• บทความนี้กล่าวถึงการตอบสนองของ TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company) ต่อรายงานที่ระบุว่าบริษัทได้จัดส่งชิป AI ขั้นสูงให้กับ Huawei ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีของจีน แม้ว่าจะมีข้อจำกัดจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ห้ามการส่งออกชิปขั้นสูงไปยัง Huawei ตั้งแต่ปี 2020 โดย TSMC ยืนยันว่าไม่ได้จัดส่งผลิตภัณฑ์ใดๆ ให้กับ Huawei ตั้งแต่เดือนกันยายน 2020 และได้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด

    ✅ TSMC ยืนยันว่าไม่ได้จัดส่งชิปให้ Huawei ตั้งแต่ปี 2020
    - การห้ามส่งออกชิปขั้นสูงไปยัง Huawei เริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม 2020 ภายใต้การบริหารของรัฐบาล Trump
    - TSMC ระบุว่าได้หยุดการจัดส่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดให้กับ Huawei ตั้งแต่เดือนกันยายน 2020

    ✅ TSMC ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับอย่างเคร่งครัด
    - บริษัทได้สื่อสารกับกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ เกี่ยวกับคำสั่งซื้อที่น่าสงสัย
    - หากพบคำสั่งซื้อที่น่าสงสัย TSMC จะดำเนินการตรวจสอบและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

    ✅ รายงานระบุว่า Huawei อาจผลิตชิป Ascend ได้เอง
    - มีรายงานว่า Huawei ได้รับแม่พิมพ์ (dies) สำหรับการผลิตชิปก่อนที่ข้อจำกัดจะมีผลบังคับใช้

    ✅ TSMC ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง
    - ปัจจุบัน TSMC ใช้กระบวนการผลิต 3 นาโนเมตรสำหรับชิปที่ใช้พลังงานต่ำ เช่น โปรเซสเซอร์สมาร์ทโฟน

    https://wccftech.com/tsmc-breaks-silence-on-reports-it-shipped-advanced-ai-chips-to-chinas-huawei/
    บทความนี้กล่าวถึงการตอบสนองของ TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company) ต่อรายงานที่ระบุว่าบริษัทได้จัดส่งชิป AI ขั้นสูงให้กับ Huawei ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีของจีน แม้ว่าจะมีข้อจำกัดจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ห้ามการส่งออกชิปขั้นสูงไปยัง Huawei ตั้งแต่ปี 2020 โดย TSMC ยืนยันว่าไม่ได้จัดส่งผลิตภัณฑ์ใดๆ ให้กับ Huawei ตั้งแต่เดือนกันยายน 2020 และได้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ✅ TSMC ยืนยันว่าไม่ได้จัดส่งชิปให้ Huawei ตั้งแต่ปี 2020 - การห้ามส่งออกชิปขั้นสูงไปยัง Huawei เริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม 2020 ภายใต้การบริหารของรัฐบาล Trump - TSMC ระบุว่าได้หยุดการจัดส่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดให้กับ Huawei ตั้งแต่เดือนกันยายน 2020 ✅ TSMC ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับอย่างเคร่งครัด - บริษัทได้สื่อสารกับกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ เกี่ยวกับคำสั่งซื้อที่น่าสงสัย - หากพบคำสั่งซื้อที่น่าสงสัย TSMC จะดำเนินการตรวจสอบและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ✅ รายงานระบุว่า Huawei อาจผลิตชิป Ascend ได้เอง - มีรายงานว่า Huawei ได้รับแม่พิมพ์ (dies) สำหรับการผลิตชิปก่อนที่ข้อจำกัดจะมีผลบังคับใช้ ✅ TSMC ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง - ปัจจุบัน TSMC ใช้กระบวนการผลิต 3 นาโนเมตรสำหรับชิปที่ใช้พลังงานต่ำ เช่น โปรเซสเซอร์สมาร์ทโฟน https://wccftech.com/tsmc-breaks-silence-on-reports-it-shipped-advanced-ai-chips-to-chinas-huawei/
    WCCFTECH.COM
    TSMC Breaks Silence On Reports It Shipped Advanced AI Chips To China's Huawei
    TSMC breaks silence on reports that Huawei has acquired advanced AI chips built by the firm's manufacturing technologies.
    0 Comments 0 Shares 53 Views 0 Reviews
  • “สคร. จัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินสะสม ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2568 จำนวน 79,054 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45% ของเป้าหมายทั้งปี”นายธิบดี วัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2568 สคร. มีเป้าหมายในการจัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 (เงินนำส่งรายได้แผ่นดินฯ) จำนวน 176,500 ล้านบาท โดยไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2568 (1 ตุลาคม 2567 - 31 มีนาคม 2568) มีประมาณการเงินนำส่งรายได้แผ่นดินฯ สะสมจำนวน 62,975 ล้านบาท และ สคร. สามารถจัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินฯ สะสมรวมทั้งสิ้นจำนวน 79,054 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการสะสมอยู่ที่จำนวน 16,079 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 126 ของประมาณการสะสม และคิดเป็นร้อยละ 45 ของเป้าหมายการจัดเก็บทั้งปี ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 ที่นำส่งรายได้แผ่นดินสูงสุด 10 อันดับแรก (ไม่รวมภาษีหรือค่าธรรมเนียมอื่น ๆ) แสดงได้ตามตาราง ดังนี้ลำดับที่ รัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 จำนวน (ล้านบาท)1) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย1 26,349 2) สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 22,610 3) ธนาคารออมสิน 8,323 4) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (10,000 of 14,285.7) 7,900 5) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 7,226 6) การไฟฟ้านครหลวง 3,468 7) การประปาส่วนภูมิภาค 1,820 8) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) 739 9) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย 197 10) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย 109 หมายเหตุ: 1รวมเงินนำส่งรายได้แผ่นดินจากการจัดสรรกำไรสุทธิปี 2566 จำนวน 20,566 ล้านบาท สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักนโยบายและแผนรัฐวิสาหกิจ โทร. 0 2298 5880 ต่อ 60113
    “สคร. จัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินสะสม ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2568 จำนวน 79,054 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45% ของเป้าหมายทั้งปี”นายธิบดี วัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2568 สคร. มีเป้าหมายในการจัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 (เงินนำส่งรายได้แผ่นดินฯ) จำนวน 176,500 ล้านบาท โดยไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2568 (1 ตุลาคม 2567 - 31 มีนาคม 2568) มีประมาณการเงินนำส่งรายได้แผ่นดินฯ สะสมจำนวน 62,975 ล้านบาท และ สคร. สามารถจัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินฯ สะสมรวมทั้งสิ้นจำนวน 79,054 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการสะสมอยู่ที่จำนวน 16,079 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 126 ของประมาณการสะสม และคิดเป็นร้อยละ 45 ของเป้าหมายการจัดเก็บทั้งปี ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 ที่นำส่งรายได้แผ่นดินสูงสุด 10 อันดับแรก (ไม่รวมภาษีหรือค่าธรรมเนียมอื่น ๆ) แสดงได้ตามตาราง ดังนี้ลำดับที่ รัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 จำนวน (ล้านบาท)1) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย1 26,349 2) สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 22,610 3) ธนาคารออมสิน 8,323 4) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (10,000 of 14,285.7) 7,900 5) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 7,226 6) การไฟฟ้านครหลวง 3,468 7) การประปาส่วนภูมิภาค 1,820 8) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) 739 9) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย 197 10) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย 109 หมายเหตุ: 1รวมเงินนำส่งรายได้แผ่นดินจากการจัดสรรกำไรสุทธิปี 2566 จำนวน 20,566 ล้านบาท สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักนโยบายและแผนรัฐวิสาหกิจ โทร. 0 2298 5880 ต่อ 60113
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews
  • 170 ปี สนธิสัญญาเบาว์ริง เปิดประเทศสู่เศรษฐกิจโลก ประโยชน์ไม่สมดุล ทุนต่างชาติครอบงำ ไม่ยุติธรรม! ไทยทำไม่ได้ที่อังกฤษ เปิดประเทศสู่โลก แต่ปิดความเท่าเทียม? 🇹🇭⚖️

    📚 สนธิสัญญาเบาว์ริงไม่ใช่แค่เรื่องในอดีต แต่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่นำไทยเข้าสู่เวทีเศรษฐกิจโลก ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เท่าเทียม เปิดประตูสู่ความทันสมัย แต่ปิดโอกาสของความเสมอภาค ในการเจรจากับชาติตะวันตก ⚖️

    🧭 สนธิสัญญาที่เปิดประเทศ แต่ปิดความเสมอภาค ในวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับอังกฤษ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของไทย สู่โลกทุนนิยม 🌍

    แต่ภายใต้การเปิดเสรีนั้น กลับมีเงื่อนไขที่ไทยเสียเปรียบ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ การปกครอง และกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้สนธิสัญญานี้ถูกวิพากษ์ว่าเป็น "สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม"

    📜 “Treaty of Friendship and Commerce between the British Empire and the Kingdom of Siam” หรือ Bowring Treaty คือข้อตกลงระหว่างไทย หรือราชอาณาจักรสยามในสมัยนั้น กับอังกฤษ ที่ลงนามเมื่อวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398

    จุดเด่นของสนธิสัญญานี้ คือการเปิดให้พ่อค้าชาวอังกฤษ สามารถค้าขายอย่างเสรีในสยาม และได้รับ “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” (Extraterritorial Rights) 🛂

    กล่าวคือ คนในบังคับอังกฤษที่อยู่ในไทย จะไม่อยู่ภายใต้กฎหมายไทย แต่ขึ้นกับศาลของอังกฤษเอง

    นอกจากนี้ สนธิสัญญายังเปิดทางให้พ่อค้าต่างชาติ ตั้งรกราก ซื้อขายทรัพย์สิน และถือครองที่ดินในบางพื้นที่ได้ด้วย

    💼 เหตุผลเบื้องหลัง อังกฤษต้องการอะไรกันแน่? หลายคนอาจเข้าใจว่า อังกฤษต้องการแค่เปิดตลาดการค้า แต่เบื้องหลังของข้อตกลงนี้ กลับลึกซึ้งกว่านั้นมาก…

    ผลประโยชน์จากการค้าฝิ่น อังกฤษต้องการสร้างเส้นทางการค้าฝิ่น ที่มั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องการให้สยามเป็นทางผ่านการค้ากับจีน ฮ่องกง และอินเดีย 🚢 อำนาจและอิทธิพลทางการทูต

    หลังสงครามฝิ่นครั้งแรก จีนพ่ายแพ้ อังกฤษต้องการป้องกันไม่ให้เกิด “สยามเป็นจีนลำดับต่อไป” เบาว์ริงใช้วิธี “ทูตนุ่ม” มากกว่าการใช้กำลังทหาร

    ประโยชน์จากภาษีต่ำ ตามสนธิสัญญา ไทยเก็บภาษีนำเข้าได้แค่ 3% เท่านั้น ‼️ ฝิ่นไม่ต้องเสียภาษีเลย แต่ต้องขายให้กับเจ้าภาษีเท่านั้น

    👑 ทำไมสยามถึงยอมเซ็น? พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเล็งเห็นว่า ประเทศไทยอยู่ในภาวะล้าหลัง เมื่อเทียบกับชาติตะวันตก หากไม่ยอมเปิดประเทศ อาจตกเป็นอาณานิคมเหมือนจีน พม่า หรืออินเดียได้

    การเปิดการค้าเสรี จะช่วยให้ราษฎรมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจาก “การส่งออกข้าว” ชาวนาก็จะมีเงินมากขึ้น ข้าวจะกลายเป็นสินค้าส่งออกของไทย สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาล... 🧺🌾

    🔍 ผลกระทบที่ตามมา เปิดเสรี หรือเปิดโอกาสให้ต่างชาติครอบงำ? ภายหลังการลงนามสนธิสัญญาเบาว์ริง มีเรือต่างประเทศ เข้ามาค้าขายกว่า 100 ลำในปีเดียว ระบบเงินเหรียญ แทนพดด้วง เริ่มใช้อย่างเป็นระบบ เกิดการลงทุนของต่างชาติ เช่น โรงสี โรงเลื่อยไม้ โรงน้ำตาล

    ชาวนามีรายได้สูงขึ้น ราคาข้าวพุ่ง จาก 3–5 บาท ต่อเกวียน เป็น 16–20 บาท ต่อเกวียน ราษฎรสามารถ “จำนอง” หรือ “ขายฝาก” ที่ดินของตนได้ ชาวต่างชาติสามารถเช่า หรือซื้อที่ดินได้ในพื้นที่ที่รัฐบาลกำหนด 🏘️

    📈 ข้อดีของสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่น้อยคนนึกถึง...
    ✅ เปิดประตูการค้าเสรี
    ✅ ช่วยให้ไทยพัฒนาวิทยาการตะวันตก
    ✅ ราษฎรมีรายได้จากการค้าข้าว
    ✅ กระตุ้นการพัฒนาเมือง ถนนเจริญกรุง สีลม เริ่มก่อสร้าง
    ✅ ทำให้มีการแข่งขันทางการค้า → ราคาสินค้าลดลง

    📌 สินค้าไทยเป็นที่ต้องการของตลาดโลก เช่น ข้าว ไม้สัก งาช้าง

    😞 ข้อเสียเปรียบของไทย ในสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่ถูกซ่อนไว้

    ❌ เสียสิทธิเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถเก็บภาษีนำเข้าตามต้องการได้ ต้องเปิดตลาดสินค้าให้ต่างชาติ โดยไม่มีข้อจำกัด

    ❌ เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต คนอังกฤษไม่ต้องขึ้นศาลไทย ทำให้ศาลไทยไม่มีอำนาจเต็มที่

    ❌ ทุนต่างชาติเข้ามาครอบงำเศรษฐกิจ ตั้งโรงงาน โรงสี โรงเลื่อยไม้ ฯลฯ โดยคนไทยแข่งขันไม่ได้

    ❌ คนไทยไม่สามารถทำการค้าในอังกฤษได้ ไม่ได้รับสิทธิเท่าเทียม เหมือนที่อังกฤษได้จากไทย

    ⚖️ ทำไมถึงเรียกว่า “สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม”?
    📍 ถูกเซ็นภายใต้แรงกดดัน จากอำนาจจักรวรรดิ
    📍 ไม่มีความเสมอภาคระหว่างสองประเทศ
    📍 ไทยไม่สามารถต่อรองเงื่อนไขได้มากนัก
    📍 คล้ายกับ “สนธิสัญญานานกิง” ที่จีนถูกบังคับให้เซ็นหลังสงครามฝิ่น

    📚 บทเรียนที่ไทยได้จากอดีต

    🇹🇭 สนธิสัญญาเบาว์ริง เป็นแรงผลักดันให้ไทยเร่งพัฒนา ปฏิรูประบบราชการ ระบบศาล และกฎหมาย เปิดการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาในภายหลัง โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่งผลถึงการรักษาเอกราชของไทย ในขณะที่เพื่อนบ้านหลายประเทศ กลายเป็นอาณานิคม

    ✨ ไทยเสียเปรียบวันนี้ เพื่อไม่เสียประเทศในวันหน้า?

    “ไม่เสมอภาค แต่จำเป็น” คือคำจำกัดความที่ดีที่สุด ของสนธิสัญญาเบาว์ริง

    ถึงแม้สัญญาฉบับนี้ จะเต็มไปด้วยข้อเสียเปรียบ แต่ก็นำมาซึ่งการรอดพ้นจากอาณานิคม การเปิดประตูสู่โลกสมัยใหม่ การเตรียมประเทศ เข้าสู่ยุคการปฏิรูปในรัชกาลที่ 5

    สนธิสัญญาเบาว์ริงจึงเป็นเหมือน "ดาบสองคม" ที่ทั้งให้คุณและโทษ ในเวลาเดียวกัน ⚔️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181147 เม.ย. 2568

    📌 #สนธิสัญญาเบาว์ริง #เปิดประเทศแต่ไม่เปิดโอกาส #ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย
    #ThailandHistory #BowringTreaty #เปิดเสรีไม่เท่าเทียม
    #ThailandTradeHistory #อธิปไตยไทย #อังกฤษในไทย
    #โลกาภิวัตน์กับไทย
    170 ปี สนธิสัญญาเบาว์ริง เปิดประเทศสู่เศรษฐกิจโลก ประโยชน์ไม่สมดุล ทุนต่างชาติครอบงำ ไม่ยุติธรรม! ไทยทำไม่ได้ที่อังกฤษ เปิดประเทศสู่โลก แต่ปิดความเท่าเทียม? 🇹🇭⚖️ 📚 สนธิสัญญาเบาว์ริงไม่ใช่แค่เรื่องในอดีต แต่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่นำไทยเข้าสู่เวทีเศรษฐกิจโลก ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เท่าเทียม เปิดประตูสู่ความทันสมัย แต่ปิดโอกาสของความเสมอภาค ในการเจรจากับชาติตะวันตก ⚖️ 🧭 สนธิสัญญาที่เปิดประเทศ แต่ปิดความเสมอภาค ในวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับอังกฤษ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของไทย สู่โลกทุนนิยม 🌍 แต่ภายใต้การเปิดเสรีนั้น กลับมีเงื่อนไขที่ไทยเสียเปรียบ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ การปกครอง และกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้สนธิสัญญานี้ถูกวิพากษ์ว่าเป็น "สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม" 📜 “Treaty of Friendship and Commerce between the British Empire and the Kingdom of Siam” หรือ Bowring Treaty คือข้อตกลงระหว่างไทย หรือราชอาณาจักรสยามในสมัยนั้น กับอังกฤษ ที่ลงนามเมื่อวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 จุดเด่นของสนธิสัญญานี้ คือการเปิดให้พ่อค้าชาวอังกฤษ สามารถค้าขายอย่างเสรีในสยาม และได้รับ “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” (Extraterritorial Rights) 🛂 กล่าวคือ คนในบังคับอังกฤษที่อยู่ในไทย จะไม่อยู่ภายใต้กฎหมายไทย แต่ขึ้นกับศาลของอังกฤษเอง นอกจากนี้ สนธิสัญญายังเปิดทางให้พ่อค้าต่างชาติ ตั้งรกราก ซื้อขายทรัพย์สิน และถือครองที่ดินในบางพื้นที่ได้ด้วย 💼 เหตุผลเบื้องหลัง อังกฤษต้องการอะไรกันแน่? หลายคนอาจเข้าใจว่า อังกฤษต้องการแค่เปิดตลาดการค้า แต่เบื้องหลังของข้อตกลงนี้ กลับลึกซึ้งกว่านั้นมาก… ผลประโยชน์จากการค้าฝิ่น อังกฤษต้องการสร้างเส้นทางการค้าฝิ่น ที่มั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องการให้สยามเป็นทางผ่านการค้ากับจีน ฮ่องกง และอินเดีย 🚢 อำนาจและอิทธิพลทางการทูต หลังสงครามฝิ่นครั้งแรก จีนพ่ายแพ้ อังกฤษต้องการป้องกันไม่ให้เกิด “สยามเป็นจีนลำดับต่อไป” เบาว์ริงใช้วิธี “ทูตนุ่ม” มากกว่าการใช้กำลังทหาร ประโยชน์จากภาษีต่ำ ตามสนธิสัญญา ไทยเก็บภาษีนำเข้าได้แค่ 3% เท่านั้น ‼️ ฝิ่นไม่ต้องเสียภาษีเลย แต่ต้องขายให้กับเจ้าภาษีเท่านั้น 👑 ทำไมสยามถึงยอมเซ็น? พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเล็งเห็นว่า ประเทศไทยอยู่ในภาวะล้าหลัง เมื่อเทียบกับชาติตะวันตก หากไม่ยอมเปิดประเทศ อาจตกเป็นอาณานิคมเหมือนจีน พม่า หรืออินเดียได้ การเปิดการค้าเสรี จะช่วยให้ราษฎรมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจาก “การส่งออกข้าว” ชาวนาก็จะมีเงินมากขึ้น ข้าวจะกลายเป็นสินค้าส่งออกของไทย สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาล... 🧺🌾 🔍 ผลกระทบที่ตามมา เปิดเสรี หรือเปิดโอกาสให้ต่างชาติครอบงำ? ภายหลังการลงนามสนธิสัญญาเบาว์ริง มีเรือต่างประเทศ เข้ามาค้าขายกว่า 100 ลำในปีเดียว ระบบเงินเหรียญ แทนพดด้วง เริ่มใช้อย่างเป็นระบบ เกิดการลงทุนของต่างชาติ เช่น โรงสี โรงเลื่อยไม้ โรงน้ำตาล ชาวนามีรายได้สูงขึ้น ราคาข้าวพุ่ง จาก 3–5 บาท ต่อเกวียน เป็น 16–20 บาท ต่อเกวียน ราษฎรสามารถ “จำนอง” หรือ “ขายฝาก” ที่ดินของตนได้ ชาวต่างชาติสามารถเช่า หรือซื้อที่ดินได้ในพื้นที่ที่รัฐบาลกำหนด 🏘️ 📈 ข้อดีของสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่น้อยคนนึกถึง... ✅ เปิดประตูการค้าเสรี ✅ ช่วยให้ไทยพัฒนาวิทยาการตะวันตก ✅ ราษฎรมีรายได้จากการค้าข้าว ✅ กระตุ้นการพัฒนาเมือง ถนนเจริญกรุง สีลม เริ่มก่อสร้าง ✅ ทำให้มีการแข่งขันทางการค้า → ราคาสินค้าลดลง 📌 สินค้าไทยเป็นที่ต้องการของตลาดโลก เช่น ข้าว ไม้สัก งาช้าง 😞 ข้อเสียเปรียบของไทย ในสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่ถูกซ่อนไว้ ❌ เสียสิทธิเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถเก็บภาษีนำเข้าตามต้องการได้ ต้องเปิดตลาดสินค้าให้ต่างชาติ โดยไม่มีข้อจำกัด ❌ เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต คนอังกฤษไม่ต้องขึ้นศาลไทย ทำให้ศาลไทยไม่มีอำนาจเต็มที่ ❌ ทุนต่างชาติเข้ามาครอบงำเศรษฐกิจ ตั้งโรงงาน โรงสี โรงเลื่อยไม้ ฯลฯ โดยคนไทยแข่งขันไม่ได้ ❌ คนไทยไม่สามารถทำการค้าในอังกฤษได้ ไม่ได้รับสิทธิเท่าเทียม เหมือนที่อังกฤษได้จากไทย ⚖️ ทำไมถึงเรียกว่า “สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม”? 📍 ถูกเซ็นภายใต้แรงกดดัน จากอำนาจจักรวรรดิ 📍 ไม่มีความเสมอภาคระหว่างสองประเทศ 📍 ไทยไม่สามารถต่อรองเงื่อนไขได้มากนัก 📍 คล้ายกับ “สนธิสัญญานานกิง” ที่จีนถูกบังคับให้เซ็นหลังสงครามฝิ่น 📚 บทเรียนที่ไทยได้จากอดีต 🇹🇭 สนธิสัญญาเบาว์ริง เป็นแรงผลักดันให้ไทยเร่งพัฒนา ปฏิรูประบบราชการ ระบบศาล และกฎหมาย เปิดการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาในภายหลัง โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่งผลถึงการรักษาเอกราชของไทย ในขณะที่เพื่อนบ้านหลายประเทศ กลายเป็นอาณานิคม ✨ ไทยเสียเปรียบวันนี้ เพื่อไม่เสียประเทศในวันหน้า? “ไม่เสมอภาค แต่จำเป็น” คือคำจำกัดความที่ดีที่สุด ของสนธิสัญญาเบาว์ริง ถึงแม้สัญญาฉบับนี้ จะเต็มไปด้วยข้อเสียเปรียบ แต่ก็นำมาซึ่งการรอดพ้นจากอาณานิคม การเปิดประตูสู่โลกสมัยใหม่ การเตรียมประเทศ เข้าสู่ยุคการปฏิรูปในรัชกาลที่ 5 สนธิสัญญาเบาว์ริงจึงเป็นเหมือน "ดาบสองคม" ที่ทั้งให้คุณและโทษ ในเวลาเดียวกัน ⚔️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181147 เม.ย. 2568 📌 #สนธิสัญญาเบาว์ริง #เปิดประเทศแต่ไม่เปิดโอกาส #ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย #ThailandHistory #BowringTreaty #เปิดเสรีไม่เท่าเทียม #ThailandTradeHistory #อธิปไตยไทย #อังกฤษในไทย #โลกาภิวัตน์กับไทย
    0 Comments 0 Shares 271 Views 0 Reviews
  • Intel กำลังเผชิญกับข้อจำกัดใหม่ในการส่งออกชิป Gaudi AI ไปยังจีน โดยต้องได้รับ ใบอนุญาตส่งออก ตามนโยบายการค้าล่าสุดของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทในตลาดจีน

    ✅ Intel ต้องได้รับใบอนุญาตส่งออกเพื่อขายชิป Gaudi AI ไปยังจีน
    - ข้อจำกัดนี้มีผลกับ ชิปที่มีแบนด์วิดท์ DRAM 1,400 GB/s หรือสูงกว่า
    - Intel เคยมีลูกค้ารายใหญ่ในจีน เช่น ByteDance ซึ่งซื้อชิปของบริษัทเป็นทางเลือกแทน Nvidia

    ✅ ข้อจำกัดนี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ AI ของ Intel ในจีน
    - แม้ Intel จะมีธุรกิจในจีนที่เล็กกว่า Nvidia แต่ก็ยังต้องเผชิญกับ กระบวนการทางกฎหมายที่ซับซ้อน
    - Nvidia และ AMD ก็ถูกจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีนเช่นกัน

    ✅ นโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจช่วยให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง
    - จีนอาจหันไปใช้ ชิป Ascend ของ Huawei แทนชิปจากบริษัทสหรัฐฯ
    - ข้อจำกัดนี้อาจกระตุ้นให้จีน เร่งพัฒนาโซลูชัน AI ในประเทศ

    ✅ Intel อาจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาตลาดในจีน
    - บริษัทอาจต้อง นำเสนอชิปที่มีสเปคต่ำลง เพื่อให้ผ่านข้อกำหนดการส่งออก
    - หรืออาจต้อง หาทางเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อขอผ่อนปรนข้อจำกัด

    https://wccftech.com/intel-sees-no-leverage-from-the-trump-administration-now-requires-license-to-sell-gaudi-chips-to-china/
    Intel กำลังเผชิญกับข้อจำกัดใหม่ในการส่งออกชิป Gaudi AI ไปยังจีน โดยต้องได้รับ ใบอนุญาตส่งออก ตามนโยบายการค้าล่าสุดของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทในตลาดจีน ✅ Intel ต้องได้รับใบอนุญาตส่งออกเพื่อขายชิป Gaudi AI ไปยังจีน - ข้อจำกัดนี้มีผลกับ ชิปที่มีแบนด์วิดท์ DRAM 1,400 GB/s หรือสูงกว่า - Intel เคยมีลูกค้ารายใหญ่ในจีน เช่น ByteDance ซึ่งซื้อชิปของบริษัทเป็นทางเลือกแทน Nvidia ✅ ข้อจำกัดนี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ AI ของ Intel ในจีน - แม้ Intel จะมีธุรกิจในจีนที่เล็กกว่า Nvidia แต่ก็ยังต้องเผชิญกับ กระบวนการทางกฎหมายที่ซับซ้อน - Nvidia และ AMD ก็ถูกจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีนเช่นกัน ✅ นโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจช่วยให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง - จีนอาจหันไปใช้ ชิป Ascend ของ Huawei แทนชิปจากบริษัทสหรัฐฯ - ข้อจำกัดนี้อาจกระตุ้นให้จีน เร่งพัฒนาโซลูชัน AI ในประเทศ ✅ Intel อาจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาตลาดในจีน - บริษัทอาจต้อง นำเสนอชิปที่มีสเปคต่ำลง เพื่อให้ผ่านข้อกำหนดการส่งออก - หรืออาจต้อง หาทางเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อขอผ่อนปรนข้อจำกัด https://wccftech.com/intel-sees-no-leverage-from-the-trump-administration-now-requires-license-to-sell-gaudi-chips-to-china/
    WCCFTECH.COM
    Intel Sees No Leverage From the Trump Administration, Now Requires Export License to Sell Gaudi Chips to China
    US chipmaker Intel hasn't seen any exemption at all, as it is reported that the firm would require a license to sell its chips in China.
    0 Comments 0 Shares 155 Views 0 Reviews
  • รายงานจาก Tom's Hardware ระบุว่า การส่งออกชิปไปยังมาเลเซียเพิ่มขึ้นถึง 366% ท่ามกลางมาตรการเข้มงวดของสหรัฐฯ ในการควบคุมการลักลอบนำเข้า Nvidia AI GPUs ไปยังจีน โดยมีข้อสงสัยว่ามาเลเซียอาจกลายเป็น ศูนย์กลางข้อมูล AI หรือเป็นช่องทางในการส่งออกชิปไปยังจีน

    ✅ การส่งออกชิปจากไต้หวันไปมาเลเซียเพิ่มขึ้น 366% ในเดือนมีนาคม
    - มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจาก $401.92 ล้าน เป็น $1873.89 ล้าน เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
    - การเพิ่มขึ้นนี้เกิดขึ้นหลังจาก สหรัฐฯ เพิ่มมาตรการควบคุมการส่งออก AI GPUs ไปยังจีน

    ✅ มาเลเซียอาจกลายเป็นศูนย์กลางข้อมูล AI หรือช่องทางส่งออกชิปไปจีน
    - มีข้อสงสัยว่าบริษัทจีนอาจใช้มาเลเซียเป็น ศูนย์กลางในการสะสมฮาร์ดแวร์ AI ก่อนที่มาตรการควบคุมของสหรัฐฯ จะมีผลในวันที่ 15 พฤษภาคม
    - รายงานระบุว่าบริษัทจีนเป็น ลูกค้าหลักของศูนย์ข้อมูลคลาวด์ในมาเลเซีย ซึ่งอาจหมายถึงการนำเข้าเซิร์ฟเวอร์ AI จากไต้หวันเพื่อใช้งานในจีน

    ✅ การส่งออกชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์จากไต้หวันไปมาเลเซียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    - มูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นจาก $15 ล้าน เป็น $60.83 ล้าน ในเดือนมีนาคม
    - อาจรวมถึง AI accelerators เช่น Nvidia H100 ซึ่งเป็นชิปที่ถูกควบคุมการส่งออกโดยสหรัฐฯ

    ✅ สหรัฐฯ ขอให้มาเลเซียเพิ่มการตรวจสอบการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน
    - มีข้อสงสัยว่า Nvidia GPUs ระดับสูงอาจถูกส่งไปยังจีนผ่านมาเลเซีย
    - สหรัฐฯ กำลังตรวจสอบว่ามาเลเซียมีบทบาทในการ ช่วยให้บริษัทจีนเข้าถึงฮาร์ดแวร์ที่ถูกควบคุม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/massive-366-percent-chip-shipment-surge-to-malaysia-amid-increased-nvidia-ai-gpu-smuggling-curbs-ahead-of-looming-sectoral-tariffs
    รายงานจาก Tom's Hardware ระบุว่า การส่งออกชิปไปยังมาเลเซียเพิ่มขึ้นถึง 366% ท่ามกลางมาตรการเข้มงวดของสหรัฐฯ ในการควบคุมการลักลอบนำเข้า Nvidia AI GPUs ไปยังจีน โดยมีข้อสงสัยว่ามาเลเซียอาจกลายเป็น ศูนย์กลางข้อมูล AI หรือเป็นช่องทางในการส่งออกชิปไปยังจีน ✅ การส่งออกชิปจากไต้หวันไปมาเลเซียเพิ่มขึ้น 366% ในเดือนมีนาคม - มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจาก $401.92 ล้าน เป็น $1873.89 ล้าน เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว - การเพิ่มขึ้นนี้เกิดขึ้นหลังจาก สหรัฐฯ เพิ่มมาตรการควบคุมการส่งออก AI GPUs ไปยังจีน ✅ มาเลเซียอาจกลายเป็นศูนย์กลางข้อมูล AI หรือช่องทางส่งออกชิปไปจีน - มีข้อสงสัยว่าบริษัทจีนอาจใช้มาเลเซียเป็น ศูนย์กลางในการสะสมฮาร์ดแวร์ AI ก่อนที่มาตรการควบคุมของสหรัฐฯ จะมีผลในวันที่ 15 พฤษภาคม - รายงานระบุว่าบริษัทจีนเป็น ลูกค้าหลักของศูนย์ข้อมูลคลาวด์ในมาเลเซีย ซึ่งอาจหมายถึงการนำเข้าเซิร์ฟเวอร์ AI จากไต้หวันเพื่อใช้งานในจีน ✅ การส่งออกชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์จากไต้หวันไปมาเลเซียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว - มูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นจาก $15 ล้าน เป็น $60.83 ล้าน ในเดือนมีนาคม - อาจรวมถึง AI accelerators เช่น Nvidia H100 ซึ่งเป็นชิปที่ถูกควบคุมการส่งออกโดยสหรัฐฯ ✅ สหรัฐฯ ขอให้มาเลเซียเพิ่มการตรวจสอบการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน - มีข้อสงสัยว่า Nvidia GPUs ระดับสูงอาจถูกส่งไปยังจีนผ่านมาเลเซีย - สหรัฐฯ กำลังตรวจสอบว่ามาเลเซียมีบทบาทในการ ช่วยให้บริษัทจีนเข้าถึงฮาร์ดแวร์ที่ถูกควบคุม https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/massive-366-percent-chip-shipment-surge-to-malaysia-amid-increased-nvidia-ai-gpu-smuggling-curbs-ahead-of-looming-sectoral-tariffs
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • Huawei Ascend 910C ซึ่งเป็น AI Accelerator รุ่นใหม่ของ Huawei ถูกพบว่าใช้ ชิ้นส่วนจากต่างประเทศ โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า ชิปเซ็ตหลักของ Ascend 910C ผลิตโดย TSMC ด้วยกระบวนการ 7 นาโนเมตร แม้ว่าจะมีการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ

    ✅ Huawei Ascend 910C ใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศ แม้จะถูกคว่ำบาตร
    - นักวิเคราะห์พบว่า ชิปเซ็ตหลักของ Ascend 910C ผลิตโดย TSMC ด้วยกระบวนการ 7 นาโนเมตร
    - Huawei สามารถหลีกเลี่ยงข้อจำกัดโดย ซื้อเวเฟอร์จาก TSMC ผ่านบริษัทตัวกลาง Sophgo

    ✅ SMIC อาจมีส่วนร่วมในการผลิตบางส่วน
    - แม้ว่า SMIC จะมี กระบวนการผลิต 7 นาโนเมตร แต่ส่วนใหญ่ของ Ascend 910C ยังคงใช้ เวเฟอร์จาก TSMC
    - Huawei อาจกำลังพัฒนา กระบวนการผลิต 5 นาโนเมตร กับ SMIC แต่ยังไม่พร้อมสำหรับการผลิตจำนวนมาก

    ✅ Ascend 910C มีประสิทธิภาพต่ำกว่า NVIDIA GB200
    - นักวิเคราะห์ระบุว่า Ascend 910C ล้าหลัง NVIDIA GB200 "Blackwell" AI GPU
    - อย่างไรก็ตาม Huawei ยังคงพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อแข่งขันในตลาด AI

    ✅ Huawei ใช้เทคนิคหลีกเลี่ยงข้อจำกัดการส่งออก
    - มีรายงานว่า Huawei ยังคงได้รับเวเฟอร์จาก TSMC ผ่านบริษัทตัวกลางอื่นๆ
    - นักวิเคราะห์ไม่สามารถยืนยันได้ว่าการส่งเวเฟอร์ผ่านบริษัทตัวกลางยังคงดำเนินต่อไปหรือไม่

    https://www.techpowerup.com/335570/report-suggests-huawei-ascend-910c-ai-accelerators-utilization-of-foreign-parts-investigators-find-7-nm-tsmc-dies
    Huawei Ascend 910C ซึ่งเป็น AI Accelerator รุ่นใหม่ของ Huawei ถูกพบว่าใช้ ชิ้นส่วนจากต่างประเทศ โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า ชิปเซ็ตหลักของ Ascend 910C ผลิตโดย TSMC ด้วยกระบวนการ 7 นาโนเมตร แม้ว่าจะมีการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ ✅ Huawei Ascend 910C ใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศ แม้จะถูกคว่ำบาตร - นักวิเคราะห์พบว่า ชิปเซ็ตหลักของ Ascend 910C ผลิตโดย TSMC ด้วยกระบวนการ 7 นาโนเมตร - Huawei สามารถหลีกเลี่ยงข้อจำกัดโดย ซื้อเวเฟอร์จาก TSMC ผ่านบริษัทตัวกลาง Sophgo ✅ SMIC อาจมีส่วนร่วมในการผลิตบางส่วน - แม้ว่า SMIC จะมี กระบวนการผลิต 7 นาโนเมตร แต่ส่วนใหญ่ของ Ascend 910C ยังคงใช้ เวเฟอร์จาก TSMC - Huawei อาจกำลังพัฒนา กระบวนการผลิต 5 นาโนเมตร กับ SMIC แต่ยังไม่พร้อมสำหรับการผลิตจำนวนมาก ✅ Ascend 910C มีประสิทธิภาพต่ำกว่า NVIDIA GB200 - นักวิเคราะห์ระบุว่า Ascend 910C ล้าหลัง NVIDIA GB200 "Blackwell" AI GPU - อย่างไรก็ตาม Huawei ยังคงพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อแข่งขันในตลาด AI ✅ Huawei ใช้เทคนิคหลีกเลี่ยงข้อจำกัดการส่งออก - มีรายงานว่า Huawei ยังคงได้รับเวเฟอร์จาก TSMC ผ่านบริษัทตัวกลางอื่นๆ - นักวิเคราะห์ไม่สามารถยืนยันได้ว่าการส่งเวเฟอร์ผ่านบริษัทตัวกลางยังคงดำเนินต่อไปหรือไม่ https://www.techpowerup.com/335570/report-suggests-huawei-ascend-910c-ai-accelerators-utilization-of-foreign-parts-investigators-find-7-nm-tsmc-dies
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Report Suggests Huawei Ascend 910C AI Accelerator's Utilization of Foreign Parts; Investigators Find 7 nm TSMC Dies
    Earlier today, TechPowerUp covered the alleged performance prowess of Huawei's CloudMatrix 384 system super node. According to SemiAnalysis opinion, the system's Ascend 910C AI accelerators are a generation behind—in terms of chip performance—when compared to NVIDIA's GB200 "Blackwell" AI GPU design...
    0 Comments 0 Shares 86 Views 0 Reviews
  • สหรัฐฯ ได้ออกข้อจำกัดใหม่เกี่ยวกับการส่งออกชิป AI ไปยังจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อ AMD และ Nvidia โดย AMD คาดว่าจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายสูงถึง 800 ล้านดอลลาร์ จากสินค้าคงคลังและคำสั่งซื้อที่ได้รับผลกระทบ

    ✅ สหรัฐฯ ออกข้อจำกัดใหม่เกี่ยวกับการส่งออกชิป AI ไปยังจีน
    - ข้อจำกัดนี้มีผลกับ AMD MI308 และ Nvidia H20 ซึ่งต้องได้รับใบอนุญาตก่อนส่งออก
    - รัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่ามาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ รักษาความเป็นผู้นำด้าน AI และป้องกันจีนจากการพัฒนาเทคโนโลยีที่เหนือกว่า

    ✅ AMD คาดว่าจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายสูงถึง 800 ล้านดอลลาร์
    - ค่าใช้จ่ายนี้รวมถึง สินค้าคงคลัง, คำสั่งซื้อที่ได้รับผลกระทบ และการตั้งสำรองทางบัญชี
    - Nvidia ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยคาดว่าจะต้อง ตัดจำหน่ายสินค้าคงคลังมูลค่า 5.5 พันล้านดอลลาร์

    ✅ ข้อจำกัดนี้ทำให้บริษัทจีนหาทางนำเข้าชิปผ่านประเทศที่สาม
    - มีรายงานว่าธุรกิจจีนใช้ ตัวกลางในมาเลเซีย, เวียดนาม และไต้หวัน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด
    - สิงคโปร์และมาเลเซียกำลังพยายาม ลดการรั่วไหลของชิป AI ไปยังจีน แต่ยังไม่แน่ชัดว่ามาตรการเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพเพียงใด

    ✅ รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันว่ามาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติ
    - กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่ามาตรการนี้เป็นไปตาม คำสั่งของประธานาธิบดี เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/amd-takes-usd800m-haircut-as-us-govt-cuts-off-chinas-ai-gpu-supply
    สหรัฐฯ ได้ออกข้อจำกัดใหม่เกี่ยวกับการส่งออกชิป AI ไปยังจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อ AMD และ Nvidia โดย AMD คาดว่าจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายสูงถึง 800 ล้านดอลลาร์ จากสินค้าคงคลังและคำสั่งซื้อที่ได้รับผลกระทบ ✅ สหรัฐฯ ออกข้อจำกัดใหม่เกี่ยวกับการส่งออกชิป AI ไปยังจีน - ข้อจำกัดนี้มีผลกับ AMD MI308 และ Nvidia H20 ซึ่งต้องได้รับใบอนุญาตก่อนส่งออก - รัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่ามาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ รักษาความเป็นผู้นำด้าน AI และป้องกันจีนจากการพัฒนาเทคโนโลยีที่เหนือกว่า ✅ AMD คาดว่าจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายสูงถึง 800 ล้านดอลลาร์ - ค่าใช้จ่ายนี้รวมถึง สินค้าคงคลัง, คำสั่งซื้อที่ได้รับผลกระทบ และการตั้งสำรองทางบัญชี - Nvidia ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยคาดว่าจะต้อง ตัดจำหน่ายสินค้าคงคลังมูลค่า 5.5 พันล้านดอลลาร์ ✅ ข้อจำกัดนี้ทำให้บริษัทจีนหาทางนำเข้าชิปผ่านประเทศที่สาม - มีรายงานว่าธุรกิจจีนใช้ ตัวกลางในมาเลเซีย, เวียดนาม และไต้หวัน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด - สิงคโปร์และมาเลเซียกำลังพยายาม ลดการรั่วไหลของชิป AI ไปยังจีน แต่ยังไม่แน่ชัดว่ามาตรการเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพเพียงใด ✅ รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันว่ามาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติ - กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่ามาตรการนี้เป็นไปตาม คำสั่งของประธานาธิบดี เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/amd-takes-usd800m-haircut-as-us-govt-cuts-off-chinas-ai-gpu-supply
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews

  • ตามรอยย้อนกลับ Supply Chain แร่หายากจากพม่ามหาศาลสู่จีน
    ______________________________
    23 ธันวาคม พ.ศ. 2564 บริษัท China Rare Earth Group Co., Ltd. ก่อตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ จากการควบรวมของ 3 กิจการด้านอุตสาหกรรมแร่หายากในจีน China Aluminium Corporation, China Minmetals Corporation และ Ganzhou Rare Earth Group Co., Ltd. เป้าคือพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายาก วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี
    China Rare Earth Group อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของรัฐ-คณะกรรมการกำกับดูแลและบริหารสินทรัพย์ที่เป็นเจ้าของของสภาแห่งรัฐ ถือหุ้นร้อยละ 31.21 China Aluminium Corporation, China Minmetals Corporation และ Ganzhou Rare Earth Group Co., Ltd. แต่ละบริษัทถือหุ้นร้อยละ 20.33; China Iron and Steel Research Technology Group Co., Ltd. และ Youyan Technology Group Co., Ltd. ถือหุ้นร้อยละ 3.90
    ปัจจุบันจีนมีปริมาณการผลิตแร่ธาตุ หายากสูงเป็นอันดับ 1 ของโลกอยู่ที่ 132,000 ตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 63 ของปริมาณการผลิตแร่ธาตุหายากทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 210,000 ตัน โดยประเทศอื่น ๆ ที่มีปริมาณการผลิตแร่ธาตุหายากในลำดับถัดมา ได้แก่ สหรัฐฯ (26,000 ตัน) เมียนมา (22,000 ตัน) ออสเตรเลีย (21,000 ตัน) อินเดีย (3,000 ตัน) รัสเซีย (2,700 ตัน) มาดากัสการ์ (2,000 ตัน) ไทย (1,800 ตัน) บราซิล (1,000 ตัน) เวียดนาม (900 ตัน) และบุรุนดี (600 ตัน)
    ______________________________
    ระฆังกำแพงภาษีลั่นขึ้นห้วงเมษายน 2568 โดยสหรัฐอเมริกา การตอบโต้กลับของจีนเปิดหน้าชก สวนกลับทุกเม็ด รวมถึงได้ขยายการใช้ "แร่หายาก" (rare earths) เป็นเครื่องมือตอบโต้ทางการค้า โดยประกาศจำกัดการส่งออกแร่หายาก 7 ชนิด ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญในอุดสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเป็นการตอบโต้ต่อมาดรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ
    สำหรับแร่หายาก 7 ชนิดได้แก่ ชามาเรียม (Samarium) แกโดลิเนียม (Gadolinium) เทอร์เมียม (Terbium) ดิสโพรเซียม (Dysprosium) ลูทีเซียม (Lutetium) สแกนเดียม (Scandium) และอิดเทรียม (Yttrium) สำหรับแร่หายากยอดนิยมอย่าง นี่โอไดเมียม (Neodymium) และ พราเชโอไดเมียม (Praseodymium) ซึ่งใช้ผลิตแม่เหล็กประสิทธิภาพสูง ยังไม่อยู่ในรายชื่อควบคุม
    หลังการรัฐประหารปี 2021 การส่งออกแร่ธาตุหายากจากพม่าไปจีนเพิ่มขึ้น 5 เท่า สูงถึง 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการการพึ่งพาจีน 90% ของการแปรรูปแร่หายากโลกอยู่ในจีน แบ่งเป็น แร่กลุ่มหายาก (Rare Earth Elements) มูลค่า: 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2025) ส่วนแบ่งการนำเข้า: กว่า 50% ของการนำเข้าแร่หายากทั้งหมดของจีน ชนิดแร่หลัก: เทอร์เบียม (Terbium) และดีสโพรเซียม (Dysprosium) ในกลุ่ม Heavy Rare Earth Elements (HREE) พื้นที่ทำเหมืองหลักที่คะฉิ่น ที่เหมือง Chipwi และ Momauk: มีบ่อแร่มากกว่า 2,700 บ่อ เมือง Panwa: แหล่งผลิตหลักภายใต้การควบคุมของ Kachin Independence Army (KIA) การขยายตัว: จำนวนไซต์ทำเหมืองเพิ่มขึ้น 40% นับตั้งแต่ปี 2021 โดยพื้นที่ KIA: เก็บภาษี 35,000 หยวน/ตัน (ประมาณ 4,800 ดอลลาร์สหรัฐ)
    บริษัทจีนผู้รับซื้อหลัก คือ China Rare Earths Group (REGCC) ควบคุมการประมูลแร่กว่า 80% China Northern Rare Earth Group ผู้ประมูลแร่รายใหญ่ของโลก และ JL Mag Rare-Earth: ผู้ผลิตแม่เหล็กถาวรรายใหญ่ ใช้แร่จากพม่าในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และยังมีบริษัท Rising Nonferrous บริษัทที่ได้รับอนุมัติให้นำเข้าแร่หายากจากเมียนมาโดยตรง
    นอกจากนั้นก็จะมี China Nonferrous Metal Mining Group (CNMC) รับซื้อ: ทองแดง, นิกเกิล พื้นที่รับซื้อคือเหมือง Monywa ในเขตสะกาย บริษัท China Minmetals Corporation: รับซื้อ: แร่หายาก, ดีบุก, ทังสเตน Aluminum Corporation of China (CHINALCO): รับซื้อ: แร่ที่เกี่ยวข้องกับอะลูมิเนียมและโลหะผสม Yunnan Tin Company: รับซื้อ: ดีบุก เพราะเป็นผู้ผลิตดีบุกรายใหญ่ของจีน Pangang Group: รับซื้อ: ทังสเตน, พลวง เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโลหะหนัก
    ______________________________
    การส่งออกแร่ธาตุจากพม่าไปจีนมีป้อนอุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้จีน และแน่นอนต้องใช้ฐานของกลุ่มประเทศอาเซียนเป็นตลาดหลักและบายพาสไปยังกลุ่มประเทศที่มีกำแพงภาษีสูงไม่ว่าจะเป็น
    • อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles)แร่ธาตุหายาก เช่น ดิสโพรเซียม (Dysprosium) และเทอร์เบียม (Terbium) ที่นำเข้าจากพม่าใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับมอเตอร์ในรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจีนมีความต้องการสูงมากในช่วงหลังเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด EV
    • อุตสาหกรรมพลังงานลม (Wind Power)แม่เหล็กถาวรที่ผลิตจากแร่ธาตุหายากเหล่านี้ยังถูกใช้ในกังหันลมเพื่อผลิตพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายพลังงานทดแทนของจีน
    • อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics)แร่ธาตุหายากจากพม่าถูกนำไปใช้ในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่ต้องการแม่เหล็กและวัสดุพิเศษ
    • อุตสาหกรรมแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets) บริษัทจีนใหญ่ เช่น China Southern Rare Earth ใช้แร่ธาตุจากพม่าในการผลิตแม่เหล็กถาวรที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในหลายอุตสาหกรรม
    • อาวุธยุทโธปกรณ์ (Defence Industry) และอุตสาหกรรมอวกาศ และอากาศยาน (Aerospace Industry)
    สถานการณ์ความต้องการแร่ธาตุหายากงวดขึ้นเพราะนับวันแร่ธาตุเหล่านั้นย่อมลดลง ตามชื่อเพราะยิ่งหายากขึ้น โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 จีนเพิ่มการนำเข้าแร่หายากจากพม่าเกิน 9 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และคิดเป็นกว่า 70% ของแร่ธาตุหายากที่จีนใช้ทั้งหมด ซึ่งทำให้พม่าเป็นแหล่งผลิตแร่หายากที่ใหญ่ที่สุดของจีนในปัจจุบัน
    ______________________________
    ความต้องการสูงและความไม่แน่นอนของซัพพลายเชน โดยเฉพาะในช่วงที่มีความขัดข้องจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้จีนพึ่งพาแหล่งแร่จากต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะพม่าเป็นสัดส่วนถึง 70% ของวัตถุดิบที่ใช้ เนื่องจากเหมืองในจีนผลิตไม่เพียงพอและมีข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมและนโยบาย
    ปัญหาจึงอยู่ที่แร่ธาตุหายากจากพม่าส่วนใหญ่ถูกขุดอย่างผิดกฎหมายและผ่านช่องทางที่ไม่โปร่งใส ทำให้บริษัทจีนที่แปรรูปแร่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ชัดเจน ส่งผลต่อความยั่งยืนและความน่าเชื่อถือของตลาด รวมถึงสร้างปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมต่อพม่าอย่างมหาศาล
    หากเจาะพื้นที่การทำเหมืองในรัฐต่าง ๆ การทำเหมืองในเมียนมามักอยู่ในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งหรือควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งมีผลต่อการส่งออกและการจัดการทรัพยากร ดังนี้:
    • รัฐคะฉิ่น (Kachin State): แร่หลัก: แร่หายาก (REEs), พลวง, ทองคำ, อิตเทรียม พื้นที่ป่าทางตอนเหนือ อุดมไปด้วยแร่หายาก แต่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างกองทัพเมียนมาและกองทัพปลดปล่อยคะฉิ่น (KIA) ส่วนใหญ่ทำลายสิ่งแวดล้อม น้ำกลายเป็นโคลน และสัตว์ป่าลดลง
    • รัฐฉาน (Shan State): แร่หลัก: ดีบุก, ตะกั่ว, สังกะสี, ทังสเตน,ทองคำพื้นที่ที่มีเหมืองดีบุกขนาดใหญ่ เช่น เหมือง Man Maw การควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธที่เชื่อมโยงกับกองทัพเมียนมา ทำให้เงินจากเหมือง สนับสนุนกองทัพ สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมหาศาลเช่นกันและลุกลามไปยังประเทศเพื่อนบ้านคือประเทศไทย
    • เขตสะกาย (Sagaing Region): แร่หลัก: ทองแดง, นิกเกิล, ทองคำพื้นที่ที่มีการสู้รบหนักระหว่างกองทัพเมียนมาและกองกำลัง PDF
    • เขตมัณฑะเลย์ (Mandalay Region): แร่หลัก: แร่หายาก, พลวง, อิตเทรียม, ทองคำพื้นที่ที่มีเหมืองขนาดเล็กกระจายอยู่
    • เขตตะนาวศรี (Tanintharyi Region): แร่หลัก: ดีบุก เป็นเหมืองดีบุกขนาดใหญ่ใกล้ชายฝั่ง
    • รัฐมอญ (Mon State): แร่หลัก: ทองแดง เป็นเหมืองขนาดเล็กถึงปานกลาง
    • รัฐกะยา (Kayah State): แร่หลัก: ตะกั่ว พื้นที่ที่มีความขัดแย้งสูง
    ______________________________
    สอบทานต้นทาง-ย้อนกลับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของแร่ธาตุจากเมียนมาไปจีนมีลักษณะดังนี้ เริ่มต้นสำรวจแหล่ง แน่นอนฐานข้อมูลมีอยู่แล้วในมือรัฐบาลทหารพม่า และในกำมือเทคโนโลยีจีน ก่อนจะให้บริษัทเอกชนในแต่ละความถนัดของจีน และของพม่าเอง ขุดและแปรรูปเบื้องต้น เหมืองส่วนใหญ่ในพม่าดำเนินการโดยบริษัทท้องถิ่นหรือบริษัทจีนร่วมทุน การแปรรูปขั้นต้น (เช่น การถลุงแร่ดีบุก) มักทำในเมียนมาก่อนส่งออก ส่วนใหญ่ในพื้นที่ขัดแย้งทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
    การขนส่ง เส้นทางหลัก: จากเหมืองในรัฐคะฉิ่นและฉานไปยังชายแดนจีน (มณฑลยูนนาน) ผ่านทางรถไฟหรือถนน เช่น เส้นทางรถไฟเจ้าผิ่ว-มูเซ บางส่วนส่งออกผ่านท่าเรือในเขตตะนาวศรีและย่างกุ้ง
    การแปรรูปขั้นสูงในจีน ปลายทางคือโรงงานแปรรูปอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง, เจียงซู, และแถบเศรษฐกิจแยงซีเกียง โดยแร่หายากถูกกลั่นเป็นโลหะบริสุทธิ์หรือสารประกอบ เช่น นีโอดิเมียมสำหรับแม่เหล็ก หรืออิตเทรียมสำหรับ LED
    สายพานอุตสาหกรรมที่ใช้งานแบ่งตามแร่ธาตุอุตสาหกรรมเทคโนโลยี: แร่หายาก (REEs) และดีบุกใช้ในสมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์, เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า: แร่หายาก (นีโอดิเมียม, ดิสโพรเซียม) และนิกเกิลใช้ในมอเตอร์และแบตเตอรี่ พลังงานสะอาด: ทังสเตนและพลวงใช้ในกังหันลมและแผงโซลาร์ อุตสาหกรรมทหาร: แร่หายากและพลวงใช้ในขีปนาวุธ, เรดาร์, และเลเซอร์ การก่อสร้างและเครื่องจักร: ทองแดงและสังกะสีใช้ในสายไฟและโครงสร้าง
    ความท้าทายในระบบ Supply Chain ส่วนใหญ่คือความขัดแย้งในเมียนมาอาจขัดขวางการขนส่ง จากผลประโยชน์มหาศาลเพื่อนำมาเป็นอาวุธและจุนเจือเสบียงในการรบ ขณะที่นานาชาติได้เรียกร้องให้ตรวจสอบแร่จากพื้นที่ขัดแย้ง แต่จีนเป็นประเทศเดียวที่บังคับให้แยกแร่จากเมียนมาและจีน
    ______________________________
    ล่าสุด กองกำลังเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independent Organization, Kachin Independent Army- KIA) ซึ่งได้เป็นเจ้าของใหม่ของเหมืองแร่หายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) อนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังประเทศจีน โดยเก็บภาษีในอัตรา 30,500 หยวนต่อหนึ่งตัน (ราว 160,000 บาท) พื้นที่แหล่งแร่หายากที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในเขตปางวาและชิพเว (Pang Wa, Chi Pwi) ในรัฐคะฉิ่น ซึ่งกลุ่ม KIA เข้ายึดครองในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 ได้รับอนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังจีนหลังจากควบคุมพื้นที่มาได้ 6 เดือน
    สำนักข่าวรอยเตอร์ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 KIO/KIA ได้อนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังประเทศจีน โดยเก็บภาษีในอัตรา 30,500 หยวนต่อหนึ่งตัน อย่างไรก็ตาม รายละเอียดอื่น ๆ ในหนังสืออนุญาตของ KIO ยังไม่ได้รับการเปิดเผย เจ้าหน้าที่ KIA เขตปางวาให้ข้อมูลว่าKIO/KIA และรัฐบาลจีน ยังคงเจรจาเกี่ยวกับการใช้จุดผ่านแดนเดียวในการส่งออกแร่หายาก และจนถึงสัปดาห์ที่สองของเดือนเมษายน ยังไม่มีการส่งออกอย่างเป็นทางการ
    KIA สามารถควบคุมจุดผ่านแดนทางการค้าระหว่างจีน-พม่าในรัฐคะฉิ่นทั้งหมด ได้แก่ กานปายตี Kan Pai Ti, ล่วยเจ Loi Je และปางวา ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าจะใช้จุดผ่านแดนใดในการส่งออก หลังจากที่ KIA ควบคุมพื้นที่ปางวาและชิพเว รัฐบาลจีนได้มีคำสั่งปิดจุดผ่านแดนทั้งหมด ทำให้บริษัทเหมืองแร่ส่วนใหญ่หยุดดำเนินการ มีเพียงบางบริษัทที่ยังคงขุดแร่ต่อไป เนื่องจากยังมีวัตถุดิบหลงเหลืออยู่
    รายงานของ Global Witness ระบุว่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในพื้นที่ปางวาเริ่มขึ้นในปี 2016 โดยนักธุรกิจชาวจีน ซึ่งส่งออกแร่ไปยังจีนเป็นหลัก ตามข้อมูลปัจจุบัน พม่าติดอันดับ 3 ของประเทศผู้ผลิตแร่แรร์เอิร์ท และคิดเป็น 50% ของการส่งออกแร่หายากทั่วโลก หลังจากการรัฐประหารของกองทัพพม่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในพื้นที่ปางวาและชิพเวเพิ่มขึ้น 40% และจำนวนเหมืองแร่เพิ่มขึ้นกว่า 300 แห่ง ในปี 2566 เพียงปีเดียว มีการส่งออกแร่หายากไปยังจีนมากถึง 41,700 ตัน สร้างรายได้ถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    ______________________________
    สรุปขมวดปม การส่งออกแร่ธาตุจากพม่าไปจีนช่วยเสริมความมั่นคงของซัพพลายเชนแร่หายากในจีน ลดภาวะขาดแคลนและสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้านความโปร่งใสและความยั่งยืนในตลาดแร่ธาตุของจีน แร่ธาตุหายากจากพม่ามีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานสะอาด ซึ่งจีนพึ่งพาการนำเข้าแร่จากพม่าเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% ของแร่หายากที่ใช้ในประเทศ เหมืองแร่หายากเหล่านี้ทั้งหมด รวมถึงแร่ทองคำ และอื่น ๆ ที่ปักหมุดขุดหลุมร่อนตระแกรง ทุกรัฐในเมียนมาก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ป่าเขา แม่น้ำ ลำธาร โดยคนงานบางรายถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างโหดร้าย หญิงคนงานถูกล่วงละเมิดทางเพศ และหลายคนได้รับอันตรายทางสุขภาพอย่างร้ายแรงจากสารเคมีที่ใช้ในเหมือง และส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่กว้างขวางขึ้นรวมถึงประเทศไทย และลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน คำถามคือจีนมีส่วนสำคัญในการสร้างมลภาวะในพื้นที่ ควรจะร่วมรับผิดชอบหรือไม่ ไม่ใช่การสูบทรัพยากรในพื้นที่แต่ไม่ได้เหลียวแลผลกระทบที่จะตามมา อันจะกลายเป็นการสร้างปัญหาใหญ่ให้กับจีนในอนาคต
    อ้างอิง : https://www.facebook.com/GlobalWitness/ และสำนักข่าวชายขอบ
    https://shorturl.asia/6GnqX
    ประชาไท https://prachatai.com/journal/2025/01/111942
    ______________________________

    10 อันดับแร่ธาตุที่ส่งออกจากเมียนมาไปจีน (เรียงตามมูลค่าประเมิน)
    1. แร่ดีบุก (Tin)
    o มูลค่า: สูงสุด เนื่องจากเมียนมาเป็นผู้ผลิตดีบุกรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก และจีนนำเข้า 95% ของหัวแร่ดีบุกจากเมียนมาในปี 2563
    o การใช้งาน: ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (บัดกรีแผงวงจร), การผลิตโลหะผสม
    o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน (Shan State), เขตตะนาวศรี (Tanintharyi Region)
    2. แร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs)
    o มูลค่า: สูง เนื่องจากความต้องการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน
    o การใช้งาน: ผลิตแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets), แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า, อุปกรณ์เลเซอร์, เซมิคอนดักเตอร์
    o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น (Kachin State), เขตมัณฑะเลย์ (Mandalay Region)
    3. ทองแดง (Copper)
    o มูลค่า: สูง เนื่องจากราคาทองแดงในตลาดโลกพุ่งสูงหลังรัฐประหาร
    o การใช้งาน: สายไฟ, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, การก่อสร้าง
    o พื้นที่เหมือง: เขตสะกาย (Sagaing Region), รัฐมอญ (Mon State)
    4. ตะกั่ว (Lead)
    o มูลค่า: ปานกลางถึงสูง ใช้ในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่
    o การใช้งาน: แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด, อุตสาหกรรมยานยนต์
    o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, รัฐกะยา (Kayah State)
    5. สังกะสี (Zinc)
    o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมเคลือบโลหะ
    o การใช้งาน: การชุบกัลวาไนซ์, โลหะผสม
    o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, เขตย่างกุ้ง (Yangon Region)
    6. นิกเกิล (Nickel)
    o มูลค่า: ปานกลาง เนื่องจากความต้องการในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่
    o การใช้งาน: แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน, สแตนเลส
    o พื้นที่เหมือง: เขตสะกาย, รัฐฉาน
    7. พลวง (Antimony)
    o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมทหารและพลังงาน
    o การใช้งาน: สารหน่วงไฟ, โลหะผสม, อุปกรณ์ทหาร
    o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น, เขตมัณฑะเลย์
    8. ทังสเตน (Tungsten)
    o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมที่มีความแข็งสูง
    o การใช้งาน: โลหะผสม, เครื่องมือตัด, อุปกรณ์ทหาร
    o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, รัฐคะฉิ่น
    9. ทองคำ (Gold)
    o มูลค่า: ปานกลางถึงสูง ขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก
    o การใช้งาน: อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องประดับ
    o พื้นที่เหมือง: เขตมัณฑะเลย์, รัฐคะฉิ่น, เขตสะกาย
    10. อิตเทรียม (Yttrium)
    o มูลค่า: ต่ำถึงปานกลาง แต่มีความสำคัญในอุตสาหกรรมเฉพาะ
    o การใช้งาน: สารเรืองแสงใน LED, อุปกรณ์ MRI, เซรามิก
    o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น, เขตมัณฑะเลย์
    หมายเหตุ: มูลค่าที่ระบุเป็นการประเมินจากความสำคัญในห่วงโซ่อุปทานและปริมาณการส่งออก เนื่องจากไม่มีข้อมูลตัวเลขที่แน่นอนหลังรัฐประหาร
    ______________________________
    ตามรอยย้อนกลับ Supply Chain แร่หายากจากพม่ามหาศาลสู่จีน ______________________________ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2564 บริษัท China Rare Earth Group Co., Ltd. ก่อตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ จากการควบรวมของ 3 กิจการด้านอุตสาหกรรมแร่หายากในจีน China Aluminium Corporation, China Minmetals Corporation และ Ganzhou Rare Earth Group Co., Ltd. เป้าคือพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายาก วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี China Rare Earth Group อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของรัฐ-คณะกรรมการกำกับดูแลและบริหารสินทรัพย์ที่เป็นเจ้าของของสภาแห่งรัฐ ถือหุ้นร้อยละ 31.21 China Aluminium Corporation, China Minmetals Corporation และ Ganzhou Rare Earth Group Co., Ltd. แต่ละบริษัทถือหุ้นร้อยละ 20.33; China Iron and Steel Research Technology Group Co., Ltd. และ Youyan Technology Group Co., Ltd. ถือหุ้นร้อยละ 3.90 ปัจจุบันจีนมีปริมาณการผลิตแร่ธาตุ หายากสูงเป็นอันดับ 1 ของโลกอยู่ที่ 132,000 ตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 63 ของปริมาณการผลิตแร่ธาตุหายากทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 210,000 ตัน โดยประเทศอื่น ๆ ที่มีปริมาณการผลิตแร่ธาตุหายากในลำดับถัดมา ได้แก่ สหรัฐฯ (26,000 ตัน) เมียนมา (22,000 ตัน) ออสเตรเลีย (21,000 ตัน) อินเดีย (3,000 ตัน) รัสเซีย (2,700 ตัน) มาดากัสการ์ (2,000 ตัน) ไทย (1,800 ตัน) บราซิล (1,000 ตัน) เวียดนาม (900 ตัน) และบุรุนดี (600 ตัน) ______________________________ ระฆังกำแพงภาษีลั่นขึ้นห้วงเมษายน 2568 โดยสหรัฐอเมริกา การตอบโต้กลับของจีนเปิดหน้าชก สวนกลับทุกเม็ด รวมถึงได้ขยายการใช้ "แร่หายาก" (rare earths) เป็นเครื่องมือตอบโต้ทางการค้า โดยประกาศจำกัดการส่งออกแร่หายาก 7 ชนิด ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญในอุดสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเป็นการตอบโต้ต่อมาดรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ สำหรับแร่หายาก 7 ชนิดได้แก่ ชามาเรียม (Samarium) แกโดลิเนียม (Gadolinium) เทอร์เมียม (Terbium) ดิสโพรเซียม (Dysprosium) ลูทีเซียม (Lutetium) สแกนเดียม (Scandium) และอิดเทรียม (Yttrium) สำหรับแร่หายากยอดนิยมอย่าง นี่โอไดเมียม (Neodymium) และ พราเชโอไดเมียม (Praseodymium) ซึ่งใช้ผลิตแม่เหล็กประสิทธิภาพสูง ยังไม่อยู่ในรายชื่อควบคุม หลังการรัฐประหารปี 2021 การส่งออกแร่ธาตุหายากจากพม่าไปจีนเพิ่มขึ้น 5 เท่า สูงถึง 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการการพึ่งพาจีน 90% ของการแปรรูปแร่หายากโลกอยู่ในจีน แบ่งเป็น แร่กลุ่มหายาก (Rare Earth Elements) มูลค่า: 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2025) ส่วนแบ่งการนำเข้า: กว่า 50% ของการนำเข้าแร่หายากทั้งหมดของจีน ชนิดแร่หลัก: เทอร์เบียม (Terbium) และดีสโพรเซียม (Dysprosium) ในกลุ่ม Heavy Rare Earth Elements (HREE) พื้นที่ทำเหมืองหลักที่คะฉิ่น ที่เหมือง Chipwi และ Momauk: มีบ่อแร่มากกว่า 2,700 บ่อ เมือง Panwa: แหล่งผลิตหลักภายใต้การควบคุมของ Kachin Independence Army (KIA) การขยายตัว: จำนวนไซต์ทำเหมืองเพิ่มขึ้น 40% นับตั้งแต่ปี 2021 โดยพื้นที่ KIA: เก็บภาษี 35,000 หยวน/ตัน (ประมาณ 4,800 ดอลลาร์สหรัฐ) บริษัทจีนผู้รับซื้อหลัก คือ China Rare Earths Group (REGCC) ควบคุมการประมูลแร่กว่า 80% China Northern Rare Earth Group ผู้ประมูลแร่รายใหญ่ของโลก และ JL Mag Rare-Earth: ผู้ผลิตแม่เหล็กถาวรรายใหญ่ ใช้แร่จากพม่าในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และยังมีบริษัท Rising Nonferrous บริษัทที่ได้รับอนุมัติให้นำเข้าแร่หายากจากเมียนมาโดยตรง นอกจากนั้นก็จะมี China Nonferrous Metal Mining Group (CNMC) รับซื้อ: ทองแดง, นิกเกิล พื้นที่รับซื้อคือเหมือง Monywa ในเขตสะกาย บริษัท China Minmetals Corporation: รับซื้อ: แร่หายาก, ดีบุก, ทังสเตน Aluminum Corporation of China (CHINALCO): รับซื้อ: แร่ที่เกี่ยวข้องกับอะลูมิเนียมและโลหะผสม Yunnan Tin Company: รับซื้อ: ดีบุก เพราะเป็นผู้ผลิตดีบุกรายใหญ่ของจีน Pangang Group: รับซื้อ: ทังสเตน, พลวง เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโลหะหนัก ______________________________ การส่งออกแร่ธาตุจากพม่าไปจีนมีป้อนอุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้จีน และแน่นอนต้องใช้ฐานของกลุ่มประเทศอาเซียนเป็นตลาดหลักและบายพาสไปยังกลุ่มประเทศที่มีกำแพงภาษีสูงไม่ว่าจะเป็น • อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles)แร่ธาตุหายาก เช่น ดิสโพรเซียม (Dysprosium) และเทอร์เบียม (Terbium) ที่นำเข้าจากพม่าใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับมอเตอร์ในรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจีนมีความต้องการสูงมากในช่วงหลังเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด EV • อุตสาหกรรมพลังงานลม (Wind Power)แม่เหล็กถาวรที่ผลิตจากแร่ธาตุหายากเหล่านี้ยังถูกใช้ในกังหันลมเพื่อผลิตพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายพลังงานทดแทนของจีน • อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics)แร่ธาตุหายากจากพม่าถูกนำไปใช้ในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่ต้องการแม่เหล็กและวัสดุพิเศษ • อุตสาหกรรมแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets) บริษัทจีนใหญ่ เช่น China Southern Rare Earth ใช้แร่ธาตุจากพม่าในการผลิตแม่เหล็กถาวรที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในหลายอุตสาหกรรม • อาวุธยุทโธปกรณ์ (Defence Industry) และอุตสาหกรรมอวกาศ และอากาศยาน (Aerospace Industry) สถานการณ์ความต้องการแร่ธาตุหายากงวดขึ้นเพราะนับวันแร่ธาตุเหล่านั้นย่อมลดลง ตามชื่อเพราะยิ่งหายากขึ้น โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 จีนเพิ่มการนำเข้าแร่หายากจากพม่าเกิน 9 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และคิดเป็นกว่า 70% ของแร่ธาตุหายากที่จีนใช้ทั้งหมด ซึ่งทำให้พม่าเป็นแหล่งผลิตแร่หายากที่ใหญ่ที่สุดของจีนในปัจจุบัน ______________________________ ความต้องการสูงและความไม่แน่นอนของซัพพลายเชน โดยเฉพาะในช่วงที่มีความขัดข้องจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้จีนพึ่งพาแหล่งแร่จากต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะพม่าเป็นสัดส่วนถึง 70% ของวัตถุดิบที่ใช้ เนื่องจากเหมืองในจีนผลิตไม่เพียงพอและมีข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมและนโยบาย ปัญหาจึงอยู่ที่แร่ธาตุหายากจากพม่าส่วนใหญ่ถูกขุดอย่างผิดกฎหมายและผ่านช่องทางที่ไม่โปร่งใส ทำให้บริษัทจีนที่แปรรูปแร่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ชัดเจน ส่งผลต่อความยั่งยืนและความน่าเชื่อถือของตลาด รวมถึงสร้างปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมต่อพม่าอย่างมหาศาล หากเจาะพื้นที่การทำเหมืองในรัฐต่าง ๆ การทำเหมืองในเมียนมามักอยู่ในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งหรือควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งมีผลต่อการส่งออกและการจัดการทรัพยากร ดังนี้: • รัฐคะฉิ่น (Kachin State): แร่หลัก: แร่หายาก (REEs), พลวง, ทองคำ, อิตเทรียม พื้นที่ป่าทางตอนเหนือ อุดมไปด้วยแร่หายาก แต่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างกองทัพเมียนมาและกองทัพปลดปล่อยคะฉิ่น (KIA) ส่วนใหญ่ทำลายสิ่งแวดล้อม น้ำกลายเป็นโคลน และสัตว์ป่าลดลง • รัฐฉาน (Shan State): แร่หลัก: ดีบุก, ตะกั่ว, สังกะสี, ทังสเตน,ทองคำพื้นที่ที่มีเหมืองดีบุกขนาดใหญ่ เช่น เหมือง Man Maw การควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธที่เชื่อมโยงกับกองทัพเมียนมา ทำให้เงินจากเหมือง สนับสนุนกองทัพ สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมหาศาลเช่นกันและลุกลามไปยังประเทศเพื่อนบ้านคือประเทศไทย • เขตสะกาย (Sagaing Region): แร่หลัก: ทองแดง, นิกเกิล, ทองคำพื้นที่ที่มีการสู้รบหนักระหว่างกองทัพเมียนมาและกองกำลัง PDF • เขตมัณฑะเลย์ (Mandalay Region): แร่หลัก: แร่หายาก, พลวง, อิตเทรียม, ทองคำพื้นที่ที่มีเหมืองขนาดเล็กกระจายอยู่ • เขตตะนาวศรี (Tanintharyi Region): แร่หลัก: ดีบุก เป็นเหมืองดีบุกขนาดใหญ่ใกล้ชายฝั่ง • รัฐมอญ (Mon State): แร่หลัก: ทองแดง เป็นเหมืองขนาดเล็กถึงปานกลาง • รัฐกะยา (Kayah State): แร่หลัก: ตะกั่ว พื้นที่ที่มีความขัดแย้งสูง ______________________________ สอบทานต้นทาง-ย้อนกลับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของแร่ธาตุจากเมียนมาไปจีนมีลักษณะดังนี้ เริ่มต้นสำรวจแหล่ง แน่นอนฐานข้อมูลมีอยู่แล้วในมือรัฐบาลทหารพม่า และในกำมือเทคโนโลยีจีน ก่อนจะให้บริษัทเอกชนในแต่ละความถนัดของจีน และของพม่าเอง ขุดและแปรรูปเบื้องต้น เหมืองส่วนใหญ่ในพม่าดำเนินการโดยบริษัทท้องถิ่นหรือบริษัทจีนร่วมทุน การแปรรูปขั้นต้น (เช่น การถลุงแร่ดีบุก) มักทำในเมียนมาก่อนส่งออก ส่วนใหญ่ในพื้นที่ขัดแย้งทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการละเมิดสิทธิมนุษยชน การขนส่ง เส้นทางหลัก: จากเหมืองในรัฐคะฉิ่นและฉานไปยังชายแดนจีน (มณฑลยูนนาน) ผ่านทางรถไฟหรือถนน เช่น เส้นทางรถไฟเจ้าผิ่ว-มูเซ บางส่วนส่งออกผ่านท่าเรือในเขตตะนาวศรีและย่างกุ้ง การแปรรูปขั้นสูงในจีน ปลายทางคือโรงงานแปรรูปอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง, เจียงซู, และแถบเศรษฐกิจแยงซีเกียง โดยแร่หายากถูกกลั่นเป็นโลหะบริสุทธิ์หรือสารประกอบ เช่น นีโอดิเมียมสำหรับแม่เหล็ก หรืออิตเทรียมสำหรับ LED สายพานอุตสาหกรรมที่ใช้งานแบ่งตามแร่ธาตุอุตสาหกรรมเทคโนโลยี: แร่หายาก (REEs) และดีบุกใช้ในสมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์, เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า: แร่หายาก (นีโอดิเมียม, ดิสโพรเซียม) และนิกเกิลใช้ในมอเตอร์และแบตเตอรี่ พลังงานสะอาด: ทังสเตนและพลวงใช้ในกังหันลมและแผงโซลาร์ อุตสาหกรรมทหาร: แร่หายากและพลวงใช้ในขีปนาวุธ, เรดาร์, และเลเซอร์ การก่อสร้างและเครื่องจักร: ทองแดงและสังกะสีใช้ในสายไฟและโครงสร้าง ความท้าทายในระบบ Supply Chain ส่วนใหญ่คือความขัดแย้งในเมียนมาอาจขัดขวางการขนส่ง จากผลประโยชน์มหาศาลเพื่อนำมาเป็นอาวุธและจุนเจือเสบียงในการรบ ขณะที่นานาชาติได้เรียกร้องให้ตรวจสอบแร่จากพื้นที่ขัดแย้ง แต่จีนเป็นประเทศเดียวที่บังคับให้แยกแร่จากเมียนมาและจีน ______________________________ ล่าสุด กองกำลังเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independent Organization, Kachin Independent Army- KIA) ซึ่งได้เป็นเจ้าของใหม่ของเหมืองแร่หายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) อนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังประเทศจีน โดยเก็บภาษีในอัตรา 30,500 หยวนต่อหนึ่งตัน (ราว 160,000 บาท) พื้นที่แหล่งแร่หายากที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในเขตปางวาและชิพเว (Pang Wa, Chi Pwi) ในรัฐคะฉิ่น ซึ่งกลุ่ม KIA เข้ายึดครองในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 ได้รับอนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังจีนหลังจากควบคุมพื้นที่มาได้ 6 เดือน สำนักข่าวรอยเตอร์ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 KIO/KIA ได้อนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังประเทศจีน โดยเก็บภาษีในอัตรา 30,500 หยวนต่อหนึ่งตัน อย่างไรก็ตาม รายละเอียดอื่น ๆ ในหนังสืออนุญาตของ KIO ยังไม่ได้รับการเปิดเผย เจ้าหน้าที่ KIA เขตปางวาให้ข้อมูลว่าKIO/KIA และรัฐบาลจีน ยังคงเจรจาเกี่ยวกับการใช้จุดผ่านแดนเดียวในการส่งออกแร่หายาก และจนถึงสัปดาห์ที่สองของเดือนเมษายน ยังไม่มีการส่งออกอย่างเป็นทางการ KIA สามารถควบคุมจุดผ่านแดนทางการค้าระหว่างจีน-พม่าในรัฐคะฉิ่นทั้งหมด ได้แก่ กานปายตี Kan Pai Ti, ล่วยเจ Loi Je และปางวา ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าจะใช้จุดผ่านแดนใดในการส่งออก หลังจากที่ KIA ควบคุมพื้นที่ปางวาและชิพเว รัฐบาลจีนได้มีคำสั่งปิดจุดผ่านแดนทั้งหมด ทำให้บริษัทเหมืองแร่ส่วนใหญ่หยุดดำเนินการ มีเพียงบางบริษัทที่ยังคงขุดแร่ต่อไป เนื่องจากยังมีวัตถุดิบหลงเหลืออยู่ รายงานของ Global Witness ระบุว่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในพื้นที่ปางวาเริ่มขึ้นในปี 2016 โดยนักธุรกิจชาวจีน ซึ่งส่งออกแร่ไปยังจีนเป็นหลัก ตามข้อมูลปัจจุบัน พม่าติดอันดับ 3 ของประเทศผู้ผลิตแร่แรร์เอิร์ท และคิดเป็น 50% ของการส่งออกแร่หายากทั่วโลก หลังจากการรัฐประหารของกองทัพพม่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในพื้นที่ปางวาและชิพเวเพิ่มขึ้น 40% และจำนวนเหมืองแร่เพิ่มขึ้นกว่า 300 แห่ง ในปี 2566 เพียงปีเดียว มีการส่งออกแร่หายากไปยังจีนมากถึง 41,700 ตัน สร้างรายได้ถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ______________________________ สรุปขมวดปม การส่งออกแร่ธาตุจากพม่าไปจีนช่วยเสริมความมั่นคงของซัพพลายเชนแร่หายากในจีน ลดภาวะขาดแคลนและสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้านความโปร่งใสและความยั่งยืนในตลาดแร่ธาตุของจีน แร่ธาตุหายากจากพม่ามีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานสะอาด ซึ่งจีนพึ่งพาการนำเข้าแร่จากพม่าเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% ของแร่หายากที่ใช้ในประเทศ เหมืองแร่หายากเหล่านี้ทั้งหมด รวมถึงแร่ทองคำ และอื่น ๆ ที่ปักหมุดขุดหลุมร่อนตระแกรง ทุกรัฐในเมียนมาก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ป่าเขา แม่น้ำ ลำธาร โดยคนงานบางรายถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างโหดร้าย หญิงคนงานถูกล่วงละเมิดทางเพศ และหลายคนได้รับอันตรายทางสุขภาพอย่างร้ายแรงจากสารเคมีที่ใช้ในเหมือง และส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่กว้างขวางขึ้นรวมถึงประเทศไทย และลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน คำถามคือจีนมีส่วนสำคัญในการสร้างมลภาวะในพื้นที่ ควรจะร่วมรับผิดชอบหรือไม่ ไม่ใช่การสูบทรัพยากรในพื้นที่แต่ไม่ได้เหลียวแลผลกระทบที่จะตามมา อันจะกลายเป็นการสร้างปัญหาใหญ่ให้กับจีนในอนาคต อ้างอิง : https://www.facebook.com/GlobalWitness/ และสำนักข่าวชายขอบ https://shorturl.asia/6GnqX ประชาไท https://prachatai.com/journal/2025/01/111942 ______________________________ 10 อันดับแร่ธาตุที่ส่งออกจากเมียนมาไปจีน (เรียงตามมูลค่าประเมิน) 1. แร่ดีบุก (Tin) o มูลค่า: สูงสุด เนื่องจากเมียนมาเป็นผู้ผลิตดีบุกรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก และจีนนำเข้า 95% ของหัวแร่ดีบุกจากเมียนมาในปี 2563 o การใช้งาน: ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (บัดกรีแผงวงจร), การผลิตโลหะผสม o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน (Shan State), เขตตะนาวศรี (Tanintharyi Region) 2. แร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) o มูลค่า: สูง เนื่องจากความต้องการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน o การใช้งาน: ผลิตแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets), แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า, อุปกรณ์เลเซอร์, เซมิคอนดักเตอร์ o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น (Kachin State), เขตมัณฑะเลย์ (Mandalay Region) 3. ทองแดง (Copper) o มูลค่า: สูง เนื่องจากราคาทองแดงในตลาดโลกพุ่งสูงหลังรัฐประหาร o การใช้งาน: สายไฟ, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, การก่อสร้าง o พื้นที่เหมือง: เขตสะกาย (Sagaing Region), รัฐมอญ (Mon State) 4. ตะกั่ว (Lead) o มูลค่า: ปานกลางถึงสูง ใช้ในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ o การใช้งาน: แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด, อุตสาหกรรมยานยนต์ o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, รัฐกะยา (Kayah State) 5. สังกะสี (Zinc) o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมเคลือบโลหะ o การใช้งาน: การชุบกัลวาไนซ์, โลหะผสม o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, เขตย่างกุ้ง (Yangon Region) 6. นิกเกิล (Nickel) o มูลค่า: ปานกลาง เนื่องจากความต้องการในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ o การใช้งาน: แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน, สแตนเลส o พื้นที่เหมือง: เขตสะกาย, รัฐฉาน 7. พลวง (Antimony) o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมทหารและพลังงาน o การใช้งาน: สารหน่วงไฟ, โลหะผสม, อุปกรณ์ทหาร o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น, เขตมัณฑะเลย์ 8. ทังสเตน (Tungsten) o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมที่มีความแข็งสูง o การใช้งาน: โลหะผสม, เครื่องมือตัด, อุปกรณ์ทหาร o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, รัฐคะฉิ่น 9. ทองคำ (Gold) o มูลค่า: ปานกลางถึงสูง ขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก o การใช้งาน: อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องประดับ o พื้นที่เหมือง: เขตมัณฑะเลย์, รัฐคะฉิ่น, เขตสะกาย 10. อิตเทรียม (Yttrium) o มูลค่า: ต่ำถึงปานกลาง แต่มีความสำคัญในอุตสาหกรรมเฉพาะ o การใช้งาน: สารเรืองแสงใน LED, อุปกรณ์ MRI, เซรามิก o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น, เขตมัณฑะเลย์ หมายเหตุ: มูลค่าที่ระบุเป็นการประเมินจากความสำคัญในห่วงโซ่อุปทานและปริมาณการส่งออก เนื่องจากไม่มีข้อมูลตัวเลขที่แน่นอนหลังรัฐประหาร ______________________________
    0 Comments 0 Shares 526 Views 0 Reviews
  • Blood Gold เจาะขุมทรัพย์ใต้ภิภพเมียนมาร์ความมั่งคั่งที่มืดมนอนธการ
    .
    ใต้ภิภพเมียนมาร์ นับเป็นรัฐที่มีทรัพยากรมูลค่าสูงฝังอยู่มหาศาล ที่สามารถแปลงเป็นสินทรัพย์ในการพัฒนาประเทศได้อันดับต้น ๆ ของอาเซียน
    ทว่า รัฐสภาพแห่งนี้เหมือนถูกครอบงำ และตกอยู่ภายใต้ความลำบาก ความขัดแย้งไม่ลงรอย ในประวัติศาสตร์การเมืองที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศโดยตรง
    รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) “ยักษ์หลับแห่งเมียนมา” ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ตื่นขึ้น 28 มีนาคม 2568 ที่ ขนาด 8.2 แมกนิจูด ได้ส่งพลังพาดผ่านเมืองหลวงสำคัญของพม่า ตั้งแต่มัณฑะเลย์ เนปิดอว์ ย่างกุ้ง ดูเหมือนว่าเมืองแห่งอารยธรรมและศูนย์กลางอำนาจ ตั้งอยู่บนหลังมังกรที่หลับ ขยับทีก็ทำให้เมืองศูนย์กลางสำคัญได้ได้ผลกระทบสูงการฟื้นตัวครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนสถานการณ์เริ่มต้นใหม่หลายรอบ หมุนวน
    โครงสร้างทางธรณีวิทยาของเมียนมาร์ค่อนข้างซับซ้อน ภูมิสัณฐานและธรณีโครงสร้างได้เป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ คือพื้นที่ราบสูงตะวันออก (Sino Burman Ranges) พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง (Inner Burman Tertiary Zone) ดินแดนเทือกเขาตะวันตก (Indo Burman Ranges) และ ที่ราบฝั่งยะไข่ - คะฉิ่น Rakhine (Arakan) Coastal Plain
    ชั้นหินที่มีอายุอ่อนที่สุดจะอยู่ใน พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง ไล่ถัดไปทางด้านตะวันตกของประเทศ จะเป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงที่ราบแถบยะไข่ ด้านตะวันออกของประเทศ ส่วนของ Sino Burman เป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ที่สุด มีรอยเลื่อนรัฐฉาน แนวรอยต่อเชื่อมรอยเลื่อนสะกาย
    อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในเมียนมาร์ มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงหลังรัฐประหารปี 2021 ซึ่งมีการขยายตัวของการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้มาพร้อมกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน มีมูลค่าสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023
    นับว่าแร่หายากกลุ่มหนัก heavy rare earth elements: HREE คิดเป็นสัดส่วนหลักของมูลค่าการส่งออกของเมียนมาร์ โดยส่วนใหญ่ส่งไปจีนเพื่อผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับรถไฟฟ้าและกังหันลมการส่งออก อัตราเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในปี 2023 เมื่อเทียบกับปี 2021 จาก 19,500 ตัน เป็น 41,700 ตัน
    แน่นอนแร่หายากกลุ่ม China Rare Earths Group (REGCC) เป็นผู้ลงทุนหลัก ควบคุมทั้งเทคโนโลยี การประมวลผล และห่วงโซ่อุปทาน ภายใต้การดูแลพื้นที่ของกองทัพเมียนมาร์ (SAC) และมิลิเชียพันธมิตรควบคุมพื้นที่พิเศษ Kachin 1 และกองกำลัง Kachin Independence Army (KIA) ควบคุมพื้นที่ Momauk และแนวชายแดน
    แร่หายากเป็นแหล่งเงินสำคัญสำหรับทั้งรัฐบาลทหารและกลุ่มกบฎ แต่ 70% ของประชากรในพื้นที่ยังพึ่งพาการเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ขณะที่ค่าแรงงานในเหมืองสูงถึง 600 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือน (สูงกว่าเฉลี่ยประเทศ 2 เท่า) แต่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ โรคปอด ปัญหาหายใจลำบาก โรคผิวหนัง และไตวายจากสารเคมี เช่น แอมโมเนียมซัลเฟตและออกซาลิกแอซิด
    ไม่รวมถึงมลพิษน้ำ 96% ของครัวเรือนในเขต Chipwi ไม่มีน้ำดื่มสะอาดเนื่องจากสารเคมีปนเปื้อน ดวงตาสวรรค์ได้ส่องพื้นที่การขยายตัวของเหมืองกว่า 40% ใน Kachin Special Region 1 และ Momauk ระหว่างปี 2021-2023 ที่สลายระบบนิเวศในพื้นที่ยากจะทวงคืนสภาพเดิมกลับมาในอนาคต
    อีกแร่ธาตุหนึ่งคือเหล็กที่เมียนมาร์ เป็นเบอร์หนึ่งของโลก ที่แหล่ง Pong Pet ซึ่งอยู่ห่างจาก Taunggyi ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร ปรากฏเป็นแหล่งเฮมาไทต์ (Hematite) และยังพบแหล่งแร่เหล็ก 393 แหล่ง ปริมาณสารองทรัพยากรแร่ประมาณ 495 ล้านตัน และพบแหล่งแร่เหล็กที่มีศักยภาพ 14 แหล่ง ในรัฐ Kachin, Mandalay, Bago, Tanintharyi และรัฐShan ได้แก่ แหล่งแร่เหล็กสำคัญพบที่รัฐ Tanintharyi บริเวณตอนเหนือของรัฐ Shan
    โดยในรัฐคะฉิ่น คือศูนย์รวมแร่ธาตุความมั่งคั่งสมบูรณ์อุตสาหกรรมเหมืองแร่ นอกจากหยกแล้วยังมีแหล่งแร่เหล็กในรัฐ Kachin มีปริมาณสารองประมาณ 223 ล้านตันที่ 50.56%Fe องค์ประกอบหลักของแร่ คือ Goethite/Limonite 75%, Hematite 15% และ Magnetite 2%
    แน่นอนเมียนมาร์เป็นผู้ผลิตหยกรายใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในประเทศเดียวที่ผลิตหยกเจไดต์คุณภาพสูง อุตสาหกรรมหยกมีมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของ GDP ของประเทศ โดยเมืองผะกัน (Hpakan) เป็นที่ตั้งของเหมืองหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมืองที่มีข่าวของเหมืองถล่ม ดินโคลนโถมทับหมู่บ้านถี่มากและต้นปี 2568 ก็ได้เกิดเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่ซ้ำซาก สูญเสียชีวิตของผู้คนไปอย่างมาก
    Global Witness ประเมินไว้ว่ารายได้จากหยกได้เข้าพกเข้าห่อของผู้นำของเมียนมาไปแล้วราว 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา
    หากประมวลประเทศที่มีบริษัทลงทุนในเหมืองแร่ในภาพรวมในเมียนมาร์ ได้แก่
    1.) จีน: เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเหมืองแร่เมียนมาร์ โดยเฉพาะในเหมืองทองแดง (เช่น โครงการ Letpadaung, S&K, Tagaung Taung) และแร่หายาก มีทั้งบริษัทขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น China Nonferrous Metal Mining (CNMC), Wanbao Mining Co., Ltd. รวมถึงนักลงทุนรายย่อยจากมณฑลยูนนานและเสฉวน
    2.) ไทย: มีบริษัท Myanmar-Pongpipat Co., Ltd. ร่วมลงทุนในเหมืองดีบุกและโลหะอื่น
    3.) เวียดนาม: บริษัท Simco Songda มีการลงทุนในเหมืองแร่ร่วมกับเมียนมาร์
    4.) ออสเตรเลีย: บริษัท PanAust ได้รับอนุญาตให้ศึกษาความเป็นไปได้ในพื้นที่เหมือง Wuntho
    5.) ญี่ปุ่น: มีบริษัทญี่ปุ่นบางแห่งยื่นขออนุญาตลงทุนในเหมืองแร่เมียนมาร์
    6.) สิงคโปร์: แม้จะเน้นลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์และพลังงาน แต่ก็มีการลงทุนในเหมืองแร่บางส่วน
    7.) มาเลเซีย, เกาหลีใต้, เนเธอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร: มีการลงทุนในเมียนมาร์ในหลายภาคส่วน รวมถึงเหมืองแร่ในบางโครงการ
    ในส่วนแร่ทองคำ Blood Gold บริบทไม่แตกต่างจากพื้นที่คะฉิ่น แต่รายงานจาก EarthRights International (2567) ระบุว่าในรัฐกะฉิ่นมีการขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีจุดขุดนับร้อยแห่ง ส่วนใหญ่เป็นการขุดขนาดเล็กและใช้เครื่องจักรหนัก
    ผู้สัมปทาน ก่อนการรัฐประหาร (2564): เหมืองทองคำขนาดใหญ่บางแห่ง เช่น ในเขตเบ็งเมาก์ (Bemauk), กานิ (Kani), และเคาก์ปาดอง (Kyaukpadaung) ดำเนินการโดยบริษัทร่วมทุนระหว่างกองทัพเมียนมาร์และบริษัทต่างชาติ เช่น บริษัทจากจีนและไทย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเฉพาะเจาะจงในปัจจุบันหายาก
    พื้นที่การขุดทองคำในรัฐกะฉิ่นส่วนใหญ่ควบคุมโดย Kachin Independence Army (KIA) และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทหรือนักขุดท้องถิ่น บริษัทจีน มีรายงานว่าได้รับสัมปทานในพื้นที่ เช่น บริเวณแม่น้ำโขงและแม่น้ำกก โดยได้รับการอนุมัติจาก United Wa State Army (UWSA) บริษัทท้องถิ่นและกองทัพเมียนมาร์: Myanmar Economic Holdings Limited (MEHL) และ Myanmar Economic Corporation (MEC) ยังคงมีส่วนในเหมืองบางแห่ง
    ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ไม่มีการออกใบอนุญาตขุดอย่างเป็นทางการในหลายพื้นที่ เช่น Hpakant แต่การขุดยังดำเนินต่อไปโดยผิดกฎหมาย
    ปัจจุบันหลังจาก การรัฐประหารในปี 2564 ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและกฎหมาย ส่งผลให้การขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีการควบคุม โดยเฉพาะในรัฐกะฉิ่นและสะกาย เพิ่มขึ้น 10 เท่าหลังการรัฐประหาร ซึ่งเป็นแหล่งทองคำสำคัญ เรียกว่าเกิดการขุดแบบทำลายล้าง ใช้เครื่องจักรกลหนักและการขุดในแม่น้ำในพื้นที่ และลุกลามขยายยังพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำกก และแม่น้ำสายใกล้ชายแดนไทย
    แน่นอนความระส่ำระสายในพื้นที่คือการกอบโกยความมั่งคั่งในพื้นที่ที่ไม่ได้มองไกลถึงอนาคตว่าผลกระทบของผู้คน ประชาชนจะเป็นอย่างไร ระยะเวลาการฟื้นตัวความอ่อนเปียกของรัฐชาติที่ถูกสูบทรัพยากรที่มีความมั่งคั่งออกไปอย่างไร้ข้อจำกัด โดยมีอำนาจภายในควบคุม กองทัพเมียนมาร์ ควบคุมเหมืองขนาดใหญ่บางแห่งเพื่อหารายได้ กลุ่มชาติพันธุ์ เช่น KIA เก็บส่วนแบ่งจากเหมืองในพื้นที่ของตน บริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน มีบทบาทในพื้นที่รัฐที่อุดมด้วยแร่ธาตุโดยเฉพาะฉาน และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงที่สัญญาณได้ส่งผลแล้วกรณีที่แม่สาย ลุ่มแม่น้ำกก เชียงราย ที่ต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิด


    อ้างอิง :
    • โครงการ การส่งเสริมการจัดหาวัตถุดิบและการลงทุนด้านเหมืองแร่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
    https://www.bbc.com/thai/international-53264790
    • EarthRights International, Global Witness
    Blood Gold เจาะขุมทรัพย์ใต้ภิภพเมียนมาร์ความมั่งคั่งที่มืดมนอนธการ . ใต้ภิภพเมียนมาร์ นับเป็นรัฐที่มีทรัพยากรมูลค่าสูงฝังอยู่มหาศาล ที่สามารถแปลงเป็นสินทรัพย์ในการพัฒนาประเทศได้อันดับต้น ๆ ของอาเซียน ทว่า รัฐสภาพแห่งนี้เหมือนถูกครอบงำ และตกอยู่ภายใต้ความลำบาก ความขัดแย้งไม่ลงรอย ในประวัติศาสตร์การเมืองที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศโดยตรง รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) “ยักษ์หลับแห่งเมียนมา” ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ตื่นขึ้น 28 มีนาคม 2568 ที่ ขนาด 8.2 แมกนิจูด ได้ส่งพลังพาดผ่านเมืองหลวงสำคัญของพม่า ตั้งแต่มัณฑะเลย์ เนปิดอว์ ย่างกุ้ง ดูเหมือนว่าเมืองแห่งอารยธรรมและศูนย์กลางอำนาจ ตั้งอยู่บนหลังมังกรที่หลับ ขยับทีก็ทำให้เมืองศูนย์กลางสำคัญได้ได้ผลกระทบสูงการฟื้นตัวครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนสถานการณ์เริ่มต้นใหม่หลายรอบ หมุนวน โครงสร้างทางธรณีวิทยาของเมียนมาร์ค่อนข้างซับซ้อน ภูมิสัณฐานและธรณีโครงสร้างได้เป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ คือพื้นที่ราบสูงตะวันออก (Sino Burman Ranges) พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง (Inner Burman Tertiary Zone) ดินแดนเทือกเขาตะวันตก (Indo Burman Ranges) และ ที่ราบฝั่งยะไข่ - คะฉิ่น Rakhine (Arakan) Coastal Plain ชั้นหินที่มีอายุอ่อนที่สุดจะอยู่ใน พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง ไล่ถัดไปทางด้านตะวันตกของประเทศ จะเป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงที่ราบแถบยะไข่ ด้านตะวันออกของประเทศ ส่วนของ Sino Burman เป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ที่สุด มีรอยเลื่อนรัฐฉาน แนวรอยต่อเชื่อมรอยเลื่อนสะกาย อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในเมียนมาร์ มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงหลังรัฐประหารปี 2021 ซึ่งมีการขยายตัวของการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้มาพร้อมกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน มีมูลค่าสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 นับว่าแร่หายากกลุ่มหนัก heavy rare earth elements: HREE คิดเป็นสัดส่วนหลักของมูลค่าการส่งออกของเมียนมาร์ โดยส่วนใหญ่ส่งไปจีนเพื่อผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับรถไฟฟ้าและกังหันลมการส่งออก อัตราเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในปี 2023 เมื่อเทียบกับปี 2021 จาก 19,500 ตัน เป็น 41,700 ตัน แน่นอนแร่หายากกลุ่ม China Rare Earths Group (REGCC) เป็นผู้ลงทุนหลัก ควบคุมทั้งเทคโนโลยี การประมวลผล และห่วงโซ่อุปทาน ภายใต้การดูแลพื้นที่ของกองทัพเมียนมาร์ (SAC) และมิลิเชียพันธมิตรควบคุมพื้นที่พิเศษ Kachin 1 และกองกำลัง Kachin Independence Army (KIA) ควบคุมพื้นที่ Momauk และแนวชายแดน แร่หายากเป็นแหล่งเงินสำคัญสำหรับทั้งรัฐบาลทหารและกลุ่มกบฎ แต่ 70% ของประชากรในพื้นที่ยังพึ่งพาการเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ขณะที่ค่าแรงงานในเหมืองสูงถึง 600 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือน (สูงกว่าเฉลี่ยประเทศ 2 เท่า) แต่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ โรคปอด ปัญหาหายใจลำบาก โรคผิวหนัง และไตวายจากสารเคมี เช่น แอมโมเนียมซัลเฟตและออกซาลิกแอซิด ไม่รวมถึงมลพิษน้ำ 96% ของครัวเรือนในเขต Chipwi ไม่มีน้ำดื่มสะอาดเนื่องจากสารเคมีปนเปื้อน ดวงตาสวรรค์ได้ส่องพื้นที่การขยายตัวของเหมืองกว่า 40% ใน Kachin Special Region 1 และ Momauk ระหว่างปี 2021-2023 ที่สลายระบบนิเวศในพื้นที่ยากจะทวงคืนสภาพเดิมกลับมาในอนาคต อีกแร่ธาตุหนึ่งคือเหล็กที่เมียนมาร์ เป็นเบอร์หนึ่งของโลก ที่แหล่ง Pong Pet ซึ่งอยู่ห่างจาก Taunggyi ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร ปรากฏเป็นแหล่งเฮมาไทต์ (Hematite) และยังพบแหล่งแร่เหล็ก 393 แหล่ง ปริมาณสารองทรัพยากรแร่ประมาณ 495 ล้านตัน และพบแหล่งแร่เหล็กที่มีศักยภาพ 14 แหล่ง ในรัฐ Kachin, Mandalay, Bago, Tanintharyi และรัฐShan ได้แก่ แหล่งแร่เหล็กสำคัญพบที่รัฐ Tanintharyi บริเวณตอนเหนือของรัฐ Shan โดยในรัฐคะฉิ่น คือศูนย์รวมแร่ธาตุความมั่งคั่งสมบูรณ์อุตสาหกรรมเหมืองแร่ นอกจากหยกแล้วยังมีแหล่งแร่เหล็กในรัฐ Kachin มีปริมาณสารองประมาณ 223 ล้านตันที่ 50.56%Fe องค์ประกอบหลักของแร่ คือ Goethite/Limonite 75%, Hematite 15% และ Magnetite 2% แน่นอนเมียนมาร์เป็นผู้ผลิตหยกรายใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในประเทศเดียวที่ผลิตหยกเจไดต์คุณภาพสูง อุตสาหกรรมหยกมีมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของ GDP ของประเทศ โดยเมืองผะกัน (Hpakan) เป็นที่ตั้งของเหมืองหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมืองที่มีข่าวของเหมืองถล่ม ดินโคลนโถมทับหมู่บ้านถี่มากและต้นปี 2568 ก็ได้เกิดเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่ซ้ำซาก สูญเสียชีวิตของผู้คนไปอย่างมาก Global Witness ประเมินไว้ว่ารายได้จากหยกได้เข้าพกเข้าห่อของผู้นำของเมียนมาไปแล้วราว 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา หากประมวลประเทศที่มีบริษัทลงทุนในเหมืองแร่ในภาพรวมในเมียนมาร์ ได้แก่ 1.) จีน: เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเหมืองแร่เมียนมาร์ โดยเฉพาะในเหมืองทองแดง (เช่น โครงการ Letpadaung, S&K, Tagaung Taung) และแร่หายาก มีทั้งบริษัทขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น China Nonferrous Metal Mining (CNMC), Wanbao Mining Co., Ltd. รวมถึงนักลงทุนรายย่อยจากมณฑลยูนนานและเสฉวน 2.) ไทย: มีบริษัท Myanmar-Pongpipat Co., Ltd. ร่วมลงทุนในเหมืองดีบุกและโลหะอื่น 3.) เวียดนาม: บริษัท Simco Songda มีการลงทุนในเหมืองแร่ร่วมกับเมียนมาร์ 4.) ออสเตรเลีย: บริษัท PanAust ได้รับอนุญาตให้ศึกษาความเป็นไปได้ในพื้นที่เหมือง Wuntho 5.) ญี่ปุ่น: มีบริษัทญี่ปุ่นบางแห่งยื่นขออนุญาตลงทุนในเหมืองแร่เมียนมาร์ 6.) สิงคโปร์: แม้จะเน้นลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์และพลังงาน แต่ก็มีการลงทุนในเหมืองแร่บางส่วน 7.) มาเลเซีย, เกาหลีใต้, เนเธอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร: มีการลงทุนในเมียนมาร์ในหลายภาคส่วน รวมถึงเหมืองแร่ในบางโครงการ ในส่วนแร่ทองคำ Blood Gold บริบทไม่แตกต่างจากพื้นที่คะฉิ่น แต่รายงานจาก EarthRights International (2567) ระบุว่าในรัฐกะฉิ่นมีการขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีจุดขุดนับร้อยแห่ง ส่วนใหญ่เป็นการขุดขนาดเล็กและใช้เครื่องจักรหนัก ผู้สัมปทาน ก่อนการรัฐประหาร (2564): เหมืองทองคำขนาดใหญ่บางแห่ง เช่น ในเขตเบ็งเมาก์ (Bemauk), กานิ (Kani), และเคาก์ปาดอง (Kyaukpadaung) ดำเนินการโดยบริษัทร่วมทุนระหว่างกองทัพเมียนมาร์และบริษัทต่างชาติ เช่น บริษัทจากจีนและไทย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเฉพาะเจาะจงในปัจจุบันหายาก พื้นที่การขุดทองคำในรัฐกะฉิ่นส่วนใหญ่ควบคุมโดย Kachin Independence Army (KIA) และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทหรือนักขุดท้องถิ่น บริษัทจีน มีรายงานว่าได้รับสัมปทานในพื้นที่ เช่น บริเวณแม่น้ำโขงและแม่น้ำกก โดยได้รับการอนุมัติจาก United Wa State Army (UWSA) บริษัทท้องถิ่นและกองทัพเมียนมาร์: Myanmar Economic Holdings Limited (MEHL) และ Myanmar Economic Corporation (MEC) ยังคงมีส่วนในเหมืองบางแห่ง ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ไม่มีการออกใบอนุญาตขุดอย่างเป็นทางการในหลายพื้นที่ เช่น Hpakant แต่การขุดยังดำเนินต่อไปโดยผิดกฎหมาย ปัจจุบันหลังจาก การรัฐประหารในปี 2564 ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและกฎหมาย ส่งผลให้การขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีการควบคุม โดยเฉพาะในรัฐกะฉิ่นและสะกาย เพิ่มขึ้น 10 เท่าหลังการรัฐประหาร ซึ่งเป็นแหล่งทองคำสำคัญ เรียกว่าเกิดการขุดแบบทำลายล้าง ใช้เครื่องจักรกลหนักและการขุดในแม่น้ำในพื้นที่ และลุกลามขยายยังพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำกก และแม่น้ำสายใกล้ชายแดนไทย แน่นอนความระส่ำระสายในพื้นที่คือการกอบโกยความมั่งคั่งในพื้นที่ที่ไม่ได้มองไกลถึงอนาคตว่าผลกระทบของผู้คน ประชาชนจะเป็นอย่างไร ระยะเวลาการฟื้นตัวความอ่อนเปียกของรัฐชาติที่ถูกสูบทรัพยากรที่มีความมั่งคั่งออกไปอย่างไร้ข้อจำกัด โดยมีอำนาจภายในควบคุม กองทัพเมียนมาร์ ควบคุมเหมืองขนาดใหญ่บางแห่งเพื่อหารายได้ กลุ่มชาติพันธุ์ เช่น KIA เก็บส่วนแบ่งจากเหมืองในพื้นที่ของตน บริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน มีบทบาทในพื้นที่รัฐที่อุดมด้วยแร่ธาตุโดยเฉพาะฉาน และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงที่สัญญาณได้ส่งผลแล้วกรณีที่แม่สาย ลุ่มแม่น้ำกก เชียงราย ที่ต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิด อ้างอิง : • โครงการ การส่งเสริมการจัดหาวัตถุดิบและการลงทุนด้านเหมืองแร่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ • https://www.bbc.com/thai/international-53264790 • EarthRights International, Global Witness
    0 Comments 0 Shares 504 Views 0 Reviews
  • จีนได้ระงับการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การบิน และการป้องกันประเทศ การตัดสินใจนี้ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก โดยเฉพาะบริษัทในสหรัฐอเมริกา ที่อาจประสบกับการขาดแคลนวัตถุดิบสำคัญ

    ✅ จีนระงับการส่งออกแร่หายากและแม่เหล็ก
    - การส่งออกถูกจำกัดตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2025
    - จีนกำลังร่างกรอบกฎหมายใหม่ในการออกใบอนุญาตส่งออก
    - มาตรการนี้มีผลกระทบต่อบริษัทในหลายอุตสาหกรรม

    ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการป้องกันประเทศ
    - แร่หายากใช้ในการผลิตมอเตอร์ไฟฟ้า โดรน หุ่นยนต์ และขีปนาวุธ
    - การขาดแคลนส่งผลต่ออุตสาหกรรมอเมริกัน โดยเฉพาะผู้รับเหมาด้านกลาโหม

    ✅ การตอบสนองของบริษัทต่างประเทศ
    - บางบริษัทเตรียมรับมือกับปัญหานี้โดยสะสมสต็อกแร่ไว้ล่วงหน้า
    - การผลิตแร่หายากนอกประเทศจีน เช่น ในสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเยอรมนี ยังไม่สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้

    ✅ จีนครองตลาดแร่หายากของโลก
    - จีนผลิตแร่หายากหนัก 99% ของปริมาณทั้งหมดในปี 2023
    - กระบวนการสกัดมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง

    ⚠️ ข้อมูลเสริมที่ควรระวัง
    ℹ️ ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
    - การขาดแคลนแร่หายากอาจทำให้ต้นทุนผลิตภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้น
    - บริษัทที่พึ่งพาวัสดุจากจีนต้องหาทางเลือกใหม่ เช่น หันไปใช้วัสดุทดแทน

    ℹ️ ข้อกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์
    - การระงับส่งออกครั้งนี้อาจเป็นยุทธศาสตร์ตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐฯ
    - อาจเกิดความตึงเครียดระหว่างประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคแร่หายาก

    ℹ️ อนาคตของอุตสาหกรรมแร่หายาก
    - อาจมีการพัฒนาเทคโนโลยีการรีไซเคิลแม่เหล็กหายากมากขึ้น
    - ประเทศอื่นอาจเร่งพัฒนากำลังการผลิตเพื่อกระจายความเสี่ยง

    https://www.techspot.com/news/107534-china-halts-exports-rare-earth-exports-sparking-fears.html
    จีนได้ระงับการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การบิน และการป้องกันประเทศ การตัดสินใจนี้ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก โดยเฉพาะบริษัทในสหรัฐอเมริกา ที่อาจประสบกับการขาดแคลนวัตถุดิบสำคัญ ✅ จีนระงับการส่งออกแร่หายากและแม่เหล็ก - การส่งออกถูกจำกัดตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2025 - จีนกำลังร่างกรอบกฎหมายใหม่ในการออกใบอนุญาตส่งออก - มาตรการนี้มีผลกระทบต่อบริษัทในหลายอุตสาหกรรม ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการป้องกันประเทศ - แร่หายากใช้ในการผลิตมอเตอร์ไฟฟ้า โดรน หุ่นยนต์ และขีปนาวุธ - การขาดแคลนส่งผลต่ออุตสาหกรรมอเมริกัน โดยเฉพาะผู้รับเหมาด้านกลาโหม ✅ การตอบสนองของบริษัทต่างประเทศ - บางบริษัทเตรียมรับมือกับปัญหานี้โดยสะสมสต็อกแร่ไว้ล่วงหน้า - การผลิตแร่หายากนอกประเทศจีน เช่น ในสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเยอรมนี ยังไม่สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้ ✅ จีนครองตลาดแร่หายากของโลก - จีนผลิตแร่หายากหนัก 99% ของปริมาณทั้งหมดในปี 2023 - กระบวนการสกัดมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง ⚠️ ข้อมูลเสริมที่ควรระวัง ℹ️ ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก - การขาดแคลนแร่หายากอาจทำให้ต้นทุนผลิตภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้น - บริษัทที่พึ่งพาวัสดุจากจีนต้องหาทางเลือกใหม่ เช่น หันไปใช้วัสดุทดแทน ℹ️ ข้อกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ - การระงับส่งออกครั้งนี้อาจเป็นยุทธศาสตร์ตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐฯ - อาจเกิดความตึงเครียดระหว่างประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคแร่หายาก ℹ️ อนาคตของอุตสาหกรรมแร่หายาก - อาจมีการพัฒนาเทคโนโลยีการรีไซเคิลแม่เหล็กหายากมากขึ้น - ประเทศอื่นอาจเร่งพัฒนากำลังการผลิตเพื่อกระจายความเสี่ยง https://www.techspot.com/news/107534-china-halts-exports-rare-earth-exports-sparking-fears.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    China halts rare earth exports, sparking fears of shortages in critical industries
    The suspension comes as Beijing drafts a new regulatory framework for issuing export licenses, a process expected to restrict access to these vital materials for specific companies,...
    0 Comments 0 Shares 184 Views 0 Reviews
  • รอยเตอร์ - เกาหลีใต้และเวียดนามเห็นพ้องกันในวันนี้ (14) ที่จะขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจหลังการประชุมระดับรัฐมนตรี ในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศกำลังเร่งเจรจาเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ

    รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้อยู่ระหว่างการเยือนเวียดนาม ในขณะที่ทั้งสองประเทศกำลังพยายามเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บที่ 25% และ 46% ตามลำดับ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ค. หลังจากการระงับขึ้นภาษีทั่วโลกสิ้นสุดลง

    บริษัทจากเกาหลีใต้เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้เป็นปลายทางการส่งออกอันดับ 3 ของเกาหลีใต้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/indochina/detail/9680000035525

    #MGROnline #เกาหลีใต้ #เวียดนาม
    รอยเตอร์ - เกาหลีใต้และเวียดนามเห็นพ้องกันในวันนี้ (14) ที่จะขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจหลังการประชุมระดับรัฐมนตรี ในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศกำลังเร่งเจรจาเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ • รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้อยู่ระหว่างการเยือนเวียดนาม ในขณะที่ทั้งสองประเทศกำลังพยายามเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บที่ 25% และ 46% ตามลำดับ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ค. หลังจากการระงับขึ้นภาษีทั่วโลกสิ้นสุดลง • บริษัทจากเกาหลีใต้เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้เป็นปลายทางการส่งออกอันดับ 3 ของเกาหลีใต้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/indochina/detail/9680000035525 • #MGROnline #เกาหลีใต้ #เวียดนาม
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • รายงานข่าวจากเพจแบไต๋ระบุว่ารัฐบาลจีนออกมาเผยว่าข้อตกลงใด ๆ ก็ตามที่เกี่ยวกับ TikTok จะต้องเป็นไปตามกฎหมายของจีน เป็นการตอบกลับกรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ต้องการขยายกำหนดเวลาที่ ByteDance จะต้องขายกิจการของ TikTok ในสหรัฐฯ ไป 75 วันสำหรับกรณีการขาย TikTok นั้น เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์ได้ทำการขยายกำหนดเวลาที่ TikTok จะต้องขายกิจการให้บริษัทที่ไม่ได้มาจากจีน ไม่เช่นนั้น TikTok จะถูกแบนห้ามใช้ในประเทศอย่างไรก็ดี ความเป็นไปได้ที่ดีลนี้จะสำเร็จก็ยากขึ้น เพราะรัฐบาลจีนระบุว่าจะไม่อนุมัติการเข้าซื้อ TikTok หลังจากที่ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนที่ตอนนี้สูงถึง 104% แล้วเมื่อถูกถามถึงการขยายเวลาซื้อ TikTok โฆษกกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ชี้ว่า จีนต่อต้านการดำเนินการที่ไม่สนใจกฎหมายของเศรษฐกิจในตลาด การเข้าปล้นด้วยกำลัง และการสร้างความเสียหายให้กับสิทธิอันชอบธรรมและผลประโยชน์ของธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงยังชี้ด้วยว่าการดำเนินการในกรณีของ TikTok ซึ่งรวมถึงการส่งออกเทคโนโลยี (ในที่นี้หมายถึงอัลกอริทึม) จะต้องเป็นไปตามกฎหมายจีน
    รายงานข่าวจากเพจแบไต๋ระบุว่ารัฐบาลจีนออกมาเผยว่าข้อตกลงใด ๆ ก็ตามที่เกี่ยวกับ TikTok จะต้องเป็นไปตามกฎหมายของจีน เป็นการตอบกลับกรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ต้องการขยายกำหนดเวลาที่ ByteDance จะต้องขายกิจการของ TikTok ในสหรัฐฯ ไป 75 วันสำหรับกรณีการขาย TikTok นั้น เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์ได้ทำการขยายกำหนดเวลาที่ TikTok จะต้องขายกิจการให้บริษัทที่ไม่ได้มาจากจีน ไม่เช่นนั้น TikTok จะถูกแบนห้ามใช้ในประเทศอย่างไรก็ดี ความเป็นไปได้ที่ดีลนี้จะสำเร็จก็ยากขึ้น เพราะรัฐบาลจีนระบุว่าจะไม่อนุมัติการเข้าซื้อ TikTok หลังจากที่ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนที่ตอนนี้สูงถึง 104% แล้วเมื่อถูกถามถึงการขยายเวลาซื้อ TikTok โฆษกกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ชี้ว่า จีนต่อต้านการดำเนินการที่ไม่สนใจกฎหมายของเศรษฐกิจในตลาด การเข้าปล้นด้วยกำลัง และการสร้างความเสียหายให้กับสิทธิอันชอบธรรมและผลประโยชน์ของธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงยังชี้ด้วยว่าการดำเนินการในกรณีของ TikTok ซึ่งรวมถึงการส่งออกเทคโนโลยี (ในที่นี้หมายถึงอัลกอริทึม) จะต้องเป็นไปตามกฎหมายจีน
    0 Comments 0 Shares 264 Views 0 Reviews
  • ไทยควรใช้กลยุทธ์ใดในการส่งออกโลก ?
    ไทยควรใช้กลยุทธ์ใดในการส่งออกโลก ?
    0 Comments 0 Shares 133 Views 1 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ระงับแผนการห้ามส่งออก GPU รุ่น Nvidia H20 HGX ไปยังจีน หลังจากการประชุมกับ Jensen Huang CEO ของ Nvidia ที่งานดินเนอร์มูลค่า 1 ล้านดอลลาร์ โดยการตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจาก Nvidia ให้คำมั่นว่าจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ในสหรัฐฯ

    ✅ การระงับแผนการห้ามส่งออก:
    - รัฐบาลสหรัฐฯ มีแผนที่จะห้ามการส่งออก GPU Nvidia H20 HGX ไปยังจีน แต่ได้ระงับแผนดังกล่าวหลังการประชุมระหว่างทรัมป์และ Huang
    - Nvidia ให้คำมั่นว่าจะลงทุนในศูนย์ข้อมูล AI ในสหรัฐฯ เพื่อช่วยลดความกังวลของรัฐบาล

    ✅ กฎ AI Diffusion Rule:
    - กฎ AI Diffusion Rule ของรัฐบาล Biden จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งจะห้ามการส่งออกโปรเซสเซอร์ AI ของสหรัฐฯ ไปยังจีนโดยไม่มีใบอนุญาต
    - Nvidia H20 HGX ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับข้อกำหนดการส่งออกที่จำกัด แต่จีนยังคงไม่สามารถซื้อโปรเซสเซอร์ AI ขั้นสูงจากสหรัฐฯ ได้

    ✅ ผลกระทบต่อ Nvidia:
    - Nvidia ขาย GPU H20 HGX มูลค่า 16 พันล้านดอลลาร์ให้กับบริษัทในจีนในไตรมาสแรกของปี 2025
    - การเปลี่ยนแปลงในนโยบายการส่งออกอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของ Nvidia

    ✅ ความสำคัญของการลงทุนใน AI:
    - การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ในสหรัฐฯ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/trump-reportedly-suspends-nvidia-h20-export-ban-plan-after-usd1-million-dinner-with-jensen-huang
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ระงับแผนการห้ามส่งออก GPU รุ่น Nvidia H20 HGX ไปยังจีน หลังจากการประชุมกับ Jensen Huang CEO ของ Nvidia ที่งานดินเนอร์มูลค่า 1 ล้านดอลลาร์ โดยการตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจาก Nvidia ให้คำมั่นว่าจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ในสหรัฐฯ ✅ การระงับแผนการห้ามส่งออก: - รัฐบาลสหรัฐฯ มีแผนที่จะห้ามการส่งออก GPU Nvidia H20 HGX ไปยังจีน แต่ได้ระงับแผนดังกล่าวหลังการประชุมระหว่างทรัมป์และ Huang - Nvidia ให้คำมั่นว่าจะลงทุนในศูนย์ข้อมูล AI ในสหรัฐฯ เพื่อช่วยลดความกังวลของรัฐบาล ✅ กฎ AI Diffusion Rule: - กฎ AI Diffusion Rule ของรัฐบาล Biden จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งจะห้ามการส่งออกโปรเซสเซอร์ AI ของสหรัฐฯ ไปยังจีนโดยไม่มีใบอนุญาต - Nvidia H20 HGX ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับข้อกำหนดการส่งออกที่จำกัด แต่จีนยังคงไม่สามารถซื้อโปรเซสเซอร์ AI ขั้นสูงจากสหรัฐฯ ได้ ✅ ผลกระทบต่อ Nvidia: - Nvidia ขาย GPU H20 HGX มูลค่า 16 พันล้านดอลลาร์ให้กับบริษัทในจีนในไตรมาสแรกของปี 2025 - การเปลี่ยนแปลงในนโยบายการส่งออกอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของ Nvidia ✅ ความสำคัญของการลงทุนใน AI: - การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ในสหรัฐฯ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/trump-reportedly-suspends-nvidia-h20-export-ban-plan-after-usd1-million-dinner-with-jensen-huang
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews
  • จีนทิ้งไพ่เด็ด หยุดส่งออก "แร่หายาก" 7 ชนิด
    กระทบการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ F-47 ของสหรัฐฯ
    .
    ผลกระทบจากสงครามการค้า และภาษีนำเข้าระหว่าง สหรัฐฯ กับ จีน ล่าสุดรัฐบาลปักกิ่งได้มีการห้ามการส่งออก "แร่หายาก" หรือ Rare Earth โดยในภาษาจีนเรียกว่า ซีถู่ (稀土) ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ แผงโซลาร์ อาวุธ รวมไปถึงรถ EV อย่างใหญ่หลวงเนื่องจากจีนเป็นผู้ส่งออกรายสำคัญของโลก โดยการตัดสินใจห้ามส่งออก 7 แร่ธาตุหายากดังกล่าว ทำให้ราคาของ "แร่ธาตุหายาก" เหล่านี้ในตลาดโลกปรับตัวขึ้นทันที 12%
    .
    คลิกชม >> https://vt.tiktok.com/ZSrabUS5W/
    .
    #สงครามการค้า #แร่หายาก #จีนvsสหรัฐ #RareEarth #F47
    จีนทิ้งไพ่เด็ด หยุดส่งออก "แร่หายาก" 7 ชนิด กระทบการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ F-47 ของสหรัฐฯ . ผลกระทบจากสงครามการค้า และภาษีนำเข้าระหว่าง สหรัฐฯ กับ จีน ล่าสุดรัฐบาลปักกิ่งได้มีการห้ามการส่งออก "แร่หายาก" หรือ Rare Earth โดยในภาษาจีนเรียกว่า ซีถู่ (稀土) ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ แผงโซลาร์ อาวุธ รวมไปถึงรถ EV อย่างใหญ่หลวงเนื่องจากจีนเป็นผู้ส่งออกรายสำคัญของโลก โดยการตัดสินใจห้ามส่งออก 7 แร่ธาตุหายากดังกล่าว ทำให้ราคาของ "แร่ธาตุหายาก" เหล่านี้ในตลาดโลกปรับตัวขึ้นทันที 12% . คลิกชม >> https://vt.tiktok.com/ZSrabUS5W/ . #สงครามการค้า #แร่หายาก #จีนvsสหรัฐ #RareEarth #F47
    @thedongfangbubai

    จีนทิ้งไพ่เด็ด หยุดส่งออก "แร่หายาก" 7 ชนิด กระทบการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ F-47 ของสหรัฐฯ . ผลกระทบจากสงครามการค้า และภาษีนำเข้าระหว่าง สหรัฐฯ กับ จีน ล่าสุดรัฐบาลปักกิ่งได้มีการห้ามการส่งออก "แร่หายาก" หรือ Rare Earth โดยในภาษาจีนเรียกว่า ซีถู่ (稀土) ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ แผงโซลาร์ อาวุธ รวมไปถึงรถ EV อย่างใหญ่หลวงเนื่องจากจีนเป็นผู้ส่งออกรายสำคัญของโลก โดยการตัดสินใจห้ามส่งออก 7 แร่ธาตุหายากดังกล่าว ทำให้ราคาของ "แร่ธาตุหายาก" เหล่านี้ในตลาดโลกปรับตัวขึ้นทันที 12% . #สงครามการค้า #แร่หายาก #จีนvsสหรัฐ #RareEarth #F47

    ♬ original sound - บูรพาไม่แพ้ - บูรพาไม่แพ้
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews
  • บริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) อาจเผชิญกับโทษปรับจากกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาสูงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หลังมีรายงานว่าได้จัดหาชิปเล็ตรุ่นหนึ่งให้กับบริษัท Huawei ซึ่งอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ โดยไม่ได้ตั้งใจ ชิปเล็ตรุ่นดังกล่าวถูกพบว่าอยู่ในตัวเร่งประมวลผล AI รุ่น HiSilicon Ascend 910B ของ Huawei

    รายงานจากสำนักข่าว Reuters ระบุว่า หลังจากที่ Huawei ไม่สามารถทำงานร่วมกับ TSMC ได้เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ บริษัทจึงได้ส่งแบบแปลนการออกแบบชิปของตนไปให้ Sophgo บริษัทออกแบบชิปของจีนแทน จากนั้น Sophgo ได้นำแบบแปลนเหล่านั้นไปให้ TSMC ผลิต โดยอ้างว่าเป็นการออกแบบของตนเอง

    TSMC ได้ระงับการจัดส่งชิปให้ Sophgo หลังจากค้นพบว่าชิปเล็ตรุ่นที่ตนผลิตนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชิป AI ซีรีส์ HiSilicon Ascend 910 ของ Huawei ซึ่งเป็นการละเมิดข้อกำหนดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ ที่สามารถกำหนดโทษปรับได้สูงถึงสองเท่าของมูลค่าการทำธุรกรรมที่ละเมิดกฎ

    ที่มา : https://www.enterpriseitpro.net/tsmc-faces-1-billion-u-s-fine-over-chip-used-in-huawei-processor/
    บริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) อาจเผชิญกับโทษปรับจากกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาสูงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หลังมีรายงานว่าได้จัดหาชิปเล็ตรุ่นหนึ่งให้กับบริษัท Huawei ซึ่งอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ โดยไม่ได้ตั้งใจ ชิปเล็ตรุ่นดังกล่าวถูกพบว่าอยู่ในตัวเร่งประมวลผล AI รุ่น HiSilicon Ascend 910B ของ Huawei รายงานจากสำนักข่าว Reuters ระบุว่า หลังจากที่ Huawei ไม่สามารถทำงานร่วมกับ TSMC ได้เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ บริษัทจึงได้ส่งแบบแปลนการออกแบบชิปของตนไปให้ Sophgo บริษัทออกแบบชิปของจีนแทน จากนั้น Sophgo ได้นำแบบแปลนเหล่านั้นไปให้ TSMC ผลิต โดยอ้างว่าเป็นการออกแบบของตนเอง TSMC ได้ระงับการจัดส่งชิปให้ Sophgo หลังจากค้นพบว่าชิปเล็ตรุ่นที่ตนผลิตนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชิป AI ซีรีส์ HiSilicon Ascend 910 ของ Huawei ซึ่งเป็นการละเมิดข้อกำหนดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ ที่สามารถกำหนดโทษปรับได้สูงถึงสองเท่าของมูลค่าการทำธุรกรรมที่ละเมิดกฎ ที่มา : https://www.enterpriseitpro.net/tsmc-faces-1-billion-u-s-fine-over-chip-used-in-huawei-processor/
    WWW.ENTERPRISEITPRO.NET
    TSMC อาจถูกสหรัฐฯ ปรับกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หลังพบว่าจัดหาชิปให้ Huawei (ไม่ตั้งใจ) - Enterprise IT Pro
    บริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) อาจเผชิญกับโทษปรับจากกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาสูงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หลังมีรายงานว่าได้จัดหาชิปเล็ตรุ่นหนึ่งให้กับบริษัท Huawei ซึ่งอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ โดยไม่ได้ตั้งใจ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • แค่ลอยถลอก!

    การตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีศุลกากร 104% ของสหรัฐที่มีต่อจีน อาจเป็นเพียงแค่ทำให้เศรษฐกิจของจีน “เจ็ยบเพียงเล็กน้อย” ได้เท่านั้น

    จากการประเมินของสำนักงานการค้าแห่งสหรัฐอเมริกา พบว่าในปี 2024 การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ มีมูลค่าประมาณ 438,900 ล้านดอลลาร์

    ซึ่งคิดเป็น 13.3% ของการส่งออกทั้งหมดของจีน

    ภาษีศุลกากร 104% อาจจะสามารถลดการส่งออกเหล่านี้ของจีนที่ไปยังสหรัฐลงได้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าจีนจะสูญเสียไปประมาณ 7%

    แต่เกือบ 7% ที่รัฐบาลจีนสูญเสียไปในสหรัฐโดยตรงนั้น รัฐบาลจีนสามารถหาช่องเอากลับคืนมาได้อย่างง่ายดายด้วยความช่วยเหลือจากรัฐบาลจีนเอง ในการส่งออกผ่านประเทศที่สามไปยังสหรัฐ และการหาตลาดใหม่ๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับจีน เนื่องจากพวกเขาวางแผนรับมือเหตุการณ์นี้มานานหลายปีแล้ว

    ดังนั้น คาดว่าการสูญเสียทั้งหมดของจีนจริงๆจะอยู่ที่เพียง 2-3% ของการส่งออกทั้งหมดเท่านั้น
    แค่ลอยถลอก! การตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีศุลกากร 104% ของสหรัฐที่มีต่อจีน อาจเป็นเพียงแค่ทำให้เศรษฐกิจของจีน “เจ็ยบเพียงเล็กน้อย” ได้เท่านั้น จากการประเมินของสำนักงานการค้าแห่งสหรัฐอเมริกา พบว่าในปี 2024 การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ มีมูลค่าประมาณ 438,900 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 13.3% ของการส่งออกทั้งหมดของจีน ภาษีศุลกากร 104% อาจจะสามารถลดการส่งออกเหล่านี้ของจีนที่ไปยังสหรัฐลงได้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าจีนจะสูญเสียไปประมาณ 7% แต่เกือบ 7% ที่รัฐบาลจีนสูญเสียไปในสหรัฐโดยตรงนั้น รัฐบาลจีนสามารถหาช่องเอากลับคืนมาได้อย่างง่ายดายด้วยความช่วยเหลือจากรัฐบาลจีนเอง ในการส่งออกผ่านประเทศที่สามไปยังสหรัฐ และการหาตลาดใหม่ๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับจีน เนื่องจากพวกเขาวางแผนรับมือเหตุการณ์นี้มานานหลายปีแล้ว ดังนั้น คาดว่าการสูญเสียทั้งหมดของจีนจริงๆจะอยู่ที่เพียง 2-3% ของการส่งออกทั้งหมดเท่านั้น
    Like
    Yay
    4
    0 Comments 0 Shares 219 Views 0 Reviews
  • Wicresoft ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง Microsoft กับบริษัทในจีน ได้ประกาศหยุดดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับ Microsoft พร้อมปลดพนักงานกว่า 2,000 คน โดยเหตุผลสำคัญของการตัดสินใจนี้คือ “การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก” ซึ่งเกิดจากความตึงเครียดในสงครามการค้าระหว่าง สหรัฐฯ และ จีน

    == ผลกระทบต่อ Microsoft และพนักงาน ==
    ✅ ผลต่อพนักงาน: พนักงานในเซี่ยงไฮ้ของ Wicresoft ได้รับแจ้งว่าโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Microsoft จะถูกยุติ ส่งผลให้มีการเลิกจ้างพนักงานกว่า 2,000 คน ซึ่งถือเป็นการลดศักยภาพในการดำเนินงานในจีนลงอย่างมีนัยสำคัญ

    ✅ สถานะของ Microsoft ในภูมิภาคนี้:
    - แม้ว่า Microsoft จะยังคงถือหุ้น 22% ใน Wicresoft แต่การลดขนาดของธุรกิจในจีนสะท้อนถึงแนวโน้มของการ “แยกตัว” ระหว่างสหรัฐฯ และจีนในด้านเทคโนโลยี
    - Microsoft เคยปิดตัว IoT และ AI Insider Lab ใน Shanghai’s Zhangjiang Hi-Tech Park ก่อนหน้านี้เช่นกัน

    == ปัจจัยที่เป็นตัวแปรสำคัญ ==
    ✅ แรงกดดันจากสงครามการค้า: ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่างสองมหาอำนาจ รวมถึงการตอบโต้ด้านภาษีและนโยบายการควบคุมการส่งออก ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจข้ามประเทศในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

    ✅ คำถามในอนาคต: การลดขนาดการดำเนินงานของ Wicresoft สร้างความสงสัยว่า Microsoft จะให้บริการแก่ลูกค้าในจีนอย่างไรในอนาคต

    https://www.techradar.com/pro/microsofts-chinese-joint-venture-set-to-halt-operations-lay-off-staff
    Wicresoft ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง Microsoft กับบริษัทในจีน ได้ประกาศหยุดดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับ Microsoft พร้อมปลดพนักงานกว่า 2,000 คน โดยเหตุผลสำคัญของการตัดสินใจนี้คือ “การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก” ซึ่งเกิดจากความตึงเครียดในสงครามการค้าระหว่าง สหรัฐฯ และ จีน == ผลกระทบต่อ Microsoft และพนักงาน == ✅ ผลต่อพนักงาน: พนักงานในเซี่ยงไฮ้ของ Wicresoft ได้รับแจ้งว่าโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Microsoft จะถูกยุติ ส่งผลให้มีการเลิกจ้างพนักงานกว่า 2,000 คน ซึ่งถือเป็นการลดศักยภาพในการดำเนินงานในจีนลงอย่างมีนัยสำคัญ ✅ สถานะของ Microsoft ในภูมิภาคนี้: - แม้ว่า Microsoft จะยังคงถือหุ้น 22% ใน Wicresoft แต่การลดขนาดของธุรกิจในจีนสะท้อนถึงแนวโน้มของการ “แยกตัว” ระหว่างสหรัฐฯ และจีนในด้านเทคโนโลยี - Microsoft เคยปิดตัว IoT และ AI Insider Lab ใน Shanghai’s Zhangjiang Hi-Tech Park ก่อนหน้านี้เช่นกัน == ปัจจัยที่เป็นตัวแปรสำคัญ == ✅ แรงกดดันจากสงครามการค้า: ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่างสองมหาอำนาจ รวมถึงการตอบโต้ด้านภาษีและนโยบายการควบคุมการส่งออก ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจข้ามประเทศในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ✅ คำถามในอนาคต: การลดขนาดการดำเนินงานของ Wicresoft สร้างความสงสัยว่า Microsoft จะให้บริการแก่ลูกค้าในจีนอย่างไรในอนาคต https://www.techradar.com/pro/microsofts-chinese-joint-venture-set-to-halt-operations-lay-off-staff
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 146 Views 0 Reviews
  • Donald Trump อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวในงาน Republican National Congressional Committee ว่าเขาเคยข่มขู่ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) ว่าจะต้องเสียภาษีสูงถึง 100% หากไม่สร้างโรงงานในสหรัฐฯ โดยการเคลื่อนไหวนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ

    ✅ บทบาทของ TSMC ในอุตสาหกรรม: TSMC ซึ่งถือเป็นบริษัทผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ประกาศแผนลงทุนกว่า 100 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ 5 แห่งในสหรัฐฯ หลังเผชิญแรงกดดันจากรัฐบาล

    ✅ ท่าทีของ Trump:
    - Trump วิจารณ์การตัดสินใจของรัฐบาล Biden ที่เคยมอบ เงินช่วยเหลือกว่า 6.6 พันล้านดอลลาร์ ให้กับ TSMC สหรัฐฯ โดยเขาย้ำว่า บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ไม่จำเป็นต้องใช้เงินช่วยเหลือ แต่ควรปรับตัวผ่านแรงจูงใจทางเศรษฐกิจแทน

    ✅ ประเด็นการส่งออกและ Huawei: ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า TSMC อาจต้องจ่ายค่าปรับกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หรือมากกว่า จากกรณีที่ชิปที่ผลิตโดยบริษัทถูกพบว่าเป็นส่วนหนึ่งของ AI Processor ของ Huawei ซึ่งเป็นเป้าหมายของการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/09/trump-says-he-told-tsmc-it-would-pay-100-tax-if-it-doesn039t-build-in-us
    Donald Trump อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวในงาน Republican National Congressional Committee ว่าเขาเคยข่มขู่ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) ว่าจะต้องเสียภาษีสูงถึง 100% หากไม่สร้างโรงงานในสหรัฐฯ โดยการเคลื่อนไหวนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ ✅ บทบาทของ TSMC ในอุตสาหกรรม: TSMC ซึ่งถือเป็นบริษัทผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ประกาศแผนลงทุนกว่า 100 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ 5 แห่งในสหรัฐฯ หลังเผชิญแรงกดดันจากรัฐบาล ✅ ท่าทีของ Trump: - Trump วิจารณ์การตัดสินใจของรัฐบาล Biden ที่เคยมอบ เงินช่วยเหลือกว่า 6.6 พันล้านดอลลาร์ ให้กับ TSMC สหรัฐฯ โดยเขาย้ำว่า บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ไม่จำเป็นต้องใช้เงินช่วยเหลือ แต่ควรปรับตัวผ่านแรงจูงใจทางเศรษฐกิจแทน ✅ ประเด็นการส่งออกและ Huawei: ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า TSMC อาจต้องจ่ายค่าปรับกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หรือมากกว่า จากกรณีที่ชิปที่ผลิตโดยบริษัทถูกพบว่าเป็นส่วนหนึ่งของ AI Processor ของ Huawei ซึ่งเป็นเป้าหมายของการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/09/trump-says-he-told-tsmc-it-would-pay-100-tax-if-it-doesn039t-build-in-us
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Trump says he told TSMC it would pay 100% tax if it doesn't build in US
    (Reuters) - President Donald Trump on Tuesday said he told the Taiwan Semiconductor Manufacturing Company, which has pledged to build new factories in the United States, it would pay a tax of up to 100% if it didn't build its plants in the country.
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • หลังจากเวียดนามเร่งรีบเปิดการเจรจากับอเมริกา ด้วยข้อเสนอภาษีศุลกากรนำเข้าสินค้าสหรัฐเป็น 0% แต่ถูกปฏิเสธโดยรัฐบาลทรัมป์อย่างไร้ความปราณี

    ปีเตอร์ นาวาร์โร (Peter Navarro) หนึ่งในคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังมาตรการภาษีศุลกากรและสงครามการค้าของทรัมป์กล่าวว่า เขาไม่เคยสนใจว่าเวียดนามจะลดภาษีศุลกากรขาเข้าเป็นศูนย์หรือไม่ ปัญหาคือเราซื้อจากพวกเขาที่ภาษีสูงเกินจริง

    "เวียดนามมาหาเราและบอกว่าเราจะลดภาษีศุลกากรเป็นศูนย์ นั่นไม่มีความหมายสำหรับเราเลย ปัญหาการโกงราคาที่ไม่ใช่ภาษีต่างหากที่สำคัญ การเสนอภาษีเป็นศูนย์ไม่ได้ช่วยลดการขาดดุล 123,000 ล้านดอลลาร์ของเราได้"

    ดังนั้นข้อเสนอการลดภาษีศุลกากรเป็นศูนย์ของเวียดนาม “ไม่มีความหมายอะไรสำหรับเรา”

    นอกจากนี้ นาวาร์โร ยังประกาศไปถึงอีกหลายประเทศว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะไม่เจรจากับประเทศใดๆก็ตามที่เป็นประเทศเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออกที่กำลังจะมีข้อเสนอให้ลดภาษีศุลกากรเป็นศูนย์ แต่พวกเขาจะต้อกำจัดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรต่อสินค้าของอเมริกาด้วยเท่านั้น ถึงจะยอมรับได้
    หลังจากเวียดนามเร่งรีบเปิดการเจรจากับอเมริกา ด้วยข้อเสนอภาษีศุลกากรนำเข้าสินค้าสหรัฐเป็น 0% แต่ถูกปฏิเสธโดยรัฐบาลทรัมป์อย่างไร้ความปราณี ปีเตอร์ นาวาร์โร (Peter Navarro) หนึ่งในคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังมาตรการภาษีศุลกากรและสงครามการค้าของทรัมป์กล่าวว่า เขาไม่เคยสนใจว่าเวียดนามจะลดภาษีศุลกากรขาเข้าเป็นศูนย์หรือไม่ ปัญหาคือเราซื้อจากพวกเขาที่ภาษีสูงเกินจริง "เวียดนามมาหาเราและบอกว่าเราจะลดภาษีศุลกากรเป็นศูนย์ นั่นไม่มีความหมายสำหรับเราเลย ปัญหาการโกงราคาที่ไม่ใช่ภาษีต่างหากที่สำคัญ การเสนอภาษีเป็นศูนย์ไม่ได้ช่วยลดการขาดดุล 123,000 ล้านดอลลาร์ของเราได้" ดังนั้นข้อเสนอการลดภาษีศุลกากรเป็นศูนย์ของเวียดนาม “ไม่มีความหมายอะไรสำหรับเรา” นอกจากนี้ นาวาร์โร ยังประกาศไปถึงอีกหลายประเทศว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะไม่เจรจากับประเทศใดๆก็ตามที่เป็นประเทศเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออกที่กำลังจะมีข้อเสนอให้ลดภาษีศุลกากรเป็นศูนย์ แต่พวกเขาจะต้อกำจัดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรต่อสินค้าของอเมริกาด้วยเท่านั้น ถึงจะยอมรับได้
    0 Comments 0 Shares 208 Views 0 Reviews
  • รัฐบาลถึงเวลา แก้เกมสหรัฐ ก่อนจีดีพีไทยวูบ
    .
    ยิ่งนานวันเริ่มมีกระแสกดดันมายังรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่อง ภายหลังผู้นำสหรัฐอเมริกาเล่นเกมแรงด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าประเทศไทยถึง 36% ล่าสุด นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) แสดงความคิดเห็นว่า ไทยจะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและอ้อม สำหรับผลกระทบทางตรง คือ การส่งออกไทยอาจจะลดลงเนื่องสหรัฐฯ หันไปนำเข้าจากประเทศคู่แข่งที่ขายราคาถูกและมีภาษีนำเข้าต่ำกว่าไทย และสหรัฐฯ อาจลดนำเข้าจากทุประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐก็ได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ด้วย ทั้งนี้ไทยพึ่งสหรัฐฯ สูงถึง 18% โดยสินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ คอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยาง โทรศัพท์

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000033299

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    รัฐบาลถึงเวลา แก้เกมสหรัฐ ก่อนจีดีพีไทยวูบ . ยิ่งนานวันเริ่มมีกระแสกดดันมายังรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่อง ภายหลังผู้นำสหรัฐอเมริกาเล่นเกมแรงด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าประเทศไทยถึง 36% ล่าสุด นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) แสดงความคิดเห็นว่า ไทยจะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและอ้อม สำหรับผลกระทบทางตรง คือ การส่งออกไทยอาจจะลดลงเนื่องสหรัฐฯ หันไปนำเข้าจากประเทศคู่แข่งที่ขายราคาถูกและมีภาษีนำเข้าต่ำกว่าไทย และสหรัฐฯ อาจลดนำเข้าจากทุประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐก็ได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ด้วย ทั้งนี้ไทยพึ่งสหรัฐฯ สูงถึง 18% โดยสินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ คอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยาง โทรศัพท์ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000033299 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Yay
    3
    0 Comments 0 Shares 557 Views 0 Reviews
  • รัฐบาลถึงเวลา แก้เกมสหรัฐ ก่อนจีดีพีไทยวูบ
    .
    ยิ่งนานวันเริ่มมีกระแสกดดันมายังรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่อง ภายหลังผู้นำสหรัฐอเมริกาเล่นเกมแรงด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าประเทศไทยถึง 36% ล่าสุด นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) แสดงความคิดเห็นว่า ไทยจะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและอ้อม สำหรับผลกระทบทางตรง คือ การส่งออกไทยอาจจะลดลงเนื่องสหรัฐฯ หันไปนำเข้าจากประเทศคู่แข่งที่ขายราคาถูกและมีภาษีนำเข้าต่ำกว่าไทย และสหรัฐฯ อาจลดนำเข้าจากทุประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐก็ได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ด้วย ทั้งนี้ไทยพึ่งสหรัฐฯ สูงถึง 18% โดยสินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ คอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยาง โทรศัพท์
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000033297

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    รัฐบาลถึงเวลา แก้เกมสหรัฐ ก่อนจีดีพีไทยวูบ . ยิ่งนานวันเริ่มมีกระแสกดดันมายังรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่อง ภายหลังผู้นำสหรัฐอเมริกาเล่นเกมแรงด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าประเทศไทยถึง 36% ล่าสุด นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) แสดงความคิดเห็นว่า ไทยจะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและอ้อม สำหรับผลกระทบทางตรง คือ การส่งออกไทยอาจจะลดลงเนื่องสหรัฐฯ หันไปนำเข้าจากประเทศคู่แข่งที่ขายราคาถูกและมีภาษีนำเข้าต่ำกว่าไทย และสหรัฐฯ อาจลดนำเข้าจากทุประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐก็ได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ด้วย ทั้งนี้ไทยพึ่งสหรัฐฯ สูงถึง 18% โดยสินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ คอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยาง โทรศัพท์ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000033297 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    6
    1 Comments 0 Shares 1672 Views 0 Reviews
  • ตลาดหุ้นไต้หวัน ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงถึง 10% ในวันเดียว หลังจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ซึ่งเพิ่มอัตราภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากไต้หวันถึง 32% มาตรการนี้กระทบกับ TSMC และ Foxconn บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของไต้หวันโดยตรง ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจในประเทศ

    == ผลกระทบที่สำคัญต่อบริษัทใหญ่ ==
    ✅ Foxconn:
    - Foxconn รับผิดชอบการประกอบสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น iPhone, MacBook และ AI Servers
    - ด้วยอัตราภาษีใหม่ Foxconn เผชิญต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น กระทบต่อ กำไรและขีดความสามารถในการแข่งขัน อย่างชัดเจน

    ✅ TSMC:
    - แม้ว่าชิปเซมิคอนดักเตอร์จะไม่ได้ถูกรวมในภาษีรอบนี้ แต่รายได้ของ TSMC มีความเชื่อมโยงกับสินค้าที่ใช้ชิป ซึ่งการลดลงของยอดขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อาจส่งผลกระทบอย่างมากในอนาคต

    == การตอบสนองจากรัฐบาลและความช่วยเหลือในประเทศ ==
    ✅ กองทุนช่วยเหลือ:
    - รัฐบาลไต้หวันจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือมูลค่า 2.65 พันล้านดอลลาร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาษีสหรัฐฯ

    ✅ มาตรการควบคุมตลาด:
    - มีการจำกัดการขายชอร์ต (Short Selling) เพื่อควบคุมความผันผวนของตลาด

    ✅ คำมั่นจากผู้นำประเทศ:
    - ประธานาธิบดี Lai Ching-te ให้คำมั่นในการเพิ่มความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างไต้หวันและสหรัฐฯ เพื่อบรรเทาความตึงเครียด และมุ่งหวังให้เกิดการลดภาษีในอนาคต

    == คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ ==
    ✅ นักวิเคราะห์เตือนถึง ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอย หากสถานการณ์ยืดเยื้อ Goldman Sachs ถึงขั้นลดอันดับความน่าเชื่อถือของไต้หวันในเอเชีย พร้อมเน้นถึงการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่อาจเป็นจุดอ่อนในระยะยาว

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/tsmc-and-foxconn-hit-hard-in-taiwan-following-trumps-tariffs-announcement
    ตลาดหุ้นไต้หวัน ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงถึง 10% ในวันเดียว หลังจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ซึ่งเพิ่มอัตราภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากไต้หวันถึง 32% มาตรการนี้กระทบกับ TSMC และ Foxconn บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของไต้หวันโดยตรง ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจในประเทศ == ผลกระทบที่สำคัญต่อบริษัทใหญ่ == ✅ Foxconn: - Foxconn รับผิดชอบการประกอบสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น iPhone, MacBook และ AI Servers - ด้วยอัตราภาษีใหม่ Foxconn เผชิญต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น กระทบต่อ กำไรและขีดความสามารถในการแข่งขัน อย่างชัดเจน ✅ TSMC: - แม้ว่าชิปเซมิคอนดักเตอร์จะไม่ได้ถูกรวมในภาษีรอบนี้ แต่รายได้ของ TSMC มีความเชื่อมโยงกับสินค้าที่ใช้ชิป ซึ่งการลดลงของยอดขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อาจส่งผลกระทบอย่างมากในอนาคต == การตอบสนองจากรัฐบาลและความช่วยเหลือในประเทศ == ✅ กองทุนช่วยเหลือ: - รัฐบาลไต้หวันจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือมูลค่า 2.65 พันล้านดอลลาร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาษีสหรัฐฯ ✅ มาตรการควบคุมตลาด: - มีการจำกัดการขายชอร์ต (Short Selling) เพื่อควบคุมความผันผวนของตลาด ✅ คำมั่นจากผู้นำประเทศ: - ประธานาธิบดี Lai Ching-te ให้คำมั่นในการเพิ่มความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างไต้หวันและสหรัฐฯ เพื่อบรรเทาความตึงเครียด และมุ่งหวังให้เกิดการลดภาษีในอนาคต == คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ == ✅ นักวิเคราะห์เตือนถึง ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอย หากสถานการณ์ยืดเยื้อ Goldman Sachs ถึงขั้นลดอันดับความน่าเชื่อถือของไต้หวันในเอเชีย พร้อมเน้นถึงการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่อาจเป็นจุดอ่อนในระยะยาว https://www.tomshardware.com/tech-industry/tsmc-and-foxconn-hit-hard-in-taiwan-following-trumps-tariffs-announcement
    0 Comments 0 Shares 203 Views 0 Reviews
  • หากคุณกำลังพิจารณาย้ายมาใช้ระบบปฏิบัติการ Linux การมีเครื่องมือที่เหมาะสมสามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากต่อประสบการณ์การใช้งานของคุณ และนี่คือแอป FOSS (Free and Open Source Software) 10 อันดับแรกที่น่าสนใจ ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพการทำงานให้กับผู้ใช้ Linux ทุกระดับ

    == แอปที่น่าสนใจและจุดเด่นของแต่ละแอป ==
    1) Varia—ตัวช่วยดาวน์โหลดที่หลากหลาย
    - รองรับการดาวน์โหลดจาก YouTube, TikTok และเว็บไซต์ที่ต้องการการยืนยันตัวตน พร้อมฟีเจอร์การตั้งเวลาการดาวน์โหลด

    2) Micro—โปรแกรมแก้ไขไฟล์ใน Terminal ที่สมบูรณ์แบบ
    - เหมาะสำหรับการแก้ไขไฟล์ขนาดใหญ่ มีฟีเจอร์ครบครัน เช่น syntax highlighting และการรองรับเมาส์

    3) LocalSend—แชร์ไฟล์แบบปลอดภัยในเครือข่ายเดียวกัน
    - แอปข้ามแพลตฟอร์มที่ใช้ REST API เพื่อแชร์ไฟล์ระหว่างอุปกรณ์โดยไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต

    4) mpv + uosc—เครื่องเล่นมีเดียที่ปรับแต่งได้สูง
    - รองรับไฟล์มีเดียเกือบทุกชนิด และสามารถเพิ่ม On-Screen Controller (uosc) เพื่อใช้งานสะดวกขึ้น

    5) FSearch—ทางเลือกสำหรับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการการค้นหาไฟล์เร็วทันใจ
    - ค้นหาไฟล์อย่างรวดเร็วเหมือนแอป Everything บน Windows

    6) KDE Connect หรือ GSConnect—เครื่องมือเชื่อมต่ออุปกรณ์มือถือและคอมพิวเตอร์
    - ใช้แชร์คลิปบอร์ด การแจ้งเตือน และเปลี่ยนมือถือเป็นรีโมทได้

    7) Apostrophe—Markdown Editor สำหรับคนชอบความเรียบง่าย
    - มีโหมดตัดสิ่งรบกวน (Focus Mode) และรองรับการส่งออกเป็น PDF, Word และ HTML

    8) Switcheroo—แอปแปลงไฟล์ภาพ
    - รองรับการแปลงไฟล์ภาพเป็น JPEG, PNG, WebP และฟอร์แมตอื่น ๆ

    9) Newsflash—RSS Reader สุดล้ำ
    - ใช้ซิงค์ข้อมูลกับบริการ RSS ออนไลน์ เช่น Feedbin และ Inoreader

    10) LibreOffice—คู่แข่งที่สมบูรณ์แบบของ Office Suite เชิงพาณิชย์
    - ชุดโปรแกรมสำหรับจัดการเอกสารที่รองรับการใช้งานอย่างครอบคลุม

    https://www.neowin.net/guides/top-10-foss-apps-to-make-your-linux-experience-more-enjoyable/
    หากคุณกำลังพิจารณาย้ายมาใช้ระบบปฏิบัติการ Linux การมีเครื่องมือที่เหมาะสมสามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากต่อประสบการณ์การใช้งานของคุณ และนี่คือแอป FOSS (Free and Open Source Software) 10 อันดับแรกที่น่าสนใจ ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพการทำงานให้กับผู้ใช้ Linux ทุกระดับ == แอปที่น่าสนใจและจุดเด่นของแต่ละแอป == 1) Varia—ตัวช่วยดาวน์โหลดที่หลากหลาย - รองรับการดาวน์โหลดจาก YouTube, TikTok และเว็บไซต์ที่ต้องการการยืนยันตัวตน พร้อมฟีเจอร์การตั้งเวลาการดาวน์โหลด 2) Micro—โปรแกรมแก้ไขไฟล์ใน Terminal ที่สมบูรณ์แบบ - เหมาะสำหรับการแก้ไขไฟล์ขนาดใหญ่ มีฟีเจอร์ครบครัน เช่น syntax highlighting และการรองรับเมาส์ 3) LocalSend—แชร์ไฟล์แบบปลอดภัยในเครือข่ายเดียวกัน - แอปข้ามแพลตฟอร์มที่ใช้ REST API เพื่อแชร์ไฟล์ระหว่างอุปกรณ์โดยไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต 4) mpv + uosc—เครื่องเล่นมีเดียที่ปรับแต่งได้สูง - รองรับไฟล์มีเดียเกือบทุกชนิด และสามารถเพิ่ม On-Screen Controller (uosc) เพื่อใช้งานสะดวกขึ้น 5) FSearch—ทางเลือกสำหรับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการการค้นหาไฟล์เร็วทันใจ - ค้นหาไฟล์อย่างรวดเร็วเหมือนแอป Everything บน Windows 6) KDE Connect หรือ GSConnect—เครื่องมือเชื่อมต่ออุปกรณ์มือถือและคอมพิวเตอร์ - ใช้แชร์คลิปบอร์ด การแจ้งเตือน และเปลี่ยนมือถือเป็นรีโมทได้ 7) Apostrophe—Markdown Editor สำหรับคนชอบความเรียบง่าย - มีโหมดตัดสิ่งรบกวน (Focus Mode) และรองรับการส่งออกเป็น PDF, Word และ HTML 8) Switcheroo—แอปแปลงไฟล์ภาพ - รองรับการแปลงไฟล์ภาพเป็น JPEG, PNG, WebP และฟอร์แมตอื่น ๆ 9) Newsflash—RSS Reader สุดล้ำ - ใช้ซิงค์ข้อมูลกับบริการ RSS ออนไลน์ เช่น Feedbin และ Inoreader 10) LibreOffice—คู่แข่งที่สมบูรณ์แบบของ Office Suite เชิงพาณิชย์ - ชุดโปรแกรมสำหรับจัดการเอกสารที่รองรับการใช้งานอย่างครอบคลุม https://www.neowin.net/guides/top-10-foss-apps-to-make-your-linux-experience-more-enjoyable/
    WWW.NEOWIN.NET
    Top 10 FOSS apps to make your Linux experience more enjoyable
    Microsoft's recent antics make it a great time to give Linux a shot. This guide highlights 10 FOSS apps to try when you make the switch.
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • จีนเพิ่มข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายาก เช่น Scandium และ Dysprosium เพื่อควบคุมซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก ผลกระทบนี้ไม่เพียงเพิ่มความตึงเครียดระหว่างจีนและประเทศต่าง ๆ แต่ยังส่งผลต่อการผลิตชิป สมาร์ทโฟน และยานยนต์ไฟฟ้าในระดับโลก บริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องหาวิธีปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้

    == เหตุใดข้อจำกัดนี้ถึงมีผลกระทบรุนแรง? ==
    ✅ Scandium
    - ใช้ในโมดูล RF เช่น 5G Smartphones และเทคโนโลยี Wi-Fi 6/7 ผ่านการประยุกต์ในวัสดุ Scandium Aluminum Nitride (ScAlN) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้าน สัญญาณและพลังงาน

    ✅ Dysprosium
    - เป็นหัวใจของ HDD Motors และระบบแม่เหล็กในยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อการทำงานที่เสถียรแม้ในอุณหภูมิสูง
    - ใช้ในหน่วยความจำ MRAM และอุปกรณ์ต้านรังสีในยานอวกาศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/chinas-rare-earth-export-restrictions-threaten-global-chipmaking-supply-chains
    จีนเพิ่มข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายาก เช่น Scandium และ Dysprosium เพื่อควบคุมซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก ผลกระทบนี้ไม่เพียงเพิ่มความตึงเครียดระหว่างจีนและประเทศต่าง ๆ แต่ยังส่งผลต่อการผลิตชิป สมาร์ทโฟน และยานยนต์ไฟฟ้าในระดับโลก บริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องหาวิธีปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ == เหตุใดข้อจำกัดนี้ถึงมีผลกระทบรุนแรง? == ✅ Scandium - ใช้ในโมดูล RF เช่น 5G Smartphones และเทคโนโลยี Wi-Fi 6/7 ผ่านการประยุกต์ในวัสดุ Scandium Aluminum Nitride (ScAlN) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้าน สัญญาณและพลังงาน ✅ Dysprosium - เป็นหัวใจของ HDD Motors และระบบแม่เหล็กในยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อการทำงานที่เสถียรแม้ในอุณหภูมิสูง - ใช้ในหน่วยความจำ MRAM และอุปกรณ์ต้านรังสีในยานอวกาศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/chinas-rare-earth-export-restrictions-threaten-global-chipmaking-supply-chains
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China's rare earth export restrictions threaten global chipmaking supply chains
    Scandium and Dysprosium are just the latest materials added to the list.
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
More Results