• พ.ร.บ.ศูนย์กลางทางการเงิน ยึดอำนาจแบงก์ชาติ ? : คนเคาะข่าว 17-03-68
    : ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรมว.คลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์

    #คนเคาะข่าว #ยึดอำนาจแบงก์ชาติ #เศรษฐกิจไทย #การเงิน #แบงก์ชาติ #ธีระชัยภูวนาถนรานุบาล #พลังประชารัฐ #ข่าวเศรษฐกิจ #thaiTimes #การคลัง #ตลาดการเงิน #กฎหมายการเงิน #นโยบายการเงิน #วิเคราะห์เศรษฐกิจ
    พ.ร.บ.ศูนย์กลางทางการเงิน ยึดอำนาจแบงก์ชาติ ? : คนเคาะข่าว 17-03-68 : ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรมว.คลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว #ยึดอำนาจแบงก์ชาติ #เศรษฐกิจไทย #การเงิน #แบงก์ชาติ #ธีระชัยภูวนาถนรานุบาล #พลังประชารัฐ #ข่าวเศรษฐกิจ #thaiTimes #การคลัง #ตลาดการเงิน #กฎหมายการเงิน #นโยบายการเงิน #วิเคราะห์เศรษฐกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 6 0 รีวิว
  • "ธีระชัย" เตือน "กฎหมายศูนย์กลางการเงิน" ตัดอำนาจ "ธปท. - กลต. - คปภ." เปิดทางธุรกิจเงินดิจิทัลทะลุเข้ามาในตลาดประเทศไทย ส่อทำลายระบบการเงิน เหตุภาคการเมืองสามารถเพิ่มปริมาณเงินได้เองตามต้องการ ในรูปแบบเงินดิจิทัลที่ไม่ต้องมีทองคำหนุนหลัง ซึ่งจะกระทบความเชื่อมั่นอย่างหนัก

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000025314

    #MGROnline #ธีระชัย #กฎหมายศูนย์กลางการเงิน
    "ธีระชัย" เตือน "กฎหมายศูนย์กลางการเงิน" ตัดอำนาจ "ธปท. - กลต. - คปภ." เปิดทางธุรกิจเงินดิจิทัลทะลุเข้ามาในตลาดประเทศไทย ส่อทำลายระบบการเงิน เหตุภาคการเมืองสามารถเพิ่มปริมาณเงินได้เองตามต้องการ ในรูปแบบเงินดิจิทัลที่ไม่ต้องมีทองคำหนุนหลัง ซึ่งจะกระทบความเชื่อมั่นอย่างหนัก • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000025314 • #MGROnline #ธีระชัย #กฎหมายศูนย์กลางการเงิน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'พิชัย' เก้าอี้ยังมั่นคง ไร้สัญญาณปรับ ครม.ถล่มปัญหาสินค้าเกษตร
    .
    สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยเกิดความระส่ำเล็กน้อย ภายหลังมีความเคลื่อนไหวของส.ส.ที่ไม่พอใจกับการทำหน้าที่ของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ที่ไม่สามารถทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้นได้ จนเกิดความกังวลอาจส่งผลต่อฐานคะแนนเสียงของพรรค ในเรื่องนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า ที่ผ่านมาพรรครับฟังความเห็นของส.ส.มาโดยตลอด
    .
    "ความจริงต้องทำควบคู่กันไป เวทีต่างประเทศก็สำคัญ เพราะมีการประชุมระดับทวิภาคี รวมถึงเวทีอื่นๆ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ก็มีบทบาทสำคัญ ทั้งนี้หากนายพิชัยไม่ได้เดินทางไปประชุมเวทีต่างประเทศ ก็น่าจะมีเวลามาฟังความเห็นของ ส.ส.ในพรรคได้ แต่เชื่อว่าไม่มีอะไร ไม่นานสถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น หน้าที่สำคัญของรัฐมนตรีอันดับแรกคือ พยายามปฎิบัติหน้าที่ในส่วนที่รับผิดชอบ ให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล หากงานของตัวเองไปได้ดี ก็จะได้ผลตอบรับจากประชาชนดี" นายสุริยะ กล่าว
    .
    นายสุริยะ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีบอกแล้วว่ายังไม่มีความคิดที่จะปรับคณะรัฐมนตรี ดังนั้นคนอื่นจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ทั้งหมดอยู่ที่นายกฯ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการปรับครม. เพียงคนเดียวเท่านั้น
    .
    ด้าน นายพิชัย ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีเรียกเข้าพบเพื่อหารือถึงการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าทางเกษตร ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์ภายในพรรคเพื่อไทย แต่ระบุว่าได้มีการหารือกับคนในพรรคเพื่อไทยบางส่วนแล้ว พร้อมกับยืนยันว่าไม่ได้กังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
    .
    ขณะที่ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีวาระการพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่องขอให้สภาพิจารณามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาที่เพาะปลูกข้าว อันเนื่องมาจากราคาตกต่ำ ซึ่งมี สส.รัฐบาลและฝ่ายค้าน พร้อมใจกันเสนอญัตติรวม 7 ร่างโดยภายหลังการเสนอหลักการ ได้มีการเปิดให้ ส.ส.อภิปรายอย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่โจมตีไปที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ซึ่งกำกับดูแลเรื่องข้าว โดยนายธีระชัย แสนแก้ว ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า จากข่าวที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีว่าพี่น้องเกษตรกรชาวนาได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือราคาข้าวตกต่ำ และมีการชุมนุมปิดถนนเดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาล ตนจะไม่พูดเรื่องตัวเลข เพราะตัวเลขมันเยอะเหลือเกิน ทุกคนทราบดีอยู่แล้วการ การแก้ปัญหาระยะสั้น เพราะฉะนั้น การที่กำลังประชุมกันใน คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ต้องเร่งด่วน
    .
    “ถ้าพูดเรื่องข้าว เราไม่เอ่ยถึงกระทรวงพาณิชย์ก็ไม่ได้ เพราะกระทรวงพาณิชย์เป็นกระทรวงที่มีรัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าขาย เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะเป็นพรรคเดียวกัน เป็นรัฐบาลด้วยกัน แต่ก็ต้องมีการติติง แม้กระทั่งในพรรคเพื่อไทยของตน ก็มีการได้คุยกันแล้ว วันนี้ทุกพรรคการเมืองก็เห็นพ้องต้องกัน รัฐบาลปฏิเสธความรับผิดชอบในเรื่องนี้ไม่ได้ ตัวแทนเกษตรกรไม่มีใน นบข.ทุกอย่างอยู่ในห้องแอร์ เขาก็ลงถนนสิ” นายธีระชัย กล่าว
    .
    นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า ไม่แปลกใจที่เห็นพี่น้องมาประท้วงกันในหลายจังหวัด พี่น้องเกษตรกรอยู่ไม่ไหวหรอกทำไมรัฐบาลเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงพาณิชย์ไม่มีมาตรการที่ชัดเจนออกมาที่จะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรอย่างไรเลย อยากจะฝากถึงรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 กระทรวงหลัก กระทรวงพาณิชย์ , กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลังให้ช่วยเร่งรัดในการออกมาตรการต่างๆ ที่จะมาช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในระยะสั้นเฉพาะหน้าตรงนี้
    ..............
    Sondhi X
    'พิชัย' เก้าอี้ยังมั่นคง ไร้สัญญาณปรับ ครม.ถล่มปัญหาสินค้าเกษตร . สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยเกิดความระส่ำเล็กน้อย ภายหลังมีความเคลื่อนไหวของส.ส.ที่ไม่พอใจกับการทำหน้าที่ของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ที่ไม่สามารถทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้นได้ จนเกิดความกังวลอาจส่งผลต่อฐานคะแนนเสียงของพรรค ในเรื่องนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า ที่ผ่านมาพรรครับฟังความเห็นของส.ส.มาโดยตลอด . "ความจริงต้องทำควบคู่กันไป เวทีต่างประเทศก็สำคัญ เพราะมีการประชุมระดับทวิภาคี รวมถึงเวทีอื่นๆ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ก็มีบทบาทสำคัญ ทั้งนี้หากนายพิชัยไม่ได้เดินทางไปประชุมเวทีต่างประเทศ ก็น่าจะมีเวลามาฟังความเห็นของ ส.ส.ในพรรคได้ แต่เชื่อว่าไม่มีอะไร ไม่นานสถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น หน้าที่สำคัญของรัฐมนตรีอันดับแรกคือ พยายามปฎิบัติหน้าที่ในส่วนที่รับผิดชอบ ให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล หากงานของตัวเองไปได้ดี ก็จะได้ผลตอบรับจากประชาชนดี" นายสุริยะ กล่าว . นายสุริยะ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีบอกแล้วว่ายังไม่มีความคิดที่จะปรับคณะรัฐมนตรี ดังนั้นคนอื่นจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ทั้งหมดอยู่ที่นายกฯ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการปรับครม. เพียงคนเดียวเท่านั้น . ด้าน นายพิชัย ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีเรียกเข้าพบเพื่อหารือถึงการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าทางเกษตร ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์ภายในพรรคเพื่อไทย แต่ระบุว่าได้มีการหารือกับคนในพรรคเพื่อไทยบางส่วนแล้ว พร้อมกับยืนยันว่าไม่ได้กังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น . ขณะที่ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีวาระการพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่องขอให้สภาพิจารณามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาที่เพาะปลูกข้าว อันเนื่องมาจากราคาตกต่ำ ซึ่งมี สส.รัฐบาลและฝ่ายค้าน พร้อมใจกันเสนอญัตติรวม 7 ร่างโดยภายหลังการเสนอหลักการ ได้มีการเปิดให้ ส.ส.อภิปรายอย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่โจมตีไปที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ซึ่งกำกับดูแลเรื่องข้าว โดยนายธีระชัย แสนแก้ว ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า จากข่าวที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีว่าพี่น้องเกษตรกรชาวนาได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือราคาข้าวตกต่ำ และมีการชุมนุมปิดถนนเดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาล ตนจะไม่พูดเรื่องตัวเลข เพราะตัวเลขมันเยอะเหลือเกิน ทุกคนทราบดีอยู่แล้วการ การแก้ปัญหาระยะสั้น เพราะฉะนั้น การที่กำลังประชุมกันใน คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ต้องเร่งด่วน . “ถ้าพูดเรื่องข้าว เราไม่เอ่ยถึงกระทรวงพาณิชย์ก็ไม่ได้ เพราะกระทรวงพาณิชย์เป็นกระทรวงที่มีรัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าขาย เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะเป็นพรรคเดียวกัน เป็นรัฐบาลด้วยกัน แต่ก็ต้องมีการติติง แม้กระทั่งในพรรคเพื่อไทยของตน ก็มีการได้คุยกันแล้ว วันนี้ทุกพรรคการเมืองก็เห็นพ้องต้องกัน รัฐบาลปฏิเสธความรับผิดชอบในเรื่องนี้ไม่ได้ ตัวแทนเกษตรกรไม่มีใน นบข.ทุกอย่างอยู่ในห้องแอร์ เขาก็ลงถนนสิ” นายธีระชัย กล่าว . นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า ไม่แปลกใจที่เห็นพี่น้องมาประท้วงกันในหลายจังหวัด พี่น้องเกษตรกรอยู่ไม่ไหวหรอกทำไมรัฐบาลเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงพาณิชย์ไม่มีมาตรการที่ชัดเจนออกมาที่จะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรอย่างไรเลย อยากจะฝากถึงรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 กระทรวงหลัก กระทรวงพาณิชย์ , กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลังให้ช่วยเร่งรัดในการออกมาตรการต่างๆ ที่จะมาช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในระยะสั้นเฉพาะหน้าตรงนี้ .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Sad
    Haha
    16
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2454 มุมมอง 0 รีวิว
  • "พปชร." พร้อมลุยศึกซักฟอก "ธีระชัย" เผยเล็งชำแหละ "พรบ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์-MOU 44"
    https://www.thai-tai.tv/news/17186/
    "พปชร." พร้อมลุยศึกซักฟอก "ธีระชัย" เผยเล็งชำแหละ "พรบ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์-MOU 44" https://www.thai-tai.tv/news/17186/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหว

    🗣️ นับตั้งแต่ทรัมป์หาเสียงเลือกตั้ง โดยขายนโยบายตั้งกำแพงภาษี ต่อคู่ค้าของสหรัฐฯ

    เศรษฐกิจทั่วโลกก็ต้องเตรียมใจอยู่แล้ว

    แต่ข้อมูลล่าสุด แนวคิดของทรัมป์ จะดันเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ใกล้ริมปากเหวมากขึ้น

    รูป 1 ทรัมป์เพิ่งประกาศนโยบายเพิ่มเติม จะขึ้นกำแพงภาษี กับประเทศที่ค้าขายกับสหรัฐทั่วโลก

    โดยไม่ใช่คำนึงแต่เฉพาะว่า ประเทศนั้นกำหนดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสหรัฐเท่าใด

    🧶 แต่จะขยายไปถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT ด้วย

    ทรัมป์ทึกทักเอาว่า กรณีประเทศใดนำเข้าสินค้าสหรัฐ ถ้าราคาที่นำไปขายภายในประเทศนั้นมี VAT

    เขาถือเป็นการกีดกันอย่างหนึ่ง

    ตรงนี้แหวกกฎเศรษฐศาสตร์ เพราะ VAT เป็นภาษีที่เก็บจากการบริโภคภายในประเทศ

    และปกติ จะเก็บ VAT ในอัตราเดียวสำหรับสินค้าชนิดเดียวกัน ไม่ว่าผลิตในประเทศนั้น หรือนำเข้า

    🪢 VAT จึงเป็นนโยบายภาษีเฉพาะ domestic เน้นเก็บจากยอดบริโภค (ขารายจ่าย) แตกต่างจากภาษีเงินได้ ที่เก็บจากขารายได้

    กรณี VAT คือ ใครจ่ายบริโภคมาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่ามีรายได้หรือไม่

    กรณีภาษีเงินได้ คือ ใครรับรายได้มาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่าเอารายได้ไปใช้จ่ายหรือไม่

    ภาษีทั้งสองชนิด ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การนำเข้า ไม่ใช่เพื่อปกป้องการผลิตภายในประเทศ

    👗 การที่ทรัมป์จะขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐ โดยเอา VAT ไปรวมด้วย จึงผิดหลักเศรษฐศาสตร์

    แต่ดูเหมือนไม่มีใครทัดทานทรัมป์

    รูป 2 แสดงอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐ ที่กำลังศึกษา และมีกำหนดจะประกาศต้นเดือน เม.ย.

    ซ้ายมือ ไม่คำนึงถึง VAT ขวามือ คำนึง

    น่าตกใจ ไทยอาจจะโดนถึงระดับ 5% อันดับที่ 23

    👙 รูป 3 นักวิเคราะห์ลองหักตัวเลขภาษีการค้าภายในสหรัฐออก อัตราลดลงบ้าง

    ที่น่ากลัวมากคือ กลุ่มยุโรป เพราะอัตรา VAT สูงมหาศาล หลายประเทศทะลุระดับ 20%

    ปริมาณการค้าโลก จะถูกกระทบอย่างกว้างขวางไม่น่าเชื่อ

    รูป 4 นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังสั่งให้ทีมงานศึกษาเพื่อเก็บภาษีตอบโต้

    จากการที่ฝรั่งเศสและอิตาลี เก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย

    👘 เขาอ้างแนวคิดวิตถารว่า รัฐบาลสหรัฐเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์เก็บภาษีจากบริษัทสหรัฐ

    ทั้งที่ ถ้าหากบริษัทโซเชียลมีเดียสหรัฐ ได้รายได้จากการทำธุรกิจในประเทศหนึ่ง เช่น Facebook ได้ค่าโฆษณา

    ด้วยหลักการปกติ ประเทศที่เป็นผู้จ่ายค่าโฆษณา ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย

    รูป5 กำแพงภาษีสหรัฐ จะกระทบส่งออกของไทยอย่างมาก เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาด 17% ของส่งออกทั้งหมด

    🩲 รูป 6-7 ไทยส่งออกไปสหรัฐ สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 แต่ละปี 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เกินดุลอยู่ 3.5 หมื่นล้านดอลล่าร์

    แนวคิดของทรัมป์ นอกจากจะดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหวแล้ว ยังก่อความเสี่ยงต่อการเมืองโลกอีกด้วย

    รูป 8 แสดงแนวโน้มการค้าของโลกย้อนหลัง 200 ปี จะเห็นได้ว่า มีช่วงที่การค้าลดต่ำกว่า trend

    เส้นสีแดงสองเส้น แสดงห้วงเวลาสงครามโลกทั้งสองครั้ง

    🩴 นักประวัติศาสตร์หลายคนลงความเห็นว่า ปัจจัยหลักที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สองอย่างชัดเจน

    คือประเทศสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีสองครั้ง เส้นสีดำ

    ซึ่งนำไปสู่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และก่อความตึงเครียดทางการเมือง

    รูป 9-10 ปัจจัยสำคัญหนึ่ง ที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก็เกิดจากสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีเช่นเดียวกัน

    ที่สำคัญก็คือ มีการผสมโรงด้วย วิกฤติในตลาดการเงิน ปี 1907 ไปถึงปี 1913 เริ่มต้น WW1 พอดี

    🧐 ขณะนี้ สภาวะตลาดทุนตลาดเงิน ทั้งในสหรัฐ ยุโรป มีความเสี่ยงฟองสบู่ใกล้แตกเต็มที

    ถ้าเกิดวิกฤตในปีนี้ ดังที่ผมคาดไว้

    ก็จะต้องจับตาให้ดี เงื่อนไขที่นำไปสู่สงครามโลกในอดีต จะกลับมาอีกหรือไม่

    วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568

    นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ
    ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    ดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหว 🗣️ นับตั้งแต่ทรัมป์หาเสียงเลือกตั้ง โดยขายนโยบายตั้งกำแพงภาษี ต่อคู่ค้าของสหรัฐฯ เศรษฐกิจทั่วโลกก็ต้องเตรียมใจอยู่แล้ว แต่ข้อมูลล่าสุด แนวคิดของทรัมป์ จะดันเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ใกล้ริมปากเหวมากขึ้น รูป 1 ทรัมป์เพิ่งประกาศนโยบายเพิ่มเติม จะขึ้นกำแพงภาษี กับประเทศที่ค้าขายกับสหรัฐทั่วโลก โดยไม่ใช่คำนึงแต่เฉพาะว่า ประเทศนั้นกำหนดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสหรัฐเท่าใด 🧶 แต่จะขยายไปถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT ด้วย ทรัมป์ทึกทักเอาว่า กรณีประเทศใดนำเข้าสินค้าสหรัฐ ถ้าราคาที่นำไปขายภายในประเทศนั้นมี VAT เขาถือเป็นการกีดกันอย่างหนึ่ง ตรงนี้แหวกกฎเศรษฐศาสตร์ เพราะ VAT เป็นภาษีที่เก็บจากการบริโภคภายในประเทศ และปกติ จะเก็บ VAT ในอัตราเดียวสำหรับสินค้าชนิดเดียวกัน ไม่ว่าผลิตในประเทศนั้น หรือนำเข้า 🪢 VAT จึงเป็นนโยบายภาษีเฉพาะ domestic เน้นเก็บจากยอดบริโภค (ขารายจ่าย) แตกต่างจากภาษีเงินได้ ที่เก็บจากขารายได้ กรณี VAT คือ ใครจ่ายบริโภคมาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่ามีรายได้หรือไม่ กรณีภาษีเงินได้ คือ ใครรับรายได้มาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่าเอารายได้ไปใช้จ่ายหรือไม่ ภาษีทั้งสองชนิด ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การนำเข้า ไม่ใช่เพื่อปกป้องการผลิตภายในประเทศ 👗 การที่ทรัมป์จะขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐ โดยเอา VAT ไปรวมด้วย จึงผิดหลักเศรษฐศาสตร์ แต่ดูเหมือนไม่มีใครทัดทานทรัมป์ รูป 2 แสดงอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐ ที่กำลังศึกษา และมีกำหนดจะประกาศต้นเดือน เม.ย. ซ้ายมือ ไม่คำนึงถึง VAT ขวามือ คำนึง น่าตกใจ ไทยอาจจะโดนถึงระดับ 5% อันดับที่ 23 👙 รูป 3 นักวิเคราะห์ลองหักตัวเลขภาษีการค้าภายในสหรัฐออก อัตราลดลงบ้าง ที่น่ากลัวมากคือ กลุ่มยุโรป เพราะอัตรา VAT สูงมหาศาล หลายประเทศทะลุระดับ 20% ปริมาณการค้าโลก จะถูกกระทบอย่างกว้างขวางไม่น่าเชื่อ รูป 4 นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังสั่งให้ทีมงานศึกษาเพื่อเก็บภาษีตอบโต้ จากการที่ฝรั่งเศสและอิตาลี เก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย 👘 เขาอ้างแนวคิดวิตถารว่า รัฐบาลสหรัฐเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์เก็บภาษีจากบริษัทสหรัฐ ทั้งที่ ถ้าหากบริษัทโซเชียลมีเดียสหรัฐ ได้รายได้จากการทำธุรกิจในประเทศหนึ่ง เช่น Facebook ได้ค่าโฆษณา ด้วยหลักการปกติ ประเทศที่เป็นผู้จ่ายค่าโฆษณา ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย รูป5 กำแพงภาษีสหรัฐ จะกระทบส่งออกของไทยอย่างมาก เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาด 17% ของส่งออกทั้งหมด 🩲 รูป 6-7 ไทยส่งออกไปสหรัฐ สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 แต่ละปี 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เกินดุลอยู่ 3.5 หมื่นล้านดอลล่าร์ แนวคิดของทรัมป์ นอกจากจะดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหวแล้ว ยังก่อความเสี่ยงต่อการเมืองโลกอีกด้วย รูป 8 แสดงแนวโน้มการค้าของโลกย้อนหลัง 200 ปี จะเห็นได้ว่า มีช่วงที่การค้าลดต่ำกว่า trend เส้นสีแดงสองเส้น แสดงห้วงเวลาสงครามโลกทั้งสองครั้ง 🩴 นักประวัติศาสตร์หลายคนลงความเห็นว่า ปัจจัยหลักที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สองอย่างชัดเจน คือประเทศสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีสองครั้ง เส้นสีดำ ซึ่งนำไปสู่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และก่อความตึงเครียดทางการเมือง รูป 9-10 ปัจจัยสำคัญหนึ่ง ที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก็เกิดจากสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีเช่นเดียวกัน ที่สำคัญก็คือ มีการผสมโรงด้วย วิกฤติในตลาดการเงิน ปี 1907 ไปถึงปี 1913 เริ่มต้น WW1 พอดี 🧐 ขณะนี้ สภาวะตลาดทุนตลาดเงิน ทั้งในสหรัฐ ยุโรป มีความเสี่ยงฟองสบู่ใกล้แตกเต็มที ถ้าเกิดวิกฤตในปีนี้ ดังที่ผมคาดไว้ ก็จะต้องจับตาให้ดี เงื่อนไขที่นำไปสู่สงครามโลกในอดีต จะกลับมาอีกหรือไม่ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 411 มุมมอง 0 รีวิว
  • พปชร.เลือดไหลไม่หยุด คนตีจาก 'บิ๊กป้อม' กล้าธรรมดูด สส.ต่อเนื่อง

    การประชุมร่วมกันของรัฐสภาเมื่อวันที่ 13 ก.พ. ที่ผ่านมา แม้หลักใหญ่ใจความจะอยู่ที่การประชุมที่ล่มไม่เป็นท่า แต่มีซีนหนึ่งในทางการเมืองที่น่าสนใจ คือ การปรากฏภาพของ น.ส.กาญจนา จังหวะ สส.ชัยภูมิ เขต 4 และ รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มานั่งอยู่กับกลุ่ม สส.พรรคกล้าธรรม นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม, นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา เหรัญญิกพรรค และ นางรัชนี พลซื่อ รองหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น

    ทั้งนี้ มีรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า การประชุมพรรค พปชร.เมื่อวันอังคารที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานในที่ประชุม ปรากฏว่า มี สส.ของพรรคเข้าร่วมอย่างบางตามาก โดย น.ส.กาญจนา ก็ไม่ได้มาร่วมประชุม ผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่ คือ กลุ่มยุทธศาสตร์พรรค ที่ไม่ได้เป็น สส. อาทิ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์, หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ เกษมศรี รวมถึงบรรดาอดีตผู้สมัคร สส.ของพรรคที่สอบตกในการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 เท่านั้น

    ขณะเดียวกัน ที่พรรคกล้าธรรมยังมีรายงานอีกว่า นายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.ขอนแก่น พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นจำเลยในฐานความผิดร่วมกันยักยอกทรัพย์ ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม ในขณะดำรงตำแหน่งผู้จัดการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น และเกิดการทุจริตเงินสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น รวม 431 ล้านบาท มาร่วมการประชุมด้วย โดยนั่งติดกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ นายเอกราช เพิ่งได้ทำหนังสือแจ้งศาลขอเลื่อนฟังคำสั่งพิพากษาในคดียักยอกทรัพย์เงินสหกรณ์ครูขอนแก่น เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยแนบเอกสารใบรับรองแพทย์รพ. ที่ลงความเห็นว่านายเอกราช ป่วยหนักหลายโรคต้องนอนพักรักษาตัวที่รพ.อย่างไม่มีกำหนดออกจากรพ. ทำให้ศาลอนุญาตเลื่อนฟังคำสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 17 เม.ย.
    ..............
    Sondhi X
    พปชร.เลือดไหลไม่หยุด คนตีจาก 'บิ๊กป้อม' กล้าธรรมดูด สส.ต่อเนื่อง การประชุมร่วมกันของรัฐสภาเมื่อวันที่ 13 ก.พ. ที่ผ่านมา แม้หลักใหญ่ใจความจะอยู่ที่การประชุมที่ล่มไม่เป็นท่า แต่มีซีนหนึ่งในทางการเมืองที่น่าสนใจ คือ การปรากฏภาพของ น.ส.กาญจนา จังหวะ สส.ชัยภูมิ เขต 4 และ รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มานั่งอยู่กับกลุ่ม สส.พรรคกล้าธรรม นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม, นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา เหรัญญิกพรรค และ นางรัชนี พลซื่อ รองหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น ทั้งนี้ มีรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า การประชุมพรรค พปชร.เมื่อวันอังคารที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานในที่ประชุม ปรากฏว่า มี สส.ของพรรคเข้าร่วมอย่างบางตามาก โดย น.ส.กาญจนา ก็ไม่ได้มาร่วมประชุม ผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่ คือ กลุ่มยุทธศาสตร์พรรค ที่ไม่ได้เป็น สส. อาทิ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์, หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ เกษมศรี รวมถึงบรรดาอดีตผู้สมัคร สส.ของพรรคที่สอบตกในการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 เท่านั้น ขณะเดียวกัน ที่พรรคกล้าธรรมยังมีรายงานอีกว่า นายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.ขอนแก่น พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นจำเลยในฐานความผิดร่วมกันยักยอกทรัพย์ ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม ในขณะดำรงตำแหน่งผู้จัดการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น และเกิดการทุจริตเงินสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น รวม 431 ล้านบาท มาร่วมการประชุมด้วย โดยนั่งติดกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ นายเอกราช เพิ่งได้ทำหนังสือแจ้งศาลขอเลื่อนฟังคำสั่งพิพากษาในคดียักยอกทรัพย์เงินสหกรณ์ครูขอนแก่น เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยแนบเอกสารใบรับรองแพทย์รพ. ที่ลงความเห็นว่านายเอกราช ป่วยหนักหลายโรคต้องนอนพักรักษาตัวที่รพ.อย่างไม่มีกำหนดออกจากรพ. ทำให้ศาลอนุญาตเลื่อนฟังคำสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 17 เม.ย. .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2252 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้องฉวยประโยชน์จากสุวรรณภูมิ -3

    📡 ในยามสงคราม ฮับเรือ-รางผ่านระนอง มีจุดเด่นมหาศาล แต่ในยามปกติ ก็มีจุดขายที่ไม่มีใครแข่ง

    🫡 ถามว่า ขนส่งทางรางจากระนองไปจีนตอนกลาง (คุนหมิงเป็นศูนย์กลาง) ซึ่งใช้รถไฟ

    แข่งขันกับขนส่งทางเรือ ผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งค่าใช้จ่าย(ต่อ กม.)ถูกกว่ารถไฟ 8-10 เท่า ได้หรือไม่?

    🧐 ตอบว่า ไม่สามารถแข่งได้ สำหรับสินค้าที่ใช้ในจีนฝั่งตะวันออก

    แต่สามารถแข่งได้ สำหรับสินค้าที่ใช้ในจีนตอนกลาง เป็น niche market

    🚃 รูป 8 สินค้าส่งทางรถไฟ จากท่าเรือระนอง (อักษร x) ไปคุนหมิง ระยะทางยาวประมาณ 1,200 กม. (รูป 9)

    รูป 10 สินค้าส่งทางรถไฟ จากท่าเรือเซี่ยงไฮ้ไปคุนหมิง ระยะทางยาวประมาณ 2,200 กม.

    ดังนั้น เปรียบเทียยทางรถไฟด้วยกัน ระนองชนะขาดอยู่แล้ว

    🛳️ และยังประหยัดเวลา จากช่องแคบมะละกา ไปเซี่ยงไฮ้อีกด้วย เรือคอนเทนเนอร์เดินทาง 5-7 วัน

    เรือ break bulk จะใช้เวลานานขึ้น 7-10 วัน

    🫡 ถามว่า ปริมาณสินค้าที่ส่งถึงจีนตอนกลาง จะมากพอคุ้มกับฮับเรือ-ราง ผ่านระนอง หรือไม่?

    🧐 ตอบว่า แต่ละปี ถ้าไม่นับจากรัสเซีย จีนนำเข้าสินค้ามูลค่า 2.3 ล้านล้านดอลลาร์

    🛟 ถ้าคำนวนว่า ครึ่งหนึ่งเป็นอาหารและวัตถุดิบ มูลค่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์

    ถ้าสมมุติว่า เป็นสินค้าที่ใช้ในจีนตอนกลาง 1 ใน 4 คิดเป็นมูลค่าสินค้า 2.7 แสนล้านดอลลาร์

    ⌛️ไทยนำเข้าสินค้าทุกชนิด ไม่รวมน้ำมัน ปีละ 2.5 แสนล้านดอลลาร์

    จะเห็นได้ว่า มีปริมาณธุรกิจมากพออยู่แล้ว

    นอกจากนี้ รัฐบาลจีนมีนโยบายจะกระจายอุตสาหกรรม จากชายฝั่งตะวันออก ให้ลึกเข้าไปจีนตอนกลางมากขึ้น

    ดังนั้น ในระยะยาว จะมีปริมาณขนส่ง ด้านขาส่งออก จากจีนตอนกลาง มากขึ้นเป็นลำดับ

    🚉 รูป 11 นอกจากนี้ ในอนาคตข้างหน้า มีแนวโน้มอุตสาหกรรมจะย้ายฐานการผลิตไปอินเดียมากขึ้น

    การมีฮับเรือ-ราง ที่ฝั่งอันดามัน จะทำให้ไทยสามารถแทรกตัวเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชน

    วัตถุดิบที่แปรรูป รวมทั้งชิ้นส่วน สามารถจะส่งจากจีนตะวันออก ลงมาเพิ่มมูลค่าที่เวียดนาม

    แล้วมีการสร้างรถไฟความเร็วสูง จากเวียดนามตอนเหนือเข้ามาไทย มาร่วมกับวัตถุดิบจากจีนตอนกลาง

    🪝 ชิ้นส่วนที่ผลิตในจีนตอนกลาง ที่เป็นซัพพลายเชนไปยังอินเดีย ก็จะสามารถส่งผ่านฮับในไทยได้ด้วย

    โอกาสสำคัญอีกด้านหนึ่ง คือการส่งสินค้าระหว่างจีน กับอินเดีย ผ่านไทย เพราะไม่สามารถส่งผ่านเทือกเขาหิมาลัย

    รูป 12 ผู้บริโภคระดับกลางขึ้นไป ในจีนมีอยู่ 40% คือ 560 ล้าน และภายในปี 2030 จะเพิ่มอีก 80 เป็น 640 ล้านคน

    รูป 13 ผู้บริโภคระดับกลางขึ้นไป ในอินเดียมีอยู่ 430 ล้าน และภายในปี 2030 จะเพิ่มเป็น 700 ล้านคน

    🌏 ผู้บริโภคทั้งสองประเทศ ที่ขนาบประเทศไทยอยู่สองทิศ เกินกว่าพันล้าน ในอนาคตจะมีกำลังซื้อสูงขึ้น ปริมาณการบริโภคจะมากขึ้น

    สินค้าผ่านฮับระนอง มีแต่จะมากขึ้น

    แนวคิดที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง คือไทยชักชวนให้ธุรกิจจีน มาเปิดโรงงานอุตสาหกรรม ในภาคใต้ของไทย

    🔥 เพื่อแปรรูปแร่ธาตุ จาก ก้อน ผง ไปเป็นแผ่น เส้น ท่อ พร้อมใช้งาน ทั้งในอุตสาหกรรมไทย เวียดนาม และจีน

    ประเด็นน่าสนใจสุดท้าย ขบวนการขนส่งทางราง จากไทยขึ้นไปจีน จะเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรไทยได้ด้วย

    ปลาจับที่อ่าวไทยวันนี้ ต้องทำให้ส่งถึงภัตตาคารที่เมืองใหญ่ในจีนได้ ภายในเช้าวันรุ่งขึ้น

    ปล่อยให้ทุเรียนสุกคาต้น สุกเต็มที่มากขึ้น ตัดวันนี้ ต้องทำให้ส่งถึงซูเปอร์มาร์เกตในจีนได้ภายในสองวัน

    🫶 นี่เอง ที่ล้นเกล้า ร.9 ทรงตั้งชื่อสนามบินว่า สุวรรณภูมิ

    เพราะที่ตั้งภูมิศาสตร์นี้ เป็นแหล่งทองคำอย่างแท้จริง

    วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568

    นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ
    ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    ต้องฉวยประโยชน์จากสุวรรณภูมิ -3 📡 ในยามสงคราม ฮับเรือ-รางผ่านระนอง มีจุดเด่นมหาศาล แต่ในยามปกติ ก็มีจุดขายที่ไม่มีใครแข่ง 🫡 ถามว่า ขนส่งทางรางจากระนองไปจีนตอนกลาง (คุนหมิงเป็นศูนย์กลาง) ซึ่งใช้รถไฟ แข่งขันกับขนส่งทางเรือ ผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งค่าใช้จ่าย(ต่อ กม.)ถูกกว่ารถไฟ 8-10 เท่า ได้หรือไม่? 🧐 ตอบว่า ไม่สามารถแข่งได้ สำหรับสินค้าที่ใช้ในจีนฝั่งตะวันออก แต่สามารถแข่งได้ สำหรับสินค้าที่ใช้ในจีนตอนกลาง เป็น niche market 🚃 รูป 8 สินค้าส่งทางรถไฟ จากท่าเรือระนอง (อักษร x) ไปคุนหมิง ระยะทางยาวประมาณ 1,200 กม. (รูป 9) รูป 10 สินค้าส่งทางรถไฟ จากท่าเรือเซี่ยงไฮ้ไปคุนหมิง ระยะทางยาวประมาณ 2,200 กม. ดังนั้น เปรียบเทียยทางรถไฟด้วยกัน ระนองชนะขาดอยู่แล้ว 🛳️ และยังประหยัดเวลา จากช่องแคบมะละกา ไปเซี่ยงไฮ้อีกด้วย เรือคอนเทนเนอร์เดินทาง 5-7 วัน เรือ break bulk จะใช้เวลานานขึ้น 7-10 วัน 🫡 ถามว่า ปริมาณสินค้าที่ส่งถึงจีนตอนกลาง จะมากพอคุ้มกับฮับเรือ-ราง ผ่านระนอง หรือไม่? 🧐 ตอบว่า แต่ละปี ถ้าไม่นับจากรัสเซีย จีนนำเข้าสินค้ามูลค่า 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ 🛟 ถ้าคำนวนว่า ครึ่งหนึ่งเป็นอาหารและวัตถุดิบ มูลค่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ ถ้าสมมุติว่า เป็นสินค้าที่ใช้ในจีนตอนกลาง 1 ใน 4 คิดเป็นมูลค่าสินค้า 2.7 แสนล้านดอลลาร์ ⌛️ไทยนำเข้าสินค้าทุกชนิด ไม่รวมน้ำมัน ปีละ 2.5 แสนล้านดอลลาร์ จะเห็นได้ว่า มีปริมาณธุรกิจมากพออยู่แล้ว นอกจากนี้ รัฐบาลจีนมีนโยบายจะกระจายอุตสาหกรรม จากชายฝั่งตะวันออก ให้ลึกเข้าไปจีนตอนกลางมากขึ้น ดังนั้น ในระยะยาว จะมีปริมาณขนส่ง ด้านขาส่งออก จากจีนตอนกลาง มากขึ้นเป็นลำดับ 🚉 รูป 11 นอกจากนี้ ในอนาคตข้างหน้า มีแนวโน้มอุตสาหกรรมจะย้ายฐานการผลิตไปอินเดียมากขึ้น การมีฮับเรือ-ราง ที่ฝั่งอันดามัน จะทำให้ไทยสามารถแทรกตัวเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชน วัตถุดิบที่แปรรูป รวมทั้งชิ้นส่วน สามารถจะส่งจากจีนตะวันออก ลงมาเพิ่มมูลค่าที่เวียดนาม แล้วมีการสร้างรถไฟความเร็วสูง จากเวียดนามตอนเหนือเข้ามาไทย มาร่วมกับวัตถุดิบจากจีนตอนกลาง 🪝 ชิ้นส่วนที่ผลิตในจีนตอนกลาง ที่เป็นซัพพลายเชนไปยังอินเดีย ก็จะสามารถส่งผ่านฮับในไทยได้ด้วย โอกาสสำคัญอีกด้านหนึ่ง คือการส่งสินค้าระหว่างจีน กับอินเดีย ผ่านไทย เพราะไม่สามารถส่งผ่านเทือกเขาหิมาลัย รูป 12 ผู้บริโภคระดับกลางขึ้นไป ในจีนมีอยู่ 40% คือ 560 ล้าน และภายในปี 2030 จะเพิ่มอีก 80 เป็น 640 ล้านคน รูป 13 ผู้บริโภคระดับกลางขึ้นไป ในอินเดียมีอยู่ 430 ล้าน และภายในปี 2030 จะเพิ่มเป็น 700 ล้านคน 🌏 ผู้บริโภคทั้งสองประเทศ ที่ขนาบประเทศไทยอยู่สองทิศ เกินกว่าพันล้าน ในอนาคตจะมีกำลังซื้อสูงขึ้น ปริมาณการบริโภคจะมากขึ้น สินค้าผ่านฮับระนอง มีแต่จะมากขึ้น แนวคิดที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง คือไทยชักชวนให้ธุรกิจจีน มาเปิดโรงงานอุตสาหกรรม ในภาคใต้ของไทย 🔥 เพื่อแปรรูปแร่ธาตุ จาก ก้อน ผง ไปเป็นแผ่น เส้น ท่อ พร้อมใช้งาน ทั้งในอุตสาหกรรมไทย เวียดนาม และจีน ประเด็นน่าสนใจสุดท้าย ขบวนการขนส่งทางราง จากไทยขึ้นไปจีน จะเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรไทยได้ด้วย ปลาจับที่อ่าวไทยวันนี้ ต้องทำให้ส่งถึงภัตตาคารที่เมืองใหญ่ในจีนได้ ภายในเช้าวันรุ่งขึ้น ปล่อยให้ทุเรียนสุกคาต้น สุกเต็มที่มากขึ้น ตัดวันนี้ ต้องทำให้ส่งถึงซูเปอร์มาร์เกตในจีนได้ภายในสองวัน 🫶 นี่เอง ที่ล้นเกล้า ร.9 ทรงตั้งชื่อสนามบินว่า สุวรรณภูมิ เพราะที่ตั้งภูมิศาสตร์นี้ เป็นแหล่งทองคำอย่างแท้จริง วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 393 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 เดือนนายกฯอุ๊งอิ๊งขยันสุมไฟ - ศก.ไปไม่ถึงฝัน : คนเคาะข่าว 16-12-67
    : ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรมว.กระทรวงการคลัง และปธ.คณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    : นงวดี ถนิมมาลย์ ดำเนินรายการ
    #คนเคาะข่าว
    3 เดือนนายกฯอุ๊งอิ๊งขยันสุมไฟ - ศก.ไปไม่ถึงฝัน : คนเคาะข่าว 16-12-67 : ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรมว.กระทรวงการคลัง และปธ.คณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ : นงวดี ถนิมมาลย์ ดำเนินรายการ #คนเคาะข่าว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 746 มุมมอง 2 0 รีวิว
  • https://youtu.be/ZOeFr8IPDU0?si=SL5A17uTjsrIBhh23 เดือนนายกฯอุ๊งอิ๊งขยันสุมไฟ - ศก.ไปไม่ถึงฝัน : คนเคาะข่าว 16-12-67: ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรมว.กระทรวงการคลัง และปธ.คณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ : นงวดี ถนิมมาลย์ ดำเนินรายการ
    https://youtu.be/ZOeFr8IPDU0?si=SL5A17uTjsrIBhh23 เดือนนายกฯอุ๊งอิ๊งขยันสุมไฟ - ศก.ไปไม่ถึงฝัน : คนเคาะข่าว 16-12-67: ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรมว.กระทรวงการคลัง และปธ.คณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ : นงวดี ถนิมมาลย์ ดำเนินรายการ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 461 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้องปลดแอกจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสกฤษฎีกากัมพูชาที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนในทะเล มีสองฉบับ**หนึ่ง กฤษฎีกาเลขที่ 439/72/PRK ที่กำหนดเส้นเขตไหล่ทวีป**สอง กฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ที่กำหนดทะเลอาณาเขตปรากฏว่าทั้งสองฉบับรุกล้ำทะเลอาณาเขตของไทยโดยอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907 ##กรณีเส้นเขตไหล่ทวีปรูป 1 จากเพจปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กัมพูชาประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปครั้งแรกปี 2513 ผ่านเกาะกูดเต็มที่รูป 2 ต่อมาเปลี่ยนเป็นกฤษฎีกาเลขที่ 439/72/PRK เกาะกูดอยู่ที่ปลายลูกศรสีแดง กลับเขียนเกาะกูดมีเส้นขยุกขยิก ทำให้ไม่ชัดเจนว่าเส้นผ่านเกาะกูดหรือไม่รูป 3 ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เขียนเอกสารวิชาการว่า เส้นไม่ได้ผ่านเกาะกูด แต่มาจรดชายฝั่งสองด้าน รูป 4 คือล้ำเข้ามาในทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของไทย วงกลมสีเหลือง##กรณีทะเลอาณาเขตรูป 5 ดร.สุรเกียรติ์ แสดงแผนที่ในกฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ปรากฏว่ากัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขต จากหมุด 73 บนชายฝั่งมาจรดเกาะกูด แล้วหักลงใต้ผมค้นหากฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ในกูเกิ้ล ไม่พบเลย จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงต่างประเทศเอาเอกสารสำคัญทั้งหมดเผยแพร่ในเว็บไซต์รูป 6 เส้นทะเลอาณาเขตของกัมพูชาก็รุกล้ำเข้ามาในทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของไทยอีกเช่นกัน วงกลมสีเหลืองรูป 7 จากเว็บไซต์ CIA สถานฑูตในกรุงพนมเปญรายงานว่า กัมพูชาตราเส้นทะเลอาณาเขตเกินระยะทาง 12 ไมล์ทะเลมาประชิดเกาะกูด ก็โดยอ้างอิงสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907ผมให้ข้อมูลดังนี้:-หนึ่ง เส้นเขตไหล่ทวีปที่ประชิดเกาะกูดสองด้านนั้น อ้างพื้นฐานมาจากเส้นทะเลอาณาเขตเกินระยะทาง 12 ไมล์ทะเลที่กัมพูชาลากมาประชิดเกาะกูดนั่นเองสอง กัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขตมาประชิดเกาะกูด เป็นการรุกล้ำเขตอธิปไตยของประเทศไทย(เขตอธิปไตยของประเทศไทยซึ่งกองทัพไทยมีหน้าที่ต้องปกป้องทันทีถ้ามีการรุกราน ไม่ว่าทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ คือผืนแผ่นดินไทยซึ่งบวกกับทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล)สาม MOU44 มีการแสดงเส้นเขตไหล่ทวีปที่มีพื้นฐานมาจากเส้นทะเลอาณาเขต จึงเป็นการรับรู้ว่า กัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขตรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยพูดแบบชาวบ้าน เป็นการไปรับรู้ว่า อาณาเขตทางทะเลของกัมพูชา กินแดนเข้ามาในอาณาเขตทางทะเลของไทยสี่ กัมพูชาอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907 บิดเบือน เพราะสนธิสัญญาฯพูดถึงการแบ่งเขตบนชายฝั่ง ไม่ใช่ในทะเลห้า เส้นเขตไหล่ทวีปที่ประชิดเกาะกูดสองด้านนั้น ไม่ถูกต้องตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป เพราะอนุสัญญาใช้สำหรับเล็งเส้นในทะเล ไม่ใช่เล็งเส้นผ่านพื้นที่บนบกและอนุสัญญาฯไม่ได้ยอมให้อ้างอิงสิทธิทางประวัติศาสตร์กล่าวโดยสรุป เหตุผลสนับสนุนยกเลิก MOU44 อีกประการหนึ่งคือ MOU44 ไปรับรู้ ทั้งเส้นเขตไหล่ทวีป และเส้นทะเลอาณาเขตของกัมพูชา รับรู้ว่าทั้งสองเส้นรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยวันที่ 6 ธันวาคม 2567นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    ต้องปลดแอกจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสกฤษฎีกากัมพูชาที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนในทะเล มีสองฉบับ**หนึ่ง กฤษฎีกาเลขที่ 439/72/PRK ที่กำหนดเส้นเขตไหล่ทวีป**สอง กฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ที่กำหนดทะเลอาณาเขตปรากฏว่าทั้งสองฉบับรุกล้ำทะเลอาณาเขตของไทยโดยอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907 ##กรณีเส้นเขตไหล่ทวีปรูป 1 จากเพจปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กัมพูชาประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปครั้งแรกปี 2513 ผ่านเกาะกูดเต็มที่รูป 2 ต่อมาเปลี่ยนเป็นกฤษฎีกาเลขที่ 439/72/PRK เกาะกูดอยู่ที่ปลายลูกศรสีแดง กลับเขียนเกาะกูดมีเส้นขยุกขยิก ทำให้ไม่ชัดเจนว่าเส้นผ่านเกาะกูดหรือไม่รูป 3 ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เขียนเอกสารวิชาการว่า เส้นไม่ได้ผ่านเกาะกูด แต่มาจรดชายฝั่งสองด้าน รูป 4 คือล้ำเข้ามาในทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของไทย วงกลมสีเหลือง##กรณีทะเลอาณาเขตรูป 5 ดร.สุรเกียรติ์ แสดงแผนที่ในกฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ปรากฏว่ากัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขต จากหมุด 73 บนชายฝั่งมาจรดเกาะกูด แล้วหักลงใต้ผมค้นหากฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ในกูเกิ้ล ไม่พบเลย จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงต่างประเทศเอาเอกสารสำคัญทั้งหมดเผยแพร่ในเว็บไซต์รูป 6 เส้นทะเลอาณาเขตของกัมพูชาก็รุกล้ำเข้ามาในทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของไทยอีกเช่นกัน วงกลมสีเหลืองรูป 7 จากเว็บไซต์ CIA สถานฑูตในกรุงพนมเปญรายงานว่า กัมพูชาตราเส้นทะเลอาณาเขตเกินระยะทาง 12 ไมล์ทะเลมาประชิดเกาะกูด ก็โดยอ้างอิงสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907ผมให้ข้อมูลดังนี้:-หนึ่ง เส้นเขตไหล่ทวีปที่ประชิดเกาะกูดสองด้านนั้น อ้างพื้นฐานมาจากเส้นทะเลอาณาเขตเกินระยะทาง 12 ไมล์ทะเลที่กัมพูชาลากมาประชิดเกาะกูดนั่นเองสอง กัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขตมาประชิดเกาะกูด เป็นการรุกล้ำเขตอธิปไตยของประเทศไทย(เขตอธิปไตยของประเทศไทยซึ่งกองทัพไทยมีหน้าที่ต้องปกป้องทันทีถ้ามีการรุกราน ไม่ว่าทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ คือผืนแผ่นดินไทยซึ่งบวกกับทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล)สาม MOU44 มีการแสดงเส้นเขตไหล่ทวีปที่มีพื้นฐานมาจากเส้นทะเลอาณาเขต จึงเป็นการรับรู้ว่า กัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขตรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยพูดแบบชาวบ้าน เป็นการไปรับรู้ว่า อาณาเขตทางทะเลของกัมพูชา กินแดนเข้ามาในอาณาเขตทางทะเลของไทยสี่ กัมพูชาอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907 บิดเบือน เพราะสนธิสัญญาฯพูดถึงการแบ่งเขตบนชายฝั่ง ไม่ใช่ในทะเลห้า เส้นเขตไหล่ทวีปที่ประชิดเกาะกูดสองด้านนั้น ไม่ถูกต้องตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป เพราะอนุสัญญาใช้สำหรับเล็งเส้นในทะเล ไม่ใช่เล็งเส้นผ่านพื้นที่บนบกและอนุสัญญาฯไม่ได้ยอมให้อ้างอิงสิทธิทางประวัติศาสตร์กล่าวโดยสรุป เหตุผลสนับสนุนยกเลิก MOU44 อีกประการหนึ่งคือ MOU44 ไปรับรู้ ทั้งเส้นเขตไหล่ทวีป และเส้นทะเลอาณาเขตของกัมพูชา รับรู้ว่าทั้งสองเส้นรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยวันที่ 6 ธันวาคม 2567นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 608 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ ธีระชัย ศิษย์ลุงบ้านป่า กัดไม่ปล่อย MOU44 เข้าข่ายเป็น “สนธิสัญญา” แต่กลับไม่ทำตามรัฐธรรมนูญ ไม่ผ่านรัฐสภา ไม่ได้ทูลเกล้าฯ และหากดึงดันแต่งตั้ง JTC ชุดใหม่ โดยไม่ทูลเกล้าฯ อาจเข้าข่ายละเมิดพระราชอำนาจ
    #7ดอกจิก
    ♣ ธีระชัย ศิษย์ลุงบ้านป่า กัดไม่ปล่อย MOU44 เข้าข่ายเป็น “สนธิสัญญา” แต่กลับไม่ทำตามรัฐธรรมนูญ ไม่ผ่านรัฐสภา ไม่ได้ทูลเกล้าฯ และหากดึงดันแต่งตั้ง JTC ชุดใหม่ โดยไม่ทูลเกล้าฯ อาจเข้าข่ายละเมิดพระราชอำนาจ #7ดอกจิก
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 412 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## ผู้นำ กัมพูชา ไม่เคยยอมรับว่า "เกาะกูด" เป็นของ ประเทศไทย...!!! ##
    ..
    ..
    ล่าสุด พออ่านข่าวนี้จบ ทำให้เราเข้าใจเพิ่มเติมขึ้นมาอีก...
    .
    วันก่อน คุณ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล แถลงเรื่อง MOU44 มีใจความตอนนึง ประมาณว่า...
    .
    เส้นที่ หลายคนเคยเข้าใจว่า กัมพูชา ลากตัดเกาะกูดบ้าง ลากอ้อมเกาะกูดเป็นรูปตัว U บ้าง ความจริงแล้ว...
    .
    คุณ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย บอกว่า กัมพูชา ขีดเส้นจากทางตะวันออก มาจนถึง เกาะกูด แล้วหยุด ไปโผล่อีกที ที่ฝั่งตะวันตกของ เกาะกูด แล้วลากออกไปต่อทางตะวันตก...
    .
    บวกกับ บทสัมภาษณ์นี้ ชัดเจนมาก...
    .
    Prime Minister Hun Manet has addressed the government’s decision to remain silent on the sovereignty dispute over Ko Kut, citing ongoing maritime border negotiations with Thailand that have yet to yield an agreement. Both nations currently claim the island as part of their territory.
    ...
    ...
    "the sovereignty dispute over Ko Kut."
    .
    "ข้อพิพาทอธิปไตยเหนือเกาะกูด"
    .
    "Both nations currently claim the island as part of their territory."
    .
    "ปัจจุบันทั้งสองประเทศอ้างว่าเกาะนี้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตของตน"
    ...
    ...
    ข้อพิพาทอธิปไตยเหนือเกาะกูด"
    .
    "ทั้งสองประเทศ"
    .
    "อ้างว่าเกาะนี้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตของตน"
    ...
    ...
    ชัดเจนมาก...!!!
    .
    ชัดแบบ ไม่รู้จะชัดยังไงให้มากกว่านี้แล้ว...!!!
    .
    ว่า กัมพูชา เขาไม่ยอมรับว่า "เกาะกูด" เป็นของ ประเทศไทย...!!!
    .
    ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี และ ผู้นำประเทศกัมพูชา ลูกชายของ ฮุน เซน พูดชัดเจน ว่า...
    .
    ทั้งประเทศไทย และ ประเทศ กัมพูชา ต่างอ้างสิทธิ์เหนือ เกาะกูด ทั้งคู่...!!!
    .
    กัมพูชา อ้างสิทธิ์อธิปไตย เหนือเกาะกูด...!!!
    .
    เขาเหลี่ยมทุกดอกแบบนี่ เรายังจะเดินหน้าไปแบบ เหม่อลอย ก้าวท้าวไปน้ำลายยืดไป แบบนี้มันจะไหวจริงๆเหรอครับ...???
    .
    https://www.nationthailand.com/news/asean/40043498
    ## ผู้นำ กัมพูชา ไม่เคยยอมรับว่า "เกาะกูด" เป็นของ ประเทศไทย...!!! ## .. .. ล่าสุด พออ่านข่าวนี้จบ ทำให้เราเข้าใจเพิ่มเติมขึ้นมาอีก... . วันก่อน คุณ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล แถลงเรื่อง MOU44 มีใจความตอนนึง ประมาณว่า... . เส้นที่ หลายคนเคยเข้าใจว่า กัมพูชา ลากตัดเกาะกูดบ้าง ลากอ้อมเกาะกูดเป็นรูปตัว U บ้าง ความจริงแล้ว... . คุณ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย บอกว่า กัมพูชา ขีดเส้นจากทางตะวันออก มาจนถึง เกาะกูด แล้วหยุด ไปโผล่อีกที ที่ฝั่งตะวันตกของ เกาะกูด แล้วลากออกไปต่อทางตะวันตก... . บวกกับ บทสัมภาษณ์นี้ ชัดเจนมาก... . Prime Minister Hun Manet has addressed the government’s decision to remain silent on the sovereignty dispute over Ko Kut, citing ongoing maritime border negotiations with Thailand that have yet to yield an agreement. Both nations currently claim the island as part of their territory. ... ... "the sovereignty dispute over Ko Kut." . "ข้อพิพาทอธิปไตยเหนือเกาะกูด" . "Both nations currently claim the island as part of their territory." . "ปัจจุบันทั้งสองประเทศอ้างว่าเกาะนี้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตของตน" ... ... ข้อพิพาทอธิปไตยเหนือเกาะกูด" . "ทั้งสองประเทศ" . "อ้างว่าเกาะนี้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตของตน" ... ... ชัดเจนมาก...!!! . ชัดแบบ ไม่รู้จะชัดยังไงให้มากกว่านี้แล้ว...!!! . ว่า กัมพูชา เขาไม่ยอมรับว่า "เกาะกูด" เป็นของ ประเทศไทย...!!! . ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี และ ผู้นำประเทศกัมพูชา ลูกชายของ ฮุน เซน พูดชัดเจน ว่า... . ทั้งประเทศไทย และ ประเทศ กัมพูชา ต่างอ้างสิทธิ์เหนือ เกาะกูด ทั้งคู่...!!! . กัมพูชา อ้างสิทธิ์อธิปไตย เหนือเกาะกูด...!!! . เขาเหลี่ยมทุกดอกแบบนี่ เรายังจะเดินหน้าไปแบบ เหม่อลอย ก้าวท้าวไปน้ำลายยืดไป แบบนี้มันจะไหวจริงๆเหรอครับ...??? . https://www.nationthailand.com/news/asean/40043498
    WWW.NATIONTHAILAND.COM
    Hun Manet defends government’s silence on Ko Kut dispute
    Prime Minister Hun Manet has addressed the government’s decision to remain silent on the sovereignty dispute over Ko Kut, citing ongoing maritime border negotiations with Thailand that have yet to yield an agreement. Both nations currently claim the island as part of their territory.
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 360 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดร.สุรเกียรติ์ยิ่งก่อข้อสงสัยรูป 1-2 มีเอกสารวิชาการเขียนโดย ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เกี่ยวกับ MOU44 เผยแพร่ในปี 2554 จุลสารความมั่นคงศึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ มีข้อมูลสำคัญที่ผมไม่รู้มาก่อนแต่ข้อมูลใหม่เหล่านี้ ยิ่งก่อข้อสงสัยในเจตนารมณ์ที่รัฐบาลของอดีตนายกฯทักษิณไปจัดทำ MOU44 🫡 ข้อสงสัยที่หนึ่ง กัมพูชาขีดเส้นเว้นเกาะกูดจริงหรือ?รูป 3-6 คือพระราชกฤษฎีกาของกัมพูชา ผมเข้าใจมาตลอดว่า กัมพูชาขีดเส้นพาดผ่านเกาะกูด แต่ในเอกสารหน้า 6-9 ดร.สุรเกียรติ์วิเคราะห์ว่ากัมพูชาขีดเส้นเว้นเกาะกูดแผนที่รูป 6 ขยายไปเป็นรูป 7 ท่านเขียนว่าเส้นของกัมพูชาลากจากจุด A บนชายฝั่งมาจนถึงชายฝั่งเกาะกูดด้านตะวันออก แล้วไปเริ่มเส้นต่อไปจากชายฝั่งเกาะกูดด้านตะวันตก ประกอบกับท่านเห็นว่า ในแผนที่มีการระบุชื่อเกาะกูดว่า Koh Kut (Siam) ซึ่งท่านอนุมาน'เป็นการบ่งบอกว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย' ท่านจึงตีความว่า "ดังนั้น กัมพูชาไม่เคยอ้างอธิปไตยเหนือเกาะกูด"🧐 ผมโต้แย้ง:- ในรูป 3 พระราชกฤษฎีกา กัมพูชาระบุตั้งใจลากเส้นโดยอ้างอิงสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส คศ 1907 เพราะต้องการใช้ประโยชน์จากในสนธิสัญญาฯ มีข้อความ "ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูด" ดังนั้น ถึงแม้ในรูป 7 ท่านตีความว่ากัมพูชาแสดงเจตนาไม่ต้องการให้เส้นผ่านเกาะกูด แต่อาจเป็นการตีความเข้าข้างตัวเอง🥶 ข้อสงสัย:- ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้แน่นอนว่า วันหน้ากัมพูชาจะไม่อ้างว่าไทยรับรู้ใน MOU44 แล้วว่า โดยสภาพความเป็นจริง เส้นนี้ย่อมมีเจตนาผ่านเกาะกูด เพราะ (ก) พระราชกฤษฎีกามีการอ้างอิงตำแหน่งแห่งหนที่ตั้งอยู่เฉพาะบนเกาะกูด และ(ข) ตรรกแห่งการตีเส้นเขตไหล่ทวีปที่ขาดแหว่งเป็นเส้นประ ไม่อยู่ในข้อใดในอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีป มีแต่เส้นต่อเนื่องทั้งนั้น🫡 ข้อสงสัยที่สอง กัมพูชายอมรับว่าเกาะกูดเป็นอธิปไตยของไทยจริงหรือ?ในเอกสารหน้า 35-36 ท่านเขียนว่า "ถึงแม้ว่าบันทึกความเข้าใจนี้จะไม่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุดของการเจรจามีผลผูกพันทั้งสองประเทศเกี่ยวกับเส้นเขตทางทะเล แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ถือเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการที่รัฐบาลกัมพูชาในปัจจุบันได้ยอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูด" และ"ภายหลังจากการลงนามในบันทึกความเข้าใจแล้วนั้น ฝ่ายไทยก็ได้มอบหมายให้ผู้เขียนพยายามที่จะเจรจาในระดับรัฐมตรีเพื่อไม่ไม่ให้เส้นเขตแดนล้อมรอบเกาะกูดถูกกำหนดเป็นรูปตัว "U" ซึ่งผู้เขียนจำได้ว่าเคยหารือกับนาย ซก อาน รัฐมนตรีอาวุโสของกัมพูชา (ตำแหน่งในขณะนั้น) ว่าเหตุใดเส้นเขตแดนจึงมีโค้งเป็นเบ้าขนมครก เหตุใดจึงไม่เป็นเส้นตรง ซึ่งหมายความว่าจากหลักเขตแดนที่ 73 นั้น เส้นเขตทางทะเลควรจะลากจากลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นเส้นตรง และต้องไม่ลากผ่านเกาะกูด มิใช่ลากเส้นมาถึงเกาะกูดแล้ว จึงเกิดส่วนเว้าหลบอ้อมเกาะกูดไป ซึ่งในแง่ของไทยแล้วการลากเส้นเขตแดนเป็นเส้นตรงโดยไม่ผ่านกึ่งกลางของเกาะกูดจะมีผลทำให้อธิปไตยของเกาะกูดมีความชัดเจนมากขึ้น และทำให้อาณาเขตรวมของพื้นที่ทับช้อนทางทะเลมีขนาดเล็กลง ดังรูป 10 (เป็นเส้นประที่ลูกศรขี้ซึ่งแสดงอยู่ในรูป 8 )ซึ่งในเรื่องนี้อยู่ในระหว่างการที่ฝ่ายกัมพูชาจะขอความเห็นชอบจากผู้นำสูงสุดของกัมพูชา แต่ผู้เขียนได้พ้นหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมทางเทคนิคไปเสียก่อน"🧐 ผมโต้แย้ง:- กัมพูชาไม่ได้ยอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่าประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูด เพราะ(ก) ไม่มีข้อความเช่นนั้นแม้แต่คำเดียวปรากฏใน MOU44 กลับเป็นการตีความของท่านฝ่ายเดียว(ข) ถ้ากัมพูชายอมรับเช่นนั้นจริง เส้นจะต้องไม่เข้ามาใกล้เกาะกูด แต่จะต้องเอียงลงตะวันตกเฉียงใต้ ดังที่ท่านเองก็ยอมรับในบทความ🥶 ข้อสงสัย:- ในขณะที่ลงนามใน MOU44 ท่านทราบหรือไม่ว่า เส้นที่ถูกต้องคือไม่เข้ามาใกล้เกาะกูด? ถ้าทราบ ท่านไปลงนามทำไม?🫡 ข้อสงสัยที่สาม:- ฝ่ายไทยควรพอใจแผนผังแนบท้าย MOU44 จริงหรือ?ในเอกสารหน้า 35 ท่านเขียนว่า"ดังนั้น แผนผังแนบท้ายบันทึกความเข้าใจนี้จึงเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยพอใจเพราะแสดงถึงความคืบหน้าในการเจรจาจุดเริ่มต้นของการลงเส้นเขตทางทะเลจากหลักเขตแดนทางบกที่ตรงกับจุดยืนของไทย และเส้นที่ลากนั้นได้ยอมรับอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูด และยังยอมรับอธิบไตยของไทยเหนือทะเลอาณาเขตรอบๆ"🧐 ผมโต้แย้ง:- ไม่มีเหตุผลใดที่ไทยควรจะพอใจกับการแสดงแผนที่ซึ่งเป็นแผนผังแนบท้าย MOU44 เพราะแสดงเส้นของสองประเทศที่ไม่เท่าเทียมกัน คือเส้นของไทยประกาศตามอนุสัญญาเจนีวา ในขณะที่เส้นของกัมพูชาไม่เป็นเช่นนั้น🫡 ข้อสงสัยที่สี่:- ท่านรู้ว่า MOU44 เป็นโมฆะตั้งแต่ต้น หรือไม่?ในเอกสารหน้า 36 ท่านเขียนว่า"(5) บันทึกความเข้าใจดังกล่าวได้ลงนามโดยผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศ จึงมีสถานะเป็นสนธิสัญญาตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969"🧐 ผมโต้แย้ง:- ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะท่านในฐานะผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลไทย ไปลงนามในสนธิสัญญา ..ทั้งที่มิได้มีการทูลเกล้าฯ และมีได้มีการนำเสนอรัฐสภาเสียก่อน เป็นการกระทำเกินอำนาจ ultra vires จึงไม่ผูกพันรัฐบาลไทย และทำให้ MOU44 เป็นโมฆะตั้งแต่ต้นผมเห็นว่าไม่มีเอกสารหลักฐานชิ้นไหน ที่มีความสำคัญเท่าชิ้นนี้อีกแล้ว🫡 ข้อสงสัยที่ห้า:- ทำไมท่านไม่แจ้งรัฐบาลว่ากัมพูชาตีความสนธิสัญญาฯ ผิด?ในเอกสารหน้า 11-12 ท่านวิเคราะห์ว่ากัมพูชาตีความสนธิสัญญาฯ เข้าข้างตัวเองว่าเป็นการแบ่งเขตทางทะเล แต่เจตนารมณ์เป็นเพียงเพื่อกำหนดเส้นแบ่งเขตทางบก ซึ่งตรงกับของผม 🧐 ผมโต้แย้ง:- ในเมื่อท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเส้นของกัมพูชาไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ท่านควรจะแจ้งให้รัฐบาลของท่านนายกทักษิณทราบ และกต.น่าจะแจ้งให้รัฐบาลต่างๆ ทราบ 🫡 ข้อสงสัยที่หก:- ท่านรู้หรือไม่ว่าเส้นของกัมพูชาขัดกับอนุสัญญาไหล่ทวีป?ข้อ 6 ในอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ไม่ได้อนุญาตการลากเส้นที่อ้างอิงสิทธิทางประวัติศาสตร์ดังเช่นกรณีขอทะเลอาณาเขต แต่กัมพูชากลับไปอ้างอิงสนธิสัญญาฯ เป็นสิทธิทางประวัติศาสตร์ ทั้งที่ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ และขัดกับอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีปอย่างสิ้นเชิง🧐 ผมโต้แย้ง:- ในเมื่อท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาขัดกับอนุสัญญาไหล่ทวีป ทำไมท่านไม่โต้แย้งกัมพูชาเป็นลายลักษณ์อักษร?🫡 ข้อสงสัยที่เจ็ด:- ทำไมท่านไม่ดำเนินการตามขั้นตอนของพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย?ในเอกสารหน้า 36 ท่านเขียนว่า"ภายหลังจากที่ผู้เขียนได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ก็ได้รับทราบถึงผลการเจรจาร่วมกันในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2543 และได้มีความเห็นตรงกันว่าควรมีการเปิดการเจรจาอย่างเป็นทางการกับรัฐบาลกัมพูชาเนื่องจากเป็นประเทศเดียวที่ไทยยังไม่เคยเจรจาอย่างจริงจังเพื่อแสวงพาผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งๆ ที่ได้มีการเจรจากับรัฐบาลมาเลเซียและเวียดนามจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้น จึงได้มีการเริ่มเปิดการเจรจากับกัมพูชาเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาเขตพื้นที่ที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับช้อนกัน และการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย จนสามารถกำหนดแนวทางการเจรจาและการดำเนินการร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสของทั้งสองประเทศที่เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2544 และนำไปสู่การลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ"🧐 ผมโต้แย้ง:- ประชาชนมีข้อสงสัยดังนี้(ก) ในลำดับขั้นตอนการจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เริ่มต้นจากการเจรจาเส้นเขตแดนของทั้งสองประเทศให้เสร็จเรียบร้อยก่อน จึงจะได้อาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมที่ยอมรับทั้งสองฝ่าย เป็นขั้นตอน ใช้ม้าลากรถแต่ลำดับขั้นตอนการจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-กัมพูชา เริ่มต้นจากการกำหนดอาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมขึ้นมาเอง เป็นการรีบร้อนลัดขั้นตอน ใช้รถลากม้า(ข) การเจรจากำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับมาเลเซีย ใช้เวลาหลายปี ท่านใช้เวลาเจรจากำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชาเพียงสองสามเดือนส่อเจตนาชัดเจนว่าให้ความสำคัญลำดับหนึ่งแก่การแสวงหาประโยชน์ปิโตรเลียม จนมีความเสี่ยงเรื่องเขตแดนเกิดขึ้นการเร่งรีบเช่นนี้ ทำให้ประชาชนกังวลว่า มีวาระซ่อนเร้นแฝงอยู่ในการเจรจาหรือไม่🧐 ผมขอย้ำว่า เขียนบทความนี้ด้วยความเคารพ และหวังจะให้ประโยชน์แก่รัฐมนตรีพรรคร่วมอย่างเต็มที่เป็นสำคัญวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    ดร.สุรเกียรติ์ยิ่งก่อข้อสงสัยรูป 1-2 มีเอกสารวิชาการเขียนโดย ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เกี่ยวกับ MOU44 เผยแพร่ในปี 2554 จุลสารความมั่นคงศึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ มีข้อมูลสำคัญที่ผมไม่รู้มาก่อนแต่ข้อมูลใหม่เหล่านี้ ยิ่งก่อข้อสงสัยในเจตนารมณ์ที่รัฐบาลของอดีตนายกฯทักษิณไปจัดทำ MOU44 🫡 ข้อสงสัยที่หนึ่ง กัมพูชาขีดเส้นเว้นเกาะกูดจริงหรือ?รูป 3-6 คือพระราชกฤษฎีกาของกัมพูชา ผมเข้าใจมาตลอดว่า กัมพูชาขีดเส้นพาดผ่านเกาะกูด แต่ในเอกสารหน้า 6-9 ดร.สุรเกียรติ์วิเคราะห์ว่ากัมพูชาขีดเส้นเว้นเกาะกูดแผนที่รูป 6 ขยายไปเป็นรูป 7 ท่านเขียนว่าเส้นของกัมพูชาลากจากจุด A บนชายฝั่งมาจนถึงชายฝั่งเกาะกูดด้านตะวันออก แล้วไปเริ่มเส้นต่อไปจากชายฝั่งเกาะกูดด้านตะวันตก ประกอบกับท่านเห็นว่า ในแผนที่มีการระบุชื่อเกาะกูดว่า Koh Kut (Siam) ซึ่งท่านอนุมาน'เป็นการบ่งบอกว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย' ท่านจึงตีความว่า "ดังนั้น กัมพูชาไม่เคยอ้างอธิปไตยเหนือเกาะกูด"🧐 ผมโต้แย้ง:- ในรูป 3 พระราชกฤษฎีกา กัมพูชาระบุตั้งใจลากเส้นโดยอ้างอิงสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส คศ 1907 เพราะต้องการใช้ประโยชน์จากในสนธิสัญญาฯ มีข้อความ "ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูด" ดังนั้น ถึงแม้ในรูป 7 ท่านตีความว่ากัมพูชาแสดงเจตนาไม่ต้องการให้เส้นผ่านเกาะกูด แต่อาจเป็นการตีความเข้าข้างตัวเอง🥶 ข้อสงสัย:- ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้แน่นอนว่า วันหน้ากัมพูชาจะไม่อ้างว่าไทยรับรู้ใน MOU44 แล้วว่า โดยสภาพความเป็นจริง เส้นนี้ย่อมมีเจตนาผ่านเกาะกูด เพราะ (ก) พระราชกฤษฎีกามีการอ้างอิงตำแหน่งแห่งหนที่ตั้งอยู่เฉพาะบนเกาะกูด และ(ข) ตรรกแห่งการตีเส้นเขตไหล่ทวีปที่ขาดแหว่งเป็นเส้นประ ไม่อยู่ในข้อใดในอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีป มีแต่เส้นต่อเนื่องทั้งนั้น🫡 ข้อสงสัยที่สอง กัมพูชายอมรับว่าเกาะกูดเป็นอธิปไตยของไทยจริงหรือ?ในเอกสารหน้า 35-36 ท่านเขียนว่า "ถึงแม้ว่าบันทึกความเข้าใจนี้จะไม่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุดของการเจรจามีผลผูกพันทั้งสองประเทศเกี่ยวกับเส้นเขตทางทะเล แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ถือเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการที่รัฐบาลกัมพูชาในปัจจุบันได้ยอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูด" และ"ภายหลังจากการลงนามในบันทึกความเข้าใจแล้วนั้น ฝ่ายไทยก็ได้มอบหมายให้ผู้เขียนพยายามที่จะเจรจาในระดับรัฐมตรีเพื่อไม่ไม่ให้เส้นเขตแดนล้อมรอบเกาะกูดถูกกำหนดเป็นรูปตัว "U" ซึ่งผู้เขียนจำได้ว่าเคยหารือกับนาย ซก อาน รัฐมนตรีอาวุโสของกัมพูชา (ตำแหน่งในขณะนั้น) ว่าเหตุใดเส้นเขตแดนจึงมีโค้งเป็นเบ้าขนมครก เหตุใดจึงไม่เป็นเส้นตรง ซึ่งหมายความว่าจากหลักเขตแดนที่ 73 นั้น เส้นเขตทางทะเลควรจะลากจากลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นเส้นตรง และต้องไม่ลากผ่านเกาะกูด มิใช่ลากเส้นมาถึงเกาะกูดแล้ว จึงเกิดส่วนเว้าหลบอ้อมเกาะกูดไป ซึ่งในแง่ของไทยแล้วการลากเส้นเขตแดนเป็นเส้นตรงโดยไม่ผ่านกึ่งกลางของเกาะกูดจะมีผลทำให้อธิปไตยของเกาะกูดมีความชัดเจนมากขึ้น และทำให้อาณาเขตรวมของพื้นที่ทับช้อนทางทะเลมีขนาดเล็กลง ดังรูป 10 (เป็นเส้นประที่ลูกศรขี้ซึ่งแสดงอยู่ในรูป 8 )ซึ่งในเรื่องนี้อยู่ในระหว่างการที่ฝ่ายกัมพูชาจะขอความเห็นชอบจากผู้นำสูงสุดของกัมพูชา แต่ผู้เขียนได้พ้นหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมทางเทคนิคไปเสียก่อน"🧐 ผมโต้แย้ง:- กัมพูชาไม่ได้ยอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่าประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูด เพราะ(ก) ไม่มีข้อความเช่นนั้นแม้แต่คำเดียวปรากฏใน MOU44 กลับเป็นการตีความของท่านฝ่ายเดียว(ข) ถ้ากัมพูชายอมรับเช่นนั้นจริง เส้นจะต้องไม่เข้ามาใกล้เกาะกูด แต่จะต้องเอียงลงตะวันตกเฉียงใต้ ดังที่ท่านเองก็ยอมรับในบทความ🥶 ข้อสงสัย:- ในขณะที่ลงนามใน MOU44 ท่านทราบหรือไม่ว่า เส้นที่ถูกต้องคือไม่เข้ามาใกล้เกาะกูด? ถ้าทราบ ท่านไปลงนามทำไม?🫡 ข้อสงสัยที่สาม:- ฝ่ายไทยควรพอใจแผนผังแนบท้าย MOU44 จริงหรือ?ในเอกสารหน้า 35 ท่านเขียนว่า"ดังนั้น แผนผังแนบท้ายบันทึกความเข้าใจนี้จึงเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยพอใจเพราะแสดงถึงความคืบหน้าในการเจรจาจุดเริ่มต้นของการลงเส้นเขตทางทะเลจากหลักเขตแดนทางบกที่ตรงกับจุดยืนของไทย และเส้นที่ลากนั้นได้ยอมรับอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูด และยังยอมรับอธิบไตยของไทยเหนือทะเลอาณาเขตรอบๆ"🧐 ผมโต้แย้ง:- ไม่มีเหตุผลใดที่ไทยควรจะพอใจกับการแสดงแผนที่ซึ่งเป็นแผนผังแนบท้าย MOU44 เพราะแสดงเส้นของสองประเทศที่ไม่เท่าเทียมกัน คือเส้นของไทยประกาศตามอนุสัญญาเจนีวา ในขณะที่เส้นของกัมพูชาไม่เป็นเช่นนั้น🫡 ข้อสงสัยที่สี่:- ท่านรู้ว่า MOU44 เป็นโมฆะตั้งแต่ต้น หรือไม่?ในเอกสารหน้า 36 ท่านเขียนว่า"(5) บันทึกความเข้าใจดังกล่าวได้ลงนามโดยผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศ จึงมีสถานะเป็นสนธิสัญญาตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969"🧐 ผมโต้แย้ง:- ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะท่านในฐานะผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลไทย ไปลงนามในสนธิสัญญา ..ทั้งที่มิได้มีการทูลเกล้าฯ และมีได้มีการนำเสนอรัฐสภาเสียก่อน เป็นการกระทำเกินอำนาจ ultra vires จึงไม่ผูกพันรัฐบาลไทย และทำให้ MOU44 เป็นโมฆะตั้งแต่ต้นผมเห็นว่าไม่มีเอกสารหลักฐานชิ้นไหน ที่มีความสำคัญเท่าชิ้นนี้อีกแล้ว🫡 ข้อสงสัยที่ห้า:- ทำไมท่านไม่แจ้งรัฐบาลว่ากัมพูชาตีความสนธิสัญญาฯ ผิด?ในเอกสารหน้า 11-12 ท่านวิเคราะห์ว่ากัมพูชาตีความสนธิสัญญาฯ เข้าข้างตัวเองว่าเป็นการแบ่งเขตทางทะเล แต่เจตนารมณ์เป็นเพียงเพื่อกำหนดเส้นแบ่งเขตทางบก ซึ่งตรงกับของผม 🧐 ผมโต้แย้ง:- ในเมื่อท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเส้นของกัมพูชาไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ท่านควรจะแจ้งให้รัฐบาลของท่านนายกทักษิณทราบ และกต.น่าจะแจ้งให้รัฐบาลต่างๆ ทราบ 🫡 ข้อสงสัยที่หก:- ท่านรู้หรือไม่ว่าเส้นของกัมพูชาขัดกับอนุสัญญาไหล่ทวีป?ข้อ 6 ในอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ไม่ได้อนุญาตการลากเส้นที่อ้างอิงสิทธิทางประวัติศาสตร์ดังเช่นกรณีขอทะเลอาณาเขต แต่กัมพูชากลับไปอ้างอิงสนธิสัญญาฯ เป็นสิทธิทางประวัติศาสตร์ ทั้งที่ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ และขัดกับอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีปอย่างสิ้นเชิง🧐 ผมโต้แย้ง:- ในเมื่อท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาขัดกับอนุสัญญาไหล่ทวีป ทำไมท่านไม่โต้แย้งกัมพูชาเป็นลายลักษณ์อักษร?🫡 ข้อสงสัยที่เจ็ด:- ทำไมท่านไม่ดำเนินการตามขั้นตอนของพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย?ในเอกสารหน้า 36 ท่านเขียนว่า"ภายหลังจากที่ผู้เขียนได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ก็ได้รับทราบถึงผลการเจรจาร่วมกันในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2543 และได้มีความเห็นตรงกันว่าควรมีการเปิดการเจรจาอย่างเป็นทางการกับรัฐบาลกัมพูชาเนื่องจากเป็นประเทศเดียวที่ไทยยังไม่เคยเจรจาอย่างจริงจังเพื่อแสวงพาผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งๆ ที่ได้มีการเจรจากับรัฐบาลมาเลเซียและเวียดนามจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้น จึงได้มีการเริ่มเปิดการเจรจากับกัมพูชาเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาเขตพื้นที่ที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับช้อนกัน และการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย จนสามารถกำหนดแนวทางการเจรจาและการดำเนินการร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสของทั้งสองประเทศที่เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2544 และนำไปสู่การลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ"🧐 ผมโต้แย้ง:- ประชาชนมีข้อสงสัยดังนี้(ก) ในลำดับขั้นตอนการจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เริ่มต้นจากการเจรจาเส้นเขตแดนของทั้งสองประเทศให้เสร็จเรียบร้อยก่อน จึงจะได้อาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมที่ยอมรับทั้งสองฝ่าย เป็นขั้นตอน ใช้ม้าลากรถแต่ลำดับขั้นตอนการจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-กัมพูชา เริ่มต้นจากการกำหนดอาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมขึ้นมาเอง เป็นการรีบร้อนลัดขั้นตอน ใช้รถลากม้า(ข) การเจรจากำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับมาเลเซีย ใช้เวลาหลายปี ท่านใช้เวลาเจรจากำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชาเพียงสองสามเดือนส่อเจตนาชัดเจนว่าให้ความสำคัญลำดับหนึ่งแก่การแสวงหาประโยชน์ปิโตรเลียม จนมีความเสี่ยงเรื่องเขตแดนเกิดขึ้นการเร่งรีบเช่นนี้ ทำให้ประชาชนกังวลว่า มีวาระซ่อนเร้นแฝงอยู่ในการเจรจาหรือไม่🧐 ผมขอย้ำว่า เขียนบทความนี้ด้วยความเคารพ และหวังจะให้ประโยชน์แก่รัฐมนตรีพรรคร่วมอย่างเต็มที่เป็นสำคัญวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 928 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตั้ง “กิตติรัตน์” นั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ “นายกฯอิ๊งค์” เสี่ยงหลุด ซ้ำรอยเศรษฐา.“ธีระชัย” ฟันธง “กิตติรัตน์” ขาดคุณสมบัติ ไม่สามารถนั่ง “ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ” เหตุ “ที่ปรึกษาของนายก” ถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะงานที่ทำไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของนายกฯเศรษฐา และเบิกค่าใช้จ่ายจากสำนักนายกฯ เตือน นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯทั้งที่มีปัญหา เป็นเรื่องมิบังควร โป๊ะแตก ! “เสี่ยนิด” พูดเอง “โต้ง” ขาดคุณสมบัติ ด้าน “รศ.ดร.เจษฎ์” แจง หากมีผู้ร้อง “อุ๊งอิ๊งค์” อาจหลุดจากเก้าอี้นายกฯ เหมือนกรณีที่ “เศรษฐา” แต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน ลือสะพัด “เรืองไกร” เตรียมร้องเอาผิดคนเสนอชื่อ.หนึ่งในประเด็นร้อนขณะนี้ก็คือเรื่องการแต่งตั้ง “ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย” หรือประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ซึ่งมีกระแสข่าวยืนยันว่าในการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกฯ เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2567 ที่ผ่านมา คณะกรรมการตัดสินใจเลือก “โต้ง-กิตติรัตน์ ณ ระนอง” อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ตัวเต็งจากพรรคเพื่อไทย ให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย ด้วยเกรงว่าจะเป็นการส่งคนจากฝั่งการเมืองเข้าไปแทรกแซงการทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่สำคัญยังมีการทักท้วงว่านายกิตติรัตน์ขาดคุณสมบัติ เนื่องจากนายเขาเคยเป็น “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” นายเศรษฐา ทวีสิน โดยเพิ่งพ้นจากตำแหน่งมาไม่ถึง 1 ปี.แต่ทางด้าน นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ในฐานะประธานที่ทำหน้าที่คัดเลือกประธานบอร์ดและกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ถือเป็นตำแหน่งทางการเมือง แต่ตำแหน่งของกิตติรัตน์คือ “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” ถือเป็นตำแหน่งส่วนตัว ซึ่งมิได้เป็นคุณสมบัติต้องห้ามในการเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ.ขณะนี้สถานการณ์จึงยังอึมครึม คือเป็นการแต่งตั้งโดยไม่มีการประกาศรายชื่อ และจะเสนอรายชื่อดังกล่าวให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรับทราบ ในวันที่ 19 พ.ย. 2567 เพื่อเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป.ส่วนว่า นายกิตติรัตน์ จะขาดคุณสมบัติหรือไม่ ? และหากขาดคุณสมบัติจะมีผลอย่างไรตามมา ? คงต้องไปฟังความเห็นจากผู้รู้.อ่านเพิ่มเติม>>https://mgronline.com/specialscoop/detail/9670000109902.#กิตติรัตน์ณระนอง #นั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ #แบงก์ชาติ
    ตั้ง “กิตติรัตน์” นั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ “นายกฯอิ๊งค์” เสี่ยงหลุด ซ้ำรอยเศรษฐา.“ธีระชัย” ฟันธง “กิตติรัตน์” ขาดคุณสมบัติ ไม่สามารถนั่ง “ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ” เหตุ “ที่ปรึกษาของนายก” ถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะงานที่ทำไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของนายกฯเศรษฐา และเบิกค่าใช้จ่ายจากสำนักนายกฯ เตือน นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯทั้งที่มีปัญหา เป็นเรื่องมิบังควร โป๊ะแตก ! “เสี่ยนิด” พูดเอง “โต้ง” ขาดคุณสมบัติ ด้าน “รศ.ดร.เจษฎ์” แจง หากมีผู้ร้อง “อุ๊งอิ๊งค์” อาจหลุดจากเก้าอี้นายกฯ เหมือนกรณีที่ “เศรษฐา” แต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน ลือสะพัด “เรืองไกร” เตรียมร้องเอาผิดคนเสนอชื่อ.หนึ่งในประเด็นร้อนขณะนี้ก็คือเรื่องการแต่งตั้ง “ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย” หรือประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ซึ่งมีกระแสข่าวยืนยันว่าในการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกฯ เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2567 ที่ผ่านมา คณะกรรมการตัดสินใจเลือก “โต้ง-กิตติรัตน์ ณ ระนอง” อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ตัวเต็งจากพรรคเพื่อไทย ให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย ด้วยเกรงว่าจะเป็นการส่งคนจากฝั่งการเมืองเข้าไปแทรกแซงการทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่สำคัญยังมีการทักท้วงว่านายกิตติรัตน์ขาดคุณสมบัติ เนื่องจากนายเขาเคยเป็น “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” นายเศรษฐา ทวีสิน โดยเพิ่งพ้นจากตำแหน่งมาไม่ถึง 1 ปี.แต่ทางด้าน นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ในฐานะประธานที่ทำหน้าที่คัดเลือกประธานบอร์ดและกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ถือเป็นตำแหน่งทางการเมือง แต่ตำแหน่งของกิตติรัตน์คือ “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” ถือเป็นตำแหน่งส่วนตัว ซึ่งมิได้เป็นคุณสมบัติต้องห้ามในการเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ.ขณะนี้สถานการณ์จึงยังอึมครึม คือเป็นการแต่งตั้งโดยไม่มีการประกาศรายชื่อ และจะเสนอรายชื่อดังกล่าวให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรับทราบ ในวันที่ 19 พ.ย. 2567 เพื่อเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป.ส่วนว่า นายกิตติรัตน์ จะขาดคุณสมบัติหรือไม่ ? และหากขาดคุณสมบัติจะมีผลอย่างไรตามมา ? คงต้องไปฟังความเห็นจากผู้รู้.อ่านเพิ่มเติม>>https://mgronline.com/specialscoop/detail/9670000109902.#กิตติรัตน์ณระนอง #นั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ #แบงก์ชาติ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1010 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ธีระชัย” โต้ “ดร.สุรเกียรติ์” แจงปม MOU44 ไม่ครบ ยันไม่มีใครการันตีจะไม่เสียดินแดน เมื่อปิโตรเลียมหมดกัมพูชาอาจอ้างสิทธิตามเส้นที่ลากผ่านเกาะกูด ที่ไทยยอมรับไว้ใน MOU ทั้งที่ขัดหลักกฎหมายสากล แถมยังลัดขั้นตอน ตราแผนที่พัฒนาร่วมขึ้นก่อนเพื่อเจรจาปิโตรเลียมแบบเร่งรีบ โดยที่ยังไม่ตกลงเรื่องเขตแดน ชี้เจรจาติดหล่มมา 23 ปี สำเร็จยาก มีทางเดียวต้องยกเลิก หรือไม่ก็ให้คุยเรื่องปิโตรเลียมอย่างเดียว ส่วนเรื่องเขตแดนต้องใช้กลไกอื่น

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000110169

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “ธีระชัย” โต้ “ดร.สุรเกียรติ์” แจงปม MOU44 ไม่ครบ ยันไม่มีใครการันตีจะไม่เสียดินแดน เมื่อปิโตรเลียมหมดกัมพูชาอาจอ้างสิทธิตามเส้นที่ลากผ่านเกาะกูด ที่ไทยยอมรับไว้ใน MOU ทั้งที่ขัดหลักกฎหมายสากล แถมยังลัดขั้นตอน ตราแผนที่พัฒนาร่วมขึ้นก่อนเพื่อเจรจาปิโตรเลียมแบบเร่งรีบ โดยที่ยังไม่ตกลงเรื่องเขตแดน ชี้เจรจาติดหล่มมา 23 ปี สำเร็จยาก มีทางเดียวต้องยกเลิก หรือไม่ก็ให้คุยเรื่องปิโตรเลียมอย่างเดียว ส่วนเรื่องเขตแดนต้องใช้กลไกอื่น อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000110169 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Angry
    27
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2076 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ธีระชัย” เปิดหลักฐาน กัมพูชาลากเส้นในทะเล ผิดทั้งสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ที่ระบุถึงการเล็งยอดเขาบนเกาะกูดสำหรับแบ่งเขตบนแผ่นดินเท่านั้น และผิดอนุสัญญาเจนีวา 1958 ที่ห้ามมิให้อ้างเหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์ในการประกาศเขตไหล่ทวีป MOU2544 จึงส่อผิดกฎหมายไปด้วย

    4 พฤศจิกายน 2567-นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala - - ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ในหัวข้อด่วน! กัมพูชาไม่อาจอ้างสนธิสัญญาฯ มีรายละเอียดดังนี้

    อาจารย์พนัส ทัศนียานนท์ อดีตอัยการและอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กรุณาส่งข้อมูลแจ้งผม ทำให้ผมเห็นว่ากัมพูชาไม่อาจอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907

    อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วย “ไหล่ทวีป” 1958 ไม่มีการรับรองสิทธิทางประวัติศาสตร์ รับรองไว้เฉพาะกรณีของ “ทะเลอาณาเขต”

    เว็บไซต์ของกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ระบุว่า
    [“ทะเลอาณาเขต” (territorial sea) มีความกว้างไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล โดยวัดจากเส้นฐานออกไป
    รัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตย (sovereignty) เหนือทะเลอาณาเขต

    “ไหล่ทวีป” (continental shelf) หมายถึง พื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินของบริเวณใต้ทะเล ซึ่งขยายเลยทะเลอาณาเขตออกไปตามธรรมชาติของดินแดนจนถึงริมนอกของขอบทวีป หรือจนถึงระยะ 200 ไมล์ทะเลจากเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต…

    ในบริเวณไหล่ทวีป รัฐชายฝั่งสามารถใช้สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติบน ไหล่ทวีป]

    ดังนั้น พื้นที่ในอ่าวไทย บริเวณที่ระบุอ้างกันว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ดังปรากฏใน MOU44 นั้น จึงไม่ใช่พื้นที่ “ทะเลอาณาเขต” ที่ครอบคลุมความกว้างเพียง 12 ไมล์ทะเล

    แต่เป็นพื้นที่ “ไหล่ทวีป” ที่ครอบคลุมความกว้างถึง 200 ไมล์ทะเล และเป็นอาณาเขตสำหรับพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียม

    รูป 1-4 ในประกาศ เรื่อง ใช้อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ซึ่งมีพระบรมราชโองการโดยล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 รับสนองฯ โดย จอมพล ถนอม กิตติขจร เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2512 ในหัวข้อ ทะเลอาณาเขต ข้อ 12 ข้อย่อย 1 อนุญาตให้ยกเว้นได้สำหรับ “เหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์”

    รูป 5-6 กฤษฎีกาของรัฐบาลกัมพูชา ที่ลากเส้น “ไหล่ทวีป” พาดผ่านเกาะกูดนั้น ระบุชัดเจนว่า เป็นการประกาศพื้นที่ Plateau Continental ซึ่งแปลว่า ไหล่ทวีป และมิใช่อ้างอิงอนุสัญญากรุงเจนีวา 1958 อย่างเดียว แต่อ้างอิงสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ค.ศ. 1907 ประกอบด้วย

    “ สาเหตุที่กัมพูชาอ้างอิงสนธิสัญญาฯ เพื่อลากเส้นผ่านเกาะกูดนั้น เป็นเพราะสนธิสัญญาฯ มีเอกสารแนบที่ระบุข้อความ “ตั้งแต่ชายทะเลที่ตรงข้ามจากยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดเป็นหลัก” จึงได้ลากเส้นจากชายทะเลผ่านยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดไปทางทิศตะวันตกกินแดนเข้ามาในอ่าวไทย

    ** ผิดกฎหมายกระทงที่หนึ่ง
    การกระทำดังกล่าวผิดกฏหมายกระทงที่หนึ่ง เพราะเนื้อความในสนธิสัญญาฯ บรรยายถึงการแบ่งเขตแดนบนแผ่นดิน มิได้เกี่ยวข้องกับการแบ่งเขตแดนในทะเล จึงเป็นการอ้างอิงสนธิสัญญาฯ ที่บิดเบือน

    อีกทั้งเกาะกูดอยู่ห่างชายฝั่ง 44 ไมล์ทะเล จึงอยู่นอก “ทะเลอาณาเขต” อยู่แล้วด้วย

    ** ผิดกฎหมายกระทงที่สอง
    การกำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปพาดผ่านเกาะกูดโดยอ้างสนธิสัญญาฯ เป็น “เหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์” นั้น ก็เป็นการบิดเบือน เอาข้อยกเว้นในเรื่องของ “ทะเลอาณาเขต” มาใช้กับเรื่องของ “ไหล่ทวีป”

    สรุปแล้ว กฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา ขัดกับอนุสัญญากรุงเจนีวา 1958 โดยสิ้นเชิง

    เป็นการอ้างผิดมาตราอย่างจัง!

    และการที่รัฐบาลไทยในสมัยของอดีตนายกทักษิณ ไปทำ MOU44 โดยไม่ได้คำนึงถึงประเด็นนี้ ผมมีความเห็นว่า อาจเป็นการผิดกฎหมาย

    กัมพูชาจะลากเส้นที่ไม่ตรงกับอนุสัญญากรุงเจนีวา อย่างไรก็ได้ ถ้าไทยไม่รับ ข้ออ้างดังกล่าวก็จะค้างอยู่ในอากาศ แต่การที่รัฐบาลไทยไปรับรู้เส้นที่ไม่ตรงกับอนุสัญญากรุงเจนีวา เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง

    จึงขอขอบคุณอาจารย์พนัส ทัศนียานนท์ เป็นอย่างยิ่ง ที่ได้กรุณาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มหาศาลแก่ประชาชน”

    ที่มา News1
    https://news1live.com/detail/9670000106288?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR2E5ivC8YLJ80XZFnfxkqNzQw-E48lM3Ly7iYy_GAtAVxhcMf3h4UJzl_o_aem_oBxuft0VBnaCm-WW-Z_8rw

    #Thaitimes
    “ธีระชัย” เปิดหลักฐาน กัมพูชาลากเส้นในทะเล ผิดทั้งสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ที่ระบุถึงการเล็งยอดเขาบนเกาะกูดสำหรับแบ่งเขตบนแผ่นดินเท่านั้น และผิดอนุสัญญาเจนีวา 1958 ที่ห้ามมิให้อ้างเหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์ในการประกาศเขตไหล่ทวีป MOU2544 จึงส่อผิดกฎหมายไปด้วย 4 พฤศจิกายน 2567-นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala - - ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ในหัวข้อด่วน! กัมพูชาไม่อาจอ้างสนธิสัญญาฯ มีรายละเอียดดังนี้ อาจารย์พนัส ทัศนียานนท์ อดีตอัยการและอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กรุณาส่งข้อมูลแจ้งผม ทำให้ผมเห็นว่ากัมพูชาไม่อาจอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วย “ไหล่ทวีป” 1958 ไม่มีการรับรองสิทธิทางประวัติศาสตร์ รับรองไว้เฉพาะกรณีของ “ทะเลอาณาเขต” เว็บไซต์ของกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ระบุว่า [“ทะเลอาณาเขต” (territorial sea) มีความกว้างไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล โดยวัดจากเส้นฐานออกไป รัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตย (sovereignty) เหนือทะเลอาณาเขต “ไหล่ทวีป” (continental shelf) หมายถึง พื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินของบริเวณใต้ทะเล ซึ่งขยายเลยทะเลอาณาเขตออกไปตามธรรมชาติของดินแดนจนถึงริมนอกของขอบทวีป หรือจนถึงระยะ 200 ไมล์ทะเลจากเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต… ในบริเวณไหล่ทวีป รัฐชายฝั่งสามารถใช้สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติบน ไหล่ทวีป] ดังนั้น พื้นที่ในอ่าวไทย บริเวณที่ระบุอ้างกันว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ดังปรากฏใน MOU44 นั้น จึงไม่ใช่พื้นที่ “ทะเลอาณาเขต” ที่ครอบคลุมความกว้างเพียง 12 ไมล์ทะเล แต่เป็นพื้นที่ “ไหล่ทวีป” ที่ครอบคลุมความกว้างถึง 200 ไมล์ทะเล และเป็นอาณาเขตสำหรับพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียม รูป 1-4 ในประกาศ เรื่อง ใช้อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ซึ่งมีพระบรมราชโองการโดยล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 รับสนองฯ โดย จอมพล ถนอม กิตติขจร เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2512 ในหัวข้อ ทะเลอาณาเขต ข้อ 12 ข้อย่อย 1 อนุญาตให้ยกเว้นได้สำหรับ “เหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์” รูป 5-6 กฤษฎีกาของรัฐบาลกัมพูชา ที่ลากเส้น “ไหล่ทวีป” พาดผ่านเกาะกูดนั้น ระบุชัดเจนว่า เป็นการประกาศพื้นที่ Plateau Continental ซึ่งแปลว่า ไหล่ทวีป และมิใช่อ้างอิงอนุสัญญากรุงเจนีวา 1958 อย่างเดียว แต่อ้างอิงสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ค.ศ. 1907 ประกอบด้วย “ สาเหตุที่กัมพูชาอ้างอิงสนธิสัญญาฯ เพื่อลากเส้นผ่านเกาะกูดนั้น เป็นเพราะสนธิสัญญาฯ มีเอกสารแนบที่ระบุข้อความ “ตั้งแต่ชายทะเลที่ตรงข้ามจากยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดเป็นหลัก” จึงได้ลากเส้นจากชายทะเลผ่านยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดไปทางทิศตะวันตกกินแดนเข้ามาในอ่าวไทย ** ผิดกฎหมายกระทงที่หนึ่ง การกระทำดังกล่าวผิดกฏหมายกระทงที่หนึ่ง เพราะเนื้อความในสนธิสัญญาฯ บรรยายถึงการแบ่งเขตแดนบนแผ่นดิน มิได้เกี่ยวข้องกับการแบ่งเขตแดนในทะเล จึงเป็นการอ้างอิงสนธิสัญญาฯ ที่บิดเบือน อีกทั้งเกาะกูดอยู่ห่างชายฝั่ง 44 ไมล์ทะเล จึงอยู่นอก “ทะเลอาณาเขต” อยู่แล้วด้วย ** ผิดกฎหมายกระทงที่สอง การกำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปพาดผ่านเกาะกูดโดยอ้างสนธิสัญญาฯ เป็น “เหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์” นั้น ก็เป็นการบิดเบือน เอาข้อยกเว้นในเรื่องของ “ทะเลอาณาเขต” มาใช้กับเรื่องของ “ไหล่ทวีป” สรุปแล้ว กฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา ขัดกับอนุสัญญากรุงเจนีวา 1958 โดยสิ้นเชิง เป็นการอ้างผิดมาตราอย่างจัง! และการที่รัฐบาลไทยในสมัยของอดีตนายกทักษิณ ไปทำ MOU44 โดยไม่ได้คำนึงถึงประเด็นนี้ ผมมีความเห็นว่า อาจเป็นการผิดกฎหมาย กัมพูชาจะลากเส้นที่ไม่ตรงกับอนุสัญญากรุงเจนีวา อย่างไรก็ได้ ถ้าไทยไม่รับ ข้ออ้างดังกล่าวก็จะค้างอยู่ในอากาศ แต่การที่รัฐบาลไทยไปรับรู้เส้นที่ไม่ตรงกับอนุสัญญากรุงเจนีวา เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง จึงขอขอบคุณอาจารย์พนัส ทัศนียานนท์ เป็นอย่างยิ่ง ที่ได้กรุณาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มหาศาลแก่ประชาชน” ที่มา News1 https://news1live.com/detail/9670000106288?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR2E5ivC8YLJ80XZFnfxkqNzQw-E48lM3Ly7iYy_GAtAVxhcMf3h4UJzl_o_aem_oBxuft0VBnaCm-WW-Z_8rw #Thaitimes
    NEWS1LIVE.COM
    “ธีระชัย” เปิดข้อมูล กัมพูชาลากเส้นในทะเลผิดหลักสากล 2 เด้ง MOU44 ส่อผิดไปด้วย
    “ธีระชัย” เปิดหลักฐาน กัมพูชาลากเส้นในทะเล ผิดทั้งสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ที่ระบุถึงการเล็งยอดเขาบนเกาะกูดสำหรับแบ่งเขตบนแผ่นดินเท่านั้น และผิดอนุสัญญาเจนีวา 1958 ที่ห้ามมิให้อ้างเหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์ในการประกาศเขตไหล่ทวีป
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1063 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ธีระชัย” เปิดหลักฐาน กัมพูชาลากเส้นในทะเล ผิดทั้งสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ที่ระบุถึงการเล็งยอดเขาบนเกาะกูดสำหรับแบ่งเขตบนแผ่นดินเท่านั้น และผิดอนุสัญญาเจนีวา 1958 ที่ห้ามมิให้อ้างเหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์ในการประกาศเขตไหล่ทวีป MOU2544 จึงส่อผิดกฎหมายไปด้วย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000106288

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “ธีระชัย” เปิดหลักฐาน กัมพูชาลากเส้นในทะเล ผิดทั้งสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ที่ระบุถึงการเล็งยอดเขาบนเกาะกูดสำหรับแบ่งเขตบนแผ่นดินเท่านั้น และผิดอนุสัญญาเจนีวา 1958 ที่ห้ามมิให้อ้างเหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์ในการประกาศเขตไหล่ทวีป MOU2544 จึงส่อผิดกฎหมายไปด้วย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000106288 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    25
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2384 มุมมอง 1 รีวิว
  • “ธีระชัย” โต้ “นพดล” ยัน MOU44 กระทบการอ้างสิทธิทางทะเลแน่นอน เหตุกัมพูชาลากเส้นไม่ถูกต้อง ส่งผลให้พื้นที่พัฒนาร่วมกว้างใหญ่เกินไป ไทยเสียสิทธิทางทะเล และอาจลามถึงขั้นเสียสิทธิ์บางส่วนของเกาะกูด ซ้ำมีหลักฐานกัมพูชาทำผิดสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ต้องยกเลิก MOU44

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000105667

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “ธีระชัย” โต้ “นพดล” ยัน MOU44 กระทบการอ้างสิทธิทางทะเลแน่นอน เหตุกัมพูชาลากเส้นไม่ถูกต้อง ส่งผลให้พื้นที่พัฒนาร่วมกว้างใหญ่เกินไป ไทยเสียสิทธิทางทะเล และอาจลามถึงขั้นเสียสิทธิ์บางส่วนของเกาะกูด ซ้ำมีหลักฐานกัมพูชาทำผิดสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ต้องยกเลิก MOU44 อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000105667 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    23
    2 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 2324 มุมมอง 1 รีวิว
  • นาย ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ แสดงทัศนะประเด็นอดีตโฆษกทร. สนับสนุน MOU44 ว่าดูละเอียดหรือยัง? เนื้อหาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนระบุว่า

    “ผมท้าทาย เชิญชวน นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม และรัฐมนตรีต่างประเทศ ให้ออกมาโต้แย้งประเด็นเทคนิคที่ทีมพรรคพลังประชารัฐเปิดเผยปัญหาแก่ประชาชนเรื่อง MOU44

    ยังไม่มีคนใดคนหนึ่งออกมาชี้แจง มีแต่พลเรือเอกจุมพล ลุมพิกานนท์ อดีตโฆษกกองทัพเรือ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการรักษาประโยชน์ของชาติทางทะเล ติดต่อขอให้ข้อมูลแก่ PPTV ในคลิปข้างล่าง PPTV ระบุว่า

    หลังจากที่ PPTV นำเสนอเรื่องข้อตกลงความร่วมมือ MOU44 ระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่หลายคนออกมาให้ความเห็นว่า อาจจะทำให้ไทยเสียเขตแดนทางทะเลให้กับกัมพูชาในอนาคต ซึ่งรวมถึงเกาะกูดด้วย เพราะเส้นเขตแดนที่ทางกัมพูชาลากมามันข้ามเกาะกูดมาเลย หลายคนจึงอยากจะให้ยกเลิก MOU44 ฉบับนี้ แต่ล่าสุด หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ ออกมาให้ความเห็นอีกทาง ว่าไม่ควรจะยกเลิก MOU44 เพราะไม่ได้ทำให้ไทยเสียเปรียบ ตรงกันข้าม นี่คือสารตั้งต้นที่จะทำให้เกิดการเจรจา แต่ถ้ายกเลิกต่างหากอาจจะมีผลเสียตามมาเพียบ

    ผมเชื่อว่าพลเรือเอกจุมพล ในฐานะเจ้าหน้าที่กองทัพเรือระดับสูง ย่อมมีเลือดรักชาติอยู่เต็มเปี่ยม แต่ขอเรียนด้วยความเคารพว่า คนไทยไม่ควรฝากความหวังไว้กับนักการเมืองมากเกินไป

    รูป 1 ท่านกล่าวว่า ชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของไทย จบตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ชัดเจน ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907

    รูป 2 แสดงขั้นตอนเวลาที่เวียดนาม กัมพูชา และไทยประกาศเขตแดนไหล่ทวีป

    รูป 3 ท่านกล่าวว่า MOU44 ฉบับนี้จะเป็นกรอบที่ทั้งสองประเทศจะหยิบขึ้นมาเจรจากันต่อว่า เขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน รวมถึงเจรจาผลประโยชน์ในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมกัน

    รูป 4 แสดงเขตพื้นที่พัฒนาร่วมกัน Joint Development Area (สีแดง) ส่วนพื้นที่ที่อยู่เหนือเส้นรุ้งที่ 11 องศา (สีน้ำเงิน) เป็นพื้นที่ทำการแบ่งเขต

    ผมให้ข้อสังเกตแก่ท่านพลเรือเอกจุมพล ในประเด็นจุดแยบยลทางกฎหมาย ดังนี้

    **หนึ่ง MOU44 ยอมรับกรอบขอบเขต boundaries พื้นที่สีแดงไปแล้ว

    ในรูป 5 จะเห็นได้ว่า คำบรรยายพื้นที่สีน้ำเงิน ข้อ 2 (ข) คือเพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน ตามที่ท่านว่า ส่วนคำบรรยายพื้นที่สีแดง ข้อ 2 (ก) คือเพื่อเจรจาผลประโยชน์

    ถ้อยคำในรูป 5 ไม่มีข้อใดที่สามารถอ่านได้ว่า สำหรับพื้นที่สีแดงนั้น "เพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน"

    ในรูป 6 จะเห็นได้ว่า คำบรรยายหน้าที่ของคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค พื้นที่สีน้ำเงิน ข้อ 3 (ข) คือเพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน ตามที่ท่านว่า ส่วนคำบรรยายพื้นที่สีแดง ข้อ 3 (ก) คือเพื่อเจรจาผลประโยชน์ล้วนๆ

    ถ้อยคำในรูป 6 ไม่มีข้อใดที่สามารถอ่านได้ว่า สำหรับพื้นที่สีแดงนั้น "เพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน"

    สรุปแล้ว ใน MOU44 ทั้งสองประเทศได้กำหนด "พื้นที่พัฒนาร่วม" "Joint Development Area" ขึ้นมา มิใช่ "เพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน" แต่ "เพื่อเจรจาผลประโยชน์"

    ดังนั้น ใน MOU44 ทั้งสองประเทศจึงพอใจในกรอบขอบเขต boundaries ของพื้นที่พัฒนาร่วมไปแล้ว

    **สอง กรอบขอบเขตของพื้นที่พัฒนาร่วมที่ยอมรับกันไปแล้วนั้น ไม่ตรงตามสนธิสัญญาฯ

    ทั้งนี้ กรอบขอบเขต boundaries ของพื้นที่พัฒนาร่วม ด้านทิศตะวันตก ในรูป 7 เส้นสีแดง นั้น เส้นสีแดงดังกล่าว เกิดขึ้นได้ มีสารตั้งต้น มีต้นกำเนิด เกิดจากเส้นแบ่งเขตที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูด ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ

    อธิบายแบบชาวบ้าน ถ้าไม่มีเส้นแบ่งเขตที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูดไปจนถึงตำแหน่ง P เส้นแบ่งเขตทิศเหนือ-ใต้ ย่อมไม่สามารถตั้งต้นจากตำแหน่ง P เกิดขึ้นได้

    ดังนั้น เส้นแบ่งเขตทิศเหนือ-ใต้ ที่ตั้งต้นจากตำแหน่ง P จึงไม่ตรงตามจุดเริ่มต้นในสนธิสัญญาฯ และ

    การที่รัฐบาลไทยไปยอมรับเส้นแบ่งเขตสีแดงดังกล่าว ก็ย่อมแสดงว่า ** ไม่ขัดข้องกับตำแหน่ง P ** ทั้งที่ไม่ตรงตามจุดเริ่มต้นในสนธิสัญญาฯ **

    **สาม JDA ตีกรอบขอบเขต boundaries ด้วยเส้นเขตแดน

    ถ้าดูแผนที่ JDA ไทย-มาเลเซีย จะเห็นได้ว่า ตีกรอบขอบเขต boundaries ด้วยเส้นเขตแดน ที่ทั้งสองประเทศอ้างอนุสัญญาสหประชาชาติฯ แตกต่างกัน โดยไทยถือโขดหิน โลซิน เป็นเกาะ ที่สามารถใช้วางอาณาเขตกินแดนได้ แต่มาเลเซียไม่ถือว่าเป็นเกาะ

    ต่อมามีการแก้ไขอนุสัญญาสหประชาชาติฯ ไม่ถือโขดหิน โลซิน เป็นเกาะ ที่สามารถใช้วางอาณาเขตกินแดนได้ แต่เนื่องจาก JDA ไทย-มาเลเซียได้เกิดขึ้นลงนามไปก่อนหน้า ไทยจึงได้ประโยชน์ระหว่างที่ JDA มีผลบังคับ

    แต่กรณีเส้นที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูดนั้น เป็นการลากเส้นโดยอ้างสนธิสัญญาฯ อย่างที่ไม่ถูกต้อง

    ดังนั้น บัดนี้เมื่อคนไทยทราบถึงปัญหา จึงย่อมต้องเรียกร้องให้ ยกเลิกการอ้างที่ไม่ถูกต้อง การลากเส้นที่ขัดเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ออกไปก่อนเริ่มต้นเจรจาแบ่งผลประโยชน์

    ทั้งนี้ การเจรจาแบ่งผลประโยชน์ จะสามารถทำได้เร็วถ้าทั้งสองประเทศยึดมั่นในความเป็นธรรม ไม่จำเป็นต้องอาศัยความสัมพันธ์ครอบครัว แต่ถ้ามีวาระซ่อนเร้น ถ้าคนไทยจะเสียเปรียบ ผมก็จะคัดค้านต่อไป

    ผมจึงขอสรุปว่า ประชาชนคนไทยไม่ควรฝากความหวังไว้กับนักการเมืองที่ไปเจรจาโดยยอมรับสิ่งที่กัมพูชา ดำเนินการไปผิดกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ

    MOU44 ยอมรับพื้นที่พัฒนาร่วมที่กินล้ำทะเลจากตำแหน่ง P ที่ทำให้ไทยเสียประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นของประชาชนทุกคน

    การยอมรับเส้นกรอบขอบเขตของพื้นที่พัฒนาร่วม ที่เริ่มจากตำแหน่ง P อันสืบเนื่องมากจากเส้นที่ผิดเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ย่อมจะทำให้ไทยเสี่ยงเสียดินแดนได้ในอนาคต

    ถ้าท่านพลเรือเอกจุมพลไม่เชื่อผม ขอให้ท่านอ่านถ้อยคำใน MOU44 เองได้เลยครับ”

    วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567

    นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
    ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ

    https://youtu.be/PEArT6M-wDE?si=NuuT8XefJDmOCmnO

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/1EgDTTKTHn/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    นาย ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ แสดงทัศนะประเด็นอดีตโฆษกทร. สนับสนุน MOU44 ว่าดูละเอียดหรือยัง? เนื้อหาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนระบุว่า “ผมท้าทาย เชิญชวน นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม และรัฐมนตรีต่างประเทศ ให้ออกมาโต้แย้งประเด็นเทคนิคที่ทีมพรรคพลังประชารัฐเปิดเผยปัญหาแก่ประชาชนเรื่อง MOU44 ยังไม่มีคนใดคนหนึ่งออกมาชี้แจง มีแต่พลเรือเอกจุมพล ลุมพิกานนท์ อดีตโฆษกกองทัพเรือ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการรักษาประโยชน์ของชาติทางทะเล ติดต่อขอให้ข้อมูลแก่ PPTV ในคลิปข้างล่าง PPTV ระบุว่า หลังจากที่ PPTV นำเสนอเรื่องข้อตกลงความร่วมมือ MOU44 ระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่หลายคนออกมาให้ความเห็นว่า อาจจะทำให้ไทยเสียเขตแดนทางทะเลให้กับกัมพูชาในอนาคต ซึ่งรวมถึงเกาะกูดด้วย เพราะเส้นเขตแดนที่ทางกัมพูชาลากมามันข้ามเกาะกูดมาเลย หลายคนจึงอยากจะให้ยกเลิก MOU44 ฉบับนี้ แต่ล่าสุด หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ ออกมาให้ความเห็นอีกทาง ว่าไม่ควรจะยกเลิก MOU44 เพราะไม่ได้ทำให้ไทยเสียเปรียบ ตรงกันข้าม นี่คือสารตั้งต้นที่จะทำให้เกิดการเจรจา แต่ถ้ายกเลิกต่างหากอาจจะมีผลเสียตามมาเพียบ ผมเชื่อว่าพลเรือเอกจุมพล ในฐานะเจ้าหน้าที่กองทัพเรือระดับสูง ย่อมมีเลือดรักชาติอยู่เต็มเปี่ยม แต่ขอเรียนด้วยความเคารพว่า คนไทยไม่ควรฝากความหวังไว้กับนักการเมืองมากเกินไป รูป 1 ท่านกล่าวว่า ชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของไทย จบตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ชัดเจน ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 รูป 2 แสดงขั้นตอนเวลาที่เวียดนาม กัมพูชา และไทยประกาศเขตแดนไหล่ทวีป รูป 3 ท่านกล่าวว่า MOU44 ฉบับนี้จะเป็นกรอบที่ทั้งสองประเทศจะหยิบขึ้นมาเจรจากันต่อว่า เขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน รวมถึงเจรจาผลประโยชน์ในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมกัน รูป 4 แสดงเขตพื้นที่พัฒนาร่วมกัน Joint Development Area (สีแดง) ส่วนพื้นที่ที่อยู่เหนือเส้นรุ้งที่ 11 องศา (สีน้ำเงิน) เป็นพื้นที่ทำการแบ่งเขต ผมให้ข้อสังเกตแก่ท่านพลเรือเอกจุมพล ในประเด็นจุดแยบยลทางกฎหมาย ดังนี้ **หนึ่ง MOU44 ยอมรับกรอบขอบเขต boundaries พื้นที่สีแดงไปแล้ว ในรูป 5 จะเห็นได้ว่า คำบรรยายพื้นที่สีน้ำเงิน ข้อ 2 (ข) คือเพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน ตามที่ท่านว่า ส่วนคำบรรยายพื้นที่สีแดง ข้อ 2 (ก) คือเพื่อเจรจาผลประโยชน์ ถ้อยคำในรูป 5 ไม่มีข้อใดที่สามารถอ่านได้ว่า สำหรับพื้นที่สีแดงนั้น "เพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน" ในรูป 6 จะเห็นได้ว่า คำบรรยายหน้าที่ของคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค พื้นที่สีน้ำเงิน ข้อ 3 (ข) คือเพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน ตามที่ท่านว่า ส่วนคำบรรยายพื้นที่สีแดง ข้อ 3 (ก) คือเพื่อเจรจาผลประโยชน์ล้วนๆ ถ้อยคำในรูป 6 ไม่มีข้อใดที่สามารถอ่านได้ว่า สำหรับพื้นที่สีแดงนั้น "เพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน" สรุปแล้ว ใน MOU44 ทั้งสองประเทศได้กำหนด "พื้นที่พัฒนาร่วม" "Joint Development Area" ขึ้นมา มิใช่ "เพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน" แต่ "เพื่อเจรจาผลประโยชน์" ดังนั้น ใน MOU44 ทั้งสองประเทศจึงพอใจในกรอบขอบเขต boundaries ของพื้นที่พัฒนาร่วมไปแล้ว **สอง กรอบขอบเขตของพื้นที่พัฒนาร่วมที่ยอมรับกันไปแล้วนั้น ไม่ตรงตามสนธิสัญญาฯ ทั้งนี้ กรอบขอบเขต boundaries ของพื้นที่พัฒนาร่วม ด้านทิศตะวันตก ในรูป 7 เส้นสีแดง นั้น เส้นสีแดงดังกล่าว เกิดขึ้นได้ มีสารตั้งต้น มีต้นกำเนิด เกิดจากเส้นแบ่งเขตที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูด ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ อธิบายแบบชาวบ้าน ถ้าไม่มีเส้นแบ่งเขตที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูดไปจนถึงตำแหน่ง P เส้นแบ่งเขตทิศเหนือ-ใต้ ย่อมไม่สามารถตั้งต้นจากตำแหน่ง P เกิดขึ้นได้ ดังนั้น เส้นแบ่งเขตทิศเหนือ-ใต้ ที่ตั้งต้นจากตำแหน่ง P จึงไม่ตรงตามจุดเริ่มต้นในสนธิสัญญาฯ และ การที่รัฐบาลไทยไปยอมรับเส้นแบ่งเขตสีแดงดังกล่าว ก็ย่อมแสดงว่า ** ไม่ขัดข้องกับตำแหน่ง P ** ทั้งที่ไม่ตรงตามจุดเริ่มต้นในสนธิสัญญาฯ ** **สาม JDA ตีกรอบขอบเขต boundaries ด้วยเส้นเขตแดน ถ้าดูแผนที่ JDA ไทย-มาเลเซีย จะเห็นได้ว่า ตีกรอบขอบเขต boundaries ด้วยเส้นเขตแดน ที่ทั้งสองประเทศอ้างอนุสัญญาสหประชาชาติฯ แตกต่างกัน โดยไทยถือโขดหิน โลซิน เป็นเกาะ ที่สามารถใช้วางอาณาเขตกินแดนได้ แต่มาเลเซียไม่ถือว่าเป็นเกาะ ต่อมามีการแก้ไขอนุสัญญาสหประชาชาติฯ ไม่ถือโขดหิน โลซิน เป็นเกาะ ที่สามารถใช้วางอาณาเขตกินแดนได้ แต่เนื่องจาก JDA ไทย-มาเลเซียได้เกิดขึ้นลงนามไปก่อนหน้า ไทยจึงได้ประโยชน์ระหว่างที่ JDA มีผลบังคับ แต่กรณีเส้นที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูดนั้น เป็นการลากเส้นโดยอ้างสนธิสัญญาฯ อย่างที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น บัดนี้เมื่อคนไทยทราบถึงปัญหา จึงย่อมต้องเรียกร้องให้ ยกเลิกการอ้างที่ไม่ถูกต้อง การลากเส้นที่ขัดเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ออกไปก่อนเริ่มต้นเจรจาแบ่งผลประโยชน์ ทั้งนี้ การเจรจาแบ่งผลประโยชน์ จะสามารถทำได้เร็วถ้าทั้งสองประเทศยึดมั่นในความเป็นธรรม ไม่จำเป็นต้องอาศัยความสัมพันธ์ครอบครัว แต่ถ้ามีวาระซ่อนเร้น ถ้าคนไทยจะเสียเปรียบ ผมก็จะคัดค้านต่อไป ผมจึงขอสรุปว่า ประชาชนคนไทยไม่ควรฝากความหวังไว้กับนักการเมืองที่ไปเจรจาโดยยอมรับสิ่งที่กัมพูชา ดำเนินการไปผิดกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ MOU44 ยอมรับพื้นที่พัฒนาร่วมที่กินล้ำทะเลจากตำแหน่ง P ที่ทำให้ไทยเสียประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นของประชาชนทุกคน การยอมรับเส้นกรอบขอบเขตของพื้นที่พัฒนาร่วม ที่เริ่มจากตำแหน่ง P อันสืบเนื่องมากจากเส้นที่ผิดเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ย่อมจะทำให้ไทยเสี่ยงเสียดินแดนได้ในอนาคต ถ้าท่านพลเรือเอกจุมพลไม่เชื่อผม ขอให้ท่านอ่านถ้อยคำใน MOU44 เองได้เลยครับ” วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ https://youtu.be/PEArT6M-wDE?si=NuuT8XefJDmOCmnO ที่มา https://www.facebook.com/share/p/1EgDTTKTHn/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 980 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตือนนายกฯครั้งที่ 5 ! นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟสบุ๊ก “Thirachai Phuvanatnaranubala – – ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” ระบุว่า
    จดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ เรื่องกองทุนวายุภักษ์ ๑

    ด่วนที่สุด

    วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๗

    เรื่อง กองทุนรวมวายุภักษ์ ๑ อาจจะฝ่าฝืนกฎหมาย (ฉบับที่ ๖)

    เรียน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

    ตามที่ข้าพเจ้าได้มีหนังสือ ๕ ฉบับ ฉบับหลังสุดลงวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๗ (ฉบับที่ ๕) ร้องเรียนกรณีกระทรวงการคลังประกาศเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อกองทุนรวมวายุภักษ์ ๑ (กองทุนฯ) วงเงิน ๑.๕ แสนล้านบาท ในวันที่ ๑๖-๒๐ กันยายนนี้ และให้นักลงทุนสถาบันจองซื้อในวันที่ ๑๘-๒๐ กันยายนนี้

    ซึ่งข้าพเจ้ามีความเห็นว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวอาจจะฝ่าฝืนกฎหมาย นั้น

    ข้าพเจ้าขอเรียนข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง ดังนี้

    ๑. พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑

    “มาตรา ๒๘ การมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐดําเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการโดยรัฐบาลรับภาระจะชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดําเนินการนั้น ให้กระทําได้เฉพาะกรณีที่อยู่ในหน้าที่และอํานาจตามกฎหมายและอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของหน่วยงานของรัฐนั้น เพื่อฟื้นฟูหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพหรือยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยหรือการก่อวินาศกรรม

    ในการมอบหมายตามวรรคหนึ่ง คณะรัฐมนตรีต้องพิจารณาภาระทางการคลังของรัฐที่อาจเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ผลกระทบต่อการดําเนินงานของหน่วยงานของรัฐซึ่งได้รับมอบหมายนั้น และแนวทางการบริหารจัดการภาระทางการคลังของรัฐและผลกระทบจากการดําเนินการดังกล่าว ภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายในการดําเนินการตามวรรคหนึ่ง ต้องมียอดคงค้างทั้งหมดรวมกันไม่เกินอัตราที่คณะกรรมการกําหนด

    ให้หน่วยงานของรัฐซึ่งได้รับมอบหมายตามมาตรานี้ ไม่ว่าการมอบหมายนั้นจะเกิดขึ้นก่อนพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับหรือไม่ จัดทําประมาณการต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการที่รัฐจะต้องรับภาระทั้งหมดสําหรับกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการนั้น ๆ และแจ้งให้คณะกรรมการและกระทรวงการคลังทราบ”

    ๒. ประเด็นที่อาจฝ่าฝืนกฎหมาย

    เนื่องจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๗ ได้รับทราบโครงการกองทุนรวมวายุภักษ์ ๑ (กองทุนฯ) และโดยที่เงื่อนไขในการประกาศเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อกองทุนฯ

    มีผลโดยอัตโนมัติเป็นการที่กระทรวงการคลังรับภาระจะชดใช้ให้ผู้ลงทุนซึ่งถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ได้รับผลตอบแทนแต่ละปีไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๓ ต่อปี ทั้งจากรายได้แต่ละปี และจากกำไรสะสมของกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. และมีผลโดยอัตโนมัติเป็นการที่กระทรวงการคลังรับภาระจะชดใช้ให้ผู้ลงทุนซึ่งถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ได้รับคืนเงินลงทุนก่อนหน้ากระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข.

    ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า กรณีนี้เข้าข่ายเป็นการที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการคลัง”ดําเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการโดยรัฐบาลรับภาระจะชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดําเนินการนั้น” ตามวรรคหนึ่ง มาตรา ๒๘

    ๒.๑ ไม่ใช่กรณีที่อยู่ในหน้าที่และอํานาจตามกฎหมายและอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของกระทรวงการคลัง

    พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๐ กำหนดหน้าที่และอำนาจของกระทรวงการคลังไว้ว่า “กระทรวงการคลัง มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเงินการคลังแผ่นดิน การประเมินราคาทรัพย์สิน การบริหารพัสดุภาครัฐ กิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ ทรัพย์สินของแผ่นดิน ภาษีอากร การรัษฎากร กิจการหารายได้ที่รัฐมีอำนาจดำเนินการได้แต่ผู้เดียวตามกฎหมายและไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการอื่น การบริหารหนี้สาธารณะ การบริหารและการพัฒนารัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการคลังหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงการคลัง”

    ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า เรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ไม่ใช่กรณีที่อยู่ในหน้าที่และอํานาจตามกฎหมายและอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของกระทรวงการคลังข้างต้น จึงกระทำมิได้

    ส่วนการที่กองทุนฯ จะแบ่งปันรายได้และกำหนดลำดับสิทธิในการคืนเงินลงทุนนั้น ถึงแม้อาจจะอยู่ในหน้าที่และอํานาจตามกฎหมายและอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ แต่กองทุนฯ ไม่มีหน้าที่และอำนาจที่ครอบคลุมไปถึงการดำเนินการให้มีผลเป็นการทำให้กระทรวงการคลังรับภาระจะชดใช้ให้ผู้ลงทุนซึ่งถือหน่วยลงทุนประเภท ก.

    ๒.๒ คณะรัฐมนตรีอาจมิได้พิจารณาภาระทางการคลังของรัฐที่อาจเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต หรือผลกระทบต่อการดําเนินงานของกระทรวงการคลัง

    ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า คณะรัฐมนตรีอาจมิได้พิจารณาภาระทางการคลังของรัฐที่อาจเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต หรือผลกระทบต่อการดําเนินงานของกระทรวงการคลัง อันไม่เป็นการปฏิบัติตามวรรคสองของมาตรา ๒๘ เพราะข้าพเจ้าสืบค้นไม่พบการนำเสนอตัวเลขภาระที่เกี่ยวข้องต่อคณะรัฐมนตรี

    ๒.๓ อาจไม่มีการจัดทําประมาณการต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการที่รัฐจะต้องรับภาระทั้งหมดสําหรับกิจกรรมกองทุนฯ

    ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า กระทรวงการคลังอาจไม่มีการจัดทําประมาณการต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการที่รัฐจะต้องรับภาระทั้งหมดสําหรับกิจกรรมกองทุนฯ เสนอต่อคณะรัฐมนตรี อันไม่เป็นการปฏิบัติตามวรรตสามของมาตรา ๒๘ เพราะข้าพเจ้าสืบค้นไม่พบการนำเสนอตัวเลขประมาณการที่เกี่ยวข้องต่อคณะรัฐมนตรี

    ๓. ขอให้สั่งการแก้ไข

    กรณีที่ถ้าหากท่านตรวจสอบแล้ว พบว่ามีการปฏิบัติที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ข้าพเจ้าขอเรียนว่า ท่านมีหน้าที่สั่งการให้แก้ไข และลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องโดยพลัน

    จึงขอให้ท่านโปรดพิจารณาว่าการกระทำที่เกี่ยวข้องถูกต้องตามกฎหมายและหลักธรรมาภิบาลหรือไม่

    จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

    ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

    (นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล)
    อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

    สำเนาเรียน
    ประธาน ป.ป.ช. เพื่อประกอบการพิจารณาหนังสือร้องเรียน ฉบับหลังสุดวันที่ ๑๔ ต.ค. ๒๕๖๗
    ประธาน ค.ต.ง. เพื่อประกอบการพิจารณาหนังสือร้องเรียน ฉบับหลังสุดวันที่ ๑๔ ต.ค. ๒๕๖๗
    ประธาน ก.ก.ต. เพื่อประกอบการพิจารณาหนังสือร้องเรียน ฉบับหลังสุดวันที่ ๑๔ ต.ค. ๒๕๖๗“
    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/Ti8aaMp5mLUDpy1U/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    เตือนนายกฯครั้งที่ 5 ! นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟสบุ๊ก “Thirachai Phuvanatnaranubala – – ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” ระบุว่า จดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ เรื่องกองทุนวายุภักษ์ ๑ ด่วนที่สุด วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๗ เรื่อง กองทุนรวมวายุภักษ์ ๑ อาจจะฝ่าฝืนกฎหมาย (ฉบับที่ ๖) เรียน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามที่ข้าพเจ้าได้มีหนังสือ ๕ ฉบับ ฉบับหลังสุดลงวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๗ (ฉบับที่ ๕) ร้องเรียนกรณีกระทรวงการคลังประกาศเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อกองทุนรวมวายุภักษ์ ๑ (กองทุนฯ) วงเงิน ๑.๕ แสนล้านบาท ในวันที่ ๑๖-๒๐ กันยายนนี้ และให้นักลงทุนสถาบันจองซื้อในวันที่ ๑๘-๒๐ กันยายนนี้ ซึ่งข้าพเจ้ามีความเห็นว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวอาจจะฝ่าฝืนกฎหมาย นั้น ข้าพเจ้าขอเรียนข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง ดังนี้ ๑. พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ “มาตรา ๒๘ การมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐดําเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการโดยรัฐบาลรับภาระจะชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดําเนินการนั้น ให้กระทําได้เฉพาะกรณีที่อยู่ในหน้าที่และอํานาจตามกฎหมายและอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของหน่วยงานของรัฐนั้น เพื่อฟื้นฟูหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพหรือยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยหรือการก่อวินาศกรรม ในการมอบหมายตามวรรคหนึ่ง คณะรัฐมนตรีต้องพิจารณาภาระทางการคลังของรัฐที่อาจเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ผลกระทบต่อการดําเนินงานของหน่วยงานของรัฐซึ่งได้รับมอบหมายนั้น และแนวทางการบริหารจัดการภาระทางการคลังของรัฐและผลกระทบจากการดําเนินการดังกล่าว ภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายในการดําเนินการตามวรรคหนึ่ง ต้องมียอดคงค้างทั้งหมดรวมกันไม่เกินอัตราที่คณะกรรมการกําหนด ให้หน่วยงานของรัฐซึ่งได้รับมอบหมายตามมาตรานี้ ไม่ว่าการมอบหมายนั้นจะเกิดขึ้นก่อนพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับหรือไม่ จัดทําประมาณการต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการที่รัฐจะต้องรับภาระทั้งหมดสําหรับกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการนั้น ๆ และแจ้งให้คณะกรรมการและกระทรวงการคลังทราบ” ๒. ประเด็นที่อาจฝ่าฝืนกฎหมาย เนื่องจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๗ ได้รับทราบโครงการกองทุนรวมวายุภักษ์ ๑ (กองทุนฯ) และโดยที่เงื่อนไขในการประกาศเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อกองทุนฯ มีผลโดยอัตโนมัติเป็นการที่กระทรวงการคลังรับภาระจะชดใช้ให้ผู้ลงทุนซึ่งถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ได้รับผลตอบแทนแต่ละปีไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๓ ต่อปี ทั้งจากรายได้แต่ละปี และจากกำไรสะสมของกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. และมีผลโดยอัตโนมัติเป็นการที่กระทรวงการคลังรับภาระจะชดใช้ให้ผู้ลงทุนซึ่งถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ได้รับคืนเงินลงทุนก่อนหน้ากระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า กรณีนี้เข้าข่ายเป็นการที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการคลัง”ดําเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการโดยรัฐบาลรับภาระจะชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดําเนินการนั้น” ตามวรรคหนึ่ง มาตรา ๒๘ ๒.๑ ไม่ใช่กรณีที่อยู่ในหน้าที่และอํานาจตามกฎหมายและอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของกระทรวงการคลัง พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๐ กำหนดหน้าที่และอำนาจของกระทรวงการคลังไว้ว่า “กระทรวงการคลัง มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเงินการคลังแผ่นดิน การประเมินราคาทรัพย์สิน การบริหารพัสดุภาครัฐ กิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ ทรัพย์สินของแผ่นดิน ภาษีอากร การรัษฎากร กิจการหารายได้ที่รัฐมีอำนาจดำเนินการได้แต่ผู้เดียวตามกฎหมายและไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการอื่น การบริหารหนี้สาธารณะ การบริหารและการพัฒนารัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการคลังหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงการคลัง” ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า เรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ไม่ใช่กรณีที่อยู่ในหน้าที่และอํานาจตามกฎหมายและอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของกระทรวงการคลังข้างต้น จึงกระทำมิได้ ส่วนการที่กองทุนฯ จะแบ่งปันรายได้และกำหนดลำดับสิทธิในการคืนเงินลงทุนนั้น ถึงแม้อาจจะอยู่ในหน้าที่และอํานาจตามกฎหมายและอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ แต่กองทุนฯ ไม่มีหน้าที่และอำนาจที่ครอบคลุมไปถึงการดำเนินการให้มีผลเป็นการทำให้กระทรวงการคลังรับภาระจะชดใช้ให้ผู้ลงทุนซึ่งถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ๒.๒ คณะรัฐมนตรีอาจมิได้พิจารณาภาระทางการคลังของรัฐที่อาจเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต หรือผลกระทบต่อการดําเนินงานของกระทรวงการคลัง ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า คณะรัฐมนตรีอาจมิได้พิจารณาภาระทางการคลังของรัฐที่อาจเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต หรือผลกระทบต่อการดําเนินงานของกระทรวงการคลัง อันไม่เป็นการปฏิบัติตามวรรคสองของมาตรา ๒๘ เพราะข้าพเจ้าสืบค้นไม่พบการนำเสนอตัวเลขภาระที่เกี่ยวข้องต่อคณะรัฐมนตรี ๒.๓ อาจไม่มีการจัดทําประมาณการต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการที่รัฐจะต้องรับภาระทั้งหมดสําหรับกิจกรรมกองทุนฯ ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า กระทรวงการคลังอาจไม่มีการจัดทําประมาณการต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการที่รัฐจะต้องรับภาระทั้งหมดสําหรับกิจกรรมกองทุนฯ เสนอต่อคณะรัฐมนตรี อันไม่เป็นการปฏิบัติตามวรรตสามของมาตรา ๒๘ เพราะข้าพเจ้าสืบค้นไม่พบการนำเสนอตัวเลขประมาณการที่เกี่ยวข้องต่อคณะรัฐมนตรี ๓. ขอให้สั่งการแก้ไข กรณีที่ถ้าหากท่านตรวจสอบแล้ว พบว่ามีการปฏิบัติที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ข้าพเจ้าขอเรียนว่า ท่านมีหน้าที่สั่งการให้แก้ไข และลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องโดยพลัน จึงขอให้ท่านโปรดพิจารณาว่าการกระทำที่เกี่ยวข้องถูกต้องตามกฎหมายและหลักธรรมาภิบาลหรือไม่ จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา ขอแสดงความนับถืออย่างสูง (นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สำเนาเรียน ประธาน ป.ป.ช. เพื่อประกอบการพิจารณาหนังสือร้องเรียน ฉบับหลังสุดวันที่ ๑๔ ต.ค. ๒๕๖๗ ประธาน ค.ต.ง. เพื่อประกอบการพิจารณาหนังสือร้องเรียน ฉบับหลังสุดวันที่ ๑๔ ต.ค. ๒๕๖๗ ประธาน ก.ก.ต. เพื่อประกอบการพิจารณาหนังสือร้องเรียน ฉบับหลังสุดวันที่ ๑๔ ต.ค. ๒๕๖๗“ ที่มา https://www.facebook.com/share/p/Ti8aaMp5mLUDpy1U/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 666 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตือนคนเกษียณระวังหมดตัวจากข้อมูลกรมบัญชีกลาง 23,089 รายชื่อหลุดรั่ว
    .
    ข้าราชการเกษียณอายุ ระวังตัวให้ดีๆ เพราะว่าข้อมูลกรมบัญชีกลางหลุดออกไปเยอะเลย โดนแฮก หรือโดนคนภายในเอาไปขายให้กับพวกคอลเซ็นเตอร์
    .
    เมื่อต้นเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา วันที่ 5 สิงหาคม 2567 ตำรวจสอบสวนภูธรภาค 2 มี พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนภูธรภาค 2 หรือที่เขาเรียกว่า ผู้การสืบภาค 2 ขนลูกน้องไปทำลายรังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่บ้านเช่าหลังหนึ่ง แห่งหนึ่งที่ศรีราชา จังหวัดชลบุรี พอบุกเข้าไปในบ้านก็ได้จับผู้ต้องหาเป็นผู้ชายไทยได้ 4 คน ตรวจยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ 10 เครื่อง พร้อมอาวุธปืน 1 กระบอก
    .
    ไฮไลต์เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ตำรวจสืบภาค 2 จับแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนสีเทาแล้ว ประเด็นสำคัญคือหลักฐานที่ตำรวจชุดจับกุมเข้าตรวจพบ มันเป็นไฟล์ข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนกว่า 23,089 รายชื่อ ที่เป็นชื่อของข้าราชการบำเหน็จบำนาญที่เกษียณแล้วทั้งหมด บันทึกอยู่ในคอมพิวเตอร์ของกลางทุกเครื่อง
    .
    ในแต่ละรายชื่อประกอบด้วย ชื่อจริง นามสกุลจริง ที่อยู่อาศัย เลขบัตรประชาชน 13 หลัก ข้อมูลธนาคาร เลขบัญชีที่ผูกกับบัญชีเงินเดือน หรือบัญชีรับเงินบำเหน็จบำนาญ ข้อที่สำคัญคือ ข้อมูลสถานพยาบาล สิทธิการรักษาพยาบาลต่างๆ ของข้าราชการบำเหน็จบำนาญที่เกษียณแล้ว มันหลุดไปได้อย่างไรคุณแพทริเซีย อธิบดีกรมบัญชีกลางครับ ตอบผมหน่อย
    .
    ทีมงานผมไปสืบ วิเคราะห์เจาะลึกมาแล้ว ว่าเมื่อช่วงกลางปี 2565 หรือสองปีมาแล้ว กรมบัญชีกลางจ้าง Outsource หรือคนนอกมาปรับปรุงระบบระบบฐานข้อมูลต่างๆ ท่านผู้ชมฟังแล้วอึ้งไหม ที่น่าตกใจคือกรมบัญชีกลางจ้างบริษัทไอที จ้างโปรแกรมเมอร์ที่ไหนเข้ามาปรับปรุงหรือพัฒนาระบบข้อมูลพื้นฐาน ที่กำกับดูแลการเงินภาครัฐที่ต้องถือว่ามีความสำคัญมาก และควรเป็นความลับสุดยอดระดับ Restricted Confidential หรือ Highly Confidential คือเป็นข้อมูลที่ลับมาก
    .
    สำหรับเรื่องข้อมูลข้าราชการเกษียณจำนวน 23,000 กว่ารายชื่อจากกรมบัญชีกลาง หลุดรอดไปถึงแก๊งจีนเทาครั้งนี้ ผมขออนุญาตขยายความได้ไหม ประเด็นความเสียหายนี้สันนิษฐานเกิดได้หลายกรณี คือ (1) เกลือเป็นหนอน เจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางที่ดูแลในส่วนนี้ นำข้อมูลไปขายให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ (2) เจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางที่รู้เห็นเป็นใจกับคนนอก ที่เข้ามาดูแลพัฒนาระบบ เปิดทางให้ข้อมูลรั่วไหลไปสู่บรรดามิจฉาชีพ (3) เลินเล่อ (4) ระบบโดนแฮก
    .
    ที่ผมพูดแบบนี้เพราะมันสันนิษฐานได้ทุกมิติ เพราะวันนี้ยังจับมือใครดมไม่ได้ แต่คุณแพทริเซีย มงคลวนิช ท่านอธิบดีกรมบัญชีกลางต้องเข้าใจนะครับว่า ข้าราชการรุ่นพี่ รุ่นพ่อ รุ่นแม่ ที่เกษียณอายุ ต้องตกเป็นเหยื่อทั้งหมดจากความหละหลวมของกรมบัญชีกลางนั้น คุณแพทริเซียจะปัดความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะคนเหล่านี้ต้องมาทนทุกข์กับปัญหาที่เขาไม่ได้ก่อ บางคนสิ้นเนื้อประดาตัว เงินที่สะสมจากการทำงานมาชั่วชีวิตต้องสูญหายไปเป็นหลักแสนบ้าง หลักล้านบ้าง บางคนต้องเก็บเรื่องเงียบไว้คนเดียว เพราะว่าอายชาวบ้าน หรือกลัวถูกลูกหลานตำหนิ ด่าทอ ปัญหาทั้งหมดนี้ต้นเหตุมาจากกรมบัญชีกลาง ใช่หรือเปล่า
    .
    ฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ ถ้าจะให้ปัญหาพวกนี้น้อยลง หน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ มีหน้าที่ดูแลข้อมูลส่วนบุคคล ถ้ามีการกระทำความผิดต้องมีทั้งโทษอาญาและโทษทางแพ่ง ไล่ตั้งแต่ระดับผู้บังคับบัญชาไปจนถึงเจ้าหน้าที่ ต้องรับโทษทางอาญา หน่วยงานรับผิดชอบเรื่องแพ่ง ชดใช้เยียวยาความเสียหายของเหยื่อ ต้องรับผิดชอบที่ทำข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล นี่คือการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ ส่วนกลางทาง และปลายทางนั้น เป็นหน้าที่ตำรวจเขาทำกันอยู่แล้ว คือกวาดล้างและจับกุม
    .
    คุณแพทริเซียครับ ผมอยากจะฝากไว้ด้วยว่า ผมจะจับตาดูเรื่องนี้อยู่ และจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เงียบหายไปตามสายลมอย่างแน่นอน
    เตือนคนเกษียณระวังหมดตัวจากข้อมูลกรมบัญชีกลาง 23,089 รายชื่อหลุดรั่ว . ข้าราชการเกษียณอายุ ระวังตัวให้ดีๆ เพราะว่าข้อมูลกรมบัญชีกลางหลุดออกไปเยอะเลย โดนแฮก หรือโดนคนภายในเอาไปขายให้กับพวกคอลเซ็นเตอร์ . เมื่อต้นเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา วันที่ 5 สิงหาคม 2567 ตำรวจสอบสวนภูธรภาค 2 มี พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนภูธรภาค 2 หรือที่เขาเรียกว่า ผู้การสืบภาค 2 ขนลูกน้องไปทำลายรังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่บ้านเช่าหลังหนึ่ง แห่งหนึ่งที่ศรีราชา จังหวัดชลบุรี พอบุกเข้าไปในบ้านก็ได้จับผู้ต้องหาเป็นผู้ชายไทยได้ 4 คน ตรวจยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ 10 เครื่อง พร้อมอาวุธปืน 1 กระบอก . ไฮไลต์เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ตำรวจสืบภาค 2 จับแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนสีเทาแล้ว ประเด็นสำคัญคือหลักฐานที่ตำรวจชุดจับกุมเข้าตรวจพบ มันเป็นไฟล์ข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนกว่า 23,089 รายชื่อ ที่เป็นชื่อของข้าราชการบำเหน็จบำนาญที่เกษียณแล้วทั้งหมด บันทึกอยู่ในคอมพิวเตอร์ของกลางทุกเครื่อง . ในแต่ละรายชื่อประกอบด้วย ชื่อจริง นามสกุลจริง ที่อยู่อาศัย เลขบัตรประชาชน 13 หลัก ข้อมูลธนาคาร เลขบัญชีที่ผูกกับบัญชีเงินเดือน หรือบัญชีรับเงินบำเหน็จบำนาญ ข้อที่สำคัญคือ ข้อมูลสถานพยาบาล สิทธิการรักษาพยาบาลต่างๆ ของข้าราชการบำเหน็จบำนาญที่เกษียณแล้ว มันหลุดไปได้อย่างไรคุณแพทริเซีย อธิบดีกรมบัญชีกลางครับ ตอบผมหน่อย . ทีมงานผมไปสืบ วิเคราะห์เจาะลึกมาแล้ว ว่าเมื่อช่วงกลางปี 2565 หรือสองปีมาแล้ว กรมบัญชีกลางจ้าง Outsource หรือคนนอกมาปรับปรุงระบบระบบฐานข้อมูลต่างๆ ท่านผู้ชมฟังแล้วอึ้งไหม ที่น่าตกใจคือกรมบัญชีกลางจ้างบริษัทไอที จ้างโปรแกรมเมอร์ที่ไหนเข้ามาปรับปรุงหรือพัฒนาระบบข้อมูลพื้นฐาน ที่กำกับดูแลการเงินภาครัฐที่ต้องถือว่ามีความสำคัญมาก และควรเป็นความลับสุดยอดระดับ Restricted Confidential หรือ Highly Confidential คือเป็นข้อมูลที่ลับมาก . สำหรับเรื่องข้อมูลข้าราชการเกษียณจำนวน 23,000 กว่ารายชื่อจากกรมบัญชีกลาง หลุดรอดไปถึงแก๊งจีนเทาครั้งนี้ ผมขออนุญาตขยายความได้ไหม ประเด็นความเสียหายนี้สันนิษฐานเกิดได้หลายกรณี คือ (1) เกลือเป็นหนอน เจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางที่ดูแลในส่วนนี้ นำข้อมูลไปขายให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ (2) เจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางที่รู้เห็นเป็นใจกับคนนอก ที่เข้ามาดูแลพัฒนาระบบ เปิดทางให้ข้อมูลรั่วไหลไปสู่บรรดามิจฉาชีพ (3) เลินเล่อ (4) ระบบโดนแฮก . ที่ผมพูดแบบนี้เพราะมันสันนิษฐานได้ทุกมิติ เพราะวันนี้ยังจับมือใครดมไม่ได้ แต่คุณแพทริเซีย มงคลวนิช ท่านอธิบดีกรมบัญชีกลางต้องเข้าใจนะครับว่า ข้าราชการรุ่นพี่ รุ่นพ่อ รุ่นแม่ ที่เกษียณอายุ ต้องตกเป็นเหยื่อทั้งหมดจากความหละหลวมของกรมบัญชีกลางนั้น คุณแพทริเซียจะปัดความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะคนเหล่านี้ต้องมาทนทุกข์กับปัญหาที่เขาไม่ได้ก่อ บางคนสิ้นเนื้อประดาตัว เงินที่สะสมจากการทำงานมาชั่วชีวิตต้องสูญหายไปเป็นหลักแสนบ้าง หลักล้านบ้าง บางคนต้องเก็บเรื่องเงียบไว้คนเดียว เพราะว่าอายชาวบ้าน หรือกลัวถูกลูกหลานตำหนิ ด่าทอ ปัญหาทั้งหมดนี้ต้นเหตุมาจากกรมบัญชีกลาง ใช่หรือเปล่า . ฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ ถ้าจะให้ปัญหาพวกนี้น้อยลง หน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ มีหน้าที่ดูแลข้อมูลส่วนบุคคล ถ้ามีการกระทำความผิดต้องมีทั้งโทษอาญาและโทษทางแพ่ง ไล่ตั้งแต่ระดับผู้บังคับบัญชาไปจนถึงเจ้าหน้าที่ ต้องรับโทษทางอาญา หน่วยงานรับผิดชอบเรื่องแพ่ง ชดใช้เยียวยาความเสียหายของเหยื่อ ต้องรับผิดชอบที่ทำข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล นี่คือการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ ส่วนกลางทาง และปลายทางนั้น เป็นหน้าที่ตำรวจเขาทำกันอยู่แล้ว คือกวาดล้างและจับกุม . คุณแพทริเซียครับ ผมอยากจะฝากไว้ด้วยว่า ผมจะจับตาดูเรื่องนี้อยู่ และจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เงียบหายไปตามสายลมอย่างแน่นอน
    Like
    Love
    Sad
    Angry
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1264 มุมมอง 0 รีวิว