• ทุ่นระเบิด PMN-2 อาวุธนอกกฎหมายของกัมพูชา ที่ลอบทำร้ายทหารไทย

    #TNN
    ทุ่นระเบิด PMN-2 อาวุธนอกกฎหมายของกัมพูชา ที่ลอบทำร้ายทหารไทย #TNN
    Angry
    1
    0 Comments 0 Shares 103 Views 0 0 Reviews
  • RS ผิดนัดจ่ายดอกเบี้ย 27.48 ลบ. วงเงินกู้เฉียด 3,000 ลบ. เร่งเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ ตลท.แขวน CB.บมจ.อาร์เอส [RS] แจ้งว่า บริษัทไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้ระหว่างบริษัทฯ และบริษัทย่อยกับสถาบันการเงิน โดยมียอดผิดนัดชำระดอกเบี้ย 27.48 ล้านบาท เป็นผลให้สถาบันการเงินมีสิทธิเรียกชำระคืนเงินกู้ยืม ดังนี้ กรณีบริษัทฯ เงินกู้ยืมระยะสั้นและระยะยาวจำนวน 940.20 ล้านบาท และ 831.32 ล้านบาท ตามลำดับ และกรณีบริษัทย่อยเงินกู้ยืมระยะสั้นและระยะยาวจำนวน 225.23 ล้านบาท และ 878.57 ล้านบาท ตามลำดับ โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ขึ้นเครื่องหมาย CB.ที่มา https://www.tnnthailand.com/wealth/investment/199400/
    RS ผิดนัดจ่ายดอกเบี้ย 27.48 ลบ. วงเงินกู้เฉียด 3,000 ลบ. เร่งเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ ตลท.แขวน CB.บมจ.อาร์เอส [RS] แจ้งว่า บริษัทไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้ระหว่างบริษัทฯ และบริษัทย่อยกับสถาบันการเงิน โดยมียอดผิดนัดชำระดอกเบี้ย 27.48 ล้านบาท เป็นผลให้สถาบันการเงินมีสิทธิเรียกชำระคืนเงินกู้ยืม ดังนี้ กรณีบริษัทฯ เงินกู้ยืมระยะสั้นและระยะยาวจำนวน 940.20 ล้านบาท และ 831.32 ล้านบาท ตามลำดับ และกรณีบริษัทย่อยเงินกู้ยืมระยะสั้นและระยะยาวจำนวน 225.23 ล้านบาท และ 878.57 ล้านบาท ตามลำดับ โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ขึ้นเครื่องหมาย CB.ที่มา https://www.tnnthailand.com/wealth/investment/199400/
    WWW.TNNTHAILAND.COM
    RS ผิดนัดจ่ายดอกเบี้ย 27.48 ลบ. วงเงินกู้เฉียด 3,000 ลบ. เร่งเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ ตลท.แขวน CB
    RS ผิดนัดจ่ายดอกเบี้ย 27.48 ลบ. วงเงินกู้เฉียด 3,000 ลบ. เร่งเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ ตลท.แขวน CB
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ และที่ปรึกษาศูนย์จีนศึกษา จุฬาฯ มองการประกาศขึ้นภาษีโต้กลับนานาประเทศ/ดินแดน ว่า นี่เป็นเกมการทูตอย่างหนึ่งที่เขาใช้คำว่า “การทูตต้นทุนต่ำ”

    “การใช้ภาษีขาเข้า เป็นเครื่องมือต้นทุนต่ำที่สุดของอเมริกา เป็น Low Cost Diplomacy ที่ใช้เพียงลมปาก วาทะ และการเซ็นลงนามคำสั่งพิเศษเพียงไม่กี่แผ่น” รศ.ดร.สมภพ กล่าว

    แต่มันก็มีพลานุภาพแรงสูง สะเทือนไปทั่วโลก เมื่อผู้ใช้คืออเมริกา เพราะทำให้ “ทั้งโลกต้องวิ่งไปหาสหรัฐฯ เพื่อดำเนินนโยบายต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับที่อเมริกาต้องการ” ไม่ว่าจะนโยบายเศรษฐกิจ การค้า การเงิน การเมืองความมั่นคง ภูมิรัฐศาสตร์ สังคม รวมถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน

    “มันเป็นต้นทุนต่ำสำหรับคนดำเนินนโยบาย แต่มันต้นทุนต่ำสำหรับสหรัฐอเมริกา และระดับโลกหรือเปล่า นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” รังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ตั้งข้อสังเกต เพราะต้นทุนที่สูงมันจะมาตกกับตัวสหรัฐฯ และชาวอเมริกันเอง

    อ่านบทวิเคราะห์ ทางนี้ https://www.tnnthailand.com/tnnexclusive/194852/
    รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ และที่ปรึกษาศูนย์จีนศึกษา จุฬาฯ มองการประกาศขึ้นภาษีโต้กลับนานาประเทศ/ดินแดน ว่า นี่เป็นเกมการทูตอย่างหนึ่งที่เขาใช้คำว่า “การทูตต้นทุนต่ำ” “การใช้ภาษีขาเข้า เป็นเครื่องมือต้นทุนต่ำที่สุดของอเมริกา เป็น Low Cost Diplomacy ที่ใช้เพียงลมปาก วาทะ และการเซ็นลงนามคำสั่งพิเศษเพียงไม่กี่แผ่น” รศ.ดร.สมภพ กล่าว แต่มันก็มีพลานุภาพแรงสูง สะเทือนไปทั่วโลก เมื่อผู้ใช้คืออเมริกา เพราะทำให้ “ทั้งโลกต้องวิ่งไปหาสหรัฐฯ เพื่อดำเนินนโยบายต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับที่อเมริกาต้องการ” ไม่ว่าจะนโยบายเศรษฐกิจ การค้า การเงิน การเมืองความมั่นคง ภูมิรัฐศาสตร์ สังคม รวมถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน “มันเป็นต้นทุนต่ำสำหรับคนดำเนินนโยบาย แต่มันต้นทุนต่ำสำหรับสหรัฐอเมริกา และระดับโลกหรือเปล่า นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” รังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ตั้งข้อสังเกต เพราะต้นทุนที่สูงมันจะมาตกกับตัวสหรัฐฯ และชาวอเมริกันเอง อ่านบทวิเคราะห์ ทางนี้ https://www.tnnthailand.com/tnnexclusive/194852/
    WWW.TNNTHAILAND.COM
    ทรัมป์ขึ้นภาษี ไทย-โลก เจาะลึกอาวุธต้นทุนต่ำของผู้นำสหรัฐฯ ที่ใช้เพียงคำพูด-ปากกา บีบโลกสยบยอม
    การขึ้นภาษีต่างตอบแทน ตอบโต้หลายสิบประเทศทั่วโลกรวมถึงไทยของโดนัลด์ ทรัมป์ คือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่ใช้ต้นทุนแสนต่ำ เพียงคำพูด วาทะ และปลายปากกาเซ็นเอกสารไม่กี่ฉบับ
    0 Comments 0 Shares 399 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/vwF52FKrf84?si=RgtnngjdH2wOXzX_
    https://youtu.be/vwF52FKrf84?si=RgtnngjdH2wOXzX_
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ คือ การเปลี่ยนแปลงการกระจายทางสถิติของรูปแบบสภาพอากาศเมื่อการเปลี่ยนแปลงนั้นกินเวลานาน การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเฉลี่ย หรือความแปรผันของเวลาของสภาพอากาศเกี่ยวกับภาวะเฉลี่ยที่กินเวลานาน ..
    คำอธิบาย
    หนาวสุดในรอบ 40 ปี เจาะลึกปี68 ไทยเสี่ยง
    ภัยพิบัติรุนแรง / TNN ข่าวเที่ยง / 12-1-68
    ไม่มี
    วิเคราะห์แนวโน้มสภาพอากาศของ
    ไทยในปี 2568 มีอะไรที่เราต้องเตรี
    ยมรับมือที่อาจเสี่ยงเผชิญกับภัย
    พิบัติรุนแรง รวมถึงผลกระทบจากสภาพอากาศทั่วโลกกับ รอง
    ศาสตราจารย์ ดร. เสรี ศุภราทิตย์ ผู้
    อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิ
    อากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัย
    รังสิต
    cr:TNN
    https://youtu.be/DNdGfCGqozk?si=ck_7SuxZe9Aebcsi
    การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ คือ การเปลี่ยนแปลงการกระจายทางสถิติของรูปแบบสภาพอากาศเมื่อการเปลี่ยนแปลงนั้นกินเวลานาน การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเฉลี่ย หรือความแปรผันของเวลาของสภาพอากาศเกี่ยวกับภาวะเฉลี่ยที่กินเวลานาน .. คำอธิบาย หนาวสุดในรอบ 40 ปี เจาะลึกปี68 ไทยเสี่ยง ภัยพิบัติรุนแรง / TNN ข่าวเที่ยง / 12-1-68 ไม่มี วิเคราะห์แนวโน้มสภาพอากาศของ ไทยในปี 2568 มีอะไรที่เราต้องเตรี ยมรับมือที่อาจเสี่ยงเผชิญกับภัย พิบัติรุนแรง รวมถึงผลกระทบจากสภาพอากาศทั่วโลกกับ รอง ศาสตราจารย์ ดร. เสรี ศุภราทิตย์ ผู้ อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิ อากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัย รังสิต cr:TNN https://youtu.be/DNdGfCGqozk?si=ck_7SuxZe9Aebcsi
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
  • infographic วิธีถอดถอนประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ที่มา: TNN World https://www.facebook.com/share/p/17otahwGqt/?mibextid=CTbP7E
    infographic วิธีถอดถอนประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ที่มา: TNN World https://www.facebook.com/share/p/17otahwGqt/?mibextid=CTbP7E
    0 Comments 0 Shares 162 Views 0 Reviews
  • บทความน่าสนใจของ TNN World คอลัมน์Editor’s Pick: ประวัติศาสตร์ “อภัยโทษ” ของประธานาธิบดีสหรัฐฯการอภัยโทษไม่ใช่เรื่องผิด เป็นอำนาจที่ประธานาธิบดีสามารถทำได้ ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ แต่นี่คือการอภัยโทษ “ลูกชาย” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติอเมริกา .. แล้วที่ผ่านมา ผู้นำคนก่อน ๆ ของสหรัฐฯ เคยใช้อำนาจในการอภัยโทษให้ใครแล้วบ้าง? และมีใครที่กลายเป็นประเด็นอื้อฉาวแบบนี้อีกหรือไม่? มาค่อย ๆ ย้อนกลับไปทีละคน ◾️◾️◾️โดนัลด์ ทรัมป์เริ่มตั้งแต่ โดนัลด์​ ทรัมป์​ ประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ​ ที่ออกมาวิจารณ์ประธานาธิบดีโจ ไบเดนอย่างหนัก ว่าการอภัยโทษให้ลูกชาย “ฮันเตอร์ ไบเดน”​ นั้น บิดเบือนความยุติธรรมแต่ทรัมป์ก็อภัยโทษให้ใครหลาย ๆ คนมาแล้ว ตั้งแต่อดีตผู้ช่วยส่วนตัว มาจนถึงล่าสุด ที่ประกาศอภัยโทษให้กับ “ชาลส์ คุชเนอร์” บิดาของจาเร็ด คุชเนอร์​ สามีของอิวางกา ทรัมป์ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ดองของเขานั่นเอง จากคดีทุจริต เลี่ยงภาษี 16 กระทง และอื่น ๆ อีก - อีกทั้งล่าสุด ยังแต่ตั้ง ชาลส์ คุชเนอร์คนนี้ เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ​ ประจำฝรั่งเศสอีกด้วยมีดองเป็นประธานาธิบดี..​ก็ดีเช่นนี้เอง◾️◾️◾️ บารัค โอบามาบารัค โอบามา ผู้นำผิวสีรายนี้ ไม่ได้มีการอภัยโทษที่อื้อฉาวมากนัก โดยหนึ่งในคนที่เป็นประเด็นที่สุด คือ “เชลซี แมนนิ่ง” อดีตทหารเมริกัน ที่แฉข้อมูลและเอกสารลับให้กับเว็ปไซต์จอมแฉ WikiLeaks ◾️◾️◾️ บิล คลินตันถัดมา บิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดี ผู้เป็นทั้งที่รัก และที่ชัง ของชาวอเมริกัน ที่ใช้อำนาจอภัยโทษให้กับสามีของเศรษฐีนีผู้บริจาครายใหญ่ให้กับพรรค อย่าง “มาร์ก ริช” นักการเงินดัง ที่ถูกตั้งข้อหาเลี่ยงภาษี - เรื่องนี้ถูกแฉ จากการที่สำนักสอบสวนกลาง หรือ FBI ตรวจค้นอีเมล์ของฮิลลารี คลินตัน สมัยที่เธอชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งเพียงแค่ไม่กี่วัน - จึงเป็นเรื่องอื้อฉาวว่า .. อภัยโทษให้มาร์ก ริช เพราะหวังเงินบริจาคนับล้านเข้าพรรคระหว่างหาเสียงหรือไม่?อีกทั้ง บิล คลินตัน ยังอภัยโทษให้กับพี่ชายร่วมสายเลือดอย่าง “โรเจอร์ คลินตัน จูเนียร์” จากความผิดฐานสมคมคิดจำหน่ายโคเคน ในวันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งในปี 2001 ด้วย ประโยชน์ แลกประโยชน์ ก็เช่นนี้เอง◾️◾️◾️ แอนดรูว์ จอห์นสันหรือหากย้อนกลับไปไกลหน่อย ในยุคสงครามกลางเมือง กรณีประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน ที่พยายามจะรวมประเทศหลังสงครามอันยาวนาน จึงออกคำสั่งนิรโทษกรรมครั้งใหญ่ ให้กับเจ้าหน้าที่ และทหารฝ่ายสมาพันธรัฐ ราว 12,600 นาย ที่กลายเป็นที่ถกเถียงอย่างหนัก ◾️◾️◾️ ริชาร์ด นิกสัน - เจอรัลด์ ฟอร์ดส่วนกรณีสุดอื้อฉาวทางการเมืองของสหรัฐฯ อย่างคดีวอเตอร์เกตส์ ที่เป็นการลักลอบโจรกรรมสำนักงานใหญ่ของพรรคเดโมแครต ที่อาคารวอเตอร์เกตคอมเพลกซ์ ในกรุงวอชิงตันดีซี .. และผลการตรวจสอบพบว่า “ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน” มีส่วนรับรู้เหตุการณ์ดังกล่าวด้วย นำมาสู่การยอมลาออกของเขาในที่สุด และเป็นการลาออกครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์สหรัฐฯก่อนที่ประธานาธิบดีคนต่อมา อย่าง “เจอรัลด์ ฟอร์ด” จะใช้อำนาจในการอภัยโทษให้กับ “ริชาร์ด นิกสัน” ทั้งหมด เมื่อปี 1974 - ซึ่งแม้ประชาชนจะกังวลต่อการอภัยโทษครั้งนี้ แต่ฟอร์ดยืนยันว่า นี่คือผลประโยชน์ที่ดีที่สุดแล้วสำหรับประเทศ - และคาดว่า ผลของการอภัยโทษครั้งนั้นเอง ที่ทำให้ฟอร์ดพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งให้กับ “จิมมี่ คาร์เตอร์” ในอีก 2 ปีถัดมา (1976)◾️◾️◾️ จิมมี่ คาร์เตอร์จิมมี่ คาร์เตอร์​ เองก็ถูกวิจารณ์อยู่ไม่น้อย จากการอภัยโทษให้กับผู้หลบหนีการเกณฑ์ทหารไปร่วมในสงครามเวียดนามหลายแสนคน ตั้งแต่วันที่ 2 ของการรับตำแหน่ง ซึ่งเป็นนโยบายที่เขาหาเสียงเอาไว้อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นอำนาจที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ​ แต่ก็มีกระแสเรียกร้องว่า ประธานาธิบดีไม่ควรจะมีอำนาจชนิดนี้ เพราะมันจะเป็นผลทางการเมือง มากกว่าที่จะเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม—————ภาพ: Reutersอ้างอิง: https://www.independent.co.uk/news/world/americas/us-politics/controversial-presidential-pardons-biden-trump-b2657552.htmlhttps://news.sky.com/story/what-is-the-us-presidential-pardon-and-when-has-it-been-used-13265442#TNNWorldNews #TNNOnline #ข่าวต่างประเทศ #ข่าว #ต่างประเทศ #นิรโทษกรรม #สหรัฐ #การเมือง #ประวัติศาสตร์ #ไบเดน————ติดตามคอนเทนต์ดี ๆ จาก TNNได้ที่ช่อง YouTube: TNN Originalsที่นี่เลยค่ะ >> https://bit.ly/TNNOriginals
    บทความน่าสนใจของ TNN World คอลัมน์Editor’s Pick: ประวัติศาสตร์ “อภัยโทษ” ของประธานาธิบดีสหรัฐฯการอภัยโทษไม่ใช่เรื่องผิด เป็นอำนาจที่ประธานาธิบดีสามารถทำได้ ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ แต่นี่คือการอภัยโทษ “ลูกชาย” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติอเมริกา .. แล้วที่ผ่านมา ผู้นำคนก่อน ๆ ของสหรัฐฯ เคยใช้อำนาจในการอภัยโทษให้ใครแล้วบ้าง? และมีใครที่กลายเป็นประเด็นอื้อฉาวแบบนี้อีกหรือไม่? มาค่อย ๆ ย้อนกลับไปทีละคน ◾️◾️◾️🔴โดนัลด์ ทรัมป์เริ่มตั้งแต่ โดนัลด์​ ทรัมป์​ ประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ​ ที่ออกมาวิจารณ์ประธานาธิบดีโจ ไบเดนอย่างหนัก ว่าการอภัยโทษให้ลูกชาย “ฮันเตอร์ ไบเดน”​ นั้น บิดเบือนความยุติธรรมแต่ทรัมป์ก็อภัยโทษให้ใครหลาย ๆ คนมาแล้ว ตั้งแต่อดีตผู้ช่วยส่วนตัว มาจนถึงล่าสุด ที่ประกาศอภัยโทษให้กับ “ชาลส์ คุชเนอร์” บิดาของจาเร็ด คุชเนอร์​ สามีของอิวางกา ทรัมป์ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ดองของเขานั่นเอง จากคดีทุจริต เลี่ยงภาษี 16 กระทง และอื่น ๆ อีก - อีกทั้งล่าสุด ยังแต่ตั้ง ชาลส์ คุชเนอร์คนนี้ เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ​ ประจำฝรั่งเศสอีกด้วยมีดองเป็นประธานาธิบดี..​ก็ดีเช่นนี้เอง◾️◾️◾️🔴 บารัค โอบามาบารัค โอบามา ผู้นำผิวสีรายนี้ ไม่ได้มีการอภัยโทษที่อื้อฉาวมากนัก โดยหนึ่งในคนที่เป็นประเด็นที่สุด คือ “เชลซี แมนนิ่ง” อดีตทหารเมริกัน ที่แฉข้อมูลและเอกสารลับให้กับเว็ปไซต์จอมแฉ WikiLeaks ◾️◾️◾️🔴 บิล คลินตันถัดมา บิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดี ผู้เป็นทั้งที่รัก และที่ชัง ของชาวอเมริกัน ที่ใช้อำนาจอภัยโทษให้กับสามีของเศรษฐีนีผู้บริจาครายใหญ่ให้กับพรรค อย่าง “มาร์ก ริช” นักการเงินดัง ที่ถูกตั้งข้อหาเลี่ยงภาษี - เรื่องนี้ถูกแฉ จากการที่สำนักสอบสวนกลาง หรือ FBI ตรวจค้นอีเมล์ของฮิลลารี คลินตัน สมัยที่เธอชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งเพียงแค่ไม่กี่วัน - จึงเป็นเรื่องอื้อฉาวว่า .. อภัยโทษให้มาร์ก ริช เพราะหวังเงินบริจาคนับล้านเข้าพรรคระหว่างหาเสียงหรือไม่?อีกทั้ง บิล คลินตัน ยังอภัยโทษให้กับพี่ชายร่วมสายเลือดอย่าง “โรเจอร์ คลินตัน จูเนียร์” จากความผิดฐานสมคมคิดจำหน่ายโคเคน ในวันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งในปี 2001 ด้วย ประโยชน์ แลกประโยชน์ ก็เช่นนี้เอง◾️◾️◾️🔴 แอนดรูว์ จอห์นสันหรือหากย้อนกลับไปไกลหน่อย ในยุคสงครามกลางเมือง กรณีประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน ที่พยายามจะรวมประเทศหลังสงครามอันยาวนาน จึงออกคำสั่งนิรโทษกรรมครั้งใหญ่ ให้กับเจ้าหน้าที่ และทหารฝ่ายสมาพันธรัฐ ราว 12,600 นาย ที่กลายเป็นที่ถกเถียงอย่างหนัก ◾️◾️◾️🔴 ริชาร์ด นิกสัน - เจอรัลด์ ฟอร์ดส่วนกรณีสุดอื้อฉาวทางการเมืองของสหรัฐฯ อย่างคดีวอเตอร์เกตส์ ที่เป็นการลักลอบโจรกรรมสำนักงานใหญ่ของพรรคเดโมแครต ที่อาคารวอเตอร์เกตคอมเพลกซ์ ในกรุงวอชิงตันดีซี .. และผลการตรวจสอบพบว่า “ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน” มีส่วนรับรู้เหตุการณ์ดังกล่าวด้วย นำมาสู่การยอมลาออกของเขาในที่สุด และเป็นการลาออกครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์สหรัฐฯก่อนที่ประธานาธิบดีคนต่อมา อย่าง “เจอรัลด์ ฟอร์ด” จะใช้อำนาจในการอภัยโทษให้กับ “ริชาร์ด นิกสัน” ทั้งหมด เมื่อปี 1974 - ซึ่งแม้ประชาชนจะกังวลต่อการอภัยโทษครั้งนี้ แต่ฟอร์ดยืนยันว่า นี่คือผลประโยชน์ที่ดีที่สุดแล้วสำหรับประเทศ - และคาดว่า ผลของการอภัยโทษครั้งนั้นเอง ที่ทำให้ฟอร์ดพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งให้กับ “จิมมี่ คาร์เตอร์” ในอีก 2 ปีถัดมา (1976)◾️◾️◾️🔴 จิมมี่ คาร์เตอร์จิมมี่ คาร์เตอร์​ เองก็ถูกวิจารณ์อยู่ไม่น้อย จากการอภัยโทษให้กับผู้หลบหนีการเกณฑ์ทหารไปร่วมในสงครามเวียดนามหลายแสนคน ตั้งแต่วันที่ 2 ของการรับตำแหน่ง ซึ่งเป็นนโยบายที่เขาหาเสียงเอาไว้อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นอำนาจที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ​ แต่ก็มีกระแสเรียกร้องว่า ประธานาธิบดีไม่ควรจะมีอำนาจชนิดนี้ เพราะมันจะเป็นผลทางการเมือง มากกว่าที่จะเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม—————ภาพ: Reutersอ้างอิง: https://www.independent.co.uk/news/world/americas/us-politics/controversial-presidential-pardons-biden-trump-b2657552.htmlhttps://news.sky.com/story/what-is-the-us-presidential-pardon-and-when-has-it-been-used-13265442#TNNWorldNews #TNNOnline #ข่าวต่างประเทศ #ข่าว #ต่างประเทศ #นิรโทษกรรม #สหรัฐ #การเมือง #ประวัติศาสตร์ #ไบเดน————📲ติดตามคอนเทนต์ดี ๆ จาก TNNได้ที่ช่อง YouTube: TNN Originalsที่นี่เลยค่ะ >> https://bit.ly/TNNOriginals
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 1206 Views 0 Reviews
  • 28 พฤศจิกายน 2567- TNNWorldNews รายงานข่าว ดรามาการเมืองฟิลิปปินส์กำลังร้อนแรงอย่างหนัก เมื่อประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีไม่ลงรอยกัน จนถึงขั้น “ขู่สังหาร” Summary - รองประธานาธิบดีซาร่า ดูแตร์เต ลูกสาวอดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ที่จับมือประธานาธิบดีเฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์​ ชนะการเลือกตั้งได้อย่างถล่มทลายเมื่อปี 2565- แต่ความสัมพันธ์ 2 ตระกูลเริ่มร้าวฉาน เพราะดูแตร์เตหนุนจีน - ส่วนมาร์กอส จูเนียร์​หนุนสหรัฐฯ อย่างเปิดเผย นำมาสู่การเผชิญหน้ากับจีนในทะเลจีนใต้บ่อยครั้ง- รองปธน.ซาร่า ดูแตร์เต เคยประกาศว่าได้สั่งคนไปเก็บปธน.มาร์กอส จูเนียร์​ หากเธอถูกลอบสังหาร แรกเริ่มความสัมพันธ์ย้อนความกลับไปเมื่อปี 2565 ซาร่า ดูแตร์เต ลูกสาวคนโตของอดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ผู้นำผู้ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความดุเด็ดเผ็ดมันในทุกเรื่อง ได้ผันตัวจากนักกฎหมายเข้าสู่สนามการเมือง  และควงแขนประธานาธิบดีเฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ คว้าใจประชาชน เอาชนะมาได้อย่างถล่มทลาย ด้วยนโยบายหาเสียง “เน้นความสามัคคีในชาติ”​เธอมีอารมณ์ร้อน และวาทุดุเดือดไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ และมักจะมีการปะทะคารมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่บ่อยครั้ง แต่ความที่มีนามสกุล “ดูแตร์เต”​ ซึ่งยังมีคนนิยมชมชอบในความแข็งกร้าวอยู่ ก็ทำให้เธอยังคงได้ฐานเสียงสำคัญ และเป็นที่รักของประชาชน (กลุ่มหนึ่ง) อยู่ ความสัมพันธ์ส่อร้าวแม้จับจับมือกันหวานชื่นเมื่อสมัยเลือกตั้ง แต่หลังจากที่ปธน.มาร์กอส จูเนียร์​ นั่งเก้าอี้ผู้นำได้เพียง 2 ปี ก็ได้เปิดฉากการตรวจสอบเรื่อง “สงครามปราบปรามยาเสพติด” ขนานใหญ่ของอดีตปธน.ดูแตร์เต ด้วยการใช้กลไลสภาในการตรวจสอบการเสียชีวิตของผู้คนนับพัน จึงกลายเป็นชนวนเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ ของผู้นำและรองผู้นำแห่งฟิลิปปินส์​ เริ่มเกิดรอยร้าวขึ้นมาร์กอส จูเนียร์ ยังกล่าวหาว่ารองปธน.ใช้งบประมาณโดยมิชอบ ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีศึกษาธิการอีกด้วยเมื่อความหอมหวาน กลายเป็นความขมขื่น ซาร่า ดูแตร์เต จึงได้ให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ว่า เธออยากจะบั่นศีรษะประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์​ และอยากแม้กระทั่งไปขุดเอาซากกระดูกของ “เฟอร์ดินาน มาร์กอส” อดีตผู้นำเผด็จการ ขึ้นมาและเอาไปโปรยในทะเลฟิลิปปินส์ตะวันตกอีกด้วย คิดบัญชีกันและกันและจนกระทั่งล่าสุด เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (24 พฤศจิกายน)​ ซาร่า ดูแตร์เต ก็ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า เธอได้สั่งให้คนไปลอบสังหารมาร์กอส จูเนียร์​ - ภริยา และประธานสภาผู้แทนราษฎร “หากว่าตัวเธอถูกลอบสังหารไปก่อน” เรื่องนี้ก็ร้อนถึงประธานาธิบดีที่ต้องตอบโต้ทันที ว่าพร้อมที่จะสู้กลับ และ “หากการลอบสังหารประธานาธิบดีมันง่ายขนาดนั้น..​แล้วประชาชนคนธรรมดาจะเป็นอย่างไร ดังนั้น อย่าได้มองข้ามการวางแผนก่ออาชญากรรมเช่นนี้”และล่าสุดวันพุธ (27 พฤศจิกายน)​ ตำรวจฟิลิปปินส์ได้ยื่นฟ้องอาญาต่อ “ซาร่า ดูแตร์เต” รองประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยของเธอ ฐานทำร้ายร่างกาย และละเมิดคำสั่งของทางการจากเหตุทะเลาะวิวาทในรัฐสภาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ขณะที่ก่อนหน้านี้ อดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ก็เคยกล่าวในเชิงข่มขู่ว่าจะเกิดรัฐประหารด้วยว่า “ธรรมมาภิบาลที่แตกร้าว มีเพียง ‘ทหาร’ ที่จะสามารถเยียวยาได้” และทำให้กระทรวงยุติธรรมกำลังตรวจสอบว่าเป็นความพยายามก่อรัฐประหารของอดีตผู้นำผู้ทรงอิทธิพลหรือไม่?นับเป็นการดำเนินการทางกฎหมายของรัฐบาล “มาร์กอส จูเนียร์” ต่อ “ดูแตร์เต” ที่กลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่สำคัญของ 2 ตระกูลดังทางการเมืองที่ทรงอำนาจที่สุดในฟิลิปปินส์ในเวลานี้ ภาพ: Reutersที่มา TNNWorldNews 
    28 พฤศจิกายน 2567- TNNWorldNews รายงานข่าว ดรามาการเมืองฟิลิปปินส์กำลังร้อนแรงอย่างหนัก เมื่อประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีไม่ลงรอยกัน จนถึงขั้น “ขู่สังหาร” Summary - รองประธานาธิบดีซาร่า ดูแตร์เต ลูกสาวอดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ที่จับมือประธานาธิบดีเฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์​ ชนะการเลือกตั้งได้อย่างถล่มทลายเมื่อปี 2565- แต่ความสัมพันธ์ 2 ตระกูลเริ่มร้าวฉาน เพราะดูแตร์เตหนุนจีน - ส่วนมาร์กอส จูเนียร์​หนุนสหรัฐฯ อย่างเปิดเผย นำมาสู่การเผชิญหน้ากับจีนในทะเลจีนใต้บ่อยครั้ง- รองปธน.ซาร่า ดูแตร์เต เคยประกาศว่าได้สั่งคนไปเก็บปธน.มาร์กอส จูเนียร์​ หากเธอถูกลอบสังหาร🔴 แรกเริ่มความสัมพันธ์ย้อนความกลับไปเมื่อปี 2565 ซาร่า ดูแตร์เต ลูกสาวคนโตของอดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ผู้นำผู้ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความดุเด็ดเผ็ดมันในทุกเรื่อง ได้ผันตัวจากนักกฎหมายเข้าสู่สนามการเมือง  และควงแขนประธานาธิบดีเฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ คว้าใจประชาชน เอาชนะมาได้อย่างถล่มทลาย ด้วยนโยบายหาเสียง “เน้นความสามัคคีในชาติ”​เธอมีอารมณ์ร้อน และวาทุดุเดือดไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ และมักจะมีการปะทะคารมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่บ่อยครั้ง แต่ความที่มีนามสกุล “ดูแตร์เต”​ ซึ่งยังมีคนนิยมชมชอบในความแข็งกร้าวอยู่ ก็ทำให้เธอยังคงได้ฐานเสียงสำคัญ และเป็นที่รักของประชาชน (กลุ่มหนึ่ง) อยู่🔴 ความสัมพันธ์ส่อร้าวแม้จับจับมือกันหวานชื่นเมื่อสมัยเลือกตั้ง แต่หลังจากที่ปธน.มาร์กอส จูเนียร์​ นั่งเก้าอี้ผู้นำได้เพียง 2 ปี ก็ได้เปิดฉากการตรวจสอบเรื่อง “สงครามปราบปรามยาเสพติด” ขนานใหญ่ของอดีตปธน.ดูแตร์เต ด้วยการใช้กลไลสภาในการตรวจสอบการเสียชีวิตของผู้คนนับพัน จึงกลายเป็นชนวนเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ ของผู้นำและรองผู้นำแห่งฟิลิปปินส์​ เริ่มเกิดรอยร้าวขึ้นมาร์กอส จูเนียร์ ยังกล่าวหาว่ารองปธน.ใช้งบประมาณโดยมิชอบ ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีศึกษาธิการอีกด้วยเมื่อความหอมหวาน กลายเป็นความขมขื่น ซาร่า ดูแตร์เต จึงได้ให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ว่า เธออยากจะบั่นศีรษะประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์​ และอยากแม้กระทั่งไปขุดเอาซากกระดูกของ “เฟอร์ดินาน มาร์กอส” อดีตผู้นำเผด็จการ ขึ้นมาและเอาไปโปรยในทะเลฟิลิปปินส์ตะวันตกอีกด้วย🔴 คิดบัญชีกันและกันและจนกระทั่งล่าสุด เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (24 พฤศจิกายน)​ ซาร่า ดูแตร์เต ก็ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า เธอได้สั่งให้คนไปลอบสังหารมาร์กอส จูเนียร์​ - ภริยา และประธานสภาผู้แทนราษฎร “หากว่าตัวเธอถูกลอบสังหารไปก่อน” เรื่องนี้ก็ร้อนถึงประธานาธิบดีที่ต้องตอบโต้ทันที ว่าพร้อมที่จะสู้กลับ และ “หากการลอบสังหารประธานาธิบดีมันง่ายขนาดนั้น..​แล้วประชาชนคนธรรมดาจะเป็นอย่างไร ดังนั้น อย่าได้มองข้ามการวางแผนก่ออาชญากรรมเช่นนี้”และล่าสุดวันพุธ (27 พฤศจิกายน)​ ตำรวจฟิลิปปินส์ได้ยื่นฟ้องอาญาต่อ “ซาร่า ดูแตร์เต” รองประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยของเธอ ฐานทำร้ายร่างกาย และละเมิดคำสั่งของทางการจากเหตุทะเลาะวิวาทในรัฐสภาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ขณะที่ก่อนหน้านี้ อดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ก็เคยกล่าวในเชิงข่มขู่ว่าจะเกิดรัฐประหารด้วยว่า “ธรรมมาภิบาลที่แตกร้าว มีเพียง ‘ทหาร’ ที่จะสามารถเยียวยาได้” และทำให้กระทรวงยุติธรรมกำลังตรวจสอบว่าเป็นความพยายามก่อรัฐประหารของอดีตผู้นำผู้ทรงอิทธิพลหรือไม่?นับเป็นการดำเนินการทางกฎหมายของรัฐบาล “มาร์กอส จูเนียร์” ต่อ “ดูแตร์เต” ที่กลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่สำคัญของ 2 ตระกูลดังทางการเมืองที่ทรงอำนาจที่สุดในฟิลิปปินส์ในเวลานี้ ภาพ: Reutersที่มา TNNWorldNews 
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 676 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/xzXDs2tdDoY?si=-4tNNjhoA2qvvH2P
    https://youtu.be/xzXDs2tdDoY?si=-4tNNjhoA2qvvH2P
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • รัสเซียสั่งปรับกูเกิล 2 หมื่นล้านล้านล้านล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่า GDP ของทั้งโลก ข้อหาแบนช่องรัสเซียใน Youtube

    31 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวTNN Thailand ระบุว่า สำนักข่าวตะวันตกหลายสำนักข่าว เช่น อินดีเพนเดนต์ (Independent) ของอังกฤษรายงานว่า รัฐบาลรัสเซียสั่งปรับอัลฟาเบต (Alphabet) บริษัทแม่ของกูเกิล (Google) และยูทูบ (Youtube) ในข้อหาแบนช่องยูทูบที่เป็นช่องทางของสื่อรัสเซียและสื่อทางการของรัสเซียหลายช่อง จำนวนกว่า 2 หมื่น-ล้าน-ล้าน-ล้าน-ล้าน-ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ($20,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000)

    รัสเซียปรับ Google มากกว่า GDP ทั้งโลกรวมกัน

    ขณะที่รายงานจาก TASS สำนักข่าวทางการรัฐบาลของรัสเซีย ระบุว่า ค่าปรับดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่บริษัทได้ทำการลบช่องสื่อของรัสเซียบน Youtube หลายช่อง ซึ่งเดอะ มอสโคว์ ไทม์ส (The Moscow Times) สื่ออิสระที่รายงานข่าวรัสเซียซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ในกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ รายงานจำนวนช่องที่ลบไปนั้นรวมทั้งหมด 17 ช่อง

    ซึ่งค่าปรับดังกล่าวมากกว่ามูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของทั้งโลก (Global GDP) ซึ่งมีมูลค่า 105.44 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามข้อมูลจากเวิลด์แบงก์ (World Bank) และมากกว่ามูลค่าตลาดของบริษัทที่ประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมากกว่ารายได้ของบริษัทในไตรมาสล่าสุดที่ 80,540 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามการรายงานของยูโรนิวส์ (Euronews)

    ต้นตอรัสเซียปรับ Google

    ค่าปรับดังกล่าวเป็นคดีสืบเนื่องจากการฟ้องร้องโดยทนายความ อิวาน โมโรซอฟ (Ivan Morozov) ในปี 2020 จากการที่ยูทูบสั่งปิดช่องโดยที่ทางทนายเชื่อว่าไม่เป็นธรรม โดยอิวานได้ฟ้องร้องต่อศาลในรัสเซียตามมาตรา 13.41 (Art. 13.41) ของกฎหมายความรับผิดของฝ่ายปกครองของรัสเซีย ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาสั่งปรับ แต่ไม่มีการจ่ายค่าปรับนับตั้งแต่นั้น ทำให้ค่าปรับมีการทวีคูณต่อเนื่องจนเป็นยอดในปัจจุบัน

    ทั้งนี้ ตามการรายงานของ TASS ระบุว่า ถ้าบริษัทอัลฟาเบตไม่จ่ายค่าปรับจำนวนดังกล่าวภายใน 9 เดือน ตามกฎหมายรัสเซียค่าปรับจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในทุก ๆ วันและไม่มีเพดานค่าปรับสูงสุดแต่อย่างใด รวมถึงบริการต่าง ๆ ของบริษัทจะไม่สามารถทำการตลาดในรัสเซียได้เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่นต่อไป

    ที่มาข้อมูล Independent, Euronews, TASS, The Moscow Times, World Bank

    #Thaitimes
    รัสเซียสั่งปรับกูเกิล 2 หมื่นล้านล้านล้านล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่า GDP ของทั้งโลก ข้อหาแบนช่องรัสเซียใน Youtube 31 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวTNN Thailand ระบุว่า สำนักข่าวตะวันตกหลายสำนักข่าว เช่น อินดีเพนเดนต์ (Independent) ของอังกฤษรายงานว่า รัฐบาลรัสเซียสั่งปรับอัลฟาเบต (Alphabet) บริษัทแม่ของกูเกิล (Google) และยูทูบ (Youtube) ในข้อหาแบนช่องยูทูบที่เป็นช่องทางของสื่อรัสเซียและสื่อทางการของรัสเซียหลายช่อง จำนวนกว่า 2 หมื่น-ล้าน-ล้าน-ล้าน-ล้าน-ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ($20,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000) รัสเซียปรับ Google มากกว่า GDP ทั้งโลกรวมกัน ขณะที่รายงานจาก TASS สำนักข่าวทางการรัฐบาลของรัสเซีย ระบุว่า ค่าปรับดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่บริษัทได้ทำการลบช่องสื่อของรัสเซียบน Youtube หลายช่อง ซึ่งเดอะ มอสโคว์ ไทม์ส (The Moscow Times) สื่ออิสระที่รายงานข่าวรัสเซียซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ในกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ รายงานจำนวนช่องที่ลบไปนั้นรวมทั้งหมด 17 ช่อง ซึ่งค่าปรับดังกล่าวมากกว่ามูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของทั้งโลก (Global GDP) ซึ่งมีมูลค่า 105.44 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามข้อมูลจากเวิลด์แบงก์ (World Bank) และมากกว่ามูลค่าตลาดของบริษัทที่ประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมากกว่ารายได้ของบริษัทในไตรมาสล่าสุดที่ 80,540 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามการรายงานของยูโรนิวส์ (Euronews) ต้นตอรัสเซียปรับ Google ค่าปรับดังกล่าวเป็นคดีสืบเนื่องจากการฟ้องร้องโดยทนายความ อิวาน โมโรซอฟ (Ivan Morozov) ในปี 2020 จากการที่ยูทูบสั่งปิดช่องโดยที่ทางทนายเชื่อว่าไม่เป็นธรรม โดยอิวานได้ฟ้องร้องต่อศาลในรัสเซียตามมาตรา 13.41 (Art. 13.41) ของกฎหมายความรับผิดของฝ่ายปกครองของรัสเซีย ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาสั่งปรับ แต่ไม่มีการจ่ายค่าปรับนับตั้งแต่นั้น ทำให้ค่าปรับมีการทวีคูณต่อเนื่องจนเป็นยอดในปัจจุบัน ทั้งนี้ ตามการรายงานของ TASS ระบุว่า ถ้าบริษัทอัลฟาเบตไม่จ่ายค่าปรับจำนวนดังกล่าวภายใน 9 เดือน ตามกฎหมายรัสเซียค่าปรับจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในทุก ๆ วันและไม่มีเพดานค่าปรับสูงสุดแต่อย่างใด รวมถึงบริการต่าง ๆ ของบริษัทจะไม่สามารถทำการตลาดในรัสเซียได้เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่นต่อไป ที่มาข้อมูล Independent, Euronews, TASS, The Moscow Times, World Bank #Thaitimes
    Like
    3
    1 Comments 0 Shares 781 Views 0 Reviews
  • TikTok@tnntechreports #tnntech #หุ่นยนต์ #จีน #ไทย #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    TikTok@tnntechreports #tnntech #หุ่นยนต์ #จีน #ไทย #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 542 Views 93 0 Reviews
  • TikTok@tnntechreports #tnntech #จีน #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    TikTok@tnntechreports #tnntech #จีน #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 162 Views 63 0 Reviews
  • TikTok@tnntechreports #tnn_Tech #china #หุ่นยนต์ #จีน #Thaitimes #ว่างว่างก็แวะมา
    TikTok@tnntechreports #tnn_Tech #china #หุ่นยนต์ #จีน #Thaitimes #ว่างว่างก็แวะมา
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 320 Views 121 0 Reviews
  • Infographic จาก TNNOnline
    คนไทยโดนหลอก (ออนไลน์) ง่ายอันดับ 4 ของโลก
    สถิติล่าสุดชี้ให้เห็นว่าในปี 2566 มีคนไทยกว่า 36 ล้านคนตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ รวมมูลค่าความเสียหายทั้งหมด 49,845 ล้านบาท

    นอกจากนี้ ประเทศไทยยังถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีผู้เสียหายจากการหลอกลวงทางออนไลน์มากเป็นอันดับ 4 ของโลกอีกด้วย

    ที่น่าสนใจคือ กลุ่ม Gen Y ถูกระบุว่าเป็นกลุ่มที่มีจำนวนผู้เสียหายและมูลค่าความเสียหายมากที่สุด ซึ่งอาจขัดกับความเชื่อทั่วไปที่มองว่าคนรุ่นใหม่จะรู้เท่าทันเทคโนโลยีมากกว่า แต่ในความเป็นจริง กลุ่มนี้อาจมีความเสี่ยงสูงเนื่องจากมีกำลังซื้อ ใช้งานออนไลน์บ่อย และอาจมีความมั่นใจมากเกินไปจนประมาท

    นอกจากนี้ ยังพบว่ากลุ่ม Gen Z แม้จะมีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันความเสี่ยงออนไลน์มากกว่ากลุ่มอื่น แต่กลับมีอัตราการตกเป็นเหยื่อสูง สะท้อนให้เห็นว่าความรู้เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการป้องกันการถูกหลอกลวง

    https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02bJAAbxF6TrmZGzMVn2Qppbp2MdiDD8KdrtvUuraTUeP5xE4yrhLSTrMDKjPVNrxwl&id=100064473528540

    #Thaitimes
    Infographic จาก TNNOnline คนไทยโดนหลอก (ออนไลน์) ง่ายอันดับ 4 ของโลก สถิติล่าสุดชี้ให้เห็นว่าในปี 2566 มีคนไทยกว่า 36 ล้านคนตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ รวมมูลค่าความเสียหายทั้งหมด 49,845 ล้านบาท นอกจากนี้ ประเทศไทยยังถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีผู้เสียหายจากการหลอกลวงทางออนไลน์มากเป็นอันดับ 4 ของโลกอีกด้วย ที่น่าสนใจคือ กลุ่ม Gen Y ถูกระบุว่าเป็นกลุ่มที่มีจำนวนผู้เสียหายและมูลค่าความเสียหายมากที่สุด ซึ่งอาจขัดกับความเชื่อทั่วไปที่มองว่าคนรุ่นใหม่จะรู้เท่าทันเทคโนโลยีมากกว่า แต่ในความเป็นจริง กลุ่มนี้อาจมีความเสี่ยงสูงเนื่องจากมีกำลังซื้อ ใช้งานออนไลน์บ่อย และอาจมีความมั่นใจมากเกินไปจนประมาท นอกจากนี้ ยังพบว่ากลุ่ม Gen Z แม้จะมีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันความเสี่ยงออนไลน์มากกว่ากลุ่มอื่น แต่กลับมีอัตราการตกเป็นเหยื่อสูง สะท้อนให้เห็นว่าความรู้เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการป้องกันการถูกหลอกลวง https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02bJAAbxF6TrmZGzMVn2Qppbp2MdiDD8KdrtvUuraTUeP5xE4yrhLSTrMDKjPVNrxwl&id=100064473528540 #Thaitimes
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 504 Views 0 Reviews
  • ผลสำรวจในหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าคนจ้างงานส่วนใหญ่ ไม่อยากรับคนวัย Gen Z เข้าทำงาน หรือหากรับเข้าทำงานแล้วก็ถูกไล่ออกหลังจากทำงานได้แค่ไม่กี่เดือน โดยให้เหตุผลว่า Gen Z ทำงานไม่เป็น ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ตั้งใจทำงาน คิดอะไรเองไม่เป็น มีปัญหาด้านการสื่อสาร และไร้มารยาทในที่ทำงาน

    บริษัทในสหรัฐฯ 1 ใน 7 เปิดเผยว่าอาจจะต้องหยุดรับนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานตั้งแต่ปีหน้า ขณะที่บางบริษัทบอกว่านักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานควรเข้าคอร์สอบรมเรื่องมารยาทในออฟฟิศและการพูดคุยกับผู้อื่นก่อนที่จะเริ่มงาน

    New York Post ลงบทความเรื่อง Gen Z can’t cope with life or hold down a job ซึ่งแปลว่า Gen Z รับมือกับชีวิตหรือทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ เผยสาเหตุหลักที่ทำให้ คน Gen Z ทั่วโลกกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะสภาพสังคมและการเลี้ยงดูที่แตกต่างจากคนยุคก่อน เราจะเห็นว่าพ่อแม่ยุคใหม่เลี้ยงดูลูกแบบประคบประหงม ไม่เคยสอนลูกให้รู้จักความลำบาก หรือความรับผิดชอบใดๆ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เด็กไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับความผิดหวัง เราจะเห็นว่าการแข่งขันกีฬา หรือการแข่งขันดนตรีสำหรับเด็กๆ สมัยนี้ จะต้องมีรางวัลให้เด็กทุกคนที่เข้าร่วม เพื่อไม่ให้เด็กที่แพ้การแข่งขันต้องเสียใจ แต่การทำแบบนี้ ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้เรื่องแพ้ชนะ และไม่เคยเรียนรู้เรื่องความผิดหวัง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง ที่ซึ่งบางครั้งเราก็เป็นผู้ชนะ บางครั้งเราก็เป็นผู้แพ้ เด็กทุกคนควรจะเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ชนะที่ดีและเป็นผู้แพ้ที่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก หากไม่เคยเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน พอโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจอกับความผิดหวัง ก็จะรับมือทางอารมณ์ไม่ทัน

    การที่ Gen Z เติบโตมากับโลกดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ที่ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นผ่านหน้าจอด้วยการส่งข้อความตลอดเวลา ทำให้คนรุ่นนี้ไม่มีทักษะการพูดคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้า หลายคนไม่กล้าหรืออึดอัดที่จะต้องพูดคุยกับคนอื่น เลือกคำพูดไม่ถูก จับใจความไม่ได้ ใช้คำพูดห้วนๆ สีหน้านิ่งเฉย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทในการพูดคุยกับผู้อื่น เรื่องนี้ทำให่คน Gen Z จำนวนมาก มีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นในที่ทำงาน

    ตอกย้ำด้วยค่านิยมของ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความสบายใจของตัวเองเป็นอันดับแรก ถ้าหากพวกเขาเจอกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ พวกเขาก็จะไม่ทนทำงานต่อ หรือหากเจอกับคำพูดที่ฟังแล้วไม่สบายใจเพียงนิดเดียว ก็จะปิดหูไม่ทนฟังอีกต่อไป ตรงนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเอง และทำให้คน Gen Z ทำงานที่ไหนก็ไม่ได้

    ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เพราะคน Gen Z เป็นคนอุปนิสัยแบบนี้โดยสายเลือด แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมให้เด็กรุ่นใหม่ได้เจอกับโลกของการทำงาน ไม่เคยสอนให้เด็กรู้จักเรื่องความผิดหวัง ความรับผิดชอบ และความไม่แน่นอนของชีวิต ในบางครั้งเราต้องย้ำเตือนให้เด็กรุ่นใหม่เรียนรู้คุณค่าของความพยายาม การทำงานหนัก และชีวิตนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและความผิดหวังที่ทุกคนต้องฟันฝ่าเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่เราตั้งเอาไว้
    —————
    TNNWorldNews
    ผลสำรวจในหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าคนจ้างงานส่วนใหญ่ ไม่อยากรับคนวัย Gen Z เข้าทำงาน หรือหากรับเข้าทำงานแล้วก็ถูกไล่ออกหลังจากทำงานได้แค่ไม่กี่เดือน โดยให้เหตุผลว่า Gen Z ทำงานไม่เป็น ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ตั้งใจทำงาน คิดอะไรเองไม่เป็น มีปัญหาด้านการสื่อสาร และไร้มารยาทในที่ทำงาน บริษัทในสหรัฐฯ 1 ใน 7 เปิดเผยว่าอาจจะต้องหยุดรับนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานตั้งแต่ปีหน้า ขณะที่บางบริษัทบอกว่านักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานควรเข้าคอร์สอบรมเรื่องมารยาทในออฟฟิศและการพูดคุยกับผู้อื่นก่อนที่จะเริ่มงาน New York Post ลงบทความเรื่อง Gen Z can’t cope with life or hold down a job ซึ่งแปลว่า Gen Z รับมือกับชีวิตหรือทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ เผยสาเหตุหลักที่ทำให้ คน Gen Z ทั่วโลกกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะสภาพสังคมและการเลี้ยงดูที่แตกต่างจากคนยุคก่อน เราจะเห็นว่าพ่อแม่ยุคใหม่เลี้ยงดูลูกแบบประคบประหงม ไม่เคยสอนลูกให้รู้จักความลำบาก หรือความรับผิดชอบใดๆ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เด็กไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับความผิดหวัง เราจะเห็นว่าการแข่งขันกีฬา หรือการแข่งขันดนตรีสำหรับเด็กๆ สมัยนี้ จะต้องมีรางวัลให้เด็กทุกคนที่เข้าร่วม เพื่อไม่ให้เด็กที่แพ้การแข่งขันต้องเสียใจ แต่การทำแบบนี้ ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้เรื่องแพ้ชนะ และไม่เคยเรียนรู้เรื่องความผิดหวัง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง ที่ซึ่งบางครั้งเราก็เป็นผู้ชนะ บางครั้งเราก็เป็นผู้แพ้ เด็กทุกคนควรจะเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ชนะที่ดีและเป็นผู้แพ้ที่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก หากไม่เคยเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน พอโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจอกับความผิดหวัง ก็จะรับมือทางอารมณ์ไม่ทัน การที่ Gen Z เติบโตมากับโลกดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ที่ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นผ่านหน้าจอด้วยการส่งข้อความตลอดเวลา ทำให้คนรุ่นนี้ไม่มีทักษะการพูดคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้า หลายคนไม่กล้าหรืออึดอัดที่จะต้องพูดคุยกับคนอื่น เลือกคำพูดไม่ถูก จับใจความไม่ได้ ใช้คำพูดห้วนๆ สีหน้านิ่งเฉย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทในการพูดคุยกับผู้อื่น เรื่องนี้ทำให่คน Gen Z จำนวนมาก มีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นในที่ทำงาน ตอกย้ำด้วยค่านิยมของ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความสบายใจของตัวเองเป็นอันดับแรก ถ้าหากพวกเขาเจอกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ พวกเขาก็จะไม่ทนทำงานต่อ หรือหากเจอกับคำพูดที่ฟังแล้วไม่สบายใจเพียงนิดเดียว ก็จะปิดหูไม่ทนฟังอีกต่อไป ตรงนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเอง และทำให้คน Gen Z ทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เพราะคน Gen Z เป็นคนอุปนิสัยแบบนี้โดยสายเลือด แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมให้เด็กรุ่นใหม่ได้เจอกับโลกของการทำงาน ไม่เคยสอนให้เด็กรู้จักเรื่องความผิดหวัง ความรับผิดชอบ และความไม่แน่นอนของชีวิต ในบางครั้งเราต้องย้ำเตือนให้เด็กรุ่นใหม่เรียนรู้คุณค่าของความพยายาม การทำงานหนัก และชีวิตนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและความผิดหวังที่ทุกคนต้องฟันฝ่าเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่เราตั้งเอาไว้ ————— TNNWorldNews
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 442 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/3fnfRd26NtQ?si=oXjfoi4TNnOQFKhA
    https://youtu.be/3fnfRd26NtQ?si=oXjfoi4TNnOQFKhA
    Love
    1
    0 Comments 1 Shares 100 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/Hjx9cEFtnno?si=71M4523EC5yaaUAL
    https://youtu.be/Hjx9cEFtnno?si=71M4523EC5yaaUAL
    0 Comments 0 Shares 57 Views 0 Reviews
  • 8 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวTNN World ระบุว่า แตกตื่นทั้งเครื่องบิน ! เมื่อจู่ ๆ สายการบิน “แควนตัส” เปิดภาพยนตร์เรต R ให้ผู้โดยสารดู

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวเมื่อ "จอภาพ" บนพนักพิงเบาะผู้โดยสารของสายการบินแควนตัสที่กำลังออกเดินทางจากนครซิดนีย์ของออสเตรเลีย มุ่งหน้าสนามบินฮาเนดะในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่นดันฉาย "ภาพยนต์เรต R" หรือ ภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาแนววาบหวิวสำหรับผู้ใหญ่ บนจอภาพ “ทุกจอ” และมีผู้โดยสารที่อยู่ในเหตุการณ์สามารถบันทึกช่วงเวลาโกลาหลนี้เอาไว้ได้

    ในเวลาต่อมาสายการบินแควนตัสออกแถลงการณ์ยืนยันว่าเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นจริง โดยอธิบายว่าปกติแล้วลูกเรือจะมีรายการภาพยนตร์บนเครื่องบินทั้งหมดและลูกเรือจะสามารถควบคุมได้ว่าจะให้ภาพยนตร์เรื่องไหนเล่นบนจอภาพกี่จอก็ได้ภาพตามคำเรียกร้องของผู้โดยสาร แต่ในเที่ยวบินนี้ดันเกิดความขัดข้องทางเทคนิคเกี่ยวกับระบบให้ความบันเทิงบนเครื่องบินจนเปิดเป็นภาพยนตร์เรต R และยังทำให้ลูกเรือไม่สามารถบังคับจอให้ปิดได้ จึงตัดสินใจเปลี่ยนเป็นภาพยนตร์สําหรับเด็กแทนตลอดระยะทางที่เหลือบนเครื่องบิน

    อย่างไรก็ตาม สายการบินระบุว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก แต่ได้ขอโทษผู้โดยสารทุกคนพร้อมน้อมรับคำวิพากษ์จารณ์ โดยสายการบินกำลังตรวจสอบว่าภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมเช่นนี้ถูกนำเข้าสู่ระบบความบันเทิงบนเครื่องบินได้อย่างไร

    แม้ว่าตามแถลงการณ์ของสายการบินจะไม่ได้ระบุว่าภาพยนตร์เจ้าปัญหาเรื่องนี้คือเรื่องอะไรแต่จากภาพที่มีผู้โดยสารแชร์ในอินเตอร์เน็ตจำนวนมากก็พบว่ามันคือภาพยนตร์เรื่อง “Daddio” ของปี 2023 นำแสดงโดย ดาโกตา จอห์นสัน และ ฌอน เพนน์ ที่นอกจากจะมีเนื้อหาเป็นภาพเปลือยแล้วในภาพยนตร์ยังมีฉากการส่งข้อความสนทนาเรื่องเพศที่รวมถึงไปถึงการส่งภาพเซ็กซี่ หวาบหวิวของตัวเองให้กับคนอื่นผ่านการพูดคุยกันบนโลกออนไลน์ หรือที่เรียกว่าฉาก “Sexting” ด้วย

    หนึ่งในผู้โดยสารบนเที่ยวบินนี้เล่าว่าภาพยนตร์เรต R ได้ฉายบนหน้าจอนานอยู่เกือบชั่วโมง จนกระทั่งมีการเปลี่ยนไปฉายภาพยนตร์ที่เป็นมิตรกับเด็ก ๆ แทน แต่ในช่วงเวลาเกือบชั่วโมงกับภาพยนตร์เรื่องนี้ พวกเขารู้สึกอึดอัดมากที่ต้องทนดูแต่ละฉากที่หวาบหวิวโดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเดินทางมาด้วย ในขณะที่ผู้โดยสารบางคนกล่าวว่าตลอดเกือบหนึ่งชั่วโมงบนหน้าจอของเธอมีแต่ภาพอวัยวะเพศชายกับหน้าอกของผู้หญิง

    ภาพ: Reuters
    https://www.facebook.com/share/p/SMAnhvdMBgvAyops/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    8 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวTNN World ระบุว่า แตกตื่นทั้งเครื่องบิน ! เมื่อจู่ ๆ สายการบิน “แควนตัส” เปิดภาพยนตร์เรต R ให้ผู้โดยสารดู เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวเมื่อ "จอภาพ" บนพนักพิงเบาะผู้โดยสารของสายการบินแควนตัสที่กำลังออกเดินทางจากนครซิดนีย์ของออสเตรเลีย มุ่งหน้าสนามบินฮาเนดะในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่นดันฉาย "ภาพยนต์เรต R" หรือ ภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาแนววาบหวิวสำหรับผู้ใหญ่ บนจอภาพ “ทุกจอ” และมีผู้โดยสารที่อยู่ในเหตุการณ์สามารถบันทึกช่วงเวลาโกลาหลนี้เอาไว้ได้ ในเวลาต่อมาสายการบินแควนตัสออกแถลงการณ์ยืนยันว่าเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นจริง โดยอธิบายว่าปกติแล้วลูกเรือจะมีรายการภาพยนตร์บนเครื่องบินทั้งหมดและลูกเรือจะสามารถควบคุมได้ว่าจะให้ภาพยนตร์เรื่องไหนเล่นบนจอภาพกี่จอก็ได้ภาพตามคำเรียกร้องของผู้โดยสาร แต่ในเที่ยวบินนี้ดันเกิดความขัดข้องทางเทคนิคเกี่ยวกับระบบให้ความบันเทิงบนเครื่องบินจนเปิดเป็นภาพยนตร์เรต R และยังทำให้ลูกเรือไม่สามารถบังคับจอให้ปิดได้ จึงตัดสินใจเปลี่ยนเป็นภาพยนตร์สําหรับเด็กแทนตลอดระยะทางที่เหลือบนเครื่องบิน อย่างไรก็ตาม สายการบินระบุว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก แต่ได้ขอโทษผู้โดยสารทุกคนพร้อมน้อมรับคำวิพากษ์จารณ์ โดยสายการบินกำลังตรวจสอบว่าภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมเช่นนี้ถูกนำเข้าสู่ระบบความบันเทิงบนเครื่องบินได้อย่างไร แม้ว่าตามแถลงการณ์ของสายการบินจะไม่ได้ระบุว่าภาพยนตร์เจ้าปัญหาเรื่องนี้คือเรื่องอะไรแต่จากภาพที่มีผู้โดยสารแชร์ในอินเตอร์เน็ตจำนวนมากก็พบว่ามันคือภาพยนตร์เรื่อง “Daddio” ของปี 2023 นำแสดงโดย ดาโกตา จอห์นสัน และ ฌอน เพนน์ ที่นอกจากจะมีเนื้อหาเป็นภาพเปลือยแล้วในภาพยนตร์ยังมีฉากการส่งข้อความสนทนาเรื่องเพศที่รวมถึงไปถึงการส่งภาพเซ็กซี่ หวาบหวิวของตัวเองให้กับคนอื่นผ่านการพูดคุยกันบนโลกออนไลน์ หรือที่เรียกว่าฉาก “Sexting” ด้วย หนึ่งในผู้โดยสารบนเที่ยวบินนี้เล่าว่าภาพยนตร์เรต R ได้ฉายบนหน้าจอนานอยู่เกือบชั่วโมง จนกระทั่งมีการเปลี่ยนไปฉายภาพยนตร์ที่เป็นมิตรกับเด็ก ๆ แทน แต่ในช่วงเวลาเกือบชั่วโมงกับภาพยนตร์เรื่องนี้ พวกเขารู้สึกอึดอัดมากที่ต้องทนดูแต่ละฉากที่หวาบหวิวโดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเดินทางมาด้วย ในขณะที่ผู้โดยสารบางคนกล่าวว่าตลอดเกือบหนึ่งชั่วโมงบนหน้าจอของเธอมีแต่ภาพอวัยวะเพศชายกับหน้าอกของผู้หญิง ภาพ: Reuters https://www.facebook.com/share/p/SMAnhvdMBgvAyops/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Haha
    4
    0 Comments 0 Shares 845 Views 0 Reviews
  • ผลสำรวจในหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าคนจ้างงานส่วนใหญ่ ไม่อยากรับคนวัย Gen Z เข้าทำงาน หรือหากรับเข้าทำงานแล้วก็ถูกไล่ออกหลังจากทำงานได้แค่ไม่กี่เดือน โดยให้เหตุผลว่า Gen Z ทำงานไม่เป็น ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ตั้งใจทำงาน คิดอะไรเองไม่เป็น มีปัญหาด้านการสื่อสาร และไร้มารยาทในที่ทำงาน

    บริษัทในสหรัฐฯ 1 ใน 7 เปิดเผยว่าอาจจะต้องหยุดรับนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานตั้งแต่ปีหน้า ขณะที่บางบริษัทบอกว่านักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานควรเข้าคอร์สอบรมเรื่องมารยาทในออฟฟิศและการพูดคุยกับผู้อื่นก่อนที่จะเริ่มงาน

    New York Post ลงบทความเรื่อง Gen Z can’t cope with life or hold down a job ซึ่งแปลว่า Gen Z รับมือกับชีวิตหรือทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ เผยสาเหตุหลักที่ทำให้ คน Gen Z ทั่วโลกกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะสภาพสังคมและการเลี้ยงดูที่แตกต่างจากคนยุคก่อน เราจะเห็นว่าพ่อแม่ยุคใหม่เลี้ยงดูลูกแบบประคบประหงม ไม่เคยสอนลูกให้รู้จักความลำบาก หรือความรับผิดชอบใดๆ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เด็กไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับความผิดหวัง เราจะเห็นว่าการแข่งขันกีฬา หรือการแข่งขันดนตรีสำหรับเด็กๆ สมัยนี้ จะต้องมีรางวัลให้เด็กทุกคนที่เข้าร่วม เพื่อไม่ให้เด็กที่แพ้การแข่งขันต้องเสียใจ แต่การทำแบบนี้ ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้เรื่องแพ้ชนะ และไม่เคยเรียนรู้เรื่องความผิดหวัง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง ที่ซึ่งบางครั้งเราก็เป็นผู้ชนะ บางครั้งเราก็เป็นผู้แพ้ เด็กทุกคนควรจะเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ชนะที่ดีและเป็นผู้แพ้ที่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก หากไม่เคยเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน พอโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจอกับความผิดหวัง ก็จะรับมือทางอารมณ์ไม่ทัน

    การที่ Gen Z เติบโตมากับโลกดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ที่ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นผ่านหน้าจอด้วยการส่งข้อความตลอดเวลา ทำให้คนรุ่นนี้ไม่มีทักษะการพูดคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้า หลายคนไม่กล้าหรืออึดอัดที่จะต้องพูดคุยกับคนอื่น เลือกคำพูดไม่ถูก จับใจความไม่ได้ ใช้คำพูดห้วนๆ สีหน้านิ่งเฉย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทในการพูดคุยกับผู้อื่น เรื่องนี้ทำให่คน Gen Z จำนวนมาก มีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นในที่ทำงาน

    ตอกย้ำด้วยค่านิยมของ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความสบายใจของตัวเองเป็นอันดับแรก ถ้าหากพวกเขาเจอกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ พวกเขาก็จะไม่ทนทำงานต่อ หรือหากเจอกับคำพูดที่ฟังแล้วไม่สบายใจเพียงนิดเดียว ก็จะปิดหูไม่ทนฟังอีกต่อไป ตรงนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเอง และทำให้คน Gen Z ทำงานที่ไหนก็ไม่ได้

    ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เพราะคน Gen Z เป็นคนอุปนิสัยแบบนี้โดยสายเลือด แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมให้เด็กรุ่นใหม่ได้เจอกับโลกของการทำงาน ไม่เคยสอนให้เด็กรู้จักเรื่องความผิดหวัง ความรับผิดชอบ และความไม่แน่นอนของชีวิต ในบางครั้งเราต้องย้ำเตือนให้เด็กรุ่นใหม่เรียนรู้คุณค่าของความพยายาม การทำงานหนัก และชีวิตนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและความผิดหวังที่ทุกคนต้องฟันฝ่าเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่เราตั้งเอาไว้
    —————
    ภาพ: Reuters
    TNNWorldNews
    ผลสำรวจในหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าคนจ้างงานส่วนใหญ่ ไม่อยากรับคนวัย Gen Z เข้าทำงาน หรือหากรับเข้าทำงานแล้วก็ถูกไล่ออกหลังจากทำงานได้แค่ไม่กี่เดือน โดยให้เหตุผลว่า Gen Z ทำงานไม่เป็น ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ตั้งใจทำงาน คิดอะไรเองไม่เป็น มีปัญหาด้านการสื่อสาร และไร้มารยาทในที่ทำงาน บริษัทในสหรัฐฯ 1 ใน 7 เปิดเผยว่าอาจจะต้องหยุดรับนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานตั้งแต่ปีหน้า ขณะที่บางบริษัทบอกว่านักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานควรเข้าคอร์สอบรมเรื่องมารยาทในออฟฟิศและการพูดคุยกับผู้อื่นก่อนที่จะเริ่มงาน New York Post ลงบทความเรื่อง Gen Z can’t cope with life or hold down a job ซึ่งแปลว่า Gen Z รับมือกับชีวิตหรือทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ เผยสาเหตุหลักที่ทำให้ คน Gen Z ทั่วโลกกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะสภาพสังคมและการเลี้ยงดูที่แตกต่างจากคนยุคก่อน เราจะเห็นว่าพ่อแม่ยุคใหม่เลี้ยงดูลูกแบบประคบประหงม ไม่เคยสอนลูกให้รู้จักความลำบาก หรือความรับผิดชอบใดๆ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เด็กไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับความผิดหวัง เราจะเห็นว่าการแข่งขันกีฬา หรือการแข่งขันดนตรีสำหรับเด็กๆ สมัยนี้ จะต้องมีรางวัลให้เด็กทุกคนที่เข้าร่วม เพื่อไม่ให้เด็กที่แพ้การแข่งขันต้องเสียใจ แต่การทำแบบนี้ ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้เรื่องแพ้ชนะ และไม่เคยเรียนรู้เรื่องความผิดหวัง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง ที่ซึ่งบางครั้งเราก็เป็นผู้ชนะ บางครั้งเราก็เป็นผู้แพ้ เด็กทุกคนควรจะเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ชนะที่ดีและเป็นผู้แพ้ที่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก หากไม่เคยเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน พอโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจอกับความผิดหวัง ก็จะรับมือทางอารมณ์ไม่ทัน การที่ Gen Z เติบโตมากับโลกดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ที่ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นผ่านหน้าจอด้วยการส่งข้อความตลอดเวลา ทำให้คนรุ่นนี้ไม่มีทักษะการพูดคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้า หลายคนไม่กล้าหรืออึดอัดที่จะต้องพูดคุยกับคนอื่น เลือกคำพูดไม่ถูก จับใจความไม่ได้ ใช้คำพูดห้วนๆ สีหน้านิ่งเฉย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทในการพูดคุยกับผู้อื่น เรื่องนี้ทำให่คน Gen Z จำนวนมาก มีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นในที่ทำงาน ตอกย้ำด้วยค่านิยมของ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความสบายใจของตัวเองเป็นอันดับแรก ถ้าหากพวกเขาเจอกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ พวกเขาก็จะไม่ทนทำงานต่อ หรือหากเจอกับคำพูดที่ฟังแล้วไม่สบายใจเพียงนิดเดียว ก็จะปิดหูไม่ทนฟังอีกต่อไป ตรงนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเอง และทำให้คน Gen Z ทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เพราะคน Gen Z เป็นคนอุปนิสัยแบบนี้โดยสายเลือด แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมให้เด็กรุ่นใหม่ได้เจอกับโลกของการทำงาน ไม่เคยสอนให้เด็กรู้จักเรื่องความผิดหวัง ความรับผิดชอบ และความไม่แน่นอนของชีวิต ในบางครั้งเราต้องย้ำเตือนให้เด็กรุ่นใหม่เรียนรู้คุณค่าของความพยายาม การทำงานหนัก และชีวิตนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและความผิดหวังที่ทุกคนต้องฟันฝ่าเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่เราตั้งเอาไว้ ————— ภาพ: Reuters TNNWorldNews
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 447 Views 0 Reviews
  • CIA เปิดรับสมัคร "สายลับ" สำหรับปฏิบัติการใน จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ

    4 ตุลาคม 2567-รายงานข่าว INN World News ระบุว่า หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐหรือ CIA เปิดรับสมัครสายลับในประเทศที่เป็นเป้าหมายและคู่แข่งสำคัญของสหรัฐ ที่ผู้สนใจสามารถส่งชื่อและข้อมูลสมัครได้ทางเว็บไซต์

    CIA ได้โพสต์ประกาศรับสมัครสายลับในหลายประเทศที่เป็นคู่แข่งกับสหรัฐฯ เช่น จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ทั้ง X, Facebook, YouTube, Instagram, Telegram และ LinkedIn รวมถึงในเว็บมืด เป็นทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาจีนกลาง ภาษาฟาร์ซี และภาษาเกาหลี ซึ่งในโพสต์ดังกล่าวยังระบุถึงวิธีการสมัครและการติดต่อกับ CIA อย่างถูกต้อง

    อีกทั้ง CIA ยังขอให้ผู้สนใจแจ้งชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลการติดต่อของตนกลับมา รวมไปถึงได้แนะนำให้ผู้ใช้งานติดต่อ CIA ผ่านเว็บไซต์ทางการ โดยใช้เครือข่าย VPN ที่มีการเข้ารหัสที่น่าเชื่อถือ หรือผ่านเบราว์เซอร์เว็บแบบไม่ระบุตัวตนที่รู้จักกันในชื่อเครือข่าย Tor ซึ่งมักใช้ในการเข้าถึงเว็บมืด

    ส่วนสาเหตุที่ทำไม CIA ต้องประกาศรับสมัครสายลับผ่านโซเชียลมีเดียแทนที่จะไปหาสายลับกันแบบเงียบ ๆ เรื่องนี้โฆษก CIA กล่าวในแถลงการณ์ว่า "เราต้องการให้แน่ใจว่าบุคคลในระบอบเผด็จการอื่น ๆ รู้ว่าเราพร้อมอยู่เสมอ"

    เดวิด โคเฮน รองผู้อำนวยการ CIA แสดงความมั่นใจกับสำนักข่าว Bloomberg ว่าจะมีคนจากประเทศเหล่านี้จำนวนมาก มาสมัครเป็นสายลับกับ CIA อย่างแน่นอน โดยเขาบอกว่า มีคนจำนวนมากที่เข้าถึงข้อมูลภายในของรัฐบาลตัวเองและไม่พอใจกับระบอบการปกครองในประเทศของตัวเอง CIA จึงมั่นใจว่าคนกลุ่มนี้จะมาสมัคร

    อย่างไรก็ตาม เกิดคำถามว่าแล้วคนเกาหลีเหนือที่สนใจจะสมัครเป็นสายลับให้ CIA จะสมัครได้อย่างไร เพราะคนเกาหลีเหนือส่วนใหญ่ไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้ CIA คาดว่าเป็นไปได้ที่คนเกาหลีเหนือที่อาศัยอยู่ติดชายแดนจีนมักจะข้ามพรมแดนเข้ามาค้าขายในจีนแล้วกลับไปที่เกาหลีเหนือ จุงทำให้ในช่วงที่มาฝั่งจีนเป็นโอกาสที่ดีที่พวกเขาจะเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและอาจสนใจสมัครเป็นสายลับให้ CIA

    ขณะที่ โฆษกสถานทูตจีนในกรุงวอชิงตันดี.ซี. กล่าวว่า “ความพยายามใดๆ ที่จะบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะล้มเหลวอย่างแน่นอน" ซึ่งที่ผ่านมา จีนพยายามเตือนประชาชนของตัวเองให้ระวังถูกสายลับต่างชาติล่อลวงให้เผยแพร่ข้อมูลความลับ ส่วนในต่างประเทศก็มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยหลายคนที่เป็นสายลับให้ประเทศจีน โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าในยุคนี้เราจะเริ่มเห็นหลายประเทศกลับมาใช้ "สายลับ" เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำสงครามด้านข้อมูลอีกครั้ง

    ภาพ: Stock.Adobe
    ที่มา : TNNWorldNews
    https://www.facebook.com/share/p/EEvjf5xsd4aYD1vk/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    CIA เปิดรับสมัคร "สายลับ" สำหรับปฏิบัติการใน จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ 4 ตุลาคม 2567-รายงานข่าว INN World News ระบุว่า หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐหรือ CIA เปิดรับสมัครสายลับในประเทศที่เป็นเป้าหมายและคู่แข่งสำคัญของสหรัฐ ที่ผู้สนใจสามารถส่งชื่อและข้อมูลสมัครได้ทางเว็บไซต์ CIA ได้โพสต์ประกาศรับสมัครสายลับในหลายประเทศที่เป็นคู่แข่งกับสหรัฐฯ เช่น จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ทั้ง X, Facebook, YouTube, Instagram, Telegram และ LinkedIn รวมถึงในเว็บมืด เป็นทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาจีนกลาง ภาษาฟาร์ซี และภาษาเกาหลี ซึ่งในโพสต์ดังกล่าวยังระบุถึงวิธีการสมัครและการติดต่อกับ CIA อย่างถูกต้อง อีกทั้ง CIA ยังขอให้ผู้สนใจแจ้งชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลการติดต่อของตนกลับมา รวมไปถึงได้แนะนำให้ผู้ใช้งานติดต่อ CIA ผ่านเว็บไซต์ทางการ โดยใช้เครือข่าย VPN ที่มีการเข้ารหัสที่น่าเชื่อถือ หรือผ่านเบราว์เซอร์เว็บแบบไม่ระบุตัวตนที่รู้จักกันในชื่อเครือข่าย Tor ซึ่งมักใช้ในการเข้าถึงเว็บมืด ส่วนสาเหตุที่ทำไม CIA ต้องประกาศรับสมัครสายลับผ่านโซเชียลมีเดียแทนที่จะไปหาสายลับกันแบบเงียบ ๆ เรื่องนี้โฆษก CIA กล่าวในแถลงการณ์ว่า "เราต้องการให้แน่ใจว่าบุคคลในระบอบเผด็จการอื่น ๆ รู้ว่าเราพร้อมอยู่เสมอ" เดวิด โคเฮน รองผู้อำนวยการ CIA แสดงความมั่นใจกับสำนักข่าว Bloomberg ว่าจะมีคนจากประเทศเหล่านี้จำนวนมาก มาสมัครเป็นสายลับกับ CIA อย่างแน่นอน โดยเขาบอกว่า มีคนจำนวนมากที่เข้าถึงข้อมูลภายในของรัฐบาลตัวเองและไม่พอใจกับระบอบการปกครองในประเทศของตัวเอง CIA จึงมั่นใจว่าคนกลุ่มนี้จะมาสมัคร อย่างไรก็ตาม เกิดคำถามว่าแล้วคนเกาหลีเหนือที่สนใจจะสมัครเป็นสายลับให้ CIA จะสมัครได้อย่างไร เพราะคนเกาหลีเหนือส่วนใหญ่ไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้ CIA คาดว่าเป็นไปได้ที่คนเกาหลีเหนือที่อาศัยอยู่ติดชายแดนจีนมักจะข้ามพรมแดนเข้ามาค้าขายในจีนแล้วกลับไปที่เกาหลีเหนือ จุงทำให้ในช่วงที่มาฝั่งจีนเป็นโอกาสที่ดีที่พวกเขาจะเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและอาจสนใจสมัครเป็นสายลับให้ CIA ขณะที่ โฆษกสถานทูตจีนในกรุงวอชิงตันดี.ซี. กล่าวว่า “ความพยายามใดๆ ที่จะบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะล้มเหลวอย่างแน่นอน" ซึ่งที่ผ่านมา จีนพยายามเตือนประชาชนของตัวเองให้ระวังถูกสายลับต่างชาติล่อลวงให้เผยแพร่ข้อมูลความลับ ส่วนในต่างประเทศก็มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยหลายคนที่เป็นสายลับให้ประเทศจีน โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าในยุคนี้เราจะเริ่มเห็นหลายประเทศกลับมาใช้ "สายลับ" เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำสงครามด้านข้อมูลอีกครั้ง ภาพ: Stock.Adobe ที่มา : TNNWorldNews https://www.facebook.com/share/p/EEvjf5xsd4aYD1vk/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Haha
    8
    0 Comments 2 Shares 1260 Views 0 Reviews
  • บริษัทรถบัสเกิดเพลิงไหม้ มีพิรุธ ย้ายรถอีก 5 คันเข้าอู่ที่โคราช



    https://www.bugaboo.tv/news/808751?fbclid=IwY2xjawFrY4hleHRuA2FlbQIxMQABHQ2P4Ya1GRrY3vExIXt2JJ48Lc85Slxd_w96FcKgQTqI0GqFwCVfmKLowA_aem_Bh7SnNNTnNcsLgUb_ytfow
    บริษัทรถบัสเกิดเพลิงไหม้ มีพิรุธ ย้ายรถอีก 5 คันเข้าอู่ที่โคราช https://www.bugaboo.tv/news/808751?fbclid=IwY2xjawFrY4hleHRuA2FlbQIxMQABHQ2P4Ya1GRrY3vExIXt2JJ48Lc85Slxd_w96FcKgQTqI0GqFwCVfmKLowA_aem_Bh7SnNNTnNcsLgUb_ytfow
    WWW.BUGABOO.TV
    บริษัทรถบัสเกิดเพลิงไหม้ มีพิรุธ ย้ายรถอีก 5 คันเข้าอู่ที่โคราช
    ขนส่งตรวจยึดรถบัสนำเที่ยว 5 คันของบริษัทที่เกิดอุบัติเหตุรถไฟไหม้ หลังพบถูกเคลื่อนย้ายไปที่อู่แห่งหนึ่ง ในโคราช ไม่มาตามนัด เช็กสภาพรถที่สำนักงานขนส่งจังหวัดลพบุรี (3 ตุลาคม 2567) สำนักงานขนส่ง...
    0 Comments 0 Shares 168 Views 0 Reviews
  • เจ้าสัวซีพี สั่ง TNN สื่อในสังกัด จัดดินเนอร์ ทอร์ค ให้นายกฯ อุ๊งอิ๊ง ได้เฉิดฉายแสดงวิสัยทัศน์เหมือนพ่อ จับตากลุ่มนายทุนชั้นนำตบเท้าร่วมงานไม่แพ้งานของทักษิณ
    #7ดอกจิก
    ♣️ เจ้าสัวซีพี สั่ง TNN สื่อในสังกัด จัดดินเนอร์ ทอร์ค ให้นายกฯ อุ๊งอิ๊ง ได้เฉิดฉายแสดงวิสัยทัศน์เหมือนพ่อ จับตากลุ่มนายทุนชั้นนำตบเท้าร่วมงานไม่แพ้งานของทักษิณ #7ดอกจิก
    Like
    Angry
    2
    0 Comments 0 Shares 331 Views 0 Reviews
  • 25 กันยายน 2567-รายงานข่าว TNN ระบุว่าอันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวกับบรรดาผู้นำประเทศ ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (UNGA) เมื่อวันอังคาร 24 กันยายนนี้ ได้กล่าวประณามสงครามในจุดต่างๆว่า ตอนนี้ มีรัฐบาลของหลายประเทศ และกลุ่มต่างๆที่พวกเขาคิดว่าตัวเองมี “บัตรออกจากคุกฟรี”

    “พวกเขาแทรกแซงกฎหมายระหว่างประเทศ พวกเขาละเมิดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ พวกเขาสามารถเข้าแทรกแซงประเทศอื่น ไปทำให้สังคมเขาเสียหาย ทำให้สวัสดิภาพของประชาชนมีปัญหา .. และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” พร้อมชี้ว่า การไม่ได้รับบทลงโทษเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในทางศีลธรรมถ้อยแถลงของกูแตร์เรส อ้างอิงถึงสงครามที่ยืดเยื้อนานเกือบ 1 ปีเต็มระหว่างอิสราเอล และกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา ที่ตอนนี้กำลังขยายวงไปสู่สมรภูมิในเลบานอน ในขณะที่อิสราเอลพุ่งเป้าโจมตีกลุ่มฮิซบอลเลาะห์หลายพันจุดตั้งแต่วันจันทร์ (23 กันยายน) ที่ผ่านมา และมีผู้เสียชีวิตหลายร้อยราย

    “เลบานอนอยู่ภาวะยากลำบาก ผู้คนในเลบานอน, อิสราเอล และผู้คนทั่วโลก ไม่สามารถทำให้เลบานอนกลายเป็นกาซาอีกจุดหนึ่งได้” กูแตร์เรสกล่าว ส่วนสถานการณ์ที่รัสเซียรุกรานยูเครนเมื่อปี 2022 และสถานการณ์ขยายวงสู่การที่ยูเครนเข้ายึดดินแดนในภูมิภาคเคิร์สก์ของรัสเซีย ตลอดจนการระดมโจมตีกันด้วยโดรนและขีปนาวุธนั้น เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุว่า คนที่ต้องสูญเสียคือพลเรือน จำนวนผู้เสียชีวิตสูงขึ้น และนี่ควรจะถึงเวลาสำหรับสันติภาพที่ยุติธรรมตามกฎบัตรสหประชาชาติ, กฎหมายระหว่างประเทศ และตามมติของสหประชาชาติได้แล้ว

    “ความแตกแยกของภูมิรัฐศาสตร์โลกร้าวลึกยิ่งขึ้น, โลกก็ร้อนขึ้น และสงครามก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ ตลอดจนความท้าทายด้านนิวเคลียร์ และอาวุธชนิดใหม่ ๆ ก็มีขึ้นอยู่เสมอ .. เรากำลังเข้าสู่ยุคที่จินตนาการไม่ถูก แต่นี่คือความเสี่ยงอย่างยิ่งต่อโลกใบนี้” เลขาธิการสหประชาชาติกล่าว

    คลิป https://youtu.be/xF7iI1IpAFk?si=4YAmuf1EsSJoG8yp

    #Thaitimes
    25 กันยายน 2567-รายงานข่าว TNN ระบุว่าอันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวกับบรรดาผู้นำประเทศ ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (UNGA) เมื่อวันอังคาร 24 กันยายนนี้ ได้กล่าวประณามสงครามในจุดต่างๆว่า ตอนนี้ มีรัฐบาลของหลายประเทศ และกลุ่มต่างๆที่พวกเขาคิดว่าตัวเองมี “บัตรออกจากคุกฟรี” “พวกเขาแทรกแซงกฎหมายระหว่างประเทศ พวกเขาละเมิดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ พวกเขาสามารถเข้าแทรกแซงประเทศอื่น ไปทำให้สังคมเขาเสียหาย ทำให้สวัสดิภาพของประชาชนมีปัญหา .. และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” พร้อมชี้ว่า การไม่ได้รับบทลงโทษเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในทางศีลธรรมถ้อยแถลงของกูแตร์เรส อ้างอิงถึงสงครามที่ยืดเยื้อนานเกือบ 1 ปีเต็มระหว่างอิสราเอล และกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา ที่ตอนนี้กำลังขยายวงไปสู่สมรภูมิในเลบานอน ในขณะที่อิสราเอลพุ่งเป้าโจมตีกลุ่มฮิซบอลเลาะห์หลายพันจุดตั้งแต่วันจันทร์ (23 กันยายน) ที่ผ่านมา และมีผู้เสียชีวิตหลายร้อยราย “เลบานอนอยู่ภาวะยากลำบาก ผู้คนในเลบานอน, อิสราเอล และผู้คนทั่วโลก ไม่สามารถทำให้เลบานอนกลายเป็นกาซาอีกจุดหนึ่งได้” กูแตร์เรสกล่าว ส่วนสถานการณ์ที่รัสเซียรุกรานยูเครนเมื่อปี 2022 และสถานการณ์ขยายวงสู่การที่ยูเครนเข้ายึดดินแดนในภูมิภาคเคิร์สก์ของรัสเซีย ตลอดจนการระดมโจมตีกันด้วยโดรนและขีปนาวุธนั้น เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุว่า คนที่ต้องสูญเสียคือพลเรือน จำนวนผู้เสียชีวิตสูงขึ้น และนี่ควรจะถึงเวลาสำหรับสันติภาพที่ยุติธรรมตามกฎบัตรสหประชาชาติ, กฎหมายระหว่างประเทศ และตามมติของสหประชาชาติได้แล้ว “ความแตกแยกของภูมิรัฐศาสตร์โลกร้าวลึกยิ่งขึ้น, โลกก็ร้อนขึ้น และสงครามก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ ตลอดจนความท้าทายด้านนิวเคลียร์ และอาวุธชนิดใหม่ ๆ ก็มีขึ้นอยู่เสมอ .. เรากำลังเข้าสู่ยุคที่จินตนาการไม่ถูก แต่นี่คือความเสี่ยงอย่างยิ่งต่อโลกใบนี้” เลขาธิการสหประชาชาติกล่าว คลิป https://youtu.be/xF7iI1IpAFk?si=4YAmuf1EsSJoG8yp #Thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 915 Views 0 Reviews