• หลังการกล่าวในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอิสราเอล ในที่สุด เนทันยาฮูก็ได้เปิดเผยถึงเป้าหมายที่แท้จริงของสงครามในฉนวนกาซา ซึ่งไม่ใช่แค่การยุบกลุ่มฮามาสเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการกำจัดประชากรในฉนวนกาซาด้วย

    ตลอดเวลาที่ผ่านมา เนทันยาฮูกล่าวหาฮามาสมาตลอดว่าไม่ยอมรับข้อตกลงหยุดยิง และถึงแม้ต่อมาฮามาสจะรับข้อเสนอ แต่ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายเริ่มต้นละเมิดข้อตกลง แน่นอนว่าคนทั้งหมดเชื่อสื่อ เชื่ออิสราเอล เชื่ออเมริกา

    เมื่อข้อตกลงหยุดยิงเฟสแรกสิ้นสุดลง อิสราเอลเมินเฉยในการเจรจาขั้นต่อไป และเปิดฉากโจมตีอย่างหนักในกาซา โดยอ้างเรื่องการกำจัดฮามาส และให้ปล่อยตัวประกัน ทั้งๆที่ฮามาสไม่เคยบิดพลิ้วเรื่องการปล่อยตัวประกัน ขอเพียงให้อิสราเอลทำตามข้อตกลงในเรื่องการเจรจาเฟสต่อไป

    ในแถลงการณ์ล่าสุดของเนทันยาฮู อิสราเอลได้ยื่นข้อตกลงใหม่อีกครั้ง!!!

    “เราพร้อมที่จะหารือถึงขั้นตอนสุดท้ายของสงคราม กลุ่มฮามาสจะวางอาวุธ และผู้นำของกลุ่มจะได้รับอนุญาตให้ออกไป เราจะดูแลความปลอดภัยในฉนวนกาซา และดำเนินการตามแผนการอพยพโดยสมัครใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นี่คือแผนของเรา เราไม่ได้ปิดบัง และเราพร้อมที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ทุกเมื่อ”

    คำประกาศเหล่านี้ของเนทันยาฮู ได้ลบล้างข้ออ้างไปจนหมดสิ้นที่ว่าสงครามครั้งนี้แค่ต้องการกำจัดกลุ่มฮามาสเท่านั้น

    เป็นคำประกาศที่เนทันยาฮูยอมรับอย่างเปิดเผยว่า แม้ว่ากลุ่มฮามาสจะยุบไปแล้ว อิสราเอลก็ยังมีแผนที่จะอพยพชาวกาซาออกไปจากดินแดนของพวกเขา และกองกำลังอิสราเอลจะเข้าควบคุมเต็มพื้นที่อย่างสมบูรณ์ด้วยกำลังทหาร นี่เท่ากับการ "ยึดประเทศ" โดยไม่มีชาติใดกล้าคัดค้าน

    ฉนวนกาซาจะหายไปจากแผนที่ และจะไม่มีชาวปาเลสไตน์ซึ่งเป็นดินแดนดั้งเดิมของพวกเขา นี่คือสงครามล้างเผ่าพันธุ์ที่ได้รับการยืนยันจากปากของเนทันยาฮู โดยมีนานาชาติรับรู้และยอมรับ!!
    หลังการกล่าวในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอิสราเอล ในที่สุด เนทันยาฮูก็ได้เปิดเผยถึงเป้าหมายที่แท้จริงของสงครามในฉนวนกาซา ซึ่งไม่ใช่แค่การยุบกลุ่มฮามาสเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการกำจัดประชากรในฉนวนกาซาด้วย ตลอดเวลาที่ผ่านมา เนทันยาฮูกล่าวหาฮามาสมาตลอดว่าไม่ยอมรับข้อตกลงหยุดยิง และถึงแม้ต่อมาฮามาสจะรับข้อเสนอ แต่ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายเริ่มต้นละเมิดข้อตกลง แน่นอนว่าคนทั้งหมดเชื่อสื่อ เชื่ออิสราเอล เชื่ออเมริกา เมื่อข้อตกลงหยุดยิงเฟสแรกสิ้นสุดลง อิสราเอลเมินเฉยในการเจรจาขั้นต่อไป และเปิดฉากโจมตีอย่างหนักในกาซา โดยอ้างเรื่องการกำจัดฮามาส และให้ปล่อยตัวประกัน ทั้งๆที่ฮามาสไม่เคยบิดพลิ้วเรื่องการปล่อยตัวประกัน ขอเพียงให้อิสราเอลทำตามข้อตกลงในเรื่องการเจรจาเฟสต่อไป ในแถลงการณ์ล่าสุดของเนทันยาฮู อิสราเอลได้ยื่นข้อตกลงใหม่อีกครั้ง!!! “เราพร้อมที่จะหารือถึงขั้นตอนสุดท้ายของสงคราม กลุ่มฮามาสจะวางอาวุธ และผู้นำของกลุ่มจะได้รับอนุญาตให้ออกไป เราจะดูแลความปลอดภัยในฉนวนกาซา และดำเนินการตามแผนการอพยพโดยสมัครใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นี่คือแผนของเรา เราไม่ได้ปิดบัง และเราพร้อมที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ทุกเมื่อ” คำประกาศเหล่านี้ของเนทันยาฮู ได้ลบล้างข้ออ้างไปจนหมดสิ้นที่ว่าสงครามครั้งนี้แค่ต้องการกำจัดกลุ่มฮามาสเท่านั้น เป็นคำประกาศที่เนทันยาฮูยอมรับอย่างเปิดเผยว่า แม้ว่ากลุ่มฮามาสจะยุบไปแล้ว อิสราเอลก็ยังมีแผนที่จะอพยพชาวกาซาออกไปจากดินแดนของพวกเขา และกองกำลังอิสราเอลจะเข้าควบคุมเต็มพื้นที่อย่างสมบูรณ์ด้วยกำลังทหาร นี่เท่ากับการ "ยึดประเทศ" โดยไม่มีชาติใดกล้าคัดค้าน ฉนวนกาซาจะหายไปจากแผนที่ และจะไม่มีชาวปาเลสไตน์ซึ่งเป็นดินแดนดั้งเดิมของพวกเขา นี่คือสงครามล้างเผ่าพันธุ์ที่ได้รับการยืนยันจากปากของเนทันยาฮู โดยมีนานาชาติรับรู้และยอมรับ!!
    Angry
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เริ่มจากภายในจิตใจของตัวเอง ไม่ใช่แค่การไปทำบุญภายนอก แต่คือการ "ฝึกใจ" ให้คิดดี ทำดี อดทน และไม่โต้ตอบความชั่วด้วยความชั่ว

    การฝึกใจแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเนื้อหา:

    กลุ่มแรก: ฝึกใจเพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของความร้าย

    กำจัดนิสัยเสียของตน สำคัญกว่าการทำบุญภายนอก

    แม้พบคนเลว ก็เลือกได้ว่าจะไม่เลวตาม

    คนไม่ดีทำให้คุณอยากคิดไม่ดี แต่คุณมีสิทธิ์เลือกจะคิดดี

    ถ้าไม่ระวัง เรื่องร้ายจะเปลี่ยนคุณให้ร้ายตาม

    เรื่องดีหรือร้ายรอบตัวไม่สำคัญเท่าคุณดีหรือร้ายในใจ

    กลุ่มที่สอง: ฝึกใจให้พร้อมทำบุญทุกวัน

    บุญเริ่มที่ "ใจ" ไม่ใช่แค่เงิน

    ใจที่ให้อภัย ใจที่อดทน ใจที่มีเมตตา คือการทำบุญตลอดวัน

    ชีวิตประจำวันคือบทฝึกใจ ให้กลับบ้านได้เหมือนไปวัดมา

    มีเงินแต่ไม่มีใจทำบุญก็ไร้ค่า

    ใจที่คิดให้ คือกุญแจสู่บุญตลอดเวลา

    ---

    ฝึกใจคือบุญที่แท้จริง: ไม่ต้องรอวันพระ ไม่ต้องรอเวลาว่าง แค่มีเจตนาดีก็เป็นบุญได้

    ไม่เอาความเลวมาเป็นข้ออ้าง: คนเลวกระตุ้นคุณไม่ได้ ถ้าใจคุณมั่นคงในความดี

    ขับเคลื่อนชีวิตด้วยใจสว่าง: ออกจากบ้านเพื่อฝึกใจ ไม่ใช่เพื่อหนีปัญหา

    "เปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นวันละนิด คือบุญที่มั่นคงยิ่งกว่าการเดินสายทำบุญ และใจที่ไม่เลวตามโลก คือใจที่พร้อมจะมีบุญอยู่เสมอ"
    การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เริ่มจากภายในจิตใจของตัวเอง ไม่ใช่แค่การไปทำบุญภายนอก แต่คือการ "ฝึกใจ" ให้คิดดี ทำดี อดทน และไม่โต้ตอบความชั่วด้วยความชั่ว การฝึกใจแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเนื้อหา: กลุ่มแรก: ฝึกใจเพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของความร้าย กำจัดนิสัยเสียของตน สำคัญกว่าการทำบุญภายนอก แม้พบคนเลว ก็เลือกได้ว่าจะไม่เลวตาม คนไม่ดีทำให้คุณอยากคิดไม่ดี แต่คุณมีสิทธิ์เลือกจะคิดดี ถ้าไม่ระวัง เรื่องร้ายจะเปลี่ยนคุณให้ร้ายตาม เรื่องดีหรือร้ายรอบตัวไม่สำคัญเท่าคุณดีหรือร้ายในใจ กลุ่มที่สอง: ฝึกใจให้พร้อมทำบุญทุกวัน บุญเริ่มที่ "ใจ" ไม่ใช่แค่เงิน ใจที่ให้อภัย ใจที่อดทน ใจที่มีเมตตา คือการทำบุญตลอดวัน ชีวิตประจำวันคือบทฝึกใจ ให้กลับบ้านได้เหมือนไปวัดมา มีเงินแต่ไม่มีใจทำบุญก็ไร้ค่า ใจที่คิดให้ คือกุญแจสู่บุญตลอดเวลา --- ฝึกใจคือบุญที่แท้จริง: ไม่ต้องรอวันพระ ไม่ต้องรอเวลาว่าง แค่มีเจตนาดีก็เป็นบุญได้ ไม่เอาความเลวมาเป็นข้ออ้าง: คนเลวกระตุ้นคุณไม่ได้ ถ้าใจคุณมั่นคงในความดี ขับเคลื่อนชีวิตด้วยใจสว่าง: ออกจากบ้านเพื่อฝึกใจ ไม่ใช่เพื่อหนีปัญหา "เปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นวันละนิด คือบุญที่มั่นคงยิ่งกว่าการเดินสายทำบุญ และใจที่ไม่เลวตามโลก คือใจที่พร้อมจะมีบุญอยู่เสมอ"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายละเอียดเพิ่มเติมหลังการประชุมสุดยอดที่ปารีสที่เพิ่งปิดฉากลงไปเมื่อวันก่อน:

    👉ประเทศสมาชิกยุโรปทุกประเทศสนับสนุนให้ยังคงกดดันรัสเซียต่อไป

    👉ชอลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนีกล่าวว่า การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรเป็น "ความผิดพลาดร้ายแรง" สำหรับพวกเรา

    👉คีร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ แสดงออกอย่างแข็งกร้าวโดยการมุ่งมั่นให้โจมตีภาคพลังงานของรัสเซียให้หนักกว่านี้

    👉สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส ตกลงจะส่งผู้บัญชาการและกองกำลังทหารไปที่เคียฟ (เยอรมนีจะส่งไปแต่ระดับผู้บัญชาการ) โดยที่ทั้งหมดจะช่วยยูเครนจัดตั้งโครงสร้างการบังคับบัญชาใหม่ จัดตั้งหน่วยใหม่ ที่มีขีดความสามารถในการยึดพื้นที่คืน (หากเป็นรายละเอียดตามนี้จริง บ่งบอกว่าสงครามใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ โดยใช้ข้ออ้างยึดพื้นที่คืน)

    👉อิตาลีปฏิเสธส่งกองกำลังเข้าร่วมอย่างชัดเจน

    👉สหรัฐขอคงสถานะจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
    รายละเอียดเพิ่มเติมหลังการประชุมสุดยอดที่ปารีสที่เพิ่งปิดฉากลงไปเมื่อวันก่อน: 👉ประเทศสมาชิกยุโรปทุกประเทศสนับสนุนให้ยังคงกดดันรัสเซียต่อไป 👉ชอลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนีกล่าวว่า การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรเป็น "ความผิดพลาดร้ายแรง" สำหรับพวกเรา 👉คีร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ แสดงออกอย่างแข็งกร้าวโดยการมุ่งมั่นให้โจมตีภาคพลังงานของรัสเซียให้หนักกว่านี้ 👉สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส ตกลงจะส่งผู้บัญชาการและกองกำลังทหารไปที่เคียฟ (เยอรมนีจะส่งไปแต่ระดับผู้บัญชาการ) โดยที่ทั้งหมดจะช่วยยูเครนจัดตั้งโครงสร้างการบังคับบัญชาใหม่ จัดตั้งหน่วยใหม่ ที่มีขีดความสามารถในการยึดพื้นที่คืน (หากเป็นรายละเอียดตามนี้จริง บ่งบอกว่าสงครามใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ โดยใช้ข้ออ้างยึดพื้นที่คืน) 👉อิตาลีปฏิเสธส่งกองกำลังเข้าร่วมอย่างชัดเจน 👉สหรัฐขอคงสถานะจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิสราเอล แคทซ์ รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอล ประกาศ: จะทำลายกาซาด้วยปฏิบัติการทางทหารเต็มกำลัง หลังจากแผนการดังกล่าวได้รับการอนุมัติแล้ว

    ขณะเดียวกันเนทันยาฮูนายกรัฐมนตรีอิสราเอล ประกาศกลางที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวานนี้ว่า อิสราเอลจะเข้ายึดครองกาซาทั้งหมดอย่างเต็มรูปแบบในไม่ช้านี้ โดยใช้ข้ออ้างเพื่อกำจัดฮามาส และบังคับการส่งตัวประกันกลับคืน

    ในความเป็นจริง ทุกคนทราบดีว่าการโจมตีของอิสราเอล ไม่เคยสนใจความปลอดภัยของตัวประกัน ไม่เคยสนใจว่าฮามาสจะมีอยู่จริงหรือไม่ในตำแหน่งที่กองกำลังอิสราเอลโจมตี มีเพียงจุดประสงค์เดียวคือ "การทำลายล้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆของชาวปาเลสไตน์ และบังคับกดดันผู้ลี้ภัยให้ออกไปจากดินแดนของบรรพบุรุษพวกเขา"
    อิสราเอล แคทซ์ รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอล ประกาศ: จะทำลายกาซาด้วยปฏิบัติการทางทหารเต็มกำลัง หลังจากแผนการดังกล่าวได้รับการอนุมัติแล้ว ขณะเดียวกันเนทันยาฮูนายกรัฐมนตรีอิสราเอล ประกาศกลางที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวานนี้ว่า อิสราเอลจะเข้ายึดครองกาซาทั้งหมดอย่างเต็มรูปแบบในไม่ช้านี้ โดยใช้ข้ออ้างเพื่อกำจัดฮามาส และบังคับการส่งตัวประกันกลับคืน ในความเป็นจริง ทุกคนทราบดีว่าการโจมตีของอิสราเอล ไม่เคยสนใจความปลอดภัยของตัวประกัน ไม่เคยสนใจว่าฮามาสจะมีอยู่จริงหรือไม่ในตำแหน่งที่กองกำลังอิสราเอลโจมตี มีเพียงจุดประสงค์เดียวคือ "การทำลายล้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆของชาวปาเลสไตน์ และบังคับกดดันผู้ลี้ภัยให้ออกไปจากดินแดนของบรรพบุรุษพวกเขา"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 11 0 รีวิว
  • รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอล ประกาศจะทำลายกาซาให้ย่อยยับกว่านี้ และจะบังคับขับไล่ชาวปาเลสไตน์ให้อพยพที่พักพิงไปเรื่อยๆไม่จบสิ้น หากกลุ่มฮามาสไม่ปล่อยตัวประกัน และยังมีฮามาสหลงเหลืออยู่ในกาซา


    ชาวโลกส่วนใหญ่รู้ดีว่า การช่วยเหลือตัวประกันและข้ออ้างการมีอยู่ของฮามาสคือเพียงเพื่อทำลายกาซาให้ย่อยยับมากที่สุด เพื่อที่อิสราเอลจะได้เข้าครอบครอง
    รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอล ประกาศจะทำลายกาซาให้ย่อยยับกว่านี้ และจะบังคับขับไล่ชาวปาเลสไตน์ให้อพยพที่พักพิงไปเรื่อยๆไม่จบสิ้น หากกลุ่มฮามาสไม่ปล่อยตัวประกัน และยังมีฮามาสหลงเหลืออยู่ในกาซา ชาวโลกส่วนใหญ่รู้ดีว่า การช่วยเหลือตัวประกันและข้ออ้างการมีอยู่ของฮามาสคือเพียงเพื่อทำลายกาซาให้ย่อยยับมากที่สุด เพื่อที่อิสราเอลจะได้เข้าครอบครอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 385 มุมมอง 18 0 รีวิว
  • การสังหารพลเรือนโดยสมาชิก HTS ของรัฐบาลซีเรียไม่ได้ลดลงเลย เพียงแต่พวกเขาลดการถ่ายวิดีโอลงเท่านั้น

    นี่คือการก่อเหตุสังหารหมู่ชาวชีอะห์และอลาไวย์ครั้งใหม่บนชายฝั่งซีเรียตะวันตก

    รัฐบาลของโจลานีใช้ข้ออ้างในการเข้าปราบปรามกลุ่มต่อต้าน ต่อมาพวกเขาเริ่มสังหารประชาชนจากความไม่พอใจที่มีมาตั้งแต่ในอดีต
    การสังหารพลเรือนโดยสมาชิก HTS ของรัฐบาลซีเรียไม่ได้ลดลงเลย เพียงแต่พวกเขาลดการถ่ายวิดีโอลงเท่านั้น นี่คือการก่อเหตุสังหารหมู่ชาวชีอะห์และอลาไวย์ครั้งใหม่บนชายฝั่งซีเรียตะวันตก รัฐบาลของโจลานีใช้ข้ออ้างในการเข้าปราบปรามกลุ่มต่อต้าน ต่อมาพวกเขาเริ่มสังหารประชาชนจากความไม่พอใจที่มีมาตั้งแต่ในอดีต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ คว่ำบาตรวีซ่า (VISA) เจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย ตอบโต้ปมส่ง 40 อุยกูร์กลับจีน

    นโยบายข้อจำกัดเกี่ยวกับวีซ่าใหม่ จะมีผลกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันหรือในอดีต ซึ่งเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลักดันชาวอุยกูร์หรือชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์หรือศาสนากลุ่มอื่นที่อาจไม่ได้รับความคุ้มครองกลับจีน
    .
    เผื่อใครยังไม่รู้จักว่าประเทศสหรัฐเค้าเป็นใคร?

    👉สหรัฐอเมริกา (United States of America) ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ชัดเจนคือ "กูใหญ่" และ "กูถูกเสมอ"

    👉สหรัฐ คว่ำบาตรทรัพย์สินและและห้ามเจ้าหน้าที่ของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนอาชญากรรมสงครามของทหารสหรัฐในอัฟกานิสถาน เดินทางเข้าสหรัฐ

    👉สหรัฐ คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court -ICC) กรณีออกหมายจับเนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล ในข้อกล่าวหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยมองว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุและไม่มีมูลความจริงซึ่งมุ่งโจมตีสหรัฐที่มีความใกล้ชิดอิสราเอล

    👉สหรัฐไม่พอใจศาลโลก จะถอนตัวออกจากทุกข้อตกลงที่ทำกับอิหร่าน หลังจากอิหร่านร้องต่อศาลโลกว่า การที่สหรัฐประกาศมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านถือว่าละเมิด "ข้อตกลงไมตรี" ที่ทำไว้กับอิหร่านตั้งแต่ปี 2498 สมัยพระเจ้าชาห์ที่ยังสนับสนุนตะวันตก ก่อนเกิดการปฏิวัติอิสลามปี 2522 และศาลโลกมีคำตัดสินสั่งให้สหรัฐยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมนุษยธรรม

    👉สหรัฐ ไม่พอใจ TikTok บริษัทสัญชาติจีน ที่มีผู้ใช้ในสหรัฐกว่า 170 ล้านบัญชี โดยกล่าวหาว่าล้วงความลับด้านความมั่นคง และพยายามทุกวิธีการเพื่อให้ยุติการให้บริการทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังพยายามหาทางเข้าครอบครองเพื่อให้เป็นของสหรัฐ

    👉สหรัฐ คว่ำบาตรปากีสถาน หลังจากมองว่าการพัฒนาโครงการขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยไกล (long-range ballistic missile) รุ่นใหม่ของปากีสถานเป็นภัยคุกคามสหรัฐ

    👉สหรัฐ ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งในจอร์เจีย และประณามการสลายการชุมนุมในจอร์เจีย และให้รัฐบาลจอร์เจียฟังเสียงประชาชนที่ต้องการเข้าร่วมสหภาพยุโรป

    👉สหรัฐ ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งในวเนซุเอลา พร้อมทั้งประกาศรางวัล 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับผู้จับกุมมาดูโรผู้นำเวเนซุเอลา

    👉สหรัฐ ถอนสถานะผู้ก่อการร้ายของ "อาบู มูฮัมหมัด อัลโจลานี" อดีตผู้บัญชาการกลุ่มอัลกออิดะห์และไอเอส ที่ถูกสหรัฐฯตั้งรางวัลนำจับ 10 ล้านเหรียญ หลังจากสนับสนุนให้ขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ของซีเรีย

    👉การถอนสถานะผู้ก่อการร้ายครั้งนี้ "ปลดล็อค" ความเชื่อเดิมๆที่ว่า ใครที่ถูกตั้งสถานะผู้ก่อการร้าย เกิดจากการกระทำที่โหดร้ายต่อประชาชน แต่แท้จริงแล้ว เป็นเพียงนโยบายการเมืองของสหรัฐเท่านั้น!!

    นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยที่ทำให้เรารู้จักสหรัฐมากขึ้น

    ตอนนี้สหรัฐกำลังใช้มาตรการรุนแรงกดขี่ประเทศอื่นแบบไม่แคร์ใคร หาเรื่องไปทั่วเพื่อหาข้ออ้าง สร้างอำนาจต่อรอง จะได้ดำเนินนโยบายที่ตัวเองต้องการ ตั้งแต่ทะเลาะกับยุโรป แคนาดา นาโต้
    และกำลังใช้เคสอุยกูร์มาเล่นงานไทย ทั้งที่จริงๆไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยอะไรใครหรอก
    👉ที่สำคัญคือ คนไทย นักการเมือง และสื่อ "เลวระ_ย_ำ" บางกลุ่มพร้อมจะเข้าร่วมสหรัฐทำร้ายประเทศไทยที่พวกมันก็หากินและใช้ชีวิตอยู่ในไทย
    รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ คว่ำบาตรวีซ่า (VISA) เจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย ตอบโต้ปมส่ง 40 อุยกูร์กลับจีน นโยบายข้อจำกัดเกี่ยวกับวีซ่าใหม่ จะมีผลกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันหรือในอดีต ซึ่งเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลักดันชาวอุยกูร์หรือชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์หรือศาสนากลุ่มอื่นที่อาจไม่ได้รับความคุ้มครองกลับจีน . เผื่อใครยังไม่รู้จักว่าประเทศสหรัฐเค้าเป็นใคร? 👉สหรัฐอเมริกา (United States of America) ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ชัดเจนคือ "กูใหญ่" และ "กูถูกเสมอ" 👉สหรัฐ คว่ำบาตรทรัพย์สินและและห้ามเจ้าหน้าที่ของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนอาชญากรรมสงครามของทหารสหรัฐในอัฟกานิสถาน เดินทางเข้าสหรัฐ 👉สหรัฐ คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court -ICC) กรณีออกหมายจับเนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล ในข้อกล่าวหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยมองว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุและไม่มีมูลความจริงซึ่งมุ่งโจมตีสหรัฐที่มีความใกล้ชิดอิสราเอล 👉สหรัฐไม่พอใจศาลโลก จะถอนตัวออกจากทุกข้อตกลงที่ทำกับอิหร่าน หลังจากอิหร่านร้องต่อศาลโลกว่า การที่สหรัฐประกาศมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านถือว่าละเมิด "ข้อตกลงไมตรี" ที่ทำไว้กับอิหร่านตั้งแต่ปี 2498 สมัยพระเจ้าชาห์ที่ยังสนับสนุนตะวันตก ก่อนเกิดการปฏิวัติอิสลามปี 2522 และศาลโลกมีคำตัดสินสั่งให้สหรัฐยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมนุษยธรรม 👉สหรัฐ ไม่พอใจ TikTok บริษัทสัญชาติจีน ที่มีผู้ใช้ในสหรัฐกว่า 170 ล้านบัญชี โดยกล่าวหาว่าล้วงความลับด้านความมั่นคง และพยายามทุกวิธีการเพื่อให้ยุติการให้บริการทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังพยายามหาทางเข้าครอบครองเพื่อให้เป็นของสหรัฐ 👉สหรัฐ คว่ำบาตรปากีสถาน หลังจากมองว่าการพัฒนาโครงการขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยไกล (long-range ballistic missile) รุ่นใหม่ของปากีสถานเป็นภัยคุกคามสหรัฐ 👉สหรัฐ ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งในจอร์เจีย และประณามการสลายการชุมนุมในจอร์เจีย และให้รัฐบาลจอร์เจียฟังเสียงประชาชนที่ต้องการเข้าร่วมสหภาพยุโรป 👉สหรัฐ ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งในวเนซุเอลา พร้อมทั้งประกาศรางวัล 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับผู้จับกุมมาดูโรผู้นำเวเนซุเอลา 👉สหรัฐ ถอนสถานะผู้ก่อการร้ายของ "อาบู มูฮัมหมัด อัลโจลานี" อดีตผู้บัญชาการกลุ่มอัลกออิดะห์และไอเอส ที่ถูกสหรัฐฯตั้งรางวัลนำจับ 10 ล้านเหรียญ หลังจากสนับสนุนให้ขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ของซีเรีย 👉การถอนสถานะผู้ก่อการร้ายครั้งนี้ "ปลดล็อค" ความเชื่อเดิมๆที่ว่า ใครที่ถูกตั้งสถานะผู้ก่อการร้าย เกิดจากการกระทำที่โหดร้ายต่อประชาชน แต่แท้จริงแล้ว เป็นเพียงนโยบายการเมืองของสหรัฐเท่านั้น!! นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยที่ทำให้เรารู้จักสหรัฐมากขึ้น ตอนนี้สหรัฐกำลังใช้มาตรการรุนแรงกดขี่ประเทศอื่นแบบไม่แคร์ใคร หาเรื่องไปทั่วเพื่อหาข้ออ้าง สร้างอำนาจต่อรอง จะได้ดำเนินนโยบายที่ตัวเองต้องการ ตั้งแต่ทะเลาะกับยุโรป แคนาดา นาโต้ และกำลังใช้เคสอุยกูร์มาเล่นงานไทย ทั้งที่จริงๆไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยอะไรใครหรอก 👉ที่สำคัญคือ คนไทย นักการเมือง และสื่อ "เลวระ_ย_ำ" บางกลุ่มพร้อมจะเข้าร่วมสหรัฐทำร้ายประเทศไทยที่พวกมันก็หากินและใช้ชีวิตอยู่ในไทย
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 764 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขณะที่เซเลนสกีกำลังเตรียมเดินทางไปซาอุดิอาระเบีย "เซอร์ฮีย์ เลชเชนโก" (Serhiy Leshchenko) ที่ปรึกษาของเซเลนสกีและเยอร์มัค กล่าวกับสื่อว่า เซเลนสกีเตรียมแผนหยุดยิงชั่วคราวเพื่อไปคุยกับทรัมป์ "ยูเครนจะไม่ตกลงหยุดยิงภาคพื้นดิน เพราะนั่นจะทำให้ปูตินมีโอกาสฟื้นกำลังพลและกลับมาสู้รบอีกครั้งในภายหลัง"

    “ทรัมป์ถามเราว่า เรามีแผนหยุดยิงหรือยัง เราตอบว่าเรามี เราเสนอให้หยุดยิงทางอากาศ หยุดโจมตีด้วยโดรน ขีปนาวุธ เรายังเสนอให้หยุดการโจมตีทางทะเลอีกด้วย โดยเราให้คำมั่นว่าจะไม่โจมตีตามที่กล่าวมา
    นอกจากนี้ เรายังเสนอให้หยุดการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน แต่การหยุดยิงจะไม่ใช่ทางภาคพื้นดิน ซึ่งปูตินอาจใช้ช่วงเวลานั้นในการรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บ คัดเลือกทหารราบจากเกาหลีเหนือ และเริ่มต้นสงครามอีกครั้ง” เลชเชนโกกล่าวทางโทรทัศน์ของยูเครน

    เลชเชนโก ยังกล่าวอีกว่าความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ ต่อยูเครนไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ดังนั้นเซเลนสกีจะไม่เห็นด้วยกับแผนของทรัมป์ในการสร้างสันติภาพ เซเลนสกีจะไม่เห็นด้วยกับการหยุดยิงภาคพื้นดิน

    เขาอ้างว่า 70% ของความสูญเสียในสนามรบของยูเครนมาจากโดรน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าข้อเสนอของเคียฟน่าจะดึงดูดใจรัสเซียได้

    ข้อเสนอของเลชเชนโกยังจะบั่นทอนความได้เปรียบของรัสเซียในการโจมตีระยะไกลอีกด้วย เนื่องจากมอสโกมีขีปนาวุธและโดรนที่สามารถโจมตียูเครนได้ลึกกว่า

    จากคำกล่าวของเลชเชนโก เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเพียงข้ออ้างในการปฏิเสธการหยุดยิงเต็มรูปแบบ ปูตินไม่มีทางเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ ขณะนี้กองทัพยูเครนกำลังสูญเสียเลือดและล่าถอย กองทัพรัสเซียไม่จำเป็นต้องหยุดชะงักเพื่อฟื้นกำลัง
    การอ้างว่าความช่วยเหลือทางทหารของอเมริกาไม่จำเป็นนั้นเป็นการหลอกลวงอย่างชัดเจน และทรัมป์จะไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
    ขณะที่เซเลนสกีกำลังเตรียมเดินทางไปซาอุดิอาระเบีย "เซอร์ฮีย์ เลชเชนโก" (Serhiy Leshchenko) ที่ปรึกษาของเซเลนสกีและเยอร์มัค กล่าวกับสื่อว่า เซเลนสกีเตรียมแผนหยุดยิงชั่วคราวเพื่อไปคุยกับทรัมป์ "ยูเครนจะไม่ตกลงหยุดยิงภาคพื้นดิน เพราะนั่นจะทำให้ปูตินมีโอกาสฟื้นกำลังพลและกลับมาสู้รบอีกครั้งในภายหลัง" “ทรัมป์ถามเราว่า เรามีแผนหยุดยิงหรือยัง เราตอบว่าเรามี เราเสนอให้หยุดยิงทางอากาศ หยุดโจมตีด้วยโดรน ขีปนาวุธ เรายังเสนอให้หยุดการโจมตีทางทะเลอีกด้วย โดยเราให้คำมั่นว่าจะไม่โจมตีตามที่กล่าวมา นอกจากนี้ เรายังเสนอให้หยุดการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน แต่การหยุดยิงจะไม่ใช่ทางภาคพื้นดิน ซึ่งปูตินอาจใช้ช่วงเวลานั้นในการรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บ คัดเลือกทหารราบจากเกาหลีเหนือ และเริ่มต้นสงครามอีกครั้ง” เลชเชนโกกล่าวทางโทรทัศน์ของยูเครน เลชเชนโก ยังกล่าวอีกว่าความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ ต่อยูเครนไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ดังนั้นเซเลนสกีจะไม่เห็นด้วยกับแผนของทรัมป์ในการสร้างสันติภาพ เซเลนสกีจะไม่เห็นด้วยกับการหยุดยิงภาคพื้นดิน เขาอ้างว่า 70% ของความสูญเสียในสนามรบของยูเครนมาจากโดรน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าข้อเสนอของเคียฟน่าจะดึงดูดใจรัสเซียได้ ข้อเสนอของเลชเชนโกยังจะบั่นทอนความได้เปรียบของรัสเซียในการโจมตีระยะไกลอีกด้วย เนื่องจากมอสโกมีขีปนาวุธและโดรนที่สามารถโจมตียูเครนได้ลึกกว่า จากคำกล่าวของเลชเชนโก เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเพียงข้ออ้างในการปฏิเสธการหยุดยิงเต็มรูปแบบ ปูตินไม่มีทางเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ ขณะนี้กองทัพยูเครนกำลังสูญเสียเลือดและล่าถอย กองทัพรัสเซียไม่จำเป็นต้องหยุดชะงักเพื่อฟื้นกำลัง การอ้างว่าความช่วยเหลือทางทหารของอเมริกาไม่จำเป็นนั้นเป็นการหลอกลวงอย่างชัดเจน และทรัมป์จะไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 406 มุมมอง 15 0 รีวิว
  • บทความเอ็ดดี้ อัษฎางค์นี้มีความหมายที่ควรค่าการอ่านเกี่ยวกับอคติของวัฒนธรรมของฝรั่งเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น กรณีนาย Jimmy Kimmel พิธีกรรายการดังสัมภาษณ์ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล เมื่อรายการ Jimmy Kimmel Live บอกกับลิซ่าว่า ชื่อ มุก ของเธอใน #TheWhiteLotus แปลว่า โง่งี่เง่า#อัษฎางค์ยมนาค“Ethnocentrism“แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น ลิซ่า ไปออกรายการ Jimmy Kimmel Live แล้วพิธีกร Jimmy ถามถึงการสวมบทเป็น “มุก” ใน #TheWhiteLotus ว่าตัวละครที่้ที่ชื่อ “มุก” ในภาษาไทยมุก (Mook) แปลว่าอะไร?ลิซ่า ตอบว่า Pearl (ไข่มุก) แต่ Jimmy สวนกลับว่า Mook มันเป็นแสลงประมาณว่า Dumb นะ ไม่มีใครบอกเธอหรอ ลิซ่า บอกไม่มีนะ แต่มันเป็นชื่อคนไทยไง Jimmy พูดต่อว่าคงไม่มีปัญหาที่ไทย แต่ที่นี่อ่ะมีแน่ ลิซ่าตอบกลับว่า ถ้าอย่างนั้นอย่าเรียกว่ามุกที่นี่แล้วกัน ในภาษาไทย “มุก” หมายถึง ไข่มุก ซึ่งเป็นของมีค่า สวยงาม และมีความหมายดี ในขณะที่ มุก เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย แต่เสียงของคำนี้ไปพ้องกับคำในภาษาอังกฤษที่มีความหมายแย่ คำว่า “Mook” เป็นแสลงที่ใช้ดูถูกคน แปลประมาณว่า “คนโง่, ไร้ค่า”การที่ Jimmy Kimmel แซวชื่อว่า “Mook” แปลว่า Dumb (โง่) ในภาษาอังกฤษ อาจดูเหมือนเป็นมุกตลกของเขา แต่จริง ๆ แล้วเป็น การแสดงออกถึง Ethnocentrism (แนวคิดที่เอาวัฒนธรรมของตัวเองเป็นศูนย์กลาง) หรือไม่? Jimmy Kimmel มีสิทธิ์บอกว่า ควรเปลี่ยนชื่อไทยเพื่อให้เข้ากับภาษาอังกฤษ หรือไม่ชื่อเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ไม่ควรถูกลดค่าหรือถูกทำให้เป็นเรื่องตลก คนไทย ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ เพียงเพราะมันไปพ้องเสียงกับคำที่ไม่ดีในภาษาอื่น จริงมั้ย?Ethnocentrism หรือ แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมตะวันตกและมักปรากฏในวงการบันเทิง สื่อมวลชน และชีวิตประจำวันของผู้คนที่ไม่ตระหนักถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมกรณีของ Jimmy Kimmel และชื่อ “มุก” (Mook) เป็นตัวอย่างที่ดีของ ethnocentric bias หรืออคติทางวัฒนธรรมที่ตะวันตกเป็นศูนย์กลาง Jimmy ตั้งคำถามถึงชื่อไทยโดยไม่ได้พยายามทำความเข้าใจวัฒนธรรมไทยก่อน เมื่อ Lisa อธิบายว่า “Mook” แปลว่า Pearl (ไข่มุก) ซึ่งเป็นชื่อที่มีความหมายดี Jimmy กลับ ตอบโต้โดยอ้างถึงความหมายในภาษาอังกฤษ เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าชื่อนี้เป็นเรื่องปกติในประเทศไทย และไม่มีเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนชื่อ “มุก” เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพียงเพราะมันไปพ้องกับคำที่ไม่ดีในภาษาอังกฤษ และ Jimmy Kimmel ไม่ควรใช้มุกตลกที่อาจเป็นการลดค่าชื่อของคนไทย คนไทยควรภาคภูมิใจในชื่อของตัวเอง และมีสิทธิ์ใช้ชื่อตามวัฒนธรรมของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อให้ใครพอใจทำไม Ethnocentrism เป็นปัญหา?Ethnocentrism ทำให้เกิดแนวคิดว่าคนจากวัฒนธรรมอื่นต้องปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานของตะวันตก แทนที่จะเคารพความแตกต่างสร้างอคติทางภาษา เช่น “ชื่อของคุณฟังดูแปลกในภาษาเรา ดังนั้นมันต้องผิด”ลดทอนคุณค่าทางวัฒนธรรม แทนที่จะเรียนรู้จากวัฒนธรรมอื่น และส่งเสริมแนวคิด “อารยธรรมของฉันสูงกว่า วัฒนธรรมของคุณต้องเปลี่ยน” ซึ่งเคยถูกใช้เป็นข้ออ้างในยุคล่าอาณานิคมสื่อมวลชนตะวันตกควรรับผิดชอบอย่างไร?Jimmy Kimmel เป็นพิธีกรระดับโลก ควรมีตระหนักถึงอิทธิพลของตนเอง คำพูดของเขามีผลกระทบต่อความคิดของผู้ชม ซึ่งควรให้เคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม การถามคำถามที่สะท้อนอคติทางวัฒนธรรมทำให้ผู้คนจากวัฒนธรรมอื่นรู้สึกถูกลดค่า Jimmy ควรเรียนรู้และให้เกียรติชื่อและอัตลักษณ์ของผู้อื่น ไม่ใช่ทุกอย่างต้องเข้ากับมาตรฐานของตะวันตกหาก Jimmy Kimmel เรียนรู้ที่จะเคารพวัฒนธรรมอื่นเพียงพอ เขาอาจเปลี่ยนมุกตลกที่เหยียดคนอื่นของเขานี้เป็นโอกาสอธิบายให้ผู้ชมรู้ว่า "มุก" คือไข่มุกอันทรงคุณค่าในภาษาไทย แทนที่จะลดทอนมันให้เป็นคำหยาบคาย ซึ่งนั่นคือบทบาทของสื่อที่ควรเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจข้ามวัฒนธรรมมากกว่าสร้างกำแพงในขณะที่ น้องลิซ่าถูกอบรมสั่งสอนมาดีทั้งจากเมืองไทยและเกาหลี ไม่งั้นเธอคงพูดสวนกับคุณว่า ชื่อ Jimmy ของคุณก็ฟังพ้องเสียงกับคำว่า “จิมิ” ซึ่งเป็นคำแสลงในภาษาไทย ซึ่งหมายถึง……จุดซ่อนเร้นของคุณผู้หญิง คุณจะรู้สึกอย่างไร? จิมิโชว์?รายการจิมิโชว์?https://youtu.be/ga7NkYeqh_A?si=C5yYwJEBKo-0Gvuh………………………………………………………………………………….“Ethnocentrism”Lisa appeared on Jimmy Kimmel Live, and the host, Jimmy, asked about her role as “Mook” in The White Lotus, specifically what the name “Mook” means in Thai.Lisa answered that it means “Pearl”, but Jimmy responded that “Mook” is slang for something like “Dumb.” “No one told you?” he asked.Lisa replied, “No, they didn’t, but it’s a Thai name.” Jimmy then said, “Maybe it’s not a problem in Thailand, but here, it definitely is.” Lisa responded, “Then don’t call me Mook here.”In Thai, “Mook” means pearl, which is valuable, beautiful, and meaningful. While “Mook” is a good name in Thai, the pronunciation of this word coincidentally resembles an English slang term with a negative meaning. In American English, “Mook” is slang used to insult someone, meaning something like “a fool” or “a worthless person.”When Jimmy Kimmel joked that “Mook” means “Dumb” in English, it might have seemed like a joke to him. But is it actually an expression of ethnocentrism—the belief that one’s own culture is the center of everything?Does Jimmy Kimmel have the right to say that a Thai name should be changed to fit the English language?A name is a part of cultural identity. It should not be devalued or turned into a joke. Thai people do not need to change their names just because they sound similar to an undesirable word in another language. Isn’t that true?Ethnocentrism, or the belief that one’s culture is superior to others, is a deeply rooted issue in Western society. It often appears in entertainment, media, and daily life among people who are unaware of cultural differences.The case of Jimmy Kimmel and the name “Mook” is a prime example of ethnocentric bias, where Western perspectives are centered, ignoring non-Western cultures.Jimmy questioned a Thai name without trying to understand Thai culture first. When Lisa explained that “Mook” means Pearl, a meaningful and positive name, Jimmy instead argued based on the English slang meaning. He did not recognize that this name is completely normal in Thailand and that there is no reason to change it.The name “Mook” is a good Thai name. There is no need to change it just because it coincidentally matches an English word with a bad meaning. And Jimmy Kimmel should not make jokes that diminish the value of Thai names.Thai people should be proud of their names and have the right to use them according to their culture without needing to change them for anyone else’s comfort.Why is Ethnocentrism a Problem?Ethnocentrism creates the belief that people from other cultures must adjust to Western standards instead of respecting diversity. • It creates linguistic bias, implying that “Your name sounds strange in our language, so it must be wrong.” • It devalues cultural identity, instead of encouraging learning from other cultures. • It promotes the idea that “My civilization is superior; your culture must change,” which was historically used as a justification for colonialism.How Should Western Media Be More Responsible?Jimmy Kimmel is a globally recognized host. He should be aware of his influence. His words impact public perception.Asking a question that reflects cultural bias makes people from other cultures feel devalued.Jimmy Kimmel should learn and respect other people’s names and identities. Not everything has to fit into Western standards.If Jimmy Kimmel had learned to respect other cultures more, he might have turned his joke into an opportunity to educate his audience that ‘Mook’ means a precious pearl in Thai, rather than reducing it to a vulgar term. That is the true role of the media—to serve as a bridge for cross-cultural understanding rather than building walls.On the other hand, Lisa has been well-raised and well-trained, both in Thailand and Korea. Otherwise, she might have responded to you by saying, ‘Your name, Jimmy, also sounds like ‘Jimi’ in Thai slang, which refers to… a woman’s private part. How would you feel? Jimi show!”"https://www.facebook.com/share/v/16CtwRaMG4/?mibextid=wwXIfr
    บทความเอ็ดดี้ อัษฎางค์นี้มีความหมายที่ควรค่าการอ่านเกี่ยวกับอคติของวัฒนธรรมของฝรั่งเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น กรณีนาย Jimmy Kimmel พิธีกรรายการดังสัมภาษณ์ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล เมื่อรายการ Jimmy Kimmel Live บอกกับลิซ่าว่า ชื่อ มุก ของเธอใน #TheWhiteLotus แปลว่า โง่งี่เง่า#อัษฎางค์ยมนาค“Ethnocentrism“แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น ลิซ่า ไปออกรายการ Jimmy Kimmel Live แล้วพิธีกร Jimmy ถามถึงการสวมบทเป็น “มุก” ใน #TheWhiteLotus ว่าตัวละครที่้ที่ชื่อ “มุก” ในภาษาไทยมุก (Mook) แปลว่าอะไร?ลิซ่า ตอบว่า Pearl (ไข่มุก) แต่ Jimmy สวนกลับว่า Mook มันเป็นแสลงประมาณว่า Dumb นะ ไม่มีใครบอกเธอหรอ ลิซ่า บอกไม่มีนะ แต่มันเป็นชื่อคนไทยไง Jimmy พูดต่อว่าคงไม่มีปัญหาที่ไทย แต่ที่นี่อ่ะมีแน่ ลิซ่าตอบกลับว่า ถ้าอย่างนั้นอย่าเรียกว่ามุกที่นี่แล้วกัน ในภาษาไทย “มุก” หมายถึง ไข่มุก ซึ่งเป็นของมีค่า สวยงาม และมีความหมายดี ในขณะที่ มุก เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย แต่เสียงของคำนี้ไปพ้องกับคำในภาษาอังกฤษที่มีความหมายแย่ คำว่า “Mook” เป็นแสลงที่ใช้ดูถูกคน แปลประมาณว่า “คนโง่, ไร้ค่า”การที่ Jimmy Kimmel แซวชื่อว่า “Mook” แปลว่า Dumb (โง่) ในภาษาอังกฤษ อาจดูเหมือนเป็นมุกตลกของเขา แต่จริง ๆ แล้วเป็น การแสดงออกถึง Ethnocentrism (แนวคิดที่เอาวัฒนธรรมของตัวเองเป็นศูนย์กลาง) หรือไม่? Jimmy Kimmel มีสิทธิ์บอกว่า ควรเปลี่ยนชื่อไทยเพื่อให้เข้ากับภาษาอังกฤษ หรือไม่ชื่อเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ไม่ควรถูกลดค่าหรือถูกทำให้เป็นเรื่องตลก คนไทย ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ เพียงเพราะมันไปพ้องเสียงกับคำที่ไม่ดีในภาษาอื่น จริงมั้ย?Ethnocentrism หรือ แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมตะวันตกและมักปรากฏในวงการบันเทิง สื่อมวลชน และชีวิตประจำวันของผู้คนที่ไม่ตระหนักถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมกรณีของ Jimmy Kimmel และชื่อ “มุก” (Mook) เป็นตัวอย่างที่ดีของ ethnocentric bias หรืออคติทางวัฒนธรรมที่ตะวันตกเป็นศูนย์กลาง Jimmy ตั้งคำถามถึงชื่อไทยโดยไม่ได้พยายามทำความเข้าใจวัฒนธรรมไทยก่อน เมื่อ Lisa อธิบายว่า “Mook” แปลว่า Pearl (ไข่มุก) ซึ่งเป็นชื่อที่มีความหมายดี Jimmy กลับ ตอบโต้โดยอ้างถึงความหมายในภาษาอังกฤษ เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าชื่อนี้เป็นเรื่องปกติในประเทศไทย และไม่มีเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนชื่อ “มุก” เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพียงเพราะมันไปพ้องกับคำที่ไม่ดีในภาษาอังกฤษ และ Jimmy Kimmel ไม่ควรใช้มุกตลกที่อาจเป็นการลดค่าชื่อของคนไทย คนไทยควรภาคภูมิใจในชื่อของตัวเอง และมีสิทธิ์ใช้ชื่อตามวัฒนธรรมของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อให้ใครพอใจทำไม Ethnocentrism เป็นปัญหา?Ethnocentrism ทำให้เกิดแนวคิดว่าคนจากวัฒนธรรมอื่นต้องปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานของตะวันตก แทนที่จะเคารพความแตกต่างสร้างอคติทางภาษา เช่น “ชื่อของคุณฟังดูแปลกในภาษาเรา ดังนั้นมันต้องผิด”ลดทอนคุณค่าทางวัฒนธรรม แทนที่จะเรียนรู้จากวัฒนธรรมอื่น และส่งเสริมแนวคิด “อารยธรรมของฉันสูงกว่า วัฒนธรรมของคุณต้องเปลี่ยน” ซึ่งเคยถูกใช้เป็นข้ออ้างในยุคล่าอาณานิคมสื่อมวลชนตะวันตกควรรับผิดชอบอย่างไร?Jimmy Kimmel เป็นพิธีกรระดับโลก ควรมีตระหนักถึงอิทธิพลของตนเอง คำพูดของเขามีผลกระทบต่อความคิดของผู้ชม ซึ่งควรให้เคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม การถามคำถามที่สะท้อนอคติทางวัฒนธรรมทำให้ผู้คนจากวัฒนธรรมอื่นรู้สึกถูกลดค่า Jimmy ควรเรียนรู้และให้เกียรติชื่อและอัตลักษณ์ของผู้อื่น ไม่ใช่ทุกอย่างต้องเข้ากับมาตรฐานของตะวันตกหาก Jimmy Kimmel เรียนรู้ที่จะเคารพวัฒนธรรมอื่นเพียงพอ เขาอาจเปลี่ยนมุกตลกที่เหยียดคนอื่นของเขานี้เป็นโอกาสอธิบายให้ผู้ชมรู้ว่า "มุก" คือไข่มุกอันทรงคุณค่าในภาษาไทย แทนที่จะลดทอนมันให้เป็นคำหยาบคาย ซึ่งนั่นคือบทบาทของสื่อที่ควรเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจข้ามวัฒนธรรมมากกว่าสร้างกำแพงในขณะที่ น้องลิซ่าถูกอบรมสั่งสอนมาดีทั้งจากเมืองไทยและเกาหลี ไม่งั้นเธอคงพูดสวนกับคุณว่า ชื่อ Jimmy ของคุณก็ฟังพ้องเสียงกับคำว่า “จิมิ” ซึ่งเป็นคำแสลงในภาษาไทย ซึ่งหมายถึง……จุดซ่อนเร้นของคุณผู้หญิง คุณจะรู้สึกอย่างไร? จิมิโชว์?รายการจิมิโชว์?https://youtu.be/ga7NkYeqh_A?si=C5yYwJEBKo-0Gvuh………………………………………………………………………………….“Ethnocentrism”Lisa appeared on Jimmy Kimmel Live, and the host, Jimmy, asked about her role as “Mook” in The White Lotus, specifically what the name “Mook” means in Thai.Lisa answered that it means “Pearl”, but Jimmy responded that “Mook” is slang for something like “Dumb.” “No one told you?” he asked.Lisa replied, “No, they didn’t, but it’s a Thai name.” Jimmy then said, “Maybe it’s not a problem in Thailand, but here, it definitely is.” Lisa responded, “Then don’t call me Mook here.”In Thai, “Mook” means pearl, which is valuable, beautiful, and meaningful. While “Mook” is a good name in Thai, the pronunciation of this word coincidentally resembles an English slang term with a negative meaning. In American English, “Mook” is slang used to insult someone, meaning something like “a fool” or “a worthless person.”When Jimmy Kimmel joked that “Mook” means “Dumb” in English, it might have seemed like a joke to him. But is it actually an expression of ethnocentrism—the belief that one’s own culture is the center of everything?Does Jimmy Kimmel have the right to say that a Thai name should be changed to fit the English language?A name is a part of cultural identity. It should not be devalued or turned into a joke. Thai people do not need to change their names just because they sound similar to an undesirable word in another language. Isn’t that true?Ethnocentrism, or the belief that one’s culture is superior to others, is a deeply rooted issue in Western society. It often appears in entertainment, media, and daily life among people who are unaware of cultural differences.The case of Jimmy Kimmel and the name “Mook” is a prime example of ethnocentric bias, where Western perspectives are centered, ignoring non-Western cultures.Jimmy questioned a Thai name without trying to understand Thai culture first. When Lisa explained that “Mook” means Pearl, a meaningful and positive name, Jimmy instead argued based on the English slang meaning. He did not recognize that this name is completely normal in Thailand and that there is no reason to change it.The name “Mook” is a good Thai name. There is no need to change it just because it coincidentally matches an English word with a bad meaning. And Jimmy Kimmel should not make jokes that diminish the value of Thai names.Thai people should be proud of their names and have the right to use them according to their culture without needing to change them for anyone else’s comfort.Why is Ethnocentrism a Problem?Ethnocentrism creates the belief that people from other cultures must adjust to Western standards instead of respecting diversity. • It creates linguistic bias, implying that “Your name sounds strange in our language, so it must be wrong.” • It devalues cultural identity, instead of encouraging learning from other cultures. • It promotes the idea that “My civilization is superior; your culture must change,” which was historically used as a justification for colonialism.How Should Western Media Be More Responsible?Jimmy Kimmel is a globally recognized host. He should be aware of his influence. His words impact public perception.Asking a question that reflects cultural bias makes people from other cultures feel devalued.Jimmy Kimmel should learn and respect other people’s names and identities. Not everything has to fit into Western standards.If Jimmy Kimmel had learned to respect other cultures more, he might have turned his joke into an opportunity to educate his audience that ‘Mook’ means a precious pearl in Thai, rather than reducing it to a vulgar term. That is the true role of the media—to serve as a bridge for cross-cultural understanding rather than building walls.On the other hand, Lisa has been well-raised and well-trained, both in Thailand and Korea. Otherwise, she might have responded to you by saying, ‘Your name, Jimmy, also sounds like ‘Jimi’ in Thai slang, which refers to… a woman’s private part. How would you feel? Jimi show!”"https://www.facebook.com/share/v/16CtwRaMG4/?mibextid=wwXIfr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 865 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ตัวเสี้ยมให้ไปทำเรื่องเสี๋ยงๆแทนตัวเอง
    พอเกมส์ ถีบหั๋วส่งแบบไม่ใยดี
    ข้ออ้างสารพัดสารเพ
    ไม่ใช่แค่ลุงนุเพจ DIY REVIEW V2
    กับเป็ดนะ ที่โจอาศัยความรักความอิน
    ที่มีต่อจีกามินแบบฮาร์ดคอ มาเป็นเครื่องมือ
    ให้ทำหลายสิ่งที่มือตัวเองเปื้อนไม่ได้
    บงการอยู่เบื้องหลัง โจส่งชื่อให้จีกามิน
    ทักขอบอกขอบใจส่งสติ๊กเกอร์ของขวัญส่งดอกไม้ทางหลังบ้าน
    ให้ทุกคนที่เปิดหน้าด่าชาลี ก็โจนี่แหละชี้เป้า ลุงนุเคยหลุดมาเองเลย
    กระตุ้นให้พวกเค้าที่เคยเล่นใหญ่หนักมาก
    แต่จะมารู้ตัวตนจริงๆของโจ ก็ตอนที่ตัวเองเดือดร้อนนี่แหละ
    จากเคยทักมาวันละสามสี่เวลา พอเดือดร้อน
    พอเป็นคดี อย่าว่าแต่ทักมา ติดต่อไปยังไม่รับสาย
    สุดท้าย สร้างวาทกรรม ใส่ความ เพื่อให้สมาชิกเชื่อมจิต
    เฉดให้ออกจากวงโคจร จนเป็นตาสว่าง
    ส่วนลุงนุก็ปิดช่องปิดเพจหนี๋ไปละ
    พอมาวันนี้ ถึงคราอีโจโดนรุ่นใหญ่ๆ
    เตรียมฟ๊องกลับ ในข้อหาเป็นธุระในการค้าความ
    ซึ่งทุกคนรู้ดี ว่าอีโจคือตัวกำหนดเป้า ว่าจะฟ๊องใคร
    ซึ่งเพลานี้อีโจกลัวขรี้เยี๋ยวแทบแตก
    โบ้ย ผจก จีกามิน โบ้ย จีกามิน โพสบ่อย
    โจไม่ได้เสี้ยมน๊า โจแค่ส่งข้อมูลให้
    แต่หารู้ไม่ ทุกการกระทำที่ผ่านมาจะเป็นปี
    เค้าเซฟส่งให้คนที่โจฟ๊องหมด
    การกระทำมันฟ๊องตัวโจเอง
    ไม่ใช่คำพูดพี่คิงส์ หรือคำพูดไอ่โอมนะ
    การกระทำของเมิงเอง แล้ววันนี้มาเรียกร้องให้แฟนคลับกามิน
    ถอยจากกามิน แล้วมาเซฟตัวเองอะ เมิงให้อะไรคิด
    เมิงคิดว่าเค้าจะถอยจากจีกามิน มาหาอิแก่โจกามึนเนี่ยนะ
    ทุ๊ย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    #ตัวเสี้ยมให้ไปทำเรื่องเสี๋ยงๆแทนตัวเอง พอเกมส์ ถีบหั๋วส่งแบบไม่ใยดี ข้ออ้างสารพัดสารเพ ไม่ใช่แค่ลุงนุเพจ DIY REVIEW V2 กับเป็ดนะ ที่โจอาศัยความรักความอิน ที่มีต่อจีกามินแบบฮาร์ดคอ มาเป็นเครื่องมือ ให้ทำหลายสิ่งที่มือตัวเองเปื้อนไม่ได้ บงการอยู่เบื้องหลัง โจส่งชื่อให้จีกามิน ทักขอบอกขอบใจส่งสติ๊กเกอร์ของขวัญส่งดอกไม้ทางหลังบ้าน ให้ทุกคนที่เปิดหน้าด่าชาลี ก็โจนี่แหละชี้เป้า ลุงนุเคยหลุดมาเองเลย กระตุ้นให้พวกเค้าที่เคยเล่นใหญ่หนักมาก แต่จะมารู้ตัวตนจริงๆของโจ ก็ตอนที่ตัวเองเดือดร้อนนี่แหละ จากเคยทักมาวันละสามสี่เวลา พอเดือดร้อน พอเป็นคดี อย่าว่าแต่ทักมา ติดต่อไปยังไม่รับสาย สุดท้าย สร้างวาทกรรม ใส่ความ เพื่อให้สมาชิกเชื่อมจิต เฉดให้ออกจากวงโคจร จนเป็นตาสว่าง ส่วนลุงนุก็ปิดช่องปิดเพจหนี๋ไปละ พอมาวันนี้ ถึงคราอีโจโดนรุ่นใหญ่ๆ เตรียมฟ๊องกลับ ในข้อหาเป็นธุระในการค้าความ ซึ่งทุกคนรู้ดี ว่าอีโจคือตัวกำหนดเป้า ว่าจะฟ๊องใคร ซึ่งเพลานี้อีโจกลัวขรี้เยี๋ยวแทบแตก โบ้ย ผจก จีกามิน โบ้ย จีกามิน โพสบ่อย โจไม่ได้เสี้ยมน๊า โจแค่ส่งข้อมูลให้ แต่หารู้ไม่ ทุกการกระทำที่ผ่านมาจะเป็นปี เค้าเซฟส่งให้คนที่โจฟ๊องหมด การกระทำมันฟ๊องตัวโจเอง ไม่ใช่คำพูดพี่คิงส์ หรือคำพูดไอ่โอมนะ การกระทำของเมิงเอง แล้ววันนี้มาเรียกร้องให้แฟนคลับกามิน ถอยจากกามิน แล้วมาเซฟตัวเองอะ เมิงให้อะไรคิด เมิงคิดว่าเค้าจะถอยจากจีกามิน มาหาอิแก่โจกามึนเนี่ยนะ ทุ๊ย #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 457 มุมมอง 0 รีวิว
  • หุ้นตกยุคอุ๊งอิ๊ง อ้างคนฉลาดเห็นโอกาส

    "เป็นจังหวะเข้าซื้อเพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยไม่ได้เปลี่ยน คนที่ฉลาดจะมองเห็นโอกาสจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีกับราคาตลาดตอนนี้ ส่วนคนที่ไม่ฉลาดก็จะตื่นเต้นและไม่เห็นโอกาสในสิ่งนี้" เป็นคำกล่าวของนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ระบุถึงตลาดหุ้นไทยลดลงต่ำกว่า 1,200 จุด ในวันที่ต่างชาติเทขายต่อเนื่อง และไม่มีแผนกระตุ้นนักลงทุนอย่างชัดเจน เรียกเสียงวิจารณ์จากผู้คนทั่วทุกสารทิศ

    ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรีวัย 38 ปี กล่าวตอบโต้ฝ่ายค้านที่ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องภาวะผู้นำว่า "ไม่ได้อยากชี้นิ้วว่าใครเป็นผู้นำ หรือเป็นผู้นำในแบบของเรา จะว่าใครก็ต้องเป็นผู้นำให้ได้ก่อน แล้วค่อยพูดถึงคนอื่นได้" และว่า "การอภิปรายไม่ใว้วางใจของสภาฯ เป็นเวทีที่ดีที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจในข้อมูลที่แท้จริง และเข้าใจความเป็นนายกรัฐมนตรีเจนวาย (Gen Y) ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะยังไม่เคยมีมาก่อน"

    ประโยคนี้ทำเอาคนทุกเจนถึงกับอึ้ง เพราะทราบดีว่า น.ส.แพทองธาร ไม่ได้เข้ามาเป็นนายกฯ ด้วยความสามารถ แต่เข้ามาเพราะบารมีพ่ออย่างนายทักษิณ ชินวัตร ที่ผ่านมามีข้ออ้างว่า "เป็นนายกฯ ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์" เมื่อถูกถามถึงข้อครหาว่าครอบครัวครอบงำ หรือ "สามีเป็นคนใต้ ครอบครัวสามีก็คนใต้ ถ้าละเลยคนใต้หรือไม่รักคนใต้ แต่งงานกับคนใต้ไม่ได้" เมื่อถูกถามถึงคำว่าละเลยภาคใต้ในสถานการณ์น้ำท่วม กลายเป็นวาทะแห่งปีของสื่อมวลชนทำเนียบรัฐบาล

    วันที่ 16 ส.ค.2567 น.ส.แพทองธารได้รับการโหวตด้วยเสียงข้างมากในสภา ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,303.00 จุด กระทั่งนายทักษิณกล่าววิสัยทัศน์หลังได้รับการพักโทษคดีทุจริต และมีการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น สูงสุดที่ระดับ 1,506.82 จุด เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2567 แต่เมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และมีเรื่องที่กระทบกับธรรมาภิบาลต่อตลาดหุ้นไทยหลายเรื่อง รวมทั้งระยะหลังนายทักษิณไม่มีคำตอบอย่างชัดเจนว่า ทำอย่างไรตลาดหุ้นไทยจะฟื้น และมีมาตรการอย่างไรเพื่อเรียกนักลงทุนกลับมา จากสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 1,400.21 จุด ล่าสุดวันที่ 4 มี.ค.2568 เหลือ 1,177.64 จุด และมีแนวโน้มทรุดหนักต่อไป

    ในวันที่เศรษฐกิจไม่ฟื้น นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น แต่นายกฯ แพทองธารและพรรคเพื่อไทย ยังคงขยันผลิตวาทกรรมเอาตัวรอดไปวันๆ บริหารประเทศแบบถูลู่ถูกัง จนกว่าจะครบเทอมในปี 2570 ไม่ได้มรรคผลอะไรเลย คำว่า "โอกาส" ที่ น.ส.แพทองธารและรัฐบาลกล่าวบ่อยครั้ง ก็ไม่มีทางออกว่าจะไปทางไหน สิ่งเดียวที่ประชาชนทำได้ในยามนี้ คือ เอาตัวเองให้รอดก่อน

    #Newskit
    หุ้นตกยุคอุ๊งอิ๊ง อ้างคนฉลาดเห็นโอกาส "เป็นจังหวะเข้าซื้อเพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยไม่ได้เปลี่ยน คนที่ฉลาดจะมองเห็นโอกาสจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีกับราคาตลาดตอนนี้ ส่วนคนที่ไม่ฉลาดก็จะตื่นเต้นและไม่เห็นโอกาสในสิ่งนี้" เป็นคำกล่าวของนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ระบุถึงตลาดหุ้นไทยลดลงต่ำกว่า 1,200 จุด ในวันที่ต่างชาติเทขายต่อเนื่อง และไม่มีแผนกระตุ้นนักลงทุนอย่างชัดเจน เรียกเสียงวิจารณ์จากผู้คนทั่วทุกสารทิศ ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรีวัย 38 ปี กล่าวตอบโต้ฝ่ายค้านที่ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องภาวะผู้นำว่า "ไม่ได้อยากชี้นิ้วว่าใครเป็นผู้นำ หรือเป็นผู้นำในแบบของเรา จะว่าใครก็ต้องเป็นผู้นำให้ได้ก่อน แล้วค่อยพูดถึงคนอื่นได้" และว่า "การอภิปรายไม่ใว้วางใจของสภาฯ เป็นเวทีที่ดีที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจในข้อมูลที่แท้จริง และเข้าใจความเป็นนายกรัฐมนตรีเจนวาย (Gen Y) ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะยังไม่เคยมีมาก่อน" ประโยคนี้ทำเอาคนทุกเจนถึงกับอึ้ง เพราะทราบดีว่า น.ส.แพทองธาร ไม่ได้เข้ามาเป็นนายกฯ ด้วยความสามารถ แต่เข้ามาเพราะบารมีพ่ออย่างนายทักษิณ ชินวัตร ที่ผ่านมามีข้ออ้างว่า "เป็นนายกฯ ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์" เมื่อถูกถามถึงข้อครหาว่าครอบครัวครอบงำ หรือ "สามีเป็นคนใต้ ครอบครัวสามีก็คนใต้ ถ้าละเลยคนใต้หรือไม่รักคนใต้ แต่งงานกับคนใต้ไม่ได้" เมื่อถูกถามถึงคำว่าละเลยภาคใต้ในสถานการณ์น้ำท่วม กลายเป็นวาทะแห่งปีของสื่อมวลชนทำเนียบรัฐบาล วันที่ 16 ส.ค.2567 น.ส.แพทองธารได้รับการโหวตด้วยเสียงข้างมากในสภา ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,303.00 จุด กระทั่งนายทักษิณกล่าววิสัยทัศน์หลังได้รับการพักโทษคดีทุจริต และมีการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น สูงสุดที่ระดับ 1,506.82 จุด เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2567 แต่เมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และมีเรื่องที่กระทบกับธรรมาภิบาลต่อตลาดหุ้นไทยหลายเรื่อง รวมทั้งระยะหลังนายทักษิณไม่มีคำตอบอย่างชัดเจนว่า ทำอย่างไรตลาดหุ้นไทยจะฟื้น และมีมาตรการอย่างไรเพื่อเรียกนักลงทุนกลับมา จากสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 1,400.21 จุด ล่าสุดวันที่ 4 มี.ค.2568 เหลือ 1,177.64 จุด และมีแนวโน้มทรุดหนักต่อไป ในวันที่เศรษฐกิจไม่ฟื้น นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น แต่นายกฯ แพทองธารและพรรคเพื่อไทย ยังคงขยันผลิตวาทกรรมเอาตัวรอดไปวันๆ บริหารประเทศแบบถูลู่ถูกัง จนกว่าจะครบเทอมในปี 2570 ไม่ได้มรรคผลอะไรเลย คำว่า "โอกาส" ที่ น.ส.แพทองธารและรัฐบาลกล่าวบ่อยครั้ง ก็ไม่มีทางออกว่าจะไปทางไหน สิ่งเดียวที่ประชาชนทำได้ในยามนี้ คือ เอาตัวเองให้รอดก่อน #Newskit
    Like
    Haha
    Angry
    3
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 641 มุมมอง 0 รีวิว
  • กทม.ยกเลิกสัญญาผู้ค้าตลาดนัดจตุจักรเพื่อสร้าง Landmark และผลักดัน Soft power ที่แท้อาจเป็นเพียงข้ออ้างในการเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนเข้ามาจัดการได้อย่างเบ็ดเสร็จ #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #จัตุจักร #ตลาดนัดจัตุจักร #สัญญาทาส #เอื้อประโยชน์ให้นายทุน
    กทม.ยกเลิกสัญญาผู้ค้าตลาดนัดจตุจักรเพื่อสร้าง Landmark และผลักดัน Soft power ที่แท้อาจเป็นเพียงข้ออ้างในการเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนเข้ามาจัดการได้อย่างเบ็ดเสร็จ #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #จัตุจักร #ตลาดนัดจัตุจักร #สัญญาทาส #เอื้อประโยชน์ให้นายทุน
    Like
    Angry
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1585 มุมมอง 34 0 รีวิว
  • รัฐบาลจีนเตรียมใช้มาตรการตอบโต้คำสั่งรีดภาษีสินค้าจีนระลอก 2 ของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร (4 มี.ค.) โดยคาดว่าสินค้าเกษตรของอเมริกาอาจตกเป็นเป้าหมาย ตามรายงานของหนังสือพิมพ์โกลบอลไทม์ส

    ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจีนเพิ่มอีก 10% รวมเป็น 20% โดยกล่าวหาปักกิ่งว่าไม่พยายามมากพอในการสกัดกั้นสารเสพติด “เฟนทานิล” ในขณะที่จีนชี้ว่าการกระทำของสหรัฐฯ เข้าข้าย “แบล็กเมล”

    “จีนกำลังศึกษาและเตรียมกำหนดมาตรการตอบโต้คำขู่ของสหรัฐฯ ที่บอกว่าจะขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 10% โดยใช้เรื่องเฟนทานิลมาเป็นข้ออ้าง” โกลบอลไทม์สรายงานวันนี้ (3) โดยอ้างแหล่งข่าวไม่ประสงค์ออกนาม

    “มาตรการทั้งหมดอาจจะรวมถึงการเพิ่มภาษีศุลกากรและอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษี โดยสินค้าเกษตรและอาหารของสหรัฐฯ น่าจะอยู่ในบัญชีสินค้าที่ถูกตอบโต้” รายงานระบุ

    ที่ผ่านมาสินค้าเกษตรถือเป็นจุดอ่อนที่จีนมักจะใช้เล่นงานตอบโต้สหรัฐฯ เวลาที่เกิดข้อพิพาททางการค้า

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000020572

    #MGROnline #รัฐบาลจีน #รีดภาษีสินค้าจีน
    รัฐบาลจีนเตรียมใช้มาตรการตอบโต้คำสั่งรีดภาษีสินค้าจีนระลอก 2 ของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร (4 มี.ค.) โดยคาดว่าสินค้าเกษตรของอเมริกาอาจตกเป็นเป้าหมาย ตามรายงานของหนังสือพิมพ์โกลบอลไทม์ส • ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจีนเพิ่มอีก 10% รวมเป็น 20% โดยกล่าวหาปักกิ่งว่าไม่พยายามมากพอในการสกัดกั้นสารเสพติด “เฟนทานิล” ในขณะที่จีนชี้ว่าการกระทำของสหรัฐฯ เข้าข้าย “แบล็กเมล” • “จีนกำลังศึกษาและเตรียมกำหนดมาตรการตอบโต้คำขู่ของสหรัฐฯ ที่บอกว่าจะขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 10% โดยใช้เรื่องเฟนทานิลมาเป็นข้ออ้าง” โกลบอลไทม์สรายงานวันนี้ (3) โดยอ้างแหล่งข่าวไม่ประสงค์ออกนาม • “มาตรการทั้งหมดอาจจะรวมถึงการเพิ่มภาษีศุลกากรและอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษี โดยสินค้าเกษตรและอาหารของสหรัฐฯ น่าจะอยู่ในบัญชีสินค้าที่ถูกตอบโต้” รายงานระบุ • ที่ผ่านมาสินค้าเกษตรถือเป็นจุดอ่อนที่จีนมักจะใช้เล่นงานตอบโต้สหรัฐฯ เวลาที่เกิดข้อพิพาททางการค้า • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000020572 • #MGROnline #รัฐบาลจีน #รีดภาษีสินค้าจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ PETA ออกมาโต้รัฐมนตรีเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่ก่อนหน้ายืนยันรับประกันสวัสดิภาพหมูเด้งและสวนสัตว์เขาเขียวได้มาตรฐานว่า ให้ความสนใจหมูเด้งเป็นพิเศษ เนื่องมาจากกระแสความโด่งดังหมูเด้งที่มาจากการกักขังในสวนสัตว์เป็นสำคัญที่ทำให้สัตว์ป่าเช่นฮิปโปแคระสูญเสียธรรมชาติดั้งเดิมความเป็นสัตว์ป่าของตัวเองไป แต่ไม่ตอบคำเชิญเข้ามาดูหมูเด้งถึงสวนสัตว์เขาเขียว ด้านอดีตเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำธนาคารพัฒนาเอเชีย (AsDB) สวนกระแสแบนบุกเยือน “หมูเด้ง” ถึงที่โพสต์ชื่นชมพี่เบนซ์ที่อุทิศตัวจนหมูเด้งมีชื่อไปทั่วโลก

    เจสัน เบเกอร์ (Jason Baker) รองประธานอาวุโสกลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ PETA ชื่อดังออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 25 ก.พ. มายังผู้จัดการออนไลน์ ตอบโต้รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เฉลิมชัย ศรีอ่อน หลังข่าว PETA จับมือ Born Free รณรงค์ไม่ให้นักท่องเที่ยวในอังกฤษเดินทางบินเข้ามาชมหมูเด้งในไทยออกมาเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว

    แถลงการณ์ PETA ที่ออกมาในวันเดียวกัน (25) กับการแถลงของรัฐมนตรีเฉลิมชัย โดยทางกลุ่มแถลงยังคงโจมตีไปที่กระแสความโด่งดังหมูเด้งที่มาจากการกักขังในสวนสัตว์เป็นสำคัญ PETA จุดยืนการรณรงค์หมูเด้งเนื่องมาจากทางกลุ่มต้องการให้ข้อมูลว่า สัตว์ที่ถูกกักกันนั้นแท้จริงเป็นสิ่งที่มีความรู้สึกเหมือนเช่นมนุษย์ และไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาจัดแสดงได้ตามข้ออ้างของรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000020286

    #MGROnline #กลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ #PETA #หมูเด้ง
    กลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ PETA ออกมาโต้รัฐมนตรีเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่ก่อนหน้ายืนยันรับประกันสวัสดิภาพหมูเด้งและสวนสัตว์เขาเขียวได้มาตรฐานว่า ให้ความสนใจหมูเด้งเป็นพิเศษ เนื่องมาจากกระแสความโด่งดังหมูเด้งที่มาจากการกักขังในสวนสัตว์เป็นสำคัญที่ทำให้สัตว์ป่าเช่นฮิปโปแคระสูญเสียธรรมชาติดั้งเดิมความเป็นสัตว์ป่าของตัวเองไป แต่ไม่ตอบคำเชิญเข้ามาดูหมูเด้งถึงสวนสัตว์เขาเขียว ด้านอดีตเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำธนาคารพัฒนาเอเชีย (AsDB) สวนกระแสแบนบุกเยือน “หมูเด้ง” ถึงที่โพสต์ชื่นชมพี่เบนซ์ที่อุทิศตัวจนหมูเด้งมีชื่อไปทั่วโลก • เจสัน เบเกอร์ (Jason Baker) รองประธานอาวุโสกลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ PETA ชื่อดังออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 25 ก.พ. มายังผู้จัดการออนไลน์ ตอบโต้รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เฉลิมชัย ศรีอ่อน หลังข่าว PETA จับมือ Born Free รณรงค์ไม่ให้นักท่องเที่ยวในอังกฤษเดินทางบินเข้ามาชมหมูเด้งในไทยออกมาเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว • แถลงการณ์ PETA ที่ออกมาในวันเดียวกัน (25) กับการแถลงของรัฐมนตรีเฉลิมชัย โดยทางกลุ่มแถลงยังคงโจมตีไปที่กระแสความโด่งดังหมูเด้งที่มาจากการกักขังในสวนสัตว์เป็นสำคัญ PETA จุดยืนการรณรงค์หมูเด้งเนื่องมาจากทางกลุ่มต้องการให้ข้อมูลว่า สัตว์ที่ถูกกักกันนั้นแท้จริงเป็นสิ่งที่มีความรู้สึกเหมือนเช่นมนุษย์ และไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาจัดแสดงได้ตามข้ออ้างของรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000020286 • #MGROnline #กลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ #PETA #หมูเด้ง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 431 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ระบุ การยุติสนับสนุนยูเครนจะไม่นำมาซึ่งสันติภาพ แต่จะทำให้เกิดปัญหาเพิ่มขึ้น

    มาครงเตือนสหรัฐว่า หากไม่สนใจยูเครน ไม่เพียงแต่จะสูญเสียอิทธิพลในโลกไปเท่านั้น แต่ยังทำให้รัสเซียและจีนได้รับชัยชนะครั้งสำคัญอีกด้วย

    เขาเน้นย้ำว่าการหยุดยิงใดๆ จำเป็นต้องมีการรับประกันความปลอดภัยที่แท้จริงสำหรับยูเครน มิฉะนั้น ความขัดแย้งจะกลับมารุนแรงขึ้น

    คำพูดของเขาเกิดขึ้นก่อนจะมีการประชุมสุดยอดผู้นำยุโรปในวันอาทิตย์นี้ ในกรุงลอนดอน

    ขณะเดียวกัน Kaja Kallas หัวหน้านโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป กล่าวในทำนองเดียวกันว่า “หากพวกเราไม่สามารถกดดันรัสเซียได้มากพอ แล้วเราจะมีข้ออ้างอะไรว่าเราสามารถเอาชนะจีนได้?”
    มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ระบุ การยุติสนับสนุนยูเครนจะไม่นำมาซึ่งสันติภาพ แต่จะทำให้เกิดปัญหาเพิ่มขึ้น มาครงเตือนสหรัฐว่า หากไม่สนใจยูเครน ไม่เพียงแต่จะสูญเสียอิทธิพลในโลกไปเท่านั้น แต่ยังทำให้รัสเซียและจีนได้รับชัยชนะครั้งสำคัญอีกด้วย เขาเน้นย้ำว่าการหยุดยิงใดๆ จำเป็นต้องมีการรับประกันความปลอดภัยที่แท้จริงสำหรับยูเครน มิฉะนั้น ความขัดแย้งจะกลับมารุนแรงขึ้น คำพูดของเขาเกิดขึ้นก่อนจะมีการประชุมสุดยอดผู้นำยุโรปในวันอาทิตย์นี้ ในกรุงลอนดอน ขณะเดียวกัน Kaja Kallas หัวหน้านโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป กล่าวในทำนองเดียวกันว่า “หากพวกเราไม่สามารถกดดันรัสเซียได้มากพอ แล้วเราจะมีข้ออ้างอะไรว่าเราสามารถเอาชนะจีนได้?”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาถึงรูปที่ 8 ของ 12 กงซวิ่นถู (宫训图) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก โดยเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวของพระภรรยาในประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ซึ่งคุณงามความดี วันนี้เราคุยกันถึงภาพที่แขวนในพระตำหนักเหยียนสี่กง

    ในละครเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> นั้น พระตำหนักเหยียนสี่กงเป็นที่พระทับของลิ่งเฟย (เว่ยอิงหลัว) ซึ่งก็คือฮองเฮาเซี่ยวอี๋ฉุน ฮองเฮาองค์ที่สามของเฉียนหลงฮ่องเต้ แต่... ในปีรัชศกเฉียนหลงปีที่ 6 ซึ่งเป็นปีที่จัดทำกงซวิ่นถูกขึ้นนั้น ในละครเว่ยอิงหลัวเพิ่งเข้าวังเป็นนางกำนัลยังไม่ได้เป็นสนม (ในประวัติศาสตร์จริงเชื่อว่านางเข้าถวายตัวเป็นนางกำนัลในช่วงรัชศกเฉียนหลงปีที่ 6-9 ได้รับการแต่งตั้งเป็นกุ้ยเหรินในรัชศกเฉียนหลงปีที่ 10)

    Storyฯ หาไม่พบว่าในปีที่จัดทำกงซวิ่นถูนั้น พระตำหนักเหยียนสี่กงเป็นที่ประทับของพระองค์ใด แต่ภาพที่ถูกพระราชทานมายังพระตำหนักนี้คือภาพ ‘เฉาโฮ่วจ้งหนง’ (曹后重农图 / เฉาฮองเฮาให้ความสำคัญกับการเกษตร) แต่ภาพจริงสูญหายไปแล้ว ภาพที่แปะมาให้ดูเป็นภาพเรื่องราวเดียวกันจากสมัยองค์คังซี เป็นผลงานของช่างวาดหลวงเจียวปิ่งเจิน มีชื่อว่า ‘จิ้งย่วนจ้งกู่’ (禁苑种谷/ เพาะเมล็ดพืชในพระราชวัง)

    บุคคลที่ถูกกล่าวถึงในภาพก็คือเฉาฮองเฮาในจักรพรรดิซ่งเหรินจง (จักรพรรดิองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์ซ่ง) เพื่อนเพจบางท่านอาจคุ้นเคยกับเรื่องราวของเฉาฮองเฮาจากละครเรื่อง <วังเดียวดาย> วันนี้เรามาคุยกันเกี่ยวกับสตรีผู้ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในฮองเฮาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์จีนคนนี้ (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์ในบทความนี้)

    เฉาฮองเฮา (ค.ศ. 1016-1079) นามเดิมในละคร <วังเดียวดาย> คือเฉาตานซู แต่ Storyฯ หาข้อมูลไม่พบว่านี่ใช่นามเดิมที่ถูกต้องหรือไม่ ทราบแต่ว่านางมาจากตระกูลเรืองอำนาจ เป็นบุตรีของเฉาฉี่ซึ่งมีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสูงในกรมราชสำนักและเป็นหลานปู่ของแม่ทัพเฉาปินซึ่งเป็นหนึ่งในเรี่ยวแรงสำคัญในการก่อตั้งราชวงศ์ซ่ง

    ซ่งเหรินจงเดิมทีมีฮองเฮาอยู่แล้วคือกัวฮองเฮา แต่ภายหลังจากหลิวเอ๋อไทเฮาสิ้นชีพลง ซ่งเหรินจงสั่งปลดกัวฮองเฮาด้วยข้ออ้างว่านางไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลให้ได้ เหล่าขุนนางจึงเสนอชื่อธิดาสกุลเฉาวัยสิบแปดปีผู้นี้เป็นฮองเฮา ว่ากันว่าซ่งเหรินจงไม่ชอบนาง แต่นางกลับเป็นที่ถูกใจของฮุ่ยหยางไทเฮา เพราะนางไม่สวยเย้ายวน ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ฮ่องเต้มัวเมาจนละเลยหน้าที่การงาน สุดท้ายนางได้รับการสถาปนาเป็นฮองเฮาในปีค.ศ. 1034

    ในบันทึกประวัติศาสตร์ซ่ง (宋史) จารึกถึงนางไว้ว่าเป็นคนมีเมตตาโอบอ้อมอารี ให้ความสำคัญกับการเกษตร มักปลูกธัญพืชและเลี้ยงหนอนไหมในวังเพื่อพัฒนาการเกษตร

    เฉาฮองเฮาถูกยกย่องว่าวางตนได้ดีเยี่ยม และนางระมัดระวังไม่ก้าวก่ายงานราชการ ไม่เคยพบปะกับคนในตระกูลเฉาตามลำพังให้เป็นที่สงสัยหรือเปิดโอกาสให้เป็นครหาได้ว่าตระกูลเฉาใช้อำนาจในทางที่ผิด แม้แต่ญาติของนางบางคนยังถึงขนาดขอลดตำแหน่งราชการลงหรือขอลาออกจากตำแหน่งสำคัญภายหลังจากที่นางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาแล้ว และตลอดเวลาที่นางดำรงตำแหน่งนี้ ตระกูลเฉาพยายามหลีกเลี่ยงไม่รับตำแหน่งขุนนางระดับสูงใดๆ นอกจากนี้ นางยังวางตัวอย่างสงบในวังหลัง ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใคร เคร่งครัดเรื่องกฎเกณฑ์ในวัง ฉลาดใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง จึงเป็นที่ยำเกรงและเคารพจากทั้งฝ่ายนอกและฝ่ายใน

    ซ่งเหรินจงไม่ได้รักและโปรดปรานนาง และมีหลายครั้งที่คิดจะปลดนางเพื่อยกกุ้ยเฟยคนโปรดขึ้นแทน แต่เพราะนางวางตัวได้ไร้ที่ติ อีกทั้งปกครองวังหลังได้ดี สุดท้ายซ่งเหรินจงจึงไม่ได้ปลดนางและยังต้องให้เกียรตินางเป็นอย่างดีอีกด้วย

    ต่อมาในรัชสมัยของจักรพรรดิซ่งอิงจง ซ่งอิงจงป่วยหนักภายหลังจากขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน นางในฐานะไทเฮาถูกเชิญให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนและออกว่าราชการหลังม่าน แต่มักหารือด้วยกับเหล่าขุนนาง ไม่ใช้อำนาจโดยพละการ จนงานราชการผ่านไปได้ด้วยดี หนึ่งปีให้หลังองค์ซ่งอิงจงหายป่วย เฉาไทเฮาก็คืนอำนาจบริหารบ้านเมืองให้ฮ่องเต้ บ้างว่านางเสนอคืนอำนาจเอง บ้างก็ว่านางถูกบีบโดยเหล่าขุนนาง ในรัชสมัยของซ่งอิงจงสี่ปีนี้ แม้ซ่งอิงจงมีความขัดแย้งกับนางมาโดยตลอดแต่ก็ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่จนทำให้สถานะของนางคลอนแคลนหรือความยำเกรงในตัวนางหายไป

    ในรัชสมัยขององค์ซ่งเสินจง นางเป็นไทฮองไทเฮาก็ได้รับความเคารพรักอย่างมากจากซ่งเสินจง นางยังคงวางตัวอย่างระมัดระวังเช่นเดิม แต่ในรัชสมัยของซ่งอิงจงนี้ มีเรื่องราวที่นางมีบทบาทต่อชีวิตของคนสองคนในราชสำนักที่เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของจีน

    คนแรกก็คือ อัครมหาเสนาบดีหวางอันสือ เขาคือนักปฏิรูปด้านเศรษฐกิจและการปกครอง แต่แนวทางปฏิรูปของเขาทำไปได้ประมาณ 3-4 ปีก็ได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม ว่ากันว่าเฉาไทฮองไทเฮาก็เป็นหนึ่งในฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง แต่นางก็ชื่นชมในความสามารถของหวางอันสือ เมื่อสถานการณ์ราชสำนักตึงเครียดถึงขีดสุด ซ่งเสินจงเองก็หวั่นไหวกับความคิดที่จะล้มเลิกแผนปฏิรูปนี้ นางได้แนะนำซ่งเสินจงว่า หวางอันสือมีศัตรูในราชสำนักมากเกินไป หากต้องการรักษาชีวิตคนผู้นี้ไว้ ควรให้ออกจากราชการไปหลบพายุทางการเมืองสักพักแล้วค่อยกลับมาใหม่ แต่สุดท้ายหวางอันสือเลือกที่จะไม่มารับราชการอีกเลย (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนถึงเรื่องที่เขาแต่งบทกกวี ‘เหมยฮวา’ มาแล้ว อ่านย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/672174234910872)

    อีกบุคคลหนึ่งคือซูซึ หรือซูตงปอ (กวีเอกสมัยนั้น) เขาถูกจำคุกเนื่องจากเขียนบทประพันธ์พาดพิงวิจารณ์เรื่องปฏิรูปข้างต้น ว่ากันว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตตกต่ำที่สุดของซูตงปอ ในช่วงเวลานั้น เฉาไทฮองไทเฮาป่วยหนัก ก่อนตายนางได้บอกกับซ่งเสินจงว่า ซูซึผู้นี้ เมื่อครั้งที่สอบราชบัณฑิตในรัชสมัยของซ่งเหรินจง ซ่งเหรินจงเคยบอกว่าเขาผู้นี้มีความสามารถพอที่จะเป็นถึงอัครเสนาบดีในอนาคตได้ และนางไม่อยากให้เขาต้องหมดอนาคตอยู่ในคุกด้วยเรื่องการเมือง สุดท้ายซูตงปอได้รับการปล่อยออกจากคุกและถูกลดตำแหน่งและให้ไปประจำที่เมืองหางโจว เรียกได้ว่า หากไม่ใช่เพราะนาง ชาวจีนอาจไม่มีโอกาสได้เห็นคุณงามความดีของขุนนางที่ชื่อซูซึที่หางโจว หรือผลงานวรรณกรรมอันมีค่าของซูตงปอต่อไปอีกเลย

    เมื่อนางสิ้นชีพลงด้วยวัยหกสิบสี่ปี องค์ซ่งเสินจงเศร้าโศกเป็นอย่างมาก เขาปรับระดับคนจากตระกูลเฉาขึ้นเป็นขุนนางระดับสูงกว่าสี่สิบคน และแต่งตั้งย้อนหลังให้เป็นฉือเซิ่งกวงเซี่ยนฮองเฮา เพื่อเป็นการตอบแทนคุณงามความดีของนาง

    ภาพ ‘เฉาโฮ่วจ้งหนง’ นี้บรรยายถึงกิจกรรมประจำวันของเฉาฮองเฮาตั้งแต่เมื่อครั้งเข้าวังใหม่ๆ ซึ่งก็คือการเพาะปลูกธัญพืชและเลี้ยงหนอนไหม และภาพนี้ถูกตีความว่าหมายถึงความขยันหมั่นเพียร

    ส่วนป้ายที่องค์เฉียนหลงพระราชทานไปคู่กับภาพนี้เขียนไว้ว่า ‘เซิ่นจ้านเวยอิน’ (慎赞徽音) แปลได้ประมาณว่า ความระมัดระวังตนนำมาซึ่งความเคารพยกย่อง เป็นประโยคที่สะท้อนได้ดีถึงชีวิตของสตรีที่อดทนและเฉลียวฉลาดคนนี้... เฉาฮองเฮาไม่ได้รับความรักความโปรดปรานจากสามี ไม่มีลูก และไม่เคยใช้ตระกูลเฉาเป็นฐานอำนาจ แต่ตลอดชีวิตในวังเกือบห้าสิบปีผ่านสามรัชสมัย นางกลับได้รับความเคารพยำเกรงด้วยคุณงามความดีและการวางตัวของนางเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://wapbaike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=114318e9a8c1c9eee79397a9
    https://www.sohu.com/a/394407332_100120829
    https://baike.baidu.com/item/清焦秉贞绘禁苑种谷图/386137
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html
    http://www.guoxue.com/?p=42472
    https://www.duguoxue.com/ershisishi/12686.html
    https://www.soundofhope.org/post/472643?lang=b5
    https://www.silpa-mag.com/history/article_23090#google_vignette

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เฉาฮองเฮา #ซ่งเหรินจง #วังเดียวดาย #หวางอันสือ #ซูตงปอ #เฉาโฮ่วจ้งหนง #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    มาถึงรูปที่ 8 ของ 12 กงซวิ่นถู (宫训图) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก โดยเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวของพระภรรยาในประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ซึ่งคุณงามความดี วันนี้เราคุยกันถึงภาพที่แขวนในพระตำหนักเหยียนสี่กง ในละครเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> นั้น พระตำหนักเหยียนสี่กงเป็นที่พระทับของลิ่งเฟย (เว่ยอิงหลัว) ซึ่งก็คือฮองเฮาเซี่ยวอี๋ฉุน ฮองเฮาองค์ที่สามของเฉียนหลงฮ่องเต้ แต่... ในปีรัชศกเฉียนหลงปีที่ 6 ซึ่งเป็นปีที่จัดทำกงซวิ่นถูกขึ้นนั้น ในละครเว่ยอิงหลัวเพิ่งเข้าวังเป็นนางกำนัลยังไม่ได้เป็นสนม (ในประวัติศาสตร์จริงเชื่อว่านางเข้าถวายตัวเป็นนางกำนัลในช่วงรัชศกเฉียนหลงปีที่ 6-9 ได้รับการแต่งตั้งเป็นกุ้ยเหรินในรัชศกเฉียนหลงปีที่ 10) Storyฯ หาไม่พบว่าในปีที่จัดทำกงซวิ่นถูนั้น พระตำหนักเหยียนสี่กงเป็นที่ประทับของพระองค์ใด แต่ภาพที่ถูกพระราชทานมายังพระตำหนักนี้คือภาพ ‘เฉาโฮ่วจ้งหนง’ (曹后重农图 / เฉาฮองเฮาให้ความสำคัญกับการเกษตร) แต่ภาพจริงสูญหายไปแล้ว ภาพที่แปะมาให้ดูเป็นภาพเรื่องราวเดียวกันจากสมัยองค์คังซี เป็นผลงานของช่างวาดหลวงเจียวปิ่งเจิน มีชื่อว่า ‘จิ้งย่วนจ้งกู่’ (禁苑种谷/ เพาะเมล็ดพืชในพระราชวัง) บุคคลที่ถูกกล่าวถึงในภาพก็คือเฉาฮองเฮาในจักรพรรดิซ่งเหรินจง (จักรพรรดิองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์ซ่ง) เพื่อนเพจบางท่านอาจคุ้นเคยกับเรื่องราวของเฉาฮองเฮาจากละครเรื่อง <วังเดียวดาย> วันนี้เรามาคุยกันเกี่ยวกับสตรีผู้ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในฮองเฮาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์จีนคนนี้ (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์ในบทความนี้) เฉาฮองเฮา (ค.ศ. 1016-1079) นามเดิมในละคร <วังเดียวดาย> คือเฉาตานซู แต่ Storyฯ หาข้อมูลไม่พบว่านี่ใช่นามเดิมที่ถูกต้องหรือไม่ ทราบแต่ว่านางมาจากตระกูลเรืองอำนาจ เป็นบุตรีของเฉาฉี่ซึ่งมีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสูงในกรมราชสำนักและเป็นหลานปู่ของแม่ทัพเฉาปินซึ่งเป็นหนึ่งในเรี่ยวแรงสำคัญในการก่อตั้งราชวงศ์ซ่ง ซ่งเหรินจงเดิมทีมีฮองเฮาอยู่แล้วคือกัวฮองเฮา แต่ภายหลังจากหลิวเอ๋อไทเฮาสิ้นชีพลง ซ่งเหรินจงสั่งปลดกัวฮองเฮาด้วยข้ออ้างว่านางไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลให้ได้ เหล่าขุนนางจึงเสนอชื่อธิดาสกุลเฉาวัยสิบแปดปีผู้นี้เป็นฮองเฮา ว่ากันว่าซ่งเหรินจงไม่ชอบนาง แต่นางกลับเป็นที่ถูกใจของฮุ่ยหยางไทเฮา เพราะนางไม่สวยเย้ายวน ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ฮ่องเต้มัวเมาจนละเลยหน้าที่การงาน สุดท้ายนางได้รับการสถาปนาเป็นฮองเฮาในปีค.ศ. 1034 ในบันทึกประวัติศาสตร์ซ่ง (宋史) จารึกถึงนางไว้ว่าเป็นคนมีเมตตาโอบอ้อมอารี ให้ความสำคัญกับการเกษตร มักปลูกธัญพืชและเลี้ยงหนอนไหมในวังเพื่อพัฒนาการเกษตร เฉาฮองเฮาถูกยกย่องว่าวางตนได้ดีเยี่ยม และนางระมัดระวังไม่ก้าวก่ายงานราชการ ไม่เคยพบปะกับคนในตระกูลเฉาตามลำพังให้เป็นที่สงสัยหรือเปิดโอกาสให้เป็นครหาได้ว่าตระกูลเฉาใช้อำนาจในทางที่ผิด แม้แต่ญาติของนางบางคนยังถึงขนาดขอลดตำแหน่งราชการลงหรือขอลาออกจากตำแหน่งสำคัญภายหลังจากที่นางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาแล้ว และตลอดเวลาที่นางดำรงตำแหน่งนี้ ตระกูลเฉาพยายามหลีกเลี่ยงไม่รับตำแหน่งขุนนางระดับสูงใดๆ นอกจากนี้ นางยังวางตัวอย่างสงบในวังหลัง ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใคร เคร่งครัดเรื่องกฎเกณฑ์ในวัง ฉลาดใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง จึงเป็นที่ยำเกรงและเคารพจากทั้งฝ่ายนอกและฝ่ายใน ซ่งเหรินจงไม่ได้รักและโปรดปรานนาง และมีหลายครั้งที่คิดจะปลดนางเพื่อยกกุ้ยเฟยคนโปรดขึ้นแทน แต่เพราะนางวางตัวได้ไร้ที่ติ อีกทั้งปกครองวังหลังได้ดี สุดท้ายซ่งเหรินจงจึงไม่ได้ปลดนางและยังต้องให้เกียรตินางเป็นอย่างดีอีกด้วย ต่อมาในรัชสมัยของจักรพรรดิซ่งอิงจง ซ่งอิงจงป่วยหนักภายหลังจากขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน นางในฐานะไทเฮาถูกเชิญให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนและออกว่าราชการหลังม่าน แต่มักหารือด้วยกับเหล่าขุนนาง ไม่ใช้อำนาจโดยพละการ จนงานราชการผ่านไปได้ด้วยดี หนึ่งปีให้หลังองค์ซ่งอิงจงหายป่วย เฉาไทเฮาก็คืนอำนาจบริหารบ้านเมืองให้ฮ่องเต้ บ้างว่านางเสนอคืนอำนาจเอง บ้างก็ว่านางถูกบีบโดยเหล่าขุนนาง ในรัชสมัยของซ่งอิงจงสี่ปีนี้ แม้ซ่งอิงจงมีความขัดแย้งกับนางมาโดยตลอดแต่ก็ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่จนทำให้สถานะของนางคลอนแคลนหรือความยำเกรงในตัวนางหายไป ในรัชสมัยขององค์ซ่งเสินจง นางเป็นไทฮองไทเฮาก็ได้รับความเคารพรักอย่างมากจากซ่งเสินจง นางยังคงวางตัวอย่างระมัดระวังเช่นเดิม แต่ในรัชสมัยของซ่งอิงจงนี้ มีเรื่องราวที่นางมีบทบาทต่อชีวิตของคนสองคนในราชสำนักที่เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของจีน คนแรกก็คือ อัครมหาเสนาบดีหวางอันสือ เขาคือนักปฏิรูปด้านเศรษฐกิจและการปกครอง แต่แนวทางปฏิรูปของเขาทำไปได้ประมาณ 3-4 ปีก็ได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม ว่ากันว่าเฉาไทฮองไทเฮาก็เป็นหนึ่งในฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง แต่นางก็ชื่นชมในความสามารถของหวางอันสือ เมื่อสถานการณ์ราชสำนักตึงเครียดถึงขีดสุด ซ่งเสินจงเองก็หวั่นไหวกับความคิดที่จะล้มเลิกแผนปฏิรูปนี้ นางได้แนะนำซ่งเสินจงว่า หวางอันสือมีศัตรูในราชสำนักมากเกินไป หากต้องการรักษาชีวิตคนผู้นี้ไว้ ควรให้ออกจากราชการไปหลบพายุทางการเมืองสักพักแล้วค่อยกลับมาใหม่ แต่สุดท้ายหวางอันสือเลือกที่จะไม่มารับราชการอีกเลย (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนถึงเรื่องที่เขาแต่งบทกกวี ‘เหมยฮวา’ มาแล้ว อ่านย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/672174234910872) อีกบุคคลหนึ่งคือซูซึ หรือซูตงปอ (กวีเอกสมัยนั้น) เขาถูกจำคุกเนื่องจากเขียนบทประพันธ์พาดพิงวิจารณ์เรื่องปฏิรูปข้างต้น ว่ากันว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตตกต่ำที่สุดของซูตงปอ ในช่วงเวลานั้น เฉาไทฮองไทเฮาป่วยหนัก ก่อนตายนางได้บอกกับซ่งเสินจงว่า ซูซึผู้นี้ เมื่อครั้งที่สอบราชบัณฑิตในรัชสมัยของซ่งเหรินจง ซ่งเหรินจงเคยบอกว่าเขาผู้นี้มีความสามารถพอที่จะเป็นถึงอัครเสนาบดีในอนาคตได้ และนางไม่อยากให้เขาต้องหมดอนาคตอยู่ในคุกด้วยเรื่องการเมือง สุดท้ายซูตงปอได้รับการปล่อยออกจากคุกและถูกลดตำแหน่งและให้ไปประจำที่เมืองหางโจว เรียกได้ว่า หากไม่ใช่เพราะนาง ชาวจีนอาจไม่มีโอกาสได้เห็นคุณงามความดีของขุนนางที่ชื่อซูซึที่หางโจว หรือผลงานวรรณกรรมอันมีค่าของซูตงปอต่อไปอีกเลย เมื่อนางสิ้นชีพลงด้วยวัยหกสิบสี่ปี องค์ซ่งเสินจงเศร้าโศกเป็นอย่างมาก เขาปรับระดับคนจากตระกูลเฉาขึ้นเป็นขุนนางระดับสูงกว่าสี่สิบคน และแต่งตั้งย้อนหลังให้เป็นฉือเซิ่งกวงเซี่ยนฮองเฮา เพื่อเป็นการตอบแทนคุณงามความดีของนาง ภาพ ‘เฉาโฮ่วจ้งหนง’ นี้บรรยายถึงกิจกรรมประจำวันของเฉาฮองเฮาตั้งแต่เมื่อครั้งเข้าวังใหม่ๆ ซึ่งก็คือการเพาะปลูกธัญพืชและเลี้ยงหนอนไหม และภาพนี้ถูกตีความว่าหมายถึงความขยันหมั่นเพียร ส่วนป้ายที่องค์เฉียนหลงพระราชทานไปคู่กับภาพนี้เขียนไว้ว่า ‘เซิ่นจ้านเวยอิน’ (慎赞徽音) แปลได้ประมาณว่า ความระมัดระวังตนนำมาซึ่งความเคารพยกย่อง เป็นประโยคที่สะท้อนได้ดีถึงชีวิตของสตรีที่อดทนและเฉลียวฉลาดคนนี้... เฉาฮองเฮาไม่ได้รับความรักความโปรดปรานจากสามี ไม่มีลูก และไม่เคยใช้ตระกูลเฉาเป็นฐานอำนาจ แต่ตลอดชีวิตในวังเกือบห้าสิบปีผ่านสามรัชสมัย นางกลับได้รับความเคารพยำเกรงด้วยคุณงามความดีและการวางตัวของนางเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://wapbaike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=114318e9a8c1c9eee79397a9 https://www.sohu.com/a/394407332_100120829 https://baike.baidu.com/item/清焦秉贞绘禁苑种谷图/386137 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html http://www.guoxue.com/?p=42472 https://www.duguoxue.com/ershisishi/12686.html https://www.soundofhope.org/post/472643?lang=b5 https://www.silpa-mag.com/history/article_23090#google_vignette #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เฉาฮองเฮา #ซ่งเหรินจง #วังเดียวดาย #หวางอันสือ #ซูตงปอ #เฉาโฮ่วจ้งหนง #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 747 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ เบื้องหลังชาวบ้านบุกรุกป่า รุกที่หลวง อาจถอดแบบมาจากเขากระโดงโมเดล โดยนักการเมืองท้องถิ่น จับมือนายทุน สนับสนุนชาวบ้านบุกรุกครอบครองที่หลวง และป่า ไปพร้อมกับนักการเมือง เพื่อหวังใช้ชาวบ้านเป็นข้ออ้างเวลาถูกดำเนินคดี
    #7ดอกจิก
    ♣ เบื้องหลังชาวบ้านบุกรุกป่า รุกที่หลวง อาจถอดแบบมาจากเขากระโดงโมเดล โดยนักการเมืองท้องถิ่น จับมือนายทุน สนับสนุนชาวบ้านบุกรุกครอบครองที่หลวง และป่า ไปพร้อมกับนักการเมือง เพื่อหวังใช้ชาวบ้านเป็นข้ออ้างเวลาถูกดำเนินคดี #7ดอกจิก
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## หรือ ปาย จะกลายเป็น "ดินแดนแห่ง พันธสัญญา" แห่งใหม่ของ ยิวไซออนิสต์...!!! ##
    ..
    ..
    ปี 1974 ครั้งแรกที่ ยิว อพยพไป ดินแดนปาเลสไตน์ โดยใช้ข้ออ้างว่า ถูก ฮิตเลอร์ กระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ขอให้ ชาวปาเลสไตน์ และ คนทั่วโลก เห็นใจเราเถอะ...!!!
    .
    🙏🙏🙏🙏
    .
    ผ่านไป เกือบ 80 ปี ยิวไซออนิสต์ กระทำการ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ชาวปาเลสไตน์ เจ้าของผืนแผ่นดิน ที่ตนไปขออาศัยอยู่
    .
    💣💣💣💣
    .
    หลังจาก ปฏิบัติการ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ชาวปาเลสไตน์เกิดขึ้น ยิวไซออนิสต์ จำนวนหนึ่ง เข้ามาในประเทศไทย ไปพำนัก ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ ปาย ราว 1,000 - 2,000 คน ประเภทไปๆมา ราวๆ 30,000 คน
    .
    🏠🏡🛖🏚️🏘️🏘️🛖🏚️🏠🏡
    .
    มีการเข้ามาทำมาหากิน ทำธุรกิจทั้งๆที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ทำร้ายด่าทอบุคลากรทางการแพทย์ ทำลายข้าวของของโรงพยาบาล ไม่สนใจกฎหมายไทย ไม่จ่ายเงิน ไม่จ่ายค่าบริการก็มี ก่อความวุ่นวายก็มี...
    .
    จนคนใน ปาย เขาเอือมระอา ถึงกับขึ้นป้ายไม่ต้อนรับว่า No Israel Here...!!!
    .
    ⚔️⚔️🗡️🗡️🗡️⚔️⚔️
    .
    ในเว็บไซต์ Chabad of Pai ของ ยิว มีข้อความเชิญชวนให้ ชาวยิว มาที่ ปาย เพราะมีความสวยงามน่าอยู่
    .
    มีการเปิดร้าน สร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆไว้รองรับ ชาวยิว ไว้ต่างๆนาๆ
    .
    มีการเปิดร้านอาหารกึ่งโบสถ์ Chabad House มีการจ้าง รปภ. มาดูแล และ ห้ามคนไทยเข้าไปในพื้นที่...!!!
    .
    โอ้โห...!!!
    .
    ราวกลับได้ย้อนเวลาหาอดีต กลับไปอยู่ในยุคล่าอาณานิคม ที่ ประเทศจีน ถูก ญี่ปุ่น อังกฎษ ฝรั่งเศส อเมริกา ฮุบแผ่นดินไป คือใช้อำนาจทางการทหาร บังคับเช่าพื้นที่ แล้วแขวนป้าย คนจีน กับ หมา ห้ามเข้า...!!!
    .
    และ มีการระดมเงินเพื่อสร้างโบสถ์ ที่เรียกว่า Chabad of Pai ขึ้น เพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 ของพวกยิวโดยเฉพาะ
    .
    🕍🕍🕍⛪⛪⛪⛪🕍🕍🕍
    .
    😑😑😑😑
    .
    หากในอนาคตอันใกล้นี้เราไม่ทำอะไรซักอย่าง...
    .
    เราอาจได้เรียก ปาย ว่า ปายเลสไตน์ ก็เป็นได้...!!!
    .
    ผมหวังว่า ปาย จะไม่มีสภาพเดียวกันกับที่เกิด ใน ปาเลสไตน์ นะ....
    .
    เพราะถ้าเกิดชุมชนชาวยิวขึ้น 1 - 2 พันคนจริงๆ ปัญหาที่จะตามมาคือ อาจเกิดเหตุการณ์ เอาคืน...!!!
    .
    ต้องยอมรับนะครับว่า เนเจอร์ของยิวที่เราเห็นๆกันคือ เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใคร จนไปที่ไหนก็มีแต่คนรังเกลียด ถูกขับไล่อยู่ตลอดเวลา และ สิ่งที่ Israel ทำกับ โลก มุสลิม อย่าง ชาวปาเลสไตน์ ชาวซีเรีย และ อิหร่าน มันสร้างความแค้นไว้เยอะครับ ศัตรูเยอะมาก...
    .
    และ เหตุการณ์การเอาคือ ก็อาจมาเกิดขึ้นที่ประเทศไทยได้ ถ้าเราไม่แก้ไขอะไร เพราะมีเจ้าหน้าที่ ลงตรวจแล้ว บอก ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายอะไรทั้งสิ้น บุคลากรทางการแพทย์จะไปแจ้งไปร้องเรียนอะไร ก็ถูกตอกกลับมาว่า อย่าทำลายการท่องเที่ยงของ ปาย เลย...
    .
    สุดท้าย ท่านนายก กล่าวว่า ยิวยึดปาย นั้น ไม่จริง เป็น Fake News...!!!
    .
    เยี่ยมไปเลย ผู้นำสูงสุดของประเทศพูดแบบนี้ซะแล้ว ทีนี้ประชาชนตาดำๆจะหันไป ขอความช่วยเหลือจากใครได้ทีนี้...???
    .
    ถ้าตำรวจเกิดไปจับกุม ส่งกลับ หรือ ทำอะไรเป็นข่าว ก็จะไปขัดแย้งกับ คำพูดของ ท่านนายก แล้วทีนี้ ใครจะกล้าทำงานตามหน้าที่ ตามกฎหมาย...???
    .
    สิ้นหวังจริงๆ ประเทศไทย ไม่มีวัวปนเลย...!!!
    ## หรือ ปาย จะกลายเป็น "ดินแดนแห่ง พันธสัญญา" แห่งใหม่ของ ยิวไซออนิสต์...!!! ## .. .. ปี 1974 ครั้งแรกที่ ยิว อพยพไป ดินแดนปาเลสไตน์ โดยใช้ข้ออ้างว่า ถูก ฮิตเลอร์ กระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ขอให้ ชาวปาเลสไตน์ และ คนทั่วโลก เห็นใจเราเถอะ...!!! . 🙏🙏🙏🙏 . ผ่านไป เกือบ 80 ปี ยิวไซออนิสต์ กระทำการ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ชาวปาเลสไตน์ เจ้าของผืนแผ่นดิน ที่ตนไปขออาศัยอยู่ . 💣💣💣💣 . หลังจาก ปฏิบัติการ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ชาวปาเลสไตน์เกิดขึ้น ยิวไซออนิสต์ จำนวนหนึ่ง เข้ามาในประเทศไทย ไปพำนัก ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ ปาย ราว 1,000 - 2,000 คน ประเภทไปๆมา ราวๆ 30,000 คน . 🏠🏡🛖🏚️🏘️🏘️🛖🏚️🏠🏡 . มีการเข้ามาทำมาหากิน ทำธุรกิจทั้งๆที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ทำร้ายด่าทอบุคลากรทางการแพทย์ ทำลายข้าวของของโรงพยาบาล ไม่สนใจกฎหมายไทย ไม่จ่ายเงิน ไม่จ่ายค่าบริการก็มี ก่อความวุ่นวายก็มี... . จนคนใน ปาย เขาเอือมระอา ถึงกับขึ้นป้ายไม่ต้อนรับว่า No Israel Here...!!! . ⚔️⚔️🗡️🗡️🗡️⚔️⚔️ . ในเว็บไซต์ Chabad of Pai ของ ยิว มีข้อความเชิญชวนให้ ชาวยิว มาที่ ปาย เพราะมีความสวยงามน่าอยู่ . มีการเปิดร้าน สร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆไว้รองรับ ชาวยิว ไว้ต่างๆนาๆ . มีการเปิดร้านอาหารกึ่งโบสถ์ Chabad House มีการจ้าง รปภ. มาดูแล และ ห้ามคนไทยเข้าไปในพื้นที่...!!! . โอ้โห...!!! . ราวกลับได้ย้อนเวลาหาอดีต กลับไปอยู่ในยุคล่าอาณานิคม ที่ ประเทศจีน ถูก ญี่ปุ่น อังกฎษ ฝรั่งเศส อเมริกา ฮุบแผ่นดินไป คือใช้อำนาจทางการทหาร บังคับเช่าพื้นที่ แล้วแขวนป้าย คนจีน กับ หมา ห้ามเข้า...!!! . และ มีการระดมเงินเพื่อสร้างโบสถ์ ที่เรียกว่า Chabad of Pai ขึ้น เพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 ของพวกยิวโดยเฉพาะ . 🕍🕍🕍⛪⛪⛪⛪🕍🕍🕍 . 😑😑😑😑 . หากในอนาคตอันใกล้นี้เราไม่ทำอะไรซักอย่าง... . เราอาจได้เรียก ปาย ว่า ปายเลสไตน์ ก็เป็นได้...!!! . ผมหวังว่า ปาย จะไม่มีสภาพเดียวกันกับที่เกิด ใน ปาเลสไตน์ นะ.... . เพราะถ้าเกิดชุมชนชาวยิวขึ้น 1 - 2 พันคนจริงๆ ปัญหาที่จะตามมาคือ อาจเกิดเหตุการณ์ เอาคืน...!!! . ต้องยอมรับนะครับว่า เนเจอร์ของยิวที่เราเห็นๆกันคือ เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใคร จนไปที่ไหนก็มีแต่คนรังเกลียด ถูกขับไล่อยู่ตลอดเวลา และ สิ่งที่ Israel ทำกับ โลก มุสลิม อย่าง ชาวปาเลสไตน์ ชาวซีเรีย และ อิหร่าน มันสร้างความแค้นไว้เยอะครับ ศัตรูเยอะมาก... . และ เหตุการณ์การเอาคือ ก็อาจมาเกิดขึ้นที่ประเทศไทยได้ ถ้าเราไม่แก้ไขอะไร เพราะมีเจ้าหน้าที่ ลงตรวจแล้ว บอก ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายอะไรทั้งสิ้น บุคลากรทางการแพทย์จะไปแจ้งไปร้องเรียนอะไร ก็ถูกตอกกลับมาว่า อย่าทำลายการท่องเที่ยงของ ปาย เลย... . สุดท้าย ท่านนายก กล่าวว่า ยิวยึดปาย นั้น ไม่จริง เป็น Fake News...!!! . เยี่ยมไปเลย ผู้นำสูงสุดของประเทศพูดแบบนี้ซะแล้ว ทีนี้ประชาชนตาดำๆจะหันไป ขอความช่วยเหลือจากใครได้ทีนี้...??? . ถ้าตำรวจเกิดไปจับกุม ส่งกลับ หรือ ทำอะไรเป็นข่าว ก็จะไปขัดแย้งกับ คำพูดของ ท่านนายก แล้วทีนี้ ใครจะกล้าทำงานตามหน้าที่ ตามกฎหมาย...??? . สิ้นหวังจริงๆ ประเทศไทย ไม่มีวัวปนเลย...!!!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 521 มุมมอง 0 รีวิว
  • เซเลนสกีโจมตีปูติน ที่ใช้ข้ออ้างห้ามยูเครนเข้านาโต้ในการบุกยูเครน ว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ:

    "หากมีข้อตกลงไม่ขยายนาโต้ไปทางตะวันออก ก็ต้องเป็นการเจรจากันระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ก่อนที่ยูเครนจะประกาศเอกราช
    ประเทศบอลติก สาธารณรัฐเช็ก ฮังการี สโลวาเกีย และสโลวีเนีย ก็ไม่ควรเป็นพันธมิตรนาโต้เช่นกัน แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในกลุ่มนี้ วาทกรรมนี้ใช้ไม่ได้ผล"

    .
    ในความเป็นจริง ปูตินเตือนมาตลอด ถึงการขยายนาโต้เข้าใกล้รัสเซีย เช่น การเข้านาโต้ของโปแลนด์ หากมีการติดตั้งขีปนาวุธที่นี่ ระยะเวลายิงขีปนาวุธมามอสโก ใช้เวลาประมาณ 6 นาที ซึ่งระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซียยังมีเวลาเตรียมป้องกัน

    แต่กับยูเครน หากมีการยิงขีปนาวุธ จะใช้เวลาเพียง 2 นาที มาถึงมอสโก ซึ่งไม่เพียงสำหรับการเตรียมของรัสเซีย
    เซเลนสกีโจมตีปูติน ที่ใช้ข้ออ้างห้ามยูเครนเข้านาโต้ในการบุกยูเครน ว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ: "หากมีข้อตกลงไม่ขยายนาโต้ไปทางตะวันออก ก็ต้องเป็นการเจรจากันระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ก่อนที่ยูเครนจะประกาศเอกราช ประเทศบอลติก สาธารณรัฐเช็ก ฮังการี สโลวาเกีย และสโลวีเนีย ก็ไม่ควรเป็นพันธมิตรนาโต้เช่นกัน แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในกลุ่มนี้ วาทกรรมนี้ใช้ไม่ได้ผล" . ในความเป็นจริง ปูตินเตือนมาตลอด ถึงการขยายนาโต้เข้าใกล้รัสเซีย เช่น การเข้านาโต้ของโปแลนด์ หากมีการติดตั้งขีปนาวุธที่นี่ ระยะเวลายิงขีปนาวุธมามอสโก ใช้เวลาประมาณ 6 นาที ซึ่งระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซียยังมีเวลาเตรียมป้องกัน แต่กับยูเครน หากมีการยิงขีปนาวุธ จะใช้เวลาเพียง 2 นาที มาถึงมอสโก ซึ่งไม่เพียงสำหรับการเตรียมของรัสเซีย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌿 เข้าใจ "ตัวตน" ผ่านเส้นทางของครอบครัว 🌿


    ---

    🔹 ฐานของตัวตน → ครอบครัวแรก (พ่อแม่)

    📌 เราเริ่มต้นจากครอบครัวที่เราไม่ได้เลือก
    ✔ พ่อแม่เป็นใคร → เราเลือกไม่ได้
    ✔ เราเกิดมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน → เราเลือกไม่ได้
    ✔ ถ้าโชคดี → เราอาจชอบตัวตนที่เติบโตมา
    ✔ ถ้าโชคร้าย → เราอาจรู้สึกไม่พอใจตัวเองตั้งแต่เด็ก

    💡 "ครอบครัวแรก คือ จุดเริ่มต้นของกรรมเก่า"
    🚩 เราไม่ได้เป็นคนกำหนดเอง
    🚩 เราอาจโทษโชคชะตา หรือโทษพ่อแม่
    🚩 แต่ไม่ว่าอย่างไร "กรรมเก่า" ก็กำหนดแค่จุดเริ่มต้น


    ---

    🔹 ยอดของตัวตน → ครอบครัวที่สอง (คู่ชีวิต)

    📌 การเลือกคู่ครอง คือการสร้างกรรมใหม่
    ✔ เราเลือกเองว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับใคร
    ✔ เราตัดสินใจเองว่าจะสร้างครอบครัวแบบไหน
    ✔ เรามีสิทธิ์เลือกว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ดีหรือไม่
    ✔ ถ้าครอบครัวที่สองเป็นไปตามที่เราหวัง → เราอาจรักตัวเองมากขึ้น
    ✔ ถ้าครอบครัวที่สองผิดไปจากที่หวัง → เราอาจรู้สึกเกลียดตัวเอง

    💡 "ครอบครัวที่สอง คือ จุดเริ่มต้นของกรรมใหม่"
    🚩 ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีใครให้โทษ
    🚩 เรามีส่วนร่วม "อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง"
    🚩 ถ้าพลาด… เราต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่โทษโชคชะตา


    ---

    🔹 โอกาสแห่งความรัก = โอกาสสร้างกรรมใหม่

    📌 ในครอบครัวแรก (พ่อแม่) → คือกรรมเก่า
    👉 เราไม่ได้เลือก → เรารับมา
    👉 จะดีหรือร้าย → มันเกิดขึ้นแล้ว

    📌 ในครอบครัวที่สอง (คู่ครอง) → คือกรรมใหม่
    👉 เราเลือกได้ → จะเอาความรักแบบไหน
    👉 เราตัดสินใจเอง → จะใช้ชีวิตร่วมกับใคร
    👉 ถ้าเลือกผิด → โทษใครไม่ได้

    💡 "ก่อนเลือกคู่ครอง อย่าดูแค่ภาพวันนี้ แต่ต้องมองไปอีกหมื่นวันข้างหน้า"


    ---

    🔹 ถ้าไม่มีครอบครัวที่สอง (โสด)

    📌 การไม่มีครอบครัวที่สอง ไม่ใช่ความล้มเหลว
    ✔ บางคน "ไม่เหมาะกับชีวิตคู่" จริงๆ
    ✔ ไม่ได้แปลว่าต้องใช้ชีวิตแบบเคว้งคว้าง
    ✔ การอยู่ตัวคนเดียว อาจเป็นโอกาสให้ "เข้าใจตัวเอง"

    💡 "ชีวิตโสดที่มีคุณค่า = อยู่กับตัวเองอย่างมีเป้าหมาย"
    🚩 ไม่ใช่การใช้ชีวิตไร้จุดหมาย
    🚩 ไม่ใช่การวิ่งหนีความสัมพันธ์
    🚩 แต่เป็นโอกาสสร้าง "ตัวตนเบาบาง" ให้เป็นอิสระจากตัวตน


    ---

    🔹 ทางเลือกของเรา → สุขจากครอบครัว หรือ อิสระจากตัวตน

    📌 เราเลือกไม่ได้ว่าพ่อแม่เป็นใคร
    📌 เราเลือกได้ว่า "จะมีชีวิตคู่ หรือ อยู่โสด"
    📌 เราเลือกได้ว่า "จะใช้ชีวิตอย่างไร"

    💡 "ตัวตนของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดตั้งแต่เกิด"
    💡 "ตัวตนของเรา ถูกกำหนดจากสิ่งที่เราเลือกวันนี้"

    👉 เลือกแบบไหน = ได้แบบนั้น
    👉 เลือกสร้างกรรมใหม่ที่ดี → ตัวตนก็จะดีขึ้น
    👉 เลือกใช้ชีวิตอย่างมีสติ → ไม่ว่าอยู่กับใคร ก็มีความสุขได้

    ✨ "สุดท้าย เราเลือกได้ ว่าจะเป็นพุทธหรือเปล่า ทั้งแบบที่มีครอบครัว และแบบที่เป็นอิสระจากตัวตน" ✨

    🌿 เข้าใจ "ตัวตน" ผ่านเส้นทางของครอบครัว 🌿 --- 🔹 ฐานของตัวตน → ครอบครัวแรก (พ่อแม่) 📌 เราเริ่มต้นจากครอบครัวที่เราไม่ได้เลือก ✔ พ่อแม่เป็นใคร → เราเลือกไม่ได้ ✔ เราเกิดมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน → เราเลือกไม่ได้ ✔ ถ้าโชคดี → เราอาจชอบตัวตนที่เติบโตมา ✔ ถ้าโชคร้าย → เราอาจรู้สึกไม่พอใจตัวเองตั้งแต่เด็ก 💡 "ครอบครัวแรก คือ จุดเริ่มต้นของกรรมเก่า" 🚩 เราไม่ได้เป็นคนกำหนดเอง 🚩 เราอาจโทษโชคชะตา หรือโทษพ่อแม่ 🚩 แต่ไม่ว่าอย่างไร "กรรมเก่า" ก็กำหนดแค่จุดเริ่มต้น --- 🔹 ยอดของตัวตน → ครอบครัวที่สอง (คู่ชีวิต) 📌 การเลือกคู่ครอง คือการสร้างกรรมใหม่ ✔ เราเลือกเองว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับใคร ✔ เราตัดสินใจเองว่าจะสร้างครอบครัวแบบไหน ✔ เรามีสิทธิ์เลือกว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ดีหรือไม่ ✔ ถ้าครอบครัวที่สองเป็นไปตามที่เราหวัง → เราอาจรักตัวเองมากขึ้น ✔ ถ้าครอบครัวที่สองผิดไปจากที่หวัง → เราอาจรู้สึกเกลียดตัวเอง 💡 "ครอบครัวที่สอง คือ จุดเริ่มต้นของกรรมใหม่" 🚩 ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีใครให้โทษ 🚩 เรามีส่วนร่วม "อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง" 🚩 ถ้าพลาด… เราต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่โทษโชคชะตา --- 🔹 โอกาสแห่งความรัก = โอกาสสร้างกรรมใหม่ 📌 ในครอบครัวแรก (พ่อแม่) → คือกรรมเก่า 👉 เราไม่ได้เลือก → เรารับมา 👉 จะดีหรือร้าย → มันเกิดขึ้นแล้ว 📌 ในครอบครัวที่สอง (คู่ครอง) → คือกรรมใหม่ 👉 เราเลือกได้ → จะเอาความรักแบบไหน 👉 เราตัดสินใจเอง → จะใช้ชีวิตร่วมกับใคร 👉 ถ้าเลือกผิด → โทษใครไม่ได้ 💡 "ก่อนเลือกคู่ครอง อย่าดูแค่ภาพวันนี้ แต่ต้องมองไปอีกหมื่นวันข้างหน้า" --- 🔹 ถ้าไม่มีครอบครัวที่สอง (โสด) 📌 การไม่มีครอบครัวที่สอง ไม่ใช่ความล้มเหลว ✔ บางคน "ไม่เหมาะกับชีวิตคู่" จริงๆ ✔ ไม่ได้แปลว่าต้องใช้ชีวิตแบบเคว้งคว้าง ✔ การอยู่ตัวคนเดียว อาจเป็นโอกาสให้ "เข้าใจตัวเอง" 💡 "ชีวิตโสดที่มีคุณค่า = อยู่กับตัวเองอย่างมีเป้าหมาย" 🚩 ไม่ใช่การใช้ชีวิตไร้จุดหมาย 🚩 ไม่ใช่การวิ่งหนีความสัมพันธ์ 🚩 แต่เป็นโอกาสสร้าง "ตัวตนเบาบาง" ให้เป็นอิสระจากตัวตน --- 🔹 ทางเลือกของเรา → สุขจากครอบครัว หรือ อิสระจากตัวตน 📌 เราเลือกไม่ได้ว่าพ่อแม่เป็นใคร 📌 เราเลือกได้ว่า "จะมีชีวิตคู่ หรือ อยู่โสด" 📌 เราเลือกได้ว่า "จะใช้ชีวิตอย่างไร" 💡 "ตัวตนของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดตั้งแต่เกิด" 💡 "ตัวตนของเรา ถูกกำหนดจากสิ่งที่เราเลือกวันนี้" 👉 เลือกแบบไหน = ได้แบบนั้น 👉 เลือกสร้างกรรมใหม่ที่ดี → ตัวตนก็จะดีขึ้น 👉 เลือกใช้ชีวิตอย่างมีสติ → ไม่ว่าอยู่กับใคร ก็มีความสุขได้ ✨ "สุดท้าย เราเลือกได้ ว่าจะเป็นพุทธหรือเปล่า ทั้งแบบที่มีครอบครัว และแบบที่เป็นอิสระจากตัวตน" ✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุยกันเรื่องวังหลังของเฉียนหลงฮ่องเต้มาหลายสัปดาห์ วันนี้ยังคุยกันเรื่องนี้ แต่เปลี่ยนเป็นละครเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> เป็นเรื่องที่เพื่อนเพจท่านหนึ่งถามถึงเกี่ยวกับเรื่องราวของภาพวาดที่พูดถึงในละคร

    ท่านใดที่ได้เคยดูละครหรืออ่านนิยายเรื่องนี้จะทราบว่า เฉียนหลงฮ่องเต้ทรงพระราชทานรูปภาพทั้งหมดสิบสองภาพให้แก่เหล่าพระมเหสี โดยในเรื่องมีการเล่าถึงความหมายของบางรูปภาพและมีการตีความกันไปต่างๆ นาๆ ว่าองค์เฉียนหลงทรงหมายถึงอะไร ในเรื่องนั้นองค์เฉียนหลงทรงต้องการให้พวกนางไปใช้เวลาไปตีความหมายกันเองจะได้ไม่มีเรื่องราวมากวนพระทัย แต่แน่นอนว่าภาพวาดเหล่านี้ล้วนมีเรื่องราวของมัน คงต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าเราจะคุยจบทั้ง 12 ภาพวาด อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ

    ภาพทั้งสิบสองภาพนี้ถูกเรียกรวมว่า ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ได้รับการวาดขึ้นคู่กับบทกวีสิบสองบทที่เรียกว่า ‘กงซวิ่นซือ’ (宫训诗 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+บทกวี) ที่ทรงให้เหล่าขุนนางเป็นผู้แต่งและจัดทำเป็นป้ายสี่อักษรที่สื่อถึงบทกวีเต็ม และได้ทรงกำหนดไว้ว่า ในทุกวันที่ 26 เดือน 12 ตามปฏิทินจีน (คือห้าวันก่อนตรุษจีน ซึ่งเป็นช่วงเวลาจัดเตรียมการฉลองวันตรุษ) ทั้งสิบสองตำหนักต้องเอาภาพและป้ายอักษรดังกล่าวออกมาแขวน โดยภาพวาดให้แขวนไว้บนผนังทิศตะวันตก ส่วนป้ายอักษรให้แขวนไว้บนผนังทิศตะวันออก รอจนวันที่ 2 เดือน 2 จึงจะปลดลงได้

    ภาพแรกที่จะคุยกันวันนี้เป็นภาพที่องค์เฉียนหลงพระราชทานให้ฮองเฮา เซี่ยวเสียนฉุนหวงโฮ่วแห่งพระตำหนักฉางชุนกง มีชื่อว่าภาพวาด ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ (太姒诲子/ไท่ซึสอนบุตร)

    ‘ไท่ซึ’ คือใคร? ไท่ซึเป็นชายาเอกในองค์โจวเหวินหวาง อ๋องผู้ปกครองแคว้นโจวในสมัยปลายราชวงศ์ซางระหว่างปี 1110-1050 ก่อนคริสตกาลและเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์โจว (หมายเหตุ คือองค์โจวเหวินหวางผู้ทรงกำหนดเพิ่มสายพิณเส้นที่หกที่มีชื่อว่า เซ่ากง บนพิณโบราณกู่ฉินเพื่อเป็นการระลึกถึงโอรสที่วายชนม์ ซึ่ง Storyฯ เคยเล่าถึงตอนคุยเรื่องชื่อของสายพิณจากละครเรื่อง <ดาราจักรรักลำนำใจ> https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/569581261836837 )

    จากบันทึกโบราณและบทกวีต่างๆ ที่กล่าวถึง ว่ากันว่า ไท่ซึมีรูปโฉมและจริยวัตรงดงามและมีเมตตา เป็นผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นคู่ครองที่เหมาะสมกับโจวเหวินหวางและเป็นมารดาที่ดีแห่งแคว้น (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) นางมีบุตรชายสิบคนให้กับโจวเหวินหวาง ซึ่งเป็นที่กล่าวขานว่านางสั่งสอนบุตรอย่างเข้มงวดจนเป็นคนดีมีความกตัญญูทุกคน

    มีเรื่องราวต่อมาอีกว่า โอรสคนโตของนางและโจวเหวินหวาง นามว่า ป๋ออี้เข่า นั้น ในตำนานว่ากันว่าเป็นบุรุษรูปงาม เชี่ยวชาญด้านพิณ และขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรที่กตัญญูมาก ในสมัยนั้นโจ้วหวางผู้เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซางเพ่งเล็งและระแวงในแคว้นโจว และเพื่อเป็นการปกป้องโจวเหวินหวางและแคว้น ป๋ออี้เข่ายอมจากบ้านเกิดมาเป็นตัวประกันที่ราชสำนักซาง

    โจ้วหวางมีมเหสีที่รักมากชื่อว่าต๋าจี่ ผู้มีความงามอย่างที่หาใครเปรียบได้ยาก ตามตำนานเล่าว่า ต๋าจี่หลงรักป๋ออี้เข่าตั้งแต่แรกพบ เลยใช้ข้ออ้างขอเรียนพิณเพื่อเข้าใกล้ป๋ออี้เข่า แต่เขาไม่มีใจให้นาง นางโกรธแค้นเขามาก จึงสร้างเรื่องว่าถูกเขาลวนลาม ทำให้โจ้วหวางโกรธจนสังหารป๋ออี้เข่าทิ้ง ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเพจเริ่มคุ้นหูคุ้นตากันบ้างไหมกับชื่อ ‘ต๋าจี่’ นี้ แต่นี่คือเรื่องเล่าในตำนานสงครามเทพ <เฟิงเสิน> และต๋าจี่คือนางงามที่เป็นปีศาจจิ้งจอกจำแลงนั่นเอง

    โจ้วหวางถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นทรราชเพราะมีพฤติกรรมโหดเหี้ยมอำมหิตมากมาย ต๋าจี่กลายเป็นตำนานนางจิ้งจอก เป็นตัวแทนของหญิงงามล่มเมือง และเรื่องราวของป๋ออี้เข่าเป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดต่อครอบครัวของโจวเหวินหวางและไท่ซึ และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้โจวเหวินหวางลุกขึ้นเป็นปฏิปักษ์ต่อราชวงศ์ซางและสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจว ต่อมาบุตรชายคนรองคือโจวอู่หวางก็โค่นล้มราชวงศ์ซางได้สำเร็จ (และในเรื่องชื่อของสายพิณที่ Storyฯ เคยเล่าถึงไปแล้วนั้น โจวอู่หวางคือผู้ที่เสริมสายพิณเส้นที่เจ็ดเข้าไปในพิณโบราณกู่ฉินและตั้งชื่อสายพิณเส้นนั้นว่า เซ่าซาง เพื่อเป็นการรำลึกถึงการล้มราชวงศ์ซางได้สำเร็จ)

    ดูจะเชื่อมโยงตัวละครจากหลากหลายบทความที่ Storyฯ เคยเขียนถึง ลองย้อนกลับไปอ่านบทความเก่าๆ กันนะคะ จะได้ไม่งง

    สรุปว่า ภาพวาด ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ นี้แฝงไว้ซึ่งเรื่องราวความกตัญญูและโศกนาฏกรรมของป๋ออี้เข่า อารมณ์แฝงอาจสอดคล้องกับอารมณ์ที่โศกเศร้าของฮองเฮาเซี่ยวเสียนฉุนที่ต้องสูญเสียพระโอรสไปก่อนเวลาอันควร แต่ยังสะท้อนถึงจริยวัตรของการเป็นมารดาที่สั่งสอนบุตรอย่างดีอีกด้วย ส่วนป้ายอักษรที่มาคู่กับภาพนี้คือ ‘จิ้งซิวเน่ยเจ๋อ’ (敬休内则) มีความหมายประมาณว่า วางตนอย่างสงบและบริหารงานภายในครอบครัวให้เรียบร้อย

    จึงเป็นที่มาของการตีความโดยตัวละครต่างๆ ในเรื่องนี้ว่า ความหมายของรูปภาพนี้คืออยากให้ฮองเฮาเซี่ยวเสียนฉุนเลิกโศกเศร้าแล้วลุกขึ้นมาดูแลวังหลังในฐานะมารดาแห่งแผ่นดิน การตีความแบบนี้ถูกหรือไม่ Storyฯ ก็ไม่แน่ใจ แต่เห็นว่าเรื่องราวจากภาพนี้ก็อ่านเพลินดี เพื่อนเพจเห็นด้วยไหม

    สัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อกับภาพต่อไปค่ะ

    หมายเหตุ อัพเดทเพิ่มเติมวันที่ 22/8/2566 นะคะว่า ภาพวาดที่ Storyฯ แปะมาให้ดูนี้ เป็นผลงานในสมัยองค์คังซีของช่างวาดหลวงเจียวปิ่งเจินเกี่ยวกับไท่ซึค่ะ ภาพจริงของ ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ ซึ่งเป็น 1 ใน 12 กงซวิ่นถูนั้นสูญหายไปแล้ว หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบได้

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://autos.yahoo.com.tw/被催生氣炸-富察皇后吐單身心聲-094507428.html
    https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/太姒
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html
    http://lethe921.blogspot.com/2013/05/blog-post.html
    http://www.chinakongzi.org/baike/RENWU/xianqin/201707/t20170720_139258.htm
    https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/妲己
    https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/伯邑考
    https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/太姒

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #ภาพวาดเฉียนหลง #ไท่ซึฮุ่ยจื่อ #ไท่ซึ #โจวเหวินหวาง #โจวอู่หวาง #โจ้วหวาง #ต๋าจี่ #นางจิ้งจอก #เฟิงเสิน
    คุยกันเรื่องวังหลังของเฉียนหลงฮ่องเต้มาหลายสัปดาห์ วันนี้ยังคุยกันเรื่องนี้ แต่เปลี่ยนเป็นละครเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> เป็นเรื่องที่เพื่อนเพจท่านหนึ่งถามถึงเกี่ยวกับเรื่องราวของภาพวาดที่พูดถึงในละคร ท่านใดที่ได้เคยดูละครหรืออ่านนิยายเรื่องนี้จะทราบว่า เฉียนหลงฮ่องเต้ทรงพระราชทานรูปภาพทั้งหมดสิบสองภาพให้แก่เหล่าพระมเหสี โดยในเรื่องมีการเล่าถึงความหมายของบางรูปภาพและมีการตีความกันไปต่างๆ นาๆ ว่าองค์เฉียนหลงทรงหมายถึงอะไร ในเรื่องนั้นองค์เฉียนหลงทรงต้องการให้พวกนางไปใช้เวลาไปตีความหมายกันเองจะได้ไม่มีเรื่องราวมากวนพระทัย แต่แน่นอนว่าภาพวาดเหล่านี้ล้วนมีเรื่องราวของมัน คงต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าเราจะคุยจบทั้ง 12 ภาพวาด อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ ภาพทั้งสิบสองภาพนี้ถูกเรียกรวมว่า ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ได้รับการวาดขึ้นคู่กับบทกวีสิบสองบทที่เรียกว่า ‘กงซวิ่นซือ’ (宫训诗 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+บทกวี) ที่ทรงให้เหล่าขุนนางเป็นผู้แต่งและจัดทำเป็นป้ายสี่อักษรที่สื่อถึงบทกวีเต็ม และได้ทรงกำหนดไว้ว่า ในทุกวันที่ 26 เดือน 12 ตามปฏิทินจีน (คือห้าวันก่อนตรุษจีน ซึ่งเป็นช่วงเวลาจัดเตรียมการฉลองวันตรุษ) ทั้งสิบสองตำหนักต้องเอาภาพและป้ายอักษรดังกล่าวออกมาแขวน โดยภาพวาดให้แขวนไว้บนผนังทิศตะวันตก ส่วนป้ายอักษรให้แขวนไว้บนผนังทิศตะวันออก รอจนวันที่ 2 เดือน 2 จึงจะปลดลงได้ ภาพแรกที่จะคุยกันวันนี้เป็นภาพที่องค์เฉียนหลงพระราชทานให้ฮองเฮา เซี่ยวเสียนฉุนหวงโฮ่วแห่งพระตำหนักฉางชุนกง มีชื่อว่าภาพวาด ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ (太姒诲子/ไท่ซึสอนบุตร) ‘ไท่ซึ’ คือใคร? ไท่ซึเป็นชายาเอกในองค์โจวเหวินหวาง อ๋องผู้ปกครองแคว้นโจวในสมัยปลายราชวงศ์ซางระหว่างปี 1110-1050 ก่อนคริสตกาลและเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์โจว (หมายเหตุ คือองค์โจวเหวินหวางผู้ทรงกำหนดเพิ่มสายพิณเส้นที่หกที่มีชื่อว่า เซ่ากง บนพิณโบราณกู่ฉินเพื่อเป็นการระลึกถึงโอรสที่วายชนม์ ซึ่ง Storyฯ เคยเล่าถึงตอนคุยเรื่องชื่อของสายพิณจากละครเรื่อง <ดาราจักรรักลำนำใจ> https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/569581261836837 ) จากบันทึกโบราณและบทกวีต่างๆ ที่กล่าวถึง ว่ากันว่า ไท่ซึมีรูปโฉมและจริยวัตรงดงามและมีเมตตา เป็นผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นคู่ครองที่เหมาะสมกับโจวเหวินหวางและเป็นมารดาที่ดีแห่งแคว้น (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) นางมีบุตรชายสิบคนให้กับโจวเหวินหวาง ซึ่งเป็นที่กล่าวขานว่านางสั่งสอนบุตรอย่างเข้มงวดจนเป็นคนดีมีความกตัญญูทุกคน มีเรื่องราวต่อมาอีกว่า โอรสคนโตของนางและโจวเหวินหวาง นามว่า ป๋ออี้เข่า นั้น ในตำนานว่ากันว่าเป็นบุรุษรูปงาม เชี่ยวชาญด้านพิณ และขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรที่กตัญญูมาก ในสมัยนั้นโจ้วหวางผู้เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซางเพ่งเล็งและระแวงในแคว้นโจว และเพื่อเป็นการปกป้องโจวเหวินหวางและแคว้น ป๋ออี้เข่ายอมจากบ้านเกิดมาเป็นตัวประกันที่ราชสำนักซาง โจ้วหวางมีมเหสีที่รักมากชื่อว่าต๋าจี่ ผู้มีความงามอย่างที่หาใครเปรียบได้ยาก ตามตำนานเล่าว่า ต๋าจี่หลงรักป๋ออี้เข่าตั้งแต่แรกพบ เลยใช้ข้ออ้างขอเรียนพิณเพื่อเข้าใกล้ป๋ออี้เข่า แต่เขาไม่มีใจให้นาง นางโกรธแค้นเขามาก จึงสร้างเรื่องว่าถูกเขาลวนลาม ทำให้โจ้วหวางโกรธจนสังหารป๋ออี้เข่าทิ้ง ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเพจเริ่มคุ้นหูคุ้นตากันบ้างไหมกับชื่อ ‘ต๋าจี่’ นี้ แต่นี่คือเรื่องเล่าในตำนานสงครามเทพ <เฟิงเสิน> และต๋าจี่คือนางงามที่เป็นปีศาจจิ้งจอกจำแลงนั่นเอง โจ้วหวางถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นทรราชเพราะมีพฤติกรรมโหดเหี้ยมอำมหิตมากมาย ต๋าจี่กลายเป็นตำนานนางจิ้งจอก เป็นตัวแทนของหญิงงามล่มเมือง และเรื่องราวของป๋ออี้เข่าเป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดต่อครอบครัวของโจวเหวินหวางและไท่ซึ และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้โจวเหวินหวางลุกขึ้นเป็นปฏิปักษ์ต่อราชวงศ์ซางและสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจว ต่อมาบุตรชายคนรองคือโจวอู่หวางก็โค่นล้มราชวงศ์ซางได้สำเร็จ (และในเรื่องชื่อของสายพิณที่ Storyฯ เคยเล่าถึงไปแล้วนั้น โจวอู่หวางคือผู้ที่เสริมสายพิณเส้นที่เจ็ดเข้าไปในพิณโบราณกู่ฉินและตั้งชื่อสายพิณเส้นนั้นว่า เซ่าซาง เพื่อเป็นการรำลึกถึงการล้มราชวงศ์ซางได้สำเร็จ) ดูจะเชื่อมโยงตัวละครจากหลากหลายบทความที่ Storyฯ เคยเขียนถึง ลองย้อนกลับไปอ่านบทความเก่าๆ กันนะคะ จะได้ไม่งง สรุปว่า ภาพวาด ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ นี้แฝงไว้ซึ่งเรื่องราวความกตัญญูและโศกนาฏกรรมของป๋ออี้เข่า อารมณ์แฝงอาจสอดคล้องกับอารมณ์ที่โศกเศร้าของฮองเฮาเซี่ยวเสียนฉุนที่ต้องสูญเสียพระโอรสไปก่อนเวลาอันควร แต่ยังสะท้อนถึงจริยวัตรของการเป็นมารดาที่สั่งสอนบุตรอย่างดีอีกด้วย ส่วนป้ายอักษรที่มาคู่กับภาพนี้คือ ‘จิ้งซิวเน่ยเจ๋อ’ (敬休内则) มีความหมายประมาณว่า วางตนอย่างสงบและบริหารงานภายในครอบครัวให้เรียบร้อย จึงเป็นที่มาของการตีความโดยตัวละครต่างๆ ในเรื่องนี้ว่า ความหมายของรูปภาพนี้คืออยากให้ฮองเฮาเซี่ยวเสียนฉุนเลิกโศกเศร้าแล้วลุกขึ้นมาดูแลวังหลังในฐานะมารดาแห่งแผ่นดิน การตีความแบบนี้ถูกหรือไม่ Storyฯ ก็ไม่แน่ใจ แต่เห็นว่าเรื่องราวจากภาพนี้ก็อ่านเพลินดี เพื่อนเพจเห็นด้วยไหม สัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อกับภาพต่อไปค่ะ หมายเหตุ อัพเดทเพิ่มเติมวันที่ 22/8/2566 นะคะว่า ภาพวาดที่ Storyฯ แปะมาให้ดูนี้ เป็นผลงานในสมัยองค์คังซีของช่างวาดหลวงเจียวปิ่งเจินเกี่ยวกับไท่ซึค่ะ ภาพจริงของ ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ ซึ่งเป็น 1 ใน 12 กงซวิ่นถูนั้นสูญหายไปแล้ว หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบได้ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://autos.yahoo.com.tw/被催生氣炸-富察皇后吐單身心聲-094507428.html https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/太姒 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html http://lethe921.blogspot.com/2013/05/blog-post.html http://www.chinakongzi.org/baike/RENWU/xianqin/201707/t20170720_139258.htm https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/妲己 https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/伯邑考 https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/太姒 #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #ภาพวาดเฉียนหลง #ไท่ซึฮุ่ยจื่อ #ไท่ซึ #โจวเหวินหวาง #โจวอู่หวาง #โจ้วหวาง #ต๋าจี่ #นางจิ้งจอก #เฟิงเสิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1078 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สถานีตำรวจภูธรแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่” เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อหลังพบ “ผู้กองปอยเปต” โผล่อีกหนึ่งราย อ้างเป็น ตร.สภ.แม่โจ้ หลอกโอนเงิน-ล้วงข้อมูลส่วนตัวเหยื่อ

    วันนี้ (17 ก.พ.) เพจ “สถานีตำรวจภูธรแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่” โพสต์เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อหลังพบ “ผู้กองปอยเปต” โผล่อีกหนึ่งราย โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่โจ้ หลอกโอนเงิน-ล้วงข้อมูลส่วนตัวเหยื่อ

    ทางเพจระบุข้อความว่า “ขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังมิจฉาชีพที่ใช้วิธีโทรศัพท์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่โจ้ เพื่อหลอกลวงให้โอนเงินหรือให้ข้อมูลส่วนตัว โดยมักใช้ข้ออ้าง เช่น

    1. แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐ - โทรศัพท์มาหลอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานใหญ่ของบริษัทโทรคมนาคม (ทรู) หรือหน่วยงานรัฐ

    2. อ้างว่ามีข้อมูลรั่วไหล - หลอกว่าข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อถูกนำไปใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การเชื่อมต่อกล่องมือถือเพื่อรับสัญญาณจากต่างประเทศ หรือโทร.หลอกลวงผู้อื่น

    3. ใช้ศัพท์เทคนิคเพื่อทำให้ดูน่าเชื่อถือ - พูดถึงเรื่อง “อาชญากรรมทางเทคโนโลยี” และ “การดัดแปลงสัญญาณ” เพื่อให้เหยื่อตกใจและสับสน

    4. ขอให้เหยื่อติดต่อกลับด่วน - อ้างว่าต้องแจ้งกลับด่วนภายในเวลาที่กำหนด เพื่อสร้างความกดดันให้เหยื่อรีบตัดสินใจ

    5. ให้เบอร์โทร./แฟกซ์ปลอม - มักให้เบอร์ที่ดูเหมือนเป็นหน่วยงานจริงเพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อ

    6. อาจนำไปสู่การหลอกให้โอนเงิน - หากเหยื่อติดต่อกลับ อาจถูกหลอกให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบหรือปลดล็อกปัญหาที่ถูกกล่าวหา

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000015684

    #MGROnline
    “สถานีตำรวจภูธรแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่” เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อหลังพบ “ผู้กองปอยเปต” โผล่อีกหนึ่งราย อ้างเป็น ตร.สภ.แม่โจ้ หลอกโอนเงิน-ล้วงข้อมูลส่วนตัวเหยื่อ • วันนี้ (17 ก.พ.) เพจ “สถานีตำรวจภูธรแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่” โพสต์เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อหลังพบ “ผู้กองปอยเปต” โผล่อีกหนึ่งราย โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่โจ้ หลอกโอนเงิน-ล้วงข้อมูลส่วนตัวเหยื่อ • ทางเพจระบุข้อความว่า “ขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังมิจฉาชีพที่ใช้วิธีโทรศัพท์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่โจ้ เพื่อหลอกลวงให้โอนเงินหรือให้ข้อมูลส่วนตัว โดยมักใช้ข้ออ้าง เช่น • 1. แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐ - โทรศัพท์มาหลอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานใหญ่ของบริษัทโทรคมนาคม (ทรู) หรือหน่วยงานรัฐ • 2. อ้างว่ามีข้อมูลรั่วไหล - หลอกว่าข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อถูกนำไปใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การเชื่อมต่อกล่องมือถือเพื่อรับสัญญาณจากต่างประเทศ หรือโทร.หลอกลวงผู้อื่น • 3. ใช้ศัพท์เทคนิคเพื่อทำให้ดูน่าเชื่อถือ - พูดถึงเรื่อง “อาชญากรรมทางเทคโนโลยี” และ “การดัดแปลงสัญญาณ” เพื่อให้เหยื่อตกใจและสับสน • 4. ขอให้เหยื่อติดต่อกลับด่วน - อ้างว่าต้องแจ้งกลับด่วนภายในเวลาที่กำหนด เพื่อสร้างความกดดันให้เหยื่อรีบตัดสินใจ • 5. ให้เบอร์โทร./แฟกซ์ปลอม - มักให้เบอร์ที่ดูเหมือนเป็นหน่วยงานจริงเพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อ • 6. อาจนำไปสู่การหลอกให้โอนเงิน - หากเหยื่อติดต่อกลับ อาจถูกหลอกให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบหรือปลดล็อกปัญหาที่ถูกกล่าวหา • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000015684 • #MGROnline
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 461 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์อยากให้รัสเซียกลับมาเข้าร่วมกลุ่ม G7 อีกครั้ง

    "ผมอยากให้พวกเขากลับมา ผมคิดว่าการไล่พวกเขาออกไปเป็นความผิดพลาด"
    "มันไม่ใช่คำถามว่าชอบหรือไม่ชอบรัสเซีย แต่มันคือ G8"
    "พวกเขาควรนั่งร่วมโต๊ะกัน ผมคิดว่าปูตินคงอยากกลับมา" ทรัมป์กล่าว
    .
    ข้อมูลเพิ่มเติม:
    - ทรัมป์พยายามดึงรัสเซียเข้าร่วมกลุ่ม G8 อีกครั้งตั้งแต่สมัยแรกของเขา

    - กลุ่ม G7 คือ กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2518 โดยมีสมาชิก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น และแคนาดา แต่ในฉากหลัง เป็นความพยายามรวมกลุ่มของมหาอำนาจด้านประชาธิปไตยของโลกตะวันตก เพื่อมีอำนาจต่อเศรษฐกิจโลก

    - รัสเซียเข้าร่วมกลุ่ม G7 อย่างเป็นทางการในปี 1998 ส่งผลให้เกิดเป็นกลุ่มประเทศ G8 การที่กลุ่ม G7 เชิญรัสเซียเข้าร่วม เป็นการตัดสินใจจากเหตุผลทางการเมือง เนื่องจากในขณะนั้นรัสเซียยังไม่ใช่ประเทศมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ แต่เพื่อดึงรัสเซียให้เข้าสู่ระเบียบโลกตามแบบตะวันตก เนื่องจากขณะนั้นรัสเซียแสดงท่าทีสนับสนุนสหรัฐอเมริกาและโลกตะวันตกอย่างมาก ต่อมาการเป็นสมาชิกของรัสเซียถูกเมิน เพราะรัสเซียเริ่มต่อต้านระเบียบโลกตะวันตกรุนแรงขึ้น จนในที่สุดก็ถูกขับออกจาก G7 ในปี 2014 จากเหตุการณ์ผนวกดินแดนไครเมียของยูเครนในปี 2557 (2014) ส่งผลให้เหลือเพียง G7 ในปัจจุบัน

    - จีนไม่เคยได้รับการพิจารณาให้เป็นส่วนหนึ่งของ G7 เพราะจีนต่อต้านโดยตรงกับระเบียบโลกตามแนวคิดพื้นฐานของสหรัฐอเมริกาและตะวันตก ซึ่งในส่วนลึกแล้วเป็นเหตุผลเดียวกับที่รัสเซียถูกขับออก เหตุการณ์ไครเมียเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อความชอบธรรม
    ทรัมป์อยากให้รัสเซียกลับมาเข้าร่วมกลุ่ม G7 อีกครั้ง "ผมอยากให้พวกเขากลับมา ผมคิดว่าการไล่พวกเขาออกไปเป็นความผิดพลาด" "มันไม่ใช่คำถามว่าชอบหรือไม่ชอบรัสเซีย แต่มันคือ G8" "พวกเขาควรนั่งร่วมโต๊ะกัน ผมคิดว่าปูตินคงอยากกลับมา" ทรัมป์กล่าว . ข้อมูลเพิ่มเติม: - ทรัมป์พยายามดึงรัสเซียเข้าร่วมกลุ่ม G8 อีกครั้งตั้งแต่สมัยแรกของเขา - กลุ่ม G7 คือ กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2518 โดยมีสมาชิก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น และแคนาดา แต่ในฉากหลัง เป็นความพยายามรวมกลุ่มของมหาอำนาจด้านประชาธิปไตยของโลกตะวันตก เพื่อมีอำนาจต่อเศรษฐกิจโลก - รัสเซียเข้าร่วมกลุ่ม G7 อย่างเป็นทางการในปี 1998 ส่งผลให้เกิดเป็นกลุ่มประเทศ G8 การที่กลุ่ม G7 เชิญรัสเซียเข้าร่วม เป็นการตัดสินใจจากเหตุผลทางการเมือง เนื่องจากในขณะนั้นรัสเซียยังไม่ใช่ประเทศมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ แต่เพื่อดึงรัสเซียให้เข้าสู่ระเบียบโลกตามแบบตะวันตก เนื่องจากขณะนั้นรัสเซียแสดงท่าทีสนับสนุนสหรัฐอเมริกาและโลกตะวันตกอย่างมาก ต่อมาการเป็นสมาชิกของรัสเซียถูกเมิน เพราะรัสเซียเริ่มต่อต้านระเบียบโลกตะวันตกรุนแรงขึ้น จนในที่สุดก็ถูกขับออกจาก G7 ในปี 2014 จากเหตุการณ์ผนวกดินแดนไครเมียของยูเครนในปี 2557 (2014) ส่งผลให้เหลือเพียง G7 ในปัจจุบัน - จีนไม่เคยได้รับการพิจารณาให้เป็นส่วนหนึ่งของ G7 เพราะจีนต่อต้านโดยตรงกับระเบียบโลกตามแนวคิดพื้นฐานของสหรัฐอเมริกาและตะวันตก ซึ่งในส่วนลึกแล้วเป็นเหตุผลเดียวกับที่รัสเซียถูกขับออก เหตุการณ์ไครเมียเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อความชอบธรรม
    Like
    Yay
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 456 มุมมอง 0 รีวิว
  • 122 ปี ปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา-เมืองหลวงพระบาง: ฝ่าอิทธิพลจักรวรรดินิยม รักษาเอกราช ทวงคืนอธิปไตยจันทบุรี

    📅 ย้อนกลับไปเมื่อ 122 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 (ค.ศ. 1903) ถือเป็นหมุดหมายสำคัญ ในประวัติศาสตร์ไทย 🇹🇭 เมื่อไทยและฝรั่งเศส 🇫🇷 ลงนามในสัญญาปักปันเขตแดน ระหว่างไทย-กัมพูชา และเมืองหลวงพระบาง ซึ่งเป็นดินแดน ที่อยู่ภายใต้การปกครอง ของฝรั่งเศสในขณะนั้น

    ภายใต้ข้อตกลงนี้ ไทยต้องยกดินแดน ฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ที่อยู่ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง ให้แก่ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับการถอนทหารฝรั่งเศส ออกจากจังหวัดจันทบุรี ซึ่งถูกยึดครองมา ตั้งแต่เหตุการณ์ วิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 หรือสงครามฝรั่งเศส-สยาม (พ.ศ. 2436)

    อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของแรงกดดัน จากจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส ไทยต้องเผชิญกับ การบีบบังคับทางการเมืองเพิ่มเติม จนต้องยอมเสียเมืองตราด และหมู่เกาะใกล้เคียง เพื่อแลกกับการได้จันทบุรีคืน 📌

    🌍 กระแสล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส ในอินโดจีน 🔹
    ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิฝรั่งเศส ได้ขยายอิทธิพลอย่างรวดเร็ว ในภูมิภาคอินโดจีน โดยสามารถยึดครองเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ได้สำเร็จ ทำให้ไทยกลายเป็นรัฐกันชน ที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากฝรั่งเศส ทางด้านตะวันออก

    💡 ฝรั่งเศสต้องการควบคุมดินแดน แถบลุ่มแม่น้ำโขงทั้งหมด เพื่อสร้างเส้นทางการค้าจากจีน ลงมาสู่อินโดจีนของตน ในขณะที่ไทย ต้องพยายามรักษาเอกราช และดินแดนของตนไว้

    🇹🇭 ไทยภายใต้รัชกาลที่ 5 พยายามรักษาเอกราช
    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงตระหนักถึงภัยคุกคาม จากจักรวรรดินิยม และพยายามใช้นโยบายการทูตเชิงรุก เพื่อรักษาความเป็นอิสระของไทย ทรงดำเนินแผนการ ปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย เพื่อลดข้ออ้างของมหาอำนาจตะวันตก ในการเข้ามาแทรกแซง

    อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสใช้ข้ออ้างเรื่องอธิปไตย เหนือดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง เป็นเหตุผลในการเรียกร้องดินแดนเพิ่มเติมจากไทย

    🔹 วิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 จุดเริ่มต้นของการเสียเปรียบทางดินแดน
    📍 วิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) เป็นเหตุการณ์ที่ฝรั่งเศส ใช้กำลังทหารเรือ บุกรุกปากแม่น้ำเจ้าพระยา และปะทะกับทหารไทย จนเป็นเหตุให้รัฐบาลไทย ต้องยอมลงนามในสนธิสัญญา ที่เสียเปรียบ

    📜 ข้อกำหนดสำคัญของสนธิสัญญา ร.ศ. 112
    ✔ ไทยต้องยกดินแดน ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทั้งหมด รวมถึงลาว ให้แก่ฝรั่งเศส
    ✔ ฝรั่งเศสเข้ายึดจังหวัดจันทบุรี เป็นหลักประกันบังคับให้ไทย ปฏิบัติตามสัญญา
    ✔ ไทยต้องชดใช้ค่าเสียหายจำนวนมหาศาล ให้ฝรั่งเศส

    🛑 นี่เป็นครั้งแรกที่ไทย ต้องเสียดินแดนจำนวนมาก ให้แก่จักรวรรดินิยมฝรั่งเศส และทำให้สถานการณ์ของไทยในภูมิภาคนี้ ล่อแหลมยิ่งขึ้น

    🔹 สนธิสัญญา พ.ศ. 2446 การทวงคืนจันทบุรี แต่ต้องแลกด้วยดินแดนเพิ่ม
    หลังจากไทย ถูกฝรั่งเศสยึดครองจันทบุรี ไว้นานถึง 10 ปี รัฐบาลไทยพยายามเจรจา ขอคืนจันทบุรี แต่ต้องแลกด้วย การยอมมอบดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง ที่ตรงข้ามกับเมืองหลวงพระบาง ให้แก่ฝรั่งเศส

    📌 สนธิสัญญานี้ ลงนามเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 ทำให้ไทยได้รับจันทบุรีคืน แต่ฝรั่งเศสกลับยื่นเงื่อนไข ให้ไทยต้องยกเมืองตราด และหมู่เกาะอื่นๆ แทน

    🌏 ผลลัพธ์ของสนธิสัญญานี้
    ✅ ไทยได้จันทบุรีคืนจากฝรั่งเศส
    ❌ ไทยเสียเมืองตราด และหมู่เกาะให้ฝรั่งเศส
    ✅ ไทยยังสามารถรักษาเอกราชไว้ได้ แต่ต้องจำยอมต่ออำนาจ ของมหาอำนาจตะวันตก

    🔹 ไทยทวงคืนเมืองตราดสำเร็จในปี พ.ศ. 2450
    4 ปี ต่อมา ในปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) ไทยสามารถทวงคืนเมืองตราด กลับมาได้สำเร็จ โดยแลกกับดินแดนพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ที่อยู่ทางฝั่งกัมพูชา ให้ฝรั่งเศสแทน

    นี่เป็นอีกหนึ่งครั้ง ที่ไทยต้องเสียสละดินแดน เพื่อให้สามารถปกป้อง เอกราชของตนเองเอาไว้

    🧐 จากเหตุการณ์ ปักปันเขตแดนในปี พ.ศ. 2446 ไทยได้เรียนรู้ว่า
    ✔ อำนาจทางการทูต มีความสำคัญอย่างยิ่ง ไทยสามารถใช้การเจรจา เพื่อลดความเสียหายได้ แม้ว่าจะต้องยอมเสียดินแดนบางส่วน
    ✔ จักรวรรดินิยมฝรั่งเศส ไม่เคยหยุดกดดันไทย ต้องอาศัยนโยบายเชิงรุก เพื่อรักษาเอกราช
    ✔ ไทยต้องพัฒนาประเทศให้ทันสมัย เพื่อป้องกันการถูกรุกรานในอนาคต

    🎯 แม้ว่าไทยจะต้องยอม สูญเสียดินแดนบางส่วน แต่ก็สามารถรักษา ความเป็นเอกราชเอาไว้ได้ ซึ่งแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่ตกเป็นอาณานิคม ของจักรวรรดินิยมในช่วงเวลานั้น

    🔹 122 ปี แห่งความเปลี่ยนแปลงทางดินแดน และอธิปไตยของไทย
    🌏 ผ่านไป 122 ปี นับตั้งแต่สนธิสัญญา ปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา-เมืองหลวงพระบาง เหตุการณ์นี้ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญ ทางประวัติศาสตร์ของไทย 🇹🇭

    📌 ถึงแม้ไทยจะเสียดินแดนไปบางส่วน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไทยยังคงรักษาเอกราชไว้ได้ ไม่ต้องตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก เหมือนประเทศเพื่อนบ้าน 💬

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131208 ก.พ. 2568

    #ประวัติศาสตร์ไทย #ไทยฝรั่งเศส #อธิปไตย #วิกฤติการณ์รศ112 #เอกราชไทย
    122 ปี ปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา-เมืองหลวงพระบาง: ฝ่าอิทธิพลจักรวรรดินิยม รักษาเอกราช ทวงคืนอธิปไตยจันทบุรี 📅 ย้อนกลับไปเมื่อ 122 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 (ค.ศ. 1903) ถือเป็นหมุดหมายสำคัญ ในประวัติศาสตร์ไทย 🇹🇭 เมื่อไทยและฝรั่งเศส 🇫🇷 ลงนามในสัญญาปักปันเขตแดน ระหว่างไทย-กัมพูชา และเมืองหลวงพระบาง ซึ่งเป็นดินแดน ที่อยู่ภายใต้การปกครอง ของฝรั่งเศสในขณะนั้น ภายใต้ข้อตกลงนี้ ไทยต้องยกดินแดน ฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ที่อยู่ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง ให้แก่ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับการถอนทหารฝรั่งเศส ออกจากจังหวัดจันทบุรี ซึ่งถูกยึดครองมา ตั้งแต่เหตุการณ์ วิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 หรือสงครามฝรั่งเศส-สยาม (พ.ศ. 2436) อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของแรงกดดัน จากจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส ไทยต้องเผชิญกับ การบีบบังคับทางการเมืองเพิ่มเติม จนต้องยอมเสียเมืองตราด และหมู่เกาะใกล้เคียง เพื่อแลกกับการได้จันทบุรีคืน 📌 🌍 กระแสล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส ในอินโดจีน 🔹 ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิฝรั่งเศส ได้ขยายอิทธิพลอย่างรวดเร็ว ในภูมิภาคอินโดจีน โดยสามารถยึดครองเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ได้สำเร็จ ทำให้ไทยกลายเป็นรัฐกันชน ที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากฝรั่งเศส ทางด้านตะวันออก 💡 ฝรั่งเศสต้องการควบคุมดินแดน แถบลุ่มแม่น้ำโขงทั้งหมด เพื่อสร้างเส้นทางการค้าจากจีน ลงมาสู่อินโดจีนของตน ในขณะที่ไทย ต้องพยายามรักษาเอกราช และดินแดนของตนไว้ 🇹🇭 ไทยภายใต้รัชกาลที่ 5 พยายามรักษาเอกราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงตระหนักถึงภัยคุกคาม จากจักรวรรดินิยม และพยายามใช้นโยบายการทูตเชิงรุก เพื่อรักษาความเป็นอิสระของไทย ทรงดำเนินแผนการ ปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย เพื่อลดข้ออ้างของมหาอำนาจตะวันตก ในการเข้ามาแทรกแซง อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสใช้ข้ออ้างเรื่องอธิปไตย เหนือดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง เป็นเหตุผลในการเรียกร้องดินแดนเพิ่มเติมจากไทย 🔹 วิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 จุดเริ่มต้นของการเสียเปรียบทางดินแดน 📍 วิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) เป็นเหตุการณ์ที่ฝรั่งเศส ใช้กำลังทหารเรือ บุกรุกปากแม่น้ำเจ้าพระยา และปะทะกับทหารไทย จนเป็นเหตุให้รัฐบาลไทย ต้องยอมลงนามในสนธิสัญญา ที่เสียเปรียบ 📜 ข้อกำหนดสำคัญของสนธิสัญญา ร.ศ. 112 ✔ ไทยต้องยกดินแดน ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทั้งหมด รวมถึงลาว ให้แก่ฝรั่งเศส ✔ ฝรั่งเศสเข้ายึดจังหวัดจันทบุรี เป็นหลักประกันบังคับให้ไทย ปฏิบัติตามสัญญา ✔ ไทยต้องชดใช้ค่าเสียหายจำนวนมหาศาล ให้ฝรั่งเศส 🛑 นี่เป็นครั้งแรกที่ไทย ต้องเสียดินแดนจำนวนมาก ให้แก่จักรวรรดินิยมฝรั่งเศส และทำให้สถานการณ์ของไทยในภูมิภาคนี้ ล่อแหลมยิ่งขึ้น 🔹 สนธิสัญญา พ.ศ. 2446 การทวงคืนจันทบุรี แต่ต้องแลกด้วยดินแดนเพิ่ม หลังจากไทย ถูกฝรั่งเศสยึดครองจันทบุรี ไว้นานถึง 10 ปี รัฐบาลไทยพยายามเจรจา ขอคืนจันทบุรี แต่ต้องแลกด้วย การยอมมอบดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง ที่ตรงข้ามกับเมืองหลวงพระบาง ให้แก่ฝรั่งเศส 📌 สนธิสัญญานี้ ลงนามเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 ทำให้ไทยได้รับจันทบุรีคืน แต่ฝรั่งเศสกลับยื่นเงื่อนไข ให้ไทยต้องยกเมืองตราด และหมู่เกาะอื่นๆ แทน 🌏 ผลลัพธ์ของสนธิสัญญานี้ ✅ ไทยได้จันทบุรีคืนจากฝรั่งเศส ❌ ไทยเสียเมืองตราด และหมู่เกาะให้ฝรั่งเศส ✅ ไทยยังสามารถรักษาเอกราชไว้ได้ แต่ต้องจำยอมต่ออำนาจ ของมหาอำนาจตะวันตก 🔹 ไทยทวงคืนเมืองตราดสำเร็จในปี พ.ศ. 2450 4 ปี ต่อมา ในปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) ไทยสามารถทวงคืนเมืองตราด กลับมาได้สำเร็จ โดยแลกกับดินแดนพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ที่อยู่ทางฝั่งกัมพูชา ให้ฝรั่งเศสแทน นี่เป็นอีกหนึ่งครั้ง ที่ไทยต้องเสียสละดินแดน เพื่อให้สามารถปกป้อง เอกราชของตนเองเอาไว้ 🧐 จากเหตุการณ์ ปักปันเขตแดนในปี พ.ศ. 2446 ไทยได้เรียนรู้ว่า ✔ อำนาจทางการทูต มีความสำคัญอย่างยิ่ง ไทยสามารถใช้การเจรจา เพื่อลดความเสียหายได้ แม้ว่าจะต้องยอมเสียดินแดนบางส่วน ✔ จักรวรรดินิยมฝรั่งเศส ไม่เคยหยุดกดดันไทย ต้องอาศัยนโยบายเชิงรุก เพื่อรักษาเอกราช ✔ ไทยต้องพัฒนาประเทศให้ทันสมัย เพื่อป้องกันการถูกรุกรานในอนาคต 🎯 แม้ว่าไทยจะต้องยอม สูญเสียดินแดนบางส่วน แต่ก็สามารถรักษา ความเป็นเอกราชเอาไว้ได้ ซึ่งแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่ตกเป็นอาณานิคม ของจักรวรรดินิยมในช่วงเวลานั้น 🔹 122 ปี แห่งความเปลี่ยนแปลงทางดินแดน และอธิปไตยของไทย 🌏 ผ่านไป 122 ปี นับตั้งแต่สนธิสัญญา ปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา-เมืองหลวงพระบาง เหตุการณ์นี้ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญ ทางประวัติศาสตร์ของไทย 🇹🇭 📌 ถึงแม้ไทยจะเสียดินแดนไปบางส่วน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไทยยังคงรักษาเอกราชไว้ได้ ไม่ต้องตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก เหมือนประเทศเพื่อนบ้าน 💬 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131208 ก.พ. 2568 #ประวัติศาสตร์ไทย #ไทยฝรั่งเศส #อธิปไตย #วิกฤติการณ์รศ112 #เอกราชไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 622 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อไม่นานมานี้ มีคำตัดสินที่สำคัญในวงการเทคโนโลยีและกฎหมายที่มีผลกระทบใหญ่ในอนาคต คำตัดสินนี้เป็นกรณีแรกที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดลิขสิทธิ์ในสหรัฐอเมริกา โดยศาลรัฐบาลกลางในเดลาแวร์ได้ตัดสินให้ Thomson Reuters ชนะคดีที่ฟ้องร้อง Ross Intelligence ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ที่ถูกกล่าวหาว่าใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลการวิจัยกฎหมายของ Thomson Reuters ชื่อว่า Westlaw เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม AI ด้านกฎหมายที่เป็นคู่แข่งกัน

    ศาลปฏิเสธข้ออ้างการใช้งานที่เป็นธรรม (fair use) ของ Ross Intelligence ซึ่งเป็นข้ออ้างสำคัญที่บริษัท AI มักใช้ในการโต้เถียงเรื่องลิขสิทธิ์ โดยผู้พิพากษา Stephanos Bibas กล่าวในคำตัดสินว่า "ไม่มีข้อแก้ต่างใดๆ ของ Ross ที่สมเหตุสมผล ผมปฏิเสธทั้งหมด"

    คดีนี้เน้นไปที่ AI ที่ไม่ได้สร้างเนื้อหาใหม่จากข้อมูลเดิม เช่น โมเดลภาษาใหญ่ (large language models) แต่ใช้ข้อมูลโดยตรงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นคู่แข่ง คำตัดสินนี้อาจมีผลกระทบที่สำคัญต่ออุตสาหกรรม AI และอาจทำให้การโต้เถียงเรื่องการใช้งานที่เป็นธรรมยากขึ้นสำหรับบริษัทที่กำลังพัฒนาระบบ AI อื่นๆ เช่น OpenAI, Microsoft และ Meta Platforms

    การตัดสินนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาลิขสิทธิ์ในยุคที่ AI มีบทบาทมากขึ้น และทำให้เราเห็นว่าศาลยังคงเคร่งครัดในการบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์

    https://www.techspot.com/news/106738-federal-judge-rules-against-ai-company-major-copyright.html
    เมื่อไม่นานมานี้ มีคำตัดสินที่สำคัญในวงการเทคโนโลยีและกฎหมายที่มีผลกระทบใหญ่ในอนาคต คำตัดสินนี้เป็นกรณีแรกที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดลิขสิทธิ์ในสหรัฐอเมริกา โดยศาลรัฐบาลกลางในเดลาแวร์ได้ตัดสินให้ Thomson Reuters ชนะคดีที่ฟ้องร้อง Ross Intelligence ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ที่ถูกกล่าวหาว่าใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลการวิจัยกฎหมายของ Thomson Reuters ชื่อว่า Westlaw เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม AI ด้านกฎหมายที่เป็นคู่แข่งกัน ศาลปฏิเสธข้ออ้างการใช้งานที่เป็นธรรม (fair use) ของ Ross Intelligence ซึ่งเป็นข้ออ้างสำคัญที่บริษัท AI มักใช้ในการโต้เถียงเรื่องลิขสิทธิ์ โดยผู้พิพากษา Stephanos Bibas กล่าวในคำตัดสินว่า "ไม่มีข้อแก้ต่างใดๆ ของ Ross ที่สมเหตุสมผล ผมปฏิเสธทั้งหมด" คดีนี้เน้นไปที่ AI ที่ไม่ได้สร้างเนื้อหาใหม่จากข้อมูลเดิม เช่น โมเดลภาษาใหญ่ (large language models) แต่ใช้ข้อมูลโดยตรงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นคู่แข่ง คำตัดสินนี้อาจมีผลกระทบที่สำคัญต่ออุตสาหกรรม AI และอาจทำให้การโต้เถียงเรื่องการใช้งานที่เป็นธรรมยากขึ้นสำหรับบริษัทที่กำลังพัฒนาระบบ AI อื่นๆ เช่น OpenAI, Microsoft และ Meta Platforms การตัดสินนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาลิขสิทธิ์ในยุคที่ AI มีบทบาทมากขึ้น และทำให้เราเห็นว่าศาลยังคงเคร่งครัดในการบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์ https://www.techspot.com/news/106738-federal-judge-rules-against-ai-company-major-copyright.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Federal judge delivers first major AI copyright ruling against startup
    The case, filed in 2020, accused Ross Intelligence of reproducing materials from Thomson Reuters' Westlaw legal research database to build a competing AI-powered legal platform. Judge Bibas...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts