• #นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ในเร็วๆ นี้ จะนัดประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีการทบทวนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการใช้เงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่อีกครั้ง รวมถึง "โครงการดิจิทัลวอลเล็ต" ด้วย โดยการทบทวนในครั้งนี้ มาจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่ขณะนี้ยังไม่มีประเทศใดเจรจาได้ข้อสรุปชัดเจน ส่งผลให้การค้าโลกหยุดชะงัก

    รวมถึงกรณีที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ "มูดี้ส์" ออกมาเตือนเรื่องฐานะการคลังของไทย ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีหนังสือถึงกระทรวงการคลัง โดยอยากเห็นการปรับแผนการใช้เงินงบประมาณ มุ่งเน้นไปที่การลงทุนมากขึ้น เพื่อรองรับการส่งออกที่อาจมีปัญหาในอนาคต

    "ผมได้ออกหนังสือถึงคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว เพื่อแจ้งให้รับรู้ว่า จะมีการปรับแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ และให้แต่ละหน่วยงานทำการบ้านมา ว่าจะต้องทบทวน ปรับแผน และปรับการใช้เงินอย่างไร โครงการดิจิทัลวอลเล็ต จะเอาอย่างไร จะปรับอย่างไร กรรมการทุกคนรับรู้ว่าจะมีการปรับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งต่างคนก็ต่างไปทำการบ้านกันมา" นายพิชัย กล่าว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000043376

    #MGROnline #โครงการดิจิทัลวอลเล็ต
    #นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ในเร็วๆ นี้ จะนัดประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีการทบทวนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการใช้เงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่อีกครั้ง รวมถึง "โครงการดิจิทัลวอลเล็ต" ด้วย โดยการทบทวนในครั้งนี้ มาจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่ขณะนี้ยังไม่มีประเทศใดเจรจาได้ข้อสรุปชัดเจน ส่งผลให้การค้าโลกหยุดชะงัก • รวมถึงกรณีที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ "มูดี้ส์" ออกมาเตือนเรื่องฐานะการคลังของไทย ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีหนังสือถึงกระทรวงการคลัง โดยอยากเห็นการปรับแผนการใช้เงินงบประมาณ มุ่งเน้นไปที่การลงทุนมากขึ้น เพื่อรองรับการส่งออกที่อาจมีปัญหาในอนาคต • "ผมได้ออกหนังสือถึงคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว เพื่อแจ้งให้รับรู้ว่า จะมีการปรับแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ และให้แต่ละหน่วยงานทำการบ้านมา ว่าจะต้องทบทวน ปรับแผน และปรับการใช้เงินอย่างไร โครงการดิจิทัลวอลเล็ต จะเอาอย่างไร จะปรับอย่างไร กรรมการทุกคนรับรู้ว่าจะมีการปรับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งต่างคนก็ต่างไปทำการบ้านกันมา" นายพิชัย กล่าว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000043376 • #MGROnline #โครงการดิจิทัลวอลเล็ต
    0 Comments 0 Shares 70 Views 0 Reviews
  • นักการเมืองสหรัฐฯ กำลังผลักดันร่างกฎหมายใหม่เพื่อ ติดตามชิป Nvidia ที่ถูกลักลอบนำเข้าสู่จีน โดยใช้ เทคโนโลยีติดตามที่ฝังอยู่ในชิป ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่เคยเปิดเผยมาก่อน

    ร่างกฎหมายนี้มีเป้าหมายเพื่อ ป้องกันไม่ให้จีนนำชิป Nvidia ไปใช้ในการฝึก AI ที่อาจเป็นภัยต่อสหรัฐฯ โดยนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรชิปบางรายระบุว่า Nvidia สามารถติดตามตำแหน่งของ GPU ประสิทธิภาพสูงได้แล้ว

    ✅ ร่างกฎหมายใหม่ของสหรัฐฯ มีเป้าหมายเพื่อติดตามชิป Nvidia ที่ถูกลักลอบนำเข้าสู่จีน
    - ใช้ เทคโนโลยีติดตามที่ฝังอยู่ในชิป ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่เคยเปิดเผยมาก่อน
    - ป้องกัน การนำชิปไปใช้ในการฝึก AI ที่อาจเป็นภัยต่อสหรัฐฯ

    ✅ นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรชิประบุว่า Nvidia สามารถติดตามตำแหน่งของ GPU ได้แล้ว
    - เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ สามารถระบุตำแหน่งของชิปได้ในระดับประเทศ
    - ใช้วิธี วัดเวลาการส่งข้อมูลระหว่างชิปกับเซิร์ฟเวอร์

    ✅ Bureau of Industry and Security (BIS) ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งของชิปที่ถูกลักลอบนำเข้า
    - หากสามารถติดตามได้ จะช่วยให้ BIS สามารถบังคับใช้กฎหมายควบคุมการส่งออกได้ดีขึ้น

    ✅ นักการเมืองสหรัฐฯ กังวลว่าจีนอาจใช้ชิป Nvidia ในการพัฒนาอาวุธหรือ AI ขั้นสูง
    - อาจเป็นภัยคุกคามที่ ร้ายแรงเทียบเท่ากับเทคโนโลยีนิวเคลียร์

    https://www.techspot.com/news/107820-us-politicians-want-track-location-nvidia-chips-smuggled.html
    นักการเมืองสหรัฐฯ กำลังผลักดันร่างกฎหมายใหม่เพื่อ ติดตามชิป Nvidia ที่ถูกลักลอบนำเข้าสู่จีน โดยใช้ เทคโนโลยีติดตามที่ฝังอยู่ในชิป ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่เคยเปิดเผยมาก่อน ร่างกฎหมายนี้มีเป้าหมายเพื่อ ป้องกันไม่ให้จีนนำชิป Nvidia ไปใช้ในการฝึก AI ที่อาจเป็นภัยต่อสหรัฐฯ โดยนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรชิปบางรายระบุว่า Nvidia สามารถติดตามตำแหน่งของ GPU ประสิทธิภาพสูงได้แล้ว ✅ ร่างกฎหมายใหม่ของสหรัฐฯ มีเป้าหมายเพื่อติดตามชิป Nvidia ที่ถูกลักลอบนำเข้าสู่จีน - ใช้ เทคโนโลยีติดตามที่ฝังอยู่ในชิป ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่เคยเปิดเผยมาก่อน - ป้องกัน การนำชิปไปใช้ในการฝึก AI ที่อาจเป็นภัยต่อสหรัฐฯ ✅ นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรชิประบุว่า Nvidia สามารถติดตามตำแหน่งของ GPU ได้แล้ว - เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ สามารถระบุตำแหน่งของชิปได้ในระดับประเทศ - ใช้วิธี วัดเวลาการส่งข้อมูลระหว่างชิปกับเซิร์ฟเวอร์ ✅ Bureau of Industry and Security (BIS) ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งของชิปที่ถูกลักลอบนำเข้า - หากสามารถติดตามได้ จะช่วยให้ BIS สามารถบังคับใช้กฎหมายควบคุมการส่งออกได้ดีขึ้น ✅ นักการเมืองสหรัฐฯ กังวลว่าจีนอาจใช้ชิป Nvidia ในการพัฒนาอาวุธหรือ AI ขั้นสูง - อาจเป็นภัยคุกคามที่ ร้ายแรงเทียบเท่ากับเทคโนโลยีนิวเคลียร์ https://www.techspot.com/news/107820-us-politicians-want-track-location-nvidia-chips-smuggled.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    US politicians want to track Nvidia chips smuggled to China
    A former particle physicist and chip designer is advocating for US authorities to adopt an effective method for tracking Nvidia GPUs. "The technology is already there," a...
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • ปิดช่องโหว่! สวมสิทธิ ‘ไทย’ ส่งของไปขาย ‘สหรัฐ’ : [Biz Talk]

    สกัด ‘สินค้าสวมสิทธิ’ หนึ่งในแผนเจรจาไทย-สหรัฐ เพราะส่วนหนึ่งที่ทำให้ยอดเกินดุลการค้าของไทยกับสหรัฐ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มาจากการส่งออกสินค้า ที่สวมสิทธิใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O:Certificate of Origin ) จากไทย ส่งไปขายสหรัฐ โดยเฉพาะสินค้าจีน /รัฐบาล หวังพลิกวิกฤติเป็นโอกาส แก้สวมสิทธิสินค้าไทย+นอมินี
    ปิดช่องโหว่! สวมสิทธิ ‘ไทย’ ส่งของไปขาย ‘สหรัฐ’ : [Biz Talk] สกัด ‘สินค้าสวมสิทธิ’ หนึ่งในแผนเจรจาไทย-สหรัฐ เพราะส่วนหนึ่งที่ทำให้ยอดเกินดุลการค้าของไทยกับสหรัฐ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มาจากการส่งออกสินค้า ที่สวมสิทธิใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O:Certificate of Origin ) จากไทย ส่งไปขายสหรัฐ โดยเฉพาะสินค้าจีน /รัฐบาล หวังพลิกวิกฤติเป็นโอกาส แก้สวมสิทธิสินค้าไทย+นอมินี
    0 Comments 0 Shares 527 Views 16 0 Reviews
  • ธนาคารกรุงเทพเชื่อมระบบโอนเงินหยวน

    ผมเขียนเรื่อง “จีนเปิดตัวหยวนดิจิทัลข่ม SWIFT” ไปเมื่อวันเสาร์ โดยจีนได้เปิดตัว “ระบบชำระเงินข้ามพรมแดนระหว่างธนาคาร” (China’s Cross–Border Interbank Payment System) รุ่นใหม่หรือ CIPS รุ่น 2.0 ซึ่งโอนเงินได้รวดเร็วกว่าเดิม โดยเชื่อมต่อกับธนาคารใน 16 ประเทศพร้อมกัน ทั้งใน จีน อาเซียน และตะวันออกกลาง เมื่อเช้าตรู่วันที่ 21 เม.ย. CIPS เป็นระบบโอนเงินข้ามชาติแบบเดียวกับ SWIFT ของสหรัฐฯ แต่ CIPS จะโอนเป็นเงินหยวนของจีน ขณะที่ SWIFT จะโอนเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ CIPS ถือเป็นระบบโอนเงินข้ามชาติที่เป็นคู่แข่งสำคัญของสหรัฐฯ CIPS ใช้เวลาโอนเงินข้ามประเทศเร็วมากเพียงไม่กี่วินาที มีต้นทุนการโอนเงินที่ตํ่ามาก เทียบกับ ระบบ SWIFT ของสหรัฐฯที่ต้องใช้เวลาในการโอนเงิน 2–3 วัน มีค่าโอนเงินที่แพงกว่ากันถึง 4 หมื่นกว่าเท่า

    การเปิดตัวของ ระบบโอนเงินข้ามพรมแดน CIPS 2.0 ของจีนครั้งนี้ จึงเป็นการทลายการผูกขาดโอนเงินข้ามชาติของระบบ SWIFT สหรัฐฯ ที่มีมายาวนาน

    วันอังคาร 29 เม.ย. คุณพิพัฒน์ อัสสมงคล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ได้เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพได้เพิ่มศักยภาพการทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินหยวน (Chinese Yuan–CNY) ผ่าน ระบบการชำระเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดน หรือ CIPS (Cross–Border Interbank Payment System) เป็นธนาคารไทยแห่งแรกที่ใช้รับอนุมัติจากธนาคารกลางจีนให้เป็น Direct Participant สมาชิกตรง

    ดังนั้น ธนาคารกรุงเทพจึงสามารถทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินหยวนได้โดยตรงกับระบบ CIPS ซึ่งช่วยลดระยะเวลาทำธุรกรรมให้สั้นลง คู่ค้าได้รับเงินเร็วขึ้น ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจ เป็นการยกระดับประสิทธิภาพธุรกิจให้มีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ส่งเสริมให้เกิดการค้าระหว่างประเทศไทยกับจีนในอนาคตเพิ่มมากขึ้นด้วย

    คุณพิพัฒน์ กล่าวว่า บริการโอนเงิน CIPS เหมาะสำหรับผู้ประกอบการ นำเข้าและส่งออกซึ่งมีธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศกับคู่ค้าในจีน โดยเฉพาะผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการค้าสูง เช่น เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เป็นต้น ปี 2567 จีนเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยอันดับ 1 มีมูลค่าการค้าระหว่างกันรวมเกือบ 4.1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออกจากไทยไปจีนมูลค่าประมาณ 1.2 ล้าน ล้านบาท และการนำเข้าจากจีนมีมูลค่าประมาณ 2.9 ล้านล้านบาท จึงถือเป็นตลาดที่ใหญ่มาก

    การเข้าร่วมเป็น Direct Participant ในระบบ CIPS สะท้อนถึงความตั้งใจในการพัฒนาบริการอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และทำให้ธุรกิจของลูกค้าได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจยุคใหม่ ตอกย้ำความเป็น “เพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้าน” เคียงข้างและช่วยให้ธุรกิจของลูกค้าเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ การพัฒนาบริการดังกล่าวจะเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยและจีนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

    วันนี้การค้าโลกแยกออกเป็น 2 ค่ายชัดเจน จีน กับ สหรัฐฯ เมื่อ ประธานาธิบดีทรัมป์ ขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลกเพื่อเอาเปรียบ ตั้งแต่ 2 เม.ย.ทรัมป์ได้ขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศไปแล้ว 10% และ จะขึ้นภาษีตอบโต้อีก 20–245% กับประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ จะยึดคลองปานามา จะยึดคลองสุเอซที่เก็บค่าผ่านเรือสหรัฐฯ กลายเป็นอันธพาลระดับโลก ทำให้ทุกชาติ เริ่มถอยห่างจากสหรัฐฯมาใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น

    มาซาโตะ คานดะ ประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้เสนอ ให้ประเทศในเอเชียหันมาค้าขายกันเองให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อปกป้องเศรษฐกิจในภูมิภาคจากแรงกระแทกภายนอก

    ผมเชื่อว่า ระบบโอนเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดน CIPS ของจีน จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับการค้าในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก “ยกเว้นสหรัฐฯ” ทำให้ ระบบโอนเงิน SWIFT ลดบทบาทลง สหรัฐฯจะได้ “โดดเดี่ยวตัวเอง” สมใจทรัมป์แน่นอน.


    “ลม เปลี่ยนทิศ”

    https://www.thairath.co.th/news/local/2855708
    ธนาคารกรุงเทพเชื่อมระบบโอนเงินหยวน ผมเขียนเรื่อง “จีนเปิดตัวหยวนดิจิทัลข่ม SWIFT” ไปเมื่อวันเสาร์ โดยจีนได้เปิดตัว “ระบบชำระเงินข้ามพรมแดนระหว่างธนาคาร” (China’s Cross–Border Interbank Payment System) รุ่นใหม่หรือ CIPS รุ่น 2.0 ซึ่งโอนเงินได้รวดเร็วกว่าเดิม โดยเชื่อมต่อกับธนาคารใน 16 ประเทศพร้อมกัน ทั้งใน จีน อาเซียน และตะวันออกกลาง เมื่อเช้าตรู่วันที่ 21 เม.ย. CIPS เป็นระบบโอนเงินข้ามชาติแบบเดียวกับ SWIFT ของสหรัฐฯ แต่ CIPS จะโอนเป็นเงินหยวนของจีน ขณะที่ SWIFT จะโอนเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ CIPS ถือเป็นระบบโอนเงินข้ามชาติที่เป็นคู่แข่งสำคัญของสหรัฐฯ CIPS ใช้เวลาโอนเงินข้ามประเทศเร็วมากเพียงไม่กี่วินาที มีต้นทุนการโอนเงินที่ตํ่ามาก เทียบกับ ระบบ SWIFT ของสหรัฐฯที่ต้องใช้เวลาในการโอนเงิน 2–3 วัน มีค่าโอนเงินที่แพงกว่ากันถึง 4 หมื่นกว่าเท่า การเปิดตัวของ ระบบโอนเงินข้ามพรมแดน CIPS 2.0 ของจีนครั้งนี้ จึงเป็นการทลายการผูกขาดโอนเงินข้ามชาติของระบบ SWIFT สหรัฐฯ ที่มีมายาวนาน วันอังคาร 29 เม.ย. คุณพิพัฒน์ อัสสมงคล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ได้เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพได้เพิ่มศักยภาพการทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินหยวน (Chinese Yuan–CNY) ผ่าน ระบบการชำระเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดน หรือ CIPS (Cross–Border Interbank Payment System) เป็นธนาคารไทยแห่งแรกที่ใช้รับอนุมัติจากธนาคารกลางจีนให้เป็น Direct Participant สมาชิกตรง ดังนั้น ธนาคารกรุงเทพจึงสามารถทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินหยวนได้โดยตรงกับระบบ CIPS ซึ่งช่วยลดระยะเวลาทำธุรกรรมให้สั้นลง คู่ค้าได้รับเงินเร็วขึ้น ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจ เป็นการยกระดับประสิทธิภาพธุรกิจให้มีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ส่งเสริมให้เกิดการค้าระหว่างประเทศไทยกับจีนในอนาคตเพิ่มมากขึ้นด้วย คุณพิพัฒน์ กล่าวว่า บริการโอนเงิน CIPS เหมาะสำหรับผู้ประกอบการ นำเข้าและส่งออกซึ่งมีธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศกับคู่ค้าในจีน โดยเฉพาะผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการค้าสูง เช่น เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เป็นต้น ปี 2567 จีนเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยอันดับ 1 มีมูลค่าการค้าระหว่างกันรวมเกือบ 4.1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออกจากไทยไปจีนมูลค่าประมาณ 1.2 ล้าน ล้านบาท และการนำเข้าจากจีนมีมูลค่าประมาณ 2.9 ล้านล้านบาท จึงถือเป็นตลาดที่ใหญ่มาก การเข้าร่วมเป็น Direct Participant ในระบบ CIPS สะท้อนถึงความตั้งใจในการพัฒนาบริการอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และทำให้ธุรกิจของลูกค้าได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจยุคใหม่ ตอกย้ำความเป็น “เพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้าน” เคียงข้างและช่วยให้ธุรกิจของลูกค้าเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ การพัฒนาบริการดังกล่าวจะเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยและจีนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น วันนี้การค้าโลกแยกออกเป็น 2 ค่ายชัดเจน จีน กับ สหรัฐฯ เมื่อ ประธานาธิบดีทรัมป์ ขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลกเพื่อเอาเปรียบ ตั้งแต่ 2 เม.ย.ทรัมป์ได้ขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศไปแล้ว 10% และ จะขึ้นภาษีตอบโต้อีก 20–245% กับประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ จะยึดคลองปานามา จะยึดคลองสุเอซที่เก็บค่าผ่านเรือสหรัฐฯ กลายเป็นอันธพาลระดับโลก ทำให้ทุกชาติ เริ่มถอยห่างจากสหรัฐฯมาใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น มาซาโตะ คานดะ ประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้เสนอ ให้ประเทศในเอเชียหันมาค้าขายกันเองให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อปกป้องเศรษฐกิจในภูมิภาคจากแรงกระแทกภายนอก ผมเชื่อว่า ระบบโอนเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดน CIPS ของจีน จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับการค้าในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก “ยกเว้นสหรัฐฯ” ทำให้ ระบบโอนเงิน SWIFT ลดบทบาทลง สหรัฐฯจะได้ “โดดเดี่ยวตัวเอง” สมใจทรัมป์แน่นอน. “ลม เปลี่ยนทิศ” https://www.thairath.co.th/news/local/2855708
    WWW.THAIRATH.CO.TH
    ธนาคารกรุงเทพเชื่อมระบบโอนเงินหยวน
    ผมเพิ่งเขียนเรื่อง “จีนเปิดตัวหยวนดิจิทัลข่ม SWIFT” ไปเมื่อวันเสาร์ โดยจีนได้เปิดตัว “ระบบชำระเงินข้ามพรมแดนระหว่างธนาคาร” (China’s Cross–Border Interbank Payment System) รุ่นใหม่หรือ CIPS รุ่น 2.0
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 277 Views 0 Reviews
  • ศูนย์ข้อมูล AI ในจีนกำลัง รื้อถอนและขายต่อ การ์ดจอ Nvidia RTX 4090D ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ โดยการ์ดเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในโครงสร้างพื้นฐาน AI ของจีน แต่ปัจจุบันถูกนำออกจากชั้นวางและขายในตลาดเปิด

    รายงานจาก DigiTimes Asia ระบุว่าผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลพบว่า การขายต่อ GPU ให้ผลตอบแทนเร็วกว่า การรอคืนนทุนจากการให้เช่า GPU ซึ่งอาจใช้เวลาถึง 3-5 ปี

    การ์ด RTX 4090D แต่ละใบขายในราคาประมาณ 20,000-40,000 หยวน (ประมาณ 2,735-5,470 ดอลลาร์สหรัฐฯ) และต้องมีการปรับแต่งก่อนนำไปขายให้ผู้ใช้ทั่วไป เช่น เปลี่ยนระบบระบายความร้อนจากแบบพัดลมเป็นแบบ blower-style

    นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าการขายต่อเหล่านี้เกิดจาก ภาวะโอเวอร์แคปาซิตี้ เนื่องจากจีนเร่งสร้างศูนย์ข้อมูล AI ตามนโยบายของรัฐ แต่ความต้องการใช้งานจริงกลับต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

    นอกจากนี้ ข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ เช่น การห้ามส่งออกชิป Nvidia H20 อาจทำให้ศูนย์ข้อมูลจีนต้องปรับตัว โดยเปลี่ยนจากระบบที่เน้นการฝึกโมเดล AI ไปเป็นระบบที่รองรับ การประมวลผลแบบเรียลไทม์ (real-time inference)

    ✅ เหตุผลในการรื้อถอนและขายต่อ
    - ศูนย์ข้อมูลพบว่า การขายต่อ GPU ให้ผลตอบแทนเร็วกว่า การรอคืนนทุนจากการให้เช่า
    - ราคาขายต่ออยู่ที่ 20,000-40,000 หยวน (ประมาณ 2,735-5,470 ดอลลาร์สหรัฐฯ)

    ✅ การปรับแต่งก่อนขายให้ผู้ใช้ทั่วไป
    - ต้องเปลี่ยนระบบระบายความร้อนจาก แบบพัดลมเป็นแบบ blower-style
    - การ์ดที่ถูกใช้งานแล้วต้องผ่านการรีเฟอร์บิชก่อนขาย

    ✅ ภาวะโอเวอร์แคปาซิตี้ของศูนย์ข้อมูล AI ในจีน
    - จีนเร่งสร้างศูนย์ข้อมูล AI ตามนโยบายของรัฐ
    - ความต้องการใช้งานจริงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

    ✅ ผลกระทบจากข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ
    - การห้ามส่งออกชิป Nvidia H20 ทำให้ศูนย์ข้อมูลจีนต้องปรับตัว
    - เปลี่ยนจากระบบที่เน้นการฝึกโมเดล AI ไปเป็น การประมวลผลแบบเรียลไทม์

    https://www.techradar.com/pro/data-centers-in-china-are-dumping-rare-48gb-nvidia-rtx-4090d-gpus-for-nearly-usd6-000-but-the-exact-reason-remains-a-mystery
    ศูนย์ข้อมูล AI ในจีนกำลัง รื้อถอนและขายต่อ การ์ดจอ Nvidia RTX 4090D ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ โดยการ์ดเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในโครงสร้างพื้นฐาน AI ของจีน แต่ปัจจุบันถูกนำออกจากชั้นวางและขายในตลาดเปิด รายงานจาก DigiTimes Asia ระบุว่าผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลพบว่า การขายต่อ GPU ให้ผลตอบแทนเร็วกว่า การรอคืนนทุนจากการให้เช่า GPU ซึ่งอาจใช้เวลาถึง 3-5 ปี การ์ด RTX 4090D แต่ละใบขายในราคาประมาณ 20,000-40,000 หยวน (ประมาณ 2,735-5,470 ดอลลาร์สหรัฐฯ) และต้องมีการปรับแต่งก่อนนำไปขายให้ผู้ใช้ทั่วไป เช่น เปลี่ยนระบบระบายความร้อนจากแบบพัดลมเป็นแบบ blower-style นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าการขายต่อเหล่านี้เกิดจาก ภาวะโอเวอร์แคปาซิตี้ เนื่องจากจีนเร่งสร้างศูนย์ข้อมูล AI ตามนโยบายของรัฐ แต่ความต้องการใช้งานจริงกลับต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ เช่น การห้ามส่งออกชิป Nvidia H20 อาจทำให้ศูนย์ข้อมูลจีนต้องปรับตัว โดยเปลี่ยนจากระบบที่เน้นการฝึกโมเดล AI ไปเป็นระบบที่รองรับ การประมวลผลแบบเรียลไทม์ (real-time inference) ✅ เหตุผลในการรื้อถอนและขายต่อ - ศูนย์ข้อมูลพบว่า การขายต่อ GPU ให้ผลตอบแทนเร็วกว่า การรอคืนนทุนจากการให้เช่า - ราคาขายต่ออยู่ที่ 20,000-40,000 หยวน (ประมาณ 2,735-5,470 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ✅ การปรับแต่งก่อนขายให้ผู้ใช้ทั่วไป - ต้องเปลี่ยนระบบระบายความร้อนจาก แบบพัดลมเป็นแบบ blower-style - การ์ดที่ถูกใช้งานแล้วต้องผ่านการรีเฟอร์บิชก่อนขาย ✅ ภาวะโอเวอร์แคปาซิตี้ของศูนย์ข้อมูล AI ในจีน - จีนเร่งสร้างศูนย์ข้อมูล AI ตามนโยบายของรัฐ - ความต้องการใช้งานจริงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ✅ ผลกระทบจากข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ - การห้ามส่งออกชิป Nvidia H20 ทำให้ศูนย์ข้อมูลจีนต้องปรับตัว - เปลี่ยนจากระบบที่เน้นการฝึกโมเดล AI ไปเป็น การประมวลผลแบบเรียลไทม์ https://www.techradar.com/pro/data-centers-in-china-are-dumping-rare-48gb-nvidia-rtx-4090d-gpus-for-nearly-usd6-000-but-the-exact-reason-remains-a-mystery
    WWW.TECHRADAR.COM
    Too many GPUs, not enough demand: China’s AI centers start flipping rare Nvidia RTX 4090Ds
    It could be a bid to make easy money, or they could be preparing to upgrade
    0 Comments 0 Shares 152 Views 0 Reviews
  • Nvidia และ Anthropic กำลังมีข้อพิพาทเกี่ยวกับ กฎระเบียบใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกเทคโนโลยี AI ไปยังจีน โดย Anthropic อ้างว่ามีการลักลอบนำเข้าชิป Nvidia ไปยังจีนผ่านวิธีการที่แปลกประหลาด เช่น ซ่อนชิปไว้ในท้องกุ้งล็อบสเตอร์สด หรือใช้หน้าท้องปลอมของหญิงตั้งครรภ์

    Nvidia ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ โดยระบุว่า บริษัทอเมริกันควรเน้นไปที่นวัตกรรมแทนที่จะเผยแพร่เรื่องราวที่เกินจริง อย่างไรก็ตาม ศุลกากรจีนได้บันทึกกรณีการลักลอบนำเข้าชิปด้วยวิธีเหล่านี้จริง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการลักลอบนำเข้าชิป AI เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง

    ข้อพิพาทนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ กฎระเบียบ AI Diffusion Rules ของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 พฤษภาคม โดยกฎเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ เช่น จีน ได้รับเทคโนโลยี AI ขั้นสูงจากตะวันตก

    Nvidia ต้องการขายชิป AI ให้กับจีนต่อไป ขณะที่ Anthropic ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Amazon ต้องการให้สหรัฐฯ ควบคุมการส่งออกเพื่อให้บริษัทอเมริกันสามารถเข้าถึงชิป AI ได้มากขึ้น และลดการแข่งขันจากจีน

    ✅ ข้อกล่าวหาการลักลอบนำเข้าชิป AI
    - Anthropic อ้างว่ามีการลักลอบนำเข้าชิป Nvidia ไปยังจีน
    - ใช้วิธีการแปลกประหลาด เช่น ซ่อนชิปไว้ในท้องกุ้งล็อบสเตอร์สด หรือใช้หน้าท้องปลอมของหญิงตั้งครรภ์

    ✅ การตอบโต้ของ Nvidia
    - ปฏิเสธข้อกล่าวหา และระบุว่าควรเน้นไปที่นวัตกรรม
    - อย่างไรก็ตาม ศุลกากรจีนได้บันทึกกรณีการลักลอบนำเข้าชิปด้วยวิธีเหล่านี้จริง

    ✅ กฎระเบียบ AI Diffusion Rules
    - มีผลบังคับใช้วันที่ 15 พฤษภาคม
    - มีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้จีนได้รับเทคโนโลยี AI ขั้นสูงจากตะวันตก

    ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    - Nvidia ต้องการขายชิป AI ให้กับจีนต่อไป
    - Anthropic ต้องการให้สหรัฐฯ ควบคุมการส่งออกเพื่อให้บริษัทอเมริกันสามารถเข้าถึงชิป AI ได้มากขึ้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/despite-nvidia-claims-chinese-smugglers-have-used-live-lobsters-and-fake-baby-bumps-to-traffic-chips
    Nvidia และ Anthropic กำลังมีข้อพิพาทเกี่ยวกับ กฎระเบียบใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกเทคโนโลยี AI ไปยังจีน โดย Anthropic อ้างว่ามีการลักลอบนำเข้าชิป Nvidia ไปยังจีนผ่านวิธีการที่แปลกประหลาด เช่น ซ่อนชิปไว้ในท้องกุ้งล็อบสเตอร์สด หรือใช้หน้าท้องปลอมของหญิงตั้งครรภ์ Nvidia ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ โดยระบุว่า บริษัทอเมริกันควรเน้นไปที่นวัตกรรมแทนที่จะเผยแพร่เรื่องราวที่เกินจริง อย่างไรก็ตาม ศุลกากรจีนได้บันทึกกรณีการลักลอบนำเข้าชิปด้วยวิธีเหล่านี้จริง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการลักลอบนำเข้าชิป AI เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ข้อพิพาทนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ กฎระเบียบ AI Diffusion Rules ของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 พฤษภาคม โดยกฎเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ เช่น จีน ได้รับเทคโนโลยี AI ขั้นสูงจากตะวันตก Nvidia ต้องการขายชิป AI ให้กับจีนต่อไป ขณะที่ Anthropic ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Amazon ต้องการให้สหรัฐฯ ควบคุมการส่งออกเพื่อให้บริษัทอเมริกันสามารถเข้าถึงชิป AI ได้มากขึ้น และลดการแข่งขันจากจีน ✅ ข้อกล่าวหาการลักลอบนำเข้าชิป AI - Anthropic อ้างว่ามีการลักลอบนำเข้าชิป Nvidia ไปยังจีน - ใช้วิธีการแปลกประหลาด เช่น ซ่อนชิปไว้ในท้องกุ้งล็อบสเตอร์สด หรือใช้หน้าท้องปลอมของหญิงตั้งครรภ์ ✅ การตอบโต้ของ Nvidia - ปฏิเสธข้อกล่าวหา และระบุว่าควรเน้นไปที่นวัตกรรม - อย่างไรก็ตาม ศุลกากรจีนได้บันทึกกรณีการลักลอบนำเข้าชิปด้วยวิธีเหล่านี้จริง ✅ กฎระเบียบ AI Diffusion Rules - มีผลบังคับใช้วันที่ 15 พฤษภาคม - มีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้จีนได้รับเทคโนโลยี AI ขั้นสูงจากตะวันตก ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI - Nvidia ต้องการขายชิป AI ให้กับจีนต่อไป - Anthropic ต้องการให้สหรัฐฯ ควบคุมการส่งออกเพื่อให้บริษัทอเมริกันสามารถเข้าถึงชิป AI ได้มากขึ้น https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/despite-nvidia-claims-chinese-smugglers-have-used-live-lobsters-and-fake-baby-bumps-to-traffic-chips
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Despite Nvidia claims, Chinese smugglers have used live lobsters and fake baby bumps to traffic chips
    Anthropic has been accused of telling "tall tales" about Chinese chip smugglers.
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • Nvidia ได้เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ผ่อนปรนข้อจำกัดการส่งออกชิป AI โดย Jensen Huang ซีอีโอของบริษัทระบุว่ากฎระเบียบปัจจุบัน ขัดขวางการเข้าถึงตลาดโลก และอาจทำให้บริษัทอเมริกันเสียเปรียบในการแข่งขันกับจีน

    อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของ Donald Trump กำลังพิจารณา เพิ่มความเข้มงวด ในข้อจำกัดการส่งออกชิป AI โดยอาจเปลี่ยนระบบ Tiered Model เป็น Global Licensing Regime ซึ่งจะทำให้การส่งออกขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างรัฐบาลแทนที่จะเป็นข้อกำหนดทั่วไป

    ภายใต้กฎปัจจุบัน ประเทศพันธมิตร (Tier 1) สามารถนำเข้าชิป AI ได้ไม่จำกัด ขณะที่ ประเทศในกลุ่ม Tier 2 เช่น อินเดียและบราซิล ถูกจำกัดที่ 50,000 หน่วยต่อปี และต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล ส่วน ประเทศที่อยู่ภายใต้การคว่ำบาตร (Tier 3) เช่น จีนและรัสเซีย ถูกห้ามนำเข้าชิป AI ขั้นสูงเกือบทั้งหมด

    Huang เตือนว่าหากสหรัฐฯ ยังคงจำกัดการส่งออก อาจทำให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง โดย Huawei ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน กำลังพัฒนาโปรเซสเซอร์ AI ที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ และอาจกลายเป็นคู่แข่งสำคัญในอนาคต

    ✅ ข้อเรียกร้องของ Nvidia
    - Jensen Huang เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ผ่อนปรนข้อจำกัดการส่งออกชิป AI
    - ระบุว่ากฎระเบียบปัจจุบันขัดขวางการเข้าถึงตลาดโลก

    ✅ แนวทางของรัฐบาลสหรัฐฯ
    - รัฐบาล Trump กำลังพิจารณาเพิ่มความเข้มงวดในข้อจำกัด
    - อาจเปลี่ยนระบบ Tiered Model เป็น Global Licensing Regime

    ✅ ข้อจำกัดการส่งออกภายใต้กฎปัจจุบัน
    - Tier 1 (ประเทศพันธมิตร) สามารถนำเข้าชิป AI ได้ไม่จำกัด
    - Tier 2 (อินเดีย, บราซิล) ถูกจำกัดที่ 50,000 หน่วยต่อปี
    - Tier 3 (จีน, รัสเซีย) ถูกห้ามนำเข้าชิป AI ขั้นสูงเกือบทั้งหมด

    ✅ ผลกระทบต่อการแข่งขันกับจีน
    - Huawei กำลังพัฒนาโปรเซสเซอร์ AI ที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia
    - หากสหรัฐฯ ยังคงจำกัดการส่งออก อาจทำให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-asks-us-government-to-ease-ai-gpu-export-rules-but-trump-administration-plans-tighter-controls
    Nvidia ได้เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ผ่อนปรนข้อจำกัดการส่งออกชิป AI โดย Jensen Huang ซีอีโอของบริษัทระบุว่ากฎระเบียบปัจจุบัน ขัดขวางการเข้าถึงตลาดโลก และอาจทำให้บริษัทอเมริกันเสียเปรียบในการแข่งขันกับจีน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของ Donald Trump กำลังพิจารณา เพิ่มความเข้มงวด ในข้อจำกัดการส่งออกชิป AI โดยอาจเปลี่ยนระบบ Tiered Model เป็น Global Licensing Regime ซึ่งจะทำให้การส่งออกขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างรัฐบาลแทนที่จะเป็นข้อกำหนดทั่วไป ภายใต้กฎปัจจุบัน ประเทศพันธมิตร (Tier 1) สามารถนำเข้าชิป AI ได้ไม่จำกัด ขณะที่ ประเทศในกลุ่ม Tier 2 เช่น อินเดียและบราซิล ถูกจำกัดที่ 50,000 หน่วยต่อปี และต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล ส่วน ประเทศที่อยู่ภายใต้การคว่ำบาตร (Tier 3) เช่น จีนและรัสเซีย ถูกห้ามนำเข้าชิป AI ขั้นสูงเกือบทั้งหมด Huang เตือนว่าหากสหรัฐฯ ยังคงจำกัดการส่งออก อาจทำให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง โดย Huawei ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน กำลังพัฒนาโปรเซสเซอร์ AI ที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ และอาจกลายเป็นคู่แข่งสำคัญในอนาคต ✅ ข้อเรียกร้องของ Nvidia - Jensen Huang เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ผ่อนปรนข้อจำกัดการส่งออกชิป AI - ระบุว่ากฎระเบียบปัจจุบันขัดขวางการเข้าถึงตลาดโลก ✅ แนวทางของรัฐบาลสหรัฐฯ - รัฐบาล Trump กำลังพิจารณาเพิ่มความเข้มงวดในข้อจำกัด - อาจเปลี่ยนระบบ Tiered Model เป็น Global Licensing Regime ✅ ข้อจำกัดการส่งออกภายใต้กฎปัจจุบัน - Tier 1 (ประเทศพันธมิตร) สามารถนำเข้าชิป AI ได้ไม่จำกัด - Tier 2 (อินเดีย, บราซิล) ถูกจำกัดที่ 50,000 หน่วยต่อปี - Tier 3 (จีน, รัสเซีย) ถูกห้ามนำเข้าชิป AI ขั้นสูงเกือบทั้งหมด ✅ ผลกระทบต่อการแข่งขันกับจีน - Huawei กำลังพัฒนาโปรเซสเซอร์ AI ที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia - หากสหรัฐฯ ยังคงจำกัดการส่งออก อาจทำให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-asks-us-government-to-ease-ai-gpu-export-rules-but-trump-administration-plans-tighter-controls
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • มูดี้ส์ลดอันดับอนาคตของไทย เกิดจากนโยบายรัฐบาลเมื่อวันที่ 29 เม.ย. มูดี้ส์ลดอันดับอนาคตของไทยจากสถานะ “ทรงตัว” เป็น “โน้มลง” ถึงแม้ระดับเรตติ้งจะคงเดิมก็ตาม (Baa1)นักวิเคราะห์บางคนเข้าใจว่า เกิดจากปัจจัยภาษีทรัมป์ ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจควบคุมของรัฐบาล โดยอาจดูจากคำบรรยาย[The already announced US tariffs are likely to weigh significantly on global trade and global economic growth, and which will affect Thailand's open economy. In addition, there remains significant uncertainty as to whether the US will implement additional tariffs on Thailand and other countries, after the 90-day pause elapse.][ภาษีทรัมป์จะกระทบเศรษฐกิจการค้าโลก และจะกระทบไทยเนื่องจากมีการส่งออกมาก รวมทั้งไม่ชัดเจนว่า เมื่อครบ 90 วัน สหรัฐจะยังเก็บภาษีตอบโต้เท่าใด]**แต่ในข้อเท็จจริง ปัจจัยหลักที่ มูดี้ส์ ใช้พิจารณานั้น อยู่ที่นโยบายรัฐบาล ดังเห็นได้ว่า คำอธิบายเหตุผลเริ่มต้นว่า[The decision to change the outlook to negative from stable captures the risks that Thailand's economic and fiscal strength will weaken further.][เหตุผลที่เราลดอันดับ เนื่องจากไทยมีความเสี่ยงทั้งด้านเศรษฐกิจและฐานะการคลังมีแนวโน้มจะเลวลง][This shock exacerbates Thailand's already sluggish economic recovery post-pandemic, and risk aggravating the trend decline in the country's potential growth. Material downward pressures on Thailand's growth raises risks of further weakening in the government's fiscal position, which has already deteriorated since the pandemic.][เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวหลังวิกฤตโควิดอย่างอืดอาด และศักยภาพการเติบโตมีแนวโน้มต่ำลง ซึ่งจะยิ่งทำให้ฐานะการคลังที่อ่อนแออยู่แล้วตั้งแต่โควิด จะเลวลงไปอีก]**นี่เอง ปัจจัยหลักที่ มูดี้ส์ ลดอันดับอนาคตไทย ก็เนื่องจากความเป็นห่วงในฐานะการคลัง **ซึ่งรัฐบาลมีรายจ่ายเกินรายได้ > ทำให้ขาดดุลงบประมาณทุกปี > ประกอบกับรัฐบาลนี้และรัฐบาลก่อนหน้ากู้เงินมาแจกหมื่น > เพื่อกินใช้รายวัน > โดยไม่กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน > ถึงแม้ จีดีพีเพิ่มบ้างเล็กน้อยก็เป็นแบบไฟไหม้ฟาง วูบเดียวก็หมดไป**อย่างไรก็ดี มูดี้ส์ ให้คะแนน 3 ปัจจัยบวกหนึ่ง แบงค์ชาติและระบบราชการน่าเชื่อถือ[The affirmation of the Baa1 ratings reflects the country's moderately strong institutions and governance which support sound monetary and macroeconomic policies.][เรายังคงอันดับเครดิตไว้ที่ Baa1 เพราะองค์กรด้านนโยบายการเงินและพัฒนาเศรษฐกิจยังพอจะสามารถประคองความน่าเชื่อถือ]**ผมเพิ่มเติมว่า คือสังคมไทยยังช่วยกันคัดค้านการแทรกแซงที่ไม่ถูกต้องสอง มีการพัฒนาตลาดพันธบัตรดี[The Baal ratings also take into account Thailand's moderately strong debt affordability - despite the sharp increase in government debt since the pandemic - supported by its deep domestic markets and the fact that its government debt is almost entirely denominated in local currency.][และถึงแม้รัฐบาลจะกู้เงินมากแล้วตั้งแต่วิกฤตโควิด ตลาดพันธบัตรไทยได้พัฒนาจนมีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับการกู้เพิ่มได้ การที่หนี้สาธารณะเกือบทั้งหมดเป็นสกุลบาท (ทำให้รัฐบาลไม่มีความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน)]**ผมเพิ่มเติมว่า บุคคลหลักที่สร้างรากฐานตลาดพันธบัตรไทยคือ 2 อดีตผู้ว่าฯ ม.ร.ว.จตุมงคล และ ม.ร.ว.ปรีดียาธร โดยผมรับลูกในตำแหน่งเลขา ก.ล.ต.สาม มีทุนสำรองมั่นคง[Moreover, Thailand has a strong external position, with ample foreign exchange reserves buffer.][และไทยมีทุนสำรองมากพอ ฐานะหนี้สกุลต่างประเทศต่ำ]ผมจึงขอแนะนำให้รัฐบาลนำข้อวิเคราะห์เหล่านี้ไปปรับปรุงนโยบายเป็นการด่วนวันที่ 30 เมษายน 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
    มูดี้ส์ลดอันดับอนาคตของไทย เกิดจากนโยบายรัฐบาลเมื่อวันที่ 29 เม.ย. มูดี้ส์ลดอันดับอนาคตของไทยจากสถานะ “ทรงตัว” เป็น “โน้มลง” ถึงแม้ระดับเรตติ้งจะคงเดิมก็ตาม (Baa1)นักวิเคราะห์บางคนเข้าใจว่า เกิดจากปัจจัยภาษีทรัมป์ ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจควบคุมของรัฐบาล โดยอาจดูจากคำบรรยาย[The already announced US tariffs are likely to weigh significantly on global trade and global economic growth, and which will affect Thailand's open economy. In addition, there remains significant uncertainty as to whether the US will implement additional tariffs on Thailand and other countries, after the 90-day pause elapse.][ภาษีทรัมป์จะกระทบเศรษฐกิจการค้าโลก และจะกระทบไทยเนื่องจากมีการส่งออกมาก รวมทั้งไม่ชัดเจนว่า เมื่อครบ 90 วัน สหรัฐจะยังเก็บภาษีตอบโต้เท่าใด]**แต่ในข้อเท็จจริง ปัจจัยหลักที่ มูดี้ส์ ใช้พิจารณานั้น อยู่ที่นโยบายรัฐบาล ดังเห็นได้ว่า คำอธิบายเหตุผลเริ่มต้นว่า[The decision to change the outlook to negative from stable captures the risks that Thailand's economic and fiscal strength will weaken further.][เหตุผลที่เราลดอันดับ เนื่องจากไทยมีความเสี่ยงทั้งด้านเศรษฐกิจและฐานะการคลังมีแนวโน้มจะเลวลง][This shock exacerbates Thailand's already sluggish economic recovery post-pandemic, and risk aggravating the trend decline in the country's potential growth. Material downward pressures on Thailand's growth raises risks of further weakening in the government's fiscal position, which has already deteriorated since the pandemic.][เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวหลังวิกฤตโควิดอย่างอืดอาด และศักยภาพการเติบโตมีแนวโน้มต่ำลง ซึ่งจะยิ่งทำให้ฐานะการคลังที่อ่อนแออยู่แล้วตั้งแต่โควิด จะเลวลงไปอีก]**นี่เอง ปัจจัยหลักที่ มูดี้ส์ ลดอันดับอนาคตไทย ก็เนื่องจากความเป็นห่วงในฐานะการคลัง **ซึ่งรัฐบาลมีรายจ่ายเกินรายได้ > ทำให้ขาดดุลงบประมาณทุกปี > ประกอบกับรัฐบาลนี้และรัฐบาลก่อนหน้ากู้เงินมาแจกหมื่น > เพื่อกินใช้รายวัน > โดยไม่กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน > ถึงแม้ จีดีพีเพิ่มบ้างเล็กน้อยก็เป็นแบบไฟไหม้ฟาง วูบเดียวก็หมดไป**อย่างไรก็ดี มูดี้ส์ ให้คะแนน 3 ปัจจัยบวกหนึ่ง แบงค์ชาติและระบบราชการน่าเชื่อถือ[The affirmation of the Baa1 ratings reflects the country's moderately strong institutions and governance which support sound monetary and macroeconomic policies.][เรายังคงอันดับเครดิตไว้ที่ Baa1 เพราะองค์กรด้านนโยบายการเงินและพัฒนาเศรษฐกิจยังพอจะสามารถประคองความน่าเชื่อถือ]**ผมเพิ่มเติมว่า คือสังคมไทยยังช่วยกันคัดค้านการแทรกแซงที่ไม่ถูกต้องสอง มีการพัฒนาตลาดพันธบัตรดี[The Baal ratings also take into account Thailand's moderately strong debt affordability - despite the sharp increase in government debt since the pandemic - supported by its deep domestic markets and the fact that its government debt is almost entirely denominated in local currency.][และถึงแม้รัฐบาลจะกู้เงินมากแล้วตั้งแต่วิกฤตโควิด ตลาดพันธบัตรไทยได้พัฒนาจนมีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับการกู้เพิ่มได้ การที่หนี้สาธารณะเกือบทั้งหมดเป็นสกุลบาท (ทำให้รัฐบาลไม่มีความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน)]**ผมเพิ่มเติมว่า บุคคลหลักที่สร้างรากฐานตลาดพันธบัตรไทยคือ 2 อดีตผู้ว่าฯ ม.ร.ว.จตุมงคล และ ม.ร.ว.ปรีดียาธร โดยผมรับลูกในตำแหน่งเลขา ก.ล.ต.สาม มีทุนสำรองมั่นคง[Moreover, Thailand has a strong external position, with ample foreign exchange reserves buffer.][และไทยมีทุนสำรองมากพอ ฐานะหนี้สกุลต่างประเทศต่ำ]ผมจึงขอแนะนำให้รัฐบาลนำข้อวิเคราะห์เหล่านี้ไปปรับปรุงนโยบายเป็นการด่วนวันที่ 30 เมษายน 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
    0 Comments 0 Shares 378 Views 0 Reviews
  • ขยับกำแพงภาษีจีน-สหรัฐน่าวิเคราะห์ว่า จะมีการขยับกำแพงภาษีจีน-สหรัฐกันอย่างไรด้านจีน ฝ่ายผู้บริโภค สินค้าจำเป็นบางอย่างจำเป็นต้องซื้อจากสหรัฐ เช่น ก๊าซอีเทน รัฐบาลใช้วิธียกเว้นแบบเงียบๆฝ่ายผู้ผลิต โรงงานอุตสาหกรรมเบาหลายแห่งต้องปิด คนงานกลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัด แต่การเมืองยังไม่เดือดร้อนมาก เพราะไม่มีเลือกตั้งด้านสหรัฐ รูป 1 ฝ่ายผู้บริโภค รัฐบาลใช้วิธียกเว้นสินค้าจำเป็นบางอย่างไปแล้ว 22% ของยอดนำเข้าจากจีนรูป 2 แต่เนื่องจาก 37% ของสินค้าจีน เป็นชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบ ดังนั้น ขบวนการอุตสาหกรรมทั่วไปในสหรัฐ กำลังจะสะดุดนี่ยังไม่คำนึงถึงอุตสาหกรรมไฮเทคและยุทโธปกรณ์ ที่จีนแบนแร่หายากสัปดาห์ก่อน บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ได้ขอพบกับทรัมป์ แจ้งว่า สงครามภาษี จะทำให้ของเริ่มขาดตลาด ภายในไม่กี่สัปดาห์รูป 3 แสดงน่านน้ำจีน ท่าเรือเซี่ยงไฮ้ S ท่าเรือนิงเบา N จำนวนเรือรอเข้า/ออก ยังมีมากรูป 4 แสดงน่านน้ำสหรัฐ ลอสแอนเจลีส L ซานฟรานซิสโก S จำนวนเรือเหลือน้อยมากSupply Chain Disruption กำลังจะเกิดขึ้นในสหรัฐ ทั้งสินค้าคอนซูเมอร์ และชิ้นส่วนอุตสาหกรรมรูป 5 จะเห็นได้ว่า สินค้าจีนไปสหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นของโฮเทค (สีชมพูคือเครื่องจักร เทเลคอม และรถยนต์) ซึ่งกว่าจะหาแหล่งทดแทนได้ จะใช้เวลานานสินค้าสหรัฐไปจีน เป็นของพื้นๆ ที่ทดแทนได้ง่าย (สีฟ้าคือน้ำมันและก๊าซ)รูป 6 แสดงสัดส่วนแต่ละสินค้า ที่สหรัฐซื้อจากจีน ไฟ LED และเตาไมโครเวฟ เกิน 90%สมาร์ทโฟน วีดีโอเกม และพัดลม เกิน 80% ของเล่น สินค้าพลาสติก และจอคอมพิวเตอร์ เกิน 70%แลปท้อป และแบตเตอรี่ลิเทียม เกิน 60%ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์จะเผชิญปัญหาการเมืองภายในประเทศ เริ่มตั้งแต่เดือน มิ.ย. จึงคาดกันว่า ทรัมป์จะเป็นฝ่ายที่คลายปม ก่อนสีจิ้นผิงทางเลือกที่หนึ่ง เลื่อนการใช้กำแพง 145% ออกไปชั่วคราว เหมือน 184 ประเทศที่เหลือจะแก้ปัญหาฝ่ายผู้นำเข้า ฝ่ายผู้บริโภค และผู้ผลิตอุตสาหกรรมซัพพลายเชน แต่ถ้าจีนไม่เลื่อนเวลาบังคับใช้ 125% ออกไปเช่นกัน การส่งออกสินค้าเกษตร ก็ไม่ฟื้น และไม่รู้ว่า ทรัมป์จะเดินหมาก ให้ไม่ดูเป็นการเสียหน้าได้อย่างไรรวมทั้ง การเลื่อนจะทำให้ปัญหา ค้างคาอยู่ กดดันการวางแผนธุรกิจทางเลือกที่สอง ประกาศยกเว้นสินค้าเพิ่มขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจุบันที่ยกเว้น 22% ที่นำเข้าจากจีนขึ้นไปเป็น 30-40-50% แต่ก็จะดูเหมือนเป็นการยอมแพ้อีกเช่นกันและไม่แก้ปัญหา ด้านสหรัฐส่งออกทางเลือกที่สาม ประกาศลดจาก 145% ลงเหลือ 54% ตามตารางที่ทรัมป์ยกชูขึ้น ในการแถลงข่าวเป็นไปได้ ที่จีนจะยอมลดลงมา ล้อเลียนกัน เช่น อาจจะลดจาก 125% เหลือ 25-30%แต่ต้องยอมรับว่า อัตรา 54% ก็ยังจะทำให้คนอเมริกัน เลือดซิบ ในการควักกระเป๋าข้อบปิ้งอยู่เช่นเดิมอัตรานี้ สหรัฐจะไปไม่ได้ในระยะยาว ทางเลือกที่สี่ ประกาศแก้ไขจาก 145% กลับไปเป็น 20% ก่อนวันปลดปล่อยอิสรภาพปัญหาสงครามภาษีจะคลี่คลายทันที แต่คงต้องยกเลิกการเจรจากับ 184 ประเทศที่เหลือโฟกัสปัญหา จะเปลี่ยนไปอยู่ที่ การเมืองภายในพรรครีปับบิลกันทันทีวันที่ 29 เมษายน 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังhttps://www.facebook.com/share/p/1E1Z4MinwB/?mibextid=wwXIfr
    ขยับกำแพงภาษีจีน-สหรัฐน่าวิเคราะห์ว่า จะมีการขยับกำแพงภาษีจีน-สหรัฐกันอย่างไรด้านจีน ฝ่ายผู้บริโภค สินค้าจำเป็นบางอย่างจำเป็นต้องซื้อจากสหรัฐ เช่น ก๊าซอีเทน รัฐบาลใช้วิธียกเว้นแบบเงียบๆฝ่ายผู้ผลิต โรงงานอุตสาหกรรมเบาหลายแห่งต้องปิด คนงานกลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัด แต่การเมืองยังไม่เดือดร้อนมาก เพราะไม่มีเลือกตั้งด้านสหรัฐ รูป 1 ฝ่ายผู้บริโภค รัฐบาลใช้วิธียกเว้นสินค้าจำเป็นบางอย่างไปแล้ว 22% ของยอดนำเข้าจากจีนรูป 2 แต่เนื่องจาก 37% ของสินค้าจีน เป็นชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบ ดังนั้น ขบวนการอุตสาหกรรมทั่วไปในสหรัฐ กำลังจะสะดุดนี่ยังไม่คำนึงถึงอุตสาหกรรมไฮเทคและยุทโธปกรณ์ ที่จีนแบนแร่หายากสัปดาห์ก่อน บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ได้ขอพบกับทรัมป์ แจ้งว่า สงครามภาษี จะทำให้ของเริ่มขาดตลาด ภายในไม่กี่สัปดาห์รูป 3 แสดงน่านน้ำจีน ท่าเรือเซี่ยงไฮ้ S ท่าเรือนิงเบา N จำนวนเรือรอเข้า/ออก ยังมีมากรูป 4 แสดงน่านน้ำสหรัฐ ลอสแอนเจลีส L ซานฟรานซิสโก S จำนวนเรือเหลือน้อยมากSupply Chain Disruption กำลังจะเกิดขึ้นในสหรัฐ ทั้งสินค้าคอนซูเมอร์ และชิ้นส่วนอุตสาหกรรมรูป 5 จะเห็นได้ว่า สินค้าจีนไปสหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นของโฮเทค (สีชมพูคือเครื่องจักร เทเลคอม และรถยนต์) ซึ่งกว่าจะหาแหล่งทดแทนได้ จะใช้เวลานานสินค้าสหรัฐไปจีน เป็นของพื้นๆ ที่ทดแทนได้ง่าย (สีฟ้าคือน้ำมันและก๊าซ)รูป 6 แสดงสัดส่วนแต่ละสินค้า ที่สหรัฐซื้อจากจีน ไฟ LED และเตาไมโครเวฟ เกิน 90%สมาร์ทโฟน วีดีโอเกม และพัดลม เกิน 80% ของเล่น สินค้าพลาสติก และจอคอมพิวเตอร์ เกิน 70%แลปท้อป และแบตเตอรี่ลิเทียม เกิน 60%ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์จะเผชิญปัญหาการเมืองภายในประเทศ เริ่มตั้งแต่เดือน มิ.ย. จึงคาดกันว่า ทรัมป์จะเป็นฝ่ายที่คลายปม ก่อนสีจิ้นผิงทางเลือกที่หนึ่ง เลื่อนการใช้กำแพง 145% ออกไปชั่วคราว เหมือน 184 ประเทศที่เหลือจะแก้ปัญหาฝ่ายผู้นำเข้า ฝ่ายผู้บริโภค และผู้ผลิตอุตสาหกรรมซัพพลายเชน แต่ถ้าจีนไม่เลื่อนเวลาบังคับใช้ 125% ออกไปเช่นกัน การส่งออกสินค้าเกษตร ก็ไม่ฟื้น และไม่รู้ว่า ทรัมป์จะเดินหมาก ให้ไม่ดูเป็นการเสียหน้าได้อย่างไรรวมทั้ง การเลื่อนจะทำให้ปัญหา ค้างคาอยู่ กดดันการวางแผนธุรกิจทางเลือกที่สอง ประกาศยกเว้นสินค้าเพิ่มขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจุบันที่ยกเว้น 22% ที่นำเข้าจากจีนขึ้นไปเป็น 30-40-50% แต่ก็จะดูเหมือนเป็นการยอมแพ้อีกเช่นกันและไม่แก้ปัญหา ด้านสหรัฐส่งออกทางเลือกที่สาม ประกาศลดจาก 145% ลงเหลือ 54% ตามตารางที่ทรัมป์ยกชูขึ้น ในการแถลงข่าวเป็นไปได้ ที่จีนจะยอมลดลงมา ล้อเลียนกัน เช่น อาจจะลดจาก 125% เหลือ 25-30%แต่ต้องยอมรับว่า อัตรา 54% ก็ยังจะทำให้คนอเมริกัน เลือดซิบ ในการควักกระเป๋าข้อบปิ้งอยู่เช่นเดิมอัตรานี้ สหรัฐจะไปไม่ได้ในระยะยาว ทางเลือกที่สี่ ประกาศแก้ไขจาก 145% กลับไปเป็น 20% ก่อนวันปลดปล่อยอิสรภาพปัญหาสงครามภาษีจะคลี่คลายทันที แต่คงต้องยกเลิกการเจรจากับ 184 ประเทศที่เหลือโฟกัสปัญหา จะเปลี่ยนไปอยู่ที่ การเมืองภายในพรรครีปับบิลกันทันทีวันที่ 29 เมษายน 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังhttps://www.facebook.com/share/p/1E1Z4MinwB/?mibextid=wwXIfr
    0 Comments 0 Shares 315 Views 0 Reviews
  • Huawei ได้เปิดตัวชิป AI รุ่นใหม่ Ascend 920 หนึ่งวันหลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศห้ามส่งออกชิป Nvidia H20 ไปยังจีน โดย Ascend 920 ถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างในตลาดชิป AI ของจีนหลังจากการจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ ชิปนี้จะเข้าสู่การผลิตในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 และใช้กระบวนการผลิต 6nm ของ SMIC

    Ascend 920 มีความสามารถในการประมวลผลสูงถึง 900 TFLOPs สำหรับ BF16 และมีแบนด์วิดท์หน่วยความจำ 4000GB/s พร้อมรองรับ HBM3 memory modules และ PCIe 5.0 รวมถึงโปรโตคอลการเชื่อมต่อรุ่นใหม่เพื่อช่วยในการฝึกโมเดลขนาดใหญ่

    นอกจากนี้ Huawei ยังเปิดตัวแพลตฟอร์ม AI CloudMatrix 384 Supernode ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่า Nvidia GB200 แต่ใช้พลังงานมากกว่า ซึ่งไม่ถือเป็นปัญหาใหญ่ในจีน

    ✅ การเปิดตัว Ascend 920
    - เปิดตัวหนึ่งวันหลังจากสหรัฐฯ ห้ามส่งออกชิป Nvidia H20 ไปยังจีน
    - ใช้กระบวนการผลิต 6nm ของ SMIC

    ✅ ความสามารถของ Ascend 920
    - ประมวลผลสูงถึง 900 TFLOPs สำหรับ BF16
    - แบนด์วิดท์หน่วยความจำ 4000GB/s พร้อมรองรับ HBM3 memory modules

    ✅ การเปิดตัว AI CloudMatrix 384 Supernode
    - มีประสิทธิภาพสูงกว่า Nvidia GB200
    - ใช้พลังงานมากกว่า แต่ไม่ถือเป็นปัญหาใหญ่ในจีน

    ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชิป AI
    - Ascend 920 อาจช่วยเติมเต็มช่องว่างในตลาดชิป AI ของจีน

    https://www.techradar.com/pro/pure-coincidence-surely-not-huawei-launches-its-fastest-ai-chip-ever-as-us-bans-export-of-popular-china-only-nvidia-h20
    Huawei ได้เปิดตัวชิป AI รุ่นใหม่ Ascend 920 หนึ่งวันหลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศห้ามส่งออกชิป Nvidia H20 ไปยังจีน โดย Ascend 920 ถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างในตลาดชิป AI ของจีนหลังจากการจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ ชิปนี้จะเข้าสู่การผลิตในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 และใช้กระบวนการผลิต 6nm ของ SMIC Ascend 920 มีความสามารถในการประมวลผลสูงถึง 900 TFLOPs สำหรับ BF16 และมีแบนด์วิดท์หน่วยความจำ 4000GB/s พร้อมรองรับ HBM3 memory modules และ PCIe 5.0 รวมถึงโปรโตคอลการเชื่อมต่อรุ่นใหม่เพื่อช่วยในการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ นอกจากนี้ Huawei ยังเปิดตัวแพลตฟอร์ม AI CloudMatrix 384 Supernode ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่า Nvidia GB200 แต่ใช้พลังงานมากกว่า ซึ่งไม่ถือเป็นปัญหาใหญ่ในจีน ✅ การเปิดตัว Ascend 920 - เปิดตัวหนึ่งวันหลังจากสหรัฐฯ ห้ามส่งออกชิป Nvidia H20 ไปยังจีน - ใช้กระบวนการผลิต 6nm ของ SMIC ✅ ความสามารถของ Ascend 920 - ประมวลผลสูงถึง 900 TFLOPs สำหรับ BF16 - แบนด์วิดท์หน่วยความจำ 4000GB/s พร้อมรองรับ HBM3 memory modules ✅ การเปิดตัว AI CloudMatrix 384 Supernode - มีประสิทธิภาพสูงกว่า Nvidia GB200 - ใช้พลังงานมากกว่า แต่ไม่ถือเป็นปัญหาใหญ่ในจีน ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชิป AI - Ascend 920 อาจช่วยเติมเต็มช่องว่างในตลาดชิป AI ของจีน https://www.techradar.com/pro/pure-coincidence-surely-not-huawei-launches-its-fastest-ai-chip-ever-as-us-bans-export-of-popular-china-only-nvidia-h20
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • ลุงคิดว่าเป็นแนวทางที่ฉลาดมาก ไม่งั้นอเมริกาจะได้ทุกอย่างแล้วทิ้งไต้หวันไว้กลางทางได้ แต่ลุงก็คิดว่าทรัมป์ก็คงไม่ยอมเช่นกัน

    รัฐบาลไต้หวันได้ประกาศมาตรการใหม่เพื่อเสริมสร้าง "โล่ซิลิคอน" โดยการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงของ TSMC และการลงทุนในต่างประเทศ มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของประเทศ โดยมีการบังคับใช้ข้อจำกัด "N-1" ซึ่งอนุญาตให้ส่งออกเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าหลังไปหนึ่งรุ่นเท่านั้น

    มาตรการนี้จะมีผลกระทบต่อการผลิตชิปในสหรัฐฯ ของ TSMC ซึ่งจะถูกจำกัดให้ใช้เทคโนโลยีที่ล้าหลังไปหนึ่งรุ่นจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในไต้หวัน นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีสิทธิ์ปฏิเสธหรือยกเลิกการลงทุนในต่างประเทศหากพบว่ามีความเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ

    ✅ ข้อจำกัด "N-1"
    - จำกัดการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงของ TSMC
    - อนุญาตให้ส่งออกเทคโนโลยีที่ล้าหลังไปหนึ่งรุ่นเท่านั้น

    ✅ ผลกระทบต่อ TSMC
    - การผลิตชิปในสหรัฐฯ จะถูกจำกัดให้ใช้เทคโนโลยีที่ล้าหลังไปหนึ่งรุ่น
    - TSMC วางแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ เป็น $165 พันล้าน

    ✅ การควบคุมการลงทุนในต่างประเทศ
    - รัฐบาลมีสิทธิ์ปฏิเสธหรือยกเลิกการลงทุนที่เสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ
    - บริษัทที่ลงทุนโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจถูกปรับสูงสุด NT$10 ล้าน

    ✅ เป้าหมายของมาตรการ
    - ปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwans-government-strengthens-silicon-shield-restricts-exports-of-tsmcs-most-advanced-process-technologies
    ลุงคิดว่าเป็นแนวทางที่ฉลาดมาก ไม่งั้นอเมริกาจะได้ทุกอย่างแล้วทิ้งไต้หวันไว้กลางทางได้ แต่ลุงก็คิดว่าทรัมป์ก็คงไม่ยอมเช่นกัน รัฐบาลไต้หวันได้ประกาศมาตรการใหม่เพื่อเสริมสร้าง "โล่ซิลิคอน" โดยการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงของ TSMC และการลงทุนในต่างประเทศ มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของประเทศ โดยมีการบังคับใช้ข้อจำกัด "N-1" ซึ่งอนุญาตให้ส่งออกเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าหลังไปหนึ่งรุ่นเท่านั้น มาตรการนี้จะมีผลกระทบต่อการผลิตชิปในสหรัฐฯ ของ TSMC ซึ่งจะถูกจำกัดให้ใช้เทคโนโลยีที่ล้าหลังไปหนึ่งรุ่นจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในไต้หวัน นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีสิทธิ์ปฏิเสธหรือยกเลิกการลงทุนในต่างประเทศหากพบว่ามีความเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ ✅ ข้อจำกัด "N-1" - จำกัดการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงของ TSMC - อนุญาตให้ส่งออกเทคโนโลยีที่ล้าหลังไปหนึ่งรุ่นเท่านั้น ✅ ผลกระทบต่อ TSMC - การผลิตชิปในสหรัฐฯ จะถูกจำกัดให้ใช้เทคโนโลยีที่ล้าหลังไปหนึ่งรุ่น - TSMC วางแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ เป็น $165 พันล้าน ✅ การควบคุมการลงทุนในต่างประเทศ - รัฐบาลมีสิทธิ์ปฏิเสธหรือยกเลิกการลงทุนที่เสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ - บริษัทที่ลงทุนโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจถูกปรับสูงสุด NT$10 ล้าน ✅ เป้าหมายของมาตรการ - ปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwans-government-strengthens-silicon-shield-restricts-exports-of-tsmcs-most-advanced-process-technologies
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
  • บทความนี้กล่าวถึงผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยการวิเคราะห์จาก TechInsights ระบุว่าหากอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ที่ระดับสูงถึง 40% ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกอาจหดตัวลงถึง 34% ในปี 2026 เมื่อเทียบกับการคาดการณ์เดิม

    ในปัจจุบัน สหรัฐฯ และจีนต่างกำหนดอัตราภาษีที่สูงกว่า 100% ต่อสินค้านำเข้าจากกันและกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะในด้านการผลิตและการส่งออก นอกจากนี้ จีนยังได้ห้ามการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    TechInsights คาดการณ์ว่าหากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 10% ตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะมีมูลค่า 844 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2026 แต่หากอัตราภาษีทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 40% ตลาดจะหดตัวลงเหลือเพียง 557 พันล้านดอลลาร์

    ✅ อัตราภาษีและผลกระทบต่อการเติบโต
    - อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ สูงถึง 40% อาจทำให้ตลาดเซมิคอนดักเตอร์หดตัวลงถึง 34% ในปี 2026
    - หากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 10% ตลาดจะมีมูลค่า 844 พันล้านดอลลาร์

    ✅ การตอบโต้ของจีน
    - จีนกำหนดอัตราภาษี 125% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ
    - ห้ามการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐฯ

    ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    - การผลิตและการส่งออกได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีที่สูง
    - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกอาจหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ

    ✅ การคาดการณ์ของ TechInsights
    - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะมีมูลค่า 557 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026 หากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 40%

    https://wccftech.com/techinsights-if-the-average-us-import-tariff-rate-remains-sticky-at-40-percent-the-global-semiconductor-market-will-shrink-by-a-third-in-2026/
    บทความนี้กล่าวถึงผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยการวิเคราะห์จาก TechInsights ระบุว่าหากอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ที่ระดับสูงถึง 40% ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกอาจหดตัวลงถึง 34% ในปี 2026 เมื่อเทียบกับการคาดการณ์เดิม ในปัจจุบัน สหรัฐฯ และจีนต่างกำหนดอัตราภาษีที่สูงกว่า 100% ต่อสินค้านำเข้าจากกันและกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะในด้านการผลิตและการส่งออก นอกจากนี้ จีนยังได้ห้ามการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ TechInsights คาดการณ์ว่าหากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 10% ตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะมีมูลค่า 844 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2026 แต่หากอัตราภาษีทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 40% ตลาดจะหดตัวลงเหลือเพียง 557 พันล้านดอลลาร์ ✅ อัตราภาษีและผลกระทบต่อการเติบโต - อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ สูงถึง 40% อาจทำให้ตลาดเซมิคอนดักเตอร์หดตัวลงถึง 34% ในปี 2026 - หากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 10% ตลาดจะมีมูลค่า 844 พันล้านดอลลาร์ ✅ การตอบโต้ของจีน - จีนกำหนดอัตราภาษี 125% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ - ห้ามการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐฯ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ - การผลิตและการส่งออกได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีที่สูง - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกอาจหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ✅ การคาดการณ์ของ TechInsights - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะมีมูลค่า 557 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026 หากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 40% https://wccftech.com/techinsights-if-the-average-us-import-tariff-rate-remains-sticky-at-40-percent-the-global-semiconductor-market-will-shrink-by-a-third-in-2026/
    WCCFTECH.COM
    TechInsights: If The Average US Import Tariff Rate Remains Sticky At 40 Percent, The Global Semiconductor Market Will Shrink By A Third In 2026
    TechInsights has now published its take on the tariff-related one-upmanship between the US and China, and its impact on semiconductors.
    0 Comments 0 Shares 167 Views 0 Reviews
  • Google ได้ตัดสินใจเปลี่ยนผู้ผลิตหน่วยความจำ HBM3E จาก Samsung ไปเป็น Micron หลังจากที่ Samsung ไม่สามารถผ่านการทดสอบคุณภาพของ NVIDIA ได้ การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ HBM ของ Samsung ซึ่งกำลังเผชิญกับความท้าทายในการรักษาลูกค้าและแข่งขันกับผู้ผลิตรายอื่น เช่น SK Hynix และ Micron

    Samsung เคยมีความหวังว่าจะได้ร่วมงานกับ NVIDIA ในการจัดหาหน่วยความจำ HBM3E สำหรับชิป AI รุ่น H20 ที่ออกแบบมาสำหรับตลาดจีน แต่ข้อจำกัดด้านการส่งออกทำให้โอกาสนี้ลดลง นอกจากนี้ Google ซึ่งเคยใช้ HBM3E ของ Samsung ในชิป AI TPU ได้แจ้ง MediaTek ซึ่งเป็นพันธมิตรในการพัฒนา AI accelerator ว่าจะเปลี่ยนไปใช้ Micron แทน

    Micron ได้สร้างความแข็งแกร่งในตลาด HBM โดยเป็นผู้จัดหาหลักให้กับ NVIDIA และบริษัทชั้นนำอื่นๆ ซึ่งทำให้ Samsung ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาส่วนแบ่งตลาด

    ✅ การเปลี่ยนผู้ผลิต HBM3E
    - Google เปลี่ยนจาก Samsung ไปใช้ Micron สำหรับหน่วยความจำ HBM3E
    - Samsung ไม่สามารถผ่านการทดสอบคุณภาพของ NVIDIA ได้

    ✅ ผลกระทบต่อธุรกิจของ Samsung
    - Samsung สูญเสียลูกค้าและเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขัน
    - ข้อจำกัดด้านการส่งออกทำให้โอกาสร่วมงานกับ NVIDIA ลดลง

    ✅ ความแข็งแกร่งของ Micron
    - Micron เป็นผู้จัดหาหลักให้กับ NVIDIA และบริษัทชั้นนำอื่นๆ
    - สร้างความแข็งแกร่งในตลาด HBM

    ✅ การพัฒนา AI accelerator ของ Google
    - Google ร่วมมือกับ MediaTek ในการพัฒนา AI accelerator

    https://wccftech.com/google-has-reportedly-ditched-samsung-hbm3e-process/
    Google ได้ตัดสินใจเปลี่ยนผู้ผลิตหน่วยความจำ HBM3E จาก Samsung ไปเป็น Micron หลังจากที่ Samsung ไม่สามารถผ่านการทดสอบคุณภาพของ NVIDIA ได้ การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ HBM ของ Samsung ซึ่งกำลังเผชิญกับความท้าทายในการรักษาลูกค้าและแข่งขันกับผู้ผลิตรายอื่น เช่น SK Hynix และ Micron Samsung เคยมีความหวังว่าจะได้ร่วมงานกับ NVIDIA ในการจัดหาหน่วยความจำ HBM3E สำหรับชิป AI รุ่น H20 ที่ออกแบบมาสำหรับตลาดจีน แต่ข้อจำกัดด้านการส่งออกทำให้โอกาสนี้ลดลง นอกจากนี้ Google ซึ่งเคยใช้ HBM3E ของ Samsung ในชิป AI TPU ได้แจ้ง MediaTek ซึ่งเป็นพันธมิตรในการพัฒนา AI accelerator ว่าจะเปลี่ยนไปใช้ Micron แทน Micron ได้สร้างความแข็งแกร่งในตลาด HBM โดยเป็นผู้จัดหาหลักให้กับ NVIDIA และบริษัทชั้นนำอื่นๆ ซึ่งทำให้ Samsung ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาส่วนแบ่งตลาด ✅ การเปลี่ยนผู้ผลิต HBM3E - Google เปลี่ยนจาก Samsung ไปใช้ Micron สำหรับหน่วยความจำ HBM3E - Samsung ไม่สามารถผ่านการทดสอบคุณภาพของ NVIDIA ได้ ✅ ผลกระทบต่อธุรกิจของ Samsung - Samsung สูญเสียลูกค้าและเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขัน - ข้อจำกัดด้านการส่งออกทำให้โอกาสร่วมงานกับ NVIDIA ลดลง ✅ ความแข็งแกร่งของ Micron - Micron เป็นผู้จัดหาหลักให้กับ NVIDIA และบริษัทชั้นนำอื่นๆ - สร้างความแข็งแกร่งในตลาด HBM ✅ การพัฒนา AI accelerator ของ Google - Google ร่วมมือกับ MediaTek ในการพัฒนา AI accelerator https://wccftech.com/google-has-reportedly-ditched-samsung-hbm3e-process/
    WCCFTECH.COM
    Google Has Reportedly Ditched Samsung's HBM3E Process As It Fails To Pass NVIDIA's Qualification Tests; Switches To Micron Instead
    Samsung's HBM3E isn't going well at all, as not only is the firm not able to secure new clients, but customers are switching teams.
    0 Comments 0 Shares 152 Views 0 Reviews
  • รายงานจากคณะกรรมการพิเศษของรัฐสภาสหรัฐฯ เปิดเผยว่า DeepSeek AI ซึ่งเป็นแชทบอท AI จากจีน มีความเสี่ยงต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน โดยพบว่ามีการรวบรวมข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน เช่น ประวัติการแชท รายละเอียดอุปกรณ์ และรูปแบบการพิมพ์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกส่งกลับไปยังจีนผ่านโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงกับบริษัทโทรคมนาคมจีนที่มีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีน

    DeepSeek ยังถูกวิจารณ์ว่ามีการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อของจีน การเซ็นเซอร์ข้อมูล และการใช้โมเดล AI ของสหรัฐฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงการใช้ชิป Nvidia ที่ถูกจำกัดการส่งออก

    คณะกรรมการแนะนำให้ขยายการควบคุมการส่งออกและจัดการความเสี่ยงจากโมเดล AI ของจีน พร้อมเตรียมรับมือกับความท้าทายทางยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ AI ขั้นสูง

    ✅ การรวบรวมข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน
    - รวบรวมข้อมูล เช่น ประวัติการแชท รายละเอียดอุปกรณ์ และรูปแบบการพิมพ์
    - ข้อมูลถูกส่งกลับไปยังจีนผ่านโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ปลอดภัย

    ✅ การเชื่อมโยงกับบริษัทโทรคมนาคมจีน
    - เชื่อมโยงกับ China Mobile ซึ่งถูกสหรัฐฯ แบนในปี 2019 และถูกจัดว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงในปี 2022

    ✅ การเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อและการเซ็นเซอร์ข้อมูล
    - มีการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อของจีนและการเซ็นเซอร์ข้อมูลตามกฎหมายจีน

    ✅ การใช้โมเดล AI และชิป Nvidia โดยไม่ได้รับอนุญาต
    - ใช้โมเดล AI ของสหรัฐฯ และชิป Nvidia ที่ถูกจำกัดการส่งออก

    ✅ คำแนะนำจากคณะกรรมการ
    - ขยายการควบคุมการส่งออกและจัดการความเสี่ยงจากโมเดล AI ของจีน
    - เตรียมรับมือกับความท้าทายทางยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ AI ขั้นสูง

    https://www.techradar.com/computing/cyber-security/deepseek-is-a-profound-threat-to-national-security-and-privacy-according-to-the-us-congress
    รายงานจากคณะกรรมการพิเศษของรัฐสภาสหรัฐฯ เปิดเผยว่า DeepSeek AI ซึ่งเป็นแชทบอท AI จากจีน มีความเสี่ยงต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน โดยพบว่ามีการรวบรวมข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน เช่น ประวัติการแชท รายละเอียดอุปกรณ์ และรูปแบบการพิมพ์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกส่งกลับไปยังจีนผ่านโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงกับบริษัทโทรคมนาคมจีนที่มีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีน DeepSeek ยังถูกวิจารณ์ว่ามีการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อของจีน การเซ็นเซอร์ข้อมูล และการใช้โมเดล AI ของสหรัฐฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงการใช้ชิป Nvidia ที่ถูกจำกัดการส่งออก คณะกรรมการแนะนำให้ขยายการควบคุมการส่งออกและจัดการความเสี่ยงจากโมเดล AI ของจีน พร้อมเตรียมรับมือกับความท้าทายทางยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ AI ขั้นสูง ✅ การรวบรวมข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน - รวบรวมข้อมูล เช่น ประวัติการแชท รายละเอียดอุปกรณ์ และรูปแบบการพิมพ์ - ข้อมูลถูกส่งกลับไปยังจีนผ่านโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ปลอดภัย ✅ การเชื่อมโยงกับบริษัทโทรคมนาคมจีน - เชื่อมโยงกับ China Mobile ซึ่งถูกสหรัฐฯ แบนในปี 2019 และถูกจัดว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงในปี 2022 ✅ การเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อและการเซ็นเซอร์ข้อมูล - มีการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อของจีนและการเซ็นเซอร์ข้อมูลตามกฎหมายจีน ✅ การใช้โมเดล AI และชิป Nvidia โดยไม่ได้รับอนุญาต - ใช้โมเดล AI ของสหรัฐฯ และชิป Nvidia ที่ถูกจำกัดการส่งออก ✅ คำแนะนำจากคณะกรรมการ - ขยายการควบคุมการส่งออกและจัดการความเสี่ยงจากโมเดล AI ของจีน - เตรียมรับมือกับความท้าทายทางยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ AI ขั้นสูง https://www.techradar.com/computing/cyber-security/deepseek-is-a-profound-threat-to-national-security-and-privacy-according-to-the-us-congress
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • รัสเซียได้ประกาศแผนการผลิตชิป 28nm ในโรงงานภายในประเทศภายในปี 2030 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2011 โดยแผนนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ หลังจากที่ไต้หวันจำกัดการส่งออกชิปขั้นสูงไปยังรัสเซียและเบลารุสในปี 2022 อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทคโนโลยีนี้ยังคงเผชิญกับความท้าทาย เช่น การสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการใช้งานชิป Elbrus และการพัฒนาทักษะบุคลากรที่สามารถปรับซอฟต์แวร์ให้เข้ากับสถาปัตยกรรมใหม่ได้

    ✅ การผลิตชิป 28nm ในโรงงานภายในประเทศ
    - รัสเซียตั้งเป้าหมายผลิตชิป 28nm ภายในปี 2030
    - ชิป Elbrus จะถูกผลิตในโรงงานภายในประเทศเพื่อรองรับความต้องการขององค์กรในรัสเซีย

    ✅ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิป
    - โรงงานในรัสเซียกำลังพัฒนาเครื่องมือ lithography สำหรับการผลิตชิป 350nm และ 130nm
    - มีการลักลอบนำเข้าเครื่องมือจาก ASML เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี

    ✅ ความสำคัญของชิป Elbrus
    - ชิป Elbrus ใช้สถาปัตยกรรมที่แตกต่างจาก x86 และ ARM
    - การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพา CPU ต่างประเทศ

    ✅ การสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการใช้งานชิป Elbrus
    - รัฐบาลรัสเซียควรสนับสนุนการศึกษาและการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะบุคลากร
    - การสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/russia-says-its-on-track-to-manufacture-28nm-chips-in-its-own-fabs-by-2030-the-tech-first-debuted-15-years-ago
    รัสเซียได้ประกาศแผนการผลิตชิป 28nm ในโรงงานภายในประเทศภายในปี 2030 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2011 โดยแผนนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ หลังจากที่ไต้หวันจำกัดการส่งออกชิปขั้นสูงไปยังรัสเซียและเบลารุสในปี 2022 อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทคโนโลยีนี้ยังคงเผชิญกับความท้าทาย เช่น การสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการใช้งานชิป Elbrus และการพัฒนาทักษะบุคลากรที่สามารถปรับซอฟต์แวร์ให้เข้ากับสถาปัตยกรรมใหม่ได้ ✅ การผลิตชิป 28nm ในโรงงานภายในประเทศ - รัสเซียตั้งเป้าหมายผลิตชิป 28nm ภายในปี 2030 - ชิป Elbrus จะถูกผลิตในโรงงานภายในประเทศเพื่อรองรับความต้องการขององค์กรในรัสเซีย ✅ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิป - โรงงานในรัสเซียกำลังพัฒนาเครื่องมือ lithography สำหรับการผลิตชิป 350nm และ 130nm - มีการลักลอบนำเข้าเครื่องมือจาก ASML เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี ✅ ความสำคัญของชิป Elbrus - ชิป Elbrus ใช้สถาปัตยกรรมที่แตกต่างจาก x86 และ ARM - การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพา CPU ต่างประเทศ ✅ การสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการใช้งานชิป Elbrus - รัฐบาลรัสเซียควรสนับสนุนการศึกษาและการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะบุคลากร - การสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน https://www.tomshardware.com/tech-industry/russia-says-its-on-track-to-manufacture-28nm-chips-in-its-own-fabs-by-2030-the-tech-first-debuted-15-years-ago
    0 Comments 0 Shares 151 Views 0 Reviews
  • Tesla กำลังเผชิญกับปัญหาในการผลิตหุ่นยนต์ Optimus ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยงานบ้าน เนื่องจากการห้ามส่งออกแร่ธาตุหายากจากจีน โดย Elon Musk ระบุว่าปัญหานี้เกี่ยวข้องกับ "แม่เหล็ก" ที่ใช้ในหุ่นยนต์ ซึ่งจีนได้กำหนดข้อจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายาก 7 ชนิดในเดือนเมษายน 2025 เพื่อตอบโต้ภาษี 54% ที่สหรัฐฯ กำหนดกับสินค้าจีน

    ✅ การห้ามส่งออกแร่ธาตุหายากจากจีน
    - จีนกำหนดข้อจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายาก 7 ชนิด เช่น แกลเลียมและเจอร์เมเนียม
    - แร่ธาตุเหล่านี้มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น เลเซอร์ เรดาร์ และเครื่องยนต์เจ็ท

    ✅ ผลกระทบต่อการผลิตหุ่นยนต์ Optimus
    - หุ่นยนต์ Optimus ใช้แม่เหล็กที่ผลิตจากแร่ธาตุหายาก
    - Tesla กำลังเจรจากับจีนเพื่อขอใบอนุญาตใช้แร่ธาตุเหล่านี้

    ✅ การพึ่งพาแร่ธาตุหายากจากจีน
    - จีนผลิตแร่ธาตุหายากประมาณ 70% ของตลาดโลกในปี 2023
    - 94% ของแกลเลียมทั่วโลกมาจากจีน

    ✅ ผลกระทบต่อธุรกิจพลังงานของ Tesla
    - ภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อการนำเข้าเซลล์แบตเตอรี่ LFP จากจีน
    - Tesla กำลังติดตั้งอุปกรณ์เพื่อผลิตเซลล์แบตเตอรี่ LFP ในสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/tesla-is-impacted-by-chinas-export-ban-on-rare-earth-minerals-optimus-production-is-delayed-due-to-a-magnet-issue
    Tesla กำลังเผชิญกับปัญหาในการผลิตหุ่นยนต์ Optimus ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยงานบ้าน เนื่องจากการห้ามส่งออกแร่ธาตุหายากจากจีน โดย Elon Musk ระบุว่าปัญหานี้เกี่ยวข้องกับ "แม่เหล็ก" ที่ใช้ในหุ่นยนต์ ซึ่งจีนได้กำหนดข้อจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายาก 7 ชนิดในเดือนเมษายน 2025 เพื่อตอบโต้ภาษี 54% ที่สหรัฐฯ กำหนดกับสินค้าจีน ✅ การห้ามส่งออกแร่ธาตุหายากจากจีน - จีนกำหนดข้อจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายาก 7 ชนิด เช่น แกลเลียมและเจอร์เมเนียม - แร่ธาตุเหล่านี้มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น เลเซอร์ เรดาร์ และเครื่องยนต์เจ็ท ✅ ผลกระทบต่อการผลิตหุ่นยนต์ Optimus - หุ่นยนต์ Optimus ใช้แม่เหล็กที่ผลิตจากแร่ธาตุหายาก - Tesla กำลังเจรจากับจีนเพื่อขอใบอนุญาตใช้แร่ธาตุเหล่านี้ ✅ การพึ่งพาแร่ธาตุหายากจากจีน - จีนผลิตแร่ธาตุหายากประมาณ 70% ของตลาดโลกในปี 2023 - 94% ของแกลเลียมทั่วโลกมาจากจีน ✅ ผลกระทบต่อธุรกิจพลังงานของ Tesla - ภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อการนำเข้าเซลล์แบตเตอรี่ LFP จากจีน - Tesla กำลังติดตั้งอุปกรณ์เพื่อผลิตเซลล์แบตเตอรี่ LFP ในสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/tesla-is-impacted-by-chinas-export-ban-on-rare-earth-minerals-optimus-production-is-delayed-due-to-a-magnet-issue
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
  • ข่าวนี้กล่าวถึงศูนย์ข้อมูล AI ในจีนที่กำลังเผชิญกับปัญหาการใช้ทรัพยากรไม่เต็มประสิทธิภาพ โดยมีการขาย GPU Nvidia RTX 4090D ที่ไม่ได้ใช้งานออกสู่ตลาดเพื่อสร้างรายได้อย่างรวดเร็ว GPU เหล่านี้มี VRAM ขนาด 48GB และถูกปรับปรุงใหม่ก่อนการขาย ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายของศูนย์ข้อมูล AI ในการจัดการทรัพยากรและการลงทุนในเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย

    ✅ การขาย GPU Nvidia RTX 4090D ที่ไม่ได้ใช้งาน
    - GPU เหล่านี้มี VRAM ขนาด 48GB และถูกปรับปรุงใหม่ก่อนการขาย
    - ราคาขายอยู่ระหว่าง 20,000 ถึง 40,000 หยวน หรือประมาณ 2,735 ถึง 5,470 ดอลลาร์สหรัฐ

    ✅ ปัญหาการใช้ทรัพยากรไม่เต็มประสิทธิภาพ
    - ศูนย์ข้อมูล AI ต้องมีอัตราการใช้งานมากกว่า 70% ถึง 75% เพื่อสร้างกำไร
    - อัตราการใช้งานปัจจุบันต่ำกว่า 20% ทำให้ทรัพยากรจำนวนมากไม่ได้ใช้งาน

    ✅ การปรับปรุง GPU เพื่อการใช้งานที่หลากหลาย
    - GPU ถูกปรับเปลี่ยนเป็นแบบ blower-style เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในระบบ multi-GPU

    ✅ ผลกระทบจากข้อจำกัดการส่งออกชิป AI
    - รัฐบาลสหรัฐฯ ได้จำกัดการส่งออกชิป Nvidia H20 และ AMD MI308 ไปยังจีน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinese-data-centers-refurbing-and-selling-rtx-4090s-due-to-overcapacity-48gb-models-sell-for-up-to-usd5-500
    ข่าวนี้กล่าวถึงศูนย์ข้อมูล AI ในจีนที่กำลังเผชิญกับปัญหาการใช้ทรัพยากรไม่เต็มประสิทธิภาพ โดยมีการขาย GPU Nvidia RTX 4090D ที่ไม่ได้ใช้งานออกสู่ตลาดเพื่อสร้างรายได้อย่างรวดเร็ว GPU เหล่านี้มี VRAM ขนาด 48GB และถูกปรับปรุงใหม่ก่อนการขาย ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายของศูนย์ข้อมูล AI ในการจัดการทรัพยากรและการลงทุนในเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ✅ การขาย GPU Nvidia RTX 4090D ที่ไม่ได้ใช้งาน - GPU เหล่านี้มี VRAM ขนาด 48GB และถูกปรับปรุงใหม่ก่อนการขาย - ราคาขายอยู่ระหว่าง 20,000 ถึง 40,000 หยวน หรือประมาณ 2,735 ถึง 5,470 ดอลลาร์สหรัฐ ✅ ปัญหาการใช้ทรัพยากรไม่เต็มประสิทธิภาพ - ศูนย์ข้อมูล AI ต้องมีอัตราการใช้งานมากกว่า 70% ถึง 75% เพื่อสร้างกำไร - อัตราการใช้งานปัจจุบันต่ำกว่า 20% ทำให้ทรัพยากรจำนวนมากไม่ได้ใช้งาน ✅ การปรับปรุง GPU เพื่อการใช้งานที่หลากหลาย - GPU ถูกปรับเปลี่ยนเป็นแบบ blower-style เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในระบบ multi-GPU ✅ ผลกระทบจากข้อจำกัดการส่งออกชิป AI - รัฐบาลสหรัฐฯ ได้จำกัดการส่งออกชิป Nvidia H20 และ AMD MI308 ไปยังจีน https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinese-data-centers-refurbing-and-selling-rtx-4090s-due-to-overcapacity-48gb-models-sell-for-up-to-usd5-500
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 162 Views 0 Reviews
  • บริษัทเทคโนโลยีจีน เช่น Alibaba, Tencent และ ByteDance ได้สั่งซื้อชิป AI รุ่น H20 ของ Nvidia มูลค่ารวมกว่า 12 พันล้านดอลลาร์ ก่อนที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะประกาศข้อจำกัดการส่งออกชิปดังกล่าวในเดือนเมษายน 2025 การสั่งซื้อนี้เป็นการเตรียมพร้อมล่วงหน้าของบริษัทจีนที่คาดการณ์ถึงข้อจำกัดดังกล่าวตั้งแต่ปีที่ผ่านมา

    ✅ บริษัทจีนสั่งซื้อชิป H20 มูลค่ากว่า 12 พันล้านดอลลาร์
    - บริษัทที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ Alibaba, Tencent และ ByteDance
    - ชิป H20 ถูกจัดส่งไปยังจีนก่อนข้อจำกัดการส่งออกในเดือนเมษายน

    ✅ การเตรียมพร้อมล่วงหน้าของบริษัทจีน
    - บริษัทจีนคาดการณ์ถึงข้อจำกัดการส่งออกตั้งแต่ปี 2024
    - มีการสั่งซื้อชิป H20 จำนวน 1 ล้านชิ้น เพื่อสำรองไว้

    ✅ การผลิตชิป AI ในจีน
    - Huawei สามารถผลิตชิป Ascend A10C AI GPUs ได้ถึง 750,000 ชิ้น
    - ชิปเหล่านี้ยังคงล้าหลังเทคโนโลยี EUV ของ TSMC

    ✅ การตรวจสอบคำสั่งซื้อโดย TSMC และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ
    - มีการตรวจสอบคำสั่งซื้อที่อาจมาจากบริษัทจีนผ่านบริษัทลูกในต่างประเทศ

    https://wccftech.com/chinese-tech-giants-ordered-more-than-12-billion-of-nvidias-h20-ai-chips-ahead-of-sanctions-report/
    บริษัทเทคโนโลยีจีน เช่น Alibaba, Tencent และ ByteDance ได้สั่งซื้อชิป AI รุ่น H20 ของ Nvidia มูลค่ารวมกว่า 12 พันล้านดอลลาร์ ก่อนที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะประกาศข้อจำกัดการส่งออกชิปดังกล่าวในเดือนเมษายน 2025 การสั่งซื้อนี้เป็นการเตรียมพร้อมล่วงหน้าของบริษัทจีนที่คาดการณ์ถึงข้อจำกัดดังกล่าวตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ✅ บริษัทจีนสั่งซื้อชิป H20 มูลค่ากว่า 12 พันล้านดอลลาร์ - บริษัทที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ Alibaba, Tencent และ ByteDance - ชิป H20 ถูกจัดส่งไปยังจีนก่อนข้อจำกัดการส่งออกในเดือนเมษายน ✅ การเตรียมพร้อมล่วงหน้าของบริษัทจีน - บริษัทจีนคาดการณ์ถึงข้อจำกัดการส่งออกตั้งแต่ปี 2024 - มีการสั่งซื้อชิป H20 จำนวน 1 ล้านชิ้น เพื่อสำรองไว้ ✅ การผลิตชิป AI ในจีน - Huawei สามารถผลิตชิป Ascend A10C AI GPUs ได้ถึง 750,000 ชิ้น - ชิปเหล่านี้ยังคงล้าหลังเทคโนโลยี EUV ของ TSMC ✅ การตรวจสอบคำสั่งซื้อโดย TSMC และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ - มีการตรวจสอบคำสั่งซื้อที่อาจมาจากบริษัทจีนผ่านบริษัทลูกในต่างประเทศ https://wccftech.com/chinese-tech-giants-ordered-more-than-12-billion-of-nvidias-h20-ai-chips-ahead-of-sanctions-report/
    WCCFTECH.COM
    Chinese Tech Giants Ordered More Than $12 Billion Of NVIDIA's H20 AI Chips Ahead Of Sanctions - Report
    Chinese firms ordered as much as $12 billion of NVIDIA AI GPUs ahead of sanctions says a new report. Take a look!
    0 Comments 0 Shares 145 Views 0 Reviews
  • บทวิเคราะห์ของ สมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีคลัง “นโยบายปรับภาษี (Tariff) ของ Trump จะทำให้โลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วพัฒนาการของการค้าโลกในช่วงประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา มีการตั้งองค์การด้านการค้าโลกขึ้น เริ่มด้วยการตั้ง GATTS แล้วต่อมาปรับเป็น WTO (World Trade Organization) เพื่อสร้างกฎเกณฑ์การค้าขายระหว่างประเทศและกำกับให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามแนวทางการค้าเสรี ช่วงนี้จะมีประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา รัสเซีย ประเทศใหญ่ๆในยุโรป และประเทศญี่ปุ่นได้ปรับตัวให้ตนเองมั่งคั่งและสะสมความร่ำรวย เข้าไปควบคุมตลาดเงินและสกุลเงินตราสำคัญ รวมทั้งควบคุมตลาดการค้าหลักๆให้เป็นระเบียบและเอื้อต่อการขยายตัวของการค้าขายของแต่ละประเทศเพื่อประโยชน์ต่อตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ .แต่แล้วในช่วงดังกล่าวนี้ประเทศจีนเสือหลับแห่งเอเชีย ที่ได้ผู้นำประเทศที่ขึ้นมาพลิกผันประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรมได้รวดเร็วและต่อเนื่อง ชื่อ เติ้ง เสี่ยวผิง เติ้งได้ทำการปฏิวัติและปฏิรูปประเทศในทุกด้านโดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมตั้งแต่แบบเก่าจนแบบที่ต้องใช้เทคนิคล้ำหน้า จนขณะนี้จีนภายใต้ผู้นำชื่อ สี จิ้น ผิง ที่เข้มแข็ง มือสะอาด มีฝีมือ มีคุณธรรม มีความตั้งใจจริง เข้ามาบริหารประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดให้ใหญ่โตจนทัดเทียมกับประเทศสหรัฐอเมริกาในทุกด้าน จนผู้นำของสหรัฐอย่าง Trump รู้สึกเสียหน้ามาก. ที่มาของการใช้มาตรการทำสงครามการค้าของ Trump ความแข็งแกร่งของจีนในขณะนี้ Trump ได้เฝ้าดูแลมาร่วม 8 ปี เมื่อเขาสามารถเข้ามาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอีกครั้งก็ไม่รีรอที่จะลงมือนำนโยบายปรับภาษีสินค้านำเข้าและส่งออก (Tariff) ชนิดสุดโต่งและจำเพาะเจาะจงมาใช้กับประเทศจีนโดยทันที ขณะเดียวกันก็ได้ประกาศใช้กับประเทศคู่ค้าอื่นๆ ทั่วโลกด้วย แต่มาตรการจะเบากว่าที่ใช้กับจีน. สิ่งที่เห็นตามที่เป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้ก็คือ การเกิดแรงกระแทกอย่างมากต่อวิถีการค้าระหว่างประเทศที่เป็นอยู่ทั่วโลก ไม่ต้องถามว่าทำไม Trump ต้องทำแบบนี้ เพราะเขาเองเห็นชัดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาของเขากำลังตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดดุลการค้าอย่างมากที่เกิดต่อเนื่องมานานและมีหนี้สาธารณะสูงมาก .Trump ยังได้เห็นชัดว่า ฝ่ายของจีนมีพวกพ้องมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งกลุ่ม BRICS ประกอบด้วย Brazil, Russia, India, China และ South Africa รวมหัวกันทำการค้าต่อกันอย่างใกล้ชิด คิดใช้สกุลเงินตราของตนเอง โดยหันหน้าหนีการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ.เท่านั้นยังไม่พอ กลุ่ม BRICS ยังค่อยๆลดการลงทุนในพันธบัตรของสหรัฐที่แต่ละประเทศถือไว้มากมายลงไปโดยการขายออก และหันไปซื้อทองคำหรือกระจายการลงทุนเป็นอย่างอื่น ขณะเดียวกันนักลงทุนรายใหญ่อื่นๆ ในตลาดเงินก็ทำการทิ้งพันธบัตรสหรัฐตามกันไปด้วย มีผลทำให้พันธบัตรซึ่งเป็นสินทรัพย์ในอนาคตจำนวนมากของสหรัฐด้อยค่าลงมากอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน.สรุปได้ว่า Trump ได้มองเห็นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาตอนนี้ได้ต่ำต้อยลงอย่างรวดเร็วมาก ตัวเองจึงจำเป็นต้องทำตัวเป็นอัศวินขี่ม้าขาวเข้ามากู้ประเทศให้พลิกผันให้สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งอย่างเต็มตัวต่อไป ที่ Trump ตั้งใจจะทำก่อนและให้แรงมากคือเล่นงานด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าของสินค้าจีนอย่างบ้าระห่ำ ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยมาตรการทำนองเดียวกัน แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน นี่เป็นแค่ยกแรกแค่นั้น.ประเทศน้อยใหญ่ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศทั้งหลายต่างก็มองการกระทำของ Trump ในแง่ลบ แม้แต่ประธาน Federal Reserve ของสหรัฐเองอย่าง Jerome Powell เองก็มีอาการกึ่งช็อคกึ่งหัวหมุนกับนโยบายประเภทบ้าบิ่นที่ประธานาธิบดีของเขาจัดมาเป็นชุดๆ Powell ถึงกับกล่าวว่านโยบายของ Trump ที่นำออกมาใช้นี้จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจจะตกต่ำและการว่างงานจะมีมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดหุ้นก็จะปั่นป่วนมาก ความตั้งใจที่ Fed จะลดดอกเบี้ยลงจึงทำได้ยากขึ้นซึ่งความเห็นของประธาน Fed ดังกล่าว Trump ไม่พอใจมากเพราะเขาอยากให้มีการลดดอกเบี้ยถึงกับเอ่ยออกมาว่าคงต้องคิดเรื่องการเด้งประธาน Fed ซะแล้ว ฟังคล้ายกำลังจะเอาอย่างประเทศไทย.แนวทางของไทยที่จะรับมือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประเทศทุกประเทศที่โดนผลกระทบในเรื่องการขึ้น Tariff ของ Trump ต่างก็กำลังระดมความคิดและเตรียมตัวที่จะส่งผู้แทนไปเจรจา ยกเว้นจีนประเทศเดียวที่ขึ้นป้ายจะสู้กับสหรัฐอย่างแน่วแน่.สำหรับประเทศไทย ยังฟังไม่ได้ศัพท์จากฝ่ายรัฐบาลว่าจะมีกลยุทธ์ในการรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ชี้ให้เห็นชัดว่าศักยภาพของรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาใหญ่ต่ำมาก ฟังความได้อย่างเดียวจากท่านนายกรัฐมนตรีว่าจะใช้นโยบายและแนวทางเหมือนกับประเทศอาเซียนอื่นๆเท่านั้นตอนนี้ก็เห็นภาพชัดขึ้นอีกจากคณะผู้แทนที่เตรียมการจะไปเจรจา โดยจะไปบอกทางสหรัฐว่าไทยเราจะซื้อสินค้าจากเขามากขึ้น เช่น LNG ข้าวโพด ถั่วเหลือง เป็นต้น ถ้าจะเดาก็จะขอให้ทางสหรัฐบันยะบันยังกับการเพิ่มภาษีสินค้าที่นำเข้าจากไทยที่มีมูลค่าถึง 18 % ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด.ส่วนผลกระทบต่อไทย เท่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พยายามจะบอกพอสังเขป สรุปได้ว่าการส่งออกของไทยจะโดนกระทบมากโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแปรรูป และจะทำให้การเติบโตของ GDP ในปีนี้ลดต่ำกว่าเป้าเหลือโตไม่ถึง 2.5 % และอัตราเงินเฟ้อของไทยก็จะชะลอลงด้วย นี่ยังไม่พูดถึงผลกระทบในปีหน้าและต่อๆไป ว่าจะรุนแรงสักแค่ไหน เชื่อได้เถอะครับมันแรงเกินคาด.ความเห็นผมนั้น เห็นว่าไทยเราจะโดนหนักกว่าที่รัฐบาลและหน่วยราชการไทยประเมินไว้มาก เกินศักยภาพของรัฐบาลไทยชุดนี้จะรับมือได้ วิกฤตที่จะเกิดขึ้นจากเรื่อง Tariff หนนี้ ไม่ใช่ Covid 19 นะครับ มันเป็นเรื่องประเทศใครประเทศมัน ใครมีผู้นำเก่งก็ทำให้เบาได้ สามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้.แนวทางในการคิดแก้วิกฤตของประเทศขนาดเล็กผมอยากนำท่านผู้อ่านไปดูว่าผู้นำของสิงคโปร์อย่างอดีตนายกลี เซียนลุง ได้พูดเมื่อไม่กี่วันมานี้ซึ่งดีมาก เขาเริ่มบอกประชาชนรวมทั้งคณะรัฐมนตรีที่บริหารประเทศและนักธุรกิจ นักลงทุนของเขาว่าแม้จะมีความไม่แน่นอนในช่วง 90 วันที่ Trump จะให้ประเทศอื่นๆ นอกจากจีนไปคิดกันให้ดี แต่ก็ต้องมองให้ออกว่าทุกอย่างจะไม่กลับไปเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ดังนั้น เราต้องกังวลและคิดให้ตกว่ามันจะส่งผลกับเรามากแค่ไหน ต้องตระหนักให้ได้ว่าวิกฤตที่จะเกิดทั่วโลกนี้ บางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมันแตกต่างไปจากเดิมมาก .ลี เซียนลุง ชี้ให้เห็นชัดว่า การขึ้นภาษีหรือ Tariff ไปทั่วโลกครั้งนี้มันจะก่อกวนต่อการผลิตมากกว่าที่คิด เพราะ Supply Chain หรือ ห่วงโซ่การผลิตทุกอย่างจะหยุดชะงัก แผนการผลิตเดิมทุกอย่างจะหายไป และจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (Recession) อย่างรวดเร็ว และขอให้คาดหวังไว้ได้เลยว่า ปัญหานี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน.หลังจากลี เซียนลุง พูดเรื่องนี้ได้ไม่กี่วัน นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ที่มีเสียงสนับสนุนหนาแน่นอยู่ได้ประเทศยุบสภาไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน นี้เอง เหตุผลเพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเลือกผู้นำใหม่ขึ้นมา นี่คือสิงคโปร์ นี่คือสิ่งที่เขาเป็นชาติที่เจริญได้อย่างรวดเร็วและมั่นคงจนเราไม่สามารถแหงนหน้าขึ้นไปมองเขาได้แล้ว.ทางรอดของไทยจะเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดนี้ เรามาดูว่าประเทศไทยเราจะมีทางรอดแค่ไหนก่อนเราต้องส่องกระจกดูตัวเอง และต้องฟังดูว่ามีใครมองเราอย่างไรบ้างให้ชัดก่อน เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เองได้มีการชี้แนะจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศแห่งหนึ่งว่า “ประเทศไทยนั้นมีเรื่องคอร์รัปชั่นเป็นตัวหลักที่ทำให้การบริหารประเทศในทุกด้านเดินหน้าไม่ได้” และเมื่อมีนาคม 2568 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยน่าห่วงเทียบได้เป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย”เป็นคนป่วยยังไงหรือ ทางด้านเศรษฐกิจก็เห็นกันชัดอยู่แล้วว่าไทยเรา กำลังเผชิญกับหนี้สาธารณะสูงมาก ภาษีเก็บได้น้อย ช่องทางในการหาเงินมาบริหารประเทศยังชักหน้าไม่ถึงหลัง อนาคตด้านการคลังริบหรี่ ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจเรื่องหนี้ครัวเรือนก็ไม่มีทางจะแก้ให้เบาบางลงได้ แม้ไม่มีเรื่องการปรับ Tariff ของ Trump ประเทศไทยเราก็มีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากเกินอยู่แล้ว นี่คืออาการของคนป่วยเรื้อรังแห่งเอเชีย.ไม่ต้องสาธยายกันมาก อีกเรื่องทุกคนก็รู้ดีอยู่ว่า การเมืองของไทยยักแย่ยักยันอยู่ในปลักโคลนตมเดิมจนโงหัวไม่ขึ้นมานานแล้ว การเล่นการเมืองของนักการเมืองไทยเด็กๆก็รู้ว่าเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเท่านั้น ใครจะเห็นต่างกี่คนก็บอกมา.เมื่อองคาพยพของการเมืองไทยซึ่งมีการแต่งตั้งคณะรัฐบาลมาบริหารประเทศจากรากเหง้าเก่าๆที่รู้กันอยู่ เมื่อเจอกับปัญหาใหญ่ระดับโลกชนิดที่ว่าหันไปทางไหนก็มากระทบเราทั้งนั้น ท่านผู้ที่ได้ใช้สิทธิใช้เสียงเลือกพวกเขาเข้ามาบริหารประเทศ เชื่อและมั่นใจหรือไม่ว่าเขาจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมากระทบประเทศเราได้ .หันไปดูนโยบายของพรรคการเมืองผู้กุมอำนาจบริหารประเทศอยู่ในขณะนี้ก็จะเห็นชัดเจนว่า ตอนนี้นโยบายของพวกเขาเหล่านั้น มันเน่าบูดกันแทบหมดแล้วครับ ถ้าจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมีแรงกระแทกก่อให้เกิดวิกฤตที่ใหญ่เกินคาด ด้วยการปรับ ครม. แต่ยังดันทุรังคงสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ไว้ น่าจะไม่เป็นการกระทำของผู้นำที่รักชาติจริง”
    บทวิเคราะห์ของ สมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีคลัง “นโยบายปรับภาษี (Tariff) ของ Trump จะทำให้โลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วพัฒนาการของการค้าโลกในช่วงประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา มีการตั้งองค์การด้านการค้าโลกขึ้น เริ่มด้วยการตั้ง GATTS แล้วต่อมาปรับเป็น WTO (World Trade Organization) เพื่อสร้างกฎเกณฑ์การค้าขายระหว่างประเทศและกำกับให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามแนวทางการค้าเสรี ช่วงนี้จะมีประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา รัสเซีย ประเทศใหญ่ๆในยุโรป และประเทศญี่ปุ่นได้ปรับตัวให้ตนเองมั่งคั่งและสะสมความร่ำรวย เข้าไปควบคุมตลาดเงินและสกุลเงินตราสำคัญ รวมทั้งควบคุมตลาดการค้าหลักๆให้เป็นระเบียบและเอื้อต่อการขยายตัวของการค้าขายของแต่ละประเทศเพื่อประโยชน์ต่อตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ .แต่แล้วในช่วงดังกล่าวนี้ประเทศจีนเสือหลับแห่งเอเชีย ที่ได้ผู้นำประเทศที่ขึ้นมาพลิกผันประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรมได้รวดเร็วและต่อเนื่อง ชื่อ เติ้ง เสี่ยวผิง เติ้งได้ทำการปฏิวัติและปฏิรูปประเทศในทุกด้านโดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมตั้งแต่แบบเก่าจนแบบที่ต้องใช้เทคนิคล้ำหน้า จนขณะนี้จีนภายใต้ผู้นำชื่อ สี จิ้น ผิง ที่เข้มแข็ง มือสะอาด มีฝีมือ มีคุณธรรม มีความตั้งใจจริง เข้ามาบริหารประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดให้ใหญ่โตจนทัดเทียมกับประเทศสหรัฐอเมริกาในทุกด้าน จนผู้นำของสหรัฐอย่าง Trump รู้สึกเสียหน้ามาก. ที่มาของการใช้มาตรการทำสงครามการค้าของ Trump ความแข็งแกร่งของจีนในขณะนี้ Trump ได้เฝ้าดูแลมาร่วม 8 ปี เมื่อเขาสามารถเข้ามาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอีกครั้งก็ไม่รีรอที่จะลงมือนำนโยบายปรับภาษีสินค้านำเข้าและส่งออก (Tariff) ชนิดสุดโต่งและจำเพาะเจาะจงมาใช้กับประเทศจีนโดยทันที ขณะเดียวกันก็ได้ประกาศใช้กับประเทศคู่ค้าอื่นๆ ทั่วโลกด้วย แต่มาตรการจะเบากว่าที่ใช้กับจีน. สิ่งที่เห็นตามที่เป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้ก็คือ การเกิดแรงกระแทกอย่างมากต่อวิถีการค้าระหว่างประเทศที่เป็นอยู่ทั่วโลก ไม่ต้องถามว่าทำไม Trump ต้องทำแบบนี้ เพราะเขาเองเห็นชัดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาของเขากำลังตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดดุลการค้าอย่างมากที่เกิดต่อเนื่องมานานและมีหนี้สาธารณะสูงมาก .Trump ยังได้เห็นชัดว่า ฝ่ายของจีนมีพวกพ้องมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งกลุ่ม BRICS ประกอบด้วย Brazil, Russia, India, China และ South Africa รวมหัวกันทำการค้าต่อกันอย่างใกล้ชิด คิดใช้สกุลเงินตราของตนเอง โดยหันหน้าหนีการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ.เท่านั้นยังไม่พอ กลุ่ม BRICS ยังค่อยๆลดการลงทุนในพันธบัตรของสหรัฐที่แต่ละประเทศถือไว้มากมายลงไปโดยการขายออก และหันไปซื้อทองคำหรือกระจายการลงทุนเป็นอย่างอื่น ขณะเดียวกันนักลงทุนรายใหญ่อื่นๆ ในตลาดเงินก็ทำการทิ้งพันธบัตรสหรัฐตามกันไปด้วย มีผลทำให้พันธบัตรซึ่งเป็นสินทรัพย์ในอนาคตจำนวนมากของสหรัฐด้อยค่าลงมากอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน.สรุปได้ว่า Trump ได้มองเห็นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาตอนนี้ได้ต่ำต้อยลงอย่างรวดเร็วมาก ตัวเองจึงจำเป็นต้องทำตัวเป็นอัศวินขี่ม้าขาวเข้ามากู้ประเทศให้พลิกผันให้สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งอย่างเต็มตัวต่อไป ที่ Trump ตั้งใจจะทำก่อนและให้แรงมากคือเล่นงานด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าของสินค้าจีนอย่างบ้าระห่ำ ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยมาตรการทำนองเดียวกัน แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน นี่เป็นแค่ยกแรกแค่นั้น.ประเทศน้อยใหญ่ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศทั้งหลายต่างก็มองการกระทำของ Trump ในแง่ลบ แม้แต่ประธาน Federal Reserve ของสหรัฐเองอย่าง Jerome Powell เองก็มีอาการกึ่งช็อคกึ่งหัวหมุนกับนโยบายประเภทบ้าบิ่นที่ประธานาธิบดีของเขาจัดมาเป็นชุดๆ Powell ถึงกับกล่าวว่านโยบายของ Trump ที่นำออกมาใช้นี้จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจจะตกต่ำและการว่างงานจะมีมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดหุ้นก็จะปั่นป่วนมาก ความตั้งใจที่ Fed จะลดดอกเบี้ยลงจึงทำได้ยากขึ้นซึ่งความเห็นของประธาน Fed ดังกล่าว Trump ไม่พอใจมากเพราะเขาอยากให้มีการลดดอกเบี้ยถึงกับเอ่ยออกมาว่าคงต้องคิดเรื่องการเด้งประธาน Fed ซะแล้ว ฟังคล้ายกำลังจะเอาอย่างประเทศไทย.แนวทางของไทยที่จะรับมือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประเทศทุกประเทศที่โดนผลกระทบในเรื่องการขึ้น Tariff ของ Trump ต่างก็กำลังระดมความคิดและเตรียมตัวที่จะส่งผู้แทนไปเจรจา ยกเว้นจีนประเทศเดียวที่ขึ้นป้ายจะสู้กับสหรัฐอย่างแน่วแน่.สำหรับประเทศไทย ยังฟังไม่ได้ศัพท์จากฝ่ายรัฐบาลว่าจะมีกลยุทธ์ในการรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ชี้ให้เห็นชัดว่าศักยภาพของรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาใหญ่ต่ำมาก ฟังความได้อย่างเดียวจากท่านนายกรัฐมนตรีว่าจะใช้นโยบายและแนวทางเหมือนกับประเทศอาเซียนอื่นๆเท่านั้นตอนนี้ก็เห็นภาพชัดขึ้นอีกจากคณะผู้แทนที่เตรียมการจะไปเจรจา โดยจะไปบอกทางสหรัฐว่าไทยเราจะซื้อสินค้าจากเขามากขึ้น เช่น LNG ข้าวโพด ถั่วเหลือง เป็นต้น ถ้าจะเดาก็จะขอให้ทางสหรัฐบันยะบันยังกับการเพิ่มภาษีสินค้าที่นำเข้าจากไทยที่มีมูลค่าถึง 18 % ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด.ส่วนผลกระทบต่อไทย เท่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พยายามจะบอกพอสังเขป สรุปได้ว่าการส่งออกของไทยจะโดนกระทบมากโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแปรรูป และจะทำให้การเติบโตของ GDP ในปีนี้ลดต่ำกว่าเป้าเหลือโตไม่ถึง 2.5 % และอัตราเงินเฟ้อของไทยก็จะชะลอลงด้วย นี่ยังไม่พูดถึงผลกระทบในปีหน้าและต่อๆไป ว่าจะรุนแรงสักแค่ไหน เชื่อได้เถอะครับมันแรงเกินคาด.ความเห็นผมนั้น เห็นว่าไทยเราจะโดนหนักกว่าที่รัฐบาลและหน่วยราชการไทยประเมินไว้มาก เกินศักยภาพของรัฐบาลไทยชุดนี้จะรับมือได้ วิกฤตที่จะเกิดขึ้นจากเรื่อง Tariff หนนี้ ไม่ใช่ Covid 19 นะครับ มันเป็นเรื่องประเทศใครประเทศมัน ใครมีผู้นำเก่งก็ทำให้เบาได้ สามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้.แนวทางในการคิดแก้วิกฤตของประเทศขนาดเล็กผมอยากนำท่านผู้อ่านไปดูว่าผู้นำของสิงคโปร์อย่างอดีตนายกลี เซียนลุง ได้พูดเมื่อไม่กี่วันมานี้ซึ่งดีมาก เขาเริ่มบอกประชาชนรวมทั้งคณะรัฐมนตรีที่บริหารประเทศและนักธุรกิจ นักลงทุนของเขาว่าแม้จะมีความไม่แน่นอนในช่วง 90 วันที่ Trump จะให้ประเทศอื่นๆ นอกจากจีนไปคิดกันให้ดี แต่ก็ต้องมองให้ออกว่าทุกอย่างจะไม่กลับไปเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ดังนั้น เราต้องกังวลและคิดให้ตกว่ามันจะส่งผลกับเรามากแค่ไหน ต้องตระหนักให้ได้ว่าวิกฤตที่จะเกิดทั่วโลกนี้ บางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมันแตกต่างไปจากเดิมมาก .ลี เซียนลุง ชี้ให้เห็นชัดว่า การขึ้นภาษีหรือ Tariff ไปทั่วโลกครั้งนี้มันจะก่อกวนต่อการผลิตมากกว่าที่คิด เพราะ Supply Chain หรือ ห่วงโซ่การผลิตทุกอย่างจะหยุดชะงัก แผนการผลิตเดิมทุกอย่างจะหายไป และจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (Recession) อย่างรวดเร็ว และขอให้คาดหวังไว้ได้เลยว่า ปัญหานี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน.หลังจากลี เซียนลุง พูดเรื่องนี้ได้ไม่กี่วัน นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ที่มีเสียงสนับสนุนหนาแน่นอยู่ได้ประเทศยุบสภาไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน นี้เอง เหตุผลเพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเลือกผู้นำใหม่ขึ้นมา นี่คือสิงคโปร์ นี่คือสิ่งที่เขาเป็นชาติที่เจริญได้อย่างรวดเร็วและมั่นคงจนเราไม่สามารถแหงนหน้าขึ้นไปมองเขาได้แล้ว.ทางรอดของไทยจะเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดนี้ เรามาดูว่าประเทศไทยเราจะมีทางรอดแค่ไหนก่อนเราต้องส่องกระจกดูตัวเอง และต้องฟังดูว่ามีใครมองเราอย่างไรบ้างให้ชัดก่อน เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เองได้มีการชี้แนะจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศแห่งหนึ่งว่า “ประเทศไทยนั้นมีเรื่องคอร์รัปชั่นเป็นตัวหลักที่ทำให้การบริหารประเทศในทุกด้านเดินหน้าไม่ได้” และเมื่อมีนาคม 2568 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยน่าห่วงเทียบได้เป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย”เป็นคนป่วยยังไงหรือ ทางด้านเศรษฐกิจก็เห็นกันชัดอยู่แล้วว่าไทยเรา กำลังเผชิญกับหนี้สาธารณะสูงมาก ภาษีเก็บได้น้อย ช่องทางในการหาเงินมาบริหารประเทศยังชักหน้าไม่ถึงหลัง อนาคตด้านการคลังริบหรี่ ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจเรื่องหนี้ครัวเรือนก็ไม่มีทางจะแก้ให้เบาบางลงได้ แม้ไม่มีเรื่องการปรับ Tariff ของ Trump ประเทศไทยเราก็มีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากเกินอยู่แล้ว นี่คืออาการของคนป่วยเรื้อรังแห่งเอเชีย.ไม่ต้องสาธยายกันมาก อีกเรื่องทุกคนก็รู้ดีอยู่ว่า การเมืองของไทยยักแย่ยักยันอยู่ในปลักโคลนตมเดิมจนโงหัวไม่ขึ้นมานานแล้ว การเล่นการเมืองของนักการเมืองไทยเด็กๆก็รู้ว่าเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเท่านั้น ใครจะเห็นต่างกี่คนก็บอกมา.เมื่อองคาพยพของการเมืองไทยซึ่งมีการแต่งตั้งคณะรัฐบาลมาบริหารประเทศจากรากเหง้าเก่าๆที่รู้กันอยู่ เมื่อเจอกับปัญหาใหญ่ระดับโลกชนิดที่ว่าหันไปทางไหนก็มากระทบเราทั้งนั้น ท่านผู้ที่ได้ใช้สิทธิใช้เสียงเลือกพวกเขาเข้ามาบริหารประเทศ เชื่อและมั่นใจหรือไม่ว่าเขาจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมากระทบประเทศเราได้ .หันไปดูนโยบายของพรรคการเมืองผู้กุมอำนาจบริหารประเทศอยู่ในขณะนี้ก็จะเห็นชัดเจนว่า ตอนนี้นโยบายของพวกเขาเหล่านั้น มันเน่าบูดกันแทบหมดแล้วครับ ถ้าจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมีแรงกระแทกก่อให้เกิดวิกฤตที่ใหญ่เกินคาด ด้วยการปรับ ครม. แต่ยังดันทุรังคงสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ไว้ น่าจะไม่เป็นการกระทำของผู้นำที่รักชาติจริง”
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 579 Views 0 Reviews
  • TSMC กำลังเผชิญกับความท้าทายในการควบคุมการส่งออกชิป หลังจากที่บริษัทถูกปรับ 1 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากผลิตชิปให้กับ Huawei ผ่านบริษัทตัวแทน โดย TSMC ยอมรับว่าไม่สามารถรับประกันได้ว่าชิปที่ผลิตจะไม่ถูกส่งไปยังจีน เนื่องจากข้อจำกัดในห่วงโซ่อุปทาน

    ✅ TSMC ถูกปรับ 1 พันล้านดอลลาร์จากการผลิตชิปให้ Huawei ผ่านตัวแทน
    - Huawei ใช้บริษัทตัวแทนในการสั่งผลิตชิปจาก TSMC เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางการค้า
    - สหรัฐฯ กำหนดมาตรการคว่ำบาตร Huawei ทำให้ TSMC ต้องเผชิญกับบทลงโทษ

    ✅ TSMC ยอมรับว่าไม่สามารถควบคุมปลายทางของชิปที่ผลิตได้
    - บริษัทระบุว่าเมื่อชิปออกจากโรงงานแล้ว จะไม่สามารถติดตามได้ว่าถูกนำไปใช้ที่ไหน
    - มีความเสี่ยงที่บริษัทตัวแทนจะนำชิปไปขายให้กับ Huawei หรือบริษัทอื่นในจีน

    ✅ TSMC ใช้ GDS file ในการผลิตชิป ซึ่งไม่สามารถระบุผู้พัฒนาได้
    - GDS file เป็นข้อมูลที่ใช้ในการออกแบบและผลิตชิป แต่ไม่ได้ระบุว่าชิปถูกพัฒนาโดยใคร
    - ทำให้ TSMC ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าชิปที่ผลิตจะถูกนำไปใช้โดย Huawei หรือไม่

    ✅ TSMC อาจเผชิญกับมาตรการลงโทษที่เข้มงวดขึ้นในอนาคต
    - สหรัฐฯ อาจเพิ่มข้อจำกัดในการส่งออกชิปเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/tsmc-says-it-cannot-guarantee-that-its-chips-dont-end-up-in-china
    TSMC กำลังเผชิญกับความท้าทายในการควบคุมการส่งออกชิป หลังจากที่บริษัทถูกปรับ 1 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากผลิตชิปให้กับ Huawei ผ่านบริษัทตัวแทน โดย TSMC ยอมรับว่าไม่สามารถรับประกันได้ว่าชิปที่ผลิตจะไม่ถูกส่งไปยังจีน เนื่องจากข้อจำกัดในห่วงโซ่อุปทาน ✅ TSMC ถูกปรับ 1 พันล้านดอลลาร์จากการผลิตชิปให้ Huawei ผ่านตัวแทน - Huawei ใช้บริษัทตัวแทนในการสั่งผลิตชิปจาก TSMC เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางการค้า - สหรัฐฯ กำหนดมาตรการคว่ำบาตร Huawei ทำให้ TSMC ต้องเผชิญกับบทลงโทษ ✅ TSMC ยอมรับว่าไม่สามารถควบคุมปลายทางของชิปที่ผลิตได้ - บริษัทระบุว่าเมื่อชิปออกจากโรงงานแล้ว จะไม่สามารถติดตามได้ว่าถูกนำไปใช้ที่ไหน - มีความเสี่ยงที่บริษัทตัวแทนจะนำชิปไปขายให้กับ Huawei หรือบริษัทอื่นในจีน ✅ TSMC ใช้ GDS file ในการผลิตชิป ซึ่งไม่สามารถระบุผู้พัฒนาได้ - GDS file เป็นข้อมูลที่ใช้ในการออกแบบและผลิตชิป แต่ไม่ได้ระบุว่าชิปถูกพัฒนาโดยใคร - ทำให้ TSMC ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าชิปที่ผลิตจะถูกนำไปใช้โดย Huawei หรือไม่ ✅ TSMC อาจเผชิญกับมาตรการลงโทษที่เข้มงวดขึ้นในอนาคต - สหรัฐฯ อาจเพิ่มข้อจำกัดในการส่งออกชิปเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร https://www.tomshardware.com/tech-industry/tsmc-says-it-cannot-guarantee-that-its-chips-dont-end-up-in-china
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเผยส่งออกข้าว 3 เดือน ปี 68 ทำได้แค่ 2.1 ล้านตัน ลดลง 30% ได้รับผลกระทบอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาว อินโดนีเซียหยุดนำเข้า ส่วนทรัมป์ 2.0 ทำให้สหรัฐฯ มีการเร่งซื้อข้าวไทยไปเก็บสต๊อก แต่ระยะยาว หากภาษีขึ้น ส่งออกกระทบแน่ ยังยืนเป้าปีนี้ 7.5 ล้านตัน รอดูครึ่งปีจะทบทวนหรือไม่

    นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า การส่งออกข้าวไทยในช่วง 3 เดือน ปี 2568 (ม.ค.-มี.ค.) มีปริมาณ 2.1 ล้านตัน ลดลง 30% เนื่องจากอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาวอีกครั้ง หลังระงับส่งออกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และยังได้รับผลกระทบจากอินโดนีเซีย ซึ่งผู้นำเข้ารายสำคัญในปีที่ผ่านมา ที่นำเข้าสูงถึง 4 ล้านตัน แต่ช่วงนี้หยุดการนำเข้าข้าวจากไทย เพราะมีผลผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น โดยปีนี้ทั้งปีอินโดนีเซียอาจนำเข้าข้าวไม่ถึง 1 ล้านตัน และคาดว่าจะกลับมานำเข้าในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้ปริมาณส่งออกข้าวขาวลดลงถึง 53% แต่ยังดีที่มียอดส่งออกข้าวหอมมะลิไทย และข้าวนึ่งเพิ่มขึ้น

    สำหรับนโยบายทรัมป์ 2.0 ยังเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะขณะนี้มีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทยแล้ว 10% จากเดิมภาษีอยู่ที่ 0% โดยการชะลอการเก็บภาษีนำเข้าจากไทยในอัตรา 36% ออกไป 90 วัน ทำให้มีคำสั่งซื้อข้าวไทยเพิ่มมากขึ้น เพื่อเก็บในสต็อก โดยในช่วงไตรมาสแรก มีการส่งออกข้าวหอมมะลิไทยไปแล้วกว่า 2 แสนตัน ส่วนปีที่ผ่านมา ส่งออกข้าวไปตลาดสหรัฐฯ ปริมาณ 830,000 ตัน เป็นข้าวหอมมะลิไทย 630,000 ตัน และข้าวหอมไทย 120,000 ตัน โดยแต่ละปี มีการส่งออกข้าวหอมมะลิไทย รวม 1.3-1.4 ล้านตัน

    ทั้งนี้ ในระยะต่อไป หากไทยถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 25% ราคาส่งออกข้าวหอมมะลิไทยปัจจุบันอยู่ที่ 1,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคาจะเพิ่มเป็น 1,250 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งไม่แน่ใจว่าผู้บริโภคสหรัฐฯ จะรับราคาที่เพิ่มได้หรือไม่ ซึ่งต้องรอดูผลตอบรับต่อไป

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/business/detail/9680000037319

    #MGROnline #สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย #ข้าวไทย #ส่งออกข้าวขาว
    สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเผยส่งออกข้าว 3 เดือน ปี 68 ทำได้แค่ 2.1 ล้านตัน ลดลง 30% ได้รับผลกระทบอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาว อินโดนีเซียหยุดนำเข้า ส่วนทรัมป์ 2.0 ทำให้สหรัฐฯ มีการเร่งซื้อข้าวไทยไปเก็บสต๊อก แต่ระยะยาว หากภาษีขึ้น ส่งออกกระทบแน่ ยังยืนเป้าปีนี้ 7.5 ล้านตัน รอดูครึ่งปีจะทบทวนหรือไม่ • นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า การส่งออกข้าวไทยในช่วง 3 เดือน ปี 2568 (ม.ค.-มี.ค.) มีปริมาณ 2.1 ล้านตัน ลดลง 30% เนื่องจากอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาวอีกครั้ง หลังระงับส่งออกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และยังได้รับผลกระทบจากอินโดนีเซีย ซึ่งผู้นำเข้ารายสำคัญในปีที่ผ่านมา ที่นำเข้าสูงถึง 4 ล้านตัน แต่ช่วงนี้หยุดการนำเข้าข้าวจากไทย เพราะมีผลผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น โดยปีนี้ทั้งปีอินโดนีเซียอาจนำเข้าข้าวไม่ถึง 1 ล้านตัน และคาดว่าจะกลับมานำเข้าในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้ปริมาณส่งออกข้าวขาวลดลงถึง 53% แต่ยังดีที่มียอดส่งออกข้าวหอมมะลิไทย และข้าวนึ่งเพิ่มขึ้น • สำหรับนโยบายทรัมป์ 2.0 ยังเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะขณะนี้มีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทยแล้ว 10% จากเดิมภาษีอยู่ที่ 0% โดยการชะลอการเก็บภาษีนำเข้าจากไทยในอัตรา 36% ออกไป 90 วัน ทำให้มีคำสั่งซื้อข้าวไทยเพิ่มมากขึ้น เพื่อเก็บในสต็อก โดยในช่วงไตรมาสแรก มีการส่งออกข้าวหอมมะลิไทยไปแล้วกว่า 2 แสนตัน ส่วนปีที่ผ่านมา ส่งออกข้าวไปตลาดสหรัฐฯ ปริมาณ 830,000 ตัน เป็นข้าวหอมมะลิไทย 630,000 ตัน และข้าวหอมไทย 120,000 ตัน โดยแต่ละปี มีการส่งออกข้าวหอมมะลิไทย รวม 1.3-1.4 ล้านตัน • ทั้งนี้ ในระยะต่อไป หากไทยถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 25% ราคาส่งออกข้าวหอมมะลิไทยปัจจุบันอยู่ที่ 1,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคาจะเพิ่มเป็น 1,250 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งไม่แน่ใจว่าผู้บริโภคสหรัฐฯ จะรับราคาที่เพิ่มได้หรือไม่ ซึ่งต้องรอดูผลตอบรับต่อไป • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/business/detail/9680000037319 • #MGROnline #สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย #ข้าวไทย #ส่งออกข้าวขาว
    0 Comments 0 Shares 310 Views 0 Reviews
  • บทความนี้กล่าวถึงการตอบสนองของ TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company) ต่อรายงานที่ระบุว่าบริษัทได้จัดส่งชิป AI ขั้นสูงให้กับ Huawei ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีของจีน แม้ว่าจะมีข้อจำกัดจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ห้ามการส่งออกชิปขั้นสูงไปยัง Huawei ตั้งแต่ปี 2020 โดย TSMC ยืนยันว่าไม่ได้จัดส่งผลิตภัณฑ์ใดๆ ให้กับ Huawei ตั้งแต่เดือนกันยายน 2020 และได้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด

    ✅ TSMC ยืนยันว่าไม่ได้จัดส่งชิปให้ Huawei ตั้งแต่ปี 2020
    - การห้ามส่งออกชิปขั้นสูงไปยัง Huawei เริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม 2020 ภายใต้การบริหารของรัฐบาล Trump
    - TSMC ระบุว่าได้หยุดการจัดส่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดให้กับ Huawei ตั้งแต่เดือนกันยายน 2020

    ✅ TSMC ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับอย่างเคร่งครัด
    - บริษัทได้สื่อสารกับกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ เกี่ยวกับคำสั่งซื้อที่น่าสงสัย
    - หากพบคำสั่งซื้อที่น่าสงสัย TSMC จะดำเนินการตรวจสอบและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

    ✅ รายงานระบุว่า Huawei อาจผลิตชิป Ascend ได้เอง
    - มีรายงานว่า Huawei ได้รับแม่พิมพ์ (dies) สำหรับการผลิตชิปก่อนที่ข้อจำกัดจะมีผลบังคับใช้

    ✅ TSMC ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง
    - ปัจจุบัน TSMC ใช้กระบวนการผลิต 3 นาโนเมตรสำหรับชิปที่ใช้พลังงานต่ำ เช่น โปรเซสเซอร์สมาร์ทโฟน

    https://wccftech.com/tsmc-breaks-silence-on-reports-it-shipped-advanced-ai-chips-to-chinas-huawei/
    บทความนี้กล่าวถึงการตอบสนองของ TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company) ต่อรายงานที่ระบุว่าบริษัทได้จัดส่งชิป AI ขั้นสูงให้กับ Huawei ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีของจีน แม้ว่าจะมีข้อจำกัดจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ห้ามการส่งออกชิปขั้นสูงไปยัง Huawei ตั้งแต่ปี 2020 โดย TSMC ยืนยันว่าไม่ได้จัดส่งผลิตภัณฑ์ใดๆ ให้กับ Huawei ตั้งแต่เดือนกันยายน 2020 และได้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ✅ TSMC ยืนยันว่าไม่ได้จัดส่งชิปให้ Huawei ตั้งแต่ปี 2020 - การห้ามส่งออกชิปขั้นสูงไปยัง Huawei เริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม 2020 ภายใต้การบริหารของรัฐบาล Trump - TSMC ระบุว่าได้หยุดการจัดส่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดให้กับ Huawei ตั้งแต่เดือนกันยายน 2020 ✅ TSMC ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับอย่างเคร่งครัด - บริษัทได้สื่อสารกับกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ เกี่ยวกับคำสั่งซื้อที่น่าสงสัย - หากพบคำสั่งซื้อที่น่าสงสัย TSMC จะดำเนินการตรวจสอบและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ✅ รายงานระบุว่า Huawei อาจผลิตชิป Ascend ได้เอง - มีรายงานว่า Huawei ได้รับแม่พิมพ์ (dies) สำหรับการผลิตชิปก่อนที่ข้อจำกัดจะมีผลบังคับใช้ ✅ TSMC ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง - ปัจจุบัน TSMC ใช้กระบวนการผลิต 3 นาโนเมตรสำหรับชิปที่ใช้พลังงานต่ำ เช่น โปรเซสเซอร์สมาร์ทโฟน https://wccftech.com/tsmc-breaks-silence-on-reports-it-shipped-advanced-ai-chips-to-chinas-huawei/
    WCCFTECH.COM
    TSMC Breaks Silence On Reports It Shipped Advanced AI Chips To China's Huawei
    TSMC breaks silence on reports that Huawei has acquired advanced AI chips built by the firm's manufacturing technologies.
    0 Comments 0 Shares 251 Views 0 Reviews
  • “สคร. จัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินสะสม ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2568 จำนวน 79,054 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45% ของเป้าหมายทั้งปี”นายธิบดี วัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2568 สคร. มีเป้าหมายในการจัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 (เงินนำส่งรายได้แผ่นดินฯ) จำนวน 176,500 ล้านบาท โดยไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2568 (1 ตุลาคม 2567 - 31 มีนาคม 2568) มีประมาณการเงินนำส่งรายได้แผ่นดินฯ สะสมจำนวน 62,975 ล้านบาท และ สคร. สามารถจัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินฯ สะสมรวมทั้งสิ้นจำนวน 79,054 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการสะสมอยู่ที่จำนวน 16,079 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 126 ของประมาณการสะสม และคิดเป็นร้อยละ 45 ของเป้าหมายการจัดเก็บทั้งปี ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 ที่นำส่งรายได้แผ่นดินสูงสุด 10 อันดับแรก (ไม่รวมภาษีหรือค่าธรรมเนียมอื่น ๆ) แสดงได้ตามตาราง ดังนี้ลำดับที่ รัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 จำนวน (ล้านบาท)1) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย1 26,349 2) สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 22,610 3) ธนาคารออมสิน 8,323 4) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (10,000 of 14,285.7) 7,900 5) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 7,226 6) การไฟฟ้านครหลวง 3,468 7) การประปาส่วนภูมิภาค 1,820 8) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) 739 9) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย 197 10) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย 109 หมายเหตุ: 1รวมเงินนำส่งรายได้แผ่นดินจากการจัดสรรกำไรสุทธิปี 2566 จำนวน 20,566 ล้านบาท สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักนโยบายและแผนรัฐวิสาหกิจ โทร. 0 2298 5880 ต่อ 60113
    “สคร. จัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินสะสม ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2568 จำนวน 79,054 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45% ของเป้าหมายทั้งปี”นายธิบดี วัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2568 สคร. มีเป้าหมายในการจัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 (เงินนำส่งรายได้แผ่นดินฯ) จำนวน 176,500 ล้านบาท โดยไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2568 (1 ตุลาคม 2567 - 31 มีนาคม 2568) มีประมาณการเงินนำส่งรายได้แผ่นดินฯ สะสมจำนวน 62,975 ล้านบาท และ สคร. สามารถจัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินฯ สะสมรวมทั้งสิ้นจำนวน 79,054 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการสะสมอยู่ที่จำนวน 16,079 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 126 ของประมาณการสะสม และคิดเป็นร้อยละ 45 ของเป้าหมายการจัดเก็บทั้งปี ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 ที่นำส่งรายได้แผ่นดินสูงสุด 10 อันดับแรก (ไม่รวมภาษีหรือค่าธรรมเนียมอื่น ๆ) แสดงได้ตามตาราง ดังนี้ลำดับที่ รัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 จำนวน (ล้านบาท)1) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย1 26,349 2) สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 22,610 3) ธนาคารออมสิน 8,323 4) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (10,000 of 14,285.7) 7,900 5) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 7,226 6) การไฟฟ้านครหลวง 3,468 7) การประปาส่วนภูมิภาค 1,820 8) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) 739 9) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย 197 10) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย 109 หมายเหตุ: 1รวมเงินนำส่งรายได้แผ่นดินจากการจัดสรรกำไรสุทธิปี 2566 จำนวน 20,566 ล้านบาท สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักนโยบายและแผนรัฐวิสาหกิจ โทร. 0 2298 5880 ต่อ 60113
    0 Comments 0 Shares 386 Views 0 Reviews
  • 170 ปี สนธิสัญญาเบาว์ริง เปิดประเทศสู่เศรษฐกิจโลก ประโยชน์ไม่สมดุล ทุนต่างชาติครอบงำ ไม่ยุติธรรม! ไทยทำไม่ได้ที่อังกฤษ เปิดประเทศสู่โลก แต่ปิดความเท่าเทียม? 🇹🇭⚖️

    📚 สนธิสัญญาเบาว์ริงไม่ใช่แค่เรื่องในอดีต แต่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่นำไทยเข้าสู่เวทีเศรษฐกิจโลก ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เท่าเทียม เปิดประตูสู่ความทันสมัย แต่ปิดโอกาสของความเสมอภาค ในการเจรจากับชาติตะวันตก ⚖️

    🧭 สนธิสัญญาที่เปิดประเทศ แต่ปิดความเสมอภาค ในวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับอังกฤษ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของไทย สู่โลกทุนนิยม 🌍

    แต่ภายใต้การเปิดเสรีนั้น กลับมีเงื่อนไขที่ไทยเสียเปรียบ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ การปกครอง และกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้สนธิสัญญานี้ถูกวิพากษ์ว่าเป็น "สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม"

    📜 “Treaty of Friendship and Commerce between the British Empire and the Kingdom of Siam” หรือ Bowring Treaty คือข้อตกลงระหว่างไทย หรือราชอาณาจักรสยามในสมัยนั้น กับอังกฤษ ที่ลงนามเมื่อวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398

    จุดเด่นของสนธิสัญญานี้ คือการเปิดให้พ่อค้าชาวอังกฤษ สามารถค้าขายอย่างเสรีในสยาม และได้รับ “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” (Extraterritorial Rights) 🛂

    กล่าวคือ คนในบังคับอังกฤษที่อยู่ในไทย จะไม่อยู่ภายใต้กฎหมายไทย แต่ขึ้นกับศาลของอังกฤษเอง

    นอกจากนี้ สนธิสัญญายังเปิดทางให้พ่อค้าต่างชาติ ตั้งรกราก ซื้อขายทรัพย์สิน และถือครองที่ดินในบางพื้นที่ได้ด้วย

    💼 เหตุผลเบื้องหลัง อังกฤษต้องการอะไรกันแน่? หลายคนอาจเข้าใจว่า อังกฤษต้องการแค่เปิดตลาดการค้า แต่เบื้องหลังของข้อตกลงนี้ กลับลึกซึ้งกว่านั้นมาก…

    ผลประโยชน์จากการค้าฝิ่น อังกฤษต้องการสร้างเส้นทางการค้าฝิ่น ที่มั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องการให้สยามเป็นทางผ่านการค้ากับจีน ฮ่องกง และอินเดีย 🚢 อำนาจและอิทธิพลทางการทูต

    หลังสงครามฝิ่นครั้งแรก จีนพ่ายแพ้ อังกฤษต้องการป้องกันไม่ให้เกิด “สยามเป็นจีนลำดับต่อไป” เบาว์ริงใช้วิธี “ทูตนุ่ม” มากกว่าการใช้กำลังทหาร

    ประโยชน์จากภาษีต่ำ ตามสนธิสัญญา ไทยเก็บภาษีนำเข้าได้แค่ 3% เท่านั้น ‼️ ฝิ่นไม่ต้องเสียภาษีเลย แต่ต้องขายให้กับเจ้าภาษีเท่านั้น

    👑 ทำไมสยามถึงยอมเซ็น? พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเล็งเห็นว่า ประเทศไทยอยู่ในภาวะล้าหลัง เมื่อเทียบกับชาติตะวันตก หากไม่ยอมเปิดประเทศ อาจตกเป็นอาณานิคมเหมือนจีน พม่า หรืออินเดียได้

    การเปิดการค้าเสรี จะช่วยให้ราษฎรมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจาก “การส่งออกข้าว” ชาวนาก็จะมีเงินมากขึ้น ข้าวจะกลายเป็นสินค้าส่งออกของไทย สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาล... 🧺🌾

    🔍 ผลกระทบที่ตามมา เปิดเสรี หรือเปิดโอกาสให้ต่างชาติครอบงำ? ภายหลังการลงนามสนธิสัญญาเบาว์ริง มีเรือต่างประเทศ เข้ามาค้าขายกว่า 100 ลำในปีเดียว ระบบเงินเหรียญ แทนพดด้วง เริ่มใช้อย่างเป็นระบบ เกิดการลงทุนของต่างชาติ เช่น โรงสี โรงเลื่อยไม้ โรงน้ำตาล

    ชาวนามีรายได้สูงขึ้น ราคาข้าวพุ่ง จาก 3–5 บาท ต่อเกวียน เป็น 16–20 บาท ต่อเกวียน ราษฎรสามารถ “จำนอง” หรือ “ขายฝาก” ที่ดินของตนได้ ชาวต่างชาติสามารถเช่า หรือซื้อที่ดินได้ในพื้นที่ที่รัฐบาลกำหนด 🏘️

    📈 ข้อดีของสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่น้อยคนนึกถึง...
    ✅ เปิดประตูการค้าเสรี
    ✅ ช่วยให้ไทยพัฒนาวิทยาการตะวันตก
    ✅ ราษฎรมีรายได้จากการค้าข้าว
    ✅ กระตุ้นการพัฒนาเมือง ถนนเจริญกรุง สีลม เริ่มก่อสร้าง
    ✅ ทำให้มีการแข่งขันทางการค้า → ราคาสินค้าลดลง

    📌 สินค้าไทยเป็นที่ต้องการของตลาดโลก เช่น ข้าว ไม้สัก งาช้าง

    😞 ข้อเสียเปรียบของไทย ในสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่ถูกซ่อนไว้

    ❌ เสียสิทธิเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถเก็บภาษีนำเข้าตามต้องการได้ ต้องเปิดตลาดสินค้าให้ต่างชาติ โดยไม่มีข้อจำกัด

    ❌ เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต คนอังกฤษไม่ต้องขึ้นศาลไทย ทำให้ศาลไทยไม่มีอำนาจเต็มที่

    ❌ ทุนต่างชาติเข้ามาครอบงำเศรษฐกิจ ตั้งโรงงาน โรงสี โรงเลื่อยไม้ ฯลฯ โดยคนไทยแข่งขันไม่ได้

    ❌ คนไทยไม่สามารถทำการค้าในอังกฤษได้ ไม่ได้รับสิทธิเท่าเทียม เหมือนที่อังกฤษได้จากไทย

    ⚖️ ทำไมถึงเรียกว่า “สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม”?
    📍 ถูกเซ็นภายใต้แรงกดดัน จากอำนาจจักรวรรดิ
    📍 ไม่มีความเสมอภาคระหว่างสองประเทศ
    📍 ไทยไม่สามารถต่อรองเงื่อนไขได้มากนัก
    📍 คล้ายกับ “สนธิสัญญานานกิง” ที่จีนถูกบังคับให้เซ็นหลังสงครามฝิ่น

    📚 บทเรียนที่ไทยได้จากอดีต

    🇹🇭 สนธิสัญญาเบาว์ริง เป็นแรงผลักดันให้ไทยเร่งพัฒนา ปฏิรูประบบราชการ ระบบศาล และกฎหมาย เปิดการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาในภายหลัง โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่งผลถึงการรักษาเอกราชของไทย ในขณะที่เพื่อนบ้านหลายประเทศ กลายเป็นอาณานิคม

    ✨ ไทยเสียเปรียบวันนี้ เพื่อไม่เสียประเทศในวันหน้า?

    “ไม่เสมอภาค แต่จำเป็น” คือคำจำกัดความที่ดีที่สุด ของสนธิสัญญาเบาว์ริง

    ถึงแม้สัญญาฉบับนี้ จะเต็มไปด้วยข้อเสียเปรียบ แต่ก็นำมาซึ่งการรอดพ้นจากอาณานิคม การเปิดประตูสู่โลกสมัยใหม่ การเตรียมประเทศ เข้าสู่ยุคการปฏิรูปในรัชกาลที่ 5

    สนธิสัญญาเบาว์ริงจึงเป็นเหมือน "ดาบสองคม" ที่ทั้งให้คุณและโทษ ในเวลาเดียวกัน ⚔️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181147 เม.ย. 2568

    📌 #สนธิสัญญาเบาว์ริง #เปิดประเทศแต่ไม่เปิดโอกาส #ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย
    #ThailandHistory #BowringTreaty #เปิดเสรีไม่เท่าเทียม
    #ThailandTradeHistory #อธิปไตยไทย #อังกฤษในไทย
    #โลกาภิวัตน์กับไทย
    170 ปี สนธิสัญญาเบาว์ริง เปิดประเทศสู่เศรษฐกิจโลก ประโยชน์ไม่สมดุล ทุนต่างชาติครอบงำ ไม่ยุติธรรม! ไทยทำไม่ได้ที่อังกฤษ เปิดประเทศสู่โลก แต่ปิดความเท่าเทียม? 🇹🇭⚖️ 📚 สนธิสัญญาเบาว์ริงไม่ใช่แค่เรื่องในอดีต แต่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่นำไทยเข้าสู่เวทีเศรษฐกิจโลก ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เท่าเทียม เปิดประตูสู่ความทันสมัย แต่ปิดโอกาสของความเสมอภาค ในการเจรจากับชาติตะวันตก ⚖️ 🧭 สนธิสัญญาที่เปิดประเทศ แต่ปิดความเสมอภาค ในวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับอังกฤษ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของไทย สู่โลกทุนนิยม 🌍 แต่ภายใต้การเปิดเสรีนั้น กลับมีเงื่อนไขที่ไทยเสียเปรียบ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ การปกครอง และกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้สนธิสัญญานี้ถูกวิพากษ์ว่าเป็น "สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม" 📜 “Treaty of Friendship and Commerce between the British Empire and the Kingdom of Siam” หรือ Bowring Treaty คือข้อตกลงระหว่างไทย หรือราชอาณาจักรสยามในสมัยนั้น กับอังกฤษ ที่ลงนามเมื่อวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 จุดเด่นของสนธิสัญญานี้ คือการเปิดให้พ่อค้าชาวอังกฤษ สามารถค้าขายอย่างเสรีในสยาม และได้รับ “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” (Extraterritorial Rights) 🛂 กล่าวคือ คนในบังคับอังกฤษที่อยู่ในไทย จะไม่อยู่ภายใต้กฎหมายไทย แต่ขึ้นกับศาลของอังกฤษเอง นอกจากนี้ สนธิสัญญายังเปิดทางให้พ่อค้าต่างชาติ ตั้งรกราก ซื้อขายทรัพย์สิน และถือครองที่ดินในบางพื้นที่ได้ด้วย 💼 เหตุผลเบื้องหลัง อังกฤษต้องการอะไรกันแน่? หลายคนอาจเข้าใจว่า อังกฤษต้องการแค่เปิดตลาดการค้า แต่เบื้องหลังของข้อตกลงนี้ กลับลึกซึ้งกว่านั้นมาก… ผลประโยชน์จากการค้าฝิ่น อังกฤษต้องการสร้างเส้นทางการค้าฝิ่น ที่มั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องการให้สยามเป็นทางผ่านการค้ากับจีน ฮ่องกง และอินเดีย 🚢 อำนาจและอิทธิพลทางการทูต หลังสงครามฝิ่นครั้งแรก จีนพ่ายแพ้ อังกฤษต้องการป้องกันไม่ให้เกิด “สยามเป็นจีนลำดับต่อไป” เบาว์ริงใช้วิธี “ทูตนุ่ม” มากกว่าการใช้กำลังทหาร ประโยชน์จากภาษีต่ำ ตามสนธิสัญญา ไทยเก็บภาษีนำเข้าได้แค่ 3% เท่านั้น ‼️ ฝิ่นไม่ต้องเสียภาษีเลย แต่ต้องขายให้กับเจ้าภาษีเท่านั้น 👑 ทำไมสยามถึงยอมเซ็น? พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเล็งเห็นว่า ประเทศไทยอยู่ในภาวะล้าหลัง เมื่อเทียบกับชาติตะวันตก หากไม่ยอมเปิดประเทศ อาจตกเป็นอาณานิคมเหมือนจีน พม่า หรืออินเดียได้ การเปิดการค้าเสรี จะช่วยให้ราษฎรมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจาก “การส่งออกข้าว” ชาวนาก็จะมีเงินมากขึ้น ข้าวจะกลายเป็นสินค้าส่งออกของไทย สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาล... 🧺🌾 🔍 ผลกระทบที่ตามมา เปิดเสรี หรือเปิดโอกาสให้ต่างชาติครอบงำ? ภายหลังการลงนามสนธิสัญญาเบาว์ริง มีเรือต่างประเทศ เข้ามาค้าขายกว่า 100 ลำในปีเดียว ระบบเงินเหรียญ แทนพดด้วง เริ่มใช้อย่างเป็นระบบ เกิดการลงทุนของต่างชาติ เช่น โรงสี โรงเลื่อยไม้ โรงน้ำตาล ชาวนามีรายได้สูงขึ้น ราคาข้าวพุ่ง จาก 3–5 บาท ต่อเกวียน เป็น 16–20 บาท ต่อเกวียน ราษฎรสามารถ “จำนอง” หรือ “ขายฝาก” ที่ดินของตนได้ ชาวต่างชาติสามารถเช่า หรือซื้อที่ดินได้ในพื้นที่ที่รัฐบาลกำหนด 🏘️ 📈 ข้อดีของสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่น้อยคนนึกถึง... ✅ เปิดประตูการค้าเสรี ✅ ช่วยให้ไทยพัฒนาวิทยาการตะวันตก ✅ ราษฎรมีรายได้จากการค้าข้าว ✅ กระตุ้นการพัฒนาเมือง ถนนเจริญกรุง สีลม เริ่มก่อสร้าง ✅ ทำให้มีการแข่งขันทางการค้า → ราคาสินค้าลดลง 📌 สินค้าไทยเป็นที่ต้องการของตลาดโลก เช่น ข้าว ไม้สัก งาช้าง 😞 ข้อเสียเปรียบของไทย ในสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่ถูกซ่อนไว้ ❌ เสียสิทธิเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถเก็บภาษีนำเข้าตามต้องการได้ ต้องเปิดตลาดสินค้าให้ต่างชาติ โดยไม่มีข้อจำกัด ❌ เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต คนอังกฤษไม่ต้องขึ้นศาลไทย ทำให้ศาลไทยไม่มีอำนาจเต็มที่ ❌ ทุนต่างชาติเข้ามาครอบงำเศรษฐกิจ ตั้งโรงงาน โรงสี โรงเลื่อยไม้ ฯลฯ โดยคนไทยแข่งขันไม่ได้ ❌ คนไทยไม่สามารถทำการค้าในอังกฤษได้ ไม่ได้รับสิทธิเท่าเทียม เหมือนที่อังกฤษได้จากไทย ⚖️ ทำไมถึงเรียกว่า “สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม”? 📍 ถูกเซ็นภายใต้แรงกดดัน จากอำนาจจักรวรรดิ 📍 ไม่มีความเสมอภาคระหว่างสองประเทศ 📍 ไทยไม่สามารถต่อรองเงื่อนไขได้มากนัก 📍 คล้ายกับ “สนธิสัญญานานกิง” ที่จีนถูกบังคับให้เซ็นหลังสงครามฝิ่น 📚 บทเรียนที่ไทยได้จากอดีต 🇹🇭 สนธิสัญญาเบาว์ริง เป็นแรงผลักดันให้ไทยเร่งพัฒนา ปฏิรูประบบราชการ ระบบศาล และกฎหมาย เปิดการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาในภายหลัง โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่งผลถึงการรักษาเอกราชของไทย ในขณะที่เพื่อนบ้านหลายประเทศ กลายเป็นอาณานิคม ✨ ไทยเสียเปรียบวันนี้ เพื่อไม่เสียประเทศในวันหน้า? “ไม่เสมอภาค แต่จำเป็น” คือคำจำกัดความที่ดีที่สุด ของสนธิสัญญาเบาว์ริง ถึงแม้สัญญาฉบับนี้ จะเต็มไปด้วยข้อเสียเปรียบ แต่ก็นำมาซึ่งการรอดพ้นจากอาณานิคม การเปิดประตูสู่โลกสมัยใหม่ การเตรียมประเทศ เข้าสู่ยุคการปฏิรูปในรัชกาลที่ 5 สนธิสัญญาเบาว์ริงจึงเป็นเหมือน "ดาบสองคม" ที่ทั้งให้คุณและโทษ ในเวลาเดียวกัน ⚔️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181147 เม.ย. 2568 📌 #สนธิสัญญาเบาว์ริง #เปิดประเทศแต่ไม่เปิดโอกาส #ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย #ThailandHistory #BowringTreaty #เปิดเสรีไม่เท่าเทียม #ThailandTradeHistory #อธิปไตยไทย #อังกฤษในไทย #โลกาภิวัตน์กับไทย
    0 Comments 0 Shares 690 Views 0 Reviews
  • Intel กำลังเผชิญกับข้อจำกัดใหม่ในการส่งออกชิป Gaudi AI ไปยังจีน โดยต้องได้รับ ใบอนุญาตส่งออก ตามนโยบายการค้าล่าสุดของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทในตลาดจีน

    ✅ Intel ต้องได้รับใบอนุญาตส่งออกเพื่อขายชิป Gaudi AI ไปยังจีน
    - ข้อจำกัดนี้มีผลกับ ชิปที่มีแบนด์วิดท์ DRAM 1,400 GB/s หรือสูงกว่า
    - Intel เคยมีลูกค้ารายใหญ่ในจีน เช่น ByteDance ซึ่งซื้อชิปของบริษัทเป็นทางเลือกแทน Nvidia

    ✅ ข้อจำกัดนี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ AI ของ Intel ในจีน
    - แม้ Intel จะมีธุรกิจในจีนที่เล็กกว่า Nvidia แต่ก็ยังต้องเผชิญกับ กระบวนการทางกฎหมายที่ซับซ้อน
    - Nvidia และ AMD ก็ถูกจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีนเช่นกัน

    ✅ นโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจช่วยให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง
    - จีนอาจหันไปใช้ ชิป Ascend ของ Huawei แทนชิปจากบริษัทสหรัฐฯ
    - ข้อจำกัดนี้อาจกระตุ้นให้จีน เร่งพัฒนาโซลูชัน AI ในประเทศ

    ✅ Intel อาจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาตลาดในจีน
    - บริษัทอาจต้อง นำเสนอชิปที่มีสเปคต่ำลง เพื่อให้ผ่านข้อกำหนดการส่งออก
    - หรืออาจต้อง หาทางเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อขอผ่อนปรนข้อจำกัด

    https://wccftech.com/intel-sees-no-leverage-from-the-trump-administration-now-requires-license-to-sell-gaudi-chips-to-china/
    Intel กำลังเผชิญกับข้อจำกัดใหม่ในการส่งออกชิป Gaudi AI ไปยังจีน โดยต้องได้รับ ใบอนุญาตส่งออก ตามนโยบายการค้าล่าสุดของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทในตลาดจีน ✅ Intel ต้องได้รับใบอนุญาตส่งออกเพื่อขายชิป Gaudi AI ไปยังจีน - ข้อจำกัดนี้มีผลกับ ชิปที่มีแบนด์วิดท์ DRAM 1,400 GB/s หรือสูงกว่า - Intel เคยมีลูกค้ารายใหญ่ในจีน เช่น ByteDance ซึ่งซื้อชิปของบริษัทเป็นทางเลือกแทน Nvidia ✅ ข้อจำกัดนี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ AI ของ Intel ในจีน - แม้ Intel จะมีธุรกิจในจีนที่เล็กกว่า Nvidia แต่ก็ยังต้องเผชิญกับ กระบวนการทางกฎหมายที่ซับซ้อน - Nvidia และ AMD ก็ถูกจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีนเช่นกัน ✅ นโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจช่วยให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง - จีนอาจหันไปใช้ ชิป Ascend ของ Huawei แทนชิปจากบริษัทสหรัฐฯ - ข้อจำกัดนี้อาจกระตุ้นให้จีน เร่งพัฒนาโซลูชัน AI ในประเทศ ✅ Intel อาจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาตลาดในจีน - บริษัทอาจต้อง นำเสนอชิปที่มีสเปคต่ำลง เพื่อให้ผ่านข้อกำหนดการส่งออก - หรืออาจต้อง หาทางเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อขอผ่อนปรนข้อจำกัด https://wccftech.com/intel-sees-no-leverage-from-the-trump-administration-now-requires-license-to-sell-gaudi-chips-to-china/
    WCCFTECH.COM
    Intel Sees No Leverage From the Trump Administration, Now Requires Export License to Sell Gaudi Chips to China
    US chipmaker Intel hasn't seen any exemption at all, as it is reported that the firm would require a license to sell its chips in China.
    0 Comments 0 Shares 305 Views 0 Reviews
More Results