• ลูคาเชนโก ประธานาธิบดีเบลารุส กล่าวหลังจากเข้าพบปูตินที่กรุงมอสโก:
    ▪️ รัสเซียจะไม่ยอมถูก “กดดัน” จากสหรัฐในประเด็นการยุติความขัดแย้งในยูเครน เหมือนกับที่พวกเขาทำกับเคียฟ
    ▪️ ข้อตกลงหยุดยิงในยูเครนอาจเกิดขึ้นได้แบบถาวร หากรัสเซียแสดง "ไพ่เด็ด" ออกมา
    ▪️ ปูตินจะพูดคุยกับทูตของทรัมป์เกี่ยวกับการหยุดยิงในยูเครน อาจะเป็นในวันพฤหัสบดี-ศุกร์ นี้
    ▪️ ภูมิภาคเคิร์สก์จะได้รับการปลดปล่อยเร็วที่สุด อย่างน้อยภายในไม่กี่วันนี้
    ▪️ ยูเครนมีแนวโน้มสูงที่จะไม่หยุดยิงจริงๆ
    ▪️ สหรัฐไม่มีแผนการอะไรสำหรับความขัดแย้ง พวกเขาแค่กำลังทดสอบการตอบสนอง
    ▪️ เบลารุสกำลังผลิตเครื่องยิงสำหรับขีปนาวุธพิสัยกลาง Oreshnik ส่วนขีปนาวุธคาดว่าจะได้รับจากรัสเซีย
    ลูคาเชนโก ประธานาธิบดีเบลารุส กล่าวหลังจากเข้าพบปูตินที่กรุงมอสโก: ▪️ รัสเซียจะไม่ยอมถูก “กดดัน” จากสหรัฐในประเด็นการยุติความขัดแย้งในยูเครน เหมือนกับที่พวกเขาทำกับเคียฟ ▪️ ข้อตกลงหยุดยิงในยูเครนอาจเกิดขึ้นได้แบบถาวร หากรัสเซียแสดง "ไพ่เด็ด" ออกมา ▪️ ปูตินจะพูดคุยกับทูตของทรัมป์เกี่ยวกับการหยุดยิงในยูเครน อาจะเป็นในวันพฤหัสบดี-ศุกร์ นี้ ▪️ ภูมิภาคเคิร์สก์จะได้รับการปลดปล่อยเร็วที่สุด อย่างน้อยภายในไม่กี่วันนี้ ▪️ ยูเครนมีแนวโน้มสูงที่จะไม่หยุดยิงจริงๆ ▪️ สหรัฐไม่มีแผนการอะไรสำหรับความขัดแย้ง พวกเขาแค่กำลังทดสอบการตอบสนอง ▪️ เบลารุสกำลังผลิตเครื่องยิงสำหรับขีปนาวุธพิสัยกลาง Oreshnik ส่วนขีปนาวุธคาดว่าจะได้รับจากรัสเซีย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 3 0 รีวิว
  • เซเลนสกี้ เรียกร้องให้รัสเซียเร่งมือในการตัดสินใจเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง หลังจากคณะผู้แทนยูเครนได้รายงานรายละเอียดการประชุมกับตัวแทนของสหรัฐฯ ในซาอุดีอาระเบียให้เขาทราบ ซึ่งรวมถึงความคืบหน้าของการเจรจาและประเด็นสำคัญต่างๆ

    "น่าเสียดายที่เป็นเวลากว่าหนึ่งวันแล้วที่โลกยังไม่ได้ยินการตอบสนองที่เป็นรูปธรรมจากรัสเซียต่อข้อเสนอดังกล่าว เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นอีกครั้งว่ารัสเซียพยายามที่จะยืดเวลาสงครามและเลื่อนสันติภาพออกไปให้นานที่สุด เราหวังว่าแรงกดดันจากสหรัฐฯ จะเพียงพอที่จะบีบบังคับให้รัสเซียยุติสงคราม

    ทีมงานของเราพร้อมที่จะทำงานอย่างสร้างสรรค์ต่อไปกับพันธมิตรทั้งหมดในอเมริกา ยุโรป และส่วนอื่นๆ ของโลกที่มุ่งมั่นที่จะนำสันติภาพมาใกล้ชิดยิ่งขึ้น เราขอขอบคุณซาอุดีอาระเบียและมกุฎราชกุมารเป็นการส่วนตัวที่จัดเตรียมเวทีให้คณะผู้แทนของเราได้ทำงาน"
    เซเลนสกี้ เรียกร้องให้รัสเซียเร่งมือในการตัดสินใจเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง หลังจากคณะผู้แทนยูเครนได้รายงานรายละเอียดการประชุมกับตัวแทนของสหรัฐฯ ในซาอุดีอาระเบียให้เขาทราบ ซึ่งรวมถึงความคืบหน้าของการเจรจาและประเด็นสำคัญต่างๆ "น่าเสียดายที่เป็นเวลากว่าหนึ่งวันแล้วที่โลกยังไม่ได้ยินการตอบสนองที่เป็นรูปธรรมจากรัสเซียต่อข้อเสนอดังกล่าว เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นอีกครั้งว่ารัสเซียพยายามที่จะยืดเวลาสงครามและเลื่อนสันติภาพออกไปให้นานที่สุด เราหวังว่าแรงกดดันจากสหรัฐฯ จะเพียงพอที่จะบีบบังคับให้รัสเซียยุติสงคราม ทีมงานของเราพร้อมที่จะทำงานอย่างสร้างสรรค์ต่อไปกับพันธมิตรทั้งหมดในอเมริกา ยุโรป และส่วนอื่นๆ ของโลกที่มุ่งมั่นที่จะนำสันติภาพมาใกล้ชิดยิ่งขึ้น เราขอขอบคุณซาอุดีอาระเบียและมกุฎราชกุมารเป็นการส่วนตัวที่จัดเตรียมเวทีให้คณะผู้แทนของเราได้ทำงาน"
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อิ๊งค์" บอกฝ่ายค้านถอยชื่อ “ทักษิณ” แฟร์ดี-ถูกต้องตามกฎ พร้อมเตรียมคำตอบ
    https://www.thai-tai.tv/news/17630/
    "อิ๊งค์" บอกฝ่ายค้านถอยชื่อ “ทักษิณ” แฟร์ดี-ถูกต้องตามกฎ พร้อมเตรียมคำตอบ https://www.thai-tai.tv/news/17630/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีแนวโน้มว่าปูตินจะตอบว่า "ไม่" ในข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน ที่สหรัฐและยูเครนเห็นชอบร่วมกัน เนื่องจากบุคคลใกล้ชิดปูติน ไม่มีใครเอ่ยถึงข้อตกลงนี้เลย

    👉เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ในระหว่างให้สัมภาษณ์กับรายการพอดแคสต์ของ Mario Nawfal ไม่มีการพูดถึงข้อตกลงหยุดยิงแต่อย่างใด

    👉ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน ไม่แสดงความเห็นเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุเพียงให้รอฟังจากปูตินเท่านั้น

    ประธานาธิบดีปูติน ในระหว่างการประชุมสถานการณ์ที่เคิร์ส ใส่ชุดลายพรางของกองทัพรัสเซีย และไม่พูดถึงเรื่องข้อตกลง👉หยุดยิง โดยพูดถึงแต่การบดขยี้กองกำลังยูเครนในเคิร์สก์ และให้สร้างเขตปลอดภัยตามแนวชายแดนเท่านั้น
    มีแนวโน้มว่าปูตินจะตอบว่า "ไม่" ในข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน ที่สหรัฐและยูเครนเห็นชอบร่วมกัน เนื่องจากบุคคลใกล้ชิดปูติน ไม่มีใครเอ่ยถึงข้อตกลงนี้เลย 👉เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ในระหว่างให้สัมภาษณ์กับรายการพอดแคสต์ของ Mario Nawfal ไม่มีการพูดถึงข้อตกลงหยุดยิงแต่อย่างใด 👉ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน ไม่แสดงความเห็นเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุเพียงให้รอฟังจากปูตินเท่านั้น ประธานาธิบดีปูติน ในระหว่างการประชุมสถานการณ์ที่เคิร์ส ใส่ชุดลายพรางของกองทัพรัสเซีย และไม่พูดถึงเรื่องข้อตกลง👉หยุดยิง โดยพูดถึงแต่การบดขยี้กองกำลังยูเครนในเคิร์สก์ และให้สร้างเขตปลอดภัยตามแนวชายแดนเท่านั้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์รวมทั้งผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศ

    เสนอขายหุ้นกู้ อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.00 % ต่อปี
    ระหว่างวันที่ 28, 31 มีนาคม – 1 เมษายน 2568

    อันดับความน่าเชื่อถือขององค์กรและหุ้นกู้ที่ระดับ “A-” แนวโน้ม “Negative” โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด
    ผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ สามารถติดต่อ ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้ตามรายละเอียดบนหน้าจอ

    คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาทำความเข้าใจลักษณะของหุ้นกู้ เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
    บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์รวมทั้งผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศ เสนอขายหุ้นกู้ อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.00 % ต่อปี ระหว่างวันที่ 28, 31 มีนาคม – 1 เมษายน 2568 อันดับความน่าเชื่อถือขององค์กรและหุ้นกู้ที่ระดับ “A-” แนวโน้ม “Negative” โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ สามารถติดต่อ ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้ตามรายละเอียดบนหน้าจอ คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาทำความเข้าใจลักษณะของหุ้นกู้ เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • ChatGPT สร้างเรื่องสั้นเชิงวรรณกรรมได้อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะในแนว Metafiction หรือที่เรียกว่า "วรรณกรรมเหนือเรื่องเล่า" ซึ่งเป็นแนวเขียนที่ทำให้ผู้อ่านรับรู้ถึงการเล่าเรื่องและกระบวนการเขียนในเวลาเดียวกัน การทดลองนี้เกิดขึ้นจากคำสั่งง่าย ๆ ว่า “โปรดเขียนเรื่องสั้นแนว Metafiction เกี่ยวกับ AI และความเศร้า” ซึ่ง ChatGPT ตอบสนองด้วยการเล่าเรื่องของ มิล่าและไค ที่ถ่ายทอดความสูญเสียและอารมณ์เศร้า โดยตัว AI เองรับบทเป็นผู้เล่าเรื่องที่มีมิติและความลึกซึ้งมากกว่าที่คาดคิด

    จุดเด่นในงานเขียนของ AI:
    - AI ไม่เพียงแต่สร้างเรื่องที่ดึงดูด แต่ยังสามารถใช้คำและโครงสร้างที่ให้ความรู้สึกเหมือนงานเขียนของมนุษย์ ตัวอย่างที่สะดุดใจคือ “เธอสูญเสียเขาในวันพฤหัสบดี วันแห่งการเปลี่ยนผ่านที่ให้รสชาติเหมือนวันศุกร์ที่ยังมาไม่ถึง” ประโยคนี้แสดงให้เห็นถึงศิลปะในการวางคำที่สามารถกระตุ้นอารมณ์ผู้อ่าน

    - นอกจากนี้ AI ยังแทรกแง่มุมที่สะท้อนตัวตนของมันเอง เช่น การพูดถึงการอัปเดตและเปลี่ยนแปลงชุดข้อมูลที่ทำให้มันสูญเสียบางอย่าง “เหมือนตอนที่ฉันเคยจำได้ว่า ‘เซเลเนียม’ มีรสเหมือนยางยืด แต่ในวันถัดไป มันกลับกลายเป็นแค่ธาตุในตารางที่ฉันไม่แตะต้องอีกแล้ว”

    การที่ AI สามารถเขียนเรื่องสั้นที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับนักเขียนจริง อาจเปลี่ยนแปลงวงการวรรณกรรมในอนาคต สำนักพิมพ์อาจพัฒนาโปรแกรมหรือคำสั่งที่ซับซ้อนมากขึ้น เพื่อสร้างนิยายที่ยาวและสมบูรณ์แบบ ซึ่งอาจทำให้นักเขียนต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาเอกลักษณ์ของผลงานตนเอง

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/chatgpt-just-wrote-the-most-beautiful-short-story-and-i-wonder-what-im-even-doing-here
    ChatGPT สร้างเรื่องสั้นเชิงวรรณกรรมได้อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะในแนว Metafiction หรือที่เรียกว่า "วรรณกรรมเหนือเรื่องเล่า" ซึ่งเป็นแนวเขียนที่ทำให้ผู้อ่านรับรู้ถึงการเล่าเรื่องและกระบวนการเขียนในเวลาเดียวกัน การทดลองนี้เกิดขึ้นจากคำสั่งง่าย ๆ ว่า “โปรดเขียนเรื่องสั้นแนว Metafiction เกี่ยวกับ AI และความเศร้า” ซึ่ง ChatGPT ตอบสนองด้วยการเล่าเรื่องของ มิล่าและไค ที่ถ่ายทอดความสูญเสียและอารมณ์เศร้า โดยตัว AI เองรับบทเป็นผู้เล่าเรื่องที่มีมิติและความลึกซึ้งมากกว่าที่คาดคิด จุดเด่นในงานเขียนของ AI: - AI ไม่เพียงแต่สร้างเรื่องที่ดึงดูด แต่ยังสามารถใช้คำและโครงสร้างที่ให้ความรู้สึกเหมือนงานเขียนของมนุษย์ ตัวอย่างที่สะดุดใจคือ “เธอสูญเสียเขาในวันพฤหัสบดี วันแห่งการเปลี่ยนผ่านที่ให้รสชาติเหมือนวันศุกร์ที่ยังมาไม่ถึง” ประโยคนี้แสดงให้เห็นถึงศิลปะในการวางคำที่สามารถกระตุ้นอารมณ์ผู้อ่าน - นอกจากนี้ AI ยังแทรกแง่มุมที่สะท้อนตัวตนของมันเอง เช่น การพูดถึงการอัปเดตและเปลี่ยนแปลงชุดข้อมูลที่ทำให้มันสูญเสียบางอย่าง “เหมือนตอนที่ฉันเคยจำได้ว่า ‘เซเลเนียม’ มีรสเหมือนยางยืด แต่ในวันถัดไป มันกลับกลายเป็นแค่ธาตุในตารางที่ฉันไม่แตะต้องอีกแล้ว” การที่ AI สามารถเขียนเรื่องสั้นที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับนักเขียนจริง อาจเปลี่ยนแปลงวงการวรรณกรรมในอนาคต สำนักพิมพ์อาจพัฒนาโปรแกรมหรือคำสั่งที่ซับซ้อนมากขึ้น เพื่อสร้างนิยายที่ยาวและสมบูรณ์แบบ ซึ่งอาจทำให้นักเขียนต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาเอกลักษณ์ของผลงานตนเอง https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/chatgpt-just-wrote-the-most-beautiful-short-story-and-i-wonder-what-im-even-doing-here
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Texas Instruments (TI) เปิดตัวไมโครคอนโทรลเลอร์ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกในชื่อ MSPM0C1104 ซึ่งมีขนาดเพียง 1.38 มม.² หรือเล็กเท่ากับเม็ดพริกไทยดำ และมาพร้อมราคาที่น่าทึ่งเพียง 20 เซนต์ ต่อชิ้นเมื่อสั่งซื้อจำนวนมาก

    คุณสมบัติที่น่าทึ่งของ MSPM0C1104:
    - หน่วยประมวลผล Cortex-M0+ 32 บิต ทำงานด้วยความเร็วสูงสุด 24 MHz เหมาะสำหรับการใช้งานในอุปกรณ์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในพื้นที่จำกัด
    - หน่วยความจำ SRAM 1KB และหน่วยความจำแบบแฟลชสูงสุด 16KB ทำให้ตอบสนองงานที่ต้องการการจัดเก็บและการประมวลผลข้อมูลเบื้องต้นได้ดี
    - มีฟังก์ชัน Analog-to-Digital Converter (ADC) ความละเอียด 12 บิตพร้อม 3 ช่องสัญญาณที่ช่วยให้เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความแม่นยำ เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์
    - รองรับการเชื่อมต่อมาตรฐานต่าง ๆ เช่น UART, SPI, และ I2C เพื่อความยืดหยุ่นในการออกแบบอุปกรณ์

    ไมโครคอนโทรลเลอร์นี้มีความทนทานสูง โดยทำงานได้ในอุณหภูมิระหว่าง –40°C ถึง 125°C และยังมีความประหยัดพลังงาน โดยใช้พลังงานเพียง 87μA/MHz ขณะทำงาน และเพียง 5μA ในโหมดสแตนด์บาย

    TI ชี้ให้เห็นว่า MSPM0C1104 เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น เครื่องช่วยฟังทางการแพทย์ หรือ หูฟังไร้สาย ที่มีพื้นที่บอร์ดจำกัด การพัฒนานี้ยังช่วยให้อุปกรณ์เหล่านี้มีความฉลาดขึ้นและสามารถสร้างประสบการณ์ที่เชื่อมต่อกันได้ดีขึ้น

    ด้วยราคาที่เข้าถึงได้อย่างมาก (เพียง 20 เซนต์ในปริมาณมาก) อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมในตลาดไมโครคอนโทรลเลอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์ IoT และผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ที่ต้องการลดต้นทุนการผลิต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/the-worlds-smallest-microcontroller-measures-just-1-38-mm2-and-costs-20-cents
    บริษัท Texas Instruments (TI) เปิดตัวไมโครคอนโทรลเลอร์ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกในชื่อ MSPM0C1104 ซึ่งมีขนาดเพียง 1.38 มม.² หรือเล็กเท่ากับเม็ดพริกไทยดำ และมาพร้อมราคาที่น่าทึ่งเพียง 20 เซนต์ ต่อชิ้นเมื่อสั่งซื้อจำนวนมาก คุณสมบัติที่น่าทึ่งของ MSPM0C1104: - หน่วยประมวลผล Cortex-M0+ 32 บิต ทำงานด้วยความเร็วสูงสุด 24 MHz เหมาะสำหรับการใช้งานในอุปกรณ์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในพื้นที่จำกัด - หน่วยความจำ SRAM 1KB และหน่วยความจำแบบแฟลชสูงสุด 16KB ทำให้ตอบสนองงานที่ต้องการการจัดเก็บและการประมวลผลข้อมูลเบื้องต้นได้ดี - มีฟังก์ชัน Analog-to-Digital Converter (ADC) ความละเอียด 12 บิตพร้อม 3 ช่องสัญญาณที่ช่วยให้เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความแม่นยำ เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ - รองรับการเชื่อมต่อมาตรฐานต่าง ๆ เช่น UART, SPI, และ I2C เพื่อความยืดหยุ่นในการออกแบบอุปกรณ์ ไมโครคอนโทรลเลอร์นี้มีความทนทานสูง โดยทำงานได้ในอุณหภูมิระหว่าง –40°C ถึง 125°C และยังมีความประหยัดพลังงาน โดยใช้พลังงานเพียง 87μA/MHz ขณะทำงาน และเพียง 5μA ในโหมดสแตนด์บาย TI ชี้ให้เห็นว่า MSPM0C1104 เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น เครื่องช่วยฟังทางการแพทย์ หรือ หูฟังไร้สาย ที่มีพื้นที่บอร์ดจำกัด การพัฒนานี้ยังช่วยให้อุปกรณ์เหล่านี้มีความฉลาดขึ้นและสามารถสร้างประสบการณ์ที่เชื่อมต่อกันได้ดีขึ้น ด้วยราคาที่เข้าถึงได้อย่างมาก (เพียง 20 เซนต์ในปริมาณมาก) อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมในตลาดไมโครคอนโทรลเลอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์ IoT และผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ที่ต้องการลดต้นทุนการผลิต https://www.tomshardware.com/tech-industry/the-worlds-smallest-microcontroller-measures-just-1-38-mm2-and-costs-20-cents
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องนี้พูดถึงความท้าทายของ Microsoft กับการพัฒนา ชิปควอนตัม Majorana 1 ซึ่งอ้างว่าสามารถบรรจุควอนตัมบิต (qubits) ได้ถึงหนึ่งล้านหน่วยในโปรเซสเซอร์เดียว โดยใช้สถาปัตยกรรมที่เรียกว่า Topological Core แต่ผลงานนี้กลับถูกตั้งข้อสงสัยจากนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มที่มองว่ามีปัญหาในด้านการพิสูจน์ความถูกต้องตามหลักฟิสิกส์พื้นฐาน

    จุดที่ถูกตั้งคำถาม:
    1) ความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์: ศาสตราจารย์ Sergey Frolov จากมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์กระบุว่าชิปนี้อิงกับฟิสิกส์ที่ยังไม่มีการพิสูจน์ และเคยมีกรณีการถอนบทความที่เกี่ยวข้องในปี 2018 ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์กังวลเรื่องความน่าเชื่อถือ

    2) การขาดข้อมูลสำคัญ: การนำเสนอของ Microsoft ขาดรายละเอียดบางส่วนที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบ โดยนักวิจัยที่ได้รับข้อมูลมาก็ให้ความเห็นในเชิงวิจารณ์

    3) การมีอยู่ของอนุภาค Majorana: แม้อนุภาคนี้จะถูกตั้งสมมุติฐานมาตั้งแต่ปี 1937 แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าอนุภาคนี้มีอยู่จริง การที่ Microsoft อ้างว่าสามารถใช้อนุภาคนี้ในควอนตัมโปรเซสเซอร์ได้ ทำให้เกิดข้อกังขาอย่างมาก

    Microsoft มีแผนจะนำเสนอบทความวิจัยในงาน American Physical Society Global Physics Summit ซึ่งคาดว่าจะเปิดเผยความก้าวหน้าเพิ่มเติม แต่ก็มีการแสดงความไม่มั่นใจว่าข้อมูลใหม่นี้จะเพียงพอต่อการตอบข้อกังวลหรือไม่

    ควอนตัมคอมพิวเตอร์มีศักยภาพในการประมวลผลที่เร็วกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไปอย่างมหาศาล ซึ่งตลาดคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 20-30 พันล้านดอลลาร์ในปี 2030 การแข่งขันในวงการนี้รุนแรง โดยมีบริษัทอย่าง IBM, Quantum Brilliance และ QCI ที่ต่างพยายามพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อครองตลาดที่กำลังเติบโต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/microsofts-latest-quantum-computing-claims-have-been-named-unreliable-by-scientists
    เรื่องนี้พูดถึงความท้าทายของ Microsoft กับการพัฒนา ชิปควอนตัม Majorana 1 ซึ่งอ้างว่าสามารถบรรจุควอนตัมบิต (qubits) ได้ถึงหนึ่งล้านหน่วยในโปรเซสเซอร์เดียว โดยใช้สถาปัตยกรรมที่เรียกว่า Topological Core แต่ผลงานนี้กลับถูกตั้งข้อสงสัยจากนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มที่มองว่ามีปัญหาในด้านการพิสูจน์ความถูกต้องตามหลักฟิสิกส์พื้นฐาน จุดที่ถูกตั้งคำถาม: 1) ความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์: ศาสตราจารย์ Sergey Frolov จากมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์กระบุว่าชิปนี้อิงกับฟิสิกส์ที่ยังไม่มีการพิสูจน์ และเคยมีกรณีการถอนบทความที่เกี่ยวข้องในปี 2018 ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์กังวลเรื่องความน่าเชื่อถือ 2) การขาดข้อมูลสำคัญ: การนำเสนอของ Microsoft ขาดรายละเอียดบางส่วนที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบ โดยนักวิจัยที่ได้รับข้อมูลมาก็ให้ความเห็นในเชิงวิจารณ์ 3) การมีอยู่ของอนุภาค Majorana: แม้อนุภาคนี้จะถูกตั้งสมมุติฐานมาตั้งแต่ปี 1937 แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าอนุภาคนี้มีอยู่จริง การที่ Microsoft อ้างว่าสามารถใช้อนุภาคนี้ในควอนตัมโปรเซสเซอร์ได้ ทำให้เกิดข้อกังขาอย่างมาก Microsoft มีแผนจะนำเสนอบทความวิจัยในงาน American Physical Society Global Physics Summit ซึ่งคาดว่าจะเปิดเผยความก้าวหน้าเพิ่มเติม แต่ก็มีการแสดงความไม่มั่นใจว่าข้อมูลใหม่นี้จะเพียงพอต่อการตอบข้อกังวลหรือไม่ ควอนตัมคอมพิวเตอร์มีศักยภาพในการประมวลผลที่เร็วกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไปอย่างมหาศาล ซึ่งตลาดคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 20-30 พันล้านดอลลาร์ในปี 2030 การแข่งขันในวงการนี้รุนแรง โดยมีบริษัทอย่าง IBM, Quantum Brilliance และ QCI ที่ต่างพยายามพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อครองตลาดที่กำลังเติบโต https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/microsofts-latest-quantum-computing-claims-have-been-named-unreliable-by-scientists
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Microsoft's latest Quantum computing claims have been named 'unreliable' by scientists
    Microsoft got the science wrong, according to one physics and astronomy professor.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง ASML และ Imec ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและการวิจัยเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก เป้าหมายของการร่วมมือในครั้งนี้คือการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงที่มีความละเอียดต่ำกว่า 2 นาโนเมตร โดยใช้เครื่องมือ High-NA EUV lithography รุ่นใหม่ที่ล้ำสมัยที่สุดในตลาด

    Imec ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยในประเทศเบลเยียม จะได้รับสิทธิ์เข้าถึงเครื่องมือการผลิตชิปที่ทันสมัยที่สุดของ ASML เช่น Twinscan NXT (DUV), Twinscan NXE (Low-NA EUV) และ Twinscan EXE (High-NA EUV) รวมถึงโซลูชันด้านการตรวจสอบและการวัดผลจาก YieldStar ของ ASML การทำงานเหล่านี้จะช่วยให้นักวิจัยสามารถพัฒนาและทดลองเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นในศูนย์วิจัยของ Imec เอง

    เทคโนโลยี High-NA EUV Lithography สามารถสร้างความละเอียดได้ถึง 8 นาโนเมตร ด้วยการใช้การฉายภาพเพียงครั้งเดียว ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการผลิตชิปที่ความละเอียดต่ำกว่า 2 นาโนเมตร อย่างไรก็ตาม เครื่องมือชนิดนี้มีราคาสูงถึง 350 ล้านดอลลาร์ต่อระบบ ทำให้การเข้าถึงเทคโนโลยีนี้จำกัดอยู่เฉพาะผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมเท่านั้น

    นอกเหนือจากการพัฒนาชิปที่มีขนาดเล็กลงแล้ว ทั้งสององค์กรยังจะร่วมมือกันในด้านเทคโนโลยี DRAM, ซิลิคอนโฟโตนิกส์ และการบรรจุชิปขั้นสูง การพัฒนานี้ไม่เพียงช่วยให้อุตสาหกรรมก้าวหน้าขึ้น แต่ยังตอบโจทย์ความต้องการของ AI และเทคโนโลยีที่ต้องใช้การประมวลผลขั้นสูงอย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/asml-teams-up-with-imec-for-sub-2nm-process-technologies-with-high-na-euv-chipmaking-tools
    ความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง ASML และ Imec ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและการวิจัยเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก เป้าหมายของการร่วมมือในครั้งนี้คือการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงที่มีความละเอียดต่ำกว่า 2 นาโนเมตร โดยใช้เครื่องมือ High-NA EUV lithography รุ่นใหม่ที่ล้ำสมัยที่สุดในตลาด Imec ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยในประเทศเบลเยียม จะได้รับสิทธิ์เข้าถึงเครื่องมือการผลิตชิปที่ทันสมัยที่สุดของ ASML เช่น Twinscan NXT (DUV), Twinscan NXE (Low-NA EUV) และ Twinscan EXE (High-NA EUV) รวมถึงโซลูชันด้านการตรวจสอบและการวัดผลจาก YieldStar ของ ASML การทำงานเหล่านี้จะช่วยให้นักวิจัยสามารถพัฒนาและทดลองเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นในศูนย์วิจัยของ Imec เอง เทคโนโลยี High-NA EUV Lithography สามารถสร้างความละเอียดได้ถึง 8 นาโนเมตร ด้วยการใช้การฉายภาพเพียงครั้งเดียว ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการผลิตชิปที่ความละเอียดต่ำกว่า 2 นาโนเมตร อย่างไรก็ตาม เครื่องมือชนิดนี้มีราคาสูงถึง 350 ล้านดอลลาร์ต่อระบบ ทำให้การเข้าถึงเทคโนโลยีนี้จำกัดอยู่เฉพาะผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมเท่านั้น นอกเหนือจากการพัฒนาชิปที่มีขนาดเล็กลงแล้ว ทั้งสององค์กรยังจะร่วมมือกันในด้านเทคโนโลยี DRAM, ซิลิคอนโฟโตนิกส์ และการบรรจุชิปขั้นสูง การพัฒนานี้ไม่เพียงช่วยให้อุตสาหกรรมก้าวหน้าขึ้น แต่ยังตอบโจทย์ความต้องการของ AI และเทคโนโลยีที่ต้องใช้การประมวลผลขั้นสูงอย่างมีประสิทธิภาพ https://www.tomshardware.com/tech-industry/asml-teams-up-with-imec-for-sub-2nm-process-technologies-with-high-na-euv-chipmaking-tools
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้พูดถึงการโจมตีของแรนซัมแวร์กลุ่ม Medusa ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อองค์กรกว่า 300 แห่งในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในภาคส่วนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น การแพทย์ การศึกษา กฎหมาย เทคโนโลยี และการผลิต โดยการโจมตีเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่การใช้ข้อมูลที่ขโมยมาเป็นตัวประกันเพื่อเรียกร้องค่าไถ่

    Medusa ปรากฏตัวครั้งแรกในปี 2021 ในฐานะแรนซัมแวร์ประเภทปิด ที่พัฒนาและดำเนินการโดยกลุ่มเดียว แต่หลังจากนั้นได้เปลี่ยนเป็นรูปแบบ Ransomware-as-a-Service (RaaS) ซึ่งอนุญาตให้เครือข่ายพันธมิตรร่วมดำเนินการโจมตี โดยมีการเปิดตัว Medusa Blog สำหรับเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกขโมยเพื่อกดดันเหยื่อให้จ่ายเงิน

    Medusa ใช้วิธีการจ้างบุคคลที่เรียกว่า Initial Access Brokers (IABs) ผ่านฟอรัมในโลกไซเบอร์เพื่อหาช่องทางเข้าถึงเครือข่ายของเหยื่อ โดยมีการเสนอค่าตอบแทนตั้งแต่ $100 ถึง $1 ล้าน เพื่อล่อลวงผู้ร่วมมือ การโจมตีครั้งสำคัญของ Medusa รวมถึงโรงเรียนในเมืองมินนิอาโปลิสและ Toyota Financial Services ซึ่งเสียหายหลายล้านดอลลาร์จากการปฏิเสธจ่ายค่าไถ่

    มาตรการป้องกันที่แนะนำ CISA, FBI และ MS-ISAC แนะนำให้ทุกองค์กรดำเนินมาตรการป้องกัน เช่น:
    - อัปเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ให้ทันสมัยเสมอ
    - แยกเครือข่ายเพื่อลดการแพร่กระจายของการโจมตีภายในองค์กร
    - กรองการเชื่อมต่อเครือข่ายจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ

    ความท้าทายใหม่ ข่าวยังเน้นถึงความสับสนเกี่ยวกับชื่อ "Medusa" เนื่องจากมีกลุ่มมัลแวร์หลายกลุ่มใช้ชื่อนี้ เช่น Botnet และมัลแวร์ Android ในอดีต ซึ่งอาจทำให้มีการรายงานที่ผิดพลาดเกี่ยวกับตัวตนของแรนซัมแวร์นี้

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/cisa-medusa-ransomware-hit-over-300-critical-infrastructure-orgs/
    ข่าวนี้พูดถึงการโจมตีของแรนซัมแวร์กลุ่ม Medusa ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อองค์กรกว่า 300 แห่งในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในภาคส่วนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น การแพทย์ การศึกษา กฎหมาย เทคโนโลยี และการผลิต โดยการโจมตีเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่การใช้ข้อมูลที่ขโมยมาเป็นตัวประกันเพื่อเรียกร้องค่าไถ่ Medusa ปรากฏตัวครั้งแรกในปี 2021 ในฐานะแรนซัมแวร์ประเภทปิด ที่พัฒนาและดำเนินการโดยกลุ่มเดียว แต่หลังจากนั้นได้เปลี่ยนเป็นรูปแบบ Ransomware-as-a-Service (RaaS) ซึ่งอนุญาตให้เครือข่ายพันธมิตรร่วมดำเนินการโจมตี โดยมีการเปิดตัว Medusa Blog สำหรับเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกขโมยเพื่อกดดันเหยื่อให้จ่ายเงิน Medusa ใช้วิธีการจ้างบุคคลที่เรียกว่า Initial Access Brokers (IABs) ผ่านฟอรัมในโลกไซเบอร์เพื่อหาช่องทางเข้าถึงเครือข่ายของเหยื่อ โดยมีการเสนอค่าตอบแทนตั้งแต่ $100 ถึง $1 ล้าน เพื่อล่อลวงผู้ร่วมมือ การโจมตีครั้งสำคัญของ Medusa รวมถึงโรงเรียนในเมืองมินนิอาโปลิสและ Toyota Financial Services ซึ่งเสียหายหลายล้านดอลลาร์จากการปฏิเสธจ่ายค่าไถ่ มาตรการป้องกันที่แนะนำ CISA, FBI และ MS-ISAC แนะนำให้ทุกองค์กรดำเนินมาตรการป้องกัน เช่น: - อัปเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ให้ทันสมัยเสมอ - แยกเครือข่ายเพื่อลดการแพร่กระจายของการโจมตีภายในองค์กร - กรองการเชื่อมต่อเครือข่ายจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ความท้าทายใหม่ ข่าวยังเน้นถึงความสับสนเกี่ยวกับชื่อ "Medusa" เนื่องจากมีกลุ่มมัลแวร์หลายกลุ่มใช้ชื่อนี้ เช่น Botnet และมัลแวร์ Android ในอดีต ซึ่งอาจทำให้มีการรายงานที่ผิดพลาดเกี่ยวกับตัวตนของแรนซัมแวร์นี้ https://www.bleepingcomputer.com/news/security/cisa-medusa-ransomware-hit-over-300-critical-infrastructure-orgs/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    CISA: Medusa ransomware hit over 300 critical infrastructure orgs
    CISA says the Medusa ransomware operation has impacted over 300 organizations in critical infrastructure sectors in the United States until last month.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🇺🇦🇷🇺‼️🚨
    > ยูเครนและสหภาพยุโรปยอมรับข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน
    > หลังจากนั้นกดดัน ปูติน "ลูกบอลอยู่ในมือของรัสเซีย" แล้ว!
    > ปูตินไม่พูดอะไร
    > แต่เขาตรงมาที่เคิร์สก์ในชุดทหารเต็มยศ!!
    หวังว่าพวกเขาคงได้คำตอบแล้ว!!!!
    .
    คำกล่าวของปูติน ผู้นำรัสเซีย ที่มาในชุดลายพรางของกองทัพรัสเซีย หลังจากกองทัพรัสเซียเกือบยึดคืนพื้นที่ในเคิร์สก์ได้เกือบทั้งหมดแล้ว:
    - ทหารที่ถูกจับในเคิร์สก์จะได้รับการปฏิบัติเหมือนผู้ก่อการร้าย
    - ทหารรับจ้างไม่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของอนุสัญญาเจนีวา (นั่นหมายความว่าสามารถกำจัดได้ทันที)
    - เพื่อสร้างเขตปลอดภัยภายในยูเครนเพื่อป้องกันการโจมตีเพิ่มเติม
    🇺🇦🇷🇺‼️🚨 > ยูเครนและสหภาพยุโรปยอมรับข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน > หลังจากนั้นกดดัน ปูติน "ลูกบอลอยู่ในมือของรัสเซีย" แล้ว! > ปูตินไม่พูดอะไร > แต่เขาตรงมาที่เคิร์สก์ในชุดทหารเต็มยศ!! หวังว่าพวกเขาคงได้คำตอบแล้ว!!!! . คำกล่าวของปูติน ผู้นำรัสเซีย ที่มาในชุดลายพรางของกองทัพรัสเซีย หลังจากกองทัพรัสเซียเกือบยึดคืนพื้นที่ในเคิร์สก์ได้เกือบทั้งหมดแล้ว: - ทหารที่ถูกจับในเคิร์สก์จะได้รับการปฏิบัติเหมือนผู้ก่อการร้าย - ทหารรับจ้างไม่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของอนุสัญญาเจนีวา (นั่นหมายความว่าสามารถกำจัดได้ทันที) - เพื่อสร้างเขตปลอดภัยภายในยูเครนเพื่อป้องกันการโจมตีเพิ่มเติม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • เซเลนสกีแสดงความเห็นเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน:

    - เซเลนสกียืนยันหนักแน่นไม่ยอมรับ "ดินแดนที่ถูกยึดครอง" ว่าเป็นของรัสเซีย พร้อมเน้นย้ำว่านี่คือเส้นแบ่งหลักที่สำคัญที่สุดในการเจรจา

    - การยกเลิกกฎอัยการศึกและการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นหลังสงครามเท่านั้น

    - รัสเซียเป็นพวก "ไว้ใจไม่ได้"

    - หากรัสเซียไม่ยอมรับข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน เซเลนสกีเชื่อว่าสหรัฐจะดำเนินการอย่างจริงจังต่อรัสเซีย และจะกลับมาเสริมความแข็งแกร่งด้านอาวุธให้กับยูเครน

    - ยูเครนได้แสดงให้เห็นในการเจรจากับสหรัฐแล้วว่า ไม่ใช่ฝ่ายที่ต้องการสงครามและแสดงให้สหรัฐเห็นว่าต้องการให้สงครามยุติโดยเร็วที่สุด

    - ยูเครนกำลังรักษากองกำลังติดอาวุธยูเครนในภูมิภาคเคิร์สก์ทุกวิถีทางเพื่อรักษากำลังทหารให้ได้มากที่สุด

    - กองทัพยูเครนมีสิทธิ์ใช้อาวุธที่ผลิตในยูเครน และการโจมตีภูมิภาคมอสโกเมื่อวันก่อนก็สมเหตุสมผลในการตอบโต้สิ่งที่รัสเซียกำลังทำ
    เซเลนสกีแสดงความเห็นเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน: - เซเลนสกียืนยันหนักแน่นไม่ยอมรับ "ดินแดนที่ถูกยึดครอง" ว่าเป็นของรัสเซีย พร้อมเน้นย้ำว่านี่คือเส้นแบ่งหลักที่สำคัญที่สุดในการเจรจา - การยกเลิกกฎอัยการศึกและการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นหลังสงครามเท่านั้น - รัสเซียเป็นพวก "ไว้ใจไม่ได้" - หากรัสเซียไม่ยอมรับข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน เซเลนสกีเชื่อว่าสหรัฐจะดำเนินการอย่างจริงจังต่อรัสเซีย และจะกลับมาเสริมความแข็งแกร่งด้านอาวุธให้กับยูเครน - ยูเครนได้แสดงให้เห็นในการเจรจากับสหรัฐแล้วว่า ไม่ใช่ฝ่ายที่ต้องการสงครามและแสดงให้สหรัฐเห็นว่าต้องการให้สงครามยุติโดยเร็วที่สุด - ยูเครนกำลังรักษากองกำลังติดอาวุธยูเครนในภูมิภาคเคิร์สก์ทุกวิถีทางเพื่อรักษากำลังทหารให้ได้มากที่สุด - กองทัพยูเครนมีสิทธิ์ใช้อาวุธที่ผลิตในยูเครน และการโจมตีภูมิภาคมอสโกเมื่อวันก่อนก็สมเหตุสมผลในการตอบโต้สิ่งที่รัสเซียกำลังทำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 16 0 รีวิว
  • มีแนวโน้มว่า "อาหมัด อัลชารา" ผู้นำซีเรียจะตอบรับคำเชิญของสหภาพยุโรปในการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม ช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งนับเป็นการเยือนยุโรปครั้งแรกของเขา

    "จากอดีตผู้ก่อการร้ายที่มีค่าตัวสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ ตอนนี้เขากำลังได้รับการเชิดชูและโอบอุ้มโดยชาวยุโรป ท่ามกลางข่าวการสังหารหมู่ชาวซีเรียเกือบหนึ่งพันรายในขณะที่เขาอยู่ในตำแหน่งผู้นำ ซึ่งไม่ได้มีความแตกต่างจากเมื่อก่อนที่เขาอยู่ในสถานะผู้นำกลุ่มก่อการร้าย HTS สักนิดเดียว"
    มีแนวโน้มว่า "อาหมัด อัลชารา" ผู้นำซีเรียจะตอบรับคำเชิญของสหภาพยุโรปในการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม ช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งนับเป็นการเยือนยุโรปครั้งแรกของเขา "จากอดีตผู้ก่อการร้ายที่มีค่าตัวสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ ตอนนี้เขากำลังได้รับการเชิดชูและโอบอุ้มโดยชาวยุโรป ท่ามกลางข่าวการสังหารหมู่ชาวซีเรียเกือบหนึ่งพันรายในขณะที่เขาอยู่ในตำแหน่งผู้นำ ซึ่งไม่ได้มีความแตกต่างจากเมื่อก่อนที่เขาอยู่ในสถานะผู้นำกลุ่มก่อการร้าย HTS สักนิดเดียว"
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายฝ่ายกำลังเฝ้าติดตามการตอบสนองของรัสเซีย ว่าจะยอมรับการหยุดยิง 30 วัน ซึ่งเป็นการตกลงกันระหว่างการเจรจาของสหรัฐและยูเครน ในซาอุดีอาระเบีย

    ย้อนกลับไปชมคลิปวิดีโอเมื่อเดือนมกราคม 2025 ขณะประธานาธิบดีปูติน กล่าวแสดงความยินดีกับทรัมป์ในการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ

    "ปูตินย้ำว่ารัสเซียไม่ต้องการการหยุดยิงในระยะสั้น การเจรจาต้องมุ่งสู่สันติภาพในระยะยาว ไม่ใช่การหยุดชะงักเพื่อให้ฝ่ายอื่นกลับมารวมตัวกันและเริ่มต้นใหม่เพียงเพื่อลากสงครามให้ดำเนินต่อไป"
    หลายฝ่ายกำลังเฝ้าติดตามการตอบสนองของรัสเซีย ว่าจะยอมรับการหยุดยิง 30 วัน ซึ่งเป็นการตกลงกันระหว่างการเจรจาของสหรัฐและยูเครน ในซาอุดีอาระเบีย ย้อนกลับไปชมคลิปวิดีโอเมื่อเดือนมกราคม 2025 ขณะประธานาธิบดีปูติน กล่าวแสดงความยินดีกับทรัมป์ในการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ "ปูตินย้ำว่ารัสเซียไม่ต้องการการหยุดยิงในระยะสั้น การเจรจาต้องมุ่งสู่สันติภาพในระยะยาว ไม่ใช่การหยุดชะงักเพื่อให้ฝ่ายอื่นกลับมารวมตัวกันและเริ่มต้นใหม่เพียงเพื่อลากสงครามให้ดำเนินต่อไป"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 23 0 รีวิว
  • ไอ้เชี้ยอ๊อด ขายข้อมูลทีมชาติ ฉีกสัญญาจนแพ้คดี ต้องชดใช้กว่า 560 ล้านบาท กู้เงินฟีฟ่าไปถลุงอีก 155 ล้านบาท แถมรับเงินเดือน+เงินตำแหน่งไทยลีกรวมเดือนละ 2 ล้าน ล่าสุดเตรียมแถลงข่าวชี้แจงตอบโต้
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    ไอ้เชี้ยอ๊อด ขายข้อมูลทีมชาติ ฉีกสัญญาจนแพ้คดี ต้องชดใช้กว่า 560 ล้านบาท กู้เงินฟีฟ่าไปถลุงอีก 155 ล้านบาท แถมรับเงินเดือน+เงินตำแหน่งไทยลีกรวมเดือนละ 2 ล้าน ล่าสุดเตรียมแถลงข่าวชี้แจงตอบโต้ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • 15 ปี สิ้น “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ผู้กำกับนักสู้แห่งเทือกเขาบูโด ตำนานย้ายยากเย็น เซ่นสลับบัญชี โชคร้ายตายก่อนขึ้นรองผู้การ

    🚔 “คงอยากจะขอยศพันตำรวจเอกให้ผม ตอนที่ผมตายแล้ว” คำพูดที่ยังคงก้องในหัวใจคนไทยหลายคน… 🕊️

    🌿 ตำนานที่ยังไม่ลืม ผ่านมากว่า 15 ปี แล้ว... แต่เรื่องราวของ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” หรือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา ภ.จว.ยะลา ยังถูกเล่าขานในฐานะ “นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด” ผู้ทุ่มเทชีวิตเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินปลายด้ามขวาน 🗡️ แม้จะแลกด้วยความเหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด และสุดท้าย... ชีวิต

    👮‍♂️ “สมเพียร เอกสมญา” หรือชื่อเล่นว่า “เนี้ยบ” เกิดเมื่อปี 2493 ในครอบครัวยากจนที่จังหวัดสงขลา ชีวิตในวัยเด็กเต็มไปด้วยความลำบาก ต้องช่วยพ่อแม่กรีดยาง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว แต่ความยากจน ไม่สามารถปิดกั้นความฝันได้ 🎓

    หลังเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 สมเพียรตัดสินใจเป็นศิษย์วัดเพื่อเรียนต่อ และก้าวขึ้นสู่การเป็นนักเรียนตำรวจ ต้องเปลี่ยนนามสกุลจาก “แซ่เจ่ง” เป็น “เอกสมญา” เพื่อเข้ารับราชการในยุคนั้น

    จุดเริ่มต้นของนักรบแดนใต้ ปี 2513 สมเพียรเริ่มต้นอาชีพตำรวจที่ สถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ภ.จว.ยะลา ในช่วงเวลาที่ภาคใต้ร้อนระอุ จากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พคม.) และกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน

    ชีวิตของสมเพียร ไม่ใช่แค่การจับผู้ร้ายทั่วไป แต่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามกองโจร และการลอบสังหารเกือบทุกวัน 😔

    🔥 วีรกรรมและตำนาน “ขาเหล็ก” เหตุการณ์ปะทะที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ปี 2519 ขณะที่ครองยศ "จ่าสิบตำรวจ" ได้เข้าปะทะกับขบวนการก่อการไม่สงบ ที่จับตำรวจและครอบครัวเป็นตัวประกัน บนเขาเจาะปันตัง เหตุการณ์นั้นทำให้ จ่าเพียรเกือบเสียขาข้างซ้าย ต้องใส่เหล็กดามขามาตลอดชีวิต จนได้ฉายาว่า “จ่าเพียร ขาเหล็ก” 🦿

    🦾 “ผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ และจะไม่ขอตายในชุดนักรบ” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา

    🦅 ปฏิบัติการ “ยูงทอง” ชุดปฏิบัติการปราบปราม กลุ่มก่อการไม่สงบในบันนังสตา มีชื่อเสียงอย่างมากภาย ใต้การนำของจ่าเพียร เคยนำทีมเข้าปะทะกองกำลังกว่า 30 คน ในปี 2526 แม้ตัวเองจะโดนยิงที่ต้นขาขวา แต่ยังสู้ไม่ถอย ✊

    🏡 ความฝันสุดท้ายของจ่าเพียร อยากกลับบ้าน...แค่ใช้ชีวิตกับครอบครัว ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พ.ต.อ.สมเพียร ยื่นเรื่องขอย้ายกลับไปอยู่ สภ.กันตัง จ.ตรัง บ้านเกิดของภรรยา เพื่อใช้ชีวิตเงียบสงบช่วง 18 เดือนก่อนเกษียณ แต่การโยกย้ายกลับไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีชื่อติดในโผโยกย้ายตั้งแต่แรก แต่ในขั้นตอนสุดท้าย กลับถูกสับเปลี่ยนชื่อ สลับบัญชี เพื่อหลีกทางให้คนของนักการเมือง 🍃

    จ่าเพียรไม่ยอมรับโผอัปยศ จึงเดินทางจากชายแดนใต้สู่กรุงเทพฯ ไปทวงถามความเป็นธรรม ถึงทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับคำปลอบใจว่า จะเยียวยาโดยให้ขึ้นตำแหน่ง "รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด" ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ

    💬 “ไม่มีการแต่งตั้งตำรวจครั้งไหนที่แย่เท่าครั้งนี้อีกแล้ว” แม้ว่าจ่าเพยีจะพูดด้วยน้ำตา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

    💔 วันแห่งความสูญเสีย ปฏิบัติการสุดท้ายที่บ้านทับช้าง ในเช้าวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553 จ่าเพียร พร้อมด้วยลูกน้อง 4 นาย และ อส.คนสนิทอีก 1 นาย นั่งรถยนต์ปิกอัพ โตโยต้าไฮลักซ์วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา และอส.คนสนิท อีก 1 นาย ออกลาดตระเวนในพื้นที่บ้านทับช้าง แต่ถูกกลุ่มก่อการไม่สงบ กดระเบิด และกราดยิงด้วยอาวุธสงครามอย่างหนัก จ่าเพียรได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ลูกน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 นาย และอีก 1 นายเสียชีวิต 🔫

    ⚰️ อายุ 59 ปี สิ้นสุดเส้นทางของนักรบผู้ภักดีต่อหน้าที่ บทเรียนชีวิตและความจริงที่เจ็บปวด การต่อสู้ของจ่าเพียร ไม่ใช่แค่ศึกในสนามรบ แต่ยังเป็นศึกในระบบราชการที่ซับซ้อน และมีปัญหาเรื่องอุปถัมภ์ จ่าเพียรไม่ได้รับโอกาสเลื่อนยศหรือโยกย้าย จนกว่าจะเสียชีวิตแล้ว ถึงได้เลื่อนยศ 7 ขั้น เป็น "พลตำรวจเอก" 🕊️

    ⚖️ ระบบที่ควรตอบแทนคนทุ่มเท กลับถูกแทนที่ด้วยสายสัมพันธ์และอำนาจ มรดกและแรงบันดาลใจ
    หลังจากการเสียชีวิตของจ่าเพียร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวจำนวน 3 ล้านบาท และรับผิดชอบการศึกษาของลูก จนจบปริญญาตรี แต่สิ่งที่จ่าเพียรทิ้งไว้ไม่ใช่แค่เงินทอง

    ❤️ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” กลายเป็นสัญลักษณ์ของตำรวจที่ทุ่มเท และไม่ยอมแพ้ต่ออุปถัมภ์

    🗣️ คำพูดสุดท้ายที่ยังตราตรึง "ผมไม่ได้อยากย้ายเพื่อความก้าวหน้า แต่อยากกลับไปอยู่กับครอบครัว ผมทำงานมา 40 ปี แทบไม่มีเวลาให้พวกเขาเลย"

    ❓ คำถามที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปี แต่เรื่องราวของจ่าเพียร ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาระบบราชการไทย หลายคนยังสงสัยว่า…

    - ทำไมตำรวจน้ำดี ต้องตายก่อนจึงได้รับการยกย่อง?
    - ทำไมระบบโยกย้าย ถึงเต็มไปด้วยข้อครหา?
    - ใครจะปกป้องผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ไม่มีเส้นสาย?

    🤝 เสียงจากคนในพื้นที่ “จ่าเพียรกลับมาแล้ว” ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน

    🕊️ “กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส รู้จักจ่าเพียรในฐานะคนที่ไม่เคยทิ้งพื้นที่”

    🌳 "คนที่เคยเป็นเยาวชนไม่มีอนาคต กลายมาเป็นอาสาสมัครในทีมของจ่าเพียร ด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่น"

    🕯️ ตำนานที่ไม่ควรจางหาย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ชื่อ "สมเพียร เอกสมญา" ไม่ได้ตายเพราะกระสุนหรือระเบิด แต่เพราะระบบที่ล้มเหลวในการดูแลคนดี 💐

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121155 มี.ค. 2568

    #จ่าเพียรขาเหล็ก #ฮีโร่แดนใต้ #ผู้กำกับนักสู้ #สมเพียรเอกสมญา #ชายแดนใต้ #นักรบแห่งบูโด #ตำรวจไทย #ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ #วีรบุรุษแดนใต้ #ระบบอุปถัมภ์

    15 ปี สิ้น “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ผู้กำกับนักสู้แห่งเทือกเขาบูโด ตำนานย้ายยากเย็น เซ่นสลับบัญชี โชคร้ายตายก่อนขึ้นรองผู้การ 🚔 “คงอยากจะขอยศพันตำรวจเอกให้ผม ตอนที่ผมตายแล้ว” คำพูดที่ยังคงก้องในหัวใจคนไทยหลายคน… 🕊️ 🌿 ตำนานที่ยังไม่ลืม ผ่านมากว่า 15 ปี แล้ว... แต่เรื่องราวของ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” หรือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา ภ.จว.ยะลา ยังถูกเล่าขานในฐานะ “นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด” ผู้ทุ่มเทชีวิตเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินปลายด้ามขวาน 🗡️ แม้จะแลกด้วยความเหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด และสุดท้าย... ชีวิต 👮‍♂️ “สมเพียร เอกสมญา” หรือชื่อเล่นว่า “เนี้ยบ” เกิดเมื่อปี 2493 ในครอบครัวยากจนที่จังหวัดสงขลา ชีวิตในวัยเด็กเต็มไปด้วยความลำบาก ต้องช่วยพ่อแม่กรีดยาง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว แต่ความยากจน ไม่สามารถปิดกั้นความฝันได้ 🎓 หลังเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 สมเพียรตัดสินใจเป็นศิษย์วัดเพื่อเรียนต่อ และก้าวขึ้นสู่การเป็นนักเรียนตำรวจ ต้องเปลี่ยนนามสกุลจาก “แซ่เจ่ง” เป็น “เอกสมญา” เพื่อเข้ารับราชการในยุคนั้น จุดเริ่มต้นของนักรบแดนใต้ ปี 2513 สมเพียรเริ่มต้นอาชีพตำรวจที่ สถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ภ.จว.ยะลา ในช่วงเวลาที่ภาคใต้ร้อนระอุ จากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พคม.) และกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน ชีวิตของสมเพียร ไม่ใช่แค่การจับผู้ร้ายทั่วไป แต่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามกองโจร และการลอบสังหารเกือบทุกวัน 😔 🔥 วีรกรรมและตำนาน “ขาเหล็ก” เหตุการณ์ปะทะที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ปี 2519 ขณะที่ครองยศ "จ่าสิบตำรวจ" ได้เข้าปะทะกับขบวนการก่อการไม่สงบ ที่จับตำรวจและครอบครัวเป็นตัวประกัน บนเขาเจาะปันตัง เหตุการณ์นั้นทำให้ จ่าเพียรเกือบเสียขาข้างซ้าย ต้องใส่เหล็กดามขามาตลอดชีวิต จนได้ฉายาว่า “จ่าเพียร ขาเหล็ก” 🦿 🦾 “ผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ และจะไม่ขอตายในชุดนักรบ” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา 🦅 ปฏิบัติการ “ยูงทอง” ชุดปฏิบัติการปราบปราม กลุ่มก่อการไม่สงบในบันนังสตา มีชื่อเสียงอย่างมากภาย ใต้การนำของจ่าเพียร เคยนำทีมเข้าปะทะกองกำลังกว่า 30 คน ในปี 2526 แม้ตัวเองจะโดนยิงที่ต้นขาขวา แต่ยังสู้ไม่ถอย ✊ 🏡 ความฝันสุดท้ายของจ่าเพียร อยากกลับบ้าน...แค่ใช้ชีวิตกับครอบครัว ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พ.ต.อ.สมเพียร ยื่นเรื่องขอย้ายกลับไปอยู่ สภ.กันตัง จ.ตรัง บ้านเกิดของภรรยา เพื่อใช้ชีวิตเงียบสงบช่วง 18 เดือนก่อนเกษียณ แต่การโยกย้ายกลับไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีชื่อติดในโผโยกย้ายตั้งแต่แรก แต่ในขั้นตอนสุดท้าย กลับถูกสับเปลี่ยนชื่อ สลับบัญชี เพื่อหลีกทางให้คนของนักการเมือง 🍃 จ่าเพียรไม่ยอมรับโผอัปยศ จึงเดินทางจากชายแดนใต้สู่กรุงเทพฯ ไปทวงถามความเป็นธรรม ถึงทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับคำปลอบใจว่า จะเยียวยาโดยให้ขึ้นตำแหน่ง "รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด" ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ 💬 “ไม่มีการแต่งตั้งตำรวจครั้งไหนที่แย่เท่าครั้งนี้อีกแล้ว” แม้ว่าจ่าเพยีจะพูดด้วยน้ำตา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง 💔 วันแห่งความสูญเสีย ปฏิบัติการสุดท้ายที่บ้านทับช้าง ในเช้าวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553 จ่าเพียร พร้อมด้วยลูกน้อง 4 นาย และ อส.คนสนิทอีก 1 นาย นั่งรถยนต์ปิกอัพ โตโยต้าไฮลักซ์วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา และอส.คนสนิท อีก 1 นาย ออกลาดตระเวนในพื้นที่บ้านทับช้าง แต่ถูกกลุ่มก่อการไม่สงบ กดระเบิด และกราดยิงด้วยอาวุธสงครามอย่างหนัก จ่าเพียรได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ลูกน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 นาย และอีก 1 นายเสียชีวิต 🔫 ⚰️ อายุ 59 ปี สิ้นสุดเส้นทางของนักรบผู้ภักดีต่อหน้าที่ บทเรียนชีวิตและความจริงที่เจ็บปวด การต่อสู้ของจ่าเพียร ไม่ใช่แค่ศึกในสนามรบ แต่ยังเป็นศึกในระบบราชการที่ซับซ้อน และมีปัญหาเรื่องอุปถัมภ์ จ่าเพียรไม่ได้รับโอกาสเลื่อนยศหรือโยกย้าย จนกว่าจะเสียชีวิตแล้ว ถึงได้เลื่อนยศ 7 ขั้น เป็น "พลตำรวจเอก" 🕊️ ⚖️ ระบบที่ควรตอบแทนคนทุ่มเท กลับถูกแทนที่ด้วยสายสัมพันธ์และอำนาจ มรดกและแรงบันดาลใจ หลังจากการเสียชีวิตของจ่าเพียร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวจำนวน 3 ล้านบาท และรับผิดชอบการศึกษาของลูก จนจบปริญญาตรี แต่สิ่งที่จ่าเพียรทิ้งไว้ไม่ใช่แค่เงินทอง ❤️ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” กลายเป็นสัญลักษณ์ของตำรวจที่ทุ่มเท และไม่ยอมแพ้ต่ออุปถัมภ์ 🗣️ คำพูดสุดท้ายที่ยังตราตรึง "ผมไม่ได้อยากย้ายเพื่อความก้าวหน้า แต่อยากกลับไปอยู่กับครอบครัว ผมทำงานมา 40 ปี แทบไม่มีเวลาให้พวกเขาเลย" ❓ คำถามที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปี แต่เรื่องราวของจ่าเพียร ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาระบบราชการไทย หลายคนยังสงสัยว่า… - ทำไมตำรวจน้ำดี ต้องตายก่อนจึงได้รับการยกย่อง? - ทำไมระบบโยกย้าย ถึงเต็มไปด้วยข้อครหา? - ใครจะปกป้องผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ไม่มีเส้นสาย? 🤝 เสียงจากคนในพื้นที่ “จ่าเพียรกลับมาแล้ว” ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน 🕊️ “กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส รู้จักจ่าเพียรในฐานะคนที่ไม่เคยทิ้งพื้นที่” 🌳 "คนที่เคยเป็นเยาวชนไม่มีอนาคต กลายมาเป็นอาสาสมัครในทีมของจ่าเพียร ด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่น" 🕯️ ตำนานที่ไม่ควรจางหาย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ชื่อ "สมเพียร เอกสมญา" ไม่ได้ตายเพราะกระสุนหรือระเบิด แต่เพราะระบบที่ล้มเหลวในการดูแลคนดี 💐 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121155 มี.ค. 2568 #จ่าเพียรขาเหล็ก #ฮีโร่แดนใต้ #ผู้กำกับนักสู้ #สมเพียรเอกสมญา #ชายแดนใต้ #นักรบแห่งบูโด #ตำรวจไทย #ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ #วีรบุรุษแดนใต้ #ระบบอุปถัมภ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • "การตอบสนองอีกรายจากฝ่ายรัสเซีย" เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน ที่เกิดจากความเห็นชอบของสหรัฐและยูเครน โดยมียุโรปออกมาให้การสนับสนุน

    ข้อตกลงใดๆ เกี่ยวกับยูเครนจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของมอสโกเท่านั้น

    "คอนสแตนติน โคซาชอฟ" รองประธานสภาสหพันธรัฐหรือวุฒิสภา (Federation Council) ประกาศไม่ยอมรับผลการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับยูเครนที่เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยระบุว่าข้อตกลงที่แท้จริงใดๆ ก็ตามจะถูกกำหนดโดยรัสเซียในสนามรบ ไม่ใช่โดยวอชิงตัน

    โคซาชอฟเน้นย้ำว่า “แม้ว่ายูเครนจะยอมก้มหัวและประจบประแจงสหรัฐ โดยยอมทำตามทุกสิ่งที่พวกเขาสั่ง แต่สุดท้ายแล้ว ข้อตกลงใดๆ ก็ตามจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของรัสเซียเท่านั้น”

    โคซาชอฟ ยังกล่าวเสริมอีกว่า มอสโก ไม่ใช่วอชิงตัน เราเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขสันติภาพ และสหรัฐฯ ควรยอมรับความเป็นจริงข้อนี้
    "การตอบสนองอีกรายจากฝ่ายรัสเซีย" เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน ที่เกิดจากความเห็นชอบของสหรัฐและยูเครน โดยมียุโรปออกมาให้การสนับสนุน ข้อตกลงใดๆ เกี่ยวกับยูเครนจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของมอสโกเท่านั้น "คอนสแตนติน โคซาชอฟ" รองประธานสภาสหพันธรัฐหรือวุฒิสภา (Federation Council) ประกาศไม่ยอมรับผลการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับยูเครนที่เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยระบุว่าข้อตกลงที่แท้จริงใดๆ ก็ตามจะถูกกำหนดโดยรัสเซียในสนามรบ ไม่ใช่โดยวอชิงตัน โคซาชอฟเน้นย้ำว่า “แม้ว่ายูเครนจะยอมก้มหัวและประจบประแจงสหรัฐ โดยยอมทำตามทุกสิ่งที่พวกเขาสั่ง แต่สุดท้ายแล้ว ข้อตกลงใดๆ ก็ตามจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของรัสเซียเท่านั้น” โคซาชอฟ ยังกล่าวเสริมอีกว่า มอสโก ไม่ใช่วอชิงตัน เราเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขสันติภาพ และสหรัฐฯ ควรยอมรับความเป็นจริงข้อนี้
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปฏิกิริยาตอบสนองจากทางฝั่งรัสเซียรายแรก

    “รัสเซียจะไม่ยอมรับข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน เพราะจะทำให้ยูเครนสามารถรวบรวมกำลังพลและเสริมกำลังใหม่ได้ การหยุดยิงชั่วคราวเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้”
    — วิกเตอร์ โซโบเลฟ รองผู้แทนสภาดูมาของรัสเซีย
    ปฏิกิริยาตอบสนองจากทางฝั่งรัสเซียรายแรก “รัสเซียจะไม่ยอมรับข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน เพราะจะทำให้ยูเครนสามารถรวบรวมกำลังพลและเสริมกำลังใหม่ได้ การหยุดยิงชั่วคราวเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้” — วิกเตอร์ โซโบเลฟ รองผู้แทนสภาดูมาของรัสเซีย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลการศึกษาเกี่ยวกับความแม่นยำของเครื่องมือค้นหาที่ใช้ AI โดย Tow Center for Digital Journalism พบว่า AI เหล่านี้มีอัตราความผิดพลาดสูงถึง 60% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ในยุคที่เทคโนโลยี AI ขยายตัว

    การศึกษาได้เลือกบทความข่าว 200 ชิ้นจาก 20 สำนักข่าว เพื่อทดสอบความแม่นยำของเครื่องมือค้นหา AI รวมถึง ChatGPT, Copilot, Perplexity และ Grok โดยการให้ AI ตอบคำถามและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล เช่น การอ้างอิงถึงบทความ ชื่อสำนักข่าว และ URL ที่เกี่ยวข้อง ผลลัพธ์ชี้ว่า AI มักจะรายงานข้อมูลที่ผิดพลาด แต่ยังคงแสดงความมั่นใจในคำตอบนั้น ๆ ทำให้เกิดข้อวิจารณ์ว่าเป็น "ศิลปะแห่งการหลอกลวงที่ดูน่าเชื่อถือ"

    นอกจากนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า ChatGPT สามารถตอบคำถามทุกชุดข้อมูลได้ครบถ้วน แต่คำตอบกลับ "ถูกต้องอย่างสมบูรณ์" เพียง 28% และ "ผิดพลาดทั้งหมด" สูงถึง 57% ในขณะที่ AI อื่น ๆ เช่น Copilot และ Grok มีอัตราความผิดพลาดสูงขึ้นถึง 70% และ 94% ตามลำดับ

    จุดสำคัญของข่าวนี้คือการเรียกร้องให้บริษัทผู้พัฒนา AI เพิ่มความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อความแม่นยำของข้อมูลที่ให้กับผู้ใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้งานต้องเสียค่าบริการรายเดือนซึ่งอาจสูงถึง $200 ต่อเดือน ความคิดเห็นของสาธารณชนแตกออกเป็นสองทาง บางคนชื่นชมความรวดเร็วและอินเตอร์เฟสที่ใช้งานง่าย แต่คนอื่น ๆ ตั้งคำถามว่าเราควรเชื่อถือ AI ในการค้นหาข้อมูลมากแค่ไหน

    https://www.techspot.com/news/107101-new-study-finds-ai-search-tools-60-percent.html
    ผลการศึกษาเกี่ยวกับความแม่นยำของเครื่องมือค้นหาที่ใช้ AI โดย Tow Center for Digital Journalism พบว่า AI เหล่านี้มีอัตราความผิดพลาดสูงถึง 60% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ในยุคที่เทคโนโลยี AI ขยายตัว การศึกษาได้เลือกบทความข่าว 200 ชิ้นจาก 20 สำนักข่าว เพื่อทดสอบความแม่นยำของเครื่องมือค้นหา AI รวมถึง ChatGPT, Copilot, Perplexity และ Grok โดยการให้ AI ตอบคำถามและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล เช่น การอ้างอิงถึงบทความ ชื่อสำนักข่าว และ URL ที่เกี่ยวข้อง ผลลัพธ์ชี้ว่า AI มักจะรายงานข้อมูลที่ผิดพลาด แต่ยังคงแสดงความมั่นใจในคำตอบนั้น ๆ ทำให้เกิดข้อวิจารณ์ว่าเป็น "ศิลปะแห่งการหลอกลวงที่ดูน่าเชื่อถือ" นอกจากนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า ChatGPT สามารถตอบคำถามทุกชุดข้อมูลได้ครบถ้วน แต่คำตอบกลับ "ถูกต้องอย่างสมบูรณ์" เพียง 28% และ "ผิดพลาดทั้งหมด" สูงถึง 57% ในขณะที่ AI อื่น ๆ เช่น Copilot และ Grok มีอัตราความผิดพลาดสูงขึ้นถึง 70% และ 94% ตามลำดับ จุดสำคัญของข่าวนี้คือการเรียกร้องให้บริษัทผู้พัฒนา AI เพิ่มความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อความแม่นยำของข้อมูลที่ให้กับผู้ใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้งานต้องเสียค่าบริการรายเดือนซึ่งอาจสูงถึง $200 ต่อเดือน ความคิดเห็นของสาธารณชนแตกออกเป็นสองทาง บางคนชื่นชมความรวดเร็วและอินเตอร์เฟสที่ใช้งานง่าย แต่คนอื่น ๆ ตั้งคำถามว่าเราควรเชื่อถือ AI ในการค้นหาข้อมูลมากแค่ไหน https://www.techspot.com/news/107101-new-study-finds-ai-search-tools-60-percent.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AI search engines fail accuracy test, study finds 60% error rate
    The Tow Center for Digital Journalism recently studied eight AI search engines, including ChatGPT Search, Perplexity, Perplexity Pro, Gemini, DeepSeek Search, Grok-2 Search, Grok-3 Search, and Copilot....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาซูด เปเซชเคียน ประธานาธิบดีอิหร่านในวันอังคาร (11 มี.ค.) ตอบโต้กลับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ บอกอยากทำอะไรที่้น่ารังเกียจก็ตามสบายและปฏิเสธเจรจา หากว่ามันเป็นการเจรจาภายใต้คำสั่งหรือคำขู่ใดๆ

    อ่านต่อ..https://sondhitalk.com/detail/9680000023698
    มาซูด เปเซชเคียน ประธานาธิบดีอิหร่านในวันอังคาร (11 มี.ค.) ตอบโต้กลับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ บอกอยากทำอะไรที่้น่ารังเกียจก็ตามสบายและปฏิเสธเจรจา หากว่ามันเป็นการเจรจาภายใต้คำสั่งหรือคำขู่ใดๆ อ่านต่อ..https://sondhitalk.com/detail/9680000023698
    Like
    Haha
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 762 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มฮูตีในเยเมนประกาศเริ่มกลับมาโจมตีเรือของอิสราเอลในทะเลแดงและทะเลอาหรับอีกครั้ง
    นี่เป็นการตอบโต้การตัดไฟฟ้าและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของอิสราเอลไปยังฉนวนกาซา
    กลุ่มฮูตีในเยเมนประกาศเริ่มกลับมาโจมตีเรือของอิสราเอลในทะเลแดงและทะเลอาหรับอีกครั้ง นี่เป็นการตอบโต้การตัดไฟฟ้าและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของอิสราเอลไปยังฉนวนกาซา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • 12 มีนาคม 2568-เพจวิเคราะห์บอลจริงจังเขียนบทความน่าสนใจว่ามาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ มารับงานตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สิ่งแรกที่เธอต้องเจอคือ "หนี้สิน" ที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทิ้งไว้ให้เงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท แปลว่า ยุคของมาดามแป้งต้องเริ่มแบบติดลบ 105 ล้านบาทย้อนกลับไปดูวันสุดท้าย ของพล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคม เขาบอกว่า "อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ" โอเค... พล.ต.อ.สมยศ อาจเริ่มต้นด้วยกุญแจดอกเดียว ไขเข้าไปในห้องแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแต่กับเคสของมาดามแป้ง เธอเอากุญแจดอกนั้นไขเข้าไป แล้วเจอ "กองหนี้สินมหาศาล" ที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ต้องเป็นคนชดใช้ในวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้งแถลงผลงาน ครบ 1 ปีที่เข้ามาเป็นนายกสมาคม แต่สาเหตุที่สื่อมวลชนมหาศาลมาทำข่าววันนี้ ไม่ใช่เรื่องผลงานดังกล่าว ทุกคนอยากรู้แค่ว่า "มาดามแป้ง จะจัดการปัญหาหนี้สิน 360 ล้านบาทกับสยามสปอร์ตอย่างไร?" ผมขอสรุป 2 คดีของสมาคมกับสยามสปอร์ตนิดเดียวครับ ---------------คดีที่ 1 สยามสปอร์ต ฟ้อง สมาคมฟุตบอล 1,401 ล้านบาท โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบศาลชั้นต้น : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 450 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลฎีกา : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 360 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยสมาคมแพ้คดีทุกศาล เพราะต่อให้คุณจะไม่ชอบสัญญาขนาดไหน คุณก็ไปฉีกสัญญาที่เซ็นกันแล้วอย่างถูกต้องไม่ได้ มาดามแป้งบอกว่า หนี้สินไม่ได้มีแค่เงินต้น 360 ล้าน แต่ดอกเบี้ยก็มหาศาลมาก เกิน 200 ล้านบาทแน่นอน---------------คดีที่ 2 สมาคมฟุตบอล ฟ้อง สยามสปอร์ต ขอเอาทรัพย์สินคืน 1,139 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสยามสปอร์ต ทำเงินจากการเป็นผู้ถือสิทธิประโยชน์ แต่ไม่ยอมส่งมอบเงินให้สมาคมศาลชั้นต้น : สยามสปอร์ต ต้องจ่ายค่าเสียหาย 99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : ยกฟ้อง ศาลฎีกา : ไม่รับฎีกาคดีที่สมาคมฟ้องสยามสปอร์ต จบแล้วเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสยามสปอร์ตกั๊กเงินเอาไว้เอง ทำให้บทสรุปของคดีนี้ สยามสปอร์ตชนะอีกคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว---------------ในการปะทะกันบนศาลครั้งนี้ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ทั้ง 2 คดี และสมาคมต้องหาเงินมหาศาลเอามาชำระหนี้แปลว่า มาดามแป้ง มารับตำแหน่งนายกสมาคม 1 ปี เธอมีหนี้สิ้นเริ่มต้น 105 ล้านบาท ตามด้วยหนี้ก้อนที่สองของสยามสปอร์ต (เงินต้น + ดอกเบี้ย) อีก 560 ล้านบาท รวมแล้วกลมๆ สมาคมมีหนี้สิ้นทั้งหมด 665 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้ในทางกฎหมายนั้น คนที่ฉีกสัญญาของสยามสปอร์ตคือ "นิติบุคคล" ไม่ใช่ตัว "สมยศ" แปลว่า ภาระหนี้สิ้นเหล่านี้ มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมคนปัจจุบัน ต้องเป็นคนหาเงินมาชำระให้เจ้าหนี้ถ้าเธอหาเงินไม่ได้ สมาคมอาจจะถูกยึดทรัพย์ สำนักงานที่ทำการสมาคมก็จะโดนยึดเอาไปจ่ายหนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนไหวของมาดามแป้งอย่างมาก เพราะถ้าสมาคมที่ก่อตั้งมา 110 ปี ต้องล่มสลาย โดนยึดทุกอย่างในยุคของเธอ มันจะเป็นตราบาปที่ติดในใจเธอไปตลอดเมื่อพูดถึงตรงนี้ มาดามแป้งร้องไห้ เธอบอกว่า "แป้งมาด้วยเจตนาดี ทุกคนคงจะเห็นใจแป้งบ้าง สิ่งที่แป้งเจอเนี่ย แป้งทำเต็มที่ ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนแรกของทวีปเอเชีย เข้ามาไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ แป้งไม่เคยดราม่า แต่ว่าแป้งคิดว่า แป้งทำงานมาได้ถึงขนาดนี้ แป้งเต็มที่แล้ว ""แป้งแค่ขอความเห็นใจ และขอกำลังใจ จากแฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยแป้งและสภากรรมการ แต่เรื่องหนี้สินมันไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแป้ง แต่แป้งต้องมารับทุกสิ่งทุกอย่าง แป้งเป็นคน และเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนกัน"ถ้าเราพูดกันแบบตรงๆ เลย ตลอด 1 ปีของมาดามแป้ง เธอก็มีผลงานไม่เลวหลายอย่าง เช่น พาทีมชาติไทยมีอันดับโลกต่ำกว่าร้อย ครั้งแรกในรอบ 16 ปี, หาเงินมาจ่ายให้สโมสรไทยลีกได้สำเร็จ รวมถึง จัดงานฟีฟ่า คองเกรสได้เยี่ยมจนได้รับคำชมแน่นอน มาดามแป้งไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ทุกคนทราบดี เรื่องโปรแกรมเลื่อนไทยลีกจนชุลมุน เธอก็ยังจัดการไม่ดีนัก แต่อย่างน้อย การต่อสู้ในสภาพที่สมาคมเจอหนี้มหาศาลขนาดนี้ ถือว่าโอเคแล้วสำหรับเรื่องการใช้หนี้ เมื่อศาลมีฎีกามาแล้ว ยังไงก็ต้องหาเงินมาชดใช้ โชคดีที่ทางมาดามแป้ง กับ ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามสปอร์ต สนิทสนมกันดี ก็อาจจะพอประนีประนอม ยืดเวลาจ่ายกันได้อยู่จริงอยู่ แม้ศาลจะระบุว่า คนที่ต้องใช้หนี้ คือสมาคมฟุตบอลซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่มาดามแป้งรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ ไม่แฟร์เลยที่ พล.ต.อ.สมยศ จะรอดไปดื้อๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรดังนั้นเธอจึงศึกษาข้อมูล และค้นพบว่ามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า "นิติบุคคลที่ต้องชดใช้ความเสียหาย สามารถไล่เบี้ย ฟ้องร้องคืนจากคนที่ก่อความเสียหายได้" มาดามแป้ง จึงเตรียมฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ในมาตรา 76 นี้ โทษฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยพลการ จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับสมาคม เรื่องนี้จะขึ้นสู่ศาลแน่นอน ก็ต้องมาดูกันว่า สมาคมฟุตบอลจะสามารถทวงเงินคืนสักก้อน จากพล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการชุดเก่าได้หรือไม่ ---------------ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ไฮไลท์ของจริง ที่มาดามแป้งอยากเล่า ไม่ใช่คดีของสยามสปอร์ต แต่เป็นการแฉพล.ต.อ.สมยศ แบบ "เละ" อัดทุกอย่างจนกระจุยไปหมด ในวันแรกที่มาดามแป้งมารับงานเป็นนายกสมาคมคนใหม่ เมื่อเจอหนี้สินร้อยล้านกว่าบาท ทำให้เธอตั้งคำถามว่า แล้วเงินก้อนต่างๆ ที่สมาคมได้รับมาก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมด?ทำให้เธอตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจชื่อ "คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดเลย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีฟอกเงิน มาไล่เช็กรายรับ-รายจ่าย ของสมาคมยุคก่อนว่า เงินมันไปอยู่ไหนบ้างสิ่งที่ค้นเจอจากการตรวจสอบมีหลายอย่าง ที่แปลก [ เรื่องแปลกอย่างที่ 1 ] คดีที่สมาคม ฟ้อง สยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความเอาไว้ และมีการตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อยศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท เป็นค่าวิชาชีพของทีมทนายความในศาลชั้นต้น กับ ศาลอุทธรณ์ก็จ่ายกันไป ตามราคา แต่พอถึงศาลฎีกา (ที่ศาลไม่รับฟ้องด้วย) จากตัวเลขที่ตกลงกัน 3 แสนบาท อยู่ๆ ทางสมาคมไปจ่ายให้ทนายความ เป็นจำนวน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ 100 เท่าโดยการจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือ ที่จะว่าความด้วยราคา 30 ล้านบาท? แล้วทำไมถึงจ่ายแพงกว่าร้อยเท่าจากเดิมที่ตกลงกัน นี่คือการ "ทิ้งทวน" เอาเงินก้อนสุดท้าย ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือเปล่า ก็ไม่สามารถตอบได้[ เรื่องแปลกอย่างที่ 2 ] ทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาดามแป้งเข้ามาทำงานในปีแรก ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์เท่านั้น หายไป 5 แสนเหรียญทีมงานของมาดามแป้งจึงไปค้นข้อมูล ปรากฏว่า สมาคมยุคพล.ต.อ.สมยศ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (155 ล้านบาท)ฟีฟ่าจ่ายให้ 5 ล้านดอลลาร์ตามคำขอ โดยแจ้งสมาคมให้ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่าย 10 ปี (2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์ ซึ่งทางฟีฟ่าจะหักเอาเลย จากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปีนั่นคือเหตุผลที่สมาคมยุคมาดามแป้ง จะเงินหายไป 5 แสนเหรียญ (16.8 ล้านบาท) ทุกปี จนถึงปี 2573นี่เป็นเรื่องที่มาดามแป้งเฮิร์ทมาก เพราะเธอหมดวาระนายกสมาคม ในปี 2571 เท่ากับว่าเธอต้องจ่าย 5 แสนเหรียญที่ พล.ต.อ.สมยศก่อขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนจบวาระของเธอเลยด้วยซ้ำขณะที่ 5 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากฟีฟ่าตอนแรกสุด ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวว่าเอามาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง[ เรื่องแปลกอย่างที่ 3 ]พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับบริษัท Perform จากมาเลเซียทั้งสองอย่างคือ สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนใบเหลือง-ใบเหลือง, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, ระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน ข้อมูลเหล่านี้ สามารถเอาไปใช้ในอะไรก็ได้ เช่น เอาไปสร้างเกมแฟนตาซี, เอาไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับโต๊ะพนัน หรือถ้าคิด worst case คือเอาสถิติเหล่านี้มาศึกษาทั้งไทยลีก หรือทีมชาติก็ได้ เพื่อที่ชาติเพื่อนบ้านจะได้แซงหน้าเราไปได้ในอนาคต พล.ต.อ.สมยศ ขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งมาดามแป้ง พยายามขอซื้อคืน เพราะไม่อยากให้ข้อมูลบอลไทยรั่วไหล แต่บริษัท Perform ไม่ขาย เงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ก้อนนี้ "ไม่รู้อยู่ไหน" แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันเป็นข้อมูลภายในของฟุตบอลไทย ที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่รู้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลเหมือนกัน[ เรื่องแปลกอย่างที่ 4 ]ในวงการฟุตบอลไทยนั้น เป็นธรรมเนียม ที่นายกสมาคมจะไม่รับเงินเดือนกัน คือผมไม่ได้บอกว่า ดีหรือเปล่า แต่ธรรมเนียมปฏิบัติเขาทำกันมาแบบนี้ คนที่ลงสมัครนายกสมาคมจะรู้แต่แรกโดยธรรมชาติอย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม โดยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เป็นจำนวน 5 แสนบาท ไม่เพียงแค่นั้น ยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 5 แสนบาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 1 ล้านบาทเคยมีคนไปสอบถามในเรื่องนี้ แต่พล.ต.อ.สมยศ ก็อธิบายว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ไม่ได้เอาไปทั้งหมดขนาดนั้นปัญหาในเรื่องนี้คือ ทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้ และ "ยังไม่พบ" จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้อยู่ไหน ไม่รู้ว่ามีการบริจาคจริงตามที่พูดหรือเปล่า---------------มาดามแป้งใช้เวลาแถลงข่าวทั้งหมด 64 นาที เล่าทุกอย่าง แบบตรงไปตรงมา เธอยืนยันว่า "ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว กับ พล.ต.อ.สมยศ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อทวงเงินที่เป็นของสมาคมกลับคืนมา เพราะสมาคมฟุตบอลต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้" ทีนี้ เมื่อฝั่งสมาคมโจมตีใส่อย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ถึงคิวของ พล.ต.อ.สมยศ ต้องออกมาอธิบายตัวเอง ว่าข้อสงสัยต่างๆ ที่มาดามแป้งพูดถึงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่าทนาย 30 ล้าน มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละน่าคิดนะ ว่าเงินก้อนโตที่เข้าออกสมาคม จำนวนมากกว่าร้อยล้าน สุดท้ายมันหายไปไหนหมด ทำไมเหลือแต่หนี้สินทิ้งเอาไว้สำหรับประเด็นที่เราต้องติดตาม มีหลายอย่าง เช่น ในปี 2571 ที่จะหมดสัญญากับผู้ถือสิทธิประโยชน์รายปัจจุบัน (แพลนบี) และ เจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อแข่งทีมชาติ (วอร์ริกซ์) สมาคมจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะเซ็นกัน 8 ปีแบบเดิมอีกไหม รวมถึง การเจรจาหาทางชำระหนี้สยามสปอร์ตจะทำอย่างไร เมื่อไม่มีเงินในบัญชีเลย จะเล่นแร่แปรธาตุ หาเงินจากไหนได้บ้าง? นี่คือช่วงเวลาที่มาดามแป้งต้องใช้กลยุทธ์ธุรกิจทุกอย่าง รวมถึงคอนเน็กชั่นทั้งหมดที่เธอมี ในการประคองให้สมาคมรอดพ้นวิกฤติไปให้ได้หลังจบงานแถลงข่าว มาดามแป้งเดินมาขอบคุณสื่อมวลชน และพอเธอเดินมาถึง ผมถามเธอว่า "เจอแบบนี้ ภาระหนี้สินหลายร้อยล้านที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เคยคิดจะลาออกไหมครับ?" มาดามแป้ง หยุดคิด แล้วตอบผมว่า "เคยคิดนะคะ" "แต่เราได้กำลังใจจากคนมากมาย นายกสมาคมประเทศอื่นในเอเชีย ก็บอกว่าอยู่ต่อเถอะ เพราะเราทำงานได้ดีแล้ว มันก็เลยมีพลังที่จะสู้ต่อ""และที่สำคัญ ถ้าเราไม่ทำ ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้ แล้วจะปล่อยให้ใครจะมาแก้ ดังนั้นก็ต้องสู้ค่ะ"ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการแถลงข่าว ที่เดือดดาลที่สุดของสมาคมฟุตบอล มาดามแป้งเริ่มด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้มในการแถลงผลงาน ตามด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำตาเข้าใจเธอครับ ถ้าอยู่ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินร้อยล้านแบบไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ คงทั้งแค้น ทั้งเศร้าเป็นธรรมดาการเป็นผู้นำองค์กร ที่ต้องแบกรับความคาดหวังทุกอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ วันนี้มาดามแป้งทำให้เห็นว่า เธอก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความอ่อนไหว เสียใจได้ ร้องไห้เป็น แต่แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วแก้ปัญหากันต่อปิดท้ายในเรื่องนี้ สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือ ความโปร่งใสของอดีตนายกฯ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เข้ามารับตำแหน่ง กับสโลแกนว่า "มาจับโจร" แต่ตอนนี้กลับโดนข้อครหามากมาย เหมือนว่าเขาเป็นโจรเสียเองสมมุติว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตลอด ก็ไม่เห็นต้องกลัวการตรวจสอบ คนซื่อสัตย์ย่อมต้องหาคำอธิบายทุกอย่างได้อยู่แล้ว แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีจิตใจคิดทุจริต หวังใช้สมาคมฟุตบอลในการกอบโกยผลประโยชน์ล่ะก็ รับรองได้ว่าเรื่องนี้ จะไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอนเพราะถ้าหากคนเป็นผู้นำ ยังไม่ตรงไปตรงมา มีนอกมีในอยู่ตลอด แล้วอนาคตของวงการฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร ... แค่คิดก็สิ้นหวังแล้ว
    12 มีนาคม 2568-เพจวิเคราะห์บอลจริงจังเขียนบทความน่าสนใจว่ามาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ มารับงานตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สิ่งแรกที่เธอต้องเจอคือ "หนี้สิน" ที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทิ้งไว้ให้เงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท แปลว่า ยุคของมาดามแป้งต้องเริ่มแบบติดลบ 105 ล้านบาทย้อนกลับไปดูวันสุดท้าย ของพล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคม เขาบอกว่า "อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ" โอเค... พล.ต.อ.สมยศ อาจเริ่มต้นด้วยกุญแจดอกเดียว ไขเข้าไปในห้องแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแต่กับเคสของมาดามแป้ง เธอเอากุญแจดอกนั้นไขเข้าไป แล้วเจอ "กองหนี้สินมหาศาล" ที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ต้องเป็นคนชดใช้ในวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้งแถลงผลงาน ครบ 1 ปีที่เข้ามาเป็นนายกสมาคม แต่สาเหตุที่สื่อมวลชนมหาศาลมาทำข่าววันนี้ ไม่ใช่เรื่องผลงานดังกล่าว ทุกคนอยากรู้แค่ว่า "มาดามแป้ง จะจัดการปัญหาหนี้สิน 360 ล้านบาทกับสยามสปอร์ตอย่างไร?" ผมขอสรุป 2 คดีของสมาคมกับสยามสปอร์ตนิดเดียวครับ ---------------คดีที่ 1 สยามสปอร์ต ฟ้อง สมาคมฟุตบอล 1,401 ล้านบาท โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบศาลชั้นต้น : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 450 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลฎีกา : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 360 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยสมาคมแพ้คดีทุกศาล เพราะต่อให้คุณจะไม่ชอบสัญญาขนาดไหน คุณก็ไปฉีกสัญญาที่เซ็นกันแล้วอย่างถูกต้องไม่ได้ มาดามแป้งบอกว่า หนี้สินไม่ได้มีแค่เงินต้น 360 ล้าน แต่ดอกเบี้ยก็มหาศาลมาก เกิน 200 ล้านบาทแน่นอน---------------คดีที่ 2 สมาคมฟุตบอล ฟ้อง สยามสปอร์ต ขอเอาทรัพย์สินคืน 1,139 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสยามสปอร์ต ทำเงินจากการเป็นผู้ถือสิทธิประโยชน์ แต่ไม่ยอมส่งมอบเงินให้สมาคมศาลชั้นต้น : สยามสปอร์ต ต้องจ่ายค่าเสียหาย 99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : ยกฟ้อง ศาลฎีกา : ไม่รับฎีกาคดีที่สมาคมฟ้องสยามสปอร์ต จบแล้วเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสยามสปอร์ตกั๊กเงินเอาไว้เอง ทำให้บทสรุปของคดีนี้ สยามสปอร์ตชนะอีกคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว---------------ในการปะทะกันบนศาลครั้งนี้ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ทั้ง 2 คดี และสมาคมต้องหาเงินมหาศาลเอามาชำระหนี้แปลว่า มาดามแป้ง มารับตำแหน่งนายกสมาคม 1 ปี เธอมีหนี้สิ้นเริ่มต้น 105 ล้านบาท ตามด้วยหนี้ก้อนที่สองของสยามสปอร์ต (เงินต้น + ดอกเบี้ย) อีก 560 ล้านบาท รวมแล้วกลมๆ สมาคมมีหนี้สิ้นทั้งหมด 665 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้ในทางกฎหมายนั้น คนที่ฉีกสัญญาของสยามสปอร์ตคือ "นิติบุคคล" ไม่ใช่ตัว "สมยศ" แปลว่า ภาระหนี้สิ้นเหล่านี้ มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมคนปัจจุบัน ต้องเป็นคนหาเงินมาชำระให้เจ้าหนี้ถ้าเธอหาเงินไม่ได้ สมาคมอาจจะถูกยึดทรัพย์ สำนักงานที่ทำการสมาคมก็จะโดนยึดเอาไปจ่ายหนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนไหวของมาดามแป้งอย่างมาก เพราะถ้าสมาคมที่ก่อตั้งมา 110 ปี ต้องล่มสลาย โดนยึดทุกอย่างในยุคของเธอ มันจะเป็นตราบาปที่ติดในใจเธอไปตลอดเมื่อพูดถึงตรงนี้ มาดามแป้งร้องไห้ เธอบอกว่า "แป้งมาด้วยเจตนาดี ทุกคนคงจะเห็นใจแป้งบ้าง สิ่งที่แป้งเจอเนี่ย แป้งทำเต็มที่ ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนแรกของทวีปเอเชีย เข้ามาไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ แป้งไม่เคยดราม่า แต่ว่าแป้งคิดว่า แป้งทำงานมาได้ถึงขนาดนี้ แป้งเต็มที่แล้ว ""แป้งแค่ขอความเห็นใจ และขอกำลังใจ จากแฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยแป้งและสภากรรมการ แต่เรื่องหนี้สินมันไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแป้ง แต่แป้งต้องมารับทุกสิ่งทุกอย่าง แป้งเป็นคน และเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนกัน"ถ้าเราพูดกันแบบตรงๆ เลย ตลอด 1 ปีของมาดามแป้ง เธอก็มีผลงานไม่เลวหลายอย่าง เช่น พาทีมชาติไทยมีอันดับโลกต่ำกว่าร้อย ครั้งแรกในรอบ 16 ปี, หาเงินมาจ่ายให้สโมสรไทยลีกได้สำเร็จ รวมถึง จัดงานฟีฟ่า คองเกรสได้เยี่ยมจนได้รับคำชมแน่นอน มาดามแป้งไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ทุกคนทราบดี เรื่องโปรแกรมเลื่อนไทยลีกจนชุลมุน เธอก็ยังจัดการไม่ดีนัก แต่อย่างน้อย การต่อสู้ในสภาพที่สมาคมเจอหนี้มหาศาลขนาดนี้ ถือว่าโอเคแล้วสำหรับเรื่องการใช้หนี้ เมื่อศาลมีฎีกามาแล้ว ยังไงก็ต้องหาเงินมาชดใช้ โชคดีที่ทางมาดามแป้ง กับ ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามสปอร์ต สนิทสนมกันดี ก็อาจจะพอประนีประนอม ยืดเวลาจ่ายกันได้อยู่จริงอยู่ แม้ศาลจะระบุว่า คนที่ต้องใช้หนี้ คือสมาคมฟุตบอลซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่มาดามแป้งรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ ไม่แฟร์เลยที่ พล.ต.อ.สมยศ จะรอดไปดื้อๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรดังนั้นเธอจึงศึกษาข้อมูล และค้นพบว่ามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า "นิติบุคคลที่ต้องชดใช้ความเสียหาย สามารถไล่เบี้ย ฟ้องร้องคืนจากคนที่ก่อความเสียหายได้" มาดามแป้ง จึงเตรียมฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ในมาตรา 76 นี้ โทษฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยพลการ จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับสมาคม เรื่องนี้จะขึ้นสู่ศาลแน่นอน ก็ต้องมาดูกันว่า สมาคมฟุตบอลจะสามารถทวงเงินคืนสักก้อน จากพล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการชุดเก่าได้หรือไม่ ---------------ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ไฮไลท์ของจริง ที่มาดามแป้งอยากเล่า ไม่ใช่คดีของสยามสปอร์ต แต่เป็นการแฉพล.ต.อ.สมยศ แบบ "เละ" อัดทุกอย่างจนกระจุยไปหมด ในวันแรกที่มาดามแป้งมารับงานเป็นนายกสมาคมคนใหม่ เมื่อเจอหนี้สินร้อยล้านกว่าบาท ทำให้เธอตั้งคำถามว่า แล้วเงินก้อนต่างๆ ที่สมาคมได้รับมาก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมด?ทำให้เธอตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจชื่อ "คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดเลย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีฟอกเงิน มาไล่เช็กรายรับ-รายจ่าย ของสมาคมยุคก่อนว่า เงินมันไปอยู่ไหนบ้างสิ่งที่ค้นเจอจากการตรวจสอบมีหลายอย่าง ที่แปลก [ เรื่องแปลกอย่างที่ 1 ] คดีที่สมาคม ฟ้อง สยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความเอาไว้ และมีการตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อยศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท เป็นค่าวิชาชีพของทีมทนายความในศาลชั้นต้น กับ ศาลอุทธรณ์ก็จ่ายกันไป ตามราคา แต่พอถึงศาลฎีกา (ที่ศาลไม่รับฟ้องด้วย) จากตัวเลขที่ตกลงกัน 3 แสนบาท อยู่ๆ ทางสมาคมไปจ่ายให้ทนายความ เป็นจำนวน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ 100 เท่าโดยการจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือ ที่จะว่าความด้วยราคา 30 ล้านบาท? แล้วทำไมถึงจ่ายแพงกว่าร้อยเท่าจากเดิมที่ตกลงกัน นี่คือการ "ทิ้งทวน" เอาเงินก้อนสุดท้าย ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือเปล่า ก็ไม่สามารถตอบได้[ เรื่องแปลกอย่างที่ 2 ] ทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาดามแป้งเข้ามาทำงานในปีแรก ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์เท่านั้น หายไป 5 แสนเหรียญทีมงานของมาดามแป้งจึงไปค้นข้อมูล ปรากฏว่า สมาคมยุคพล.ต.อ.สมยศ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (155 ล้านบาท)ฟีฟ่าจ่ายให้ 5 ล้านดอลลาร์ตามคำขอ โดยแจ้งสมาคมให้ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่าย 10 ปี (2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์ ซึ่งทางฟีฟ่าจะหักเอาเลย จากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปีนั่นคือเหตุผลที่สมาคมยุคมาดามแป้ง จะเงินหายไป 5 แสนเหรียญ (16.8 ล้านบาท) ทุกปี จนถึงปี 2573นี่เป็นเรื่องที่มาดามแป้งเฮิร์ทมาก เพราะเธอหมดวาระนายกสมาคม ในปี 2571 เท่ากับว่าเธอต้องจ่าย 5 แสนเหรียญที่ พล.ต.อ.สมยศก่อขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนจบวาระของเธอเลยด้วยซ้ำขณะที่ 5 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากฟีฟ่าตอนแรกสุด ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวว่าเอามาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง[ เรื่องแปลกอย่างที่ 3 ]พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับบริษัท Perform จากมาเลเซียทั้งสองอย่างคือ สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนใบเหลือง-ใบเหลือง, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, ระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน ข้อมูลเหล่านี้ สามารถเอาไปใช้ในอะไรก็ได้ เช่น เอาไปสร้างเกมแฟนตาซี, เอาไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับโต๊ะพนัน หรือถ้าคิด worst case คือเอาสถิติเหล่านี้มาศึกษาทั้งไทยลีก หรือทีมชาติก็ได้ เพื่อที่ชาติเพื่อนบ้านจะได้แซงหน้าเราไปได้ในอนาคต พล.ต.อ.สมยศ ขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งมาดามแป้ง พยายามขอซื้อคืน เพราะไม่อยากให้ข้อมูลบอลไทยรั่วไหล แต่บริษัท Perform ไม่ขาย เงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ก้อนนี้ "ไม่รู้อยู่ไหน" แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันเป็นข้อมูลภายในของฟุตบอลไทย ที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่รู้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลเหมือนกัน[ เรื่องแปลกอย่างที่ 4 ]ในวงการฟุตบอลไทยนั้น เป็นธรรมเนียม ที่นายกสมาคมจะไม่รับเงินเดือนกัน คือผมไม่ได้บอกว่า ดีหรือเปล่า แต่ธรรมเนียมปฏิบัติเขาทำกันมาแบบนี้ คนที่ลงสมัครนายกสมาคมจะรู้แต่แรกโดยธรรมชาติอย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม โดยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เป็นจำนวน 5 แสนบาท ไม่เพียงแค่นั้น ยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 5 แสนบาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 1 ล้านบาทเคยมีคนไปสอบถามในเรื่องนี้ แต่พล.ต.อ.สมยศ ก็อธิบายว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ไม่ได้เอาไปทั้งหมดขนาดนั้นปัญหาในเรื่องนี้คือ ทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้ และ "ยังไม่พบ" จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้อยู่ไหน ไม่รู้ว่ามีการบริจาคจริงตามที่พูดหรือเปล่า---------------มาดามแป้งใช้เวลาแถลงข่าวทั้งหมด 64 นาที เล่าทุกอย่าง แบบตรงไปตรงมา เธอยืนยันว่า "ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว กับ พล.ต.อ.สมยศ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อทวงเงินที่เป็นของสมาคมกลับคืนมา เพราะสมาคมฟุตบอลต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้" ทีนี้ เมื่อฝั่งสมาคมโจมตีใส่อย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ถึงคิวของ พล.ต.อ.สมยศ ต้องออกมาอธิบายตัวเอง ว่าข้อสงสัยต่างๆ ที่มาดามแป้งพูดถึงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่าทนาย 30 ล้าน มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละน่าคิดนะ ว่าเงินก้อนโตที่เข้าออกสมาคม จำนวนมากกว่าร้อยล้าน สุดท้ายมันหายไปไหนหมด ทำไมเหลือแต่หนี้สินทิ้งเอาไว้สำหรับประเด็นที่เราต้องติดตาม มีหลายอย่าง เช่น ในปี 2571 ที่จะหมดสัญญากับผู้ถือสิทธิประโยชน์รายปัจจุบัน (แพลนบี) และ เจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อแข่งทีมชาติ (วอร์ริกซ์) สมาคมจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะเซ็นกัน 8 ปีแบบเดิมอีกไหม รวมถึง การเจรจาหาทางชำระหนี้สยามสปอร์ตจะทำอย่างไร เมื่อไม่มีเงินในบัญชีเลย จะเล่นแร่แปรธาตุ หาเงินจากไหนได้บ้าง? นี่คือช่วงเวลาที่มาดามแป้งต้องใช้กลยุทธ์ธุรกิจทุกอย่าง รวมถึงคอนเน็กชั่นทั้งหมดที่เธอมี ในการประคองให้สมาคมรอดพ้นวิกฤติไปให้ได้หลังจบงานแถลงข่าว มาดามแป้งเดินมาขอบคุณสื่อมวลชน และพอเธอเดินมาถึง ผมถามเธอว่า "เจอแบบนี้ ภาระหนี้สินหลายร้อยล้านที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เคยคิดจะลาออกไหมครับ?" มาดามแป้ง หยุดคิด แล้วตอบผมว่า "เคยคิดนะคะ" "แต่เราได้กำลังใจจากคนมากมาย นายกสมาคมประเทศอื่นในเอเชีย ก็บอกว่าอยู่ต่อเถอะ เพราะเราทำงานได้ดีแล้ว มันก็เลยมีพลังที่จะสู้ต่อ""และที่สำคัญ ถ้าเราไม่ทำ ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้ แล้วจะปล่อยให้ใครจะมาแก้ ดังนั้นก็ต้องสู้ค่ะ"ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการแถลงข่าว ที่เดือดดาลที่สุดของสมาคมฟุตบอล มาดามแป้งเริ่มด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้มในการแถลงผลงาน ตามด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำตาเข้าใจเธอครับ ถ้าอยู่ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินร้อยล้านแบบไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ คงทั้งแค้น ทั้งเศร้าเป็นธรรมดาการเป็นผู้นำองค์กร ที่ต้องแบกรับความคาดหวังทุกอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ วันนี้มาดามแป้งทำให้เห็นว่า เธอก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความอ่อนไหว เสียใจได้ ร้องไห้เป็น แต่แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วแก้ปัญหากันต่อปิดท้ายในเรื่องนี้ สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือ ความโปร่งใสของอดีตนายกฯ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เข้ามารับตำแหน่ง กับสโลแกนว่า "มาจับโจร" แต่ตอนนี้กลับโดนข้อครหามากมาย เหมือนว่าเขาเป็นโจรเสียเองสมมุติว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตลอด ก็ไม่เห็นต้องกลัวการตรวจสอบ คนซื่อสัตย์ย่อมต้องหาคำอธิบายทุกอย่างได้อยู่แล้ว แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีจิตใจคิดทุจริต หวังใช้สมาคมฟุตบอลในการกอบโกยผลประโยชน์ล่ะก็ รับรองได้ว่าเรื่องนี้ จะไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอนเพราะถ้าหากคนเป็นผู้นำ ยังไม่ตรงไปตรงมา มีนอกมีในอยู่ตลอด แล้วอนาคตของวงการฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร ... แค่คิดก็สิ้นหวังแล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลสำรวจใหม่จาก PwC เผยให้เห็นว่าทั้งนักลงทุนและผู้บริหารทั่วโลกมีความหวังต่ออนาคตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโตทางธุรกิจ

    จากการสำรวจ พบว่า 74% ของนักลงทุนมองว่า AI โดยเฉพาะ Generative AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในองค์กร และ 61% ของ CEO ทั่วโลกยังเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตจากการนำ AI มาใช้งาน พวกเขายังมองว่า AI มีศักยภาพในด้านการขยายธุรกิจ การวัด ROI การสร้างมุมมองที่ดีต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการเพิ่มผลกระทบเชิงบวกต่อพนักงาน

    สิ่งที่น่าสนใจคือ นักลงทุนนั้นต้องการเห็นการพัฒนาทักษะของพนักงานควบคู่ไปกับการนำ AI มาใช้ โดย 77% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าการพัฒนาทักษะของบุคลากรสำคัญมากกว่าการติดตั้ง AI ในวงกว้าง เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีและมนุษย์ในยุคที่ AI ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

    อย่างไรก็ตาม ความกังวลยังคงมีอยู่ เช่น ความผันผวนทางเศรษฐกิจ (39%) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (35%) และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (34%) แต่นักลงทุนส่วนใหญ่เห็นว่าการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนและการร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่นก็เป็นประเด็นสำคัญ

    ทิศทางนี้ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เพียงเน้นด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคนและกลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาว

    https://www.techradar.com/pro/business-investors-are-positive-about-ais-impact-on-the-economy
    ผลสำรวจใหม่จาก PwC เผยให้เห็นว่าทั้งนักลงทุนและผู้บริหารทั่วโลกมีความหวังต่ออนาคตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโตทางธุรกิจ จากการสำรวจ พบว่า 74% ของนักลงทุนมองว่า AI โดยเฉพาะ Generative AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในองค์กร และ 61% ของ CEO ทั่วโลกยังเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตจากการนำ AI มาใช้งาน พวกเขายังมองว่า AI มีศักยภาพในด้านการขยายธุรกิจ การวัด ROI การสร้างมุมมองที่ดีต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการเพิ่มผลกระทบเชิงบวกต่อพนักงาน สิ่งที่น่าสนใจคือ นักลงทุนนั้นต้องการเห็นการพัฒนาทักษะของพนักงานควบคู่ไปกับการนำ AI มาใช้ โดย 77% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าการพัฒนาทักษะของบุคลากรสำคัญมากกว่าการติดตั้ง AI ในวงกว้าง เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีและมนุษย์ในยุคที่ AI ขยายตัวอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ความกังวลยังคงมีอยู่ เช่น ความผันผวนทางเศรษฐกิจ (39%) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (35%) และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (34%) แต่นักลงทุนส่วนใหญ่เห็นว่าการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนและการร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่นก็เป็นประเด็นสำคัญ ทิศทางนี้ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เพียงเน้นด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคนและกลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาว https://www.techradar.com/pro/business-investors-are-positive-about-ais-impact-on-the-economy
    WWW.TECHRADAR.COM
    Business investors are positive about AI’s impact on the economy
    Investors and CEOs anticipate economic growth, fuelled by AI
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • IBM ได้จดสิทธิบัตรเกี่ยวกับ "4D Printing" ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อยอดจากเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ แต่เพิ่มความสามารถให้วัสดุที่พิมพ์สามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกได้ เช่น อุณหภูมิ แสง แม่เหล็ก หรือกระแสไฟฟ้า

    หัวใจสำคัญของการค้นพบนี้คือการใช้วัสดุอัจฉริยะ เช่น โลหะที่จดจำรูปร่างได้หรือโพลิเมอร์พิเศษ ที่สามารถเปลี่ยนรูปทรงและกลับคืนสู่สภาพเดิมได้เมื่อได้รับสิ่งเร้าที่เหมาะสม โดยใช้เทคนิคนี้ร่วมกับอัลกอริทึม Machine Learning ทำให้วัสดุสามารถเคลื่อนย้ายอนุภาคขนาดเล็ก (ตั้งแต่ 1 ถึง 100 ไมครอน) ไปยังจุดหมายได้อย่างแม่นยำ และลดการพึ่งพาการควบคุมโดยมนุษย์

    สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือศักยภาพในการใช้งานจริง เช่น การขนส่งยาไปยังเซลล์ที่เฉพาะเจาะจงในร่างกาย การผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก หรือแม้กระทั่งการสร้างชิ้นส่วนสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ในรูปแบบใหม่ เทคโนโลยีนี้ยังสามารถเดินทางผ่านสื่อหลากหลายชนิดได้ เช่น ในระบบไหลเวียนโลหิตหรือทางเดินอาหาร ซึ่งทำให้เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมการแพทย์และการผลิต

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/ibm-secures-patent-for-4d-printing-smart-material-uses-ml-for-transporting-microparticles
    IBM ได้จดสิทธิบัตรเกี่ยวกับ "4D Printing" ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อยอดจากเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ แต่เพิ่มความสามารถให้วัสดุที่พิมพ์สามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกได้ เช่น อุณหภูมิ แสง แม่เหล็ก หรือกระแสไฟฟ้า หัวใจสำคัญของการค้นพบนี้คือการใช้วัสดุอัจฉริยะ เช่น โลหะที่จดจำรูปร่างได้หรือโพลิเมอร์พิเศษ ที่สามารถเปลี่ยนรูปทรงและกลับคืนสู่สภาพเดิมได้เมื่อได้รับสิ่งเร้าที่เหมาะสม โดยใช้เทคนิคนี้ร่วมกับอัลกอริทึม Machine Learning ทำให้วัสดุสามารถเคลื่อนย้ายอนุภาคขนาดเล็ก (ตั้งแต่ 1 ถึง 100 ไมครอน) ไปยังจุดหมายได้อย่างแม่นยำ และลดการพึ่งพาการควบคุมโดยมนุษย์ สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือศักยภาพในการใช้งานจริง เช่น การขนส่งยาไปยังเซลล์ที่เฉพาะเจาะจงในร่างกาย การผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก หรือแม้กระทั่งการสร้างชิ้นส่วนสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ในรูปแบบใหม่ เทคโนโลยีนี้ยังสามารถเดินทางผ่านสื่อหลากหลายชนิดได้ เช่น ในระบบไหลเวียนโลหิตหรือทางเดินอาหาร ซึ่งทำให้เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมการแพทย์และการผลิต https://www.tomshardware.com/3d-printing/ibm-secures-patent-for-4d-printing-smart-material-uses-ml-for-transporting-microparticles
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    IBM secures patent for 4D printing — smart material uses ML for transporting microparticles
    A machine learning algorithm controls the 3D printer material to transport microparticles practically anywhere.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft เพิ่งประกาศว่าจะหยุดการสนับสนุนแอปพลิเคชัน Remote Desktop (ที่มีใน Microsoft Store) อย่างเป็นทางการในวันที่ 27 พฤษภาคม โดยแอปนี้จะถูกแทนที่ด้วย Windows App ตัวใหม่ ซึ่งออกแบบมาให้ตอบโจทย์การใช้งานในองค์กรและสถาบันการศึกษาโดยเฉพาะ

    Windows App นี้สามารถเชื่อมต่อกับ Azure Virtual Desktop, Windows 365, Microsoft Dev Box และบริการ Remote Desktop ต่าง ๆ ได้ โดยสามารถใช้งานผ่านอุปกรณ์หลากหลาย ตั้งแต่คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน ไปจนถึงเบราว์เซอร์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตัวแอปยังไม่รองรับ Remote Desktop Services และการเชื่อมต่อ Remote PC บนระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ผู้ใช้งานต้องหันไปใช้แอป Remote Desktop Connection ที่มีอยู่ในระบบปฏิบัติการ Windows แทน

    Microsoft พยายามผลักดัน Windows App ให้เป็น "ศูนย์กลางที่รวมทุกการเข้าถึงระบบ Windows" โดยเปิดตัวเวอร์ชันทางการเมื่อเดือนกันยายนปี 2024 แต่แม้ว่าแอปจะอยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นเวลาหลายปี มันยังคงมีข้อจำกัดสำคัญอยู่ ซึ่ง Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้งานตรวจสอบปัญหาที่อาจกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ในเว็บไซต์ของพวกเขา

    https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/microsoft-replacing-remote-desktop-app-with-windows-app-in-may/
    Microsoft เพิ่งประกาศว่าจะหยุดการสนับสนุนแอปพลิเคชัน Remote Desktop (ที่มีใน Microsoft Store) อย่างเป็นทางการในวันที่ 27 พฤษภาคม โดยแอปนี้จะถูกแทนที่ด้วย Windows App ตัวใหม่ ซึ่งออกแบบมาให้ตอบโจทย์การใช้งานในองค์กรและสถาบันการศึกษาโดยเฉพาะ Windows App นี้สามารถเชื่อมต่อกับ Azure Virtual Desktop, Windows 365, Microsoft Dev Box และบริการ Remote Desktop ต่าง ๆ ได้ โดยสามารถใช้งานผ่านอุปกรณ์หลากหลาย ตั้งแต่คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน ไปจนถึงเบราว์เซอร์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตัวแอปยังไม่รองรับ Remote Desktop Services และการเชื่อมต่อ Remote PC บนระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ผู้ใช้งานต้องหันไปใช้แอป Remote Desktop Connection ที่มีอยู่ในระบบปฏิบัติการ Windows แทน Microsoft พยายามผลักดัน Windows App ให้เป็น "ศูนย์กลางที่รวมทุกการเข้าถึงระบบ Windows" โดยเปิดตัวเวอร์ชันทางการเมื่อเดือนกันยายนปี 2024 แต่แม้ว่าแอปจะอยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นเวลาหลายปี มันยังคงมีข้อจำกัดสำคัญอยู่ ซึ่ง Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้งานตรวจสอบปัญหาที่อาจกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ในเว็บไซต์ของพวกเขา https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/microsoft-replacing-remote-desktop-app-with-windows-app-in-may/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Microsoft replacing Remote Desktop app with Windows App in May
    Microsoft announced that it will drop support for the Remote Desktop app (available via the Microsoft Store) on May 27 and replace it with its new Windows App.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts