• สหรัฐถูกหั่นเรตติ้งทำเกิดปรากฎการณ์ “sell us” : คนเคาะข่าว 22-06-68
    อุษณีย์ เอกอุษณีย์ / อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร
    #คนเคาะข่าว #สหรัฐถูกลดเรตติ้ง #SellUS #เศรษฐกิจสหรัฐ #วิกฤตการเงิน #ข่าวเศรษฐกิจโลก #วิเคราะห์เศรษฐกิจ #สุดาทิพย์จารุจินดา #อุษณีย์เอกอุษณีย์ #Geopolitics #thaitimes #เครดิตเรทติ้ง #ตลาดทุนสหรัฐ #การเงินโลก #นโยบายการเงินสหรัฐ
    สหรัฐถูกหั่นเรตติ้งทำเกิดปรากฎการณ์ “sell us” : คนเคาะข่าว 22-06-68 อุษณีย์ เอกอุษณีย์ / อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร #คนเคาะข่าว #สหรัฐถูกลดเรตติ้ง #SellUS #เศรษฐกิจสหรัฐ #วิกฤตการเงิน #ข่าวเศรษฐกิจโลก #วิเคราะห์เศรษฐกิจ #สุดาทิพย์จารุจินดา #อุษณีย์เอกอุษณีย์ #Geopolitics #thaitimes #เครดิตเรทติ้ง #ตลาดทุนสหรัฐ #การเงินโลก #นโยบายการเงินสหรัฐ
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 313 มุมมอง 5 0 รีวิว
  • RBC ตั้งทีม AI ใหม่เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีในตลาดทุน

    Royal Bank of Canada (RBC) ประกาศจัดตั้งทีม AI และนวัตกรรมดิจิทัลใหม่ในหน่วยงานตลาดทุน โดยมีเป้าหมายเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต ทีมนี้จะมีศูนย์กลางอยู่ใน นิวยอร์ก, โตรอนโต และลอนดอน และรายงานตรงต่อ Lindsay Patrick ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็น Chief Strategy and Innovation Officer

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับทีม AI ใหม่ของ RBC
    ✅ ทีม AI และนวัตกรรมดิจิทัลจะช่วยพัฒนาโซลูชันที่ใช้ AI ในตลาดทุน
    - มุ่งเน้นไปที่ การวิเคราะห์ข้อมูล, การบริหารความเสี่ยง และการเพิ่มประสิทธิภาพการซื้อขาย

    ✅ ศูนย์กลางของทีมตั้งอยู่ในสามเมืองหลัก ได้แก่ นิวยอร์ก, โตรอนโต และลอนดอน
    - ช่วยให้ สามารถเข้าถึงตลาดการเงินระดับโลกและพัฒนาเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว

    ✅ Lindsay Patrick ได้รับแต่งตั้งเป็น Chief Strategy and Innovation Officer
    - มีประสบการณ์ด้าน กลยุทธ์และนวัตกรรมในตลาดทุน

    ✅ RBC มองว่า AI เป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต
    - คาดว่า AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการดำเนินงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/22/rbc-sets-up-new-ai-team-for-capital-markets-unit
    RBC ตั้งทีม AI ใหม่เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีในตลาดทุน Royal Bank of Canada (RBC) ประกาศจัดตั้งทีม AI และนวัตกรรมดิจิทัลใหม่ในหน่วยงานตลาดทุน โดยมีเป้าหมายเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต ทีมนี้จะมีศูนย์กลางอยู่ใน นิวยอร์ก, โตรอนโต และลอนดอน และรายงานตรงต่อ Lindsay Patrick ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็น Chief Strategy and Innovation Officer 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับทีม AI ใหม่ของ RBC ✅ ทีม AI และนวัตกรรมดิจิทัลจะช่วยพัฒนาโซลูชันที่ใช้ AI ในตลาดทุน - มุ่งเน้นไปที่ การวิเคราะห์ข้อมูล, การบริหารความเสี่ยง และการเพิ่มประสิทธิภาพการซื้อขาย ✅ ศูนย์กลางของทีมตั้งอยู่ในสามเมืองหลัก ได้แก่ นิวยอร์ก, โตรอนโต และลอนดอน - ช่วยให้ สามารถเข้าถึงตลาดการเงินระดับโลกและพัฒนาเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว ✅ Lindsay Patrick ได้รับแต่งตั้งเป็น Chief Strategy and Innovation Officer - มีประสบการณ์ด้าน กลยุทธ์และนวัตกรรมในตลาดทุน ✅ RBC มองว่า AI เป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต - คาดว่า AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการดำเนินงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/22/rbc-sets-up-new-ai-team-for-capital-markets-unit
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Canadian lender RBC sets up new AI team for capital markets unit
    TORONTO (Reuters) -Royal Bank of Canada's capital markets wing has established a new artificial intelligence and digital innovation team as it bets on AI to boost future growth, the Canadian lender told Reuters on Wednesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..นายกฯพระราชทานทางพิเศษจริงๆจึงพอจะสามารถทันทีลงหน้างานทำงานทำความสะอาดสิ่งไม่ดีต่างๆที่เกิดบน ปะปนคนไทยบนแผ่นดินไทยได้และทำจริงมันง่ายนิดเดียว และสะอาดอย่างรวดเร็วด้วย,ต่างชาติที่เข้ามาอยู่บนแผ่นดินไทยจะจีนเทา แขกเทา ฝรั่งเทา หรือใครๆเทาๆหรือมาจากการเขียนกฎหมายที่ปัญญาอ่อนสอดไส้หมายทำลายความมั่นคงในวิถีชีวิตคนไทย,สัมมาอาชีพทำตังทำรายได้ให้คนไทยยืนด้วยขาตนเองได้ มาแย่งชิงคนไทยบนแผ่นดินไทย มาอาศัยอยู่บนแผ่นดินอพยพสร้างบ้านเมืองกลืนกินประชาชนคนไทย เป็นต้น เหล่านี้สามารถโมฆะเก็บกวาดฉีกทิ้งแล้วทำเพื่อลูกหลานประชาชนคนไทยให้ถูกทางได้อย่างปกติแบะง่ายดายได้ในการบริหารจัดการของนายกฯพระราชทานเราแน่นอน,
    ..อย่าปล่อยให้เนินนานอีกเลย สงครามโลกยุคนี้คือตังหรือวลีคำว่าเศรษฐกิจนั้นล่ะ,ทำเศรษฐีนี้ล่ะใครรวยใครมีตังกว่าก็อยู่ในระบบทาสตังปลอดภัย เศรษฐกิจ&วิถีคนมีตัง สงครามวิถีคนมีตัง สงครามโลกห้ามยากจนก็ว่า ไม่มีตังต่างชาติต่างๆมันยกทัพมาตีเอาที่ดินตีเอาแผ่นดินไทยใช้ตังซื้อทั้งแผ่นดินไทยทางตรงและซื้อทางอ้อมแบบผ่านนอมินีคนทรยศในประเทศไทย ซื้อผ่านตลาดเงินตลาดทุน ซื้อที่ดินผ่านกิจการบริษัทต่างๆเพราะกิจการบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นเจ้าของที่ดินตั้งบนแผ่นดินไทยทุกๆรายแน่นอน,ถีบคนไทยในบริษัทนั่นๆออก นำคนต่างชาติตนมาเป็นนอมินีลับๆไม่เปิดเผยเพื่อครอบงำบริหารจัดการได้หมด,ตลอดซื้อเจ้าหน้าที่ไทยคนข้าราชการไทยที่สามารถทรยศระบบได้ด้วยตังด้วยได้,คนข้าราชการเหล่านีัสามารถไม่กระทำหน้าที่ปกติได้,เมื่อไม่ปกติคือไม่ซื่อสัตย์ทันทีนั้นเองจะซื่อสัตย์ต่อต่างชาติที่ซื่อตัวด้วยตังทันที,นายกฯพระราชทานเห็นชัดแจ้งได้หมดล่ะ กวาดล้างพวกนี้ทั้งวงการก็สะดวกและง่ายแน่นอน จะวงการทหารตำรวจตัวแรกในการจัดการก็ง่ายๆเช่นกัน
    ..นายกฯพระราชทานจึงต้องรีบมาทำงานเพื่อชาติไทยเราทันทีเพราะนายกฯที่มาจากการเลือกตั้งล้มเหลวแล้วเปรียบคือเป็นภัยต่อบ้านนี้แล้ว ผีบ้าไม่รู้จะจุดเผาบ้านด้วยไฟตอนไหน,ไหม้หมดบ้านนั้นเอง กำลังเริ่มจุดทั่วบ้านแล้วด้วย พาข้างๆบ้านมาร่วมจุดร่วมมาเผาบ้านตนเองด้วยมันผีบ้าขนาดไหนล่ะ.
    ..
    ..https://youtube.com/shorts/GknGVmyPVzY?si=cNQzMSkyvUBXNkxh
    ..นายกฯพระราชทานทางพิเศษจริงๆจึงพอจะสามารถทันทีลงหน้างานทำงานทำความสะอาดสิ่งไม่ดีต่างๆที่เกิดบน ปะปนคนไทยบนแผ่นดินไทยได้และทำจริงมันง่ายนิดเดียว และสะอาดอย่างรวดเร็วด้วย,ต่างชาติที่เข้ามาอยู่บนแผ่นดินไทยจะจีนเทา แขกเทา ฝรั่งเทา หรือใครๆเทาๆหรือมาจากการเขียนกฎหมายที่ปัญญาอ่อนสอดไส้หมายทำลายความมั่นคงในวิถีชีวิตคนไทย,สัมมาอาชีพทำตังทำรายได้ให้คนไทยยืนด้วยขาตนเองได้ มาแย่งชิงคนไทยบนแผ่นดินไทย มาอาศัยอยู่บนแผ่นดินอพยพสร้างบ้านเมืองกลืนกินประชาชนคนไทย เป็นต้น เหล่านี้สามารถโมฆะเก็บกวาดฉีกทิ้งแล้วทำเพื่อลูกหลานประชาชนคนไทยให้ถูกทางได้อย่างปกติแบะง่ายดายได้ในการบริหารจัดการของนายกฯพระราชทานเราแน่นอน, ..อย่าปล่อยให้เนินนานอีกเลย สงครามโลกยุคนี้คือตังหรือวลีคำว่าเศรษฐกิจนั้นล่ะ,ทำเศรษฐีนี้ล่ะใครรวยใครมีตังกว่าก็อยู่ในระบบทาสตังปลอดภัย เศรษฐกิจ&วิถีคนมีตัง สงครามวิถีคนมีตัง สงครามโลกห้ามยากจนก็ว่า ไม่มีตังต่างชาติต่างๆมันยกทัพมาตีเอาที่ดินตีเอาแผ่นดินไทยใช้ตังซื้อทั้งแผ่นดินไทยทางตรงและซื้อทางอ้อมแบบผ่านนอมินีคนทรยศในประเทศไทย ซื้อผ่านตลาดเงินตลาดทุน ซื้อที่ดินผ่านกิจการบริษัทต่างๆเพราะกิจการบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นเจ้าของที่ดินตั้งบนแผ่นดินไทยทุกๆรายแน่นอน,ถีบคนไทยในบริษัทนั่นๆออก นำคนต่างชาติตนมาเป็นนอมินีลับๆไม่เปิดเผยเพื่อครอบงำบริหารจัดการได้หมด,ตลอดซื้อเจ้าหน้าที่ไทยคนข้าราชการไทยที่สามารถทรยศระบบได้ด้วยตังด้วยได้,คนข้าราชการเหล่านีัสามารถไม่กระทำหน้าที่ปกติได้,เมื่อไม่ปกติคือไม่ซื่อสัตย์ทันทีนั้นเองจะซื่อสัตย์ต่อต่างชาติที่ซื่อตัวด้วยตังทันที,นายกฯพระราชทานเห็นชัดแจ้งได้หมดล่ะ กวาดล้างพวกนี้ทั้งวงการก็สะดวกและง่ายแน่นอน จะวงการทหารตำรวจตัวแรกในการจัดการก็ง่ายๆเช่นกัน ..นายกฯพระราชทานจึงต้องรีบมาทำงานเพื่อชาติไทยเราทันทีเพราะนายกฯที่มาจากการเลือกตั้งล้มเหลวแล้วเปรียบคือเป็นภัยต่อบ้านนี้แล้ว ผีบ้าไม่รู้จะจุดเผาบ้านด้วยไฟตอนไหน,ไหม้หมดบ้านนั้นเอง กำลังเริ่มจุดทั่วบ้านแล้วด้วย พาข้างๆบ้านมาร่วมจุดร่วมมาเผาบ้านตนเองด้วยมันผีบ้าขนาดไหนล่ะ. .. ..https://youtube.com/shorts/GknGVmyPVzY?si=cNQzMSkyvUBXNkxh
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • 14 พฤษภาคม 2568 -อดีตรัฐมนตรีคลัง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล วิเคราะห์เรื่องสำคัญในประเด็น“ประเทศชาติได้อะไรจาก G-token“[เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติวิธีการกู้เงินโดยการออกโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (Government Token: G-Token) ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548อนุมัติให้กระทรวงการคลังออกโทเคนดิจิทัลโดยวงเงินกู้ตามกรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณด้วยวิธีการเสนอขายให้แก่ผู้มีสิทธิซื้อโดยตรงผ่านผู้ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือนิติบุคคลอื่นที่สามารถรับคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำและการออกโทเคนดิจิทัล นายทะเบียน หรือผู้รับฝากโทเคนดิจิทัล เป็นต้นให้กระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์การชำระระดอกเบี้ยและการใช้เงินตามโทเคนดิจิทัล โดยให้กระทรวงการคลังหรือนิติบุคคลอื่นใดที่กระทรวงการคลังมอบหมาย โอนเงินให้แก่ผู้ถือโทเคน ดิจิทัลหรือผู้รับตามที่นายทะเบียนกำหนด ให้การโอนโทเคนดิจิทัลดำเนินการตามวิธีการที่ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือนิติบุคคลอื่นใดที่สามารถรับคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้โอนได้เปิดบัญชีเก็บรักษาโทเคนดิจิทัลของตนไว้โดยให้มีผลสมบูรณ์เมื่อผู้โอนนั้นได้บันทึกการรับโอนโทเคนดิจิทัลเข้าไปในบัญชีของผู้รับโอนแล้ว เพื่อนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการพัฒนากลไกการบริหารหนี้สาธารณะให้มีประสิทธิภาพและภาครัฐสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายมากขึ้น ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการออมของภาคประชาชน อันสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มีคุณภาพ มั่นคง ปลอดภัย ครอบคลุมเพียงพอ และเข้าถึงได้ทั้งในด้านพื้นที่และราคา เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง สำนักงาน ก.ล.ต. เห็นว่า หาก กค. พิจารณาได้ว่าการกู้เงินโดยวิธีการออก G-Token ไม่ใช่การออกตราสารหนี้ ซึ่งไม่เป็น “หลักทรัพย์” ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 แล้ว ก็สามารถดำเนินการภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 โดย G-Token มีการกำหนดสิทธิให้ผู้ถือมีสิทธิได้รับชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่ กค. กำหนด จึงมีลักษณะเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือ กิจการใด ๆ หรือกำหนดสิทธิในการได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการหรือสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง และเข้าข่ายเป็นโทเคนดิจิทัล ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561]**ถามว่า ประเทศชาติได้อะไรจาก G-token?+เรื่อง การนำประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลการนำประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลให้สำเร็จนั้น มีเรื่องที่ต้องดำเนินการด้านโครงสร้างพื้นฐานก่อนหลายอย่าง (ดูรูป) กล่าวคือ (1) ต้องช่วยให้ประชากรเข้าถึงระบบอินเทอร์เนตอย่างกว้างขวาง (2) ต้องให้ความรู้ทั้งในระบบโรงเรียนและในกลุ่มประชาคม (3) ต้องพัฒนาธุรกิจการเงินแบบดิจิทัลให้กว้างขวางมากขึ้น (4) ต้องกระตุ้นคนรุ่นหนุ่มสาวให้ลองทำธุรกิจขนาดย่อมด้านดิจิทัลให้มากขึ้น และ (5) รัฐต้องให้บริการทางออนไลน์มากขึ้นรวมทั้งใช้บล็อกเชนในการบริหารราชการให้โปร่งใส หน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล คือพัฒนาให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ รวมไปถึงความแน่นอนด้านกฎหมายที่จะตีความกรณีเกิดข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับโทเคน และการนำโทเคนไปใช้เป็นหลักประกันส่วนการดำเนินการให้โทเคนเกิดขึ้นในหลักทรัพย์ต่างๆ (tokenization) อย่างหลากหลาย เพื่อนำไปสู่ตลาดทุนดิจิทัลนั้น จะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานครบถ้วนเสียก่อน ทั้ง stable coin สกุลบาท ทั้ง smart contract ทั้งระบบเคลียริ่งที่ปลอดภัย โดยภายหลังจากมีโครงสร้างพื้นฐานแน่นหนาแล้ว ก็จะเป็นหน้าที่ของเอกชนเป็นผู้ดำเนินการ สำหรับรัฐบาลเองไม่ควรมีหน้าที่ไปออกโทเคนของตนเอง ดังเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ยังไม่มีประเทศใดที่ระบบการเงินล้ำหน้า ที่รัฐบาลเป็นผู้ออกโทเคนของตนเองในการกู้หนี้สาธารณะ+เรื่อง การทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยซื้อพันธบัตรได้สะดวกวิธีการในการเปิดให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลนั้นมีอยู่แล้วในปัจจุบัน ด้วยกลไกผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงต้องชี้แจงให้ชัดเจนก่อนว่า G-Token จะเพิ่มความสะดวกอย่างใดแก่ผู้ลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องการขายคืน ซึ่งราคาในกองทุนรวมจะเป็นไปตามกติกาโดยมี ก.ล.ต. กำกับดูแล แต่กรณี G-Token ผู้ลงทุนจะต้องไปขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งราคาอาจจะผันผวนไปแต่ละชั่วโมงตามแรงเก็งกำไรได้แทนที่จะเป็นการชักจูงให้ผู้ลงทุนรายย่อย ลงทุนเพื่อออมเงินอย่างปลอดภัย ระวังจะกลับกลายเป็นเวทีเก็งกำไร ระวังจะกลายเป็นกาสิโนโทเคนดิจิทัล+เรื่อง ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548ถึงแม้มาตรา 10 วรรคหนึ่งเปิดช่อง ให้กู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นวิธีการอื่นใดก็ได้ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ แต่ข้อความก่อนหน้าซึ่งบัญญัติว่า “การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้หรือวิธีการอื่นใดก็ได้” นั้น คำว่า “วิธีการอื่นใด” น่าจะอยู่ในความหมายเดียวกับสัญญาหรือตราสารหนี้ ดังที่รายงานคณะรัฐมนตรีไว้ว่า “ปัจจุบัน การกู้เงินตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร ตั๋วเงินคลัง หรือหุ้นกู้”การที่ กค. พิจารณาได้ว่าการกู้เงินโดยวิธีการออก G-Token ไม่ใช่การออกตราสารหนี้ เพื่อไม่เป็นให้เป็น “หลักทรัพย์” ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 นั้น ผมเห็นว่าขัดกับเจตนารมย์ของพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548ทั้งนี้ โทเคนดิจิทัลซึ่งตามนิยามในมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 กำหนดเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือในการได้มาซึ่งสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง นั้น คำว่า token แปลว่า สัญลักษณ์ ดังเช่น non-fungible token (NFT) หมายถึงสัญลักษณ์ที่ไม่สามารถแทนกันได้ ตัวอย่างที่ใช้กรณีงานศิลปะ ดังนั้น G-Token จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนสัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลัง ตัว G-Token เองจึงไม่ใช่สัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลังผมจึงเห็นว่า ในเมื่อเป็นเพียงสัญลักษณ์แทน แต่ไม่ใช่สัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลัง จึงไม่เข้าข่ายนิยามใดในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และจะนำไปสู่ปัญหาข้อพิพาททางกฎหมายเกิดขึ้นได้ในภายหลัง+เรื่อง การปฏิบัติตามกฏหมายเงินตรายังมีจำเป็นจะต้องมีเงื่อนไขบังคับ เพื่อไม่ให้ผู้ถือ G-Token นำไปใช้เพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายแก่บุคคลอื่น เพราะจะเข้าข่ายเป็นเงินตราอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนกระทรวงการคลังต้องชี้แจงก่อนว่า จะมีมาตรการป้องกันไม่ให้ผู้ถือ G-Token นำไปใช้เพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายแก่บุคคลอื่นได้อย่างไร+เรื่อง การประหยัดค่าใช้จ่ายนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่าการออก G-Token จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินการ จากเดิมที่ออกพันธบัตรมีค่าธรรมเนียมดำเนินการจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 0.03% ของกรอบวงเงินจำหน่ายนั้น กระทรวงการคลังจะต้องแจกแจงก่อนว่า G-Token จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายจริงเท่าไหร่ ทั้งด้านกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องรวมไปถึงค่าใช้จ่ายทำหน้าที่เป็นนายทะเบียน ว่าต่ำกว่า ธปท. อย่างไร และทั้งด้านประชาชนผู้ลงทุนที่จะซื้อและขายคืน จะสูงหรือต่ำกว่ากลไกกองทุนรวมอย่างใดทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าเงินที่กระทรวงการคลังจ่ายแก่ ธปท. นั้นไม่รั่วไหลไปไหน เพราะ ธปท. เป็นองค์กรของรัฐ **กล่าวโดยสรุป ระบบการขายพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ของรัฐบาลที่มีอยู่แล้วขณะนี้โดยผ่านกลไก ธปท. นั้น ใช้งานได้ดีไม่เคยมีปัญหา ดังนั้น การที่กระทรวงการคลังจะเพิ่มแนวการกู้หนี้สาธารณะโดยใช้โทเคนดิจิทัลนั้น จะต้องชั่งน้ำหนักแสดงแก่ประชาชนก่อนว่า ผลได้คุ้มกับผลเสียหรือไม่ส่วนความหวังที่จะนำไปสู่ตลาดทุนดิจิทัลนั้น ควรนำเสนอต่อประชาชนก่อนว่า รัฐบาลมีแผนการพัฒนาองค์รวมด้านนี้เป็นอย่างไร ไม่ใช่เดินหน้าเพียงเสี้ยวเดียวในเรื่องของการจัดทำโทเคนของรัฐบาล ซึ่งจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีรัฐบาลอื่นใดในโลกที่ดำเนินการวันที่ 14 พฤษภาคม 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
    14 พฤษภาคม 2568 -อดีตรัฐมนตรีคลัง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล วิเคราะห์เรื่องสำคัญในประเด็น“ประเทศชาติได้อะไรจาก G-token“[เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติวิธีการกู้เงินโดยการออกโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (Government Token: G-Token) ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548อนุมัติให้กระทรวงการคลังออกโทเคนดิจิทัลโดยวงเงินกู้ตามกรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณด้วยวิธีการเสนอขายให้แก่ผู้มีสิทธิซื้อโดยตรงผ่านผู้ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือนิติบุคคลอื่นที่สามารถรับคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำและการออกโทเคนดิจิทัล นายทะเบียน หรือผู้รับฝากโทเคนดิจิทัล เป็นต้นให้กระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์การชำระระดอกเบี้ยและการใช้เงินตามโทเคนดิจิทัล โดยให้กระทรวงการคลังหรือนิติบุคคลอื่นใดที่กระทรวงการคลังมอบหมาย โอนเงินให้แก่ผู้ถือโทเคน ดิจิทัลหรือผู้รับตามที่นายทะเบียนกำหนด ให้การโอนโทเคนดิจิทัลดำเนินการตามวิธีการที่ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือนิติบุคคลอื่นใดที่สามารถรับคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้โอนได้เปิดบัญชีเก็บรักษาโทเคนดิจิทัลของตนไว้โดยให้มีผลสมบูรณ์เมื่อผู้โอนนั้นได้บันทึกการรับโอนโทเคนดิจิทัลเข้าไปในบัญชีของผู้รับโอนแล้ว เพื่อนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการพัฒนากลไกการบริหารหนี้สาธารณะให้มีประสิทธิภาพและภาครัฐสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายมากขึ้น ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการออมของภาคประชาชน อันสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มีคุณภาพ มั่นคง ปลอดภัย ครอบคลุมเพียงพอ และเข้าถึงได้ทั้งในด้านพื้นที่และราคา เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง สำนักงาน ก.ล.ต. เห็นว่า หาก กค. พิจารณาได้ว่าการกู้เงินโดยวิธีการออก G-Token ไม่ใช่การออกตราสารหนี้ ซึ่งไม่เป็น “หลักทรัพย์” ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 แล้ว ก็สามารถดำเนินการภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 โดย G-Token มีการกำหนดสิทธิให้ผู้ถือมีสิทธิได้รับชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่ กค. กำหนด จึงมีลักษณะเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือ กิจการใด ๆ หรือกำหนดสิทธิในการได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการหรือสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง และเข้าข่ายเป็นโทเคนดิจิทัล ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561]**ถามว่า ประเทศชาติได้อะไรจาก G-token?+เรื่อง การนำประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลการนำประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลให้สำเร็จนั้น มีเรื่องที่ต้องดำเนินการด้านโครงสร้างพื้นฐานก่อนหลายอย่าง (ดูรูป) กล่าวคือ (1) ต้องช่วยให้ประชากรเข้าถึงระบบอินเทอร์เนตอย่างกว้างขวาง (2) ต้องให้ความรู้ทั้งในระบบโรงเรียนและในกลุ่มประชาคม (3) ต้องพัฒนาธุรกิจการเงินแบบดิจิทัลให้กว้างขวางมากขึ้น (4) ต้องกระตุ้นคนรุ่นหนุ่มสาวให้ลองทำธุรกิจขนาดย่อมด้านดิจิทัลให้มากขึ้น และ (5) รัฐต้องให้บริการทางออนไลน์มากขึ้นรวมทั้งใช้บล็อกเชนในการบริหารราชการให้โปร่งใส หน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล คือพัฒนาให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ รวมไปถึงความแน่นอนด้านกฎหมายที่จะตีความกรณีเกิดข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับโทเคน และการนำโทเคนไปใช้เป็นหลักประกันส่วนการดำเนินการให้โทเคนเกิดขึ้นในหลักทรัพย์ต่างๆ (tokenization) อย่างหลากหลาย เพื่อนำไปสู่ตลาดทุนดิจิทัลนั้น จะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานครบถ้วนเสียก่อน ทั้ง stable coin สกุลบาท ทั้ง smart contract ทั้งระบบเคลียริ่งที่ปลอดภัย โดยภายหลังจากมีโครงสร้างพื้นฐานแน่นหนาแล้ว ก็จะเป็นหน้าที่ของเอกชนเป็นผู้ดำเนินการ สำหรับรัฐบาลเองไม่ควรมีหน้าที่ไปออกโทเคนของตนเอง ดังเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ยังไม่มีประเทศใดที่ระบบการเงินล้ำหน้า ที่รัฐบาลเป็นผู้ออกโทเคนของตนเองในการกู้หนี้สาธารณะ+เรื่อง การทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยซื้อพันธบัตรได้สะดวกวิธีการในการเปิดให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลนั้นมีอยู่แล้วในปัจจุบัน ด้วยกลไกผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงต้องชี้แจงให้ชัดเจนก่อนว่า G-Token จะเพิ่มความสะดวกอย่างใดแก่ผู้ลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องการขายคืน ซึ่งราคาในกองทุนรวมจะเป็นไปตามกติกาโดยมี ก.ล.ต. กำกับดูแล แต่กรณี G-Token ผู้ลงทุนจะต้องไปขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งราคาอาจจะผันผวนไปแต่ละชั่วโมงตามแรงเก็งกำไรได้แทนที่จะเป็นการชักจูงให้ผู้ลงทุนรายย่อย ลงทุนเพื่อออมเงินอย่างปลอดภัย ระวังจะกลับกลายเป็นเวทีเก็งกำไร ระวังจะกลายเป็นกาสิโนโทเคนดิจิทัล+เรื่อง ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548ถึงแม้มาตรา 10 วรรคหนึ่งเปิดช่อง ให้กู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นวิธีการอื่นใดก็ได้ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ แต่ข้อความก่อนหน้าซึ่งบัญญัติว่า “การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้หรือวิธีการอื่นใดก็ได้” นั้น คำว่า “วิธีการอื่นใด” น่าจะอยู่ในความหมายเดียวกับสัญญาหรือตราสารหนี้ ดังที่รายงานคณะรัฐมนตรีไว้ว่า “ปัจจุบัน การกู้เงินตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร ตั๋วเงินคลัง หรือหุ้นกู้”การที่ กค. พิจารณาได้ว่าการกู้เงินโดยวิธีการออก G-Token ไม่ใช่การออกตราสารหนี้ เพื่อไม่เป็นให้เป็น “หลักทรัพย์” ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 นั้น ผมเห็นว่าขัดกับเจตนารมย์ของพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548ทั้งนี้ โทเคนดิจิทัลซึ่งตามนิยามในมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 กำหนดเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือในการได้มาซึ่งสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง นั้น คำว่า token แปลว่า สัญลักษณ์ ดังเช่น non-fungible token (NFT) หมายถึงสัญลักษณ์ที่ไม่สามารถแทนกันได้ ตัวอย่างที่ใช้กรณีงานศิลปะ ดังนั้น G-Token จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนสัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลัง ตัว G-Token เองจึงไม่ใช่สัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลังผมจึงเห็นว่า ในเมื่อเป็นเพียงสัญลักษณ์แทน แต่ไม่ใช่สัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลัง จึงไม่เข้าข่ายนิยามใดในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และจะนำไปสู่ปัญหาข้อพิพาททางกฎหมายเกิดขึ้นได้ในภายหลัง+เรื่อง การปฏิบัติตามกฏหมายเงินตรายังมีจำเป็นจะต้องมีเงื่อนไขบังคับ เพื่อไม่ให้ผู้ถือ G-Token นำไปใช้เพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายแก่บุคคลอื่น เพราะจะเข้าข่ายเป็นเงินตราอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนกระทรวงการคลังต้องชี้แจงก่อนว่า จะมีมาตรการป้องกันไม่ให้ผู้ถือ G-Token นำไปใช้เพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายแก่บุคคลอื่นได้อย่างไร+เรื่อง การประหยัดค่าใช้จ่ายนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่าการออก G-Token จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินการ จากเดิมที่ออกพันธบัตรมีค่าธรรมเนียมดำเนินการจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 0.03% ของกรอบวงเงินจำหน่ายนั้น กระทรวงการคลังจะต้องแจกแจงก่อนว่า G-Token จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายจริงเท่าไหร่ ทั้งด้านกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องรวมไปถึงค่าใช้จ่ายทำหน้าที่เป็นนายทะเบียน ว่าต่ำกว่า ธปท. อย่างไร และทั้งด้านประชาชนผู้ลงทุนที่จะซื้อและขายคืน จะสูงหรือต่ำกว่ากลไกกองทุนรวมอย่างใดทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าเงินที่กระทรวงการคลังจ่ายแก่ ธปท. นั้นไม่รั่วไหลไปไหน เพราะ ธปท. เป็นองค์กรของรัฐ **กล่าวโดยสรุป ระบบการขายพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ของรัฐบาลที่มีอยู่แล้วขณะนี้โดยผ่านกลไก ธปท. นั้น ใช้งานได้ดีไม่เคยมีปัญหา ดังนั้น การที่กระทรวงการคลังจะเพิ่มแนวการกู้หนี้สาธารณะโดยใช้โทเคนดิจิทัลนั้น จะต้องชั่งน้ำหนักแสดงแก่ประชาชนก่อนว่า ผลได้คุ้มกับผลเสียหรือไม่ส่วนความหวังที่จะนำไปสู่ตลาดทุนดิจิทัลนั้น ควรนำเสนอต่อประชาชนก่อนว่า รัฐบาลมีแผนการพัฒนาองค์รวมด้านนี้เป็นอย่างไร ไม่ใช่เดินหน้าเพียงเสี้ยวเดียวในเรื่องของการจัดทำโทเคนของรัฐบาล ซึ่งจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีรัฐบาลอื่นใดในโลกที่ดำเนินการวันที่ 14 พฤษภาคม 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 442 มุมมอง 0 รีวิว
  • หุ้นยังลงได้อีก โยก LTF เป็น Thai ESGX คุ้มมั้ย? : คนเคาะข่าว 05-05-68
    : ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอ
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์

    #คนเคาะข่าว #หุ้นไทย #LTF #ThaiESGX #กองทุนรวม #ลงทุนยั่งยืน #วิเคราะห์หุ้น #ภาษีและการลงทุน #ตลาดทุนไทย #ESGลงทุน #ประกิตสิริวัฒนเกตุ #นงวดีถนิมมาลย์ #ข่าวเศรษฐกิจ #กองทุนไทย #thaitimes #ลงทุนระยะยาว
    หุ้นยังลงได้อีก โยก LTF เป็น Thai ESGX คุ้มมั้ย? : คนเคาะข่าว 05-05-68 : ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอ ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว #หุ้นไทย #LTF #ThaiESGX #กองทุนรวม #ลงทุนยั่งยืน #วิเคราะห์หุ้น #ภาษีและการลงทุน #ตลาดทุนไทย #ESGลงทุน #ประกิตสิริวัฒนเกตุ #นงวดีถนิมมาลย์ #ข่าวเศรษฐกิจ #กองทุนไทย #thaitimes #ลงทุนระยะยาว
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 429 มุมมอง 4 0 รีวิว
  • สหรัฐฯเริ่มต้นเก็บภาษีนำเข้า 10% มีผลบังคับใช้วันเสาร์(5 เม.ย)ในขณะเดียวกันประธ่านาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบัน โดนัลด์ ทรัมป์ ต้นเหตุยังเรียกร้องให้อเมริกันชนโลกเสรีอดทนเข้าไว้หลังตลาดทุนปั่นป่วนทั่วโลก ส่วนอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯผิวสีคนแรกจากพรรคเดโมแครตอดทนไม่ไหวกระโดดขึ้นเวทีปลุกใจวันพฤหัสบดี(3 เม.ย)ก่อนหน้าประท้วงใหญ่ทั่วประเทศวันเสาร์(5 เม.ย)ว่า ทุกคนในประเทศพร้อมที่จะยอมสละเพื่อที่จะต่อต้านนโยบายลงเหวของทรัมป์และรีพับลิกัน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000032829
    สหรัฐฯเริ่มต้นเก็บภาษีนำเข้า 10% มีผลบังคับใช้วันเสาร์(5 เม.ย)ในขณะเดียวกันประธ่านาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบัน โดนัลด์ ทรัมป์ ต้นเหตุยังเรียกร้องให้อเมริกันชนโลกเสรีอดทนเข้าไว้หลังตลาดทุนปั่นป่วนทั่วโลก ส่วนอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯผิวสีคนแรกจากพรรคเดโมแครตอดทนไม่ไหวกระโดดขึ้นเวทีปลุกใจวันพฤหัสบดี(3 เม.ย)ก่อนหน้าประท้วงใหญ่ทั่วประเทศวันเสาร์(5 เม.ย)ว่า ทุกคนในประเทศพร้อมที่จะยอมสละเพื่อที่จะต่อต้านนโยบายลงเหวของทรัมป์และรีพับลิกัน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000032829
    Like
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 619 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘ภาคเศรษฐกิจจริง & ระบบการเงินไทย’ กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังเหตุแผ่นดินไหว 28 มี.ค.68 ทั้งระบบการชำระเงิน ระบบเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ตลาดทุน ภาคการผลิตกลุ่มอุตสาหกรรม ประชาชน นักท่องเที่ยว ใช้ชีวิตได้ตามปกติ /เป็นบทเรียน กรุงเทพฯ ประเทศไทย สิ่งที่คิดว่า ไม่มีโอกาสเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว
    ‘ภาคเศรษฐกิจจริง & ระบบการเงินไทย’ กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังเหตุแผ่นดินไหว 28 มี.ค.68 ทั้งระบบการชำระเงิน ระบบเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ตลาดทุน ภาคการผลิตกลุ่มอุตสาหกรรม ประชาชน นักท่องเที่ยว ใช้ชีวิตได้ตามปกติ /เป็นบทเรียน กรุงเทพฯ ประเทศไทย สิ่งที่คิดว่า ไม่มีโอกาสเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 606 มุมมอง 15 0 รีวิว
  • แอร์เอเชียจากแม่สู่ลูก

    แคปิตอล เอ (Capital A) หรือกลุ่มแอร์เอเชียเดิม ผู้ก่อตั้งสายการบินต้นทุนต่ำสัญชาติมาเลเซีย กำลังปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ หลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และถูกตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย (Bursa Malaysia) จัดให้หุ้น CAPI อยู่ในสถานะ "PN17" หรือมีปัญหาทางการเงิน มาตั้งแต่ปี 2565 ล่าสุดได้รับอนุมัติแผนการปรับปรุงบริษัทฯ เมื่อวันที่ 7 มี.ค.

    โทนี่ เฟอร์นันเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแคปิตอล เอ เปิดเผยว่า จะเรียกประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งพิเศษ (EGM) ในเดือน เม.ย. เพื่อขออนุมัติแผน ก่อนยื่นเรื่องไปที่ศาลสูงเพื่อขออนุมัติแผนลดทุนจดทะเบียน ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการขายหุ้น แอร์เอเชีย เอวิเอชั่น กรุ๊ป (AAAGL) และมุ่งเน้นทำธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบิน หากปลดล็อกสถานะ PN17 ได้ จะสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ๆ และเข้าถึงตลาดทุนมากขึ้น

    อีกด้านหนึ่ง โทนี่ยังได้เสนอขายหุ้นแบบส่วนตัว มูลค่า 1,000 ล้านริงกิต (7,700 ล้านบาท) เพื่อระดมทุนในกลุ่มบริษัทฯ ล่าสุดถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว แต่ปฎิเสธข่าวกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของซาอุดิอาระเบีย (PIF) มีแผนที่ลงทุนในกลุ่มบริษัทฯ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และไม่ระบุว่าได้จองซื้อหุ้นจากการเสนอขายแบบส่วนตัวหรือไม่

    เมื่อปีที่แล้ว แคปิตอล เอ ประกาศว่าจะขายธุรกิจการบินแอร์เอเชียให้กับ แอร์เอเชีย เอ็กซ์ (Airasia X หรือหุ้น AIRX) ซึ่งแยกบริษัทออกมาทำธุรกิจการบินระยะไกล (มากกว่า 4 ชั่วโมง) ก่อนหน้านี้ ด้วยมูลค่า 6,800 ล้านริงกิต (52,000 ล้านบาท) และจะรวมแบรนด์แอร์เอเชีย เอ็กซ์ กับแอร์เอเชีย ภายใต้ชื่อ AirAsia เพียงแบรนด์เดียว

    ส่วนแคปิตอล เอ จะลดทุนจดทะเบียนเพื่อชดเชยการขาดทุนสะสม และปรับโครงสร้างธุรกิจเหลือเพียง 6 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจซ่อมบํารุงเครื่องบิน Asia Digital Engineering (ADE) สัดส่วนรายได้ 23% 2. ธุรกิจขนส่งสินค้า Teleport สัดส่วนรายได้ 40% 3. ธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล AirAsia MOVE สัดส่วนรายได้ 19% 4. ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน Santan 5. ธุรกิจฟินเทค BigPay 6. ธุรกิจบริหารจัดการแบรนด์แอร์เอเชีย Abc. International เป็นต้น

    ก่อนหน้านี้สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า แคปิตอล เอ เปิดเผยผลประกอบการปี 2567 พบว่าขาดทุนสุทธิ 475.1 ล้านริงกิต (3,632 ล้านบาท) จากปี 2566 มีกำไร 255.3 ล้านริงกิต (1,952 ล้านบาท) ส่วนใหญ่ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 1,400 ล้านริงกิต (10,700 ล้านบาท) โดยเฉพาะธุรกิจการบิน ทำให้ไตรมาสที่ 4 ขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 1,570 ล้านริงกิต (12,000 ล้านบาท) จาก 345.3 ล้านริงกิต (2,640 ล้านบาท) เมื่อปีก่อน

    #Newskit
    แอร์เอเชียจากแม่สู่ลูก แคปิตอล เอ (Capital A) หรือกลุ่มแอร์เอเชียเดิม ผู้ก่อตั้งสายการบินต้นทุนต่ำสัญชาติมาเลเซีย กำลังปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ หลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และถูกตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย (Bursa Malaysia) จัดให้หุ้น CAPI อยู่ในสถานะ "PN17" หรือมีปัญหาทางการเงิน มาตั้งแต่ปี 2565 ล่าสุดได้รับอนุมัติแผนการปรับปรุงบริษัทฯ เมื่อวันที่ 7 มี.ค. โทนี่ เฟอร์นันเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแคปิตอล เอ เปิดเผยว่า จะเรียกประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งพิเศษ (EGM) ในเดือน เม.ย. เพื่อขออนุมัติแผน ก่อนยื่นเรื่องไปที่ศาลสูงเพื่อขออนุมัติแผนลดทุนจดทะเบียน ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการขายหุ้น แอร์เอเชีย เอวิเอชั่น กรุ๊ป (AAAGL) และมุ่งเน้นทำธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบิน หากปลดล็อกสถานะ PN17 ได้ จะสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ๆ และเข้าถึงตลาดทุนมากขึ้น อีกด้านหนึ่ง โทนี่ยังได้เสนอขายหุ้นแบบส่วนตัว มูลค่า 1,000 ล้านริงกิต (7,700 ล้านบาท) เพื่อระดมทุนในกลุ่มบริษัทฯ ล่าสุดถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว แต่ปฎิเสธข่าวกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของซาอุดิอาระเบีย (PIF) มีแผนที่ลงทุนในกลุ่มบริษัทฯ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และไม่ระบุว่าได้จองซื้อหุ้นจากการเสนอขายแบบส่วนตัวหรือไม่ เมื่อปีที่แล้ว แคปิตอล เอ ประกาศว่าจะขายธุรกิจการบินแอร์เอเชียให้กับ แอร์เอเชีย เอ็กซ์ (Airasia X หรือหุ้น AIRX) ซึ่งแยกบริษัทออกมาทำธุรกิจการบินระยะไกล (มากกว่า 4 ชั่วโมง) ก่อนหน้านี้ ด้วยมูลค่า 6,800 ล้านริงกิต (52,000 ล้านบาท) และจะรวมแบรนด์แอร์เอเชีย เอ็กซ์ กับแอร์เอเชีย ภายใต้ชื่อ AirAsia เพียงแบรนด์เดียว ส่วนแคปิตอล เอ จะลดทุนจดทะเบียนเพื่อชดเชยการขาดทุนสะสม และปรับโครงสร้างธุรกิจเหลือเพียง 6 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจซ่อมบํารุงเครื่องบิน Asia Digital Engineering (ADE) สัดส่วนรายได้ 23% 2. ธุรกิจขนส่งสินค้า Teleport สัดส่วนรายได้ 40% 3. ธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล AirAsia MOVE สัดส่วนรายได้ 19% 4. ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน Santan 5. ธุรกิจฟินเทค BigPay 6. ธุรกิจบริหารจัดการแบรนด์แอร์เอเชีย Abc. International เป็นต้น ก่อนหน้านี้สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า แคปิตอล เอ เปิดเผยผลประกอบการปี 2567 พบว่าขาดทุนสุทธิ 475.1 ล้านริงกิต (3,632 ล้านบาท) จากปี 2566 มีกำไร 255.3 ล้านริงกิต (1,952 ล้านบาท) ส่วนใหญ่ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 1,400 ล้านริงกิต (10,700 ล้านบาท) โดยเฉพาะธุรกิจการบิน ทำให้ไตรมาสที่ 4 ขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 1,570 ล้านริงกิต (12,000 ล้านบาท) จาก 345.3 ล้านริงกิต (2,640 ล้านบาท) เมื่อปีก่อน #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 883 มุมมอง 0 รีวิว
  • หุ้นไทย..เมื่อไหร่จะฟื้น-โซนไหนน่าซื้อ? : คนเคาะข่าว 10-03-68

    แขกรับเชิญ : คุณกวี ชูกิจเกษม
    ประธานเจ้าหน้าที่ สายการบริหารพอร์ตการลงทุน
    บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน)

    #หุ้นไทย #ตลาดหุ้น #การลงทุน #หุ้นเด่น #แนวโน้มหุ้นไทย #หุ้นไทยฟื้นเมื่อไหร่ #คนเคาะข่าว #กวีชูกิจเกษม #วิเคราะห์หุ้น #SETIndex #เศรษฐกิจไทย #แนวโน้มเศรษฐกิจ #หุ้นน่าซื้อ #นักลงทุน #ThaiTimes #ตลาดทุน #การเงินการลงทุน
    หุ้นไทย..เมื่อไหร่จะฟื้น-โซนไหนน่าซื้อ? : คนเคาะข่าว 10-03-68 แขกรับเชิญ : คุณกวี ชูกิจเกษม ประธานเจ้าหน้าที่ สายการบริหารพอร์ตการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) #หุ้นไทย #ตลาดหุ้น #การลงทุน #หุ้นเด่น #แนวโน้มหุ้นไทย #หุ้นไทยฟื้นเมื่อไหร่ #คนเคาะข่าว #กวีชูกิจเกษม #วิเคราะห์หุ้น #SETIndex #เศรษฐกิจไทย #แนวโน้มเศรษฐกิจ #หุ้นน่าซื้อ #นักลงทุน #ThaiTimes #ตลาดทุน #การเงินการลงทุน
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 892 มุมมอง 5 0 รีวิว
  • ดาวเหินจรคู่ผสมระหว่างปีและเดือน ประจำเดือนมีนาคม 2568

    ตั้งแต่วันพุธที่ 5 เดือนมีนาคม ไปจนถึง วันพฤหัสบดีที่ 3 เดือนเมษายน พ.ศ. 2568 เป็นเดือนเถาะดิน 己卯(กี๋เบ้า) ธาตุดิน มีกระแสพลังดาวธาตุน้ำ一白 (อิกแป๊ะ) ดาวแห่งการริเริ่ม เปลี่ยนแปลง ตำแหน่ง สติปัญญา ฯลฯ ร่วมคู่ขัดแย้งกับกระแสพลังดาวธาตุดิน二黑 (หยี่เฮก) ที่เป็นดาวป่วยไข้ ดาวแห่งโรคภัย ดาวแห่งความเสื่อมถดถอย ประจำอยู่ในปีจรมะเส็งไม้ 乙巳(อิกจี๋) ธาตุไฟ ส่งอิทธิพลถึงความกระตือรือร้นให้เกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกว่าเดิม จากที่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่กลับมีปรับเปลี่ยนเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นภาคของการเมืองที่ยังอยู่ในวังวนกับการรับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ด้านเศรษฐกิจ ทั้งตลาดทุน ตลาดหุ้น ตลาดทอง การนำเข้า การส่งออกฯลฯจะร้อนแรง มีการลงทุนกระตุ้นให้เกิดการขยับขยายเพิ่มยิ่งขึ้น ส่วนด้านสังคมยังคงต้องครองสติให้อยู่บนพื้นฐานแห่งความไม่ประมาท รู้จักประมาณตนในการใช้จ่ายอย่างเพียงพอ มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย ตามพระราชดำรัสแนวคิด เศรษฐกิจพอเพียง อีกทั้งต้องระมัดระวังตนจากอุบัติเหตุเภทภัยในการขับขี่ยวดยานระหว่างการสัญจรเดินทางจะได้ไม่สร้างความสูญเสียต่อทรัพย์สินและไม่สร้างความสูญสิ้นต่อร่างกายและจิตใจ

    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ดาวเหินจรคู่ผสมระหว่างปีและเดือน ประจำเดือนมีนาคม 2568 ตั้งแต่วันพุธที่ 5 เดือนมีนาคม ไปจนถึง วันพฤหัสบดีที่ 3 เดือนเมษายน พ.ศ. 2568 เป็นเดือนเถาะดิน 己卯(กี๋เบ้า) ธาตุดิน มีกระแสพลังดาวธาตุน้ำ一白 (อิกแป๊ะ) ดาวแห่งการริเริ่ม เปลี่ยนแปลง ตำแหน่ง สติปัญญา ฯลฯ ร่วมคู่ขัดแย้งกับกระแสพลังดาวธาตุดิน二黑 (หยี่เฮก) ที่เป็นดาวป่วยไข้ ดาวแห่งโรคภัย ดาวแห่งความเสื่อมถดถอย ประจำอยู่ในปีจรมะเส็งไม้ 乙巳(อิกจี๋) ธาตุไฟ ส่งอิทธิพลถึงความกระตือรือร้นให้เกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกว่าเดิม จากที่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่กลับมีปรับเปลี่ยนเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นภาคของการเมืองที่ยังอยู่ในวังวนกับการรับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ด้านเศรษฐกิจ ทั้งตลาดทุน ตลาดหุ้น ตลาดทอง การนำเข้า การส่งออกฯลฯจะร้อนแรง มีการลงทุนกระตุ้นให้เกิดการขยับขยายเพิ่มยิ่งขึ้น ส่วนด้านสังคมยังคงต้องครองสติให้อยู่บนพื้นฐานแห่งความไม่ประมาท รู้จักประมาณตนในการใช้จ่ายอย่างเพียงพอ มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย ตามพระราชดำรัสแนวคิด เศรษฐกิจพอเพียง อีกทั้งต้องระมัดระวังตนจากอุบัติเหตุเภทภัยในการขับขี่ยวดยานระหว่างการสัญจรเดินทางจะได้ไม่สร้างความสูญเสียต่อทรัพย์สินและไม่สร้างความสูญสิ้นต่อร่างกายและจิตใจ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 428 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหว

    🗣️ นับตั้งแต่ทรัมป์หาเสียงเลือกตั้ง โดยขายนโยบายตั้งกำแพงภาษี ต่อคู่ค้าของสหรัฐฯ

    เศรษฐกิจทั่วโลกก็ต้องเตรียมใจอยู่แล้ว

    แต่ข้อมูลล่าสุด แนวคิดของทรัมป์ จะดันเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ใกล้ริมปากเหวมากขึ้น

    รูป 1 ทรัมป์เพิ่งประกาศนโยบายเพิ่มเติม จะขึ้นกำแพงภาษี กับประเทศที่ค้าขายกับสหรัฐทั่วโลก

    โดยไม่ใช่คำนึงแต่เฉพาะว่า ประเทศนั้นกำหนดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสหรัฐเท่าใด

    🧶 แต่จะขยายไปถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT ด้วย

    ทรัมป์ทึกทักเอาว่า กรณีประเทศใดนำเข้าสินค้าสหรัฐ ถ้าราคาที่นำไปขายภายในประเทศนั้นมี VAT

    เขาถือเป็นการกีดกันอย่างหนึ่ง

    ตรงนี้แหวกกฎเศรษฐศาสตร์ เพราะ VAT เป็นภาษีที่เก็บจากการบริโภคภายในประเทศ

    และปกติ จะเก็บ VAT ในอัตราเดียวสำหรับสินค้าชนิดเดียวกัน ไม่ว่าผลิตในประเทศนั้น หรือนำเข้า

    🪢 VAT จึงเป็นนโยบายภาษีเฉพาะ domestic เน้นเก็บจากยอดบริโภค (ขารายจ่าย) แตกต่างจากภาษีเงินได้ ที่เก็บจากขารายได้

    กรณี VAT คือ ใครจ่ายบริโภคมาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่ามีรายได้หรือไม่

    กรณีภาษีเงินได้ คือ ใครรับรายได้มาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่าเอารายได้ไปใช้จ่ายหรือไม่

    ภาษีทั้งสองชนิด ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การนำเข้า ไม่ใช่เพื่อปกป้องการผลิตภายในประเทศ

    👗 การที่ทรัมป์จะขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐ โดยเอา VAT ไปรวมด้วย จึงผิดหลักเศรษฐศาสตร์

    แต่ดูเหมือนไม่มีใครทัดทานทรัมป์

    รูป 2 แสดงอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐ ที่กำลังศึกษา และมีกำหนดจะประกาศต้นเดือน เม.ย.

    ซ้ายมือ ไม่คำนึงถึง VAT ขวามือ คำนึง

    น่าตกใจ ไทยอาจจะโดนถึงระดับ 5% อันดับที่ 23

    👙 รูป 3 นักวิเคราะห์ลองหักตัวเลขภาษีการค้าภายในสหรัฐออก อัตราลดลงบ้าง

    ที่น่ากลัวมากคือ กลุ่มยุโรป เพราะอัตรา VAT สูงมหาศาล หลายประเทศทะลุระดับ 20%

    ปริมาณการค้าโลก จะถูกกระทบอย่างกว้างขวางไม่น่าเชื่อ

    รูป 4 นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังสั่งให้ทีมงานศึกษาเพื่อเก็บภาษีตอบโต้

    จากการที่ฝรั่งเศสและอิตาลี เก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย

    👘 เขาอ้างแนวคิดวิตถารว่า รัฐบาลสหรัฐเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์เก็บภาษีจากบริษัทสหรัฐ

    ทั้งที่ ถ้าหากบริษัทโซเชียลมีเดียสหรัฐ ได้รายได้จากการทำธุรกิจในประเทศหนึ่ง เช่น Facebook ได้ค่าโฆษณา

    ด้วยหลักการปกติ ประเทศที่เป็นผู้จ่ายค่าโฆษณา ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย

    รูป5 กำแพงภาษีสหรัฐ จะกระทบส่งออกของไทยอย่างมาก เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาด 17% ของส่งออกทั้งหมด

    🩲 รูป 6-7 ไทยส่งออกไปสหรัฐ สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 แต่ละปี 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เกินดุลอยู่ 3.5 หมื่นล้านดอลล่าร์

    แนวคิดของทรัมป์ นอกจากจะดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหวแล้ว ยังก่อความเสี่ยงต่อการเมืองโลกอีกด้วย

    รูป 8 แสดงแนวโน้มการค้าของโลกย้อนหลัง 200 ปี จะเห็นได้ว่า มีช่วงที่การค้าลดต่ำกว่า trend

    เส้นสีแดงสองเส้น แสดงห้วงเวลาสงครามโลกทั้งสองครั้ง

    🩴 นักประวัติศาสตร์หลายคนลงความเห็นว่า ปัจจัยหลักที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สองอย่างชัดเจน

    คือประเทศสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีสองครั้ง เส้นสีดำ

    ซึ่งนำไปสู่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และก่อความตึงเครียดทางการเมือง

    รูป 9-10 ปัจจัยสำคัญหนึ่ง ที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก็เกิดจากสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีเช่นเดียวกัน

    ที่สำคัญก็คือ มีการผสมโรงด้วย วิกฤติในตลาดการเงิน ปี 1907 ไปถึงปี 1913 เริ่มต้น WW1 พอดี

    🧐 ขณะนี้ สภาวะตลาดทุนตลาดเงิน ทั้งในสหรัฐ ยุโรป มีความเสี่ยงฟองสบู่ใกล้แตกเต็มที

    ถ้าเกิดวิกฤตในปีนี้ ดังที่ผมคาดไว้

    ก็จะต้องจับตาให้ดี เงื่อนไขที่นำไปสู่สงครามโลกในอดีต จะกลับมาอีกหรือไม่

    วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568

    นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ
    ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    ดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหว 🗣️ นับตั้งแต่ทรัมป์หาเสียงเลือกตั้ง โดยขายนโยบายตั้งกำแพงภาษี ต่อคู่ค้าของสหรัฐฯ เศรษฐกิจทั่วโลกก็ต้องเตรียมใจอยู่แล้ว แต่ข้อมูลล่าสุด แนวคิดของทรัมป์ จะดันเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ใกล้ริมปากเหวมากขึ้น รูป 1 ทรัมป์เพิ่งประกาศนโยบายเพิ่มเติม จะขึ้นกำแพงภาษี กับประเทศที่ค้าขายกับสหรัฐทั่วโลก โดยไม่ใช่คำนึงแต่เฉพาะว่า ประเทศนั้นกำหนดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสหรัฐเท่าใด 🧶 แต่จะขยายไปถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT ด้วย ทรัมป์ทึกทักเอาว่า กรณีประเทศใดนำเข้าสินค้าสหรัฐ ถ้าราคาที่นำไปขายภายในประเทศนั้นมี VAT เขาถือเป็นการกีดกันอย่างหนึ่ง ตรงนี้แหวกกฎเศรษฐศาสตร์ เพราะ VAT เป็นภาษีที่เก็บจากการบริโภคภายในประเทศ และปกติ จะเก็บ VAT ในอัตราเดียวสำหรับสินค้าชนิดเดียวกัน ไม่ว่าผลิตในประเทศนั้น หรือนำเข้า 🪢 VAT จึงเป็นนโยบายภาษีเฉพาะ domestic เน้นเก็บจากยอดบริโภค (ขารายจ่าย) แตกต่างจากภาษีเงินได้ ที่เก็บจากขารายได้ กรณี VAT คือ ใครจ่ายบริโภคมาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่ามีรายได้หรือไม่ กรณีภาษีเงินได้ คือ ใครรับรายได้มาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่าเอารายได้ไปใช้จ่ายหรือไม่ ภาษีทั้งสองชนิด ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การนำเข้า ไม่ใช่เพื่อปกป้องการผลิตภายในประเทศ 👗 การที่ทรัมป์จะขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐ โดยเอา VAT ไปรวมด้วย จึงผิดหลักเศรษฐศาสตร์ แต่ดูเหมือนไม่มีใครทัดทานทรัมป์ รูป 2 แสดงอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐ ที่กำลังศึกษา และมีกำหนดจะประกาศต้นเดือน เม.ย. ซ้ายมือ ไม่คำนึงถึง VAT ขวามือ คำนึง น่าตกใจ ไทยอาจจะโดนถึงระดับ 5% อันดับที่ 23 👙 รูป 3 นักวิเคราะห์ลองหักตัวเลขภาษีการค้าภายในสหรัฐออก อัตราลดลงบ้าง ที่น่ากลัวมากคือ กลุ่มยุโรป เพราะอัตรา VAT สูงมหาศาล หลายประเทศทะลุระดับ 20% ปริมาณการค้าโลก จะถูกกระทบอย่างกว้างขวางไม่น่าเชื่อ รูป 4 นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังสั่งให้ทีมงานศึกษาเพื่อเก็บภาษีตอบโต้ จากการที่ฝรั่งเศสและอิตาลี เก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย 👘 เขาอ้างแนวคิดวิตถารว่า รัฐบาลสหรัฐเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์เก็บภาษีจากบริษัทสหรัฐ ทั้งที่ ถ้าหากบริษัทโซเชียลมีเดียสหรัฐ ได้รายได้จากการทำธุรกิจในประเทศหนึ่ง เช่น Facebook ได้ค่าโฆษณา ด้วยหลักการปกติ ประเทศที่เป็นผู้จ่ายค่าโฆษณา ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย รูป5 กำแพงภาษีสหรัฐ จะกระทบส่งออกของไทยอย่างมาก เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาด 17% ของส่งออกทั้งหมด 🩲 รูป 6-7 ไทยส่งออกไปสหรัฐ สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 แต่ละปี 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เกินดุลอยู่ 3.5 หมื่นล้านดอลล่าร์ แนวคิดของทรัมป์ นอกจากจะดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหวแล้ว ยังก่อความเสี่ยงต่อการเมืองโลกอีกด้วย รูป 8 แสดงแนวโน้มการค้าของโลกย้อนหลัง 200 ปี จะเห็นได้ว่า มีช่วงที่การค้าลดต่ำกว่า trend เส้นสีแดงสองเส้น แสดงห้วงเวลาสงครามโลกทั้งสองครั้ง 🩴 นักประวัติศาสตร์หลายคนลงความเห็นว่า ปัจจัยหลักที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สองอย่างชัดเจน คือประเทศสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีสองครั้ง เส้นสีดำ ซึ่งนำไปสู่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และก่อความตึงเครียดทางการเมือง รูป 9-10 ปัจจัยสำคัญหนึ่ง ที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก็เกิดจากสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีเช่นเดียวกัน ที่สำคัญก็คือ มีการผสมโรงด้วย วิกฤติในตลาดการเงิน ปี 1907 ไปถึงปี 1913 เริ่มต้น WW1 พอดี 🧐 ขณะนี้ สภาวะตลาดทุนตลาดเงิน ทั้งในสหรัฐ ยุโรป มีความเสี่ยงฟองสบู่ใกล้แตกเต็มที ถ้าเกิดวิกฤตในปีนี้ ดังที่ผมคาดไว้ ก็จะต้องจับตาให้ดี เงื่อนไขที่นำไปสู่สงครามโลกในอดีต จะกลับมาอีกหรือไม่ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1081 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐ
    ทรัมป์ขู่ปูตินให้รีบยุติสงครามกับยูเครน ถ้าไม่ยุติจะคว่ำบาตรครั้งใหม่
    ทรัมป์ 1.0 ไม่มีสงครามสู้รบ มีแต่ trade war ครั้งนี้มองว่าอาจจะเหมือนเดิม แต่อาจจะมีการเดินเกมเพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้สหรัฐเพิ่ม เช่น ความต้องการพื้นที่ greenland คลองปานามา

    Elon แฉ stargate Masayoshi Son (ที่จะเป็นประธานโครงการ) ไม่มีเงินลงทุนสูงตามที่โครงการต้องการ (หุ้นเทสล่า -2% เมื่อคืน สวนกับหุ้นอื่นในกลุ่ม MEG 7 อาจจะเกิดจากนโยบายทรัมป์ที่ยกเลิกคำสั่งใช้รถยนต์ไฟฟ้าของไบเดน และอาจจะประเด็นการออกมาแฉครั้งนี้)

    เจมี่ ไดมอน ผู้บริหาร JP Morgan: มองราคาหุ้นสหรัฐสูงเกิน แม้พื้นฐานหุ้นจะยังดี ความเสี่ยงเงินเฟ้อ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังอยู่ เตือนว่าท้ายสุดราคาหุ้นอาจจะกลับไปสะท้อนมูลค่าพื้นฐานที่แท้จริง (หุ้นตก)
    *ก่อนหน้านี้ เซียน Howard Mask, วอร์เรน ผ่าน เบิร์คไชน์ เตือนภาวะฟองสบู่

    ค่าเงินดอลลาร์ อ่อนค่า

    ทอง ราคาเพิ่มต่อ จากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ความเสี่ยงการเมืองของโลก ทองทะลุ $2720 มีโอกาสทดสอบ $2780, $2800 ถ้าผ่านเป้าทดสอบถัดไปคือ $3022/oz. แต่ต้องระวังปัจจัยความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์อาจจะลดลงจากนโยบายทรัมป์ที่ต้องการลดความร้อนแรงความขัดแย้งระหว่างประเทศ ดังนั้นปัจจัยสำคัญกับราคาทองคำจะโฟกัสที่การแข็งค่า-อ่อนค่าของดอลลาร์เป็นหลัก
    ทองไทย เพิ่มได้ไม่แรงเนื่องจากเงินบาทแข็งค่า รับ: 44,150, 44,000 บาท << 2 แนว, ต้าน: 44,450, 44,650 บาท << 2 แนว

    น้ำมัน ราคาลดลง รับแรงกดดันจากนโยบายทรัมป์ที่จะขยายการผลิตเพิ่มในสหรัฐ

    อัตราผลตอบแทน
    ...................................
    วันนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นประชุม ลุ้นนโยบายดอกเบี้ย (ปีที่แล้วจขึ้นดอกเบี้ย เกิด black monday) อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า มีโอกาสจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ จากค่าแรงงานขึ้นในทุกภาคส่วน
    .........................................................
    จีน ตลาดเงิน ตลาดทุน หยุดตรุษจีน 28 มค. - 4 กพ.
    ช่วงก่อนเข้าวันหยุดยาว PBoC (ธนาคารกลางจีน) จะอัดฉีดเงินเข้าระบบ เพื่อดูแลสภาพคล่อง เนื่องจาก

    1. ความต้องการเงินสดเพิ่ม คนจีนจะถอนเงินสดเพื่อใช้ในการเดินทาง ท่องเที่ยว ของขวัญ (อั่งเปา) (红包, hóngbāo)
    2. ความต้องการเงินทุนจากบริษัทต่าง ๆ ช่วงตรุษจีนเป็นช่วงที่บริษัทจ่ายโบนัสให้กับพนักงานก่อนวันหยุดยาว และอาจจะต้องจ่ายคืนเงินกู้ (ล่วงหน้า) ก่อนจะหยุดยาวด้วย
    3. สภาพคล่องธนาคารที่ตึง จากการถอนเงินสดที่เร่งตัวและการใช้จ่ายจากบริษัทเอกชน ทำให้สภาพคล่องของธนาคารมีภาวะตึง ทำให้ต้องการเงินทุนระยะสั้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของการดำเนินการและการให้กู้ยืม
    4. ป้องกันความผันผวนในตลาดเงิน เนื่องจากถ้าเกิดภาวะสภาพคล่องหายไปจากระบบ อัตรากู้ยืมระหว่างสถาบันการเงิน (เช่น SHIBOR) อาจจะพุ่งแรงกระทบเสถียรภาพของตลาดเงิน
    5. สนับสุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น ตรุษจีนเป็นเทศกาลหลักที่มียอดใช้จ่ายสูงและมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเยอะ
    การดูแลภาพรวมสภาพคล่องของตลาดเงินจะช่วยสนับสนุนโมเมนตัมของเศรษฐกิจโดยรวม

    PBoC เตรียมวงเงินให้บริษัทกู้ยืมเพื่อซื้อหุ้นคืน ตอนนี้มีบริษัทตอบรับร่วมโครงการมากกว่า 300 แห่ง มาร์เก็ตแคปรวมกว่า 10 พันล้านหยวน อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมโครงการนี้ ~2%
    ................................
    ไทย
    คาดส่งออกเดือนธ.ค. $24,000 ล้าน +7.4% y/y (พย. ~$25,000 ล้าน) ส่วนส่งออกปี 2568 ถ้านโยบายทรัมป์ไม่กระทบแรงมาก มองส่งออกยังไปได้
    สหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของสินค้าไทย (~18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด) ปี 67 ไทยส่งออกไปสหรัฐ $54,956.2 ล้าน // นำเข้าสินค้าจากสหรัฐเป็นอันดับ 4 (6% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด) $19,528.6 ล้าน ไทยเป็นฝ่าย “เกินดุล” การค้ากับสหรัฐ $35,427.6 ล้าน ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐต่อเนื่อง ~5 ปี (2561-2566)
    - สินค้าไทยที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงจนทำให้สหรัฐตกเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ากับไทย และมีความเสี่ยงถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้า ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ, โทรศัพท์มือถือ, ไดโอด-ทรานซิสเตอร์/อุปกรณ์กึ่งตัวนำแบบไวแสง (โซลาร์เซลส์), ยางนอกชนิดอัดลมที่เป็นของใหม่,
    เครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดคงที่, เครื่องพิมพ์ป้อนกระดาษเป็นม้วน, หม้อแปลงไฟฟ้า, เครื่องส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์, เครื่องปรับอากาศ, แผงวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์, เพชร พลอย และรูปพรรณพร้อมส่วนประกอบ, เครื่องจักรไฟฟ้า, ตู้เย็น/ตู้แช่แข็ง, เฟอร์นิเจอร์, ผลิตภัณฑ์จากไม้, ขนมหวานที่ไม่มีส่วนผสมของโกโก้ และสินค้าเกษตร/แปรรูป
    #เศรษฐกิจ

    สหรัฐ ทรัมป์ขู่ปูตินให้รีบยุติสงครามกับยูเครน ถ้าไม่ยุติจะคว่ำบาตรครั้งใหม่ ทรัมป์ 1.0 ไม่มีสงครามสู้รบ มีแต่ trade war ครั้งนี้มองว่าอาจจะเหมือนเดิม แต่อาจจะมีการเดินเกมเพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้สหรัฐเพิ่ม เช่น ความต้องการพื้นที่ greenland คลองปานามา Elon แฉ stargate Masayoshi Son (ที่จะเป็นประธานโครงการ) ไม่มีเงินลงทุนสูงตามที่โครงการต้องการ (หุ้นเทสล่า -2% เมื่อคืน สวนกับหุ้นอื่นในกลุ่ม MEG 7 อาจจะเกิดจากนโยบายทรัมป์ที่ยกเลิกคำสั่งใช้รถยนต์ไฟฟ้าของไบเดน และอาจจะประเด็นการออกมาแฉครั้งนี้) เจมี่ ไดมอน ผู้บริหาร JP Morgan: มองราคาหุ้นสหรัฐสูงเกิน แม้พื้นฐานหุ้นจะยังดี ความเสี่ยงเงินเฟ้อ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังอยู่ เตือนว่าท้ายสุดราคาหุ้นอาจจะกลับไปสะท้อนมูลค่าพื้นฐานที่แท้จริง (หุ้นตก) *ก่อนหน้านี้ เซียน Howard Mask, วอร์เรน ผ่าน เบิร์คไชน์ เตือนภาวะฟองสบู่ ค่าเงินดอลลาร์ อ่อนค่า ทอง ราคาเพิ่มต่อ จากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ความเสี่ยงการเมืองของโลก ทองทะลุ $2720 มีโอกาสทดสอบ $2780, $2800 ถ้าผ่านเป้าทดสอบถัดไปคือ $3022/oz. แต่ต้องระวังปัจจัยความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์อาจจะลดลงจากนโยบายทรัมป์ที่ต้องการลดความร้อนแรงความขัดแย้งระหว่างประเทศ ดังนั้นปัจจัยสำคัญกับราคาทองคำจะโฟกัสที่การแข็งค่า-อ่อนค่าของดอลลาร์เป็นหลัก ทองไทย เพิ่มได้ไม่แรงเนื่องจากเงินบาทแข็งค่า รับ: 44,150, 44,000 บาท << 2 แนว, ต้าน: 44,450, 44,650 บาท << 2 แนว น้ำมัน ราคาลดลง รับแรงกดดันจากนโยบายทรัมป์ที่จะขยายการผลิตเพิ่มในสหรัฐ อัตราผลตอบแทน ................................... วันนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นประชุม ลุ้นนโยบายดอกเบี้ย (ปีที่แล้วจขึ้นดอกเบี้ย เกิด black monday) อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า มีโอกาสจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ จากค่าแรงงานขึ้นในทุกภาคส่วน ......................................................... จีน ตลาดเงิน ตลาดทุน หยุดตรุษจีน 28 มค. - 4 กพ. ช่วงก่อนเข้าวันหยุดยาว PBoC (ธนาคารกลางจีน) จะอัดฉีดเงินเข้าระบบ เพื่อดูแลสภาพคล่อง เนื่องจาก 1. ความต้องการเงินสดเพิ่ม คนจีนจะถอนเงินสดเพื่อใช้ในการเดินทาง ท่องเที่ยว ของขวัญ (อั่งเปา) (红包, hóngbāo) 2. ความต้องการเงินทุนจากบริษัทต่าง ๆ ช่วงตรุษจีนเป็นช่วงที่บริษัทจ่ายโบนัสให้กับพนักงานก่อนวันหยุดยาว และอาจจะต้องจ่ายคืนเงินกู้ (ล่วงหน้า) ก่อนจะหยุดยาวด้วย 3. สภาพคล่องธนาคารที่ตึง จากการถอนเงินสดที่เร่งตัวและการใช้จ่ายจากบริษัทเอกชน ทำให้สภาพคล่องของธนาคารมีภาวะตึง ทำให้ต้องการเงินทุนระยะสั้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของการดำเนินการและการให้กู้ยืม 4. ป้องกันความผันผวนในตลาดเงิน เนื่องจากถ้าเกิดภาวะสภาพคล่องหายไปจากระบบ อัตรากู้ยืมระหว่างสถาบันการเงิน (เช่น SHIBOR) อาจจะพุ่งแรงกระทบเสถียรภาพของตลาดเงิน 5. สนับสุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น ตรุษจีนเป็นเทศกาลหลักที่มียอดใช้จ่ายสูงและมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเยอะ การดูแลภาพรวมสภาพคล่องของตลาดเงินจะช่วยสนับสนุนโมเมนตัมของเศรษฐกิจโดยรวม PBoC เตรียมวงเงินให้บริษัทกู้ยืมเพื่อซื้อหุ้นคืน ตอนนี้มีบริษัทตอบรับร่วมโครงการมากกว่า 300 แห่ง มาร์เก็ตแคปรวมกว่า 10 พันล้านหยวน อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมโครงการนี้ ~2% ................................ ไทย คาดส่งออกเดือนธ.ค. $24,000 ล้าน +7.4% y/y (พย. ~$25,000 ล้าน) ส่วนส่งออกปี 2568 ถ้านโยบายทรัมป์ไม่กระทบแรงมาก มองส่งออกยังไปได้ สหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของสินค้าไทย (~18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด) ปี 67 ไทยส่งออกไปสหรัฐ $54,956.2 ล้าน // นำเข้าสินค้าจากสหรัฐเป็นอันดับ 4 (6% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด) $19,528.6 ล้าน ไทยเป็นฝ่าย “เกินดุล” การค้ากับสหรัฐ $35,427.6 ล้าน ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐต่อเนื่อง ~5 ปี (2561-2566) - สินค้าไทยที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงจนทำให้สหรัฐตกเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ากับไทย และมีความเสี่ยงถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้า ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ, โทรศัพท์มือถือ, ไดโอด-ทรานซิสเตอร์/อุปกรณ์กึ่งตัวนำแบบไวแสง (โซลาร์เซลส์), ยางนอกชนิดอัดลมที่เป็นของใหม่, เครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดคงที่, เครื่องพิมพ์ป้อนกระดาษเป็นม้วน, หม้อแปลงไฟฟ้า, เครื่องส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์, เครื่องปรับอากาศ, แผงวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์, เพชร พลอย และรูปพรรณพร้อมส่วนประกอบ, เครื่องจักรไฟฟ้า, ตู้เย็น/ตู้แช่แข็ง, เฟอร์นิเจอร์, ผลิตภัณฑ์จากไม้, ขนมหวานที่ไม่มีส่วนผสมของโกโก้ และสินค้าเกษตร/แปรรูป #เศรษฐกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1377 มุมมอง 0 รีวิว
  • * สัปดาห์นี้ ธนาคารกลาง 4 แห่งการเงินประชุม

    Bank of Japan (BoJ): ประชุม 23-24 มค. คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย

    Federal Reserve (Fed): ธ.กลางสหรัฐ ประชุม 28-29 คาดคงดอกเบี้ย

    European Central Bank (ECB): ประชุม 30 มค. คาดลดดอกเบี้ย

    Bank of Canada (BoC): ธ.กลางแคนาดา ประชุม 29 มค. คาดลดดอกเบี้ย
    .........................
    วานนี้ทรัมป์เข้าสาบานตนรับตำแหน่ง เบื้องต้นยังไม่การออก executive orders ที่เกี่ยวกับมาตรการภาษี ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง (กระทบราคาทองคำไม่ดึดตัว เงินไหลเข้าตลาดเงิน ตลาดทุน)

    - งดเพิ่มจำนวนข้าราชการ ยกเว้นด้านความมั่นคง (ทหาร)
    - งด work from home ของข้าราชการ
    - ถอนตัวจาก Paris Climate Treaty
    - ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า เม็กซิโก แคนาดา สูงสุดแตะ 50% ส่วนจีนรอดูดีล tiktok ถ้าล้มอาจจะมีมาตรการภาษีออกมา (คาดเดาจากนวค.ว่า ทรัมป์ที่โทรหาสี จิ้นผิง อาจจะมีบางดีลที่รออยู่)
    * Tiktok ถูกแบนในสหรัฐ แต่ทรัมป์ยืดเวลาให้ใช้ต่อได้ 75 วัน แต่ต่อรองให้ tiktok ขายหุ้น 50% ให้สหรัฐ แต่ยังไม่ระบุว่าให้ขายให้ใคร ระบุเป็น Joint Venture
    - ยกเลิกคำสั่งและเมมโมฯขอไบเดน 78 ฉบับ (ในนั้นรวม LGBTQ)
    - เพิกถอนคำสั่งไบเดนที่ตั้งเป้ายอดขายรถยนต์ EB 50% ภายในปี 2030
    - ประกาศภาวะฉุกเฉินชายแดนตอนใต้ เนรเทศผู้เข้าเมืองไม่ถูกกฏหมาย
    - นิรโทษกรรมผู้ต้องหา 1500 คนที่บุกรัฐสภาเมื่อ 4 ปีก่อน (ตอนทรัมป์แพ้เลือกตั้งให้ไบเดน)
    - ขุดเจาะน้ำมันดิบ กระทบราคาน้ำมันดิบจากคาดการณ์ซัพพลายในตลาดจะเพิ่ม
    - ถอนตัวจาก WHO
    - กดดัน EU ต้องการลดระดับการขาดดุลการค้า ขู่ใช้มาตรการภาษี หรือ EU ต้องนำเข้าน้ำมันและแก๊สจากสหรัฐ
    - สหรัฐจะไปปักธงที่ดาวอังคาร

    DXY ดัชนีดอลลาร์ คาดค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในระยะสั้นจาก
    1. จำนวนการเปิดสัญญา "Long" ค่าเงินดอลลาร์สูงสุดนับจากปี 2019
    2. ประเด็นกำแพงภาษีน่าจะไม่แรงเหมือนตอนหาเสียง
    3. การกระตุ้นผ่านมาตรการการคลังไม่น่าจะสูงเหมือนตอนที่หาเสียง

    ............................................
    จีน ราคาบ้านน่าจะเจอจุดต่ำสุดแล้ว ราคาบ้านเริ่มกระตุก จำนวนธุรกรรมเกี่ยวกับอสังหาฯ ในเมืองใหญ่เริ่มเพิ่มขึ้น
    ................................
    ทอง โทนเงินเฟ้อจากนโยบายภาษีทรัมป์ไม่แรงอย่างที่หาเสียง ไม่กดดัน เฟดอาจจะดำเนินนโยบายการเงินได้ตามภาวะตลาดไม่ผันผวน + มุมมองดอลลาร์อ่อนค่า เทคนิคที่เบรคกรอบสามเหลี่ยม
    #เศรษฐกิจ
    * สัปดาห์นี้ ธนาคารกลาง 4 แห่งการเงินประชุม Bank of Japan (BoJ): ประชุม 23-24 มค. คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย Federal Reserve (Fed): ธ.กลางสหรัฐ ประชุม 28-29 คาดคงดอกเบี้ย European Central Bank (ECB): ประชุม 30 มค. คาดลดดอกเบี้ย Bank of Canada (BoC): ธ.กลางแคนาดา ประชุม 29 มค. คาดลดดอกเบี้ย ......................... วานนี้ทรัมป์เข้าสาบานตนรับตำแหน่ง เบื้องต้นยังไม่การออก executive orders ที่เกี่ยวกับมาตรการภาษี ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง (กระทบราคาทองคำไม่ดึดตัว เงินไหลเข้าตลาดเงิน ตลาดทุน) - งดเพิ่มจำนวนข้าราชการ ยกเว้นด้านความมั่นคง (ทหาร) - งด work from home ของข้าราชการ - ถอนตัวจาก Paris Climate Treaty - ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า เม็กซิโก แคนาดา สูงสุดแตะ 50% ส่วนจีนรอดูดีล tiktok ถ้าล้มอาจจะมีมาตรการภาษีออกมา (คาดเดาจากนวค.ว่า ทรัมป์ที่โทรหาสี จิ้นผิง อาจจะมีบางดีลที่รออยู่) * Tiktok ถูกแบนในสหรัฐ แต่ทรัมป์ยืดเวลาให้ใช้ต่อได้ 75 วัน แต่ต่อรองให้ tiktok ขายหุ้น 50% ให้สหรัฐ แต่ยังไม่ระบุว่าให้ขายให้ใคร ระบุเป็น Joint Venture - ยกเลิกคำสั่งและเมมโมฯขอไบเดน 78 ฉบับ (ในนั้นรวม LGBTQ) - เพิกถอนคำสั่งไบเดนที่ตั้งเป้ายอดขายรถยนต์ EB 50% ภายในปี 2030 - ประกาศภาวะฉุกเฉินชายแดนตอนใต้ เนรเทศผู้เข้าเมืองไม่ถูกกฏหมาย - นิรโทษกรรมผู้ต้องหา 1500 คนที่บุกรัฐสภาเมื่อ 4 ปีก่อน (ตอนทรัมป์แพ้เลือกตั้งให้ไบเดน) - ขุดเจาะน้ำมันดิบ กระทบราคาน้ำมันดิบจากคาดการณ์ซัพพลายในตลาดจะเพิ่ม - ถอนตัวจาก WHO - กดดัน EU ต้องการลดระดับการขาดดุลการค้า ขู่ใช้มาตรการภาษี หรือ EU ต้องนำเข้าน้ำมันและแก๊สจากสหรัฐ - สหรัฐจะไปปักธงที่ดาวอังคาร DXY ดัชนีดอลลาร์ คาดค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในระยะสั้นจาก 1. จำนวนการเปิดสัญญา "Long" ค่าเงินดอลลาร์สูงสุดนับจากปี 2019 2. ประเด็นกำแพงภาษีน่าจะไม่แรงเหมือนตอนหาเสียง 3. การกระตุ้นผ่านมาตรการการคลังไม่น่าจะสูงเหมือนตอนที่หาเสียง ............................................ จีน ราคาบ้านน่าจะเจอจุดต่ำสุดแล้ว ราคาบ้านเริ่มกระตุก จำนวนธุรกรรมเกี่ยวกับอสังหาฯ ในเมืองใหญ่เริ่มเพิ่มขึ้น ................................ ทอง โทนเงินเฟ้อจากนโยบายภาษีทรัมป์ไม่แรงอย่างที่หาเสียง ไม่กดดัน เฟดอาจจะดำเนินนโยบายการเงินได้ตามภาวะตลาดไม่ผันผวน + มุมมองดอลลาร์อ่อนค่า เทคนิคที่เบรคกรอบสามเหลี่ยม #เศรษฐกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 874 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดาวเหินจรคู่ผสมระหว่างปีและเดือน ประจำเดือนมกราคม 2568

    ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 5 เดือนมกราคม ไปจนถึง วันอาทิตย์ที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 กระแสพลังดาวคู่ผสมระหว่างกระแสพลังดาวธาตุไม้ 三碧 (ซาเพ็ก) พลังดาวแห่งการฟ้องร้อง ต่อสู้ แย่งชิง ทะเลาะวิวาท เสียทรัพย์ ที่ประจำทั้งเดือนจร 丁丑 (เต็งทิ้ว) นักษัตรฉลูไฟ ธาตุน้ำ และประจำปีจร 甲辰 (กะซิ้ง) นักษัตรมะโรงไม้ ธาตุไฟ ส่งอิทธิพลกระทบต่อผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้เกิดการขัดแย้ง แตกแยก แก่งแย่ง ชิงอำนาจความเป็นใหญ่ไม่รักใคร่ปรองดอง ทั้งกลุ่มคนบางกลุ่มรังแต่สร้างปัญหาให้ต้องตามติดแก้ไขโดยไร้จิตสำนึกความรับผิดชอบ ต่างยึดถึงผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม สร้างความเกลียดชังด้วยการใส่ร้ายป้ายสีให้เสียหายเดือดร้อน อีกทั้งใช้สถานการณ์ที่สร้างขึ้นเป็นเครื่องต่อรองช่วงชิงความได้เปรียบต่อกัน กระทบต่อเศรษฐกิจที่จมปรักหยุดชะงักไม่ลื่นไหล ตลาดทุน ตลาดหุ้น ยังคงผันผวนอย่างไร้จุดหมาย ตลาดทองคำทำนิวโลว์อย่างต่อเนื่อง ประชาชนต้องแบกรับภาระหนักเพราะค่าครองชีพสูงทำให้กำลังซื้อถดถอยผู้คนต่างไม่กล้าจับจ่าย ใช้สอย อีกทั้งจะเกิดเหตุเภทภัยอันเนื่องจากโศกนาฏกรรมและอุบัติภัยจากยวดยาน ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินให้ก่อเกิดความเสียหาย ควรตรวจสอบสภาพภูมิอากาศทุกครั้งก่อนการเดินทางตลอดทั้งเดือน
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ดาวเหินจรคู่ผสมระหว่างปีและเดือน ประจำเดือนมกราคม 2568 ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 5 เดือนมกราคม ไปจนถึง วันอาทิตย์ที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 กระแสพลังดาวคู่ผสมระหว่างกระแสพลังดาวธาตุไม้ 三碧 (ซาเพ็ก) พลังดาวแห่งการฟ้องร้อง ต่อสู้ แย่งชิง ทะเลาะวิวาท เสียทรัพย์ ที่ประจำทั้งเดือนจร 丁丑 (เต็งทิ้ว) นักษัตรฉลูไฟ ธาตุน้ำ และประจำปีจร 甲辰 (กะซิ้ง) นักษัตรมะโรงไม้ ธาตุไฟ ส่งอิทธิพลกระทบต่อผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้เกิดการขัดแย้ง แตกแยก แก่งแย่ง ชิงอำนาจความเป็นใหญ่ไม่รักใคร่ปรองดอง ทั้งกลุ่มคนบางกลุ่มรังแต่สร้างปัญหาให้ต้องตามติดแก้ไขโดยไร้จิตสำนึกความรับผิดชอบ ต่างยึดถึงผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม สร้างความเกลียดชังด้วยการใส่ร้ายป้ายสีให้เสียหายเดือดร้อน อีกทั้งใช้สถานการณ์ที่สร้างขึ้นเป็นเครื่องต่อรองช่วงชิงความได้เปรียบต่อกัน กระทบต่อเศรษฐกิจที่จมปรักหยุดชะงักไม่ลื่นไหล ตลาดทุน ตลาดหุ้น ยังคงผันผวนอย่างไร้จุดหมาย ตลาดทองคำทำนิวโลว์อย่างต่อเนื่อง ประชาชนต้องแบกรับภาระหนักเพราะค่าครองชีพสูงทำให้กำลังซื้อถดถอยผู้คนต่างไม่กล้าจับจ่าย ใช้สอย อีกทั้งจะเกิดเหตุเภทภัยอันเนื่องจากโศกนาฏกรรมและอุบัติภัยจากยวดยาน ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินให้ก่อเกิดความเสียหาย ควรตรวจสอบสภาพภูมิอากาศทุกครั้งก่อนการเดินทางตลอดทั้งเดือน ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 617 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣️ จะเป็นให้ได้ เสี่ยโต้ง White Lie ยืมมือ
    วิทยาลัยตลาดทุน รุ่น 8 ซึ่งเป็น "กลุ่มเพื่อนกิตติรัตน์" ล่ารายชื่อสนับสนุนให้นั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ
    #7ดอกจิก
    ♣️ จะเป็นให้ได้ เสี่ยโต้ง White Lie ยืมมือ วิทยาลัยตลาดทุน รุ่น 8 ซึ่งเป็น "กลุ่มเพื่อนกิตติรัตน์" ล่ารายชื่อสนับสนุนให้นั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ #7ดอกจิก
    Angry
    Sad
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 888 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥สุดยอด ปรบมือ!! ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
    ประสานความร่วมมือ ยกระดับการทำหน้าที่กำกับดูแล
    ตลาดทุนร่วมกัน ให้มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม มากยิ่งขึ้น

    บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ได้มีการปรับปรุงกรอบการ
    ทำงานร่วมกันของทั้ง 2 องค์กรในงานด้านกำกับดูแล
    ให้มีความชัดเจน ลดความซ้ำซ้อน รวมถึงสอดรับกับระบบนิเวศ
    และการเปลี่ยนแปลงของตลาดทุนในปัจจุบัน
    ตลอดจนสามารถรองรับกับแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
    ได้แก่

    (1) การกำกับดูแลบริษัทที่เสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน
    และการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน

    (2) การกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และสมาชิก
    ของตลาดหลักทรัพย์ฯ

    (3) การติดตามดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียน
    และการบังคับใช้กฎหมาย และ

    (4) การออกระเบียบข้อบังคับหรือกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ
    อีกทั้งจะเพิ่มการสนับสนุนและแลกเปลี่ยนข้อมูลการกำกับดูแล
    ระหว่างกัน เพื่อให้การทำหน้าที่ของแต่ละองค์กรมีประสิทธิภาพ
    มากยิ่งขึ้น เช่น การร่วมกันพิจารณาคำขอกรณีการจดทะเบียนโดยอ้อม
    (Backdoor Listing) การขอย้ายกลับมาซื้อขายของบริษัทจดทะเบียน
    หลังแก้ไขเหตุอาจถูกเพิกถอน (Resume Trading) เพื่อให้กระบวนการ
    พิจารณา มีมาตรฐานเทียบเท่าการรับหลักทรัพย์จดทะเบียนใหม่
    และยังจะมีการร่วมกันกำหนดหรือปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
    หากเห็นว่ากฎเกณฑ์ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยสนับสนุน ป้องปราม
    หรือยับยั้งพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่การซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่เป็นธรรม
    ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นต้น

    อีกทั้งบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ยังครอบคลุมถึงแนวทางการทำงาน
    และการประสานงานร่วมกัน ทั้งในระดับคณะกรรมการและฝ่ายจัดการ
    ของทั้ง 2 องค์กร เพื่อให้การขับเคลื่อนทิศทางนโยบายการพัฒนา
    ตลาดทุน การส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันกับตลาดทุนอื่น
    และการกำกับดูแลตลาดทุนของ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ
    มีความสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้น

    นอกจากนี้ ทั้ง 2 องค์กรยังมีการหารือในประเด็นที่จะขับเคลื่อน
    ร่วมกันที่สำคัญ ดังนี้

    (1) การสร้างระบบนิเวศ (ecosystem) หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์
    เพื่อรองรับการพัฒนาการลงทุนในรูปแบบใหม่ ที่อยู่ระหว่างปรับปรุง
    พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

    (2) การสนับสนุนการเพิ่มมูลค่า (value up) ของบริษัทจดทะเบียน
    เพื่อสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้บริษัทจดทะเบียนมุ่งมั่น
    ที่จะเสริมศักยภาพและมูลค่าของตัวเอง สื่อสารกับนักลงทุน
    อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกเหนือจากที่รัฐบาลได้สนับสนุน
    การขยายรายชื่อหลักทรัพย์ที่กองทุน Thai ESG สามารถลงทุนได้

    (3) การส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนตามมาตรฐาน
    International Sustainability Standards Board (ISSB)
    ซึ่ง ก.ล.ต. อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมและขอความร่วมมือ
    จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการสนับสนุนและต่อยอดการดำเนินการ
    และการทำความเข้าใจกับบริษัทจดทะเบียน

    (4) การส่งเสริมผู้ลงทุนให้มีความรู้ (investor empowerment)
    ผ่าน Open Data ของภาคตลาดทุนและภาคการเงิน เพื่อให้ผู้ลงทุน
    สามารถใช้ข้อมูลของตนที่อยู่กับผู้ประกอบธุรกิจได้อย่างมี
    ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

    ที่มา ก.ล.ต.
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    💥💥สุดยอด ปรบมือ!! ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประสานความร่วมมือ ยกระดับการทำหน้าที่กำกับดูแล ตลาดทุนร่วมกัน ให้มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม มากยิ่งขึ้น บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ได้มีการปรับปรุงกรอบการ ทำงานร่วมกันของทั้ง 2 องค์กรในงานด้านกำกับดูแล ให้มีความชัดเจน ลดความซ้ำซ้อน รวมถึงสอดรับกับระบบนิเวศ และการเปลี่ยนแปลงของตลาดทุนในปัจจุบัน ตลอดจนสามารถรองรับกับแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ได้แก่ (1) การกำกับดูแลบริษัทที่เสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน และการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน (2) การกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และสมาชิก ของตลาดหลักทรัพย์ฯ (3) การติดตามดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียน และการบังคับใช้กฎหมาย และ (4) การออกระเบียบข้อบังคับหรือกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกทั้งจะเพิ่มการสนับสนุนและแลกเปลี่ยนข้อมูลการกำกับดูแล ระหว่างกัน เพื่อให้การทำหน้าที่ของแต่ละองค์กรมีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น เช่น การร่วมกันพิจารณาคำขอกรณีการจดทะเบียนโดยอ้อม (Backdoor Listing) การขอย้ายกลับมาซื้อขายของบริษัทจดทะเบียน หลังแก้ไขเหตุอาจถูกเพิกถอน (Resume Trading) เพื่อให้กระบวนการ พิจารณา มีมาตรฐานเทียบเท่าการรับหลักทรัพย์จดทะเบียนใหม่ และยังจะมีการร่วมกันกำหนดหรือปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง หากเห็นว่ากฎเกณฑ์ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยสนับสนุน ป้องปราม หรือยับยั้งพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่การซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่เป็นธรรม ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นต้น อีกทั้งบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ยังครอบคลุมถึงแนวทางการทำงาน และการประสานงานร่วมกัน ทั้งในระดับคณะกรรมการและฝ่ายจัดการ ของทั้ง 2 องค์กร เพื่อให้การขับเคลื่อนทิศทางนโยบายการพัฒนา ตลาดทุน การส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันกับตลาดทุนอื่น และการกำกับดูแลตลาดทุนของ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ทั้ง 2 องค์กรยังมีการหารือในประเด็นที่จะขับเคลื่อน ร่วมกันที่สำคัญ ดังนี้ (1) การสร้างระบบนิเวศ (ecosystem) หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรองรับการพัฒนาการลงทุนในรูปแบบใหม่ ที่อยู่ระหว่างปรับปรุง พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (2) การสนับสนุนการเพิ่มมูลค่า (value up) ของบริษัทจดทะเบียน เพื่อสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้บริษัทจดทะเบียนมุ่งมั่น ที่จะเสริมศักยภาพและมูลค่าของตัวเอง สื่อสารกับนักลงทุน อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกเหนือจากที่รัฐบาลได้สนับสนุน การขยายรายชื่อหลักทรัพย์ที่กองทุน Thai ESG สามารถลงทุนได้ (3) การส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนตามมาตรฐาน International Sustainability Standards Board (ISSB) ซึ่ง ก.ล.ต. อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมและขอความร่วมมือ จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการสนับสนุนและต่อยอดการดำเนินการ และการทำความเข้าใจกับบริษัทจดทะเบียน (4) การส่งเสริมผู้ลงทุนให้มีความรู้ (investor empowerment) ผ่าน Open Data ของภาคตลาดทุนและภาคการเงิน เพื่อให้ผู้ลงทุน สามารถใช้ข้อมูลของตนที่อยู่กับผู้ประกอบธุรกิจได้อย่างมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ที่มา ก.ล.ต. #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1066 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ป้ามลปิษ กำลังจะก้าวสู่การเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน
    ความอิ๊บอ๋ายกำลังจะบังเกิด
    ปกติ คิงส์โพธิ์ดำ จะไม่ขวางความเจริญก้าวหน้าของใคร แต่ ป้ามลปิษนี่ รับไม่ล่ายเจงๆ
    มาดูวีรกรรมของป้า แล้วค่อยตอบพี่คิงส์ว่า ไหวมั๊ย
    - ป้าสมัยดำรงค์ตำแหน่งที่มีอำนาจในกลต. ถูกร้องเรียนว่าปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาโดยไม่อยู่ในหลักธรรมภิบาล ทำให้พนักงานที่มีความสามารถ จำใจลาออกเป็นจำนวนมาก ถึง200 คน และที่ยังอยู่ ก็ก้มหน้าทำงานให้รอดไปวันๆ
    วีรกรรมที่สอง
    - ยัยป้า แต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง และแต่งตั้งที่ปรึกษา ที่มีผลการประเมินระดับต่ำ จนทำให้เกิดค่านิยมใหม่ โดยใครที่อยากได้ตำแหน่งหลังเกษียณเพียงแค่ทำดีกับอินังป้า ก็ได้ตำแหน่งเติบโต
    - ยายป้า แต่งตั้งตำแหน่งที่ปรึกษา มีมากกว่า 10 ตำแหน่ง และเงินเดือนสูงหลักแสนไม่มีขอบเขตงานที่ชัดเจนและบรรดาที่ปรึกษา ทำหน้าที่เกินขอบเขต โดยการให้เข้ามาตัดสินใจและร่วมแคนดิเดตกับบอร์ดบริหารปัจจุบัน ทำให้การทำงานยากขึ้นและประสิทธิภาพลดลง
    - พนักงานคนใดที่ทำให้ ป้ามลปิ๊ษไม่พอใจ จะถูกกลั่นแกล้ง ข่มขู่ โยกย้าย มากสุดถึงขั้นสอบสวน
    - ยัง ยังไม่พอ บุคคลใดที่ไม่ยอมให้นังป้าต่อวาระตำแหน่งได้โดยอัติโนมัติ ป้าจะกลั่นแกล้งเกลียดชังอย่างหนัก จนทนไม่ไหวแพ้บายไปเอง
    - และยายป้ายังไม่สนใจเวล่ำเวลา ชอบตั้งคำถาม สั่งงานผ่านทางออนไลน์และไม่พิจารณาความเหมาะสมของเวลา และต้องการคำตอบทันที ทำให้พนักงานหวาดกลัว และสละเวลาส่วนตัวมาตอบคำถามโดยไม่สมัครใจ ถึงขั้นเคยสั่งให้ผู้บริหาร ชี้แจงว่า เวลา6โมงเย็นถึง 7 โมงเช้า ทำอะไรบ้าง ซึ่งนั่นคือเวลาส่วนตัวหลังเลิกงาน เช๊ดดดด
    - งานไหนที่อิป้าได้รับมอบหมายแต่ไม่เสร็จ ป้า จะโบ้ยไปที่ ผู้บริหารชุดเก่า ซึ่งอิป้า ทำงานมาถึงปีที่ 4 ก็ยังคงพูดเหมือนเดิม
    - ยายป้ามลปิษ มีปัญหา เรื่องงบประมาณ จ่ายเงินเดือนที่ปรึกษาหลักแสน และมีการตั้งงบประมาณพานักข่าวเดินทางไปดูงานที่สิงคโปร์ หลักล้านบาท และจ้างพนักงานชั่วคราว 100 คน งบ 20 ล้านบาท เพียงเพื่อเอาหน้าและสร้างบารมี
    - ยังไม่พอ ป้ายังข่มขู่บอร์ดบริหาร และพนักงาน โดยป้าขอดูคะแนนการประเมินของตัวเอง จากบอร์ดแต่ละคน หากบอร์ดคนใดให้คะแนนต่ำ ก็โดนเล่นเป็นรายตัว
    - อิป้าไม่ยอมที่จะให้ใครมีผลงานเด่นกว่าตัวเอง แต่ขณะอิป้าติดมือถือหนักมาก แม้กระทั่งขณะประชุมบอร์ดบริหาร หากใครตั้งคำถามแล้วอิป้าตอบไม่ได้ จะเหวี่ยงวีนทันที
    - ที่ถึงกับช็อตฟิวพี่คิงส์คือ ยายป้าที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารในกลต. แต่ดันขาดความรู้เรื่องตลาดหุ้น ไม่เข้าใจตลาดลงทุนเชิงลึก ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ ความเชื่อมโยงของตลาดทุนกับการเงิน และเมื่อถูกถามคำถามและตอบไม่ได้ จะโทษคนรองข้างทั้งหมด หรืออ้างว่า ไม่ต้องการให้คำตอบ
    โอ้ว มาย ก๊อด คนแบบนี้หรือ ที่จะได้รับการเชิดชู ให้มาดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ที่ต้องเชื่อมโยงระหว่างประชาชนที่มีข้อพิพาทกับหน่วยงานรัฐ เป็นผู้ดูแลทุกข์สุขของประชาชน หน่วยงานอันทรงเกียรติ กำลังจะมีบุคคลมาบริหารอันเป็นที่น่ารังเกียจในเชิงประจักษ์ จะสร้างความด่างพร้อยให้กับหน่วยงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา อย่างน่าเสียดาย
    คงต้องให้รัฐบาล กลับไปหาข้อมูล เพื่อทบทวนพิจารณาใหม่อีกครั้ง หรือหาใครที่ดีกว่านี้ได้อีกแล้วจริงหรือ สำหรับการดำรงค์ตำแหน่งอันทรงเกียรติ และมีการเชื่อมโยงกับประชาชน ฝากให้คิดและพิจารณา เพราะที่น่าอัวคือปัจจุบันแกดำรงค์ตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี อูยยยย เสียวซี๊ดดดดด
    #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    #ป้ามลปิษ กำลังจะก้าวสู่การเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน ความอิ๊บอ๋ายกำลังจะบังเกิด ปกติ คิงส์โพธิ์ดำ จะไม่ขวางความเจริญก้าวหน้าของใคร แต่ ป้ามลปิษนี่ รับไม่ล่ายเจงๆ มาดูวีรกรรมของป้า แล้วค่อยตอบพี่คิงส์ว่า ไหวมั๊ย - ป้าสมัยดำรงค์ตำแหน่งที่มีอำนาจในกลต. ถูกร้องเรียนว่าปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาโดยไม่อยู่ในหลักธรรมภิบาล ทำให้พนักงานที่มีความสามารถ จำใจลาออกเป็นจำนวนมาก ถึง200 คน และที่ยังอยู่ ก็ก้มหน้าทำงานให้รอดไปวันๆ วีรกรรมที่สอง - ยัยป้า แต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง และแต่งตั้งที่ปรึกษา ที่มีผลการประเมินระดับต่ำ จนทำให้เกิดค่านิยมใหม่ โดยใครที่อยากได้ตำแหน่งหลังเกษียณเพียงแค่ทำดีกับอินังป้า ก็ได้ตำแหน่งเติบโต - ยายป้า แต่งตั้งตำแหน่งที่ปรึกษา มีมากกว่า 10 ตำแหน่ง และเงินเดือนสูงหลักแสนไม่มีขอบเขตงานที่ชัดเจนและบรรดาที่ปรึกษา ทำหน้าที่เกินขอบเขต โดยการให้เข้ามาตัดสินใจและร่วมแคนดิเดตกับบอร์ดบริหารปัจจุบัน ทำให้การทำงานยากขึ้นและประสิทธิภาพลดลง - พนักงานคนใดที่ทำให้ ป้ามลปิ๊ษไม่พอใจ จะถูกกลั่นแกล้ง ข่มขู่ โยกย้าย มากสุดถึงขั้นสอบสวน - ยัง ยังไม่พอ บุคคลใดที่ไม่ยอมให้นังป้าต่อวาระตำแหน่งได้โดยอัติโนมัติ ป้าจะกลั่นแกล้งเกลียดชังอย่างหนัก จนทนไม่ไหวแพ้บายไปเอง - และยายป้ายังไม่สนใจเวล่ำเวลา ชอบตั้งคำถาม สั่งงานผ่านทางออนไลน์และไม่พิจารณาความเหมาะสมของเวลา และต้องการคำตอบทันที ทำให้พนักงานหวาดกลัว และสละเวลาส่วนตัวมาตอบคำถามโดยไม่สมัครใจ ถึงขั้นเคยสั่งให้ผู้บริหาร ชี้แจงว่า เวลา6โมงเย็นถึง 7 โมงเช้า ทำอะไรบ้าง ซึ่งนั่นคือเวลาส่วนตัวหลังเลิกงาน เช๊ดดดด - งานไหนที่อิป้าได้รับมอบหมายแต่ไม่เสร็จ ป้า จะโบ้ยไปที่ ผู้บริหารชุดเก่า ซึ่งอิป้า ทำงานมาถึงปีที่ 4 ก็ยังคงพูดเหมือนเดิม - ยายป้ามลปิษ มีปัญหา เรื่องงบประมาณ จ่ายเงินเดือนที่ปรึกษาหลักแสน และมีการตั้งงบประมาณพานักข่าวเดินทางไปดูงานที่สิงคโปร์ หลักล้านบาท และจ้างพนักงานชั่วคราว 100 คน งบ 20 ล้านบาท เพียงเพื่อเอาหน้าและสร้างบารมี - ยังไม่พอ ป้ายังข่มขู่บอร์ดบริหาร และพนักงาน โดยป้าขอดูคะแนนการประเมินของตัวเอง จากบอร์ดแต่ละคน หากบอร์ดคนใดให้คะแนนต่ำ ก็โดนเล่นเป็นรายตัว - อิป้าไม่ยอมที่จะให้ใครมีผลงานเด่นกว่าตัวเอง แต่ขณะอิป้าติดมือถือหนักมาก แม้กระทั่งขณะประชุมบอร์ดบริหาร หากใครตั้งคำถามแล้วอิป้าตอบไม่ได้ จะเหวี่ยงวีนทันที - ที่ถึงกับช็อตฟิวพี่คิงส์คือ ยายป้าที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารในกลต. แต่ดันขาดความรู้เรื่องตลาดหุ้น ไม่เข้าใจตลาดลงทุนเชิงลึก ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ ความเชื่อมโยงของตลาดทุนกับการเงิน และเมื่อถูกถามคำถามและตอบไม่ได้ จะโทษคนรองข้างทั้งหมด หรืออ้างว่า ไม่ต้องการให้คำตอบ โอ้ว มาย ก๊อด คนแบบนี้หรือ ที่จะได้รับการเชิดชู ให้มาดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ที่ต้องเชื่อมโยงระหว่างประชาชนที่มีข้อพิพาทกับหน่วยงานรัฐ เป็นผู้ดูแลทุกข์สุขของประชาชน หน่วยงานอันทรงเกียรติ กำลังจะมีบุคคลมาบริหารอันเป็นที่น่ารังเกียจในเชิงประจักษ์ จะสร้างความด่างพร้อยให้กับหน่วยงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา อย่างน่าเสียดาย คงต้องให้รัฐบาล กลับไปหาข้อมูล เพื่อทบทวนพิจารณาใหม่อีกครั้ง หรือหาใครที่ดีกว่านี้ได้อีกแล้วจริงหรือ สำหรับการดำรงค์ตำแหน่งอันทรงเกียรติ และมีการเชื่อมโยงกับประชาชน ฝากให้คิดและพิจารณา เพราะที่น่าอัวคือปัจจุบันแกดำรงค์ตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี อูยยยย เสียวซี๊ดดดดด #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 570 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์
    และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
    ปรับปรุงหลักเกณฑ์การรายงานข้อมูล
    ของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และ
    ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ผู้ประกอบธุรกิจ)
    เพื่อให้ ก.ล.ต.มีข้อมูลเชิงลึกในการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจ
    และตลาดทุน รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานข้อมูล
    เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลในตลาดทุน

    🚩ตามที่ ก.ล.ต. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อหลักการ
    และหลักเกณฑ์ที่เสนอปรับปรุงเกี่ยวกับการยื่นรายงานทรัพย์สิน
    ของลูกค้าและการทำธุรกรรมของผู้ประกอบธุรกิจ
    โดยปรับปรุงการรายงานให้มีลักษณะเป็นข้อมูลเชิงลึก
    (granular data) เพื่อประโยชน์ในการติดตามกำกับดูแล
    ความเสี่ยงของผู้ประกอบธุรกิจ

    🚩รวมทั้งความเสี่ยงเชิงระบบ (systemic risk) และความเป็น
    ระเบียบเรียบร้อยในตลาดทุน (fair and orderly market)
    เพื่อคุ้มครองผู้ลงทุนและตลาดทุนโดยรวม รวมทั้งจะทำให้
    ผู้ประกอบธุรกิจได้รับข้อมูลภาพรวมสำหรับใช้ประกอบการ
    บริหารความเสี่ยงด้วย

    นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดมาตรฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
    เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนข้อมูล (open data)
    ระหว่างผู้ประกอบธุรกิจ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ลงทุน

    🚩ก.ล.ต. จึงออกประกาศหลักเกณฑ์ที่ปรับปรุงแล้ว โดยได้นำ
    ความเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์จากการเปิดรับฟัง
    ความคิดเห็นดังกล่าวมาประกอบการพิจารณา ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้

    (1) ปรับปรุงขอบเขตการยื่นรายงานของผู้ประกอบธุรกิจ
    ให้รวมถึงการนำส่งข้อมูล หรือเอกสาร โดยจำกัดให้ครอบคลุม
    เท่าที่จำเป็น ตามระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ ก.ล.ต.
    สามารถปฏิบัติภารกิจตามกฎหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะ
    หรือการคุ้มครองผู้ลงทุนได้

    (2) ปรับปรุงแบบรายงานทรัพย์สินลูกค้า และการทำธุรกรรม
    ของผู้ประกอบธุรกิจ โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจรายงานข้อมูล
    รายละเอียดเชิงลึก แยกรายลูกค้าและรายหลักทรัพย์
    และกำหนดให้ยื่นต่อ ก.ล.ต. เป็นรายสัปดาห์

    ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าว* จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567
    เป็นต้นไป

    ที่มา : ก.ล.ต.

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #กลต #thaitimes
    🔥🔥สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปรับปรุงหลักเกณฑ์การรายงานข้อมูล ของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และ ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ผู้ประกอบธุรกิจ) เพื่อให้ ก.ล.ต.มีข้อมูลเชิงลึกในการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจ และตลาดทุน รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานข้อมูล เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลในตลาดทุน 🚩ตามที่ ก.ล.ต. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อหลักการ และหลักเกณฑ์ที่เสนอปรับปรุงเกี่ยวกับการยื่นรายงานทรัพย์สิน ของลูกค้าและการทำธุรกรรมของผู้ประกอบธุรกิจ โดยปรับปรุงการรายงานให้มีลักษณะเป็นข้อมูลเชิงลึก (granular data) เพื่อประโยชน์ในการติดตามกำกับดูแล ความเสี่ยงของผู้ประกอบธุรกิจ 🚩รวมทั้งความเสี่ยงเชิงระบบ (systemic risk) และความเป็น ระเบียบเรียบร้อยในตลาดทุน (fair and orderly market) เพื่อคุ้มครองผู้ลงทุนและตลาดทุนโดยรวม รวมทั้งจะทำให้ ผู้ประกอบธุรกิจได้รับข้อมูลภาพรวมสำหรับใช้ประกอบการ บริหารความเสี่ยงด้วย นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดมาตรฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนข้อมูล (open data) ระหว่างผู้ประกอบธุรกิจ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ลงทุน 🚩ก.ล.ต. จึงออกประกาศหลักเกณฑ์ที่ปรับปรุงแล้ว โดยได้นำ ความเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์จากการเปิดรับฟัง ความคิดเห็นดังกล่าวมาประกอบการพิจารณา ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้ (1) ปรับปรุงขอบเขตการยื่นรายงานของผู้ประกอบธุรกิจ ให้รวมถึงการนำส่งข้อมูล หรือเอกสาร โดยจำกัดให้ครอบคลุม เท่าที่จำเป็น ตามระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ ก.ล.ต. สามารถปฏิบัติภารกิจตามกฎหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือการคุ้มครองผู้ลงทุนได้ (2) ปรับปรุงแบบรายงานทรัพย์สินลูกค้า และการทำธุรกรรม ของผู้ประกอบธุรกิจ โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจรายงานข้อมูล รายละเอียดเชิงลึก แยกรายลูกค้าและรายหลักทรัพย์ และกำหนดให้ยื่นต่อ ก.ล.ต. เป็นรายสัปดาห์ ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าว* จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป ที่มา : ก.ล.ต. #หุ้นติดดอย #การลงทุน #กลต #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 665 มุมมอง 0 รีวิว
  • พวกลัทธิตาเดียวมันมีชีวิตมากกว่าคนมนุษย์เราๆปกติ จึงอาศัยว่ามีอายุมาก แย่งชิง&เปลี่ยนนั้นนี้ให้เป็นที่ต้องการของมันอย่างสบายใจ.,ง่ายๆนายQเป็นกษัตริยปกครองที่ดี แต่อีลิทนี้มีอายุอยู่ยาวกว่านายQคือ200ปี นายQตายในปี199,อีลิทพวกนี้ยึดอำนาจปกครองต่อเปลี่ยนแปลงระบบปกครองทั้งโลก ใครจะห้ามมันได้ คนเก่าตายไปแล้ว และหากพวกมันมีอายุยืนยาวเกินหมื่นเกินพันปีล่ะ จะอนาถขนาดไหนในการวางแผนวางหมากปกครองเลวชั่วเนียนๆเชือดนิ่มๆอย่างสบายใจนอนเย็นให้พวกมันเชือดแบบไม่รู้ตัวอะไร,
    ..จึงไม่แปลกที่มันจะขยายกลยุทธครอบงำปกครองในแต่ละช่วงสมัยได้สบาย,ไม่รวมพวกมันเดินทางข้ามมิติย้อนอดีต ไปอนาคตได้อีกนะ,สู้กันแหลกตายคามิตินักท่องเวลากันเลย.
    ..อีลิทจึงมีเดอะแก๊งเครือข่ายมามากมายกระจายทั่วโลก ปะปนทุกๆองค์กร ทุกๆตารางนิ้ง มีสมุนรับใช้ ทาสมันเพื่อทรยศ เพื่อลดประชากรโลก กำจัดมนุษย์ธรรมดาแบบเราๆอย่างง่ายดาย.
    ..ความสามัคคีในหมู่เรามนุษย์พันธุ์ดีแท้จึงสำคัญ.
    ..ปัจจุบันเครือข่ายกิจการมันทั่วโลก ทั้งพังทั้งยุบทั้งล่มละลาย เจ๊งเต็มไปหมด แม้แต่ในประเทศไทยเราก็เศรษฐกิจพัง ที่พังๆคือพวกอีลิทมารซาตานเจ๊งปิดกิจการทั้งนั้น ที่เคยกอบโกยมนุษย์มานาน นัยยะนี้ยิ่งตลาดตังตลาดเงินมันพังจริงจังทั่วโลก แสดงว่าพวกอีลิทมันไม่มีเงินแล้วเพื่อใช้เชื่อมสานก่อชั่ว ถ้าสไตล์เชื่อมจิตก็ถูกตัดตอนตัดคลื่น สไตล์พวกมันคือถูกตัดเงินตัดตอนไม่ให้มีเงินไปประสานก่อชั่วได้สะดวกแบบเดิม เครือข่ายทั้งบริษัทแม่ บริษัทลูกพังปิดกิจการกันโดยมาก ถ้าตลาดทุนตลาดหุ้นทั่วโลกแบบของไทยถูกทุบทิ้งตลาดsetไปวัด บริษัทเครือข่ายซาตานในไทยจะขาดตังหมุนขาดสภาพคล่อง ดับอนาถไปวัดรวดเร็วกว่าเดิมแน่นอน มนุษย์โลกจะหลุดออกจากวงโคจรทาสที่มีสถานะตกงานนั้นล่ะ เป็นการเปิดโอกาสอย่างมีนัยยะสำคัญมากสู่อิสระภาพชีวิตใหม่บนเจตจำนงเสรีใหม่ของยุคใหม่,แต่พลาดที่ฉีดวัคซีนไป เพราะรัฐบาลเลว อีลิทปกครองทุกๆรัฐบาลจะชาติใดๆทั่วโลก ประชาชนจึงซวยแล้วแต่ชาตินั้นๆวงในจะกำลังภายในแข็งกล้าเพียงใด.
    ..มาดูกันว่าพวกนี้จะเจ๊งทั้งโลกต่อไปแบบไหน,พวกมันมีกิจการบริษัทในเครือเยอะจริงๆ,แต่ปัจจุบันคงเหลือน้อยแล้ว เพราะคงเจอฝ่ายขวาจัดการแบบเหนือเมฆสะกำมันอยู่และกำลังกระทำอยู่ในปัจจุบัน,ข่าวปิดกิจการอย่าสนใจเลย อาจพิจารณาตรองอย่างมีสติไว้ก่อนว่าคงเป็นสมุนรับใช้เครือข่ายซาตานลัทธิตาเดียวมัน,ปกติพวกมันจะแอบซ่อน,ปัจจุบันโชว์เปิดเผย นั้นอาจมีนัยยะบอกตรงๆว่า พวกมึงไร้ที่ซ่อนแล้ว รอเวลาเด็ดหัวทั้งหมดแค่นั้น ตอนให้ออกมารำกลางเวทีมันหมดที่ไปแล้วนั้นเองก็ได้.
    ..gitmoตรึมแล้วในปัจจุบันน่าพิจารณามาก.
    พวกลัทธิตาเดียวมันมีชีวิตมากกว่าคนมนุษย์เราๆปกติ จึงอาศัยว่ามีอายุมาก แย่งชิง&เปลี่ยนนั้นนี้ให้เป็นที่ต้องการของมันอย่างสบายใจ.,ง่ายๆนายQเป็นกษัตริยปกครองที่ดี แต่อีลิทนี้มีอายุอยู่ยาวกว่านายQคือ200ปี นายQตายในปี199,อีลิทพวกนี้ยึดอำนาจปกครองต่อเปลี่ยนแปลงระบบปกครองทั้งโลก ใครจะห้ามมันได้ คนเก่าตายไปแล้ว และหากพวกมันมีอายุยืนยาวเกินหมื่นเกินพันปีล่ะ จะอนาถขนาดไหนในการวางแผนวางหมากปกครองเลวชั่วเนียนๆเชือดนิ่มๆอย่างสบายใจนอนเย็นให้พวกมันเชือดแบบไม่รู้ตัวอะไร, ..จึงไม่แปลกที่มันจะขยายกลยุทธครอบงำปกครองในแต่ละช่วงสมัยได้สบาย,ไม่รวมพวกมันเดินทางข้ามมิติย้อนอดีต ไปอนาคตได้อีกนะ,สู้กันแหลกตายคามิตินักท่องเวลากันเลย. ..อีลิทจึงมีเดอะแก๊งเครือข่ายมามากมายกระจายทั่วโลก ปะปนทุกๆองค์กร ทุกๆตารางนิ้ง มีสมุนรับใช้ ทาสมันเพื่อทรยศ เพื่อลดประชากรโลก กำจัดมนุษย์ธรรมดาแบบเราๆอย่างง่ายดาย. ..ความสามัคคีในหมู่เรามนุษย์พันธุ์ดีแท้จึงสำคัญ. ..ปัจจุบันเครือข่ายกิจการมันทั่วโลก ทั้งพังทั้งยุบทั้งล่มละลาย เจ๊งเต็มไปหมด แม้แต่ในประเทศไทยเราก็เศรษฐกิจพัง ที่พังๆคือพวกอีลิทมารซาตานเจ๊งปิดกิจการทั้งนั้น ที่เคยกอบโกยมนุษย์มานาน นัยยะนี้ยิ่งตลาดตังตลาดเงินมันพังจริงจังทั่วโลก แสดงว่าพวกอีลิทมันไม่มีเงินแล้วเพื่อใช้เชื่อมสานก่อชั่ว ถ้าสไตล์เชื่อมจิตก็ถูกตัดตอนตัดคลื่น สไตล์พวกมันคือถูกตัดเงินตัดตอนไม่ให้มีเงินไปประสานก่อชั่วได้สะดวกแบบเดิม เครือข่ายทั้งบริษัทแม่ บริษัทลูกพังปิดกิจการกันโดยมาก ถ้าตลาดทุนตลาดหุ้นทั่วโลกแบบของไทยถูกทุบทิ้งตลาดsetไปวัด บริษัทเครือข่ายซาตานในไทยจะขาดตังหมุนขาดสภาพคล่อง ดับอนาถไปวัดรวดเร็วกว่าเดิมแน่นอน มนุษย์โลกจะหลุดออกจากวงโคจรทาสที่มีสถานะตกงานนั้นล่ะ เป็นการเปิดโอกาสอย่างมีนัยยะสำคัญมากสู่อิสระภาพชีวิตใหม่บนเจตจำนงเสรีใหม่ของยุคใหม่,แต่พลาดที่ฉีดวัคซีนไป เพราะรัฐบาลเลว อีลิทปกครองทุกๆรัฐบาลจะชาติใดๆทั่วโลก ประชาชนจึงซวยแล้วแต่ชาตินั้นๆวงในจะกำลังภายในแข็งกล้าเพียงใด. ..มาดูกันว่าพวกนี้จะเจ๊งทั้งโลกต่อไปแบบไหน,พวกมันมีกิจการบริษัทในเครือเยอะจริงๆ,แต่ปัจจุบันคงเหลือน้อยแล้ว เพราะคงเจอฝ่ายขวาจัดการแบบเหนือเมฆสะกำมันอยู่และกำลังกระทำอยู่ในปัจจุบัน,ข่าวปิดกิจการอย่าสนใจเลย อาจพิจารณาตรองอย่างมีสติไว้ก่อนว่าคงเป็นสมุนรับใช้เครือข่ายซาตานลัทธิตาเดียวมัน,ปกติพวกมันจะแอบซ่อน,ปัจจุบันโชว์เปิดเผย นั้นอาจมีนัยยะบอกตรงๆว่า พวกมึงไร้ที่ซ่อนแล้ว รอเวลาเด็ดหัวทั้งหมดแค่นั้น ตอนให้ออกมารำกลางเวทีมันหมดที่ไปแล้วนั้นเองก็ได้. ..gitmoตรึมแล้วในปัจจุบันน่าพิจารณามาก.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 647 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥24/09/2567
    ตลาดหุ้นทั่วโลกพุ่งแตะระดับสูงสุด
    เป็นประวัติการณ์ในวันนี้
    หลังจากจีนเปิดเผยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
    เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและตลาดหุ้น
    ส่งผลให้หุ้นในเอเชีย รวมทั้งตลาดหุ้นไทย
    และยุโรปพุ่งสูงขึ้น รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์
    เช่น น้ำมัน, ทองแดง, เหล็ก, และ ทองคำ ราคาดีดตัวขึ้น

    🚩โดยผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีน พาน กงเซิง
    ประกาศแผนลดต้นทุนการกู้ยืม และอัดฉีดเงิน
    เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจีนมากขึ้น
    รวมถึงลดภาระการผ่อนชำระเงินกู้ของครัวเรือน

    🚩นอกจากนี้ พานยังกล่าวอีกว่า จีนจะออกเครื่องมือ
    นโยบายการเงินเชิงโครงสร้างเป็นครั้งแรก
    เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของตลาดทุน

    ที่มา : Reuters

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เศรษฐกิจจีน #thaitimes
    💥💥24/09/2567 ตลาดหุ้นทั่วโลกพุ่งแตะระดับสูงสุด เป็นประวัติการณ์ในวันนี้ หลังจากจีนเปิดเผยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ส่งผลให้หุ้นในเอเชีย รวมทั้งตลาดหุ้นไทย และยุโรปพุ่งสูงขึ้น รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน, ทองแดง, เหล็ก, และ ทองคำ ราคาดีดตัวขึ้น 🚩โดยผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีน พาน กงเซิง ประกาศแผนลดต้นทุนการกู้ยืม และอัดฉีดเงิน เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจีนมากขึ้น รวมถึงลดภาระการผ่อนชำระเงินกู้ของครัวเรือน 🚩นอกจากนี้ พานยังกล่าวอีกว่า จีนจะออกเครื่องมือ นโยบายการเงินเชิงโครงสร้างเป็นครั้งแรก เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของตลาดทุน ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เศรษฐกิจจีน #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1024 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥สิ่งที่ท้าทายประเทศไทยตอนนี้คือ
    ค่าเงินบาทที่ปรับแข็งตัวแข็งค่ามากขึ้น
    ล่าสุดอยู่ที่ 33.026 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
    อาจจะดีต่อตลาดทุน เช่น ตลาดหุ้น หรือ พันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น
    เพราะเม็ดเงินจากต่างชาติได้ไหลเข้ามาลงทุน

    🚩แต่สิ่งที่สำคัญเช่นกัน คือ ภาคการท่องเที่ยว ที่จำนวนนักท่องเที่ยว
    อาจชะลอตัวลง รวมทั้งภาคการส่งออก ที่จะส่งออกสินค้าได้
    ยากมากขึ้น

    🚩ดังนั้น การบาลานซ์ไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไป ถือเป็นสิ่งสำคัญ
    ที่รัฐบาล และ ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน

    ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ค่าเงินบาท #thaitimes
    🔥🔥สิ่งที่ท้าทายประเทศไทยตอนนี้คือ ค่าเงินบาทที่ปรับแข็งตัวแข็งค่ามากขึ้น ล่าสุดอยู่ที่ 33.026 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อาจจะดีต่อตลาดทุน เช่น ตลาดหุ้น หรือ พันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น เพราะเม็ดเงินจากต่างชาติได้ไหลเข้ามาลงทุน 🚩แต่สิ่งที่สำคัญเช่นกัน คือ ภาคการท่องเที่ยว ที่จำนวนนักท่องเที่ยว อาจชะลอตัวลง รวมทั้งภาคการส่งออก ที่จะส่งออกสินค้าได้ ยากมากขึ้น 🚩ดังนั้น การบาลานซ์ไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไป ถือเป็นสิ่งสำคัญ ที่รัฐบาล และ ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ค่าเงินบาท #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2040 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥ก.ล.ต. ปรับปรุงหลักเกณฑ์กองทุนรวมวายุภักษ์
    รองรับการเสนอขายผู้ลงทุนทั่วไป

    สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และ
    ตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกประกาศปรับปรุง
    หลักเกณฑ์ กองทุนรวมวายุภักษ์รองรับการเสนอขาย
    ผู้ลงทุนทั่วไป เพื่อส่งเสริมการออมการลงทุน
    และขับเคลื่อนตลาดทุนไทย

    ตามที่คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่
    13 สิงหาคม 2567 ได้มีมติรับทราบการเสนอขาย
    หน่วยลงทุน ของกองทุนรวมวายุภักษ์ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป
    ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อส่งเสริมการออม
    และการลงทุน ให้กับประชาชนในระยะยาว
    และเพื่อพัฒนาตลาดทุนของประเทศ
    โดยสร้างกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์
    แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) ซึ่งจะช่วยลด
    การพึ่งพิงเงินลงทุนต่างประเทศนั้น

    กองทุนรวมวายุภักษ์ มีแผนที่จะเสนอขายหน่วยลงทุน
    แก่ผู้ลงทุนทั่วไป (ผู้ถือหน่วยลงทุน ก.) ประมาณ
    100,000 – 150,000 ล้านบาท

    และจะนำหน่วยลงทุนดังกล่าวเข้าจดทะเบียน
    ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยผู้ถือหน่วยลงทุน ก.
    จะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผล
    ไม่น้อยกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ
    และไม่เกินกว่าเพดานผลตอบแทนขั้นสูง
    ตามที่กำหนดตลอดระยะเวลา 10 ปี

    นอกจากนี้ ในกรณีที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ
    ของกองทุนลดลง ผู้ถือหน่วยลงทุน ก. มีสิทธิได้รับ
    ผลตอบแทนก่อนผู้ถือหน่วยลงทุน ข.
    (กระทรวงการคลังและนักลงทุนภาครัฐ)

    ก.ล.ต. จึงปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่ใช้สำหรับกองทุนรวมวายุภักษ์
    ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้

    🚩(1) การอนุญาตให้กำหนดราคาขายหน่วยลงทุน ก. ตามมูลค่า
    ที่ตราไว้ (10 บาทต่อหน่วย) ได้ นอกเหนือจากการขาย
    ตามมูลค่าทรัพย์สินต่อหน่วย

    🚩(2) การกำหนดเกณฑ์อัตราส่วนการลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์
    เป็นการเฉพาะ และขยายระยะเวลาผ่อนผันการลงทุน
    เกินเกณฑ์อัตราส่วนการลงทุน ที่มิได้เกิดจากการลงทุนเพิ่มเป็น 10 ปี
    นับตั้งแต่วันที่หน่วยลงทุน ก. ซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ

    🚩และ (3) การอนุญาตให้กระทรวงการคลังชำระค่าซื้อหน่วยลงทุน
    เป็นหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินอื่น (pay-in-kind) ได้
    ตามที่สำนักงานกองทุนรวมวายุภักษ์และบริษัท
    จัดการลงทุนขอมา

    ทั้งนี้ ประกาศที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงเกณฑ์กองทุนรวมวายุภักษ์
    มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2567

    ที่มา: ก.ล.ต.

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #กองทุนรวมวายุภักษ์ #thaitimes
    🔥🔥ก.ล.ต. ปรับปรุงหลักเกณฑ์กองทุนรวมวายุภักษ์ รองรับการเสนอขายผู้ลงทุนทั่วไป สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกประกาศปรับปรุง หลักเกณฑ์ กองทุนรวมวายุภักษ์รองรับการเสนอขาย ผู้ลงทุนทั่วไป เพื่อส่งเสริมการออมการลงทุน และขับเคลื่อนตลาดทุนไทย ตามที่คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 ได้มีมติรับทราบการเสนอขาย หน่วยลงทุน ของกองทุนรวมวายุภักษ์ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อส่งเสริมการออม และการลงทุน ให้กับประชาชนในระยะยาว และเพื่อพัฒนาตลาดทุนของประเทศ โดยสร้างกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) ซึ่งจะช่วยลด การพึ่งพิงเงินลงทุนต่างประเทศนั้น กองทุนรวมวายุภักษ์ มีแผนที่จะเสนอขายหน่วยลงทุน แก่ผู้ลงทุนทั่วไป (ผู้ถือหน่วยลงทุน ก.) ประมาณ 100,000 – 150,000 ล้านบาท และจะนำหน่วยลงทุนดังกล่าวเข้าจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยผู้ถือหน่วยลงทุน ก. จะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผล ไม่น้อยกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ และไม่เกินกว่าเพดานผลตอบแทนขั้นสูง ตามที่กำหนดตลอดระยะเวลา 10 ปี นอกจากนี้ ในกรณีที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ของกองทุนลดลง ผู้ถือหน่วยลงทุน ก. มีสิทธิได้รับ ผลตอบแทนก่อนผู้ถือหน่วยลงทุน ข. (กระทรวงการคลังและนักลงทุนภาครัฐ) ก.ล.ต. จึงปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่ใช้สำหรับกองทุนรวมวายุภักษ์ ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้ 🚩(1) การอนุญาตให้กำหนดราคาขายหน่วยลงทุน ก. ตามมูลค่า ที่ตราไว้ (10 บาทต่อหน่วย) ได้ นอกเหนือจากการขาย ตามมูลค่าทรัพย์สินต่อหน่วย 🚩(2) การกำหนดเกณฑ์อัตราส่วนการลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ เป็นการเฉพาะ และขยายระยะเวลาผ่อนผันการลงทุน เกินเกณฑ์อัตราส่วนการลงทุน ที่มิได้เกิดจากการลงทุนเพิ่มเป็น 10 ปี นับตั้งแต่วันที่หน่วยลงทุน ก. ซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ 🚩และ (3) การอนุญาตให้กระทรวงการคลังชำระค่าซื้อหน่วยลงทุน เป็นหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินอื่น (pay-in-kind) ได้ ตามที่สำนักงานกองทุนรวมวายุภักษ์และบริษัท จัดการลงทุนขอมา ทั้งนี้ ประกาศที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงเกณฑ์กองทุนรวมวายุภักษ์ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2567 ที่มา: ก.ล.ต. #หุ้นติดดอย #การลงทุน #กองทุนรวมวายุภักษ์ #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 961 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทย หรือ SET
    ดัชนีปรับตัวขึ้นมากกว่า 75 จุด จาก 1355
    เป็น 1427.64 จุด หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5%
    ในรอบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากปัจจัย

    🚩1. การตั้งรัฐบาล และ ครม. ของนายก อุ๊งอิ๊ง แพรทองธาร ชินวัตร 1
    ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย

    🚩2. โครงการดิจิทัลวอลเลต งบประมาณ 1.2 แสนล้านบาท
    น่าจะเริ่มทะยอยเข้าบัญชี และเริ่มใช้ในปลายเดือนกันยายน นี้
    (สำหรับกลุ่มเปราะบาง 14 ล้านคน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ/ผู้สูงอายุ
    ผู้พิการ)

    🚩3. สภาผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 วงเงิน 3.7 ล้านล้านบาท

    🚩4. กระทรวงกการคลังจ่อเปิดกองทุน วายุภักษ์ 1 วงเงิน 1.5 แสนล้าน
    เริ่มจอง 16-20 กันยายน และเข้าเทรด 10 ตุลาคม 2567 นี้

    🚩5. ค่าเงินบาท ปรับตัวแข็งค่าขึ้นในรอบ 9 เดือน
    ล่าสุดอยู่ที่ 33.72 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

    🚩6. แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง จากการคาดการณ์ว่า
    ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
    จากเดิม 5.25- 5.5% เป็น 5.00% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
    สหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง จากภาคการผลิต และ การจ้างงาน
    ที่มีแนวโน้มลดลง

    🚩7. เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน (Fundflow) จากตลาดทุนสหรัฐ
    เช่น จากหุ้น, พันธบัตรรัฐบาล ไปยังตลาดทุนอื่นๆ เช่น
    เข้ามาที่ตลาดหุ้นไทย เป็นต้น

    🚩8. ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุน ที่ซื้อ-ขาย หุ้นไทย ได้แก่
    8.1 นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อ 15,000 ล้านบาท
    8.2 นักลงทุนสถาบัน(กองทุน) ซื้อ 5,641 ล้านบาท
    8.3 นักลงทุนในประเทศ (รายย่อย) ขาย -20,000 ล้านบาท
    8.4 บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ขาย -977 ล้านบาท

    🔥🔥 *สิ่งที่น่าจับตามองในสัปดาห์หน้า และระยะยาวคือ
    การเข้าซื้อครั้งนี้ จะมีความยั่งยืน มากน้อยแค่ไหน
    และผู้ลงทุน จะลงทุนในตลาดหุ้นไทย ในระยะยาวหรือไม่
    เพราะที่ผ่านมา เราจะพบว่า เข้าซื้อซักพักนึง แล้วก็เทขาย
    ทำกำไรออกไป

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET
    #thaitimes
    🔥🔥สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทย หรือ SET ดัชนีปรับตัวขึ้นมากกว่า 75 จุด จาก 1355 เป็น 1427.64 จุด หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% ในรอบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากปัจจัย 🚩1. การตั้งรัฐบาล และ ครม. ของนายก อุ๊งอิ๊ง แพรทองธาร ชินวัตร 1 ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย 🚩2. โครงการดิจิทัลวอลเลต งบประมาณ 1.2 แสนล้านบาท น่าจะเริ่มทะยอยเข้าบัญชี และเริ่มใช้ในปลายเดือนกันยายน นี้ (สำหรับกลุ่มเปราะบาง 14 ล้านคน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ/ผู้สูงอายุ ผู้พิการ) 🚩3. สภาผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 วงเงิน 3.7 ล้านล้านบาท 🚩4. กระทรวงกการคลังจ่อเปิดกองทุน วายุภักษ์ 1 วงเงิน 1.5 แสนล้าน เริ่มจอง 16-20 กันยายน และเข้าเทรด 10 ตุลาคม 2567 นี้ 🚩5. ค่าเงินบาท ปรับตัวแข็งค่าขึ้นในรอบ 9 เดือน ล่าสุดอยู่ที่ 33.72 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ 🚩6. แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง จากการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง จากเดิม 5.25- 5.5% เป็น 5.00% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง จากภาคการผลิต และ การจ้างงาน ที่มีแนวโน้มลดลง 🚩7. เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน (Fundflow) จากตลาดทุนสหรัฐ เช่น จากหุ้น, พันธบัตรรัฐบาล ไปยังตลาดทุนอื่นๆ เช่น เข้ามาที่ตลาดหุ้นไทย เป็นต้น 🚩8. ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุน ที่ซื้อ-ขาย หุ้นไทย ได้แก่ 8.1 นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อ 15,000 ล้านบาท 8.2 นักลงทุนสถาบัน(กองทุน) ซื้อ 5,641 ล้านบาท 8.3 นักลงทุนในประเทศ (รายย่อย) ขาย -20,000 ล้านบาท 8.4 บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ขาย -977 ล้านบาท 🔥🔥 *สิ่งที่น่าจับตามองในสัปดาห์หน้า และระยะยาวคือ การเข้าซื้อครั้งนี้ จะมีความยั่งยืน มากน้อยแค่ไหน และผู้ลงทุน จะลงทุนในตลาดหุ้นไทย ในระยะยาวหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา เราจะพบว่า เข้าซื้อซักพักนึง แล้วก็เทขาย ทำกำไรออกไป #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1538 มุมมอง 349 0 รีวิว
  • 🔥🔥สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทย หรือ SET
    ดัชนีปรับตัวขึ้นมากกว่า 75 จุด จาก 1355
    เป็น 1427.64 จุด หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5%
    ในรอบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากปัจจัย

    🚩1. การตั้งรัฐบาล และ ครม. ของนายก อุ๊งอิ๊ง แพรทองธาร ชินวัตร 1
    ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย

    🚩2. โครงการดิจิทัลวอลเลต งบประมาณ 1.2 แสนล้านบาท
    น่าจะเริ่มทะยอยเข้าบัญชี และเริ่มใช้ในปลายเดือนกันยายน นี้
    (สำหรับกลุ่มเปราะบาง 14 ล้านคน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ/ผู้สูงอายุ
    ผู้พิการ)

    🚩3. สภาผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 วงเงิน 3.7 ล้านล้านบาท

    🚩4. กระทรวงกการคลังจ่อเปิดกองทุน วายุภักษ์ 1 วงเงิน 1.5 แสนล้าน
    เริ่มจอง 16-20 กันยายน และเข้าเทรด 10 ตุลาคม 2567 นี้

    🚩5. ค่าเงินบาท ปรับตัวแข็งค่าขึ้นในรอบ 9 เดือน
    ล่าสุดอยู่ที่ 33.72 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

    🚩6. แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง จากการคาดการณ์ว่า
    ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
    จากเดิม 5.25- 5.5% เป็น 5.00% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
    สหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง จากภาคการผลิต และ การจ้างงาน
    ที่มีแนวโน้มลดลง

    🚩7. เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน (Fundflow) จากตลาดทุนสหรัฐ
    เช่น จากหุ้น, พันธบัตรรัฐบาล ไปยังตลาดทุนอื่นๆ เช่น
    เข้ามาที่ตลาดหุ้นไทย เป็นต้น

    🚩8. ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุน ที่ซื้อ-ขาย หุ้นไทย ได้แก่
    8.1 นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อ 15,000 ล้านบาท
    8.2 นักลงทุนสถาบัน(กองทุน) ซื้อ 5,641 ล้านบาท
    8.3 นักลงทุนในประเทศ (รายย่อย) ขาย -20,000 ล้านบาท
    8.4 บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ขาย -977 ล้านบาท

    🔥🔥 *สิ่งที่น่าจับตามองในสัปดาห์หน้า และระยะยาวคือ
    การเข้าซื้อครั้งนี้ จะมีความยั่งยืน มากน้อยแค่ไหน
    และผู้ลงทุน จะลงทุนในตลาดหุ้นไทย ในระยะยาวหรือไม่
    เพราะที่ผ่านมา เราจะพบว่า เข้าซื้อซักพักนึง แล้วก็เทขาย
    ทำกำไรออกไป

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET
    #thaitimes
    🔥🔥สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทย หรือ SET ดัชนีปรับตัวขึ้นมากกว่า 75 จุด จาก 1355 เป็น 1427.64 จุด หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% ในรอบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากปัจจัย 🚩1. การตั้งรัฐบาล และ ครม. ของนายก อุ๊งอิ๊ง แพรทองธาร ชินวัตร 1 ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย 🚩2. โครงการดิจิทัลวอลเลต งบประมาณ 1.2 แสนล้านบาท น่าจะเริ่มทะยอยเข้าบัญชี และเริ่มใช้ในปลายเดือนกันยายน นี้ (สำหรับกลุ่มเปราะบาง 14 ล้านคน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ/ผู้สูงอายุ ผู้พิการ) 🚩3. สภาผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 วงเงิน 3.7 ล้านล้านบาท 🚩4. กระทรวงกการคลังจ่อเปิดกองทุน วายุภักษ์ 1 วงเงิน 1.5 แสนล้าน เริ่มจอง 16-20 กันยายน และเข้าเทรด 10 ตุลาคม 2567 นี้ 🚩5. ค่าเงินบาท ปรับตัวแข็งค่าขึ้นในรอบ 9 เดือน ล่าสุดอยู่ที่ 33.72 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ 🚩6. แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง จากการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง จากเดิม 5.25- 5.5% เป็น 5.00% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง จากภาคการผลิต และ การจ้างงาน ที่มีแนวโน้มลดลง 🚩7. เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน (Fundflow) จากตลาดทุนสหรัฐ เช่น จากหุ้น, พันธบัตรรัฐบาล ไปยังตลาดทุนอื่นๆ เช่น เข้ามาที่ตลาดหุ้นไทย เป็นต้น 🚩8. ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุน ที่ซื้อ-ขาย หุ้นไทย ได้แก่ 8.1 นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อ 15,000 ล้านบาท 8.2 นักลงทุนสถาบัน(กองทุน) ซื้อ 5,641 ล้านบาท 8.3 นักลงทุนในประเทศ (รายย่อย) ขาย -20,000 ล้านบาท 8.4 บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ขาย -977 ล้านบาท 🔥🔥 *สิ่งที่น่าจับตามองในสัปดาห์หน้า และระยะยาวคือ การเข้าซื้อครั้งนี้ จะมีความยั่งยืน มากน้อยแค่ไหน และผู้ลงทุน จะลงทุนในตลาดหุ้นไทย ในระยะยาวหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา เราจะพบว่า เข้าซื้อซักพักนึง แล้วก็เทขาย ทำกำไรออกไป #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1508 มุมมอง 0 รีวิว