• ผ่านกันมานานเป็นเดือนกับบทความชุดเรื่องราวสิบสองภาพวาดกงซวิ่นถู (宫训图) จากละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ยังคุยกันไม่ครบสิบสองภาพ แต่ขอคั่นเปลี่ยนเรื่องคุยกันบ้าง เรื่องที่จะคุยในวันนี้ไม่เกี่ยวกับละครหรือนวนิยาย แต่เป็นเรื่องเล่าจากเพลงที่ Storyฯ ชอบมากเพลงหนึ่ง

    เพลงนี้โด่งดังในประเทศจีนมาตั้งแต่ปี 2018 เป็นเพลงที่มีเอกลักษณ์เพราะมีกลิ่นอายของงิ้วแฝงอยู่ มีชื่อว่า ‘ชึหลิง’ (赤伶) หรือ ‘นักแสดงสีชาด’ ร้องโดย HITA แต่งเนื้อร้องโดย ชิงเยี่ยน (清彦) ดนตรีโดย หลี่เจี้ยนเหิง (李建衡) ต่อมามีหลายคนนำมาขับร้อง ทั้งที่เปลี่ยนเนื้อร้องและทั้งที่ใช้เนื้อร้องเดิม เชื่อว่าคงมีเพื่อนเพจบางท่านเคยได้ยิน แต่ Storyฯ มั่นใจว่าน้อยคนนักจะทราบถึงเรื่องราวที่แฝงไว้ในเพลงนี้

    ‘หลิง’ หมายถึงนักแสดงละครงิ้ว ส่วน ‘ชึ’ แปลตรงตัวว่าสีแดงชาด และอาจย่อมาจากคำว่า ‘ชึซิน’ ที่แปลว่าใจที่จงรักภักดีหรือปณิธานแรงกล้า ชื่อเพลงที่สั้นเพียงสองอักษรแต่มีความหมายสองชั้น เนื้อเพลงก็แฝงความหมายสองสามชั้นเช่นกัน เนื้อเพลงค่อนข้างยาว Storyฯ ขอแปลไว้ในรูปภาพที่สองแทน บางคำแปลอย่างตรงตัวเพื่อให้เพื่อนเพจได้ตีความและเห็นถึงเสน่ห์ของความหมายหลายชั้นของเพลงนี้

    เรื่องราวเบื้องหลังของเนื้อเพลง ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นอิงประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ญี่ปุ่นเข้าบุกและยึดครองหลายพื้นที่ของจีน กล่าวถึงนักแสดงงิ้วนามว่า เผยเยี่ยนจือ ที่โด่งดังในเมืองอันหย่วน เขาถูกทหารญี่ปุ่นเชิญแกมบังคับให้ขึ้นแสดงงิ้ว โดยขู่ว่าหากเขาไม่ยอมแสดง ทหารก็จะเผาโรงละครทิ้ง แต่เผยเยี่ยนจือรับคำอย่างไม่อิดออดและรับจัดแสดงเรื่อง ‘พัดดอกท้อ’ (桃花扇 / เถาฮวาซ่าน) ในคืนที่แสดงนั้น เผยเยี่ยนจืออยู่บนเวทีร้องออกมาว่า “จุดไฟ” กว่าทหารญี่ปุ่นจะรู้ตัวก็ถูกกักอยู่ในโรงละครที่ลุกเป็นไฟ เพราะก่อนหน้านี้คณะละครได้ราดน้ำมันเตรียมวางเพลิงไว้แล้ว ไฟลามไปเรื่อยๆ ทหารญี่ปุ่นพยายามหนีตายแต่หนีไม่พ้น ละครงิ้วก็แสดงไปเรื่อยๆ จวบจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคณะละคร

    มันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยใช้เผยเยี่ยนจือเป็นตัวแทนความรักชาติของประชาชนคนธรรมดา แต่เสน่ห์ของเพลงนี้คือความหมายหลายชั้นของคำที่ใช้ ยังมีอีกสองประเด็นที่จะทำให้เราเข้าใจเพลงนี้ได้ดียิ่งขึ้น

    ประเด็นแรกคือปูมหลังทางวัฒนธรรม มีวลีจีนโบราณกล่าวไว้ว่า ‘นางคณิกาไร้ใจ นักแสดงไร้คุณธรรม’ ซึ่งมีบริบททางสังคมที่ดูถูกนักแสดงว่าเป็นชนชั้นต่ำ ทำทุกอย่างได้เพื่อความอยู่รอด เราจะเห็นในเนื้อเพลงนี้ว่า นักแสดงละครรำพันว่าแม้ตัวเองด้อยค่า แต่มิใช่ไร้ใจภักดีต่อชาติบ้านเมือง

    ประเด็นที่สองคือเรื่องราวของ ‘พัดดอกท้อ’ มันเป็นละครงิ้วในสมัยชิงที่นิยมแสดงกันมาจวบปัจจุบัน เป็นเรื่องราวรักรันทดของหลี่เซียงจวินและโหวฟางอวี้

    หลี่เซียงจวินเป็นคณิกาชื่อดังสมัยปลายราชวงศ์หมิง อันเป็นช่วงเวลาที่ราชสำนักวุ่นวาย ขุนนางทุจริตมากมาย ชาวบ้านเดือดร้อน ทั้งยังถูกรุกรานจากแมนจู นางเป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาแห่งแม่น้ำฉินหวย เช่นเดียวกับหลิ่วหรูซื่อที่ Storyฯ เคยเขียนถึง (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0yKKz9BJs6VheqVhGF7RAW67QKyFaA3PEVX5j9zxCpdd4VCaNpFdXo3pbB2xkAS2wl)

    หลี่เซียงจวินเป็นลูกขุนนางที่ได้รับโทษเพราะไปมีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริต ถูกเชื่อมโยงกลายเป็นต่อต้านราชสำนัก จึงถูกขายไปอยู่หอนางโลมเมื่ออายุเพียงแปดขวบ แต่ยังโชคดีที่แม่เล้ารับเป็นบุตรบุญธรรม จึงโตมาอย่างเพียบพร้อมด้านการศึกษาและความสามารถทางดนตรี เน้นขายศิลปะไม่ขายตัว นางพบรักกับโหวฟางอวี้ซึ่งเป็นราชบัณฑิตมาจากตระกูลขุนนาง แต่เพราะพ่อของเขามีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริตและถูกกวาดล้างเช่นกัน ทางบ้านจึงตกอับยากจน ถึงขนาดต้องยืมเงินเพื่อนมาประมูลซื้อ ‘คืนแรก’ ของหลี่เซียงจวินเมื่อนางอายุครบสิบหกปี (เป็นธรรมเนียมของนางคณิกาสมัยนั้น เมื่ออายุสิบหกหากยังเป็นสาวพรหมจรรย์จะต้องเปิดประมูลซื้อตัว เป็นโอกาสที่จะได้แต่งงานเป็นฝั่งฝาไปกับผู้ชนะการประมูล แม้ว่าส่วนใหญ่เป็นได้เพียงอนุภรรยา) ต่อมาทั้งสองใช้ชีวิตคู่ด้วยกันในหอนางโลมนั้นเอง

    พวกเขามารู้ความจริงทีหลังว่า เงินก้อนที่ยืมเพื่อนมานั้น จริงๆ แล้วเป็นเงินของหร่วนต้าเฉิง ขุนนางใจโหดที่กวาดล้างขบวนการต่อต้านราชสำนัก หร่วนต้าเฉิงประสงค์ใช้เงินก้อนนี้มาดึงโหวฟางอวี้เข้าเป็นพวกเพราะชื่นชมในความรู้ความสามารถของเขา แต่ทั้งคู่ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับหร่วนต้าเฉิง หลี่เซียงจวินจึงขายเครื่องประดับเอาเงินมาใช้หนี้ สร้างความโกรธแค้นให้หร่วนต้าเฉิงไม่น้อย เขาแก้แค้นด้วยการยัดเยียดข้อหาจับกลุ่มเพื่อนของโหวฟางอวี้ขังคุก โหวฟางอวี้ตัดสินใจหนีไปเข้าร่วมกับกองกำลังรักชาติ ก่อนไปเขามอบพัดเป็นของแทนใจให้นาง หร่วนต้าเฉิงจึงเอาความแค้นมาลงที่หลี่เซียงจวินแทน เขาวางแผนบีบให้นางแต่งไปเป็นอนุของขุนนางใกล้ชิดของฮ่องเต้ แต่นางเอาหัวชนเสาจนเลือดสาดไปบนพัดสลบไป เกิดเป็นคดีความใหญ่โตแต่ก็นับว่าหนีรอดจากการแต่งงานครั้งนี้ได้ ต่อมาเพื่อนของโหวฟางอวี้ได้วาดลายดอกท้อทับไปบนรอยเลือดบนพัด เกิดเป็นชื่อ ‘พัดดอกท้อ’ นี้ขึ้นมา

    แต่เรื่องยังไม่จบ สุดท้ายหร่วนต้าเฉิงวางแผนทำให้หลี่เซียงจวินถูกรับเข้าวังเป็นสนม เมื่อพระราชวังถูกตีแตก นางหนีรอดออกมาได้แต่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้คลาดกันกับโหวฟางอวี้ที่ย้อนกลับมาหานาง เรื่องเล่าบั้นปลายชีวิตของนางมีหลายเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นหนึ่งคือต่อมานางป่วยหนักจนตาย ทิ้งไว้เพียงพัดที่เปื้อนเลือดให้โหวฟางอวี้ดูต่างหน้า

    ส่วนโหวฟางอวี้นั้นอยู่กับกองกำลังรักชาติ แต่สุดท้ายชาติล่มสลาย บั้นปลายชีวิตไม่เหลือใคร จึงปลงผมออกบวช วรรคที่ถูกพูดเป็นงิ้วในเพลงนักแสดงสีชาดนี้ สื่อถึงการปล่อยวางความรักหญิงชาย เป็นวรรคที่ยกมาจากบทละครงิ้วเรื่องพัดดอกท้อในตอนที่เขาออกบวชนี้เอง

    เพลงหนึ่งเพลงกับเรื่องราวซ้อนกันสองชั้น บนเวทีแสดงเรื่องราวรักรันทดพลัดพรากให้คนชม นักแสดงอยู่บนเวทีก็มองดูเรื่องราวบ้านเมืองที่เกิดขึ้นข้างล่างเวที ส่วนคนฟังอย่างเราก็ดูทั้งเรื่องราวบนและล่างเวที คงจะกล่าวได้ว่า ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเพลงที่สะท้อนถึงสัจธรรมชีวิต... แท้จริงแล้วโลกเรานี้คือละคร เรามองคนอื่น คนอื่นก็มองเรา

    เข้าใจความหมายและเรื่องราวแล้ว ลองอ่านคำแปลเนื้อเพลงอีกครั้งและเชิญเพื่อนเพจอินกับเพลงกันได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=wIyq_jTZsBY&list=WL&index=245 หรือหาฟังเวอร์ชั่นอื่นได้ด้วยชื่อเพลง 赤伶 ค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.jitapuji.com/5258.html
    https://www.art-mate.net/doc/63311?name=千珊粵劇工作坊《桃花扇》
    https://ppfocus.com/0/en57cfaab.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://kknews.cc/news/8yly6nl.html
    https://www.sohu.com/a/475761718_120934298#google_vignette
    https://baike.baidu.com/item/侯方域/380394
    https://baike.baidu.com/item/桃花扇/5499
    https://shidian.baike.com/wikiid/7245205732429414461?prd=mobile&anchor=lj2jc6p91rp7
    https://so.gushiwen.cn/guwen/bookv_46653FD803893E4F8F70CCD565152E14.aspx

    #ชึหลิง #HITA #หลี่เซียงจวิน #โหวเซียงอวี้ #พัดดอกท้อ #เถาฮวาซ่าน
    ผ่านกันมานานเป็นเดือนกับบทความชุดเรื่องราวสิบสองภาพวาดกงซวิ่นถู (宫训图) จากละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ยังคุยกันไม่ครบสิบสองภาพ แต่ขอคั่นเปลี่ยนเรื่องคุยกันบ้าง เรื่องที่จะคุยในวันนี้ไม่เกี่ยวกับละครหรือนวนิยาย แต่เป็นเรื่องเล่าจากเพลงที่ Storyฯ ชอบมากเพลงหนึ่ง เพลงนี้โด่งดังในประเทศจีนมาตั้งแต่ปี 2018 เป็นเพลงที่มีเอกลักษณ์เพราะมีกลิ่นอายของงิ้วแฝงอยู่ มีชื่อว่า ‘ชึหลิง’ (赤伶) หรือ ‘นักแสดงสีชาด’ ร้องโดย HITA แต่งเนื้อร้องโดย ชิงเยี่ยน (清彦) ดนตรีโดย หลี่เจี้ยนเหิง (李建衡) ต่อมามีหลายคนนำมาขับร้อง ทั้งที่เปลี่ยนเนื้อร้องและทั้งที่ใช้เนื้อร้องเดิม เชื่อว่าคงมีเพื่อนเพจบางท่านเคยได้ยิน แต่ Storyฯ มั่นใจว่าน้อยคนนักจะทราบถึงเรื่องราวที่แฝงไว้ในเพลงนี้ ‘หลิง’ หมายถึงนักแสดงละครงิ้ว ส่วน ‘ชึ’ แปลตรงตัวว่าสีแดงชาด และอาจย่อมาจากคำว่า ‘ชึซิน’ ที่แปลว่าใจที่จงรักภักดีหรือปณิธานแรงกล้า ชื่อเพลงที่สั้นเพียงสองอักษรแต่มีความหมายสองชั้น เนื้อเพลงก็แฝงความหมายสองสามชั้นเช่นกัน เนื้อเพลงค่อนข้างยาว Storyฯ ขอแปลไว้ในรูปภาพที่สองแทน บางคำแปลอย่างตรงตัวเพื่อให้เพื่อนเพจได้ตีความและเห็นถึงเสน่ห์ของความหมายหลายชั้นของเพลงนี้ เรื่องราวเบื้องหลังของเนื้อเพลง ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นอิงประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ญี่ปุ่นเข้าบุกและยึดครองหลายพื้นที่ของจีน กล่าวถึงนักแสดงงิ้วนามว่า เผยเยี่ยนจือ ที่โด่งดังในเมืองอันหย่วน เขาถูกทหารญี่ปุ่นเชิญแกมบังคับให้ขึ้นแสดงงิ้ว โดยขู่ว่าหากเขาไม่ยอมแสดง ทหารก็จะเผาโรงละครทิ้ง แต่เผยเยี่ยนจือรับคำอย่างไม่อิดออดและรับจัดแสดงเรื่อง ‘พัดดอกท้อ’ (桃花扇 / เถาฮวาซ่าน) ในคืนที่แสดงนั้น เผยเยี่ยนจืออยู่บนเวทีร้องออกมาว่า “จุดไฟ” กว่าทหารญี่ปุ่นจะรู้ตัวก็ถูกกักอยู่ในโรงละครที่ลุกเป็นไฟ เพราะก่อนหน้านี้คณะละครได้ราดน้ำมันเตรียมวางเพลิงไว้แล้ว ไฟลามไปเรื่อยๆ ทหารญี่ปุ่นพยายามหนีตายแต่หนีไม่พ้น ละครงิ้วก็แสดงไปเรื่อยๆ จวบจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคณะละคร มันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยใช้เผยเยี่ยนจือเป็นตัวแทนความรักชาติของประชาชนคนธรรมดา แต่เสน่ห์ของเพลงนี้คือความหมายหลายชั้นของคำที่ใช้ ยังมีอีกสองประเด็นที่จะทำให้เราเข้าใจเพลงนี้ได้ดียิ่งขึ้น ประเด็นแรกคือปูมหลังทางวัฒนธรรม มีวลีจีนโบราณกล่าวไว้ว่า ‘นางคณิกาไร้ใจ นักแสดงไร้คุณธรรม’ ซึ่งมีบริบททางสังคมที่ดูถูกนักแสดงว่าเป็นชนชั้นต่ำ ทำทุกอย่างได้เพื่อความอยู่รอด เราจะเห็นในเนื้อเพลงนี้ว่า นักแสดงละครรำพันว่าแม้ตัวเองด้อยค่า แต่มิใช่ไร้ใจภักดีต่อชาติบ้านเมือง ประเด็นที่สองคือเรื่องราวของ ‘พัดดอกท้อ’ มันเป็นละครงิ้วในสมัยชิงที่นิยมแสดงกันมาจวบปัจจุบัน เป็นเรื่องราวรักรันทดของหลี่เซียงจวินและโหวฟางอวี้ หลี่เซียงจวินเป็นคณิกาชื่อดังสมัยปลายราชวงศ์หมิง อันเป็นช่วงเวลาที่ราชสำนักวุ่นวาย ขุนนางทุจริตมากมาย ชาวบ้านเดือดร้อน ทั้งยังถูกรุกรานจากแมนจู นางเป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาแห่งแม่น้ำฉินหวย เช่นเดียวกับหลิ่วหรูซื่อที่ Storyฯ เคยเขียนถึง (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0yKKz9BJs6VheqVhGF7RAW67QKyFaA3PEVX5j9zxCpdd4VCaNpFdXo3pbB2xkAS2wl) หลี่เซียงจวินเป็นลูกขุนนางที่ได้รับโทษเพราะไปมีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริต ถูกเชื่อมโยงกลายเป็นต่อต้านราชสำนัก จึงถูกขายไปอยู่หอนางโลมเมื่ออายุเพียงแปดขวบ แต่ยังโชคดีที่แม่เล้ารับเป็นบุตรบุญธรรม จึงโตมาอย่างเพียบพร้อมด้านการศึกษาและความสามารถทางดนตรี เน้นขายศิลปะไม่ขายตัว นางพบรักกับโหวฟางอวี้ซึ่งเป็นราชบัณฑิตมาจากตระกูลขุนนาง แต่เพราะพ่อของเขามีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริตและถูกกวาดล้างเช่นกัน ทางบ้านจึงตกอับยากจน ถึงขนาดต้องยืมเงินเพื่อนมาประมูลซื้อ ‘คืนแรก’ ของหลี่เซียงจวินเมื่อนางอายุครบสิบหกปี (เป็นธรรมเนียมของนางคณิกาสมัยนั้น เมื่ออายุสิบหกหากยังเป็นสาวพรหมจรรย์จะต้องเปิดประมูลซื้อตัว เป็นโอกาสที่จะได้แต่งงานเป็นฝั่งฝาไปกับผู้ชนะการประมูล แม้ว่าส่วนใหญ่เป็นได้เพียงอนุภรรยา) ต่อมาทั้งสองใช้ชีวิตคู่ด้วยกันในหอนางโลมนั้นเอง พวกเขามารู้ความจริงทีหลังว่า เงินก้อนที่ยืมเพื่อนมานั้น จริงๆ แล้วเป็นเงินของหร่วนต้าเฉิง ขุนนางใจโหดที่กวาดล้างขบวนการต่อต้านราชสำนัก หร่วนต้าเฉิงประสงค์ใช้เงินก้อนนี้มาดึงโหวฟางอวี้เข้าเป็นพวกเพราะชื่นชมในความรู้ความสามารถของเขา แต่ทั้งคู่ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับหร่วนต้าเฉิง หลี่เซียงจวินจึงขายเครื่องประดับเอาเงินมาใช้หนี้ สร้างความโกรธแค้นให้หร่วนต้าเฉิงไม่น้อย เขาแก้แค้นด้วยการยัดเยียดข้อหาจับกลุ่มเพื่อนของโหวฟางอวี้ขังคุก โหวฟางอวี้ตัดสินใจหนีไปเข้าร่วมกับกองกำลังรักชาติ ก่อนไปเขามอบพัดเป็นของแทนใจให้นาง หร่วนต้าเฉิงจึงเอาความแค้นมาลงที่หลี่เซียงจวินแทน เขาวางแผนบีบให้นางแต่งไปเป็นอนุของขุนนางใกล้ชิดของฮ่องเต้ แต่นางเอาหัวชนเสาจนเลือดสาดไปบนพัดสลบไป เกิดเป็นคดีความใหญ่โตแต่ก็นับว่าหนีรอดจากการแต่งงานครั้งนี้ได้ ต่อมาเพื่อนของโหวฟางอวี้ได้วาดลายดอกท้อทับไปบนรอยเลือดบนพัด เกิดเป็นชื่อ ‘พัดดอกท้อ’ นี้ขึ้นมา แต่เรื่องยังไม่จบ สุดท้ายหร่วนต้าเฉิงวางแผนทำให้หลี่เซียงจวินถูกรับเข้าวังเป็นสนม เมื่อพระราชวังถูกตีแตก นางหนีรอดออกมาได้แต่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้คลาดกันกับโหวฟางอวี้ที่ย้อนกลับมาหานาง เรื่องเล่าบั้นปลายชีวิตของนางมีหลายเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นหนึ่งคือต่อมานางป่วยหนักจนตาย ทิ้งไว้เพียงพัดที่เปื้อนเลือดให้โหวฟางอวี้ดูต่างหน้า ส่วนโหวฟางอวี้นั้นอยู่กับกองกำลังรักชาติ แต่สุดท้ายชาติล่มสลาย บั้นปลายชีวิตไม่เหลือใคร จึงปลงผมออกบวช วรรคที่ถูกพูดเป็นงิ้วในเพลงนักแสดงสีชาดนี้ สื่อถึงการปล่อยวางความรักหญิงชาย เป็นวรรคที่ยกมาจากบทละครงิ้วเรื่องพัดดอกท้อในตอนที่เขาออกบวชนี้เอง เพลงหนึ่งเพลงกับเรื่องราวซ้อนกันสองชั้น บนเวทีแสดงเรื่องราวรักรันทดพลัดพรากให้คนชม นักแสดงอยู่บนเวทีก็มองดูเรื่องราวบ้านเมืองที่เกิดขึ้นข้างล่างเวที ส่วนคนฟังอย่างเราก็ดูทั้งเรื่องราวบนและล่างเวที คงจะกล่าวได้ว่า ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเพลงที่สะท้อนถึงสัจธรรมชีวิต... แท้จริงแล้วโลกเรานี้คือละคร เรามองคนอื่น คนอื่นก็มองเรา เข้าใจความหมายและเรื่องราวแล้ว ลองอ่านคำแปลเนื้อเพลงอีกครั้งและเชิญเพื่อนเพจอินกับเพลงกันได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=wIyq_jTZsBY&list=WL&index=245 หรือหาฟังเวอร์ชั่นอื่นได้ด้วยชื่อเพลง 赤伶 ค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.jitapuji.com/5258.html https://www.art-mate.net/doc/63311?name=千珊粵劇工作坊《桃花扇》 https://ppfocus.com/0/en57cfaab.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://kknews.cc/news/8yly6nl.html https://www.sohu.com/a/475761718_120934298#google_vignette https://baike.baidu.com/item/侯方域/380394 https://baike.baidu.com/item/桃花扇/5499 https://shidian.baike.com/wikiid/7245205732429414461?prd=mobile&anchor=lj2jc6p91rp7 https://so.gushiwen.cn/guwen/bookv_46653FD803893E4F8F70CCD565152E14.aspx #ชึหลิง #HITA #หลี่เซียงจวิน #โหวเซียงอวี้ #พัดดอกท้อ #เถาฮวาซ่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนที่.1 #USAID สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากากของ ‘มนุษยธรรม’
    Written by Drago Bosnic

    ยุทธศาสตร์ครอบงำโลกของสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เมื่อพยายามนึกภาพอำนาจของสหรัฐอเมริกาเรามักจะนึกถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินขับไล่ รถถัง นาวิกโยธิน ฯลฯ

    ในความเป็นจริงระบบราชการขนาดใหญ่ของอเมริกาแทบจะทำลายล้างประเทศเป้าหมายเสมอก่อนที่จะมีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการดำเนินการทางทหารโดยตรง
    เพื่อจุดประสงค์สิ่งนั้นหน่วยข่าวกรองจำนวนมากของไอ้กุ้ยโลกจึงมีความจำเป็น
    https://t.me/rtnews/81104

    อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาการปฏิเสธที่สมเหตุสมผล หน่วยงานข่าวกรองเหล่านี้มักจะใช้ตัวแทนต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรพัฒนาเอกชน หรือแม้แต่สถาบันของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือหน่วยงานเพื่อการพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือเรียกสั้นๆ ว่า USAID ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่

    งบประมาณของหน่วยงานที่น่าอับอายนี้อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์อย่างเป็นทางการ แม้ว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มากโดยอาจสูงถึง (หรืออาจเกิน) 1 แสนล้านดอลลาร์
    https://www.usaspending.gov/agency/agency-for-international-development?fy=2024
    สิ่งนี้ทําให้ USAID สามารถดําเนินการได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือพวกเขา
    https://t.me/rtnews/81071

    คิดเป็นมากกว่า 50% ของโครงการ “ความช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกาทั้งหมดและมีการดำเนินการโดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชีย ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก (ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากลัทธิอาณานิคม (แบบใหม่) มากที่สุด)

    เพื่อให้เข้าใจถึงขอบเขตการทำงานของ USAID ได้ดีขึ้น บางทีเราควรเปรียบเทียบกับ NED (National Endowment for Democracy) ซึ่งเป็น “สถาบันประชาธิปไตยอิสระ” อีกแห่งหนึ่งที่ทำหน้าที่จัดหาเงินทุนและสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติสี” NED มีกิจกรรม “ประชาธิปไตย” เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่ Victoria Nuland ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารนอกเหนือจากการให้ทุนแก่สื่ออิสระแล้ว
    https://t.me/Slavyangrad/114746
    USAID ยังมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษในยูเครน
    https://news.antiwar.com/2025/01/28/ukrainian-media-outlets-start-donations-after-us-funding-is-paused/
    โดยเร่งกระบวนการแปรรูปของประเทศที่โชคร้ายที่ถูกนาโต้ยึดครอง
    https://t.me/IntelRepublic/43800
    รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่แท้จริงของหน่วยงานที่น่าอับอายนั้นค่อนข้างหายากจนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ เนื่องจากเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อกระแสหลักและรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามนำเสนอกิจกรรมพวกเขาโดยอ้างว่า "ช่วยเหลือประเทศอื่น" หรือปกปิดพวกเขาจากสายตาสาธารณะ

    อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอำนาจ ผลก็คือในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานของเขาและ DOGE (แผนกประสิทธิภาพของรัฐบาล) ซึ่งดำเนินการโดย Elon Musk ได้เปิดเผยรายละเอียดที่น่ากังวลใจอย่างมากเกี่ยวกับกิจกรรมจริงของ USAID
    https://www.americanthinker.com/blog/2025/02/trump_s_attack_on_the_deep_state_is_spectacular_and_almost_certainly_legal.html
    ซึ่งมักผิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาและกฎหมายของประเทศเจ้าภาพจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

    เมื่อปลายเดือนมกราคม หน่วยงานดังกล่าวถูกบังคับให้หยุดกิจกรรมส่วนใหญ่ในยูเครนที่ถูกนาโต้ยึดครอง
    https://www.reuters.com/world/europe/ukraine-aid-groups-cut-services-scramble-cash-after-us-funding-shock-2025-01-30/
    รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนสื่อเกือบทั้งหมดที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มนีโอนาซี
    https://t.me/Slavyangrad/118280?single

    ไม่นานหลังจากนั้น สื่ออื่นๆ ทั่วทั้งยุโรปตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ก็เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "ค่านิยมแบบตะวันตก" (ซึ่งเป็นการผสมผสานทางอุดมการณ์ระหว่างลัทธิเสรีนิยมสุดโต่งและความเสื่อมทรามทางศีลธรรม) ซึ่งคนส่วนใหญ่บนโลกพบว่าน่ารังเกียจอย่างยิ่ง)

    เว็บไซต์ USAID จะปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ประกาศว่าหน่วยงานนี้จะถูกปิดตัวลงในเร็วๆ นี้
    https://www.zerohedge.com/political/usaid-website-goes-dark-trump-reportedly-plans-shift-agency-under-state-department
    ณ เวลาที่เขียนนี้ เว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้จริง และแสดงข้อความเพียงว่าบุคลากรของเว็บไซต์จะถูกพักงานทั่วโลกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์
    https://www.usaid.gov/
    แม้ว่า "พนักงานที่สำคัญ" จะได้รับแจ้งถึงชะตากรรมของตนในวันก่อนหน้านั้น คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ก็ตาม

    อ่านต่อตอนที่.2
    https://www.facebook.com/share/p/1DN6TtSX6u/
    ตอนที่.1 #USAID สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากากของ ‘มนุษยธรรม’ Written by Drago Bosnic ยุทธศาสตร์ครอบงำโลกของสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เมื่อพยายามนึกภาพอำนาจของสหรัฐอเมริกาเรามักจะนึกถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินขับไล่ รถถัง นาวิกโยธิน ฯลฯ ในความเป็นจริงระบบราชการขนาดใหญ่ของอเมริกาแทบจะทำลายล้างประเทศเป้าหมายเสมอก่อนที่จะมีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการดำเนินการทางทหารโดยตรง เพื่อจุดประสงค์สิ่งนั้นหน่วยข่าวกรองจำนวนมากของไอ้กุ้ยโลกจึงมีความจำเป็น https://t.me/rtnews/81104 อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาการปฏิเสธที่สมเหตุสมผล หน่วยงานข่าวกรองเหล่านี้มักจะใช้ตัวแทนต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรพัฒนาเอกชน หรือแม้แต่สถาบันของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือหน่วยงานเพื่อการพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือเรียกสั้นๆ ว่า USAID ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ งบประมาณของหน่วยงานที่น่าอับอายนี้อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์อย่างเป็นทางการ แม้ว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มากโดยอาจสูงถึง (หรืออาจเกิน) 1 แสนล้านดอลลาร์ https://www.usaspending.gov/agency/agency-for-international-development?fy=2024 สิ่งนี้ทําให้ USAID สามารถดําเนินการได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือพวกเขา https://t.me/rtnews/81071 คิดเป็นมากกว่า 50% ของโครงการ “ความช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกาทั้งหมดและมีการดำเนินการโดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชีย ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก (ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากลัทธิอาณานิคม (แบบใหม่) มากที่สุด) เพื่อให้เข้าใจถึงขอบเขตการทำงานของ USAID ได้ดีขึ้น บางทีเราควรเปรียบเทียบกับ NED (National Endowment for Democracy) ซึ่งเป็น “สถาบันประชาธิปไตยอิสระ” อีกแห่งหนึ่งที่ทำหน้าที่จัดหาเงินทุนและสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติสี” NED มีกิจกรรม “ประชาธิปไตย” เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่ Victoria Nuland ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารนอกเหนือจากการให้ทุนแก่สื่ออิสระแล้ว https://t.me/Slavyangrad/114746 USAID ยังมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษในยูเครน https://news.antiwar.com/2025/01/28/ukrainian-media-outlets-start-donations-after-us-funding-is-paused/ โดยเร่งกระบวนการแปรรูปของประเทศที่โชคร้ายที่ถูกนาโต้ยึดครอง https://t.me/IntelRepublic/43800 รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่แท้จริงของหน่วยงานที่น่าอับอายนั้นค่อนข้างหายากจนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ เนื่องจากเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อกระแสหลักและรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามนำเสนอกิจกรรมพวกเขาโดยอ้างว่า "ช่วยเหลือประเทศอื่น" หรือปกปิดพวกเขาจากสายตาสาธารณะ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอำนาจ ผลก็คือในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานของเขาและ DOGE (แผนกประสิทธิภาพของรัฐบาล) ซึ่งดำเนินการโดย Elon Musk ได้เปิดเผยรายละเอียดที่น่ากังวลใจอย่างมากเกี่ยวกับกิจกรรมจริงของ USAID https://www.americanthinker.com/blog/2025/02/trump_s_attack_on_the_deep_state_is_spectacular_and_almost_certainly_legal.html ซึ่งมักผิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาและกฎหมายของประเทศเจ้าภาพจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เมื่อปลายเดือนมกราคม หน่วยงานดังกล่าวถูกบังคับให้หยุดกิจกรรมส่วนใหญ่ในยูเครนที่ถูกนาโต้ยึดครอง https://www.reuters.com/world/europe/ukraine-aid-groups-cut-services-scramble-cash-after-us-funding-shock-2025-01-30/ รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนสื่อเกือบทั้งหมดที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มนีโอนาซี https://t.me/Slavyangrad/118280?single ไม่นานหลังจากนั้น สื่ออื่นๆ ทั่วทั้งยุโรปตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ก็เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "ค่านิยมแบบตะวันตก" (ซึ่งเป็นการผสมผสานทางอุดมการณ์ระหว่างลัทธิเสรีนิยมสุดโต่งและความเสื่อมทรามทางศีลธรรม) ซึ่งคนส่วนใหญ่บนโลกพบว่าน่ารังเกียจอย่างยิ่ง) เว็บไซต์ USAID จะปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ประกาศว่าหน่วยงานนี้จะถูกปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ https://www.zerohedge.com/political/usaid-website-goes-dark-trump-reportedly-plans-shift-agency-under-state-department ณ เวลาที่เขียนนี้ เว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้จริง และแสดงข้อความเพียงว่าบุคลากรของเว็บไซต์จะถูกพักงานทั่วโลกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ https://www.usaid.gov/ แม้ว่า "พนักงานที่สำคัญ" จะได้รับแจ้งถึงชะตากรรมของตนในวันก่อนหน้านั้น คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ก็ตาม อ่านต่อตอนที่.2 https://www.facebook.com/share/p/1DN6TtSX6u/
    T.ME
    RT News
    USAID operates as plausible deniability agency to the 'rogue activities of CIA, State Dept, Pentagon - Benz The agency pushes legacy foreign policy that 'hated Trump with a passion', spending billions annually controlling media narrative that 'populism is attack on democracy'. #US #USAID
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 285 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผ่านมาหกสัปดาห์แล้ว วันนี้คุยกันถึงภาพที่ 7 จาก 12 ภาพกงซวิ่นถู (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก โดยเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวของพระภรรยาในประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ซึ่งคุณงามความดี

    ภาพที่จะคุยกันในวันนี้คือ ภาพ ‘สวี่โฮ่วเฟิ่งอ้านถู’ หรือ ‘สวี่ฮองเฮาถวายพระกระยาหาร’ <许后奉案图> เป็นภาพที่องค์เฉียนหลงพระราชทานไปที่พระตำหนักจงชุ่ยกง ซึ่งในเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> เป็นที่ประทับของฉุนเฟย ภาพนี้เป็นฝีมือของช่างวาดหลวงร่วมกันจัดทำถึงหกคนนำโดยจินคุน (หมายเหตุ จินคุนเข้ารับราชการเป็นช่างวาดหลวงมาตั้งแต่สมัยองค์คังซี คือคนที่วาดภาพ ‘เฝิงเยวี่ยนขวางหมี’ ถวายองค์คังซีที่ Storyฯ กล่าวถึงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นช่างวาดหลวงถึงสามรัชสมัย)

    สวี่ฮองเฮาที่กล่าวถึงในภาพนี้ก็คือ สวี่ผิงจวิน ฮองเฮาในองค์ฮั่นเซวียนตี้แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ครองราชย์ปี 74-48 ก่อนคริสตกาล เป็นพระราชบิดาของฮั่นหยวนตี้ที่กล่าวถึงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว) เรื่องราวของพระนางและองค์ฮั่นเซวียนตี้และเกมการเมืองในสมัยนั้นถูกจารึกไว้ค่อนข้างละเอียดใน ‘ฮั่นซู’ (汉书) ซึ่งเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่นตะวันตกที่เรียบเรียงและเขียนโดยปันกู้และปันเจาสองพี่น้องในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก

    ความรักของสวี่ผิงจวินและองค์ฮั่นเซวียนตี้ (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) เรียกได้ว่ามีจุดกำเนิดที่ ‘เยี่ยถิง’ ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งในวังหลัง มีหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ของเหล่าสนมและนางกำนัล

    ฮั่นเซวียนตี้นั้นตอนเด็กมีนามเดิมว่าหลิวปิ้งอี่เพราะเป็นคนขี้โรค (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นหลิวสวิน) เขาเป็นหลานปู่ทวดของฮั่นอู่ตี้ก็จริง แต่เนื่องจากปู่ของเขาซึ่งเป็นองค์ชายรัชทายาทถูกกล่าวหาว่าใช้ไสยศาสตร์กับตุ๊กตาไม้สาปให้องค์ฮั่นอู่ตี้ล้มป่วยลง สุดท้ายทั้งตระกูลไม่ฆ่าตัวตายก็โดนประหารจนแทบไม่เหลือใคร หลิวปิ้งอี่เวลานั้นมีอายุไม่ถึงขวบถูกจับเข้าคุกพร้อมกับพ่อ โตขึ้นในคุก แต่ยังโชคดีมีคนคอยดูแล จวบจนอายุเจ็ดขวบจึงถูกได้รับการบันทึกชื่อเข้าในพระราชพงศาวลีเป็นลูกหลานในราชสกุลและถูกย้ายไปเลี้ยงในเยี่ยถิงภายใต้การดูแลของผู้กำกับเยี่ยถิงนามว่าจางเฮ่อ

    ส่วนพ่อของสวี่ผิงจวินนั้นเป็นขุนนาง แต่ด้วยมีความบกพร่องในหน้าที่ตอนสืบเรื่องกบฏโดยซ่างกวนเจี๋ยในสมัยฮั่นจาวตี้ (ประมาณปี 80 ก่อนคริสตกาล) จึงถูกลงโทษลดตำแหน่งและโยกไปรับหน้าที่ในเยี่ยถิง ครั้นสวี่ผิงจวินมีอายุได้สิบสี่ปีคู่หมั้นของนางเสียชีวิต จางเฮ่อได้โอกาสจึงไปสู่ขอนางให้กับหลิวปิ้งอี่ สวี่ผิงจวินและหลิวปิ้งอี่มีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคนคือหลิวซึ (ซึ่งต่อมาก็คือฮั่นหยวนตี้) ชีวิตความเป็นอยู่มัธยัสถ์ แต่ก็มีความสุขไม่น้อย

    ต่อมาฮั่นจาวตี้สิ้นชีพอย่างกะทันหันโดยไร้การแต่งตั้งองค์ชายรัชทายาท ตอนนั้นตระกูลชุยเรืองอำนาจ มีชุยกวงเป็นต้าซือหม่า (ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในสมัยนั้น) ชุยกวงผลักดันให้หลิวปิ้งอี่ซึ่งมีอายุสิบแปดปีได้เข้าเฝ้าซ่างกวนไทเฮาและได้รับการอวยยศเป็นหยางอู่โหว จุดมุ่งหมายคือให้เพื่อให้ซ่างกวนไทเฮาได้เห็นถึงนิสัยใจคอและการศึกษา จนซ่างกวนไทเฮายอมรับแล้วชุยกวงจึงนำคณะขุนนางเสนอชื่อหลิวปิ่งอี้ขึ้นครองราชย์เป็นองค์ฮั่นเซวียนตี้ แต่ก็เป็นฮ่องเต้ที่ไร้อำนาจ เป็นเพียงหุ่นเชิดให้กับชุยกวง

    ในตอนนั้น สวี่ผิงจวินได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสนมลำดับเจี๋ยอวี๋ และภรรยาของชุยกวงอยากให้ลูกสาวซึ่งก็คือชุยเฉิงจวินได้เป็นฮองเฮา ฮั่นเซวียนตี้ในตอนนั้นไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร จึงออกพระราชโองการมาฉบับหนึ่ง ใจความว่า เขาคิดถึงกระบี่ที่เคยพกติดกายยามยากจนตกอับ แม้ว่าไม่ใช่กระบี่ที่เลอเลิศมากมาย แต่เป็นกระบี่คู่ใจที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ฝากให้เหล่าขุนนางช่วยเสาะหากระบี่เล่มนั้นกลับมาให้ด้วย เหล่าขุนนางพอจะตีความนัยออกว่าฮั่นเซวียนตี้ไม่ต้องการทอดทิ้งคนที่เป็นคู่ทุกข์คู่ยาก จึงเข้าชื่อกันเสนอให้แต่งตั้งสวี่ผิงจวินเป็นฮองเฮา เรื่องนี้ถูกเล่าขานกันต่อมากลายเป็นสุภาษิตที่เรียกว่า ‘กู้เจี้ยนฉิงเซิน’ (故剑情深) แปลตรงตัวว่า ‘กระบี่เก่ารักล้ำลึก’ หมายถึงภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา

    สามปีให้หลัง สวี่ฮองเฮาป่วยลงหลังเพิ่งคลอดบุตรสาว ฮูหยินชุยใช้หมอหลวงหญิงฉุนอวี๋เหยี่ยนลอบวางยาพิษสวี่ฮองเฮาจนสิ้นชีพด้วยอายุเพียงสิบเก้าปี ฮั่นเซวียนตี้แม้จะพอเดาเรื่องราวได้แต่ก็จนใจไร้อำนาจ หนึ่งปีให้หลังก็ยอมแต่งชุยเฉิงจวินเป็นฮองเฮา หลิวซึซึ่งเป็นลูกของเขาและสวี่ฮองเฮาได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์ชายรัชทายาทและเกือบถูกวางยาพิษโดยแม่ลูกสกุลชุยคู่นี้อีกเช่นกัน ฮั่นเซวียนตี้อดทนมาอีกสามปีจนชุยกวงตายลง ฮั่นเซวียนตี้จึงได้โอกาสปลดฮองเฮาและยึดอำนาจคืน จากนั้นรวบรวมหลักฐานตั้งข้อหากบฏและสั่งประหารตระกูลชุย เหลือเพียงชุยเฉิงจวินที่ถูกจองจำในตำหนักเย็น

    เรื่องราวข้างต้นถูกบันทึกไว้ในบันทึกฮั่นซู และถูกนำมาสร้างเป็นละครหลายครั้ง โดยถูกตีความว่าฮั่นเซวียนตี้รักสวี่ผิงจวินไม่รู้ลืมและแก้แค้นให้นางในภายหลัง ส่วนเรื่องราวเหตุการณ์ภาพวาด ‘สวี่ฮองเฮาถวายพระกระยาหาร’ นี้ เป็นเหตุการณ์ที่สวี่ผิงจวินนำอาหารมาถวายและปรนนิบัติซ่างกวนไทเฮาในวันตรุษจีนด้วยตนเอง เป็นตัวอย่างของความอ่อนน้อมและการเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ส่วนป้ายที่องค์เฉียนหลงพระราชทานไปคู่กับภาพนี้เขียนไว้ว่า ‘ซูซุ่นเวินเหอ’ (淑顺温和) แปลได้ประมาณว่า อ่อนน้อมและอ่อนโยน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.sgss8.net/tpdq/6126379/
    https://www.sohu.com/a/137977813_674592
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/故剑情深/3526996
    https://baike.baidu.com/item/许平君/10603114
    https://baike.baidu.com/item/刘询/1129265
    http://www.renwujieshao.com/lishi/hanchao/xupingjun.html

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #สวี่ผิงจวิน #ฮั่นเซวียนตี้ #สวี่ฮองเฮาถวายพระกระยาหาร #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    ผ่านมาหกสัปดาห์แล้ว วันนี้คุยกันถึงภาพที่ 7 จาก 12 ภาพกงซวิ่นถู (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก โดยเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวของพระภรรยาในประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ซึ่งคุณงามความดี ภาพที่จะคุยกันในวันนี้คือ ภาพ ‘สวี่โฮ่วเฟิ่งอ้านถู’ หรือ ‘สวี่ฮองเฮาถวายพระกระยาหาร’ <许后奉案图> เป็นภาพที่องค์เฉียนหลงพระราชทานไปที่พระตำหนักจงชุ่ยกง ซึ่งในเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> เป็นที่ประทับของฉุนเฟย ภาพนี้เป็นฝีมือของช่างวาดหลวงร่วมกันจัดทำถึงหกคนนำโดยจินคุน (หมายเหตุ จินคุนเข้ารับราชการเป็นช่างวาดหลวงมาตั้งแต่สมัยองค์คังซี คือคนที่วาดภาพ ‘เฝิงเยวี่ยนขวางหมี’ ถวายองค์คังซีที่ Storyฯ กล่าวถึงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นช่างวาดหลวงถึงสามรัชสมัย) สวี่ฮองเฮาที่กล่าวถึงในภาพนี้ก็คือ สวี่ผิงจวิน ฮองเฮาในองค์ฮั่นเซวียนตี้แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ครองราชย์ปี 74-48 ก่อนคริสตกาล เป็นพระราชบิดาของฮั่นหยวนตี้ที่กล่าวถึงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว) เรื่องราวของพระนางและองค์ฮั่นเซวียนตี้และเกมการเมืองในสมัยนั้นถูกจารึกไว้ค่อนข้างละเอียดใน ‘ฮั่นซู’ (汉书) ซึ่งเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่นตะวันตกที่เรียบเรียงและเขียนโดยปันกู้และปันเจาสองพี่น้องในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ความรักของสวี่ผิงจวินและองค์ฮั่นเซวียนตี้ (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) เรียกได้ว่ามีจุดกำเนิดที่ ‘เยี่ยถิง’ ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งในวังหลัง มีหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ของเหล่าสนมและนางกำนัล ฮั่นเซวียนตี้นั้นตอนเด็กมีนามเดิมว่าหลิวปิ้งอี่เพราะเป็นคนขี้โรค (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นหลิวสวิน) เขาเป็นหลานปู่ทวดของฮั่นอู่ตี้ก็จริง แต่เนื่องจากปู่ของเขาซึ่งเป็นองค์ชายรัชทายาทถูกกล่าวหาว่าใช้ไสยศาสตร์กับตุ๊กตาไม้สาปให้องค์ฮั่นอู่ตี้ล้มป่วยลง สุดท้ายทั้งตระกูลไม่ฆ่าตัวตายก็โดนประหารจนแทบไม่เหลือใคร หลิวปิ้งอี่เวลานั้นมีอายุไม่ถึงขวบถูกจับเข้าคุกพร้อมกับพ่อ โตขึ้นในคุก แต่ยังโชคดีมีคนคอยดูแล จวบจนอายุเจ็ดขวบจึงถูกได้รับการบันทึกชื่อเข้าในพระราชพงศาวลีเป็นลูกหลานในราชสกุลและถูกย้ายไปเลี้ยงในเยี่ยถิงภายใต้การดูแลของผู้กำกับเยี่ยถิงนามว่าจางเฮ่อ ส่วนพ่อของสวี่ผิงจวินนั้นเป็นขุนนาง แต่ด้วยมีความบกพร่องในหน้าที่ตอนสืบเรื่องกบฏโดยซ่างกวนเจี๋ยในสมัยฮั่นจาวตี้ (ประมาณปี 80 ก่อนคริสตกาล) จึงถูกลงโทษลดตำแหน่งและโยกไปรับหน้าที่ในเยี่ยถิง ครั้นสวี่ผิงจวินมีอายุได้สิบสี่ปีคู่หมั้นของนางเสียชีวิต จางเฮ่อได้โอกาสจึงไปสู่ขอนางให้กับหลิวปิ้งอี่ สวี่ผิงจวินและหลิวปิ้งอี่มีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคนคือหลิวซึ (ซึ่งต่อมาก็คือฮั่นหยวนตี้) ชีวิตความเป็นอยู่มัธยัสถ์ แต่ก็มีความสุขไม่น้อย ต่อมาฮั่นจาวตี้สิ้นชีพอย่างกะทันหันโดยไร้การแต่งตั้งองค์ชายรัชทายาท ตอนนั้นตระกูลชุยเรืองอำนาจ มีชุยกวงเป็นต้าซือหม่า (ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในสมัยนั้น) ชุยกวงผลักดันให้หลิวปิ้งอี่ซึ่งมีอายุสิบแปดปีได้เข้าเฝ้าซ่างกวนไทเฮาและได้รับการอวยยศเป็นหยางอู่โหว จุดมุ่งหมายคือให้เพื่อให้ซ่างกวนไทเฮาได้เห็นถึงนิสัยใจคอและการศึกษา จนซ่างกวนไทเฮายอมรับแล้วชุยกวงจึงนำคณะขุนนางเสนอชื่อหลิวปิ่งอี้ขึ้นครองราชย์เป็นองค์ฮั่นเซวียนตี้ แต่ก็เป็นฮ่องเต้ที่ไร้อำนาจ เป็นเพียงหุ่นเชิดให้กับชุยกวง ในตอนนั้น สวี่ผิงจวินได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสนมลำดับเจี๋ยอวี๋ และภรรยาของชุยกวงอยากให้ลูกสาวซึ่งก็คือชุยเฉิงจวินได้เป็นฮองเฮา ฮั่นเซวียนตี้ในตอนนั้นไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร จึงออกพระราชโองการมาฉบับหนึ่ง ใจความว่า เขาคิดถึงกระบี่ที่เคยพกติดกายยามยากจนตกอับ แม้ว่าไม่ใช่กระบี่ที่เลอเลิศมากมาย แต่เป็นกระบี่คู่ใจที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ฝากให้เหล่าขุนนางช่วยเสาะหากระบี่เล่มนั้นกลับมาให้ด้วย เหล่าขุนนางพอจะตีความนัยออกว่าฮั่นเซวียนตี้ไม่ต้องการทอดทิ้งคนที่เป็นคู่ทุกข์คู่ยาก จึงเข้าชื่อกันเสนอให้แต่งตั้งสวี่ผิงจวินเป็นฮองเฮา เรื่องนี้ถูกเล่าขานกันต่อมากลายเป็นสุภาษิตที่เรียกว่า ‘กู้เจี้ยนฉิงเซิน’ (故剑情深) แปลตรงตัวว่า ‘กระบี่เก่ารักล้ำลึก’ หมายถึงภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา สามปีให้หลัง สวี่ฮองเฮาป่วยลงหลังเพิ่งคลอดบุตรสาว ฮูหยินชุยใช้หมอหลวงหญิงฉุนอวี๋เหยี่ยนลอบวางยาพิษสวี่ฮองเฮาจนสิ้นชีพด้วยอายุเพียงสิบเก้าปี ฮั่นเซวียนตี้แม้จะพอเดาเรื่องราวได้แต่ก็จนใจไร้อำนาจ หนึ่งปีให้หลังก็ยอมแต่งชุยเฉิงจวินเป็นฮองเฮา หลิวซึซึ่งเป็นลูกของเขาและสวี่ฮองเฮาได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์ชายรัชทายาทและเกือบถูกวางยาพิษโดยแม่ลูกสกุลชุยคู่นี้อีกเช่นกัน ฮั่นเซวียนตี้อดทนมาอีกสามปีจนชุยกวงตายลง ฮั่นเซวียนตี้จึงได้โอกาสปลดฮองเฮาและยึดอำนาจคืน จากนั้นรวบรวมหลักฐานตั้งข้อหากบฏและสั่งประหารตระกูลชุย เหลือเพียงชุยเฉิงจวินที่ถูกจองจำในตำหนักเย็น เรื่องราวข้างต้นถูกบันทึกไว้ในบันทึกฮั่นซู และถูกนำมาสร้างเป็นละครหลายครั้ง โดยถูกตีความว่าฮั่นเซวียนตี้รักสวี่ผิงจวินไม่รู้ลืมและแก้แค้นให้นางในภายหลัง ส่วนเรื่องราวเหตุการณ์ภาพวาด ‘สวี่ฮองเฮาถวายพระกระยาหาร’ นี้ เป็นเหตุการณ์ที่สวี่ผิงจวินนำอาหารมาถวายและปรนนิบัติซ่างกวนไทเฮาในวันตรุษจีนด้วยตนเอง เป็นตัวอย่างของความอ่อนน้อมและการเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ส่วนป้ายที่องค์เฉียนหลงพระราชทานไปคู่กับภาพนี้เขียนไว้ว่า ‘ซูซุ่นเวินเหอ’ (淑顺温和) แปลได้ประมาณว่า อ่อนน้อมและอ่อนโยน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.sgss8.net/tpdq/6126379/ https://www.sohu.com/a/137977813_674592 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/故剑情深/3526996 https://baike.baidu.com/item/许平君/10603114 https://baike.baidu.com/item/刘询/1129265 http://www.renwujieshao.com/lishi/hanchao/xupingjun.html #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #สวี่ผิงจวิน #ฮั่นเซวียนตี้ #สวี่ฮองเฮาถวายพระกระยาหาร #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีตนั่งไลฟ์แดรกมาม่าหากิน ยากจนข้นแค้น ได้รับความเมตตาจากคนไทยสู่วันปีกล้าขาแข็ง จ้างคนไทยเฮี้ยๆ จัดหาทนายฟ๊องคนไทย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    อดีตนั่งไลฟ์แดรกมาม่าหากิน ยากจนข้นแค้น ได้รับความเมตตาจากคนไทยสู่วันปีกล้าขาแข็ง จ้างคนไทยเฮี้ยๆ จัดหาทนายฟ๊องคนไทย #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • พรุ่งนี้เริ่มหยุดยาว เลยมาอัพบทความเร็วหน่อย วันนี้คุยกันต่อเรื่องสิบสองภาพวาด ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก แน่นอนว่าความยากในการหาข้อมูลยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องเพราะสิบสองภาพวาดนี้สูญหายไปเกือบหมดแล้ว และอย่างที่ Storyฯ ได้กล่าวไปในบทความก่อนหน้านี้ ตำหนักที่ประทับของแต่ละท่านในละครก็ใช่ว่าจะตรงกันกับในประวัติศาสตร์

    ภาพที่จะเล่าถึงกันในวันนี้เป็นอีกหนึ่งภาพที่หาข้อมูลยาก คือภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ (徐妃直谏图) ซึ่งในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ภาพนี้ถูกพระราชทานให้เสียนเฟยที่ตำหนักเฉิงเฉียนกง แต่อย่างที่เพื่อนเพจอาจพอทราบมาบ้าง เสียนเฟย (ซึ่งต่อมาคือฮองเฮาสกุลอูลาน่าลา) ถูกลบเลือนออกไปจากบันทึกต่างๆ มีบางข้อมูลบอกว่าพระนางประทับที่ตำหนักอี้คุนกง และภาพที่ได้รับพระราชทานมาที่ตำหนักอี้คุนกงคือภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ (昭容评诗图)

    อย่างไรก็ดี เท่าที่ Storyฯ พอจะหาข้อมูลได้ ภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้เคยแขวนอยู่ที่เฉิงเฉียนกง วันนี้เราคุยกันเรื่องภาพนี้

    ภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้ Storyฯ หาไม่พบว่าจริงแล้วหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะภาพที่ใช้ประกอบในละครนั้น จริงๆ แล้วเป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นภาพวาดชีวิตสตรีในตระกูลขุนนางของเจียวปิ่งเจินในสมัยต้นราชวงศ์ชิง (รูปประกอบ1) ส่วนภาพที่เกี่ยวกับสวีเฟยที่ Storyฯ แปะมาให้ดูนั้น มีชื่อว่า ‘สวีเฟยถวายฎีกา’ (徐惠上疏 รูปประกอบ2) เป็นผลงานของหวางเจิ้งเผิงสมัยราชวงศ์หยวนจากคอลเลคชั่นเกี่ยวกับพระภรรยาที่มีชื่อเสียงด้านคุณงามความดีในประวัติศาสตร์จีน

    ‘สวีเฟย’ คือใคร? นางคือหนึ่งในพระสนมของฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินหรือถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง (ขออภัยไม่ใช่ราชาศัพท์) นามเดิมว่า ‘สวีฮุ่ย’ (ค.ศ. 627-650) เป็นบุตรีของอดีตขุนนางระดับสูงของราชวงศ์ใต้ พื้นเพเดิมจากหูโจว มลฑลเจ้อเจียง นางเชี่ยวชาญด้านงานอักษรและบทกวี ว่ากันว่านางสามารถเริ่มเขียนบทความยาวๆ และท่องจำหนังสือปรัชญาของขงจื๊อที่ผู้ใหญ่ใช้เรียนได้ตั้งแต่เมื่ออายุเพียงสี่ขวบ ตอนนางอายุแปดขวบได้แต่งบทกลอนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานชั้นเลิศ โด่งดังไปถึงหูขององค์ถังไท่จงในวังหลวง จนทำให้ถูกรับเข้าวังเป็นสนมเมื่อมีอายุเพียงสิบเอ็ดปี (ตอนนั้นฮ่องเต้อายุสี่สิบปี) ด้วยตำแหน่งไฉเหริน ความสามารถด้านต่างๆ ของนางเป็นที่โปรดปรานขององค์ถังไท่จงมาก จึงได้รับการปรับตำแหน่งขึ้นเรื่อยมาจนเป็นถึงชงหรง

    เหตุการณ์ที่กล่าวถึงในภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงปลายรัชสมัยขององค์ถังไท่จง จากที่เคยเป็นฮ่องเต้ที่ใส่ใจทุกข์สุขของประชาชนและผลักดันการฟื้นฟูเศรษฐกิจ พอถึงช่วงปลายรัชสมัยนั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ดูจะใส่ใจทุกข์สุขของประชาชนน้อยลง ประหยัดน้อยลง หาความสำราญส่วนตนมากขึ้น หมดเงินไม่น้อยกับการสร้างพระราชวังใหม่ๆ ไม่หยุดหย่อนเพื่อเป็นที่ระลึกถึงรัชสมัยอันเกรียงไกรของตัวเอง และก่อสงครามใหญ่สองครั้ง ประชาชนเริ่มลำบากยากจน สร้างความกังวลให้กับเหล่าขุนนาง

    สวีเฟยเองแม้อยู่ในวังหลังแต่ใส่ใจเรื่องราวบ้านเมืองและทุกข์สุขของประชาชน ทั้งกังวลทั้งอดรนทนไม่ไหว จึงร่างบทความวิจารณ์ทางการเมืองขึ้นยื่นถวายเป็นฎีกา เนื้อความสรุปโดยคร่าวคือ
    – ขอให้ถังไท่จงอย่าได้ทำตามตัวอย่างกษัตริย์ในอดีตที่ใช้เวลาและทรัพย์สินไปกับการป่าวประกาศคุณงามความดีของตน เพราะเมื่อมีผลงานไม่ต้องโอ้อวด ประชาชนก็สำนึกได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องสร้างพระราชวังหรือวิหารอลังการ ความดีที่ทำก็จะคงอยู่ได้ยาวนานเป็นหมื่นปี
    – สงครามที่ไม่หยุดสิ้น เป็นการสิ้นเปลืองเสบียงอาหารและสร้างความลำบากให้ประชาชน ต้องอดมื้อกินมื้อ ขอองค์ถังไท่จงอย่าได้มัวแต่โหยหาอำนาจจากการขยายอาณาเขตเพิ่มจนสูญเสียไพร่พลคนม้าของตนเองไปโดยไม่รู้ตัว และหลงลืมความเมตตากรุณาอันเป็นคุณสมบัติสำคัญ พร้อมกับยกตัวอย่างจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ทำให้บ้านเมืองต้องล่มจมเพราะความกระหายอำนาจของกษัตริย์
    – การก่อสร้างไม่หยุดหย่อนในสิ่งที่ไม่จำเป็น เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุ ไม่ว่าจะเป็นไม้หรือแรงงาน ต้องเกณฑ์คนมาขนหินขนไม้ สร้างความทุกข์ยากให้ประชาชน แรงของคนควรสงวนไว้เพื่อสิ่งที่จำเป็น ให้เขาได้พักบ้าง เมื่อถึงคราวต้องใช้จึงเป็นคนที่บ้านเมืองพึ่งพาได้
    – ของฟุ่มเฟือยเงินทองมุกหยก ล้วนทำให้เมามายได้ดั่งสุรา แม้ล้วนเป็นสิ่งที่ได้รับมาเป็นเครื่องบรรณาการ แต่การนำมาใช้อย่างมากมายกลับกลายเป็นการสร้างความแตกต่างและระยะห่างระหว่างฮ่องเต้กับประชาชน ดังนั้น แทนที่จะหลงระเริงกับของเหล่านี้ มิสู้ทุ่มแรงใจให้กับการเสริมสร้างความรู้และการศึกษาให้กับคน
    ฯลฯ

    บทความของสวีเฟยนี้ยาวมากจน Storyฯ สรุปให้ไม่ได้หมด ฎีกาฉบับนี้มีชื่อเรียกว่า ‘เจี้ยนไท่จงซี่ปิงป้าอี้ซู’ (谏太宗息兵罢役疏 แปลได้ประมาณว่า ฏีกาตำหนิให้ไท่จงหยุดทหารหยุดทัพ) ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นบทวิจารณ์ทางการเมืองโดยสตรีที่หายาก และแม้ว่าเป็นการตำหนิอย่างตรงไปตรงมา แต่สามารถสื่อออกมาได้อย่างมีเหตุผลและแสดงความเคารพนบนอบ บ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญในการใช้ภาษาของนาง และยังเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์สมัยถัง เหตุเพราะองค์ถังไท่จงได้รับฟังอย่างจริงจังและเห็นด้วย ไม่เพียงไม่โกรธแต่ยังยกย่องชื่นชมและให้รางวัลนางอีกด้วย

    ว่ากันว่า ในช่วงบั้นปลายชีวิตขององค์ถังไท่จงนั้น นางคือคนที่เขาโปรดปรานที่สุด ต่อมาเมื่อองค์ถังไท่จงเสียชีวิต นางก็ตรอมใจจนตายตามไปด้วย ขณะนั้นอายุนางเพียงยี่สิบสี่ปี ภายหลังได้รับการอวยยศย้อนหลังจากฮ่องเต้หลี่จื้อ (ถังเกาจง) ให้เป็นเสียนเฟย ผลงานที่สืบทอดมาเป็นวรรณกรรมให้ชนรุ่นหลังศึกษามีมากมายหลายชิ้น นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่ถูกยกย่องด้านความฉลาดและความเชี่ยวชาญด้านงานอักษรของประวัติศาสตร์จีน

    ภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้ถูกตีความว่าเป็นภาพที่สะท้อนถึงความจงรักภักดีและความตรงไปตรงมา ส่วนป้ายที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงพระราชทานไปพร้อมกับภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้ เขียนว่า ‘เต๋อเฉิงโหรวซุ่น’ (德成柔顺) แปลได้ประมาณว่า เปี่ยมด้วยศีลธรรมและความนอบน้อม

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://inmywordz.com/archives/66897
    https://www.duitang.com/blog/?id=1246591620
    https://baike.sogou.com/v74971288.htm

    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html
    https://baike.sogou.com/v74971288.htm
    https://baike.baidu.com/item/徐惠/11444
    https://baike.baidu.com/item/谏太宗息兵罢役疏

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เสียนเฟย #สวีเฟยวิพากษ์ #สวีเฟย #สวีเฟยถวายฎีกา #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    พรุ่งนี้เริ่มหยุดยาว เลยมาอัพบทความเร็วหน่อย วันนี้คุยกันต่อเรื่องสิบสองภาพวาด ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก แน่นอนว่าความยากในการหาข้อมูลยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องเพราะสิบสองภาพวาดนี้สูญหายไปเกือบหมดแล้ว และอย่างที่ Storyฯ ได้กล่าวไปในบทความก่อนหน้านี้ ตำหนักที่ประทับของแต่ละท่านในละครก็ใช่ว่าจะตรงกันกับในประวัติศาสตร์ ภาพที่จะเล่าถึงกันในวันนี้เป็นอีกหนึ่งภาพที่หาข้อมูลยาก คือภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ (徐妃直谏图) ซึ่งในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ภาพนี้ถูกพระราชทานให้เสียนเฟยที่ตำหนักเฉิงเฉียนกง แต่อย่างที่เพื่อนเพจอาจพอทราบมาบ้าง เสียนเฟย (ซึ่งต่อมาคือฮองเฮาสกุลอูลาน่าลา) ถูกลบเลือนออกไปจากบันทึกต่างๆ มีบางข้อมูลบอกว่าพระนางประทับที่ตำหนักอี้คุนกง และภาพที่ได้รับพระราชทานมาที่ตำหนักอี้คุนกงคือภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ (昭容评诗图) อย่างไรก็ดี เท่าที่ Storyฯ พอจะหาข้อมูลได้ ภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้เคยแขวนอยู่ที่เฉิงเฉียนกง วันนี้เราคุยกันเรื่องภาพนี้ ภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้ Storyฯ หาไม่พบว่าจริงแล้วหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะภาพที่ใช้ประกอบในละครนั้น จริงๆ แล้วเป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นภาพวาดชีวิตสตรีในตระกูลขุนนางของเจียวปิ่งเจินในสมัยต้นราชวงศ์ชิง (รูปประกอบ1) ส่วนภาพที่เกี่ยวกับสวีเฟยที่ Storyฯ แปะมาให้ดูนั้น มีชื่อว่า ‘สวีเฟยถวายฎีกา’ (徐惠上疏 รูปประกอบ2) เป็นผลงานของหวางเจิ้งเผิงสมัยราชวงศ์หยวนจากคอลเลคชั่นเกี่ยวกับพระภรรยาที่มีชื่อเสียงด้านคุณงามความดีในประวัติศาสตร์จีน ‘สวีเฟย’ คือใคร? นางคือหนึ่งในพระสนมของฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินหรือถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง (ขออภัยไม่ใช่ราชาศัพท์) นามเดิมว่า ‘สวีฮุ่ย’ (ค.ศ. 627-650) เป็นบุตรีของอดีตขุนนางระดับสูงของราชวงศ์ใต้ พื้นเพเดิมจากหูโจว มลฑลเจ้อเจียง นางเชี่ยวชาญด้านงานอักษรและบทกวี ว่ากันว่านางสามารถเริ่มเขียนบทความยาวๆ และท่องจำหนังสือปรัชญาของขงจื๊อที่ผู้ใหญ่ใช้เรียนได้ตั้งแต่เมื่ออายุเพียงสี่ขวบ ตอนนางอายุแปดขวบได้แต่งบทกลอนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานชั้นเลิศ โด่งดังไปถึงหูขององค์ถังไท่จงในวังหลวง จนทำให้ถูกรับเข้าวังเป็นสนมเมื่อมีอายุเพียงสิบเอ็ดปี (ตอนนั้นฮ่องเต้อายุสี่สิบปี) ด้วยตำแหน่งไฉเหริน ความสามารถด้านต่างๆ ของนางเป็นที่โปรดปรานขององค์ถังไท่จงมาก จึงได้รับการปรับตำแหน่งขึ้นเรื่อยมาจนเป็นถึงชงหรง เหตุการณ์ที่กล่าวถึงในภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงปลายรัชสมัยขององค์ถังไท่จง จากที่เคยเป็นฮ่องเต้ที่ใส่ใจทุกข์สุขของประชาชนและผลักดันการฟื้นฟูเศรษฐกิจ พอถึงช่วงปลายรัชสมัยนั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ดูจะใส่ใจทุกข์สุขของประชาชนน้อยลง ประหยัดน้อยลง หาความสำราญส่วนตนมากขึ้น หมดเงินไม่น้อยกับการสร้างพระราชวังใหม่ๆ ไม่หยุดหย่อนเพื่อเป็นที่ระลึกถึงรัชสมัยอันเกรียงไกรของตัวเอง และก่อสงครามใหญ่สองครั้ง ประชาชนเริ่มลำบากยากจน สร้างความกังวลให้กับเหล่าขุนนาง สวีเฟยเองแม้อยู่ในวังหลังแต่ใส่ใจเรื่องราวบ้านเมืองและทุกข์สุขของประชาชน ทั้งกังวลทั้งอดรนทนไม่ไหว จึงร่างบทความวิจารณ์ทางการเมืองขึ้นยื่นถวายเป็นฎีกา เนื้อความสรุปโดยคร่าวคือ – ขอให้ถังไท่จงอย่าได้ทำตามตัวอย่างกษัตริย์ในอดีตที่ใช้เวลาและทรัพย์สินไปกับการป่าวประกาศคุณงามความดีของตน เพราะเมื่อมีผลงานไม่ต้องโอ้อวด ประชาชนก็สำนึกได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องสร้างพระราชวังหรือวิหารอลังการ ความดีที่ทำก็จะคงอยู่ได้ยาวนานเป็นหมื่นปี – สงครามที่ไม่หยุดสิ้น เป็นการสิ้นเปลืองเสบียงอาหารและสร้างความลำบากให้ประชาชน ต้องอดมื้อกินมื้อ ขอองค์ถังไท่จงอย่าได้มัวแต่โหยหาอำนาจจากการขยายอาณาเขตเพิ่มจนสูญเสียไพร่พลคนม้าของตนเองไปโดยไม่รู้ตัว และหลงลืมความเมตตากรุณาอันเป็นคุณสมบัติสำคัญ พร้อมกับยกตัวอย่างจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ทำให้บ้านเมืองต้องล่มจมเพราะความกระหายอำนาจของกษัตริย์ – การก่อสร้างไม่หยุดหย่อนในสิ่งที่ไม่จำเป็น เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุ ไม่ว่าจะเป็นไม้หรือแรงงาน ต้องเกณฑ์คนมาขนหินขนไม้ สร้างความทุกข์ยากให้ประชาชน แรงของคนควรสงวนไว้เพื่อสิ่งที่จำเป็น ให้เขาได้พักบ้าง เมื่อถึงคราวต้องใช้จึงเป็นคนที่บ้านเมืองพึ่งพาได้ – ของฟุ่มเฟือยเงินทองมุกหยก ล้วนทำให้เมามายได้ดั่งสุรา แม้ล้วนเป็นสิ่งที่ได้รับมาเป็นเครื่องบรรณาการ แต่การนำมาใช้อย่างมากมายกลับกลายเป็นการสร้างความแตกต่างและระยะห่างระหว่างฮ่องเต้กับประชาชน ดังนั้น แทนที่จะหลงระเริงกับของเหล่านี้ มิสู้ทุ่มแรงใจให้กับการเสริมสร้างความรู้และการศึกษาให้กับคน ฯลฯ บทความของสวีเฟยนี้ยาวมากจน Storyฯ สรุปให้ไม่ได้หมด ฎีกาฉบับนี้มีชื่อเรียกว่า ‘เจี้ยนไท่จงซี่ปิงป้าอี้ซู’ (谏太宗息兵罢役疏 แปลได้ประมาณว่า ฏีกาตำหนิให้ไท่จงหยุดทหารหยุดทัพ) ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นบทวิจารณ์ทางการเมืองโดยสตรีที่หายาก และแม้ว่าเป็นการตำหนิอย่างตรงไปตรงมา แต่สามารถสื่อออกมาได้อย่างมีเหตุผลและแสดงความเคารพนบนอบ บ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญในการใช้ภาษาของนาง และยังเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์สมัยถัง เหตุเพราะองค์ถังไท่จงได้รับฟังอย่างจริงจังและเห็นด้วย ไม่เพียงไม่โกรธแต่ยังยกย่องชื่นชมและให้รางวัลนางอีกด้วย ว่ากันว่า ในช่วงบั้นปลายชีวิตขององค์ถังไท่จงนั้น นางคือคนที่เขาโปรดปรานที่สุด ต่อมาเมื่อองค์ถังไท่จงเสียชีวิต นางก็ตรอมใจจนตายตามไปด้วย ขณะนั้นอายุนางเพียงยี่สิบสี่ปี ภายหลังได้รับการอวยยศย้อนหลังจากฮ่องเต้หลี่จื้อ (ถังเกาจง) ให้เป็นเสียนเฟย ผลงานที่สืบทอดมาเป็นวรรณกรรมให้ชนรุ่นหลังศึกษามีมากมายหลายชิ้น นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่ถูกยกย่องด้านความฉลาดและความเชี่ยวชาญด้านงานอักษรของประวัติศาสตร์จีน ภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้ถูกตีความว่าเป็นภาพที่สะท้อนถึงความจงรักภักดีและความตรงไปตรงมา ส่วนป้ายที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงพระราชทานไปพร้อมกับภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้ เขียนว่า ‘เต๋อเฉิงโหรวซุ่น’ (德成柔顺) แปลได้ประมาณว่า เปี่ยมด้วยศีลธรรมและความนอบน้อม (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://inmywordz.com/archives/66897 https://www.duitang.com/blog/?id=1246591620 https://baike.sogou.com/v74971288.htm Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html https://baike.sogou.com/v74971288.htm https://baike.baidu.com/item/徐惠/11444 https://baike.baidu.com/item/谏太宗息兵罢役疏 #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เสียนเฟย #สวีเฟยวิพากษ์ #สวีเฟย #สวีเฟยถวายฎีกา #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    INMYWORDZ.COM
    《延禧攻略》最受寵的是令妃,生得最多的是純妃!乾隆為何卻選擇最心狠毒辣嫻妃為繼后?-我們用電影寫日記 - 冒牌生:寫作 • 旅行 • 生活
    而且還是在富察皇后離開後就馬上決定了😱 #延禧攻略 #繼皇后為什麼是她 #皇上考慮的真多 *正文開始 來源:美映椒房 整理:冒牌生 乾隆十三年三月,乾隆皇帝元配富察皇后忍著喪子悲痛,強顏歡笑帶病伺候皇帝和太后東巡,最終病逝於東巡途中。
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไมโรสลาฟ โอเลชโก (Myroslav Oleshko) บล็อกเกอร์ชาวยูเครนโพสต์วิดีพร้อมคำบรรยายเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ยูเครนที่บังคับจับชายชาวยูเครนเข้าสู่แนวหน้า หรือบางครั้งรีดไถเงินเพื่อไม่ต้องถูกส่งตัวเข้าแนวหน้า:

    ชาวอเมริกันและยุโรป จงดูวิดีโอนี้!
    นี่คือยูเครนของผม ประเทศที่ผู้คนถูกลักพาตัวบนท้องถนน ถูกจับขังไว้ในห้องใต้ดิน แล้วปล่อยให้อดอาหารและน้ำ เพื่อบังคับให้พวกเขาเข้าสู่แนวหน้า

    บางรายจะถูกข่มขู่รีดไถเงินระหว่าง 5,000 ถึง 20,000 ดอลลาร์ เพื่อแลกกับการไปเสี่ยงชีวิตที่แนวหน้า และถ้าหากไม่ยอมจ่ายเงิน แน่นอนว่าจุดหมายปลายทางของพวกเขาคือแนวหน้าของสงคราม

    หลายคนถูกต้องจบชีวิตลงที่แนวหน้าจากการปลิดชีวิตตัวเอง เนื่องจากความยากจน ไม่มีเงินจ่ายในการหลบเลี่ยงสู่แนวหน้า

    สื่อของพวกคุณคงไม่มีใครรายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้หรอก เพราะพวกเขากำลังโกหกคุณ นักการเมืองของพวกคุณก็โกหกเช่นกัน เพื่อช่วยกันปกป้องเผด็จการเซเลนสกี ซึ่งตอนนี้ได้แซงหน้ารัสเซียไปแล้ว

    ขณะนี้ผู้ชายยูเครนจำนวนมากกลัวการออกไปนอกบ้าน ส่วนผู้หญิงที่มีลูกชายในวัย 17 ปี กำลังหาทางหนีออกนอกประเทศอย่างสิ้นหวัง เพราะพรมแดนของเราถูกปิดสำหรับทุกคน ยกเว้นเพื่อนและหุ้นส่วนทางธุรกิจของเซเลนสกี

    ส่วนชาวยูเครนคนไหนที่ยอมเสี่ยงหลบหนีข้ามพรมแดนผ่านภูเขาและทุ่งนาจะถูกสังหารทันที

    ผู้ที่ต้อต้านเซเลนสกี รวมทั้งตัวผมเอง ต้องเผชิญกับคดีอาญาที่ถูกจัดฉากขึ้น บางรายถูกจับกุม และถูกทรมานในเรือนจำเพื่อบังคับให้รับสารภาพจากข้อหาที่พวกเขาไม่ได้ทำ

    และหากผู้ต่อต้านเหล่านั้น หลบหนีออกนอกประเทศไปได้ เซเลนสกีจะจับกุมญาติของพวกเขาและตั้งขอหา เช่น แม่ เพียงแค่แชร์วิดีโอบน Facebook ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล

    เราต้องการการเลือกตั้ง ความจริงที่ว่าผู้นำสหภาพยุโรปประกาศในวันนี้ว่าพวกเขาสนับสนุนการตัดสินใจของเซเลนสกีที่จะไม่จัดการเลือกตั้งนั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก พวกเขากำลังสนับสนุนการสังหาร การจับกุม และการทรมานผู้คนเพิ่มเติม ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนโยนความผิดไปให้ทางรัสเซีย”



    ไมโรสลาฟ โอเลชโก (Myroslav Oleshko) บล็อกเกอร์ชาวยูเครนโพสต์วิดีพร้อมคำบรรยายเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ยูเครนที่บังคับจับชายชาวยูเครนเข้าสู่แนวหน้า หรือบางครั้งรีดไถเงินเพื่อไม่ต้องถูกส่งตัวเข้าแนวหน้า: ชาวอเมริกันและยุโรป จงดูวิดีโอนี้! นี่คือยูเครนของผม ประเทศที่ผู้คนถูกลักพาตัวบนท้องถนน ถูกจับขังไว้ในห้องใต้ดิน แล้วปล่อยให้อดอาหารและน้ำ เพื่อบังคับให้พวกเขาเข้าสู่แนวหน้า บางรายจะถูกข่มขู่รีดไถเงินระหว่าง 5,000 ถึง 20,000 ดอลลาร์ เพื่อแลกกับการไปเสี่ยงชีวิตที่แนวหน้า และถ้าหากไม่ยอมจ่ายเงิน แน่นอนว่าจุดหมายปลายทางของพวกเขาคือแนวหน้าของสงคราม หลายคนถูกต้องจบชีวิตลงที่แนวหน้าจากการปลิดชีวิตตัวเอง เนื่องจากความยากจน ไม่มีเงินจ่ายในการหลบเลี่ยงสู่แนวหน้า สื่อของพวกคุณคงไม่มีใครรายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้หรอก เพราะพวกเขากำลังโกหกคุณ นักการเมืองของพวกคุณก็โกหกเช่นกัน เพื่อช่วยกันปกป้องเผด็จการเซเลนสกี ซึ่งตอนนี้ได้แซงหน้ารัสเซียไปแล้ว ขณะนี้ผู้ชายยูเครนจำนวนมากกลัวการออกไปนอกบ้าน ส่วนผู้หญิงที่มีลูกชายในวัย 17 ปี กำลังหาทางหนีออกนอกประเทศอย่างสิ้นหวัง เพราะพรมแดนของเราถูกปิดสำหรับทุกคน ยกเว้นเพื่อนและหุ้นส่วนทางธุรกิจของเซเลนสกี ส่วนชาวยูเครนคนไหนที่ยอมเสี่ยงหลบหนีข้ามพรมแดนผ่านภูเขาและทุ่งนาจะถูกสังหารทันที ผู้ที่ต้อต้านเซเลนสกี รวมทั้งตัวผมเอง ต้องเผชิญกับคดีอาญาที่ถูกจัดฉากขึ้น บางรายถูกจับกุม และถูกทรมานในเรือนจำเพื่อบังคับให้รับสารภาพจากข้อหาที่พวกเขาไม่ได้ทำ และหากผู้ต่อต้านเหล่านั้น หลบหนีออกนอกประเทศไปได้ เซเลนสกีจะจับกุมญาติของพวกเขาและตั้งขอหา เช่น แม่ เพียงแค่แชร์วิดีโอบน Facebook ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เราต้องการการเลือกตั้ง ความจริงที่ว่าผู้นำสหภาพยุโรปประกาศในวันนี้ว่าพวกเขาสนับสนุนการตัดสินใจของเซเลนสกีที่จะไม่จัดการเลือกตั้งนั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก พวกเขากำลังสนับสนุนการสังหาร การจับกุม และการทรมานผู้คนเพิ่มเติม ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนโยนความผิดไปให้ทางรัสเซีย”
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🪭แม่สื่อสมัยโบราณ 🪭

    สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสู่ขอและ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ และมีการกล่าวถึงการใช้แม่สื่อ แต่เพื่อนเพจคงไม่ได้อรรถรสว่าจริงๆ แล้วการใช้แม่สื่อมีความสำคัญมาก ในบางยุคสมัยอย่างเช่นสมัยถังถึงกับบัญญัติเป็นกฎหมายไว้ว่าการแต่งงานต้องมีแม่สื่อ

    เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า มีหน่วยงานรัฐรับหน้าที่แม่สื่อ?

    ในบันทึกพิธีการโจวหลี่ซึ่งเป็นบันทึกโบราณที่ถูกจัดทำขึ้นในสมัยฮั่นว่าด้วยพิธีการต่างๆ ของสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกมีการระบุไว้ว่า: สำนักงาน ‘เหมยซึ’ (媒氏) มีหน้าที่ดูแลการแต่งงานของประชาชน... ทำทะเบียนบันทึกวันเดือนปีเกิดของทุกคนและจัดให้บุรุษแต่งงานเมื่ออายุสามสิบปีและสตรีเมื่ออายุยี่สิบปี... จัดเทศกาลกลางฤดูใบไม้ผลิหรือที่เรียกว่า ‘จงชุนฮุ่ย’ (仲春会) เพื่อเป็นโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะดูตัว...

    ก่อนจะลงลึกเรื่องหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อเหมยซึนี้ เรามาคุยกันเล็กน้อยเรื่องเกณฑ์อายุสมรสที่กล่าวถึงข้างต้น

    พวกเราจะคุ้นเคยว่ากฎหมายกำหนดเกณฑ์อายุขั้นต่ำไว้ แต่ในสมัยโบราณมีกำหนดเกณฑ์อายุสูงสุดไว้ด้วย ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ผู้คนแต่งงานมีลูกสืบสกุล ในความเชื่อของคนโบราณคือการไม่มีบุตรสืบสกุลถือเป็นความอกตัญญูอย่างใหญ่หลวง แต่จริงๆ แล้วในมุมมองของรัฐมันมีเหตุผลด้านการพัฒนาประเทศ อย่าลืมว่าแรกเริ่มเลยเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนโดยเกษตรกรรม เมื่อประชากรน้อยผลผลิตก็น้อยรัฐก็จน อีกทั้งในสมัยโบราณมีศึกสงครามและอายุขัยของคนไม่ยาวเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นทางการจึงพยายามกระตุ้นให้คนแต่งงานและมีลูกหลานกัน จนถึงขั้นกำหนดเป็นกฎหมายบังคับ เพียงแต่เกณฑ์อายุตามกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย อย่างเช่นในสมัยฮั่นบุรุษต้องแต่งงานภายในอายุสามสิบปีและสตรีภายในอายุสิบห้าปี หาไม่แล้วต้องถูกปรับด้วยการจ่ายภาษีเพิ่มเป็นห้าเท่า (ในสมัยนั้นจ่ายภาษีเป็นรายหัว ไม่เกี่ยวกับรายได้) และในสมัยราชวงศ์เหนือใต้กำหนดว่าหากสตรีไม่แต่งงานภายในอายุสิบห้าปีพ่อแม่ต้องโทษจำคุก

    แต่ในสมัยโบราณก็มีคนที่ไม่ได้แต่งงานภายในอายุที่กฎหมายที่กำหนด บ้างยืดเวลาออกไปเพราะเหตุผลการไว้ทุกข์ให้พ่อแม่ บ้างมีเหตุผลอื่น แต่ Storyฯ ไม่ได้ไปหาข้อมูลต่อว่าแต่ละยุคสมัยเขามีวิธีหลีกเลี่ยงการแต่งงานกันอย่างไร แต่ที่ชัดเจนก็คือว่า ผู้ที่ถึงเกณฑ์อายุสูงสุดแล้วยังไม่ได้แต่งงานจะมีสำนักงานแม่สื่อมาช่วยจัดการหาคู่ให้ โดยมีความพยายามหว่านล้อมให้เจ้าตัวเห็นชอบและมีตัวเลือกให้ ไม่ใช่นึกจะบังคับแต่งกับใครก็บังคับเลย ประมาณว่าเป็นการบังคับแต่งงานแบบประนีประนอม และนี่เป็นหนึ่งในหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อ

    ทีนี้มาเข้าเรื่องหน้าที่แม่สื่อ... สำหรับหน้าที่แม่สื่อนี้ สำนักงานเหมยซึไม่เพียงหาคู่ให้กับผู้ที่ใกล้จะเลยเกณฑ์อายุสูงสุด หากแต่ยังช่วยหาคู่ให้กับผู้ที่ไม่มีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่จัดการเรื่องนี้ รวมถึงจัดงานเทศกาลที่บังคับให้หนุ่มสาวออกมาพบปะและดูตัวกัน นอกจากนี้ ยังเป็นธุระดูแลเรื่องพิธีการต่างๆ ให้ถูกต้องเช่นส่งคนไปช่วยสู่ขอ กำหนดวันแต่งงาน ช่วยจัดงานแต่งงาน และดูแลสินสอดให้เหมาะสม ในบางสมัยถึงกับมีหน้าที่จัดสรรเงินจากงบประมาณแผ่นดินหรือหาคณบดีท้องถิ่นมาเป็นผู้อุปถัมภ์เพื่อให้บุรุษที่ยากจนสามารถมีเงินสินสอดไปแต่งเมียได้ และอย่างในสมัยฉินมีหน้าที่จัดสรรที่ดินทำกินให้คู่บ่าวสาวไปตั้งต้นชีวิตใหม่ได้ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ อันเกิดขึ้นในการหมั้นหมายและแต่งงาน

    และจากตัวอย่างที่ยกมาจากบันทึกโจวหลี่ จะเห็นว่าหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อมีอีกส่วนหนึ่งคืองานด้านทะเบียน โดยมีหน้าที่บันทึกว่าใครเกิดเมื่อไหร่แต่งงานแล้วหรือยัง หย่าร้างหรือไม่ รวมถึงดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน เช่นการลงโทษตามกฏหมาย (เช่น หลบหนีการแต่งงาน)

    ดังนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่แม่สื่อในงานพิธีการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานมงคลสมรสก็คือคนจากสำนักงานเหมยซึนี่เอง หรือที่เรียกว่า ‘แม่สื่อหลวง’ (官媒) แต่ผู้ที่เป็นแม่สื่อหลวงอาจไม่ใช่ขุนนางทุกคน เพราะเขาจะมีการจ้างคนนอกช่วยทำงาน กล่าวคือคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถมีฝีปากเป็นเลิศคล่องแคล่วแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ไม่มีประวัติอาชญากรรม ฯลฯ มาขึ้นทะเบียนเป็นแม่สื่อหลวงที่ต้องออกไปช่วยเจรจาทาบทามสู่ขอ ช่วยทำพิธีการต่างๆ โดยคนเหล่านี้ได้รับค่าจ้างหลวงแต่ไม่ใช่ข้าราชการ และส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือในท้องที่นั้นๆ หรือเป็นผู้ที่ผู้อาวุโสเหล่านี้แนะนำมา

    ในยุคที่รุ่งเรืองมากๆ อย่างสมัยซ่งนั้น กิจการแม่สื่อมืออาชีพก็เฟื่องฟูตาม มีทั้งแม่สื่อฝ่ายชายและแม่สื่อฝ่ายหญิง ในสมัยซ่งถึงขนาดมีแบ่งแยกระดับของแม่สื่อ ในบันทึก ‘ตงจิงเมิ่งหัวลู่’ ที่ให้รายละเอียดวิถีชีวิตและธรรมเนียมปฏิบัติของคนสมัยซ่งเหนือได้กล่าวไว้ว่า แม่สื่อขั้นสูงสุดนั้นมีผ้าโพกศีรษะสวมเสื้อนอกสีม่วง ให้บริการเฉพาะขุนนางและครอบครัวขุนนาง

    และต่อมาพัฒนาขึ้นเป็น ‘แม่สื่อเอกชน’ (私媒) แบบมืออาชีพ กล่าวคือได้ค่าจ้างจากครอบครัวบ่าวสาว แต่ก็ต้องขึ้นทะเบียนกับทางการอยู่ดี

    ทำไมแค่ช่วยสู่ขอช่วยจัดงานแต่งยังต้องทำเป็นทางการขนาดนั้น? นั่นเป็นเพราะว่าแม่สื่อมีหน้าที่และความรับผิดได้ตามกฎหมาย เป็นต้นว่า หากแม่สื่อโฆษณาคุณสมบัติของบุรุษสตรีเกินจริงจนเข้าข่ายบิดเบือนหรือหลอกลวงก็จะมีโทษ; แม่สื่อมีหน้าที่ตรวจสอบและสืบข้อมูลประวัติของทั้งสองครอบครัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นการแต่งงานที่เข้าข่ายต้องห้าม (เช่น ข้ามสถานะระหว่างบุคคลธรรมดากับบุคคลในทะเบียนทาส; เป็นพยานสำคัญว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกคนหรือไม่ ตั้งแต่ข้อมูลวันเดือนปีเกิด เอกสารการหมั้นและการรับตัวเจ้าสาว หรือหากรู้เห็นเป็นใจการหนีสมรสก็มีโทษเช่นกัน; เป็นพยานสำคัญว่าสินสอดและสินเดิมเจ้าสาวถูกต้องครบถ้วนตามรายการบัญชีที่ทำ; และอาจเป็นพยานหรือเป็นผู้ช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างครอบครัวบ่าวสาวได้ ฯลฯ

    แม่สื่อเป็นบุรุษหรือสตรีก็ได้ เพียงแต่ในยุคที่กิจการแม่สื่อเฟื่องฟู คนที่นิยมทำหน้าที่นี้เป็นสตรีเสียส่วนใหญ่ และจวบจนสมัยชิงยังมีการกล่าวถึงแม่สื่อหลวง โดยมีตัวอย่างจากบทประพันธ์โบราณชื่อ ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ (醒世恒言 /วจีปลุกให้โลกตื่น) ซึ่งเป็นผลงานของเฝิงเมิ่งหลง นักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงตอนปลายหมิงต้นชิง ดังนั้น แม่สื่อหลวงและแม่สื่อเอกชนอยู่คู่กับจีนมาหลายพันปีแล้ว

    และแน่นอนว่า แม่สื่อเอกชนแบบที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการก็มี เช่นอาจมีการเชิญผู้ใหญ่คนรู้จักไปช่วยพูดจาทาบทาม เพื่อนเพจเชื้อสายจีนน่าจะนึกภาพออกเพราะบ้านเราเรียกว่า ‘เถ้าแก่’ แต่เถ้าแก่นี้ไม่ใช่แม่สื่อหลักเพราะตามกระบวนการของกฎหมายต้องมีแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วช่วยดำเนินเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแม่สื่อหลวงหรือแม่สื่อเอกชน ดังนั้นในบริบทนี้ บางครอบครัวอาจใช้เถ้าแก่มาเสริม จึงเกิดเป็นสำนวนที่ว่า ‘ซานเหมยลิ่วพิ่น’ ( 三媒六聘/สามแม่สื่อหกพิธีการแต่งงาน) กล่าวคือแม่สื่อหรือเถ้าแก่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และคนกลางซึ่งมักเป็นแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วนั่นเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://meihuamag.com/牵线说媒,这行当已有五千年历史/
    http://sino.newdu.com/m/view.php?aid=91147
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.sss.net.cn/106001/30036.aspx
    http://www.heyuanxw.com/2014/wenhua_1216/15238.html
    http://iolaw.cssn.cn/xspl/200607/t20060726_4598436.shtml
    http://www.xinfajia.net/2592.html
    https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=795664&remap=gb#%娶妇
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_26937009

    #แม่สื่อ #กวนเหมย #ซือเหมย #เหมยซึ #การแต่งงานจีนโบราณ #สาระจีน
    🪭แม่สื่อสมัยโบราณ 🪭 สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสู่ขอและ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ และมีการกล่าวถึงการใช้แม่สื่อ แต่เพื่อนเพจคงไม่ได้อรรถรสว่าจริงๆ แล้วการใช้แม่สื่อมีความสำคัญมาก ในบางยุคสมัยอย่างเช่นสมัยถังถึงกับบัญญัติเป็นกฎหมายไว้ว่าการแต่งงานต้องมีแม่สื่อ เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า มีหน่วยงานรัฐรับหน้าที่แม่สื่อ? ในบันทึกพิธีการโจวหลี่ซึ่งเป็นบันทึกโบราณที่ถูกจัดทำขึ้นในสมัยฮั่นว่าด้วยพิธีการต่างๆ ของสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกมีการระบุไว้ว่า: สำนักงาน ‘เหมยซึ’ (媒氏) มีหน้าที่ดูแลการแต่งงานของประชาชน... ทำทะเบียนบันทึกวันเดือนปีเกิดของทุกคนและจัดให้บุรุษแต่งงานเมื่ออายุสามสิบปีและสตรีเมื่ออายุยี่สิบปี... จัดเทศกาลกลางฤดูใบไม้ผลิหรือที่เรียกว่า ‘จงชุนฮุ่ย’ (仲春会) เพื่อเป็นโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะดูตัว... ก่อนจะลงลึกเรื่องหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อเหมยซึนี้ เรามาคุยกันเล็กน้อยเรื่องเกณฑ์อายุสมรสที่กล่าวถึงข้างต้น พวกเราจะคุ้นเคยว่ากฎหมายกำหนดเกณฑ์อายุขั้นต่ำไว้ แต่ในสมัยโบราณมีกำหนดเกณฑ์อายุสูงสุดไว้ด้วย ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ผู้คนแต่งงานมีลูกสืบสกุล ในความเชื่อของคนโบราณคือการไม่มีบุตรสืบสกุลถือเป็นความอกตัญญูอย่างใหญ่หลวง แต่จริงๆ แล้วในมุมมองของรัฐมันมีเหตุผลด้านการพัฒนาประเทศ อย่าลืมว่าแรกเริ่มเลยเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนโดยเกษตรกรรม เมื่อประชากรน้อยผลผลิตก็น้อยรัฐก็จน อีกทั้งในสมัยโบราณมีศึกสงครามและอายุขัยของคนไม่ยาวเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นทางการจึงพยายามกระตุ้นให้คนแต่งงานและมีลูกหลานกัน จนถึงขั้นกำหนดเป็นกฎหมายบังคับ เพียงแต่เกณฑ์อายุตามกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย อย่างเช่นในสมัยฮั่นบุรุษต้องแต่งงานภายในอายุสามสิบปีและสตรีภายในอายุสิบห้าปี หาไม่แล้วต้องถูกปรับด้วยการจ่ายภาษีเพิ่มเป็นห้าเท่า (ในสมัยนั้นจ่ายภาษีเป็นรายหัว ไม่เกี่ยวกับรายได้) และในสมัยราชวงศ์เหนือใต้กำหนดว่าหากสตรีไม่แต่งงานภายในอายุสิบห้าปีพ่อแม่ต้องโทษจำคุก แต่ในสมัยโบราณก็มีคนที่ไม่ได้แต่งงานภายในอายุที่กฎหมายที่กำหนด บ้างยืดเวลาออกไปเพราะเหตุผลการไว้ทุกข์ให้พ่อแม่ บ้างมีเหตุผลอื่น แต่ Storyฯ ไม่ได้ไปหาข้อมูลต่อว่าแต่ละยุคสมัยเขามีวิธีหลีกเลี่ยงการแต่งงานกันอย่างไร แต่ที่ชัดเจนก็คือว่า ผู้ที่ถึงเกณฑ์อายุสูงสุดแล้วยังไม่ได้แต่งงานจะมีสำนักงานแม่สื่อมาช่วยจัดการหาคู่ให้ โดยมีความพยายามหว่านล้อมให้เจ้าตัวเห็นชอบและมีตัวเลือกให้ ไม่ใช่นึกจะบังคับแต่งกับใครก็บังคับเลย ประมาณว่าเป็นการบังคับแต่งงานแบบประนีประนอม และนี่เป็นหนึ่งในหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อ ทีนี้มาเข้าเรื่องหน้าที่แม่สื่อ... สำหรับหน้าที่แม่สื่อนี้ สำนักงานเหมยซึไม่เพียงหาคู่ให้กับผู้ที่ใกล้จะเลยเกณฑ์อายุสูงสุด หากแต่ยังช่วยหาคู่ให้กับผู้ที่ไม่มีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่จัดการเรื่องนี้ รวมถึงจัดงานเทศกาลที่บังคับให้หนุ่มสาวออกมาพบปะและดูตัวกัน นอกจากนี้ ยังเป็นธุระดูแลเรื่องพิธีการต่างๆ ให้ถูกต้องเช่นส่งคนไปช่วยสู่ขอ กำหนดวันแต่งงาน ช่วยจัดงานแต่งงาน และดูแลสินสอดให้เหมาะสม ในบางสมัยถึงกับมีหน้าที่จัดสรรเงินจากงบประมาณแผ่นดินหรือหาคณบดีท้องถิ่นมาเป็นผู้อุปถัมภ์เพื่อให้บุรุษที่ยากจนสามารถมีเงินสินสอดไปแต่งเมียได้ และอย่างในสมัยฉินมีหน้าที่จัดสรรที่ดินทำกินให้คู่บ่าวสาวไปตั้งต้นชีวิตใหม่ได้ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ อันเกิดขึ้นในการหมั้นหมายและแต่งงาน และจากตัวอย่างที่ยกมาจากบันทึกโจวหลี่ จะเห็นว่าหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อมีอีกส่วนหนึ่งคืองานด้านทะเบียน โดยมีหน้าที่บันทึกว่าใครเกิดเมื่อไหร่แต่งงานแล้วหรือยัง หย่าร้างหรือไม่ รวมถึงดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน เช่นการลงโทษตามกฏหมาย (เช่น หลบหนีการแต่งงาน) ดังนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่แม่สื่อในงานพิธีการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานมงคลสมรสก็คือคนจากสำนักงานเหมยซึนี่เอง หรือที่เรียกว่า ‘แม่สื่อหลวง’ (官媒) แต่ผู้ที่เป็นแม่สื่อหลวงอาจไม่ใช่ขุนนางทุกคน เพราะเขาจะมีการจ้างคนนอกช่วยทำงาน กล่าวคือคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถมีฝีปากเป็นเลิศคล่องแคล่วแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ไม่มีประวัติอาชญากรรม ฯลฯ มาขึ้นทะเบียนเป็นแม่สื่อหลวงที่ต้องออกไปช่วยเจรจาทาบทามสู่ขอ ช่วยทำพิธีการต่างๆ โดยคนเหล่านี้ได้รับค่าจ้างหลวงแต่ไม่ใช่ข้าราชการ และส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือในท้องที่นั้นๆ หรือเป็นผู้ที่ผู้อาวุโสเหล่านี้แนะนำมา ในยุคที่รุ่งเรืองมากๆ อย่างสมัยซ่งนั้น กิจการแม่สื่อมืออาชีพก็เฟื่องฟูตาม มีทั้งแม่สื่อฝ่ายชายและแม่สื่อฝ่ายหญิง ในสมัยซ่งถึงขนาดมีแบ่งแยกระดับของแม่สื่อ ในบันทึก ‘ตงจิงเมิ่งหัวลู่’ ที่ให้รายละเอียดวิถีชีวิตและธรรมเนียมปฏิบัติของคนสมัยซ่งเหนือได้กล่าวไว้ว่า แม่สื่อขั้นสูงสุดนั้นมีผ้าโพกศีรษะสวมเสื้อนอกสีม่วง ให้บริการเฉพาะขุนนางและครอบครัวขุนนาง และต่อมาพัฒนาขึ้นเป็น ‘แม่สื่อเอกชน’ (私媒) แบบมืออาชีพ กล่าวคือได้ค่าจ้างจากครอบครัวบ่าวสาว แต่ก็ต้องขึ้นทะเบียนกับทางการอยู่ดี ทำไมแค่ช่วยสู่ขอช่วยจัดงานแต่งยังต้องทำเป็นทางการขนาดนั้น? นั่นเป็นเพราะว่าแม่สื่อมีหน้าที่และความรับผิดได้ตามกฎหมาย เป็นต้นว่า หากแม่สื่อโฆษณาคุณสมบัติของบุรุษสตรีเกินจริงจนเข้าข่ายบิดเบือนหรือหลอกลวงก็จะมีโทษ; แม่สื่อมีหน้าที่ตรวจสอบและสืบข้อมูลประวัติของทั้งสองครอบครัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นการแต่งงานที่เข้าข่ายต้องห้าม (เช่น ข้ามสถานะระหว่างบุคคลธรรมดากับบุคคลในทะเบียนทาส; เป็นพยานสำคัญว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกคนหรือไม่ ตั้งแต่ข้อมูลวันเดือนปีเกิด เอกสารการหมั้นและการรับตัวเจ้าสาว หรือหากรู้เห็นเป็นใจการหนีสมรสก็มีโทษเช่นกัน; เป็นพยานสำคัญว่าสินสอดและสินเดิมเจ้าสาวถูกต้องครบถ้วนตามรายการบัญชีที่ทำ; และอาจเป็นพยานหรือเป็นผู้ช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างครอบครัวบ่าวสาวได้ ฯลฯ แม่สื่อเป็นบุรุษหรือสตรีก็ได้ เพียงแต่ในยุคที่กิจการแม่สื่อเฟื่องฟู คนที่นิยมทำหน้าที่นี้เป็นสตรีเสียส่วนใหญ่ และจวบจนสมัยชิงยังมีการกล่าวถึงแม่สื่อหลวง โดยมีตัวอย่างจากบทประพันธ์โบราณชื่อ ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ (醒世恒言 /วจีปลุกให้โลกตื่น) ซึ่งเป็นผลงานของเฝิงเมิ่งหลง นักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงตอนปลายหมิงต้นชิง ดังนั้น แม่สื่อหลวงและแม่สื่อเอกชนอยู่คู่กับจีนมาหลายพันปีแล้ว และแน่นอนว่า แม่สื่อเอกชนแบบที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการก็มี เช่นอาจมีการเชิญผู้ใหญ่คนรู้จักไปช่วยพูดจาทาบทาม เพื่อนเพจเชื้อสายจีนน่าจะนึกภาพออกเพราะบ้านเราเรียกว่า ‘เถ้าแก่’ แต่เถ้าแก่นี้ไม่ใช่แม่สื่อหลักเพราะตามกระบวนการของกฎหมายต้องมีแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วช่วยดำเนินเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแม่สื่อหลวงหรือแม่สื่อเอกชน ดังนั้นในบริบทนี้ บางครอบครัวอาจใช้เถ้าแก่มาเสริม จึงเกิดเป็นสำนวนที่ว่า ‘ซานเหมยลิ่วพิ่น’ ( 三媒六聘/สามแม่สื่อหกพิธีการแต่งงาน) กล่าวคือแม่สื่อหรือเถ้าแก่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และคนกลางซึ่งมักเป็นแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วนั่นเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://meihuamag.com/牵线说媒,这行当已有五千年历史/ http://sino.newdu.com/m/view.php?aid=91147 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.sss.net.cn/106001/30036.aspx http://www.heyuanxw.com/2014/wenhua_1216/15238.html http://iolaw.cssn.cn/xspl/200607/t20060726_4598436.shtml http://www.xinfajia.net/2592.html https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=795664&remap=gb#%娶妇 https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_26937009 #แม่สื่อ #กวนเหมย #ซือเหมย #เหมยซึ #การแต่งงานจีนโบราณ #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 624 มุมมอง 0 รีวิว
  • 86 ปี สิ้น “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา คณะสงฆ์ลำพูนขยาดบารมี ยัดอธิกรณ์ 8 ข้อ ความขัดแย้งที่บานปลาย

    📌 ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ไปสู่เรื่องราวของ “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา ผู้เป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวเหนือ แม้กระทั่งเจ้าคณะสงฆ์ในยุคสมัยนั้น ยังต้องหวั่นเกรงในบารมี จนเกิดการตั้งอธิกรณ์ถึง 8 ข้อ นำไปสู่การควบคุมตัว และขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ในหมู่คณะสงฆ์ล้านนา

    🔎 86 ปี แห่งการมรณภาพ ของครูบาเจ้าศรีวิชัย
    หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 86 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 (เมื่อก่อนนับศักราชใหม่ ในวันสงกรานต์ ถ้าเทียบปัจจุบันจะเป็นต้นปี พ.ศ. 2482) นับเป็นปีที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องโศกเศร้าอย่างใหญ่หลวง เพราะเป็นวันมรณภาพของ "ครูบาเจ้าศรีวิชัย" พระเกจิชื่อดังแห่งล้านนา ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้าง และบูรณะพุทธศาสนสถาน ทั่วภาคเหนือของไทย

    ครูบาเจ้าศรีวิชัยละสังขาร ที่วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน สิริอายุได้ 60 ปี ก่อนที่ศพจะถูกตั้งไว้ ที่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน เป็นเวลาหลายปี กระทั่งวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2489 มีการพระราชทานเพลิงศพ โดยมีประชาชนจำนวนมหาศาลเข้าร่วมพิธี และเหตุการณ์ที่น่าตกใจคือ มีผู้แย่งชิงอัฐิของครูบาเจ้าศรีวิชัย ตั้งแต่เปลวไฟยังไม่มอดสนิท

    ✨ แม้แต่ดินตรงที่ถวายพระเพลิงศพ ยังถูกขุดเอาไปบูชา แสดงให้เห็นถึงแรงศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย

    👶 วัยเยาว์ ชาติกำเนิดของตนบุญ
    ครูบาเจ้าศรีวิชัย เกิดเมื่อวันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2421 ปีขาล ขณะที่เกิด มีพายุฟ้าร้องรุนแรง จึงถูกตั้งชื่อว่า อินตาเฟือน หรืออ้ายฟ้าร้อง บิดาชื่อ นายควาย มีเชื้อสายกะเหรี่ยงแดง มารดาชื่อ นางอุสา บ้างว่าเป็นชาวเชียงใหม่ บ้างว่าเป็นชาวเมืองลี้

    เมื่ออายุได้ 18 ปี มีความคิดว่าความยากจนของตน เกิดจากกรรมในอดีต จึงตัดสินใจออกบวช เพื่อสร้างบุญกุศล และตอบแทนบุญคุณบิดามารดา

    📌 ครูบาศรีวิชัยบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดบ้านปาง ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในวัย 21 ปี ที่วัดบ้านโฮ่งหลวง จังหวัดลำพูน ได้รับฉายาทางธรรมว่า "พระศรีวิชัย"

    🏯 บทบาทของครูบาเจ้าศรีวิชัย ในการพัฒนาพุทธศาสนาในล้านนา
    ครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่ได้เป็นเพียงพระนักปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นพระนักพัฒนา สร้างและบูรณะวัดมากมาย รวมถึงเส้นทางคมนาคมสำคัญ เช่น

    ✔️ สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ
    ✔️ บูรณะวัดพระธาตุหริภุญชัย วัดจามเทวี วัดสวนดอก ฯลฯ
    ✔️ เป็นผู้นำพุทธศาสนิกชน ร่วมแรงร่วมใจ ในการก่อสร้างศาสนสถาน

    ✨ ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยสูงส่ง ถึงขนาดที่ว่า ชาวบ้านเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ เพียงเพื่อจะได้พบหน้า

    ⚖️ ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ?
    การที่ครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้รับความศรัทธามาก ทำให้คณะสงฆ์ล้านนาบางกลุ่ม โดยเฉพาะเจ้าคณะจัวงหวัดลำพูน เริ่มไม่พอใจ และหวาดกลัวอิทธิพล

    ในที่สุด เจ้าคณะจังหวัดลำพูน ได้นำการตั้งอธิกรณ์ หรือข้อกล่าวหา ต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยถึง 8 ข้อ โดยกล่าวหาว่า

    ❌ ทำตัวเป็น “ผีบุญ” อวดอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ
    ❌ ซ่องสุมกำลังประชาชน เสมือนเป็นผู้นำลัทธิใหม่
    ❌ ขัดขืนอำนาจคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง
    ❌ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบสงฆ์ ของสยามประเทศ
    ❌ จัดพิธีกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต
    ❌ มีพฤติกรรมเสมือนเป็นผู้นำทางการเมือง

    📌 ผลจากข้อกล่าวหาเหล่านี้ ทำให้ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกควบคุมตัวส่งไปไต่สวนที่กรุงเทพฯ

    ⚔️ ความขัดแย้งระหว่างครูบาเจ้าศรีวิชัย กับคณะสงฆ์ล้านนา
    1️⃣ คณะสงฆ์ล้านนาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม
    ✔️ กลุ่มที่ยอมรับอำนาจของกรุงเทพฯ สนับสนุนการปกครองสงฆ์แบบรวมศูนย์
    ✔️ กลุ่มประนีประนอม ไม่ต่อต้าน แต่ก็ไม่ได้ร่วมมือเต็มที่
    ✔️ กลุ่มต่อต้านกรุงเทพฯ ต้องการคงจารีตล้านนาแบบดั้งเดิม

    📌 ครูบาศรีวิชัยถูกมองว่า เป็นผู้นำของกลุ่มที่สาม ซึ่งเป็นเหตุผลหลัก ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างหนัก

    - สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ ครูบาศรีวิชัยเป็นผู้ริเริ่มโครงการ โดยไม่ได้ปรึกษาคณะสงฆ์ ฝ่ายปกครอง
    - พระสงฆ์กว่า 50 วัด ลาออกจากการขึ้นตรง กับคณะสงฆ์กรุงเทพฯ
    - คณะสงฆ์ฝ่ายปกครองมองว่า เป็นการกระด้างกระเดื่องต่ออำนาจ

    ⚖️ สุดท้าย ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกส่งตัวไปกรุงเทพฯ เพื่อพิจารณาคดี และได้รับโทษ ก่อนถูกปล่อยตัวกลับล้านนา

    🙏 เจ้าตนบุญแห่งล้านนา กับแรงศรัทธาที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย
    แม้ว่าจะต้องเผชิญกับข้อกล่าวหา และความขัดแย้งมากมาย แต่ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่เคยเสื่อมคลาย

    “ตนบุญ” หรือ “นักบุญ” มีความหมายเชิงยกย่องว่า เป็นนักบวชที่มีคุณสมบัติพิเศษ ในดินแดนล้านนา เป็นคติความเชื่อที่ถูกนำมาใช้ตลอดในประวัติศาสตร์ล้านนา แนวคิดดังกล่าว จะถูกหยิบนำมาใช้ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การใช้อ้างความชอบธรรม ของสถาบันกษัตริย์ล้านนา จนกระทั่งสามัญชน ที่ใช้คำว่า “ตนบุญ” เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านยามทุกข์เข็ญ เผชิญกับสภาพความสงบของบ้านเมือง

    หลังมรณภาพ ประชาชนยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระ วัดหลายแห่งยังคงยกย่อง และจัดงานรำลึกถึงครูบาเจ้าศรีวิชัย ตำนาน “เจ้าตนบุญแห่งล้านนา” ยังคงถูกกล่าวขานถึงปัจจุบัน

    🛕 ปัจจุบัน รูปปั้นและอนุสรณ์สถาน ของครูบาเจ้าศรีวิชัย มีอยู่ทั่วภาคเหนือ เช่น บริเวณทางขึ้นดอยสุเทพ และวัดบ้านปาง

    ✨ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 86 ปี แต่บารมีของครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงยิ่งใหญ่ และจะอยู่ในหัวใจ ของชาวล้านนาตลอดไป

    ✅ ครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นพระนักพัฒนา ที่มีบารมีสูงสุดองค์หนึ่งในล้านนา
    ✅ ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ เนื่องจากความขัดแย้ง กับคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง
    ✅ แม้จะถูกควบคุมตัว แต่ประชาชนยังคงศรัทธา นอย่างเหนียวแน่น
    ✅ ปัจจุบัน ครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธา ของชาวล้านนา

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 211017 ก.พ. 2568

    🔖 #ครูบาศรีวิชัย #เจ้าตนบุญล้านนา #ประวัติศาสตร์ล้านนา #วัดบ้านปาง #ศรัทธาพระสงฆ์
    86 ปี สิ้น “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา คณะสงฆ์ลำพูนขยาดบารมี ยัดอธิกรณ์ 8 ข้อ ความขัดแย้งที่บานปลาย 📌 ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ไปสู่เรื่องราวของ “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา ผู้เป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวเหนือ แม้กระทั่งเจ้าคณะสงฆ์ในยุคสมัยนั้น ยังต้องหวั่นเกรงในบารมี จนเกิดการตั้งอธิกรณ์ถึง 8 ข้อ นำไปสู่การควบคุมตัว และขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ในหมู่คณะสงฆ์ล้านนา 🔎 86 ปี แห่งการมรณภาพ ของครูบาเจ้าศรีวิชัย หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 86 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 (เมื่อก่อนนับศักราชใหม่ ในวันสงกรานต์ ถ้าเทียบปัจจุบันจะเป็นต้นปี พ.ศ. 2482) นับเป็นปีที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องโศกเศร้าอย่างใหญ่หลวง เพราะเป็นวันมรณภาพของ "ครูบาเจ้าศรีวิชัย" พระเกจิชื่อดังแห่งล้านนา ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้าง และบูรณะพุทธศาสนสถาน ทั่วภาคเหนือของไทย ครูบาเจ้าศรีวิชัยละสังขาร ที่วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน สิริอายุได้ 60 ปี ก่อนที่ศพจะถูกตั้งไว้ ที่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน เป็นเวลาหลายปี กระทั่งวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2489 มีการพระราชทานเพลิงศพ โดยมีประชาชนจำนวนมหาศาลเข้าร่วมพิธี และเหตุการณ์ที่น่าตกใจคือ มีผู้แย่งชิงอัฐิของครูบาเจ้าศรีวิชัย ตั้งแต่เปลวไฟยังไม่มอดสนิท ✨ แม้แต่ดินตรงที่ถวายพระเพลิงศพ ยังถูกขุดเอาไปบูชา แสดงให้เห็นถึงแรงศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย 👶 วัยเยาว์ ชาติกำเนิดของตนบุญ ครูบาเจ้าศรีวิชัย เกิดเมื่อวันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2421 ปีขาล ขณะที่เกิด มีพายุฟ้าร้องรุนแรง จึงถูกตั้งชื่อว่า อินตาเฟือน หรืออ้ายฟ้าร้อง บิดาชื่อ นายควาย มีเชื้อสายกะเหรี่ยงแดง มารดาชื่อ นางอุสา บ้างว่าเป็นชาวเชียงใหม่ บ้างว่าเป็นชาวเมืองลี้ เมื่ออายุได้ 18 ปี มีความคิดว่าความยากจนของตน เกิดจากกรรมในอดีต จึงตัดสินใจออกบวช เพื่อสร้างบุญกุศล และตอบแทนบุญคุณบิดามารดา 📌 ครูบาศรีวิชัยบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดบ้านปาง ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในวัย 21 ปี ที่วัดบ้านโฮ่งหลวง จังหวัดลำพูน ได้รับฉายาทางธรรมว่า "พระศรีวิชัย" 🏯 บทบาทของครูบาเจ้าศรีวิชัย ในการพัฒนาพุทธศาสนาในล้านนา ครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่ได้เป็นเพียงพระนักปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นพระนักพัฒนา สร้างและบูรณะวัดมากมาย รวมถึงเส้นทางคมนาคมสำคัญ เช่น ✔️ สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ ✔️ บูรณะวัดพระธาตุหริภุญชัย วัดจามเทวี วัดสวนดอก ฯลฯ ✔️ เป็นผู้นำพุทธศาสนิกชน ร่วมแรงร่วมใจ ในการก่อสร้างศาสนสถาน ✨ ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยสูงส่ง ถึงขนาดที่ว่า ชาวบ้านเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ เพียงเพื่อจะได้พบหน้า ⚖️ ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ? การที่ครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้รับความศรัทธามาก ทำให้คณะสงฆ์ล้านนาบางกลุ่ม โดยเฉพาะเจ้าคณะจัวงหวัดลำพูน เริ่มไม่พอใจ และหวาดกลัวอิทธิพล ในที่สุด เจ้าคณะจังหวัดลำพูน ได้นำการตั้งอธิกรณ์ หรือข้อกล่าวหา ต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยถึง 8 ข้อ โดยกล่าวหาว่า ❌ ทำตัวเป็น “ผีบุญ” อวดอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ ❌ ซ่องสุมกำลังประชาชน เสมือนเป็นผู้นำลัทธิใหม่ ❌ ขัดขืนอำนาจคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง ❌ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบสงฆ์ ของสยามประเทศ ❌ จัดพิธีกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต ❌ มีพฤติกรรมเสมือนเป็นผู้นำทางการเมือง 📌 ผลจากข้อกล่าวหาเหล่านี้ ทำให้ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกควบคุมตัวส่งไปไต่สวนที่กรุงเทพฯ ⚔️ ความขัดแย้งระหว่างครูบาเจ้าศรีวิชัย กับคณะสงฆ์ล้านนา 1️⃣ คณะสงฆ์ล้านนาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ✔️ กลุ่มที่ยอมรับอำนาจของกรุงเทพฯ สนับสนุนการปกครองสงฆ์แบบรวมศูนย์ ✔️ กลุ่มประนีประนอม ไม่ต่อต้าน แต่ก็ไม่ได้ร่วมมือเต็มที่ ✔️ กลุ่มต่อต้านกรุงเทพฯ ต้องการคงจารีตล้านนาแบบดั้งเดิม 📌 ครูบาศรีวิชัยถูกมองว่า เป็นผู้นำของกลุ่มที่สาม ซึ่งเป็นเหตุผลหลัก ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างหนัก - สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ ครูบาศรีวิชัยเป็นผู้ริเริ่มโครงการ โดยไม่ได้ปรึกษาคณะสงฆ์ ฝ่ายปกครอง - พระสงฆ์กว่า 50 วัด ลาออกจากการขึ้นตรง กับคณะสงฆ์กรุงเทพฯ - คณะสงฆ์ฝ่ายปกครองมองว่า เป็นการกระด้างกระเดื่องต่ออำนาจ ⚖️ สุดท้าย ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกส่งตัวไปกรุงเทพฯ เพื่อพิจารณาคดี และได้รับโทษ ก่อนถูกปล่อยตัวกลับล้านนา 🙏 เจ้าตนบุญแห่งล้านนา กับแรงศรัทธาที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย แม้ว่าจะต้องเผชิญกับข้อกล่าวหา และความขัดแย้งมากมาย แต่ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่เคยเสื่อมคลาย “ตนบุญ” หรือ “นักบุญ” มีความหมายเชิงยกย่องว่า เป็นนักบวชที่มีคุณสมบัติพิเศษ ในดินแดนล้านนา เป็นคติความเชื่อที่ถูกนำมาใช้ตลอดในประวัติศาสตร์ล้านนา แนวคิดดังกล่าว จะถูกหยิบนำมาใช้ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การใช้อ้างความชอบธรรม ของสถาบันกษัตริย์ล้านนา จนกระทั่งสามัญชน ที่ใช้คำว่า “ตนบุญ” เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านยามทุกข์เข็ญ เผชิญกับสภาพความสงบของบ้านเมือง หลังมรณภาพ ประชาชนยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระ วัดหลายแห่งยังคงยกย่อง และจัดงานรำลึกถึงครูบาเจ้าศรีวิชัย ตำนาน “เจ้าตนบุญแห่งล้านนา” ยังคงถูกกล่าวขานถึงปัจจุบัน 🛕 ปัจจุบัน รูปปั้นและอนุสรณ์สถาน ของครูบาเจ้าศรีวิชัย มีอยู่ทั่วภาคเหนือ เช่น บริเวณทางขึ้นดอยสุเทพ และวัดบ้านปาง ✨ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 86 ปี แต่บารมีของครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงยิ่งใหญ่ และจะอยู่ในหัวใจ ของชาวล้านนาตลอดไป ✅ ครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นพระนักพัฒนา ที่มีบารมีสูงสุดองค์หนึ่งในล้านนา ✅ ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ เนื่องจากความขัดแย้ง กับคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง ✅ แม้จะถูกควบคุมตัว แต่ประชาชนยังคงศรัทธา นอย่างเหนียวแน่น ✅ ปัจจุบัน ครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธา ของชาวล้านนา ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 211017 ก.พ. 2568 🔖 #ครูบาศรีวิชัย #เจ้าตนบุญล้านนา #ประวัติศาสตร์ล้านนา #วัดบ้านปาง #ศรัทธาพระสงฆ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 561 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔹 วิธีตัดสินว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลของกรรมเก่าหรือกรรมใหม่?

    ในพุทธศาสนา ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ ล้วนเป็นผลของกรรมทั้งสิ้น แต่จะแยกออกเป็นกรรมเก่า (อดีต) และกรรมใหม่ (ปัจจุบัน) ซึ่งสามารถจำแนกได้ตามเกณฑ์ดังนี้:


    ---

    1️⃣ กรรมเก่า (กรรมจากอดีตชาติหรือต้นทุนชีวิตที่เลือกไม่ได้)

    ✅ เกิดขึ้นโดยไม่สามารถควบคุมได้
    ✅ เป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้ตั้งแต่เกิด
    ✅ เป็นเงื่อนไขพื้นฐานของชีวิตเรา

    🔹 ตัวอย่างของกรรมเก่า

    เกิดมามีร่างกายเป็นมนุษย์ (ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เทวดา)

    เกิดมาในครอบครัวฐานะดี หรือยากจน

    เกิดมาในประเทศหนึ่ง ไม่ใช่อีกประเทศหนึ่ง

    เกิดมามีลักษณะร่างกายแบบนี้ (สูง/ต่ำ ผิวพรรณดี/ไม่ดี)

    บางครั้งโชคดีแบบคาดไม่ถึง หรือโชคร้ายแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้


    👉 กรรมเก่าจะส่งผลเป็นเหตุการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น

    ได้รับรางวัลใหญ่จากการสุ่มจับฉลาก โดยไม่ได้พยายามอะไร

    ถูกรถชนแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่ข้ามถนนถูกต้องแล้ว

    เกิดมามีสุขภาพแข็งแรง หรือมีโรคประจำตัวที่ไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมของตน



    ---

    2️⃣ กรรมใหม่ (การกระทำและเจตนาในปัจจุบัน)

    ✅ เกิดจากความพยายามและการเลือกของตัวเอง
    ✅ เป็นสิ่งที่ควบคุมได้
    ✅ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะเจตนาในปัจจุบัน

    🔹 ตัวอย่างของกรรมใหม่

    ตัดสินใจอดทน ไม่ตอบโต้คนที่ด่าหรือทำร้ายเรา → ได้ผลคือ "ใจเบา" และไม่สร้างศัตรู

    ตัดสินใจทำงานหนัก และเก็บเงินอย่างมีวินัย → ได้ผลคือ "รวยขึ้น" จากความพยายามของตัวเอง

    เลือกคบคนดี หรือแวดล้อมตัวเองด้วยสิ่งแวดล้อมที่ดี → ได้ผลคือ "จิตใจสงบ" และมีชีวิตดีขึ้น

    ตัดสินใจมีศีล ไม่ผิดศีลข้อ ๓ (กาเม) → ได้ผลคือ "โล่งใจ" และไม่ต้องรู้สึกผิด

    ฝึกสติ นั่งสมาธิ → ได้ผลคือ "จิตสงบ" และมีปัญญามากขึ้น


    👉 กรรมใหม่เป็นตัวแทรกแซงผลของกรรมเก่าได้ เช่น

    แม้เกิดมาในครอบครัวยากจน (กรรมเก่า) แต่หากขยันทำงาน เก็บเงิน สร้างโอกาสให้ตัวเอง (กรรมใหม่) ก็สามารถร่ำรวยได้

    แม้เกิดมามีร่างกายอ่อนแอ (กรรมเก่า) แต่ดูแลสุขภาพดี ออกกำลังกาย กินอาหารที่ดี (กรรมใหม่) ก็สามารถแข็งแรงขึ้นได้

    แม้เกิดมามีโอกาสน้อย (กรรมเก่า) แต่หมั่นเรียนรู้ พัฒนาตัวเอง (กรรมใหม่) ก็สามารถเปลี่ยนชีวิตได้



    ---

    🔹 วิธีตัดสินว่าเป็นกรรมเก่าหรือกรรมใหม่

    📌 ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นควบคุมไม่ได้ → เป็นผลของกรรมเก่า
    📌 ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการกระทำและเจตนา → เป็นผลของกรรมใหม่

    💡 แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ กรรมใหม่สามารถเปลี่ยนผลของกรรมเก่าได้
    💡 อย่าเชื่อว่า "ชีวิตถูกกำหนดแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้" → นี่คือมิจฉาทิฏฐิ
    💡 พุทธศาสนาสอนให้เราลงมือเปลี่ยนชีวิตด้วยกรรมใหม่ที่ดีในปัจจุบัน


    ---

    🔹 สรุป: ทางเลือกที่ชาญฉลาด

    ✅ อย่าโทษกรรมเก่าแล้วปล่อยตัวให้เป็นไปตามยถากรรม
    ✅ ตั้งใจสร้างกรรมใหม่ที่ดี เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเอง
    ✅ แม้กรรมเก่าจะเป็นตัวกำหนด "ต้นทุนชีวิต" แต่กรรมใหม่คือสิ่งที่เราใช้พลิกชีวิตได้

    📌 วันนี้คุณเลือกสร้างกรรมใหม่แบบไหน?
    ✨ กรรมดีที่พาตัวเองไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น หรือ
    🔥 กรรมชั่วที่ทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในปัญหาเดิมๆ

    ➡ ทุกอย่างอยู่ที่ "การตัดสินใจในปัจจุบัน" นี่แหละ!

    🔹 วิธีตัดสินว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลของกรรมเก่าหรือกรรมใหม่? ในพุทธศาสนา ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ ล้วนเป็นผลของกรรมทั้งสิ้น แต่จะแยกออกเป็นกรรมเก่า (อดีต) และกรรมใหม่ (ปัจจุบัน) ซึ่งสามารถจำแนกได้ตามเกณฑ์ดังนี้: --- 1️⃣ กรรมเก่า (กรรมจากอดีตชาติหรือต้นทุนชีวิตที่เลือกไม่ได้) ✅ เกิดขึ้นโดยไม่สามารถควบคุมได้ ✅ เป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้ตั้งแต่เกิด ✅ เป็นเงื่อนไขพื้นฐานของชีวิตเรา 🔹 ตัวอย่างของกรรมเก่า เกิดมามีร่างกายเป็นมนุษย์ (ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เทวดา) เกิดมาในครอบครัวฐานะดี หรือยากจน เกิดมาในประเทศหนึ่ง ไม่ใช่อีกประเทศหนึ่ง เกิดมามีลักษณะร่างกายแบบนี้ (สูง/ต่ำ ผิวพรรณดี/ไม่ดี) บางครั้งโชคดีแบบคาดไม่ถึง หรือโชคร้ายแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ 👉 กรรมเก่าจะส่งผลเป็นเหตุการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ได้รับรางวัลใหญ่จากการสุ่มจับฉลาก โดยไม่ได้พยายามอะไร ถูกรถชนแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่ข้ามถนนถูกต้องแล้ว เกิดมามีสุขภาพแข็งแรง หรือมีโรคประจำตัวที่ไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมของตน --- 2️⃣ กรรมใหม่ (การกระทำและเจตนาในปัจจุบัน) ✅ เกิดจากความพยายามและการเลือกของตัวเอง ✅ เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ ✅ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะเจตนาในปัจจุบัน 🔹 ตัวอย่างของกรรมใหม่ ตัดสินใจอดทน ไม่ตอบโต้คนที่ด่าหรือทำร้ายเรา → ได้ผลคือ "ใจเบา" และไม่สร้างศัตรู ตัดสินใจทำงานหนัก และเก็บเงินอย่างมีวินัย → ได้ผลคือ "รวยขึ้น" จากความพยายามของตัวเอง เลือกคบคนดี หรือแวดล้อมตัวเองด้วยสิ่งแวดล้อมที่ดี → ได้ผลคือ "จิตใจสงบ" และมีชีวิตดีขึ้น ตัดสินใจมีศีล ไม่ผิดศีลข้อ ๓ (กาเม) → ได้ผลคือ "โล่งใจ" และไม่ต้องรู้สึกผิด ฝึกสติ นั่งสมาธิ → ได้ผลคือ "จิตสงบ" และมีปัญญามากขึ้น 👉 กรรมใหม่เป็นตัวแทรกแซงผลของกรรมเก่าได้ เช่น แม้เกิดมาในครอบครัวยากจน (กรรมเก่า) แต่หากขยันทำงาน เก็บเงิน สร้างโอกาสให้ตัวเอง (กรรมใหม่) ก็สามารถร่ำรวยได้ แม้เกิดมามีร่างกายอ่อนแอ (กรรมเก่า) แต่ดูแลสุขภาพดี ออกกำลังกาย กินอาหารที่ดี (กรรมใหม่) ก็สามารถแข็งแรงขึ้นได้ แม้เกิดมามีโอกาสน้อย (กรรมเก่า) แต่หมั่นเรียนรู้ พัฒนาตัวเอง (กรรมใหม่) ก็สามารถเปลี่ยนชีวิตได้ --- 🔹 วิธีตัดสินว่าเป็นกรรมเก่าหรือกรรมใหม่ 📌 ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นควบคุมไม่ได้ → เป็นผลของกรรมเก่า 📌 ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการกระทำและเจตนา → เป็นผลของกรรมใหม่ 💡 แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ กรรมใหม่สามารถเปลี่ยนผลของกรรมเก่าได้ 💡 อย่าเชื่อว่า "ชีวิตถูกกำหนดแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้" → นี่คือมิจฉาทิฏฐิ 💡 พุทธศาสนาสอนให้เราลงมือเปลี่ยนชีวิตด้วยกรรมใหม่ที่ดีในปัจจุบัน --- 🔹 สรุป: ทางเลือกที่ชาญฉลาด ✅ อย่าโทษกรรมเก่าแล้วปล่อยตัวให้เป็นไปตามยถากรรม ✅ ตั้งใจสร้างกรรมใหม่ที่ดี เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเอง ✅ แม้กรรมเก่าจะเป็นตัวกำหนด "ต้นทุนชีวิต" แต่กรรมใหม่คือสิ่งที่เราใช้พลิกชีวิตได้ 📌 วันนี้คุณเลือกสร้างกรรมใหม่แบบไหน? ✨ กรรมดีที่พาตัวเองไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น หรือ 🔥 กรรมชั่วที่ทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในปัญหาเดิมๆ ➡ ทุกอย่างอยู่ที่ "การตัดสินใจในปัจจุบัน" นี่แหละ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 0 รีวิว
  • “โตเกียวซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจในภูมิภาคแถบนี้ แต่ในวันนี้กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่น่าวิตกกังวล ในขณะที่ความยากจนเพิ่มขึ้นและค่าเงินเยนอ่อนค่าลง”
    “โตเกียวซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจในภูมิภาคแถบนี้ แต่ในวันนี้กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่น่าวิตกกังวล ในขณะที่ความยากจนเพิ่มขึ้นและค่าเงินเยนอ่อนค่าลง”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 25 0 รีวิว
  • ช่วงนี้กระแสหนังภารตะเรื่องหนึ่งแรงมาก เป็นเรื่องราวอิงชีวประวัติของโสเภณีหญิงที่กลายมาเป็นแม่เล้าผู้ทรงอิทธิพลในอินเดีย เห็นว่าฟ้องร้องกันอยู่ว่าเรื่องราวบิดเบือนเพราะเธอไม่ได้เป็นโสเภณีจริง ความจริงเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่หนังเรื่องนี้ทำให้ Storyฯ นึกถึงภาพยนตร์จีนโบราณที่เคยผ่านตาเมื่อนานมาแล้วเรื่องหนึ่งชื่อว่า <หลิ่วหรูซื่อ> (Threads of Time)

    เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวประวัติของนางคณิกานามว่า ‘หลิ่วหรูซื่อ’ นางถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นกวีหญิงที่โดดเด่นในสมัยปลายราชวงศ์หมิง และเป็นสตรีที่รักชาติและต่อต้านการรุกรานจากชาวแมนจูในช่วงผลัดแผ่นดิน ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเพจคุ้นเคยกับเรื่องของนางกันบ้างหรือไม่? วันนี้เลยมาคุยให้ฟังอย่างย่อ

    หลิ่วหรูซื่อ (ค.ศ. 1618-1664) ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาจากแม่น้ำฉินหวย (ฉินหวยปาเยี่ยน / 秦淮八艳)

    อะไรคือ ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ? ในสมัยปลายราชวงศ์หมิงนั้น สถานสอบราชบันฑิตที่ใหญ่ที่สุดคือเจียงหนานก้งเยวี่ยน (江南贡院) ตั้งอยู่ที่เมืองเจียงหนานริมฝั่งแม่น้ำฉินหวย ในแต่ละปีจะมีบัณฑิตและข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการสอบมาที่นี่ถึงสองสามหมื่นคน จากเมืองเจียงหนานข้ามแม่น้ำฉินหวยมาก็เป็นเมืองหนานจิง (นานกิง) ซึ่งนับว่าเป็นเมืองทางผ่านสำหรับเขาเหล่านี้ ที่นี่จึงกลายเป็นทำเลทองของกิจการหอนางโลม

    เพื่อนเพจอย่าได้คิดว่านางคณิกาเหล่านี้เน้นขายบริการทางเพศแต่อย่างเดียว ในยุคนั้นรายได้เป็นกอบเป็นกำมาจากการขายความบันเทิงทางศิลปะเคล้าสุรา เช่น เล่นดนตรี / เล่นหมากล้อม / โชว์เต้นรำ / แต่งกลอนวาดภาพ หรืออาจทำทั้งหมด มีนางคณิกาจำนวนไม่น้อยที่ขายศิลปะไม่ขายตัวและคนที่ชื่อดังจะต้องมีฝีมือดีเยี่ยม ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่มีการศึกษา ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ทั้งแปดคนนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของนางคณิกาในย่านเมืองหนานจิงนี้นี่เอง

    หลิ่วหรูซื่อมีนามเดิมว่า ‘หยางอ้าย’ ต่อมาเปลี่ยนชื่อตนเองใหม่เป็น ‘อิ่ง’ และมีนามรองว่า ‘หรูซื่อ’ ตามบทกวีจากสมัยซ่ง บ่อยครั้งที่นางแต่งตัวเป็นชายออกไปโต้กลอนกับคนอื่นโดยใช้นามว่า ‘เหอตงจวิน’ นางโด่งดังที่สุดด้านงานอักษรและงานพู่กันจีน (บทกวี คัดพู่กัน และภาพวาด) ผลงานของนางมีมากมายทั้งในนาม ‘หลิ่วหรูซื่อ’ และ ‘เหอตงจวิน’ มีการรวมเล่มผลงานของนางออกจำหน่ายในหลายยุคสมัยจวบจนปัจจุบัน

    นางเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ถูกขายให้กับหอนางโลมเมื่ออายุแปดขวบ แต่แม่เล้ารับเป็นลูกบุญธรรมและได้ฝึกเรียนศิลปะแขนงต่างๆ ในชีวิตนางมีชายสามคนที่มีบทบาทมาก คนแรกคืออดีตเสนาบดีอดีตจอหงวน ที่รับนางเป็นอนุเมื่ออายุเพียง 14 ปี เขาโปรดปรานนางที่สุด ใช้เวลาทั้งวันกับการสอนศิลปะขั้นสูงเหล่านี้ให้กับนาง

    เมื่อเขาตายลงนางถูกขับออกจากเรือนจึงกลับไปอยู่หอนางโลมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีวิชาความรู้ติดตัวจนเป็นที่เลื่องลือ ทำให้นางใช้ชีวิตอยู่กับการคบหาสมาคมกับเหล่าบัณฑิตจนได้มาพบรักกับเฉินจื่อหลง เขาเป็นบัณฑิตที่ต่อมารับราชการไปได้ไกล ทั้งสองอยู่ด้วยกันนานหลายปี แต่สุดท้ายไปไม่รอดแยกย้ายกันไปและนางออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่นางมีผลงานด้านโคลงกลอนและภาพวาดมากมาย

    ต่อมาในวัย 23 ปี นางได้พบและแต่งงานกับอดีตขุนนางอายุกว่า 50 ปีนามว่าเฉียนเชียนอี้เป็นภรรยารอง (แต่ภรรยาคนแรกเสียไปแล้ว) และอยู่ด้วยกันนานกว่า 20 ปี มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ช่วงเวลาที่อยู่กับเฉียนเชียนอี้นี้ เป็นช่วงเวลาที่นางได้รับการยกย่องเรื่องรักชาติ และนางเป็นผู้ผลักดันให้เฉียนเชียนอี้ทำงานต่อต้านแมนจูอย่างลับๆ เพื่อกอบกู้ราชวงศ์หมิง แม้ว่าฉากหน้าจะสวามิภักดิ์รับราชการกับทางการแมนจูไปแล้ว (เรื่องราวของเฉียนเชียนอี้ที่กลับไปกลับมากับการสนับสนุนฝ่ายใดเป็นเรื่องที่ยาว Storyฯ ขอไม่ลงในรายละเอียด) ต่อมาเฉียนเชียนอี้ลาออกไปใช้ชีวิตบั้นปลายในชนบทโดยนางติดตามไปด้วย เมื่อเขาตายลงมีการแย่งทรัพย์สมบัติ นางจึงฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องให้ทางการเอาผิดคนโกงและคืนทรัพย์สินกลับมาให้ลูก

    หลิ่วหรูซื่อไม่เพียงฝากผลงานเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังมากมาย หากแต่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและรักชาติของหลิ่วหรูซื่อถูกสะท้อนออกมาในบทประพันธ์ต่างๆ ของนางด้วยอารมณ์ประมาณว่า “ถ้าฉันเป็นชาย ฉันจะไปสู้เพื่อชาติ” แต่เมื่อเป็นหญิง นางจึงพยายามสนับสนุนกองกำลังกู้ชาติทางการเงินและผลักดันให้สามีของนางสนับสนุนด้วย และนี่คือสาเหตุว่าทำไมเรื่องราวของนางคณิกาธรรมดาคนนี้ยังไม่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html
    https://www.chinanews.com.cn/cul/news/2008/03-10/1186637.shtml
    https://new.qq.com/omn/20191102/20191102A03LG800.html
    https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html
    http://www.360doc.com/content/20/0325/10/60244337_901533310.shtml
    https://kknews.cc/history/ogan4p.html
    https://baike.baidu.com/item/%E7%A7%A6%E6%B7%AE%E5%85%AB%E8%89%B3/384726

    #หลิ่วหรูซือ #เหอตงจวิน #นางคณิกาจีนโบราณ #ฉินหวยปาเยี่ยน #เฉียนเชียนอี้ #เฉินจื่อหลง #กอบกู้หมิง
    ช่วงนี้กระแสหนังภารตะเรื่องหนึ่งแรงมาก เป็นเรื่องราวอิงชีวประวัติของโสเภณีหญิงที่กลายมาเป็นแม่เล้าผู้ทรงอิทธิพลในอินเดีย เห็นว่าฟ้องร้องกันอยู่ว่าเรื่องราวบิดเบือนเพราะเธอไม่ได้เป็นโสเภณีจริง ความจริงเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่หนังเรื่องนี้ทำให้ Storyฯ นึกถึงภาพยนตร์จีนโบราณที่เคยผ่านตาเมื่อนานมาแล้วเรื่องหนึ่งชื่อว่า <หลิ่วหรูซื่อ> (Threads of Time) เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวประวัติของนางคณิกานามว่า ‘หลิ่วหรูซื่อ’ นางถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นกวีหญิงที่โดดเด่นในสมัยปลายราชวงศ์หมิง และเป็นสตรีที่รักชาติและต่อต้านการรุกรานจากชาวแมนจูในช่วงผลัดแผ่นดิน ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเพจคุ้นเคยกับเรื่องของนางกันบ้างหรือไม่? วันนี้เลยมาคุยให้ฟังอย่างย่อ หลิ่วหรูซื่อ (ค.ศ. 1618-1664) ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาจากแม่น้ำฉินหวย (ฉินหวยปาเยี่ยน / 秦淮八艳) อะไรคือ ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ? ในสมัยปลายราชวงศ์หมิงนั้น สถานสอบราชบันฑิตที่ใหญ่ที่สุดคือเจียงหนานก้งเยวี่ยน (江南贡院) ตั้งอยู่ที่เมืองเจียงหนานริมฝั่งแม่น้ำฉินหวย ในแต่ละปีจะมีบัณฑิตและข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการสอบมาที่นี่ถึงสองสามหมื่นคน จากเมืองเจียงหนานข้ามแม่น้ำฉินหวยมาก็เป็นเมืองหนานจิง (นานกิง) ซึ่งนับว่าเป็นเมืองทางผ่านสำหรับเขาเหล่านี้ ที่นี่จึงกลายเป็นทำเลทองของกิจการหอนางโลม เพื่อนเพจอย่าได้คิดว่านางคณิกาเหล่านี้เน้นขายบริการทางเพศแต่อย่างเดียว ในยุคนั้นรายได้เป็นกอบเป็นกำมาจากการขายความบันเทิงทางศิลปะเคล้าสุรา เช่น เล่นดนตรี / เล่นหมากล้อม / โชว์เต้นรำ / แต่งกลอนวาดภาพ หรืออาจทำทั้งหมด มีนางคณิกาจำนวนไม่น้อยที่ขายศิลปะไม่ขายตัวและคนที่ชื่อดังจะต้องมีฝีมือดีเยี่ยม ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่มีการศึกษา ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ทั้งแปดคนนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของนางคณิกาในย่านเมืองหนานจิงนี้นี่เอง หลิ่วหรูซื่อมีนามเดิมว่า ‘หยางอ้าย’ ต่อมาเปลี่ยนชื่อตนเองใหม่เป็น ‘อิ่ง’ และมีนามรองว่า ‘หรูซื่อ’ ตามบทกวีจากสมัยซ่ง บ่อยครั้งที่นางแต่งตัวเป็นชายออกไปโต้กลอนกับคนอื่นโดยใช้นามว่า ‘เหอตงจวิน’ นางโด่งดังที่สุดด้านงานอักษรและงานพู่กันจีน (บทกวี คัดพู่กัน และภาพวาด) ผลงานของนางมีมากมายทั้งในนาม ‘หลิ่วหรูซื่อ’ และ ‘เหอตงจวิน’ มีการรวมเล่มผลงานของนางออกจำหน่ายในหลายยุคสมัยจวบจนปัจจุบัน นางเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ถูกขายให้กับหอนางโลมเมื่ออายุแปดขวบ แต่แม่เล้ารับเป็นลูกบุญธรรมและได้ฝึกเรียนศิลปะแขนงต่างๆ ในชีวิตนางมีชายสามคนที่มีบทบาทมาก คนแรกคืออดีตเสนาบดีอดีตจอหงวน ที่รับนางเป็นอนุเมื่ออายุเพียง 14 ปี เขาโปรดปรานนางที่สุด ใช้เวลาทั้งวันกับการสอนศิลปะขั้นสูงเหล่านี้ให้กับนาง เมื่อเขาตายลงนางถูกขับออกจากเรือนจึงกลับไปอยู่หอนางโลมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีวิชาความรู้ติดตัวจนเป็นที่เลื่องลือ ทำให้นางใช้ชีวิตอยู่กับการคบหาสมาคมกับเหล่าบัณฑิตจนได้มาพบรักกับเฉินจื่อหลง เขาเป็นบัณฑิตที่ต่อมารับราชการไปได้ไกล ทั้งสองอยู่ด้วยกันนานหลายปี แต่สุดท้ายไปไม่รอดแยกย้ายกันไปและนางออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่นางมีผลงานด้านโคลงกลอนและภาพวาดมากมาย ต่อมาในวัย 23 ปี นางได้พบและแต่งงานกับอดีตขุนนางอายุกว่า 50 ปีนามว่าเฉียนเชียนอี้เป็นภรรยารอง (แต่ภรรยาคนแรกเสียไปแล้ว) และอยู่ด้วยกันนานกว่า 20 ปี มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ช่วงเวลาที่อยู่กับเฉียนเชียนอี้นี้ เป็นช่วงเวลาที่นางได้รับการยกย่องเรื่องรักชาติ และนางเป็นผู้ผลักดันให้เฉียนเชียนอี้ทำงานต่อต้านแมนจูอย่างลับๆ เพื่อกอบกู้ราชวงศ์หมิง แม้ว่าฉากหน้าจะสวามิภักดิ์รับราชการกับทางการแมนจูไปแล้ว (เรื่องราวของเฉียนเชียนอี้ที่กลับไปกลับมากับการสนับสนุนฝ่ายใดเป็นเรื่องที่ยาว Storyฯ ขอไม่ลงในรายละเอียด) ต่อมาเฉียนเชียนอี้ลาออกไปใช้ชีวิตบั้นปลายในชนบทโดยนางติดตามไปด้วย เมื่อเขาตายลงมีการแย่งทรัพย์สมบัติ นางจึงฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องให้ทางการเอาผิดคนโกงและคืนทรัพย์สินกลับมาให้ลูก หลิ่วหรูซื่อไม่เพียงฝากผลงานเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังมากมาย หากแต่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและรักชาติของหลิ่วหรูซื่อถูกสะท้อนออกมาในบทประพันธ์ต่างๆ ของนางด้วยอารมณ์ประมาณว่า “ถ้าฉันเป็นชาย ฉันจะไปสู้เพื่อชาติ” แต่เมื่อเป็นหญิง นางจึงพยายามสนับสนุนกองกำลังกู้ชาติทางการเงินและผลักดันให้สามีของนางสนับสนุนด้วย และนี่คือสาเหตุว่าทำไมเรื่องราวของนางคณิกาธรรมดาคนนี้ยังไม่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html https://www.chinanews.com.cn/cul/news/2008/03-10/1186637.shtml https://new.qq.com/omn/20191102/20191102A03LG800.html https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html http://www.360doc.com/content/20/0325/10/60244337_901533310.shtml https://kknews.cc/history/ogan4p.html https://baike.baidu.com/item/%E7%A7%A6%E6%B7%AE%E5%85%AB%E8%89%B3/384726 #หลิ่วหรูซือ #เหอตงจวิน #นางคณิกาจีนโบราณ #ฉินหวยปาเยี่ยน #เฉียนเชียนอี้ #เฉินจื่อหลง #กอบกู้หมิง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 554 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ลี้ภัยพม่าวัย 71 ปี ค่ายผู้อพยพในไทยกลายเป็นผู้เสียชีวิตรายแรกของโลกที่เกิดจาก USAID โดนสั่งยกเลิกเงินช่วยเหลือ สุดอนาถใจตายเพราะขาดออกซิเจนหลังโรงพยาบาลกาชาดสากล IRC ปิดลง ทรัมป์สั่งไล่ผู้ตรวจการ USAID ออกหลังแอบรั่วข่าว อาหารในคลังเกือบ 500 ล้านดอลลาร์ เสี่ยงหมดอายุเพราะโดนห้ามส่งให้ประเทศยากจน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000014626

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ผู้ลี้ภัยพม่าวัย 71 ปี ค่ายผู้อพยพในไทยกลายเป็นผู้เสียชีวิตรายแรกของโลกที่เกิดจาก USAID โดนสั่งยกเลิกเงินช่วยเหลือ สุดอนาถใจตายเพราะขาดออกซิเจนหลังโรงพยาบาลกาชาดสากล IRC ปิดลง ทรัมป์สั่งไล่ผู้ตรวจการ USAID ออกหลังแอบรั่วข่าว อาหารในคลังเกือบ 500 ล้านดอลลาร์ เสี่ยงหมดอายุเพราะโดนห้ามส่งให้ประเทศยากจน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000014626 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Sad
    Like
    Haha
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1353 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญพระพุทธวัดม่วงเจริญผล จ.สุพรรณบุรี ปี2553

    เหรียญพระพุทธวัดม่วงเจริญผล อำเภอศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี ปี2553 //ปลุกเสกพิธีเสาร์ห้า หลวงพ่อรวย วัดตะโก ปลุกเสก // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณมั่งมีเงินทอง ทรัพย์สมบัติ มีกินมีใช้ ไม่อดอยากยากจน แคล้วคลาด เมตตามหานิยม เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน หนุนดวงชะตา ปกป้องคุ้มครอง คงกะพันชาตรี >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131


    เหรียญพระพุทธวัดม่วงเจริญผล จ.สุพรรณบุรี ปี2553 เหรียญพระพุทธวัดม่วงเจริญผล อำเภอศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี ปี2553 //ปลุกเสกพิธีเสาร์ห้า หลวงพ่อรวย วัดตะโก ปลุกเสก // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณมั่งมีเงินทอง ทรัพย์สมบัติ มีกินมีใช้ ไม่อดอยากยากจน แคล้วคลาด เมตตามหานิยม เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน หนุนดวงชะตา ปกป้องคุ้มครอง คงกะพันชาตรี >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณเชื่อเรื่อง กรรม ไหม? ...มีคำถามนึง ไม่ได้บูลลี่ ผู้พิการแต่อย่างใด...ทำไมผู้พิการส่วนใหญ่..เกิดในครอบครัวยากจน...? มองในแง่ ฐานะ ก็เข้าใจได้ คือ อาจไม่มีเงินบำรุงร่างกาย หรือตรวจสอบ หรือพบแพทย์เป็นระยะ...คำอ้างนี้ฟังขึ้นไหม..ถามว่า แล้วคนยุคพ่อแม่เราละ...บ้านนอกบ้านนา คลอดหมอตำแย...ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้พิการนี่.....
    ....ถามว่าที่เกิดจากครอบครัวคนรวยมีไหม..ที่พิการ..ตอบว่า มี แต่น้อยมากๆ...
    ...ดังนั้น ความเชื่อ + สถิติ ที่อ้างอิงข้างต้น...มันไปด้วยกันได้...ส่วนตัวจึงเชื่อว่า ..นี่คือ กรรม...ที่ให้ผล.
    คุณเชื่อเรื่อง กรรม ไหม? ...มีคำถามนึง ไม่ได้บูลลี่ ผู้พิการแต่อย่างใด...ทำไมผู้พิการส่วนใหญ่..เกิดในครอบครัวยากจน...? มองในแง่ ฐานะ ก็เข้าใจได้ คือ อาจไม่มีเงินบำรุงร่างกาย หรือตรวจสอบ หรือพบแพทย์เป็นระยะ...คำอ้างนี้ฟังขึ้นไหม..ถามว่า แล้วคนยุคพ่อแม่เราละ...บ้านนอกบ้านนา คลอดหมอตำแย...ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้พิการนี่..... ....ถามว่าที่เกิดจากครอบครัวคนรวยมีไหม..ที่พิการ..ตอบว่า มี แต่น้อยมากๆ... ...ดังนั้น ความเชื่อ + สถิติ ที่อ้างอิงข้างต้น...มันไปด้วยกันได้...ส่วนตัวจึงเชื่อว่า ..นี่คือ กรรม...ที่ให้ผล.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • 5 ปี คนไทยรายแรกติดเชื้อโควิด-19 จุดเริ่มต้นโครงการ “คนละครึ่ง-เราไม่ทิ้งกัน”

    ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563 ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 คนไทยรายแรก เป็นชายวัย 50 ปี อาชีพขับแท็กซี่ ซึ่งติดเชื้อมาจากผู้โดยสาร ที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน นี่คือจุดเริ่มต้นของการรับมือ กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กลายเป็น วิกฤตการณ์ระดับโลก

    จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับ ความท้าทายด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคม โควิด-19 ทำให้เกิดมาตรการล็อกดาวน์ การปิดประเทศ และวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้ออกมาตรการช่วยเหลือต่างๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบ หนึ่งในนั้นคือ โครงการ "คนละครึ่ง" และ "เราไม่ทิ้งกัน" ที่มีบทบาทสำคัญ ในการพยุงเศรษฐกิจ และช่วยเหลือประชาชน

    จากอู่ฮั่นสู่การระบาดทั่วโลก
    "โควิด-19" เป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งเกิดจาก ไวรัส SARS-CoV-2 เริ่มต้นระบาดในนครอู่ฮั่น ประเทศจีน เมื่อเดือนธันวาคม 2562 ก่อนแพร่กระจายไปทั่วโลก

    การประกาศขององค์การอนามัยโลก (WHO)
    30 มกราคม 2563 WHO ประกาศให้โควิด-19 เป็นภาวะฉุกเฉิน ทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ
    11 มีนาคม 2563 WHO ประกาศให้โควิด-19 เป็นการระบาดใหญ่ระดับโลก (Pandemic)

    ลักษณะการแพร่เชื้อ
    โควิด-19 สามารถแพร่กระจายผ่านละอองฝอย จากการไอหรือจาม โดยมีระยะฟักตัว 2-14 วัน อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
    ✅ มีไข้
    ✅ ไอแห้ง
    ✅ หายใจลำบาก

    มาตรการป้องกันเบื้องต้น
    ✅ ล้างมือบ่อยๆ
    ✅ สวมหน้ากากอนามัย
    ✅ เว้นระยะห่างทางสังคม
    ✅ กักตัวเมื่อสงสัยว่าติดเชื้อ

    จากผู้ติดเชื้อรายแรก สู่การล็อกดาวน์
    ประเทศไทยเป็นประเทศที่สองของโลก ที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 หลังจากจีน โดยในช่วงต้นของการระบาด รัฐบาลไทยได้ออกมาตรการที่เข้มงวด เพื่อควบคุมสถานการณ์

    มาตรการสำคัญที่ไทยใช้รับมือกับโควิด-19
    🔹 ปิดประเทศและล็อกดาวน์ ควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศ
    🔹 มาตรการ Work From Home ให้หน่วยงานและบริษัทต่างๆ ทำงานที่บ้าน
    🔹 Social Distancing จำกัดการรวมตัวในที่สาธารณะ
    🔹 การเร่งตรวจหาเชื้อและกักตัว สร้างศูนย์ตรวจโควิด-19 และสถานกักตัว

    ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
    📉 ธุรกิจปิดตัวจำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว
    📉 อัตราการว่างงานสูงขึ้น
    📉 ประชาชนมีรายได้ลดลง และเกิดปัญหาความยากจน

    โครงการ "เราไม่ทิ้งกัน" และ "คนละครึ่ง" ตัวช่วยสำคัญของประชาชน
    เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ของประชาชน รัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือที่สำคัญ ได้แก่

    💰 โครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” 💰
    📍 เริ่มต้นในปี 2563
    📍 แจกเงินเยียวยา 5,000 บาท ต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน
    📍 ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ แรงงานอิสระ และผู้ประกอบอาชีพอิสระ

    🛍 โครงการ “คนละครึ่ง” 🛍
    📍 เริ่มต้นในปี 2563
    📍 รัฐบาลช่วยออกค่าใช้จ่าย 50% (สูงสุด 150 บาท/วัน)
    📍 ใช้ได้กับร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศ
    📍 กระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กอยู่รอด

    ผลกระทบทางสังคมและการศึกษา
    📉 รายได้และความเป็นอยู่ของประชาชน
    💸 ประชาชนกว่า 70% รายได้ลดลง
    💸 50% ของแรงงาน ได้รับผลกระทบโดยตรง
    💸 ครัวเรือนในชนบท ได้รับผลกระทบหนัก รายได้ลดลงมากกว่า 80%

    📚 ผลกระทบต่อการศึกษา
    🏫 โรงเรียนปิด และปรับเปลี่ยนเป็น การเรียนออนไลน์
    📶 เด็กที่ยากจน ขาดอุปกรณ์การเรียน และอินเทอร์เน็ต
    📉 คุณภาพการศึกษาลดลง ส่งผลต่อโอกาสทางการศึกษา ในอนาคต

    วัคซีนโควิด-19 จุดเปลี่ยนของการระบาด
    ในช่วงแรกของการระบาด ประเทศไทยประสบปัญหา การจัดหาวัคซีนล่าช้า อย่างไรก็ตาม ในปี 2564-2565 รัฐบาลได้เร่งนำเข้าวัคซีน และกระจายวัคซีนให้ประชาชน

    แผนการฉีดวัคซีนในไทย
    ✅ Sinovac & AstraZeneca เป็นวัคซีนชุดแรกที่ใช้ในไทย
    ✅ Pfizer & Moderna เพิ่มตัวเลือกให้ประชาชน
    ✅ ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster Dose) เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน

    ผลของการฉีดวัคซีน
    📉 อัตราการเสียชีวิตลดลง
    📉 ระบบสาธารณสุขรับมือได้ดีขึ้น
    📉 เปิดประเทศและฟื้นฟูเศรษฐกิจ

    บทเรียนจากโควิด-19 อนาคตประเทศไทย
    ตลอด 5 ปีของโควิด-19 ประเทศไทยได้เผชิญกับความท้าทาย ทั้งด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลและประชาชนร่วมมือกัน รับมือกับสถานการณ์นี้อย่างเต็มที่

    📌 บทเรียนสำคัญจากโควิด-19
    🔹 ต้องมีระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง เพื่อรับมือโรคระบาดในอนาคต
    🔹 การช่วยเหลือประชาชน ต้องรวดเร็วและทั่วถึง
    🔹 การพึ่งพาเทคโนโลยี และการทำงานออนไลน์ เป็นเรื่องสำคัญ
    🔹 ต้องมีแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะยาว

    ประเทศไทยหลังโควิด-19
    ✅ เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
    ✅ การท่องเที่ยวกลับมาเติบโตอีกครั้ง
    ✅ การแพทย์และระบบสาธารณสุข พัฒนาไปอีกขั้น

    นี่คือภาพรวม 5 ปี ของโควิด-19 ในประเทศไทย จากวันแรกที่พบผู้ติดเชื้อรายแรก สู่ มาตรการช่วยเหลือประชาชน และ การฟื้นตัวของประเทศ แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ก็เป็นบทเรียนสำคัญในการรับมือกับวิกฤต ในอนาคต 🚀💙

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 311121 ม.ค. 2568

    🔖 #โควิด19 #คนละครึ่ง #เราไม่ทิ้งกัน #ไทยหลังโควิด #ฟื้นฟูเศรษฐกิจ #วัคซีนโควิด #NewNormal #ล็อกดาวน์ #ช่วยเหลือประชาชน #ชีวิตหลังโควิด
    5 ปี คนไทยรายแรกติดเชื้อโควิด-19 จุดเริ่มต้นโครงการ “คนละครึ่ง-เราไม่ทิ้งกัน” ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563 ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 คนไทยรายแรก เป็นชายวัย 50 ปี อาชีพขับแท็กซี่ ซึ่งติดเชื้อมาจากผู้โดยสาร ที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน นี่คือจุดเริ่มต้นของการรับมือ กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กลายเป็น วิกฤตการณ์ระดับโลก จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับ ความท้าทายด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคม โควิด-19 ทำให้เกิดมาตรการล็อกดาวน์ การปิดประเทศ และวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้ออกมาตรการช่วยเหลือต่างๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบ หนึ่งในนั้นคือ โครงการ "คนละครึ่ง" และ "เราไม่ทิ้งกัน" ที่มีบทบาทสำคัญ ในการพยุงเศรษฐกิจ และช่วยเหลือประชาชน จากอู่ฮั่นสู่การระบาดทั่วโลก "โควิด-19" เป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งเกิดจาก ไวรัส SARS-CoV-2 เริ่มต้นระบาดในนครอู่ฮั่น ประเทศจีน เมื่อเดือนธันวาคม 2562 ก่อนแพร่กระจายไปทั่วโลก การประกาศขององค์การอนามัยโลก (WHO) 30 มกราคม 2563 WHO ประกาศให้โควิด-19 เป็นภาวะฉุกเฉิน ทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ 11 มีนาคม 2563 WHO ประกาศให้โควิด-19 เป็นการระบาดใหญ่ระดับโลก (Pandemic) ลักษณะการแพร่เชื้อ โควิด-19 สามารถแพร่กระจายผ่านละอองฝอย จากการไอหรือจาม โดยมีระยะฟักตัว 2-14 วัน อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ ✅ มีไข้ ✅ ไอแห้ง ✅ หายใจลำบาก มาตรการป้องกันเบื้องต้น ✅ ล้างมือบ่อยๆ ✅ สวมหน้ากากอนามัย ✅ เว้นระยะห่างทางสังคม ✅ กักตัวเมื่อสงสัยว่าติดเชื้อ จากผู้ติดเชื้อรายแรก สู่การล็อกดาวน์ ประเทศไทยเป็นประเทศที่สองของโลก ที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 หลังจากจีน โดยในช่วงต้นของการระบาด รัฐบาลไทยได้ออกมาตรการที่เข้มงวด เพื่อควบคุมสถานการณ์ มาตรการสำคัญที่ไทยใช้รับมือกับโควิด-19 🔹 ปิดประเทศและล็อกดาวน์ ควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศ 🔹 มาตรการ Work From Home ให้หน่วยงานและบริษัทต่างๆ ทำงานที่บ้าน 🔹 Social Distancing จำกัดการรวมตัวในที่สาธารณะ 🔹 การเร่งตรวจหาเชื้อและกักตัว สร้างศูนย์ตรวจโควิด-19 และสถานกักตัว ผลกระทบทางเศรษฐกิจ 📉 ธุรกิจปิดตัวจำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว 📉 อัตราการว่างงานสูงขึ้น 📉 ประชาชนมีรายได้ลดลง และเกิดปัญหาความยากจน โครงการ "เราไม่ทิ้งกัน" และ "คนละครึ่ง" ตัวช่วยสำคัญของประชาชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ของประชาชน รัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือที่สำคัญ ได้แก่ 💰 โครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” 💰 📍 เริ่มต้นในปี 2563 📍 แจกเงินเยียวยา 5,000 บาท ต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน 📍 ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ แรงงานอิสระ และผู้ประกอบอาชีพอิสระ 🛍 โครงการ “คนละครึ่ง” 🛍 📍 เริ่มต้นในปี 2563 📍 รัฐบาลช่วยออกค่าใช้จ่าย 50% (สูงสุด 150 บาท/วัน) 📍 ใช้ได้กับร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศ 📍 กระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กอยู่รอด ผลกระทบทางสังคมและการศึกษา 📉 รายได้และความเป็นอยู่ของประชาชน 💸 ประชาชนกว่า 70% รายได้ลดลง 💸 50% ของแรงงาน ได้รับผลกระทบโดยตรง 💸 ครัวเรือนในชนบท ได้รับผลกระทบหนัก รายได้ลดลงมากกว่า 80% 📚 ผลกระทบต่อการศึกษา 🏫 โรงเรียนปิด และปรับเปลี่ยนเป็น การเรียนออนไลน์ 📶 เด็กที่ยากจน ขาดอุปกรณ์การเรียน และอินเทอร์เน็ต 📉 คุณภาพการศึกษาลดลง ส่งผลต่อโอกาสทางการศึกษา ในอนาคต วัคซีนโควิด-19 จุดเปลี่ยนของการระบาด ในช่วงแรกของการระบาด ประเทศไทยประสบปัญหา การจัดหาวัคซีนล่าช้า อย่างไรก็ตาม ในปี 2564-2565 รัฐบาลได้เร่งนำเข้าวัคซีน และกระจายวัคซีนให้ประชาชน แผนการฉีดวัคซีนในไทย ✅ Sinovac & AstraZeneca เป็นวัคซีนชุดแรกที่ใช้ในไทย ✅ Pfizer & Moderna เพิ่มตัวเลือกให้ประชาชน ✅ ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster Dose) เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ผลของการฉีดวัคซีน 📉 อัตราการเสียชีวิตลดลง 📉 ระบบสาธารณสุขรับมือได้ดีขึ้น 📉 เปิดประเทศและฟื้นฟูเศรษฐกิจ บทเรียนจากโควิด-19 อนาคตประเทศไทย ตลอด 5 ปีของโควิด-19 ประเทศไทยได้เผชิญกับความท้าทาย ทั้งด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลและประชาชนร่วมมือกัน รับมือกับสถานการณ์นี้อย่างเต็มที่ 📌 บทเรียนสำคัญจากโควิด-19 🔹 ต้องมีระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง เพื่อรับมือโรคระบาดในอนาคต 🔹 การช่วยเหลือประชาชน ต้องรวดเร็วและทั่วถึง 🔹 การพึ่งพาเทคโนโลยี และการทำงานออนไลน์ เป็นเรื่องสำคัญ 🔹 ต้องมีแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะยาว ประเทศไทยหลังโควิด-19 ✅ เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ✅ การท่องเที่ยวกลับมาเติบโตอีกครั้ง ✅ การแพทย์และระบบสาธารณสุข พัฒนาไปอีกขั้น นี่คือภาพรวม 5 ปี ของโควิด-19 ในประเทศไทย จากวันแรกที่พบผู้ติดเชื้อรายแรก สู่ มาตรการช่วยเหลือประชาชน และ การฟื้นตัวของประเทศ แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ก็เป็นบทเรียนสำคัญในการรับมือกับวิกฤต ในอนาคต 🚀💙 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 311121 ม.ค. 2568 🔖 #โควิด19 #คนละครึ่ง #เราไม่ทิ้งกัน #ไทยหลังโควิด #ฟื้นฟูเศรษฐกิจ #วัคซีนโควิด #NewNormal #ล็อกดาวน์ #ช่วยเหลือประชาชน #ชีวิตหลังโควิด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 876 มุมมอง 0 รีวิว
  • กรีนแลนด์ ดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก ควรเข้าร่วมสหพันธรัฐรัสเซีย สืบเนื่องจากชนเผ่าพื้นเมืองของเกาะและประชากรอินูอิตของรัสเซีย มีความเกี่ยวดองกันทางภาษาพูด จากคำชี้แนะของวิตาลี มีโลนอฟ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแดนหมีขาวเมื่อช่วงกลางสัปดาห์
    .
    ความเห็นล่าสุดของเขามีขึ้นตามหลังถ้อยแถลงอันเป็นที่ถกเถียงเป็นชุดๆ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เกี่ยวกับแผนผนวกกรีนแลนด์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกา แม้มีเสียงปฏิเสธอย่างหนักแน่นจากผู้นำฝักใฝ่เอกราชของเกาะและเดนมาร์ก
    .
    "เราได้ยินถ้อยแถลงต่างๆ จากโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าแคนาดา ในข้อเท็จจริงคือ เป็นมลรัฐที่ยากจนที่สุดในอเมริกา ต้องพึ่งพิงสหรัฐฯ โดยสิ้นเชิง แต่ตัวอเมริกาเองก็อยู่ในวิกฤตเศรษฐกิจและการเมืองอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นผลจากการปกครองของโจ ไบเดน" มิโลนอฟ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Gazeta สื่อมวลชนรัสเซียเมื่อวันอังคาร (28 ม.ค.)
    .
    "สถานการณ์เช่นนี้ รัสเซียจึงอยู่ในฐานะรัฐปกติเพียงรัฐเดียว ที่มีระบบการเมืองและเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพเพียงพอที่จะสนับสนุนชนพื้นเมืองชาวกรีนแลนด์ ผู้ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ร่วมกับประชากรอินูอิตของรัสเซีย ทั้ง 2 กลุ่มพูดภาษาพื้นเมืองในภาษาเดียวกัน" เขากล่าวอ้าง
    .
    มิโลนอฟ เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้สนับสนุนตัวยง "ค่านิยมรัสเซียดั้งเดิม" และส่งสียงคัดค้านในสิ่งที่เขาเรียกว่าความเสื่อมทรามของตะวันตก ในนั้นรวมถึงโฆษณาชวนเชื่อ LGBT และอุดมการณ์ที่ไม่ต้องการมีลูก บ่อยครั้งเขาตกเป็นข่าวพาดหัวในแนวคิดอันเป็นที่ถกเถียงต่างๆ อย่างเช่นเรียกร้องให้ปิดเซ็กซ์ชอปทั้งหมดในรัสเซีย และเอาเซ็กซ์ทอยส์ที่ยึดมาเหล่านั้นไปทิ้งบอมบ์ใส่ยูเครน
    .
    จากข้อมูลของสหประชาชาติพบว่าราว 70% ของพลเมืองราว 60,000 คนของกรีนแลนด์ พูดภาษากรีนแลนดิก "ภาษาเอสกิโม-อะลิวต์" ซึ่งแตกออกมาเป็นภาษาอินูอิต ขณะที่นักภาษาศาสตร์ ณ ศูนย์ภาษาแห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เน้นว่าภาษากรีนแลนกิด มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่สุดกับภาษายูปิก ที่ใช้พูดกันในไซบีเรีย
    .
    "กรีนแลนด์อาจกลายมาเป็นดินแดนใหม่ของสหพันธรัฐรัสเซีย ยกตัวอย่างเช่น สาธารณรัฐประชาชนกรีนแลนดิก" มิโลนอฟเสนอ พร้อมอ้างว่าดินแดนแห่งนี้ต้องการแรงสนับสนุนและการปกป้องจากรัสเซีย หลังถูกลิดรอนสิทธิต่างๆ ภายใต้บังเหียนของเดนมาร์ก "ผู้รุกราน"
    .
    ทั้งนี้ กรีนแลนด์ อดีตอาณานิคมของเดนมาร์ก ได้รับอนุมัติให้ปกครองตนเองในปี 1979 ขณะที่ มูเต เอเกเด นายกรัฐมนตรีของเกาะแห่งนี้ เน้นย้ำเมื่อช่วงกลางเดือนว่า เกาะกำลังเสาะหาความเป็นเอกราช และอยู่ระหว่างดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำประชามติ แต่ไม่ได้ให้กรอบเวลาอย่างเจาะจง
    .
    "กรีนแลนด์มีไว้สำหรับประชาชนชาวกรีนแลนดิก เราไม่ต้องการเป็นคนเดนมาร์ก เราไม่อยากเป็นคนอเมริกา" เอเกเด ตอบโต้ความเคลื่อนไหวของทรัมป์ก่อนหน้านั้น ที่เสนอซื้อหรือผนวกเกาะแห่งนี้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009490
    ..............
    Sondhi X
    กรีนแลนด์ ดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก ควรเข้าร่วมสหพันธรัฐรัสเซีย สืบเนื่องจากชนเผ่าพื้นเมืองของเกาะและประชากรอินูอิตของรัสเซีย มีความเกี่ยวดองกันทางภาษาพูด จากคำชี้แนะของวิตาลี มีโลนอฟ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแดนหมีขาวเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ . ความเห็นล่าสุดของเขามีขึ้นตามหลังถ้อยแถลงอันเป็นที่ถกเถียงเป็นชุดๆ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เกี่ยวกับแผนผนวกกรีนแลนด์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกา แม้มีเสียงปฏิเสธอย่างหนักแน่นจากผู้นำฝักใฝ่เอกราชของเกาะและเดนมาร์ก . "เราได้ยินถ้อยแถลงต่างๆ จากโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าแคนาดา ในข้อเท็จจริงคือ เป็นมลรัฐที่ยากจนที่สุดในอเมริกา ต้องพึ่งพิงสหรัฐฯ โดยสิ้นเชิง แต่ตัวอเมริกาเองก็อยู่ในวิกฤตเศรษฐกิจและการเมืองอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นผลจากการปกครองของโจ ไบเดน" มิโลนอฟ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Gazeta สื่อมวลชนรัสเซียเมื่อวันอังคาร (28 ม.ค.) . "สถานการณ์เช่นนี้ รัสเซียจึงอยู่ในฐานะรัฐปกติเพียงรัฐเดียว ที่มีระบบการเมืองและเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพเพียงพอที่จะสนับสนุนชนพื้นเมืองชาวกรีนแลนด์ ผู้ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ร่วมกับประชากรอินูอิตของรัสเซีย ทั้ง 2 กลุ่มพูดภาษาพื้นเมืองในภาษาเดียวกัน" เขากล่าวอ้าง . มิโลนอฟ เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้สนับสนุนตัวยง "ค่านิยมรัสเซียดั้งเดิม" และส่งสียงคัดค้านในสิ่งที่เขาเรียกว่าความเสื่อมทรามของตะวันตก ในนั้นรวมถึงโฆษณาชวนเชื่อ LGBT และอุดมการณ์ที่ไม่ต้องการมีลูก บ่อยครั้งเขาตกเป็นข่าวพาดหัวในแนวคิดอันเป็นที่ถกเถียงต่างๆ อย่างเช่นเรียกร้องให้ปิดเซ็กซ์ชอปทั้งหมดในรัสเซีย และเอาเซ็กซ์ทอยส์ที่ยึดมาเหล่านั้นไปทิ้งบอมบ์ใส่ยูเครน . จากข้อมูลของสหประชาชาติพบว่าราว 70% ของพลเมืองราว 60,000 คนของกรีนแลนด์ พูดภาษากรีนแลนดิก "ภาษาเอสกิโม-อะลิวต์" ซึ่งแตกออกมาเป็นภาษาอินูอิต ขณะที่นักภาษาศาสตร์ ณ ศูนย์ภาษาแห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เน้นว่าภาษากรีนแลนกิด มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่สุดกับภาษายูปิก ที่ใช้พูดกันในไซบีเรีย . "กรีนแลนด์อาจกลายมาเป็นดินแดนใหม่ของสหพันธรัฐรัสเซีย ยกตัวอย่างเช่น สาธารณรัฐประชาชนกรีนแลนดิก" มิโลนอฟเสนอ พร้อมอ้างว่าดินแดนแห่งนี้ต้องการแรงสนับสนุนและการปกป้องจากรัสเซีย หลังถูกลิดรอนสิทธิต่างๆ ภายใต้บังเหียนของเดนมาร์ก "ผู้รุกราน" . ทั้งนี้ กรีนแลนด์ อดีตอาณานิคมของเดนมาร์ก ได้รับอนุมัติให้ปกครองตนเองในปี 1979 ขณะที่ มูเต เอเกเด นายกรัฐมนตรีของเกาะแห่งนี้ เน้นย้ำเมื่อช่วงกลางเดือนว่า เกาะกำลังเสาะหาความเป็นเอกราช และอยู่ระหว่างดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำประชามติ แต่ไม่ได้ให้กรอบเวลาอย่างเจาะจง . "กรีนแลนด์มีไว้สำหรับประชาชนชาวกรีนแลนดิก เราไม่ต้องการเป็นคนเดนมาร์ก เราไม่อยากเป็นคนอเมริกา" เอเกเด ตอบโต้ความเคลื่อนไหวของทรัมป์ก่อนหน้านั้น ที่เสนอซื้อหรือผนวกเกาะแห่งนี้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009490 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2089 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้พิพากษาสั่งระงับคำสั่งทรัมป์ในการพักการให้เงินกู้ เงินให้เปล่า และความช่วยเหลือทางการเงินอื่นๆ ของรัฐบาลกลางเป็นการชั่วคราว ตามการฟ้องร้องของกลุ่มที่เป็นตัวแทนองค์กรไม่หวังผลกำไร บุคลากรทางการแพทย์ และธุรกิจขนาดเล็กที่ระบุว่า คำสั่งของทำเนียบขาวอาจกระทบต่อโครงการที่ให้ความช่วยเหลือชาวอเมริกันหลายสิบล้านคน
    .
    ลอเรน อาลีข่าน ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ สั่งให้คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระงับการขัดขวางการให้เงินช่วยเหลือโครงการต่างๆ จนถึงวันที่ 3 ก.พ. ซึ่งจะมีการให้การในศาลที่วอชิงตัน
    .
    คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ในส่วนนี้เป็นขั้นตอนล่าสุดของความพยายามยกเครื่องรัฐบาลกลาง โดยก่อนหน้านี้เขาสั่งระงับการให้ความช่วยเหลือต่างชาติ ระงับการจ้างงาน และยกเลิกโครงการความหลากหลายในหน่วยงานรัฐบาลหลายสิบแห่ง
    .
    พรรคเดโมแครตโจมตีคำสั่งระงับเงินช่วยเหลือว่า เป็นการโจมตีอำนาจของคองเกรสในการกำกับดูแลการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางอย่างผิดกฎหมาย อีกทั้งทำให้การจ่ายเงินให้แพทย์และครูที่ดูแลเด็กก่อนวัยเรียนหยุดชะงัก ทว่า รีพับลิกันอ้างว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นการทำตามคำสัญญาระหว่างหาเสียงของทรัมป์ในการควบคุมงบประมาณที่มากผิดปกติของรัฐบาล
    .
    นอกจากนั้น คณะบริหารของทรัมป์ยังยืนยันว่า โปรแกรมที่มอบสิทธิพิเศษที่สำคัญให้แก่ประชาชนจะไม่ได้รับผลกระทบ
    .
    ทว่า วุฒิสมาชิกรอน ไวเดน จากพรรคเดโมแครต เผยว่า ได้รับการยืนยันจากแพทย์จากทั้ง 50 รัฐว่า ไม่ได้รับเงินจากโครงการเมดิแคร์ที่ให้การประกันสุขภาพชาวอเมริกันที่มีรายได้ต่ำ 70 ล้านคน
    .
    แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวโพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า รัฐบาลกลางรับรู้ว่า พอร์ทัลเมดิเคดเกิดการขัดข้องและจะกลับมาออนไลน์ได้ตามปกติเร็วๆ นี้ พร้อมยืนยันว่า การจ่ายเงินไม่ได้รับผลกระทบ
    .
    คำสั่งดังกล่าวที่ปรากฏอยู่ในบันทึกของสำนักงานงบประมาณทำเนียบขาวระบุให้ระงับเงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลกลางนับจากเวลา 17.00 น. วันอังคาร (28 ม.ค.) โดยครอบคลุมถึงเงินช่วยเหลือต่างชาติ
    .
    และองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) พร้อมสั่งการให้หน่วยงาน 55 แห่งตรวจสอบโครงการเงินให้เปล่ากว่า 2,600 โครงการ
    .
    ทำเนียบขาวยืนยันว่า การระงับเงินช่วยเหลือจะไม่กระทบต่อการจ่ายเงินของโครงการสวัสดิการสังคม หรือเมดิแคร์ที่ให้แก่ผู้สูงวัยหรือความช่วยเหลือโดยตรงแก่ประชาชน เช่น ความช่วยเหลือด้านอาหารและโครงการสวัสดิการสำหรับผู้ยากไร้
    .
    ทั้งนี้ เงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลมีความสำคัญต่อทุกแง่มุมชีวิตของคนอเมริกันอย่างแท้จริง โดยเงินนับล้านล้านดอลลาร์ถูกอัดฉีดให้โครงการด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการต่อสู้กับความยากจน ให้ความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย บรรเทาทุกข์ในเหตุการณ์ภัยพิบัติ สนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานและอื่นๆ อีกมากมาย
    .
    ในบันทึกฉบับที่สอง ทำเนียบขาวระบุว่า เงินสนับสนุนสำหรับโครงการเมดิเคด เกษตรกร ธุรกิจขนาดเล็ก ความช่วยเหลือสำหรับผู้จ่ายค่าเช่า และโครงการเฮดสตาร์ตสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนจะดำเนินต่อไปโดยไม่มีการหยุดชะงัก
    .
    ทว่า วุฒิสมาชิกคริส เมอร์ฟีย์ จากพรรคเดโมแครต ระบุว่า ระบบเบิกจ่ายของโครงการเฮดสตาร์ตในรัฐคอนเน็กติกัตของตนถูกปิด ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ได้
    .
    ขณะเดียวกัน ซารา แรตเนอร์ จากบริษัทด้านการดูแลสุขภาพ โนมิ เฮลธ์ สำทับว่า หากรัฐบาลกลางระงับเงินช่วยเหลือแก่ผู้รับเหมาสัญญาเมดิเคด อาจทำให้บริษัทเหล่านั้นต้องปิดกิจการตามๆ กัน
    .
    บันทึกของทำเนียบขาวดูเหมือนไม่มีข้อยกเว้นในการตัดความช่วยเหลือสำหรับภัยพิบัติให้แก่พื้นที่อย่างลอสแองเจลิสและด้านตะวันตกของรัฐนอร์ธแคโรไลนาที่เสียหายหนักจากภัยธรรมชาติ แม้ทรัมป์ให้คำมั่นว่า รัฐบาลจะให้การสนับสนุนระหว่างเดินทางไปยังพื้นที่ประสบภัยทั้งสองแห่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ตาม
    .
    ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพยายามทำความเข้าใจว่า จะดำเนินการตามคำสั่งใหม่ของคณะบริหารอย่างไร
    .
    พรรครีพับลิกันของทรัมป์พยายามผลักดันการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลมาโดยตลอด แม้ทรัมป์ให้สัญญาว่า จะไม่แตะต้องโครงการสวัสดิการสังคมและเมดิแคร์ที่เป็นองค์ประกอบเกือบ 1 ใน 3 ของงบประมาณก็ตาม
    .
    ทว่า เดโมแครตวิจารณ์ว่า การระงับการใช้จ่ายดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและอันตราย เนื่องจากครอบครัวอเมริกันชนคือผู้ที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด
    .
    อนึ่ง รัฐธรรมนูญของอเมริกาให้อำนาจคองเกรสในการควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาล ทว่า ทรัมป์ประกาศระหว่างหาเสียงว่า เขาเชื่อว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจในการระงับการใช้จ่ายในโครงการที่ตนเองไม่ชอบ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009485
    ..............
    Sondhi X
    ผู้พิพากษาสั่งระงับคำสั่งทรัมป์ในการพักการให้เงินกู้ เงินให้เปล่า และความช่วยเหลือทางการเงินอื่นๆ ของรัฐบาลกลางเป็นการชั่วคราว ตามการฟ้องร้องของกลุ่มที่เป็นตัวแทนองค์กรไม่หวังผลกำไร บุคลากรทางการแพทย์ และธุรกิจขนาดเล็กที่ระบุว่า คำสั่งของทำเนียบขาวอาจกระทบต่อโครงการที่ให้ความช่วยเหลือชาวอเมริกันหลายสิบล้านคน . ลอเรน อาลีข่าน ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ สั่งให้คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระงับการขัดขวางการให้เงินช่วยเหลือโครงการต่างๆ จนถึงวันที่ 3 ก.พ. ซึ่งจะมีการให้การในศาลที่วอชิงตัน . คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ในส่วนนี้เป็นขั้นตอนล่าสุดของความพยายามยกเครื่องรัฐบาลกลาง โดยก่อนหน้านี้เขาสั่งระงับการให้ความช่วยเหลือต่างชาติ ระงับการจ้างงาน และยกเลิกโครงการความหลากหลายในหน่วยงานรัฐบาลหลายสิบแห่ง . พรรคเดโมแครตโจมตีคำสั่งระงับเงินช่วยเหลือว่า เป็นการโจมตีอำนาจของคองเกรสในการกำกับดูแลการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางอย่างผิดกฎหมาย อีกทั้งทำให้การจ่ายเงินให้แพทย์และครูที่ดูแลเด็กก่อนวัยเรียนหยุดชะงัก ทว่า รีพับลิกันอ้างว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นการทำตามคำสัญญาระหว่างหาเสียงของทรัมป์ในการควบคุมงบประมาณที่มากผิดปกติของรัฐบาล . นอกจากนั้น คณะบริหารของทรัมป์ยังยืนยันว่า โปรแกรมที่มอบสิทธิพิเศษที่สำคัญให้แก่ประชาชนจะไม่ได้รับผลกระทบ . ทว่า วุฒิสมาชิกรอน ไวเดน จากพรรคเดโมแครต เผยว่า ได้รับการยืนยันจากแพทย์จากทั้ง 50 รัฐว่า ไม่ได้รับเงินจากโครงการเมดิแคร์ที่ให้การประกันสุขภาพชาวอเมริกันที่มีรายได้ต่ำ 70 ล้านคน . แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวโพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า รัฐบาลกลางรับรู้ว่า พอร์ทัลเมดิเคดเกิดการขัดข้องและจะกลับมาออนไลน์ได้ตามปกติเร็วๆ นี้ พร้อมยืนยันว่า การจ่ายเงินไม่ได้รับผลกระทบ . คำสั่งดังกล่าวที่ปรากฏอยู่ในบันทึกของสำนักงานงบประมาณทำเนียบขาวระบุให้ระงับเงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลกลางนับจากเวลา 17.00 น. วันอังคาร (28 ม.ค.) โดยครอบคลุมถึงเงินช่วยเหลือต่างชาติ . และองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) พร้อมสั่งการให้หน่วยงาน 55 แห่งตรวจสอบโครงการเงินให้เปล่ากว่า 2,600 โครงการ . ทำเนียบขาวยืนยันว่า การระงับเงินช่วยเหลือจะไม่กระทบต่อการจ่ายเงินของโครงการสวัสดิการสังคม หรือเมดิแคร์ที่ให้แก่ผู้สูงวัยหรือความช่วยเหลือโดยตรงแก่ประชาชน เช่น ความช่วยเหลือด้านอาหารและโครงการสวัสดิการสำหรับผู้ยากไร้ . ทั้งนี้ เงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลมีความสำคัญต่อทุกแง่มุมชีวิตของคนอเมริกันอย่างแท้จริง โดยเงินนับล้านล้านดอลลาร์ถูกอัดฉีดให้โครงการด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการต่อสู้กับความยากจน ให้ความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย บรรเทาทุกข์ในเหตุการณ์ภัยพิบัติ สนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานและอื่นๆ อีกมากมาย . ในบันทึกฉบับที่สอง ทำเนียบขาวระบุว่า เงินสนับสนุนสำหรับโครงการเมดิเคด เกษตรกร ธุรกิจขนาดเล็ก ความช่วยเหลือสำหรับผู้จ่ายค่าเช่า และโครงการเฮดสตาร์ตสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนจะดำเนินต่อไปโดยไม่มีการหยุดชะงัก . ทว่า วุฒิสมาชิกคริส เมอร์ฟีย์ จากพรรคเดโมแครต ระบุว่า ระบบเบิกจ่ายของโครงการเฮดสตาร์ตในรัฐคอนเน็กติกัตของตนถูกปิด ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ได้ . ขณะเดียวกัน ซารา แรตเนอร์ จากบริษัทด้านการดูแลสุขภาพ โนมิ เฮลธ์ สำทับว่า หากรัฐบาลกลางระงับเงินช่วยเหลือแก่ผู้รับเหมาสัญญาเมดิเคด อาจทำให้บริษัทเหล่านั้นต้องปิดกิจการตามๆ กัน . บันทึกของทำเนียบขาวดูเหมือนไม่มีข้อยกเว้นในการตัดความช่วยเหลือสำหรับภัยพิบัติให้แก่พื้นที่อย่างลอสแองเจลิสและด้านตะวันตกของรัฐนอร์ธแคโรไลนาที่เสียหายหนักจากภัยธรรมชาติ แม้ทรัมป์ให้คำมั่นว่า รัฐบาลจะให้การสนับสนุนระหว่างเดินทางไปยังพื้นที่ประสบภัยทั้งสองแห่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ตาม . ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพยายามทำความเข้าใจว่า จะดำเนินการตามคำสั่งใหม่ของคณะบริหารอย่างไร . พรรครีพับลิกันของทรัมป์พยายามผลักดันการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลมาโดยตลอด แม้ทรัมป์ให้สัญญาว่า จะไม่แตะต้องโครงการสวัสดิการสังคมและเมดิแคร์ที่เป็นองค์ประกอบเกือบ 1 ใน 3 ของงบประมาณก็ตาม . ทว่า เดโมแครตวิจารณ์ว่า การระงับการใช้จ่ายดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและอันตราย เนื่องจากครอบครัวอเมริกันชนคือผู้ที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด . อนึ่ง รัฐธรรมนูญของอเมริกาให้อำนาจคองเกรสในการควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาล ทว่า ทรัมป์ประกาศระหว่างหาเสียงว่า เขาเชื่อว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจในการระงับการใช้จ่ายในโครงการที่ตนเองไม่ชอบ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009485 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2229 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elephant in the Room
    The Crimes of the Pharmaceutical Industry
    เรื่องของบิ้กฟาร์ม่า

    Roddriver Aug 25, 2021

    อุตสาหกรรมยา เป็นการผลิตยาเพื่อผลทางการแพทย์ อุตสาหกรรมนี้เน้นการรณรงค์เรื่องของสิทธิบัตรทั่วโลกเป็นส่วนใหญ่ ...ถึงแม้ว่านักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะวิจารณ์หนักมากในเรื่องของสิทธิบัตรยา ...ยาที่มีสิทธิบัตรมักจะขายได้ราคาสูงกว่ายาที่ไม่มีสิทธิบัตรนับพัน ๆ เท่า

    อุตสาหกรรมนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงประเด็นที่ได้โพสท์ไว้ก่อนหน้านี้ (แปลแล้ว) เกี่ยวกับอำนาจและอาชญากรรมจากสิทธิบัตรของบริษัทยักษ์ทั้งหลาย

    Researching The Wrong Problems
    วืจัยเฉพาะเรื่องที่มีกำไร

    การทำวิจัยส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศที่ร่ำรวยที่มีกำลังซื้อ ...มียาเพียง 21 ตัวจาก 1,556 ตัวซึ่งออกสู่ตลาดโลกตั้งแต่ปี 1975 ถึงปี 2004 ที่เล็งเป้าไปต่อสู้กับโรคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกนัก ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศยากจน

    บริษัทเหล่านี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำการวิจัยยาที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ เช่นไวอากร้ามากกว่ายารักษาวัณโรค เพราะกำไรมันอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่เราสามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพของประเทศยากจนได้โดยใช้ทุนต่ำกว่ามาก ...ตั้งแต่ปี 2006 มาแล้วที่ World Health Organization (WHO) เริ่มพูดถึงปัญหานี้ แต่การหาทุนก็ยังคงมีไม่พอ

    Social Costs, Private Profits
    เงินวิจัยจากสาธารณชน แต่กำไรเป็นของเอกชน

    ในช่วงต้น ๆ ของการวิจัยและพัฒนามักจะได้รับทุนสาธารณะ ทั้งจากมหาวิทยาลัยและรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก ...บริษัทยักษ์จะเข้ามาร่วมด้วยหลังจากรู้ชัดว่าการทดลองขั้นต้นแสดงให้เห็นแล้วว่า..ยาตัวนี้น่าจะต้องมีอนาคตแน่

    อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทไหนได้ถือสิทธิบัตรเอาไว้ ก็จะได้กำไรส่วนใหญ่ไป เพราะเมื่อมีสิทธิบัตรอยู่ในมือ พวกเขาก็จะชาร์จราคาสูงสุดได้ตามใจ พูดอีกอย่างก็คือ ราคาที่คนร่ำรวยจะจ่ายให้ได้

    ถ้าเป็นไปตามนี้ การปล่อยให้บริษัทเอกชนเก็บกำไรทั้งหมดจากยาที่ได้รับสิทธิบัตร..ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก มันคืออีกช่องทางหนึ่งของระบบเศรษฐกิจที่ถูกวางแผนครอบไว้ ในการดูดเอาความมั่งคั่งเข้ากระเป๋าพวกนักบริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ...แค่นั้นเอง

    Depriving Poor Countries of Medicines
    คนจนไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ยา

    ยาที่จะทำประโยชน์ให้คนนับล้านได้ในประเทศยากจน จำเป็นต้องมีราคาที่คนจนจะจับต้องได้ แต่พวกบิ้กฟาร์ม่าที่ถือสิทธิบัตรยาเหล่านั้น..ต้องการควบคุมการเข้าถึง และชาร์จที่ราคาสูงสุดเท่าที่จะทำได้

    World Trade organization (WTO) มีการบังคับใช้สิทธิบัตรผ่านข้อตกลง ที่เรียกว่า TRIPS (Trade Related Aspects of Intellectual Property) ...แต่ TRIPS ก็ยังมีข้อดีอยู่นิดหน่อยที่อนุญาตให้ประเทศยากจนหลายประเทศสามารถก้อปปี้การผลิตยาเฉพาะตัวที่สำคัญ ๆ และมีข้อบังคับทางกฏหมายให้บางประเทศเช่นอินเดียสามารถทำได้ ...แต่ถึงอย่างนั้น บิ้กฟาร์ม่าก็ยังคงบล็อกการเข้าถึงยาได้ทั่วโลกอยู่ ประเทศยากจนส่วนใหญ่ยังคงต้องซื้อยาในราคาแพงอยู่ เพราะยังคงมีการขู่จากทั้งสหรัฐ อังกฤษ และประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ

    Nelson Mandela ผู้นำประเทศอัฟริกาใต้ เคยพยายามที่จะได้ยา HIV ราคาถูกเพื่อรักษาผู้ป่วยเอดส์ในประเทศ ...บริษัทยาตะวันตกชาร์จที่ราคา $15,000 ต่อคนต่อปี ในขณะที่บริษัทอินเดียผลิตได้แค่ $300 ต่อคนต่อปี ...แต่แมนเดล่าถูกขู่ที่จะแซงค์ชั่น..หลังจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ล้อบบี้ฐบาลสหรัฐ ทำให้ผู้คนหลายล้านในอัฟริกาใต้ต้องตาย เพราะไม่สามารถเข้าถึงยาจากอินเดียที่ก้อปปี้จากยาราคาแพงตัวนี้ได้

    More Spent on Marketing Than on Research
    ใช้เงินไปกับการตลาดมากกว่าใช้กับการวิจัยซะอีก

    ถ้ายาได้ผลดีจริง มันก็ไม่ต้องการการตลาดเลย ถ้ามันให้ผลดีจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จริงแล้ว แพทย์และเครือข่ายการแพทย์ทั่วโลกย่อมจะต้องนำมาใช้อยู่แล้ว ...แต่จริง ๆ แล้ว ยาส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ผลนัก บริษัทจึงจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลในการ "ชักชวน" ให้แพทย์ทั้งหลายให้มาสั่งใช้ยานั้น ...ทั้งหมดนี้หมายความรวมถึง ของขวัญ การจัดท่องเที่ยววันหยุด หรือการสร้างสิ่งจูงใจ (ฟังดูไพเราะกว่า "สินบน" เยอะเลย) แพทย์จำนวนมากก็แฮ้ปปี้ที่จะร่วมเล่นด้วย ...ค่าใช้จ่ายการตลาดเหล่านี้น่ะ มันรวมอยู่ในราคายาแล้วแหละ

    Fraud and Deception are Widespread
    การฉ้อฉลมันกระจายวงไปกว้างไกลมาก

    อุตสาหกรรมยาเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการคอรัปชั่นมากที่สุด บิ้กฟาร์ม่าหลายแห่งถูกกล่าวหาว่าขายยาที่เป็นอันตราย หรืออาจถึงชีวิตได้ ...อุตสาหกรรมนี้เคยถูกสั่งปรับมาแล้วถึงมากกว่า $5 หมื่นล้านในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา ...เมื่อปี 2012 Glaxo Smith Kline (GSK) ก็ถูกปรับไป $3 พันล้านในสหรัฐที่ขายยาผิดประเภท และจ่ายสินบนแก่แพทย์ และปิดบังผลวิจัย นอกจากนี้ GSK ยังถูกปรับที่อินเดีย อัฟริกาใต้และอังกฤษ

    แต่บริษัทนี้ขายยาแค่รายการเดียวก็อาจเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าค่าปรับหลายเท่าตัวก็ได้สบาย ๆ

    อุตสาหกรรมยามีประวัติการโฆษณายาเกินจริง..ไม่บอกถึงผลด้อยของคุณภาพ..และปิดบังผลร้ายของยามานานแล้ว ...จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า เวชภัณท์มีผลร้ายมากกว่าที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ถึง 4 เท่าส่งผลให้มีผู้ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองแสนกว่าคนในอังกฤษ และอีกสองล้านคนในสหรัฐในแต่ละปี

    นอกจากนี้ยังมีกรณีเสียชีวิตอีกถึง 55,000 รายจากยาแก้ปวด แต่ข้อมูลเหล่านี้ถูกปิดบังโดย Merck ผู้ผลิตยา ....ยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจ จากผลของยารักษาเบาหวาน

    ตอนนี้มีหลักฐานว่าบริษัทยาเหล่านี้มีการจัดการยักย้ายงานวิจัยของตน พวกนี้ทดสอบยาของตนเอง และออกผลทดสอบที่แสดงแต่ส่วนดีและซ่อนส่วนที่เป็นโทษ

    อุตสาหกรรมยาใช้เงินล้อบบี้รัฐบาลสหรัฐมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ..ปี 2018 มีการใช้เงินถึง $2.8 แสนล้าน นี่แสดงให้เห็นถึงการไร้กฏระเบียบของอุตสาหกรรมนี้ ถึงแม้สหรัฐจะมี Food and Drug Administration (FDA) แต่หน่วยงานนี้ก็มีงบประมาณไม่พอ ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ...เจ้าหน้าที่ในสต้าฟมีสัมพันธภาพกับอุตสาหกรรมนี้ อดีตผอ. FDA ก็ออกไปทำงานกับ Pfizer ...ส่วนอดีตสมาชิกสภาคองเกรสจำนวนไม่น้อยก็ไปรับจ้อบเป็นล้อบบี้ยิสต์ให้กับอุตสาหกรรมยา

    สถานการณ์ของการรักษากฏของเรื่องนี้ในอังกฤษยิ่งร้ายหนักกว่าอีก อังกฤษไม่เคยมีการลงโทษบริษัทยาซักแห่งเลย มีการปรับเล็กน้อยรวมกันแค่ £73,300 แต่ไม่เคยมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังเลย

    Not Fit For Purpose

    แทบทุกประเทศที่มีหน่วยงานเกี่ยวกับอาหารและยามักจะตายใจไม่นึกว่าอุตสาหกรรมยาน่ะมันเชี่..แค่ไหน พวกสื่อเองก็เงียบไม่พูดถึงกำ ไรมหาศาลของบริษัทยาเพราะรับทรัพย์ไปเยอะ ...อุตสาหกรรมนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสนองจุดประสงค์แท้จริงของสาธารณชน (not fit for purpose) มันทำความล้มเหลวทั้งในประเทศร่ำรวยและยากจนถ้วนหน้า

    ถ้าอุตสาหกรรมนี้เป็นเรื่องที่ดำเนินงานไปโดยหน่วยงานของชาติ ยาทุกชนิดจะมีราคาเป็นแค่เศษเสี้ยวของราคาปัจจุบัน ไม่ต้องมีปัญหายาปลอม ไม่ต้องมีการล็อบบี้ ไม่ต้องมีการแย่งชิงสิทธิบัตร ประเทศยากจนเข้าถึงยาได้ง่าย ๆ ที่ราคาต่ำมาก ๆ จนอาจให้เปล่าได้เลย

    ถ้าเราพูดถึงการต่อสู้ความยากจนของโลกจริง ๆ แล้ว นี่เป็นเรื่องแรก ๆ ที่ต้องทำ ....แต่ความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมยาควรจะเป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินงานเอง เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเลย......

    ***ผมไม่ได้แปลส่วนเชิงอรรถในบทความนะครับ แต่เพื่อน ๆ ดูได้ในบทความต้นฉบับนะครับ***

    https://medium.com/elephantsintheroom/42-the-crimes-of-the-pharmaceutical-industry-5fee08225cbb
    Elephant in the Room The Crimes of the Pharmaceutical Industry เรื่องของบิ้กฟาร์ม่า Roddriver Aug 25, 2021 อุตสาหกรรมยา เป็นการผลิตยาเพื่อผลทางการแพทย์ อุตสาหกรรมนี้เน้นการรณรงค์เรื่องของสิทธิบัตรทั่วโลกเป็นส่วนใหญ่ ...ถึงแม้ว่านักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะวิจารณ์หนักมากในเรื่องของสิทธิบัตรยา ...ยาที่มีสิทธิบัตรมักจะขายได้ราคาสูงกว่ายาที่ไม่มีสิทธิบัตรนับพัน ๆ เท่า อุตสาหกรรมนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงประเด็นที่ได้โพสท์ไว้ก่อนหน้านี้ (แปลแล้ว) เกี่ยวกับอำนาจและอาชญากรรมจากสิทธิบัตรของบริษัทยักษ์ทั้งหลาย Researching The Wrong Problems วืจัยเฉพาะเรื่องที่มีกำไร การทำวิจัยส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศที่ร่ำรวยที่มีกำลังซื้อ ...มียาเพียง 21 ตัวจาก 1,556 ตัวซึ่งออกสู่ตลาดโลกตั้งแต่ปี 1975 ถึงปี 2004 ที่เล็งเป้าไปต่อสู้กับโรคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกนัก ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศยากจน บริษัทเหล่านี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำการวิจัยยาที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ เช่นไวอากร้ามากกว่ายารักษาวัณโรค เพราะกำไรมันอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่เราสามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพของประเทศยากจนได้โดยใช้ทุนต่ำกว่ามาก ...ตั้งแต่ปี 2006 มาแล้วที่ World Health Organization (WHO) เริ่มพูดถึงปัญหานี้ แต่การหาทุนก็ยังคงมีไม่พอ Social Costs, Private Profits เงินวิจัยจากสาธารณชน แต่กำไรเป็นของเอกชน ในช่วงต้น ๆ ของการวิจัยและพัฒนามักจะได้รับทุนสาธารณะ ทั้งจากมหาวิทยาลัยและรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก ...บริษัทยักษ์จะเข้ามาร่วมด้วยหลังจากรู้ชัดว่าการทดลองขั้นต้นแสดงให้เห็นแล้วว่า..ยาตัวนี้น่าจะต้องมีอนาคตแน่ อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทไหนได้ถือสิทธิบัตรเอาไว้ ก็จะได้กำไรส่วนใหญ่ไป เพราะเมื่อมีสิทธิบัตรอยู่ในมือ พวกเขาก็จะชาร์จราคาสูงสุดได้ตามใจ พูดอีกอย่างก็คือ ราคาที่คนร่ำรวยจะจ่ายให้ได้ ถ้าเป็นไปตามนี้ การปล่อยให้บริษัทเอกชนเก็บกำไรทั้งหมดจากยาที่ได้รับสิทธิบัตร..ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก มันคืออีกช่องทางหนึ่งของระบบเศรษฐกิจที่ถูกวางแผนครอบไว้ ในการดูดเอาความมั่งคั่งเข้ากระเป๋าพวกนักบริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ...แค่นั้นเอง Depriving Poor Countries of Medicines คนจนไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ยา ยาที่จะทำประโยชน์ให้คนนับล้านได้ในประเทศยากจน จำเป็นต้องมีราคาที่คนจนจะจับต้องได้ แต่พวกบิ้กฟาร์ม่าที่ถือสิทธิบัตรยาเหล่านั้น..ต้องการควบคุมการเข้าถึง และชาร์จที่ราคาสูงสุดเท่าที่จะทำได้ World Trade organization (WTO) มีการบังคับใช้สิทธิบัตรผ่านข้อตกลง ที่เรียกว่า TRIPS (Trade Related Aspects of Intellectual Property) ...แต่ TRIPS ก็ยังมีข้อดีอยู่นิดหน่อยที่อนุญาตให้ประเทศยากจนหลายประเทศสามารถก้อปปี้การผลิตยาเฉพาะตัวที่สำคัญ ๆ และมีข้อบังคับทางกฏหมายให้บางประเทศเช่นอินเดียสามารถทำได้ ...แต่ถึงอย่างนั้น บิ้กฟาร์ม่าก็ยังคงบล็อกการเข้าถึงยาได้ทั่วโลกอยู่ ประเทศยากจนส่วนใหญ่ยังคงต้องซื้อยาในราคาแพงอยู่ เพราะยังคงมีการขู่จากทั้งสหรัฐ อังกฤษ และประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ Nelson Mandela ผู้นำประเทศอัฟริกาใต้ เคยพยายามที่จะได้ยา HIV ราคาถูกเพื่อรักษาผู้ป่วยเอดส์ในประเทศ ...บริษัทยาตะวันตกชาร์จที่ราคา $15,000 ต่อคนต่อปี ในขณะที่บริษัทอินเดียผลิตได้แค่ $300 ต่อคนต่อปี ...แต่แมนเดล่าถูกขู่ที่จะแซงค์ชั่น..หลังจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ล้อบบี้ฐบาลสหรัฐ ทำให้ผู้คนหลายล้านในอัฟริกาใต้ต้องตาย เพราะไม่สามารถเข้าถึงยาจากอินเดียที่ก้อปปี้จากยาราคาแพงตัวนี้ได้ More Spent on Marketing Than on Research ใช้เงินไปกับการตลาดมากกว่าใช้กับการวิจัยซะอีก ถ้ายาได้ผลดีจริง มันก็ไม่ต้องการการตลาดเลย ถ้ามันให้ผลดีจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จริงแล้ว แพทย์และเครือข่ายการแพทย์ทั่วโลกย่อมจะต้องนำมาใช้อยู่แล้ว ...แต่จริง ๆ แล้ว ยาส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ผลนัก บริษัทจึงจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลในการ "ชักชวน" ให้แพทย์ทั้งหลายให้มาสั่งใช้ยานั้น ...ทั้งหมดนี้หมายความรวมถึง ของขวัญ การจัดท่องเที่ยววันหยุด หรือการสร้างสิ่งจูงใจ (ฟังดูไพเราะกว่า "สินบน" เยอะเลย) แพทย์จำนวนมากก็แฮ้ปปี้ที่จะร่วมเล่นด้วย ...ค่าใช้จ่ายการตลาดเหล่านี้น่ะ มันรวมอยู่ในราคายาแล้วแหละ Fraud and Deception are Widespread การฉ้อฉลมันกระจายวงไปกว้างไกลมาก อุตสาหกรรมยาเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการคอรัปชั่นมากที่สุด บิ้กฟาร์ม่าหลายแห่งถูกกล่าวหาว่าขายยาที่เป็นอันตราย หรืออาจถึงชีวิตได้ ...อุตสาหกรรมนี้เคยถูกสั่งปรับมาแล้วถึงมากกว่า $5 หมื่นล้านในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา ...เมื่อปี 2012 Glaxo Smith Kline (GSK) ก็ถูกปรับไป $3 พันล้านในสหรัฐที่ขายยาผิดประเภท และจ่ายสินบนแก่แพทย์ และปิดบังผลวิจัย นอกจากนี้ GSK ยังถูกปรับที่อินเดีย อัฟริกาใต้และอังกฤษ แต่บริษัทนี้ขายยาแค่รายการเดียวก็อาจเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าค่าปรับหลายเท่าตัวก็ได้สบาย ๆ อุตสาหกรรมยามีประวัติการโฆษณายาเกินจริง..ไม่บอกถึงผลด้อยของคุณภาพ..และปิดบังผลร้ายของยามานานแล้ว ...จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า เวชภัณท์มีผลร้ายมากกว่าที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ถึง 4 เท่าส่งผลให้มีผู้ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองแสนกว่าคนในอังกฤษ และอีกสองล้านคนในสหรัฐในแต่ละปี นอกจากนี้ยังมีกรณีเสียชีวิตอีกถึง 55,000 รายจากยาแก้ปวด แต่ข้อมูลเหล่านี้ถูกปิดบังโดย Merck ผู้ผลิตยา ....ยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจ จากผลของยารักษาเบาหวาน ตอนนี้มีหลักฐานว่าบริษัทยาเหล่านี้มีการจัดการยักย้ายงานวิจัยของตน พวกนี้ทดสอบยาของตนเอง และออกผลทดสอบที่แสดงแต่ส่วนดีและซ่อนส่วนที่เป็นโทษ อุตสาหกรรมยาใช้เงินล้อบบี้รัฐบาลสหรัฐมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ..ปี 2018 มีการใช้เงินถึง $2.8 แสนล้าน นี่แสดงให้เห็นถึงการไร้กฏระเบียบของอุตสาหกรรมนี้ ถึงแม้สหรัฐจะมี Food and Drug Administration (FDA) แต่หน่วยงานนี้ก็มีงบประมาณไม่พอ ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ...เจ้าหน้าที่ในสต้าฟมีสัมพันธภาพกับอุตสาหกรรมนี้ อดีตผอ. FDA ก็ออกไปทำงานกับ Pfizer ...ส่วนอดีตสมาชิกสภาคองเกรสจำนวนไม่น้อยก็ไปรับจ้อบเป็นล้อบบี้ยิสต์ให้กับอุตสาหกรรมยา สถานการณ์ของการรักษากฏของเรื่องนี้ในอังกฤษยิ่งร้ายหนักกว่าอีก อังกฤษไม่เคยมีการลงโทษบริษัทยาซักแห่งเลย มีการปรับเล็กน้อยรวมกันแค่ £73,300 แต่ไม่เคยมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังเลย Not Fit For Purpose แทบทุกประเทศที่มีหน่วยงานเกี่ยวกับอาหารและยามักจะตายใจไม่นึกว่าอุตสาหกรรมยาน่ะมันเชี่..แค่ไหน พวกสื่อเองก็เงียบไม่พูดถึงกำ ไรมหาศาลของบริษัทยาเพราะรับทรัพย์ไปเยอะ ...อุตสาหกรรมนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสนองจุดประสงค์แท้จริงของสาธารณชน (not fit for purpose) มันทำความล้มเหลวทั้งในประเทศร่ำรวยและยากจนถ้วนหน้า ถ้าอุตสาหกรรมนี้เป็นเรื่องที่ดำเนินงานไปโดยหน่วยงานของชาติ ยาทุกชนิดจะมีราคาเป็นแค่เศษเสี้ยวของราคาปัจจุบัน ไม่ต้องมีปัญหายาปลอม ไม่ต้องมีการล็อบบี้ ไม่ต้องมีการแย่งชิงสิทธิบัตร ประเทศยากจนเข้าถึงยาได้ง่าย ๆ ที่ราคาต่ำมาก ๆ จนอาจให้เปล่าได้เลย ถ้าเราพูดถึงการต่อสู้ความยากจนของโลกจริง ๆ แล้ว นี่เป็นเรื่องแรก ๆ ที่ต้องทำ ....แต่ความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมยาควรจะเป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินงานเอง เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเลย...... ***ผมไม่ได้แปลส่วนเชิงอรรถในบทความนะครับ แต่เพื่อน ๆ ดูได้ในบทความต้นฉบับนะครับ*** https://medium.com/elephantsintheroom/42-the-crimes-of-the-pharmaceutical-industry-5fee08225cbb
    MEDIUM.COM
    42) The Crimes of the Pharmaceutical Industry
    “The history of medicine is littered with wonderful early results which over a period of time turn out to be not so wonderful…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 591 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elephant in the Room
    The Crimes of the Pharmaceutical Industry
    เรื่องของบิ้กฟาร์ม่า

    Roddriver Aug 25, 2021

    อุตสาหกรรมยา เป็นการผลิตยาเพื่อผลทางการแพทย์ อุตสาหกรรมนี้เน้นการรณรงค์เรื่องของสิทธิบัตรทั่วโลกเป็นส่วนใหญ่ ...ถึงแม้ว่านักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะวิจารณ์หนักมากในเรื่องของสิทธิบัตรยา ...ยาที่มีสิทธิบัตรมักจะขายได้ราคาสูงกว่ายาที่ไม่มีสิทธิบัตรนับพัน ๆ เท่า

    อุตสาหกรรมนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงประเด็นที่ได้โพสท์ไว้ก่อนหน้านี้ (แปลแล้ว) เกี่ยวกับอำนาจและอาชญากรรมจากสิทธิบัตรของบริษัทยักษ์ทั้งหลาย

    Researching The Wrong Problems
    วืจัยเฉพาะเรื่องที่มีกำไร

    การทำวิจัยส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศที่ร่ำรวยที่มีกำลังซื้อ ...มียาเพียง 21 ตัวจาก 1,556 ตัวซึ่งออกสู่ตลาดโลกตั้งแต่ปี 1975 ถึงปี 2004 ที่เล็งเป้าไปต่อสู้กับโรคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกนัก ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศยากจน

    บริษัทเหล่านี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำการวิจัยยาที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ เช่นไวอากร้ามากกว่ายารักษาวัณโรค เพราะกำไรมันอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่เราสามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพของประเทศยากจนได้โดยใช้ทุนต่ำกว่ามาก ...ตั้งแต่ปี 2006 มาแล้วที่ World Health Organization (WHO) เริ่มพูดถึงปัญหานี้ แต่การหาทุนก็ยังคงมีไม่พอ

    Social Costs, Private Profits
    เงินวิจัยจากสาธารณชน แต่กำไรเป็นของเอกชน

    ในช่วงต้น ๆ ของการวิจัยและพัฒนามักจะได้รับทุนสาธารณะ ทั้งจากมหาวิทยาลัยและรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก ...บริษัทยักษ์จะเข้ามาร่วมด้วยหลังจากรู้ชัดว่าการทดลองขั้นต้นแสดงให้เห็นแล้วว่า..ยาตัวนี้น่าจะต้องมีอนาคตแน่

    อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทไหนได้ถือสิทธิบัตรเอาไว้ ก็จะได้กำไรส่วนใหญ่ไป เพราะเมื่อมีสิทธิบัตรอยู่ในมือ พวกเขาก็จะชาร์จราคาสูงสุดได้ตามใจ พูดอีกอย่างก็คือ ราคาที่คนร่ำรวยจะจ่ายให้ได้

    ถ้าเป็นไปตามนี้ การปล่อยให้บริษัทเอกชนเก็บกำไรทั้งหมดจากยาที่ได้รับสิทธิบัตร..ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก มันคืออีกช่องทางหนึ่งของระบบเศรษฐกิจที่ถูกวางแผนครอบไว้ ในการดูดเอาความมั่งคั่งเข้ากระเป๋าพวกนักบริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ...แค่นั้นเอง

    Depriving Poor Countries of Medicines
    คนจนไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ยา

    ยาที่จะทำประโยชน์ให้คนนับล้านได้ในประเทศยากจน จำเป็นต้องมีราคาที่คนจนจะจับต้องได้ แต่พวกบิ้กฟาร์ม่าที่ถือสิทธิบัตรยาเหล่านั้น..ต้องการควบคุมการเข้าถึง และชาร์จที่ราคาสูงสุดเท่าที่จะทำได้

    World Trade organization (WTO) มีการบังคับใช้สิทธิบัตรผ่านข้อตกลง ที่เรียกว่า TRIPS (Trade Related Aspects of Intellectual Property) ...แต่ TRIPS ก็ยังมีข้อดีอยู่นิดหน่อยที่อนุญาตให้ประเทศยากจนหลายประเทศสามารถก้อปปี้การผลิตยาเฉพาะตัวที่สำคัญ ๆ และมีข้อบังคับทางกฏหมายให้บางประเทศเช่นอินเดียสามารถทำได้ ...แต่ถึงอย่างนั้น บิ้กฟาร์ม่าก็ยังคงบล็อกการเข้าถึงยาได้ทั่วโลกอยู่ ประเทศยากจนส่วนใหญ่ยังคงต้องซื้อยาในราคาแพงอยู่ เพราะยังคงมีการขู่จากทั้งสหรัฐ อังกฤษ และประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ

    Nelson Mandela ผู้นำประเทศอัฟริกาใต้ เคยพยายามที่จะได้ยา HIV ราคาถูกเพื่อรักษาผู้ป่วยเอดส์ในประเทศ ...บริษัทยาตะวันตกชาร์จที่ราคา $15,000 ต่อคนต่อปี ในขณะที่บริษัทอินเดียผลิตได้แค่ $300 ต่อคนต่อปี ...แต่แมนเดล่าถูกขู่ที่จะแซงค์ชั่น..หลังจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ล้อบบี้ฐบาลสหรัฐ ทำให้ผู้คนหลายล้านในอัฟริกาใต้ต้องตาย เพราะไม่สามารถเข้าถึงยาจากอินเดียที่ก้อปปี้จากยาราคาแพงตัวนี้ได้

    More Spent on Marketing Than on Research
    ใช้เงินไปกับการตลาดมากกว่าใช้กับการวิจัยซะอีก

    ถ้ายาได้ผลดีจริง มันก็ไม่ต้องการการตลาดเลย ถ้ามันให้ผลดีจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จริงแล้ว แพทย์และเครือข่ายการแพทย์ทั่วโลกย่อมจะต้องนำมาใช้อยู่แล้ว ...แต่จริง ๆ แล้ว ยาส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ผลนัก บริษัทจึงจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลในการ "ชักชวน" ให้แพทย์ทั้งหลายให้มาสั่งใช้ยานั้น ...ทั้งหมดนี้หมายความรวมถึง ของขวัญ การจัดท่องเที่ยววันหยุด หรือการสร้างสิ่งจูงใจ (ฟังดูไพเราะกว่า "สินบน" เยอะเลย) แพทย์จำนวนมากก็แฮ้ปปี้ที่จะร่วมเล่นด้วย ...ค่าใช้จ่ายการตลาดเหล่านี้น่ะ มันรวมอยู่ในราคายาแล้วแหละ

    Fraud and Deception are Widespread
    การฉ้อฉลมันกระจายวงไปกว้างไกลมาก

    อุตสาหกรรมยาเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการคอรัปชั่นมากที่สุด บิ้กฟาร์ม่าหลายแห่งถูกกล่าวหาว่าขายยาที่เป็นอันตราย หรืออาจถึงชีวิตได้ ...อุตสาหกรรมนี้เคยถูกสั่งปรับมาแล้วถึงมากกว่า $5 หมื่นล้านในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา ...เมื่อปี 2012 Glaxo Smith Kline (GSK) ก็ถูกปรับไป $3 พันล้านในสหรัฐที่ขายยาผิดประเภท และจ่ายสินบนแก่แพทย์ และปิดบังผลวิจัย นอกจากนี้ GSK ยังถูกปรับที่อินเดีย อัฟริกาใต้และอังกฤษ

    แต่บริษัทนี้ขายยาแค่รายการเดียวก็อาจเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าค่าปรับหลายเท่าตัวก็ได้สบาย ๆ

    อุตสาหกรรมยามีประวัติการโฆษณายาเกินจริง..ไม่บอกถึงผลด้อยของคุณภาพ..และปิดบังผลร้ายของยามานานแล้ว ...จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า เวชภัณท์มีผลร้ายมากกว่าที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ถึง 4 เท่าส่งผลให้มีผู้ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองแสนกว่าคนในอังกฤษ และอีกสองล้านคนในสหรัฐในแต่ละปี

    นอกจากนี้ยังมีกรณีเสียชีวิตอีกถึง 55,000 รายจากยาแก้ปวด แต่ข้อมูลเหล่านี้ถูกปิดบังโดย Merck ผู้ผลิตยา ....ยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจ จากผลของยารักษาเบาหวาน

    ตอนนี้มีหลักฐานว่าบริษัทยาเหล่านี้มีการจัดการยักย้ายงานวิจัยของตน พวกนี้ทดสอบยาของตนเอง และออกผลทดสอบที่แสดงแต่ส่วนดีและซ่อนส่วนที่เป็นโทษ

    อุตสาหกรรมยาใช้เงินล้อบบี้รัฐบาลสหรัฐมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ..ปี 2018 มีการใช้เงินถึง $2.8 แสนล้าน นี่แสดงให้เห็นถึงการไร้กฏระเบียบของอุตสาหกรรมนี้ ถึงแม้สหรัฐจะมี Food and Drug Administration (FDA) แต่หน่วยงานนี้ก็มีงบประมาณไม่พอ ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ...เจ้าหน้าที่ในสต้าฟมีสัมพันธภาพกับอุตสาหกรรมนี้ อดีตผอ. FDA ก็ออกไปทำงานกับ Pfizer ...ส่วนอดีตสมาชิกสภาคองเกรสจำนวนไม่น้อยก็ไปรับจ้อบเป็นล้อบบี้ยิสต์ให้กับอุตสาหกรรมยา

    สถานการณ์ของการรักษากฏของเรื่องนี้ในอังกฤษยิ่งร้ายหนักกว่าอีก อังกฤษไม่เคยมีการลงโทษบริษัทยาซักแห่งเลย มีการปรับเล็กน้อยรวมกันแค่ £73,300 แต่ไม่เคยมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังเลย

    Not Fit For Purpose

    แทบทุกประเทศที่มีหน่วยงานเกี่ยวกับอาหารและยามักจะตายใจไม่นึกว่าอุตสาหกรรมยาน่ะมันเชี่..แค่ไหน พวกสื่อเองก็เงียบไม่พูดถึงกำ ไรมหาศาลของบริษัทยาเพราะรับทรัพย์ไปเยอะ ...อุตสาหกรรมนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสนองจุดประสงค์แท้จริงของสาธารณชน (not fit for purpose) มันทำความล้มเหลวทั้งในประเทศร่ำรวยและยากจนถ้วนหน้า

    ถ้าอุตสาหกรรมนี้เป็นเรื่องที่ดำเนินงานไปโดยหน่วยงานของชาติ ยาทุกชนิดจะมีราคาเป็นแค่เศษเสี้ยวของราคาปัจจุบัน ไม่ต้องมีปัญหายาปลอม ไม่ต้องมีการล็อบบี้ ไม่ต้องมีการแย่งชิงสิทธิบัตร ประเทศยากจนเข้าถึงยาได้ง่าย ๆ ที่ราคาต่ำมาก ๆ จนอาจให้เปล่าได้เลย

    ถ้าเราพูดถึงการต่อสู้ความยากจนของโลกจริง ๆ แล้ว นี่เป็นเรื่องแรก ๆ ที่ต้องทำ ....แต่ความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมยาควรจะเป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินงานเอง เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเลย......

    ***ผมไม่ได้แปลส่วนเชิงอรรถในบทความนะครับ แต่เพื่อน ๆ ดูได้ในบทความต้นฉบับนะครับ***

    https://medium.com/elephantsintheroom/42-the-crimes-of-the-pharmaceutical-industry-5fee08225cbb
    Elephant in the Room The Crimes of the Pharmaceutical Industry เรื่องของบิ้กฟาร์ม่า Roddriver Aug 25, 2021 อุตสาหกรรมยา เป็นการผลิตยาเพื่อผลทางการแพทย์ อุตสาหกรรมนี้เน้นการรณรงค์เรื่องของสิทธิบัตรทั่วโลกเป็นส่วนใหญ่ ...ถึงแม้ว่านักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะวิจารณ์หนักมากในเรื่องของสิทธิบัตรยา ...ยาที่มีสิทธิบัตรมักจะขายได้ราคาสูงกว่ายาที่ไม่มีสิทธิบัตรนับพัน ๆ เท่า อุตสาหกรรมนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงประเด็นที่ได้โพสท์ไว้ก่อนหน้านี้ (แปลแล้ว) เกี่ยวกับอำนาจและอาชญากรรมจากสิทธิบัตรของบริษัทยักษ์ทั้งหลาย Researching The Wrong Problems วืจัยเฉพาะเรื่องที่มีกำไร การทำวิจัยส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศที่ร่ำรวยที่มีกำลังซื้อ ...มียาเพียง 21 ตัวจาก 1,556 ตัวซึ่งออกสู่ตลาดโลกตั้งแต่ปี 1975 ถึงปี 2004 ที่เล็งเป้าไปต่อสู้กับโรคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกนัก ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศยากจน บริษัทเหล่านี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำการวิจัยยาที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ เช่นไวอากร้ามากกว่ายารักษาวัณโรค เพราะกำไรมันอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่เราสามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพของประเทศยากจนได้โดยใช้ทุนต่ำกว่ามาก ...ตั้งแต่ปี 2006 มาแล้วที่ World Health Organization (WHO) เริ่มพูดถึงปัญหานี้ แต่การหาทุนก็ยังคงมีไม่พอ Social Costs, Private Profits เงินวิจัยจากสาธารณชน แต่กำไรเป็นของเอกชน ในช่วงต้น ๆ ของการวิจัยและพัฒนามักจะได้รับทุนสาธารณะ ทั้งจากมหาวิทยาลัยและรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก ...บริษัทยักษ์จะเข้ามาร่วมด้วยหลังจากรู้ชัดว่าการทดลองขั้นต้นแสดงให้เห็นแล้วว่า..ยาตัวนี้น่าจะต้องมีอนาคตแน่ อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทไหนได้ถือสิทธิบัตรเอาไว้ ก็จะได้กำไรส่วนใหญ่ไป เพราะเมื่อมีสิทธิบัตรอยู่ในมือ พวกเขาก็จะชาร์จราคาสูงสุดได้ตามใจ พูดอีกอย่างก็คือ ราคาที่คนร่ำรวยจะจ่ายให้ได้ ถ้าเป็นไปตามนี้ การปล่อยให้บริษัทเอกชนเก็บกำไรทั้งหมดจากยาที่ได้รับสิทธิบัตร..ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก มันคืออีกช่องทางหนึ่งของระบบเศรษฐกิจที่ถูกวางแผนครอบไว้ ในการดูดเอาความมั่งคั่งเข้ากระเป๋าพวกนักบริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ...แค่นั้นเอง Depriving Poor Countries of Medicines คนจนไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ยา ยาที่จะทำประโยชน์ให้คนนับล้านได้ในประเทศยากจน จำเป็นต้องมีราคาที่คนจนจะจับต้องได้ แต่พวกบิ้กฟาร์ม่าที่ถือสิทธิบัตรยาเหล่านั้น..ต้องการควบคุมการเข้าถึง และชาร์จที่ราคาสูงสุดเท่าที่จะทำได้ World Trade organization (WTO) มีการบังคับใช้สิทธิบัตรผ่านข้อตกลง ที่เรียกว่า TRIPS (Trade Related Aspects of Intellectual Property) ...แต่ TRIPS ก็ยังมีข้อดีอยู่นิดหน่อยที่อนุญาตให้ประเทศยากจนหลายประเทศสามารถก้อปปี้การผลิตยาเฉพาะตัวที่สำคัญ ๆ และมีข้อบังคับทางกฏหมายให้บางประเทศเช่นอินเดียสามารถทำได้ ...แต่ถึงอย่างนั้น บิ้กฟาร์ม่าก็ยังคงบล็อกการเข้าถึงยาได้ทั่วโลกอยู่ ประเทศยากจนส่วนใหญ่ยังคงต้องซื้อยาในราคาแพงอยู่ เพราะยังคงมีการขู่จากทั้งสหรัฐ อังกฤษ และประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ Nelson Mandela ผู้นำประเทศอัฟริกาใต้ เคยพยายามที่จะได้ยา HIV ราคาถูกเพื่อรักษาผู้ป่วยเอดส์ในประเทศ ...บริษัทยาตะวันตกชาร์จที่ราคา $15,000 ต่อคนต่อปี ในขณะที่บริษัทอินเดียผลิตได้แค่ $300 ต่อคนต่อปี ...แต่แมนเดล่าถูกขู่ที่จะแซงค์ชั่น..หลังจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ล้อบบี้ฐบาลสหรัฐ ทำให้ผู้คนหลายล้านในอัฟริกาใต้ต้องตาย เพราะไม่สามารถเข้าถึงยาจากอินเดียที่ก้อปปี้จากยาราคาแพงตัวนี้ได้ More Spent on Marketing Than on Research ใช้เงินไปกับการตลาดมากกว่าใช้กับการวิจัยซะอีก ถ้ายาได้ผลดีจริง มันก็ไม่ต้องการการตลาดเลย ถ้ามันให้ผลดีจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จริงแล้ว แพทย์และเครือข่ายการแพทย์ทั่วโลกย่อมจะต้องนำมาใช้อยู่แล้ว ...แต่จริง ๆ แล้ว ยาส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ผลนัก บริษัทจึงจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลในการ "ชักชวน" ให้แพทย์ทั้งหลายให้มาสั่งใช้ยานั้น ...ทั้งหมดนี้หมายความรวมถึง ของขวัญ การจัดท่องเที่ยววันหยุด หรือการสร้างสิ่งจูงใจ (ฟังดูไพเราะกว่า "สินบน" เยอะเลย) แพทย์จำนวนมากก็แฮ้ปปี้ที่จะร่วมเล่นด้วย ...ค่าใช้จ่ายการตลาดเหล่านี้น่ะ มันรวมอยู่ในราคายาแล้วแหละ Fraud and Deception are Widespread การฉ้อฉลมันกระจายวงไปกว้างไกลมาก อุตสาหกรรมยาเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการคอรัปชั่นมากที่สุด บิ้กฟาร์ม่าหลายแห่งถูกกล่าวหาว่าขายยาที่เป็นอันตราย หรืออาจถึงชีวิตได้ ...อุตสาหกรรมนี้เคยถูกสั่งปรับมาแล้วถึงมากกว่า $5 หมื่นล้านในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา ...เมื่อปี 2012 Glaxo Smith Kline (GSK) ก็ถูกปรับไป $3 พันล้านในสหรัฐที่ขายยาผิดประเภท และจ่ายสินบนแก่แพทย์ และปิดบังผลวิจัย นอกจากนี้ GSK ยังถูกปรับที่อินเดีย อัฟริกาใต้และอังกฤษ แต่บริษัทนี้ขายยาแค่รายการเดียวก็อาจเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าค่าปรับหลายเท่าตัวก็ได้สบาย ๆ อุตสาหกรรมยามีประวัติการโฆษณายาเกินจริง..ไม่บอกถึงผลด้อยของคุณภาพ..และปิดบังผลร้ายของยามานานแล้ว ...จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า เวชภัณท์มีผลร้ายมากกว่าที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ถึง 4 เท่าส่งผลให้มีผู้ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองแสนกว่าคนในอังกฤษ และอีกสองล้านคนในสหรัฐในแต่ละปี นอกจากนี้ยังมีกรณีเสียชีวิตอีกถึง 55,000 รายจากยาแก้ปวด แต่ข้อมูลเหล่านี้ถูกปิดบังโดย Merck ผู้ผลิตยา ....ยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจ จากผลของยารักษาเบาหวาน ตอนนี้มีหลักฐานว่าบริษัทยาเหล่านี้มีการจัดการยักย้ายงานวิจัยของตน พวกนี้ทดสอบยาของตนเอง และออกผลทดสอบที่แสดงแต่ส่วนดีและซ่อนส่วนที่เป็นโทษ อุตสาหกรรมยาใช้เงินล้อบบี้รัฐบาลสหรัฐมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ..ปี 2018 มีการใช้เงินถึง $2.8 แสนล้าน นี่แสดงให้เห็นถึงการไร้กฏระเบียบของอุตสาหกรรมนี้ ถึงแม้สหรัฐจะมี Food and Drug Administration (FDA) แต่หน่วยงานนี้ก็มีงบประมาณไม่พอ ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ...เจ้าหน้าที่ในสต้าฟมีสัมพันธภาพกับอุตสาหกรรมนี้ อดีตผอ. FDA ก็ออกไปทำงานกับ Pfizer ...ส่วนอดีตสมาชิกสภาคองเกรสจำนวนไม่น้อยก็ไปรับจ้อบเป็นล้อบบี้ยิสต์ให้กับอุตสาหกรรมยา สถานการณ์ของการรักษากฏของเรื่องนี้ในอังกฤษยิ่งร้ายหนักกว่าอีก อังกฤษไม่เคยมีการลงโทษบริษัทยาซักแห่งเลย มีการปรับเล็กน้อยรวมกันแค่ £73,300 แต่ไม่เคยมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังเลย Not Fit For Purpose แทบทุกประเทศที่มีหน่วยงานเกี่ยวกับอาหารและยามักจะตายใจไม่นึกว่าอุตสาหกรรมยาน่ะมันเชี่..แค่ไหน พวกสื่อเองก็เงียบไม่พูดถึงกำ ไรมหาศาลของบริษัทยาเพราะรับทรัพย์ไปเยอะ ...อุตสาหกรรมนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสนองจุดประสงค์แท้จริงของสาธารณชน (not fit for purpose) มันทำความล้มเหลวทั้งในประเทศร่ำรวยและยากจนถ้วนหน้า ถ้าอุตสาหกรรมนี้เป็นเรื่องที่ดำเนินงานไปโดยหน่วยงานของชาติ ยาทุกชนิดจะมีราคาเป็นแค่เศษเสี้ยวของราคาปัจจุบัน ไม่ต้องมีปัญหายาปลอม ไม่ต้องมีการล็อบบี้ ไม่ต้องมีการแย่งชิงสิทธิบัตร ประเทศยากจนเข้าถึงยาได้ง่าย ๆ ที่ราคาต่ำมาก ๆ จนอาจให้เปล่าได้เลย ถ้าเราพูดถึงการต่อสู้ความยากจนของโลกจริง ๆ แล้ว นี่เป็นเรื่องแรก ๆ ที่ต้องทำ ....แต่ความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมยาควรจะเป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินงานเอง เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเลย...... ***ผมไม่ได้แปลส่วนเชิงอรรถในบทความนะครับ แต่เพื่อน ๆ ดูได้ในบทความต้นฉบับนะครับ*** https://medium.com/elephantsintheroom/42-the-crimes-of-the-pharmaceutical-industry-5fee08225cbb
    MEDIUM.COM
    42) The Crimes of the Pharmaceutical Industry
    “The history of medicine is littered with wonderful early results which over a period of time turn out to be not so wonderful…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 577 มุมมอง 0 รีวิว
  • เนื้อเพลง "ด้วยรักตลอดไป" แปลไทยโดย "แดนเจอร์" (ชื่อเดิมของเพลงนี้คือ Love Eternally เพื่อพ่อตลอดไป ประพันธ์โดย Paul Ewing
    เนื้อเพลง "ด้วยรักตลอดไป"
    แปลไทยโดย "แดนเจอร์"
    พ่อเดินท้าว ท่องทั่วไปทั่วทั้งผืนแผ่นดินไทย
    พ่อสัมผัสได้ถึง ทุกๆมือและหัวใจของประชาชน
    พ่อมองเห็นถึง การวางแผนที่ ที่ยิ่งใหญ่
    พวกเราให้ท่าน(พ่อหลวง)ทั้งหมดใจ(เท่าที่มี)
    ซึ่งท่านทำให้พวกเราสามารถลุกขึ้นยืนหยัดได้(นั่นเอง)
    พ่อให้ฝนหลวง จากที่ๆไม่เคยมีฝนตกเลย
    พ่อมอบกำลังใจให้กับพวกเรา ในตอนที่พวกเราร่ำร้องไห้กับความยากจนเข็นใจ
    เพราะท่าน(พ่อหลวง)มีศรัทธาในพวกเรา จึงทำให้พวกเรามีความพยายาม(อย่างยิ่งยวด)
    จนถึง(ใน)ที่สุดแล้ว จนทำให้ประเทศชาติไทยมีความเจริญรุ่งเรือง
    จากตัวเลือกนับเป็นพันๆคน แต่พวกเรากลับเลือกท่านแค่เพียงแค่คนเดียว
    จนเป็นพันๆล้านเสียง จึงบังเกิดเป็นเพียงหนึ่งเดียว(ท่านพ่อหลวง)
    สามัคคีเป็นหนึ่งเดียว
    ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นเอกภาพ
    นับจากนี้ไปพวกเราจะให้ท่าน(พ่อหลวง)
    ด้วยรักตลอดไป
    ในทุกๆดวงใจ ในทุกๆบ้าน ในทุกๆที่
    ท่าน(พ่อหลวง)คือแสงสว่างแห่งความหวัง
    ท่าน(พ่อหลวง)คือที่คุ้มกันภัย(ของพวกเรา)
    และเมื่อเหล่าพายุฝนได้จางหายไป
    ท่านเป็นได้ดั่งแรงบันดาลใจของพวกเรา
    ดังนั้นพวกเราจึงได้ถือนำพาเอาไปด้วย
    เพราะท่านคือพ่อ(หลวง)
    เพราะท่านคือจิตวิญญาณ(ที่ศักดิ์สิทธิ์)
    ท่านเป็นดั่งศูนย์รวมจิตใจของประเทศไทยนี้
    นับต่อจากนี้ไปพวกเราจะให้ท่าน(พ่อหลวง)
    ด้วยรัก(และเคารพยิ่ง)ตลอดไป(ชั่วนิดนิรันดร์)
    ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ท่านเป็นพระมหากษัตริย์(ของพระมหากษัตริย์)
    ท่าน(พ่อหลวง)เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์(และจะยังคงเป็นตลอดไป)ท่าน(พ่อหลวง)คือพระมหาโพธิสัตว์
    เนื้อเพลง "ด้วยรักตลอดไป" แปลไทยโดย "แดนเจอร์" (ชื่อเดิมของเพลงนี้คือ Love Eternally เพื่อพ่อตลอดไป ประพันธ์โดย Paul Ewing เนื้อเพลง "ด้วยรักตลอดไป" แปลไทยโดย "แดนเจอร์" พ่อเดินท้าว ท่องทั่วไปทั่วทั้งผืนแผ่นดินไทย พ่อสัมผัสได้ถึง ทุกๆมือและหัวใจของประชาชน พ่อมองเห็นถึง การวางแผนที่ ที่ยิ่งใหญ่ พวกเราให้ท่าน(พ่อหลวง)ทั้งหมดใจ(เท่าที่มี) ซึ่งท่านทำให้พวกเราสามารถลุกขึ้นยืนหยัดได้(นั่นเอง) พ่อให้ฝนหลวง จากที่ๆไม่เคยมีฝนตกเลย พ่อมอบกำลังใจให้กับพวกเรา ในตอนที่พวกเราร่ำร้องไห้กับความยากจนเข็นใจ เพราะท่าน(พ่อหลวง)มีศรัทธาในพวกเรา จึงทำให้พวกเรามีความพยายาม(อย่างยิ่งยวด) จนถึง(ใน)ที่สุดแล้ว จนทำให้ประเทศชาติไทยมีความเจริญรุ่งเรือง จากตัวเลือกนับเป็นพันๆคน แต่พวกเรากลับเลือกท่านแค่เพียงแค่คนเดียว จนเป็นพันๆล้านเสียง จึงบังเกิดเป็นเพียงหนึ่งเดียว(ท่านพ่อหลวง) สามัคคีเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นเอกภาพ นับจากนี้ไปพวกเราจะให้ท่าน(พ่อหลวง) ด้วยรักตลอดไป ในทุกๆดวงใจ ในทุกๆบ้าน ในทุกๆที่ ท่าน(พ่อหลวง)คือแสงสว่างแห่งความหวัง ท่าน(พ่อหลวง)คือที่คุ้มกันภัย(ของพวกเรา) และเมื่อเหล่าพายุฝนได้จางหายไป ท่านเป็นได้ดั่งแรงบันดาลใจของพวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงได้ถือนำพาเอาไปด้วย เพราะท่านคือพ่อ(หลวง) เพราะท่านคือจิตวิญญาณ(ที่ศักดิ์สิทธิ์) ท่านเป็นดั่งศูนย์รวมจิตใจของประเทศไทยนี้ นับต่อจากนี้ไปพวกเราจะให้ท่าน(พ่อหลวง) ด้วยรัก(และเคารพยิ่ง)ตลอดไป(ชั่วนิดนิรันดร์) ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ท่านเป็นพระมหากษัตริย์(ของพระมหากษัตริย์) ท่าน(พ่อหลวง)เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์(และจะยังคงเป็นตลอดไป)ท่าน(พ่อหลวง)คือพระมหาโพธิสัตว์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าครอบครัวใด มี #ศีล และปลอดจาก #อบายมุข ครอบครัวนั้น จะอยู่อย่างเป็นสุขปลอดทุกข์จากความยากจน

    ถ้าสังคมใด มี #ศีล และปลอดจาก #อบายมุข สังคมนั้นจะอยู่อย่างเป็นสุขปลอดทุกข์จากความยากจน

    ถ้าประเทศใด มี #ศีล และปลอดจาก #อบายมุข ประเทศนั้นจะอยู่อย่างสงบสุขปลอดทุกข์ ไม่เป็นประเทศที่ยากจน

    เป็นสุข เพราะ มีศีล
    ไม่จน จนต้องเป็นทุกข์ เพราะ ความไม่ต้องเป็นทาสอบายมุข

    การทำให้คนมีศีลปลอดอบายมุข
    เป็นการพัฒนาสังคมมนุษย์...
    ถ้าครอบครัวใด มี #ศีล และปลอดจาก #อบายมุข ครอบครัวนั้น จะอยู่อย่างเป็นสุขปลอดทุกข์จากความยากจน ถ้าสังคมใด มี #ศีล และปลอดจาก #อบายมุข สังคมนั้นจะอยู่อย่างเป็นสุขปลอดทุกข์จากความยากจน ถ้าประเทศใด มี #ศีล และปลอดจาก #อบายมุข ประเทศนั้นจะอยู่อย่างสงบสุขปลอดทุกข์ ไม่เป็นประเทศที่ยากจน เป็นสุข เพราะ มีศีล ไม่จน จนต้องเป็นทุกข์ เพราะ ความไม่ต้องเป็นทาสอบายมุข การทำให้คนมีศีลปลอดอบายมุข เป็นการพัฒนาสังคมมนุษย์...
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าครอบครัวใด มี #ศีล และปลอดจาก #อบายมุข ครอบครัวนั้น จะอยู่อย่างเป็นสุขปลอดทุกข์จากความยากจน

    ถ้าสังคมใด มี #ศีล และปลอดจาก #อบายมุข สังคมนั้นจะอยู่อย่างเป็นสุขปลอดทุกข์จากความยากจน

    ถ้าประเทศใด มี #ศีล และปลอดจาก #อบายมุข ประเทศนั้นจะอยู่อย่างสงบสุขปลอดทุกข์ ไม่เป็นประเทศที่ยากจน

    เป็นสุข เพราะ มีศีล
    ไม่จน จนต้องเป็นทุกข์ เพราะ ความไม่ต้องเป็นทาสอบายมุข

    การทำให้คนมีศีลปลอดอบายมุข
    เป็นการพัฒนาสังคมมนุษย์...
    ถ้าครอบครัวใด มี #ศีล และปลอดจาก #อบายมุข ครอบครัวนั้น จะอยู่อย่างเป็นสุขปลอดทุกข์จากความยากจน ถ้าสังคมใด มี #ศีล และปลอดจาก #อบายมุข สังคมนั้นจะอยู่อย่างเป็นสุขปลอดทุกข์จากความยากจน ถ้าประเทศใด มี #ศีล และปลอดจาก #อบายมุข ประเทศนั้นจะอยู่อย่างสงบสุขปลอดทุกข์ ไม่เป็นประเทศที่ยากจน เป็นสุข เพราะ มีศีล ไม่จน จนต้องเป็นทุกข์ เพราะ ความไม่ต้องเป็นทาสอบายมุข การทำให้คนมีศีลปลอดอบายมุข เป็นการพัฒนาสังคมมนุษย์...
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไฟป่า LA เผาศักดิ์ศรีอเมริกาเป็นจุณ
    นักการเมืองอเมริกันดับไฟด้วยน้ำลาย
    .
    ผมเคยเรียนอยู่ที่ UCLA เคยอยู่อาศัยและคุ้นเคยกับลอสแอสเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย มาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เห็นภาพโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นแล้วอดใจหายไม่ได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจที่ประเทศที่อ้างตัวเองว่าเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกอย่างอเมริกา มีฐานทัพกระจายอยู่ทั่วโลก 750 แห่ง มีทหารประจำการอยู่ทั่วโลกหลายแสนคน เรือบรรทุกเครื่องบินประจำการอยู่นับสิบลำ สามารถแทรกแซงการเมืองทุกๆ จุดในโลกภายในเวลาไม่กี่อึดใจ แต่กลับไม่สามารถปกป้องพลเมืองของตัวเองจากไฟป่าได้ ในพื้นที่ที่เรียกได้ว่าเจริญที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา
    .
    ไฟป่าลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ทำให้สหรัฐต้องสูญเสียกว่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในพื้นที่ประมาณ 160 ตารางกิโลเมตร หรือกว่า 1 แสนไร่ ถูกทำลายอย่างราบคาบสภาพความเสียหายร้ายแรงพอๆ กับสมรภูมิสงครามขนาดใหญ่ เหมือนดินแดนที่ถูกถล่มด้วยนิวเคลียร์ บ้านเรือนหรูหราในย่านมาลิบูของเศรษฐีและคนมีชื่อเสียงถูกเผาวอดวาย เหลือแต่ตอ กว่า 13,400 หลัง พร้อมทรัพย์สินมีคุณค่าสูงแต่ละบ้านยังประเมินไม่ได้ บ้านหรูราคา 125 ล้านดอลลาร์ หรือ 4,200 ล้านบาท ผู้คนหลายแสนคนต้องอพยพ ไร้บ้าน ไฟฟ้าดับกว่า 4 แสนราย ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่ออุปกรณ์สื่อสารในวงกว้าง
    .
    ความล้มเหลวในการจัดการปัญหาวิกฤตไฟป่าที่เกิดขึ้นซ้ำซากทุกปี ทั้งๆที่อเมริกามีกองกำลังดับเพลิงจำนวนมากถึง 29,452 แห่งทั่วประเทศ สามารถระดมมาช่วยเหลือบรรทุกข์ จากอัคคีภัยไฟป่านี้ได้ แต่การตอบสนองที่ล่าช้าของประธานาธิบดีไบเดนและกองทัพสหรัฐฯกับกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security) รวมทั้งถูกจำกัดด้วยข้อกฎหมาย พระราชบัญญัติบรรเทาภัยพิบัติ และความช่วยเหลือฉุกเฉิน (Stafford) ที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติด้วย
    .
    แต่ที่ตลกบ้าและโง่สิ้นดีคือ กฎหมายฉบับใหม่ที่ผ่านรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่า ถ้าใครขโมยของมูลค่าต่ำกว่า 950 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 33,000 บาท ตำรวจไม่สามารถดำเนินคดีหรือจับกุมหัวขโมยที่ปล้นผู้ประสบภัยได้ เนื่องจากกฎหมายระบุว่าเป็นการก่ออาชญากรรมต่อความยากจน ชาวเมืองแอลเอต่างมองอย่างสิ้นหวังกับนักการเมืองที่กล่าวโทษซึ่งกันและกัน และที่น่าหงุดหงิดคือเรื่องนักดับเพลิงชาวอเมริกันที่เสี่ยงชีวิตดับไฟป่าที่กำลังโหมกระหน่ำ ไม่มีน้ำดับไฟ เพราะอ่างเก็บน้ำชำรุด อยู่ระหว่างซ่อมแซม ต้องปล่อยน้ำจนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว ก่อนเกิดเพลิงไหม้
    .
    ทรัมป์ อ้างว่านโยบายสิ่งแวดล้อมที่ผันน้ำจืดไปรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำและอนุรักษ์สัตว์น้ำ เช่น ปลาแซลมอน และอีลอน มัสก์บอกว่ากฎหมายรักษาสิ่งแวดล้อมที่นี่ต้องการปกป้องอนุรักษ์กบขาแดงทำให้หน่วยดับเพลิงขาดแคลนน้ำดับไฟป่า ทรัมป์ไล่ให้นายเกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียลาออก เพราะนายนิวซัมเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของพรรคเดโมแครต และเป็นความหวังในการชิงประธานาธิบดีครั้งต่อไปของพรรคในปี 2571
    .
    ตลกร้ายอีกอันหนึ่ง คือโดรนหรืออากาศยานไร้คนขับDJIซึ่งเป็นเครื่องมือในการช่วยดับไฟหายไปไหน? ปรากฏว่า DJIของจีนที่หน่วยกู้ภัยใช้กันในโลก ถูกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำ ห้ามนำเข้าสหรัฐฯ พอห้ามโดรนจีนที่ราคาถูกและใช้งานได้จริงแล้ว อเมริกาไม่มีโดรนดีๆ ที่ใช้ดับไฟป่า
    .
    ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบวิกฤตการณ์ไฟป่าที่แคลิฟอร์เนียล่าสุด กับแนวทางจัดการวิกฤตจากภัยพิบัติของจีน ที่รัฐตอบสนองอย่างรวดเร็ว เป็นระบบในกรณีเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในเมืองชิกัตเซ ที่ทิเบตประเทศจีน เมื่อวันที่ 8 มกราคม ปีนี้ ซึ่งใกล้เคียงกับการเกิดเหตุการณ์ไฟป่าแคลิฟอร์เนีย มันทำให้เราเห็นชัดเจนว่า มันยากมากที่จะเห็นการตอบสนองที่รวดเร็วและทันการณ์วิกฤตกู้ภัยไฟป่าของแคลิฟอร์เนียที่เกิดซ้ำซากวอดวายทุกปี แต่กลไกการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินของอเมริกานั้นต้องถือว่าล้าสมัยมาก ไม่สมกับที่ตัวเองเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก
    .
    บางทีอเมริกาอาจจะต้องหยุดเผชิญหน้าอย่างสุดโต่งกับจีน เพราะถึงอย่างไรจีนไม่สามารถเอาชนะอเมริกาได้โดยตรง แต่สิ่งเดียวที่สามารถทำลายอเมริกาได้จริงๆ คือความเย่อหยิ่ง ความไม่รู้ และความไร้ความสามารถภายใน ขั้นตอนแรกที่จะทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ก็คือการหลีกเลี่ยงการเลือกประธานาธิบดีที่โง่แต่อวดฉลาดและบ้าอำนาจ อย่างเช่นนายไบเดน และ นายทรัมป์ นั่นเอง
    .
    ถ้าท่านผู้ชมดูภาพที่อเมริกาโดนไฟป่าในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย เปรียบเทียบกับฉนวนกาซาในอิสราเอล เอาระเบิดไปถล่มกัน เวรกรรมมีจริง ผมอยากให้ท่านผู้ชมจำไว้ว่า สวรรค์มีตา บางเรื่องเสียงร้องไห้ของเด็ก ผู้หญิงและชาวปาเลสไตน์ อาจจะทำให้สวรรค์ทรงพิโรธก็ได้ และเป็นอีกบทหนึ่งที่พิสูจน์เรื่อง "กรรม" กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนองกลับมาเหมือนบูมเมอแรง
    ไฟป่า LA เผาศักดิ์ศรีอเมริกาเป็นจุณ นักการเมืองอเมริกันดับไฟด้วยน้ำลาย . ผมเคยเรียนอยู่ที่ UCLA เคยอยู่อาศัยและคุ้นเคยกับลอสแอสเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย มาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เห็นภาพโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นแล้วอดใจหายไม่ได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจที่ประเทศที่อ้างตัวเองว่าเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกอย่างอเมริกา มีฐานทัพกระจายอยู่ทั่วโลก 750 แห่ง มีทหารประจำการอยู่ทั่วโลกหลายแสนคน เรือบรรทุกเครื่องบินประจำการอยู่นับสิบลำ สามารถแทรกแซงการเมืองทุกๆ จุดในโลกภายในเวลาไม่กี่อึดใจ แต่กลับไม่สามารถปกป้องพลเมืองของตัวเองจากไฟป่าได้ ในพื้นที่ที่เรียกได้ว่าเจริญที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา . ไฟป่าลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ทำให้สหรัฐต้องสูญเสียกว่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในพื้นที่ประมาณ 160 ตารางกิโลเมตร หรือกว่า 1 แสนไร่ ถูกทำลายอย่างราบคาบสภาพความเสียหายร้ายแรงพอๆ กับสมรภูมิสงครามขนาดใหญ่ เหมือนดินแดนที่ถูกถล่มด้วยนิวเคลียร์ บ้านเรือนหรูหราในย่านมาลิบูของเศรษฐีและคนมีชื่อเสียงถูกเผาวอดวาย เหลือแต่ตอ กว่า 13,400 หลัง พร้อมทรัพย์สินมีคุณค่าสูงแต่ละบ้านยังประเมินไม่ได้ บ้านหรูราคา 125 ล้านดอลลาร์ หรือ 4,200 ล้านบาท ผู้คนหลายแสนคนต้องอพยพ ไร้บ้าน ไฟฟ้าดับกว่า 4 แสนราย ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่ออุปกรณ์สื่อสารในวงกว้าง . ความล้มเหลวในการจัดการปัญหาวิกฤตไฟป่าที่เกิดขึ้นซ้ำซากทุกปี ทั้งๆที่อเมริกามีกองกำลังดับเพลิงจำนวนมากถึง 29,452 แห่งทั่วประเทศ สามารถระดมมาช่วยเหลือบรรทุกข์ จากอัคคีภัยไฟป่านี้ได้ แต่การตอบสนองที่ล่าช้าของประธานาธิบดีไบเดนและกองทัพสหรัฐฯกับกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security) รวมทั้งถูกจำกัดด้วยข้อกฎหมาย พระราชบัญญัติบรรเทาภัยพิบัติ และความช่วยเหลือฉุกเฉิน (Stafford) ที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติด้วย . แต่ที่ตลกบ้าและโง่สิ้นดีคือ กฎหมายฉบับใหม่ที่ผ่านรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่า ถ้าใครขโมยของมูลค่าต่ำกว่า 950 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 33,000 บาท ตำรวจไม่สามารถดำเนินคดีหรือจับกุมหัวขโมยที่ปล้นผู้ประสบภัยได้ เนื่องจากกฎหมายระบุว่าเป็นการก่ออาชญากรรมต่อความยากจน ชาวเมืองแอลเอต่างมองอย่างสิ้นหวังกับนักการเมืองที่กล่าวโทษซึ่งกันและกัน และที่น่าหงุดหงิดคือเรื่องนักดับเพลิงชาวอเมริกันที่เสี่ยงชีวิตดับไฟป่าที่กำลังโหมกระหน่ำ ไม่มีน้ำดับไฟ เพราะอ่างเก็บน้ำชำรุด อยู่ระหว่างซ่อมแซม ต้องปล่อยน้ำจนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว ก่อนเกิดเพลิงไหม้ . ทรัมป์ อ้างว่านโยบายสิ่งแวดล้อมที่ผันน้ำจืดไปรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำและอนุรักษ์สัตว์น้ำ เช่น ปลาแซลมอน และอีลอน มัสก์บอกว่ากฎหมายรักษาสิ่งแวดล้อมที่นี่ต้องการปกป้องอนุรักษ์กบขาแดงทำให้หน่วยดับเพลิงขาดแคลนน้ำดับไฟป่า ทรัมป์ไล่ให้นายเกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียลาออก เพราะนายนิวซัมเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของพรรคเดโมแครต และเป็นความหวังในการชิงประธานาธิบดีครั้งต่อไปของพรรคในปี 2571 . ตลกร้ายอีกอันหนึ่ง คือโดรนหรืออากาศยานไร้คนขับDJIซึ่งเป็นเครื่องมือในการช่วยดับไฟหายไปไหน? ปรากฏว่า DJIของจีนที่หน่วยกู้ภัยใช้กันในโลก ถูกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำ ห้ามนำเข้าสหรัฐฯ พอห้ามโดรนจีนที่ราคาถูกและใช้งานได้จริงแล้ว อเมริกาไม่มีโดรนดีๆ ที่ใช้ดับไฟป่า . ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบวิกฤตการณ์ไฟป่าที่แคลิฟอร์เนียล่าสุด กับแนวทางจัดการวิกฤตจากภัยพิบัติของจีน ที่รัฐตอบสนองอย่างรวดเร็ว เป็นระบบในกรณีเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในเมืองชิกัตเซ ที่ทิเบตประเทศจีน เมื่อวันที่ 8 มกราคม ปีนี้ ซึ่งใกล้เคียงกับการเกิดเหตุการณ์ไฟป่าแคลิฟอร์เนีย มันทำให้เราเห็นชัดเจนว่า มันยากมากที่จะเห็นการตอบสนองที่รวดเร็วและทันการณ์วิกฤตกู้ภัยไฟป่าของแคลิฟอร์เนียที่เกิดซ้ำซากวอดวายทุกปี แต่กลไกการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินของอเมริกานั้นต้องถือว่าล้าสมัยมาก ไม่สมกับที่ตัวเองเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก . บางทีอเมริกาอาจจะต้องหยุดเผชิญหน้าอย่างสุดโต่งกับจีน เพราะถึงอย่างไรจีนไม่สามารถเอาชนะอเมริกาได้โดยตรง แต่สิ่งเดียวที่สามารถทำลายอเมริกาได้จริงๆ คือความเย่อหยิ่ง ความไม่รู้ และความไร้ความสามารถภายใน ขั้นตอนแรกที่จะทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ก็คือการหลีกเลี่ยงการเลือกประธานาธิบดีที่โง่แต่อวดฉลาดและบ้าอำนาจ อย่างเช่นนายไบเดน และ นายทรัมป์ นั่นเอง . ถ้าท่านผู้ชมดูภาพที่อเมริกาโดนไฟป่าในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย เปรียบเทียบกับฉนวนกาซาในอิสราเอล เอาระเบิดไปถล่มกัน เวรกรรมมีจริง ผมอยากให้ท่านผู้ชมจำไว้ว่า สวรรค์มีตา บางเรื่องเสียงร้องไห้ของเด็ก ผู้หญิงและชาวปาเลสไตน์ อาจจะทำให้สวรรค์ทรงพิโรธก็ได้ และเป็นอีกบทหนึ่งที่พิสูจน์เรื่อง "กรรม" กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนองกลับมาเหมือนบูมเมอแรง
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 433 มุมมอง 0 รีวิว
  • 10/1/68

    🍀A home is at peace in California wildfires disaster.
    The owner of the house is a religious man and does charity work to help poor children in Africa.🙏🪷
    The house that was left in the fire, it appears that the fire has spared this house.
    In Buddhist stories, houses where the owners of the house often do virtuous deeds, have Religious Beliefs, when disasters such as Earthquakes, Fires, Hurricanes, .... It seems to be protected by the Bodhisattva, the Angels and the Law from accidents.
    This is also a blessing to accumulate karma and virtuous Meditation, faith in Religion that thanks to which the owner of the house is always in Peace, without property loss and escape from Fire.

    Amitabha Buddha. 🙏🪷

    Credit to Kelvin Cong Fb

    บ้านอยู่สงบท่ามกลางภัยพิบัติจากไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย
    เจ้าของบ้านเป็นคนเคร่งศาสนาและทำงานการกุศลเพื่อช่วยเหลือเด็กยากจนในแอฟริกา🙏🪷
    บ้านที่ถูกทิ้งไว้ในกองไฟดูเหมือนว่าไฟได้ช่วยบ้านหลังนี้ไว้
    ในเรื่องเล่าของพุทธศาสนา บ้านที่เจ้าของบ้านมักทำความดี มีความเชื่อทางศาสนา เมื่อเกิดภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว ไฟไหม้ พายุเฮอริเคน .... ดูเหมือนว่าจะได้รับการปกป้องจากพระโพธิสัตว์ เทวดา และกฎแห่งกรรมจากอุบัติเหตุ
    นอกจากนี้ยังเป็นพรแห่งการสะสมกรรมและการทำสมาธิอันบริสุทธิ์ ความศรัทธาในศาสนาที่ทำให้เจ้าของบ้านอยู่เย็นเป็นสุขตลอดเวลา ไม่มีทรัพย์สินสูญหาย และรอดพ้นจากไฟได้

    พระอมิตาภพุทธเจ้า 🙏🪷

    เจ้าของนับถือศาสนาพุทธ
    มีพระพุทธรูปบูชาในบ้าน

    และเขานั่งสมาธิประจำ
    10/1/68 🍀A home is at peace in California wildfires disaster. The owner of the house is a religious man and does charity work to help poor children in Africa.🙏🪷 The house that was left in the fire, it appears that the fire has spared this house. In Buddhist stories, houses where the owners of the house often do virtuous deeds, have Religious Beliefs, when disasters such as Earthquakes, Fires, Hurricanes, .... It seems to be protected by the Bodhisattva, the Angels and the Law from accidents. This is also a blessing to accumulate karma and virtuous Meditation, faith in Religion that thanks to which the owner of the house is always in Peace, without property loss and escape from Fire. Amitabha Buddha. 🙏🪷 Credit to Kelvin Cong Fb บ้านอยู่สงบท่ามกลางภัยพิบัติจากไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย เจ้าของบ้านเป็นคนเคร่งศาสนาและทำงานการกุศลเพื่อช่วยเหลือเด็กยากจนในแอฟริกา🙏🪷 บ้านที่ถูกทิ้งไว้ในกองไฟดูเหมือนว่าไฟได้ช่วยบ้านหลังนี้ไว้ ในเรื่องเล่าของพุทธศาสนา บ้านที่เจ้าของบ้านมักทำความดี มีความเชื่อทางศาสนา เมื่อเกิดภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว ไฟไหม้ พายุเฮอริเคน .... ดูเหมือนว่าจะได้รับการปกป้องจากพระโพธิสัตว์ เทวดา และกฎแห่งกรรมจากอุบัติเหตุ นอกจากนี้ยังเป็นพรแห่งการสะสมกรรมและการทำสมาธิอันบริสุทธิ์ ความศรัทธาในศาสนาที่ทำให้เจ้าของบ้านอยู่เย็นเป็นสุขตลอดเวลา ไม่มีทรัพย์สินสูญหาย และรอดพ้นจากไฟได้ พระอมิตาภพุทธเจ้า 🙏🪷 เจ้าของนับถือศาสนาพุทธ มีพระพุทธรูปบูชาในบ้าน และเขานั่งสมาธิประจำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 503 มุมมอง 0 รีวิว
  • 19/1/68

    บ่อนคาสิโน : ขอคารวะดร.เอ้ที่กล้าชี้แนะ

    ในวันที่ลำบากที่สุด ทำไม ลีกวนยู รัฐบุรุษแห่งสิงคโปร์ เลือกพัฒนา "คุณภาพคน" และ "คุณภาพราชการ" ก่อนเปิดกาสิโน เราเรียนรู้อะไร?

    การอ้างเศรษฐกิจจะดี จะสร้างรายได้จาก "กาสิโนเสรี" ในชื่อแอบแฝง "Entertainmant Complex" ชวนน่าสงสัย อันตรายยิ่ง

    และการนำเรื่องกาสิโน ไปเปรียบกับสิงคโปร์ แต่ไม่ไปเปรียบกับเมียนมาร์ และกัมพูชา ยิ่งสะท้อน ความวิบัติในตรรกะ เช่นกัน

    เพราะการมีกาสิโนในประเทศข้างบ้าน สะท้อนความจริงว่า "ชาวบ้านไม่ได้อะไร" ยังคงยากจน ข้นแค้น แต่คนได้ คือ "นายทุน" กับ "ผู้นำการเมือง" ผู้อยู่เบื้องหลัง ที่มั่งคั่ง บนความเหลื่อมล้ำของสังคม

    หรือท่านเคยสงสัยไหมว่า ทำไมวันที่สิงค์โปร์แยกตัวจากมาเลเซีย ไม่มีทรัพยากรใด ลำบากยากจน หมดหวัง แม้แต่ "ลีกวนยู" นายกรัฐมนตรี ถึงกับร้องไห้

    จนทำให้ หลายคนรอบตัวลีกวนยู บอก "นายครับ เราเปิดกาสิโน แบบมาเก๊า เอาเงินเข้าประเทศกันเถอะครับ" จะเป็นทางรอดของสิงคโปร์

    แต่ ลีกวนยู ปฏิเสธ...

    ไม่มีประเทศไหน ไม่อยากได้เงินบริหารประเทศ ลีกวนยู ผู้ที่พ่อเคยติดการพนัน รู้ซึ้งถึง "อันตรายจากการพนัน" ในวันที่สังคมสิงคโปร์ ยังไม่พร้อม ทั้งเรื่องการบังคับใช้กฏหมาย การจัดระเบียบราชการ และที่สำคัญที่สุด คือ การศึกษาสร้างภูมิคุ้มกันของคนสิงคโปร์ ที่ยัง "ไม่พร้อม"

    ลีกวนยู นายกรัฐมนตรี จึงประกาศ "มุ่งสร้างคนคุณภาพ ด้วยการศึกษาที่ดีที่สุด" และ "มุ่งสร้างระบบราชการ ที่ปราศจากการคอรัปชั่น" เป็นอันดับแรก จนสิงค์โปร์ได้ชื่อว่า มีการพัฒนาคน และพัฒนาระบบราชการโปร่งใส อันดับท็อปของโลก

    รายได้ประชาชาติ หรือจีดีพีต่อคนของสิงค์โปร์ จึงเติบโตจาก 400 ดอลลาร์ต่อคน ในปี 1960 จนมากว่า 80,000 ดอลลาร์ต่อคน ในปัจจุบัน หรือโตกว่า 200 เท่า ตั้งแต่ลีกวนยูเริ่มบริหารประเทศ

    พิสูจน์วิสัยทัศน์ของ ลีกวนยู "การสร้างคน เพื่อไปสร้างชาติ ไปสร้างเศรษฐกิจ" คือ สิ่งที่ถูกต้องที่สุด ดีกว่าทุกสิ่งอย่าง

    แต่ทั้งนี้ "การศึกษาอย่างละเอียด เรื่องบ่อนกาสิโน" จากที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ยังคงเริ่มมาตั้งแต่สมัยของลีกวนยู นายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง 32 ปี และต่อเนื่องมาจนสมัยของ โก๊ะ จ๊กตง นายกรัฐมนตรีคนที่สอง 14 ปี รอจนสิงค์โปร์ประสบความสำเร็จในการสร้าง "รากฐานของประเทศ" และสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ

    มาถึง ลีเซียนลุง นายกรัฐมนตรีคนที่สาม ภายใต้ "ข้อจำกัดด้านการท่องเที่ยว" ของเกาะสิงคโปร์ ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ ไม่มีชายหาดที่สวยงาม ไม่มีประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม ไม่มี "สีสัน" ดึงดูดนักท่องเที่ยว เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทย ที่มีทั้งสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม อาหาร และธรรมชาติ ที่เหนือกว่าสิงคโปร์ทุกด้าน

    ลีเซียนลุง จึงประกาศให้มีกาสิโน ด้วยการเตรียมความพร้อมทุกด้าน ทั้งด้านการบังคับใช้กฏหมาย ด้านภูมิคุ้มกันประชาชน และด้านการเยียวยาผลกระทบ จากการศึกษามายาวนาน

    แต่ที่น่าสนใจ เราแทบไม่เคยได้ยินว่า ลีเซียนลุง แสดงความภาคภูมิใจกับผลงานนี้ของรัฐบาลเขาเลย และยังมีหลายคนพูดว่า หากสิงคโปร์ย้อนเวลากลับไปได้ อาจไม่ทำเรื่องกาสิโน ก็เป็นได้

    ผมจึงเพียงสงสัย อย่างไร้อคติว่า ผู้นำไทยเรียนรู้อะไรบ้าง จากผู้นำสิงคโปร์

    ทำไมผู้นำไทย จึงเร่งร้อน เลือกทางกาสิโนเสรี ก่อนเตรียมความพร้อมด้านการพัฒนาคน และด้านการบังคับใช้กฏหมาย ผมจึงประหลาดใจยิ่ง

    ผมขอให้ ผู้นำไทย มีความเป็น Stateman หรือรัฐบุรุษ คิดถึงอนาคตชาติ อนาคตเด็กไทย สักนิดก็ยังดี ก่อนบุ่มบ่าม เปิดบ่อนกาสิโน ภายใต้ความ "ไม่พร้อม"

    เพราะหากผลกระทบที่ตามมา ไม่ใช่อย่างพูด คนไทยนอกจากไม่ได้มีรายได้เพิ่มอย่างเท่าเทียม ลูกหลานติดการพนัน เสียคน บ่อนนอกพื้นที่อนุญาต เกิดขึ้นใหม่อย่างไร้การควบคุม รากฐานสังคมถูกทำลาย

    ถึงวันนั้น ขอโทษ เสียใจ คงไม่พอ
    .
    ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (ดร.เอ้)
    19/1/68 บ่อนคาสิโน : ขอคารวะดร.เอ้ที่กล้าชี้แนะ ในวันที่ลำบากที่สุด ทำไม ลีกวนยู รัฐบุรุษแห่งสิงคโปร์ เลือกพัฒนา "คุณภาพคน" และ "คุณภาพราชการ" ก่อนเปิดกาสิโน เราเรียนรู้อะไร? การอ้างเศรษฐกิจจะดี จะสร้างรายได้จาก "กาสิโนเสรี" ในชื่อแอบแฝง "Entertainmant Complex" ชวนน่าสงสัย อันตรายยิ่ง และการนำเรื่องกาสิโน ไปเปรียบกับสิงคโปร์ แต่ไม่ไปเปรียบกับเมียนมาร์ และกัมพูชา ยิ่งสะท้อน ความวิบัติในตรรกะ เช่นกัน เพราะการมีกาสิโนในประเทศข้างบ้าน สะท้อนความจริงว่า "ชาวบ้านไม่ได้อะไร" ยังคงยากจน ข้นแค้น แต่คนได้ คือ "นายทุน" กับ "ผู้นำการเมือง" ผู้อยู่เบื้องหลัง ที่มั่งคั่ง บนความเหลื่อมล้ำของสังคม หรือท่านเคยสงสัยไหมว่า ทำไมวันที่สิงค์โปร์แยกตัวจากมาเลเซีย ไม่มีทรัพยากรใด ลำบากยากจน หมดหวัง แม้แต่ "ลีกวนยู" นายกรัฐมนตรี ถึงกับร้องไห้ จนทำให้ หลายคนรอบตัวลีกวนยู บอก "นายครับ เราเปิดกาสิโน แบบมาเก๊า เอาเงินเข้าประเทศกันเถอะครับ" จะเป็นทางรอดของสิงคโปร์ แต่ ลีกวนยู ปฏิเสธ... ไม่มีประเทศไหน ไม่อยากได้เงินบริหารประเทศ ลีกวนยู ผู้ที่พ่อเคยติดการพนัน รู้ซึ้งถึง "อันตรายจากการพนัน" ในวันที่สังคมสิงคโปร์ ยังไม่พร้อม ทั้งเรื่องการบังคับใช้กฏหมาย การจัดระเบียบราชการ และที่สำคัญที่สุด คือ การศึกษาสร้างภูมิคุ้มกันของคนสิงคโปร์ ที่ยัง "ไม่พร้อม" ลีกวนยู นายกรัฐมนตรี จึงประกาศ "มุ่งสร้างคนคุณภาพ ด้วยการศึกษาที่ดีที่สุด" และ "มุ่งสร้างระบบราชการ ที่ปราศจากการคอรัปชั่น" เป็นอันดับแรก จนสิงค์โปร์ได้ชื่อว่า มีการพัฒนาคน และพัฒนาระบบราชการโปร่งใส อันดับท็อปของโลก รายได้ประชาชาติ หรือจีดีพีต่อคนของสิงค์โปร์ จึงเติบโตจาก 400 ดอลลาร์ต่อคน ในปี 1960 จนมากว่า 80,000 ดอลลาร์ต่อคน ในปัจจุบัน หรือโตกว่า 200 เท่า ตั้งแต่ลีกวนยูเริ่มบริหารประเทศ พิสูจน์วิสัยทัศน์ของ ลีกวนยู "การสร้างคน เพื่อไปสร้างชาติ ไปสร้างเศรษฐกิจ" คือ สิ่งที่ถูกต้องที่สุด ดีกว่าทุกสิ่งอย่าง แต่ทั้งนี้ "การศึกษาอย่างละเอียด เรื่องบ่อนกาสิโน" จากที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ยังคงเริ่มมาตั้งแต่สมัยของลีกวนยู นายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง 32 ปี และต่อเนื่องมาจนสมัยของ โก๊ะ จ๊กตง นายกรัฐมนตรีคนที่สอง 14 ปี รอจนสิงค์โปร์ประสบความสำเร็จในการสร้าง "รากฐานของประเทศ" และสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ มาถึง ลีเซียนลุง นายกรัฐมนตรีคนที่สาม ภายใต้ "ข้อจำกัดด้านการท่องเที่ยว" ของเกาะสิงคโปร์ ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ ไม่มีชายหาดที่สวยงาม ไม่มีประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม ไม่มี "สีสัน" ดึงดูดนักท่องเที่ยว เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทย ที่มีทั้งสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม อาหาร และธรรมชาติ ที่เหนือกว่าสิงคโปร์ทุกด้าน ลีเซียนลุง จึงประกาศให้มีกาสิโน ด้วยการเตรียมความพร้อมทุกด้าน ทั้งด้านการบังคับใช้กฏหมาย ด้านภูมิคุ้มกันประชาชน และด้านการเยียวยาผลกระทบ จากการศึกษามายาวนาน แต่ที่น่าสนใจ เราแทบไม่เคยได้ยินว่า ลีเซียนลุง แสดงความภาคภูมิใจกับผลงานนี้ของรัฐบาลเขาเลย และยังมีหลายคนพูดว่า หากสิงคโปร์ย้อนเวลากลับไปได้ อาจไม่ทำเรื่องกาสิโน ก็เป็นได้ ผมจึงเพียงสงสัย อย่างไร้อคติว่า ผู้นำไทยเรียนรู้อะไรบ้าง จากผู้นำสิงคโปร์ ทำไมผู้นำไทย จึงเร่งร้อน เลือกทางกาสิโนเสรี ก่อนเตรียมความพร้อมด้านการพัฒนาคน และด้านการบังคับใช้กฏหมาย ผมจึงประหลาดใจยิ่ง ผมขอให้ ผู้นำไทย มีความเป็น Stateman หรือรัฐบุรุษ คิดถึงอนาคตชาติ อนาคตเด็กไทย สักนิดก็ยังดี ก่อนบุ่มบ่าม เปิดบ่อนกาสิโน ภายใต้ความ "ไม่พร้อม" เพราะหากผลกระทบที่ตามมา ไม่ใช่อย่างพูด คนไทยนอกจากไม่ได้มีรายได้เพิ่มอย่างเท่าเทียม ลูกหลานติดการพนัน เสียคน บ่อนนอกพื้นที่อนุญาต เกิดขึ้นใหม่อย่างไร้การควบคุม รากฐานสังคมถูกทำลาย ถึงวันนั้น ขอโทษ เสียใจ คงไม่พอ . ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (ดร.เอ้)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 615 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts