• กัมพูชายังเคลื่อนกำลัง โดรนบินว่อน 93 ลำ : [NEWS UPDATE]

    ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 รายงานสถานการณ์แนวชายแดนไทย-กัมพูชา พบฝ่ายกัมพูชายังมีกำลังพล รถยนต์และรถบรรทุกหลายคันเคลื่อนเข้าบางพื้นที่บริเวณแนวชายแดน พบโดรนฝ่ายกัมพูชา 93 ลำ ซึ่งกองกำลังทั้งสองฝ่ายยังตรึงกำลังประจำที่มั่นของตน เพื่อเตรียมความพร้อมหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่วนข่าวที่ระบุว่า แม่ทัพภาคที่ 2 สั่งรื้อถอนบ้านเรือนและตลาดบริเวณช่องอานม้า โดยนำรถแบ๊กโฮเข้ารื้อถอน ไม่เป็นความจริง คลิปวิดีโอนั้นเป็นคลิปจากต่างประเทศ สังเกตจากการแต่งกายของเจ้าหน้าที่แตกต่างจากเจ้าหน้าที่ในประเทศไทยชัดเจน ขอประชาชนรับข้อมูลข่าวสารอย่างมีวิจารณญาณ ติดตามข้อมูลจากช่องทางการของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง

    -โต้เขมรดิสเครดิตไทย

    -ไม่ไว้ใจเขมรล้วงข้อมูล

    -ทิ้ง 394 ซิมเกลื่อนชายแดน

    -ดักคอวุฒิสภาคว่ำงบประมาณ
    กัมพูชายังเคลื่อนกำลัง โดรนบินว่อน 93 ลำ : [NEWS UPDATE] ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 รายงานสถานการณ์แนวชายแดนไทย-กัมพูชา พบฝ่ายกัมพูชายังมีกำลังพล รถยนต์และรถบรรทุกหลายคันเคลื่อนเข้าบางพื้นที่บริเวณแนวชายแดน พบโดรนฝ่ายกัมพูชา 93 ลำ ซึ่งกองกำลังทั้งสองฝ่ายยังตรึงกำลังประจำที่มั่นของตน เพื่อเตรียมความพร้อมหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่วนข่าวที่ระบุว่า แม่ทัพภาคที่ 2 สั่งรื้อถอนบ้านเรือนและตลาดบริเวณช่องอานม้า โดยนำรถแบ๊กโฮเข้ารื้อถอน ไม่เป็นความจริง คลิปวิดีโอนั้นเป็นคลิปจากต่างประเทศ สังเกตจากการแต่งกายของเจ้าหน้าที่แตกต่างจากเจ้าหน้าที่ในประเทศไทยชัดเจน ขอประชาชนรับข้อมูลข่าวสารอย่างมีวิจารณญาณ ติดตามข้อมูลจากช่องทางการของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง -โต้เขมรดิสเครดิตไทย -ไม่ไว้ใจเขมรล้วงข้อมูล -ทิ้ง 394 ซิมเกลื่อนชายแดน -ดักคอวุฒิสภาคว่ำงบประมาณ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 316 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Nvidia ยังนำ แต่คู่แข่งกำลังไล่ – เมื่อ AI ต้องเลือกมากกว่าความแรง

    ในโลกของ AI ที่ต้องการพลังการประมวลผลมหาศาล Nvidia ยังคงเป็นผู้นำด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะ GPU ที่ใช้ในการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ แต่ผลการสำรวจล่าสุดจาก Liquid Web ในเดือนสิงหาคม 2025 พบว่าเกือบหนึ่งในสามของทีม AI เริ่มหันไปใช้ฮาร์ดแวร์จาก Google, AMD และ Intel แทน

    เหตุผลหลักคือ “ต้นทุน” และ “ความพร้อมใช้งาน” ที่เริ่มกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ ทีมงานหลายแห่งต้องลดขนาดโครงการ หรือยกเลิกไปเลย เพราะไม่สามารถจัดหาฮาร์ดแวร์ Nvidia ได้ทันเวลา หรือมีงบประมาณไม่พอ

    แม้ว่า 68% ของทีมยังคงเลือก Nvidia เป็นหลัก แต่มีถึง 28% ที่ยอมรับว่าไม่ได้เปรียบเทียบทางเลือกอื่นอย่างจริงจังก่อนตัดสินใจ ซึ่งนำไปสู่การติดตั้งระบบที่ไม่เหมาะสม และประสิทธิภาพต่ำกว่าที่ควร

    นอกจากนี้ การใช้ระบบแบบ hybrid และ cloud ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมากกว่าครึ่งของทีม AI ใช้ทั้งระบบในองค์กรและคลาวด์ร่วมกัน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านพลังงานและการจัดการ GPU แบบแบ่งส่วน

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Nvidia ยังคงเป็นผู้นำด้านฮาร์ดแวร์ AI โดยมีผู้ใช้ถึง 68% จากการสำรวจ
    เกือบหนึ่งในสามของทีม AI เริ่มใช้ฮาร์ดแวร์จาก Google, AMD และ Intel
    เหตุผลหลักคือข้อจำกัดด้านงบประมาณและการขาดแคลน GPU
    42% ของทีมต้องลดขนาดโครงการ และ 14% ยกเลิกโครงการเพราะต้นทุน
    28% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าไม่ได้เปรียบเทียบทางเลือกอื่นก่อนซื้อ
    การขาดการทดสอบนำไปสู่ระบบที่ไม่เหมาะสมและประสิทธิภาพต่ำ
    มากกว่าครึ่งของทีมใช้ระบบ hybrid และ cloud เพื่อเสริมความยืดหยุ่น
    Dedicated GPU hosting ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ลดการสูญเสียประสิทธิภาพ
    แม้ 45% ให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ แต่มีเพียง 13% ที่ปรับระบบเพื่อประหยัดพลังงานจริง
    ความคุ้นเคยและประสบการณ์เดิมเป็นปัจจัยหลักในการเลือก GPU มากกว่าประสิทธิภาพหรือราคา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Google TPU ถูกใช้โดย OpenAI และบริษัทใหญ่หลายแห่งเพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุน Nvidia
    AMD เข้าซื้อกิจการหลายแห่งเพื่อพัฒนา Instinct GPU ให้ใกล้เคียงกับ Nvidia Blackwell
    Intel พัฒนา Gaudi2 และ Gaudi3 เพื่อเจาะตลาด AI โดยเน้นราคาต่ำและประสิทธิภาพเฉพาะทาง
    Nvidia เปิดตัว Cosmos Reason และ NuRec ที่ SIGGRAPH 2025 เพื่อเสริมการประมวลผล AI เชิงกายภาพ
    การแข่งขันด้านฮาร์ดแวร์ AI ส่งผลต่อการพัฒนาโมเดลใหม่ เช่น diffusion, LLM และ vision AI

    https://www.techradar.com/pro/google-amd-and-intel-catching-up-on-nvidia-survey-shows-almost-a-third-of-ai-teams-now-use-non-nvidia-hardware
    🎙️ Nvidia ยังนำ แต่คู่แข่งกำลังไล่ – เมื่อ AI ต้องเลือกมากกว่าความแรง ในโลกของ AI ที่ต้องการพลังการประมวลผลมหาศาล Nvidia ยังคงเป็นผู้นำด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะ GPU ที่ใช้ในการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ แต่ผลการสำรวจล่าสุดจาก Liquid Web ในเดือนสิงหาคม 2025 พบว่าเกือบหนึ่งในสามของทีม AI เริ่มหันไปใช้ฮาร์ดแวร์จาก Google, AMD และ Intel แทน เหตุผลหลักคือ “ต้นทุน” และ “ความพร้อมใช้งาน” ที่เริ่มกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ ทีมงานหลายแห่งต้องลดขนาดโครงการ หรือยกเลิกไปเลย เพราะไม่สามารถจัดหาฮาร์ดแวร์ Nvidia ได้ทันเวลา หรือมีงบประมาณไม่พอ แม้ว่า 68% ของทีมยังคงเลือก Nvidia เป็นหลัก แต่มีถึง 28% ที่ยอมรับว่าไม่ได้เปรียบเทียบทางเลือกอื่นอย่างจริงจังก่อนตัดสินใจ ซึ่งนำไปสู่การติดตั้งระบบที่ไม่เหมาะสม และประสิทธิภาพต่ำกว่าที่ควร นอกจากนี้ การใช้ระบบแบบ hybrid และ cloud ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมากกว่าครึ่งของทีม AI ใช้ทั้งระบบในองค์กรและคลาวด์ร่วมกัน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านพลังงานและการจัดการ GPU แบบแบ่งส่วน 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Nvidia ยังคงเป็นผู้นำด้านฮาร์ดแวร์ AI โดยมีผู้ใช้ถึง 68% จากการสำรวจ ➡️ เกือบหนึ่งในสามของทีม AI เริ่มใช้ฮาร์ดแวร์จาก Google, AMD และ Intel ➡️ เหตุผลหลักคือข้อจำกัดด้านงบประมาณและการขาดแคลน GPU ➡️ 42% ของทีมต้องลดขนาดโครงการ และ 14% ยกเลิกโครงการเพราะต้นทุน ➡️ 28% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าไม่ได้เปรียบเทียบทางเลือกอื่นก่อนซื้อ ➡️ การขาดการทดสอบนำไปสู่ระบบที่ไม่เหมาะสมและประสิทธิภาพต่ำ ➡️ มากกว่าครึ่งของทีมใช้ระบบ hybrid และ cloud เพื่อเสริมความยืดหยุ่น ➡️ Dedicated GPU hosting ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ลดการสูญเสียประสิทธิภาพ ➡️ แม้ 45% ให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ แต่มีเพียง 13% ที่ปรับระบบเพื่อประหยัดพลังงานจริง ➡️ ความคุ้นเคยและประสบการณ์เดิมเป็นปัจจัยหลักในการเลือก GPU มากกว่าประสิทธิภาพหรือราคา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Google TPU ถูกใช้โดย OpenAI และบริษัทใหญ่หลายแห่งเพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุน Nvidia ➡️ AMD เข้าซื้อกิจการหลายแห่งเพื่อพัฒนา Instinct GPU ให้ใกล้เคียงกับ Nvidia Blackwell ➡️ Intel พัฒนา Gaudi2 และ Gaudi3 เพื่อเจาะตลาด AI โดยเน้นราคาต่ำและประสิทธิภาพเฉพาะทาง ➡️ Nvidia เปิดตัว Cosmos Reason และ NuRec ที่ SIGGRAPH 2025 เพื่อเสริมการประมวลผล AI เชิงกายภาพ ➡️ การแข่งขันด้านฮาร์ดแวร์ AI ส่งผลต่อการพัฒนาโมเดลใหม่ เช่น diffusion, LLM และ vision AI https://www.techradar.com/pro/google-amd-and-intel-catching-up-on-nvidia-survey-shows-almost-a-third-of-ai-teams-now-use-non-nvidia-hardware
    WWW.TECHRADAR.COM
    Rising costs push AI developers to weigh Google, AMD, and Intel hardware alongside Nvidia
    Rising costs, hardware shortages, and cloud adoption are pushing teams to test alternatives
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานการณ์ยัง 50-50 เขมรไม่มีอะไรไว้ใจได้ : [NEWS UPDATE]
    พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เผยกรณีการลงพื้นที่ของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว บริเวณช่องอานม้า และเกิดเหตุการณ์ทหารกัมพูชานายหนึ่งขัดขวางอ้างทางการไทยไม่แจ้งรายละเอียด เป็นลีลาของกัมพูชา ยืนยันพื้นที่นั้นอยู่ในอธิปไตยไทย ที่ผ่านมากัมพูชานำคณะลงพื้นที่ก็ไม่ได้ขออนุญาตไทย ขณะที่เหตุการณ์ตลอดแนวชายแดนเกือบ 1,000 กิโลเมตร มีหลายเหตุการณ์ ทหารพยายามทำให้ดีที่สุด ช่วงนี้สถานการณ์ยัง 50-50 ตามภาพข่าวประเทศเขมรก็เป็นไปตามที่เราเข้าใจ ไม่มีอะไรที่เราไว้ใจได้ ซึ่งเหล่าทัพมีความพร้อม ทั้งที่จะคุยกันแบบมิตรภาพ หรือถ้ามีเหตุจะปะทะกันอีกก็พร้อม


    สำรวจร่องรอยโดนระเบิด

    กอดไทยด้วยเสียงเพลง

    ปัจจัยรุมเร้ากดความเชื่อมั่น

    โลกเผชิญคลื่นร้อนสุดขั้ว
    สถานการณ์ยัง 50-50 เขมรไม่มีอะไรไว้ใจได้ : [NEWS UPDATE] พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เผยกรณีการลงพื้นที่ของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว บริเวณช่องอานม้า และเกิดเหตุการณ์ทหารกัมพูชานายหนึ่งขัดขวางอ้างทางการไทยไม่แจ้งรายละเอียด เป็นลีลาของกัมพูชา ยืนยันพื้นที่นั้นอยู่ในอธิปไตยไทย ที่ผ่านมากัมพูชานำคณะลงพื้นที่ก็ไม่ได้ขออนุญาตไทย ขณะที่เหตุการณ์ตลอดแนวชายแดนเกือบ 1,000 กิโลเมตร มีหลายเหตุการณ์ ทหารพยายามทำให้ดีที่สุด ช่วงนี้สถานการณ์ยัง 50-50 ตามภาพข่าวประเทศเขมรก็เป็นไปตามที่เราเข้าใจ ไม่มีอะไรที่เราไว้ใจได้ ซึ่งเหล่าทัพมีความพร้อม ทั้งที่จะคุยกันแบบมิตรภาพ หรือถ้ามีเหตุจะปะทะกันอีกก็พร้อม สำรวจร่องรอยโดนระเบิด กอดไทยด้วยเสียงเพลง ปัจจัยรุมเร้ากดความเชื่อมั่น โลกเผชิญคลื่นร้อนสุดขั้ว
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เมื่อ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นความเสี่ยง: NIST กับกรอบความปลอดภัยใหม่สำหรับยุคปัญญาประดิษฐ์

    ในปี 2025 สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ NIST ได้เปิดตัวเอกสารแนวคิดใหม่ที่ชื่อว่า “Cyber AI Profile” ซึ่งเป็นความพยายามในการสร้างกรอบควบคุมความปลอดภัยเฉพาะสำหรับระบบ AI โดยอิงจากกรอบเดิมที่ใช้กันแพร่หลายอย่าง NIST SP 800-53 และ Cybersecurity Framework (CSF)

    แนวคิดหลักคือการสร้าง “control overlay” หรือชุดควบคุมที่ปรับแต่งให้เหมาะกับเทคโนโลยี AI แต่ละประเภท เช่น generative AI, predictive AI และ agentic AI โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องความลับ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งานของข้อมูลในแต่ละกรณี

    NIST ยังเปิดช่องทางให้ผู้เชี่ยวชาญและประชาชนทั่วไปร่วมให้ความเห็นผ่าน Slack และเวิร์กช็อปต่าง ๆ เพื่อพัฒนาแนวทางนี้ให้ครอบคลุมและใช้งานได้จริง โดยเฉพาะในองค์กรที่ต้องรับมือกับ AI ทั้งในฐานะผู้ใช้และผู้พัฒนา

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคน เช่น Melissa Ruzzi จาก AppOmni ได้แสดงความกังวลว่าเอกสารนี้ยังขาดรายละเอียดที่จำเป็น เช่น ความแตกต่างระหว่าง AI แบบ supervised กับ unsupervised และการควบคุมตามระดับความอ่อนไหวของข้อมูล เช่น ข้อมูลสุขภาพหรือข้อมูลส่วนบุคคล

    นอกจากนี้ ยังมีเสียงเรียกร้องจากผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) ว่าอย่า “สร้างวงล้อใหม่” เพราะองค์กรต่าง ๆ กำลังเผชิญกับภาระด้านความปลอดภัยมากพออยู่แล้ว การเพิ่มกรอบใหม่ควรเชื่อมโยงกับสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่สร้างสิ่งใหม่ที่ต้องเรียนรู้ทั้งหมดอีกครั้ง

    แนวคิดใหม่จาก NIST: Cyber AI Profile
    สร้างกรอบควบคุมความปลอดภัยเฉพาะสำหรับระบบ AI
    อิงจาก NIST SP 800-53 และ Cybersecurity Framework (CSF)
    ใช้ “control overlay” เพื่อปรับแต่งการควบคุมให้เหมาะกับเทคโนโลยี AI แต่ละประเภท

    ประเภทของ AI ที่อยู่ในแนวทาง
    generative AI: สร้างเนื้อหาใหม่ เช่น ChatGPT
    predictive AI: วิเคราะห์แนวโน้ม เช่น การคาดการณ์ยอดขาย
    agentic AI: ระบบที่ตัดสินใจเอง เช่น หุ่นยนต์อัตโนมัติ

    ความร่วมมือและการเปิดรับความคิดเห็น
    เปิด Slack channel ให้ผู้เชี่ยวชาญร่วมแสดงความเห็น
    จัดเวิร์กช็อปเพื่อรับฟังจาก CISO และนักพัฒนา
    เตรียมเผยแพร่ร่างแรกเพื่อรับความคิดเห็นสาธารณะ

    ความเชื่อมโยงกับกรอบเดิม
    ใช้ taxonomy เดิมของ CSF เพื่อไม่ให้เกิดภาระใหม่
    เชื่อมโยงกับ AI Risk Management Framework เพื่อครอบคลุมความเสี่ยงด้านอื่น ๆ

    https://hackread.com/nist-concept-paper-ai-specific-cybersecurity-framework/
    🧠 เมื่อ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นความเสี่ยง: NIST กับกรอบความปลอดภัยใหม่สำหรับยุคปัญญาประดิษฐ์ ในปี 2025 สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ NIST ได้เปิดตัวเอกสารแนวคิดใหม่ที่ชื่อว่า “Cyber AI Profile” ซึ่งเป็นความพยายามในการสร้างกรอบควบคุมความปลอดภัยเฉพาะสำหรับระบบ AI โดยอิงจากกรอบเดิมที่ใช้กันแพร่หลายอย่าง NIST SP 800-53 และ Cybersecurity Framework (CSF) แนวคิดหลักคือการสร้าง “control overlay” หรือชุดควบคุมที่ปรับแต่งให้เหมาะกับเทคโนโลยี AI แต่ละประเภท เช่น generative AI, predictive AI และ agentic AI โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องความลับ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งานของข้อมูลในแต่ละกรณี NIST ยังเปิดช่องทางให้ผู้เชี่ยวชาญและประชาชนทั่วไปร่วมให้ความเห็นผ่าน Slack และเวิร์กช็อปต่าง ๆ เพื่อพัฒนาแนวทางนี้ให้ครอบคลุมและใช้งานได้จริง โดยเฉพาะในองค์กรที่ต้องรับมือกับ AI ทั้งในฐานะผู้ใช้และผู้พัฒนา อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคน เช่น Melissa Ruzzi จาก AppOmni ได้แสดงความกังวลว่าเอกสารนี้ยังขาดรายละเอียดที่จำเป็น เช่น ความแตกต่างระหว่าง AI แบบ supervised กับ unsupervised และการควบคุมตามระดับความอ่อนไหวของข้อมูล เช่น ข้อมูลสุขภาพหรือข้อมูลส่วนบุคคล นอกจากนี้ ยังมีเสียงเรียกร้องจากผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) ว่าอย่า “สร้างวงล้อใหม่” เพราะองค์กรต่าง ๆ กำลังเผชิญกับภาระด้านความปลอดภัยมากพออยู่แล้ว การเพิ่มกรอบใหม่ควรเชื่อมโยงกับสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่สร้างสิ่งใหม่ที่ต้องเรียนรู้ทั้งหมดอีกครั้ง ✅ แนวคิดใหม่จาก NIST: Cyber AI Profile ➡️ สร้างกรอบควบคุมความปลอดภัยเฉพาะสำหรับระบบ AI ➡️ อิงจาก NIST SP 800-53 และ Cybersecurity Framework (CSF) ➡️ ใช้ “control overlay” เพื่อปรับแต่งการควบคุมให้เหมาะกับเทคโนโลยี AI แต่ละประเภท ✅ ประเภทของ AI ที่อยู่ในแนวทาง ➡️ generative AI: สร้างเนื้อหาใหม่ เช่น ChatGPT ➡️ predictive AI: วิเคราะห์แนวโน้ม เช่น การคาดการณ์ยอดขาย ➡️ agentic AI: ระบบที่ตัดสินใจเอง เช่น หุ่นยนต์อัตโนมัติ ✅ ความร่วมมือและการเปิดรับความคิดเห็น ➡️ เปิด Slack channel ให้ผู้เชี่ยวชาญร่วมแสดงความเห็น ➡️ จัดเวิร์กช็อปเพื่อรับฟังจาก CISO และนักพัฒนา ➡️ เตรียมเผยแพร่ร่างแรกเพื่อรับความคิดเห็นสาธารณะ ✅ ความเชื่อมโยงกับกรอบเดิม ➡️ ใช้ taxonomy เดิมของ CSF เพื่อไม่ให้เกิดภาระใหม่ ➡️ เชื่อมโยงกับ AI Risk Management Framework เพื่อครอบคลุมความเสี่ยงด้านอื่น ๆ https://hackread.com/nist-concept-paper-ai-specific-cybersecurity-framework/
    HACKREAD.COM
    New NIST Concept Paper Outlines AI-Specific Cybersecurity Framework
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่าให้ฟังใหม่: เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของโรงงานในยุคสงครามภาษี

    ในยุคที่สงครามภาษีระหว่างประเทศกลับมารุนแรงอีกครั้ง ผู้ผลิตในสหรัฐฯ อย่าง The Toro Company กลับไม่ตื่นตระหนก พวกเขาเลือกใช้แนวทาง “Just-in-Time” หรือการบริหารสินค้าคงคลังแบบพอดีพอใช้ แทนที่จะกักตุนสินค้าไว้เต็มโกดังเหมือนในช่วงโควิด

    แต่การทำแบบนี้ในยุคที่ภาษีเปลี่ยนแปลงรายวันและความขัดแย้งระหว่างประเทศเกิดขึ้นตลอดเวลา ต้องอาศัยเครื่องมือที่ฉลาดมาก — และนั่นคือ AI

    Kevin Carpenter หัวหน้าฝ่ายซัพพลายเชนของ Toro ใช้ AI สร้างพอดแคสต์ส่วนตัวที่สรุปข่าวสารสำคัญทุกเช้า และใช้ generative AI วิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลเพื่อแนะนำว่า ควรซื้อชิ้นส่วนจากใคร เมื่อไร และจำนวนเท่าไร

    บริษัทต่าง ๆ เริ่มลงทุนใน AI สำหรับซัพพลายเชนมากขึ้น โดยคาดว่ามูลค่าตลาดจะพุ่งถึง 55 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2029 จากเพียง 2.7 พันล้านในปัจจุบัน

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า AI ไม่ใช่ยาวิเศษ และการลงทุนโดยไม่เข้าใจอาจนำไปสู่ความสูญเปล่า

    AI ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการพยากรณ์ความต้องการสินค้า
    ลดปัญหาสินค้าขาดหรือค้างสต็อก

    AI ช่วยเลือกซัพพลายเออร์ที่เหมาะสมโดยวิเคราะห์ราคา ความเสี่ยง และระยะเวลาส่งมอบ
    เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดซื้อ

    AI ช่วยปรับระดับสินค้าคงคลังแบบไดนามิกตามความต้องการ
    ลดของเสียและเพิ่มความพร้อมในการส่งมอบ

    AI สามารถเชื่อมระบบ ERP, WMS, TMS เข้าด้วยกันเพื่อสร้าง “single source of truth”
    ลดความผิดพลาดจากข้อมูลที่กระจัดกระจาย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/13/analysis-just-in-time-manufacturers-turn-to-ai-to-weather-tariff-storm
    🤖📦 เล่าให้ฟังใหม่: เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของโรงงานในยุคสงครามภาษี ในยุคที่สงครามภาษีระหว่างประเทศกลับมารุนแรงอีกครั้ง ผู้ผลิตในสหรัฐฯ อย่าง The Toro Company กลับไม่ตื่นตระหนก พวกเขาเลือกใช้แนวทาง “Just-in-Time” หรือการบริหารสินค้าคงคลังแบบพอดีพอใช้ แทนที่จะกักตุนสินค้าไว้เต็มโกดังเหมือนในช่วงโควิด แต่การทำแบบนี้ในยุคที่ภาษีเปลี่ยนแปลงรายวันและความขัดแย้งระหว่างประเทศเกิดขึ้นตลอดเวลา ต้องอาศัยเครื่องมือที่ฉลาดมาก — และนั่นคือ AI Kevin Carpenter หัวหน้าฝ่ายซัพพลายเชนของ Toro ใช้ AI สร้างพอดแคสต์ส่วนตัวที่สรุปข่าวสารสำคัญทุกเช้า และใช้ generative AI วิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลเพื่อแนะนำว่า ควรซื้อชิ้นส่วนจากใคร เมื่อไร และจำนวนเท่าไร บริษัทต่าง ๆ เริ่มลงทุนใน AI สำหรับซัพพลายเชนมากขึ้น โดยคาดว่ามูลค่าตลาดจะพุ่งถึง 55 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2029 จากเพียง 2.7 พันล้านในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า AI ไม่ใช่ยาวิเศษ และการลงทุนโดยไม่เข้าใจอาจนำไปสู่ความสูญเปล่า ✅ AI ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการพยากรณ์ความต้องการสินค้า ➡️ ลดปัญหาสินค้าขาดหรือค้างสต็อก ✅ AI ช่วยเลือกซัพพลายเออร์ที่เหมาะสมโดยวิเคราะห์ราคา ความเสี่ยง และระยะเวลาส่งมอบ ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดซื้อ ✅ AI ช่วยปรับระดับสินค้าคงคลังแบบไดนามิกตามความต้องการ ➡️ ลดของเสียและเพิ่มความพร้อมในการส่งมอบ ✅ AI สามารถเชื่อมระบบ ERP, WMS, TMS เข้าด้วยกันเพื่อสร้าง “single source of truth” ➡️ ลดความผิดพลาดจากข้อมูลที่กระจัดกระจาย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/13/analysis-just-in-time-manufacturers-turn-to-ai-to-weather-tariff-storm
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Analysis-Just in time? Manufacturers turn to AI to weather tariff storm
    LONDON (Reuters) -Manufacturers like U.S. lawnmower maker The Toro Company are not panicking at the prospect of U.S. President Donald Trump's global trade tariffs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครด่าลุงตู่ ใครชมเศรษฐา ใครชมทักษิณ ใครชมแพทองธาร ใครชมชัชชาติ ใครชมส้มเน่า ก็ทำไป แต่ผมขอไม่สนใจเรื่องนี้จะดีกว่า ลำพังเรื่องส่วนตัวที่แทบจะเคลียร์ไม่ไหวก็เกินจะรับพอแล้ว ขอเอาเรื่องส่วนตัวให้รอดก่อนดีกว่า จะได้มีความพร้อมมากกว่านี้
    ผมคงพูดอะไรได้ไม่มาก แบบว่า เบิ๊ดคำสิเว่า จริงๆ
    ถ้าให้ณภัทร ลูกชาย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นผู้ว่าแบงค์ชาติ ก็ด่าเค้าอีก วิทัย รัตนากร รายนี้ไม่แรงเหมือนกิตติรัตน์ แต่น่าจะน้องชายวราเทพ คนกำแพงเพชร พปชร. พอวิทัยไม่ได้ดั่งใจก็ไปด่าเค้าอีก เศรษฐพุฒิยังโดนด่ายับเลย อะไรที่หวังกับเขาแล้วไม่ได้ดั่งใจก็โดนด่าอย่างเอาเป็นเอาตาย
    คือสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่พวกคุณดูถูกว่าเค้าและทีมงานเป็นแค่ปลายแถวของทักษิณ ผมว่าไม่ใช่ปลายแถวนะ หัวหอกต้นแถวของทักษิณเชียวนะ ผมโดนดูถูกผมเองก็แทบจะหมดความอดทนในขณะที่ทีมสมคิดยังอดทนกว่าและเข้มแข็งหนักแน่นกว่า
    บางทีผมคิดถูกแล้วที่วางเฉยไม่อยากร่วมวงขัดแย้งของฝั่งเดียวกันให้ฝั่งแดงส้มหัวเราะรอมร่อ แต่รอให้ดีขึ้นก่อน ณ ตอนนี้ ยังไม่ดีขึ้นเลย ไม่เห็นความแฟร์ๆของฝ่ายเดียวกันทั้ง 2 กลุ่ม ถ้าเรื่องเขากระโดงอย่าให้เห็นนะว่าเอ่ยปากชมไอ้ภูมิธรรมแทนที่จะเล่นเรื่องกัมพูชาแต่เรื่องเขากระโดงสำคัญขนาดนั้นเลยรึไงกัน
    ใครด่าลุงตู่ ใครชมเศรษฐา ใครชมทักษิณ ใครชมแพทองธาร ใครชมชัชชาติ ใครชมส้มเน่า ก็ทำไป แต่ผมขอไม่สนใจเรื่องนี้จะดีกว่า ลำพังเรื่องส่วนตัวที่แทบจะเคลียร์ไม่ไหวก็เกินจะรับพอแล้ว ขอเอาเรื่องส่วนตัวให้รอดก่อนดีกว่า จะได้มีความพร้อมมากกว่านี้ ผมคงพูดอะไรได้ไม่มาก แบบว่า เบิ๊ดคำสิเว่า จริงๆ ถ้าให้ณภัทร ลูกชาย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นผู้ว่าแบงค์ชาติ ก็ด่าเค้าอีก วิทัย รัตนากร รายนี้ไม่แรงเหมือนกิตติรัตน์ แต่น่าจะน้องชายวราเทพ คนกำแพงเพชร พปชร. พอวิทัยไม่ได้ดั่งใจก็ไปด่าเค้าอีก เศรษฐพุฒิยังโดนด่ายับเลย อะไรที่หวังกับเขาแล้วไม่ได้ดั่งใจก็โดนด่าอย่างเอาเป็นเอาตาย คือสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่พวกคุณดูถูกว่าเค้าและทีมงานเป็นแค่ปลายแถวของทักษิณ ผมว่าไม่ใช่ปลายแถวนะ หัวหอกต้นแถวของทักษิณเชียวนะ ผมโดนดูถูกผมเองก็แทบจะหมดความอดทนในขณะที่ทีมสมคิดยังอดทนกว่าและเข้มแข็งหนักแน่นกว่า บางทีผมคิดถูกแล้วที่วางเฉยไม่อยากร่วมวงขัดแย้งของฝั่งเดียวกันให้ฝั่งแดงส้มหัวเราะรอมร่อ แต่รอให้ดีขึ้นก่อน ณ ตอนนี้ ยังไม่ดีขึ้นเลย ไม่เห็นความแฟร์ๆของฝ่ายเดียวกันทั้ง 2 กลุ่ม ถ้าเรื่องเขากระโดงอย่าให้เห็นนะว่าเอ่ยปากชมไอ้ภูมิธรรมแทนที่จะเล่นเรื่องกัมพูชาแต่เรื่องเขากระโดงสำคัญขนาดนั้นเลยรึไงกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกหน่วยความจำ: Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD PCIe 6.0 สำหรับผู้ใช้ทั่วไป — เร็วแรงทะลุ 25 GB/s แต่ต้องรอถึงปี 2029

    ในงาน Future Memory & Storage Conference ล่าสุด Silicon Motion ได้เผยโฉม “Neptune” คอนโทรลเลอร์ SSD รุ่นใหม่ที่รองรับ PCIe 6.0 x4 สำหรับเครื่องลูกข่าย (client PC) โดยสามารถอ่านข้อมูลแบบต่อเนื่องได้เร็วกว่า 25 GB/s และรองรับการอ่านแบบสุ่มถึง 3.5 ล้าน IOPS ซึ่งถือว่าเร็วกว่า SSD PCIe 5.0 ที่ดีที่สุดในตลาดตอนนี้หลายเท่า

    Neptune ใช้เทคโนโลยี NAND 8 ช่อง พร้อมความเร็วอินเทอร์เฟซสูงถึง 4800 MT/s และรองรับ NAND แบบ 3D ที่มีมากกว่า 400 ชั้น นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Separate Command Architecture (SCA) ที่ช่วยให้การส่งคำสั่งและที่อยู่ใน NAND เป็นแบบขนาน ลด latency และเพิ่ม bandwidth

    แม้จะน่าตื่นเต้น แต่ผลิตภัณฑ์จริงจะเริ่มผลิตในปี 2028 และวางจำหน่ายจริงในปี 2029 หรืออาจลากไปถึง 2030 เนื่องจากผู้ผลิต PC อย่าง AMD และ Intel ยังไม่แสดงความสนใจใน PCIe 6.0 สำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD รุ่น Neptune รองรับ PCIe 6.0 x4
    เป็นคอนโทรลเลอร์ PCIe Gen6 ตัวแรกสำหรับ client PC

    Neptune รองรับ NAND 8 ช่อง ความเร็วสูงสุด 4800 MT/s
    ใช้กับ NAND แบบ 3D ที่มีมากกว่า 400 ชั้น

    ความเร็วการอ่านต่อเนื่องมากกว่า 25 GB/s และสุ่มได้ 3.5 ล้าน IOPS
    เร็วกว่าคอนโทรลเลอร์ PCIe 5.0 อย่างเห็นได้ชัด

    ใช้เทคโนโลยี SCA เพื่อแยกเส้นทางคำสั่งและที่อยู่
    ลด latency และเพิ่ม bandwidth ในการใช้งานจริง

    คาดว่าจะเริ่มผลิตในปี 2028 และวางจำหน่ายในปี 2029–2030
    ขึ้นอยู่กับความพร้อมของตลาดและการยอมรับจากผู้ผลิต PC

    PCIe 6.0 มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 64 GT/s ต่อเลน
    เหมาะสำหรับงาน AI, HPC และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่

    คอนโทรลเลอร์ SM8466 สำหรับองค์กรมีความเร็วสูงถึง 28 GB/s และ 7 ล้าน IOPS
    ใช้ NAND 16 ช่องและฟีเจอร์ระดับ enterprise เช่น encryption และ virtualization

    SSD PCIe 6.0 ยังต้องการการออกแบบระบบที่รองรับ เช่น เมนบอร์ดและซีพียู
    ทำให้การใช้งานในตลาดทั่วไปยังไม่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้

    เทคโนโลยี NAND แบบ stacked layers กำลังพัฒนาไปถึง 500 ชั้น
    ช่วยเพิ่มความจุและลดต้นทุนต่อ GB ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/silicon-motion-gives-a-glimpse-of-its-pcie-6-0-controller-for-client-ssds-25-gb-s-sequential-reads-3-5-million-random-iops-coming-2028-2029
    🚀💾 เรื่องเล่าจากโลกหน่วยความจำ: Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD PCIe 6.0 สำหรับผู้ใช้ทั่วไป — เร็วแรงทะลุ 25 GB/s แต่ต้องรอถึงปี 2029 ในงาน Future Memory & Storage Conference ล่าสุด Silicon Motion ได้เผยโฉม “Neptune” คอนโทรลเลอร์ SSD รุ่นใหม่ที่รองรับ PCIe 6.0 x4 สำหรับเครื่องลูกข่าย (client PC) โดยสามารถอ่านข้อมูลแบบต่อเนื่องได้เร็วกว่า 25 GB/s และรองรับการอ่านแบบสุ่มถึง 3.5 ล้าน IOPS ซึ่งถือว่าเร็วกว่า SSD PCIe 5.0 ที่ดีที่สุดในตลาดตอนนี้หลายเท่า Neptune ใช้เทคโนโลยี NAND 8 ช่อง พร้อมความเร็วอินเทอร์เฟซสูงถึง 4800 MT/s และรองรับ NAND แบบ 3D ที่มีมากกว่า 400 ชั้น นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Separate Command Architecture (SCA) ที่ช่วยให้การส่งคำสั่งและที่อยู่ใน NAND เป็นแบบขนาน ลด latency และเพิ่ม bandwidth แม้จะน่าตื่นเต้น แต่ผลิตภัณฑ์จริงจะเริ่มผลิตในปี 2028 และวางจำหน่ายจริงในปี 2029 หรืออาจลากไปถึง 2030 เนื่องจากผู้ผลิต PC อย่าง AMD และ Intel ยังไม่แสดงความสนใจใน PCIe 6.0 สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ✅ Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD รุ่น Neptune รองรับ PCIe 6.0 x4 ➡️ เป็นคอนโทรลเลอร์ PCIe Gen6 ตัวแรกสำหรับ client PC ✅ Neptune รองรับ NAND 8 ช่อง ความเร็วสูงสุด 4800 MT/s ➡️ ใช้กับ NAND แบบ 3D ที่มีมากกว่า 400 ชั้น ✅ ความเร็วการอ่านต่อเนื่องมากกว่า 25 GB/s และสุ่มได้ 3.5 ล้าน IOPS ➡️ เร็วกว่าคอนโทรลเลอร์ PCIe 5.0 อย่างเห็นได้ชัด ✅ ใช้เทคโนโลยี SCA เพื่อแยกเส้นทางคำสั่งและที่อยู่ ➡️ ลด latency และเพิ่ม bandwidth ในการใช้งานจริง ✅ คาดว่าจะเริ่มผลิตในปี 2028 และวางจำหน่ายในปี 2029–2030 ➡️ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของตลาดและการยอมรับจากผู้ผลิต PC ✅ PCIe 6.0 มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 64 GT/s ต่อเลน ➡️ เหมาะสำหรับงาน AI, HPC และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ✅ คอนโทรลเลอร์ SM8466 สำหรับองค์กรมีความเร็วสูงถึง 28 GB/s และ 7 ล้าน IOPS ➡️ ใช้ NAND 16 ช่องและฟีเจอร์ระดับ enterprise เช่น encryption และ virtualization ✅ SSD PCIe 6.0 ยังต้องการการออกแบบระบบที่รองรับ เช่น เมนบอร์ดและซีพียู ➡️ ทำให้การใช้งานในตลาดทั่วไปยังไม่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ✅ เทคโนโลยี NAND แบบ stacked layers กำลังพัฒนาไปถึง 500 ชั้น ➡️ ช่วยเพิ่มความจุและลดต้นทุนต่อ GB ในอนาคต https://www.tomshardware.com/tech-industry/silicon-motion-gives-a-glimpse-of-its-pcie-6-0-controller-for-client-ssds-25-gb-s-sequential-reads-3-5-million-random-iops-coming-2028-2029
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว
  • เวลานี้งบประมาณของกรุงเทพมหานครกำลังถูกพรรคประชาชนขุดคุ้ยอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้สมาชิกสภากรุงเทพมหานครของพรรคประชาชน เพิ่งออกมาเปิดเผยถึงการจัดทำงบประมาณสำหรับการปรับปรุงอาคารสถานที่ของสภากรุงเทพมหานคร ล่าสุดเป็นคิวของคนคุ้นเคยที่ออกมาเปิดโปงงบประมาณของกรุงเทพมหานครอย่าง นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม.พรรคประชาชน โดยโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับงบเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัย มูลค่ารวม 10.4 ล้านบาท ที่รายละเอียดภายในทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นการพาข้าราชการใกล้เกษียณไปเที่ยวทิ้งทวนหรือไม่
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000074790

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    เวลานี้งบประมาณของกรุงเทพมหานครกำลังถูกพรรคประชาชนขุดคุ้ยอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้สมาชิกสภากรุงเทพมหานครของพรรคประชาชน เพิ่งออกมาเปิดเผยถึงการจัดทำงบประมาณสำหรับการปรับปรุงอาคารสถานที่ของสภากรุงเทพมหานคร ล่าสุดเป็นคิวของคนคุ้นเคยที่ออกมาเปิดโปงงบประมาณของกรุงเทพมหานครอย่าง นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม.พรรคประชาชน โดยโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับงบเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัย มูลค่ารวม 10.4 ล้านบาท ที่รายละเอียดภายในทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นการพาข้าราชการใกล้เกษียณไปเที่ยวทิ้งทวนหรือไม่ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000074790 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 987 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ดูสนิทกันดีเนอะ!"

    6 สิงหาคม พ.ศ. 2568
    กระทรวงกลาโหมกัมพูชาเผยแพร่ภาพ "พลเอกเตีย เซ็ยฮา" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา พร้อมทั้งนายเอ็ดการ์ด คาแกน เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำมาเลเซีย เข้าพบพลเรือเอก ซามูเอล ปาปาโร ผู้บัญชาการกองบัญชาการอินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ (USINDOPACOM) ที่สำนักงานในฮาวาย

    ผู้นำทั้งสองฝ่ายได้เน้นย้ำถึงการติดตามการดำเนินการที่ผ่านมาอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จและมีประสิทธิผล

    และสหรัฐอเมริกายืนยันจะให้การสนับสนุนด้านโลจิสติกส์และเทคนิคที่สำคัญในการจัดตั้งคณะทำงานตรวจสอบอาเซียน (AMT) โดยเร็วที่สุด

    นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังได้สรุปแนวทางการดำเนินการของสหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งรวมถึงการวางแผนทางทหาร อุปกรณ์ ระบบส่งกำลัง ระบบเฝ้าระวังทางอากาศ และอุปกรณ์ทางเทคนิคขั้นสูงอื่นๆ

    สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสหรัฐมีความมุ่งมั่นและความพร้อมอย่างสูงที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพในภูมิภาคอย่างแท้จริง
    "ดูสนิทกันดีเนอะ!" 6 สิงหาคม พ.ศ. 2568 กระทรวงกลาโหมกัมพูชาเผยแพร่ภาพ "พลเอกเตีย เซ็ยฮา" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา พร้อมทั้งนายเอ็ดการ์ด คาแกน เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำมาเลเซีย เข้าพบพลเรือเอก ซามูเอล ปาปาโร ผู้บัญชาการกองบัญชาการอินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ (USINDOPACOM) ที่สำนักงานในฮาวาย ผู้นำทั้งสองฝ่ายได้เน้นย้ำถึงการติดตามการดำเนินการที่ผ่านมาอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จและมีประสิทธิผล และสหรัฐอเมริกายืนยันจะให้การสนับสนุนด้านโลจิสติกส์และเทคนิคที่สำคัญในการจัดตั้งคณะทำงานตรวจสอบอาเซียน (AMT) โดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังได้สรุปแนวทางการดำเนินการของสหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งรวมถึงการวางแผนทางทหาร อุปกรณ์ ระบบส่งกำลัง ระบบเฝ้าระวังทางอากาศ และอุปกรณ์ทางเทคนิคขั้นสูงอื่นๆ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสหรัฐมีความมุ่งมั่นและความพร้อมอย่างสูงที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพในภูมิภาคอย่างแท้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 321 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมต้อง "Gripen"

    เครื่องบิน JAS Gripen ได้รับการรีวิวจริงไปแล้วครั้งแรกในโลกโดยประเทศไทยของเรานี่เอง รีวิวใส่กัมพูชาชนิดที่ว่า โลกเห็นแล้วต้องชื่นชมในศักยภาพ

    หลายคนรู้จัก F-16 ได้ยินชื่อนี้มานานหลายสิบปี แต่เพิ่งมาได้ยินชื่อ Gripen เมื่อไม่นานมานี้ และทำไมเราถึงใช้ Gripen ในภารกิจนี้ และวางแผนจะนำมาทดแทน F-16 มันดีกว่ายังไง?
    .
    ประวัติของ Gripen
    ประเทศสวีเดนคือผู้ให้กำเนิด Gripen ซึ่งถูกพัฒนามาจากปลายยุค 1970 หลังจากกองทัพอากาศสวีเดินเล็งเห็นว่า เครื่องบินรบรุ่นเก่าของสวีเดินเริ่มล้าสมัย สวีเดินจึงคิดผลิตเครื่องบินรุ่นใหม่ "ขึ้นมาเอง" เพราะไม่อยากพึ่งพาประเทศอื่นมากเกินไป ด้วยการก่อตั้งโครงการ "JAS" ในปี 1979
    โครงการ JAS มาจากคำว่า J = (Jakt) ยัคต์ แปลว่า ขับไล่ A= (Attack) แอทแทค แปลว่าโจมตี และ S = Spaning (สแปนนิ่ง) แปลว่า ลาดตระเวน คือแนวคิดที่จะพัฒนาเครื่องบินรบล้ำสมัยล้ำยุค ที่ใช้เครื่องบินเพียง 1 ลำ แต่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ทั้ง 3 แบบในลำเดียว เที่ยวเดียวได้

    ปี 1982 บริษัท SAAB ได้รับหน้าที่พัฒนาโครางการนี้ แต่เนื่องจากโปรเจคนี้ใหญ่มา และต้องการความเป็น "ที่สุด" จึงได้ระดมสมองร่วมกับอีกหลายบริษัท เข้ามาดูแลความเป็นที่สุดในด้านต่างๆ ได้แก่ บริษัท Ericsson เข้ามาช่วยพัฒนาระบบเรดาห์และการบิน บริษัท Volvo Aero เข้ามาช่วยปรับแต่งเครื่องยนตร์ และบริษัท FFV มาดูเรื่องระบบอาวุธและอุปกรณ์ทางการทหาร
    ปี 1988 เครื่องต้นแบบลำแรกสำเร็จ แต่เมื่อบินทดสอบกลับไม่สำเร็จจนพังไป หลังจากทดลองจนเสร็จสมบูรณ์แบบ Gripen ลำแรกก็พร้อมประจำการได้ในปี 1996
    .
    ความสามารถอันเป็นที่สุดของ Gripen
    ทำหน้าที่ได้ถึง 3 หน้าที่ใน 1 ลำ
    1. เป็นเครื่องบินขับไล่ - ต่อสู้เครื่องบินศัตรูจากกลางอากาศได้
    2. เป็นเครื่องบินโจมตี - โจมตีภาคพื้นดิน ฐานทัพ บังเกอร์ รถถัง
    3. เป็นเครื่องบินลาดตระเวณ สอดแนม - บินไปถ่ยาภาพและสอดแนมตำแหน่งศัตรูได้
    .
    * ปกติเครื่องบินรบ 1 หน้าที่จะแยกเป็น 1 ลำไป แต่ Gripen สามารถปฏิบัติภารกิจได้ต่อเนื่อง เป็น Swing-Role อย่างเช่น ลาดตระเวณอยู่ แต่เจอศัตรู ก็เปลี่ยนเป็นโหมดต่อสู้ทางอากาศได้ และสลับไปสอดแนมต่อก็ยังได้ในการบินเที่ยวเดียว หรือจะสลับทำทั้ง 3 หน้าที่คือไปสอดแนม โจมตีศัตรูบนอากาศ และพื้นดินก็ยังได้
    .
    มีระบบ "TIDLS" อันทันสมัย สามารถเชื่อมต่อข้อมูลกัน ทุกลำเหมือนมี "ตาเดียวกัน" ทำให้ทุกลำโจมตีได้ร่วมกัน เช่น ลำนี้ตรวจเจอศัตรูแต่มุมยิงไม่ได้ ก็ให้อีกลำยิงแทน และตรวจจับศัตรูได้หลากหลายเป้าหมาย แม้ในสภาพอากาศไม่เป็นใจเช่นมีหมอก มีพายุ มีฝุ่น
    .
    มีระบบ EW คือระบบป้องกันตัวเอง สามารถรู้ได้ว่าเรดาห์ศัตรูตรวจเจอก็จะแจ้งเตือน หรือเมื่อถูกโจมตีด้วยมิซไซล์ ก็จะแจ้งเตือน มีการยิงเป้าหลอก แท่งความร้อนหลอกมิซไซล์ รวมถึงมีระบบส่งคลื่นสัญญาณรบกวน ทั้งหมดนี้ ยังสามารถเชื่อมระบบการโจมตีร่วมกับกองทัพเรือและกองทัพบกได้ด้วย
    .
    มีระบบ AI ช่วยการตัดสินใจให้นักบิน เพราะเวลารบ นักบินต้องตัดสินใจรวดเร็วมากในขณะที่ยังต้องควบคุมการบินและวิเคราะห์การรบ แต่ Gripen มี Mission Computer ที่จะรวบรวมระบบจากทุกลำมาตัดสินใจการรบแทนให้ มันวิเคราะห์สถานการณ์แบบ Realime ได้ เช่น จะเลือกล็อคเป้าเป้าหมายที่เหมาะสมที่สุดให้โจมตีก่อน มีหน้าจอขนาดใหญ่ แสดงถึงการโจมตี เส้นทางการหลบหนี ตำแหน่งของเพื่อนร่วมฝูง ทำให้นักบินเข้าใจได้ทันทีไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรมาก Gripen คิดให้หมดและคิดเป็นทีม
    .
    Gripen มีความยืดหยุ่นที่จะ Upgrade เครื่องได้หลากหลาย ทำให้ไม่ตกยุค สามารถปรับแต่งระบบต่างๆ ได้ตลอด เช่น อัพเกรดให้เชื่อมต่อกับเรือรบในระบบอื่นได้ มีระบบฝึกการบินภายในตัวเครื่องเองโดยไม่ต้องบินขึ้น ไม่ต้องไปซื้อระบบจำลองการบินเพิ่ม สแกนตัวเอง ดูแลสุขภาพตัวเองได้ อะไรมีปัญหา อะไหล่ชิ้นไหนใกล้เสื่อม จึงมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
    .
    Gripen มีความพร้อมรบ ต้องการพื้นที่ลงจอดได้แม้แต่ถนนยาวไม่ถึ่งกิโล สามารถออกรบซ้ำได้ภายใน 10 นาที เพราะเติมเชื้อเพลิง-ติดอาวุธได้แบบสั้นๆ (ใช้คนติดตั้งได้แค่ 5 คน) ต้นทุนการบินต่อชั่วโมงก็ต่ำ เทียบกับ F-16 แล้ว ถูกกว่าเกือบครึ่ง
    .
    ณ ปัจจุบัน Gripen มีอยู่ที่ประเทศสวีเดนผู้ให้กำเนิด ทั้งหมด 156 ลำ รองมาคือบราซิล 36 ลำ แอฟริกาใต้ 26 ลำ ฮังการีและเช็ค 14 ลำ และต่อไป เราจะมีเป็นลำดับที่ 5 คือ 12 ลำ และเราคือประเทศแรกของโลกที่ได้นำออกไปใช้ในสถานการณ์จริง!
    .
    Gripen ของกองทัพอากาศไทย ปี 2008-2010 เราจัดซื้อ Gripen ทั้งหมดแล้ว 12 ลำ แต่เราได้ดีลจากบริษัท SAAB ด้วยการเสนอการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ และจะจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและอากาศยานให้ ซึ่งมีมูลค่าสูงมาก อีกทั้งยังจะมาลงทุนผลิตอะไหล่เพื่อขายให้กับประเทศอื่นได้ด้วย เราจึงได้ทั้งการลงทุน ความรู้ การจ้างงาน ซึ่งนับเป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท
    .
    ปี 2025 เราได้ทำการจัดซื้อล็อตใหม่ ซึ่งจะทยอยซื้อ ทยอยส่งมอบ เสร็จสิ้นในปี 2034 ทำให้ในปีนั้น เราจะมีฝูงบิน Gripen ถึง 24 ลำด้วยกัน!!!

    .
    CR:กองทัพอากาศไทยเครื่องบินขับไล่ Jas-39 Saab Gripen ทำการลงจอดและบินขึ้นจากถนนทางหลวงหมายเลข 4287 จังหวัดสงขลา 27 กุมภาพันธ์ 2568
    #RTAF
    🇹🇭ทำไมต้อง "Gripen" 🇸🇪 เครื่องบิน JAS Gripen ได้รับการรีวิวจริงไปแล้วครั้งแรกในโลกโดยประเทศไทยของเรานี่เอง รีวิวใส่กัมพูชาชนิดที่ว่า โลกเห็นแล้วต้องชื่นชมในศักยภาพ หลายคนรู้จัก F-16 ได้ยินชื่อนี้มานานหลายสิบปี แต่เพิ่งมาได้ยินชื่อ Gripen เมื่อไม่นานมานี้ และทำไมเราถึงใช้ Gripen ในภารกิจนี้ และวางแผนจะนำมาทดแทน F-16 มันดีกว่ายังไง? . 🇸🇪 🇸🇪 🇸🇪 ประวัติของ Gripen ประเทศสวีเดนคือผู้ให้กำเนิด Gripen ซึ่งถูกพัฒนามาจากปลายยุค 1970 หลังจากกองทัพอากาศสวีเดินเล็งเห็นว่า เครื่องบินรบรุ่นเก่าของสวีเดินเริ่มล้าสมัย สวีเดินจึงคิดผลิตเครื่องบินรุ่นใหม่ "ขึ้นมาเอง" เพราะไม่อยากพึ่งพาประเทศอื่นมากเกินไป ด้วยการก่อตั้งโครงการ "JAS" ในปี 1979 โครงการ JAS มาจากคำว่า J = (Jakt) ยัคต์ แปลว่า ขับไล่ A= (Attack) แอทแทค แปลว่าโจมตี และ S = Spaning (สแปนนิ่ง) แปลว่า ลาดตระเวน คือแนวคิดที่จะพัฒนาเครื่องบินรบล้ำสมัยล้ำยุค ที่ใช้เครื่องบินเพียง 1 ลำ แต่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ทั้ง 3 แบบในลำเดียว เที่ยวเดียวได้ ปี 1982 บริษัท SAAB ได้รับหน้าที่พัฒนาโครางการนี้ แต่เนื่องจากโปรเจคนี้ใหญ่มา และต้องการความเป็น "ที่สุด" จึงได้ระดมสมองร่วมกับอีกหลายบริษัท เข้ามาดูแลความเป็นที่สุดในด้านต่างๆ ได้แก่ บริษัท Ericsson เข้ามาช่วยพัฒนาระบบเรดาห์และการบิน บริษัท Volvo Aero เข้ามาช่วยปรับแต่งเครื่องยนตร์ และบริษัท FFV มาดูเรื่องระบบอาวุธและอุปกรณ์ทางการทหาร ปี 1988 เครื่องต้นแบบลำแรกสำเร็จ แต่เมื่อบินทดสอบกลับไม่สำเร็จจนพังไป หลังจากทดลองจนเสร็จสมบูรณ์แบบ Gripen ลำแรกก็พร้อมประจำการได้ในปี 1996 . 🇸🇪 🇸🇪 🇸🇪 ความสามารถอันเป็นที่สุดของ Gripen 🇸🇪 🇸🇪 🇸🇪 🇸🇪 ทำหน้าที่ได้ถึง 3 หน้าที่ใน 1 ลำ 1. เป็นเครื่องบินขับไล่ - ต่อสู้เครื่องบินศัตรูจากกลางอากาศได้ 2. เป็นเครื่องบินโจมตี - โจมตีภาคพื้นดิน ฐานทัพ บังเกอร์ รถถัง 3. เป็นเครื่องบินลาดตระเวณ สอดแนม - บินไปถ่ยาภาพและสอดแนมตำแหน่งศัตรูได้ . * ปกติเครื่องบินรบ 1 หน้าที่จะแยกเป็น 1 ลำไป แต่ Gripen สามารถปฏิบัติภารกิจได้ต่อเนื่อง เป็น Swing-Role อย่างเช่น ลาดตระเวณอยู่ แต่เจอศัตรู ก็เปลี่ยนเป็นโหมดต่อสู้ทางอากาศได้ และสลับไปสอดแนมต่อก็ยังได้ในการบินเที่ยวเดียว หรือจะสลับทำทั้ง 3 หน้าที่คือไปสอดแนม โจมตีศัตรูบนอากาศ และพื้นดินก็ยังได้ . 🇸🇪 มีระบบ "TIDLS" อันทันสมัย สามารถเชื่อมต่อข้อมูลกัน ทุกลำเหมือนมี "ตาเดียวกัน" ทำให้ทุกลำโจมตีได้ร่วมกัน เช่น ลำนี้ตรวจเจอศัตรูแต่มุมยิงไม่ได้ ก็ให้อีกลำยิงแทน และตรวจจับศัตรูได้หลากหลายเป้าหมาย แม้ในสภาพอากาศไม่เป็นใจเช่นมีหมอก มีพายุ มีฝุ่น . 🇸🇪 มีระบบ EW คือระบบป้องกันตัวเอง สามารถรู้ได้ว่าเรดาห์ศัตรูตรวจเจอก็จะแจ้งเตือน หรือเมื่อถูกโจมตีด้วยมิซไซล์ ก็จะแจ้งเตือน มีการยิงเป้าหลอก แท่งความร้อนหลอกมิซไซล์ รวมถึงมีระบบส่งคลื่นสัญญาณรบกวน ทั้งหมดนี้ ยังสามารถเชื่อมระบบการโจมตีร่วมกับกองทัพเรือและกองทัพบกได้ด้วย . 🇸🇪 มีระบบ AI ช่วยการตัดสินใจให้นักบิน เพราะเวลารบ นักบินต้องตัดสินใจรวดเร็วมากในขณะที่ยังต้องควบคุมการบินและวิเคราะห์การรบ แต่ Gripen มี Mission Computer ที่จะรวบรวมระบบจากทุกลำมาตัดสินใจการรบแทนให้ มันวิเคราะห์สถานการณ์แบบ Realime ได้ เช่น จะเลือกล็อคเป้าเป้าหมายที่เหมาะสมที่สุดให้โจมตีก่อน มีหน้าจอขนาดใหญ่ แสดงถึงการโจมตี เส้นทางการหลบหนี ตำแหน่งของเพื่อนร่วมฝูง ทำให้นักบินเข้าใจได้ทันทีไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรมาก Gripen คิดให้หมดและคิดเป็นทีม . 🇸🇪 Gripen มีความยืดหยุ่นที่จะ Upgrade เครื่องได้หลากหลาย ทำให้ไม่ตกยุค สามารถปรับแต่งระบบต่างๆ ได้ตลอด เช่น อัพเกรดให้เชื่อมต่อกับเรือรบในระบบอื่นได้ มีระบบฝึกการบินภายในตัวเครื่องเองโดยไม่ต้องบินขึ้น ไม่ต้องไปซื้อระบบจำลองการบินเพิ่ม สแกนตัวเอง ดูแลสุขภาพตัวเองได้ อะไรมีปัญหา อะไหล่ชิ้นไหนใกล้เสื่อม จึงมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน . 🇸🇪 Gripen มีความพร้อมรบ ต้องการพื้นที่ลงจอดได้แม้แต่ถนนยาวไม่ถึ่งกิโล สามารถออกรบซ้ำได้ภายใน 10 นาที เพราะเติมเชื้อเพลิง-ติดอาวุธได้แบบสั้นๆ (ใช้คนติดตั้งได้แค่ 5 คน) ต้นทุนการบินต่อชั่วโมงก็ต่ำ เทียบกับ F-16 แล้ว ถูกกว่าเกือบครึ่ง . 🇸🇪 ณ ปัจจุบัน Gripen มีอยู่ที่ประเทศสวีเดนผู้ให้กำเนิด ทั้งหมด 156 ลำ รองมาคือบราซิล 36 ลำ แอฟริกาใต้ 26 ลำ ฮังการีและเช็ค 14 ลำ และต่อไป เราจะมีเป็นลำดับที่ 5 คือ 12 ลำ และเราคือประเทศแรกของโลกที่ได้นำออกไปใช้ในสถานการณ์จริง! . 🇸🇪 Gripen ของกองทัพอากาศไทย ปี 2008-2010 เราจัดซื้อ Gripen ทั้งหมดแล้ว 12 ลำ แต่เราได้ดีลจากบริษัท SAAB ด้วยการเสนอการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ และจะจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและอากาศยานให้ ซึ่งมีมูลค่าสูงมาก อีกทั้งยังจะมาลงทุนผลิตอะไหล่เพื่อขายให้กับประเทศอื่นได้ด้วย เราจึงได้ทั้งการลงทุน ความรู้ การจ้างงาน ซึ่งนับเป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท . 🇸🇪 ปี 2025 เราได้ทำการจัดซื้อล็อตใหม่ ซึ่งจะทยอยซื้อ ทยอยส่งมอบ เสร็จสิ้นในปี 2034 ทำให้ในปีนั้น เราจะมีฝูงบิน Gripen ถึง 24 ลำด้วยกัน!!! . CR:กองทัพอากาศไทยเครื่องบินขับไล่ Jas-39 Saab Gripen ทำการลงจอดและบินขึ้นจากถนนทางหลวงหมายเลข 4287 จังหวัดสงขลา 27 กุมภาพันธ์ 2568 #RTAF
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 467 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนาม AI: AMD ลุกขึ้นท้าชน NVIDIA ด้วยกลยุทธ์ใหม่ที่ไม่ใช่แค่ชิปแรง

    ย้อนกลับไปในปี 2022 เมื่อ ChatGPT จุดกระแส AI ให้ลุกเป็นไฟ NVIDIA ก็กลายเป็นเจ้าตลาดทันที เพราะมีทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์พร้อมใช้งาน ขณะที่ AMD ยังอยู่กับ CPU และ GPU แบบเดิม จนกระทั่งปี 2023 Lisa Su ซีอีโอของ AMD ประกาศเปลี่ยนทิศทางบริษัทเข้าสู่ตลาด AI อย่างเต็มตัว

    แต่การไล่ตามไม่ง่าย เพราะ NVIDIA ไม่ได้ขายแค่ชิป แต่ขาย “ระบบนิเวศ” ที่ผูกขาดด้วย CUDA และเครื่องมือพัฒนาแบบ proprietary ทำให้ Big Tech อย่าง Microsoft, Meta และ OpenAI ติดสัญญาและไม่กล้าเปลี่ยนฝั่งง่ายๆ

    AMD จึงต้องสร้างทุกอย่างใหม่ ตั้งแต่ชิป MI300X ที่มี VRAM 192GB มากกว่า H100 ของ NVIDIA ถึงเท่าตัว ไปจนถึงการเปิดตัว Helios rack-scale AI server ที่ใช้ EPYC Venice CPU และเตรียมเปิดตัว MI400 ที่ใช้ HBM4 พร้อมหน่วยความจำเพิ่มขึ้นอีก 50%

    แม้ MI300X จะมีประสิทธิภาพสูงกว่า H100 ในงาน inferencing ขนาดเล็กและใหญ่ แต่ยังแพ้ใน batch ขนาดกลาง และราคาต่อชั่วโมงก็สูงกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนวณรวมแล้ว AMD กลับคุ้มค่ากว่าในหลายกรณี

    AMD ยังพยายามสร้างซอฟต์แวร์ ecosystem ของตัวเอง และเริ่มได้รับความสนใจจาก Big Tech ที่ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มทางเลือก เช่น Microsoft และ OpenAI ที่เริ่มใช้เทคโนโลยีของ AMD ในบางส่วน

    AMD เปลี่ยนทิศทางเข้าสู่ตลาด AI ตั้งแต่ปี 2023
    หลังจากกระแส ChatGPT ทำให้ AI กลายเป็นเทรนด์หลัก

    เปิดตัวชิป MI300X ที่มี VRAM 192GB และใช้สถาปัตยกรรม CDNA 3
    มีประสิทธิภาพสูงใน inferencing ขนาดเล็กและใหญ่

    เตรียมเปิดตัว MI400 ที่ใช้ HBM4 และมีหน่วยความจำเพิ่มขึ้น 50%
    พร้อมเปิดตัว Helios rack-scale server สำหรับองค์กร

    AMD เริ่มได้รับความสนใจจาก Microsoft, Meta และ OpenAI
    ด้วยราคาที่ถูกกว่าและความพร้อมในการจัดส่ง

    MI300X มีราคาต่อชั่วโมงสูงกว่า H100 เล็กน้อย แต่คุ้มค่ากว่าในบางงาน
    โดยเฉพาะงานที่ใช้ batch ขนาดเล็กหรือใหญ่

    AMD คาดการณ์ตลาดชิป AI ปีนี้มีมูลค่า $45 พันล้าน
    ตั้งเป้ายอดขายชิป AI ที่ $2 พันล้านในปี 2024

    MI300X สามารถรันโมเดล Mixtral 7x8B ได้บน GPU เดียว
    ขณะที่ H100 ต้องใช้ tensor parallelism บนสอง GPU

    AMD พัฒนา ecosystem แบบเปิดเพื่อแข่งกับ CUDA ของ NVIDIA
    เน้นความยืดหยุ่นและลดการผูกขาด

    NVIDIA ยังครองตลาดด้วย ecosystem ที่ผูกขาดและครอบคลุม
    ทำให้ลูกค้ารายใหญ่ลังเลที่จะเปลี่ยนมาใช้ AMD

    AMD ยังขาดความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและสื่อเทคโนโลยี
    ส่งผลต่อภาพลักษณ์และการยอมรับในตลาด

    การแข่งขันไม่ใช่แค่เรื่องประสิทธิภาพของชิป
    แต่ต้องสร้างระบบนิเวศที่ครบวงจรทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

    https://wccftech.com/is-amd-the-next-major-threat-to-nvidias-long-standing-ai-dominance/
    🚀🧠 เรื่องเล่าจากสนาม AI: AMD ลุกขึ้นท้าชน NVIDIA ด้วยกลยุทธ์ใหม่ที่ไม่ใช่แค่ชิปแรง ย้อนกลับไปในปี 2022 เมื่อ ChatGPT จุดกระแส AI ให้ลุกเป็นไฟ NVIDIA ก็กลายเป็นเจ้าตลาดทันที เพราะมีทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์พร้อมใช้งาน ขณะที่ AMD ยังอยู่กับ CPU และ GPU แบบเดิม จนกระทั่งปี 2023 Lisa Su ซีอีโอของ AMD ประกาศเปลี่ยนทิศทางบริษัทเข้าสู่ตลาด AI อย่างเต็มตัว แต่การไล่ตามไม่ง่าย เพราะ NVIDIA ไม่ได้ขายแค่ชิป แต่ขาย “ระบบนิเวศ” ที่ผูกขาดด้วย CUDA และเครื่องมือพัฒนาแบบ proprietary ทำให้ Big Tech อย่าง Microsoft, Meta และ OpenAI ติดสัญญาและไม่กล้าเปลี่ยนฝั่งง่ายๆ AMD จึงต้องสร้างทุกอย่างใหม่ ตั้งแต่ชิป MI300X ที่มี VRAM 192GB มากกว่า H100 ของ NVIDIA ถึงเท่าตัว ไปจนถึงการเปิดตัว Helios rack-scale AI server ที่ใช้ EPYC Venice CPU และเตรียมเปิดตัว MI400 ที่ใช้ HBM4 พร้อมหน่วยความจำเพิ่มขึ้นอีก 50% แม้ MI300X จะมีประสิทธิภาพสูงกว่า H100 ในงาน inferencing ขนาดเล็กและใหญ่ แต่ยังแพ้ใน batch ขนาดกลาง และราคาต่อชั่วโมงก็สูงกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนวณรวมแล้ว AMD กลับคุ้มค่ากว่าในหลายกรณี AMD ยังพยายามสร้างซอฟต์แวร์ ecosystem ของตัวเอง และเริ่มได้รับความสนใจจาก Big Tech ที่ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มทางเลือก เช่น Microsoft และ OpenAI ที่เริ่มใช้เทคโนโลยีของ AMD ในบางส่วน ✅ AMD เปลี่ยนทิศทางเข้าสู่ตลาด AI ตั้งแต่ปี 2023 ➡️ หลังจากกระแส ChatGPT ทำให้ AI กลายเป็นเทรนด์หลัก ✅ เปิดตัวชิป MI300X ที่มี VRAM 192GB และใช้สถาปัตยกรรม CDNA 3 ➡️ มีประสิทธิภาพสูงใน inferencing ขนาดเล็กและใหญ่ ✅ เตรียมเปิดตัว MI400 ที่ใช้ HBM4 และมีหน่วยความจำเพิ่มขึ้น 50% ➡️ พร้อมเปิดตัว Helios rack-scale server สำหรับองค์กร ✅ AMD เริ่มได้รับความสนใจจาก Microsoft, Meta และ OpenAI ➡️ ด้วยราคาที่ถูกกว่าและความพร้อมในการจัดส่ง ✅ MI300X มีราคาต่อชั่วโมงสูงกว่า H100 เล็กน้อย แต่คุ้มค่ากว่าในบางงาน ➡️ โดยเฉพาะงานที่ใช้ batch ขนาดเล็กหรือใหญ่ ✅ AMD คาดการณ์ตลาดชิป AI ปีนี้มีมูลค่า $45 พันล้าน ➡️ ตั้งเป้ายอดขายชิป AI ที่ $2 พันล้านในปี 2024 ✅ MI300X สามารถรันโมเดล Mixtral 7x8B ได้บน GPU เดียว ➡️ ขณะที่ H100 ต้องใช้ tensor parallelism บนสอง GPU ✅ AMD พัฒนา ecosystem แบบเปิดเพื่อแข่งกับ CUDA ของ NVIDIA ➡️ เน้นความยืดหยุ่นและลดการผูกขาด ‼️ NVIDIA ยังครองตลาดด้วย ecosystem ที่ผูกขาดและครอบคลุม ⛔ ทำให้ลูกค้ารายใหญ่ลังเลที่จะเปลี่ยนมาใช้ AMD ‼️ AMD ยังขาดความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและสื่อเทคโนโลยี ⛔ ส่งผลต่อภาพลักษณ์และการยอมรับในตลาด ‼️ การแข่งขันไม่ใช่แค่เรื่องประสิทธิภาพของชิป ⛔ แต่ต้องสร้างระบบนิเวศที่ครบวงจรทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ https://wccftech.com/is-amd-the-next-major-threat-to-nvidias-long-standing-ai-dominance/
    WCCFTECH.COM
    Is AMD the Next Major Threat to NVIDIA's Long-Standing AI Dominance? A Deep Dive into How the Firm's Recent Strategies Might Put It in a Much More Competitive Position
    Here's an analysis of how AMD's recent AI moves are shaping the company for a better future, rivaling NVIDIA more dominantly.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • ร้องเพลงรอรถไฟ ETS ไปยะโฮร์ ระบบไฟฟ้า-อาณัติสัญญาณยังไม่เสร็จ

    ความหวังที่อยากจะนั่งรถไฟ ETS แบบสบายๆ จากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ไปเมืองยะโฮร์บาห์รู เพื่อต่อไปยังประเทศสิงคโปร์ อาจจะเป็นไปได้ยากในปีนี้ เมื่อหนังสือพิมพ์เดอะสตาร์ (The Star) ไปสำรวจโครงการรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (Gemas-Johor Bahru Electrified Double-Tracking Rail Project หรือ Gemas - JB EDTP) ระยะทาง 192 กิโลเมตร พบว่าการก่อสร้างระบบไฟฟ้าและระบบอาณัติสัญญาณยังไม่แล้วเสร็จ โดยเฉพาะช่วงระหว่างสถานีกลวง (Kluang) ถึงสถานีเจบี เซ็นทรัล (JB Sentral) ระยะทางราว 100 กิโลเมตร

    ก่อนหน้านี้ นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เคยกล่าวไว้เมื่อต้นปี 2568 ว่าบริการรถไฟ ETS จากสถานีเกมัส (Gemas) รัฐเนกรีเซมบิลัน ไปยังเมืองยะโฮร์บาห์รู จะพร้อมให้บริการในเดือน ส.ค.2568 แต่หลังจากเปิดให้บริการช่วงสั้นๆ ไปยังสถานีเซกามัต (Segamat) รัฐยะโฮร์ ตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ รวมทั้งระบบจำหน่ายตั๋วโดยสารล่วงหน้าของการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) พบว่ายังไม่มีการจำหน่ายตั๋วรถไฟ ETS ขาล่องไปยังเมืองทางตอนใต้ใดๆ อีกทั้ง KTMB ยังประกาศระงับการจำหน่ายตั๋วรถไฟหลังเดือน ธ.ค. 2568 จากปกติสามารถจองตั๋วรถไฟล่วงหน้าได้ถึง 6 เดือน

    นายยูสลิซาร์ ดาวูด (Yuslizar Daud) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบรถไฟของมาเลเซีย กล่าวว่า กระบวนการในการติดตั้งและทดสอบระบบจ่ายไฟฟ้าเหนือหัวอย่างสมบูรณ์อาจใช้เวลานาน ทั้งการร้อยสายอุปกรณ์สายส่งไฟฟ้าเหนือหัว (OHLE) การดึงสาย การปรับราง การจ่ายไฟ การทดสอบก่อนการใช้งาน และการทดสอบเสมือนจริง (Test & Commissioning) จะใช้เวลานานพอสมควร จากนั้นตรวจสอบขั้นสุดท้ายโดยสํานักงานคณะกรรมการขนส่งทางบกแห่งชาติมาเลเซีย (APAD) ก่อนที่จะได้รับอนุญาต แต่จากภาพที่ผู้สื่อข่าว The Star นำมาแสดงไม่เห็นว่าจะมีความพร้อมเปิดให้บริการในเดือน ก.ย.2568

    เข้าใจว่า KTM Berhad กำลังพยายามเร่งเปิดให้บริการจากสถานีเซกามัต ไปยังสถานีกลวง ระยะทาง 90 กิโลเมตรภายในไตรมาสนี้ แม้ดูเหมือนว่า KTM Berhad จะยังไม่ยื่นคำขออนุญาตไปยัง APAD ก็ตาม ขณะเดียวกันยังต้องทดสอบขบวนรถไฟ ETS ชุดใหม่ (ETS 3) ที่นำเข้าจากประเทศจีน ต้องผ่านการทดสอบเดินรถโดยปราศจากข้อบกพร่อง (FFR) อย่างน้อย 8,000 กิโลเมตร ก่อนนำไปให้บริการเชิงพาณิชย์ คาดว่าหาก APAD อนุมัติให้เปิดการเดินรถถึงสถานีกลวง อาจต้องใช้รถไฟ ETS ชุดเก่าไปพลางก่อน ถึงกระนั้นยังต้องรอคำตอบอย่างเป็นทางการจาก KTM Berhad และกระทรวงคมนาคมมาเลเซียอีกครั้ง

    #Newskit
    ร้องเพลงรอรถไฟ ETS ไปยะโฮร์ ระบบไฟฟ้า-อาณัติสัญญาณยังไม่เสร็จ ความหวังที่อยากจะนั่งรถไฟ ETS แบบสบายๆ จากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ไปเมืองยะโฮร์บาห์รู เพื่อต่อไปยังประเทศสิงคโปร์ อาจจะเป็นไปได้ยากในปีนี้ เมื่อหนังสือพิมพ์เดอะสตาร์ (The Star) ไปสำรวจโครงการรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (Gemas-Johor Bahru Electrified Double-Tracking Rail Project หรือ Gemas - JB EDTP) ระยะทาง 192 กิโลเมตร พบว่าการก่อสร้างระบบไฟฟ้าและระบบอาณัติสัญญาณยังไม่แล้วเสร็จ โดยเฉพาะช่วงระหว่างสถานีกลวง (Kluang) ถึงสถานีเจบี เซ็นทรัล (JB Sentral) ระยะทางราว 100 กิโลเมตร ก่อนหน้านี้ นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เคยกล่าวไว้เมื่อต้นปี 2568 ว่าบริการรถไฟ ETS จากสถานีเกมัส (Gemas) รัฐเนกรีเซมบิลัน ไปยังเมืองยะโฮร์บาห์รู จะพร้อมให้บริการในเดือน ส.ค.2568 แต่หลังจากเปิดให้บริการช่วงสั้นๆ ไปยังสถานีเซกามัต (Segamat) รัฐยะโฮร์ ตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ รวมทั้งระบบจำหน่ายตั๋วโดยสารล่วงหน้าของการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) พบว่ายังไม่มีการจำหน่ายตั๋วรถไฟ ETS ขาล่องไปยังเมืองทางตอนใต้ใดๆ อีกทั้ง KTMB ยังประกาศระงับการจำหน่ายตั๋วรถไฟหลังเดือน ธ.ค. 2568 จากปกติสามารถจองตั๋วรถไฟล่วงหน้าได้ถึง 6 เดือน นายยูสลิซาร์ ดาวูด (Yuslizar Daud) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบรถไฟของมาเลเซีย กล่าวว่า กระบวนการในการติดตั้งและทดสอบระบบจ่ายไฟฟ้าเหนือหัวอย่างสมบูรณ์อาจใช้เวลานาน ทั้งการร้อยสายอุปกรณ์สายส่งไฟฟ้าเหนือหัว (OHLE) การดึงสาย การปรับราง การจ่ายไฟ การทดสอบก่อนการใช้งาน และการทดสอบเสมือนจริง (Test & Commissioning) จะใช้เวลานานพอสมควร จากนั้นตรวจสอบขั้นสุดท้ายโดยสํานักงานคณะกรรมการขนส่งทางบกแห่งชาติมาเลเซีย (APAD) ก่อนที่จะได้รับอนุญาต แต่จากภาพที่ผู้สื่อข่าว The Star นำมาแสดงไม่เห็นว่าจะมีความพร้อมเปิดให้บริการในเดือน ก.ย.2568 เข้าใจว่า KTM Berhad กำลังพยายามเร่งเปิดให้บริการจากสถานีเซกามัต ไปยังสถานีกลวง ระยะทาง 90 กิโลเมตรภายในไตรมาสนี้ แม้ดูเหมือนว่า KTM Berhad จะยังไม่ยื่นคำขออนุญาตไปยัง APAD ก็ตาม ขณะเดียวกันยังต้องทดสอบขบวนรถไฟ ETS ชุดใหม่ (ETS 3) ที่นำเข้าจากประเทศจีน ต้องผ่านการทดสอบเดินรถโดยปราศจากข้อบกพร่อง (FFR) อย่างน้อย 8,000 กิโลเมตร ก่อนนำไปให้บริการเชิงพาณิชย์ คาดว่าหาก APAD อนุมัติให้เปิดการเดินรถถึงสถานีกลวง อาจต้องใช้รถไฟ ETS ชุดเก่าไปพลางก่อน ถึงกระนั้นยังต้องรอคำตอบอย่างเป็นทางการจาก KTM Berhad และกระทรวงคมนาคมมาเลเซียอีกครั้ง #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนรุ่นใหม่ๆยังไม่เคยอยู่เหตุการณ์ที่ประเทศไทยและกองทัพไทยต้องเผชิญกับการต่อสู้กันซึ่งหน้าแบบนี้ ทำให้มีคนบางกลุ่มหยิบยกเรื่องนี้มาปั่นและสร้างข้อมูลแบบผิดๆ

    ถ้ากองทัพไม่มีความพร้อม ไม่รู้ว่าประเทศเราจะเป็นอย่างไร นี่ขนาดโดนขัดขวางมาตลอดเรื่องอาวุธ

    สำหรับคนอีกกลุ่มที่คัดค้านไม่ให้เรารบ เอาแต่จะให้ไทยเจรจาอย่างเดียว สมมติถ้าเขมรมันมีทัพอากาศ มีเครื่องบินรบ กลุ่มคนเหล่านี้ แม้จะอยู่ในกรุงเทพฯ ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย อาจไม่ได้มานั่งปากแจ๋วอยู่หน้าคอมฯหรอก คงต้องลงไปอยู่ในหลุมหลบภัยแทน

    บางประเทศเราอาจคุยได้ เจรจาได้ แต่บางประเทศมันเป็นที่สันดาน การคุยดีๆกับประเทศเหล่านั้น บางทีเค้าก็ไม่ฟัง ต้องใช้การทหาร หรือใช้กำลังนำไปก่อน

    "กำราบให้เงียบ แล้วค่อยเรียกมาเจรจา!"
    คนรุ่นใหม่ๆยังไม่เคยอยู่เหตุการณ์ที่ประเทศไทยและกองทัพไทยต้องเผชิญกับการต่อสู้กันซึ่งหน้าแบบนี้ ทำให้มีคนบางกลุ่มหยิบยกเรื่องนี้มาปั่นและสร้างข้อมูลแบบผิดๆ ถ้ากองทัพไม่มีความพร้อม ไม่รู้ว่าประเทศเราจะเป็นอย่างไร นี่ขนาดโดนขัดขวางมาตลอดเรื่องอาวุธ สำหรับคนอีกกลุ่มที่คัดค้านไม่ให้เรารบ เอาแต่จะให้ไทยเจรจาอย่างเดียว สมมติถ้าเขมรมันมีทัพอากาศ มีเครื่องบินรบ กลุ่มคนเหล่านี้ แม้จะอยู่ในกรุงเทพฯ ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย อาจไม่ได้มานั่งปากแจ๋วอยู่หน้าคอมฯหรอก คงต้องลงไปอยู่ในหลุมหลบภัยแทน บางประเทศเราอาจคุยได้ เจรจาได้ แต่บางประเทศมันเป็นที่สันดาน การคุยดีๆกับประเทศเหล่านั้น บางทีเค้าก็ไม่ฟัง ต้องใช้การทหาร หรือใช้กำลังนำไปก่อน "กำราบให้เงียบ แล้วค่อยเรียกมาเจรจา!"
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • รู้จัก ร.31 รอ. หน่วยรบเคลื่อนที่เร็วของกองทัพบก อีกหนึ่งกองกำลังสำคัญในภารกิจด้านความมั่นคง

    นับเป็นอีกหนึ่งกองกำลังสำคัญที่ถูกกล่าวถึงอย่างมากในขณะนี้ สำหรับทหารจาก กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 รอ.) หน่วยรบเคลื่อนที่เร็วของไทย ซึ่งประจำการอยู่ในพื้นที่ จ.ลพบุรี มีบทบาทหน้าที่สำคัญทั้งในด้านภารกิจความมั่นคงของประเทศ รวมถึงปกป้องรักษาราชวงศ์
    ความเป็นมา ร.31 รอ.

    กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 รอ.) เป็นหน่วยงานระดับกรมทหารราบ ของกองทัพบก โดยเป็นหน่วยขึ้นตรงของกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กองทัพภาคที่ 1 มีที่ตั้งปกติของหน่วยอยู่หน้าบ้านเลขที่ 120 ถ.พหลโยธิน อ.เมือง จ.ลพบุรี เป็นอดีตหน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็ว (RDF) ซึ่งก้าวสู่หน่วยพร้อมรบเฉพาะกิจในสงครามรูปแบบใหม่

    ร.31 รอ. จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2484 มีนามหน่วยว่า กรมทหารราบที่ 3 ประกอบด้วยหน่วยรองหลัก ระดับกองพันจำนวน 3 กองพัน มีที่ตั้งหน่วยอยู่ในพื้นที่ศาลาว่าการกลาโหม กรุงเทพฯ ในปัจจุบัน และใน พ.ศ. 2489 ได้เปลี่ยนนามหน่วยเป็นกรมทหารราบที่ 21 ประกอบด้วยหน่วยรองหลัก ระดับกองพันจำนวน 2 กองพัน มีที่ตั้งหน่วยอยู่บริเวณวัดไก่ อ.เมือง จ.ลพบุรี

    พ.ศ. 2491 ย้ายที่ตั้งหน่วยไปอยู่ ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี และใน พ.ศ. 2496 จึงย้ายมาอยู่ในพื้นที่ จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งหน่วยในปัจจุบัน

    พ.ศ. 2512 กองทัพบกแปรสภาพหน่วยเป็นหน่วยใช้ร่ม จากนั้นใน พ.ศ. 2521 ได้รับโอนกองพันส่งทางอากาศที่ 1 ศูนย์สงครามพิเศษ มาขึ้นการบังคับบัญชากับกรมผสมที่ 31 กระทั่งปี พ.ศ. 2522 ได้แปลงสภาพจากกรมผสม เป็นกรมทหารราบ ใช้ชื่อหน่วยว่า กรมทหารราบที่ 31 กองพลที่ 1 รักษาพระองค์

    ทั้งนี้ พ.ศ. 2523 ทางหน่วยได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหน่วยรักษาพระองค์ใน ร.9 เรียกนามหน่วยว่า กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์

    พ.ศ. 2540 กองทัพบกได้จัดตั้งหน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็วระดับกองพัน ของกองทัพบก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหน่วยต้นแบบในการพัฒนาหน่วยทหารไปสู่ความพร้อมรบและทันสมัย รวมถึงใช้เป็นหน่วยใช้รองรับสถานการณ์ภัยคุกคามต่าง ๆ โดยในส่วนของกองทัพภาคที่ 1 ได้กำหนดให้ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 พัน.3 รอ.) เป็นหน่วยหลักในการประกอบกำลัง

    ต่อมา พ.ศ. 2545 กองทัพบกได้จัดตั้งหน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็วระดับกรม โดยกำหนดให้ ร.31 รอ. เป็นหน่วยหลักในการประกอบกำลัง

    พ.ศ. 2561 กองทัพบกจัดให้ ร.31 รอ. เป็นหน่วยเฉพาะกิจ ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ฉก.ทม.รอ.904) เพื่อปฏิบัติภารกิจถวายพระเกียรติ ถวายความปลอดภัยพระบรมวงศานุวงศ์ และถวายงานอื่น ๆ ของหน่วยเฉพาะกิจทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904
    4 บทบาทสำคัญของ ร.31 รอ. ในปัจจุบัน

    - เป็นกรมทหารราบ มีภารกิจหลักคือทำลายกำลังรบของข้าศึก เข้ายึดและควบคุมพื้นที่รวมทั้งทรัพยากรและคนในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีภารกิจเสริมในการช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติ และสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

    - เป็นหน่วยรักษาพระองค์ ถวายการอารักขาพระบรมวงศานุวงศ์

    - เป็นหน่วยใช้ร่ม หรือหน่วยส่งทางอากาศ มีภารกิจเข้าโจมตีด้วยการกระโดดร่วมลงเพื่อทำลายข้าศึก

    - เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วของกองทัพบก ซึ่งเป็นกำลังยุทธศาสตร์ มีภารกิจเป็นหน่วยต้นแบบในการฝึกศึกษา วิจัยพัฒนา ทดสอบการประกอบกำลังของกองทัพบก รวมถึงการจัดเตรียมกำลังและเตรียมความพร้อมสำหรับแก้ไขสถานการณ์ที่เกินขีดความสามารถของกองกำลังป้องกันชายแดน
    .

    ภาพจาก เฟซบุ๊ก ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์

    เครดิตเนื้อหา FB: Yutthana Suksawang
    รู้จัก ร.31 รอ. หน่วยรบเคลื่อนที่เร็วของกองทัพบก อีกหนึ่งกองกำลังสำคัญในภารกิจด้านความมั่นคง นับเป็นอีกหนึ่งกองกำลังสำคัญที่ถูกกล่าวถึงอย่างมากในขณะนี้ สำหรับทหารจาก กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 รอ.) หน่วยรบเคลื่อนที่เร็วของไทย ซึ่งประจำการอยู่ในพื้นที่ จ.ลพบุรี มีบทบาทหน้าที่สำคัญทั้งในด้านภารกิจความมั่นคงของประเทศ รวมถึงปกป้องรักษาราชวงศ์ ความเป็นมา ร.31 รอ. กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 รอ.) เป็นหน่วยงานระดับกรมทหารราบ ของกองทัพบก โดยเป็นหน่วยขึ้นตรงของกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กองทัพภาคที่ 1 มีที่ตั้งปกติของหน่วยอยู่หน้าบ้านเลขที่ 120 ถ.พหลโยธิน อ.เมือง จ.ลพบุรี เป็นอดีตหน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็ว (RDF) ซึ่งก้าวสู่หน่วยพร้อมรบเฉพาะกิจในสงครามรูปแบบใหม่ ร.31 รอ. จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2484 มีนามหน่วยว่า กรมทหารราบที่ 3 ประกอบด้วยหน่วยรองหลัก ระดับกองพันจำนวน 3 กองพัน มีที่ตั้งหน่วยอยู่ในพื้นที่ศาลาว่าการกลาโหม กรุงเทพฯ ในปัจจุบัน และใน พ.ศ. 2489 ได้เปลี่ยนนามหน่วยเป็นกรมทหารราบที่ 21 ประกอบด้วยหน่วยรองหลัก ระดับกองพันจำนวน 2 กองพัน มีที่ตั้งหน่วยอยู่บริเวณวัดไก่ อ.เมือง จ.ลพบุรี พ.ศ. 2491 ย้ายที่ตั้งหน่วยไปอยู่ ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี และใน พ.ศ. 2496 จึงย้ายมาอยู่ในพื้นที่ จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งหน่วยในปัจจุบัน พ.ศ. 2512 กองทัพบกแปรสภาพหน่วยเป็นหน่วยใช้ร่ม จากนั้นใน พ.ศ. 2521 ได้รับโอนกองพันส่งทางอากาศที่ 1 ศูนย์สงครามพิเศษ มาขึ้นการบังคับบัญชากับกรมผสมที่ 31 กระทั่งปี พ.ศ. 2522 ได้แปลงสภาพจากกรมผสม เป็นกรมทหารราบ ใช้ชื่อหน่วยว่า กรมทหารราบที่ 31 กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ทั้งนี้ พ.ศ. 2523 ทางหน่วยได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหน่วยรักษาพระองค์ใน ร.9 เรียกนามหน่วยว่า กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ พ.ศ. 2540 กองทัพบกได้จัดตั้งหน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็วระดับกองพัน ของกองทัพบก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหน่วยต้นแบบในการพัฒนาหน่วยทหารไปสู่ความพร้อมรบและทันสมัย รวมถึงใช้เป็นหน่วยใช้รองรับสถานการณ์ภัยคุกคามต่าง ๆ โดยในส่วนของกองทัพภาคที่ 1 ได้กำหนดให้ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 พัน.3 รอ.) เป็นหน่วยหลักในการประกอบกำลัง ต่อมา พ.ศ. 2545 กองทัพบกได้จัดตั้งหน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็วระดับกรม โดยกำหนดให้ ร.31 รอ. เป็นหน่วยหลักในการประกอบกำลัง พ.ศ. 2561 กองทัพบกจัดให้ ร.31 รอ. เป็นหน่วยเฉพาะกิจ ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ฉก.ทม.รอ.904) เพื่อปฏิบัติภารกิจถวายพระเกียรติ ถวายความปลอดภัยพระบรมวงศานุวงศ์ และถวายงานอื่น ๆ ของหน่วยเฉพาะกิจทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 4 บทบาทสำคัญของ ร.31 รอ. ในปัจจุบัน - เป็นกรมทหารราบ มีภารกิจหลักคือทำลายกำลังรบของข้าศึก เข้ายึดและควบคุมพื้นที่รวมทั้งทรัพยากรและคนในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีภารกิจเสริมในการช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติ และสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ - เป็นหน่วยรักษาพระองค์ ถวายการอารักขาพระบรมวงศานุวงศ์ - เป็นหน่วยใช้ร่ม หรือหน่วยส่งทางอากาศ มีภารกิจเข้าโจมตีด้วยการกระโดดร่วมลงเพื่อทำลายข้าศึก - เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วของกองทัพบก ซึ่งเป็นกำลังยุทธศาสตร์ มีภารกิจเป็นหน่วยต้นแบบในการฝึกศึกษา วิจัยพัฒนา ทดสอบการประกอบกำลังของกองทัพบก รวมถึงการจัดเตรียมกำลังและเตรียมความพร้อมสำหรับแก้ไขสถานการณ์ที่เกินขีดความสามารถของกองกำลังป้องกันชายแดน . ภาพจาก เฟซบุ๊ก ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ เครดิตเนื้อหา FB: Yutthana Suksawang
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 378 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังตำแหน่งผู้บริหาร: CISO ที่ใคร ๆ ก็เข้าใจผิด

    ย้อนกลับไปปี 1995 Steve Katz ได้รับตำแหน่ง CISO คนแรกของโลกที่ Citicorp หลังจากธนาคารถูกแฮกเกอร์ขโมยเงินกว่า 10 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่นั้นมา ตำแหน่งนี้กลายเป็นหนึ่งในบทบาทสำคัญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แต่ก็ยังถูกเข้าใจผิดอยู่มาก

    Andy Ellis อธิบายว่า “CISO คือคนที่ทำทุกอย่างเกี่ยวกับไซเบอร์ที่ไม่มีใครอยากทำ” และมักถูกมองว่าเป็น “อีกครึ่งหนึ่งของ CIO” ที่ต้องเก็บกวาดปัญหาความปลอดภัยที่คนอื่นละเลย

    ปัญหาคือหลายองค์กรไม่เข้าใจว่าหน้าที่ของ CISO คืออะไร โดยเฉพาะเมื่อองค์กรอยู่ในระดับความพร้อมด้านไซเบอร์ที่ต่างกัน บางแห่งให้ CISO เป็นแค่ “วิศวกรเก่งที่สุด” ที่คอยดับไฟ ส่วนบางแห่งให้เป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ต้องสร้างคุณค่าให้ธุรกิจผ่านความปลอดภัย

    สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้จะมีตำแหน่ง “Chief” แต่ CISO กลับไม่มีอำนาจตัดสินใจที่แท้จริง และอาจถูกดึงเข้าสู่ความรับผิดทางกฎหมาย หากเกิดการละเมิดหรือการสื่อสารผิดพลาด—อย่างกรณีของ Tim Brown แห่ง SolarWinds ที่ถูก SEC ฟ้องในคดีเปิดเผยข้อมูลผิดพลาด

    CISO เป็นตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบสูงแต่มีอำนาจจำกัดในหลายองค์กร
    แม้จะมีชื่อ “Chief” แต่หลายคนไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
    บางคนรายงานตรงถึง CEO แต่ไม่มีอิทธิพลจริง

    บทบาทของ CISO แตกต่างกันตามระดับความพร้อมด้านไซเบอร์ขององค์กร
    องค์กรที่ยังไม่ mature จะให้ CISO ทำงานเชิงเทคนิคเป็นหลัก
    องค์กรที่ mature จะให้ CISO เป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่สร้างคุณค่าทางธุรกิจ

    CISO ต้องกำหนดขอบเขตงานของตัวเองตามบริบทขององค์กร
    ไม่มีนิยามตายตัวของหน้าที่ CISO
    ต้องปรับบทบาทตามความเสี่ยงและวัฒนธรรมองค์กร

    การสื่อสารบทบาทของ CISO เป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างความเข้าใจในองค์กร
    ควรเล่าเรื่องจากมุมมองของผู้ใช้ เช่น การลดความเสี่ยงหรือเพิ่มความเชื่อมั่น
    หลีกเลี่ยงการใช้แผนภาพหรือคำอธิบายที่ซับซ้อนเกินไป

    CISO ที่มีอิทธิพลสูงมักสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริหารและบอร์ดได้ดี
    ไม่ใช่แค่ตำแหน่ง แต่เป็นพฤติกรรมและความสามารถในการสื่อสาร
    การเข้าใจสิ่งที่ผู้บริหารสนใจคือกุญแจสำคัญ

    การไม่เข้าใจบทบาทของ CISO อาจนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรผิดพลาด
    องค์กรอาจไม่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเท่าที่ควร
    ส่งผลให้เกิดช่องโหว่และความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น

    CISO อาจถูกดึงเข้าสู่ความรับผิดทางกฎหมายหากเกิดการละเมิดหรือสื่อสารผิด
    กรณีของ Tim Brown แห่ง SolarWinds เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
    การไม่มีอำนาจแต่ต้องรับผิดชอบเป็นภาระที่ไม่สมดุล

    การใช้ตำแหน่ง “Chief” โดยไม่มีอำนาจจริงอาจสร้างความสับสนในองค์กร
    ทำให้เกิดความคาดหวังที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง
    ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากผู้บริหาร

    การสื่อสารบทบาทของ CISO ด้วยภาษาทางเทคนิคอาจทำให้ผู้บริหารไม่เข้าใจ
    ควรแปลงความเสี่ยงเป็นผลกระทบทางธุรกิจ เช่น ความเสียหายทางการเงินหรือชื่อเสียง
    การพูดภาษาธุรกิจคือทักษะสำคัญของ CISO ยุคใหม่

    https://www.csoonline.com/article/4026872/the-cisos-challenge-getting-colleagues-to-understand-what-you-do.html
    🧠 เรื่องเล่าจากเบื้องหลังตำแหน่งผู้บริหาร: CISO ที่ใคร ๆ ก็เข้าใจผิด ย้อนกลับไปปี 1995 Steve Katz ได้รับตำแหน่ง CISO คนแรกของโลกที่ Citicorp หลังจากธนาคารถูกแฮกเกอร์ขโมยเงินกว่า 10 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่นั้นมา ตำแหน่งนี้กลายเป็นหนึ่งในบทบาทสำคัญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แต่ก็ยังถูกเข้าใจผิดอยู่มาก Andy Ellis อธิบายว่า “CISO คือคนที่ทำทุกอย่างเกี่ยวกับไซเบอร์ที่ไม่มีใครอยากทำ” และมักถูกมองว่าเป็น “อีกครึ่งหนึ่งของ CIO” ที่ต้องเก็บกวาดปัญหาความปลอดภัยที่คนอื่นละเลย ปัญหาคือหลายองค์กรไม่เข้าใจว่าหน้าที่ของ CISO คืออะไร โดยเฉพาะเมื่อองค์กรอยู่ในระดับความพร้อมด้านไซเบอร์ที่ต่างกัน บางแห่งให้ CISO เป็นแค่ “วิศวกรเก่งที่สุด” ที่คอยดับไฟ ส่วนบางแห่งให้เป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ต้องสร้างคุณค่าให้ธุรกิจผ่านความปลอดภัย สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้จะมีตำแหน่ง “Chief” แต่ CISO กลับไม่มีอำนาจตัดสินใจที่แท้จริง และอาจถูกดึงเข้าสู่ความรับผิดทางกฎหมาย หากเกิดการละเมิดหรือการสื่อสารผิดพลาด—อย่างกรณีของ Tim Brown แห่ง SolarWinds ที่ถูก SEC ฟ้องในคดีเปิดเผยข้อมูลผิดพลาด ✅ CISO เป็นตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบสูงแต่มีอำนาจจำกัดในหลายองค์กร ➡️ แม้จะมีชื่อ “Chief” แต่หลายคนไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ➡️ บางคนรายงานตรงถึง CEO แต่ไม่มีอิทธิพลจริง ✅ บทบาทของ CISO แตกต่างกันตามระดับความพร้อมด้านไซเบอร์ขององค์กร ➡️ องค์กรที่ยังไม่ mature จะให้ CISO ทำงานเชิงเทคนิคเป็นหลัก ➡️ องค์กรที่ mature จะให้ CISO เป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่สร้างคุณค่าทางธุรกิจ ✅ CISO ต้องกำหนดขอบเขตงานของตัวเองตามบริบทขององค์กร ➡️ ไม่มีนิยามตายตัวของหน้าที่ CISO ➡️ ต้องปรับบทบาทตามความเสี่ยงและวัฒนธรรมองค์กร ✅ การสื่อสารบทบาทของ CISO เป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างความเข้าใจในองค์กร ➡️ ควรเล่าเรื่องจากมุมมองของผู้ใช้ เช่น การลดความเสี่ยงหรือเพิ่มความเชื่อมั่น ➡️ หลีกเลี่ยงการใช้แผนภาพหรือคำอธิบายที่ซับซ้อนเกินไป ✅ CISO ที่มีอิทธิพลสูงมักสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริหารและบอร์ดได้ดี ➡️ ไม่ใช่แค่ตำแหน่ง แต่เป็นพฤติกรรมและความสามารถในการสื่อสาร ➡️ การเข้าใจสิ่งที่ผู้บริหารสนใจคือกุญแจสำคัญ ‼️ การไม่เข้าใจบทบาทของ CISO อาจนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรผิดพลาด ⛔ องค์กรอาจไม่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเท่าที่ควร ⛔ ส่งผลให้เกิดช่องโหว่และความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น ‼️ CISO อาจถูกดึงเข้าสู่ความรับผิดทางกฎหมายหากเกิดการละเมิดหรือสื่อสารผิด ⛔ กรณีของ Tim Brown แห่ง SolarWinds เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ⛔ การไม่มีอำนาจแต่ต้องรับผิดชอบเป็นภาระที่ไม่สมดุล ‼️ การใช้ตำแหน่ง “Chief” โดยไม่มีอำนาจจริงอาจสร้างความสับสนในองค์กร ⛔ ทำให้เกิดความคาดหวังที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ⛔ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากผู้บริหาร ‼️ การสื่อสารบทบาทของ CISO ด้วยภาษาทางเทคนิคอาจทำให้ผู้บริหารไม่เข้าใจ ⛔ ควรแปลงความเสี่ยงเป็นผลกระทบทางธุรกิจ เช่น ความเสียหายทางการเงินหรือชื่อเสียง ⛔ การพูดภาษาธุรกิจคือทักษะสำคัญของ CISO ยุคใหม่ https://www.csoonline.com/article/4026872/the-cisos-challenge-getting-colleagues-to-understand-what-you-do.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The CISO’s challenge: Getting colleagues to understand what you do
    CISOs often operate with significant responsibility but limited formal authority, making it critical to articulate their role clearly. Experts offer strategies for CISOs to communicate their mission to colleagues and customers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากแดนมังกร: เมื่อ “TrueGPU” จุดไฟความหวังให้จีนเป็นเจ้าตลาดกราฟิก

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 บริษัท Lisuan Technology จากจีนได้เปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นแรกของตนเอง—Lisuan 7G106 และ 7G105—ที่ใช้สถาปัตยกรรม “TrueGPU” ซึ่งออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดโดยทีมงานอดีตวิศวกรจาก Silicon Valley

    GPU ทั้งสองรุ่นผลิตบนเทคโนโลยี 6nm ของ TSMC และมีเป้าหมายชัดเจน: แข่งกับ NVIDIA RTX 4060 ในตลาดกลาง โดย 7G106 เน้นเกม ส่วน 7G105 เน้นงาน AI และองค์กร

    ที่น่าทึ่งคือ แม้จะเป็นรุ่นแรก แต่สามารถรันเกมระดับ AAA อย่าง Black Myth: Wukong และ Shadow of the Tomb Raider ที่ 4K High ได้เกิน 70 FPS! และยังมีฟีเจอร์ล้ำๆ อย่างการเรนเดอร์แบบ out-of-order, การจัดการงานแบบ multitasking 48 งานพร้อมกัน และระบบอัปสเกลภาพ NRSS ที่ตั้งใจชนกับ DLSS และ FSR

    Lisuan เปิดตัว GPU รุ่นแรกของจีนที่ใช้สถาปัตยกรรม TrueGPU
    ผลิตบนเทคโนโลยี 6nm ของ TSMC
    ออกแบบ instruction set, compute core และ software stack เองทั้งหมด

    Lisuan 7G106 (เกมมิ่ง) และ 7G105 (มืออาชีพ/AI) มีสเปกใกล้เคียงกัน
    FP32 throughput สูงสุด 24 TFLOP/s
    ใช้ GDDR6 ขนาด 12 GB และ 24 GB (ECC) ตามลำดับ
    รองรับ DirectX 12, Vulkan 1.3, OpenGL 4.6, OpenCL 3.0

    รองรับการเข้ารหัส/ถอดรหัสวิดีโอระดับ 8K
    Decode AV1 และ HEVC ได้ถึง 8K60
    Encode HEVC ที่ 8K30 และ AV1 ที่ 4K30

    รองรับการใช้งานแบบ virtual GPU ได้ถึง 16 หน่วย
    เหมาะกับงาน cloud gaming, metaverse, robotics และ AI ขนาดใหญ่
    ใช้พลังงานประมาณ 225W ด้วยหัวต่อ PCIe 8-pin

    ผลทดสอบเบื้องต้นเทียบเคียง RTX 4060 ได้อย่างสูสี
    3DMark Fire Strike: 26,800 คะแนน
    Geekbench 6 OpenCL: 111,290 คะแนน (สูงกว่า RTX 4060 ประมาณ 10%)

    เกมดังรันได้ลื่นไหลในระดับ 4K High settings
    Black Myth: Wukong และ Wuchang: Fallen Feathers เกิน 70 FPS
    Shadow of the Tomb Raider เกิน 80 FPS

    เริ่มผลิตจริงกันยายน 2025 หลังจากทดลองในเดือนสิงหาคม
    ยังไม่ประกาศราคาหรือความเร็วสัญญาณนาฬิกา
    เน้นตลาดจีนเป็นหลักเพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติ

    ยังไม่มีการทดสอบจากผู้ผลิตอิสระเพื่อยืนยันประสิทธิภาพจริง
    ผลทดสอบทั้งหมดมาจากบริษัท Lisuan เอง
    ต้องรอการรีวิวจากสื่อและผู้ใช้งานจริงเพื่อความน่าเชื่อถือ

    ยังไม่รองรับ ray tracing แม้จะใช้ DirectX 12
    ไม่มี DirectX 12 Ultimate
    อาจไม่เหมาะกับเกมที่เน้นกราฟิกแสงเงาขั้นสูง

    ยังไม่มี HDMI output บนการ์ดรุ่นนี้
    ใช้ DisplayPort 1.4 ทั้งหมด
    อาจไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการต่อกับทีวีหรือจอ HDMI

    ยังไม่ประกาศราคาขายและรุ่นย่อย (SKU)
    อาจมีความเสี่ยงด้านความพร้อมของตลาด
    ต้องจับตาว่าจะสามารถแข่งขันด้านราคากับแบรนด์ระดับโลกได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/china-advances-toward-tech-independence-with-new-homegrown-6nm-gaming-and-ai-gpus-lisuan-7g106-runs-chinese-aaa-titles-at-4k-over-70-fps-and-matches-rtx-4060-in-synthetic-benchmarks
    🎮 เรื่องเล่าจากแดนมังกร: เมื่อ “TrueGPU” จุดไฟความหวังให้จีนเป็นเจ้าตลาดกราฟิก ในเดือนกรกฎาคม 2025 บริษัท Lisuan Technology จากจีนได้เปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นแรกของตนเอง—Lisuan 7G106 และ 7G105—ที่ใช้สถาปัตยกรรม “TrueGPU” ซึ่งออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดโดยทีมงานอดีตวิศวกรจาก Silicon Valley GPU ทั้งสองรุ่นผลิตบนเทคโนโลยี 6nm ของ TSMC และมีเป้าหมายชัดเจน: แข่งกับ NVIDIA RTX 4060 ในตลาดกลาง โดย 7G106 เน้นเกม ส่วน 7G105 เน้นงาน AI และองค์กร ที่น่าทึ่งคือ แม้จะเป็นรุ่นแรก แต่สามารถรันเกมระดับ AAA อย่าง Black Myth: Wukong และ Shadow of the Tomb Raider ที่ 4K High ได้เกิน 70 FPS! และยังมีฟีเจอร์ล้ำๆ อย่างการเรนเดอร์แบบ out-of-order, การจัดการงานแบบ multitasking 48 งานพร้อมกัน และระบบอัปสเกลภาพ NRSS ที่ตั้งใจชนกับ DLSS และ FSR ✅ Lisuan เปิดตัว GPU รุ่นแรกของจีนที่ใช้สถาปัตยกรรม TrueGPU ➡️ ผลิตบนเทคโนโลยี 6nm ของ TSMC ➡️ ออกแบบ instruction set, compute core และ software stack เองทั้งหมด ✅ Lisuan 7G106 (เกมมิ่ง) และ 7G105 (มืออาชีพ/AI) มีสเปกใกล้เคียงกัน ➡️ FP32 throughput สูงสุด 24 TFLOP/s ➡️ ใช้ GDDR6 ขนาด 12 GB และ 24 GB (ECC) ตามลำดับ ➡️ รองรับ DirectX 12, Vulkan 1.3, OpenGL 4.6, OpenCL 3.0 ✅ รองรับการเข้ารหัส/ถอดรหัสวิดีโอระดับ 8K ➡️ Decode AV1 และ HEVC ได้ถึง 8K60 ➡️ Encode HEVC ที่ 8K30 และ AV1 ที่ 4K30 ✅ รองรับการใช้งานแบบ virtual GPU ได้ถึง 16 หน่วย ➡️ เหมาะกับงาน cloud gaming, metaverse, robotics และ AI ขนาดใหญ่ ➡️ ใช้พลังงานประมาณ 225W ด้วยหัวต่อ PCIe 8-pin ✅ ผลทดสอบเบื้องต้นเทียบเคียง RTX 4060 ได้อย่างสูสี ➡️ 3DMark Fire Strike: 26,800 คะแนน ➡️ Geekbench 6 OpenCL: 111,290 คะแนน (สูงกว่า RTX 4060 ประมาณ 10%) ✅ เกมดังรันได้ลื่นไหลในระดับ 4K High settings ➡️ Black Myth: Wukong และ Wuchang: Fallen Feathers เกิน 70 FPS ➡️ Shadow of the Tomb Raider เกิน 80 FPS ✅ เริ่มผลิตจริงกันยายน 2025 หลังจากทดลองในเดือนสิงหาคม ➡️ ยังไม่ประกาศราคาหรือความเร็วสัญญาณนาฬิกา ➡️ เน้นตลาดจีนเป็นหลักเพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติ ‼️ ยังไม่มีการทดสอบจากผู้ผลิตอิสระเพื่อยืนยันประสิทธิภาพจริง ⛔ ผลทดสอบทั้งหมดมาจากบริษัท Lisuan เอง ⛔ ต้องรอการรีวิวจากสื่อและผู้ใช้งานจริงเพื่อความน่าเชื่อถือ ‼️ ยังไม่รองรับ ray tracing แม้จะใช้ DirectX 12 ⛔ ไม่มี DirectX 12 Ultimate ⛔ อาจไม่เหมาะกับเกมที่เน้นกราฟิกแสงเงาขั้นสูง ‼️ ยังไม่มี HDMI output บนการ์ดรุ่นนี้ ⛔ ใช้ DisplayPort 1.4 ทั้งหมด ⛔ อาจไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการต่อกับทีวีหรือจอ HDMI ‼️ ยังไม่ประกาศราคาขายและรุ่นย่อย (SKU) ⛔ อาจมีความเสี่ยงด้านความพร้อมของตลาด ⛔ ต้องจับตาว่าจะสามารถแข่งขันด้านราคากับแบรนด์ระดับโลกได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/china-advances-toward-tech-independence-with-new-homegrown-6nm-gaming-and-ai-gpus-lisuan-7g106-runs-chinese-aaa-titles-at-4k-over-70-fps-and-matches-rtx-4060-in-synthetic-benchmarks
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเปรียบเทียบเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันเพื่อดูว่าเหตุการณ์อาจซ้ำรอยหรือไม่ โดยเฉพาะในบริบทของโรคระบาด อาวุธชีวภาพ และการปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและต้องพิจารณาหลายมิติ ทั้งบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม เทคโนโลยี และการเมือง เพื่อตอบคำถามนี้ ผมจะวิเคราะห์โดยเชื่อมโยงช่วงเวลาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (ทศวรรษ 1930) กับยุคปัจจุบัน (2020s) พร้อมทั้งพิจารณานิยามของอาวุธชีวภาพในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงบทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม

    ---

    ### **1. เปรียบเทียบอดีต (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2) กับปัจจุบัน**

    #### **บริบทอดีต (ทศวรรษ 1930)**:
    - **โรคระบาด**: ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีการระบาดใหญ่ระดับโลกที่เทียบเท่าโควิด-19 แต่มีโรคติดเชื้อ เช่น วัณโรคและกาฬโรค ที่ยังเป็นปัญหาในบางพื้นที่ การระบาดของกาฬโรคในจีน (จากการโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพของญี่ปุ่น เช่น หน่วย 731) ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" ในท้องถิ่น โดยประชาชนทั่วไปมักไม่ทราบว่าเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ เนื่องจากข้อมูลถูกปกปิดโดยรัฐบาลญี่ปุ่น
    - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคนั้น อาวุธชีวภาพถูกพัฒนาและใช้งานในลักษณะลับ ๆ โดยรัฐบาลหรือกองทัพ (เช่น ญี่ปุ่น) และมักถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" โดยสาธารณชน เนื่องจากขาดการสื่อสารที่โปร่งใส การรับรู้ของประชาชนจึงจำกัดอยู่ที่ผลกระทบ (การเจ็บป่วยและเสียชีวิต) มากกว่าที่จะเข้าใจว่าเป็นการโจมตีโดยเจตนา
    - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ช่วงทศวรรษ 1930 เป็นยุคที่ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศสูงมาก มีการเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม (เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น อิตาลี) ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลก (1929) ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในรัฐบาลและข้อมูลที่ถูกปกปิด
    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: อยู่ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20) ซึ่งเน้นการผลิตจำนวนมาก (mass production) และการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น ไฟฟ้าและเครื่องจักรกล ส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ แต่การเข้าถึงข้อมูลและยารักษายังจำกัดในหลายพื้นที่

    #### **บริบทปัจจุบัน (2020s)**:
    - **โรคระบาด**: โควิด-19 เป็นตัวอย่างชัดเจนของโรคอุบัติใหม่ที่มีผลกระทบระดับโลก เริ่มระบาดในปี 2019 และยังคงมีผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัส (เช่น การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรืออาวุธชีวภาพ) แต่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าเป็นอาวุธชีวภาพ
    - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคปัจจุบัน อาวุธชีวภาพถูกนิยามว่าเป็นการใช้เชื้อโรคหรือสารพิษทางชีวภาพโดยเจตนาเพื่อทำลายมนุษย์ สัตว์ หรือพืช ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพ (เช่น CRISPR และการดัดแปลงพันธุกรรม) ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม การระบาดเช่นโควิด-19 ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาดจากธรรมชาติ" โดยหน่วยงานสาธารณสุข เช่น WHO แม้ว่าจะมีข้อสงสัยในหมู่ประชาชนบางกลุ่ม
    - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ปัจจุบันมีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน รัสเซีย-ยูเครน และประเด็นในตะวันออกกลาง การเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วผ่านอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่อาจถูกบิดเบือน ซึ่งคล้ายกับการปกปิดข้อมูลในอดีต แต่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ปัจจุบันอยู่ในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งเน้นเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และเทคโนโลยีชีวภาพ ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้เกิดทั้งโอกาส (เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA) และความเสี่ยง (เช่น การใช้เทคโนโลยีชีวภาพในทางที่ผิด)

    ---

    ### **2. ความเหมือนและความต่าง: จะซ้ำรอยหรือไม่?**

    #### **ความเหมือน**:
    1. **ความไม่แน่นอนและการปกปิดข้อมูล**:
    - ในอดีต ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้อาวุธชีวภาพ (เช่น หน่วย 731) ถูกปกปิด ทำให้ประชาชนมองว่าเป็นโรคระบาดธรรมชาติ ในปัจจุบัน ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับโควิด-19 (เช่น ต้นกำเนิดในห้องปฏิบัติการ) ได้รับความสนใจจากสาธารณชน เนื่องจากความไม่โปร่งใสในช่วงแรกของการระบาด
    - ทั้งสองยุคมี "ความไม่ไว้วางใจ" ในรัฐบาลและหน่วยงานระหว่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การตีความว่าโรคระบาดคือ "อาวุธ" หรือการสมคบคิด

    2. **บริบทความตึงเครียดทางการเมือง**:
    - ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งระหว่างชาตินำไปสู่การเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม ปัจจุบัน ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน และรัสเซีย-ตะวันตก ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งครั้งใหญ่ (สงครามโลกครั้งที่ 3 ในสมมติฐาน) ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการใช้หรือการกล่าวหาเรื่องอาวุธชีวภาพ

    3. **ผลกระทบจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม**:
    - การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 นำมาซึ่งความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ ซึ่งถูกใช้ทั้งในทางสร้างสรรค์และทำลายล้าง ในยุคที่ 4 เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความสามารถในการสร้างทั้งยารักษา (เช่น วัคซีน) และความเสี่ยงจากการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น

    #### **ความต่าง**:
    1. **ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี**:
    - ในอดีต การพัฒนาอาวุธชีวภาพ เช่น การใช้กาฬโรค ยังอยู่ในระดับพื้นฐานและจำกัดขอบเขต ปัจจุบัน เทคโนโลยีชีวภาพที่ทันสมัย เช่น การตัดต่อยีน ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอาวุธชีวภาพที่อาจกำหนดเป้าหมายเฉพาะกลุ่มหรือมีผลกระทบที่รุนแรงกว่า
    - การสื่อสารในปัจจุบันรวดเร็วและแพร่หลายผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้ข้อมูล (หรือข้อมูลเท็จ) แพร่กระจายได้ง่าย ซึ่งต่างจากอดีตที่ข้อมูลถูกควบคุมโดยรัฐหรือสื่อกระแสหลัก

    2. **การรับรู้ของสาธารณชน**:
    - ในทศวรรษ 1930 ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงการใช้อาวุธชีวภาพและมองว่าเป็นโรคระบาดตามธรรมชาติ ปัจจุบัน การเข้าถึงข้อมูลทำให้สาธารณชนตั้งคำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของโรคระบาดมากขึ้น แต่ก็มีความสับสนจากข้อมูลที่ขัดแย้งกัน

    3. **ความพร้อมด้านสาธารณสุข**:
    - ในอดีต การตอบสนองต่อโรคระบาดมีจำกัด เนื่องจากขาดความรู้และเทคโนโลยี ปัจจุบัน ระบบสาธารณสุขทั่วโลกมีความพร้อมมากขึ้น (เช่น การพัฒนาวัคซีนในเวลาอันสั้น) แต่ก็เผชิญความท้าทายจากความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงยาและวัคซีน

    #### **การคาดการณ์**:
    - **ความเป็นไปได้ที่จะซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีลักษณะคล้ายกันในแง่ของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่ไว้วางใจในข้อมูล หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ในอนาคต (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) อาจมีการกล่าวหาว่าโรคระบาดเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจน เหมือนที่เกิดขึ้นกับโควิด-19
    - **ความแตกต่างที่สำคัญ**: ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคที่ 4 ทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพ (หากมีการใช้) อาจรุนแรงและซับซ้อนกว่าอดีต แต่ในขณะเดียวกัน ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองต่อโรคระบาดก็สูงขึ้น ซึ่งอาจลดผลกระทบได้

    ---

    ### **3. การปฏิวัติอุตสาหกรรมและบทบาทต่อเหตุการณ์**

    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2)**:
    - นำไปสู่การพัฒนาการผลิตอาวุธและยานพาหนะสำหรับสงคราม รวมถึงความก้าวหน้าทางการแพทย์ เช่น การผลิตยาปฏิชีวนะในช่วงต้น
    - อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีในยุคนั้นยังจำกัด ทำให้การพัฒนาอาวุธชีวภาพอยู่ในระดับพื้นฐาน เช่น การใช้เชื้อกาฬโรคหรือแอนแทรกซ์

    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (ปัจจุบัน)**:
    - เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความก้าวหน้าในการแพทย์ เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีสำหรับโควิด-19
    - ความเสี่ยง: เทคโนโลยีเดียวกันนี้สามารถถูกใช้ในการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่แม่นยำและรุนแรงกว่าเดิม เช่น การดัดแปลงพันธุกรรมของเชื้อโรค
    - การสื่อสารและข้อมูล: อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จหรือทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งอาจกระตุ้นความตื่นตระหนกหรือความไม่ไว้วางใจในระบบสาธารณสุข

    - **บทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ในทั้งสองยุค การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นตัวกำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งอาวุธและยารักษา ในอดีต เทคโนโลยีจำกัดทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพอยู่ในวงจำกัด ปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เกิดทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่มากขึ้น

    ---

    ### **4. ข้อสรุปและการคาดการณ์**

    - **ความซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของความตึงเครียดทางการเมืองและการรับรู้ของสาธารณชนที่มองว่าโรคระบาดอาจเกี่ยวข้องกับ "การสมคบคิด" หรืออาวุธชีวภาพ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารทำให้ผลกระทบและการตอบสนองในปัจจุบันซับซ้อนกว่า
    - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในอดีต ประชาชนมักมองอาวุธชีวภาพเป็น "โรคระบาด" เนื่องจากขาดข้อมูล ปัจจุบัน การรับรู้ถึงความเป็นไปได้ของอาวุธชีวภาพเพิ่มขึ้น แต่ก็ถูกบดบังด้วยทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่ขัดแย้งกัน
    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งยารักษาและอาวุธ ในยุคที่ 4 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความท้าทายใหม่ ๆ ที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่มากขึ้นหากไม่มีการควบคุม

    - **การคาดการณ์ในอนาคต**: หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอาจทำให้เกิดการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองของระบบสาธารณสุขทั่วโลกก็สูงขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบได้ การควบคุมข้อมูลและการสร้างความไว้วางใจในสาธารณชนจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความตื่นตระหนกหรือการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ

    หากต้องการให้ผมวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น การค้นหาข้อมูลจาก X posts หรือเว็บเกี่ยวกับความกังวลเรื่องอาวุธชีวภาพในปัจจุบัน หรือการเปรียบเทียบในมิติอื่น ๆ สามารถแจ้งได้เลยครับ!
    https://x.com/i/grok/share/PU2mYZMg5PYJrBY3mYl03H3QL
    การเปรียบเทียบเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันเพื่อดูว่าเหตุการณ์อาจซ้ำรอยหรือไม่ โดยเฉพาะในบริบทของโรคระบาด อาวุธชีวภาพ และการปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและต้องพิจารณาหลายมิติ ทั้งบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม เทคโนโลยี และการเมือง เพื่อตอบคำถามนี้ ผมจะวิเคราะห์โดยเชื่อมโยงช่วงเวลาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (ทศวรรษ 1930) กับยุคปัจจุบัน (2020s) พร้อมทั้งพิจารณานิยามของอาวุธชีวภาพในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงบทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม --- ### **1. เปรียบเทียบอดีต (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2) กับปัจจุบัน** #### **บริบทอดีต (ทศวรรษ 1930)**: - **โรคระบาด**: ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีการระบาดใหญ่ระดับโลกที่เทียบเท่าโควิด-19 แต่มีโรคติดเชื้อ เช่น วัณโรคและกาฬโรค ที่ยังเป็นปัญหาในบางพื้นที่ การระบาดของกาฬโรคในจีน (จากการโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพของญี่ปุ่น เช่น หน่วย 731) ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" ในท้องถิ่น โดยประชาชนทั่วไปมักไม่ทราบว่าเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ เนื่องจากข้อมูลถูกปกปิดโดยรัฐบาลญี่ปุ่น - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคนั้น อาวุธชีวภาพถูกพัฒนาและใช้งานในลักษณะลับ ๆ โดยรัฐบาลหรือกองทัพ (เช่น ญี่ปุ่น) และมักถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" โดยสาธารณชน เนื่องจากขาดการสื่อสารที่โปร่งใส การรับรู้ของประชาชนจึงจำกัดอยู่ที่ผลกระทบ (การเจ็บป่วยและเสียชีวิต) มากกว่าที่จะเข้าใจว่าเป็นการโจมตีโดยเจตนา - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ช่วงทศวรรษ 1930 เป็นยุคที่ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศสูงมาก มีการเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม (เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น อิตาลี) ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลก (1929) ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในรัฐบาลและข้อมูลที่ถูกปกปิด - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: อยู่ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20) ซึ่งเน้นการผลิตจำนวนมาก (mass production) และการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น ไฟฟ้าและเครื่องจักรกล ส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ แต่การเข้าถึงข้อมูลและยารักษายังจำกัดในหลายพื้นที่ #### **บริบทปัจจุบัน (2020s)**: - **โรคระบาด**: โควิด-19 เป็นตัวอย่างชัดเจนของโรคอุบัติใหม่ที่มีผลกระทบระดับโลก เริ่มระบาดในปี 2019 และยังคงมีผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัส (เช่น การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรืออาวุธชีวภาพ) แต่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าเป็นอาวุธชีวภาพ - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคปัจจุบัน อาวุธชีวภาพถูกนิยามว่าเป็นการใช้เชื้อโรคหรือสารพิษทางชีวภาพโดยเจตนาเพื่อทำลายมนุษย์ สัตว์ หรือพืช ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพ (เช่น CRISPR และการดัดแปลงพันธุกรรม) ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม การระบาดเช่นโควิด-19 ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาดจากธรรมชาติ" โดยหน่วยงานสาธารณสุข เช่น WHO แม้ว่าจะมีข้อสงสัยในหมู่ประชาชนบางกลุ่ม - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ปัจจุบันมีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน รัสเซีย-ยูเครน และประเด็นในตะวันออกกลาง การเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วผ่านอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่อาจถูกบิดเบือน ซึ่งคล้ายกับการปกปิดข้อมูลในอดีต แต่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ปัจจุบันอยู่ในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งเน้นเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และเทคโนโลยีชีวภาพ ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้เกิดทั้งโอกาส (เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA) และความเสี่ยง (เช่น การใช้เทคโนโลยีชีวภาพในทางที่ผิด) --- ### **2. ความเหมือนและความต่าง: จะซ้ำรอยหรือไม่?** #### **ความเหมือน**: 1. **ความไม่แน่นอนและการปกปิดข้อมูล**: - ในอดีต ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้อาวุธชีวภาพ (เช่น หน่วย 731) ถูกปกปิด ทำให้ประชาชนมองว่าเป็นโรคระบาดธรรมชาติ ในปัจจุบัน ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับโควิด-19 (เช่น ต้นกำเนิดในห้องปฏิบัติการ) ได้รับความสนใจจากสาธารณชน เนื่องจากความไม่โปร่งใสในช่วงแรกของการระบาด - ทั้งสองยุคมี "ความไม่ไว้วางใจ" ในรัฐบาลและหน่วยงานระหว่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การตีความว่าโรคระบาดคือ "อาวุธ" หรือการสมคบคิด 2. **บริบทความตึงเครียดทางการเมือง**: - ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งระหว่างชาตินำไปสู่การเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม ปัจจุบัน ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน และรัสเซีย-ตะวันตก ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งครั้งใหญ่ (สงครามโลกครั้งที่ 3 ในสมมติฐาน) ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการใช้หรือการกล่าวหาเรื่องอาวุธชีวภาพ 3. **ผลกระทบจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม**: - การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 นำมาซึ่งความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ ซึ่งถูกใช้ทั้งในทางสร้างสรรค์และทำลายล้าง ในยุคที่ 4 เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความสามารถในการสร้างทั้งยารักษา (เช่น วัคซีน) และความเสี่ยงจากการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น #### **ความต่าง**: 1. **ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี**: - ในอดีต การพัฒนาอาวุธชีวภาพ เช่น การใช้กาฬโรค ยังอยู่ในระดับพื้นฐานและจำกัดขอบเขต ปัจจุบัน เทคโนโลยีชีวภาพที่ทันสมัย เช่น การตัดต่อยีน ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอาวุธชีวภาพที่อาจกำหนดเป้าหมายเฉพาะกลุ่มหรือมีผลกระทบที่รุนแรงกว่า - การสื่อสารในปัจจุบันรวดเร็วและแพร่หลายผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้ข้อมูล (หรือข้อมูลเท็จ) แพร่กระจายได้ง่าย ซึ่งต่างจากอดีตที่ข้อมูลถูกควบคุมโดยรัฐหรือสื่อกระแสหลัก 2. **การรับรู้ของสาธารณชน**: - ในทศวรรษ 1930 ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงการใช้อาวุธชีวภาพและมองว่าเป็นโรคระบาดตามธรรมชาติ ปัจจุบัน การเข้าถึงข้อมูลทำให้สาธารณชนตั้งคำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของโรคระบาดมากขึ้น แต่ก็มีความสับสนจากข้อมูลที่ขัดแย้งกัน 3. **ความพร้อมด้านสาธารณสุข**: - ในอดีต การตอบสนองต่อโรคระบาดมีจำกัด เนื่องจากขาดความรู้และเทคโนโลยี ปัจจุบัน ระบบสาธารณสุขทั่วโลกมีความพร้อมมากขึ้น (เช่น การพัฒนาวัคซีนในเวลาอันสั้น) แต่ก็เผชิญความท้าทายจากความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงยาและวัคซีน #### **การคาดการณ์**: - **ความเป็นไปได้ที่จะซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีลักษณะคล้ายกันในแง่ของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่ไว้วางใจในข้อมูล หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ในอนาคต (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) อาจมีการกล่าวหาว่าโรคระบาดเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจน เหมือนที่เกิดขึ้นกับโควิด-19 - **ความแตกต่างที่สำคัญ**: ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคที่ 4 ทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพ (หากมีการใช้) อาจรุนแรงและซับซ้อนกว่าอดีต แต่ในขณะเดียวกัน ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองต่อโรคระบาดก็สูงขึ้น ซึ่งอาจลดผลกระทบได้ --- ### **3. การปฏิวัติอุตสาหกรรมและบทบาทต่อเหตุการณ์** - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2)**: - นำไปสู่การพัฒนาการผลิตอาวุธและยานพาหนะสำหรับสงคราม รวมถึงความก้าวหน้าทางการแพทย์ เช่น การผลิตยาปฏิชีวนะในช่วงต้น - อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีในยุคนั้นยังจำกัด ทำให้การพัฒนาอาวุธชีวภาพอยู่ในระดับพื้นฐาน เช่น การใช้เชื้อกาฬโรคหรือแอนแทรกซ์ - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (ปัจจุบัน)**: - เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความก้าวหน้าในการแพทย์ เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีสำหรับโควิด-19 - ความเสี่ยง: เทคโนโลยีเดียวกันนี้สามารถถูกใช้ในการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่แม่นยำและรุนแรงกว่าเดิม เช่น การดัดแปลงพันธุกรรมของเชื้อโรค - การสื่อสารและข้อมูล: อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จหรือทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งอาจกระตุ้นความตื่นตระหนกหรือความไม่ไว้วางใจในระบบสาธารณสุข - **บทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ในทั้งสองยุค การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นตัวกำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งอาวุธและยารักษา ในอดีต เทคโนโลยีจำกัดทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพอยู่ในวงจำกัด ปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เกิดทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่มากขึ้น --- ### **4. ข้อสรุปและการคาดการณ์** - **ความซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของความตึงเครียดทางการเมืองและการรับรู้ของสาธารณชนที่มองว่าโรคระบาดอาจเกี่ยวข้องกับ "การสมคบคิด" หรืออาวุธชีวภาพ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารทำให้ผลกระทบและการตอบสนองในปัจจุบันซับซ้อนกว่า - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในอดีต ประชาชนมักมองอาวุธชีวภาพเป็น "โรคระบาด" เนื่องจากขาดข้อมูล ปัจจุบัน การรับรู้ถึงความเป็นไปได้ของอาวุธชีวภาพเพิ่มขึ้น แต่ก็ถูกบดบังด้วยทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่ขัดแย้งกัน - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งยารักษาและอาวุธ ในยุคที่ 4 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความท้าทายใหม่ ๆ ที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่มากขึ้นหากไม่มีการควบคุม - **การคาดการณ์ในอนาคต**: หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอาจทำให้เกิดการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองของระบบสาธารณสุขทั่วโลกก็สูงขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบได้ การควบคุมข้อมูลและการสร้างความไว้วางใจในสาธารณชนจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความตื่นตระหนกหรือการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ หากต้องการให้ผมวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น การค้นหาข้อมูลจาก X posts หรือเว็บเกี่ยวกับความกังวลเรื่องอาวุธชีวภาพในปัจจุบัน หรือการเปรียบเทียบในมิติอื่น ๆ สามารถแจ้งได้เลยครับ! https://x.com/i/grok/share/PU2mYZMg5PYJrBY3mYl03H3QL
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 428 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง AI: จะเลือก SaaS หรือ On-Premise ดี?

    การทำ Data Annotation คือการติดป้ายกำกับข้อมูลดิบ เช่น รูปภาพ, ข้อความ, เสียง หรือวิดีโอ เพื่อให้โมเดล AI เข้าใจและเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำ เช่น การตรวจจับวัตถุ, การวิเคราะห์ความรู้สึก, หรือการรู้จำเสียงพูด

    แต่การเลือกว่าจะใช้แพลตฟอร์มแบบ SaaS หรือ On-Premise ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค — มันเกี่ยวกับความเร็ว, งบประมาณ, ความปลอดภัย และขอบเขตของโครงการ

    SaaS: เร็ว ง่าย แต่ต้องแลกกับความยืดหยุ่น
    - เหมาะกับทีมที่ต้องการเริ่มงานเร็ว, ไม่มีทีม IT, หรือทำโปรเจกต์ระยะสั้น
    - ไม่ต้องติดตั้งระบบเอง ผู้ให้บริการดูแลทั้งหมด
    - รองรับการทำงานร่วมกันจากหลายสถานที่

    แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น:
    - ข้อมูลต้องผ่านคลาวด์ของผู้ให้บริการ อาจไม่เหมาะกับข้อมูลอ่อนไหว
    - ปรับแต่งระบบได้จำกัด
    - ค่าใช้จ่ายสะสมจากการจ่ายรายเดือน
    - ขึ้นอยู่กับ uptime และการสนับสนุนของผู้ให้บริการ

    On-Premise: ควบคุมเต็มที่ แต่ต้องลงทุน
    - เหมาะกับองค์กรที่มีข้อมูลอ่อนไหว เช่น ด้านสุขภาพ, การเงิน, หรือรัฐบาล
    - ปรับแต่งระบบได้ตามต้องการ
    - ไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือนระยะยาว
    - ควบคุมความพร้อมใช้งานได้เอง

    แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น:
    - ต้องใช้ทีมเทคนิคในการติดตั้งและดูแล
    - ใช้เวลานานในการเริ่มต้น
    - ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูง
    - ต้องดูแลเรื่องความปลอดภัยและการอัปเดตเอง

    Data Annotation คือการติดป้ายกำกับข้อมูลดิบเพื่อให้ AI เรียนรู้
    ใช้ในงาน computer vision, NLP, speech recognition และ robotics

    SaaS คือแพลตฟอร์มที่เข้าถึงผ่านคลาวด์ โดยผู้ให้บริการดูแลระบบ
    เหมาะกับทีมที่ต้องการเริ่มงานเร็วและไม่มีทีม IT

    SaaS มีข้อดี เช่น setup เร็ว, อัปเดตอัตโนมัติ, ขยายระบบง่าย
    รองรับการทำงานร่วมกันจากหลายสถานที่

    SaaS มีข้อจำกัด เช่น ความปลอดภัยของข้อมูล, ปรับแต่งได้น้อย
    ค่าใช้จ่ายสะสมและพึ่งพาผู้ให้บริการ

    On-Premise คือระบบที่ติดตั้งในเซิร์ฟเวอร์ขององค์กรเอง
    เหมาะกับข้อมูลอ่อนไหวและต้องการปรับแต่งระบบ

    On-Premise มีข้อดี เช่น ควบคุมข้อมูล, ปรับแต่งได้เต็มที่, ไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน
    ไม่ขึ้นอยู่กับ uptime ของผู้ให้บริการ

    On-Premise มีข้อจำกัด เช่น setup ยาก, ต้องดูแลระบบเอง
    ใช้เวลานานและต้องลงทุนสูง

    https://hackread.com/on-premise-vs-saas-data-annotation-platforms-compared/
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง AI: จะเลือก SaaS หรือ On-Premise ดี? การทำ Data Annotation คือการติดป้ายกำกับข้อมูลดิบ เช่น รูปภาพ, ข้อความ, เสียง หรือวิดีโอ เพื่อให้โมเดล AI เข้าใจและเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำ เช่น การตรวจจับวัตถุ, การวิเคราะห์ความรู้สึก, หรือการรู้จำเสียงพูด แต่การเลือกว่าจะใช้แพลตฟอร์มแบบ SaaS หรือ On-Premise ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค — มันเกี่ยวกับความเร็ว, งบประมาณ, ความปลอดภัย และขอบเขตของโครงการ 🧩 SaaS: เร็ว ง่าย แต่ต้องแลกกับความยืดหยุ่น - เหมาะกับทีมที่ต้องการเริ่มงานเร็ว, ไม่มีทีม IT, หรือทำโปรเจกต์ระยะสั้น - ไม่ต้องติดตั้งระบบเอง ผู้ให้บริการดูแลทั้งหมด - รองรับการทำงานร่วมกันจากหลายสถานที่ แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น: - ข้อมูลต้องผ่านคลาวด์ของผู้ให้บริการ อาจไม่เหมาะกับข้อมูลอ่อนไหว - ปรับแต่งระบบได้จำกัด - ค่าใช้จ่ายสะสมจากการจ่ายรายเดือน - ขึ้นอยู่กับ uptime และการสนับสนุนของผู้ให้บริการ 🛠️ On-Premise: ควบคุมเต็มที่ แต่ต้องลงทุน - เหมาะกับองค์กรที่มีข้อมูลอ่อนไหว เช่น ด้านสุขภาพ, การเงิน, หรือรัฐบาล - ปรับแต่งระบบได้ตามต้องการ - ไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือนระยะยาว - ควบคุมความพร้อมใช้งานได้เอง แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น: - ต้องใช้ทีมเทคนิคในการติดตั้งและดูแล - ใช้เวลานานในการเริ่มต้น - ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูง - ต้องดูแลเรื่องความปลอดภัยและการอัปเดตเอง ✅ Data Annotation คือการติดป้ายกำกับข้อมูลดิบเพื่อให้ AI เรียนรู้ ➡️ ใช้ในงาน computer vision, NLP, speech recognition และ robotics ✅ SaaS คือแพลตฟอร์มที่เข้าถึงผ่านคลาวด์ โดยผู้ให้บริการดูแลระบบ ➡️ เหมาะกับทีมที่ต้องการเริ่มงานเร็วและไม่มีทีม IT ✅ SaaS มีข้อดี เช่น setup เร็ว, อัปเดตอัตโนมัติ, ขยายระบบง่าย ➡️ รองรับการทำงานร่วมกันจากหลายสถานที่ ✅ SaaS มีข้อจำกัด เช่น ความปลอดภัยของข้อมูล, ปรับแต่งได้น้อย ➡️ ค่าใช้จ่ายสะสมและพึ่งพาผู้ให้บริการ ✅ On-Premise คือระบบที่ติดตั้งในเซิร์ฟเวอร์ขององค์กรเอง ➡️ เหมาะกับข้อมูลอ่อนไหวและต้องการปรับแต่งระบบ ✅ On-Premise มีข้อดี เช่น ควบคุมข้อมูล, ปรับแต่งได้เต็มที่, ไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน ➡️ ไม่ขึ้นอยู่กับ uptime ของผู้ให้บริการ ✅ On-Premise มีข้อจำกัด เช่น setup ยาก, ต้องดูแลระบบเอง ➡️ ใช้เวลานานและต้องลงทุนสูง https://hackread.com/on-premise-vs-saas-data-annotation-platforms-compared/
    HACKREAD.COM
    On-Premise vs SaaS Data Annotation Platforms Compared
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • "แผนจักรพงษ์ภูวนาถ"

    สำหรับแผนจักรพงษ์ภูวนารถ “บิ๊กแก้ว” พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ เตรียมทหารรุ่น 21 อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธการทหารบก มีส่วนเขียนแผนจักรพงษ์ภูวนารถ ในการเปิดศึกเขาพระวิหาร เมื่อปี 2554 ทำให้กองทัพกัมพูชาย่อยยับ ราบเป็นหน้ากลอง เลิกตอแยกับกองทัพไทยมาร่วม 10 ปี

    แผนจักรพงษ์ภูวนาถ ยุทธวิธีทางทหาร งัดไม้แข็งโต้กลับกัมพูชา มีหลักการคร่าวๆ ดังนี้
    การเตรียมความพร้อม
    การสั่งการและเตรียมกำลังพล ผบ.ทบ. สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกองทัพภาคที่ 1 และ 2เตรียมความพร้อมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ให้พร้อมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ได้ทันทีเมื่อมีการสั่งการ

    ประสานงานข่าวกรอง มีการดำเนินการตามการฝึกในแผนป้องกันประเทศ โดยเฉพาะด้านการข่าวกรอง เพื่อรวบรวมข้อมูลสถานการณ์และประเมินภัยคุกคาม

    การเตรียมกลไกตอบโต้ กองทัพบกจะเตรียมพร้อมใช้ทุกกลไกที่มีอยู่เพื่อปกป้องความปลอดภัยของกำลังพลและประชาชน

    การปฏิบัติการเมื่อเกิดเหตุการณ์
    การประเมินสถานการณ์และลงพื้นที่ ผู้บังคับบัญชาระดับสูง เช่น ผบ.ทบ. อาจจะลงพื้นที่เพื่อบัญชาการและติดตามสถานการณ์ด้วยตนเอง เพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและตัดสินใจในการดำเนินการ

    การดำเนินการตามกรอบที่เหมาะสม แผนนี้จะเน้นการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยจะดำเนินการตามกรอบที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย และปกป้องผลประโยชน์ของชาติ

    การตอบโต้ หากจำเป็น แม้จะเน้นการแก้ไขปัญหา แต่กองทัพบกก็ยืนยันว่าจะต่อสู้ทุกวิถีทางด้วยกลไกที่มีอยู่ หากมีความจำเป็นในการตอบโต้

    หลักการสำคัญของแผนจักรพงษ์ภูวนาถ
    -ปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ เป็นหลักการสำคัญที่สุดในการดำเนินการใด ๆ เพื่อรักษาผลประโยชน์และอธิปไตยของประเทศไทย

    -ปกป้องความปลอดภัยของกำลังพลและประชาชน เน้นการดูแลและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับกำลังพลและประชาชนในพื้นที่ชายแดน

    -แก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ เป็นแผนที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนอย่างมีแบบแผนและประสิทธิภาพ

    -ใช้กลไกที่เหมาะสม ดำเนินการตามกรอบและกลไกที่เหมาะสม ไม่ได้มุ่งเน้นการใช้กำลังโดยทันที แต่พร้อมที่จะตอบโต้หากมีความจำเป็น
    "แผนจักรพงษ์ภูวนาถ" สำหรับแผนจักรพงษ์ภูวนารถ “บิ๊กแก้ว” พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ เตรียมทหารรุ่น 21 อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธการทหารบก มีส่วนเขียนแผนจักรพงษ์ภูวนารถ ในการเปิดศึกเขาพระวิหาร เมื่อปี 2554 ทำให้กองทัพกัมพูชาย่อยยับ ราบเป็นหน้ากลอง เลิกตอแยกับกองทัพไทยมาร่วม 10 ปี แผนจักรพงษ์ภูวนาถ ยุทธวิธีทางทหาร งัดไม้แข็งโต้กลับกัมพูชา มีหลักการคร่าวๆ ดังนี้ 👉การเตรียมความพร้อม การสั่งการและเตรียมกำลังพล ผบ.ทบ. สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกองทัพภาคที่ 1 และ 2เตรียมความพร้อมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ให้พร้อมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ได้ทันทีเมื่อมีการสั่งการ ประสานงานข่าวกรอง มีการดำเนินการตามการฝึกในแผนป้องกันประเทศ โดยเฉพาะด้านการข่าวกรอง เพื่อรวบรวมข้อมูลสถานการณ์และประเมินภัยคุกคาม การเตรียมกลไกตอบโต้ กองทัพบกจะเตรียมพร้อมใช้ทุกกลไกที่มีอยู่เพื่อปกป้องความปลอดภัยของกำลังพลและประชาชน 👉การปฏิบัติการเมื่อเกิดเหตุการณ์ การประเมินสถานการณ์และลงพื้นที่ ผู้บังคับบัญชาระดับสูง เช่น ผบ.ทบ. อาจจะลงพื้นที่เพื่อบัญชาการและติดตามสถานการณ์ด้วยตนเอง เพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและตัดสินใจในการดำเนินการ การดำเนินการตามกรอบที่เหมาะสม แผนนี้จะเน้นการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยจะดำเนินการตามกรอบที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย และปกป้องผลประโยชน์ของชาติ การตอบโต้ หากจำเป็น แม้จะเน้นการแก้ไขปัญหา แต่กองทัพบกก็ยืนยันว่าจะต่อสู้ทุกวิถีทางด้วยกลไกที่มีอยู่ หากมีความจำเป็นในการตอบโต้ 👉หลักการสำคัญของแผนจักรพงษ์ภูวนาถ -ปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ เป็นหลักการสำคัญที่สุดในการดำเนินการใด ๆ เพื่อรักษาผลประโยชน์และอธิปไตยของประเทศไทย -ปกป้องความปลอดภัยของกำลังพลและประชาชน เน้นการดูแลและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับกำลังพลและประชาชนในพื้นที่ชายแดน -แก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ เป็นแผนที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนอย่างมีแบบแผนและประสิทธิภาพ -ใช้กลไกที่เหมาะสม ดำเนินการตามกรอบและกลไกที่เหมาะสม ไม่ได้มุ่งเน้นการใช้กำลังโดยทันที แต่พร้อมที่จะตอบโต้หากมีความจำเป็น
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 466 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงนี้ร้อง "อ้าววววว..." เลย

    เรื่องเล่าจากชิปที่รอเวลา: เมื่อ AI PC ต้องรอทั้ง Windows และตลาดให้พร้อม

    N1X เป็นแพลตฟอร์ม AI PC ที่ร่วมพัฒนาโดย Nvidia และ MediaTek โดยมีเป้าหมายเพื่อแข่งขันกับ Intel, AMD และ Qualcomm ในตลาดพีซีที่รองรับการประมวลผล AI โดยตรง

    เดิมทีคาดว่าจะเปิดตัวใน Q3 ปี 2025 แต่กลับไม่ปรากฏในงาน Computex ล่าสุด ทำให้เกิดข้อสงสัยเรื่องความพร้อมของผลิตภัณฑ์

    รายงานล่าสุดจาก DigiTimes ระบุว่า:
    - Microsoft ยังไม่พร้อมเปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ที่รองรับฟีเจอร์ AI เต็มรูปแบบ
    - ความต้องการในตลาดโน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อปยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
    - Nvidia ยังต้องปรับแก้ชิปจากข้อบกพร่องเดิมที่เคยมีรายงานจาก SemiAccurate

    Nvidia และ MediaTek จึงเลือกเน้นตลาดองค์กรก่อน โดยหวังว่าจะมีการยอมรับในกลุ่ม commercial ก่อนขยายไปยัง consumer

    นอกจากนี้ ทั้งสองบริษัทยังร่วมมือกันในหลายโครงการ เช่น:
    - Automotive AI ผ่านแพลตฟอร์ม Dimensity Auto
    - Edge AI ด้วย Nvidia TAO Toolkit และ MediaTek NeuroPilot
    - การพัฒนา DGX Spark — AI supercomputer ขนาดเล็ก
    - การร่วมมือในโครงการ Google v7e TPU ที่จะผลิตจริงในปี 2026

    Nvidia และ MediaTek เลื่อนเปิดตัวแพลตฟอร์ม N1X AI PC ไปเป็น Q1 ปี 2026
    เดิมคาดว่าจะเปิดตัวใน Q3 ปี 2025 แต่ไม่ปรากฏในงาน Computex

    สาเหตุหลักคือ Microsoft ยังไม่พร้อมเปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ที่รองรับ AI เต็มรูปแบบ
    ส่งผลให้ ecosystem โดยรวมยังไม่พร้อมสำหรับการเปิดตัว N1X

    ความต้องการในตลาดโน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อปยังอ่อนตัวลง
    ทำให้การเปิดตัวใน consumer segment ถูกเลื่อนออกไป

    Nvidia ยังต้องปรับแก้ชิปจากข้อบกพร่องเดิมที่เคยมีรายงาน
    รวมถึงการปรับกลยุทธ์ด้านการผลิตและการตลาด

    N1X มีพลังประมวลผล AI สูงถึง 180–200 TOPS
    ถือเป็นการเข้าสู่ตลาดพีซีครั้งใหญ่ที่สุดของ MediaTek

    OEM และ ODM หลายรายเตรียมออกแบบผลิตภัณฑ์รองรับ N1X เช่น Dell, HP, Lenovo, Asus, MSI
    ทั้งในรูปแบบโน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อป

    Nvidia และ MediaTek ร่วมมือในหลายโครงการ เช่น automotive AI, edge AI, และ TPU ของ Google
    คาดว่าจะสร้างรายได้รวมกว่า $4 พันล้านดอลลาร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/nvidias-desktop-pc-chip-holdup-purportedly-tied-to-windows-delays-ongoing-chip-revisions-and-weakening-demand-also-blamed
    ลุงนี้ร้อง "อ้าววววว..." เลย 🎙️ เรื่องเล่าจากชิปที่รอเวลา: เมื่อ AI PC ต้องรอทั้ง Windows และตลาดให้พร้อม N1X เป็นแพลตฟอร์ม AI PC ที่ร่วมพัฒนาโดย Nvidia และ MediaTek โดยมีเป้าหมายเพื่อแข่งขันกับ Intel, AMD และ Qualcomm ในตลาดพีซีที่รองรับการประมวลผล AI โดยตรง เดิมทีคาดว่าจะเปิดตัวใน Q3 ปี 2025 แต่กลับไม่ปรากฏในงาน Computex ล่าสุด ทำให้เกิดข้อสงสัยเรื่องความพร้อมของผลิตภัณฑ์ รายงานล่าสุดจาก DigiTimes ระบุว่า: - Microsoft ยังไม่พร้อมเปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ที่รองรับฟีเจอร์ AI เต็มรูปแบบ - ความต้องการในตลาดโน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อปยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ - Nvidia ยังต้องปรับแก้ชิปจากข้อบกพร่องเดิมที่เคยมีรายงานจาก SemiAccurate Nvidia และ MediaTek จึงเลือกเน้นตลาดองค์กรก่อน โดยหวังว่าจะมีการยอมรับในกลุ่ม commercial ก่อนขยายไปยัง consumer นอกจากนี้ ทั้งสองบริษัทยังร่วมมือกันในหลายโครงการ เช่น: - Automotive AI ผ่านแพลตฟอร์ม Dimensity Auto - Edge AI ด้วย Nvidia TAO Toolkit และ MediaTek NeuroPilot - การพัฒนา DGX Spark — AI supercomputer ขนาดเล็ก - การร่วมมือในโครงการ Google v7e TPU ที่จะผลิตจริงในปี 2026 ✅ Nvidia และ MediaTek เลื่อนเปิดตัวแพลตฟอร์ม N1X AI PC ไปเป็น Q1 ปี 2026 ➡️ เดิมคาดว่าจะเปิดตัวใน Q3 ปี 2025 แต่ไม่ปรากฏในงาน Computex ✅ สาเหตุหลักคือ Microsoft ยังไม่พร้อมเปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ที่รองรับ AI เต็มรูปแบบ ➡️ ส่งผลให้ ecosystem โดยรวมยังไม่พร้อมสำหรับการเปิดตัว N1X ✅ ความต้องการในตลาดโน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อปยังอ่อนตัวลง ➡️ ทำให้การเปิดตัวใน consumer segment ถูกเลื่อนออกไป ✅ Nvidia ยังต้องปรับแก้ชิปจากข้อบกพร่องเดิมที่เคยมีรายงาน ➡️ รวมถึงการปรับกลยุทธ์ด้านการผลิตและการตลาด ✅ N1X มีพลังประมวลผล AI สูงถึง 180–200 TOPS ➡️ ถือเป็นการเข้าสู่ตลาดพีซีครั้งใหญ่ที่สุดของ MediaTek ✅ OEM และ ODM หลายรายเตรียมออกแบบผลิตภัณฑ์รองรับ N1X เช่น Dell, HP, Lenovo, Asus, MSI ➡️ ทั้งในรูปแบบโน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อป ✅ Nvidia และ MediaTek ร่วมมือในหลายโครงการ เช่น automotive AI, edge AI, และ TPU ของ Google ➡️ คาดว่าจะสร้างรายได้รวมกว่า $4 พันล้านดอลลาร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/nvidias-desktop-pc-chip-holdup-purportedly-tied-to-windows-delays-ongoing-chip-revisions-and-weakening-demand-also-blamed
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ก้าวกระโดดแน่นอน,สิ่งที่ไม่เคยเห็นในหลายพันปีก่อนจะกลับมา,แต่ละอีกสไตล์ใหม่ของแต่ละยุค ละอารยะธรรมของช่วงสมัยใครมัน,แต่เทคโนโลยีอาจล้ำกว่าสมัยอดีตตามการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาที่แต่ละดวงดาวมิริอัพเรเวลตนเองใครมันนานแล้วและประสานแลกเปลี่ยนเรเวลกัน,
    ..ชาติไทยเราต้องจบความขัดแย้งทั้งหมดทันที เช่นเขมร ซึ่งผิดปกติมากที่อยู่ดีๆแต่ผีบ้าแสวงหาความขัดแย้งกับไทยให้ได้,หมายสร้างโกลาหลขัดขวางการมาของยุคสมัยใหม่นั้นเอง,เพื่อให้ย้อนกลับไปมีภาวะสู้รบสงครามทั่วโลกให้ได้นั้น แบบที่เกิดๆแล้วในยูเครนในอิสราเอล ,ฝ่ายไม่ดีสั่งการสร้างขัดขวางมิให้มีบรรยากาศสู้นวัตกรรมยุคสมัยใหม่นั้นเอง,ต้องการควบคุมมนุษย์บนพื้นฐานความหวาดกลัวแบบกฎหมายระเบียบข้อบังคับมาข่มขู่นั้นล่ะก็เสมือนตนชนะสามารถจัดการมนุษย์แบบที่เคยเป็นมาเหมือนในอดีต,ดูเขมรตัดน้ำมันตัดไฟฟ้าตัดใดๆในไทย ชิงตัดบังหน้าก่อนก็ได้เพื่อควบคุมมนุษย์เขมรให้โง่ตามแต่ตนจะให้รู้นั้นล่ะ,เน็ตไม่มี มีเน็ตก็สั่งการโดยรัฐบาลเขมรใช้ไปทางที่ผิด ยั่งยุคนเขมรมากระทำต่อไทยก็ด้วย.,และในรัฐบาลไทยเราก็มีแรปทีเลี่ยนกระหายสงครามกระหายความโกลาหลกระหายความแตกแยกไม่สงบสุขแบบพม่านั้นมีอยู่จริงในไทย รุ่นไฮบริดจ์ลูกผสมก็ว่า,ใครมีตังฐานะดี ร่ำรวย หน้าตารูปร่างไปทางแรปทีเลี่ยน แสดงบริบทบทบาทชุดมนุษย์นั้นล่ะใช่เลยและปะปนในทุกๆวงการทั่วไทยตลอดฝังรากฐานบนอำนาจปกครองชนชั้นนำตรึมแน่นอน,อาจสแกนหาด้วยเครื่องมือพิเศษต่างดาวความถี่ล้ำด้วยกันจะพบเจอไม่ยากเย็นอะไร,ผู้นำผู้ปกครองประเทศไทยจึงต้องเป็นฝ่ายดีฝ่ายแสงฝ่ายสภาจักรวาลกาแล็กติกจึงสำคัญ,นายพลทหารนาซีมากมายยังคือพวกแรปทีเลี่ยนจึงไม่แปลงอะไรที่มองว่ามนุษย์ไร้ค่าหรืออะไรทางปากทางพลังงานลบพลังงานบวกเพื่อผลประโยชน์มันในสถานะต่างๆตลอดค้าขายต่างมิติต่างดวงดาวก็ได้.
    ..ประเทศไทยจริงๆต้องพัฒนาแบบก้าวกระโดดจริงๆกฎหมายมากมายที่กดขี่ประชาชนต้องฉีกทิ้งมิใช่สร้างขึ้นเพิ่มมากเช่นลักษณะกฎหมายไม่สวมหมวกกันน็อคปรับ2,00บาทเป็นต้น,มีกฎหมายแรปทีเลี่ยนอีลิทที่ออกที่เขียนที่ตีตราออกมามากมายเพื่อควบคุมมนุษย์คนไทยออกมาใช้บังคับควบคุมคนไทยแบบปรับ2,000นี้เป็นอันมาก,เกาหลีญี่ปุ่นคือตัวอย่างที่ดี ปัญญาอ่อนมากมายไม่น้อย,เผด็จการบนตรายางอ้างประชาธิปไตยนั้นเอง,ผู้นำไทยเราฝ่ายดีจะมองเห็นทางแก้ไม่ยากอะไรหรอกเพื่อบริหารจัดการให้ลงตัวกับอนาคตยุคล้ำๆนำสมัยอัพเรเวลประเทศไทยเป็นระดับสากลเทียบชั้นโลกเจริญของสมาชิกสภากาแล็กติกจักรวาลนั้น,อนาคตไทยคือฮับของจักรวาลก็ว่า,เป็นสถานีชุมทางของทั่วจักรวาลมาเยือนโลกที่ต้องมาประตูทางเข้าที่ไทยเราก่อนนั้นเอง,แต่แรปทีเลียนรับไม่ได้ในฝ่ายไม่ดีและหมายกอบโกยจะเอาจะเอาเป็นของตนเองฝ่ายเดียวนั้นล่ะ,จึงพยายามทุกๆรูปแบบขัดขวางประเทศมิให้เจริญ ปล้นชิงทุกๆอย่างยึดทุกๆอย่างให้ได้ อย่างให้ไทยมีวัตถุดิบเป็นของตนเองในการพัฒนาชาติไทย ทำก็ทำให้ลำบากให้แพงให้ยากไว้,บ่อน้ำมันไทยจึงยึดไว้ บ่อทองคำก็ทำเอง อะไรๆมากมายอยู่ในมือต่างชาติฝ่ายไม่ดีหมดนั้นเอง,
    ..ถ้าฝ่ายแสงปกครองฝ่ายดีขึ้นปกครองประเทศหรือยึดทันทีจริง ถ้าฝ่ายไม่ดียึดปกครองไทยจริงตลอดอดีตถึงปัจจุบันก็ต้องสมควรถูกยึดเพื่อให้ฝ่ายดีขึ้นปกครองจริงๆเพราะประชาชนก็ย่อมดีขึ้นแน่นอน,เราจะก้าวกระโดดทันทีทั้งทางวัตถุธาตุและจิตวิญญาณที่ดีในการยกระดับจิตในทางที่ถูกต้องไม่มีอะไรมาขัดขวางกิจกรรมผู้หมายอัพเรเวลตนทางดีอีก,ใครเป็นมิติชั่วเลวทางจิตจริงก็ต้องถูกดูดพาย้ายไปดวงดาวอื่นทันทีที่มิติเดียวกันเรเวลชั่วเลวเดียวกันบนดวงดาวเดียวกันนั้นเอง.
    ..เชื่อว่ายานพ่อยานแม่เหล่านี้มาดูดบีอิ้งที่ว่าของจริงแน่นอน,และมีแบบตัวคนเป็นๆย้ายไปดวงดาวอื่นที่เรเวลจิตใจต่ำเลวระดับเดียวกันด้วย,ที่คนฝ่ายแสงมักอวยว่าคนมิติ5Dขึ้นไปก็ย่อมเหมาะสมแก่สิ่งดีๆตามระดับเรเวลดีนั้นเอง,เทคโนโลยีก็อัพเรเวลตามสถานะคนมิตินั้นๆด้วย,AIเองก็ถูกเองมาเพื่อคนมิตินั้นๆด้วย,มันจะไม่เหมือนเดิมแบบยุคแรปทีเลี่ยนก่อนๆแบบก่อนยุคไดโนเสาร์หรือในอดีตๆแน่นอน,ดวงอังคารอะไรดวงดาวอะไรอนาคตโลกจะล้ำสมัยที่สุดนำหน้าทุกๆดวงดาวที่ว่าเลิศก็ว่า,เพราะเผ่าพันธ์มนุษย์แบบมนุษย์คนไทยประเทศเรานี้อัจฉริยะทางจิตวิญญาณมากที่สุดบนโลก,แต่ไม่แสดงตัวเท่านั้น,และทั่วจักรวาลลงใจยอมรับด้วยจิตด้วยใจสนิทใจนั้นเอง.,แรปทีเลี่ยนที่ดีๆฝ่ายดีกลับใจก็มีไม่น้อยบนแผ่นดินไทยหรือใต้แผ่นดินไทยเรา,คือแรปทีเลี่ยนดีต่อสู้กับแรปทีเลี่ยนไม่ดีนั้นล่ะ,
    ..ประเทศไทยจะก้าวต่อไปได้ต้องมีผู้นำทางจิตวิญญาณฝ่ายแสงนำทัพจริงๆ การพัฒนานวัตกรรมใดๆจะเป็นไปลักษณะฝ่ายดีทันทีและเชื่อมประสานกับฝ่ายแสงใต้โลกฝ่ายแสงนอกโลกในการรับเทคโนโลยีล้ำๆมาอัพเรเวลประเทศไทยคงไม่ยากอะไร,ไม่จำเป็นไปพบปะแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีกับชาติอื่นทั่วโลกก็ได้,อยากได้อะไรเพื่อนฝ่ายแสงต่างมิติดวงดาวจะจัดให้แน่นอน,เพราะที่เขาเลือกอเมริกาเลือกรัสเชียเลือกจีนหรือเลือกประเทศใดๆเพียงทดลองงานเท่านั้น,ตัวแทนก็ว่า,แต่ของจริงเป้าหมายตรงจุดคือประเทศไทย เขารอความพร้อมจากประเทศไทยแค่นั้นและเขา..จักรวาลวางประเทศไทยเป็นเอกของโลกอยู่แล้ว,เขาดูเราเหมือนเด็กทารกที่กำลังเติบโตแค่นั่น มีตีกันกับเพื่อนบ้านในแต่ล่ะยุคเรื่อยมานั่นล่ะพะสาเด็กๆ,เรากำลังอยู่ในขั้นจบ ปวส.ประมาณนั้น .,พร้อมก้าวสู่ค่าจริงของชุมชนสังคมจักรวาลแล้ว.
    ..ยานแม่ลงจอดลอยลำทั่วชั้นบรรยาศโลกแน่นอน ยานใต้โลกก็พวกใต้โลก ยานมาจากนอกโดมก็นอกทวีปนอกโดมหรือนอกโลก,มีการเคลื่อนย้ายคนแน่นอน ส่วนคนดีหรือคนชั่วเข้าคงลงมติตัดสินใจในสภาฯเข้าแต่ละหน้างานเนื้องานล่ะ,เราต้องพัฒนาทางจิตวิญญาณโดยรวดเร็วในประเทศไทยนอกจากพัฒนาทางวัตถุเทคโนโลยีAIและนวัตกรรมต่างๆ,คู่ขนานสแกนกำจัดฝ่ายมืดฝ่ายไม่ดีที่อยู่ภายในชาติไทยเราเองด้วย,ชาติอื่นก็เป็นของชาติอื่นๆ,พ้นนั้น เขาจะลงมาเก็บกวาดที่เราไม่สามารถลงมือจัดการได้หรือเรเวลบนโลกต่อกรไม่ได้ เขาจะกำจัดเองอาจสิ้นซากด้วย ผู้นำใด ยิ่งใหญ่แค่ไหน ขุดหลุมลงรูลึกขนาดไหนก็ไม่รอด,เพราะเขาลงมติร่วมกันแล้วว่าโลกใบนี้ต้องทำความสะอาดจริงจัง.,ฝ่ายมืดและสมุนขี้ข้ารับใช้ลูกน้องทั้งหมดต้องไม่มีในโลก,หลายคนอาจฝันผีบ้าไปเจอเองผ่านความฝันมากมายมาแล้ว,และนั้นอาจเป็นข้อความที่เขาส่งผ่านคลื่นความถี่มาถึงคุณท่านเธอทั้งหลายขณะนอนหลับสบายๆในบ้านของใครมัน.
    ..เราชาวโลกทุกๆคนสมควรแก่เวลาเช่นกันที่ต้องรับรู้ค่าจริงของจักรวาลนี้จริงๆ.เจตจำนงเสรีเราจะมีวิถีที่พึ่งที่อยู่อันเป็นสรณะอันสมควรของใครของมันชัดเจนทันทีแน่นอน.,กลับบ้านของใครของมันถูกก็ด้วย.มาเล่นเสียนานก็ใช่ หลงทางถูกลักพาตัวถูกกักตัวก็ใช่ โลกสมมุตินี้ธรรมดาที่ไหน,หรืออัพเรเวลใครมันสมปราถนาตามเจตจำนงใครมันก็ใช่.,สะดวกอำนวยแต่การปฏิบัติให้ถึงความสมบูรณ์บริบูรณ์อุดมสมบูรณ์ทุกๆประการที่จิตปราถนานั้นเอง.,สายธรรมะจักรวาลอาจว่าที่สุดคือบรรลุธรรมจักรวาลหรือสายพุทธคือนิพพานนั้นเอง,ไม่เกิดไม่ดับ ไม่มาเกิดไม่มาตายอีกในสมมุตินี้.


    https://youtube.com/watch?v=Gwbrjy8yR3s&feature=shared
    ..ก้าวกระโดดแน่นอน,สิ่งที่ไม่เคยเห็นในหลายพันปีก่อนจะกลับมา,แต่ละอีกสไตล์ใหม่ของแต่ละยุค ละอารยะธรรมของช่วงสมัยใครมัน,แต่เทคโนโลยีอาจล้ำกว่าสมัยอดีตตามการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาที่แต่ละดวงดาวมิริอัพเรเวลตนเองใครมันนานแล้วและประสานแลกเปลี่ยนเรเวลกัน, ..ชาติไทยเราต้องจบความขัดแย้งทั้งหมดทันที เช่นเขมร ซึ่งผิดปกติมากที่อยู่ดีๆแต่ผีบ้าแสวงหาความขัดแย้งกับไทยให้ได้,หมายสร้างโกลาหลขัดขวางการมาของยุคสมัยใหม่นั้นเอง,เพื่อให้ย้อนกลับไปมีภาวะสู้รบสงครามทั่วโลกให้ได้นั้น แบบที่เกิดๆแล้วในยูเครนในอิสราเอล ,ฝ่ายไม่ดีสั่งการสร้างขัดขวางมิให้มีบรรยากาศสู้นวัตกรรมยุคสมัยใหม่นั้นเอง,ต้องการควบคุมมนุษย์บนพื้นฐานความหวาดกลัวแบบกฎหมายระเบียบข้อบังคับมาข่มขู่นั้นล่ะก็เสมือนตนชนะสามารถจัดการมนุษย์แบบที่เคยเป็นมาเหมือนในอดีต,ดูเขมรตัดน้ำมันตัดไฟฟ้าตัดใดๆในไทย ชิงตัดบังหน้าก่อนก็ได้เพื่อควบคุมมนุษย์เขมรให้โง่ตามแต่ตนจะให้รู้นั้นล่ะ,เน็ตไม่มี มีเน็ตก็สั่งการโดยรัฐบาลเขมรใช้ไปทางที่ผิด ยั่งยุคนเขมรมากระทำต่อไทยก็ด้วย.,และในรัฐบาลไทยเราก็มีแรปทีเลี่ยนกระหายสงครามกระหายความโกลาหลกระหายความแตกแยกไม่สงบสุขแบบพม่านั้นมีอยู่จริงในไทย รุ่นไฮบริดจ์ลูกผสมก็ว่า,ใครมีตังฐานะดี ร่ำรวย หน้าตารูปร่างไปทางแรปทีเลี่ยน แสดงบริบทบทบาทชุดมนุษย์นั้นล่ะใช่เลยและปะปนในทุกๆวงการทั่วไทยตลอดฝังรากฐานบนอำนาจปกครองชนชั้นนำตรึมแน่นอน,อาจสแกนหาด้วยเครื่องมือพิเศษต่างดาวความถี่ล้ำด้วยกันจะพบเจอไม่ยากเย็นอะไร,ผู้นำผู้ปกครองประเทศไทยจึงต้องเป็นฝ่ายดีฝ่ายแสงฝ่ายสภาจักรวาลกาแล็กติกจึงสำคัญ,นายพลทหารนาซีมากมายยังคือพวกแรปทีเลี่ยนจึงไม่แปลงอะไรที่มองว่ามนุษย์ไร้ค่าหรืออะไรทางปากทางพลังงานลบพลังงานบวกเพื่อผลประโยชน์มันในสถานะต่างๆตลอดค้าขายต่างมิติต่างดวงดาวก็ได้. ..ประเทศไทยจริงๆต้องพัฒนาแบบก้าวกระโดดจริงๆกฎหมายมากมายที่กดขี่ประชาชนต้องฉีกทิ้งมิใช่สร้างขึ้นเพิ่มมากเช่นลักษณะกฎหมายไม่สวมหมวกกันน็อคปรับ2,00บาทเป็นต้น,มีกฎหมายแรปทีเลี่ยนอีลิทที่ออกที่เขียนที่ตีตราออกมามากมายเพื่อควบคุมมนุษย์คนไทยออกมาใช้บังคับควบคุมคนไทยแบบปรับ2,000นี้เป็นอันมาก,เกาหลีญี่ปุ่นคือตัวอย่างที่ดี ปัญญาอ่อนมากมายไม่น้อย,เผด็จการบนตรายางอ้างประชาธิปไตยนั้นเอง,ผู้นำไทยเราฝ่ายดีจะมองเห็นทางแก้ไม่ยากอะไรหรอกเพื่อบริหารจัดการให้ลงตัวกับอนาคตยุคล้ำๆนำสมัยอัพเรเวลประเทศไทยเป็นระดับสากลเทียบชั้นโลกเจริญของสมาชิกสภากาแล็กติกจักรวาลนั้น,อนาคตไทยคือฮับของจักรวาลก็ว่า,เป็นสถานีชุมทางของทั่วจักรวาลมาเยือนโลกที่ต้องมาประตูทางเข้าที่ไทยเราก่อนนั้นเอง,แต่แรปทีเลียนรับไม่ได้ในฝ่ายไม่ดีและหมายกอบโกยจะเอาจะเอาเป็นของตนเองฝ่ายเดียวนั้นล่ะ,จึงพยายามทุกๆรูปแบบขัดขวางประเทศมิให้เจริญ ปล้นชิงทุกๆอย่างยึดทุกๆอย่างให้ได้ อย่างให้ไทยมีวัตถุดิบเป็นของตนเองในการพัฒนาชาติไทย ทำก็ทำให้ลำบากให้แพงให้ยากไว้,บ่อน้ำมันไทยจึงยึดไว้ บ่อทองคำก็ทำเอง อะไรๆมากมายอยู่ในมือต่างชาติฝ่ายไม่ดีหมดนั้นเอง, ..ถ้าฝ่ายแสงปกครองฝ่ายดีขึ้นปกครองประเทศหรือยึดทันทีจริง ถ้าฝ่ายไม่ดียึดปกครองไทยจริงตลอดอดีตถึงปัจจุบันก็ต้องสมควรถูกยึดเพื่อให้ฝ่ายดีขึ้นปกครองจริงๆเพราะประชาชนก็ย่อมดีขึ้นแน่นอน,เราจะก้าวกระโดดทันทีทั้งทางวัตถุธาตุและจิตวิญญาณที่ดีในการยกระดับจิตในทางที่ถูกต้องไม่มีอะไรมาขัดขวางกิจกรรมผู้หมายอัพเรเวลตนทางดีอีก,ใครเป็นมิติชั่วเลวทางจิตจริงก็ต้องถูกดูดพาย้ายไปดวงดาวอื่นทันทีที่มิติเดียวกันเรเวลชั่วเลวเดียวกันบนดวงดาวเดียวกันนั้นเอง. ..เชื่อว่ายานพ่อยานแม่เหล่านี้มาดูดบีอิ้งที่ว่าของจริงแน่นอน,และมีแบบตัวคนเป็นๆย้ายไปดวงดาวอื่นที่เรเวลจิตใจต่ำเลวระดับเดียวกันด้วย,ที่คนฝ่ายแสงมักอวยว่าคนมิติ5Dขึ้นไปก็ย่อมเหมาะสมแก่สิ่งดีๆตามระดับเรเวลดีนั้นเอง,เทคโนโลยีก็อัพเรเวลตามสถานะคนมิตินั้นๆด้วย,AIเองก็ถูกเองมาเพื่อคนมิตินั้นๆด้วย,มันจะไม่เหมือนเดิมแบบยุคแรปทีเลี่ยนก่อนๆแบบก่อนยุคไดโนเสาร์หรือในอดีตๆแน่นอน,ดวงอังคารอะไรดวงดาวอะไรอนาคตโลกจะล้ำสมัยที่สุดนำหน้าทุกๆดวงดาวที่ว่าเลิศก็ว่า,เพราะเผ่าพันธ์มนุษย์แบบมนุษย์คนไทยประเทศเรานี้อัจฉริยะทางจิตวิญญาณมากที่สุดบนโลก,แต่ไม่แสดงตัวเท่านั้น,และทั่วจักรวาลลงใจยอมรับด้วยจิตด้วยใจสนิทใจนั้นเอง.,แรปทีเลี่ยนที่ดีๆฝ่ายดีกลับใจก็มีไม่น้อยบนแผ่นดินไทยหรือใต้แผ่นดินไทยเรา,คือแรปทีเลี่ยนดีต่อสู้กับแรปทีเลี่ยนไม่ดีนั้นล่ะ, ..ประเทศไทยจะก้าวต่อไปได้ต้องมีผู้นำทางจิตวิญญาณฝ่ายแสงนำทัพจริงๆ การพัฒนานวัตกรรมใดๆจะเป็นไปลักษณะฝ่ายดีทันทีและเชื่อมประสานกับฝ่ายแสงใต้โลกฝ่ายแสงนอกโลกในการรับเทคโนโลยีล้ำๆมาอัพเรเวลประเทศไทยคงไม่ยากอะไร,ไม่จำเป็นไปพบปะแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีกับชาติอื่นทั่วโลกก็ได้,อยากได้อะไรเพื่อนฝ่ายแสงต่างมิติดวงดาวจะจัดให้แน่นอน,เพราะที่เขาเลือกอเมริกาเลือกรัสเชียเลือกจีนหรือเลือกประเทศใดๆเพียงทดลองงานเท่านั้น,ตัวแทนก็ว่า,แต่ของจริงเป้าหมายตรงจุดคือประเทศไทย เขารอความพร้อมจากประเทศไทยแค่นั้นและเขา..จักรวาลวางประเทศไทยเป็นเอกของโลกอยู่แล้ว,เขาดูเราเหมือนเด็กทารกที่กำลังเติบโตแค่นั่น มีตีกันกับเพื่อนบ้านในแต่ล่ะยุคเรื่อยมานั่นล่ะพะสาเด็กๆ,เรากำลังอยู่ในขั้นจบ ปวส.ประมาณนั้น .,พร้อมก้าวสู่ค่าจริงของชุมชนสังคมจักรวาลแล้ว. ..ยานแม่ลงจอดลอยลำทั่วชั้นบรรยาศโลกแน่นอน ยานใต้โลกก็พวกใต้โลก ยานมาจากนอกโดมก็นอกทวีปนอกโดมหรือนอกโลก,มีการเคลื่อนย้ายคนแน่นอน ส่วนคนดีหรือคนชั่วเข้าคงลงมติตัดสินใจในสภาฯเข้าแต่ละหน้างานเนื้องานล่ะ,เราต้องพัฒนาทางจิตวิญญาณโดยรวดเร็วในประเทศไทยนอกจากพัฒนาทางวัตถุเทคโนโลยีAIและนวัตกรรมต่างๆ,คู่ขนานสแกนกำจัดฝ่ายมืดฝ่ายไม่ดีที่อยู่ภายในชาติไทยเราเองด้วย,ชาติอื่นก็เป็นของชาติอื่นๆ,พ้นนั้น เขาจะลงมาเก็บกวาดที่เราไม่สามารถลงมือจัดการได้หรือเรเวลบนโลกต่อกรไม่ได้ เขาจะกำจัดเองอาจสิ้นซากด้วย ผู้นำใด ยิ่งใหญ่แค่ไหน ขุดหลุมลงรูลึกขนาดไหนก็ไม่รอด,เพราะเขาลงมติร่วมกันแล้วว่าโลกใบนี้ต้องทำความสะอาดจริงจัง.,ฝ่ายมืดและสมุนขี้ข้ารับใช้ลูกน้องทั้งหมดต้องไม่มีในโลก,หลายคนอาจฝันผีบ้าไปเจอเองผ่านความฝันมากมายมาแล้ว,และนั้นอาจเป็นข้อความที่เขาส่งผ่านคลื่นความถี่มาถึงคุณท่านเธอทั้งหลายขณะนอนหลับสบายๆในบ้านของใครมัน. ..เราชาวโลกทุกๆคนสมควรแก่เวลาเช่นกันที่ต้องรับรู้ค่าจริงของจักรวาลนี้จริงๆ.เจตจำนงเสรีเราจะมีวิถีที่พึ่งที่อยู่อันเป็นสรณะอันสมควรของใครของมันชัดเจนทันทีแน่นอน.,กลับบ้านของใครของมันถูกก็ด้วย.มาเล่นเสียนานก็ใช่ หลงทางถูกลักพาตัวถูกกักตัวก็ใช่ โลกสมมุตินี้ธรรมดาที่ไหน,หรืออัพเรเวลใครมันสมปราถนาตามเจตจำนงใครมันก็ใช่.,สะดวกอำนวยแต่การปฏิบัติให้ถึงความสมบูรณ์บริบูรณ์อุดมสมบูรณ์ทุกๆประการที่จิตปราถนานั้นเอง.,สายธรรมะจักรวาลอาจว่าที่สุดคือบรรลุธรรมจักรวาลหรือสายพุทธคือนิพพานนั้นเอง,ไม่เกิดไม่ดับ ไม่มาเกิดไม่มาตายอีกในสมมุตินี้. https://youtube.com/watch?v=Gwbrjy8yR3s&feature=shared
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 406 มุมมอง 0 รีวิว
  • พบระเบิดใหม่ในเขตไทย กองทัพยกระดับตอบโต้ : [THE MESSAGE]
    พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เผยถึงการพิสูจน์ทราบทุ่นระเบิด​ จุดวางทุ่นระเบิดอยู่บนเส้นทางลาดตระเวนของฝ่ายไทย
    พบทั้งหมด 7 ทุ่น เป็นระเบิดใหม่ ทุ่นระเบิดชนิดนี้กองทัพไทยไม่มีอยู่สารบบยุทโธปกรณ์ พบร่องรอยขุดเพื่อวางทุ่นระเบิด เป้าหมายเพื่อสังหารบุคคล ละเมิดอนุสัญญาออสตาวา รุกล้ำอธิปไตยไทย โดยกองทัพยกระดับมาตรการปฏิบัติเข้มข้นขึ้น​ เพิ่มความระมัดระวังการลาดตระเวน เตรียมความพร้อมสูงขึ้น​ตามหลักปฏิบัติกฎการใช้กำลังของกองทัพ ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ออกหนังสือประณามการกระทำดังกล่าวแล้ว เตรียมเชิญผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร ผู้แทนกองทัพจากประเทศต่างๆ​ มารับฟังข้อเท็จจริง
    พบระเบิดใหม่ในเขตไทย กองทัพยกระดับตอบโต้ : [THE MESSAGE] พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เผยถึงการพิสูจน์ทราบทุ่นระเบิด​ จุดวางทุ่นระเบิดอยู่บนเส้นทางลาดตระเวนของฝ่ายไทย พบทั้งหมด 7 ทุ่น เป็นระเบิดใหม่ ทุ่นระเบิดชนิดนี้กองทัพไทยไม่มีอยู่สารบบยุทโธปกรณ์ พบร่องรอยขุดเพื่อวางทุ่นระเบิด เป้าหมายเพื่อสังหารบุคคล ละเมิดอนุสัญญาออสตาวา รุกล้ำอธิปไตยไทย โดยกองทัพยกระดับมาตรการปฏิบัติเข้มข้นขึ้น​ เพิ่มความระมัดระวังการลาดตระเวน เตรียมความพร้อมสูงขึ้น​ตามหลักปฏิบัติกฎการใช้กำลังของกองทัพ ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ออกหนังสือประณามการกระทำดังกล่าวแล้ว เตรียมเชิญผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร ผู้แทนกองทัพจากประเทศต่างๆ​ มารับฟังข้อเท็จจริง
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 465 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ข่าวดี⭐️⭐️
    HHS และกระทรวงการต่างประเทศ: สหรัฐอเมริกาปฏิเสธการแก้ไขกฎระเบียบด้านสุขภาพระหว่างประเทศ

    วอชิงตัน—18 กรกฎาคม 2568—
    วันนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งสหรัฐอเมริกา และ นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ปี 2567 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างเป็นทางการกฎหมายสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขนี้จะทำให้ WHO สามารถสั่งปิดประเทศทั่วโลก จำกัดการเดินทาง หรือมาตรการอื่นใดที่ WHO เห็นสมควร เพื่อรับมือกับ “ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้น” ที่คลุมเครือ กฎระเบียบเหล่านี้จะมีผลผูกพันหากไม่ได้รับการปฏิเสธภายในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 โดยไม่คำนึงถึงการถอนตัวของสหรัฐอเมริกาจาก WHO-
    “การแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศที่เสนอขึ้นนี้เปิดโอกาสให้เกิดการจัดการเรื่องเล่า การโฆษณาชวนเชื่อ และการเซ็นเซอร์แบบที่เราพบเห็นในช่วงการระบาดของโควิด-19” รัฐมนตรีเคนเนดีกล่าว

    “สหรัฐอเมริกาสามารถร่วมมือกับประเทศอื่นๆ โดยไม่กระทบต่อเสรีภาพพลเมืองของเรา โดยไม่บ่อนทำลายรัฐธรรมนูญของเรา และโดยไม่สูญเสียอำนาจอธิปไตยอันล้ำค่าของอเมริกาไป”
    รัฐมนตรีเคนเนดียังเผยแพร่วิดีโอ ด้วยอธิบายการกระทำดังกล่าวให้ชาวอเมริกันทราบ“
    คำศัพท์ที่ใช้ตลอดทั้งฉบับแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2567 นั้นคลุมเครือและกว้างเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการตอบสนองระหว่างประเทศที่ประสานงานโดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเด็นทางการเมือง เช่น ความสามัคคี มากกว่าการดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” รัฐมนตรีรูบิโอกล่าว

    “หน่วยงานของเราได้ดำเนินการอย่างชัดเจนมาโดยตลอดและจะยังคงดำเนินการต่อไป นั่นคือ เราจะให้ความสำคัญกับชาวอเมริกันเป็นอันดับแรกในทุกการกระทำของเรา และเราจะไม่ยอมให้มีนโยบายระหว่างประเทศที่ละเมิดสิทธิในการพูด ความเป็นส่วนตัว หรือเสรีภาพส่วนบุคคลของชาวอเมริกัน”เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567 สมัชชาอนามัยโลก (WHA) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของ WHO ได้นำข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขมาใช้โดยผ่านกระบวนการเร่งรีบ ขาดการอภิปรายและการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะอย่างเพียงพอคำชื่นชมต่อการกระทำในวันนี้จากสมาชิกรัฐสภา:การระบาดใหญ่ของโควิด-19 เผยให้เห็นว่าความไร้ประสิทธิภาพและการคอร์รัปชันขององค์การอนามัยโลก
    เรียกร้องให้มีการปฏิรูปอย่างครอบคลุม แทนที่จะจัดการกับนโยบายสาธารณสุขที่ย่ำแย่ในช่วงโควิด องค์การอนามัยโลกกลับต้องการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎระเบียบสุขภาพระหว่างประเทศและสนธิสัญญาโรคระบาดเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในประเทศสมาชิก ซึ่งอาจรวมถึงการตอบสนองที่เข้มงวดแต่ล้มเหลว เช่น การปิดธุรกิจและโรงเรียน และคำสั่งให้ฉีดวัคซีน ตั้งแต่ปี 2565 ผมได้นำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการไม่เตรียมความพร้อมรับมือโรคระบาดขององค์การอนามัยโลกโดยปราศจากการอนุมัติจากวุฒิสภาซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างไปเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกาจะไม่อนุญาตให้องค์การอนามัยโลกใช้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเพื่อทำลายล้างประเทศชาติ ผมสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ที่จะปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมของกฎหมายอนามัยระหว่างประเทศ (IHR)”
    วุฒิสมาชิกรอน จอห์นสันกล่าว

    “นโยบายสาธารณสุขของอเมริกาเป็นของชาวอเมริกัน และไม่ควรถูกกำหนดโดยนักโลกาภิวัตน์ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในองค์การอนามัยโลกหรือสหประชาชาติ WHO ได้แสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า WHO ไม่สามารถไว้วางใจได้ และผมรู้สึกขอบคุณที่รัฐบาลทรัมป์ยังคงยืนหยัดอย่างเข้มแข็งเพื่อปกป้องอธิปไตยของอเมริกา” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทอม ทิฟฟานี กล่าว

    “สหรัฐอเมริกาต้องไม่สละอำนาจอธิปไตยของเราให้แก่องค์กรหรือหน่วยงานระหว่างประเทศใดๆ ทั้งสิ้น ผมขอชื่นชมรัฐมนตรีเคนเนดีและรัฐมนตรีรูบิโอที่ปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ไม่รอบคอบ ผมสนับสนุนให้สหรัฐฯ ถอนตัวจาก WHO และตัดงบประมาณองค์กรที่กระหายอำนาจของตนมานานแล้ว กฎหมายของผม HR 401 ซึ่งนำเสนอครั้งแรกในรัฐสภาชุดที่ 117 ถือเป็นการกระทำเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมพันธกิจของอเมริกาต้องมาก่อนและเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพ WHO ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ได้สูญเสียความน่าเชื่อถือที่อาจเกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 และเราต้องมั่นใจว่าจะไม่มีรัฐบาลชุดใดในอนาคตที่จะมอบความชอบธรรมหรืออำนาจใดๆ ให้แก่พวกเขาเหนือสุขภาพของชาวอเมริกัน” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชิป รอยกล่าว

    “รัฐมนตรีเคนเนดีและประธานาธิบดีทรัมป์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก WHO เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ปราศจากความรับผิดชอบ ซึ่งมอบสิทธิเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพของประชาชนให้กับข้าราชการที่ทุจริต ผมรู้สึกขอบคุณรัฐมนตรีเคนเนดีที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อข้อตกลงโรคระบาดของ WHO ซึ่งจะปกป้องเสรีภาพด้านสุขภาพและความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกัน เรามาทำให้อเมริกายิ่งใหญ่และมีสุขภาพดีอีกครั้งกันเถอะ” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแอนดี บิ๊กส์ กล่าว

    การประกาศในวันนี้ถือเป็นการดำเนินการล่าสุดของรัฐมนตรีเคนเนดีและ HHS ในการให้ WHOรับผิดชอบ

    HHS & State Department: The United States Rejects Amendments to International Health Regulations

    WASHINGTON—JULY 18, 2025—U.S. Health and Human Services Secretary Robert F. Kennedy, Jr. and Secretary of State Marco Rubio today issued a Joint Statement of formal rejection by the United States of the 2024 International Heath Regulations (IHR) Amendments by the World Health Organization (WHO).The amended IHR would give the WHO the ability to order global lockdowns, travel restrictions, or any other measures it sees fit to respond to nebulous “potential public health risks.” These regulations are set to become binding if not rejected by July 19, 2025, regardless of the United States’ withdrawal from the WHO.“The proposed amendments to the International Health Regulations open the door to the kind of narrative management, propaganda, and censorship that we saw during the COVID pandemic,” Secretary Kennedy said. “The United States can cooperate with other nations without jeopardizing our civil liberties, without undermining our Constitution, and without ceding away America’s treasured sovereignty.”Secretary Kennedy also released a video explaining the action to the American people.“Terminology throughout the amendments to the 2024 International Health Regulations is vague and broad, risking WHO-coordinated international responses that focus on political issues like solidarity, rather than rapid and effective actions,” Secretary Rubio said. “Our Agencies have been and will continue to be clear: we will put Americans first in all our actions and we will not tolerate international policies that infringe on Americans’ speech, privacy, or personal liberties.”On June 1, 2024, the World Health Assembly (WHA), the highest decision-making body of the WHO, adopted a revised version of the International Health Regulations through a rushed process lacking sufficient debate and public input.Praise for today’s action from members of Congress:“The COVID-19 pandemic exposed how the incompetency and corruption at the WHO demands comprehensive reforms. Instead of addressing its disastrous public health policies during COVID, the WHO wants International Health Regulation amendments and a pandemic treaty to declare public health emergencies in member states, which could include failed draconian responses like business and school closures and vaccine mandates. Since 2022, I have led the No WHO Pandemic Preparedness Treaty Without Senate Approval Act, which the House passed last year. The United States will not allow the WHO to use public health emergencies to devastate our nation. I fully support the Trump administration’s decision to reject the IHR amendments,” said Senator Ron Johnson.“America’s public health policy belongs to the American people and should never be dictated by unelected globalists at the WHO or the UN. Time and time again, the WHO has demonstrated it cannot be trusted, and I am grateful that the Trump administration is standing strong to protect American sovereignty,” said Congressman Tom Tiffany.“The United States must never cede our sovereignty to any international entity or organization. I applaud Secretary Kennedy and Secretary Rubio for rejecting the World Health Organization’s (WHO) ill-advised International Health Regulations (IHR) amendments. I have long supported the U.S. withdrawing from the WHO and defunding their power-hungry organization. My legislation, H.R. 401, first introduced in the 117th Congress, does just that while advancing the mission statements of America First and Healthcare Freedom. The WHO, a widely discredited international organization, lost any potential credibility during the COVID-19 pandemic, and we must ensure no future administration grants them any legitimacy or further power over the health of Americans," said Congressman Chip Roy.“Secretary Kennedy and President Trump have proven their commitment to putting America First. WHO is an unaccountable international organization that hands individuals’ healthcare freedoms to corrupt bureaucrats. I’m thankful for Secretary Kennedy’s firm stance against WHO’s Pandemic Agreement that will protect Americans’ health freedom and privacy. Let’s Make America Great and Healthy Again,” said Congressman Andy Biggs.Today’s announcement is the latest action by Secretary Kennedy and HHS to hold the WHO accountable.
    https://www.hhs.gov/press-room/state-department-hhs-rejects-amendments-to-international-health-regulations.html
    July 18, 2025
    ☘️🌿 ข่าวดี⭐️⭐️ HHS และกระทรวงการต่างประเทศ: สหรัฐอเมริกาปฏิเสธการแก้ไขกฎระเบียบด้านสุขภาพระหว่างประเทศ วอชิงตัน—18 กรกฎาคม 2568— วันนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งสหรัฐอเมริกา และ นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ปี 2567 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างเป็นทางการกฎหมายสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขนี้จะทำให้ WHO สามารถสั่งปิดประเทศทั่วโลก จำกัดการเดินทาง หรือมาตรการอื่นใดที่ WHO เห็นสมควร เพื่อรับมือกับ “ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้น” ที่คลุมเครือ กฎระเบียบเหล่านี้จะมีผลผูกพันหากไม่ได้รับการปฏิเสธภายในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 โดยไม่คำนึงถึงการถอนตัวของสหรัฐอเมริกาจาก WHO- “การแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศที่เสนอขึ้นนี้เปิดโอกาสให้เกิดการจัดการเรื่องเล่า การโฆษณาชวนเชื่อ และการเซ็นเซอร์แบบที่เราพบเห็นในช่วงการระบาดของโควิด-19” รัฐมนตรีเคนเนดีกล่าว “สหรัฐอเมริกาสามารถร่วมมือกับประเทศอื่นๆ โดยไม่กระทบต่อเสรีภาพพลเมืองของเรา โดยไม่บ่อนทำลายรัฐธรรมนูญของเรา และโดยไม่สูญเสียอำนาจอธิปไตยอันล้ำค่าของอเมริกาไป” รัฐมนตรีเคนเนดียังเผยแพร่วิดีโอ ด้วยอธิบายการกระทำดังกล่าวให้ชาวอเมริกันทราบ“ คำศัพท์ที่ใช้ตลอดทั้งฉบับแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2567 นั้นคลุมเครือและกว้างเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการตอบสนองระหว่างประเทศที่ประสานงานโดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเด็นทางการเมือง เช่น ความสามัคคี มากกว่าการดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” รัฐมนตรีรูบิโอกล่าว “หน่วยงานของเราได้ดำเนินการอย่างชัดเจนมาโดยตลอดและจะยังคงดำเนินการต่อไป นั่นคือ เราจะให้ความสำคัญกับชาวอเมริกันเป็นอันดับแรกในทุกการกระทำของเรา และเราจะไม่ยอมให้มีนโยบายระหว่างประเทศที่ละเมิดสิทธิในการพูด ความเป็นส่วนตัว หรือเสรีภาพส่วนบุคคลของชาวอเมริกัน”เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567 สมัชชาอนามัยโลก (WHA) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของ WHO ได้นำข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขมาใช้โดยผ่านกระบวนการเร่งรีบ ขาดการอภิปรายและการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะอย่างเพียงพอคำชื่นชมต่อการกระทำในวันนี้จากสมาชิกรัฐสภา:การระบาดใหญ่ของโควิด-19 เผยให้เห็นว่าความไร้ประสิทธิภาพและการคอร์รัปชันขององค์การอนามัยโลก เรียกร้องให้มีการปฏิรูปอย่างครอบคลุม แทนที่จะจัดการกับนโยบายสาธารณสุขที่ย่ำแย่ในช่วงโควิด องค์การอนามัยโลกกลับต้องการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎระเบียบสุขภาพระหว่างประเทศและสนธิสัญญาโรคระบาดเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในประเทศสมาชิก ซึ่งอาจรวมถึงการตอบสนองที่เข้มงวดแต่ล้มเหลว เช่น การปิดธุรกิจและโรงเรียน และคำสั่งให้ฉีดวัคซีน ตั้งแต่ปี 2565 ผมได้นำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการไม่เตรียมความพร้อมรับมือโรคระบาดขององค์การอนามัยโลกโดยปราศจากการอนุมัติจากวุฒิสภาซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างไปเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกาจะไม่อนุญาตให้องค์การอนามัยโลกใช้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเพื่อทำลายล้างประเทศชาติ ผมสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ที่จะปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมของกฎหมายอนามัยระหว่างประเทศ (IHR)” วุฒิสมาชิกรอน จอห์นสันกล่าว “นโยบายสาธารณสุขของอเมริกาเป็นของชาวอเมริกัน และไม่ควรถูกกำหนดโดยนักโลกาภิวัตน์ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในองค์การอนามัยโลกหรือสหประชาชาติ WHO ได้แสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า WHO ไม่สามารถไว้วางใจได้ และผมรู้สึกขอบคุณที่รัฐบาลทรัมป์ยังคงยืนหยัดอย่างเข้มแข็งเพื่อปกป้องอธิปไตยของอเมริกา” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทอม ทิฟฟานี กล่าว “สหรัฐอเมริกาต้องไม่สละอำนาจอธิปไตยของเราให้แก่องค์กรหรือหน่วยงานระหว่างประเทศใดๆ ทั้งสิ้น ผมขอชื่นชมรัฐมนตรีเคนเนดีและรัฐมนตรีรูบิโอที่ปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ไม่รอบคอบ ผมสนับสนุนให้สหรัฐฯ ถอนตัวจาก WHO และตัดงบประมาณองค์กรที่กระหายอำนาจของตนมานานแล้ว กฎหมายของผม HR 401 ซึ่งนำเสนอครั้งแรกในรัฐสภาชุดที่ 117 ถือเป็นการกระทำเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมพันธกิจของอเมริกาต้องมาก่อนและเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพ WHO ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ได้สูญเสียความน่าเชื่อถือที่อาจเกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 และเราต้องมั่นใจว่าจะไม่มีรัฐบาลชุดใดในอนาคตที่จะมอบความชอบธรรมหรืออำนาจใดๆ ให้แก่พวกเขาเหนือสุขภาพของชาวอเมริกัน” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชิป รอยกล่าว “รัฐมนตรีเคนเนดีและประธานาธิบดีทรัมป์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก WHO เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ปราศจากความรับผิดชอบ ซึ่งมอบสิทธิเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพของประชาชนให้กับข้าราชการที่ทุจริต ผมรู้สึกขอบคุณรัฐมนตรีเคนเนดีที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อข้อตกลงโรคระบาดของ WHO ซึ่งจะปกป้องเสรีภาพด้านสุขภาพและความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกัน เรามาทำให้อเมริกายิ่งใหญ่และมีสุขภาพดีอีกครั้งกันเถอะ” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแอนดี บิ๊กส์ กล่าว การประกาศในวันนี้ถือเป็นการดำเนินการล่าสุดของรัฐมนตรีเคนเนดีและ HHS ในการให้ WHOรับผิดชอบ HHS & State Department: The United States Rejects Amendments to International Health Regulations WASHINGTON—JULY 18, 2025—U.S. Health and Human Services Secretary Robert F. Kennedy, Jr. and Secretary of State Marco Rubio today issued a Joint Statement of formal rejection by the United States of the 2024 International Heath Regulations (IHR) Amendments by the World Health Organization (WHO).The amended IHR would give the WHO the ability to order global lockdowns, travel restrictions, or any other measures it sees fit to respond to nebulous “potential public health risks.” These regulations are set to become binding if not rejected by July 19, 2025, regardless of the United States’ withdrawal from the WHO.“The proposed amendments to the International Health Regulations open the door to the kind of narrative management, propaganda, and censorship that we saw during the COVID pandemic,” Secretary Kennedy said. “The United States can cooperate with other nations without jeopardizing our civil liberties, without undermining our Constitution, and without ceding away America’s treasured sovereignty.”Secretary Kennedy also released a video explaining the action to the American people.“Terminology throughout the amendments to the 2024 International Health Regulations is vague and broad, risking WHO-coordinated international responses that focus on political issues like solidarity, rather than rapid and effective actions,” Secretary Rubio said. “Our Agencies have been and will continue to be clear: we will put Americans first in all our actions and we will not tolerate international policies that infringe on Americans’ speech, privacy, or personal liberties.”On June 1, 2024, the World Health Assembly (WHA), the highest decision-making body of the WHO, adopted a revised version of the International Health Regulations through a rushed process lacking sufficient debate and public input.Praise for today’s action from members of Congress:“The COVID-19 pandemic exposed how the incompetency and corruption at the WHO demands comprehensive reforms. Instead of addressing its disastrous public health policies during COVID, the WHO wants International Health Regulation amendments and a pandemic treaty to declare public health emergencies in member states, which could include failed draconian responses like business and school closures and vaccine mandates. Since 2022, I have led the No WHO Pandemic Preparedness Treaty Without Senate Approval Act, which the House passed last year. The United States will not allow the WHO to use public health emergencies to devastate our nation. I fully support the Trump administration’s decision to reject the IHR amendments,” said Senator Ron Johnson.“America’s public health policy belongs to the American people and should never be dictated by unelected globalists at the WHO or the UN. Time and time again, the WHO has demonstrated it cannot be trusted, and I am grateful that the Trump administration is standing strong to protect American sovereignty,” said Congressman Tom Tiffany.“The United States must never cede our sovereignty to any international entity or organization. I applaud Secretary Kennedy and Secretary Rubio for rejecting the World Health Organization’s (WHO) ill-advised International Health Regulations (IHR) amendments. I have long supported the U.S. withdrawing from the WHO and defunding their power-hungry organization. My legislation, H.R. 401, first introduced in the 117th Congress, does just that while advancing the mission statements of America First and Healthcare Freedom. The WHO, a widely discredited international organization, lost any potential credibility during the COVID-19 pandemic, and we must ensure no future administration grants them any legitimacy or further power over the health of Americans," said Congressman Chip Roy.“Secretary Kennedy and President Trump have proven their commitment to putting America First. WHO is an unaccountable international organization that hands individuals’ healthcare freedoms to corrupt bureaucrats. I’m thankful for Secretary Kennedy’s firm stance against WHO’s Pandemic Agreement that will protect Americans’ health freedom and privacy. Let’s Make America Great and Healthy Again,” said Congressman Andy Biggs.Today’s announcement is the latest action by Secretary Kennedy and HHS to hold the WHO accountable. https://www.hhs.gov/press-room/state-department-hhs-rejects-amendments-to-international-health-regulations.html July 18, 2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 696 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกเซมิคอนดักเตอร์: Rapidus ญี่ปุ่นกับการทดสอบผลิตชิป 2nm ด้วยแนวทางใหม่

    Rapidus เริ่มต้นทดสอบวงจรที่ใช้ทรานซิสเตอร์แบบ GAA (Gate-All-Around) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุดในการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ระดับ 2nm โดยชิ้นทดสอบสามารถแสดงผลทางไฟฟ้าที่ตรงตามเป้าหมาย แสดงว่าทั้งเครื่องมือและกระบวนการของโรงงานทำงานได้ตามแผน

    สิ่งที่โดดเด่นคือ Rapidus เลือกใช้ระบบ “single-wafer processing” ทุกขั้นตอน ซึ่งปกติในอุตสาหกรรมมักใช้แบบผสมระหว่าง batch และ single wafer เพื่อประหยัดเวลาและต้นทุน — แต่ Rapidus เชื่อว่าการประมวลผลแบบแผ่นต่อแผ่นช่วยลดความผิดพลาด เพิ่มคุณภาพ และทำให้การควบคุมกระบวนการแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเสริมด้วยระบบ AI สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลระดับละเอียดจากแต่ละแผ่นชิป

    การติดตั้งอุปกรณ์ EUV และ DUV ที่โรงงาน IIM-1 ก็เสร็จสมบูรณ์แล้วกว่า 200 เครื่อง พร้อมใช้งานในไตรมาสที่สองของปีนี้ และจะเปิดให้ลูกค้าเข้ามาออกแบบและทดสอบชิปในปี 2026 ด้วย PDK รุ่นแรก

    Rapidus เริ่มทดสอบการผลิตชิป 2nm ที่โรงงาน IIM-1 ในญี่ปุ่น
    ใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ Gate-All-Around (GAA)

    ชิ้นทดสอบแสดงผลทางไฟฟ้าได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
    สะท้อนความพร้อมของเครื่องมือและความแม่นยำของกระบวนการ

    โรงงานติดตั้ง EUV และ DUV lithography แล้วกว่า 200 เครื่อง
    พร้อมทดสอบและพัฒนาเทคโนโลยีระดับนาโน

    Rapidus ใช้ระบบ single-wafer processing ครบทุกขั้นตอน
    แยกแผ่นชิปแต่ละชิ้นตรวจละเอียด แทนการประมวลผลแบบชุดใหญ่

    ข้อมูลจากการผลิตจะถูกใช้กับ AI เพื่อปรับปรุงกระบวนการแบบเรียลไทม์
    ช่วยลด defect และเพิ่ม yield ของการผลิต

    ระบบนี้ช่วยรองรับการผลิตทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ได้ง่าย
    ทำให้เหมาะกับลูกค้ารายย่อยและงานออกแบบเฉพาะทาง

    Rapidus เตรียมเปิดตัว PDK รุ่นแรกสำหรับลูกค้าในไตรมาสแรกของปี 2026
    เพื่อเริ่มขั้นตอนการออกแบบชิปบนเทคโนโลยี 2nm

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/japanese-chipmaker-rapidus-begins-test-production-of-2nm-circuits-company-commits-to-single-wafer-processing-ahead-of-2027-mass-production-target
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกเซมิคอนดักเตอร์: Rapidus ญี่ปุ่นกับการทดสอบผลิตชิป 2nm ด้วยแนวทางใหม่ Rapidus เริ่มต้นทดสอบวงจรที่ใช้ทรานซิสเตอร์แบบ GAA (Gate-All-Around) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุดในการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ระดับ 2nm โดยชิ้นทดสอบสามารถแสดงผลทางไฟฟ้าที่ตรงตามเป้าหมาย แสดงว่าทั้งเครื่องมือและกระบวนการของโรงงานทำงานได้ตามแผน สิ่งที่โดดเด่นคือ Rapidus เลือกใช้ระบบ “single-wafer processing” ทุกขั้นตอน ซึ่งปกติในอุตสาหกรรมมักใช้แบบผสมระหว่าง batch และ single wafer เพื่อประหยัดเวลาและต้นทุน — แต่ Rapidus เชื่อว่าการประมวลผลแบบแผ่นต่อแผ่นช่วยลดความผิดพลาด เพิ่มคุณภาพ และทำให้การควบคุมกระบวนการแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเสริมด้วยระบบ AI สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลระดับละเอียดจากแต่ละแผ่นชิป การติดตั้งอุปกรณ์ EUV และ DUV ที่โรงงาน IIM-1 ก็เสร็จสมบูรณ์แล้วกว่า 200 เครื่อง พร้อมใช้งานในไตรมาสที่สองของปีนี้ และจะเปิดให้ลูกค้าเข้ามาออกแบบและทดสอบชิปในปี 2026 ด้วย PDK รุ่นแรก ✅ Rapidus เริ่มทดสอบการผลิตชิป 2nm ที่โรงงาน IIM-1 ในญี่ปุ่น ➡️ ใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ Gate-All-Around (GAA) ✅ ชิ้นทดสอบแสดงผลทางไฟฟ้าได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ➡️ สะท้อนความพร้อมของเครื่องมือและความแม่นยำของกระบวนการ ✅ โรงงานติดตั้ง EUV และ DUV lithography แล้วกว่า 200 เครื่อง ➡️ พร้อมทดสอบและพัฒนาเทคโนโลยีระดับนาโน ✅ Rapidus ใช้ระบบ single-wafer processing ครบทุกขั้นตอน ➡️ แยกแผ่นชิปแต่ละชิ้นตรวจละเอียด แทนการประมวลผลแบบชุดใหญ่ ✅ ข้อมูลจากการผลิตจะถูกใช้กับ AI เพื่อปรับปรุงกระบวนการแบบเรียลไทม์ ➡️ ช่วยลด defect และเพิ่ม yield ของการผลิต ✅ ระบบนี้ช่วยรองรับการผลิตทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ได้ง่าย ➡️ ทำให้เหมาะกับลูกค้ารายย่อยและงานออกแบบเฉพาะทาง ✅ Rapidus เตรียมเปิดตัว PDK รุ่นแรกสำหรับลูกค้าในไตรมาสแรกของปี 2026 ➡️ เพื่อเริ่มขั้นตอนการออกแบบชิปบนเทคโนโลยี 2nm https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/japanese-chipmaker-rapidus-begins-test-production-of-2nm-circuits-company-commits-to-single-wafer-processing-ahead-of-2027-mass-production-target
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 293 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพื่อไทยเพลี่ยงพล้ำ! 'เทพไท' ชี้เลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษ ยกแรก ภูมิใจไทยนำโด่ง ความพร้อม-ประเด็นหาเสียงเหนือกว่าอย่างชัดเจน
    https://www.thai-tai.tv/news/20310/
    .
    #เลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษ #เพื่อไทย #ภูมิใจไทย #เทพไทเสนพงศ์ #การเมืองไทย #สนามเลือกตั้งอีสาน
    เพื่อไทยเพลี่ยงพล้ำ! 'เทพไท' ชี้เลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษ ยกแรก ภูมิใจไทยนำโด่ง ความพร้อม-ประเด็นหาเสียงเหนือกว่าอย่างชัดเจน https://www.thai-tai.tv/news/20310/ . #เลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษ #เพื่อไทย #ภูมิใจไทย #เทพไทเสนพงศ์ #การเมืองไทย #สนามเลือกตั้งอีสาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts