• สำหรับผม #DeepSeek ไม่ใช่แค่ AI หากแต่เป็นการประกาศชัยชนะของ Made in China 2025 และเป็นการเริ่มต้นอย่างสวยงามของ China Standards 2035
    .
    ความสำเร็จของ DeepSeek ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือความเก่งกาจเหนือมนุษย์ของนักวิทยาศาสตร์ในแล็บ หากแต่เกิดขึ้นจากโครงสร้างพื้นฐาน สภาวะแวดล้อม (Ecosystem) ที่มีความพร้อม ซึ่งทำให้นวัตกรรมเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้ และนั่นอาจต้องเท้าความกลับไปที่ยุทธศาสตร์ Made in China 2025 ของรัฐบาลจีนที่ประกาศออกมาในปี 2015 พร้อมๆ กับแผน 5 ปีสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
    .
    คำถามต่อไปคือ ในปีนี้ที่เป็นปีสุดท้ายของยุทธศาสตร์ Made in China 2025 หลังจากนี้จีนจะเดินหน้าอย่างไรต่อ
    .
    คำที่ได้ยินกันมาตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาในแวดวงจีนศึกษาคือ China Standards 2035 ซึ่งเป็นหนึ่งในว่าที่ยุทธศาสตร์ใหม่ที่จะเปิดตัวพร้อมๆ กับแผน 5 ปีสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน ฉบับที่ 15 (ปี 2026-2030) และฉบับที่ 16 (2031-2035)
    .
    อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ https://thestandard.co/deepseek-china-standards-2035.../
    .
    #TheStandardNews
    สำหรับผม #DeepSeek ไม่ใช่แค่ AI หากแต่เป็นการประกาศชัยชนะของ Made in China 2025 และเป็นการเริ่มต้นอย่างสวยงามของ China Standards 2035 . ความสำเร็จของ DeepSeek ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือความเก่งกาจเหนือมนุษย์ของนักวิทยาศาสตร์ในแล็บ หากแต่เกิดขึ้นจากโครงสร้างพื้นฐาน สภาวะแวดล้อม (Ecosystem) ที่มีความพร้อม ซึ่งทำให้นวัตกรรมเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้ และนั่นอาจต้องเท้าความกลับไปที่ยุทธศาสตร์ Made in China 2025 ของรัฐบาลจีนที่ประกาศออกมาในปี 2015 พร้อมๆ กับแผน 5 ปีสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม . คำถามต่อไปคือ ในปีนี้ที่เป็นปีสุดท้ายของยุทธศาสตร์ Made in China 2025 หลังจากนี้จีนจะเดินหน้าอย่างไรต่อ . คำที่ได้ยินกันมาตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาในแวดวงจีนศึกษาคือ China Standards 2035 ซึ่งเป็นหนึ่งในว่าที่ยุทธศาสตร์ใหม่ที่จะเปิดตัวพร้อมๆ กับแผน 5 ปีสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน ฉบับที่ 15 (ปี 2026-2030) และฉบับที่ 16 (2031-2035) . อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ https://thestandard.co/deepseek-china-standards-2035.../ . #TheStandardNews
    THESTANDARD.CO
    DeepSeek: ชัยชนะของ Made in China 2025 และจุดเริ่มต้นที่สดใสของ China Standards 2035
    วิเคราะห์ความสำเร็จของ DeepSeek AI แอปพลิเคชันจีน เชื่อมโยงกับนโยบาย Made in China 2025 และแผนยุทธศาสตร์ China Standards 2035 ด้านมาตรฐานเทคโนโลยี
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • เอพี - เรือไม้ง่อนแง่นลำหนึ่งที่บรรทุกชาวมุสลิมโรฮิญามากกว่า 100 คน เดินทางมาถึงอินโดนีเซียเมื่อวันพุธ (39) ในขณะที่จ.อาเจะห์ ที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศ ยังคงต้องรับผู้ลี้ภัยที่หลบหนีการกดขี่ข่มเหงและความไม่สงบทางการเมืองในพม่าอย่างต่อเนื่อง

    รัฐบาลอินโดนีเซียโทษการค้ามนุษย์ว่าเป็นสาเหตุให้ชาวโรฮิงญาเดินทางมายังประเทศเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้

    ผู้บัญชาการตำรวจในท้องที่กล่าวว่า เรือที่บรรทุกผู้หญิงและเด็กเป็นจำนวนมาก และเครื่องยนต์ขัดข้อง ได้แล่นเกยตื้นใกล้หมู่บ้านพือรึลัก ในเขตอาเจะห์ตะวันออก ซึ่งทางการกำลังรวบรวมข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลของคนเหล่านี้

    เจ้าหน้าที่ยังกล่าวว่าผู้ลี้ภัยรายหนึ่งได้บอกกับทางการว่าเรือลำดังกล่าวออกเดินทางจากเมืองค็อกซ์บาซา ในบังกลาเทศ โดยหวังว่าจะไปถึงมาเลเซีย แต่อย่างไรก็ตาม หลายคนสงสัยว่าเรือลำดังกล่าวได้รับความเสียหายจากผู้ค้ามนุษย์ผิดกฎหมาย เพื่อที่ผู้ลี้ภัยจะไม่สามารถกลับลงทะเลได้

    เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวว่า รัฐบาลจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับผู้กระทำความผิดในการค้ามนุษย์

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/indochina/detail/9680000009642

    #MGROnline #โรฮิงญา
    เอพี - เรือไม้ง่อนแง่นลำหนึ่งที่บรรทุกชาวมุสลิมโรฮิญามากกว่า 100 คน เดินทางมาถึงอินโดนีเซียเมื่อวันพุธ (39) ในขณะที่จ.อาเจะห์ ที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศ ยังคงต้องรับผู้ลี้ภัยที่หลบหนีการกดขี่ข่มเหงและความไม่สงบทางการเมืองในพม่าอย่างต่อเนื่อง • รัฐบาลอินโดนีเซียโทษการค้ามนุษย์ว่าเป็นสาเหตุให้ชาวโรฮิงญาเดินทางมายังประเทศเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ • ผู้บัญชาการตำรวจในท้องที่กล่าวว่า เรือที่บรรทุกผู้หญิงและเด็กเป็นจำนวนมาก และเครื่องยนต์ขัดข้อง ได้แล่นเกยตื้นใกล้หมู่บ้านพือรึลัก ในเขตอาเจะห์ตะวันออก ซึ่งทางการกำลังรวบรวมข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลของคนเหล่านี้ • เจ้าหน้าที่ยังกล่าวว่าผู้ลี้ภัยรายหนึ่งได้บอกกับทางการว่าเรือลำดังกล่าวออกเดินทางจากเมืองค็อกซ์บาซา ในบังกลาเทศ โดยหวังว่าจะไปถึงมาเลเซีย แต่อย่างไรก็ตาม หลายคนสงสัยว่าเรือลำดังกล่าวได้รับความเสียหายจากผู้ค้ามนุษย์ผิดกฎหมาย เพื่อที่ผู้ลี้ภัยจะไม่สามารถกลับลงทะเลได้ • เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวว่า รัฐบาลจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับผู้กระทำความผิดในการค้ามนุษย์ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/indochina/detail/9680000009642 • #MGROnline #โรฮิงญา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • Donald Trump กำลังพิจารณาเพิ่มข้อจำกัดในการส่งออก GPU ของ NVIDIA ไปยังประเทศจีน รายงานจาก Bloomberg ระบุว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาขยายขอบเขตของการคว่ำบาตรที่มีอยู่แล้ว ซึ่งจะส่งผลให้ NVIDIA ไม่สามารถขาย GPU รุ่น H80 ให้กับจีนได้ GPU เหล่านี้เป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะสำหรับจีนที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่า H100

    การคว่ำบาตรนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ OpenAI เปิดตัว ChatGPT ซึ่งใช้ GPU ของ NVIDIA ในการฝึกและประมวลผลโมเดล รัฐบาลสหรัฐฯ ได้กำหนดข้อจำกัดในการขาย GPU รุ่นใหม่ให้กับจีนตั้งแต่ปี 2022 และ 2023 ทำให้ NVIDIA ต้องพัฒนารุ่นที่มีประสิทธิภาพต่ำลงเพื่อให้สามารถขายได้

    นอกจากนี้ ข่าวยังระบุว่า DeepSeek บริษัท AI ของจีน ได้พัฒนาโมเดลที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับโมเดลของสหรัฐฯ แต่มีต้นทุนต่ำกว่า ซึ่งทำให้เกิดความกังวลในตลาดการเงินและส่งผลให้หุ้นของ NVIDIA ลดลง

    NVIDIA ได้แถลงว่าพร้อมที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลใหม่และนโยบาย AI ของสหรัฐฯ และยืนยันว่า GPU ของบริษัทเป็นไปตามข้อกำหนดการควบคุมการส่งออก

    https://wccftech.com/nvidia-might-face-more-china-gpu-export-controls-from-trump-admin-report/
    Donald Trump กำลังพิจารณาเพิ่มข้อจำกัดในการส่งออก GPU ของ NVIDIA ไปยังประเทศจีน รายงานจาก Bloomberg ระบุว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาขยายขอบเขตของการคว่ำบาตรที่มีอยู่แล้ว ซึ่งจะส่งผลให้ NVIDIA ไม่สามารถขาย GPU รุ่น H80 ให้กับจีนได้ GPU เหล่านี้เป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะสำหรับจีนที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่า H100 การคว่ำบาตรนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ OpenAI เปิดตัว ChatGPT ซึ่งใช้ GPU ของ NVIDIA ในการฝึกและประมวลผลโมเดล รัฐบาลสหรัฐฯ ได้กำหนดข้อจำกัดในการขาย GPU รุ่นใหม่ให้กับจีนตั้งแต่ปี 2022 และ 2023 ทำให้ NVIDIA ต้องพัฒนารุ่นที่มีประสิทธิภาพต่ำลงเพื่อให้สามารถขายได้ นอกจากนี้ ข่าวยังระบุว่า DeepSeek บริษัท AI ของจีน ได้พัฒนาโมเดลที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับโมเดลของสหรัฐฯ แต่มีต้นทุนต่ำกว่า ซึ่งทำให้เกิดความกังวลในตลาดการเงินและส่งผลให้หุ้นของ NVIDIA ลดลง NVIDIA ได้แถลงว่าพร้อมที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลใหม่และนโยบาย AI ของสหรัฐฯ และยืนยันว่า GPU ของบริษัทเป็นไปตามข้อกำหนดการควบคุมการส่งออก https://wccftech.com/nvidia-might-face-more-china-gpu-export-controls-from-trump-admin-report/
    WCCFTECH.COM
    NVIDIA Might Face More China GPU Export Controls From Trump Admin - Report
    NVIDIA might face additional US sanctions against its GPUs that are designed for China suggests a new report from Bloomberg.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงว่าแล้วววว .... กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้สั่งห้ามการใช้แพลตฟอร์ม AI ของจีนที่ชื่อว่า DeepSeek บนเรือของตน เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและจริยธรรมในการใช้งาน

    DeepSeek เป็นแพลตฟอร์ม AI ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่แสดงประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับโมเดลชั้นนำของ OpenAI และบริษัทอเมริกันอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการฝึก AI ที่สูงเกินไปทำให้เกิดการขายหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้มูลค่าหุ้นของบริษัทศูนย์ข้อมูลลดลงหลายพันล้านดอลลาร์

    กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ส่งอีเมลถึงทหารเรือและสมาชิกบริการอื่นๆ เพื่อเตือนเกี่ยวกับแหล่งที่มาของโมเดล AI นี้ และชี้ให้เห็นถึงความกังวลด้านความปลอดภัยและจริยธรรมในการใช้งาน โดยระบุว่า "ความกังวลด้านความปลอดภัยและจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับแหล่งที่มาและการใช้งานของโมเดลนี้" ทำให้ต้องห้ามการใช้งานโดยสมาชิกบริการทั้งในงานที่เกี่ยวข้องกับงานและการใช้งานส่วนตัว

    อีเมลยังขอให้ผู้รับ "งดการดาวน์โหลด ติดตั้ง หรือใช้งานโมเดล DeepSeek ในทุกกรณี" การห้ามนี้เกิดขึ้นหลังจากที่กองทัพเรือได้สั่งห้ามการใช้แอปพลิเคชันของจีน เช่น TikTok เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยในการเก็บข้อมูล

    การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความกังวลของรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับการใช้ซอฟต์แวร์ที่มีแหล่งที่มาจากจีน ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของชาติ

    ผู้ใช้ธรรมดาในสหรัฐจะโดนห้ามและ Block การเข้าถึงเป็นรายต่อไป... ลุงฟันธง!!

    https://wccftech.com/chinas-deepseek-ai-faces-first-us-ban-after-navy-email-tells-members-to-stop-using-it/
    ลุงว่าแล้วววว .... กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้สั่งห้ามการใช้แพลตฟอร์ม AI ของจีนที่ชื่อว่า DeepSeek บนเรือของตน เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและจริยธรรมในการใช้งาน DeepSeek เป็นแพลตฟอร์ม AI ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่แสดงประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับโมเดลชั้นนำของ OpenAI และบริษัทอเมริกันอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการฝึก AI ที่สูงเกินไปทำให้เกิดการขายหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้มูลค่าหุ้นของบริษัทศูนย์ข้อมูลลดลงหลายพันล้านดอลลาร์ กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ส่งอีเมลถึงทหารเรือและสมาชิกบริการอื่นๆ เพื่อเตือนเกี่ยวกับแหล่งที่มาของโมเดล AI นี้ และชี้ให้เห็นถึงความกังวลด้านความปลอดภัยและจริยธรรมในการใช้งาน โดยระบุว่า "ความกังวลด้านความปลอดภัยและจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับแหล่งที่มาและการใช้งานของโมเดลนี้" ทำให้ต้องห้ามการใช้งานโดยสมาชิกบริการทั้งในงานที่เกี่ยวข้องกับงานและการใช้งานส่วนตัว อีเมลยังขอให้ผู้รับ "งดการดาวน์โหลด ติดตั้ง หรือใช้งานโมเดล DeepSeek ในทุกกรณี" การห้ามนี้เกิดขึ้นหลังจากที่กองทัพเรือได้สั่งห้ามการใช้แอปพลิเคชันของจีน เช่น TikTok เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยในการเก็บข้อมูล การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความกังวลของรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับการใช้ซอฟต์แวร์ที่มีแหล่งที่มาจากจีน ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของชาติ ผู้ใช้ธรรมดาในสหรัฐจะโดนห้ามและ Block การเข้าถึงเป็นรายต่อไป... ลุงฟันธง!! https://wccftech.com/chinas-deepseek-ai-faces-first-us-ban-after-navy-email-tells-members-to-stop-using-it/
    WCCFTECH.COM
    China's DeepSeek AI Faces First Ban After Navy Email Tells Members To Stop Using It
    In a striking but unsurprising move, the United States Navy has banned the use of China's DeepSeek AI platform on its vessels. DeepSeek took the AI world by storm this month after it demonstrated performance similar to leading models by OpenAI and other American firms. However, the model's true shock came after NVIDIA and other data center stocks led a multi-billion dollar stock market wipeout yesterday over investor concerns about overblown AI training costs. The Navy's ban was first reported by CNBC, which confirmed its authenticity through a spokesperson for the armed forces branch. Related Story OpenAI CEO Sam Altman […]
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • "DeepSeek สตาร์ทอัพ AI จีนท้าชน OpenAI คว้าอันดับ 1 แอปสหรัฐฯ ด้วยโมเดล R1 โอเพนซอร์ส ต้นทุนพัฒนาเพียง 1 ใน 20 ของคู่แข่ง!"

    ที่มาและความเป็นมาของ DeepSeek

    DeepSeek คือสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ก่อตั้งใน พฤษภาคม 2023 โดย เหลียง เวินเฟิง (Liang Wenfeng) นักลงทุนชื่อดังและผู้เชี่ยวชาญ AI อดีตผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ทีมวิจัยหลักประกอบด้วยบัณฑิตจบใหม่และนักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน เช่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และมหาวิทยาลัยชิงหวา

    จุดพลิกเกม
    DeepSeek เปิดตัว โมเดล R1 อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 หลังมีข่าวลือตั้งแต่พฤศจิกายน 2024 โดยโมเดลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ OpenAI o1 โดยตรง ด้วยจุดเด่น 3 ด้าน:
    1. ความสามารถเชิงวิเคราะห์: ให้ผลลัพธ์เหนือกว่าในงานคำนวณคณิตศาสตร์-เขียนโปรแกรม และการให้เหตุผลขั้นสูง
    2. ต้นทุนพัฒนาต่ำสุดวงการ: ใช้เงินเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์ เทียบกับคู่แข่งที่ใช้งบหลายร้อยล้าน (ต่ำกว่า 18-20 เท่า)
    3. ระบบโอเพนซอร์สเต็มรูปแบบ: เปิดเผยโค้ดและโครงสร้างโมเดลทั้งหมด ต่างจาก OpenAI ที่ยังปิดบางส่วน

    แม้มีสำนักงานใหญ่ในจีน แต่โมเดล R1 กลับโด่งดังในตลาดสหรัฐฯ ด้วยการขึ้นเป็น แอปฯ อันดับ 1 บน App Store และ Google Play แซงหน้า ChatGPT ภายใน 2 สัปดาห์หลังเปิดตัว

    เบื้องหลังความสำเร็จ
    • เทคโนโลยี MLA + DeepSeekMoESparse: สถาปัตยกรรม AI ที่ลดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ได้ถึง 40%
    • กลยุทธ์ "วิจัยก่อนค้า": เปิด API ฟรีให้ชุมชนนักพัฒนาและวิจัย ทุ่มงบ 80% ของบริษัทเพื่อการวิจัยพื้นฐาน
    • แรงกดดันต่อตลาด: ก่อให้เกิด "สงครามราคา AI" ในจีน บีบให้ Alibaba, Tencent และ Baidu ต้องลดราคาโมเดลตัวเอง 30-50%

    สัญญาณเปลี่ยนสนาม AI โลก
    ความสำเร็จของ DeepSeek ถูกมองว่าเป็นหลักฐานว่า จีนสามารถท้าทายการผูกขาด AI ของสหรัฐฯ ได้ แม้ถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ดังที่ The Wall Street Journal วิเคราะห์ว่า
    "R1 คือตัวอย่างชัดเจนที่แสดงว่า มาตรการควบคุมชิปของสหรัฐฯ อาจส่งผลตรงข้าม – กระตุ้นให้จีนสร้างนวัตกรรมแบบ 'คิดนอกกรอบ'"
    ขณะที่ เหลียง เวินเฟิง ให้สัมภาษณ์ว่า
    "เราเชื่อว่า AGI (ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป) ต้องเกิดจากความร่วมมือของมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่แค่บริษัทยักษ์ใหญ่ 2-3 แห่ง"

    อนาคตที่จับตาของ DeepSeek
    บริษัทประกาศแผนระยะยาว 3 ด้าน:
    1. พัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ (Large Language Model) รุ่นถัดไปภายในปี 2026
    2. ขยายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก
    3. ท้าทายเป้าหมายสูงสุด: สร้าง AGI ที่เข้าถึงได้ทุกคน
    ข้อเท็จจริงน่าสนใจ: หลังเปิดตัว R1 มีนักพัฒนาเกือบ 50,000 คน จาก 120 ประเทศ เข้ามาปรับใช้โมเดลนี้ในโครงการของตัวเองภายในเดือนแรก!

    ล่าสุด
    จีน: ประกาศแผนสนับสนุน AI ด้วยเงิน 1 ล้านล้านหยวน (137 พันล้านดอลลาร์)
    เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2025 ธนาคารแห่งประเทศจีน (Bank of China) ประกาศแผน "支持人工智能产业链发展行动方案" (แผนปฏิบัติการสนับสนุนห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI) โดยจะจัดสรรเงินทุน 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 137 พันล้านดอลลาร์) ในระยะเวลา 5 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI ทั้งในด้านการวิจัยพื้นฐาน การประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจ และการสร้างระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่ง

    ติดตามผู้ก่อตั้งได้ที่
    https://x.com/zizhpan
    https://x.com/deepseek_ai

    ใช้งานฟรีไม่จำกัดได้ที่ (สมัครสมาชิกฟรี):
    https://chat.deepseek.com/

    อ้างอิง: Spring News, Mekha News, https://x.com/kimmonismus
    "DeepSeek สตาร์ทอัพ AI จีนท้าชน OpenAI คว้าอันดับ 1 แอปสหรัฐฯ ด้วยโมเดล R1 โอเพนซอร์ส ต้นทุนพัฒนาเพียง 1 ใน 20 ของคู่แข่ง!" ที่มาและความเป็นมาของ DeepSeek DeepSeek คือสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ก่อตั้งใน พฤษภาคม 2023 โดย เหลียง เวินเฟิง (Liang Wenfeng) นักลงทุนชื่อดังและผู้เชี่ยวชาญ AI อดีตผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ทีมวิจัยหลักประกอบด้วยบัณฑิตจบใหม่และนักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน เช่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และมหาวิทยาลัยชิงหวา จุดพลิกเกม DeepSeek เปิดตัว โมเดล R1 อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 หลังมีข่าวลือตั้งแต่พฤศจิกายน 2024 โดยโมเดลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ OpenAI o1 โดยตรง ด้วยจุดเด่น 3 ด้าน: 1. ความสามารถเชิงวิเคราะห์: ให้ผลลัพธ์เหนือกว่าในงานคำนวณคณิตศาสตร์-เขียนโปรแกรม และการให้เหตุผลขั้นสูง 2. ต้นทุนพัฒนาต่ำสุดวงการ: ใช้เงินเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์ เทียบกับคู่แข่งที่ใช้งบหลายร้อยล้าน (ต่ำกว่า 18-20 เท่า) 3. ระบบโอเพนซอร์สเต็มรูปแบบ: เปิดเผยโค้ดและโครงสร้างโมเดลทั้งหมด ต่างจาก OpenAI ที่ยังปิดบางส่วน แม้มีสำนักงานใหญ่ในจีน แต่โมเดล R1 กลับโด่งดังในตลาดสหรัฐฯ ด้วยการขึ้นเป็น แอปฯ อันดับ 1 บน App Store และ Google Play แซงหน้า ChatGPT ภายใน 2 สัปดาห์หลังเปิดตัว เบื้องหลังความสำเร็จ • เทคโนโลยี MLA + DeepSeekMoESparse: สถาปัตยกรรม AI ที่ลดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ได้ถึง 40% • กลยุทธ์ "วิจัยก่อนค้า": เปิด API ฟรีให้ชุมชนนักพัฒนาและวิจัย ทุ่มงบ 80% ของบริษัทเพื่อการวิจัยพื้นฐาน • แรงกดดันต่อตลาด: ก่อให้เกิด "สงครามราคา AI" ในจีน บีบให้ Alibaba, Tencent และ Baidu ต้องลดราคาโมเดลตัวเอง 30-50% สัญญาณเปลี่ยนสนาม AI โลก ความสำเร็จของ DeepSeek ถูกมองว่าเป็นหลักฐานว่า จีนสามารถท้าทายการผูกขาด AI ของสหรัฐฯ ได้ แม้ถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ดังที่ The Wall Street Journal วิเคราะห์ว่า "R1 คือตัวอย่างชัดเจนที่แสดงว่า มาตรการควบคุมชิปของสหรัฐฯ อาจส่งผลตรงข้าม – กระตุ้นให้จีนสร้างนวัตกรรมแบบ 'คิดนอกกรอบ'" ขณะที่ เหลียง เวินเฟิง ให้สัมภาษณ์ว่า "เราเชื่อว่า AGI (ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป) ต้องเกิดจากความร่วมมือของมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่แค่บริษัทยักษ์ใหญ่ 2-3 แห่ง" อนาคตที่จับตาของ DeepSeek บริษัทประกาศแผนระยะยาว 3 ด้าน: 1. พัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ (Large Language Model) รุ่นถัดไปภายในปี 2026 2. ขยายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก 3. ท้าทายเป้าหมายสูงสุด: สร้าง AGI ที่เข้าถึงได้ทุกคน ข้อเท็จจริงน่าสนใจ: หลังเปิดตัว R1 มีนักพัฒนาเกือบ 50,000 คน จาก 120 ประเทศ เข้ามาปรับใช้โมเดลนี้ในโครงการของตัวเองภายในเดือนแรก! ล่าสุด จีน: ประกาศแผนสนับสนุน AI ด้วยเงิน 1 ล้านล้านหยวน (137 พันล้านดอลลาร์) เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2025 ธนาคารแห่งประเทศจีน (Bank of China) ประกาศแผน "支持人工智能产业链发展行动方案" (แผนปฏิบัติการสนับสนุนห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI) โดยจะจัดสรรเงินทุน 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 137 พันล้านดอลลาร์) ในระยะเวลา 5 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI ทั้งในด้านการวิจัยพื้นฐาน การประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจ และการสร้างระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่ง ติดตามผู้ก่อตั้งได้ที่ https://x.com/zizhpan https://x.com/deepseek_ai ใช้งานฟรีไม่จำกัดได้ที่ (สมัครสมาชิกฟรี): https://chat.deepseek.com/ อ้างอิง: Spring News, Mekha News, https://x.com/kimmonismus
    Wow
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนกำลังเตรียมแผนการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) มูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 138 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อแข่งขันกับโครงการ "Stargate Project" ของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แผนการของจีนนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ผ่านการขยายศูนย์ข้อมูลและการเพิ่มจำนวน AI accelerators

    โครงการนี้มีชื่อว่า "AI Industry Development Action Plan" ต่างจากโครงการ "Stargate" ของสหรัฐฯ ที่นำโดยภาคเอกชนและ OpenAI แผนการพัฒนาอุตสาหกรรม AI ของจีนเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐทั้งหมด โดยจะให้ทุนแก่บริษัทต่างๆ เช่น Baidu, ByteDance, Alibaba และ DeepSeek เพื่อสร้างระบบ AI ที่ล้ำหน้ามากขึ้น

    ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา DeepSeek ซึ่งเป็นสาขาของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในจีน ได้เปิดเผยโมเดลการให้เหตุผล R1 และทำให้สามารถใช้งานได้ฟรีสำหรับทุกคน การกระทำนี้ได้ท้าทายคู่แข่งในตะวันตก เช่น OpenAI ซึ่งทำให้ CEO ของ OpenAI ต้องเสนอโมเดล O3-mini สำหรับการใช้งานสูงสุด 100 คำถามต่อวันสำหรับผู้ใช้ ChatGPT Plus

    การพัฒนา AI ในจีนนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันผู้ผลิต AI ในประเทศให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น และอาจทำให้พวกเขาสามารถพัฒนาโมเดลที่ล้ำหน้ากว่าคู่แข่งในตะวันตกได้ แน่นอนว่าการจัดหา GPU สำหรับโครงการเหล่านี้ยังคงเป็นงานที่ซับซ้อน แต่ด้วยการพัฒนา AI accelerators ในประเทศและการใช้ช่องโหว่ในการควบคุมการส่งออก การแข่งขันในด้าน AI กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก

    https://www.techpowerup.com/331636/the-empire-strikes-back-china-prepares-one-trillion-yuan-ai-plan-to-rival-usd-500-billion-us-stargate-project
    จีนกำลังเตรียมแผนการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) มูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 138 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อแข่งขันกับโครงการ "Stargate Project" ของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แผนการของจีนนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ผ่านการขยายศูนย์ข้อมูลและการเพิ่มจำนวน AI accelerators โครงการนี้มีชื่อว่า "AI Industry Development Action Plan" ต่างจากโครงการ "Stargate" ของสหรัฐฯ ที่นำโดยภาคเอกชนและ OpenAI แผนการพัฒนาอุตสาหกรรม AI ของจีนเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐทั้งหมด โดยจะให้ทุนแก่บริษัทต่างๆ เช่น Baidu, ByteDance, Alibaba และ DeepSeek เพื่อสร้างระบบ AI ที่ล้ำหน้ามากขึ้น ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา DeepSeek ซึ่งเป็นสาขาของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในจีน ได้เปิดเผยโมเดลการให้เหตุผล R1 และทำให้สามารถใช้งานได้ฟรีสำหรับทุกคน การกระทำนี้ได้ท้าทายคู่แข่งในตะวันตก เช่น OpenAI ซึ่งทำให้ CEO ของ OpenAI ต้องเสนอโมเดล O3-mini สำหรับการใช้งานสูงสุด 100 คำถามต่อวันสำหรับผู้ใช้ ChatGPT Plus การพัฒนา AI ในจีนนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันผู้ผลิต AI ในประเทศให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น และอาจทำให้พวกเขาสามารถพัฒนาโมเดลที่ล้ำหน้ากว่าคู่แข่งในตะวันตกได้ แน่นอนว่าการจัดหา GPU สำหรับโครงการเหล่านี้ยังคงเป็นงานที่ซับซ้อน แต่ด้วยการพัฒนา AI accelerators ในประเทศและการใช้ช่องโหว่ในการควบคุมการส่งออก การแข่งขันในด้าน AI กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก https://www.techpowerup.com/331636/the-empire-strikes-back-china-prepares-one-trillion-yuan-ai-plan-to-rival-usd-500-billion-us-stargate-project
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    The Empire Strikes Back: China Prepares One Trillion Yuan AI Plan to Rival $500 Billion US Stargate Project
    A few days ago, we reported on the US reading a massive 500 billion US Dollar package called "Stargate Project" to build AI infrastructure on American soil. However, China is also planning to stay close behind, or even overlap the US in some areas, with a one trillion Yuan "AI Industry Development A...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • BOE Technology Group Co., Ltd. (BOE) เป็นบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีของจีนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1993 โดยมีความเชี่ยวชาญในการผลิตจอแสดงผล LCD และ OLED รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยี IoT และเซมิคอนดักเตอร์ กำลังพิจารณาผลิตแผ่นแก้วสำหรับ CPU รุ่นใหม่ของจีน โดยมีแผนที่จะเปิดสายการผลิตนำร่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการที่ BOE มุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น

    การใช้แผ่นแก้วเป็นวัสดุพื้นฐานมีข้อดีหลายอย่าง เช่น ความเรียบที่ยอดเยี่ยมสำหรับการพิมพ์ลายที่แม่นยำ และความเสถียรของการเชื่อมต่อที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีความเสถียรทางความร้อนและกลไกที่ดีเยี่ยม ทำให้สามารถทนต่ออุณหภูมิสูงได้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการใช้งานในศูนย์ข้อมูล

    การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องมีการวิจัยและพัฒนาอย่างมาก รวมถึงการปรับปรุงกระบวนการผลิตใหม่ ๆ แต่หากสามารถเอาชนะอุปสรรคทางเทคนิคและราคาได้ การใช้แผ่นแก้วในการประกอบชิปอาจนำไปสู่ประสิทธิภาพและประโยชน์ด้านต้นทุนในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/boe-reportedly-mulls-producing-glass-substrates-for-chinas-cpus-new-focus-on-semiconductors
    BOE Technology Group Co., Ltd. (BOE) เป็นบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีของจีนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1993 โดยมีความเชี่ยวชาญในการผลิตจอแสดงผล LCD และ OLED รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยี IoT และเซมิคอนดักเตอร์ กำลังพิจารณาผลิตแผ่นแก้วสำหรับ CPU รุ่นใหม่ของจีน โดยมีแผนที่จะเปิดสายการผลิตนำร่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการที่ BOE มุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น การใช้แผ่นแก้วเป็นวัสดุพื้นฐานมีข้อดีหลายอย่าง เช่น ความเรียบที่ยอดเยี่ยมสำหรับการพิมพ์ลายที่แม่นยำ และความเสถียรของการเชื่อมต่อที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีความเสถียรทางความร้อนและกลไกที่ดีเยี่ยม ทำให้สามารถทนต่ออุณหภูมิสูงได้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการใช้งานในศูนย์ข้อมูล การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องมีการวิจัยและพัฒนาอย่างมาก รวมถึงการปรับปรุงกระบวนการผลิตใหม่ ๆ แต่หากสามารถเอาชนะอุปสรรคทางเทคนิคและราคาได้ การใช้แผ่นแก้วในการประกอบชิปอาจนำไปสู่ประสิทธิภาพและประโยชน์ด้านต้นทุนในอนาคต https://www.tomshardware.com/tech-industry/boe-reportedly-mulls-producing-glass-substrates-for-chinas-cpus-new-focus-on-semiconductors
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    BOE reportedly mulls producing glass substrates for China's CPUs — new focus on semiconductors
    China's chip designers are looking towards glass substrates for next-generation processors as BOE gears up to establish a pilot production line.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีการเปิดตัว CPU รุ่นใหม่ของ Intel ที่ชื่อว่า Core Ultra 5 230F ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษที่จำหน่ายเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น CPU รุ่นนี้มีการออกแบบที่แตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ ในตระกูลเดียวกัน โดยมีการใช้ heatspreader ที่แตกต่างกันและมีบรรจุภัณฑ์สีดำที่ดูหรูหรา

    Core Ultra 5 230F มีการจัดเรียงคอร์แบบ 10 คอร์ โดยแบ่งเป็น 6 P-cores และ 4 E-cores โดย P-cores มีความเร็วเริ่มต้นที่ 3.4 GHz และสามารถเพิ่มความเร็วได้สูงสุดถึง 5 GHz ส่วน E-cores มีความเร็วเริ่มต้นที่ 2.9 GHz และสามารถเพิ่มความเร็วได้สูงสุดถึง 4.4 GHz นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มขนาดแคชให้มากขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่น Core Ultra 5 225(F)

    การเปิดตัว CPU รุ่นนี้เป็นการยืนยันถึงความพยายามของ Intel ในการตอบสนองความต้องการของตลาดจีน และยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างและน่าสนใจ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/china-exclusive-arrow-lake-cpu-poses-for-photos-core-ultra-5-230f-debuts-in-sleek-black-box
    มีการเปิดตัว CPU รุ่นใหม่ของ Intel ที่ชื่อว่า Core Ultra 5 230F ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษที่จำหน่ายเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น CPU รุ่นนี้มีการออกแบบที่แตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ ในตระกูลเดียวกัน โดยมีการใช้ heatspreader ที่แตกต่างกันและมีบรรจุภัณฑ์สีดำที่ดูหรูหรา Core Ultra 5 230F มีการจัดเรียงคอร์แบบ 10 คอร์ โดยแบ่งเป็น 6 P-cores และ 4 E-cores โดย P-cores มีความเร็วเริ่มต้นที่ 3.4 GHz และสามารถเพิ่มความเร็วได้สูงสุดถึง 5 GHz ส่วน E-cores มีความเร็วเริ่มต้นที่ 2.9 GHz และสามารถเพิ่มความเร็วได้สูงสุดถึง 4.4 GHz นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มขนาดแคชให้มากขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่น Core Ultra 5 225(F) การเปิดตัว CPU รุ่นนี้เป็นการยืนยันถึงความพยายามของ Intel ในการตอบสนองความต้องการของตลาดจีน และยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างและน่าสนใจ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/china-exclusive-arrow-lake-cpu-poses-for-photos-core-ultra-5-230f-debuts-in-sleek-black-box
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนี่ว์ฮู่ ‘ครัวเรือนสตรี’

    สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ซ่อนรักชายาลับ> คงจำกันได้ว่าในช่วงตอนท้ายๆ ของเรื่อง นางเอกของเราแยกออกมาอยู่เอง Storyฯ ไม่แน่ใจว่าในซับไทยแปลว่าอย่างไรแต่ในภาษาจีนนางบอกว่าจะแยกออกมาตั้งครัวเรือนสตรีหรือที่เรียกว่า ‘หนี่ว์ฮู่’ (女户) ซึ่งคำว่า ‘หนี่ว์ฮู่’ เป็นศัพท์เฉพาะที่หมายถึงครัวเรือนที่จดทะเบียนให้สตรีเป็นเจ้าบ้าน วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กัน

    ความเป็นเจ้าบ้านในบริบทสังคมจีนโบราณนี้ เพื่อนเพจไม่สามารถใช้นิยามและบริบทของเราท่านชาวไทยสมัยนี้มาเปรียบเทียบ เพราะสำหรับเราในยุคไทยปัจจุบันคำว่า ‘เจ้าบ้าน’ ในทะเบียนบ้านไม่ได้หมายถึงผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ในบ้านที่ดินหรือสินทรัพย์ในบ้าน แต่ในบริบทสังคมจีนโบราณนี้ ‘เจ้าบ้าน’ หรือ ‘ฮู่จู่’ (户主) เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในบ้านและสินทรัพย์กองกลางของครัวเรือนนั้นๆ ซึ่งคนจีนโบราณอาจอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่รวมหลายรุ่น (เช่นมีลูกชายหลายคน ทุกคนแต่งเมียเข้าบ้านมีลูกมีหลานอยู่รวมกัน) หรืออาจมีบางคนแยกบ้านออกไปตามความจำเป็นและค่านิยมของสังคมแต่ละยุคสมัย แต่ตราบใดที่อยู่ในบ้านในฐานะสมาชิกครอบครัวจะเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยและอาจมีเบี้ยเลี้ยงรายเดือน ไม่มีกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ที่เป็นของครัวเรือนนั้น มีสินทรัพย์ส่วนตัวได้เฉพาะที่เก็บหอมรอมริบหรือได้รับกำนัลมาเป็นการส่วนตัว เพื่อนเพจเชื้อสายจีนที่คุ้นเคยกับระบบกงสีจะเข้าใจบริบทนี้ได้ง่าย

    ดังนั้น การเป็นเจ้าบ้านในสมัยจีนโบราณผูกรวมกับการมีกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์กองกลางของครัวเรือนนั้น และหมายรวมถึงอำนาจการปกครองและการตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ ในบ้าน และหน้าที่ที่สำคัญมากก็คือการเสียภาษีให้รัฐ

    ในสมัยจีนโบราณนั้น โดยทั่วไป การเป็นเจ้าบ้านและการมีกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ของครอบครัวนั้นสืบทอดทางสายโลหิตจากรุ่นสู่รุ่นและสืบทอดผ่านบุรุษ และในบริบทนี้สตรีขึ้นทะเบียนเป็นเจ้าบ้านได้ก็ต่อเมื่อครอบครัวนั้นๆ ไร้ซึ่งบุรุษสืบทอดหรือที่เรียกว่าสภาวะ ‘ฮู่เจวี๋ย’ (户绝/สิ้นครัวเรือน) นี่คือเหตุผลที่ Storyฯ บอกว่ามันเป็นศัพท์เฉพาะ

    ว่ากันว่า หนี่ว์ฮู่มีมาแต่สมัยฮั่นตอนต้นซึ่งเป็นช่วงหลังสงคราม ประชากรเพศชายเสียชีวิตมากมายในสงคราม จึงจำเป็นต้องให้สิทธิ์สตรีดูแลตนเองได้โดยการตั้งครัวเรือนของตนเพื่อจะได้บริหารสินทรัพย์และเสียภาษีได้ในกรณีที่ไม่เหลือทายาทบุรุษในครอบครัวแล้ว และในสมัยอื่นๆ ต่อมาก็มีหลักการเดียวกันที่ว่า สตรีเป็นเจ้าบ้านได้ในกรณีที่ไร้ทายาทบุรุษ แต่ความแตกต่างของแต่ละสมัยขึ้นอยู่กับคำนิยามของ ‘ทายาทบุรุษ’ ผู้สืบทอดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน (เช่น นับลูกหลานสายตรง หรือนับรวมพี่ชายน้องชายและลูกหลาน หรือนับรวมญาติสกุลเดียวกันที่ห่างออกไปอีก) ทำให้เกณฑ์ที่สตรีจะเข้าเงื่อนไขที่สามารถจดทะเบียนเป็นเจ้าบ้านได้มีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดตามไปด้วย ทั้งนี้ สตรีที่เป็นเจ้าบ้านได้นั้นหมายรวมถึงมารดาม่าย ภรรยาม่าย หรือลูกสาวที่ยังไม่ออกเรือน

    นับแต่สมัยถังมามีการกำหนดกฎหมายมากมายที่ระบุสิทธิของสตรีให้ชัดเจนขึ้น อย่างเช่นเรื่องสินเดิมเจ้าสาวและการหย่าร้างที่ Storyฯ เคยเขียนถึง และรวมถึงสิทธิในการสืบทอดมรดกอีกด้วย เป็นต้นว่าในสมัยถังและซ่ง หากไร้ทายาทบุรุษ ให้ขายสินทรัพย์ทั้งหมดรวมถึงบ่าวไพร่ในบ้าน นำเงินมาจัดงานศพแล้วหากมีเหลือจึงแบ่งกันระหว่างบุตรีที่ยังไม่ออกเรือน เมื่อได้ส่วนแบ่งมรดกของตนแล้ว สตรีนั้นๆ สามารถตั้งครัวเรือนใหม่โดยขึ้นทะเบียนเป็นเจ้าบ้านได้ หรือหากไม่มีบุตรีที่ยังไม่ออกเรือน บุตรีที่ออกเรือนไปแล้วมีสิทธิ์ในส่วนแบ่งมรดกแต่ในกรณีนี้นางอยู่กับครอบครัวสามีก็ไม่ตั้งครัวเรือนใหม่ ส่วนสตรีที่จัดตั้งหนี่ว์ฮู่ขึ้นแล้ว หากต่อมาแต่งงานโดยสามีแต่งเข้า (เรียกว่า จุ้ยซวี่) สตรีนั้นยังคงสิทธิ์เจ้าบ้านตามเดิม แต่หากแต่งออกไปอยู่บ้านสามีก็จะต้องยุบครัวเรือนนั้นทิ้งโดยสามารถนำทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนติดตัวไปด้วยได้ ทั้งนี้สิทธิเหล่านี้มีความแตกต่างในรายละเอียดตามยุคสมัย

    Storyฯ ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและไม่ได้ค้นคว้าลงลึกถึงสิทธิในการครอบครองและสืบทอดสินทรัพย์ของแต่ละยุคสมัยจีนโบราณเพราะมันซับซ้อนเกินความสามารถ ประเด็นหลักที่จะสื่อในวันนี้ก็คือ ในสมัยโบราณสตรีสามารถจัดตั้งครัวเรือนเป็นเจ้าบ้านได้ และสามารถสืบทอดมรดกได้ แต่... เฉพาะในกรณีที่ครอบครัวไร้ทายาทบุรุษ ซึ่งเกณฑ์นี้ขึ้นอยู่กับนิยามว่า ‘ทายาทบุรุษ’ ครอบคลุมญาติในวงแคบหรือวงกว้างเพียงใด

    อนึ่ง Storyฯ เคยเขียนถึงเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้อง เพื่อนเพจสามารถอ่านย้อนหลังเพื่อทบทวนความทรงจำ จะได้เข้าใจต่อเนื่องในบทความข้างต้นได้ค่ะ:
    - เกี่ยวกับทะเบียนราษฎร์ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02DGMdxYPJTbeiAS9n5zUXqo7Zfsn9WTLGbbHPCXcpBFChCxxHzWafnNr8wuNBJ63Tl
    - เกี่ยวกับสินเดิมเจ้าสาว https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/1127226122739012
    - เกี่ยวกับเจ้าบ่าวที่แต่งเข้าเรือนหรือ ‘จุ้ยซวี่’ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02nZxNBtk2h6V7W1wReZ5td8nc2Aaj85o2wkWmPSRtpnGP6dqQSGyCbKaXJPUjHzEal

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.harpersbazaar.com/tw/culture/drama/g61833754/are-you-the-one-8-highlights/
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://legalinfo.moj.gov.cn/pub/sfbzhfx/zhfxfzwh/fzwhfsgs/202107/t20210702_429806.html
    http://e.mzyfz.org.cn/paper/1957/paper_52459_10896.html
    https://www.chinacourt.org/article/detail/2023/05/id/7273412.shtml
    https://bjgy.bjcourt.gov.cn/article/detail/2020/11/id/5563896.shtml
    https://www.chinacourt.org/article/detail/2021/07/id/6125052.shtml
    https://baike.baidu.com/item/户绝

    #ซ่อนรักชายาลับ #หนี่ว์ฮู่ #ครัวเรือนสตรี #สิทธิการสืบทอดมรดกจีนโบราณ #เจ้าบ้านในสมัยจีนโบราณ #สาระจีน
    หนี่ว์ฮู่ ‘ครัวเรือนสตรี’ สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ซ่อนรักชายาลับ> คงจำกันได้ว่าในช่วงตอนท้ายๆ ของเรื่อง นางเอกของเราแยกออกมาอยู่เอง Storyฯ ไม่แน่ใจว่าในซับไทยแปลว่าอย่างไรแต่ในภาษาจีนนางบอกว่าจะแยกออกมาตั้งครัวเรือนสตรีหรือที่เรียกว่า ‘หนี่ว์ฮู่’ (女户) ซึ่งคำว่า ‘หนี่ว์ฮู่’ เป็นศัพท์เฉพาะที่หมายถึงครัวเรือนที่จดทะเบียนให้สตรีเป็นเจ้าบ้าน วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กัน ความเป็นเจ้าบ้านในบริบทสังคมจีนโบราณนี้ เพื่อนเพจไม่สามารถใช้นิยามและบริบทของเราท่านชาวไทยสมัยนี้มาเปรียบเทียบ เพราะสำหรับเราในยุคไทยปัจจุบันคำว่า ‘เจ้าบ้าน’ ในทะเบียนบ้านไม่ได้หมายถึงผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ในบ้านที่ดินหรือสินทรัพย์ในบ้าน แต่ในบริบทสังคมจีนโบราณนี้ ‘เจ้าบ้าน’ หรือ ‘ฮู่จู่’ (户主) เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในบ้านและสินทรัพย์กองกลางของครัวเรือนนั้นๆ ซึ่งคนจีนโบราณอาจอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่รวมหลายรุ่น (เช่นมีลูกชายหลายคน ทุกคนแต่งเมียเข้าบ้านมีลูกมีหลานอยู่รวมกัน) หรืออาจมีบางคนแยกบ้านออกไปตามความจำเป็นและค่านิยมของสังคมแต่ละยุคสมัย แต่ตราบใดที่อยู่ในบ้านในฐานะสมาชิกครอบครัวจะเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยและอาจมีเบี้ยเลี้ยงรายเดือน ไม่มีกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ที่เป็นของครัวเรือนนั้น มีสินทรัพย์ส่วนตัวได้เฉพาะที่เก็บหอมรอมริบหรือได้รับกำนัลมาเป็นการส่วนตัว เพื่อนเพจเชื้อสายจีนที่คุ้นเคยกับระบบกงสีจะเข้าใจบริบทนี้ได้ง่าย ดังนั้น การเป็นเจ้าบ้านในสมัยจีนโบราณผูกรวมกับการมีกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์กองกลางของครัวเรือนนั้น และหมายรวมถึงอำนาจการปกครองและการตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ ในบ้าน และหน้าที่ที่สำคัญมากก็คือการเสียภาษีให้รัฐ ในสมัยจีนโบราณนั้น โดยทั่วไป การเป็นเจ้าบ้านและการมีกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ของครอบครัวนั้นสืบทอดทางสายโลหิตจากรุ่นสู่รุ่นและสืบทอดผ่านบุรุษ และในบริบทนี้สตรีขึ้นทะเบียนเป็นเจ้าบ้านได้ก็ต่อเมื่อครอบครัวนั้นๆ ไร้ซึ่งบุรุษสืบทอดหรือที่เรียกว่าสภาวะ ‘ฮู่เจวี๋ย’ (户绝/สิ้นครัวเรือน) นี่คือเหตุผลที่ Storyฯ บอกว่ามันเป็นศัพท์เฉพาะ ว่ากันว่า หนี่ว์ฮู่มีมาแต่สมัยฮั่นตอนต้นซึ่งเป็นช่วงหลังสงคราม ประชากรเพศชายเสียชีวิตมากมายในสงคราม จึงจำเป็นต้องให้สิทธิ์สตรีดูแลตนเองได้โดยการตั้งครัวเรือนของตนเพื่อจะได้บริหารสินทรัพย์และเสียภาษีได้ในกรณีที่ไม่เหลือทายาทบุรุษในครอบครัวแล้ว และในสมัยอื่นๆ ต่อมาก็มีหลักการเดียวกันที่ว่า สตรีเป็นเจ้าบ้านได้ในกรณีที่ไร้ทายาทบุรุษ แต่ความแตกต่างของแต่ละสมัยขึ้นอยู่กับคำนิยามของ ‘ทายาทบุรุษ’ ผู้สืบทอดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน (เช่น นับลูกหลานสายตรง หรือนับรวมพี่ชายน้องชายและลูกหลาน หรือนับรวมญาติสกุลเดียวกันที่ห่างออกไปอีก) ทำให้เกณฑ์ที่สตรีจะเข้าเงื่อนไขที่สามารถจดทะเบียนเป็นเจ้าบ้านได้มีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดตามไปด้วย ทั้งนี้ สตรีที่เป็นเจ้าบ้านได้นั้นหมายรวมถึงมารดาม่าย ภรรยาม่าย หรือลูกสาวที่ยังไม่ออกเรือน นับแต่สมัยถังมามีการกำหนดกฎหมายมากมายที่ระบุสิทธิของสตรีให้ชัดเจนขึ้น อย่างเช่นเรื่องสินเดิมเจ้าสาวและการหย่าร้างที่ Storyฯ เคยเขียนถึง และรวมถึงสิทธิในการสืบทอดมรดกอีกด้วย เป็นต้นว่าในสมัยถังและซ่ง หากไร้ทายาทบุรุษ ให้ขายสินทรัพย์ทั้งหมดรวมถึงบ่าวไพร่ในบ้าน นำเงินมาจัดงานศพแล้วหากมีเหลือจึงแบ่งกันระหว่างบุตรีที่ยังไม่ออกเรือน เมื่อได้ส่วนแบ่งมรดกของตนแล้ว สตรีนั้นๆ สามารถตั้งครัวเรือนใหม่โดยขึ้นทะเบียนเป็นเจ้าบ้านได้ หรือหากไม่มีบุตรีที่ยังไม่ออกเรือน บุตรีที่ออกเรือนไปแล้วมีสิทธิ์ในส่วนแบ่งมรดกแต่ในกรณีนี้นางอยู่กับครอบครัวสามีก็ไม่ตั้งครัวเรือนใหม่ ส่วนสตรีที่จัดตั้งหนี่ว์ฮู่ขึ้นแล้ว หากต่อมาแต่งงานโดยสามีแต่งเข้า (เรียกว่า จุ้ยซวี่) สตรีนั้นยังคงสิทธิ์เจ้าบ้านตามเดิม แต่หากแต่งออกไปอยู่บ้านสามีก็จะต้องยุบครัวเรือนนั้นทิ้งโดยสามารถนำทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนติดตัวไปด้วยได้ ทั้งนี้สิทธิเหล่านี้มีความแตกต่างในรายละเอียดตามยุคสมัย Storyฯ ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและไม่ได้ค้นคว้าลงลึกถึงสิทธิในการครอบครองและสืบทอดสินทรัพย์ของแต่ละยุคสมัยจีนโบราณเพราะมันซับซ้อนเกินความสามารถ ประเด็นหลักที่จะสื่อในวันนี้ก็คือ ในสมัยโบราณสตรีสามารถจัดตั้งครัวเรือนเป็นเจ้าบ้านได้ และสามารถสืบทอดมรดกได้ แต่... เฉพาะในกรณีที่ครอบครัวไร้ทายาทบุรุษ ซึ่งเกณฑ์นี้ขึ้นอยู่กับนิยามว่า ‘ทายาทบุรุษ’ ครอบคลุมญาติในวงแคบหรือวงกว้างเพียงใด อนึ่ง Storyฯ เคยเขียนถึงเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้อง เพื่อนเพจสามารถอ่านย้อนหลังเพื่อทบทวนความทรงจำ จะได้เข้าใจต่อเนื่องในบทความข้างต้นได้ค่ะ: - เกี่ยวกับทะเบียนราษฎร์ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02DGMdxYPJTbeiAS9n5zUXqo7Zfsn9WTLGbbHPCXcpBFChCxxHzWafnNr8wuNBJ63Tl - เกี่ยวกับสินเดิมเจ้าสาว https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/1127226122739012 - เกี่ยวกับเจ้าบ่าวที่แต่งเข้าเรือนหรือ ‘จุ้ยซวี่’ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02nZxNBtk2h6V7W1wReZ5td8nc2Aaj85o2wkWmPSRtpnGP6dqQSGyCbKaXJPUjHzEal (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.harpersbazaar.com/tw/culture/drama/g61833754/are-you-the-one-8-highlights/ Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://legalinfo.moj.gov.cn/pub/sfbzhfx/zhfxfzwh/fzwhfsgs/202107/t20210702_429806.html http://e.mzyfz.org.cn/paper/1957/paper_52459_10896.html https://www.chinacourt.org/article/detail/2023/05/id/7273412.shtml https://bjgy.bjcourt.gov.cn/article/detail/2020/11/id/5563896.shtml https://www.chinacourt.org/article/detail/2021/07/id/6125052.shtml https://baike.baidu.com/item/户绝 #ซ่อนรักชายาลับ #หนี่ว์ฮู่ #ครัวเรือนสตรี #สิทธิการสืบทอดมรดกจีนโบราณ #เจ้าบ้านในสมัยจีนโบราณ #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 310 มุมมอง 0 รีวิว
  • อาหารพกพายามเดินทางไกล

    สัปดาห์ที่แล้วคุยเรื่องเสบียงอาหารของกองทัพ ก็เลยมีความสงสัยว่า แล้วประชาชนธรรมดาเวลาเดินทางไกลกินอะไรกัน? วันนี้เรามาคุยกันสั้นๆ เรื่องนี้ค่ะ

    ในสมัยนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่มีรถม้าและพักแรมกินอาหารตามโรงเตี๊ยมได้ ระยะทางก็ยาวไกล ไม่สะดวกแบกสัมภาระมาก ภาพที่เราเห็นบ่อยในซีรีส์คือสะพายห่อผ้าเดินเท้ากัน และอาหารที่พกก็คือเปี๊ยะหรือแผ่นแป้งปิ้งที่คุยกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid021ovimRULhAa1TBPph1nXsGVcPHbNM5ABmNwrzEahckFTPhq1zhUQ4n1aNAjDVuGNl)

    จริงๆ แล้วการทำเปี๊ยะปิ้งไม่ใช่งานง่ายนัก กว่าจะนวดแป้ง (ไม่นับชาวบ้านชนบทที่อาจต้องโม่แป้งเอง) ไหนจะต้องคอยดูไฟไม่ให้แรงเกินไป คอยพลิกแผ่นเปี๊ยะไปมา ทั้งหมดต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง อีกทั้งข้าวสาลียังแพงกว่าข้าวฟ่าง ไม่ว่าจะทำเปี๊ยะเองหรือหาซื้อ ล้วนสิ้นเปลืองทุนทรัพย์ ดังนั้น หากมีทางเลือกที่ง่ายกว่าประหยัดกว่า ย่อมเป็นที่นิยมของชาวบ้าน

    อีกทางเลือกที่ว่านี้คือ ‘ฉิ่ว’ (糗) เป็นอาหารแห้งสมัยโบราณ คิดค้นกันขึ้นเมื่อใดก็ไม่ทราบได้ แต่มีการกล่าวถึงในบันทึกพิธีการราชวงศ์โจว หรือ บันทึกโจวหลี่ว่า ‘ฉิวเอ่อร์เฝิ่นฉือ’(糗饵粉飺) คือก้อนข้าวและแผ่นแป้ง แต่จริงๆ แผ่นแป้งที่ว่านี้ไม่ใช่เปี๊ยะ ส่วนผสมมันเหมือนกันกับฉิ่ว เพียงแต่ฉิ่วหมายถึงปั้นเป็นก้อน ในขณะที่ฉือคือบี้ให้แบนเป็นแผ่น

    แล้วมันคืออะไร?

    มันคือการเอาข้าวที่นึ่งสุกแล้วมาใส่น้ำเล็กน้อยแล้วบีบหรือทุบให้เละเพื่อจะได้จับตัวกัน เสร็จแล้วปั้นเป็นก้อน (คือฉิ่ว) หรือบี้แบนเป็นแผ่น (คือฉือ) แล้วนำไปตากแห้ง แห้งแล้วก็จะหน้าตาคล้ายข้าวตังบ้านเรา ปัจจุบันของจีนเขาก็มีขนมหน้าตาคล้ายกันเรียกว่า ‘กัวปา’ (锅巴) (ดูรูปประกอบ) ซึ่งข้าวที่ว่านี้ในสมัยโบราณก่อนยุคหมิงคือข้าวฟ่างเป็นหลัก

    หน้าตาคล้าย แต่รสชาติไม่กรอบร่วนเหมือนข้าวเกรียบกัวปาปัจจุบัน เนื้อของฉิ่วก็จะแน่นๆ แข็งๆ แน่นอนว่ามันเป็นอาหารกินกันตาย ไม่ใช่กินเพื่อความจรรโลงใจ ชาวบ้านยามเดินทางไกลก็ห่อฉิ่วในผ้าบางหรือตะกร้าเล็กซุกไว้ในห่อผ้า เก็บได้นานถึงเกือบครึ่งเดือน เวลาจะกินก็คล้ายกับการกินเปี๊ยะกัวคุยที่กล่าวถึงไปในสัปดาห์ที่แล้ว กล่าวคือจิ้มน้ำจิ้มให้ชุ่มและนุ่มลงแล้วค่อยกิน บางคนก็มีผักดองหรือเนื้อหมักแห้งพกมากินแกล้มด้วย หรือหากมีโอกาสได้น้ำร้อนน้ำแกงก็เอาฉิ่วจุ้ม/แช่ให้นุ่มแล้วกินก็ได้เช่นกัน นึกภาพว่าข้าวชามหนึ่งสามารถอัดเป็นก้อนได้ขนาดเล็ก ดังนั้นเห็นก้อนเล็กๆ ก็อิ่มไม่น้อย พกจากบ้านไปก็ประหยัดทรัพย์ไปได้หลายวัน

    น้ำจิ้มที่ใช้ก็พวกถั่วหมักเค็มหรือเต้าเจี้ยว ใส่เครื่องปรุงอย่างอื่นบ้าง ใส่ขิงซอยขิงสับบ้าง แต่น้ำจิ้มเป็นน้ำ เขาพกพากันอย่างไร? ง่ายๆ คือเอาไปตากแดดจนน้ำระเหย จาก ‘น้ำ’ จิ้มก็กลายเป็น ‘เปียก’ จิ้ม... คือข้นๆ เหนียวๆ เสร็จแล้วก็ห่อในกระดาษน้ำมัน พกพาได้ง่าย เวลาจะกินก็แบ่งออกมาเติมน้ำผสมให้เหลวหน่อย

    น้ำจิ้มมันเค็มจึงมักมีการตัดเค็มด้วยน้ำส้มสายชู แต่วิธีการพกน้ำส้มสายชูเป็นอะไรที่ Storyฯ ยอมรับว่าเหนือความคาดหมายของข้าพเจ้าเอง สมัยนั้นมีไหมีขวดให้ใช้บรรจุน้ำส้มสายชูได้แต่ก็ไม่สามารถพกติดตัวได้ในปริมาณมาก อีกทั้งยังส่งกลิ่นแรง (มันซึมผ่านผ้าที่จุกฝา) ดังนั้นวิธีพกคือใช้ผ้าสะอาดตัดเป็นแถบแล้วแช่ในน้ำส้มสายชู จากนั้นนำมาตากแห้ง พกเป็นผ้าไป เวลาจะกินก็ตัดผ้าชิ้นเล็กออกมาแช่ในน้ำก็จะได้รสชาติของน้ำส้มสายชูแล้ว

    และไม่ว่าจะเป็นฉิ่ว หรือน้ำจิ้ม หรือวิธีพกน้ำส้มสายชูที่กล่าวถึงข้างต้น ไม่เพียงใช้โดยชาวบ้านธรรมดา แต่ในกองทัพก็ใช้เช่นกัน Storyฯ หาไม่พบข้อมูลว่าฉิ่วหายไปจากวิถีชีวิตของชาวบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ สันนิษฐานเอาเองว่าหายไปเมื่อสารพัดชนิดของเปี๊ยะมีมากขึ้นและราคาถูกลง

    เชื่อว่าวิธีเตรียมและพกพาอาหารแห้งเหล่านี้ ของไทยเราก็น่าจะมีอะไรคล้ายคลึงที่สืบทอดเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านมาเช่นกัน แต่ Storyฯ ไม่รู้จักมากนัก ใครมีเรื่องเล่าที่ฟังมาจากผู้ใหญ่หรือคนรุ่นก่อน นำมาเล่าแบ่งปันกันด้วยนะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://www.sohu.com/a/690825754_121115947
    https://www.sohu.com/a/712914583_121338666
    https://m.fx361.com/news/2022/0630/10495172.html
    https://www.sohu.com/a/443453413_120946747
    https://www.sohu.com/a/476806140_120018480
    https://cidian.qianp.com/ci/%E7%B3%97%E9%A5%B5
    https://www.zhihu.com/question/558888787/answer/2718324984
    https://www.meishichina.com/mofang/shaobing/

    #สยบรักจอมเสเพล #กัวปา #ฉิ่ว #เสบียงแห้งโบราณ
    อาหารพกพายามเดินทางไกล สัปดาห์ที่แล้วคุยเรื่องเสบียงอาหารของกองทัพ ก็เลยมีความสงสัยว่า แล้วประชาชนธรรมดาเวลาเดินทางไกลกินอะไรกัน? วันนี้เรามาคุยกันสั้นๆ เรื่องนี้ค่ะ ในสมัยนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่มีรถม้าและพักแรมกินอาหารตามโรงเตี๊ยมได้ ระยะทางก็ยาวไกล ไม่สะดวกแบกสัมภาระมาก ภาพที่เราเห็นบ่อยในซีรีส์คือสะพายห่อผ้าเดินเท้ากัน และอาหารที่พกก็คือเปี๊ยะหรือแผ่นแป้งปิ้งที่คุยกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid021ovimRULhAa1TBPph1nXsGVcPHbNM5ABmNwrzEahckFTPhq1zhUQ4n1aNAjDVuGNl) จริงๆ แล้วการทำเปี๊ยะปิ้งไม่ใช่งานง่ายนัก กว่าจะนวดแป้ง (ไม่นับชาวบ้านชนบทที่อาจต้องโม่แป้งเอง) ไหนจะต้องคอยดูไฟไม่ให้แรงเกินไป คอยพลิกแผ่นเปี๊ยะไปมา ทั้งหมดต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง อีกทั้งข้าวสาลียังแพงกว่าข้าวฟ่าง ไม่ว่าจะทำเปี๊ยะเองหรือหาซื้อ ล้วนสิ้นเปลืองทุนทรัพย์ ดังนั้น หากมีทางเลือกที่ง่ายกว่าประหยัดกว่า ย่อมเป็นที่นิยมของชาวบ้าน อีกทางเลือกที่ว่านี้คือ ‘ฉิ่ว’ (糗) เป็นอาหารแห้งสมัยโบราณ คิดค้นกันขึ้นเมื่อใดก็ไม่ทราบได้ แต่มีการกล่าวถึงในบันทึกพิธีการราชวงศ์โจว หรือ บันทึกโจวหลี่ว่า ‘ฉิวเอ่อร์เฝิ่นฉือ’(糗饵粉飺) คือก้อนข้าวและแผ่นแป้ง แต่จริงๆ แผ่นแป้งที่ว่านี้ไม่ใช่เปี๊ยะ ส่วนผสมมันเหมือนกันกับฉิ่ว เพียงแต่ฉิ่วหมายถึงปั้นเป็นก้อน ในขณะที่ฉือคือบี้ให้แบนเป็นแผ่น แล้วมันคืออะไร? มันคือการเอาข้าวที่นึ่งสุกแล้วมาใส่น้ำเล็กน้อยแล้วบีบหรือทุบให้เละเพื่อจะได้จับตัวกัน เสร็จแล้วปั้นเป็นก้อน (คือฉิ่ว) หรือบี้แบนเป็นแผ่น (คือฉือ) แล้วนำไปตากแห้ง แห้งแล้วก็จะหน้าตาคล้ายข้าวตังบ้านเรา ปัจจุบันของจีนเขาก็มีขนมหน้าตาคล้ายกันเรียกว่า ‘กัวปา’ (锅巴) (ดูรูปประกอบ) ซึ่งข้าวที่ว่านี้ในสมัยโบราณก่อนยุคหมิงคือข้าวฟ่างเป็นหลัก หน้าตาคล้าย แต่รสชาติไม่กรอบร่วนเหมือนข้าวเกรียบกัวปาปัจจุบัน เนื้อของฉิ่วก็จะแน่นๆ แข็งๆ แน่นอนว่ามันเป็นอาหารกินกันตาย ไม่ใช่กินเพื่อความจรรโลงใจ ชาวบ้านยามเดินทางไกลก็ห่อฉิ่วในผ้าบางหรือตะกร้าเล็กซุกไว้ในห่อผ้า เก็บได้นานถึงเกือบครึ่งเดือน เวลาจะกินก็คล้ายกับการกินเปี๊ยะกัวคุยที่กล่าวถึงไปในสัปดาห์ที่แล้ว กล่าวคือจิ้มน้ำจิ้มให้ชุ่มและนุ่มลงแล้วค่อยกิน บางคนก็มีผักดองหรือเนื้อหมักแห้งพกมากินแกล้มด้วย หรือหากมีโอกาสได้น้ำร้อนน้ำแกงก็เอาฉิ่วจุ้ม/แช่ให้นุ่มแล้วกินก็ได้เช่นกัน นึกภาพว่าข้าวชามหนึ่งสามารถอัดเป็นก้อนได้ขนาดเล็ก ดังนั้นเห็นก้อนเล็กๆ ก็อิ่มไม่น้อย พกจากบ้านไปก็ประหยัดทรัพย์ไปได้หลายวัน น้ำจิ้มที่ใช้ก็พวกถั่วหมักเค็มหรือเต้าเจี้ยว ใส่เครื่องปรุงอย่างอื่นบ้าง ใส่ขิงซอยขิงสับบ้าง แต่น้ำจิ้มเป็นน้ำ เขาพกพากันอย่างไร? ง่ายๆ คือเอาไปตากแดดจนน้ำระเหย จาก ‘น้ำ’ จิ้มก็กลายเป็น ‘เปียก’ จิ้ม... คือข้นๆ เหนียวๆ เสร็จแล้วก็ห่อในกระดาษน้ำมัน พกพาได้ง่าย เวลาจะกินก็แบ่งออกมาเติมน้ำผสมให้เหลวหน่อย น้ำจิ้มมันเค็มจึงมักมีการตัดเค็มด้วยน้ำส้มสายชู แต่วิธีการพกน้ำส้มสายชูเป็นอะไรที่ Storyฯ ยอมรับว่าเหนือความคาดหมายของข้าพเจ้าเอง สมัยนั้นมีไหมีขวดให้ใช้บรรจุน้ำส้มสายชูได้แต่ก็ไม่สามารถพกติดตัวได้ในปริมาณมาก อีกทั้งยังส่งกลิ่นแรง (มันซึมผ่านผ้าที่จุกฝา) ดังนั้นวิธีพกคือใช้ผ้าสะอาดตัดเป็นแถบแล้วแช่ในน้ำส้มสายชู จากนั้นนำมาตากแห้ง พกเป็นผ้าไป เวลาจะกินก็ตัดผ้าชิ้นเล็กออกมาแช่ในน้ำก็จะได้รสชาติของน้ำส้มสายชูแล้ว และไม่ว่าจะเป็นฉิ่ว หรือน้ำจิ้ม หรือวิธีพกน้ำส้มสายชูที่กล่าวถึงข้างต้น ไม่เพียงใช้โดยชาวบ้านธรรมดา แต่ในกองทัพก็ใช้เช่นกัน Storyฯ หาไม่พบข้อมูลว่าฉิ่วหายไปจากวิถีชีวิตของชาวบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ สันนิษฐานเอาเองว่าหายไปเมื่อสารพัดชนิดของเปี๊ยะมีมากขึ้นและราคาถูกลง เชื่อว่าวิธีเตรียมและพกพาอาหารแห้งเหล่านี้ ของไทยเราก็น่าจะมีอะไรคล้ายคลึงที่สืบทอดเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านมาเช่นกัน แต่ Storyฯ ไม่รู้จักมากนัก ใครมีเรื่องเล่าที่ฟังมาจากผู้ใหญ่หรือคนรุ่นก่อน นำมาเล่าแบ่งปันกันด้วยนะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://www.sohu.com/a/690825754_121115947 https://www.sohu.com/a/712914583_121338666 https://m.fx361.com/news/2022/0630/10495172.html https://www.sohu.com/a/443453413_120946747 https://www.sohu.com/a/476806140_120018480 https://cidian.qianp.com/ci/%E7%B3%97%E9%A5%B5 https://www.zhihu.com/question/558888787/answer/2718324984 https://www.meishichina.com/mofang/shaobing/ #สยบรักจอมเสเพล #กัวปา #ฉิ่ว #เสบียงแห้งโบราณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • เสบียงของทหารจีนโบราณ

    เพื่อนเพจที่ได้ดูละครหรืออ่านนิยายเรื่อง <สยบรักจอมเสเพล> จะเห็นว่าหนึ่งในสาระการเดินเรื่องที่สำคัญคือการจัดหาเสบียงไว้ใช้ในยามศึก แม้ว่าฉากหน้าร้านจะมีข้าวหลายชนิด แต่เวลาขนส่งเป็นกระสอบมักเป็นภาพของข้าวสารสีขาว ละครเรื่องอื่นส่วนใหญ่ก็เช่นกัน ไม่ทราบว่ามีใคร ‘เอ๊ะ’ เหมือน Storyฯ ไหมว่า ดำนาปลูกข้าวต้องใช้น้ำปริมาณมาก จีนโบราณเขาสามารถมีข้าวเป็นเสบียงได้มากมายเชียวหรือ?

    วันนี้เราเลยมาคุยกันเรื่องเสบียงของทหารจีนโบราณ

    ก่อนอื่นคุยกันเรื่องชนิดของข้าว ข้าวขาวเรียกว่า ‘หมี่’ (米) หรือ ‘ต้าหมี่’ หรือ ‘เต้าหมี่’ (大米 / 稻米) แต่จริงๆ แล้วคำว่า ‘หมี่’ ใช้หมายถึงข้าวชนิดอื่นได้ด้วยโดยเฉพาะเมื่อใช้ในบริบทของเสบียง ข้าวที่ใช้เป็นเสบียงอาหารหลักในสมัยจีนโบราณ (และเป็นอาหารของคนทั่วไปที่ไม่ได้มีเงินมากมาย) จริงๆ แล้วคือข้าวฟ่าง เรียกว่า ‘เสียวหมี่’ ( 小米 … ใช่ค่ะ คือชื่อแบรนด์มือถือและอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์จีนที่เราคุ้นหูกันดี) (ดูรูปประกอบ2) หรือที่ในละคร <สยบรักจอมเสเพล> เรียกว่า ‘หวงหมี่’ (แปลตรงตัวว่าข้าวเหลือง)

    ข้าวฟ่างถูกใช้เป็นเสบียงหลักของทหารมาหลายพันปี ต่อเนื่องตั้งแต่สมัยฉินจนสมัยถัง และยังมีใช้บ้างในสมัยซ่ง ทั้งนี้ เพราะมันทนต่อสภาวะน้ำแล้ง จึงปลูกได้หลายพื้นที่ มีผลผลิตสูงเมื่อเทียบกับข้าวชนิดอื่น โดยเฉพาะในสมัยแรกๆ ที่ยังไม่ค่อยมีวิวัฒนาการด้านการเกษตร เมื่อผลผลิตสูงก็มีราคาต่ำกว่าข้าวชนิดอื่น ในบางยุคสมัยถูกกว่าถึงสองสามเท่า ใช้เป็นเสบียงได้ทั้งคนและม้าศึก นอกจากนี้ ข้าวฟ่างหุงสุกง่ายเพราะเปลือกไม่หนา และสามารถเก็บได้นานเป็น 9-10ปี ว่ากันว่าข้าวฟ่างในคลังหลวงของนครฉางอันภายหลังจากราชวงศ์สุยถูกล้มล้างลงนั้น ถูกใช้ต่อเนื่องมาในสมัยถังได้อีก 11 ปีเลยทีเดียว

    วิธีปรุงอาหารที่ง่ายที่สุดสำหรับกองทัพก็คือข้าวต้ม จึงไม่แปลกที่เราเห็นทหารยกชามข้าวซดกันในซีรีส์ ในสมัยนั้นมีการพกเนื้อสัตว์หรือเนื้อปลาตากแห้งไปกินแกล้ม แต่ก็มีล่าสัตว์เพิ่มเติมเวลาตั้งค่าย มีผักอะไรหาได้ก็ใส่ๆ ลงไป นั่นคืออาหารของทหารสมัยนั้น บางทีก็มีข้าวหรือธัญพืชชนิดอื่นผสม เช่นข้าวบาร์เลย์ แล้วแต่ว่าช่วงนั้นมีผลผลิตอะไรราคาถูกในพื้นที่นั้นๆ

    โจ๊กจึงเป็นอาหารหลักของกองทัพมาหลายยุคสมัย ภายหลังยุคชุนชิวก็มีหมั่นโถวมาเพิ่ม จวบจนสมัยชิงที่เน้นกินเนื้อสัตว์มากกว่าเน้นข้าว ทั้งนี้ เพื่อลดการขนส่งข้าวให้น้อยลงเพราะมันมีความยุ่งยากและสูญเสียมากระหว่างเดินทางไกล โดยมีการต้อนวัวและแกะไปพร้อมกับกองทัพ เวลาจะกินค่อยฆ่า ซึ่งภาพการเดินทัพและขนเสบียงแบบนี้ Storyฯ คิดว่าไม่เคยเห็นในซีรีส์ แต่ถ้าใครเคยผ่านตาแวะมาเล่าสู่กันฟังได้ค่ะ

    แต่จะต้มโจ๊กหรือนึ่งหมั่นโถวได้ต้องตั้งครัว ในยามที่ต้องเตรียมพร้อมรบอยู่ตลอดเวลาย่อมไม่สะดวก จึงต้องมีเสบียงอย่างอื่นที่สะดวกต่อการพกพาไม่ต้องเสียเวลาตั้งครัว เสบียงที่ว่านี้คืออะไร?

    จริงแล้วในสมัยฮั่น มีการปลูกข้าวสาลีมากขึ้นกว่ายุคก่อน แต่ปริมาณยังน้อยกว่าข้าวฟ่าง ไม่เหมาะใช้กินเป็นอาหารหลัก แต่นิยมใช้บดเป็นแป้งมาทำเปี๊ยะ เรียกว่า ‘กัวคุย’ (锅盔 ดูรูปประกอบ 3 ซ้าย) ทำจากแป้งข้าวสาลีและน้ำเป็นหลัก นำมานาบและปิ้งในหม้อดินเผาด้วยไฟอ่อน พลิกไปพลิกมาจนสุก เปี๊ยะนี้ใหญ่และหนาเป็นนิ้ว เนื้อแป้งแน่นๆ แข็งๆ สามารถเก็บได้นาน 10-15 วัน แต่แน่นอนว่ารสชาติมันไม่ค่อยน่าพิสมัยเพราะแห้งมาก เวลากินจึงนิยมป้ายน้ำจิ้มลงไปให้มันนุ่มและมีรสชาติมากขึ้น ซึ่งน้ำจิ้มที่ว่านี้โดยหลักก็จะเป็นพวกถั่วหมักเค็มซึ่งพัฒนาขึ้นเป็นซีอิ๊วและเต้าเจี้ยว หรือหากมีน้ำแกงหรือน้ำเต้าหู้ก็แช่จนนิ่มกินก็จะมีรสชาติมากขึ้น

    ว่ากันว่าในสมัยฉิน ทหารได้รับการแจกจ่ายเปี๊ยะกัวคุยกันคนละสองแผ่น แผ่นหนึ่งหนาประมาณเกือบนิ้วหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม เวลาพกก็เจาะรูร้อยเชือกหนังแขวนพาดบ่าไว้ แผ่นหนึ่งอยู่ด้านหน้า แผ่นหนึ่งอยู่ด้านหลัง เวลาโดนข้าศึกลอบยิงธนูใส่ยังสามารถใช้เป็นเกราะกำบัง! แต่เรื่องนี้ Storyฯ อ่านเจอก็ไม่แน่ใจว่าจริงเท็จประการใด เอาเป็นว่า ให้เห็นภาพว่ากัวคุยนั้นหนาและแข็งก็แล้วกันนะคะ

    ต่อมาในสมัยถังและซ่ง เสบียงที่ใช้พกพานั้นคือ ‘ซาวปิ่ง’ (烧饼) ในยุคนั้นมีทหารม้าจำนวนมาก การพกซาวปิ่งจึงกลายเป็นเสบียงหลักเพราะสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย และมันเป็นอาหารที่ถูกปากเหล่าทหารไม่น้อย เพราะซาวปิ่งในสมัยนั้นเป็นอาหารที่นิยมแพร่หลายในหมู่ชน ทั้งเป็นอาหารหลักและของกินเล่น มันก็คือเปี๊ยะที่เอามาปิ้งหรือทอดที่เราเห็นบ่อยๆ ในซีรีส์ หน้าตาของซาวปิ่งมีส่วนคล้ายกัวคุยที่กล่าวถึงข้างต้น อ่านดูก็ไม่แน่ใจว่าต่างกันอย่างไร แต่เข้าใจว่าซาวปิ่งมีการปรุงแต่งมากกว่า เช่นเอาแป้งผสมเนื้อและต้นหอม ผสมเนยจามรี สุกแล้วกรอบนอกนุ่มใน เนื้อแป้งด้านในเป็นชั้นๆ (นึกภาพคล้ายเนื้อแป้งโรตี) ซึ่งแตกต่างจากกัวคุย (ดูรูปเปรียบเทียบในรูป 3) ปัจจุบันซาวปิ่งยังเป็นที่นิยมอยู่ในหลายพื้นที่ หน้าตาและส่วนผสมแตกต่างกันไปแล้วแต่พื้นที่ มีทั้งแบบใส่ไส้และไม่ใส่ไส้

    ต่อมาในสมัยหมิงมีการพัฒนาเสบียงพกพาแบบใหม่ขึ้นอีกและเปลี่ยนมาใช้ข้าวขาวแทนข้าวฟ่าง เนื่องจากในยุคสมัยนี้ผลผลิตข้าวขาวสูงขึ้นมาก เกิดเป็นไอเดียเอาข้าวสุกตากแห้งพกเป็นเสบียง เวลาจะกินก็เติมน้ำอุ่นน้ำร้อนแช่ทิ้งไว้ กลายเป็นข้าวต้ม นับว่าเป็นอาหารจานด่วนโดยแท้ จะเรียกว่าเป็นต้นกำเนิดของโจ๊กและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ไหมนะ?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://k.sina.cn/article_5113022164_130c286d4040011jeu.html?from=ent&subch=oent
    http://www.foodwifi.net/jkys/201710/72511.html
    https://k.sina.cn/article_5899149139_15f9ddf5300100eewv.html
    http://m.qulishi.com/article/202105/513111.html
    https://k.sina.cn/article_2277596227_87c15c43040013i62.html
    https://www.zhihu.com/tardis/zm/art/351540381?source_id=1003
    https://www.sohu.com/a/239218972_155326
    http://m.qulishi.com/article/202011/453756.html#:~:text=锅盔是一种烙,锅盔都同样好吃
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/566492773
    https://www.toutiao.com/article/6967140332173656583/
    https://k.sina.cn/article_5502315099_147f6aa5b00100k0jm.html
    https://www.sohu.com/a/710019104_121119015
    https://www.meishichina.com/mofang/shaobing/

    #สยบรักจอมเสเพล #เสบียงทหารโบราณ #ข้าวฟ่าง #แป้งปิ้ง
    เสบียงของทหารจีนโบราณ เพื่อนเพจที่ได้ดูละครหรืออ่านนิยายเรื่อง <สยบรักจอมเสเพล> จะเห็นว่าหนึ่งในสาระการเดินเรื่องที่สำคัญคือการจัดหาเสบียงไว้ใช้ในยามศึก แม้ว่าฉากหน้าร้านจะมีข้าวหลายชนิด แต่เวลาขนส่งเป็นกระสอบมักเป็นภาพของข้าวสารสีขาว ละครเรื่องอื่นส่วนใหญ่ก็เช่นกัน ไม่ทราบว่ามีใคร ‘เอ๊ะ’ เหมือน Storyฯ ไหมว่า ดำนาปลูกข้าวต้องใช้น้ำปริมาณมาก จีนโบราณเขาสามารถมีข้าวเป็นเสบียงได้มากมายเชียวหรือ? วันนี้เราเลยมาคุยกันเรื่องเสบียงของทหารจีนโบราณ ก่อนอื่นคุยกันเรื่องชนิดของข้าว ข้าวขาวเรียกว่า ‘หมี่’ (米) หรือ ‘ต้าหมี่’ หรือ ‘เต้าหมี่’ (大米 / 稻米) แต่จริงๆ แล้วคำว่า ‘หมี่’ ใช้หมายถึงข้าวชนิดอื่นได้ด้วยโดยเฉพาะเมื่อใช้ในบริบทของเสบียง ข้าวที่ใช้เป็นเสบียงอาหารหลักในสมัยจีนโบราณ (และเป็นอาหารของคนทั่วไปที่ไม่ได้มีเงินมากมาย) จริงๆ แล้วคือข้าวฟ่าง เรียกว่า ‘เสียวหมี่’ ( 小米 … ใช่ค่ะ คือชื่อแบรนด์มือถือและอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์จีนที่เราคุ้นหูกันดี) (ดูรูปประกอบ2) หรือที่ในละคร <สยบรักจอมเสเพล> เรียกว่า ‘หวงหมี่’ (แปลตรงตัวว่าข้าวเหลือง) ข้าวฟ่างถูกใช้เป็นเสบียงหลักของทหารมาหลายพันปี ต่อเนื่องตั้งแต่สมัยฉินจนสมัยถัง และยังมีใช้บ้างในสมัยซ่ง ทั้งนี้ เพราะมันทนต่อสภาวะน้ำแล้ง จึงปลูกได้หลายพื้นที่ มีผลผลิตสูงเมื่อเทียบกับข้าวชนิดอื่น โดยเฉพาะในสมัยแรกๆ ที่ยังไม่ค่อยมีวิวัฒนาการด้านการเกษตร เมื่อผลผลิตสูงก็มีราคาต่ำกว่าข้าวชนิดอื่น ในบางยุคสมัยถูกกว่าถึงสองสามเท่า ใช้เป็นเสบียงได้ทั้งคนและม้าศึก นอกจากนี้ ข้าวฟ่างหุงสุกง่ายเพราะเปลือกไม่หนา และสามารถเก็บได้นานเป็น 9-10ปี ว่ากันว่าข้าวฟ่างในคลังหลวงของนครฉางอันภายหลังจากราชวงศ์สุยถูกล้มล้างลงนั้น ถูกใช้ต่อเนื่องมาในสมัยถังได้อีก 11 ปีเลยทีเดียว วิธีปรุงอาหารที่ง่ายที่สุดสำหรับกองทัพก็คือข้าวต้ม จึงไม่แปลกที่เราเห็นทหารยกชามข้าวซดกันในซีรีส์ ในสมัยนั้นมีการพกเนื้อสัตว์หรือเนื้อปลาตากแห้งไปกินแกล้ม แต่ก็มีล่าสัตว์เพิ่มเติมเวลาตั้งค่าย มีผักอะไรหาได้ก็ใส่ๆ ลงไป นั่นคืออาหารของทหารสมัยนั้น บางทีก็มีข้าวหรือธัญพืชชนิดอื่นผสม เช่นข้าวบาร์เลย์ แล้วแต่ว่าช่วงนั้นมีผลผลิตอะไรราคาถูกในพื้นที่นั้นๆ โจ๊กจึงเป็นอาหารหลักของกองทัพมาหลายยุคสมัย ภายหลังยุคชุนชิวก็มีหมั่นโถวมาเพิ่ม จวบจนสมัยชิงที่เน้นกินเนื้อสัตว์มากกว่าเน้นข้าว ทั้งนี้ เพื่อลดการขนส่งข้าวให้น้อยลงเพราะมันมีความยุ่งยากและสูญเสียมากระหว่างเดินทางไกล โดยมีการต้อนวัวและแกะไปพร้อมกับกองทัพ เวลาจะกินค่อยฆ่า ซึ่งภาพการเดินทัพและขนเสบียงแบบนี้ Storyฯ คิดว่าไม่เคยเห็นในซีรีส์ แต่ถ้าใครเคยผ่านตาแวะมาเล่าสู่กันฟังได้ค่ะ แต่จะต้มโจ๊กหรือนึ่งหมั่นโถวได้ต้องตั้งครัว ในยามที่ต้องเตรียมพร้อมรบอยู่ตลอดเวลาย่อมไม่สะดวก จึงต้องมีเสบียงอย่างอื่นที่สะดวกต่อการพกพาไม่ต้องเสียเวลาตั้งครัว เสบียงที่ว่านี้คืออะไร? จริงแล้วในสมัยฮั่น มีการปลูกข้าวสาลีมากขึ้นกว่ายุคก่อน แต่ปริมาณยังน้อยกว่าข้าวฟ่าง ไม่เหมาะใช้กินเป็นอาหารหลัก แต่นิยมใช้บดเป็นแป้งมาทำเปี๊ยะ เรียกว่า ‘กัวคุย’ (锅盔 ดูรูปประกอบ 3 ซ้าย) ทำจากแป้งข้าวสาลีและน้ำเป็นหลัก นำมานาบและปิ้งในหม้อดินเผาด้วยไฟอ่อน พลิกไปพลิกมาจนสุก เปี๊ยะนี้ใหญ่และหนาเป็นนิ้ว เนื้อแป้งแน่นๆ แข็งๆ สามารถเก็บได้นาน 10-15 วัน แต่แน่นอนว่ารสชาติมันไม่ค่อยน่าพิสมัยเพราะแห้งมาก เวลากินจึงนิยมป้ายน้ำจิ้มลงไปให้มันนุ่มและมีรสชาติมากขึ้น ซึ่งน้ำจิ้มที่ว่านี้โดยหลักก็จะเป็นพวกถั่วหมักเค็มซึ่งพัฒนาขึ้นเป็นซีอิ๊วและเต้าเจี้ยว หรือหากมีน้ำแกงหรือน้ำเต้าหู้ก็แช่จนนิ่มกินก็จะมีรสชาติมากขึ้น ว่ากันว่าในสมัยฉิน ทหารได้รับการแจกจ่ายเปี๊ยะกัวคุยกันคนละสองแผ่น แผ่นหนึ่งหนาประมาณเกือบนิ้วหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม เวลาพกก็เจาะรูร้อยเชือกหนังแขวนพาดบ่าไว้ แผ่นหนึ่งอยู่ด้านหน้า แผ่นหนึ่งอยู่ด้านหลัง เวลาโดนข้าศึกลอบยิงธนูใส่ยังสามารถใช้เป็นเกราะกำบัง! แต่เรื่องนี้ Storyฯ อ่านเจอก็ไม่แน่ใจว่าจริงเท็จประการใด เอาเป็นว่า ให้เห็นภาพว่ากัวคุยนั้นหนาและแข็งก็แล้วกันนะคะ ต่อมาในสมัยถังและซ่ง เสบียงที่ใช้พกพานั้นคือ ‘ซาวปิ่ง’ (烧饼) ในยุคนั้นมีทหารม้าจำนวนมาก การพกซาวปิ่งจึงกลายเป็นเสบียงหลักเพราะสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย และมันเป็นอาหารที่ถูกปากเหล่าทหารไม่น้อย เพราะซาวปิ่งในสมัยนั้นเป็นอาหารที่นิยมแพร่หลายในหมู่ชน ทั้งเป็นอาหารหลักและของกินเล่น มันก็คือเปี๊ยะที่เอามาปิ้งหรือทอดที่เราเห็นบ่อยๆ ในซีรีส์ หน้าตาของซาวปิ่งมีส่วนคล้ายกัวคุยที่กล่าวถึงข้างต้น อ่านดูก็ไม่แน่ใจว่าต่างกันอย่างไร แต่เข้าใจว่าซาวปิ่งมีการปรุงแต่งมากกว่า เช่นเอาแป้งผสมเนื้อและต้นหอม ผสมเนยจามรี สุกแล้วกรอบนอกนุ่มใน เนื้อแป้งด้านในเป็นชั้นๆ (นึกภาพคล้ายเนื้อแป้งโรตี) ซึ่งแตกต่างจากกัวคุย (ดูรูปเปรียบเทียบในรูป 3) ปัจจุบันซาวปิ่งยังเป็นที่นิยมอยู่ในหลายพื้นที่ หน้าตาและส่วนผสมแตกต่างกันไปแล้วแต่พื้นที่ มีทั้งแบบใส่ไส้และไม่ใส่ไส้ ต่อมาในสมัยหมิงมีการพัฒนาเสบียงพกพาแบบใหม่ขึ้นอีกและเปลี่ยนมาใช้ข้าวขาวแทนข้าวฟ่าง เนื่องจากในยุคสมัยนี้ผลผลิตข้าวขาวสูงขึ้นมาก เกิดเป็นไอเดียเอาข้าวสุกตากแห้งพกเป็นเสบียง เวลาจะกินก็เติมน้ำอุ่นน้ำร้อนแช่ทิ้งไว้ กลายเป็นข้าวต้ม นับว่าเป็นอาหารจานด่วนโดยแท้ จะเรียกว่าเป็นต้นกำเนิดของโจ๊กและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ไหมนะ? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://k.sina.cn/article_5113022164_130c286d4040011jeu.html?from=ent&subch=oent http://www.foodwifi.net/jkys/201710/72511.html https://k.sina.cn/article_5899149139_15f9ddf5300100eewv.html http://m.qulishi.com/article/202105/513111.html https://k.sina.cn/article_2277596227_87c15c43040013i62.html https://www.zhihu.com/tardis/zm/art/351540381?source_id=1003 https://www.sohu.com/a/239218972_155326 http://m.qulishi.com/article/202011/453756.html#:~:text=锅盔是一种烙,锅盔都同样好吃 https://zhuanlan.zhihu.com/p/566492773 https://www.toutiao.com/article/6967140332173656583/ https://k.sina.cn/article_5502315099_147f6aa5b00100k0jm.html https://www.sohu.com/a/710019104_121119015 https://www.meishichina.com/mofang/shaobing/ #สยบรักจอมเสเพล #เสบียงทหารโบราณ #ข้าวฟ่าง #แป้งปิ้ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • เถาฝู ป้ายมงคลฉลองตรุษจีนโบราณ

    เข้าสู่เทศกาลตรุษจีนแล้ว ก็คงไม่แคล้วต้องคุยถึงประเพณีและวัฒนธรรมจีนโบราณที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลตรุษจีน ปีก่อนๆ ที่ Storyฯ เคยกล่าวถึงไปคือ: การโส่วซุ่ยหรืออดนอนข้ามคืนเป็นนัยว่าให้ผู้ใหญ่ในบ้านอายุยืนยาว; การกินสุราสมุนไพรเช่นสุราพริกหอม; คำมงคลและอักษรประสม ใครยังไม่ได้อ่านลองย้อนกลับไปอ่านนะคะ (หาลิ้งค์ได้ในสารบัญของเพจ)

    วันนี้มาคุยกันถึงป้ายมงคลคู่แบบหนึ่ง เรียกว่า ‘เถาฝู’ (桃符) แปลตรงตัวว่าป้ายที่ทำจากไม้ท้อ เป็นป้ายมงคลคู่ที่ในสมัยจีนโบราณนิยมติดกันหน้าบ้านเพื่อต้อนรับตรุษจีน อดีตกวีเอกและนักการเมืองสมัยซ่งเคยประพันธ์บทกวีชื่อ <หยวนรึ> (元日/วันขึ้นปีใหม่) บรรยายถึงธรรมเนียมตรุษจีนไว้ Storyฯ เรียบเรียงดังนี้

    เสียงประทัดลั่นคือหนึ่งปีที่ผันผ่าน
    ลมวสันต์อุ่นสุราแห่งศกใหม่
    พันบ้านหมื่นเรือนก่อนอรุณรุ่ง
    ล้วนนำท้อใหม่เปลี่ยนป้ายเก่า

    ‘ท้อใหม่ป้ายเก่า’ ที่กล่าวถึงก็คือ ‘เถาฝู’

    แรกเริ่มเลย ‘เถาฝู’ คือป้ายไม้ที่ทำจากต้นท้อ ในเอกสารที่จัดทำขึ้นในสมัยราชวงศ์เหนือใต้เกี่ยวกับราชวงศ์ก่อนๆ นั้น มีบรรยายไว้ว่า: เถาฝูมีขนาดยาวหกนิ้ว กว้างสามนิ้ว; วันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง ทำป้ายติดเรือนด้วยไม้ท้อ คือไม้ศักดิ์สิทธิ์; บนป้ายเขียนชื่อสองเทพเจ้าแปะไว้ซ้ายขวา ซ้ายคือเทพเซินซู ขวาคือเทพอวี้ลวี่ ฯลฯ

    ประวัติของเทพเจ้าสององค์นี้แตกต่างกันไปตามตำนานปรัมปราหลากหลายที่เล่าขานกันมา แต่เรื่องราวที่เหมือนกันก็คือทั้งสองเทพเจ้านี้เฝ้าอยู่ใต้ร่มไม้ต้นท้อยักษ์ ใช้กิ่งเถาของต้นท้อจับภูตผีที่ทำตัวไม่ดีไปโยนให้เสือกิน จึงเป็นที่มาว่าไม้ท้อเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ สามารถขับไล่ภูตผีและสิ่งชั่วร้ายได้ ในวันปีใหม่จึงมีธรรมเนียมแปะเถาฝูเพื่อให้ปกปักษ์คุ้มครองบ้าน ป้องกันภูตผีและสิ่งชั่วร้าย พอขึ้นปีใหม่ก็เปลี่ยนเถาฝูชุดใหม่

    ธรรมเนียมหลายพันปีย่อมมีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลง จากการเขียนชื่อสองเทพเจ้ากลายเป็นการแกะสลักรูปภาพเทพเจ้าบนไม้ท้อ กลายเป็นภาพวาดบนกระดาษ นอกจากนี้ในสมัยถังก็เปลี่ยนจากรูปของเทพเซินซูอวี้ลวี่เป็นรูปขุนพลในสมัยถังที่ถูกยกย่องประหนึ่งเป็นเทพสงคราม ซึ่งที่กล่าวมานี้ก็คือธรรมเนียมการแปะรูปเทพเจ้าเหมินเสิน (เทพพิทักษ์ประตู/เทพทวารบาล) ในปัจจุบันนั่นเอง

    แต่คำว่า ‘เถาฝู’ ในสมัยซ่งไม่เพียงหมายถึงป้ายชื่อหรือรูปภาพเทพทวารบาล หากแต่ยังหมายรวมถึงป้ายที่มีกลอนคู่มงคลหรือวลีรับตรุษจีน (หมายเหตุ กลอนคู่เรียกรวมว่า ‘ตุ้ยเหลียน’ ส่วนวลีมงคลที่มีใจความรับปีใหม่เรียกอย่างเฉพาะเจาะจงได้ว่า ‘ชุนเหลียน’)

    ไอเดียการเขียนกลอนคู่ลงบนป้ายไม้ท้อนี้ ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าริเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่ในเอกสารโบราณเกี่ยวกับแคว้นซีสู่ (สมัยสิบหกแคว้นช่วงปีค.ศ. 304-439) มีกล่าวถึงการเขียนกลอนคู่บนป้ายไม้ท้อเพื่อประดับในพระราชวังแล้ว

    เอกสารโบราณของสมัยหมิงกล่าวไว้ว่า: ประเพณีการติดกลอนคู่มงคลชุนเหลียนในวันตรุษจีนนั้น ถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นทางการโดยองค์หมิงไท่จู่ (จูหยวนจาง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง) โดยมีการประกาศในเมืองหลวงในคืนวันสิ้นปีให้ขุนนางข้าราชการต่างๆ ติดชุนเหลียนไว้หน้าจวน/เรือนของตน เพื่อว่าเวลาทรงเสด็จประพาสต้นจะได้ทอดพระเนตร และในสมัยนั้นได้มีการเรียกจำแนกไว้ว่า ‘เถาฝู’ หมายรวมถึงภาพและกลอนที่ทำขึ้นบนป้ายไม้ท้อ และ ‘ชุนเทีย’ หมายรวมถึงภาพและกลอนที่ทำขึ้นบนกระดาษเพื่อรับตรุษจีน

    และต่อมาในสมัยชิง กระดาษชุนเทียมีดีไซน์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอักษรเดียว วลีเดี่ยวติดแนวขวางเหนือประตู แนวตรงติดข้างประตู ติดหน้าบานประตู ฯลฯ สืบทอดมาจนปัจจุบัน

    ประเพณีติดป้ายเถาฝูหายไปตามยุคสมัย แต่เราจะเห็นได้ว่า แท้จริงแล้วมันคือต้นกำเนิดของการติดภาพวาดเหมินเสินที่ประตู และเป็นต้นกำเนิดของการแปะกลอนคู่มงคลตุ้ยเหลียนที่ยังทำกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันอีกด้วย

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://www.gov.cn/govweb/ztzl/08cjtbch/content_861150.htm
    https://www.workercn.cn/32843/201902/06/190206095618327_3.shtml
    https://kknews.cc/culture/3am8x23.html
    http://weixin.chinafolklore.org/?p=15620
    https://so.gushiwen.cn/mingju/juv_e3da8d97be73.aspx
    https://www.soundofhope.org/post/468983
    https://baike.baidu.com/item/桃符

    #ประเพณีตรุษจีน #ตุ้นเหลียน #เหมินเสิน #เทพเจ้าประตู #กลอนคู่มงคล #เถาฟู #ป้ายไม้ท้อ
    เถาฝู ป้ายมงคลฉลองตรุษจีนโบราณ เข้าสู่เทศกาลตรุษจีนแล้ว ก็คงไม่แคล้วต้องคุยถึงประเพณีและวัฒนธรรมจีนโบราณที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลตรุษจีน ปีก่อนๆ ที่ Storyฯ เคยกล่าวถึงไปคือ: การโส่วซุ่ยหรืออดนอนข้ามคืนเป็นนัยว่าให้ผู้ใหญ่ในบ้านอายุยืนยาว; การกินสุราสมุนไพรเช่นสุราพริกหอม; คำมงคลและอักษรประสม ใครยังไม่ได้อ่านลองย้อนกลับไปอ่านนะคะ (หาลิ้งค์ได้ในสารบัญของเพจ) วันนี้มาคุยกันถึงป้ายมงคลคู่แบบหนึ่ง เรียกว่า ‘เถาฝู’ (桃符) แปลตรงตัวว่าป้ายที่ทำจากไม้ท้อ เป็นป้ายมงคลคู่ที่ในสมัยจีนโบราณนิยมติดกันหน้าบ้านเพื่อต้อนรับตรุษจีน อดีตกวีเอกและนักการเมืองสมัยซ่งเคยประพันธ์บทกวีชื่อ <หยวนรึ> (元日/วันขึ้นปีใหม่) บรรยายถึงธรรมเนียมตรุษจีนไว้ Storyฯ เรียบเรียงดังนี้ เสียงประทัดลั่นคือหนึ่งปีที่ผันผ่าน ลมวสันต์อุ่นสุราแห่งศกใหม่ พันบ้านหมื่นเรือนก่อนอรุณรุ่ง ล้วนนำท้อใหม่เปลี่ยนป้ายเก่า ‘ท้อใหม่ป้ายเก่า’ ที่กล่าวถึงก็คือ ‘เถาฝู’ แรกเริ่มเลย ‘เถาฝู’ คือป้ายไม้ที่ทำจากต้นท้อ ในเอกสารที่จัดทำขึ้นในสมัยราชวงศ์เหนือใต้เกี่ยวกับราชวงศ์ก่อนๆ นั้น มีบรรยายไว้ว่า: เถาฝูมีขนาดยาวหกนิ้ว กว้างสามนิ้ว; วันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง ทำป้ายติดเรือนด้วยไม้ท้อ คือไม้ศักดิ์สิทธิ์; บนป้ายเขียนชื่อสองเทพเจ้าแปะไว้ซ้ายขวา ซ้ายคือเทพเซินซู ขวาคือเทพอวี้ลวี่ ฯลฯ ประวัติของเทพเจ้าสององค์นี้แตกต่างกันไปตามตำนานปรัมปราหลากหลายที่เล่าขานกันมา แต่เรื่องราวที่เหมือนกันก็คือทั้งสองเทพเจ้านี้เฝ้าอยู่ใต้ร่มไม้ต้นท้อยักษ์ ใช้กิ่งเถาของต้นท้อจับภูตผีที่ทำตัวไม่ดีไปโยนให้เสือกิน จึงเป็นที่มาว่าไม้ท้อเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ สามารถขับไล่ภูตผีและสิ่งชั่วร้ายได้ ในวันปีใหม่จึงมีธรรมเนียมแปะเถาฝูเพื่อให้ปกปักษ์คุ้มครองบ้าน ป้องกันภูตผีและสิ่งชั่วร้าย พอขึ้นปีใหม่ก็เปลี่ยนเถาฝูชุดใหม่ ธรรมเนียมหลายพันปีย่อมมีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลง จากการเขียนชื่อสองเทพเจ้ากลายเป็นการแกะสลักรูปภาพเทพเจ้าบนไม้ท้อ กลายเป็นภาพวาดบนกระดาษ นอกจากนี้ในสมัยถังก็เปลี่ยนจากรูปของเทพเซินซูอวี้ลวี่เป็นรูปขุนพลในสมัยถังที่ถูกยกย่องประหนึ่งเป็นเทพสงคราม ซึ่งที่กล่าวมานี้ก็คือธรรมเนียมการแปะรูปเทพเจ้าเหมินเสิน (เทพพิทักษ์ประตู/เทพทวารบาล) ในปัจจุบันนั่นเอง แต่คำว่า ‘เถาฝู’ ในสมัยซ่งไม่เพียงหมายถึงป้ายชื่อหรือรูปภาพเทพทวารบาล หากแต่ยังหมายรวมถึงป้ายที่มีกลอนคู่มงคลหรือวลีรับตรุษจีน (หมายเหตุ กลอนคู่เรียกรวมว่า ‘ตุ้ยเหลียน’ ส่วนวลีมงคลที่มีใจความรับปีใหม่เรียกอย่างเฉพาะเจาะจงได้ว่า ‘ชุนเหลียน’) ไอเดียการเขียนกลอนคู่ลงบนป้ายไม้ท้อนี้ ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าริเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่ในเอกสารโบราณเกี่ยวกับแคว้นซีสู่ (สมัยสิบหกแคว้นช่วงปีค.ศ. 304-439) มีกล่าวถึงการเขียนกลอนคู่บนป้ายไม้ท้อเพื่อประดับในพระราชวังแล้ว เอกสารโบราณของสมัยหมิงกล่าวไว้ว่า: ประเพณีการติดกลอนคู่มงคลชุนเหลียนในวันตรุษจีนนั้น ถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นทางการโดยองค์หมิงไท่จู่ (จูหยวนจาง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง) โดยมีการประกาศในเมืองหลวงในคืนวันสิ้นปีให้ขุนนางข้าราชการต่างๆ ติดชุนเหลียนไว้หน้าจวน/เรือนของตน เพื่อว่าเวลาทรงเสด็จประพาสต้นจะได้ทอดพระเนตร และในสมัยนั้นได้มีการเรียกจำแนกไว้ว่า ‘เถาฝู’ หมายรวมถึงภาพและกลอนที่ทำขึ้นบนป้ายไม้ท้อ และ ‘ชุนเทีย’ หมายรวมถึงภาพและกลอนที่ทำขึ้นบนกระดาษเพื่อรับตรุษจีน และต่อมาในสมัยชิง กระดาษชุนเทียมีดีไซน์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอักษรเดียว วลีเดี่ยวติดแนวขวางเหนือประตู แนวตรงติดข้างประตู ติดหน้าบานประตู ฯลฯ สืบทอดมาจนปัจจุบัน ประเพณีติดป้ายเถาฝูหายไปตามยุคสมัย แต่เราจะเห็นได้ว่า แท้จริงแล้วมันคือต้นกำเนิดของการติดภาพวาดเหมินเสินที่ประตู และเป็นต้นกำเนิดของการแปะกลอนคู่มงคลตุ้ยเหลียนที่ยังทำกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันอีกด้วย (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://www.gov.cn/govweb/ztzl/08cjtbch/content_861150.htm https://www.workercn.cn/32843/201902/06/190206095618327_3.shtml https://kknews.cc/culture/3am8x23.html http://weixin.chinafolklore.org/?p=15620 https://so.gushiwen.cn/mingju/juv_e3da8d97be73.aspx https://www.soundofhope.org/post/468983 https://baike.baidu.com/item/桃符 #ประเพณีตรุษจีน #ตุ้นเหลียน #เหมินเสิน #เทพเจ้าประตู #กลอนคู่มงคล #เถาฟู #ป้ายไม้ท้อ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลทหารพม่าเผยวันนี้ (21) ว่าได้เนรเทศผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการหลอกลวงทางออนไลน์กลับจีนไปแล้วมากกว่า 50,000 คน นับตั้งแต่เดือนต.ค. 2566 ขณะที่รัฐบาลทหารพม่าได้ร้องขอให้ประเทศเพื่อนบ้านเข้าแทรกแซงในเรื่องนี้

    ขบวนการหลอกลวงทางออนไลน์ผุดขึ้นราวดอกเห็ดทั่วบริเวณพื้นที่ชายแดนของพม่า และมีชาวต่างชาติทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก ที่ส่วนใหญ่มักถูกค้ามนุษย์หรือถูกบังคับให้ทำงานหลอกเพื่อนร่วมชาติของพวกเขา ในอุตสาหกรรมที่นักวิเคราะห์กล่าวว่ามีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

    บทบรรณาธิการที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์โกลบอล นิว ไลท์ ออฟ เมียนมาร์ ฉบับวันอังคาร (21) ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับขอบเขตของกิจกรรมทางอาชญากรรม ที่รวมถึงการหลอกลวงออนไลน์และการพนัน ต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก

    รายงานระบุว่ารัฐบาลทหารได้จับกุมและส่งตัวชาวต่างชาติกว่า 55,000 คน ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงชายแดนกลับประเทศบ้านเกิดตั้งแต่เดือนต.ค. 2566 โดยกว่า 53,000 คน ถูกส่งไปจีน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/indochina/detail/9680000006509

    #MGROnline #รัฐบาลทหารพม่า
    รัฐบาลทหารพม่าเผยวันนี้ (21) ว่าได้เนรเทศผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการหลอกลวงทางออนไลน์กลับจีนไปแล้วมากกว่า 50,000 คน นับตั้งแต่เดือนต.ค. 2566 ขณะที่รัฐบาลทหารพม่าได้ร้องขอให้ประเทศเพื่อนบ้านเข้าแทรกแซงในเรื่องนี้ • ขบวนการหลอกลวงทางออนไลน์ผุดขึ้นราวดอกเห็ดทั่วบริเวณพื้นที่ชายแดนของพม่า และมีชาวต่างชาติทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก ที่ส่วนใหญ่มักถูกค้ามนุษย์หรือถูกบังคับให้ทำงานหลอกเพื่อนร่วมชาติของพวกเขา ในอุตสาหกรรมที่นักวิเคราะห์กล่าวว่ามีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ • บทบรรณาธิการที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์โกลบอล นิว ไลท์ ออฟ เมียนมาร์ ฉบับวันอังคาร (21) ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับขอบเขตของกิจกรรมทางอาชญากรรม ที่รวมถึงการหลอกลวงออนไลน์และการพนัน ต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก • รายงานระบุว่ารัฐบาลทหารได้จับกุมและส่งตัวชาวต่างชาติกว่า 55,000 คน ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงชายแดนกลับประเทศบ้านเกิดตั้งแต่เดือนต.ค. 2566 โดยกว่า 53,000 คน ถูกส่งไปจีน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/indochina/detail/9680000006509 • #MGROnline #รัฐบาลทหารพม่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพื่อน ๆ รู้ไหมว่า Silicon Motion กำลังพัฒนาคอนโทรลเลอร์ SSD รุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี PCIe 6.0! คอนโทรลเลอร์ใหม่นี้ชื่อว่า SM8466 และเป็นส่วนหนึ่งของตระกูล MonTitan ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์และองค์กรขนาดใหญ่

    Silicon Motion เป็นผู้นำระดับโลกในการพัฒนา NAND flash controllers สำหรับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบ solid-state (SSD) ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 และมีสำนักงานใหญ่อยู่ใน Zhubei, ไต้หวัน และ California, สหรัฐอเมริกา

    Wallace C. Kou, CEO ของ Silicon Motion ได้ประกาศเรื่องนี้ในคอลัมน์ของเขาที่ ChinaFlashMarket.com. แม้ว่าเขาจะไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดมากนัก แต่เราสามารถคาดเดาได้ว่าชิปนี้จะมีอินเทอร์เฟซ PCIe 6.0 x4 และมีแบนด์วิดท์สูงสุดถึง 30.25 GB/s ในแต่ละทิศทาง ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพถึง 2 เท่าเมื่อเทียบกับอินเทอร์เฟซ PCIe 5.0 x41

    นอกจากนี้ คอนโทรลเลอร์ SM8466 ยังมีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยระดับองค์กรที่ครบครัน สิ่งที่น่าสนใจคือเทคโนโลยีการผลิตที่ Silicon Motion จะใช้ในการผลิตคอนโทรลเลอร์นี้ ซึ่งยังไม่ได้เปิดเผย แต่คาดว่าจะใช้โหนดการผลิตใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/silicon-motion-is-developing-a-next-gen-pcie-6-0-ssd-controller
    เพื่อน ๆ รู้ไหมว่า Silicon Motion กำลังพัฒนาคอนโทรลเลอร์ SSD รุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี PCIe 6.0! คอนโทรลเลอร์ใหม่นี้ชื่อว่า SM8466 และเป็นส่วนหนึ่งของตระกูล MonTitan ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์และองค์กรขนาดใหญ่ Silicon Motion เป็นผู้นำระดับโลกในการพัฒนา NAND flash controllers สำหรับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบ solid-state (SSD) ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 และมีสำนักงานใหญ่อยู่ใน Zhubei, ไต้หวัน และ California, สหรัฐอเมริกา Wallace C. Kou, CEO ของ Silicon Motion ได้ประกาศเรื่องนี้ในคอลัมน์ของเขาที่ ChinaFlashMarket.com. แม้ว่าเขาจะไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดมากนัก แต่เราสามารถคาดเดาได้ว่าชิปนี้จะมีอินเทอร์เฟซ PCIe 6.0 x4 และมีแบนด์วิดท์สูงสุดถึง 30.25 GB/s ในแต่ละทิศทาง ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพถึง 2 เท่าเมื่อเทียบกับอินเทอร์เฟซ PCIe 5.0 x41 นอกจากนี้ คอนโทรลเลอร์ SM8466 ยังมีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยระดับองค์กรที่ครบครัน สิ่งที่น่าสนใจคือเทคโนโลยีการผลิตที่ Silicon Motion จะใช้ในการผลิตคอนโทรลเลอร์นี้ ซึ่งยังไม่ได้เปิดเผย แต่คาดว่าจะใช้โหนดการผลิตใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/silicon-motion-is-developing-a-next-gen-pcie-6-0-ssd-controller
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการพบซีพียูปลอม AMD Ryzen 7 9800X3D ในประเทศจีน ซึ่งถูกตรวจพบโดยบริการหลังการขายของ AMD หลังจากที่ลูกค้ารายหนึ่งรายงานว่าซีพียูของเขาไม่สามารถบูตได้ ซีพียูปลอมนี้มีความแตกต่างทางเทคนิคหลายประการที่ทำให้สามารถแยกแยะได้จากซีพียูแท้ แต่ความแตกต่างเหล่านี้ยากที่จะสังเกตเห็นได้หากไม่มีการตรวจสอบอย่างละเอียด

    ซีพียู Ryzen 7 9800X3D แท้จะใช้หมายเลข PCB 33050 แต่ซีพียูปลอมใช้หมายเลข PCB 32546 ซึ่งเป็นหมายเลขที่มักจะใช้กับซีพียู Ryzen 7000 ซีรีส์ R7 หรือ R9 นอกจากนี้ ซีพียูปลอมยังมีสีของ PCB ที่แตกต่างจากซีพียูแท้ โดยซีพียูแท้จะมี PCB สีฟ้า แต่ซีพียูปลอมมีสีเขียวเข้ม ซึ่งเป็นลักษณะของรุ่นเก่า

    นอกจากนี้ ยังมีการพบซีพียูปลอมบางตัวที่มีการติดป้ายชื่อผิดว่าเป็น "Ryzen 9 9800X3D" ซึ่งเป็นหมายเลขรุ่นที่ไม่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ AMD ข้อมูลนี้ถูกแชร์ครั้งแรกในเว็บไซต์ Chiphell โดยแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมการผลิต PCB ที่ให้การเปรียบเทียบระหว่างซีพียูแท้และปลอม

    เพื่อป้องกันการซื้อซีพียูปลอม ผู้ซื้อควรซื้อซีพียูจากตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการรับรองจาก AMD เท่านั้น เนื่องจากซีพียูที่ซื้อจากช่องทางที่ไม่เป็นทางการจะไม่ได้รับการรับประกันหรือการคุ้มครองจากบริการหลังการขายของ AMD.

    https://www.techpowerup.com/331323/buyers-beware-counterfeit-amd-ryzen-7-9800x3d-cpus-appear-in-china
    มีข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการพบซีพียูปลอม AMD Ryzen 7 9800X3D ในประเทศจีน ซึ่งถูกตรวจพบโดยบริการหลังการขายของ AMD หลังจากที่ลูกค้ารายหนึ่งรายงานว่าซีพียูของเขาไม่สามารถบูตได้ ซีพียูปลอมนี้มีความแตกต่างทางเทคนิคหลายประการที่ทำให้สามารถแยกแยะได้จากซีพียูแท้ แต่ความแตกต่างเหล่านี้ยากที่จะสังเกตเห็นได้หากไม่มีการตรวจสอบอย่างละเอียด ซีพียู Ryzen 7 9800X3D แท้จะใช้หมายเลข PCB 33050 แต่ซีพียูปลอมใช้หมายเลข PCB 32546 ซึ่งเป็นหมายเลขที่มักจะใช้กับซีพียู Ryzen 7000 ซีรีส์ R7 หรือ R9 นอกจากนี้ ซีพียูปลอมยังมีสีของ PCB ที่แตกต่างจากซีพียูแท้ โดยซีพียูแท้จะมี PCB สีฟ้า แต่ซีพียูปลอมมีสีเขียวเข้ม ซึ่งเป็นลักษณะของรุ่นเก่า นอกจากนี้ ยังมีการพบซีพียูปลอมบางตัวที่มีการติดป้ายชื่อผิดว่าเป็น "Ryzen 9 9800X3D" ซึ่งเป็นหมายเลขรุ่นที่ไม่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ AMD ข้อมูลนี้ถูกแชร์ครั้งแรกในเว็บไซต์ Chiphell โดยแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมการผลิต PCB ที่ให้การเปรียบเทียบระหว่างซีพียูแท้และปลอม เพื่อป้องกันการซื้อซีพียูปลอม ผู้ซื้อควรซื้อซีพียูจากตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการรับรองจาก AMD เท่านั้น เนื่องจากซีพียูที่ซื้อจากช่องทางที่ไม่เป็นทางการจะไม่ได้รับการรับประกันหรือการคุ้มครองจากบริการหลังการขายของ AMD. https://www.techpowerup.com/331323/buyers-beware-counterfeit-amd-ryzen-7-9800x3d-cpus-appear-in-china
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Buyers Beware: Counterfeit AMD Ryzen 7 9800X3D CPUs Appear in China
    A fake AMD Ryzen 7 9800X3D processor was recently discovered through AMD's after-sales service inspection in China after a customer reported their CPU wouldn't boot. The counterfeit unit revealed several technical discrepancies that distinguish it from genuine processors, though these differences ar...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีการค้นพบแหล่งแร่หายากขนาดใหญ่ในมณฑลยูนนาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน! การค้นพบนี้ถูกประกาศโดย China Geological Survey (CGS) ซึ่งเป็นสถาบันภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติของจีน เมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา

    แหล่งแร่หายากนี้มีทรัพยากรที่มีศักยภาพถึง 1.15 ล้านตัน โดยมีธาตุหายากที่สำคัญ เช่น โพรซีโอดิเมียม นีโอดิเมียม ดิสโพรเซียม และเทอร์เบียม รวมกันมากกว่า 470,000 ตัน ธาตุเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูง เช่น การผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า

    การค้นพบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของจีน เนื่องจากธาตุหายากเป็นส่วนประกอบสำคัญในเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น สมาร์ทโฟน แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ นอกจากนี้ การค้นพบแหล่งแร่หายากในประเทศยังช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของจีน

    https://www.thestar.com.my/aseanplus/aseanplus-news/2025/01/19/large-rare-earth-deposit-discovered-in-sw-china
    มีการค้นพบแหล่งแร่หายากขนาดใหญ่ในมณฑลยูนนาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน! การค้นพบนี้ถูกประกาศโดย China Geological Survey (CGS) ซึ่งเป็นสถาบันภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติของจีน เมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา แหล่งแร่หายากนี้มีทรัพยากรที่มีศักยภาพถึง 1.15 ล้านตัน โดยมีธาตุหายากที่สำคัญ เช่น โพรซีโอดิเมียม นีโอดิเมียม ดิสโพรเซียม และเทอร์เบียม รวมกันมากกว่า 470,000 ตัน ธาตุเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูง เช่น การผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า การค้นพบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของจีน เนื่องจากธาตุหายากเป็นส่วนประกอบสำคัญในเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น สมาร์ทโฟน แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ นอกจากนี้ การค้นพบแหล่งแร่หายากในประเทศยังช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของจีน https://www.thestar.com.my/aseanplus/aseanplus-news/2025/01/19/large-rare-earth-deposit-discovered-in-sw-china
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Large rare earth deposit discovered in SW China
    KUNMING: The China Geological Survey (CGS) announced on Frida (Jan 17) that it has discovered a large rare earth deposit in southwest China's Yunnan Province, with potential resources of 1.15 million tonnes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิทยาศาสตร์จีนเพิ่งส่งโปรโตคอลการสื่อสารไร้สายที่ทรงพลังที่สุดในโลกขึ้นสู่อวกาศ! เทคโนโลยีนี้เรียกว่า NearLink หรือ "Xing Shan" ซึ่งเป็นโมดูลการสื่อสารไร้สายสำหรับจรวดที่สามารถลดความล่าช้าในการส่งข้อมูลจากระดับมิลลิวินาทีลงไปถึงระดับไมโครวินาทีได้เลย

    NearLink ถูกพัฒนาโดย Beijing Aerospace Wanyuan Science & Technology ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ China Aerospace Corporation (CASC) เทคโนโลยีนี้มีข้อดีหลายอย่าง เช่น ความล่าช้าต่ำ ความเร็วสูง และความต้านทานต่อการรบกวน การใช้เทคโนโลยีนี้ในจรวดจะช่วยลดน้ำหนักของจรวดหนักและลดค่าใช้จ่ายในการปล่อยจรวดได้อย่างมาก

    ทีมวิจัยได้ปรับปรุงระยะการสื่อสารและความเสถียรของ NearLink เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในอวกาศ ตัวอย่างเช่น ในจรวดนั้นมีเครือข่ายสายเคเบิลเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ สามารถมีน้ำหนักถึง 500 กิโลกรัม ซึ่งเทียบเท่ากับรถสำรวจดวงจันทร์ "Yutu" สามคัน การแทนที่สายเคเบิลเหล่านี้ด้วยเทคโนโลยีไร้สายจะช่วยประหยัดพื้นที่และลดน้ำหนักบรรทุกได้อย่างมาก

    แม้ว่าในทางทฤษฎีระบบจรวดไร้สายจะมีข้อดีมากมาย แต่ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้จริง ทีมวิจัยยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการรับรองความเป็นอิสระและความปลอดภัยของเทคโนโลยีอวกาศของจีน NearLink เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาโดยบริษัทจีนทั้งหมด ทำให้ระบบนี้เป็นระบบที่จีนสามารถควบคุมแนวทางการพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/16/space-version-of-chinas-nearlink-wireless-module-cuts-latency-to-microseconds
    นักวิทยาศาสตร์จีนเพิ่งส่งโปรโตคอลการสื่อสารไร้สายที่ทรงพลังที่สุดในโลกขึ้นสู่อวกาศ! เทคโนโลยีนี้เรียกว่า NearLink หรือ "Xing Shan" ซึ่งเป็นโมดูลการสื่อสารไร้สายสำหรับจรวดที่สามารถลดความล่าช้าในการส่งข้อมูลจากระดับมิลลิวินาทีลงไปถึงระดับไมโครวินาทีได้เลย NearLink ถูกพัฒนาโดย Beijing Aerospace Wanyuan Science & Technology ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ China Aerospace Corporation (CASC) เทคโนโลยีนี้มีข้อดีหลายอย่าง เช่น ความล่าช้าต่ำ ความเร็วสูง และความต้านทานต่อการรบกวน การใช้เทคโนโลยีนี้ในจรวดจะช่วยลดน้ำหนักของจรวดหนักและลดค่าใช้จ่ายในการปล่อยจรวดได้อย่างมาก ทีมวิจัยได้ปรับปรุงระยะการสื่อสารและความเสถียรของ NearLink เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในอวกาศ ตัวอย่างเช่น ในจรวดนั้นมีเครือข่ายสายเคเบิลเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ สามารถมีน้ำหนักถึง 500 กิโลกรัม ซึ่งเทียบเท่ากับรถสำรวจดวงจันทร์ "Yutu" สามคัน การแทนที่สายเคเบิลเหล่านี้ด้วยเทคโนโลยีไร้สายจะช่วยประหยัดพื้นที่และลดน้ำหนักบรรทุกได้อย่างมาก แม้ว่าในทางทฤษฎีระบบจรวดไร้สายจะมีข้อดีมากมาย แต่ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้จริง ทีมวิจัยยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการรับรองความเป็นอิสระและความปลอดภัยของเทคโนโลยีอวกาศของจีน NearLink เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาโดยบริษัทจีนทั้งหมด ทำให้ระบบนี้เป็นระบบที่จีนสามารถควบคุมแนวทางการพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/16/space-version-of-chinas-nearlink-wireless-module-cuts-latency-to-microseconds
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Space version of China’s NearLink wireless module ‘cuts latency to microseconds’
    ‘Aerospace NearLink’, which recently completed a test flight, is expected to reduce the weight of heavy rockets and lower launch costs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังจากสหรัฐฯ เตรียมบังคับใช้กฎหมายแบน ติ๊กต็อก (TikTok) ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากอพยพเข้าสู่แพลตฟอร์มจีน "เสี่ยวหงซู" (Xiaohongshu) ซึ่งเดิมทีเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลยอดนิยมของจีนสำหรับการแชร์ไลฟ์สไตล์และรีวิวสินค้า การหลั่งไหลเข้ามาของชาวเน็ตอเมริกันกลับ เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างสองประเทศแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    เมื่อไม่มีสื่อกระแสหลักของสหรัฐฯ เป็น "ตัวกลาง" ในการนำเสนอข้อมูลอีกต่อไป ชาวอเมริกันและชาวจีนจึงสามารถพูดคุยกันโดยตรง ในสิ่งที่พวกเขาอยากรู้ ซึ่งส่วนใหญ่คือ "คุณหาเงินเท่าไหร่? ค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร? คุณใช้ชีวิตยังไง?"

    ผลลัพธ์ของการ "เปิดบัญชีเทียบกัน" นี้ทำให้ชาวอเมริกันต้องตกตะลึง "ข้อมูลที่เราเคยได้ยินมาเกี่ยวกับจีนมันผิดไปหมด!"

    หลายปีที่ผ่านมา สื่อสหรัฐฯ มักวาดภาพว่าคนอเมริกันมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าคนจีน และนำเสนอว่า "แม้อเมริกันจะลำบาก แต่ชาวจีนลำบากกว่า!" อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ชาวอเมริกันและชาวจีนเริ่มเทียบข้อมูลกันจริงๆ บนเสี่ยวหงซู ฟองสบู่ข้อมูลผิดๆ ก็แตกกระจาย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000004966

    #MGROnline #เสี่ยวหงซู #Xiaohongshu #ติ๊กต็อก #TikTok
    หลังจากสหรัฐฯ เตรียมบังคับใช้กฎหมายแบน ติ๊กต็อก (TikTok) ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากอพยพเข้าสู่แพลตฟอร์มจีน "เสี่ยวหงซู" (Xiaohongshu) ซึ่งเดิมทีเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลยอดนิยมของจีนสำหรับการแชร์ไลฟ์สไตล์และรีวิวสินค้า การหลั่งไหลเข้ามาของชาวเน็ตอเมริกันกลับ เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างสองประเทศแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน • เมื่อไม่มีสื่อกระแสหลักของสหรัฐฯ เป็น "ตัวกลาง" ในการนำเสนอข้อมูลอีกต่อไป ชาวอเมริกันและชาวจีนจึงสามารถพูดคุยกันโดยตรง ในสิ่งที่พวกเขาอยากรู้ ซึ่งส่วนใหญ่คือ "คุณหาเงินเท่าไหร่? ค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร? คุณใช้ชีวิตยังไง?" • ผลลัพธ์ของการ "เปิดบัญชีเทียบกัน" นี้ทำให้ชาวอเมริกันต้องตกตะลึง "ข้อมูลที่เราเคยได้ยินมาเกี่ยวกับจีนมันผิดไปหมด!" • หลายปีที่ผ่านมา สื่อสหรัฐฯ มักวาดภาพว่าคนอเมริกันมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าคนจีน และนำเสนอว่า "แม้อเมริกันจะลำบาก แต่ชาวจีนลำบากกว่า!" อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ชาวอเมริกันและชาวจีนเริ่มเทียบข้อมูลกันจริงๆ บนเสี่ยวหงซู ฟองสบู่ข้อมูลผิดๆ ก็แตกกระจาย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000004966 • #MGROnline #เสี่ยวหงซู #Xiaohongshu #ติ๊กต็อก #TikTok
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • โปร 2 คน ถูกมากกกกก 🔥🔥
    เที่ยว #ฮาร์บิน บินตรง #หมู่บ้านหิมะ 6วัน 4คืน ❄☃

    🗓 จำนวนวัน 6 วัน 4 คืน
    ✈ XJ-แอร์เอเชียเอ็กซ์
    🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐

    📍 หมู่บ้านหิมะ (China Snow Town)
    📍 หมู่บ้านหิมะ Dream Home
    📍 อนุเสาวรีย์หิน Xuexiang
    📍 ที่ทำการไปรษณีย์ Xuexiang
    📍 ถนนคนเดินแส่ยุ่นเจีย
    📍 ลานสกี
    📍 เทศกาลน้ำแข็ง ฮาร์บิน 2025
    📍 รูปปั้นตุ๊กตาหิมะยักษ์
    📍 โบสถ์เซนต์โซเฟีย ฮาร์บิน
    📍 สะพานรถไฟร้อยปีปินโจว
    📍 สวนสตาลิน
    📍 อนุสาวรีย์ฝั่งหง
    📍 ถนนจงหยาง

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21ปี https://eTravelWay.com🔥
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8
    LINE ID: @etravelway.fire
    https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    ☎️: 021166395

    #ทัวร์จีน #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    โปร 2 คน ถูกมากกกกก 🔥🔥 เที่ยว #ฮาร์บิน บินตรง #หมู่บ้านหิมะ 6วัน 4คืน ❄☃ 🗓 จำนวนวัน 6 วัน 4 คืน ✈ XJ-แอร์เอเชียเอ็กซ์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐ 📍 หมู่บ้านหิมะ (China Snow Town) 📍 หมู่บ้านหิมะ Dream Home 📍 อนุเสาวรีย์หิน Xuexiang 📍 ที่ทำการไปรษณีย์ Xuexiang 📍 ถนนคนเดินแส่ยุ่นเจีย 📍 ลานสกี 📍 เทศกาลน้ำแข็ง ฮาร์บิน 2025 📍 รูปปั้นตุ๊กตาหิมะยักษ์ 📍 โบสถ์เซนต์โซเฟีย ฮาร์บิน 📍 สะพานรถไฟร้อยปีปินโจว 📍 สวนสตาลิน 📍 อนุสาวรีย์ฝั่งหง 📍 ถนนจงหยาง รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์จีน #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 578 มุมมอง 25 0 รีวิว
  • กระทรวงพาณิชย์ของจีน (MOFCOM) ได้รับการร้องเรียนจากบริษัทในประเทศเกี่ยวกับการให้เงินอุดหนุนที่ไม่เป็นธรรมจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้กฎหมาย CHIPS and Science Act ซึ่งจัดสรรเงิน $52.7 พันล้านสำหรับการผลิต การวิจัย และการพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ

    จีนอ้างว่าเงินอุดหนุนเหล่านี้ทำให้บริษัทชิปของสหรัฐฯ สามารถส่งออกชิปที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัยไปยังจีนในราคาที่ถูกลง ทำให้บริษัทชิปของจีนเสียเปรียบในการแข่งขัน แม้ว่ากฎหมาย CHIPS and Science Act จะมีเป้าหมายเพื่อดึงการผลิตชิปที่ล้ำสมัยกลับมาสู่สหรัฐฯ แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้มอบเงินอุดหนุนให้กับบริษัทที่ผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย เช่น GlobalFoundries และ SkyWater Technologies

    การตรวจสอบนี้เกิดขึ้นในขณะที่จีนกำลังขยายกำลังการผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย โดยคาดว่ากำลังการผลิตชิปของจีนจะเพิ่มขึ้นถึง 60% ในอีกสามปีข้างหน้า และส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย

    การตรวจสอบนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของจีนในการปกป้องอุตสาหกรรมชิปในประเทศและรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-investigates-whether-chips-and-science-act-harms-its-chip-companies
    กระทรวงพาณิชย์ของจีน (MOFCOM) ได้รับการร้องเรียนจากบริษัทในประเทศเกี่ยวกับการให้เงินอุดหนุนที่ไม่เป็นธรรมจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้กฎหมาย CHIPS and Science Act ซึ่งจัดสรรเงิน $52.7 พันล้านสำหรับการผลิต การวิจัย และการพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ จีนอ้างว่าเงินอุดหนุนเหล่านี้ทำให้บริษัทชิปของสหรัฐฯ สามารถส่งออกชิปที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัยไปยังจีนในราคาที่ถูกลง ทำให้บริษัทชิปของจีนเสียเปรียบในการแข่งขัน แม้ว่ากฎหมาย CHIPS and Science Act จะมีเป้าหมายเพื่อดึงการผลิตชิปที่ล้ำสมัยกลับมาสู่สหรัฐฯ แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้มอบเงินอุดหนุนให้กับบริษัทที่ผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย เช่น GlobalFoundries และ SkyWater Technologies การตรวจสอบนี้เกิดขึ้นในขณะที่จีนกำลังขยายกำลังการผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย โดยคาดว่ากำลังการผลิตชิปของจีนจะเพิ่มขึ้นถึง 60% ในอีกสามปีข้างหน้า และส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย การตรวจสอบนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของจีนในการปกป้องอุตสาหกรรมชิปในประเทศและรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-investigates-whether-chips-and-science-act-harms-its-chip-companies
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia ได้เปิดตัวการ์ดจอรุ่นใหม่ RTX 5090D ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน โดยมีการจำกัดการใช้งานด้าน AI และการขุดคริปโต การ์ดจอรุ่นนี้จะล็อกตัวเองหลังจากใช้งานไปเพียง 3 วินาที เพื่อป้องกันการใช้งานในงานเฉพาะทาง เช่น การขุดคริปโตและการประมวลผล AI

    RTX 5090D เป็นรุ่นที่พัฒนาต่อจาก RTX 4090D ซึ่งเป็นการ์ดจอที่มีการลดสเปคเพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบการส่งออกของสหรัฐอเมริกา โดย RTX 5090D ยังคงมีสเปคเต็มของ RTX 5090 แต่มีการลดประสิทธิภาพด้าน AI ลงถึง 29% โดยไม่ทราบวิธีการที่แน่ชัด

    การ์ดจอรุ่นนี้ยังมีข้อจำกัดในการปรับแต่งพลังงานและการใช้งานร่วมกับการ์ดจออื่น ๆ โดยไม่สามารถโอเวอร์คล็อกหรือใช้งานในระบบหลายการ์ดจอได้ ข้อจำกัดเหล่านี้ถูกล็อกไว้ในระดับล่างของระบบปฏิบัติการ Linux

    การเปิดตัว RTX 5090D เป็นการตอบสนองต่อกฎระเบียบการส่งออกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจำกัดการส่งออกการ์ดจอที่มีประสิทธิภาพสูงไปยังจีน การ์ดจอรุ่นนี้จะช่วยให้ Nvidia สามารถทำตลาดในจีนได้ต่อไป แม้ว่าจะมีข้อจำกัดในการใช้งานบางประการ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/china-tailored-rtx-5090d-has-ai-and-cryptomining-limiters-multi-gpu-config-is-also-locked
    Nvidia ได้เปิดตัวการ์ดจอรุ่นใหม่ RTX 5090D ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน โดยมีการจำกัดการใช้งานด้าน AI และการขุดคริปโต การ์ดจอรุ่นนี้จะล็อกตัวเองหลังจากใช้งานไปเพียง 3 วินาที เพื่อป้องกันการใช้งานในงานเฉพาะทาง เช่น การขุดคริปโตและการประมวลผล AI RTX 5090D เป็นรุ่นที่พัฒนาต่อจาก RTX 4090D ซึ่งเป็นการ์ดจอที่มีการลดสเปคเพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบการส่งออกของสหรัฐอเมริกา โดย RTX 5090D ยังคงมีสเปคเต็มของ RTX 5090 แต่มีการลดประสิทธิภาพด้าน AI ลงถึง 29% โดยไม่ทราบวิธีการที่แน่ชัด การ์ดจอรุ่นนี้ยังมีข้อจำกัดในการปรับแต่งพลังงานและการใช้งานร่วมกับการ์ดจออื่น ๆ โดยไม่สามารถโอเวอร์คล็อกหรือใช้งานในระบบหลายการ์ดจอได้ ข้อจำกัดเหล่านี้ถูกล็อกไว้ในระดับล่างของระบบปฏิบัติการ Linux การเปิดตัว RTX 5090D เป็นการตอบสนองต่อกฎระเบียบการส่งออกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจำกัดการส่งออกการ์ดจอที่มีประสิทธิภาพสูงไปยังจีน การ์ดจอรุ่นนี้จะช่วยให้ Nvidia สามารถทำตลาดในจีนได้ต่อไป แม้ว่าจะมีข้อจำกัดในการใช้งานบางประการ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/china-tailored-rtx-5090d-has-ai-and-cryptomining-limiters-multi-gpu-config-is-also-locked
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • Cambricon Technologies ผู้พัฒนาโปรเซสเซอร์ AI ชั้นนำจากจีน ได้ประกาศกำไรไตรมาสแรกในช่วงปลายปี 2024 หลังจากที่ประสบปัญหาขาดทุนมาหลายปี ความสำเร็จทางการเงินนี้เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งห้ามการขาย GPU AI ขั้นสูงของ Nvidia ให้กับจีน ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ Cambricon ได้รับความนิยมมากขึ้นในจีน

    รายได้ของ Cambricon เพิ่มขึ้นเกือบ 70% ในปี 2024 โดยมีรายได้ประมาณ ¥1.2 พันล้าน ($163.7 ล้าน) แม้ว่าจะยังเป็นเพียงเศษเสี้ยวของรายได้ $90 พันล้านของ Nvidia ทั่วโลก แต่ก็แสดงถึงการเติบโตที่สำคัญ กำไรไตรมาสที่ 4 ของ Cambricon อยู่ระหว่าง ¥240 ล้านถึง ¥328 ล้าน ($32.74 ล้านถึง $44.74 ล้าน) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงหลังจากขาดทุน ¥724 ล้าน ($98.76 ล้าน) ในสามไตรมาสแรก ทำให้ขาดทุนทั้งปี 2024 ลดลงเหลือ ¥396 - ¥484 ล้าน ($54 ล้าน - $66 ล้าน)

    การนำฮาร์ดแวร์ของ Cambricon มาใช้ในจีนเพิ่มขึ้นในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา รวมถึงการนำไปใช้โดย Huawei ทำให้หุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้พุ่งขึ้นกว่า 470% ในปีที่ผ่านมา หุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก ¥120.80 เป็น ¥695.96 ในปีที่ผ่านมา

    Cambricon ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 เพื่อพัฒนาโปรเซสเซอร์ AI สำหรับการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่อุปกรณ์ขอบเครือข่ายไปจนถึงศูนย์ข้อมูลคลาวด์ ปัจจุบันบริษัทมีตัวเร่ง AI ที่ทรงพลังที่สุดคือ MLU290-M5 ซึ่งมีประสิทธิภาพ 512 INT8 TOPS, 256 INT16 TOPS และ 64 CINT32 TOPS และมาพร้อมกับหน่วยความจำ HBM2 ขนาด 32GB ที่มีแบนด์วิดท์ 1,228 GB/s

    แม้ว่า Cambricon จะยังล้าหลัง Nvidia อยู่ประมาณ 4-5 ปีในด้านประสิทธิภาพ แต่สำหรับลูกค้าของ Cambricon ที่ไม่สามารถหาซื้อ GPU ของ Nvidia ได้ ข้อได้เปรียบของแพลตฟอร์ม Nvidia ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่

    ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ AI ของจีนคาดว่าจะเติบโตถึง ¥178 พันล้าน ($24.28 พันล้าน) ในปีนี้ Cambricon เป็นผู้เล่นหลักในตลาด AI ของจีน และด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วและการปรับปรุงทางการเงิน บริษัทมีโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากความต้องการฮาร์ดแวร์ AI ที่เพิ่มขึ้นในประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-cambricon-posts-first-profit-as-demand-for-this-nvidia-rivals-ai-processors-explodes
    Cambricon Technologies ผู้พัฒนาโปรเซสเซอร์ AI ชั้นนำจากจีน ได้ประกาศกำไรไตรมาสแรกในช่วงปลายปี 2024 หลังจากที่ประสบปัญหาขาดทุนมาหลายปี ความสำเร็จทางการเงินนี้เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งห้ามการขาย GPU AI ขั้นสูงของ Nvidia ให้กับจีน ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ Cambricon ได้รับความนิยมมากขึ้นในจีน รายได้ของ Cambricon เพิ่มขึ้นเกือบ 70% ในปี 2024 โดยมีรายได้ประมาณ ¥1.2 พันล้าน ($163.7 ล้าน) แม้ว่าจะยังเป็นเพียงเศษเสี้ยวของรายได้ $90 พันล้านของ Nvidia ทั่วโลก แต่ก็แสดงถึงการเติบโตที่สำคัญ กำไรไตรมาสที่ 4 ของ Cambricon อยู่ระหว่าง ¥240 ล้านถึง ¥328 ล้าน ($32.74 ล้านถึง $44.74 ล้าน) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงหลังจากขาดทุน ¥724 ล้าน ($98.76 ล้าน) ในสามไตรมาสแรก ทำให้ขาดทุนทั้งปี 2024 ลดลงเหลือ ¥396 - ¥484 ล้าน ($54 ล้าน - $66 ล้าน) การนำฮาร์ดแวร์ของ Cambricon มาใช้ในจีนเพิ่มขึ้นในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา รวมถึงการนำไปใช้โดย Huawei ทำให้หุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้พุ่งขึ้นกว่า 470% ในปีที่ผ่านมา หุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก ¥120.80 เป็น ¥695.96 ในปีที่ผ่านมา Cambricon ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 เพื่อพัฒนาโปรเซสเซอร์ AI สำหรับการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่อุปกรณ์ขอบเครือข่ายไปจนถึงศูนย์ข้อมูลคลาวด์ ปัจจุบันบริษัทมีตัวเร่ง AI ที่ทรงพลังที่สุดคือ MLU290-M5 ซึ่งมีประสิทธิภาพ 512 INT8 TOPS, 256 INT16 TOPS และ 64 CINT32 TOPS และมาพร้อมกับหน่วยความจำ HBM2 ขนาด 32GB ที่มีแบนด์วิดท์ 1,228 GB/s แม้ว่า Cambricon จะยังล้าหลัง Nvidia อยู่ประมาณ 4-5 ปีในด้านประสิทธิภาพ แต่สำหรับลูกค้าของ Cambricon ที่ไม่สามารถหาซื้อ GPU ของ Nvidia ได้ ข้อได้เปรียบของแพลตฟอร์ม Nvidia ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ AI ของจีนคาดว่าจะเติบโตถึง ¥178 พันล้าน ($24.28 พันล้าน) ในปีนี้ Cambricon เป็นผู้เล่นหลักในตลาด AI ของจีน และด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วและการปรับปรุงทางการเงิน บริษัทมีโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากความต้องการฮาร์ดแวร์ AI ที่เพิ่มขึ้นในประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-cambricon-posts-first-profit-as-demand-for-this-nvidia-rivals-ai-processors-explodes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนกำลังพัฒนาโครงการสถานีพลังงานใหม่ที่สามารถเก็บและแปลงพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศโดยตรง โดยสถานีนี้จะมีขนาดกว้าง 1 กิโลเมตร และสามารถส่งพลังงานแสงอาทิตย์กลับมายังโลกในรูปแบบของรังสีไมโครเวฟ พลังงานที่เก็บได้ในหนึ่งปีจะเทียบเท่ากับปริมาณน้ำมันทั้งหมดที่ยังสามารถสกัดได้จากโลก

    หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำที่อยู่เบื้องหลังแผนพลังงานใหม่นี้คือ Long Lehao ผู้เชี่ยวชาญด้านจรวดและสมาชิกของ Chinese Academy of Engineering Lehao กำลังทำงานกับ Long March 9 (CZ-9) จรวดขนส่งหนักพิเศษของจีนที่เพิ่งได้รับการอัปเดตให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้และสามารถยกน้ำหนักได้อย่างน้อย 136 เมตริกตันจากพื้นผิวโลก

    พลังงานที่เก็บได้ในอวกาศจะมีความหนาแน่นมากกว่าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มาถึงพื้นผิวโลกถึง 10 เท่า เนื่องจากเมฆและบรรยากาศสามารถส่งผลกระทบต่อกระบวนการเก็บพลังงานได้อย่างมาก

    จีนไม่ใช่ประเทศเดียวที่สนใจในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ (SBSP) บริษัทในสหรัฐอเมริกา เช่น Lockheed Martin และ Northrop Grumman องค์การอวกาศยุโรป และองค์การอวกาศญี่ปุ่น กำลังศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการดังกล่าว แม้ว่าจะยังอยู่ในขั้นตอนการพิสูจน์แนวคิด

    ทีมของ Lehao หวังที่จะแก้ไขปัญหาบางประการที่เกี่ยวข้องกับ SBSP โดยใช้เทคโนโลยีจรวดนำกลับมาใช้ใหม่ของตนเองกับโครงการ CZ-9 จีนมีความทะเยอทะยานอย่างมากสำหรับโครงการสำรวจอวกาศของตน โดยมีแผนที่จะใช้จรวด Long March เพื่อสร้างสถานีวิจัยนานาชาติบนพื้นผิวดวงจันทร์ภายในปี 2035

    https://www.techspot.com/news/106382-china-plans-build-massive-space-based-solar-power.html
    จีนกำลังพัฒนาโครงการสถานีพลังงานใหม่ที่สามารถเก็บและแปลงพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศโดยตรง โดยสถานีนี้จะมีขนาดกว้าง 1 กิโลเมตร และสามารถส่งพลังงานแสงอาทิตย์กลับมายังโลกในรูปแบบของรังสีไมโครเวฟ พลังงานที่เก็บได้ในหนึ่งปีจะเทียบเท่ากับปริมาณน้ำมันทั้งหมดที่ยังสามารถสกัดได้จากโลก หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำที่อยู่เบื้องหลังแผนพลังงานใหม่นี้คือ Long Lehao ผู้เชี่ยวชาญด้านจรวดและสมาชิกของ Chinese Academy of Engineering Lehao กำลังทำงานกับ Long March 9 (CZ-9) จรวดขนส่งหนักพิเศษของจีนที่เพิ่งได้รับการอัปเดตให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้และสามารถยกน้ำหนักได้อย่างน้อย 136 เมตริกตันจากพื้นผิวโลก พลังงานที่เก็บได้ในอวกาศจะมีความหนาแน่นมากกว่าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มาถึงพื้นผิวโลกถึง 10 เท่า เนื่องจากเมฆและบรรยากาศสามารถส่งผลกระทบต่อกระบวนการเก็บพลังงานได้อย่างมาก จีนไม่ใช่ประเทศเดียวที่สนใจในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ (SBSP) บริษัทในสหรัฐอเมริกา เช่น Lockheed Martin และ Northrop Grumman องค์การอวกาศยุโรป และองค์การอวกาศญี่ปุ่น กำลังศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการดังกล่าว แม้ว่าจะยังอยู่ในขั้นตอนการพิสูจน์แนวคิด ทีมของ Lehao หวังที่จะแก้ไขปัญหาบางประการที่เกี่ยวข้องกับ SBSP โดยใช้เทคโนโลยีจรวดนำกลับมาใช้ใหม่ของตนเองกับโครงการ CZ-9 จีนมีความทะเยอทะยานอย่างมากสำหรับโครงการสำรวจอวกาศของตน โดยมีแผนที่จะใช้จรวด Long March เพื่อสร้างสถานีวิจัยนานาชาติบนพื้นผิวดวงจันทร์ภายในปี 2035 https://www.techspot.com/news/106382-china-plans-build-massive-space-based-solar-power.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    China's reusable rockets pave the way for space-based solar power
    Chinese researchers are working on a new power station project that could gather and convert solar energy directly from space. The station would be 1 kilometer wide...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • SpacemiT บริษัทพัฒนาซีพียูในจีนได้เปิดตัว VitalStone V100 ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์สำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่มีคอร์ RISC-V ถึง 64 คอร์ แม้ว่าโปรเซสเซอร์นี้จะถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงานที่ทันสมัย แต่ประสิทธิภาพการทำงานแบบ single-thread ของโปรเซสเซอร์นี้เทียบเท่ากับโปรเซสเซอร์ Intel Xeon และ AMD Opteron รุ่นเก่า

    VitalStone V100 ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 12nm และมีความถี่สูงสุดที่ 2.50 GHz โดยแต่ละคอร์ X100 สามารถทำคะแนน SPEC CINT2006 ได้ 9 คะแนน ซึ่งรวมกันแล้วได้ 22.5 คะแนนที่ความถี่ 2.5 GHz ทำให้เหมาะสำหรับงานที่ต้องการการประมวลผลแบบขนาน

    โปรเซสเซอร์นี้ยังมีความสามารถในการประมวลผล AI โดยสามารถทำได้ 2.5 TOPS ด้วยการประมวลผลข้อมูล INT8 ที่ความถี่สูงสุด แม้ว่าจะไม่ใช่ความสามารถที่โดดเด่นมากนัก

    การเปิดตัวโปรเซสเซอร์ที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับซีพียูที่มีอายุมากกว่า 10 ปีอาจไม่เป็นที่สนใจในสหรัฐฯ หรือยุโรป แต่เนื่องจากจีนพยายามลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก SpacemiT จึงมีโอกาสที่จะหาลูกค้าสำหรับโปรเซสเซอร์ VitalStone V100

    นอกจากนี้ SpacemiT ยังมีโปรเซสเซอร์ RISC-V รุ่น Keystone K1 ที่ออกแบบมาสำหรับแล็ปท็อปและคอมพิวเตอร์บอร์ดเดี่ยว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/chinas-spacemit-develops-64-core-risc-v-datacenter-cpu-12nm-chip-allegedly-performs-like-a-10-year-old-xen-or-opteron-but-with-higher-core-count
    SpacemiT บริษัทพัฒนาซีพียูในจีนได้เปิดตัว VitalStone V100 ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์สำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่มีคอร์ RISC-V ถึง 64 คอร์ แม้ว่าโปรเซสเซอร์นี้จะถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงานที่ทันสมัย แต่ประสิทธิภาพการทำงานแบบ single-thread ของโปรเซสเซอร์นี้เทียบเท่ากับโปรเซสเซอร์ Intel Xeon และ AMD Opteron รุ่นเก่า VitalStone V100 ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 12nm และมีความถี่สูงสุดที่ 2.50 GHz โดยแต่ละคอร์ X100 สามารถทำคะแนน SPEC CINT2006 ได้ 9 คะแนน ซึ่งรวมกันแล้วได้ 22.5 คะแนนที่ความถี่ 2.5 GHz ทำให้เหมาะสำหรับงานที่ต้องการการประมวลผลแบบขนาน โปรเซสเซอร์นี้ยังมีความสามารถในการประมวลผล AI โดยสามารถทำได้ 2.5 TOPS ด้วยการประมวลผลข้อมูล INT8 ที่ความถี่สูงสุด แม้ว่าจะไม่ใช่ความสามารถที่โดดเด่นมากนัก การเปิดตัวโปรเซสเซอร์ที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับซีพียูที่มีอายุมากกว่า 10 ปีอาจไม่เป็นที่สนใจในสหรัฐฯ หรือยุโรป แต่เนื่องจากจีนพยายามลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก SpacemiT จึงมีโอกาสที่จะหาลูกค้าสำหรับโปรเซสเซอร์ VitalStone V100 นอกจากนี้ SpacemiT ยังมีโปรเซสเซอร์ RISC-V รุ่น Keystone K1 ที่ออกแบบมาสำหรับแล็ปท็อปและคอมพิวเตอร์บอร์ดเดี่ยว https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/chinas-spacemit-develops-64-core-risc-v-datacenter-cpu-12nm-chip-allegedly-performs-like-a-10-year-old-xen-or-opteron-but-with-higher-core-count
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว