• พ่อสู้เรื่องระบบน้ำชลประทาน ให้น้ำหมุนเวียนไปทั่ว
    พ่อสู้เรื่องเขื่อน เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามแล้ง ยามท่วม
    พ่อสู้เรื่องฝนเทียม ให้ชาวนา ชาวไร่ มีน้ำใช้ยามแล้งหนัก
    พ่อสู้เรื่องความยากจน กระจายรายได้ โครงการท้องถิ่น
    พ่อสู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง พึ่งพาตนเอง สอนช่วยตัวเอง
    พ่อสู้เรื่องความช่วยเหลือ อุทกภัย วาตภัย แผ่นดินไหว
    พ่อสู้เรื่องการเกษตร การใช้พื้นที่ การพัฒนายั่งยืน
    พ่อสู้เรื่องความเท่าเทียม แบ่งปัน และยกระดับการศึกษา
    พ่อสู้เรื่องการดนตรี ศิลปะ รากเหง้า อนุรักษ์ประเพณีไทย
    พ่อสู้เรื่องแนวคิด ปรัชญา สติ ปัญญา เหตุและผล สั่งสอน
    พ่อสู้เรื่องความประหยัด อดออมคุ้มค่า รีไซเคิล กลับมาใช้
    พ่อสู้เรื่องป่าไม้ สัตว์ป่า สมดุลธรรมชาติ พันธุ์ไทย ปลูกป่า
    พ่อสู้เรื่องสินค้าไทย แปรรูป อาหาร ทะเล ผ้าไหม ผ้าฝ้าย
    พ่อสู้เรื่องความสามัคคี ปองครอง ยุติความขัดแย้งภายใน
    พ่อสู้เรื่องความเป็นชาตินิยม ภูมิใจความเป็นไทย ชื่อเสียง
    พ่อปกป้องแผ่นดินไทย การรุกรานจากต่างชาติ และมั่นคง
    พ่อเสียสละตนเอง เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย
    พ่อเตือนสติ ให้ปัญญา พระบรมราโชวาททุกปี ตื่นคิด มีสติ
    พ่อแบ่งปันความรัก ความรู้ ไปยังเพื่อนบ้านรอบข้างด้วย
    พ่อสร้างมิตร เป็นที่รักชื่นชอบของทุกราชวงศ์ทั่วโลก
    พ่อไม่เคยโอ้อวดตนเอง และไม่ใช้อำนาจที่มี เพื่อแสดง
    พ่อทำนุบำรุงทุกศาสนาในชาติ อยู่ร่วมกันอย่างสันติได้
    พ่อเยี่ยมเยียนชาวบ้านทุกพื้นที่ทั้งแผ่นดิน ไปเยี่ยมเสมอ
    พ่อยึดถือทศพิษราชธรรมได้อย่างสมบูรณ์ จนวันสุดท้าย
    พ่อรู้ทุกอย่าง เข้าใจ เข้าถึง แก้ปัญหา พระบารมีเปี่ยมล้น

    มีอีกมากมายมหาศาล จนระลึกถึงน้ำพระคุณได้ไม่หมดสิ้น เป็นบุญของปวงชนชาวไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ที่หัวใจหล่อมว๊ากที่สุดใน 3 โลก ไม่มีพ่อ ก็คงไม่มีวันนี้ ไม่มีบรรพกษัตริย์ไทย ก็คงไม่มีวันนี้เช่นกัน "ราชวงศ์จักรี" จงเจริญยิ่งยืนนาน ตราบชั่วฟ้าดินสลาย!
    พ่อสู้เรื่องระบบน้ำชลประทาน ให้น้ำหมุนเวียนไปทั่ว พ่อสู้เรื่องเขื่อน เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามแล้ง ยามท่วม พ่อสู้เรื่องฝนเทียม ให้ชาวนา ชาวไร่ มีน้ำใช้ยามแล้งหนัก พ่อสู้เรื่องความยากจน กระจายรายได้ โครงการท้องถิ่น พ่อสู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง พึ่งพาตนเอง สอนช่วยตัวเอง พ่อสู้เรื่องความช่วยเหลือ อุทกภัย วาตภัย แผ่นดินไหว พ่อสู้เรื่องการเกษตร การใช้พื้นที่ การพัฒนายั่งยืน พ่อสู้เรื่องความเท่าเทียม แบ่งปัน และยกระดับการศึกษา พ่อสู้เรื่องการดนตรี ศิลปะ รากเหง้า อนุรักษ์ประเพณีไทย พ่อสู้เรื่องแนวคิด ปรัชญา สติ ปัญญา เหตุและผล สั่งสอน พ่อสู้เรื่องความประหยัด อดออมคุ้มค่า รีไซเคิล กลับมาใช้ พ่อสู้เรื่องป่าไม้ สัตว์ป่า สมดุลธรรมชาติ พันธุ์ไทย ปลูกป่า พ่อสู้เรื่องสินค้าไทย แปรรูป อาหาร ทะเล ผ้าไหม ผ้าฝ้าย พ่อสู้เรื่องความสามัคคี ปองครอง ยุติความขัดแย้งภายใน พ่อสู้เรื่องความเป็นชาตินิยม ภูมิใจความเป็นไทย ชื่อเสียง พ่อปกป้องแผ่นดินไทย การรุกรานจากต่างชาติ และมั่นคง พ่อเสียสละตนเอง เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย พ่อเตือนสติ ให้ปัญญา พระบรมราโชวาททุกปี ตื่นคิด มีสติ พ่อแบ่งปันความรัก ความรู้ ไปยังเพื่อนบ้านรอบข้างด้วย พ่อสร้างมิตร เป็นที่รักชื่นชอบของทุกราชวงศ์ทั่วโลก พ่อไม่เคยโอ้อวดตนเอง และไม่ใช้อำนาจที่มี เพื่อแสดง พ่อทำนุบำรุงทุกศาสนาในชาติ อยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ พ่อเยี่ยมเยียนชาวบ้านทุกพื้นที่ทั้งแผ่นดิน ไปเยี่ยมเสมอ พ่อยึดถือทศพิษราชธรรมได้อย่างสมบูรณ์ จนวันสุดท้าย พ่อรู้ทุกอย่าง เข้าใจ เข้าถึง แก้ปัญหา พระบารมีเปี่ยมล้น มีอีกมากมายมหาศาล จนระลึกถึงน้ำพระคุณได้ไม่หมดสิ้น เป็นบุญของปวงชนชาวไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ที่หัวใจหล่อมว๊ากที่สุดใน 3 โลก ไม่มีพ่อ ก็คงไม่มีวันนี้ ไม่มีบรรพกษัตริย์ไทย ก็คงไม่มีวันนี้เช่นกัน "ราชวงศ์จักรี" จงเจริญยิ่งยืนนาน ตราบชั่วฟ้าดินสลาย!
    0 Comments 0 Shares 144 Views 0 Reviews
  • เหยื่อติดคอ ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ”
    ตอนที่ 3

    แล้ว Shah ก็อยู่ในอำนาจนานถึง 25 ปี ในฐานะหุ่นเชิดราคาแพงของอเมริกานักล่าหน้าใหม่ ที่แสดงวิธีการล่าเหยื่ออย่างเด็ดดวง ชนิดนักล่ารุ่นเก่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ต้องจำใจคายเหยื่อให้ครึ่งตัว ศักดิ์ศรีของนักล่าชาวเกาะฯหมองหม่นไปจมหู

    CIA รับหน้าที่ดูแลด้านความมั่นคงภายในให้แก่ Shah โดยตั้งหน่วยงานชื่อ SAVAK ขึ้นมาใหม่ แน่นอน หน่วยงานนี่อยู่ในความดูแลของ Col. Schwazkopt เจ้าพ่อ CIA คนเดิม อเมริกาป้อนกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ให้ Shah อย่างไม่อั้น เงินจำนวน 68 ล้านเหรียญ ส่งให้ Shah วันขึ้นครองบัลลังก์เป็นการปลอบใจ ที่อิหร่านขาดรายได้ในช่วงที่ถูกอังกฤษคว่ำบาตร หลังจากนั้นก็ให้เงินกู้จำนวน 300 ล้านเหรียญ สำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจ และอีก 600 ล้านเหรียญ สำหรับสร้างกองทัพก็ตามมา นับเป็นเหยื่อที่อเมริกาลงทุนสูง สมันน้อยอย่าเอาตัวเองไปเทียบเลยนะ เดี๋ยวจะน้อยใจ ลมใส่กันเป็นแถวๆ

    หลังจากการปฏิวัติในปี ค.ศ.1953 แม้ Shah จะเป็นผู้ครองบัลลังก์ แต่ผู้บริหารประเทศอิหร่านจริงๆ ดูเหมือนจะเป็นบริษัทน้ำมันของอเมริกา อิหร่านยังต้องพึ่งอเมริกาทางด้านเทคนิคการผลิต กลไกการตลาดทุกอย่าง ถึงกับมีสื่อประชดว่า “Ownership Without Control”

    ค.ศ.1963 ภายใต้การชักใยของอเมริกา ซึ่งส่งที่ปรึกษา นักวิชาการเข้ามาล้นแทบขี่คอกันอยู่ในอิหร่าน อิหร่านก็เริ่มทำการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมตามที่อเมริกาสั่ง นโยบายที่เขียนโดยบรรดาอาจารย์จากมหาวิทยาลัย Harvard จัดมามาให้ เรียกว่า “White Revolution” ซึ่งมีเป้าหมายให้อิหร่านกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม อเมริกาบอกเป็นการสร้างโอกาสให้ชนชั้นกลาง สร้างงานให้ชนชั้นแรงงานไงล่ะ แล้วทุนต่างชาติก็หลั่งไหลเข้ามาในอิหร่าน สังคมอิหร่านกลายเป็นสังคมศิวิไลซ์ตามความคิดของอเมริกา ต่างกันไหมกับเหยื่อชื่อไทยแลนด์แดนสมันน้อย

    White Revolution บอกว่าต้องปฏิรูปที่ดิน บังคับให้เจ้าของที่ดินขายคืนให้รัฐ เพื่อให้รัฐนำไปจัดสรรใหม่ ส่วนหนึ่งเอาไปทำเป็นพื้นที่อุตสาหรรรมเพิ่มเติม อีกส่วนหนึ่งจัดสรรให้ชาวไร่ชาวนา เจ้าของที่ดินส่วนใหญ่เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ให้ชาวบ้านเช่าที่ดินและใช้ทำกิน เงินที่ได้จากการให้เช่าที่ดินก็ส่งไปสนับสนุนกิจกรรมทางศาสนา การยึดที่ดินทั้งหมดไปจากพวกเขา เปลี่ยนวัฒนธรรมประเพณีที่สนับสนุนศาสนาอิสลามที่ดำเนินกันมาเป็นเวลานาน ตามนโยบายของ White Revolution รายการนี้ ดูเหมือนจะไปสะดุดตอใหญ่ ที่รอเวลาการงอกมาขวางทางเดินของ Shah

    อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของอิหร่านงอกงาม ขยายตัว แต่ส่วนใหญ่เป็นการผลิตสินค้าที่เป็นเครื่องอุปโภคบริโภคที่อำนวยความสะดวก เช่น รถยนต์ ในขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ของอิหร่านยังอาศัยอยู่ในเรือนไม้เล็กๆ ชาวเมืองอิหร่านเองก็เริ่มเสพติด “ของนอก” การนำเข้าสินค้าของอิหร่านกระ โดดจาก 400 ล้านเหรียญในปี ค.ศ.1958-1959 เป็น 18.4 พันล้านเหรียญ ในปี ค.ศ.1975-1976 สื่ออังกฤษได้โอกาสเสียดสี “อิหร่านได้แปรสภาพเป็นตะวันตกอย่างผิดที่ผิดทาง มีแต่โรงงานผลิตน้ำอัดลม Pepsi, Coke และ Canada Dry โผล่ขึ้นทั่วไปหมด ในขณะที่ชาวบ้านในเขตยากจนยังดื่มน้ำจากก็อกน้ำหัวถนน ซึ่งอยู่ข้างๆกองขยะ สนามบินเตหะรานหรูหราที่สุดในตะวันออกกลาง แต่ถนนหนทางดูเหมือนจะยังไม่พร้อมจะเชื่อมโยง โรงแรม Hilton ของอเมริกันสูงลิบกำลังสร้างอยู่ แต่ชาวอิหร่านอีกมากมายยังอาศัยนอนอยู่ตามถนน”
    อเมริกาหนุนให้ Shah ทำหน้าที่ตำรวจเฝ้ายามประจำอ่าวเปอร์เซีย คอยกันไม่ให้สหภาพโซเวียตแหลมเข้ามาตามเขตแดนด้านใต้ของสหภาพโซเวียต อเมริกาเริ่มวางแผนด้านกองทัพให้อิหร่าน ตั้งแต่ ค.ศ.1940 กว่า แต่หลังการปฏิวัติ ค.ศ.1953 อเมริกาเหมือนเป็นผู้นำกองทัพของอิหร่านเสียเอง ในปี ค.ศ.1954 มีหน่วยงานด้านกองทัพของอเมริกา 3 หน่วยงานคอยดูแลกำกับกองทัพอิหร่าน ให้ทั้งการฝึกทางอากาศ ทางทะเล และด้วยอาวุธที่นำเข้าจากต่างประเทศ

    ในช่วง ค.ศ.1970 กว่า อิหร่านขึ้นตำแหน่งเป็นลูกรักของอเมริกาในตะวันออกกลาง แน่นอน คงสร้างความขมให้แก่ซาอุดิอารเบียไม่น้อย ประธานาธิบดี Nixon บอกว่า เรากำลังปวดหัวกับเรื่องเวียตนาม ระหว่างนี้เรื่องทางตะวันออกกลางเราขอให้ท่าน พร้อมกับซาอุดิอารเบียและอิสราเอล ถือบังเหียนไปก่อนนะ

    เพื่อให้สมกับเป็นผู้นำตะวันออกกลาง ที่ได้รับความไว้วางใจจากอเมริกา ในปี ค.ศ.1975 อิหร่านใช้เงิน 35 พันล้านเหรียญ (จากรายได้น้ำมัน 62 พันล้านเหรียญ) เพื่อลงทุนสร้างกองทัพอิหร่านให้แข็งแกร่ง ในช่วงนั้นมีที่ปรึกษาด้านการทหารของอเมริกาอยู่ในอิหร่านประมาณ 8,000 คน

    Shah มองตัวเองในกระจก เข้าใจว่าหลังจากได้อาหารดี ร่างกายแข็งแรงพอที่แหกกรงเหยื่อเป็นอิสระจากอเมริกา เขาเริ่มเปลี่ยนนโยบายการต่างประเทศของอิหร่าน มุ่งหน้าไปสู่การเป็นผู้นำของตะวันออกกลาง ตัวจริงไม่ใช่ตัวแทน เขาเร่งสร้างกองทัพให้ใหญ่ขึ้น แข็งแกร่งขึ้น อเมริกาเริ่มคิ้วขมวดมองดู

    Shah มองตัวเองในกระจก เห็นแต่ภาพที่ตัวเองอยากเห็น แต่ไม่เห็นภาพที่ตัวเองเป็น เหยื่อ มักไม่รู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อ เมื่อ Shah เริ่มเบ่งกล้ามใส่อเมริกา อนาคตของ Shah ก็เริ่มสั้นลง แต่ดูเหมือน Shah จะเดินไปไกลเกินกว่าจะถอยหลัง เขาให้สัมภาษณ์ใน US News and World Magazine เมื่อ ค.ศ.1976 เกี่ยวกับอำนาจและอิทธิพลของอเมริกาในอิหร่านว่า “ถ้าอเมริกาพยายามจะสร้างความรู้สึกที่ไม่เป็นมิตรต่อประเทศเรา เราก็สามารถทำให้อเมริกาเจ็บได้ ไม่น้อยกว่าที่อเมริกาจะทำให้เราเจ็บ ไม่ใช่แค่ในด้านของน้ำมัน เราสามารถสร้างปัญหาให้กับอเมริกาได้ในบริเวณนี้ ถ้าอเมริกาบีบให้เราต้องเปลี่ยนจากการเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ผลสะท้อนมันคงเกินจะประมาณได้” อเมริกาควันออกทุกทวาร ความร้อนขึ้นจนปรอทแทบแตก และชะตาชีวิตของ Shah ก็ถูกตัดสินโดยวอชิงตันเรียบร้อย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    23 กันยายน 2557
    เหยื่อติดคอ ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ” ตอนที่ 3 แล้ว Shah ก็อยู่ในอำนาจนานถึง 25 ปี ในฐานะหุ่นเชิดราคาแพงของอเมริกานักล่าหน้าใหม่ ที่แสดงวิธีการล่าเหยื่ออย่างเด็ดดวง ชนิดนักล่ารุ่นเก่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ต้องจำใจคายเหยื่อให้ครึ่งตัว ศักดิ์ศรีของนักล่าชาวเกาะฯหมองหม่นไปจมหู CIA รับหน้าที่ดูแลด้านความมั่นคงภายในให้แก่ Shah โดยตั้งหน่วยงานชื่อ SAVAK ขึ้นมาใหม่ แน่นอน หน่วยงานนี่อยู่ในความดูแลของ Col. Schwazkopt เจ้าพ่อ CIA คนเดิม อเมริกาป้อนกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ให้ Shah อย่างไม่อั้น เงินจำนวน 68 ล้านเหรียญ ส่งให้ Shah วันขึ้นครองบัลลังก์เป็นการปลอบใจ ที่อิหร่านขาดรายได้ในช่วงที่ถูกอังกฤษคว่ำบาตร หลังจากนั้นก็ให้เงินกู้จำนวน 300 ล้านเหรียญ สำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจ และอีก 600 ล้านเหรียญ สำหรับสร้างกองทัพก็ตามมา นับเป็นเหยื่อที่อเมริกาลงทุนสูง สมันน้อยอย่าเอาตัวเองไปเทียบเลยนะ เดี๋ยวจะน้อยใจ ลมใส่กันเป็นแถวๆ หลังจากการปฏิวัติในปี ค.ศ.1953 แม้ Shah จะเป็นผู้ครองบัลลังก์ แต่ผู้บริหารประเทศอิหร่านจริงๆ ดูเหมือนจะเป็นบริษัทน้ำมันของอเมริกา อิหร่านยังต้องพึ่งอเมริกาทางด้านเทคนิคการผลิต กลไกการตลาดทุกอย่าง ถึงกับมีสื่อประชดว่า “Ownership Without Control” ค.ศ.1963 ภายใต้การชักใยของอเมริกา ซึ่งส่งที่ปรึกษา นักวิชาการเข้ามาล้นแทบขี่คอกันอยู่ในอิหร่าน อิหร่านก็เริ่มทำการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมตามที่อเมริกาสั่ง นโยบายที่เขียนโดยบรรดาอาจารย์จากมหาวิทยาลัย Harvard จัดมามาให้ เรียกว่า “White Revolution” ซึ่งมีเป้าหมายให้อิหร่านกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม อเมริกาบอกเป็นการสร้างโอกาสให้ชนชั้นกลาง สร้างงานให้ชนชั้นแรงงานไงล่ะ แล้วทุนต่างชาติก็หลั่งไหลเข้ามาในอิหร่าน สังคมอิหร่านกลายเป็นสังคมศิวิไลซ์ตามความคิดของอเมริกา ต่างกันไหมกับเหยื่อชื่อไทยแลนด์แดนสมันน้อย White Revolution บอกว่าต้องปฏิรูปที่ดิน บังคับให้เจ้าของที่ดินขายคืนให้รัฐ เพื่อให้รัฐนำไปจัดสรรใหม่ ส่วนหนึ่งเอาไปทำเป็นพื้นที่อุตสาหรรรมเพิ่มเติม อีกส่วนหนึ่งจัดสรรให้ชาวไร่ชาวนา เจ้าของที่ดินส่วนใหญ่เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ให้ชาวบ้านเช่าที่ดินและใช้ทำกิน เงินที่ได้จากการให้เช่าที่ดินก็ส่งไปสนับสนุนกิจกรรมทางศาสนา การยึดที่ดินทั้งหมดไปจากพวกเขา เปลี่ยนวัฒนธรรมประเพณีที่สนับสนุนศาสนาอิสลามที่ดำเนินกันมาเป็นเวลานาน ตามนโยบายของ White Revolution รายการนี้ ดูเหมือนจะไปสะดุดตอใหญ่ ที่รอเวลาการงอกมาขวางทางเดินของ Shah อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของอิหร่านงอกงาม ขยายตัว แต่ส่วนใหญ่เป็นการผลิตสินค้าที่เป็นเครื่องอุปโภคบริโภคที่อำนวยความสะดวก เช่น รถยนต์ ในขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ของอิหร่านยังอาศัยอยู่ในเรือนไม้เล็กๆ ชาวเมืองอิหร่านเองก็เริ่มเสพติด “ของนอก” การนำเข้าสินค้าของอิหร่านกระ โดดจาก 400 ล้านเหรียญในปี ค.ศ.1958-1959 เป็น 18.4 พันล้านเหรียญ ในปี ค.ศ.1975-1976 สื่ออังกฤษได้โอกาสเสียดสี “อิหร่านได้แปรสภาพเป็นตะวันตกอย่างผิดที่ผิดทาง มีแต่โรงงานผลิตน้ำอัดลม Pepsi, Coke และ Canada Dry โผล่ขึ้นทั่วไปหมด ในขณะที่ชาวบ้านในเขตยากจนยังดื่มน้ำจากก็อกน้ำหัวถนน ซึ่งอยู่ข้างๆกองขยะ สนามบินเตหะรานหรูหราที่สุดในตะวันออกกลาง แต่ถนนหนทางดูเหมือนจะยังไม่พร้อมจะเชื่อมโยง โรงแรม Hilton ของอเมริกันสูงลิบกำลังสร้างอยู่ แต่ชาวอิหร่านอีกมากมายยังอาศัยนอนอยู่ตามถนน” อเมริกาหนุนให้ Shah ทำหน้าที่ตำรวจเฝ้ายามประจำอ่าวเปอร์เซีย คอยกันไม่ให้สหภาพโซเวียตแหลมเข้ามาตามเขตแดนด้านใต้ของสหภาพโซเวียต อเมริกาเริ่มวางแผนด้านกองทัพให้อิหร่าน ตั้งแต่ ค.ศ.1940 กว่า แต่หลังการปฏิวัติ ค.ศ.1953 อเมริกาเหมือนเป็นผู้นำกองทัพของอิหร่านเสียเอง ในปี ค.ศ.1954 มีหน่วยงานด้านกองทัพของอเมริกา 3 หน่วยงานคอยดูแลกำกับกองทัพอิหร่าน ให้ทั้งการฝึกทางอากาศ ทางทะเล และด้วยอาวุธที่นำเข้าจากต่างประเทศ ในช่วง ค.ศ.1970 กว่า อิหร่านขึ้นตำแหน่งเป็นลูกรักของอเมริกาในตะวันออกกลาง แน่นอน คงสร้างความขมให้แก่ซาอุดิอารเบียไม่น้อย ประธานาธิบดี Nixon บอกว่า เรากำลังปวดหัวกับเรื่องเวียตนาม ระหว่างนี้เรื่องทางตะวันออกกลางเราขอให้ท่าน พร้อมกับซาอุดิอารเบียและอิสราเอล ถือบังเหียนไปก่อนนะ เพื่อให้สมกับเป็นผู้นำตะวันออกกลาง ที่ได้รับความไว้วางใจจากอเมริกา ในปี ค.ศ.1975 อิหร่านใช้เงิน 35 พันล้านเหรียญ (จากรายได้น้ำมัน 62 พันล้านเหรียญ) เพื่อลงทุนสร้างกองทัพอิหร่านให้แข็งแกร่ง ในช่วงนั้นมีที่ปรึกษาด้านการทหารของอเมริกาอยู่ในอิหร่านประมาณ 8,000 คน Shah มองตัวเองในกระจก เข้าใจว่าหลังจากได้อาหารดี ร่างกายแข็งแรงพอที่แหกกรงเหยื่อเป็นอิสระจากอเมริกา เขาเริ่มเปลี่ยนนโยบายการต่างประเทศของอิหร่าน มุ่งหน้าไปสู่การเป็นผู้นำของตะวันออกกลาง ตัวจริงไม่ใช่ตัวแทน เขาเร่งสร้างกองทัพให้ใหญ่ขึ้น แข็งแกร่งขึ้น อเมริกาเริ่มคิ้วขมวดมองดู Shah มองตัวเองในกระจก เห็นแต่ภาพที่ตัวเองอยากเห็น แต่ไม่เห็นภาพที่ตัวเองเป็น เหยื่อ มักไม่รู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อ เมื่อ Shah เริ่มเบ่งกล้ามใส่อเมริกา อนาคตของ Shah ก็เริ่มสั้นลง แต่ดูเหมือน Shah จะเดินไปไกลเกินกว่าจะถอยหลัง เขาให้สัมภาษณ์ใน US News and World Magazine เมื่อ ค.ศ.1976 เกี่ยวกับอำนาจและอิทธิพลของอเมริกาในอิหร่านว่า “ถ้าอเมริกาพยายามจะสร้างความรู้สึกที่ไม่เป็นมิตรต่อประเทศเรา เราก็สามารถทำให้อเมริกาเจ็บได้ ไม่น้อยกว่าที่อเมริกาจะทำให้เราเจ็บ ไม่ใช่แค่ในด้านของน้ำมัน เราสามารถสร้างปัญหาให้กับอเมริกาได้ในบริเวณนี้ ถ้าอเมริกาบีบให้เราต้องเปลี่ยนจากการเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ผลสะท้อนมันคงเกินจะประมาณได้” อเมริกาควันออกทุกทวาร ความร้อนขึ้นจนปรอทแทบแตก และชะตาชีวิตของ Shah ก็ถูกตัดสินโดยวอชิงตันเรียบร้อย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 23 กันยายน 2557
    0 Comments 0 Shares 301 Views 0 Reviews
  • “รองนายกฯ สุชาติ” เปิดประเพณีวิ่งควาย ชลบุรี ครั้งที่ 154 “หนึ่งเดียวในไทย หนึ่งเดียวในโลก”
    https://www.thai-tai.tv/news/21784/
    .
    #ประเพณีวิ่งควาย #สุชาติชมกลิ่น #ชลบุรี #มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม #วิ่งควายชลบุรี #ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม #วิถีชีวิตชาวนา #กระตุ้นเศรษฐกิจ
    “รองนายกฯ สุชาติ” เปิดประเพณีวิ่งควาย ชลบุรี ครั้งที่ 154 “หนึ่งเดียวในไทย หนึ่งเดียวในโลก” https://www.thai-tai.tv/news/21784/ . #ประเพณีวิ่งควาย #สุชาติชมกลิ่น #ชลบุรี #มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม #วิ่งควายชลบุรี #ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม #วิถีชีวิตชาวนา #กระตุ้นเศรษฐกิจ
    0 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
  • “ป้าหมดตัวแล้ว” ชีวิตชาวนาไทย ทำไมต้องเจ็บปวด (2/10/68)

    #ThaiTimes
    #News1
    #News1short
    #TruthFromThailand
    #shorts
    #ชาวนาไทย
    #ป้าหมดตัว
    #เศรษฐกิจไทย
    #สังคมไทย
    “ป้าหมดตัวแล้ว” ชีวิตชาวนาไทย ทำไมต้องเจ็บปวด (2/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #ชาวนาไทย #ป้าหมดตัว #เศรษฐกิจไทย #สังคมไทย
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากชาวนา 3 คนถึงเจ้าที่ดิน: เมื่อแรงงานไม่ใช่คำตอบของความอยู่รอด

    บทความนี้พาเราไปสำรวจชีวิตของชาวนา 3 กลุ่ม—The Smalls, The Middles, และ The Biggs—ที่มีแรงงานในครัวเรือนต่างกัน แต่ต้องเผชิญกับปัญหาเดียวกัน: พวกเขามีที่ดินน้อยเกินไปที่จะผลิตอาหารพอเลี้ยงครอบครัวได้

    แม้จะมีแรงงานเหลือเฟือ แต่ที่ดินที่ถือครองจริงกลับมีขนาดเล็กมาก เช่น 3–6 iugera (ประมาณ 1.8–3.8 เอเคอร์) ซึ่งไม่เพียงพอต่อการผลิตอาหารให้ครบตามความต้องการพื้นฐาน แม้จะใช้วิธีปลูกพืชที่ให้พลังงานสูงอย่างข้าวสาลี หรือเสริมด้วยสวนครัว ก็ยังไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้

    ทางออกเดียวคือ “การเช่าที่ดิน” จากเจ้าที่ดินหรือชาวนารวย ซึ่งมักมาในรูปแบบของการแบ่งผลผลิต (sharecropping) โดยชาวนาต้องแบ่งผลผลิตครึ่งหนึ่งให้เจ้าของที่ดิน แม้จะเป็นวิธีที่ช่วยให้มีที่ดินทำกินเพิ่ม แต่ก็ทำให้ผลผลิตสุทธิต่อแรงงานลดลงอย่างมาก

    เมื่อรวมแรงงานที่ต้องใช้ในการทำไร่, ซ่อมแซมเครื่องมือ, และแรงงานที่ถูกสกัดออกไปในรูปแบบของภาษี, แรงงานบังคับ (corvée), หรือการเกณฑ์ทหาร ชาวนาจึงต้องทำงานหนักถึง 2,500–3,600 ชั่วโมงต่อปี ซึ่งมากกว่าคนทำงานในยุคปัจจุบัน แต่กลับได้ผลตอบแทนต่ำกว่ามาก

    ขนาดที่ดินของชาวนาในยุคก่อน
    โดยเฉลี่ยถือครองเพียง 3–6 iugera (1.8–3.8 เอเคอร์)
    ไม่เพียงพอต่อการผลิตอาหารให้ครบตามความต้องการ

    การเช่าที่ดินและระบบแบ่งผลผลิต
    ชาวนาต้องแบ่งผลผลิต 50% ให้เจ้าของที่ดิน
    ลดประสิทธิภาพการผลิตต่อแรงงานลงอย่างมาก

    ความพยายามในการเพิ่มผลผลิต
    ปลูกข้าวสาลีเพื่อเพิ่มพลังงานต่อพื้นที่
    ใช้สวนครัวเพื่อเสริมอาหาร แต่ไม่สามารถเก็บรักษาได้นาน

    การใช้แรงงานในครัวเรือน
    ชาวนามีแรงงานเหลือเฟือแต่ไม่มีที่ดินพอใช้
    ต้องทำงานหนักถึง 2,500–3,600 ชั่วโมงต่อปี

    รูปแบบการสกัดแรงงานจากชาวนา
    ภาษีสูงถึง 50% ในบางพื้นที่ เช่น อียิปต์ยุคโรมัน
    แรงงานบังคับ (corvée) เช่น สร้างถนน, ป้อมปราการ
    การเกณฑ์ทหาร เช่น ระบบ dilectus ของโรมัน

    ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
    ชาวนาไม่สามารถเข้าถึง “ตะกร้าแห่งเกียรติ” (respectability basket)
    ส่วนใหญ่ทำงานเพื่อให้ได้แค่ “อยู่รอดและอีกนิด” เท่านั้น

    https://acoup.blog/2025/09/12/collections-life-work-death-and-the-peasant-part-ivc-rent-and-extraction/
    🎙️ เรื่องเล่าจากชาวนา 3 คนถึงเจ้าที่ดิน: เมื่อแรงงานไม่ใช่คำตอบของความอยู่รอด บทความนี้พาเราไปสำรวจชีวิตของชาวนา 3 กลุ่ม—The Smalls, The Middles, และ The Biggs—ที่มีแรงงานในครัวเรือนต่างกัน แต่ต้องเผชิญกับปัญหาเดียวกัน: พวกเขามีที่ดินน้อยเกินไปที่จะผลิตอาหารพอเลี้ยงครอบครัวได้ แม้จะมีแรงงานเหลือเฟือ แต่ที่ดินที่ถือครองจริงกลับมีขนาดเล็กมาก เช่น 3–6 iugera (ประมาณ 1.8–3.8 เอเคอร์) ซึ่งไม่เพียงพอต่อการผลิตอาหารให้ครบตามความต้องการพื้นฐาน แม้จะใช้วิธีปลูกพืชที่ให้พลังงานสูงอย่างข้าวสาลี หรือเสริมด้วยสวนครัว ก็ยังไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ทางออกเดียวคือ “การเช่าที่ดิน” จากเจ้าที่ดินหรือชาวนารวย ซึ่งมักมาในรูปแบบของการแบ่งผลผลิต (sharecropping) โดยชาวนาต้องแบ่งผลผลิตครึ่งหนึ่งให้เจ้าของที่ดิน แม้จะเป็นวิธีที่ช่วยให้มีที่ดินทำกินเพิ่ม แต่ก็ทำให้ผลผลิตสุทธิต่อแรงงานลดลงอย่างมาก เมื่อรวมแรงงานที่ต้องใช้ในการทำไร่, ซ่อมแซมเครื่องมือ, และแรงงานที่ถูกสกัดออกไปในรูปแบบของภาษี, แรงงานบังคับ (corvée), หรือการเกณฑ์ทหาร ชาวนาจึงต้องทำงานหนักถึง 2,500–3,600 ชั่วโมงต่อปี ซึ่งมากกว่าคนทำงานในยุคปัจจุบัน แต่กลับได้ผลตอบแทนต่ำกว่ามาก ✅ ขนาดที่ดินของชาวนาในยุคก่อน ➡️ โดยเฉลี่ยถือครองเพียง 3–6 iugera (1.8–3.8 เอเคอร์) ➡️ ไม่เพียงพอต่อการผลิตอาหารให้ครบตามความต้องการ ✅ การเช่าที่ดินและระบบแบ่งผลผลิต ➡️ ชาวนาต้องแบ่งผลผลิต 50% ให้เจ้าของที่ดิน ➡️ ลดประสิทธิภาพการผลิตต่อแรงงานลงอย่างมาก ✅ ความพยายามในการเพิ่มผลผลิต ➡️ ปลูกข้าวสาลีเพื่อเพิ่มพลังงานต่อพื้นที่ ➡️ ใช้สวนครัวเพื่อเสริมอาหาร แต่ไม่สามารถเก็บรักษาได้นาน ✅ การใช้แรงงานในครัวเรือน ➡️ ชาวนามีแรงงานเหลือเฟือแต่ไม่มีที่ดินพอใช้ ➡️ ต้องทำงานหนักถึง 2,500–3,600 ชั่วโมงต่อปี ✅ รูปแบบการสกัดแรงงานจากชาวนา ➡️ ภาษีสูงถึง 50% ในบางพื้นที่ เช่น อียิปต์ยุคโรมัน ➡️ แรงงานบังคับ (corvée) เช่น สร้างถนน, ป้อมปราการ ➡️ การเกณฑ์ทหาร เช่น ระบบ dilectus ของโรมัน ✅ ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ➡️ ชาวนาไม่สามารถเข้าถึง “ตะกร้าแห่งเกียรติ” (respectability basket) ➡️ ส่วนใหญ่ทำงานเพื่อให้ได้แค่ “อยู่รอดและอีกนิด” เท่านั้น https://acoup.blog/2025/09/12/collections-life-work-death-and-the-peasant-part-ivc-rent-and-extraction/
    ACOUP.BLOG
    Collections: Life, Work, Death and the Peasant, Part IVc: Rent and Extraction
    This is the third piece of the fourth part of our series (I, II, IIIa, IIIb, IVa, IVb) looking at the lives of pre-modern peasant farmers – a majority of all of the humans who have ever lived. Last…
    0 Comments 0 Shares 337 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน เหยื่อ (4)

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 25 : เหยื่อ (4)
    การปฏิบัติตาม New World Order และ Globalization ภาคหนึ่ง ยังไม่จบ สหภาพโซเวียตแตก แต่รัสเซียยังไม่ตายจริง เหมือนผีดิบ ทำท่าจะฟื้นคืนชีพขึ้นมา คิดจะสร้างเมืองอุตสาหกรรมขึ้นมาใหม่ ทรัพยากรของรัสเซีย โดยเฉพาะน้ำมัน ที่อยากได้กันหนักหนาตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ ยังมีอยู่ เรื่องนี้เล่นไม่ยาก ขอให้มีความ “อยาก” ของเหยื่อ แล้ว Boris Yeltsin นายกรัฐมนตรีคนแรกของรัสเซียหลังจากสหภาพโซเวียตแตกเมื่อปี ค.ศ. 1991 ก็อ้าแขนรับ
    Anotoly Chubais เป็นสมาชิกผู้มีอิทธิพลของรัฐบาล Yeltsin เขาเป็นผู้รับผิดชอบดูแลการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของรัสเซีย ปี ค.ศ. 1998 ถึง ค.ศ. 2008 เขาแปรรูปรัฐวิสาหกิจ กิจการไฟฟ้า RAO UES ที่รัฐบาลเป็นเจ้าของทั้งหมด ในปี ค.ศ. 2004 เขาสามารถจัดการหาเงินทุน จำนวนกว่า 30,000 ล้านเหรียญ เพื่อให้มาลงทุนในโรงไฟฟ้าที่สร้างใหม่ จำนวน 130 แห่ง ที่จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 29,000 เมกกะวัตต์ ระยะทาง 10,000 กม. และมีสถานีย่อยอีกเป็นพัน เขาสามารถแยกส่วนโรงไฟฟ้าที่รัฐบาลเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว กลายเป็นเอกชนเป็นเจ้าของและบริหารทั้งหมด นี่เป็นเพียงตัวอย่าง ใครเป็นคนแนะนำให้รัสเซียเดินแผนเศรษฐกิจเช่นนี้ น่าสนใจ แต่ผลทำให้มีเศรษฐีรัสเซียเกิดใหม่ข้ามคืนประมาณ 17 ครอบครัว เพื่อมาลอกคราบทรัพย์สินของประเทศ (อ่านแล้วอย่างเผลอนึกว่าเป็นการแปรรูป ปตท. ของไทยแลนด์นะ มันคล้ายกันมาก) และส่งสมบัติลงเรือออกยังที่ปลอดภัยในต่างประเทศ
    ส่วนบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ 7 แห่ง ก็เข้าไปทึ้งแหล่งน้ำมันของรัฐเซียตามสะดวก แล้วชาวรัสเซียที่เหลืออยู่ในประเทศ ก็จนเอา จนเอา มีแต่คนว่างงาน 80% ของชาวนาล้มละลาย โรงงาน 70,000 แห่ง ถูกปิดตาย ประกันสังคมถูกยกเลิก มีแต่การจี้ปล้น พวกที่มีเงินก็อพยพย้ายไปอยู่ต่างประเทศกันเป็นแถว ไปเดินชนกันอยู่แถว London หรือไม่อยากไปไกล ดูแถวพัทยาของเราก็ได้นะ แต่ที่มาแถวบ้านเรา เขาว่าส่วนมากมีแต่นักเลงกับโสเภณี เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เฉพาะรัสเซีย แต่ละประเทศที่แตกออกมา ก็ถูกขยี้ซ้ำด้วยความช่วยเหลือที่อเมริกาส่งมา ชื่อ George Soros และยาชื่อ IMF
    ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับนาย chubais เขามีชื่ออยู่ในกลุ่มที่ปรึกษา (Advisory Board) ของ J P Morgan ตั้งแต่ ค.ศ. 2008 และเป็นที่ปรึกษาระดับโลก (Global board of advisors) ของ Council on Foreign Relation (CFR) ตั้งแต่เดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 มันคงบอกอะไรเราได้หลายอย่าง

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน เหยื่อ (4) นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 25 : เหยื่อ (4) การปฏิบัติตาม New World Order และ Globalization ภาคหนึ่ง ยังไม่จบ สหภาพโซเวียตแตก แต่รัสเซียยังไม่ตายจริง เหมือนผีดิบ ทำท่าจะฟื้นคืนชีพขึ้นมา คิดจะสร้างเมืองอุตสาหกรรมขึ้นมาใหม่ ทรัพยากรของรัสเซีย โดยเฉพาะน้ำมัน ที่อยากได้กันหนักหนาตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ ยังมีอยู่ เรื่องนี้เล่นไม่ยาก ขอให้มีความ “อยาก” ของเหยื่อ แล้ว Boris Yeltsin นายกรัฐมนตรีคนแรกของรัสเซียหลังจากสหภาพโซเวียตแตกเมื่อปี ค.ศ. 1991 ก็อ้าแขนรับ Anotoly Chubais เป็นสมาชิกผู้มีอิทธิพลของรัฐบาล Yeltsin เขาเป็นผู้รับผิดชอบดูแลการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของรัสเซีย ปี ค.ศ. 1998 ถึง ค.ศ. 2008 เขาแปรรูปรัฐวิสาหกิจ กิจการไฟฟ้า RAO UES ที่รัฐบาลเป็นเจ้าของทั้งหมด ในปี ค.ศ. 2004 เขาสามารถจัดการหาเงินทุน จำนวนกว่า 30,000 ล้านเหรียญ เพื่อให้มาลงทุนในโรงไฟฟ้าที่สร้างใหม่ จำนวน 130 แห่ง ที่จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 29,000 เมกกะวัตต์ ระยะทาง 10,000 กม. และมีสถานีย่อยอีกเป็นพัน เขาสามารถแยกส่วนโรงไฟฟ้าที่รัฐบาลเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว กลายเป็นเอกชนเป็นเจ้าของและบริหารทั้งหมด นี่เป็นเพียงตัวอย่าง ใครเป็นคนแนะนำให้รัสเซียเดินแผนเศรษฐกิจเช่นนี้ น่าสนใจ แต่ผลทำให้มีเศรษฐีรัสเซียเกิดใหม่ข้ามคืนประมาณ 17 ครอบครัว เพื่อมาลอกคราบทรัพย์สินของประเทศ (อ่านแล้วอย่างเผลอนึกว่าเป็นการแปรรูป ปตท. ของไทยแลนด์นะ มันคล้ายกันมาก) และส่งสมบัติลงเรือออกยังที่ปลอดภัยในต่างประเทศ ส่วนบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ 7 แห่ง ก็เข้าไปทึ้งแหล่งน้ำมันของรัฐเซียตามสะดวก แล้วชาวรัสเซียที่เหลืออยู่ในประเทศ ก็จนเอา จนเอา มีแต่คนว่างงาน 80% ของชาวนาล้มละลาย โรงงาน 70,000 แห่ง ถูกปิดตาย ประกันสังคมถูกยกเลิก มีแต่การจี้ปล้น พวกที่มีเงินก็อพยพย้ายไปอยู่ต่างประเทศกันเป็นแถว ไปเดินชนกันอยู่แถว London หรือไม่อยากไปไกล ดูแถวพัทยาของเราก็ได้นะ แต่ที่มาแถวบ้านเรา เขาว่าส่วนมากมีแต่นักเลงกับโสเภณี เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เฉพาะรัสเซีย แต่ละประเทศที่แตกออกมา ก็ถูกขยี้ซ้ำด้วยความช่วยเหลือที่อเมริกาส่งมา ชื่อ George Soros และยาชื่อ IMF ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับนาย chubais เขามีชื่ออยู่ในกลุ่มที่ปรึกษา (Advisory Board) ของ J P Morgan ตั้งแต่ ค.ศ. 2008 และเป็นที่ปรึกษาระดับโลก (Global board of advisors) ของ Council on Foreign Relation (CFR) ตั้งแต่เดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 มันคงบอกอะไรเราได้หลายอย่าง คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 297 Views 0 Reviews
  • สื่อกัมพูชารายงาน ราคาข้าวเปลือกในประเทศตกต่ำอย่างหนักเหลือประมาณ 4.70 บาทต่อ กก. ขณะต้นทุนค่าปุ๋ย-ยาฆ่าแมลง-ค่าสูบน้ำสูงขึ้น ชาวนาจำนวนมากประสบปัญหาขาดทุน โดยเฉพาะคนที่ต้องเช่าที่ดินทำนา รายได้ไม่พอจ่ายหนี้สิน ต้องหาทางออกด้วยการกลับเข้ามาหางานทำในประเทศไทย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000082972

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    สื่อกัมพูชารายงาน ราคาข้าวเปลือกในประเทศตกต่ำอย่างหนักเหลือประมาณ 4.70 บาทต่อ กก. ขณะต้นทุนค่าปุ๋ย-ยาฆ่าแมลง-ค่าสูบน้ำสูงขึ้น ชาวนาจำนวนมากประสบปัญหาขาดทุน โดยเฉพาะคนที่ต้องเช่าที่ดินทำนา รายได้ไม่พอจ่ายหนี้สิน ต้องหาทางออกด้วยการกลับเข้ามาหางานทำในประเทศไทย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000082972 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    Like
    Haha
    4
    0 Comments 0 Shares 455 Views 0 Reviews
  • คนที่กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา"เขาเรียกคนเนรคุณเหมือนอสรพิษ ดูแลรักษาพอแข็งแรงก็แว้งกัดคนเลี้ยง#เหมือนชาวนากับงูเห่า ผลักดันออกไปกั้นกำแพงถาวรแบบกำแพงเบอร์ลินที่เยอรมัน
    คนที่กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา"เขาเรียกคนเนรคุณเหมือนอสรพิษ ดูแลรักษาพอแข็งแรงก็แว้งกัดคนเลี้ยง#เหมือนชาวนากับงูเห่า ผลักดันออกไปกั้นกำแพงถาวรแบบกำแพงเบอร์ลินที่เยอรมัน🇩🇪
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน นักมายากลชั้นเซียน (2)

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 12 : นักมายากลชั้นเซียน (2)
    ลาตินอเมริกา มี 19 เสียง เทียบกับยุโรปที่มี 9 เสียง จากปฏิบัติการในลาติน
    อเมริกาอยู่ 20 ปี ผลคือทำให้อิทธิพลของนักมายากล สามารถทำให้อเมริกา เป็นผู้คุมเสียงข้างมาก ในสหประชาชาติ และแน่นอนเป็นเสียงชี้ขาดใน World Bank และ IMF ด้วย ที่ดินที่สร้างสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ ในนครนิวยอร์คจึงเป็นอภินันทนาการจากนักมายากล
    NSSM 200 เป็นตัวอย่างของมายากลยุทธ ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ที่สามารถนำเรื่องการลดการเจริญเติบโตของประชากรในประเทศด้อยพัฒนา (หรือที่เขาพากันดัดจริต เลี่ยงไปเรียกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา) มาเป็นนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ ที่มีความสำคัญระดับเร่งด่วนของอเมริกา มันเหลือเชื่อเหมือนเราดูการเล่นกลเลย ที่สามารถทำการวิจัย เรื่อง การสนับสนุนการทำหมันของมนุษย์หรือวางแผนครอบครัว ให้โยงกับประเทศเป้าหมาย ที่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ได้อย่างมหัศจรรย์เกินจะคิด
    แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนและหลังของช่วงเวลาปฏิบัติการ ตามแผน NSSM 200 แล้ว สิ่งที่เห็นชัด การเล่นกลทำได้แนบเนียนและได้ผล ทั้งหมดมาจากเงินและอิทธิพลของตระกูลโคตรรวย ที่พัฒนามาเป็นสถาบันผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของอเมริกา Trilateral Commission นาย Kissinger และบรรดาผู้มีตำแหน่งสูง ๆ ในรัฐบาลอเมริกาตั้งแต่ระดับประธานาธิบดี รมว.กลาโหม รมว.ตปท. สมัยต่าง ๆ แท้จริงแล้ว แม้จะกินเงินเดือนของประเทศ แต่จริง ๆ แล้ว ดูเสมือนเขาเป็น
    ขี้ข้ารับใช้ Trilateral Commission ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยนั่นเอง
    แล้วอำนาจ Trilateral Commission ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย ก็ขยายครอบคลุมรัฐบาลอเมริกา รวมทั้งขยายไปควบคุม ประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้ ตามนโยบาย New World Order ตั้งแต่บัดนั้น จนถึงปัจจุบันนี้
    สมันน้อยมองออกบ้างหรือยัง ว่าเป้าหมายแท้จริงของ NSSM 200 คืออะไรและการกำหนด 13 ประเทศเพราะอะไร การเข้าไปในลาตินอเมริกา สมาคมวางแผนครอบครัวของพี่สายรุ้ง นายอานันท์ มรว.เกษมสโมสร ทั้ง 2 มีตำแหน่งอะไร ในหน่วยงานประเทศไทยบ้าง มีความสำคัญอย่างไร และอย่าลืมการวิจัยแผนพัฒนาของนายณรงค์ชัย เกี่ยวกันไหม และนายสารสิน วีระผล แห่ง CP เครือเจริญโภคภัณฑ์ ค้าเมล็ดพันธ์ุพืชมากว่า 50 ปี ใช้เมล็ดพันธ์ GMO หรือไม่ ชาวไร่ ชาวนา เราเจ๊งป่นปี่
    ขายที่ ขายไร่ กันไปเท่าไหร่ ปัจจุบันการกว้านซื้อที่ดินของในประเทศเราโดยนายทุน นักธุรกิจใหญ่ ทั้งในและต่างประเทศเกี่ยวโยงกันไหม จำได้หรือเปล่า เล่าไปแล้วว่าปัจจุบันที่ดินในประเทศไทยจำนวน 1 ใน 3 อยู่ในมือคนต่างชาติไปแล้ว ลองไปคิดเป็นการบ้านดู
    เวลาดูเขาเล่นกล อย่าแค่ตบมือชอบใจ

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน นักมายากลชั้นเซียน (2) นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 12 : นักมายากลชั้นเซียน (2) ลาตินอเมริกา มี 19 เสียง เทียบกับยุโรปที่มี 9 เสียง จากปฏิบัติการในลาติน อเมริกาอยู่ 20 ปี ผลคือทำให้อิทธิพลของนักมายากล สามารถทำให้อเมริกา เป็นผู้คุมเสียงข้างมาก ในสหประชาชาติ และแน่นอนเป็นเสียงชี้ขาดใน World Bank และ IMF ด้วย ที่ดินที่สร้างสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ ในนครนิวยอร์คจึงเป็นอภินันทนาการจากนักมายากล NSSM 200 เป็นตัวอย่างของมายากลยุทธ ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ที่สามารถนำเรื่องการลดการเจริญเติบโตของประชากรในประเทศด้อยพัฒนา (หรือที่เขาพากันดัดจริต เลี่ยงไปเรียกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา) มาเป็นนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ ที่มีความสำคัญระดับเร่งด่วนของอเมริกา มันเหลือเชื่อเหมือนเราดูการเล่นกลเลย ที่สามารถทำการวิจัย เรื่อง การสนับสนุนการทำหมันของมนุษย์หรือวางแผนครอบครัว ให้โยงกับประเทศเป้าหมาย ที่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ได้อย่างมหัศจรรย์เกินจะคิด แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนและหลังของช่วงเวลาปฏิบัติการ ตามแผน NSSM 200 แล้ว สิ่งที่เห็นชัด การเล่นกลทำได้แนบเนียนและได้ผล ทั้งหมดมาจากเงินและอิทธิพลของตระกูลโคตรรวย ที่พัฒนามาเป็นสถาบันผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของอเมริกา Trilateral Commission นาย Kissinger และบรรดาผู้มีตำแหน่งสูง ๆ ในรัฐบาลอเมริกาตั้งแต่ระดับประธานาธิบดี รมว.กลาโหม รมว.ตปท. สมัยต่าง ๆ แท้จริงแล้ว แม้จะกินเงินเดือนของประเทศ แต่จริง ๆ แล้ว ดูเสมือนเขาเป็น ขี้ข้ารับใช้ Trilateral Commission ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยนั่นเอง แล้วอำนาจ Trilateral Commission ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย ก็ขยายครอบคลุมรัฐบาลอเมริกา รวมทั้งขยายไปควบคุม ประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้ ตามนโยบาย New World Order ตั้งแต่บัดนั้น จนถึงปัจจุบันนี้ สมันน้อยมองออกบ้างหรือยัง ว่าเป้าหมายแท้จริงของ NSSM 200 คืออะไรและการกำหนด 13 ประเทศเพราะอะไร การเข้าไปในลาตินอเมริกา สมาคมวางแผนครอบครัวของพี่สายรุ้ง นายอานันท์ มรว.เกษมสโมสร ทั้ง 2 มีตำแหน่งอะไร ในหน่วยงานประเทศไทยบ้าง มีความสำคัญอย่างไร และอย่าลืมการวิจัยแผนพัฒนาของนายณรงค์ชัย เกี่ยวกันไหม และนายสารสิน วีระผล แห่ง CP เครือเจริญโภคภัณฑ์ ค้าเมล็ดพันธ์ุพืชมากว่า 50 ปี ใช้เมล็ดพันธ์ GMO หรือไม่ ชาวไร่ ชาวนา เราเจ๊งป่นปี่ ขายที่ ขายไร่ กันไปเท่าไหร่ ปัจจุบันการกว้านซื้อที่ดินของในประเทศเราโดยนายทุน นักธุรกิจใหญ่ ทั้งในและต่างประเทศเกี่ยวโยงกันไหม จำได้หรือเปล่า เล่าไปแล้วว่าปัจจุบันที่ดินในประเทศไทยจำนวน 1 ใน 3 อยู่ในมือคนต่างชาติไปแล้ว ลองไปคิดเป็นการบ้านดู เวลาดูเขาเล่นกล อย่าแค่ตบมือชอบใจ คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 302 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน คัดสายพันธ์ุ
    นิทานเรื่ิิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 11 : คัดสายพันธ์ุ
    สมาคม American Eugenics Society เป็นสมาคมที่มีวัตถุประสงค์สนับสนุนการคัดสายพันธ์ุและทำหมันประชากรที่ เรียกว่ามีสายพันธ์ด้อย (inferior people)
    สายพันธ์ด้อย หมายถึงใคร แน่นอนไม่ใช่พวกผมทอง ตาสีฟ้า แต่เป็นพวกผิวสี เช่น อาฟริกัน พวกผิวเข้มในเอเซีย และลาติน รวมทั้งผู้มีความไม่สมบูรณ์ทางกายและสมอง
    ผู้ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่สมาคมนี้ ได้แก่ Rockefeller, Harriman นายธนาคารจาก J.P Morgan, Mary Duke Biddle ของบริษัทยาสูบใหญ่ etc และอีกหลายคน ๆ ที่เป็นคนรวยในสังคมระดับสูงของอเมริกาและรวมไปถึงพรรคพวกในอีกฝั่ง ของมหาสมุทรคืออังกฤษด้วย คือ English Eugenics Society ซึ่งสมาคมนี้มีสมาชิก เช่น นาย Winston Churchill นาย John Maynard Keynes etc เป็นต้น การสนับสนุนการคัดสายพันธ์ของกลุ่มคนรวยพวกนี้ เริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1920
    ที่น่าสนใจมูลนิธิ Rockefeller ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่องค์กร Planned Parenthood Federation of American มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1922 องค์กรนี้ เป็นองค์กรลูกของ International Planned Parenthood Federation (IPPF) เช่นเดียวกับ สวท. ของคุณสายรุ้ง
ซึ่งเป็นองค์กรที่มีหัวหอกในการดำเนินงาน ชื่อ Margaret Sanger
    คุณนายเน้นนโยบายการคัดสายพันธ์ุ โดยการคุมกำเนิดและทำหมัน ภายใต้การพรางตัวเรียกว่า วางแผนครอบครัว คุณนายบอกว่า
    ความไม่สมดุลย์ระหว่างอัตราการเกิดของผู้ไม่เหมาะสม (unfit) กับเหมาะสม (fit) เป็นสิ่งที่น่ากวนใจอย่างยิ่งสำหรับความเจริญ ก้าวหน้าของมนุษยชาติ
    ในปี ค.ศ.1933 Dr. Gerhard Wagner แพทย์หัวหน้าหน่วย Association Reichsrzfhere นาซีเยอรมัน ได้ยกย่องคุณนาย Sanger ว่านโยบายควบคุมสายพันธ์ของคุณนายเป็นนโยบายที่เยี่ยมมากน่าถือเป็นตัวอย่าง
    สมาคมวางแผนของคุณสายรุ้ง ก็ได้รับรางวัล Margaret Sanger เมื่อปี พ.ศ.2532
    ขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ ริเริ่มโดยนาย John D Rockefeller ที่ 3 หรือที่พวกคนรวยอเมริกาจะเรียกเขาว่า J D III ตั้งแต่ ค.ศ.1932
    เขาเหมือนคนบ้า (หรือมันเป็นบ้าจริง ๆ !) คิด ฟุ้ง สร้าน วุ่นวายอยู่กับขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ุ อยู่หลายสิบปี ถึงขนาดในปี ค.ศ.1952 เขาลงทุนควักกระเป๋าเงินตัวเอง ตั้งสถาบันประชากร (Population Council) ขึ้นที่ นิวยอร์ค เพื่อทำการค้นคว้าอันตรายของการมีประชากรล้นโลก
    สถาบันนี้ใช้เงินไปจำนวนเกือบ 200 ล้านเหรียญ ในช่วง 25 ปี ในการหาวิธีการที่ได้ผลที่สุด ในการลดจำนวนประชากร และสถาบันนี้ได้กลายเป็น สถาบันที่มีอิทธิพลสูงในการเสนอความคิดเกี่ยวกับ การลดจำนวนพลเมือง
(นี่มันฆ่าตัดตอนแบบมายากลนะนี่ !)
    การคัดสายพันธ์ เริ่มเข้มข้น ทำเป็นขั้นตอนในช่วงปี ค.ศ.1950 – 1960 เมื่อตระกูล Rockefeller เข้าไปในแถบลาตินอเมริกา ซึ่งมีพื้นดินอุดมสมบูรณ์
    พวกเขาวางแผน Green Revolution ใช้พืช GMO ขายเมล็ดพันธ์ุพืช ทำลายพื้นดิน ทำลายคุณภาพชีวิตของชาวลาติน ขณะเดียวกันหมัดนี้ยังไม่หนักไม่พอ มันยังเกิดก็ไม่หยุด ขบวนการทำหมัน ก็โหมเข้าไป คนลาตินก็ออกลูกน้อยลงๆ ข้าวโพดสายพันธ์ใหม่ ที่ทดลองปลูกก็มีผู้วิเคราะห์ว่า ถ้ากินเข้าไปมากๆ มีผลทำลายสเปิร์มของผู้ชาย 100%
มันเล่นทั้งฝ่ายหญิง ฝ่ายชาย เลยนะ แต่ภาพที่โลกเห็นเป็นอย่างไร
    มูลนิธิ Rockefeller ใจดี ใจบุญ เห็นพลเมืองเขาแยะ ก็ไปช่วยวางแผนครอบครัว ทำหมัน ชาวไร่ ชาวนา ทำมาหากินได้ผลน้อย เพาะปลูกพืชไร่ได้ปีละครั้ง ได้เงินไม่กี่อัฐ มูลนิธิก็เอาพันธ์ุพืชใหม่ไปให้ใช้ ปลูกมันปีละ 3, 4 หน ขายได้เงินเพิ่มโขอยู่
    ดูแค่นี้ มันก็เห็นแค่นี้


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน คัดสายพันธ์ุ นิทานเรื่ิิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 11 : คัดสายพันธ์ุ สมาคม American Eugenics Society เป็นสมาคมที่มีวัตถุประสงค์สนับสนุนการคัดสายพันธ์ุและทำหมันประชากรที่ เรียกว่ามีสายพันธ์ด้อย (inferior people) สายพันธ์ด้อย หมายถึงใคร แน่นอนไม่ใช่พวกผมทอง ตาสีฟ้า แต่เป็นพวกผิวสี เช่น อาฟริกัน พวกผิวเข้มในเอเซีย และลาติน รวมทั้งผู้มีความไม่สมบูรณ์ทางกายและสมอง ผู้ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่สมาคมนี้ ได้แก่ Rockefeller, Harriman นายธนาคารจาก J.P Morgan, Mary Duke Biddle ของบริษัทยาสูบใหญ่ etc และอีกหลายคน ๆ ที่เป็นคนรวยในสังคมระดับสูงของอเมริกาและรวมไปถึงพรรคพวกในอีกฝั่ง ของมหาสมุทรคืออังกฤษด้วย คือ English Eugenics Society ซึ่งสมาคมนี้มีสมาชิก เช่น นาย Winston Churchill นาย John Maynard Keynes etc เป็นต้น การสนับสนุนการคัดสายพันธ์ของกลุ่มคนรวยพวกนี้ เริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1920 ที่น่าสนใจมูลนิธิ Rockefeller ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่องค์กร Planned Parenthood Federation of American มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1922 องค์กรนี้ เป็นองค์กรลูกของ International Planned Parenthood Federation (IPPF) เช่นเดียวกับ สวท. ของคุณสายรุ้ง
ซึ่งเป็นองค์กรที่มีหัวหอกในการดำเนินงาน ชื่อ Margaret Sanger คุณนายเน้นนโยบายการคัดสายพันธ์ุ โดยการคุมกำเนิดและทำหมัน ภายใต้การพรางตัวเรียกว่า วางแผนครอบครัว คุณนายบอกว่า ความไม่สมดุลย์ระหว่างอัตราการเกิดของผู้ไม่เหมาะสม (unfit) กับเหมาะสม (fit) เป็นสิ่งที่น่ากวนใจอย่างยิ่งสำหรับความเจริญ ก้าวหน้าของมนุษยชาติ ในปี ค.ศ.1933 Dr. Gerhard Wagner แพทย์หัวหน้าหน่วย Association Reichsrzfhere นาซีเยอรมัน ได้ยกย่องคุณนาย Sanger ว่านโยบายควบคุมสายพันธ์ของคุณนายเป็นนโยบายที่เยี่ยมมากน่าถือเป็นตัวอย่าง สมาคมวางแผนของคุณสายรุ้ง ก็ได้รับรางวัล Margaret Sanger เมื่อปี พ.ศ.2532 ขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ ริเริ่มโดยนาย John D Rockefeller ที่ 3 หรือที่พวกคนรวยอเมริกาจะเรียกเขาว่า J D III ตั้งแต่ ค.ศ.1932 เขาเหมือนคนบ้า (หรือมันเป็นบ้าจริง ๆ !) คิด ฟุ้ง สร้าน วุ่นวายอยู่กับขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ุ อยู่หลายสิบปี ถึงขนาดในปี ค.ศ.1952 เขาลงทุนควักกระเป๋าเงินตัวเอง ตั้งสถาบันประชากร (Population Council) ขึ้นที่ นิวยอร์ค เพื่อทำการค้นคว้าอันตรายของการมีประชากรล้นโลก สถาบันนี้ใช้เงินไปจำนวนเกือบ 200 ล้านเหรียญ ในช่วง 25 ปี ในการหาวิธีการที่ได้ผลที่สุด ในการลดจำนวนประชากร และสถาบันนี้ได้กลายเป็น สถาบันที่มีอิทธิพลสูงในการเสนอความคิดเกี่ยวกับ การลดจำนวนพลเมือง
(นี่มันฆ่าตัดตอนแบบมายากลนะนี่ !) การคัดสายพันธ์ เริ่มเข้มข้น ทำเป็นขั้นตอนในช่วงปี ค.ศ.1950 – 1960 เมื่อตระกูล Rockefeller เข้าไปในแถบลาตินอเมริกา ซึ่งมีพื้นดินอุดมสมบูรณ์ พวกเขาวางแผน Green Revolution ใช้พืช GMO ขายเมล็ดพันธ์ุพืช ทำลายพื้นดิน ทำลายคุณภาพชีวิตของชาวลาติน ขณะเดียวกันหมัดนี้ยังไม่หนักไม่พอ มันยังเกิดก็ไม่หยุด ขบวนการทำหมัน ก็โหมเข้าไป คนลาตินก็ออกลูกน้อยลงๆ ข้าวโพดสายพันธ์ใหม่ ที่ทดลองปลูกก็มีผู้วิเคราะห์ว่า ถ้ากินเข้าไปมากๆ มีผลทำลายสเปิร์มของผู้ชาย 100%
มันเล่นทั้งฝ่ายหญิง ฝ่ายชาย เลยนะ แต่ภาพที่โลกเห็นเป็นอย่างไร มูลนิธิ Rockefeller ใจดี ใจบุญ เห็นพลเมืองเขาแยะ ก็ไปช่วยวางแผนครอบครัว ทำหมัน ชาวไร่ ชาวนา ทำมาหากินได้ผลน้อย เพาะปลูกพืชไร่ได้ปีละครั้ง ได้เงินไม่กี่อัฐ มูลนิธิก็เอาพันธ์ุพืชใหม่ไปให้ใช้ ปลูกมันปีละ 3, 4 หน ขายได้เงินเพิ่มโขอยู่ ดูแค่นี้ มันก็เห็นแค่นี้ คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 380 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เมล็ดพันธ์พิฆาต (3)

    นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (3)
    ตัวอย่างเช่นที่กล่าวมาแล้ว มีอีกมากมาย ที่พูดถึงแต่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแท้ที่จริงผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่เป็นการถาวร มันเป็นเฉพาะช่วงแรกๆ เท่านั้น แต่คนขายเมล็ดพันธ์ GMO ย่อมไม่บอกผู้ซื้อ
    นอกจากนี้ที่น่าเป็นห่วง คือผลกระทบต่อการเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจ กับ ชาวไร่ ชาวนา รายย่อย อย่างที่พวกเขาไม่รู้ตัว พวกเขาเคยทำไร่ทำนา จากเมล็ดพันธ์พืชที่ไม่มีต้นทุน ใช้ปุ๋ยธรรมชาติ และไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ต่อมาต้องซื้อทั้งเมล็ดพันธ์ ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี พวกเขาขายผลผลิตได้ราคาสูงก็จริง แต่ต้นทุนก็สูงตามไปด้วย ท้ายที่สุดก็เป็นหนี้ และส่วนใหญ่ก็ไม่มีเงินใช้หนี้ ทำให้ต้องเสียที่ดินไร่นาไป แล้วก็มีบริษัทที่ทำธุรกิจเกษตร มาไล่ซื้อที่ดิน ไปทำต่อ หรือซื้อที่ไปทำอย่างอื่น แล้วชาวไร่ชาวนาเหล่านี้ ก็ไม่มีทางเลือก ต้องอพยพเข้าเมือง ขายแรงงานแทน เป็นปัญหาของบ้านเมืองอีกแบบหนึ่ง
    สิ่งเหล่านี้มักจะไม่อยู่ในรายงานของหน่วยงานที่ทำการวิจัย หรือคิดค้นพันธ์พืช เขามักจะพูดถึงแต่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น เพราะเป้าหมายที่แท้จริง ของการให้ใช้เมล็ดพืช GMO มันคือการปล้น เอาไร่ เอานา เขามาในราคาถูก
    นอกจากปัญหาเรื่องการเสียไร่นาแล้ว ปัญหาที่สำคัญอีกประการคือการใช้ยาฆ่าแมลง ซึ่งในหลายๆ กรณีเป็นอันตราย ต่อสุขภาพของชาวไร่ชาวนา อย่างถึงขนาดหลายๆ หมู่บ้านมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งกันทั้งหมู่บ้าน
    ความจนกับความไม่รู้ ทำให้พวกเขาไม่รู้จักหรือไม่สามารถแสวงหาหน้ากาก ป้องกันยาฉีดฆ่าแมลง
    ในปี ค.ศ.1989 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประมาณว่ามีคนได้รับสารพิษของยาฆ่าแมลงสูงถึง 1 ล้านคนต่อปี และประมาณ 20,000 คน เสียชีวิต ทั้งหมดนี้ส่วนมากเกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศที่กำลังพัฒนา!
    ขบวนการนี้ เกิดขึ้นจากสิ่งที่เราเรียกว่าโลกาภิวัฒน์ ที่ชาวเราภาคภูมิใจอยากให้มี อยากให้เป็น เพราะเรามองแต่ ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างลวงตา
    โลกาภิวัฒน์ย่นระยะเวลา ในการสร้างกลไก สร้างระบบเกษตรอุตสาหกรรมระหว่างประเทศขึ้นมา ทำให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย บวกกับการให้เงินสนับสนุนจากต่างชาติ เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford และหน่วยงานของ USAID โดยเราไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริง หรือผลลัพธ์ ปลายทางที่เกิดขึ้นกับเรา
    นี่แหละ ผลของการมองแต่ผลได้ อย่างผิวเผิน ไม่นึกถึงผลเสีย หรือผลข้างเคียง ทั้งระยะใกล้ ระยะไกล เขียนแล้วเศร้า ตลกไม่ออกเลย!


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เมล็ดพันธ์พิฆาต (3) นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (3) ตัวอย่างเช่นที่กล่าวมาแล้ว มีอีกมากมาย ที่พูดถึงแต่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแท้ที่จริงผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่เป็นการถาวร มันเป็นเฉพาะช่วงแรกๆ เท่านั้น แต่คนขายเมล็ดพันธ์ GMO ย่อมไม่บอกผู้ซื้อ นอกจากนี้ที่น่าเป็นห่วง คือผลกระทบต่อการเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจ กับ ชาวไร่ ชาวนา รายย่อย อย่างที่พวกเขาไม่รู้ตัว พวกเขาเคยทำไร่ทำนา จากเมล็ดพันธ์พืชที่ไม่มีต้นทุน ใช้ปุ๋ยธรรมชาติ และไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ต่อมาต้องซื้อทั้งเมล็ดพันธ์ ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี พวกเขาขายผลผลิตได้ราคาสูงก็จริง แต่ต้นทุนก็สูงตามไปด้วย ท้ายที่สุดก็เป็นหนี้ และส่วนใหญ่ก็ไม่มีเงินใช้หนี้ ทำให้ต้องเสียที่ดินไร่นาไป แล้วก็มีบริษัทที่ทำธุรกิจเกษตร มาไล่ซื้อที่ดิน ไปทำต่อ หรือซื้อที่ไปทำอย่างอื่น แล้วชาวไร่ชาวนาเหล่านี้ ก็ไม่มีทางเลือก ต้องอพยพเข้าเมือง ขายแรงงานแทน เป็นปัญหาของบ้านเมืองอีกแบบหนึ่ง สิ่งเหล่านี้มักจะไม่อยู่ในรายงานของหน่วยงานที่ทำการวิจัย หรือคิดค้นพันธ์พืช เขามักจะพูดถึงแต่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น เพราะเป้าหมายที่แท้จริง ของการให้ใช้เมล็ดพืช GMO มันคือการปล้น เอาไร่ เอานา เขามาในราคาถูก นอกจากปัญหาเรื่องการเสียไร่นาแล้ว ปัญหาที่สำคัญอีกประการคือการใช้ยาฆ่าแมลง ซึ่งในหลายๆ กรณีเป็นอันตราย ต่อสุขภาพของชาวไร่ชาวนา อย่างถึงขนาดหลายๆ หมู่บ้านมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งกันทั้งหมู่บ้าน ความจนกับความไม่รู้ ทำให้พวกเขาไม่รู้จักหรือไม่สามารถแสวงหาหน้ากาก ป้องกันยาฉีดฆ่าแมลง ในปี ค.ศ.1989 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประมาณว่ามีคนได้รับสารพิษของยาฆ่าแมลงสูงถึง 1 ล้านคนต่อปี และประมาณ 20,000 คน เสียชีวิต ทั้งหมดนี้ส่วนมากเกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศที่กำลังพัฒนา! ขบวนการนี้ เกิดขึ้นจากสิ่งที่เราเรียกว่าโลกาภิวัฒน์ ที่ชาวเราภาคภูมิใจอยากให้มี อยากให้เป็น เพราะเรามองแต่ ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างลวงตา โลกาภิวัฒน์ย่นระยะเวลา ในการสร้างกลไก สร้างระบบเกษตรอุตสาหกรรมระหว่างประเทศขึ้นมา ทำให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย บวกกับการให้เงินสนับสนุนจากต่างชาติ เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford และหน่วยงานของ USAID โดยเราไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริง หรือผลลัพธ์ ปลายทางที่เกิดขึ้นกับเรา นี่แหละ ผลของการมองแต่ผลได้ อย่างผิวเผิน ไม่นึกถึงผลเสีย หรือผลข้างเคียง ทั้งระยะใกล้ ระยะไกล เขียนแล้วเศร้า ตลกไม่ออกเลย! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 365 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เมล็ดพันธ์พิฆาต (2)

    นิทานเร่ืองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (2)
    Green Revolution เป็นศัพท์เทคนิคที่อดีต ผอ. USAID คิดขึ้น เขาบอกว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ดัดแปลงพันธุกรรมเมล็ดพันธ์พืช เพื่อให้โตไว เขานำไปใช้ทดลองกับการปลูกข้าวในอินเดีย เมื่อประมาณปี ค.ศ.1961 ซึ่งเป็นช่วงที่อินเดียกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร ข้าวพันธ์ุดังกล่าว ให้ผลผลิตเป็น 10 เท่า ของข้าวพันธ์ุธรรมดา แต่ต้องใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง
    คนอินเดียตาโตเห็นแต่ผลผลิต 10 เท่า อินเดียกลายเป็นประเทศส่งข้าวออกสูงอันดับต้นๆ คนขายพันธ์ุข้าวนับเงินเพลิน เพราะพันธ์ุข้าวนี้ต้องซื้อทุกครั้งที่ปลูก อย่าลืมบวกค่าปุ๋ยเคมี ค่ายาฆ่าแมลงด้วย แถมต้องทำระบบชลประทานด้วย ใครเป็นคนมาช่วยคิดช่วยทำ ใครขายเครื่องจักร คงพอนึกกันออก
    ฟิลิปปินส์ได้รับเกียรติเป็นหนูตะเภาตัวต่อมา โดยความอนุเคราะห์ของมูลนิธิ Ford และมูลนิธิ Rockefeller ได้จัดตั้งสถาบัน International Rice Research Institute (IRRI) ดัดแปลงข้าวข้ามสายพันธ์ุ เรียกว่า M 8
    M 8 นี่ก็เหมือนกัน ต้องใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงมากมาย แต่ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธ์ุธรรมชาติ การใช้ข้าวพันธ์ M 8 ทำให้ฟิลิปปินส์กระโดดเป็นผู้ส่งออกข้าวเป็นครั้งแรก ในประมาณปี ค.ศ.1966 แต่การใช้ยาฆ่าแมลงอย่างแรง ทำให้ปลาและกบหลายพันธ์ุในนาข้าวตายเกลี้ยง
    Argentina เป็นอีกกรณีที่น่าสนใจ ได้รับเลือกเป็นหนูตะเภา แบบครบวงจร ในปี ค.ศ.1980 การทดลองพืช GMO ถึงขั้นเกือบสมบูรณ์ และนาย Carlos Menem ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี นาย Menem แน่นอน เป็นเด็กสร้างของตระกูล Rockefeller เขาเห็นพ้องทุกอย่างที่ ทางวอชิงตันและตระกูล Rockefeller เสนอ ถึงขนาดยอมให้เพื่อนของนาย David Rockefeller ที่อยู่แถววอชิงตัน ร่างแผนเศรษฐกิจประเทศให้ เป็นแผนเศรษฐกิจตามทฤษฎีที่ศึกษากันอยู่ในมหาวิทยาลัย Chicago เช่น การยกเลิกรัฐวิสาหกิจ การยกเลิกกฎระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคต่อทุนเสรี เปิดประตูให้การค้าเสรีเข้าสะดวก
    เอ๊ะ! นี่มันแผนพัฒนาเศรษฐกิจ แผนเปิดเสรี แบบที่สมันน้อยทำเลยนะ คนที่อ่านนิทานจิกโก๋ปากซอยมาแล้ว คงพอจำได้
    Argentina เข้าสู่การปลูกพืช GMO อย่างจริงจัง ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลของตน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1996 ถึง ค.ศ.2004 หลังจากเปลี่ยนเป็นใช้พืช GMO ไปไม่กี่ปี ชาวไร่ ชาวนา ของ Argentina ก็เริ่มเป็นหนี้ ไม่มีปัญญาใช้หนี้เขาต้องขายหรือถูกยึดไร่นา แล้วต่างชาติก็เข้าไปกว้านซื้อไร่ ซื้อนา ในราคาถูก แสนถูก
    ทั้งหมดเกิดขึ้น ภายใน 10 ปี อ่านนิทานตอนนี้แล้ว ลองนึกถึงเรื่อง ปรส. กันบ้างไหม แม้ไม่ใช่เป็นอุปกรณ์เล่นกลเดียวกัน แต่ฉากเล่นกล มันไม่ต่างกันเท่าไหร่

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เมล็ดพันธ์พิฆาต (2) นิทานเร่ืองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (2) Green Revolution เป็นศัพท์เทคนิคที่อดีต ผอ. USAID คิดขึ้น เขาบอกว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ดัดแปลงพันธุกรรมเมล็ดพันธ์พืช เพื่อให้โตไว เขานำไปใช้ทดลองกับการปลูกข้าวในอินเดีย เมื่อประมาณปี ค.ศ.1961 ซึ่งเป็นช่วงที่อินเดียกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร ข้าวพันธ์ุดังกล่าว ให้ผลผลิตเป็น 10 เท่า ของข้าวพันธ์ุธรรมดา แต่ต้องใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง คนอินเดียตาโตเห็นแต่ผลผลิต 10 เท่า อินเดียกลายเป็นประเทศส่งข้าวออกสูงอันดับต้นๆ คนขายพันธ์ุข้าวนับเงินเพลิน เพราะพันธ์ุข้าวนี้ต้องซื้อทุกครั้งที่ปลูก อย่าลืมบวกค่าปุ๋ยเคมี ค่ายาฆ่าแมลงด้วย แถมต้องทำระบบชลประทานด้วย ใครเป็นคนมาช่วยคิดช่วยทำ ใครขายเครื่องจักร คงพอนึกกันออก ฟิลิปปินส์ได้รับเกียรติเป็นหนูตะเภาตัวต่อมา โดยความอนุเคราะห์ของมูลนิธิ Ford และมูลนิธิ Rockefeller ได้จัดตั้งสถาบัน International Rice Research Institute (IRRI) ดัดแปลงข้าวข้ามสายพันธ์ุ เรียกว่า M 8 M 8 นี่ก็เหมือนกัน ต้องใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงมากมาย แต่ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธ์ุธรรมชาติ การใช้ข้าวพันธ์ M 8 ทำให้ฟิลิปปินส์กระโดดเป็นผู้ส่งออกข้าวเป็นครั้งแรก ในประมาณปี ค.ศ.1966 แต่การใช้ยาฆ่าแมลงอย่างแรง ทำให้ปลาและกบหลายพันธ์ุในนาข้าวตายเกลี้ยง Argentina เป็นอีกกรณีที่น่าสนใจ ได้รับเลือกเป็นหนูตะเภา แบบครบวงจร ในปี ค.ศ.1980 การทดลองพืช GMO ถึงขั้นเกือบสมบูรณ์ และนาย Carlos Menem ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี นาย Menem แน่นอน เป็นเด็กสร้างของตระกูล Rockefeller เขาเห็นพ้องทุกอย่างที่ ทางวอชิงตันและตระกูล Rockefeller เสนอ ถึงขนาดยอมให้เพื่อนของนาย David Rockefeller ที่อยู่แถววอชิงตัน ร่างแผนเศรษฐกิจประเทศให้ เป็นแผนเศรษฐกิจตามทฤษฎีที่ศึกษากันอยู่ในมหาวิทยาลัย Chicago เช่น การยกเลิกรัฐวิสาหกิจ การยกเลิกกฎระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคต่อทุนเสรี เปิดประตูให้การค้าเสรีเข้าสะดวก เอ๊ะ! นี่มันแผนพัฒนาเศรษฐกิจ แผนเปิดเสรี แบบที่สมันน้อยทำเลยนะ คนที่อ่านนิทานจิกโก๋ปากซอยมาแล้ว คงพอจำได้ Argentina เข้าสู่การปลูกพืช GMO อย่างจริงจัง ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลของตน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1996 ถึง ค.ศ.2004 หลังจากเปลี่ยนเป็นใช้พืช GMO ไปไม่กี่ปี ชาวไร่ ชาวนา ของ Argentina ก็เริ่มเป็นหนี้ ไม่มีปัญญาใช้หนี้เขาต้องขายหรือถูกยึดไร่นา แล้วต่างชาติก็เข้าไปกว้านซื้อไร่ ซื้อนา ในราคาถูก แสนถูก ทั้งหมดเกิดขึ้น ภายใน 10 ปี อ่านนิทานตอนนี้แล้ว ลองนึกถึงเรื่อง ปรส. กันบ้างไหม แม้ไม่ใช่เป็นอุปกรณ์เล่นกลเดียวกัน แต่ฉากเล่นกล มันไม่ต่างกันเท่าไหร่ คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 392 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เมล็ดพันธ์พิฆาต (1)

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (1)
    พวกเศรษฐีนักมายากล เล่นกลกันเป็นระบบ เมื่อเขากว้านซื้อไร่ ซื้อนา ในแถบละตินอเมริกาแล้ว อีกด้านหนึ่ง ก็ทุ่มทุนผ่านมูลนิธิ Rockefeller ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ ตามห้องทดลองเกือบ 50 แห่ง
    ในช่วงปี ค.ศ.1950 – 1960 ตระกูล Rockefeller ได้ทดลองการผสมพันธ์พืชใหม่ (hybrid) เมื่อเริ่มเห็นผลพอใช้ได้ก็จับมือ Cargill บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านธุรกิจเกษตร และพันธ์พืช ให้มาเป็นพันธมิตรแล้ว เริ่มทดลองเพาะข้าวโพดพันธ์ hybrid และนำมาทดลองปลูกในลาตินอเมริกา และต่อมาก็ทดลองกับพันธ์พืชต่างๆ ที่เรียกว่า GMO (genetic engineering food crops) โดยเฉพาะข้าว
    ซึ่งเศรษฐีนักมายากล ได้ดำเนินการให้แพร่หลายอยู่ในลาตินอเมริกา เม็กซิโก รวมทั้งเอเซีย เช่น อินเดีย และฟิลิปปินส์
    ทั้งหมดอยู่ภายใต้เป้าหมายที่แท้จริงของนักมายากล ที่จะควบคุมอาหาร สำหรับประชากรโลก (ที่สาม) ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ความมั่นคงของอเมริกา โดยปฏิบัติการไปพร้อมกับ เรื่องน้ำมันและอำนาจของกองทัพอเมริกา
    มันเป็นยุทธศาสตร์ของอเมริกาได้อย่างไร
    ไม่ยากสำหรับ นาย Nelson Rockefeller ซึ่งเป็นนักเล่นกลฉากนี้ เพราะรมว.ต่างประเทศของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ.1952 จนถึง ค.ศ.1979 ล้วนแต่เป็นคนที่ตระกูล Rockefeller สร้างมาทั้งนั้น เช่น นาย John Foster Dulles นาย Dean Rusk นาย Henry Kissinger และนาย Cyrus Vance
    ในปี ค.ศ. 1970 ร้อยละ 95 ของจำนวนธัญญพืชอยู่ในมือของ 6 บรรษัทข้ามชาติ Cargill Grain Company, Continental Grain Company, Cook Industries Inc., Dreyfus, Bunge Company และ Archer Daniel Midland ทั้งหมดเป็นบริษัทที่มีฐานอยู่ที่อเมริกา
    Cargill ใช้เวลาอยู่กว่า 2 ทศวรรษ ในการเปลี่ยนนโยบายการค้าของอเมริกา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อเมริกาสามารถครองตลาดโลกได้ ในธุรกิจการขายเมล็ดพันธ์เกษตร GMO ยาฆ่าแมลงและปุ๋ย และทำให้ชาวไร่ ชาวนา ทั่วโลก เปลี่ยนจากการทำเกษตรในครัวเรือน เป็นเกษตรอุตสาหกรรม และเป็นการเปลี่ยนเมล็ดพันธ์พืชที่ใช่ต่อเนื่องหมุนเวียนไปทุกฤดูกาล เป็น GMO เมล็ดพันธ์ุพืชที่ใช้ได้เพียงฤดูกาลเดียว ทั้งหมดนี้ เริ่มต้นตั้งแต่สมัยรัฐบาล Nixon
    บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Cargill อัดตลาดเกษตรด้วยพืช GMO ขยายตัวเกษตรอุตสาหกรรมด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืชเช่นนี้ไปทั่วโลก โดยเฉพาะโลกที่สาม ขณะเดียวกันก็บอกกับชาวไร่ชาวนาในประเทศโลกที่สามว่า ถ้าขืนทำการปลูกข้าว ธัญญพืช อื่นๆ รวมทั้งเลี้ยงสัตว์ด้วยพืชจากการเกษตรในครอบครัว ยูจะล่มจม เพราะไอจะอัดยูด้วย GMO เข้าใจมั้ย เพราะฉะนั้น ถ้ายูไม่ใช้เมล็ดพันธ์ุGMO พวกยูก็ไปทำไร่ผักสวนครัว ปลูกพริก หอม กระเทียม หรือ ปลูกกล้วย ปลูกอ้อย แทนแล้วกัน
    สำหรับโลกที่ 3 เมื่ออเมริกาส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO เข้าไปให้ มีแต่คนปรบมือ พวกเขาเรียก วิวัฒนาการดังกล่าวว่า Green Revolution มันควรจะได้รับการปรบมือแน่จริงหรือ มาทำความรู้จัก Green Revolution กันหน่อย

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เมล็ดพันธ์พิฆาต (1) นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (1) พวกเศรษฐีนักมายากล เล่นกลกันเป็นระบบ เมื่อเขากว้านซื้อไร่ ซื้อนา ในแถบละตินอเมริกาแล้ว อีกด้านหนึ่ง ก็ทุ่มทุนผ่านมูลนิธิ Rockefeller ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ ตามห้องทดลองเกือบ 50 แห่ง ในช่วงปี ค.ศ.1950 – 1960 ตระกูล Rockefeller ได้ทดลองการผสมพันธ์พืชใหม่ (hybrid) เมื่อเริ่มเห็นผลพอใช้ได้ก็จับมือ Cargill บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านธุรกิจเกษตร และพันธ์พืช ให้มาเป็นพันธมิตรแล้ว เริ่มทดลองเพาะข้าวโพดพันธ์ hybrid และนำมาทดลองปลูกในลาตินอเมริกา และต่อมาก็ทดลองกับพันธ์พืชต่างๆ ที่เรียกว่า GMO (genetic engineering food crops) โดยเฉพาะข้าว ซึ่งเศรษฐีนักมายากล ได้ดำเนินการให้แพร่หลายอยู่ในลาตินอเมริกา เม็กซิโก รวมทั้งเอเซีย เช่น อินเดีย และฟิลิปปินส์ ทั้งหมดอยู่ภายใต้เป้าหมายที่แท้จริงของนักมายากล ที่จะควบคุมอาหาร สำหรับประชากรโลก (ที่สาม) ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ความมั่นคงของอเมริกา โดยปฏิบัติการไปพร้อมกับ เรื่องน้ำมันและอำนาจของกองทัพอเมริกา มันเป็นยุทธศาสตร์ของอเมริกาได้อย่างไร ไม่ยากสำหรับ นาย Nelson Rockefeller ซึ่งเป็นนักเล่นกลฉากนี้ เพราะรมว.ต่างประเทศของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ.1952 จนถึง ค.ศ.1979 ล้วนแต่เป็นคนที่ตระกูล Rockefeller สร้างมาทั้งนั้น เช่น นาย John Foster Dulles นาย Dean Rusk นาย Henry Kissinger และนาย Cyrus Vance ในปี ค.ศ. 1970 ร้อยละ 95 ของจำนวนธัญญพืชอยู่ในมือของ 6 บรรษัทข้ามชาติ Cargill Grain Company, Continental Grain Company, Cook Industries Inc., Dreyfus, Bunge Company และ Archer Daniel Midland ทั้งหมดเป็นบริษัทที่มีฐานอยู่ที่อเมริกา Cargill ใช้เวลาอยู่กว่า 2 ทศวรรษ ในการเปลี่ยนนโยบายการค้าของอเมริกา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อเมริกาสามารถครองตลาดโลกได้ ในธุรกิจการขายเมล็ดพันธ์เกษตร GMO ยาฆ่าแมลงและปุ๋ย และทำให้ชาวไร่ ชาวนา ทั่วโลก เปลี่ยนจากการทำเกษตรในครัวเรือน เป็นเกษตรอุตสาหกรรม และเป็นการเปลี่ยนเมล็ดพันธ์พืชที่ใช่ต่อเนื่องหมุนเวียนไปทุกฤดูกาล เป็น GMO เมล็ดพันธ์ุพืชที่ใช้ได้เพียงฤดูกาลเดียว ทั้งหมดนี้ เริ่มต้นตั้งแต่สมัยรัฐบาล Nixon บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Cargill อัดตลาดเกษตรด้วยพืช GMO ขยายตัวเกษตรอุตสาหกรรมด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืชเช่นนี้ไปทั่วโลก โดยเฉพาะโลกที่สาม ขณะเดียวกันก็บอกกับชาวไร่ชาวนาในประเทศโลกที่สามว่า ถ้าขืนทำการปลูกข้าว ธัญญพืช อื่นๆ รวมทั้งเลี้ยงสัตว์ด้วยพืชจากการเกษตรในครอบครัว ยูจะล่มจม เพราะไอจะอัดยูด้วย GMO เข้าใจมั้ย เพราะฉะนั้น ถ้ายูไม่ใช้เมล็ดพันธ์ุGMO พวกยูก็ไปทำไร่ผักสวนครัว ปลูกพริก หอม กระเทียม หรือ ปลูกกล้วย ปลูกอ้อย แทนแล้วกัน สำหรับโลกที่ 3 เมื่ออเมริกาส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO เข้าไปให้ มีแต่คนปรบมือ พวกเขาเรียก วิวัฒนาการดังกล่าวว่า Green Revolution มันควรจะได้รับการปรบมือแน่จริงหรือ มาทำความรู้จัก Green Revolution กันหน่อย คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 346 Views 0 Reviews
  • เสื้อปุ๋ย เทรนด์ฮิตจากทุ่งนา

    เสื้อแขนยาวทั้งคอกลมและคอปก กลายเป็นเทรนด์ฮิตในหมู่คนที่ชื่นชอบวิถีชีวิตชนบทแบบเกษตรกร เมื่อวันก่อนเฟซบุ๊ก ปุ๋ยตราม้าบิน โพสต์ภาพระบุว่า "ใส่เสื้อหลักล้าน? เสื้อปุ๋ยธรรมดาที่ได้มากกว่าล้าน" กลายเป็นที่พูดถึงแก่ชาวเน็ต ถึงขนาด จ๋าย ไททศมิตร หรือ อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี ศิลปินเพลงป๊อปอินดี้เพื่อชีวิต คอมเมนต์ในเพจว่า "คิวว่าง พรีเซนเตอร์เข้าได้ครับ" และยังมีชาวเน็ตอีกส่วนหนึ่งเชียร์ให้จำหน่ายเสื้อ เพราะไม่ได้ซื้อปุ๋ยแต่อยากเท่กับเขาบ้าง แต่เนื่องจากเสื้อปุ๋ยม้าบินจะไม่มีจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แอดมินจึงแนะนำให้ติดตามข่าวสารและกิจกรรมจากเพจไปก่อน

    ขณะที่แพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ เริ่มมีผู้ขายโพสต์ขายเสื้อปุ๋ยบ้างแล้ว แต่ไม่พบว่าเป็นเสื้อลิขสิทธิ์แท้หรือของลอกเลียนแบบ เพราะโดยปกติแล้วเสื้อขายปุ๋ย ผู้จัดจำหน่ายจะแจกจ่ายให้ร้านค้าทางการเกษตร เพื่อนำไปสมนาคุณแก่ลูกค้าที่ซื้อปุ๋ยตามเงื่อนไข ซึ่งแต่ละครั้งเกษตรกรจะซื้อเป็นกระสอบ ยิ่งมีจำนวนไร่มากยิ่งต้องใช้ปุ๋ยมาก ต้องจ่ายในราคาที่แพงมาก โดยก่อนหน้านี้ เสื้อปุ๋ยตราม้าบินสีน้ำเงิน ถูกนำไปใช้ในมิวสิกวีดีโอเพลง ให้บุญนำพา ของ ไหมไทย หัวใจศิลป์ ที่นักแสดงนำชายอย่าง ยูโร พัชรพล รับบทเป็นชาวนา เผยแพร่ผ่านยูทูบเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2567 ปัจจุบันมียอดวิวมากกว่า 115 ล้านวิว

    อย่างไรก็ตาม ยังมีเพลงที่เกี่ยวข้องกับเสื้อปุ๋ย เฉกเช่นมิวสิกวีดีโอเพลง ผู้บ่าวเสื้อปุ๋ย ของศิลปินเพลงป็อปลูกทุ่ง ดิด คิตตี้ หรือ บัณฑิต ไพรบึง โดยมีท่อนฮุคระบุว่า "อ้ายใส่เสื้อปุ๋ยแถมมาน้องหล่า บ่มีปัญญาไปซื้อของห้าง หรูสุดแค่ข้าวกระเพราข้างทาง ดีแหน่กะพาหย่างตลาดนัดวันเสาร์" เผยแพร่ผ่านยูทูปเมื่อวันที่ 20 พ.ค.2568 ปัจจุบันมียอดวิวมากกว่า 56 ล้านวิว ไม่นับรวมถ่ายคลิปลงติ๊กต็อกหรือร้องเพลงคัฟเวอร์ แถมศิลปินยังใช้โอกาสนี้ขายเสื้อปุ๋ยคอปกสีแสดแบบเดียวกับในเอ็มวี สำหรับแฟนเพลงที่อยากได้ไว้ใส่ทำนา ทำสวน ทำไร่ หรือใส่ไปเที่ยว

    สำหรับเสื้อปุ๋ย นิยมทำเป็นเสื้อแขนยาวเพื่อใช้กันแดดที่แขน ผลิตจากใยสังเคราะห์หรือโพลีเอสเตอร์ ส่วนใหญ่จะเป็นผ้าทีเคหรือผ้าทีซี (ผสมคอตตอน 20%) ซึ่งราคาถูกที่สุด หรืออย่างดีขึ้นมาหน่อยจะเป็นผ้าไอบีหรือผ้าไมโคร ยิ่งสั่งผลิตจำนวนมากยิ่งราคาถูกลง แต่อายุการใช้งานขึ้นอยู่กับเนื้อผ้าและการซัก ที่ผ่านมามีมุกตลกที่ระบุว่า "ใครใส่เสื้อที่มีโลโก้ปุ๋ยแปลว่าเป็นคนมีตังค์" แม้จะเป็นเสื้อแถม แต่ต้องมียอดซื้อจำนวนมากถึงจะได้เสื้อฟรี สะท้อนให้เห็นว่า สังคมเกษตรกรรม เป็นรากฐานของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนไทยที่ขาดกันไม่ได้

    #Newskit

    (ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะเผยแพร่ใน Facebook และ IG วันจันทร์ที่ 18 ส.ค. 2568)
    เสื้อปุ๋ย เทรนด์ฮิตจากทุ่งนา เสื้อแขนยาวทั้งคอกลมและคอปก กลายเป็นเทรนด์ฮิตในหมู่คนที่ชื่นชอบวิถีชีวิตชนบทแบบเกษตรกร เมื่อวันก่อนเฟซบุ๊ก ปุ๋ยตราม้าบิน โพสต์ภาพระบุว่า "ใส่เสื้อหลักล้าน? เสื้อปุ๋ยธรรมดาที่ได้มากกว่าล้าน" กลายเป็นที่พูดถึงแก่ชาวเน็ต ถึงขนาด จ๋าย ไททศมิตร หรือ อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี ศิลปินเพลงป๊อปอินดี้เพื่อชีวิต คอมเมนต์ในเพจว่า "คิวว่าง พรีเซนเตอร์เข้าได้ครับ" และยังมีชาวเน็ตอีกส่วนหนึ่งเชียร์ให้จำหน่ายเสื้อ เพราะไม่ได้ซื้อปุ๋ยแต่อยากเท่กับเขาบ้าง แต่เนื่องจากเสื้อปุ๋ยม้าบินจะไม่มีจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แอดมินจึงแนะนำให้ติดตามข่าวสารและกิจกรรมจากเพจไปก่อน ขณะที่แพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ เริ่มมีผู้ขายโพสต์ขายเสื้อปุ๋ยบ้างแล้ว แต่ไม่พบว่าเป็นเสื้อลิขสิทธิ์แท้หรือของลอกเลียนแบบ เพราะโดยปกติแล้วเสื้อขายปุ๋ย ผู้จัดจำหน่ายจะแจกจ่ายให้ร้านค้าทางการเกษตร เพื่อนำไปสมนาคุณแก่ลูกค้าที่ซื้อปุ๋ยตามเงื่อนไข ซึ่งแต่ละครั้งเกษตรกรจะซื้อเป็นกระสอบ ยิ่งมีจำนวนไร่มากยิ่งต้องใช้ปุ๋ยมาก ต้องจ่ายในราคาที่แพงมาก โดยก่อนหน้านี้ เสื้อปุ๋ยตราม้าบินสีน้ำเงิน ถูกนำไปใช้ในมิวสิกวีดีโอเพลง ให้บุญนำพา ของ ไหมไทย หัวใจศิลป์ ที่นักแสดงนำชายอย่าง ยูโร พัชรพล รับบทเป็นชาวนา เผยแพร่ผ่านยูทูบเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2567 ปัจจุบันมียอดวิวมากกว่า 115 ล้านวิว อย่างไรก็ตาม ยังมีเพลงที่เกี่ยวข้องกับเสื้อปุ๋ย เฉกเช่นมิวสิกวีดีโอเพลง ผู้บ่าวเสื้อปุ๋ย ของศิลปินเพลงป็อปลูกทุ่ง ดิด คิตตี้ หรือ บัณฑิต ไพรบึง โดยมีท่อนฮุคระบุว่า "อ้ายใส่เสื้อปุ๋ยแถมมาน้องหล่า บ่มีปัญญาไปซื้อของห้าง หรูสุดแค่ข้าวกระเพราข้างทาง ดีแหน่กะพาหย่างตลาดนัดวันเสาร์" เผยแพร่ผ่านยูทูปเมื่อวันที่ 20 พ.ค.2568 ปัจจุบันมียอดวิวมากกว่า 56 ล้านวิว ไม่นับรวมถ่ายคลิปลงติ๊กต็อกหรือร้องเพลงคัฟเวอร์ แถมศิลปินยังใช้โอกาสนี้ขายเสื้อปุ๋ยคอปกสีแสดแบบเดียวกับในเอ็มวี สำหรับแฟนเพลงที่อยากได้ไว้ใส่ทำนา ทำสวน ทำไร่ หรือใส่ไปเที่ยว สำหรับเสื้อปุ๋ย นิยมทำเป็นเสื้อแขนยาวเพื่อใช้กันแดดที่แขน ผลิตจากใยสังเคราะห์หรือโพลีเอสเตอร์ ส่วนใหญ่จะเป็นผ้าทีเคหรือผ้าทีซี (ผสมคอตตอน 20%) ซึ่งราคาถูกที่สุด หรืออย่างดีขึ้นมาหน่อยจะเป็นผ้าไอบีหรือผ้าไมโคร ยิ่งสั่งผลิตจำนวนมากยิ่งราคาถูกลง แต่อายุการใช้งานขึ้นอยู่กับเนื้อผ้าและการซัก ที่ผ่านมามีมุกตลกที่ระบุว่า "ใครใส่เสื้อที่มีโลโก้ปุ๋ยแปลว่าเป็นคนมีตังค์" แม้จะเป็นเสื้อแถม แต่ต้องมียอดซื้อจำนวนมากถึงจะได้เสื้อฟรี สะท้อนให้เห็นว่า สังคมเกษตรกรรม เป็นรากฐานของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนไทยที่ขาดกันไม่ได้ #Newskit (ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะเผยแพร่ใน Facebook และ IG วันจันทร์ที่ 18 ส.ค. 2568)
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 492 Views 0 Reviews
  • “สุชาติ” เผย นบข.เคาะช่วยชาวนาไร่ละ 1,000 บ. ทั้งนาปรัง นาปี เพิ่มโควตาส่งออกข้าวอินทรีย์ไปยุโรป พร้อมตั้งทีมแก้ปัญหาพันธุ์ข้าวระยะยาว
    https://www.thai-tai.tv/news/20907/
    .
    #นบข #ช่วยเหลือชาวนา #ข้าวไทย #กระทรวงพาณิชย์ #ราคาข้าว #ไทยไท
    “สุชาติ” เผย นบข.เคาะช่วยชาวนาไร่ละ 1,000 บ. ทั้งนาปรัง นาปี เพิ่มโควตาส่งออกข้าวอินทรีย์ไปยุโรป พร้อมตั้งทีมแก้ปัญหาพันธุ์ข้าวระยะยาว https://www.thai-tai.tv/news/20907/ . #นบข #ช่วยเหลือชาวนา #ข้าวไทย #กระทรวงพาณิชย์ #ราคาข้าว #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews

  • ตอน 10
    พอมองออกบ้างหรือยัง เหตุการณ์ 14 ตุลา พ.ศ.2516 บ้านเรามันเกิดขึ้นมาเอง โดยขบวนการกดดันตามธรรมชาติ หรือมันมีคนแจกใบสั่ง แล้วลองกลับไปนึกถึงจอมพลคนแปลกดูอีกที มีอำนาจมา 10 ปี อยู่ดีๆ ก็ถูกรัฐประหาร มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ของการแย่งชิงอำนาจของนักการเมือง หรือมันเกิดจากความกดดันที่ไม่ใช่ตามธรรมชาติ
    ไทยแลนด์ แดนเนรมิต ที่คนไทยอยู่มาในช่วงปี พ.ศ.2490 จนถึง 14 ตุลา พ.ศ.2516 คนไทยรู้เรื่องและเข้าใจอะไรกันแค่ไหน ว่าของจริงๆ มันเป็นอย่างไร หรือมันเป็นโลกมายา ถูกสร้าง ถูกกำกับมา โดยใครกันบ้าง
    เราอยู่กับสิ่งที่เขายัดเยียดมาให้ตลอด จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทย เรามองเห็นแต่ความเป็นมิตรที่เขา ฉาบหน้ามาให้ ความนึกคิด ความฉลาด ความเก่ง แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ ระบบทุนนิยมเสรี การศึกษา และวัฒนธรรมให้กับเรา จนเราเกือบลืม หรือลืมไปแล้วว่า ความเป็นไทย วิถีไทยเป็นอย่างไร
    คนไทยคนไหนบ้างไม่รู้จักกางเกงยีน เชื่อว่า ถึงไม่มีไม่เคยใส่ ก็ต้องรู้จักทุกคน ทุกชาติทุกภาษาในโลกก็เรียก jean ยีน ยีน ยีน ใครไม่เคยดื่มโค้ก (Coke, Coca-Cola) อันนี้ไม่ได้ค่าโฆษณาแต่จำเป็นต้องเขียนถึง อย่างน้อยในชีวิตต้องเคยดื่มสักขวดน่า ปากกาลูกลื่นจำได้ไหม bic ด้ามเหลืองมาจากไหน ที่สำคัญวัฒนธรรมอเมริกันผ่านมากับหนังฮอลลีวู้ดทุกเรื่อง!
    อเมริกา เป็นนักวางแผนตัวพ่อ เมื่อจะใช้ไทยเป็นฐานทางเศรษฐกิจ ผลิตอุตสาหกรรม เผยแพร่ระบบทุนนิยมและใช้เป็นฐานทัพในกรณีจำเป็น เพื่อไม่ให้ไทยแลนด์แปลกหน้ากับอเมริกันชน เขาจึงต้องส่งวัฒนธรรมอเมริกันมาให้เรา ทั้งทางตรงและทางอ้อม เป็นกับดัก สมันน้อยที่สมบูรณ์ที่สุดของนักล่า
    ศัพท์พวกซีไอเอ เขาเรียกว่า soft power ถ้า hard power ก็ตัวใครตัวมันเน้อ ทางตรงอเมริกาส่งวัฒนธรรมของตน ผ่านการประชาสัมพันธ์โดยสำนักข่าว USIS ของรัฐบาลอเมริกัน ที่ทำหน้าที่คล้ายกับหอยม่วงบ้านเราน่ะ แต่ USIS เขามีประสิทธิภาพมากกว่าหอยม่วง หลายเท่า
    ข่าวที่ส่งออกมา ก็มีแต่ข่าวเกี่ยวกับอเมริกา อเมริกา อเมริกา ให้ชาวเรารู้จัก มีการแจกเอกสาร ใบปลิว สารพัด ที่สำคัญ อเมริกา ปลูกต้นไม้การศึกษาแบบ ฝั่งรากลึกให้กับชาวเรา โดยการให้ทุนฟูลไบรท์ ทุนฟอร์ดฯลฯ ถึงระดับปริญญาโท บางรายการถึงปริญญาเอก
    ส่วนวัยรุ่น อเมริกาก็ปลูกฝังผ่านโครงการ AFS (เด็กไทยก่อนจบม.ปลาย อายุประมาณ 18 ปี ให้ไปเรียนต่ออเมริกา 1 ปี กินฟรีอยู่ฟรีกับครอบครัวคนอเมริกัน จะได้กลับมาทำท่าเป็นเด็กอเมริกัน คิดเป็นเด็กอเมริกัน จะเอารายชื่อไหม ใครที่ผ่านทุนนี้ และตอนนี้อยู่ในขบวนรถ good boy good girl ของคุณพ่ออเมริกา) สมัยอเมริกาประกาศให้ทุน AFS ใหม่ๆ ชาวเราเห่อกันเหมือน พี่น้องเห่อโปรแกรม อเคเดมีแฟนตาเซีย เดอะวอยซ์ อะไรทำนองนั้น ลูกผู้ลากมากดี เศรษฐีเก่า เศรษฐีใหม่แห่กันไปสอบเพียบ
    นอกจากนี้อเมริกายังตั้งมูลนิธิ Asia Foundation มูลนิธินี้ให้ทุนอาจารย์ นักศึกษา สื่อฯลฯ ไปทำปริญญาโท เอก ที่อเมริกา แบบไม่มีข้อผูกพัน อาจารย์มหาวิทยาลัยดังๆ ศิษย์เก่าทุนนี้ทั้งนั้น ที่น่าสนใจหลายคน ไม่เอาสถาบัน!
    อเมริกา ยังจัดส่งวัฒนธรรมทางอ้อมมาให้  ด้วยการเอาความคุ้นเคย มาคลุก กับชาวบ้าน ผ่านหน่วย งานPeace Corp.
    พวกนี้หน้าฉากก็เข้าไปคลุกกับชาวบ้าน ช่วยสอนหนังสือ บางคนถึงกับลงทุนอยู่กับชาวไร่ ชาวนา แต่ของจริง ทุกคนมีหน้าที่ทำความรู้จักคนไทย ใส่ความเห็นที่อเมริกาต้องการให้เราเห็น ให้เราคิด เข้าไปในหัวของไทย พร้อมเติมผงชูรสยี่ห้ออเมริกันเข้าไปให้อีกด้วย…. ส่วนใหญ่พวกนี้สังกัด CIA
    เดี๋ยวนี้อดีต Peace Corp. หลายคนก็ยังอยู่ในไทย ฉากหน้าเปิดร้านอาหารบ้าง นักวิเคราะห์หุ้นบ้าง นักธุรกิจบ้าง อยากรู้จัก โน่น เดินเข้าไปใน Sports Club ถามหาพี่เจฟ หรือลุงคลอสเนอร์ แล้วกัน ฮ่า ฮ่า!
    ที่สำคัญ วิถีอเมริกันที่ไทยเราคุ้น ไม่มีอะไรเหนือไปกว่าหนังฮอลลีวู้ดที่เราเสพติด เขาสร้างให้เรารู้จักเรื่องราวของชนชาวอเมริกันและดารา แล้วเราติดตามข่าวพวกเขายิ่งกว่าข่าวญาติของเรา
    อย่าเข้าใจผิด นิทานเรื่องนี้ไม่ได้สอนให้เกลียดอเมริกา แต่อยากให้รู้จักเขาจริงๆ
    คนเราจะคบ จะรัก จะชอบ ต้องรู้จักเขาก่อน ว่าจริง ๆ เขาเป็นอย่างไร และที่สำคัญเขามองเรา อย่างไร ต้องการอะไรจากเรา จริงใจกับเราแค่ไหน จะได้ไม่เพ้อเจ้อเข้าใจผิด
    รู้ว่าควรจะคบเขาแค่ไหน และอย่างไร

    คนเล่านิทาน
     ตอน 10 พอมองออกบ้างหรือยัง เหตุการณ์ 14 ตุลา พ.ศ.2516 บ้านเรามันเกิดขึ้นมาเอง โดยขบวนการกดดันตามธรรมชาติ หรือมันมีคนแจกใบสั่ง แล้วลองกลับไปนึกถึงจอมพลคนแปลกดูอีกที มีอำนาจมา 10 ปี อยู่ดีๆ ก็ถูกรัฐประหาร มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ของการแย่งชิงอำนาจของนักการเมือง หรือมันเกิดจากความกดดันที่ไม่ใช่ตามธรรมชาติ ไทยแลนด์ แดนเนรมิต ที่คนไทยอยู่มาในช่วงปี พ.ศ.2490 จนถึง 14 ตุลา พ.ศ.2516 คนไทยรู้เรื่องและเข้าใจอะไรกันแค่ไหน ว่าของจริงๆ มันเป็นอย่างไร หรือมันเป็นโลกมายา ถูกสร้าง ถูกกำกับมา โดยใครกันบ้าง เราอยู่กับสิ่งที่เขายัดเยียดมาให้ตลอด จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทย เรามองเห็นแต่ความเป็นมิตรที่เขา ฉาบหน้ามาให้ ความนึกคิด ความฉลาด ความเก่ง แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ ระบบทุนนิยมเสรี การศึกษา และวัฒนธรรมให้กับเรา จนเราเกือบลืม หรือลืมไปแล้วว่า ความเป็นไทย วิถีไทยเป็นอย่างไร คนไทยคนไหนบ้างไม่รู้จักกางเกงยีน เชื่อว่า ถึงไม่มีไม่เคยใส่ ก็ต้องรู้จักทุกคน ทุกชาติทุกภาษาในโลกก็เรียก jean ยีน ยีน ยีน ใครไม่เคยดื่มโค้ก (Coke, Coca-Cola) อันนี้ไม่ได้ค่าโฆษณาแต่จำเป็นต้องเขียนถึง อย่างน้อยในชีวิตต้องเคยดื่มสักขวดน่า ปากกาลูกลื่นจำได้ไหม bic ด้ามเหลืองมาจากไหน ที่สำคัญวัฒนธรรมอเมริกันผ่านมากับหนังฮอลลีวู้ดทุกเรื่อง! อเมริกา เป็นนักวางแผนตัวพ่อ เมื่อจะใช้ไทยเป็นฐานทางเศรษฐกิจ ผลิตอุตสาหกรรม เผยแพร่ระบบทุนนิยมและใช้เป็นฐานทัพในกรณีจำเป็น เพื่อไม่ให้ไทยแลนด์แปลกหน้ากับอเมริกันชน เขาจึงต้องส่งวัฒนธรรมอเมริกันมาให้เรา ทั้งทางตรงและทางอ้อม เป็นกับดัก สมันน้อยที่สมบูรณ์ที่สุดของนักล่า ศัพท์พวกซีไอเอ เขาเรียกว่า soft power ถ้า hard power ก็ตัวใครตัวมันเน้อ ทางตรงอเมริกาส่งวัฒนธรรมของตน ผ่านการประชาสัมพันธ์โดยสำนักข่าว USIS ของรัฐบาลอเมริกัน ที่ทำหน้าที่คล้ายกับหอยม่วงบ้านเราน่ะ แต่ USIS เขามีประสิทธิภาพมากกว่าหอยม่วง หลายเท่า ข่าวที่ส่งออกมา ก็มีแต่ข่าวเกี่ยวกับอเมริกา อเมริกา อเมริกา ให้ชาวเรารู้จัก มีการแจกเอกสาร ใบปลิว สารพัด ที่สำคัญ อเมริกา ปลูกต้นไม้การศึกษาแบบ ฝั่งรากลึกให้กับชาวเรา โดยการให้ทุนฟูลไบรท์ ทุนฟอร์ดฯลฯ ถึงระดับปริญญาโท บางรายการถึงปริญญาเอก ส่วนวัยรุ่น อเมริกาก็ปลูกฝังผ่านโครงการ AFS (เด็กไทยก่อนจบม.ปลาย อายุประมาณ 18 ปี ให้ไปเรียนต่ออเมริกา 1 ปี กินฟรีอยู่ฟรีกับครอบครัวคนอเมริกัน จะได้กลับมาทำท่าเป็นเด็กอเมริกัน คิดเป็นเด็กอเมริกัน จะเอารายชื่อไหม ใครที่ผ่านทุนนี้ และตอนนี้อยู่ในขบวนรถ good boy good girl ของคุณพ่ออเมริกา) สมัยอเมริกาประกาศให้ทุน AFS ใหม่ๆ ชาวเราเห่อกันเหมือน พี่น้องเห่อโปรแกรม อเคเดมีแฟนตาเซีย เดอะวอยซ์ อะไรทำนองนั้น ลูกผู้ลากมากดี เศรษฐีเก่า เศรษฐีใหม่แห่กันไปสอบเพียบ นอกจากนี้อเมริกายังตั้งมูลนิธิ Asia Foundation มูลนิธินี้ให้ทุนอาจารย์ นักศึกษา สื่อฯลฯ ไปทำปริญญาโท เอก ที่อเมริกา แบบไม่มีข้อผูกพัน อาจารย์มหาวิทยาลัยดังๆ ศิษย์เก่าทุนนี้ทั้งนั้น ที่น่าสนใจหลายคน ไม่เอาสถาบัน! อเมริกา ยังจัดส่งวัฒนธรรมทางอ้อมมาให้  ด้วยการเอาความคุ้นเคย มาคลุก กับชาวบ้าน ผ่านหน่วย งานPeace Corp. พวกนี้หน้าฉากก็เข้าไปคลุกกับชาวบ้าน ช่วยสอนหนังสือ บางคนถึงกับลงทุนอยู่กับชาวไร่ ชาวนา แต่ของจริง ทุกคนมีหน้าที่ทำความรู้จักคนไทย ใส่ความเห็นที่อเมริกาต้องการให้เราเห็น ให้เราคิด เข้าไปในหัวของไทย พร้อมเติมผงชูรสยี่ห้ออเมริกันเข้าไปให้อีกด้วย…. ส่วนใหญ่พวกนี้สังกัด CIA เดี๋ยวนี้อดีต Peace Corp. หลายคนก็ยังอยู่ในไทย ฉากหน้าเปิดร้านอาหารบ้าง นักวิเคราะห์หุ้นบ้าง นักธุรกิจบ้าง อยากรู้จัก โน่น เดินเข้าไปใน Sports Club ถามหาพี่เจฟ หรือลุงคลอสเนอร์ แล้วกัน ฮ่า ฮ่า! ที่สำคัญ วิถีอเมริกันที่ไทยเราคุ้น ไม่มีอะไรเหนือไปกว่าหนังฮอลลีวู้ดที่เราเสพติด เขาสร้างให้เรารู้จักเรื่องราวของชนชาวอเมริกันและดารา แล้วเราติดตามข่าวพวกเขายิ่งกว่าข่าวญาติของเรา อย่าเข้าใจผิด นิทานเรื่องนี้ไม่ได้สอนให้เกลียดอเมริกา แต่อยากให้รู้จักเขาจริงๆ คนเราจะคบ จะรัก จะชอบ ต้องรู้จักเขาก่อน ว่าจริง ๆ เขาเป็นอย่างไร และที่สำคัญเขามองเรา อย่างไร ต้องการอะไรจากเรา จริงใจกับเราแค่ไหน จะได้ไม่เพ้อเจ้อเข้าใจผิด รู้ว่าควรจะคบเขาแค่ไหน และอย่างไร คนเล่านิทาน
    3 Comments 0 Shares 534 Views 0 Reviews
  • ..บ้าไปแล้ว 200,000ล้านนะ ไม่น้อยเลย,อุ้มเจ้าสัวกินเปล่าอะไรขนาดนั้น,อุ้มต่างชาติมาเปิดโรงงานในไทยอีก,ชาวนาขาวเกษตรกรยังไม่เยอะขนาดนี้เลย,2แสนล้านนี้ดูว่าเข้าบัญชีใครบ้างคงจะรู้ไม่ยาก,อนาถจริงๆกับการชดเชยพวกเจ้าสัวนี้,เวลาฟันกำไรจนร่ำรวยติดอันดับต้นๆของประเทศไทย มันเคยชดเชยเยียวยาผลกำไรกลับคลังหลวงของประเทศมั้ย,นี้คือกลไกปกครองที่ผีบ้ามา,กิจการเจ้าสัวจะตายห่าไม่ได้อุ้มด้วยตังภาษีประเทศเสมอและอ้างเอาประชาชนว่าเดือดร้อนอย่างนั้นอย่างนี้สาระพัด.
    ..https://youtu.be/-WkkVE31_zA?si=6wcvCae_wkwRi8r3
    ..บ้าไปแล้ว 200,000ล้านนะ ไม่น้อยเลย,อุ้มเจ้าสัวกินเปล่าอะไรขนาดนั้น,อุ้มต่างชาติมาเปิดโรงงานในไทยอีก,ชาวนาขาวเกษตรกรยังไม่เยอะขนาดนี้เลย,2แสนล้านนี้ดูว่าเข้าบัญชีใครบ้างคงจะรู้ไม่ยาก,อนาถจริงๆกับการชดเชยพวกเจ้าสัวนี้,เวลาฟันกำไรจนร่ำรวยติดอันดับต้นๆของประเทศไทย มันเคยชดเชยเยียวยาผลกำไรกลับคลังหลวงของประเทศมั้ย,นี้คือกลไกปกครองที่ผีบ้ามา,กิจการเจ้าสัวจะตายห่าไม่ได้อุ้มด้วยตังภาษีประเทศเสมอและอ้างเอาประชาชนว่าเดือดร้อนอย่างนั้นอย่างนี้สาระพัด. ..https://youtu.be/-WkkVE31_zA?si=6wcvCae_wkwRi8r3
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • #เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?
    #12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง

    สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว

    เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย

    บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย

    จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน

    นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์

    ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”

    การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

    การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย

    ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน

    อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน

    “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ”

    แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง

    นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย

    ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ

    ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา

    ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา

    เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย

    แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?

    คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น

    ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม?

    นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป

    โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก

    แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ

    โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้

    ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"

    โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด

    ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

    ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ

    หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก

    แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ

    ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา

    ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง"

    คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า

    หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้

    ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย

    ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ

    การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้

    ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา

    การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น

    ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน

    การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้

    แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด

    จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง

    สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา

    การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน

    นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย

    เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน

    โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า

    กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ
    🤠#เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?🤠 🤠#12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง🤠 สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์ 🥰ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”🥰 การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ” แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย 🥰แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?🥰 คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น 🥰ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม? 🥰 นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้ 🥰ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"🥰 โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง" คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า 🥰หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้🥰 ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้ 🥰ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา🥰 การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด 🥰จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง🥰 สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน 💓โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า💓 😍กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ😍
    0 Comments 0 Shares 851 Views 0 Reviews
  • ..การปกครองที่ทำให้ชาวนายากจน,เพราะไม่เคยส่งเสริมและควบคุมต้นทุนการผลิตของชาวนาชาวเกษตรให้ถูกราคาไม่แพงให้แก่ชาวนาได้เลย,อำนวยสร้างให้เอกชนกอบโกยกำไรจากภาคชาวนาตลอดเวลา,ปุ๋ยคือตัวอย่างที่ดีอีกตัวอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่ารัฐไทยตน คือศัตรูของชาวนาตัวจริง,ยิวอิสราเอลว่าเหี้ยที่ทำสงครามสังหารชาติอื่นทั้งทางตรงหรือทางอ้อมแต่ประเทศเขาสามารถส่งเสริมให้ชาวเกษตรเขาซื้อปุ๋ยในราคาไม่แพงได้ถูกๆสบายๆนะ,ต่างจากไทยเอกชนอ้างนั้นนี้สาระพัดหมายอัพราคาอย่างสบายใจง่ายๆบนฐานความทุกข์ยากของชาวนา ส่งผลคือความมั่นคงทางผลผลิตได้ไม่เต็มที่ นั้นคือเอกชนเหล่านี้เสมือนตัวทำลายความมั่นคงทางอาหารแก่ประเทศไทยด้วย อาหารไม่พออยู่พอกินนั้นเอง ,ทำให้อาหารราคาแพงด้วย,ตนเอกชนก็ขายได้ราคาดีอาจภัยพิบัติอื่นกลบหน้าอีก แบบวูบตายจากวัคซีนก็ว่า หัวใจขาดเลือด เส้นเลือดในสมองแตกก็อ้างบาลีมูลหลักไปประมาณนั้น,
    ..จึงต้องเปลี่ยนนายกฯเป็นนายกฯพระราชทานจริงๆ.ซึ่งเชื่อว่าต้องเป็นคนดีมาช่วยประเทศชาตินั้นเอง.

    https://youtu.be/QBtbuJ7xTRU?si=vfXnjAkdR4F86rc8
    ..การปกครองที่ทำให้ชาวนายากจน,เพราะไม่เคยส่งเสริมและควบคุมต้นทุนการผลิตของชาวนาชาวเกษตรให้ถูกราคาไม่แพงให้แก่ชาวนาได้เลย,อำนวยสร้างให้เอกชนกอบโกยกำไรจากภาคชาวนาตลอดเวลา,ปุ๋ยคือตัวอย่างที่ดีอีกตัวอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่ารัฐไทยตน คือศัตรูของชาวนาตัวจริง,ยิวอิสราเอลว่าเหี้ยที่ทำสงครามสังหารชาติอื่นทั้งทางตรงหรือทางอ้อมแต่ประเทศเขาสามารถส่งเสริมให้ชาวเกษตรเขาซื้อปุ๋ยในราคาไม่แพงได้ถูกๆสบายๆนะ,ต่างจากไทยเอกชนอ้างนั้นนี้สาระพัดหมายอัพราคาอย่างสบายใจง่ายๆบนฐานความทุกข์ยากของชาวนา ส่งผลคือความมั่นคงทางผลผลิตได้ไม่เต็มที่ นั้นคือเอกชนเหล่านี้เสมือนตัวทำลายความมั่นคงทางอาหารแก่ประเทศไทยด้วย อาหารไม่พออยู่พอกินนั้นเอง ,ทำให้อาหารราคาแพงด้วย,ตนเอกชนก็ขายได้ราคาดีอาจภัยพิบัติอื่นกลบหน้าอีก แบบวูบตายจากวัคซีนก็ว่า หัวใจขาดเลือด เส้นเลือดในสมองแตกก็อ้างบาลีมูลหลักไปประมาณนั้น, ..จึงต้องเปลี่ยนนายกฯเป็นนายกฯพระราชทานจริงๆ.ซึ่งเชื่อว่าต้องเป็นคนดีมาช่วยประเทศชาตินั้นเอง. https://youtu.be/QBtbuJ7xTRU?si=vfXnjAkdR4F86rc8
    0 Comments 0 Shares 450 Views 0 Reviews

  • ..นักวิชาการมากมายเป็ยฝ่ายมืดแอบแฝงมิน้อย มีแต่คนเก่งๆทั้งนั้นและสามารถชี้นำสังคมได้โดยปูทางให้สามารถเข้ามามีชื่อเสียงรอไว้ในอดีตก็มาก ปะปนในทุกๆวงการทั่วไทยโดยเฉพาะศูนย์กลางอำนาจ.
    ..ส่วนตัวก็ติดตามท่านมาสักพักช่วงหนึ่งนานมาแล้ว แต่หลังๆแปลกๆบอกไม่ถูก เชียร์พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศสุดๆ ซึ่งฝ่ายแสงต่างเห็นต่างชัดเจนทั่วโลก เผลอโน้นโลกเย็นลงต่างหากและถ้าประเทศไทยไม่เตรียมรับมือเราอาจหนาวตายแน่นอนติดลบกว่า-200องศากันเลย เลยเริ่มลุกลามคุกคามมาเรื่อยๆในตอนบนของไทย ยุโรปหลายประเทศติดลบกว่า60-70องศาแล้วซึ่งเขาอยู่มมาตลอดชีวิตยังยืนยันว่าหนาวผิดปกติ,HAARPสามารถสร้างสาระพัดต่างๆได้หมดก็ด้วย,รวมภัยธรรมชาติพื้นฐานซ้ำเติมด้วยที่ฝ่ายมืดทำให้ทั่วโลกเสียสมดุลจากการรบกวนชั้นบรรยากาศโลกด้วยความถี่คลื่นสาระพัดอย่าง,ใต้ดินอีกเครื่องทำแผ่นดินไหวก็ด้วยกระจายทั่วโลกของฝ่ายมืดใต้เปลือกโลก,จึงน่าจะสมคบคิดบิดเบือนมากกว่า สมมุติฐานมโนให้เข้าใจง่ายๆคือจีนนำร่องเตรียมดวงอาทิตย์เทียมแล้วซึ่งแน่นอนจีนท่องเวลาผ่านประตูมิติไปเห็นอนาคตมาแล้ว แล้วกลับมารับมือในไทม์ไลน์ที่จะมาถึงเร็วๆนี้,และเรา..ประเทศไทยก็ร่วมมือกับจีนได้รับการถ่ายทอดสิ่งนี้ด้วย จนมีข่าวการสร้างดวงอาทิตย์เทียมในไทยถึงว่าเข้าขั้นสำเร็จได้ไม่ยากด้วย วิสัยทัศน์พระมหากษัตริย์เราและความสัมพันธ์อันดีกับจีนดีเรื่อยมาจึงมีสิ่งดีๆนี้เกิดขึ้นเพื่อปกป้องคนไทยเราหรือทั้งอาเชียนมิให้หนาวตายด้วยดวงอาทิตย์เทียม,จีนก็ดูแลฝั่งตะวันออก,เราก็ดูแลฝั่งเอเชียกลางเป็นต้น,ตลอดอนาคตเราเข้าเป็นสมาชิกสภากาแล็กติกอย่างเป็นทางการอาจสาระพัดการช่วยเหลือจะมากมายกว่านี้,นี้ก็เข้าเป็นสมาชิกกองทัพพิทักษ์โลกแล้ว สามารถสร้างยานบินอวกาศในไทยได้สบายหรืออนาคตไทยเราจะเป็นฮับฐานหลักอีกที่ในการเป็นประเทศที่ผลิตยานบินอวกาศนั้นเอง.,เรามีนักวิชาการที่บิดเบือนทำคนไทยให้หลงทางมากเกินไปจริงๆ,ไม่มีความจริงใจอะไรในความซื่อสัตย์เลย,น่าผิดหวังมากๆ,ยุคใหม่ไม่สมควรมีนักวิชาการที่รับใช้ฝ่ายมืดในประเทศจริงๆ,พรบ.คาร์บอนเครดิตดีๆนี้ล่ะ,เครือข่ายกิจการเจ้าสัวในไทยของสมุนขี้ข้าซาตานประจำประเทศไทยต่างเตรียมพร้อมกอบโกยรับมือสิมิว่า,ปั่นเครดิตคาร์บอนตรึม,ปล่อยกู้เครดิตคาร์บอนอีก,ทำธุรกรรมใดๆคนไทยต้องมีเครดิตคาร์บอน,ลาพักเที่ยวมี10เครดิตคาร์บอนเที่ยวได้2วันก็ว่าโน้น,ชาวนาตอนแรกใช้ป่าเป็นเครดิตคาร์บอนรับฟรีที่100เครดิตต่อไร่,แต่จะทำนาทำสวนต้องจ่าย150เครดิตคาร์บอนจึงมีสถานะได้ใบอนุญาตทำนาทำสวนทำไร่ได้โน้น,กู้ตังกูเครดิตคาร์บอนเพิ่มจากแบงค์ซาตานแบบเดิมที่ประชาชนกู้ตังนั้นล่ะ,มันแจกจ่ายให้เครดิตคาร์บอนแต่ละแบงค์รอเหยื่อโง่ๆแบบมนุษย์ในยุคใหม่นี้ล่ะ หากินมุกๆใหม่ๆ,อาจแจกให้แบงค์ละ1ล้านล้านเครดิตคาร์บอนฟรีๆแบบในเครือมันตาอเมริกาในอดีตพิมพ์ตังขึ้นมาเองไร้ทองคำค้ำประกันนั้นล่ะ,ซวยคือประชาชนนี้ล่ะ,จะเลี้ยงแมวที่มีชีวิตหมาที่มีชีวิตต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการเลี้ยงหมาแมวต่อปีที่ตัวละ300เครดิตคาร์บอนเพราะปลดปล่อยคาร์บอนมากไป,แล้วก็มนุษย์เองก็ต้องจ่ายเครดิตคาร์บอนค่าหายใจค่าตดออกมาปลดปล่อยคาร์บอนออกมาก็ว่าเฉลี่ยต่อปีคนละ10,000เครดิตคาร์บอน,นี้คือวิธีวิถีควบคุมมนุษย์ในอนาคตยุคใหม่หรือทาสมนุษย์ผ่านเครดิตคาร์บอนหรือพรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนั้นล่ะ ใน17ประกาศของแผนagenda2030นั้น,สังเกตุสิ ผลัดดันเพศสีรุ่งเต็มที่มั้ยเพราะมันก็คือ1ใน17ประการแผนนโยบายหลักมันด้วย.,พรบ.นี้จริงๆต้องฉีกทำลายทิ้งทันที,นัยยะทาสทั้งประเทศชัดเจนรวมถึงจับกุมสถาบันกษัตริย์ไปร่วมเป็นทาสใต้ระบบมันด้วย.พวกนี้ธรรมดาที่ไหน.,พรบ.นี้คือแม่บนของทุกๆประการ ตัวหลักในการจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนไทยทั้งหมดและคนทั่วโลก มันจึงส่งออกให้ถึงประเทศไปทำให้สำเร็จ,เทียบกบฎ2475ก็ไม่ต่างกัน รับงานมาเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองวิถีชีวิตของประเทศนั้นๆ เช่น จีนก็ส่งออกระบบคอมมิวนิสต์ให้เพราะประเทศใหญ่โตควบคุมต้องเด็ดขาด ไทยประเทศเล็กๆส่งออกให้มันใส่เป็นระบบประชาธิปไตยแทน,สมุนขี้ข้าคณะกบฎ2475จึงรับงานมาทำ จีนก็สำเร็จแบบจีน ไทยก็สำเร็จแบบไทยจนถึงปัจจุบัน เป็นต้น คำตอบขี้ข้าที่ถูกต้องและชัดเจนว่า ไม่ว่านายกฯคนไหนขึ้นบริหารล้วนคือคนของมัน ไม่แตะบ่อน้ำมันเลยที่มันเอาไปทำสาระพัดประโยชน์กำไร,และต้องรีบเร่งแจกจ่ายอยู่เนื่องๆหรือยกให้พวกมันชนิดให้ฟรีๆสไตล์ทาสใต้ปกครองนั้นล่ะ,ค่าภาคหลวงน้อยนิด,เนื้อปิโตรเลียมใดๆก็ไม่มีเป็นของตนเองจริง,มโนแค่ผักชีโชว์หรูวลีข้อความเท็จเท่านั้น,ราคาน้ำมันถ้าเป็นของตนเองต้องกำหนดและควบคุมราคาได้,แต่ถึงปัจจุบันไม่มีฝีมือความสามารถอะไร,มันสั่งไม่กี่คำ ขึ้นลงเป็นว่าเล่นนั้นเอง,คือทำกำไรปั่นกำไรในsetง่ายๆนั้นเอง.
    ..นี้คือวิถีปกครองที่พังจริงล้มเหลวจริงทั้งระบบ.

    https://youtu.be/2zua862k5MQ?si=7V9N5o9jQtfLN43H
    ..นักวิชาการมากมายเป็ยฝ่ายมืดแอบแฝงมิน้อย มีแต่คนเก่งๆทั้งนั้นและสามารถชี้นำสังคมได้โดยปูทางให้สามารถเข้ามามีชื่อเสียงรอไว้ในอดีตก็มาก ปะปนในทุกๆวงการทั่วไทยโดยเฉพาะศูนย์กลางอำนาจ. ..ส่วนตัวก็ติดตามท่านมาสักพักช่วงหนึ่งนานมาแล้ว แต่หลังๆแปลกๆบอกไม่ถูก เชียร์พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศสุดๆ ซึ่งฝ่ายแสงต่างเห็นต่างชัดเจนทั่วโลก เผลอโน้นโลกเย็นลงต่างหากและถ้าประเทศไทยไม่เตรียมรับมือเราอาจหนาวตายแน่นอนติดลบกว่า-200องศากันเลย เลยเริ่มลุกลามคุกคามมาเรื่อยๆในตอนบนของไทย ยุโรปหลายประเทศติดลบกว่า60-70องศาแล้วซึ่งเขาอยู่มมาตลอดชีวิตยังยืนยันว่าหนาวผิดปกติ,HAARPสามารถสร้างสาระพัดต่างๆได้หมดก็ด้วย,รวมภัยธรรมชาติพื้นฐานซ้ำเติมด้วยที่ฝ่ายมืดทำให้ทั่วโลกเสียสมดุลจากการรบกวนชั้นบรรยากาศโลกด้วยความถี่คลื่นสาระพัดอย่าง,ใต้ดินอีกเครื่องทำแผ่นดินไหวก็ด้วยกระจายทั่วโลกของฝ่ายมืดใต้เปลือกโลก,จึงน่าจะสมคบคิดบิดเบือนมากกว่า สมมุติฐานมโนให้เข้าใจง่ายๆคือจีนนำร่องเตรียมดวงอาทิตย์เทียมแล้วซึ่งแน่นอนจีนท่องเวลาผ่านประตูมิติไปเห็นอนาคตมาแล้ว แล้วกลับมารับมือในไทม์ไลน์ที่จะมาถึงเร็วๆนี้,และเรา..ประเทศไทยก็ร่วมมือกับจีนได้รับการถ่ายทอดสิ่งนี้ด้วย จนมีข่าวการสร้างดวงอาทิตย์เทียมในไทยถึงว่าเข้าขั้นสำเร็จได้ไม่ยากด้วย วิสัยทัศน์พระมหากษัตริย์เราและความสัมพันธ์อันดีกับจีนดีเรื่อยมาจึงมีสิ่งดีๆนี้เกิดขึ้นเพื่อปกป้องคนไทยเราหรือทั้งอาเชียนมิให้หนาวตายด้วยดวงอาทิตย์เทียม,จีนก็ดูแลฝั่งตะวันออก,เราก็ดูแลฝั่งเอเชียกลางเป็นต้น,ตลอดอนาคตเราเข้าเป็นสมาชิกสภากาแล็กติกอย่างเป็นทางการอาจสาระพัดการช่วยเหลือจะมากมายกว่านี้,นี้ก็เข้าเป็นสมาชิกกองทัพพิทักษ์โลกแล้ว สามารถสร้างยานบินอวกาศในไทยได้สบายหรืออนาคตไทยเราจะเป็นฮับฐานหลักอีกที่ในการเป็นประเทศที่ผลิตยานบินอวกาศนั้นเอง.,เรามีนักวิชาการที่บิดเบือนทำคนไทยให้หลงทางมากเกินไปจริงๆ,ไม่มีความจริงใจอะไรในความซื่อสัตย์เลย,น่าผิดหวังมากๆ,ยุคใหม่ไม่สมควรมีนักวิชาการที่รับใช้ฝ่ายมืดในประเทศจริงๆ,พรบ.คาร์บอนเครดิตดีๆนี้ล่ะ,เครือข่ายกิจการเจ้าสัวในไทยของสมุนขี้ข้าซาตานประจำประเทศไทยต่างเตรียมพร้อมกอบโกยรับมือสิมิว่า,ปั่นเครดิตคาร์บอนตรึม,ปล่อยกู้เครดิตคาร์บอนอีก,ทำธุรกรรมใดๆคนไทยต้องมีเครดิตคาร์บอน,ลาพักเที่ยวมี10เครดิตคาร์บอนเที่ยวได้2วันก็ว่าโน้น,ชาวนาตอนแรกใช้ป่าเป็นเครดิตคาร์บอนรับฟรีที่100เครดิตต่อไร่,แต่จะทำนาทำสวนต้องจ่าย150เครดิตคาร์บอนจึงมีสถานะได้ใบอนุญาตทำนาทำสวนทำไร่ได้โน้น,กู้ตังกูเครดิตคาร์บอนเพิ่มจากแบงค์ซาตานแบบเดิมที่ประชาชนกู้ตังนั้นล่ะ,มันแจกจ่ายให้เครดิตคาร์บอนแต่ละแบงค์รอเหยื่อโง่ๆแบบมนุษย์ในยุคใหม่นี้ล่ะ หากินมุกๆใหม่ๆ,อาจแจกให้แบงค์ละ1ล้านล้านเครดิตคาร์บอนฟรีๆแบบในเครือมันตาอเมริกาในอดีตพิมพ์ตังขึ้นมาเองไร้ทองคำค้ำประกันนั้นล่ะ,ซวยคือประชาชนนี้ล่ะ,จะเลี้ยงแมวที่มีชีวิตหมาที่มีชีวิตต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการเลี้ยงหมาแมวต่อปีที่ตัวละ300เครดิตคาร์บอนเพราะปลดปล่อยคาร์บอนมากไป,แล้วก็มนุษย์เองก็ต้องจ่ายเครดิตคาร์บอนค่าหายใจค่าตดออกมาปลดปล่อยคาร์บอนออกมาก็ว่าเฉลี่ยต่อปีคนละ10,000เครดิตคาร์บอน,นี้คือวิธีวิถีควบคุมมนุษย์ในอนาคตยุคใหม่หรือทาสมนุษย์ผ่านเครดิตคาร์บอนหรือพรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนั้นล่ะ ใน17ประกาศของแผนagenda2030นั้น,สังเกตุสิ ผลัดดันเพศสีรุ่งเต็มที่มั้ยเพราะมันก็คือ1ใน17ประการแผนนโยบายหลักมันด้วย.,พรบ.นี้จริงๆต้องฉีกทำลายทิ้งทันที,นัยยะทาสทั้งประเทศชัดเจนรวมถึงจับกุมสถาบันกษัตริย์ไปร่วมเป็นทาสใต้ระบบมันด้วย.พวกนี้ธรรมดาที่ไหน.,พรบ.นี้คือแม่บนของทุกๆประการ ตัวหลักในการจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนไทยทั้งหมดและคนทั่วโลก มันจึงส่งออกให้ถึงประเทศไปทำให้สำเร็จ,เทียบกบฎ2475ก็ไม่ต่างกัน รับงานมาเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองวิถีชีวิตของประเทศนั้นๆ เช่น จีนก็ส่งออกระบบคอมมิวนิสต์ให้เพราะประเทศใหญ่โตควบคุมต้องเด็ดขาด ไทยประเทศเล็กๆส่งออกให้มันใส่เป็นระบบประชาธิปไตยแทน,สมุนขี้ข้าคณะกบฎ2475จึงรับงานมาทำ จีนก็สำเร็จแบบจีน ไทยก็สำเร็จแบบไทยจนถึงปัจจุบัน เป็นต้น คำตอบขี้ข้าที่ถูกต้องและชัดเจนว่า ไม่ว่านายกฯคนไหนขึ้นบริหารล้วนคือคนของมัน ไม่แตะบ่อน้ำมันเลยที่มันเอาไปทำสาระพัดประโยชน์กำไร,และต้องรีบเร่งแจกจ่ายอยู่เนื่องๆหรือยกให้พวกมันชนิดให้ฟรีๆสไตล์ทาสใต้ปกครองนั้นล่ะ,ค่าภาคหลวงน้อยนิด,เนื้อปิโตรเลียมใดๆก็ไม่มีเป็นของตนเองจริง,มโนแค่ผักชีโชว์หรูวลีข้อความเท็จเท่านั้น,ราคาน้ำมันถ้าเป็นของตนเองต้องกำหนดและควบคุมราคาได้,แต่ถึงปัจจุบันไม่มีฝีมือความสามารถอะไร,มันสั่งไม่กี่คำ ขึ้นลงเป็นว่าเล่นนั้นเอง,คือทำกำไรปั่นกำไรในsetง่ายๆนั้นเอง. ..นี้คือวิถีปกครองที่พังจริงล้มเหลวจริงทั้งระบบ. https://youtu.be/2zua862k5MQ?si=7V9N5o9jQtfLN43H
    0 Comments 0 Shares 681 Views 0 Reviews
  • ..นี้คือความเหี้ยของคนขึ้นไปปกครอง,คนเขียนกฎหมายการเลือกตั้ง,พรรคแพ้การเลือกตั้งสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้,จริงๆต้องเลือกตั้งใหม่,ห้ามสส.คนสมัครเดิมลงเลือกตั้ง.ให้อนุญาตคนหน้าใหม่มาลงสมัครแทน.,กฎหมายการเลือกตั้งเราเองล่ะคือตัวปัญหาอีกกรณีในมุมมองนี้,จนประชาชนต้องลงสนามรบกันเลย,และเสือกไปลาออกด้วย พรรคร่วมก็หน้ามึน, นายกฯพระราชทานแก้หมากdeep stateต่างชาติได้,และสามารถอยู่เฉพาะกิจสัก10-20ปีก็ได้ เงื่อนไขคือยึดคืนบ่อน้ำมันทั้งหมดบนแผ่นดินไทยบนอ่าวไทยบนอันดามันบนราชอาณาจักรเราคืนมาอย่างจริงจังเสียที,สงครามสมัยนี้แม้อิสราเอลกับอิหร่าน ลึกๆจริงๆเรื่องวัตถุดิบทรัพยากรมีค่าของแต่ละชาติแบบน้ำมันที่อิหร่านมีนั่นล่ะ ส่วนจะขายให้ใครอีกเรื่อง,อิหร่านขายน้ำมันให้คนในประเทศอิหร่านตนแค่ลิตรละ1-2บาท,ประเทศไทยมีบ่อน้ำมันมากกว่าอิหร่าน มีโรงกลั่นน้ำมันมากกว่าอิหร่านเสือกขายน้ำมันลดต้นทุนให้ชาวนาชาวเกษตรทุกๆอุตสากรรมสัญชาติไทยลิตระละ1-2บาทแบบอิหร่านไม่ได้เลย,เรา..มีวิถีการปกครองที่ล้มเหลวตกประเมินผลงาน สอบตกในการปกครองประเทศไทย.,ทหารชนะโดยไม่ต้องลงสนามหรือรบก็ได้,การลงสนามรบในยุคนี้เป็นบริบทหรือวิถีสุดท้ายซึ่งคนโง่ผู้นำโง่ๆมักสำคัญผิดว่าคือสิ่งแรกที่ต้องมี,โลกเรามิใช่ยุคจับดาบจับหอกมาสู้กันแล้ว,ระดับปัญญาภูมิจิตภูมิใจพัฒนาไปมากแล้ว,เพราะสงครามเต็มไปด้วยการพรากจากการสูญเสียซึ่งผู้บริสุทธิ์ของทั้งสองฝั่งฝ่ายไม่จำเป็นต้องมาเป็นเหยื่อในกลไกการปกครองที่อุบาทก์ของผู้ปกครองชาตินั้นๆ.,ชาวโลกที่บริสุทธิ์ไม่สมควรตกเป็นเหยื่อแห่งภัยนี้เหมือนในอดีต,คนขายคนค้าอาวุธค้ากระสุนค้าเครื่องยิงมันได้ประโยชน์ทัังนั้นนั่งดูเจ้านายโง่ๆทำสงครามฆ่าฟันกัน.คนตายใช่เจ้านายสมองโง่พวกนั่นไม่,เสือกพลทหารประชาชนธรรมดานี้เองที่อยู่ในวิถีสงครามซวยต่างหาก.,สนองอารมณ์เจ้านายนักปกครองเลวไม่คุ้มอะไร,เราก็สูญเสีย เขาก็สูญเสียสะเหร่อยิงกันแทบตายเดี๋ยวก็มาจับมือแบบอิสราเอลหรืออิหร่านอีก,ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เลยยิ่งโหดอีก,ระเบิดทั้งประเทศขีปนาวุธยิงถล่มราบเรียบอีกก็ดับอนาถอีกคนบริสุทธิ์,หมากนี้แก้ง่ายจะตาย เอากำลังทหารมายึดอำนาจรัฐบาลที่เป็นฝ่ายตรงข้ามทหารสิ,ยึดอำนาจเด็ดเสร็จขาด,ประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยเรียกฑูตไทยเรากลับมาจริงทั้งหมดถีบฑูตเขมรคนเขมรออกจากประเทศทั้งหมดหรือส่งไปประเทศอื่นห้ามคนเขมรอยู่บนแผ่นดินไทยทุกๆตัว,ปิดพรมแดนจริงจังตลอดแนว ตัดทั้งหมดที่ไปเขมร,ระเบิดรางรถไฟทิ้ง ระเบิดถนนหนทางทิ้ง ปิดน่านฟ้าน่านน้ำไปเขมรทั้งหมด,คนไทยห้ามเข้าเขมรทุกๆกรณี นักพนันโทษประหารทันทีอยากเล่นนักไปเล่นในนรกเลย,แบนสกุลเงินเขมร,ลบสกุลเงินเขมรออกจากประเทศไทยห้ามรับห้ามแลกเปลี่ยนทั้งหมด,คว่ำบาตรเขมร,พันธมิตรไทยทั้งหมดห้ามค้าขายกับเขมร,น้ำมันไทยทุกๆบ่อที่สัมปทานไปมีคำสั่งให้ปิดทุกๆหลุมขุดเจาะบนอ่าวไทยยิ่งใกล้ๆเขมรปิดถาวรทันที,เปิดเจาะแค่ใช้ในประเทศไทยเท่านั้นและด้วยกฎอัยการศึกความมั่นคงของชาติโมฆะสัมปทานบ่อน้ำมันทั้งหมดยึดคืนเพื่อความมั่นคงทางยุทธปัจจัยของประเทศไทยทั้งหมด,สมาชิกพันธมิตรใดไม่ทำตามที่ไทยร้องขอหากไทยส่งออกน้ำมันให้ชาตินั้นสามารถระงับการส่งออกทันที,กระแสเงินโอนไปเขมรจะอายัดทุกๆกรณีตลอดโอนมาไทยจากเขมรก็เดียวเช่นกันจะถูกอายัดหมดยึดทรัพย์หมด,นี้คือมาตราการเล็กน้อยในการไม่ต้องรบทางสนามจริง,ประชาชนไม่ถูกระเบิดอาวุธใดๆด้วย,ประชาชนเขมรต้องจัดการผู้นำตนเองที่ชั่วเลวเองภายในชาติเขมรเอง,เราจัดการคนทรยศผ่านในแล้วที่ทำให้อาเชียนไม่สงบสุข.


    https://youtube.com/shorts/H4gKf2Cv8m0?si=4REnp_d5oaWqkeh6
    ..นี้คือความเหี้ยของคนขึ้นไปปกครอง,คนเขียนกฎหมายการเลือกตั้ง,พรรคแพ้การเลือกตั้งสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้,จริงๆต้องเลือกตั้งใหม่,ห้ามสส.คนสมัครเดิมลงเลือกตั้ง.ให้อนุญาตคนหน้าใหม่มาลงสมัครแทน.,กฎหมายการเลือกตั้งเราเองล่ะคือตัวปัญหาอีกกรณีในมุมมองนี้,จนประชาชนต้องลงสนามรบกันเลย,และเสือกไปลาออกด้วย พรรคร่วมก็หน้ามึน, นายกฯพระราชทานแก้หมากdeep stateต่างชาติได้,และสามารถอยู่เฉพาะกิจสัก10-20ปีก็ได้ เงื่อนไขคือยึดคืนบ่อน้ำมันทั้งหมดบนแผ่นดินไทยบนอ่าวไทยบนอันดามันบนราชอาณาจักรเราคืนมาอย่างจริงจังเสียที,สงครามสมัยนี้แม้อิสราเอลกับอิหร่าน ลึกๆจริงๆเรื่องวัตถุดิบทรัพยากรมีค่าของแต่ละชาติแบบน้ำมันที่อิหร่านมีนั่นล่ะ ส่วนจะขายให้ใครอีกเรื่อง,อิหร่านขายน้ำมันให้คนในประเทศอิหร่านตนแค่ลิตรละ1-2บาท,ประเทศไทยมีบ่อน้ำมันมากกว่าอิหร่าน มีโรงกลั่นน้ำมันมากกว่าอิหร่านเสือกขายน้ำมันลดต้นทุนให้ชาวนาชาวเกษตรทุกๆอุตสากรรมสัญชาติไทยลิตระละ1-2บาทแบบอิหร่านไม่ได้เลย,เรา..มีวิถีการปกครองที่ล้มเหลวตกประเมินผลงาน สอบตกในการปกครองประเทศไทย.,ทหารชนะโดยไม่ต้องลงสนามหรือรบก็ได้,การลงสนามรบในยุคนี้เป็นบริบทหรือวิถีสุดท้ายซึ่งคนโง่ผู้นำโง่ๆมักสำคัญผิดว่าคือสิ่งแรกที่ต้องมี,โลกเรามิใช่ยุคจับดาบจับหอกมาสู้กันแล้ว,ระดับปัญญาภูมิจิตภูมิใจพัฒนาไปมากแล้ว,เพราะสงครามเต็มไปด้วยการพรากจากการสูญเสียซึ่งผู้บริสุทธิ์ของทั้งสองฝั่งฝ่ายไม่จำเป็นต้องมาเป็นเหยื่อในกลไกการปกครองที่อุบาทก์ของผู้ปกครองชาตินั้นๆ.,ชาวโลกที่บริสุทธิ์ไม่สมควรตกเป็นเหยื่อแห่งภัยนี้เหมือนในอดีต,คนขายคนค้าอาวุธค้ากระสุนค้าเครื่องยิงมันได้ประโยชน์ทัังนั้นนั่งดูเจ้านายโง่ๆทำสงครามฆ่าฟันกัน.คนตายใช่เจ้านายสมองโง่พวกนั่นไม่,เสือกพลทหารประชาชนธรรมดานี้เองที่อยู่ในวิถีสงครามซวยต่างหาก.,สนองอารมณ์เจ้านายนักปกครองเลวไม่คุ้มอะไร,เราก็สูญเสีย เขาก็สูญเสียสะเหร่อยิงกันแทบตายเดี๋ยวก็มาจับมือแบบอิสราเอลหรืออิหร่านอีก,ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เลยยิ่งโหดอีก,ระเบิดทั้งประเทศขีปนาวุธยิงถล่มราบเรียบอีกก็ดับอนาถอีกคนบริสุทธิ์,หมากนี้แก้ง่ายจะตาย เอากำลังทหารมายึดอำนาจรัฐบาลที่เป็นฝ่ายตรงข้ามทหารสิ,ยึดอำนาจเด็ดเสร็จขาด,ประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยเรียกฑูตไทยเรากลับมาจริงทั้งหมดถีบฑูตเขมรคนเขมรออกจากประเทศทั้งหมดหรือส่งไปประเทศอื่นห้ามคนเขมรอยู่บนแผ่นดินไทยทุกๆตัว,ปิดพรมแดนจริงจังตลอดแนว ตัดทั้งหมดที่ไปเขมร,ระเบิดรางรถไฟทิ้ง ระเบิดถนนหนทางทิ้ง ปิดน่านฟ้าน่านน้ำไปเขมรทั้งหมด,คนไทยห้ามเข้าเขมรทุกๆกรณี นักพนันโทษประหารทันทีอยากเล่นนักไปเล่นในนรกเลย,แบนสกุลเงินเขมร,ลบสกุลเงินเขมรออกจากประเทศไทยห้ามรับห้ามแลกเปลี่ยนทั้งหมด,คว่ำบาตรเขมร,พันธมิตรไทยทั้งหมดห้ามค้าขายกับเขมร,น้ำมันไทยทุกๆบ่อที่สัมปทานไปมีคำสั่งให้ปิดทุกๆหลุมขุดเจาะบนอ่าวไทยยิ่งใกล้ๆเขมรปิดถาวรทันที,เปิดเจาะแค่ใช้ในประเทศไทยเท่านั้นและด้วยกฎอัยการศึกความมั่นคงของชาติโมฆะสัมปทานบ่อน้ำมันทั้งหมดยึดคืนเพื่อความมั่นคงทางยุทธปัจจัยของประเทศไทยทั้งหมด,สมาชิกพันธมิตรใดไม่ทำตามที่ไทยร้องขอหากไทยส่งออกน้ำมันให้ชาตินั้นสามารถระงับการส่งออกทันที,กระแสเงินโอนไปเขมรจะอายัดทุกๆกรณีตลอดโอนมาไทยจากเขมรก็เดียวเช่นกันจะถูกอายัดหมดยึดทรัพย์หมด,นี้คือมาตราการเล็กน้อยในการไม่ต้องรบทางสนามจริง,ประชาชนไม่ถูกระเบิดอาวุธใดๆด้วย,ประชาชนเขมรต้องจัดการผู้นำตนเองที่ชั่วเลวเองภายในชาติเขมรเอง,เราจัดการคนทรยศผ่านในแล้วที่ทำให้อาเชียนไม่สงบสุข. https://youtube.com/shorts/H4gKf2Cv8m0?si=4REnp_d5oaWqkeh6
    0 Comments 0 Shares 524 Views 0 Reviews
  • การล่มสลายไม่ได้ถูกแสดงทางโทรทัศน์ แต่ได้รับการวางแผนไว้แล้ว ฟอรัมเศรษฐกิจโลกซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราการที่ไม่มีใครแตะต้องได้ของการปกครองแบบเทคโนแครต ถูกแฮ็ก รื้อถอน และเปิดโปงจากภายใน ไม่มีเรื่องอื้อฉาวใดๆ เกิดขึ้น แต่เป็นเพียงการทำลายล้าง เจ้าหน้าที่หมวกขาวภายในเครื่องจักรของดาวอสได้ทำลายภาพลวงตาของความสามัคคีทั่วโลก และเปิดโปงว่าอาชญากรรมต่างๆ เช่น การแทรกแซงการเลือกตั้ง การบังคับให้ผู้คนเข้ารับการรักษาพยาบาล การยึดครองที่ดินภายใต้ข้ออ้างของนโยบายด้านสภาพอากาศ และการติดป้ายชื่อบุคคลแต่ละคนอย่างเงียบๆ เพื่อให้ตรวจสอบนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร

    ในช่วงต้นปี 2024 กลุ่มหมวกขาวได้ยึดเอกสารภายใน บันทึกเสียงลับ และการสื่อสารที่เป็นความลับ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าผู้นำฟอรัมเศรษฐกิจโลก (WEF) มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินกองทุน "ด้านสภาพอากาศ" กว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ผ่านองค์กรพัฒนาเอกชนปลอม กับดักหนี้ และการขโมยสินทรัพย์ดิจิทัล โลกไม่เคยเป็นเป้าหมายของพวกเขา เป้าหมายของพวกเขาคือที่ดิน อาหาร และพลังงาน ภายใต้หน้ากากของ "ความยุติธรรม" พวกเขากดขี่ชาวนา ลิดรอนสิทธิของชนพื้นเมือง และใช้องค์กรการกุศลปลอมเพื่อจัดการรัฐประหารทางการเมือง แต่มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ไฟล์เซิร์ฟเวอร์ WEF ในยุค COVID-19 ซึ่งค้นพบในช่วงปลายปี 2024 แสดงให้เห็นว่ามีการวางแผนการล็อกดาวน์ไว้ล่วงหน้า มีเครือข่ายการทุจริตในสื่อ และมีแผนที่จะนำไบโอเมตริกส์มาใช้ตั้งแต่ปี 2017 วัคซีนเป็นเครื่องมือ วิกฤตได้รับการวางแผน

    ในช่วงต้นปี 2025 ผู้แจ้งเบาะแสเริ่มเปิดเผยด้านมืด: การทดสอบตัวตนดิจิทัลแบบลับในแคนาดา ออสเตรเลีย และเยอรมนี โปรแกรมนำร่องเหล่านี้ผสมผสานสถานะสุขภาพ พฤติกรรมเครดิต และการติดตามโซเชียลมีเดียโดยไม่ได้ขออนุญาต ผู้คนไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นบุคคล แต่เป็นหน่วยที่ตั้งโปรแกรมได้ บันทึกการวางแผนภายในของฟอรัมเศรษฐกิจโลกเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า "คลัสเตอร์พฤติกรรม" และ "โหนดการผลิตข้อมูล" คุกอัจฉริยะของชวาบมีอยู่จริงและเกือบจะพร้อมแล้ว

    ความเย่อหยิ่งครอบงำเมืองดาวอส เสียงจากการประชุมโต๊ะกลมในเดือนมกราคม 2024 เผยให้เห็นซีอีโอพูดเล่นเกี่ยวกับการล่มสลายของตลาด "ตามต้องการ" และการขู่กรรโชกเจ้าหน้าที่เพื่อให้ผ่านกฎหมายภาษีคาร์บอน ปัจจุบัน กลุ่มหมวกขาวมีหลักฐานว่า WEF ให้ทุนสนับสนุนการจลาจล การทุจริตการเลือกตั้ง และใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อปิดปากผู้เห็นต่าง กำแพงถูกพังทลายลงในเดือนมีนาคม 2025 การ "เกษียณอายุ" ของ Schwab เป็นการออกจากตำแหน่งโดยถูกบังคับ พันธมิตรที่สำคัญเปลี่ยนฝ่าย ประเทศต่างๆ มากกว่าสิบประเทศได้เริ่มการสอบสวนทางอาญา ภาพลักษณ์ของภูมิคุ้มกันของชนชั้นนำพังทลายลง

    ผลกระทบได้เริ่มขึ้นแล้วในวันที่ 21 มิถุนายน ข้อตกลงการค้าที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายของฟอรัมเศรษฐกิจโลกกำลังล้มเหลว การหลอกลวง ESG กำลังล้มเหลว การสืบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์กำลังดำเนินการอยู่ที่ Deutsche Bank, HSBC และธนาคารใหญ่ๆ อื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับ Davos ผู้ที่รับผิดชอบกำลังลาออก ระบบระบุตัวตนดิจิทัลกำลังปิดตัวลง ศูนย์กลางการประสานงานของกลุ่มลับสูญเสียไปแล้ว และความตื่นตระหนกกำลังแพร่กระจายไปทั่วห้องโถงของอำนาจระดับโลก

    นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ข้อมูลที่ได้มาหลังจากการยุบ WEF ถูกนำมาใช้โจมตี WHO, BIS และกลุ่มมนุษยธรรมปลอมทั้งหมดที่ร่วมมือกับ Davos เพื่อแสวงหากำไร การเปิดเผยนี้จะเกิดขึ้นในฤดูร้อนนี้ ซึ่งจะครอบคลุมทั่วโลกและไม่อาจปฏิเสธได้ และจะเป็นเครื่องหมายจุดจบของระบบเก่า เมื่อครั้งหนึ่งเคยทำงานในเงามืด ตอนนี้มันกลับถูกเผาไหม้ต่อหน้าต่อตา

    WEF ล่มสลาย ภาพลวงตาถูกทำลาย และจากเถ้าถ่านของมัน ยุคฟื้นฟูที่แท้จริงได้ถือกำเนิดขึ้น ยุคฟื้นฟูที่ไม่ได้เขียนโดยผู้เผด็จการ แต่เขียนโดยประชาชนที่เป็นอิสระ
    การล่มสลายไม่ได้ถูกแสดงทางโทรทัศน์ แต่ได้รับการวางแผนไว้แล้ว ฟอรัมเศรษฐกิจโลกซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราการที่ไม่มีใครแตะต้องได้ของการปกครองแบบเทคโนแครต ถูกแฮ็ก รื้อถอน และเปิดโปงจากภายใน ไม่มีเรื่องอื้อฉาวใดๆ เกิดขึ้น แต่เป็นเพียงการทำลายล้าง เจ้าหน้าที่หมวกขาวภายในเครื่องจักรของดาวอสได้ทำลายภาพลวงตาของความสามัคคีทั่วโลก และเปิดโปงว่าอาชญากรรมต่างๆ เช่น การแทรกแซงการเลือกตั้ง การบังคับให้ผู้คนเข้ารับการรักษาพยาบาล การยึดครองที่ดินภายใต้ข้ออ้างของนโยบายด้านสภาพอากาศ และการติดป้ายชื่อบุคคลแต่ละคนอย่างเงียบๆ เพื่อให้ตรวจสอบนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ในช่วงต้นปี 2024 กลุ่มหมวกขาวได้ยึดเอกสารภายใน บันทึกเสียงลับ และการสื่อสารที่เป็นความลับ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าผู้นำฟอรัมเศรษฐกิจโลก (WEF) มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินกองทุน "ด้านสภาพอากาศ" กว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ผ่านองค์กรพัฒนาเอกชนปลอม กับดักหนี้ และการขโมยสินทรัพย์ดิจิทัล โลกไม่เคยเป็นเป้าหมายของพวกเขา เป้าหมายของพวกเขาคือที่ดิน อาหาร และพลังงาน ภายใต้หน้ากากของ "ความยุติธรรม" พวกเขากดขี่ชาวนา ลิดรอนสิทธิของชนพื้นเมือง และใช้องค์กรการกุศลปลอมเพื่อจัดการรัฐประหารทางการเมือง แต่มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ไฟล์เซิร์ฟเวอร์ WEF ในยุค COVID-19 ซึ่งค้นพบในช่วงปลายปี 2024 แสดงให้เห็นว่ามีการวางแผนการล็อกดาวน์ไว้ล่วงหน้า มีเครือข่ายการทุจริตในสื่อ และมีแผนที่จะนำไบโอเมตริกส์มาใช้ตั้งแต่ปี 2017 วัคซีนเป็นเครื่องมือ วิกฤตได้รับการวางแผน ในช่วงต้นปี 2025 ผู้แจ้งเบาะแสเริ่มเปิดเผยด้านมืด: การทดสอบตัวตนดิจิทัลแบบลับในแคนาดา ออสเตรเลีย และเยอรมนี โปรแกรมนำร่องเหล่านี้ผสมผสานสถานะสุขภาพ พฤติกรรมเครดิต และการติดตามโซเชียลมีเดียโดยไม่ได้ขออนุญาต ผู้คนไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นบุคคล แต่เป็นหน่วยที่ตั้งโปรแกรมได้ บันทึกการวางแผนภายในของฟอรัมเศรษฐกิจโลกเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า "คลัสเตอร์พฤติกรรม" และ "โหนดการผลิตข้อมูล" คุกอัจฉริยะของชวาบมีอยู่จริงและเกือบจะพร้อมแล้ว ความเย่อหยิ่งครอบงำเมืองดาวอส เสียงจากการประชุมโต๊ะกลมในเดือนมกราคม 2024 เผยให้เห็นซีอีโอพูดเล่นเกี่ยวกับการล่มสลายของตลาด "ตามต้องการ" และการขู่กรรโชกเจ้าหน้าที่เพื่อให้ผ่านกฎหมายภาษีคาร์บอน ปัจจุบัน กลุ่มหมวกขาวมีหลักฐานว่า WEF ให้ทุนสนับสนุนการจลาจล การทุจริตการเลือกตั้ง และใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อปิดปากผู้เห็นต่าง กำแพงถูกพังทลายลงในเดือนมีนาคม 2025 การ "เกษียณอายุ" ของ Schwab เป็นการออกจากตำแหน่งโดยถูกบังคับ พันธมิตรที่สำคัญเปลี่ยนฝ่าย ประเทศต่างๆ มากกว่าสิบประเทศได้เริ่มการสอบสวนทางอาญา ภาพลักษณ์ของภูมิคุ้มกันของชนชั้นนำพังทลายลง ผลกระทบได้เริ่มขึ้นแล้วในวันที่ 21 มิถุนายน ข้อตกลงการค้าที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายของฟอรัมเศรษฐกิจโลกกำลังล้มเหลว การหลอกลวง ESG กำลังล้มเหลว การสืบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์กำลังดำเนินการอยู่ที่ Deutsche Bank, HSBC และธนาคารใหญ่ๆ อื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับ Davos ผู้ที่รับผิดชอบกำลังลาออก ระบบระบุตัวตนดิจิทัลกำลังปิดตัวลง ศูนย์กลางการประสานงานของกลุ่มลับสูญเสียไปแล้ว และความตื่นตระหนกกำลังแพร่กระจายไปทั่วห้องโถงของอำนาจระดับโลก นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ข้อมูลที่ได้มาหลังจากการยุบ WEF ถูกนำมาใช้โจมตี WHO, BIS และกลุ่มมนุษยธรรมปลอมทั้งหมดที่ร่วมมือกับ Davos เพื่อแสวงหากำไร การเปิดเผยนี้จะเกิดขึ้นในฤดูร้อนนี้ ซึ่งจะครอบคลุมทั่วโลกและไม่อาจปฏิเสธได้ และจะเป็นเครื่องหมายจุดจบของระบบเก่า เมื่อครั้งหนึ่งเคยทำงานในเงามืด ตอนนี้มันกลับถูกเผาไหม้ต่อหน้าต่อตา WEF ล่มสลาย ภาพลวงตาถูกทำลาย และจากเถ้าถ่านของมัน ยุคฟื้นฟูที่แท้จริงได้ถือกำเนิดขึ้น ยุคฟื้นฟูที่ไม่ได้เขียนโดยผู้เผด็จการ แต่เขียนโดยประชาชนที่เป็นอิสระ
    0 Comments 0 Shares 728 Views 0 Reviews
  • สืบสันดานตระกูลพ่อค้า แปลงกิจการของชาติมาชำแหละขายหุ้น ออกนโยบายขายข้าวเพื่อโกงสองเด้ง ทั้งชาวนาน และเงินแผ่นดิน ล่าสุดจับมือโจรข้างบ้านวางแผนปล้นดินแดน แต่โดนโจรหักหลังซะก่อน ขอเชิญคนไทยรวมพลังผิดฉากตระกูลชั่วนี่ซะที
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ชินวัตร
    #ตระกูลขายชาติ
    สืบสันดานตระกูลพ่อค้า แปลงกิจการของชาติมาชำแหละขายหุ้น ออกนโยบายขายข้าวเพื่อโกงสองเด้ง ทั้งชาวนาน และเงินแผ่นดิน ล่าสุดจับมือโจรข้างบ้านวางแผนปล้นดินแดน แต่โดนโจรหักหลังซะก่อน ขอเชิญคนไทยรวมพลังผิดฉากตระกูลชั่วนี่ซะที #คิงส์โพธิ์แดง #ชินวัตร #ตระกูลขายชาติ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 322 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​รีบปฏิบัติให้สุดเหวี่ยงแต่ไม่ต้องร้อนใจว่าจงสำเร็จ
    สัทธรรมลำดับที่ : 1030
    ชื่อบทธรรม :- รีบปฏิบัติให้สุดเหวี่ยงแต่ไม่ต้องร้อนใจว่าจงสำเร็จ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1030
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --รีบปฏิบัติให้สุดเหวี่ยงแต่ไม่ต้องร้อนใจว่าจงสำเร็จ
    (นั่นแหละคือมัชฌิมาปฏิปทา)
    --ภิกษุ ท. ! กิจของคฤหบดีชาวนาที่เขาจะต้องรีบทำมีสามอย่างเหล่านี้.
    สามอย่างอะไรบ้างเล่า ? สามอย่างคือ
    คฤหบดีชาวนารีบๆ ไถ คราด พื้นที่นาให้ดีเสียก่อน,
    ครั้นแล้ว ก็รีบๆ ปลูกพืช,
    ครั้นแล้ว ก็รีบๆ ไขน้ำเข้าบ้าง ไขน้ำออกบ้าง.
    --ภิกษุ ท. ! กิจของคฤหบดีชาวนาที่เขาจะต้องรีบทำมีสามอย่างเหล่านี้แล;
    แต่ว่า คฤหบดีชาวนานั้น ไม่มีฤทธิ์หรืออนุภาพที่จะบันดาลว่า
    “ข้าวของเราจงงอกในวันนี้, ตั้งท้องพรุ่งนี้, สุกมะรืนนี้” ดังนี้ได้เลย,
    ที่ถูก ย่อมมีเวลาที่ข้าวนั้น เปลี่ยนแปรสภาพไปตามฤดูกาล
    ย่อมจะงอกบ้าง ตั้งท้องบ้าง สุกบ้าง;
    --ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น
    : กิจของภิกษุที่เธอจะต้องรีบทำมีสามอย่างเหล่านี้. สามอย่างอะไรบ้างเล่า ?
    สามอย่างคือ
    การสมาทานการปฏิบัติ ในศีล อันยิ่ง,
    http://etipitaka.com/read/pali/20/309/?keywords=อธิสีลสิกฺขาสมาทานํ
    การสมาทานการปฏิบัติ ในจิต อันยิ่ง และ
    http://etipitaka.com/read/pali/20/309/?keywords=อธิจิตฺตสิกฺขาสมาทานํ
    การสมาทานการปฏิบัติ ในปัญญา อันยิ่ง.
    http://etipitaka.com/read/pali/20/309/?keywords=อธิปญฺญาสิกฺขาสมาทานํ
    --ภิกษุ ท. ! กิจของภิกษุที่เธอจะต้องรีบทำมีสามอย่างเหล่านี้ แล;
    แต่ว่า ภิกษุนั้น ก็ไม่มีฤทธิ์หรืออานุภาพที่จะบันดาลว่า
    “จิตของเราจงหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย
    เพราะไม่มีอุปาทานในวันนี้ หรือพรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้”
    ดังนี้ได้เลย,
    ที่ถูก ย่อมมีเวลาที่เหมาะสม ซึ่งเมื่อภิกษุนั้น
    ปฏิบัติไป แม้ในศีล อันยิ่ง
    ปฏิบัติ แม้ในจิต อันยิ่ง และ
    ปฏิบัติ แม้ในปัญญา อันยิ่ง
    #จิตก็จะหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่มีอุปาทาน ได้เอง.

    --ภิกษุ ท. ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลายพึงสำเหนียกใจไว้ว่า
    “ความพอใจของเราจักต้องเข้มงวดพอ
    ในการสมาทานปฏิบัติ ในศีล อันยิ่ง,
    http://etipitaka.com/read/pali/20/309/?keywords=อธิสีลสิกฺขาสมาทา
    ในการสมาทานการปฏิบัติ ในจิต อันยิ่ง และ
    http://etipitaka.com/read/pali/20/310/?keywords=อธิจิตฺตสิกฺขาสมาทา
    ในการสมาทานการปฏิบัติ ในปัญญา อันยิ่ง”
    http://etipitaka.com/read/pali/20/310/?keywords=อธิปญฺญาสิกฺขาสมาทา
    ดังนี้.
    --ภิกษุ ท. ! พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจไว้ อย่างนี้แล.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ติก. อํ. 20/229/532
    http://etipitaka.com/read/thai/20/229/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%93%E0%B9%92
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ติก. อํ. ๒๐/๓๐๙/๕๓๒
    http://etipitaka.com/read/pali/20/309/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%93%E0%B9%92
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1030
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1030
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89
    ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​รีบปฏิบัติให้สุดเหวี่ยงแต่ไม่ต้องร้อนใจว่าจงสำเร็จ สัทธรรมลำดับที่ : 1030 ชื่อบทธรรม :- รีบปฏิบัติให้สุดเหวี่ยงแต่ไม่ต้องร้อนใจว่าจงสำเร็จ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1030 เนื้อความทั้งหมด :- --รีบปฏิบัติให้สุดเหวี่ยงแต่ไม่ต้องร้อนใจว่าจงสำเร็จ (นั่นแหละคือมัชฌิมาปฏิปทา) --ภิกษุ ท. ! กิจของคฤหบดีชาวนาที่เขาจะต้องรีบทำมีสามอย่างเหล่านี้. สามอย่างอะไรบ้างเล่า ? สามอย่างคือ คฤหบดีชาวนารีบๆ ไถ คราด พื้นที่นาให้ดีเสียก่อน, ครั้นแล้ว ก็รีบๆ ปลูกพืช, ครั้นแล้ว ก็รีบๆ ไขน้ำเข้าบ้าง ไขน้ำออกบ้าง. --ภิกษุ ท. ! กิจของคฤหบดีชาวนาที่เขาจะต้องรีบทำมีสามอย่างเหล่านี้แล; แต่ว่า คฤหบดีชาวนานั้น ไม่มีฤทธิ์หรืออนุภาพที่จะบันดาลว่า “ข้าวของเราจงงอกในวันนี้, ตั้งท้องพรุ่งนี้, สุกมะรืนนี้” ดังนี้ได้เลย, ที่ถูก ย่อมมีเวลาที่ข้าวนั้น เปลี่ยนแปรสภาพไปตามฤดูกาล ย่อมจะงอกบ้าง ตั้งท้องบ้าง สุกบ้าง; --ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น : กิจของภิกษุที่เธอจะต้องรีบทำมีสามอย่างเหล่านี้. สามอย่างอะไรบ้างเล่า ? สามอย่างคือ การสมาทานการปฏิบัติ ในศีล อันยิ่ง, http://etipitaka.com/read/pali/20/309/?keywords=อธิสีลสิกฺขาสมาทานํ การสมาทานการปฏิบัติ ในจิต อันยิ่ง และ http://etipitaka.com/read/pali/20/309/?keywords=อธิจิตฺตสิกฺขาสมาทานํ การสมาทานการปฏิบัติ ในปัญญา อันยิ่ง. http://etipitaka.com/read/pali/20/309/?keywords=อธิปญฺญาสิกฺขาสมาทานํ --ภิกษุ ท. ! กิจของภิกษุที่เธอจะต้องรีบทำมีสามอย่างเหล่านี้ แล; แต่ว่า ภิกษุนั้น ก็ไม่มีฤทธิ์หรืออานุภาพที่จะบันดาลว่า “จิตของเราจงหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่มีอุปาทานในวันนี้ หรือพรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้” ดังนี้ได้เลย, ที่ถูก ย่อมมีเวลาที่เหมาะสม ซึ่งเมื่อภิกษุนั้น ปฏิบัติไป แม้ในศีล อันยิ่ง ปฏิบัติ แม้ในจิต อันยิ่ง และ ปฏิบัติ แม้ในปัญญา อันยิ่ง #จิตก็จะหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่มีอุปาทาน ได้เอง. --ภิกษุ ท. ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลายพึงสำเหนียกใจไว้ว่า “ความพอใจของเราจักต้องเข้มงวดพอ ในการสมาทานปฏิบัติ ในศีล อันยิ่ง, http://etipitaka.com/read/pali/20/309/?keywords=อธิสีลสิกฺขาสมาทา ในการสมาทานการปฏิบัติ ในจิต อันยิ่ง และ http://etipitaka.com/read/pali/20/310/?keywords=อธิจิตฺตสิกฺขาสมาทา ในการสมาทานการปฏิบัติ ในปัญญา อันยิ่ง” http://etipitaka.com/read/pali/20/310/?keywords=อธิปญฺญาสิกฺขาสมาทา ดังนี้. --ภิกษุ ท. ! พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจไว้ อย่างนี้แล.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ติก. อํ. 20/229/532 http://etipitaka.com/read/thai/20/229/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%93%E0%B9%92 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ติก. อํ. ๒๐/๓๐๙/๕๓๒ http://etipitaka.com/read/pali/20/309/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%93%E0%B9%92 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1030 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1030 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89 ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - รีบปฏิบัติให้สุดเหวี่ยงแต่ไม่ต้องร้อนใจว่าจงสำเร็จ
    -รีบปฏิบัติให้สุดเหวี่ยงแต่ไม่ต้องร้อนใจว่าจงสำเร็จ (นั่นแหละคือมัชฌิมาปฏิปทา) ภิกษุ ท. ! กิจของคฤหบดีชาวนาที่เขาจะต้องรีบทำมีสามอย่างเหล่านี้. สามอย่างอะไรบ้างเล่า ? สามอย่างคือ คฤหบดีชาวนารีบๆ ไถ คราด พื้นที่นา ให้ดีเสียก่อน, ครั้นแล้ว ก็รีบๆ ปลูกพืช, ครั้นแล้ว ก็รีบๆ ไขน้ำเข้าบ้าง ไขน้ำออกบ้าง. ภิกษุ ท. ! กิจของคฤหบดีชาวนาที่เขาจะต้องรีบทำมีสามอย่างเหล่านี้แล; แต่ว่า คฤหบดีชาวนานั้น ไม่มีฤทธิ์หรืออนุภาพที่จะบันดาลว่า “ข้าวของเราจงงอกในวันนี้, ตั้งท้องพรุ่งนี้, สุกมะรืนนี้” ดังนี้ได้เลย, ที่ถูก ย่อมมีเวลาที่ข้าวนั้น เปลี่ยนแปรสภาพไปตามฤดูกาล ย่อมจะงอกบ้าง ตั้งท้องบ้าง สุกบ้าง; ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น : กิจของภิกษุที่เธอจะต้องรีบทำมีสามอย่างเหล่านี้. สามอย่างอะไรบ้างเล่า ? สามอย่างคือ การสมาทานการปฏิบัติ นศีลอันยิ่ง, การสมาทานการปฏิบัติในจิตอันยิ่ง และการสมาทานการปฏิบัติในปัญญาอันยิ่ง. ภิกษุ ท. ! กิจของภิกษุที่เธอจะต้องรีบทำมีสามอย่างเหล่านี้ แล; แต่ว่า ภิกษุนั้น ก็ไม่มีฤทธิ์หรืออานุภาพที่จะบันดาลว่า “จิตของเราจงหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่มีอุปาทานในวันนี้ หรือพรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้” ดังนี้ได้เลย, ที่ถูก ย่อมมีเวลาที่เหมาะสม ซึ่งเมื่อภิกษุนั้นปฏิบัติไปแม้ในศีล อันยิ่ง ปฏิบัติแม้ในจิตอันยิ่ง และปฏิบัติแม้ในปัญญาอันยิ่ง จิตก็จะหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่มีอุปาทาน ได้เอง. ภิกษุ ท. ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลายพึงสำเหนียกใจไว้ว่า “ความพอใจของเราจักต้องเข้มงวดพอ ในการสมาทานปฏิบัติในศีล อันยิ่ง, ในการสมาทานการปฏิบัติในจิตอันยิ่ง และในการสมาทานการปฏิบัติ ในปัญญาอันยิ่ง” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจไว้ อย่างนี้แล.
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • เพื่อนเพจที่ได้อ่านนิยาย/ดูละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> คงจำได้ว่า เป็นเรื่องราวแนวสืบสวนที่พูดถึงการใช้ข้อมูลจากบันทึกและทะเบียนต่างๆ มาใช้ในการแกะรอยคนร้าย มีหลายประเด็นที่ทำให้ Storyฯ สงสัยเลยต้องไปหาข้อมูลมาเพิ่ม

    เรื่องที่จะเล่าวันนี้มีความ ‘เอ๊ะ’ ตรงไหน เรามาดูจากคำพูดข้างล่างจากในละครเรื่องนี้
    ... สวีปินกล่าว “จากบันทึกทะเบียนบ้านของคนผู้นี้ เขาย้ายมาฉางอันเมื่อปีที่ยี่สิบหกในรัชศกก่อน จดทะเบียนในนามหลงปอ ต่อมาย้ายบ้านหลายครา เมื่อปีที่แล้วย้ายเข้าหวยหย่วนฟาง ที่ดูน่าสงสัยคือ เมื่อปลายปีรัชศกเทียนเป่าปีที่สอง มีการจัดทำสมุดทะเบียนใหม่ กำหนดให้ใส่รายละเอียดใบหน้าให้ชัดเจน แต่ทะเบียนของหลงปอยังคงเป็นทะเบียนเก่าสมัยรัชศกก่อน ไม่เคยระบุรายละเอียดหน้าตา”...

    เพื่อนเพจสงสัยเหมือนกันไหมว่า ทะเบียนราษฎร์ในสมัยราชวงศ์ถัง (รัชศกเทียนเป่าคือช่วงปีค.ศ. 742-756) ถึงขนาดมีรายละเอียดใบหน้าชัดเจนเชียวหรือ?

    ไปค้นข้อมูลมาจึงพบว่า การนับจำนวนประชากรในจีนโบราณมีมาตั้งแต่กว่าสองพันปีก่อนคริสตกาล เดิมเป็นการจัดเก็บข้อมูลเพื่อไว้เพื่อช่วยเหลือคนในยามเกิดอุทกภัยน้ำท่วม ไม่ปรากฏข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นเพียงการนับจำนวนประชากรหรือมีการบันทึกรายละเอียดมากกว่านั้น แต่ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก (ปี 1045-771 ก่อนคริสตกาล) มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์ทุกสามปี รายละเอียดที่บันทึกไว้รวมถึงวันเกิด วันตาย เพศ และที่อยู่ของประชาชน

    ในสมัยฉิน มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์อย่างเข้มงวด นอกจากรายละเอียดข้างต้นยังมีการระบุเจ้าบ้าน ชื่อสามี-ภรรยา โดยวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อใช้ในการเก็บภาษีและเกณฑ์ทหาร

    ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 221) ประชาชนมีหน้าที่รายงานข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกในครอบครัวทุกปี โดยข้อมูลจะถูกตรวจสอบโดยทางการท้องถิ่นอีกครั้งก่อนจะรวบรวมส่งทางการส่วนกลาง รายละเอียดที่บันทึกรวมถึงชื่อแซ่ อายุ ภูมิลำเนาเดิม สถานะสมรส รายละเอียดหน้าตา รายได้ และจำนวนพื้นที่ของที่ดินที่ถือครอง หากจะย้ายบ้าน ต้องทำการรายงานกับที่ว่าการท้องถิ่นก่อนจึงจะย้ายออกได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนพเนจร ซึ่งไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย (คือโดนฆ่าตายก็ไม่มีการสืบสวนเอาผิดคนฆ่า) ว่ากันว่าทะเบียนราษฏร์สมัยราชวงศ์ฮั่นนี้ละเอียดถูกต้องเชื่อถือได้มากกว่าครั้งใดที่จีนเคยทำมาในอดีต

    การจัดทำทะเบียนราษฎร์มีต่อมาเรื่อยๆ และมีการลงรายละเอียดมากขึ้นในยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ซึ่งเรื่องราวของ <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> เกิดขึ้นในสมัยนี้) ในสมัยนั้น ทะเบียนราษฎร์คือการสรุปรวมข้อมูลของทะเบียนบ้านหรือที่เรียกว่า ‘โส่วสือ’ (手实) มีการจัดแยกหมวดหมู่ตามสถานะ กล่าวคือเป็นเจ้าบ้าน เป็นสมาชิกของตระกูล หรือเป็นผู้อยู่อาศัยในเรือนเช่นทาส บ่าว นักดนตรี ฯลฯ และมีการบันทึกรายละเอียดเพิ่มเติมของรูปพรรณสัณฐาน เช่นส่วนสูง สีผิว เป็นต้น โดยมีเพียงสมาชิกของตระกูลเท่านั้นที่จะมีสิทธิแยกออกมาจัดตั้งครัวเรือนใหม่ได้ (Storyฯ เพิ่งเข้าใจบริบทที่ว่าบางนิยายจีนโบราณกล่าวถึงการ ‘แยกบ้าน’ ของคนในตระกูลเดียวกันที่ฟังดูเป็นเรื่องราวใหญ่โต) สำหรับชาวไร่ชาวนา ข้อมูลจากโส่วสือยังถูกใช้ในการจัดสรรที่ดินทำกิน โดยอิงตามจำนวนสมาชิกในบ้าน

    ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิง มีการลงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกคืออาชีพของคนในบ้าน เช่น นายช่าง ทหาร หรือข้าราชการ ฯลฯ และมีรายละเอียดรายรับและสินทรัพย์ของแต่ละคนเพิ่มเติม เช่นจำนวนที่ดิน บ้าน ร้านค้า รถม้า เรือ ฯลฯ ทะเบียนราษฎร์นี้เรียกว่า ‘หวงเช่อ’ (黄册) แปลตรงตัวว่าสมุดเหลือง เพราะมักใช้ปกสีเหลือง (โนว์... ไม่ใช่สมุดโทรศัพท์ Yellow Pages จ้า) อีกทั้งการนำข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์มาใช้เพิ่มดีกรีความเข้มข้น ใครจะเดินทางต้องพกเอกสารใบอนุญาตที่มีข้อมูลประจำตัวและบ้าน (Storyฯ นึกถึงในละครที่จะผ่านประตูเมืองแต่ละครั้งต้องควักเอกสารออกมาฉบับหนึ่ง)

    Storyฯ รู้สึกทึ่งว่า แบบแผนการบริหารงานบ้านเมืองในโลกปัจจุบัน จริงๆ แล้วไม่ได้หนีจากของโบราณที่มีมาหลายพันปีแล้วเลย คนโบราณช่างคิดช่างทำ เก่งจริง เพื่อนๆ ว่าไหม?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://luvasianseries.blogspot.com/2020/10/longest-day-in-changan.html
    https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/113664748
    http://www.naradafoundation.org/content/6526
    https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html

    #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ประวัติศาสตร์จีน #ทะเบียนราษฎร์จีน #ราชวงศ์ถัง
    เพื่อนเพจที่ได้อ่านนิยาย/ดูละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> คงจำได้ว่า เป็นเรื่องราวแนวสืบสวนที่พูดถึงการใช้ข้อมูลจากบันทึกและทะเบียนต่างๆ มาใช้ในการแกะรอยคนร้าย มีหลายประเด็นที่ทำให้ Storyฯ สงสัยเลยต้องไปหาข้อมูลมาเพิ่ม เรื่องที่จะเล่าวันนี้มีความ ‘เอ๊ะ’ ตรงไหน เรามาดูจากคำพูดข้างล่างจากในละครเรื่องนี้ ... สวีปินกล่าว “จากบันทึกทะเบียนบ้านของคนผู้นี้ เขาย้ายมาฉางอันเมื่อปีที่ยี่สิบหกในรัชศกก่อน จดทะเบียนในนามหลงปอ ต่อมาย้ายบ้านหลายครา เมื่อปีที่แล้วย้ายเข้าหวยหย่วนฟาง ที่ดูน่าสงสัยคือ เมื่อปลายปีรัชศกเทียนเป่าปีที่สอง มีการจัดทำสมุดทะเบียนใหม่ กำหนดให้ใส่รายละเอียดใบหน้าให้ชัดเจน แต่ทะเบียนของหลงปอยังคงเป็นทะเบียนเก่าสมัยรัชศกก่อน ไม่เคยระบุรายละเอียดหน้าตา”... เพื่อนเพจสงสัยเหมือนกันไหมว่า ทะเบียนราษฎร์ในสมัยราชวงศ์ถัง (รัชศกเทียนเป่าคือช่วงปีค.ศ. 742-756) ถึงขนาดมีรายละเอียดใบหน้าชัดเจนเชียวหรือ? ไปค้นข้อมูลมาจึงพบว่า การนับจำนวนประชากรในจีนโบราณมีมาตั้งแต่กว่าสองพันปีก่อนคริสตกาล เดิมเป็นการจัดเก็บข้อมูลเพื่อไว้เพื่อช่วยเหลือคนในยามเกิดอุทกภัยน้ำท่วม ไม่ปรากฏข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นเพียงการนับจำนวนประชากรหรือมีการบันทึกรายละเอียดมากกว่านั้น แต่ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก (ปี 1045-771 ก่อนคริสตกาล) มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์ทุกสามปี รายละเอียดที่บันทึกไว้รวมถึงวันเกิด วันตาย เพศ และที่อยู่ของประชาชน ในสมัยฉิน มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์อย่างเข้มงวด นอกจากรายละเอียดข้างต้นยังมีการระบุเจ้าบ้าน ชื่อสามี-ภรรยา โดยวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อใช้ในการเก็บภาษีและเกณฑ์ทหาร ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 221) ประชาชนมีหน้าที่รายงานข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกในครอบครัวทุกปี โดยข้อมูลจะถูกตรวจสอบโดยทางการท้องถิ่นอีกครั้งก่อนจะรวบรวมส่งทางการส่วนกลาง รายละเอียดที่บันทึกรวมถึงชื่อแซ่ อายุ ภูมิลำเนาเดิม สถานะสมรส รายละเอียดหน้าตา รายได้ และจำนวนพื้นที่ของที่ดินที่ถือครอง หากจะย้ายบ้าน ต้องทำการรายงานกับที่ว่าการท้องถิ่นก่อนจึงจะย้ายออกได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนพเนจร ซึ่งไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย (คือโดนฆ่าตายก็ไม่มีการสืบสวนเอาผิดคนฆ่า) ว่ากันว่าทะเบียนราษฏร์สมัยราชวงศ์ฮั่นนี้ละเอียดถูกต้องเชื่อถือได้มากกว่าครั้งใดที่จีนเคยทำมาในอดีต การจัดทำทะเบียนราษฎร์มีต่อมาเรื่อยๆ และมีการลงรายละเอียดมากขึ้นในยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ซึ่งเรื่องราวของ <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> เกิดขึ้นในสมัยนี้) ในสมัยนั้น ทะเบียนราษฎร์คือการสรุปรวมข้อมูลของทะเบียนบ้านหรือที่เรียกว่า ‘โส่วสือ’ (手实) มีการจัดแยกหมวดหมู่ตามสถานะ กล่าวคือเป็นเจ้าบ้าน เป็นสมาชิกของตระกูล หรือเป็นผู้อยู่อาศัยในเรือนเช่นทาส บ่าว นักดนตรี ฯลฯ และมีการบันทึกรายละเอียดเพิ่มเติมของรูปพรรณสัณฐาน เช่นส่วนสูง สีผิว เป็นต้น โดยมีเพียงสมาชิกของตระกูลเท่านั้นที่จะมีสิทธิแยกออกมาจัดตั้งครัวเรือนใหม่ได้ (Storyฯ เพิ่งเข้าใจบริบทที่ว่าบางนิยายจีนโบราณกล่าวถึงการ ‘แยกบ้าน’ ของคนในตระกูลเดียวกันที่ฟังดูเป็นเรื่องราวใหญ่โต) สำหรับชาวไร่ชาวนา ข้อมูลจากโส่วสือยังถูกใช้ในการจัดสรรที่ดินทำกิน โดยอิงตามจำนวนสมาชิกในบ้าน ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิง มีการลงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกคืออาชีพของคนในบ้าน เช่น นายช่าง ทหาร หรือข้าราชการ ฯลฯ และมีรายละเอียดรายรับและสินทรัพย์ของแต่ละคนเพิ่มเติม เช่นจำนวนที่ดิน บ้าน ร้านค้า รถม้า เรือ ฯลฯ ทะเบียนราษฎร์นี้เรียกว่า ‘หวงเช่อ’ (黄册) แปลตรงตัวว่าสมุดเหลือง เพราะมักใช้ปกสีเหลือง (โนว์... ไม่ใช่สมุดโทรศัพท์ Yellow Pages จ้า) อีกทั้งการนำข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์มาใช้เพิ่มดีกรีความเข้มข้น ใครจะเดินทางต้องพกเอกสารใบอนุญาตที่มีข้อมูลประจำตัวและบ้าน (Storyฯ นึกถึงในละครที่จะผ่านประตูเมืองแต่ละครั้งต้องควักเอกสารออกมาฉบับหนึ่ง) Storyฯ รู้สึกทึ่งว่า แบบแผนการบริหารงานบ้านเมืองในโลกปัจจุบัน จริงๆ แล้วไม่ได้หนีจากของโบราณที่มีมาหลายพันปีแล้วเลย คนโบราณช่างคิดช่างทำ เก่งจริง เพื่อนๆ ว่าไหม? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://luvasianseries.blogspot.com/2020/10/longest-day-in-changan.html https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/113664748 http://www.naradafoundation.org/content/6526 https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ประวัติศาสตร์จีน #ทะเบียนราษฎร์จีน #ราชวงศ์ถัง
    1 Comments 0 Shares 714 Views 0 Reviews
More Results