกย่องถ้อยคำที่ "เป็นพวกและเป็นมิตร" เกี่ยวกับเกาะแห่งนี้บนเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯที่มีการอัพเดทใหม่ ซึ่งถอดข้อความที่ว่าวอชิงตัน "ไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป สหรัฐฯเป็นผู้สนับสนุนรายสำคัญที่สุดของไต้หวันมาช้านาน แม้พวกเขาถอนการรับรองทางการทูตเกาะปกครองตนเองแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 1979 แล้วหันไปสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มีอิทธิพลมากกว่าแทน ภาษาอย่างเป็นทางการที่ใช้จำกัดความความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ไต้หวัน เป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างมากและความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ต่อการเปลี่ยนแปลงในเอกสารข้อเท็จจริงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเกี่ยวกับเกาะไต้หวัน เคยโหมกระพือการตอบโต้ด้วยความเดือดดาลมาจากจีน ซึ่งอ้างว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน นอกจากปรับแต่งข้อความอื่นๆแล้ว ในการอัทเดทล่าสุดของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯได้ลบบรรทัดที่มีการเน้นย้ำว่า "เราไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป เอเอฟพีวิเคราะห์ข้อความบนเพจกระทวงการต่างประเทศสหรัฐฯเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามบนเพจยังคงเน้นย้ำว่าวอชิงตันยอมรับเพียงปักกิ่ง ในฐานะรัฐบาลจีนภายใต้ "นโยบายจีนเดียวที่ยืดถือมานาน" และคัดค้านการ "เปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบันแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ว่าจากฝ่ายใดก็ตาม" กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันบอกว่าถ้อยคำ "ที่เป็นบวกและเป็นมิตร" ในเอกสารข้อเท็จจริงที่อัพเดทเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ สะท้อนถึงความใกล้ชิดและเป็นมิตรในความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ หลิน เชีย-ลัง รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน ขอบคุณรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ "สำหรับคำมั่้นสัญญาต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน เศรษฐกิจไต้หวัน-อเมริกา ความเป็นหุ้นส่วนทางการค้าและเทคโนโลยี รวมถึงด้านอวกาศนานาชาติของไต้หวัน" กระทรวงการต่างประเทศระบุ สถาบันอเมริกาในไต้หวัน(AIT) ซึ่งถือเป็นสถานทูตโดยพฤตินัยของสหรัฐฯ บอกว่าการอัพเดทดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติ "เราเน้นย้ำมาช้านานว่าเราคัดค้านการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงฝ่ายเดียวจากทั้ง 2 ฝ่าย ต่อสถานภาพในปัจจุบัน" โฆษกของ AIT ระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ต่อเอเอฟพี "เราไม่ขอแสดงความคิดเห็นกับทุกสมมุติฐานต่างๆที่จีนนำเสนอ หนึ่งเดียวที่เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน" ถ้อยแถลงระบุ ไต้หวัน พยายามหาทางอยู่ฝ่ายเดียวกับ ทรัมป์ ผู้ซึ่งสไตล์ทางการทูตก่อความกังวลเกี่ยวกับความตั้งใจของเขาในการปกป้องเกาะแห่งนี้จากจีน ทรัมป์ เคยก่อความวิตกกังวลแก่ไต้หวัน ด้วยการบ่งชี้ว่าไทเปควรจ่ายเงินตอบแทนแก่สหรัฐฯ สำหรับเป็นค่าปกป้องและกล่าวหาเกาะแห่งนี้ขโมยอุตสาหกรรมชิปของอเมริกา ไล่ ชิงเต๋อ ประธานาธิบดีไต้หวัน ประกาศกร้าวเมื่อวันศุกร์(14ก.พ.) ว่าจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯและด้านการป้องกันตนเอง หลัง ทรัมป์ ขู่รีดภาษี 100% ต่อชิปเซเมคอนดัคเตอร์ของเกาะแห่งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐฯถอดข้อความเกี่ยวกับการไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวันออกไป โดยในเดือนพฤษภาคม 2022 รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ณ ขณะนั้น ได้ถอดข้อความดังกล่าว ซึ่งก่อความเดือดดาลแก่จีน ก่อคืนสถานะมันกลับมาหลังจากนั้น ข้อพิพาทระหว่างจีนกับไต้หวัน ต้องย้อนกลับไปใน 1949 ครั้งที่กองกำลังชาตินิยมก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค หลบหนีไปยังไต้หวัน หลังพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองแก่กองกำลังคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตง หต้หวัน ซึ่งมีรัฐบาล กองทัพและค่าเงินเป็นของตนเอง เรียกตัวเองว่าเป็นชาติอธิปไตย แต่ไม่ถึงขั้นประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเส้นตายที่ปักกิ่งขีดไว้ (ที่มา:เอเอฟพี) https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.36XB67E
    FACTCHECK.AFP.COM
    Posts falsely claim Trump administration changed Taiwan webpage
    Various US government websites have been scrubbed of key information since Donald Trump began his second term, but the State Department has not overhauled its Taiwan factsheet webpage as of February 14. Social media posts alleging the page had been altered falsely shared a screenshot from an older version of the site that was changed under former president Joe Biden.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts