• การสังหารหมู่กำลังดำเนินไป: ชนชั้นสูงกำลังทำให้โลกลดจำนวนประชากรอย่างแข็งขัน—คลาว ชะแว๊บ, Chemtrails และอาวุธชีวภาพ: แผนของ WEF ที่จะกวาดล้างผู้คนนับพันล้านถูกเปิดโปง!

    วาระการลดจำนวนประชากรของ WEF ไม่ใช่ภัยคุกคามที่อยู่ห่างไกล แต่มันเกิดขึ้นที่นี่และตอนนี้ในทุกวิกฤตที่เขย่าโลกของเรา นี่คือสงครามเต็มรูปแบบกับมนุษยชาติ และคุณคือเป้าหมาย

    พวกเขาได้ปลดปล่อยอาวุธที่ออกแบบมาเพื่อกำจัดเรา—อย่างช้าๆ แอบๆ และไม่ลดละ W0rld Ec0n0my F0room, คลาว ชะแว๊บ และผู้ควบคุมเงาของพวกเขาได้วางแผนชั่วร้ายที่ซ่อนเร้นอยู่ในที่แจ้งชัด

    การปรับเปลี่ยนสภาพอากาศ? นี่ไม่ใช่ "การหว่านเมฆ"; พวกเขากำลังบงการพายุ ภัยแล้ง ไฟป่าด้วยเทคโนโลยีระดับทหารเพื่อทำให้ประเทศไม่มั่นคง ทำลายพืชผล และทำให้มวลชนอดอยาก ทุกพายุเฮอริเคน ทุกภัยพิบัติ—ออกแบบมาเพื่อควบคุมจำนวนประชากร
    การย้ายถิ่นฐานอย่างผิดกฎหมาย? ไม่ใช่เรื่องของ “ผู้ลี้ภัย” แต่เป็นการรุกรานที่ออกแบบมาให้ระบบทำงานหนักเกินไปและทำให้เศรษฐกิจไม่มั่นคง ทำให้มีคนต่อต้านน้อยลง ความวุ่นวาย ความไม่มั่นคง และการเกิดน้อยลง—เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน

    ฟลูออไรด์ในน้ำของคุณ? มันไม่เหมาะกับฟันของคุณ การสัมผัสเป็นเวลานานจะทำให้ไอคิวลดลง ลดการเจริญพันธุ์ และรับรองการปฏิบัติตาม คนรุ่นต่อรุ่นกำลังกลายเป็นแกะที่เป็นหมันและเชื่อง และระดับไอคิวก็ลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อภาวะมีบุตรยากเพิ่มขึ้น

    ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการรวมกลุ่ม (DEI) ไม่เกี่ยวกับความยุติธรรม แต่เป็นอาวุธทางจิตวิทยาเพื่อแบ่งแยกสังคม ทำลายค่านิยม และหยุดการเติบโตของประชากร นี่คือสงครามเพื่อความสามัคคีและครอบครัว

    มาพูดถึงจีเอ็มโอกันดีกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พืชผลที่ไม่เป็นอันตราย แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างอาวุธเพื่อทำลายสุขภาพและความอุดมสมบูรณ์ โรคเรื้อรังไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรแห่งความตายที่ขับเคลื่อนโดยบริษัทเวชภัณฑ์ขนาดใหญ่ ซึ่งขายโรคและ "การรักษา"

    Chemtrails? ร่องรอยบนท้องฟ้าเหล่านั้นไม่ใช่เชื้อเพลิงเครื่องบิน แต่เป็นการโจมตีด้วยละอองลอยที่มีสารพิษร้ายแรง เช่น แบเรียมและอะลูมิเนียม โปรยปรายลงมาบนเมือง ทุกลมหายใจทำให้เราเข้าใกล้หลุมศพก่อนวัยอันควร ทำให้ประชากรป่วยและปฏิบัติตาม

    การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แต่เป็นกลวิธีควบคุม ตำนานเรื่องรอยเท้าคาร์บอนมีไว้เพื่อทำให้เรารู้สึกผิดและตกอยู่ในความยากจน ทำให้เราต้องพึ่งพาระบบของชนชั้นนำ พวกเขากำลังทำให้เราเป็นทาสภายใต้หน้ากากของลัทธิอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

    ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่เป็นเพียงการทดลอง แต่ตอนนี้พวกเขากำลังทำให้ความยากจนทั่วโลกแย่ลง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตที่อยู่อาศัย ราคาอาหารที่ถูกบิดเบือน เงินเฟ้อ พวกเขาต้องการให้เราหมดตัวและไม่สามารถต้านทานได้

    และเครื่องมือที่อันตรายที่สุด? อาวุธชีวภาพ โรค "อุบัติใหม่"? การปล่อยโรคตามแผน โควิดเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น คลื่นลูกต่อไปจะมุ่งเป้าไปที่เครื่องหมายทางพันธุกรรม ซึ่งจะทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากและควบคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมด ในขณะเดียวกัน พวกเขายังต้องนั่งหลบภัยอย่างปลอดภัยในบังเกอร์ โดยเฝ้าดูความโกลาหลที่เกิดขึ้น

    อาณาจักรสื่อของพวกเขายกย่องความเสื่อมโทรม โรคทางจิต การล่มสลายของครอบครัว ฮอลลีวูด เครื่องจักรโฆษณาชวนเชื่อ พวกเขาทั้งหมดเข้ามาเกี่ยวข้องและผลักดันวัฒนธรรมแห่งความเสื่อมโทรม

    แผนการลดจำนวนประชากรโลกในปี 2000 กำลังดำเนินไป โดยมีรากฐานที่หยั่งรากลึก—ตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ คิสซิงเจอร์ สโมสรแห่งโรม คลาว ชะแว๊บ ซึ่งเป็นใบหน้าล่าสุดของวาระนี้ เป็นผู้สานต่อ

    นี่ไม่ใช่ทฤษฎี แต่เป็นเรื่องจริง และมันอยู่ที่นี่ ตื่นได้แล้ว! พายุมาถึงแล้ว และมันกำลังมาหาเราทุกคน
    การสังหารหมู่กำลังดำเนินไป: ชนชั้นสูงกำลังทำให้โลกลดจำนวนประชากรอย่างแข็งขัน—คลาว ชะแว๊บ, Chemtrails และอาวุธชีวภาพ: แผนของ WEF ที่จะกวาดล้างผู้คนนับพันล้านถูกเปิดโปง! วาระการลดจำนวนประชากรของ WEF ไม่ใช่ภัยคุกคามที่อยู่ห่างไกล แต่มันเกิดขึ้นที่นี่และตอนนี้ในทุกวิกฤตที่เขย่าโลกของเรา นี่คือสงครามเต็มรูปแบบกับมนุษยชาติ และคุณคือเป้าหมาย พวกเขาได้ปลดปล่อยอาวุธที่ออกแบบมาเพื่อกำจัดเรา—อย่างช้าๆ แอบๆ และไม่ลดละ W0rld Ec0n0my F0room, คลาว ชะแว๊บ และผู้ควบคุมเงาของพวกเขาได้วางแผนชั่วร้ายที่ซ่อนเร้นอยู่ในที่แจ้งชัด การปรับเปลี่ยนสภาพอากาศ? นี่ไม่ใช่ "การหว่านเมฆ"; พวกเขากำลังบงการพายุ ภัยแล้ง ไฟป่าด้วยเทคโนโลยีระดับทหารเพื่อทำให้ประเทศไม่มั่นคง ทำลายพืชผล และทำให้มวลชนอดอยาก ทุกพายุเฮอริเคน ทุกภัยพิบัติ—ออกแบบมาเพื่อควบคุมจำนวนประชากร การย้ายถิ่นฐานอย่างผิดกฎหมาย? ไม่ใช่เรื่องของ “ผู้ลี้ภัย” แต่เป็นการรุกรานที่ออกแบบมาให้ระบบทำงานหนักเกินไปและทำให้เศรษฐกิจไม่มั่นคง ทำให้มีคนต่อต้านน้อยลง ความวุ่นวาย ความไม่มั่นคง และการเกิดน้อยลง—เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน ฟลูออไรด์ในน้ำของคุณ? มันไม่เหมาะกับฟันของคุณ การสัมผัสเป็นเวลานานจะทำให้ไอคิวลดลง ลดการเจริญพันธุ์ และรับรองการปฏิบัติตาม คนรุ่นต่อรุ่นกำลังกลายเป็นแกะที่เป็นหมันและเชื่อง และระดับไอคิวก็ลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อภาวะมีบุตรยากเพิ่มขึ้น ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการรวมกลุ่ม (DEI) ไม่เกี่ยวกับความยุติธรรม แต่เป็นอาวุธทางจิตวิทยาเพื่อแบ่งแยกสังคม ทำลายค่านิยม และหยุดการเติบโตของประชากร นี่คือสงครามเพื่อความสามัคคีและครอบครัว มาพูดถึงจีเอ็มโอกันดีกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พืชผลที่ไม่เป็นอันตราย แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างอาวุธเพื่อทำลายสุขภาพและความอุดมสมบูรณ์ โรคเรื้อรังไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรแห่งความตายที่ขับเคลื่อนโดยบริษัทเวชภัณฑ์ขนาดใหญ่ ซึ่งขายโรคและ "การรักษา" Chemtrails? ร่องรอยบนท้องฟ้าเหล่านั้นไม่ใช่เชื้อเพลิงเครื่องบิน แต่เป็นการโจมตีด้วยละอองลอยที่มีสารพิษร้ายแรง เช่น แบเรียมและอะลูมิเนียม โปรยปรายลงมาบนเมือง ทุกลมหายใจทำให้เราเข้าใกล้หลุมศพก่อนวัยอันควร ทำให้ประชากรป่วยและปฏิบัติตาม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แต่เป็นกลวิธีควบคุม ตำนานเรื่องรอยเท้าคาร์บอนมีไว้เพื่อทำให้เรารู้สึกผิดและตกอยู่ในความยากจน ทำให้เราต้องพึ่งพาระบบของชนชั้นนำ พวกเขากำลังทำให้เราเป็นทาสภายใต้หน้ากากของลัทธิอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่เป็นเพียงการทดลอง แต่ตอนนี้พวกเขากำลังทำให้ความยากจนทั่วโลกแย่ลง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตที่อยู่อาศัย ราคาอาหารที่ถูกบิดเบือน เงินเฟ้อ พวกเขาต้องการให้เราหมดตัวและไม่สามารถต้านทานได้ และเครื่องมือที่อันตรายที่สุด? อาวุธชีวภาพ โรค "อุบัติใหม่"? การปล่อยโรคตามแผน โควิดเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น คลื่นลูกต่อไปจะมุ่งเป้าไปที่เครื่องหมายทางพันธุกรรม ซึ่งจะทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากและควบคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมด ในขณะเดียวกัน พวกเขายังต้องนั่งหลบภัยอย่างปลอดภัยในบังเกอร์ โดยเฝ้าดูความโกลาหลที่เกิดขึ้น อาณาจักรสื่อของพวกเขายกย่องความเสื่อมโทรม โรคทางจิต การล่มสลายของครอบครัว ฮอลลีวูด เครื่องจักรโฆษณาชวนเชื่อ พวกเขาทั้งหมดเข้ามาเกี่ยวข้องและผลักดันวัฒนธรรมแห่งความเสื่อมโทรม แผนการลดจำนวนประชากรโลกในปี 2000 กำลังดำเนินไป โดยมีรากฐานที่หยั่งรากลึก—ตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ คิสซิงเจอร์ สโมสรแห่งโรม คลาว ชะแว๊บ ซึ่งเป็นใบหน้าล่าสุดของวาระนี้ เป็นผู้สานต่อ นี่ไม่ใช่ทฤษฎี แต่เป็นเรื่องจริง และมันอยู่ที่นี่ ตื่นได้แล้ว! พายุมาถึงแล้ว และมันกำลังมาหาเราทุกคน
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • แจ้งจับหมอดูฮวงจุ้ย หลังยายวัย 77 ปี ถูกหมอดูฮวงจุ้ยหลอกทำพิธี สูญ 66 ล้าน ทั้งโรยผงกระดูกผี แก้คุณไสย ลั่น หลงคำพูดจา ลั่น “ทำกับคนแก่ได้อย่างไร เงินที่เอาไปหมดจนเกลี้ยงบัญชี“

    วันนี้ (4 พ.ย.) เพจ “บิ๊กเกรียน” ได้โพสต์ภาพเหตุการณ์ที่คุณยายวัย 77 ปี ท่านหนึ่ง ถูกหลอก ดูฮวงจุ้ย และ ค่าเช่าวัตถุมงคล รวมทั้งค่าทำพิธีเป็นเงินสูงถึง 66 ล้าน โดยโพสต์ระบุว่า หมอดูฮวงจุ้ยช่องดังป้ายยาคุณยายกับลูกสาวรวม66ล้านบาทเกลี้ยงบัญชี โดยคุณยายวัย 77 ปีเห็น หมอดู ฮวงจุ้ย ในทีวีดิจิทัล ช่องดัง หลงเชื่อ เลยติดต่อให้มาดูฮวงจุ้ย ที่บ้าน เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2567 แค่เรียกมาดูแต่คุณยายกับลูกสาวเหมือนถูกป้ายยา โดนค่าต่างๆ เพื่อใช้ ดูฮวงจุ้ย และ ค่า วัตถุมงคล ค่าทำพิธี ครั้งแรกรวมแล้ว 1.3 ล้านบาท

    จากนั้น จ่ายยิบจ่ายย่อย หมอดูฮวงจุ้ย อ้างเป็นค่า ค่าทำพิธี 9 แสน ค่าภาษีอากร นำเข้า 6 แสน ค่าพระผงกระดูกผี 4.4 ล้าน ค่านิมนต์ ค่าพระทำพิธี 6 หมื่น ค่าพิธีล่มศาล 2 ล้าน ค่าซื้อที่ดิน สุสาน 4 แสน ค่าสิงห์ 2 ตัว 1.2 ล้าน โดยที่แพงสุด ค่าหินแกะสลักศักดิ์ นำเข้าจากเมื่องจีน 38 ล้านบาท แต่ไม่เห็นของ ซึ่งตลอดเดือนกุมภาพันธ์ถึงตุลาคม ยอมรวม จ่ายไป 66 ล้านบาท

    โดยคุณยาย เผยว่ามาทุกครั้ง ต้องโอนเงินจ่ายทุกครั้ง อ้างต้องปรับเปลี่ยน ฮวงจุ้ย แก้ คุณไสย ทำพิธีต่างๆ พอทวงถาม ว่าพิธีจะเริ่มเมื่อไร ของเซ่นไหว้ วัตถุ มงคลที่สั่งไปจะมาวันไหน กลับสร้างความไม่พอใจ ให้หมอดูฮวงจุ้นช่องดัง เกิดอารมณ์ เกรี้ยวกราด จึงรู้ว่า โดนหลอกแล้ว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000106138

    #MGROnline #ตี่ลี่ฮวงจุ้ย #หมอดูฮวงจุ้ย
    แจ้งจับหมอดูฮวงจุ้ย หลังยายวัย 77 ปี ถูกหมอดูฮวงจุ้ยหลอกทำพิธี สูญ 66 ล้าน ทั้งโรยผงกระดูกผี แก้คุณไสย ลั่น หลงคำพูดจา ลั่น “ทำกับคนแก่ได้อย่างไร เงินที่เอาไปหมดจนเกลี้ยงบัญชี“ • วันนี้ (4 พ.ย.) เพจ “บิ๊กเกรียน” ได้โพสต์ภาพเหตุการณ์ที่คุณยายวัย 77 ปี ท่านหนึ่ง ถูกหลอก ดูฮวงจุ้ย และ ค่าเช่าวัตถุมงคล รวมทั้งค่าทำพิธีเป็นเงินสูงถึง 66 ล้าน โดยโพสต์ระบุว่า หมอดูฮวงจุ้ยช่องดังป้ายยาคุณยายกับลูกสาวรวม66ล้านบาทเกลี้ยงบัญชี โดยคุณยายวัย 77 ปีเห็น หมอดู ฮวงจุ้ย ในทีวีดิจิทัล ช่องดัง หลงเชื่อ เลยติดต่อให้มาดูฮวงจุ้ย ที่บ้าน เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2567 แค่เรียกมาดูแต่คุณยายกับลูกสาวเหมือนถูกป้ายยา โดนค่าต่างๆ เพื่อใช้ ดูฮวงจุ้ย และ ค่า วัตถุมงคล ค่าทำพิธี ครั้งแรกรวมแล้ว 1.3 ล้านบาท • จากนั้น จ่ายยิบจ่ายย่อย หมอดูฮวงจุ้ย อ้างเป็นค่า ค่าทำพิธี 9 แสน ค่าภาษีอากร นำเข้า 6 แสน ค่าพระผงกระดูกผี 4.4 ล้าน ค่านิมนต์ ค่าพระทำพิธี 6 หมื่น ค่าพิธีล่มศาล 2 ล้าน ค่าซื้อที่ดิน สุสาน 4 แสน ค่าสิงห์ 2 ตัว 1.2 ล้าน โดยที่แพงสุด ค่าหินแกะสลักศักดิ์ นำเข้าจากเมื่องจีน 38 ล้านบาท แต่ไม่เห็นของ ซึ่งตลอดเดือนกุมภาพันธ์ถึงตุลาคม ยอมรวม จ่ายไป 66 ล้านบาท • โดยคุณยาย เผยว่ามาทุกครั้ง ต้องโอนเงินจ่ายทุกครั้ง อ้างต้องปรับเปลี่ยน ฮวงจุ้ย แก้ คุณไสย ทำพิธีต่างๆ พอทวงถาม ว่าพิธีจะเริ่มเมื่อไร ของเซ่นไหว้ วัตถุ มงคลที่สั่งไปจะมาวันไหน กลับสร้างความไม่พอใจ ให้หมอดูฮวงจุ้นช่องดัง เกิดอารมณ์ เกรี้ยวกราด จึงรู้ว่า โดนหลอกแล้ว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000106138 • #MGROnline #ตี่ลี่ฮวงจุ้ย #หมอดูฮวงจุ้ย
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • #นอกเรื่องพระหน่อย# เห็นเยอะเหลือเกิน.
    🎃 เล่นกลมือ ง่ายๆ แค่สลับ แต่คนหลงกลเพียบ...
    ขายเบอร์ละ 500 บ้าง 1000 บ้าง..ต้องโอนก่อน....คิดแบบคนโง่ๆ เลย..คือเหมาหมด ...ยังไงก็ถูก....
    ...แต่มันไม่ง่ายแบบนั้น...มันจะจัดเป็นรอบๆ แล้วคัดออก...และมันไม่ให้เล่นทั้งหมด สมมุติมี 4 กอง มันจะให้เล่นแค่ 2 กอง...กินไปเรื่อยๆ แล้วคัดออก ..พอเหลือ 2 กองสุดท้าย มันขายเบอร์ 2000 เลย...แต่คนที่จองมา คือ ทีมงานของมันเอง....และก็เฉลยตัวถูก....
    ...ตอนใส่ มันใส่ให้เห็นจริง ...แต่มันทำตำหนิ ที่กล้องมองไม่เห็นไว้ แต่ตอนแกะ มันรู้...มันก็เล่นตามเกมส์ของมัน...จะให้ออกอะไร ตอนไหน..และก็เหมือนมายากลทั่วไป คือ รู้มุมกล้อง...
    ...บางเจ้าโอนจริงให้เห็นเลย ...แต่เป็นคนของมัน.....
    ..พอเฉลย...คนก็เฮ้ยมีรางวัลจริงนี่..ที่เราเล่นไม่ถูกเอง.....
    ...กลมือ ง่ายๆ.... #อย่าโลภ#
    #นอกเรื่องพระหน่อย# เห็นเยอะเหลือเกิน. 🎃 เล่นกลมือ ง่ายๆ แค่สลับ แต่คนหลงกลเพียบ... ขายเบอร์ละ 500 บ้าง 1000 บ้าง..ต้องโอนก่อน....คิดแบบคนโง่ๆ เลย..คือเหมาหมด ...ยังไงก็ถูก.... ...แต่มันไม่ง่ายแบบนั้น...มันจะจัดเป็นรอบๆ แล้วคัดออก...และมันไม่ให้เล่นทั้งหมด สมมุติมี 4 กอง มันจะให้เล่นแค่ 2 กอง...กินไปเรื่อยๆ แล้วคัดออก ..พอเหลือ 2 กองสุดท้าย มันขายเบอร์ 2000 เลย...แต่คนที่จองมา คือ ทีมงานของมันเอง....และก็เฉลยตัวถูก.... ...ตอนใส่ มันใส่ให้เห็นจริง ...แต่มันทำตำหนิ ที่กล้องมองไม่เห็นไว้ แต่ตอนแกะ มันรู้...มันก็เล่นตามเกมส์ของมัน...จะให้ออกอะไร ตอนไหน..และก็เหมือนมายากลทั่วไป คือ รู้มุมกล้อง... ...บางเจ้าโอนจริงให้เห็นเลย ...แต่เป็นคนของมัน..... ..พอเฉลย...คนก็เฮ้ยมีรางวัลจริงนี่..ที่เราเล่นไม่ถูกเอง..... ...กลมือ ง่ายๆ.... #อย่าโลภ#
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • ชายคนหนึ่งเป็นคนตกปลาที่เก่งมากเขายังเดินออกไปแล้วได้ปลาขนาด 3 ฟุต หลังจากแกะเบ็ดเขาก็โยนปลากับลงทะเลไป หลังจากนั้นเขาเหวี่ยงเบ็ดไปอีกแล้วเขาก็ได้ปลาขนาด 2 ฟุตกลับมาเขาแกะเบ็ดแล้วก็เหวี่ยงปลา 2 ฟุตลงไปในทะเล ต่อมาเขาเหวี่ยงเบ็ดไปอีก 1 รอบและเขาได้ปลาขนาด 1 ฟุตรอบนี้เขาไม่ทิ้งปลาลงไปในทะเลเขาจับปลาตัวนี้กลับบ้าน นักท่องเที่ยวถามเขาว่าทำไมเขาจึงเอาปลาขนาด 1 ฟุตกลับบ้านเขาพูดว่าที่บ้านเขามีจานแค่ขนาด 1 ฟุต ปลาตัวที่ใหญ่กว่านี้ใส่จานเขาไม่ได้

    จากหนังสือ Design Your Life
    ชายคนหนึ่งเป็นคนตกปลาที่เก่งมากเขายังเดินออกไปแล้วได้ปลาขนาด 3 ฟุต หลังจากแกะเบ็ดเขาก็โยนปลากับลงทะเลไป หลังจากนั้นเขาเหวี่ยงเบ็ดไปอีกแล้วเขาก็ได้ปลาขนาด 2 ฟุตกลับมาเขาแกะเบ็ดแล้วก็เหวี่ยงปลา 2 ฟุตลงไปในทะเล ต่อมาเขาเหวี่ยงเบ็ดไปอีก 1 รอบและเขาได้ปลาขนาด 1 ฟุตรอบนี้เขาไม่ทิ้งปลาลงไปในทะเลเขาจับปลาตัวนี้กลับบ้าน นักท่องเที่ยวถามเขาว่าทำไมเขาจึงเอาปลาขนาด 1 ฟุตกลับบ้านเขาพูดว่าที่บ้านเขามีจานแค่ขนาด 1 ฟุต ปลาตัวที่ใหญ่กว่านี้ใส่จานเขาไม่ได้ จากหนังสือ Design Your Life
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • ไม่ได้เข้ามาโพสต์อะไรใน Thaitimes ซะนาน ส่วน VK นี่ก็ไม่ค่อยได้โพสต์ เพราะติดงานแก้ที่ทั้งเยอะและยาก ยิ่งแก้ยิ่งยาก เวลายิ่งเหลือน้อย ผมไม่ได้มีปัญหากับคนจ้าง แต่มีปัญหากับทางบ้านมากกว่า ลูกค้าในคนที่จ้างผมอีกคนก็เร่งมาก เร่งเกินไป งานก็ยากเกิ๊น ถึงทำได้แต่ส่วนมากทำไม่ทัน ได้เงินก็น้อยมาก และไม่ค่อยได้เงินสักเม็ดหน่วยเลย บางทีอยากจะเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่และหาคนที่พร้อมจะจ้างผม ไม่ใช่มาผูกขาดแค่ผมคนเดียว รู้สึกกดดันมากๆ วันนี้เพิ่งแกะซ่อมเมาส์เพราะหลังๆมานี้เมาส์เริ่มมีปัญหาดับเบิ้ลคลิกทั้งๆทั้คลิกครั้งเดียว กดเมาส์ค้างแปปเดียว หลุดค้าง เลยจำต้องซ่อม ตอนนี้เมาส์กลับมามีเสียงอีกครั้ง หลังจากที่เก็บเสียงมานาน แต่สร้างปัญหาอิรุงตุงนังมากขึ้นอีกครับ
    ไม่ได้เข้ามาโพสต์อะไรใน Thaitimes ซะนาน ส่วน VK นี่ก็ไม่ค่อยได้โพสต์ เพราะติดงานแก้ที่ทั้งเยอะและยาก ยิ่งแก้ยิ่งยาก เวลายิ่งเหลือน้อย ผมไม่ได้มีปัญหากับคนจ้าง แต่มีปัญหากับทางบ้านมากกว่า ลูกค้าในคนที่จ้างผมอีกคนก็เร่งมาก เร่งเกินไป งานก็ยากเกิ๊น ถึงทำได้แต่ส่วนมากทำไม่ทัน ได้เงินก็น้อยมาก และไม่ค่อยได้เงินสักเม็ดหน่วยเลย บางทีอยากจะเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่และหาคนที่พร้อมจะจ้างผม ไม่ใช่มาผูกขาดแค่ผมคนเดียว รู้สึกกดดันมากๆ วันนี้เพิ่งแกะซ่อมเมาส์เพราะหลังๆมานี้เมาส์เริ่มมีปัญหาดับเบิ้ลคลิกทั้งๆทั้คลิกครั้งเดียว กดเมาส์ค้างแปปเดียว หลุดค้าง เลยจำต้องซ่อม ตอนนี้เมาส์กลับมามีเสียงอีกครั้ง หลังจากที่เก็บเสียงมานาน แต่สร้างปัญหาอิรุงตุงนังมากขึ้นอีกครับ
    0 Comments 0 Shares 235 Views 0 Reviews
  • ❤️❤️❤️สิงห์งาแกะ หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ จ.สุพรรณบุรี❤️❤️❤️
    ❤️❤️❤️สิงห์งาแกะ หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ จ.สุพรรณบุรี❤️❤️❤️
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • "อัจฉริยะ !"

    สำหรับตัวผมแล้ว ถ้าพูดถึงนักเขียนญี่ปุ่นที่เป็นปรมาจารย์ด้านการเล่าเรื่อง และการบรรยายที่สร้างบรรยากาศที่หลอน ๆ สั่นประสาท ความดำมืดและวิปริตของจิตใจของตัวฆาตกรร้าย รวมถึงความรู้สึกเย็บวาบ ขนลุกซู่เมื่ออ่านไปเรื่อย ๆ ที่มีความโดดเด่นแล้ว ชื่อที่นึกถึงเป็นอันดับแรกเลยคือ เอโดะงะวะ รัมโปะ ตามมาด้วย โยโคมิโซะ เซชิ

    #ลายนิ้วมือปีศาจ คืออีกหนึ่งผลงานที่ยืนยันข้อความข้างต้น

    สนพ.เจคลาส
    ผู้เขียน เอโดะงาวะ รัมโปะ
    ผู้แปล ทินภาส พาหะนิชย์
    พิมพ์ เม.ย.2561
    230 บาท 226 หน้า

    เมื่อเกิดคดีฆาตกรรมไม่คาดฝันขึ้น โดยเหยื่อรายแรกเป็นผู้ช่วยงานของนักสืบเอกชนผู้มีชื่อเสียงนามว่า ดร.มุนะกะตะ ซึ่งมีความสามารถและเชี่ยวชาญทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ ชื่อเสียงควบคู่มากับยอดนักสืบเอกอะเกะชิ โคะโงะโร เรื่องราวจึงไม่ธรรมดา แต่เป็นคดีที่มีความยอกย้อนซ่อนเงื่อน และคนร้ายมีวิธีการที่น่ากลัวกว่าฆาตกรทั่วไปอย่างเทียบไม่ได้

    เนื่องจาก นักสืบอะเกะชิที่เป็นเพื่อนและรู้จักกับสารวัตรนะกะมุระแห่งกรมตำรวจนครบาลโตเกียวไม่ว่าง ติดภารกิจที่ต่างแดน จึงเป็นหน้าที่ของ ดร.มุนะกะตะ ที่ต้องออกโรง ทั้งเพื่อล้างอายตนเองที่ไม่สามารถช่วยลูกน้องได้ และเพื่อชื่อเสียงในฐานะนักสืบของตนไม่ให้มัวหมอง เขาจึงเริ่มตามสืบหาตัวคนร้าย ที่ส่งข้อความมาถึง เศรษฐีนักธุรกิจผู้หนึ่งที่มีกิจการค้าของตนเองนาม คะวะเตะ โชตะโร ระบุชัดว่ามีเป้าหมายเพื่อต้องการฆ่าล้างแค้นคนในครอบครัวของเขาทั้งหมด 3 ชีวิต คือตัวคะวะเตะ และลูกสาวอีกสองคนที่เติบโตเป็นสาวสวยแล้ว โดยเขาก็นึกไม่ออกว่าได้สร้างความโกรธแค้นให้เกิดแก่ใครจนถึงขั้นจ้องจะทำลายล้างตระกูลให้ไม่เหลือสักคนเดียว

    แม้นว่า ดร.มุนะกะตะ จะได้หลักฐานสำคัญที่พบจากซองเอกสารที่ผู้ช่วยชายพยายามจะส่งให้ถึงมือเขา ก่อนจะถูกวางยาพิษเสียชีวิต เป็นรอยนิ้วมือที่คาดว่าน่าจะเป็นของผู้ที่กำลังวางแผนฆ่าครอบครัวคะวะเตะ เป็นรอยนิ้วประหลาดน่าขนลุกที่มีลักษณะคล้ายก้นหอย3วง จึงพยายามตามสืบจากเบาะแสดังกล่าว โดยมอบหมายให้ผู้ช่วยชายอีกคนไปดำเนินการ ไม่นานต่อมาลูกสาวทั้งสองของผู้ว่าจ้างกลับพบชะตากรรมดำมืด กลายเป็นเหยื่อถูกฆ่าตายไปทีละคนอย่างน่าพิศวง ทั้งที่มีตำรวจจำนวนมาก และนักสืบคอยเฝ้ายามรักษาความปลอดภัยให้อย่างรัดกุมแน่นหนา

    นี่..ไม่น่าเป็นไปได้ ฆาตกรทำอย่างไร จึงสามารถราวกับภูติผีปีศาจ แถมยังหยามน้ำหน้านักสืบด้วยการทิ้งรอยนิ้วมือที่มีก้นหอย3วงเอาไว้ในหลายวาระ ดร.มุนะกะตะเหมือนถูกคนร้ายนำหน้าหนึ่งก้าวเสมอ สถานการณ์เลวร้ายลง คะวะตะเองนั้นทั้งเศร้าเสียใจและตื่นกลัวอย่างมาก ความแค้นใดในอดีต ที่ฝังแน่นในจิตใจของฆาตกร จนถึงขั้นวางแผนเพื่อจะกำจัดตระกูลของเขาให้สิ้นซาก หลังฆ่าเหยื่อแล้วยังจัดแสดงศพเพื่อหวังให้สาธารณะพบเห็นเป็นการประจานอย่างอำมหิต แต่ในที่สุดฆาตกรก็ไม่อาจรอดพ้นฝีมือในการสืบสวนและแกะรอยของดร.มุนะกะตะ จนสามารถปิดคดีลงได้ แม้จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกถึง 3 รายก็ตาม

    แต่เรื่องราวกลับไม่จบลงง่ายดายเพียงนั้น หลังจากนักสืบอะเกะชิเสร็จจากภารกิจกลับมา และได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมดจากคำบอกเล่าของสารวัตรนะกะมุระ เขาจึงเริ่มดำเนินการสืบสวนในแบบฉบับของตนอย่างลับ ๆ และได้ข้อสรุปที่มีมุมมองต่อคดีนี้แตกต่างไปจากของตำรวจและ ดร.มุนะกะตะโดยสิ้นเชิง อาเกะชิเชื่อว่าคดียังไม่จบ คนร้ายตัวจริงยังลอยนวล แล้วที่แท้ได้เกิดอะไรขึ้นกับเหยื่อทั้งหมดที่สูญเสียไปกันแน่ ตกลงความจริงคือ..ใครกันที่สืบสวนผิดพลาดระหว่าง ดร.มุนะกะตะ กับอาเกะชิ

    นี่คืออีกหนึ่งสุดยอดของความร้ายกาจ กับความจงเกลียดจงชังเข้าขั้นหมกมุ่น และอาฆาตพยาบาทรุนแรงที่สุดคดีหนึ่งเท่าที่ผมเคยได้อ่านมา

    🖋หลังอ่านจบ

    โคตรน่าทึ่ง...คงต้องใช้คำนี้ ไม่นึกว่าผู้เขียนจะบรรจงสร้างโครงเรื่องที่ดูเหมือนเป็นการฆ่าล้างแค้นที่พบได้ในนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมทั่วไป ให้มีความแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ และชั้นเชิงลูกเล่นเทคนิกแพรวพรายได้ขนาดนี้ ดูเหมือนคนร้ายแทบจะไม่ได้ใช้หรืออาศัยความรู้เฉพาะทางพิเศษใดในวิธีการลงมือฆ่าเหยื่อ เพียงอาศัยเรื่องที่ดูธรรมดาสามัญที่สุด มาสร้างขึ้นเป็นกำดักทางจิตใจ หลอกทั้งตัวละครนักสืบในเรื่องและหลอกคนอ่านได้อย่างแนบเนียน แม้นจะมีวางจุดสังเกตที่ชวนให้คิดด้วยความน่าฉงนตามรายทางเป็นระยะ ซึ่งหากใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนดี ๆ อาจพอจะเริ่มจับจุดและสังเกตเห็นบางอย่าง แต่ถ้าอ่านแบบขี้เกียจคิดให้วุ่นวาย แค่ตามเรื่องราวไปเรื่อย ๆ พอถึงช่วงเฉลยจะส่งผลให้ชวนอัศจรรย์ใจเพิ่มขึ้น ในส่วนของการดำเนินเรื่องตั้งแต่เริ่มต้นจนตลอดทางถึงตอนจบ ไม่มีความน่าเบื่อปรากฏให้เห็น มีแต่สร้างความรู้สึกอยากรู้ ชวนลุ้น เอาใจช่วยให้เหยื่อรอดพ้น และนักสืบจับคนร้ายได้โดยไว ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะสยิวไปกับบรรยากาศแห่งความไม่น่าไว้ใจ ปริศนาที่ราวกับลูกเล่นหรือมายากลของปีศาจฆาตกร ความโรคจิตขั้นรุนแรงชวนสะอิดสะเอียนที่เลือดเย็น ปนเปกับความรู้สึกอกสั่นขวัญบิน เมื่อนึกถึงแผนการอันชั่วร้ายที่ถูกวางแผนมาอย่างยาวนานหลายสิบปี ตอนนี้ดีที่ไม่ยาวมาก เรียกว่าเนื้อหากำลังเหมาะ

    เอโดะงาวะมีความสามารถในการสร้างปมตัวร้ายที่น่าเศร้าระคนน่ารังเกียจ ไปจนถึงขั้นน่าเกลียดได้อย่างถึงแก่น ราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุเห็นถึงสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในของบุคคลธรรมดา ที่ภายนอกดูไม่เหมือนจะเป็นคนร้ายได้เลยนำมาใช้เป็นวัตถุดิบชั้นดี แต่ทั้งอย่างนั้นชีวิตเบื้องหลังที่ถูกแต่งแต้มขึ้นก็ช่างสมจริง จนทำให้รู้สึกสงสารในชะตากรรมรันทดของผู้ก่ออาชญากรรมด้วยเช่นกัน เมื่อบวกกับสไตล์ที่เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ในการเล่าเรื่องเสมือนประหนึ่งตัวเองกำลังนั่งชวนคุยกับคนอ่านในวงล้อมรอบกองไฟยามดึกสงัด และรู้จักการหยอดถ้อยคำบางช่วงตอนที่ยิ่งสร้างอารมณ์ให้คนที่กำลังติดตามเรื่องเล่าของเขาอย่างจดจ่อ เกิดความตื่นเต้นตึงเตรียดไปด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นความน่าหลงใหลอันชวนให้ไม่อยากลุกไปไหนหรือทำอิริยาบถใดอื่น นอกจากฟังสิ่งที่เขาเล่าต่อจนจบเรื่อง ใจที่เขม็งเกลียวจนแน่นจึงคลายออกและปลอดโปร่งในที่สุด เรื่องนี้ก็เป็นเช่นที่ว่ามานี้ แม้นถูกเขียนมานานกว่า 80 ปี แต่อ่านในยุคปัจจุบันยังคงได้อรรถรส สาระความบันเทิงไม่ด้อยกว่าเรื่องที่แต่งโดยนักเขียนรุ่นใหม่ยุคหลังเลย

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    และอะเกะชิเองก็สมกับความเป็นยอดนักสืบเอกโดยแท้ บุคลิกที่ดูน่าเกรงขามในยามที่ต้องแสดงออกถึงอำนาจให้คนอื่นเห็น แต่ก็ขี้เล่น หัวเราะง่ายยิ้มง่าย ช่วยทำให้ผู้ฟังผ่อนคลาย อีกทั้งวาทศิลป์ในการเลือกใช้คำพูดให้เข้ากับสถานการณ์ก็ยอดเยี่ยม ประกอบกับไหวพริบความช่างสังเกตในการแยกแยะและประมวลผลข้อมูล เห็นถึงจุดอื่นที่คนทั้งหลายไม่ทันเห็นหรือมองข้ามไป ล้วนเป็นคุณสมบัติและภาพลักษณ์ที่น่าจดจำ แม้นจะปรากฏตัวมาในช่วงท้ายใกล้จบ แต่มีบทบาทสำคัญยิ่งที่ส่งผลต่อการพลิกโฉมของคดีนี้ที่สุด

    สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านงานของรัมโปะมาก่อนเลย เริ่มต้นด้วย "ลายนิ้วมือปีศาจ" ก็ไม่เลวครับ

    ป.ล. พบความผิดพลาดในการพิมพ์หนึ่งจุด

    #thaitimes
    #เอโดะงาวะรัมโปะ
    #ฆาตกรรม
    #สืบสวน
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #หนังสือน่าอ่าน
    #ล้างแค้น
    #นักสืบ
    #รีวิวหนังสือ
    #วิจารณ์หนังสือ
    "อัจฉริยะ !" สำหรับตัวผมแล้ว ถ้าพูดถึงนักเขียนญี่ปุ่นที่เป็นปรมาจารย์ด้านการเล่าเรื่อง และการบรรยายที่สร้างบรรยากาศที่หลอน ๆ สั่นประสาท ความดำมืดและวิปริตของจิตใจของตัวฆาตกรร้าย รวมถึงความรู้สึกเย็บวาบ ขนลุกซู่เมื่ออ่านไปเรื่อย ๆ ที่มีความโดดเด่นแล้ว ชื่อที่นึกถึงเป็นอันดับแรกเลยคือ เอโดะงะวะ รัมโปะ ตามมาด้วย โยโคมิโซะ เซชิ #ลายนิ้วมือปีศาจ คืออีกหนึ่งผลงานที่ยืนยันข้อความข้างต้น สนพ.เจคลาส ผู้เขียน เอโดะงาวะ รัมโปะ ผู้แปล ทินภาส พาหะนิชย์ พิมพ์ เม.ย.2561 230 บาท 226 หน้า เมื่อเกิดคดีฆาตกรรมไม่คาดฝันขึ้น โดยเหยื่อรายแรกเป็นผู้ช่วยงานของนักสืบเอกชนผู้มีชื่อเสียงนามว่า ดร.มุนะกะตะ ซึ่งมีความสามารถและเชี่ยวชาญทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ ชื่อเสียงควบคู่มากับยอดนักสืบเอกอะเกะชิ โคะโงะโร เรื่องราวจึงไม่ธรรมดา แต่เป็นคดีที่มีความยอกย้อนซ่อนเงื่อน และคนร้ายมีวิธีการที่น่ากลัวกว่าฆาตกรทั่วไปอย่างเทียบไม่ได้ เนื่องจาก นักสืบอะเกะชิที่เป็นเพื่อนและรู้จักกับสารวัตรนะกะมุระแห่งกรมตำรวจนครบาลโตเกียวไม่ว่าง ติดภารกิจที่ต่างแดน จึงเป็นหน้าที่ของ ดร.มุนะกะตะ ที่ต้องออกโรง ทั้งเพื่อล้างอายตนเองที่ไม่สามารถช่วยลูกน้องได้ และเพื่อชื่อเสียงในฐานะนักสืบของตนไม่ให้มัวหมอง เขาจึงเริ่มตามสืบหาตัวคนร้าย ที่ส่งข้อความมาถึง เศรษฐีนักธุรกิจผู้หนึ่งที่มีกิจการค้าของตนเองนาม คะวะเตะ โชตะโร ระบุชัดว่ามีเป้าหมายเพื่อต้องการฆ่าล้างแค้นคนในครอบครัวของเขาทั้งหมด 3 ชีวิต คือตัวคะวะเตะ และลูกสาวอีกสองคนที่เติบโตเป็นสาวสวยแล้ว โดยเขาก็นึกไม่ออกว่าได้สร้างความโกรธแค้นให้เกิดแก่ใครจนถึงขั้นจ้องจะทำลายล้างตระกูลให้ไม่เหลือสักคนเดียว แม้นว่า ดร.มุนะกะตะ จะได้หลักฐานสำคัญที่พบจากซองเอกสารที่ผู้ช่วยชายพยายามจะส่งให้ถึงมือเขา ก่อนจะถูกวางยาพิษเสียชีวิต เป็นรอยนิ้วมือที่คาดว่าน่าจะเป็นของผู้ที่กำลังวางแผนฆ่าครอบครัวคะวะเตะ เป็นรอยนิ้วประหลาดน่าขนลุกที่มีลักษณะคล้ายก้นหอย3วง จึงพยายามตามสืบจากเบาะแสดังกล่าว โดยมอบหมายให้ผู้ช่วยชายอีกคนไปดำเนินการ ไม่นานต่อมาลูกสาวทั้งสองของผู้ว่าจ้างกลับพบชะตากรรมดำมืด กลายเป็นเหยื่อถูกฆ่าตายไปทีละคนอย่างน่าพิศวง ทั้งที่มีตำรวจจำนวนมาก และนักสืบคอยเฝ้ายามรักษาความปลอดภัยให้อย่างรัดกุมแน่นหนา นี่..ไม่น่าเป็นไปได้ ฆาตกรทำอย่างไร จึงสามารถราวกับภูติผีปีศาจ แถมยังหยามน้ำหน้านักสืบด้วยการทิ้งรอยนิ้วมือที่มีก้นหอย3วงเอาไว้ในหลายวาระ ดร.มุนะกะตะเหมือนถูกคนร้ายนำหน้าหนึ่งก้าวเสมอ สถานการณ์เลวร้ายลง คะวะตะเองนั้นทั้งเศร้าเสียใจและตื่นกลัวอย่างมาก ความแค้นใดในอดีต ที่ฝังแน่นในจิตใจของฆาตกร จนถึงขั้นวางแผนเพื่อจะกำจัดตระกูลของเขาให้สิ้นซาก หลังฆ่าเหยื่อแล้วยังจัดแสดงศพเพื่อหวังให้สาธารณะพบเห็นเป็นการประจานอย่างอำมหิต แต่ในที่สุดฆาตกรก็ไม่อาจรอดพ้นฝีมือในการสืบสวนและแกะรอยของดร.มุนะกะตะ จนสามารถปิดคดีลงได้ แม้จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกถึง 3 รายก็ตาม แต่เรื่องราวกลับไม่จบลงง่ายดายเพียงนั้น หลังจากนักสืบอะเกะชิเสร็จจากภารกิจกลับมา และได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมดจากคำบอกเล่าของสารวัตรนะกะมุระ เขาจึงเริ่มดำเนินการสืบสวนในแบบฉบับของตนอย่างลับ ๆ และได้ข้อสรุปที่มีมุมมองต่อคดีนี้แตกต่างไปจากของตำรวจและ ดร.มุนะกะตะโดยสิ้นเชิง อาเกะชิเชื่อว่าคดียังไม่จบ คนร้ายตัวจริงยังลอยนวล แล้วที่แท้ได้เกิดอะไรขึ้นกับเหยื่อทั้งหมดที่สูญเสียไปกันแน่ ตกลงความจริงคือ..ใครกันที่สืบสวนผิดพลาดระหว่าง ดร.มุนะกะตะ กับอาเกะชิ นี่คืออีกหนึ่งสุดยอดของความร้ายกาจ กับความจงเกลียดจงชังเข้าขั้นหมกมุ่น และอาฆาตพยาบาทรุนแรงที่สุดคดีหนึ่งเท่าที่ผมเคยได้อ่านมา 🖋หลังอ่านจบ โคตรน่าทึ่ง...คงต้องใช้คำนี้ ไม่นึกว่าผู้เขียนจะบรรจงสร้างโครงเรื่องที่ดูเหมือนเป็นการฆ่าล้างแค้นที่พบได้ในนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมทั่วไป ให้มีความแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ และชั้นเชิงลูกเล่นเทคนิกแพรวพรายได้ขนาดนี้ ดูเหมือนคนร้ายแทบจะไม่ได้ใช้หรืออาศัยความรู้เฉพาะทางพิเศษใดในวิธีการลงมือฆ่าเหยื่อ เพียงอาศัยเรื่องที่ดูธรรมดาสามัญที่สุด มาสร้างขึ้นเป็นกำดักทางจิตใจ หลอกทั้งตัวละครนักสืบในเรื่องและหลอกคนอ่านได้อย่างแนบเนียน แม้นจะมีวางจุดสังเกตที่ชวนให้คิดด้วยความน่าฉงนตามรายทางเป็นระยะ ซึ่งหากใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนดี ๆ อาจพอจะเริ่มจับจุดและสังเกตเห็นบางอย่าง แต่ถ้าอ่านแบบขี้เกียจคิดให้วุ่นวาย แค่ตามเรื่องราวไปเรื่อย ๆ พอถึงช่วงเฉลยจะส่งผลให้ชวนอัศจรรย์ใจเพิ่มขึ้น ในส่วนของการดำเนินเรื่องตั้งแต่เริ่มต้นจนตลอดทางถึงตอนจบ ไม่มีความน่าเบื่อปรากฏให้เห็น มีแต่สร้างความรู้สึกอยากรู้ ชวนลุ้น เอาใจช่วยให้เหยื่อรอดพ้น และนักสืบจับคนร้ายได้โดยไว ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะสยิวไปกับบรรยากาศแห่งความไม่น่าไว้ใจ ปริศนาที่ราวกับลูกเล่นหรือมายากลของปีศาจฆาตกร ความโรคจิตขั้นรุนแรงชวนสะอิดสะเอียนที่เลือดเย็น ปนเปกับความรู้สึกอกสั่นขวัญบิน เมื่อนึกถึงแผนการอันชั่วร้ายที่ถูกวางแผนมาอย่างยาวนานหลายสิบปี ตอนนี้ดีที่ไม่ยาวมาก เรียกว่าเนื้อหากำลังเหมาะ เอโดะงาวะมีความสามารถในการสร้างปมตัวร้ายที่น่าเศร้าระคนน่ารังเกียจ ไปจนถึงขั้นน่าเกลียดได้อย่างถึงแก่น ราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุเห็นถึงสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในของบุคคลธรรมดา ที่ภายนอกดูไม่เหมือนจะเป็นคนร้ายได้เลยนำมาใช้เป็นวัตถุดิบชั้นดี แต่ทั้งอย่างนั้นชีวิตเบื้องหลังที่ถูกแต่งแต้มขึ้นก็ช่างสมจริง จนทำให้รู้สึกสงสารในชะตากรรมรันทดของผู้ก่ออาชญากรรมด้วยเช่นกัน เมื่อบวกกับสไตล์ที่เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ในการเล่าเรื่องเสมือนประหนึ่งตัวเองกำลังนั่งชวนคุยกับคนอ่านในวงล้อมรอบกองไฟยามดึกสงัด และรู้จักการหยอดถ้อยคำบางช่วงตอนที่ยิ่งสร้างอารมณ์ให้คนที่กำลังติดตามเรื่องเล่าของเขาอย่างจดจ่อ เกิดความตื่นเต้นตึงเตรียดไปด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นความน่าหลงใหลอันชวนให้ไม่อยากลุกไปไหนหรือทำอิริยาบถใดอื่น นอกจากฟังสิ่งที่เขาเล่าต่อจนจบเรื่อง ใจที่เขม็งเกลียวจนแน่นจึงคลายออกและปลอดโปร่งในที่สุด เรื่องนี้ก็เป็นเช่นที่ว่ามานี้ แม้นถูกเขียนมานานกว่า 80 ปี แต่อ่านในยุคปัจจุบันยังคงได้อรรถรส สาระความบันเทิงไม่ด้อยกว่าเรื่องที่แต่งโดยนักเขียนรุ่นใหม่ยุคหลังเลย . . . . . . . . . . . และอะเกะชิเองก็สมกับความเป็นยอดนักสืบเอกโดยแท้ บุคลิกที่ดูน่าเกรงขามในยามที่ต้องแสดงออกถึงอำนาจให้คนอื่นเห็น แต่ก็ขี้เล่น หัวเราะง่ายยิ้มง่าย ช่วยทำให้ผู้ฟังผ่อนคลาย อีกทั้งวาทศิลป์ในการเลือกใช้คำพูดให้เข้ากับสถานการณ์ก็ยอดเยี่ยม ประกอบกับไหวพริบความช่างสังเกตในการแยกแยะและประมวลผลข้อมูล เห็นถึงจุดอื่นที่คนทั้งหลายไม่ทันเห็นหรือมองข้ามไป ล้วนเป็นคุณสมบัติและภาพลักษณ์ที่น่าจดจำ แม้นจะปรากฏตัวมาในช่วงท้ายใกล้จบ แต่มีบทบาทสำคัญยิ่งที่ส่งผลต่อการพลิกโฉมของคดีนี้ที่สุด สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านงานของรัมโปะมาก่อนเลย เริ่มต้นด้วย "ลายนิ้วมือปีศาจ" ก็ไม่เลวครับ ป.ล. พบความผิดพลาดในการพิมพ์หนึ่งจุด #thaitimes #เอโดะงาวะรัมโปะ #ฆาตกรรม #สืบสวน #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #หนังสือน่าอ่าน #ล้างแค้น #นักสืบ #รีวิวหนังสือ #วิจารณ์หนังสือ
    0 Comments 0 Shares 286 Views 0 Reviews
  • งานแกะสลัก ด้วยเครื่องเลเซอร์ เริ่มทยอยออกมาแล้ว..งานละเอียด สวยงาม แล้วไปแแกล้งทำเก่า คนดูเป็นฝีมือช่างชั้นครูละก็..เสร็จ...ลองนึกภาพ พวก ราหูแกะแพงๆ สิ ...
    งานแกะสลัก ด้วยเครื่องเลเซอร์ เริ่มทยอยออกมาแล้ว..งานละเอียด สวยงาม แล้วไปแแกล้งทำเก่า คนดูเป็นฝีมือช่างชั้นครูละก็..เสร็จ...ลองนึกภาพ พวก ราหูแกะแพงๆ สิ ...
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • #ของว่างที่เฝ้ารอกับคำขออย่างสุดท้าย

    ความหมายของการมีชีวิตคืออะไร หนังสือเล่มนี้จะเป็นเล่มหนึ่งที่พาคุณไปเที่ยวชมและร่วมเรียนรู้ไปกับการแสวงหาความสำคัญของการอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ของใครอีกหลายคนในสภาวะที่ร่างกายกำลังอ่อนแอ ด้วยโรคร้ายกัดกินจนใกล้วาระสุดท้าย ก่อนลมหายใจจะดับลง

    สนพ.piccolo พิมพ์ครั้งแรกในญี่ปุ่นปี 2019
    ฉบับแปลไทย เม.ย.2567
    โอกาวะ อิโตะ เขียน
    ธนพล ศักดิ์สมุทรานันท์ แปล
    223 หน้า 285 บาท

    ตลอดทั้งเล่มเต็มไปด้วยความอบอวลของความรักระหว่างมนุษย์ที่มีต่อมนุษย์ด้วยกัน รวมไปถึงมนุษย์ที่มีต่อสัตว์และสัตว์เองก็แสดงตอบต่อด้วยความซื่อตรง

    เนื้อหากล่าวถึงหญิงสาวคนหนึ่งนามว่า อูมิโนะ ชิสุกุ ซึ่งมีวัย 33 ปี ชีวิตที่ผ่านมาของเธออ่อนโยนต่อคนรอบข้างมาโดยตลอดตั้งแต่ยังเด็ก โดยเฉพาะพ่อบุญธรรมที่รับเลี้ยงเธอซึ่งสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เล็ก แม้จะไม่ใช่บุพการีที่ให้กำเนิด แต่มอบความรักดูแลเอาใจใส่อย่างดี ทว่าวันหนึ่งเมื่อเธอพบว่าตนมีโรคร้ายเกาะกิน แม้นจะพยายามรักษา ต่อสู้ด้วยตนเองหลังแยกมาอยู่คนเดียว แต่สุดท้ายบั้นปลายชีวิต ต้องทำใจยอมรับความจริงว่ามีเวลาเหลืออยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นาน ไม่อยากให้พ่อต้องเดือดร้อนและเศร้าใจเพราะทราบความจริง จึงเลือกที่จะไม่บอกแล้วตระเตรียมแผนล่วงหน้าสำหรับรับมือกับความตายที่กำลังย่างกรายมาถึง ด้วยการตัดสินใจเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ที่สถานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ที่เกาะเลมอนซึ่งรายล้อมด้วยทะเลเงียบสงบและงดงาม เต็มไปด้วยธรรมชาติและอากาศอันสดชื่นบริสุทธิ์ มีไร่องุ่น กับท้องฟ้าสีครามและท้องทะเลสีน้ำเงินที่เธอชอบและใฝ่ฝัน เป็นสถานที่เธอเลือกเพราะคิดว่าเหมาะสมตรงกับรสนิยมความชอบของตนมากที่สุด

    ชื่อของสถานที่ดังกล่าวคือบ้านพักสิงโต เปรียบได้กับดินแดนสุขาวดีที่มีเทวดานางฟ้าคอยให้การต้อนรับดูแลด้วยหัวใจ โดยเฉพาะเจ้าของสถานที่สาวซึ่งมีนามว่ามาดอนน่า เป็นหญิงมหัศจรรย์ที่มีน้ำใจงาม มีความเชี่ยวชาญในด้านการดูแลทั้งทางด้านร่างกายที่เจ็บไข้ของผู้ป่วย และเยียวยาด้านจิตใจไปพร้อมกัน

    ณ สถานที่แห่งนี้เอง ในบ้านพักบนเกาะห่างไกล ที่ซึ่งชิสุกุไม่เคยคาดฝันว่าจะได้พบกับความรักอีกครั้ง กับชายหนุ่มน่ารัก สุภาพและวัยใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ยังอดตะลึงไปกับห้องพักส่วนตัวที่แสนสบายท่ามกลางบรรยากาศราวสรวงสวรรค์ เธอได้เรียนรู้ว่าไม่ใช่เฉพาะตัวเองเท่านั้นที่ประสบกับภาวะทุกข์โศกจากโรคภัยที่กำลังจะพรากลมหายใจอันหวงแหนให้หลุดลอยไป แต่ยังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหลายคนทั้งชายหญิง วัยเด็กหรือแม้กระทั่งวัยสูงอายุ แต่ละคนล้วนมีอาการทรมานที่ไม่น้อยไปกว่าเธอ บางคนเป็นมากกว่าด้วย

    ชิสุกุได้สัมผัสกับมิตรภาพและวิญญาณภายในของเพื่อนต่างวัย ที่ตอนแรกเธอพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่คบคุ้นด้วย ยังมีเจ้าสุนัขแสนรู้น่ารักเพศเมียอีกตัวหนึ่งเล่า ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยชุบชูหัวใจอันอ่อนล้าของหญิงสาว ให้ยอมเปิดใจและคลายวงล้อมของป้อมปราการที่ขังตัวเองจากทุกคนลงได้ หมาตัวนี้มีชื่อว่า รกกะ เจ้าของเดิมเคยมาพำนักอยู่ที่บ้านสิงโตเมื่อนานมาแล้ว และหลังจากเธอคนนั้นจากไป ทุกคนก้ช่วยกันดูแลรกกะต่อมา

    จนกระทั่ง รกกะ ได้พบกับชิสุกุ ทั้งคู่ถูกชะตากันตั้งแต่วันแรกที่ได้พบ หลังจากนั้นก็อยู่ด้วยกันตลอด รกกะเป็นเสมือนตู้ยาเคลื่อนที่ซึ่งช่วยให้ชิสุกุต่อสู้กับความเจ็บปวดโดยยังสามารถปรากฏรอยยิ้มอยู่ได้

    สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้มาพักที่นี่ทุกคนต่างเฝ้ารอที่จะให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ นั่นคือการได้มีกิจกรรมกินของว่างร่วมกันในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ เพียงหนึ่งครั้งในรอบเจ็ดวัน โดยทุกคนมีสิทธิเท่ากันคนละ1เสียง ที่สามารถเขียนใส่กระดาษเพื่อบอกเล่าถึงขนมที่ตนชื่นชอบและอยากกินมากที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย แล้วคำขอเหล่านั้นจะถูกจับฉลากขึ้นมาหนึ่งใบ คำขอของใครก็ตามที่โชคดี แม่ครัวจะแกะสูตรแล้วทำออกมาให้เหมือนหรือใกล้เคียงที่สุด เพื่อจะเสิร์ฟให้กับทุกคนได้ชิมกัน

    อย่างไรก็ตาม วันที่ต้องจากลาย่อมบ่ายหน้ามาถึงเพื่อนแต่ละคน ในห้วงเวลาเช่นนั้น ทั้งเขาหรือเธอรวมทั้งชิสุกุเอง มีวิธีรับมือระหว่างเผชิญหน้ากับความเสื่อมสลายของสังขาร ที่ค่อย ๆ ทรุดโทรมและดับสิ้นไปทีละน้อยอย่างไร นี่คือสิ่งที่ผู้อ่านจะได้ร่วมเรียนรู้ไปพร้อมกันกับตัวละครในเรื่อง

    ถ้าคุณเคยประทับใจมาแล้วกับ ร้านเครื่องเขียนนั้นใต้ต้นสึบากิ นี่คืออีกเล่มหนึ่งที่น่าลองหามาอ่านครับ โดยเฉพาะคนที่กำลังเผชิญกับความเจ็บป่วยอยู่ หรือแม้ผู้ดูแลคนป่วยเอง แต่ถึงแม้จะไม่ได้ป่วยเลย แต่การได้ทำความเข้าใจกับเรื่องราวเหล่านี้ก็ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ผู้เขียนบรรยายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เปิดเผยเรื่องราวทีละน้อย แล้วไต่ระดับไปอย่างช้า ๆ อารมณ์ของเรื่องไม่ใช่จะมีแต่เปลี่ยวเหงา โศกเศร้า ทดท้อ เจ็บแค้น และสิ้นหวังเพียงเท่านั้น แต่ยังมีความเบิกบานหรรษา อิ่มเอม อบอุ่น เปี่ยมหวัง ให้อภัย สงบสุข คละเคล้าจนกลายเป็นส่วนผสมที่น่าศึกษา มีความละมุนละไมไปพร้อม ๆ กับการได้เห็นถึงความจริงอันเป็นสัจธรรมของชีวิต

    เพราะความเจ็บป่วยนั้นเกิดมีได้กับคนทุกคน แต่มีไม่กี่คนเท่านัั้นจะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างดี และจัดวางภาระทุกอย่างให้อยู่ถูกที่ถูกทาง ในขณะที่เตรียมพร้อมจะปล่อยวางร่างกายนี้ ซึ่งตนหวงแหนประหนึ่งคือสมบัติของเราจริง ๆ ยามเมื่อเวลานั้นมาถึง

    #thaitimes
    #หนังสือน่าอ่าน
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #ผู้ป่วยระยะสุดท้าย
    #เตรียมตัวตาย
    #การดูแลผู้ป่วย
    #หนังสือดี
    #ของว่างที่เฝ้ารอกับคำขออย่างสุดท้าย ความหมายของการมีชีวิตคืออะไร หนังสือเล่มนี้จะเป็นเล่มหนึ่งที่พาคุณไปเที่ยวชมและร่วมเรียนรู้ไปกับการแสวงหาความสำคัญของการอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ของใครอีกหลายคนในสภาวะที่ร่างกายกำลังอ่อนแอ ด้วยโรคร้ายกัดกินจนใกล้วาระสุดท้าย ก่อนลมหายใจจะดับลง สนพ.piccolo พิมพ์ครั้งแรกในญี่ปุ่นปี 2019 ฉบับแปลไทย เม.ย.2567 โอกาวะ อิโตะ เขียน ธนพล ศักดิ์สมุทรานันท์ แปล 223 หน้า 285 บาท ตลอดทั้งเล่มเต็มไปด้วยความอบอวลของความรักระหว่างมนุษย์ที่มีต่อมนุษย์ด้วยกัน รวมไปถึงมนุษย์ที่มีต่อสัตว์และสัตว์เองก็แสดงตอบต่อด้วยความซื่อตรง เนื้อหากล่าวถึงหญิงสาวคนหนึ่งนามว่า อูมิโนะ ชิสุกุ ซึ่งมีวัย 33 ปี ชีวิตที่ผ่านมาของเธออ่อนโยนต่อคนรอบข้างมาโดยตลอดตั้งแต่ยังเด็ก โดยเฉพาะพ่อบุญธรรมที่รับเลี้ยงเธอซึ่งสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เล็ก แม้จะไม่ใช่บุพการีที่ให้กำเนิด แต่มอบความรักดูแลเอาใจใส่อย่างดี ทว่าวันหนึ่งเมื่อเธอพบว่าตนมีโรคร้ายเกาะกิน แม้นจะพยายามรักษา ต่อสู้ด้วยตนเองหลังแยกมาอยู่คนเดียว แต่สุดท้ายบั้นปลายชีวิต ต้องทำใจยอมรับความจริงว่ามีเวลาเหลืออยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นาน ไม่อยากให้พ่อต้องเดือดร้อนและเศร้าใจเพราะทราบความจริง จึงเลือกที่จะไม่บอกแล้วตระเตรียมแผนล่วงหน้าสำหรับรับมือกับความตายที่กำลังย่างกรายมาถึง ด้วยการตัดสินใจเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ที่สถานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ที่เกาะเลมอนซึ่งรายล้อมด้วยทะเลเงียบสงบและงดงาม เต็มไปด้วยธรรมชาติและอากาศอันสดชื่นบริสุทธิ์ มีไร่องุ่น กับท้องฟ้าสีครามและท้องทะเลสีน้ำเงินที่เธอชอบและใฝ่ฝัน เป็นสถานที่เธอเลือกเพราะคิดว่าเหมาะสมตรงกับรสนิยมความชอบของตนมากที่สุด ชื่อของสถานที่ดังกล่าวคือบ้านพักสิงโต เปรียบได้กับดินแดนสุขาวดีที่มีเทวดานางฟ้าคอยให้การต้อนรับดูแลด้วยหัวใจ โดยเฉพาะเจ้าของสถานที่สาวซึ่งมีนามว่ามาดอนน่า เป็นหญิงมหัศจรรย์ที่มีน้ำใจงาม มีความเชี่ยวชาญในด้านการดูแลทั้งทางด้านร่างกายที่เจ็บไข้ของผู้ป่วย และเยียวยาด้านจิตใจไปพร้อมกัน ณ สถานที่แห่งนี้เอง ในบ้านพักบนเกาะห่างไกล ที่ซึ่งชิสุกุไม่เคยคาดฝันว่าจะได้พบกับความรักอีกครั้ง กับชายหนุ่มน่ารัก สุภาพและวัยใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ยังอดตะลึงไปกับห้องพักส่วนตัวที่แสนสบายท่ามกลางบรรยากาศราวสรวงสวรรค์ เธอได้เรียนรู้ว่าไม่ใช่เฉพาะตัวเองเท่านั้นที่ประสบกับภาวะทุกข์โศกจากโรคภัยที่กำลังจะพรากลมหายใจอันหวงแหนให้หลุดลอยไป แต่ยังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหลายคนทั้งชายหญิง วัยเด็กหรือแม้กระทั่งวัยสูงอายุ แต่ละคนล้วนมีอาการทรมานที่ไม่น้อยไปกว่าเธอ บางคนเป็นมากกว่าด้วย ชิสุกุได้สัมผัสกับมิตรภาพและวิญญาณภายในของเพื่อนต่างวัย ที่ตอนแรกเธอพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่คบคุ้นด้วย ยังมีเจ้าสุนัขแสนรู้น่ารักเพศเมียอีกตัวหนึ่งเล่า ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยชุบชูหัวใจอันอ่อนล้าของหญิงสาว ให้ยอมเปิดใจและคลายวงล้อมของป้อมปราการที่ขังตัวเองจากทุกคนลงได้ หมาตัวนี้มีชื่อว่า รกกะ เจ้าของเดิมเคยมาพำนักอยู่ที่บ้านสิงโตเมื่อนานมาแล้ว และหลังจากเธอคนนั้นจากไป ทุกคนก้ช่วยกันดูแลรกกะต่อมา จนกระทั่ง รกกะ ได้พบกับชิสุกุ ทั้งคู่ถูกชะตากันตั้งแต่วันแรกที่ได้พบ หลังจากนั้นก็อยู่ด้วยกันตลอด รกกะเป็นเสมือนตู้ยาเคลื่อนที่ซึ่งช่วยให้ชิสุกุต่อสู้กับความเจ็บปวดโดยยังสามารถปรากฏรอยยิ้มอยู่ได้ สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้มาพักที่นี่ทุกคนต่างเฝ้ารอที่จะให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ นั่นคือการได้มีกิจกรรมกินของว่างร่วมกันในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ เพียงหนึ่งครั้งในรอบเจ็ดวัน โดยทุกคนมีสิทธิเท่ากันคนละ1เสียง ที่สามารถเขียนใส่กระดาษเพื่อบอกเล่าถึงขนมที่ตนชื่นชอบและอยากกินมากที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย แล้วคำขอเหล่านั้นจะถูกจับฉลากขึ้นมาหนึ่งใบ คำขอของใครก็ตามที่โชคดี แม่ครัวจะแกะสูตรแล้วทำออกมาให้เหมือนหรือใกล้เคียงที่สุด เพื่อจะเสิร์ฟให้กับทุกคนได้ชิมกัน อย่างไรก็ตาม วันที่ต้องจากลาย่อมบ่ายหน้ามาถึงเพื่อนแต่ละคน ในห้วงเวลาเช่นนั้น ทั้งเขาหรือเธอรวมทั้งชิสุกุเอง มีวิธีรับมือระหว่างเผชิญหน้ากับความเสื่อมสลายของสังขาร ที่ค่อย ๆ ทรุดโทรมและดับสิ้นไปทีละน้อยอย่างไร นี่คือสิ่งที่ผู้อ่านจะได้ร่วมเรียนรู้ไปพร้อมกันกับตัวละครในเรื่อง ถ้าคุณเคยประทับใจมาแล้วกับ ร้านเครื่องเขียนนั้นใต้ต้นสึบากิ นี่คืออีกเล่มหนึ่งที่น่าลองหามาอ่านครับ โดยเฉพาะคนที่กำลังเผชิญกับความเจ็บป่วยอยู่ หรือแม้ผู้ดูแลคนป่วยเอง แต่ถึงแม้จะไม่ได้ป่วยเลย แต่การได้ทำความเข้าใจกับเรื่องราวเหล่านี้ก็ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ผู้เขียนบรรยายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เปิดเผยเรื่องราวทีละน้อย แล้วไต่ระดับไปอย่างช้า ๆ อารมณ์ของเรื่องไม่ใช่จะมีแต่เปลี่ยวเหงา โศกเศร้า ทดท้อ เจ็บแค้น และสิ้นหวังเพียงเท่านั้น แต่ยังมีความเบิกบานหรรษา อิ่มเอม อบอุ่น เปี่ยมหวัง ให้อภัย สงบสุข คละเคล้าจนกลายเป็นส่วนผสมที่น่าศึกษา มีความละมุนละไมไปพร้อม ๆ กับการได้เห็นถึงความจริงอันเป็นสัจธรรมของชีวิต เพราะความเจ็บป่วยนั้นเกิดมีได้กับคนทุกคน แต่มีไม่กี่คนเท่านัั้นจะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างดี และจัดวางภาระทุกอย่างให้อยู่ถูกที่ถูกทาง ในขณะที่เตรียมพร้อมจะปล่อยวางร่างกายนี้ ซึ่งตนหวงแหนประหนึ่งคือสมบัติของเราจริง ๆ ยามเมื่อเวลานั้นมาถึง #thaitimes #หนังสือน่าอ่าน #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #ผู้ป่วยระยะสุดท้าย #เตรียมตัวตาย #การดูแลผู้ป่วย #หนังสือดี
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 141 Views 0 Reviews
  • 23/ 10/67

    # วันนี้มีบทความข้อคิดดีๆ มาฝากทุกท่านครับ

    #ภาพวาด ปีกัสโซ่
    #ชื่อภาพ "โจร"

    #จิตกรหนุ่มคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะมีชื่อเสียง เขาได้พักอาศัยอยู่ในห้องเก่าๆ แคบๆ แห่งหนึ่ง เขาอาศัยการวาดภาพในการหล่อเลี้ยงชีวิต

    #อยู่มาวันหนึ่ง เศรษฐีคนหนึ่งเดินผ่านมาและเห็นฝีมือการวาดภาพของจิตกร เขารู้สึกพอใจและชอบเป็นอย่างยิ่ง เศรษฐีจึงว่าจ้างให้เขาวาดภาพเหมือนของตัวเองหนึ่งภาพ ตกลงสนทนาราคากันไว้ที่ ๑๐,๐๐๐ เหรียญ

    #เมื่อผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ภาพวาดของเศรษฐีก็สำเร็จเรียบร้อย เศรษฐีกลับมารับภาพตามเวลาที่กำหนดไว้ แต่ครั้งนี้ เศรษฐีเกิดจิตคิดที่ไม่ดี บอกกับจิตกรหนุ่มว่า “เธอไม่ได้+เป็นจิตกรที่มีชื่อเสียง ฉันให้ราคาตามที่ตกลงกันไว้ไม่ได้หรอก!” เศรษฐีนึกกระหยิ่มในใจ “ภาพนี้ก็เป็นภาพของฉัน หากฉันไม่ซื้อ ใครจะโง่ยอมซื้อวะ? ในเมื่อไม่มีคนซื้อ ฉันจำเป็นต้องจ่ายในราคาที่แพงไปทำไม?” “ฉันให้ราคาภาพนี้แค่ ๓,๐๐๐ เหรียญ จะเอาหรือไม่เอา?”

    #จิตกรหนุ่มตกตะลึง เหมือนโดนไฟฟ้าช็อตเป็นรอบที่สอง เพราะเขาไม่เคยเจอลูกค้าประเภทนี้มาก่อน จึงรู้สึกสับสน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาอ้อนวอนเศรษฐีอยู่เป็นเวลานานสองนาน เพื่อให้เศรษฐียอมจ่ายให้ตามราคาที่ตกลงกันไว้ เขาบอกกับเศรษฐีว่า "คนเราต้องถือสัจจะเป็นที่ตั้ง"!

    “อย่ามาโยกโย้ ฉันให้นายแค่ ๓,๐๐๐ พันเหรียญเท่านั้น!” เศรษฐีคิดว่าตนถือไพ่เหนือกว่า จึงได้ตะคอกกลับไปอีกว่า
    “ฉันบอกนายเป็นครั้งสุดท้าย ๓,๐๐๐ เหรียญ จะขายหรือไม่ขาย?”

    #จิตกรหนุ่มรู้ว่าอ้อนวอนไปก็เปล่าประโยชน์ ประกอบกับความรู้สึกไม่พอใจกับการถูกข่มเหง เขาจึงพูดกับเศรษฐีด้วยเสียงอันดังว่า “ไม่"! ผมไม่ขายรูปแผ่นนี้แล้ว และผมจะไม่ยอมรับความอัปยศที่คุณพยายามเสือกใสมาให้ผมเป็นอันขาด วันนี้คุณเป็นคนผิดสัจจะ วันข้างหน้าผมจะทำให้คุณต้องซื้อภาพนี้ในราคาที่สูงกว่านี้อีก ๒๐๐ เท่า”

    “ตลกล่ะ ๒๐๐ เท่า ก็เท่ากับหกแสนเหรียญเชียวนะ ฉันจะโง่ซื้อภาพของตัวเองในราคาหกแสนเหรียญได้ยังไง?”
    “งั้นผมก็จะรอคุณเป็นคนมาง้อขอซื้อภาพของคุณเองก็แล้วกัน!” พูดเสร็จ ชายหนุ่มก็ถือภาพนั้นเดินกลับเข้าบ้านไป ไม่สนใจชายเศรษฐีแม้แต่น้อย

    #เหตุการณ์ที่จิตกรหนุ่ม ได้เผชิญกับความอัปยศที่เศรษฐียัดเหยียดมาให้ วันรุ่งขึ้น เขาย้ายไปอยู่เมืองอื่นด้วยความสะเทือนใจ

    #เขาตัดสินใจเข้าเรียนศิลปะอย่างเป็นทางการ และเอาจริงเอาจังกับการวาดภาพอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟ้าย่อมไม่ทำให้ผู้ทุ่มเทผิดหวัง ผ่านไป ๑๐ กว่าปี เขากลายเป็นจิตกรที่มีชื่อเสียง ในกลุ่มจิตกรที่ติดอันดับมีชื่อของเขาเป็นหนึ่งในนั้น

    #ส่วนเศรษฐีคนนั้นล่ะ? หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นผ่านไปได้ ๒ วัน เขาก็ได้ลืมเรื่องราวนั้นไปและไม่เคยจำมาใส่ใจอีกเลย

    #อยู่มาวันหนึ่ง สหายของเศรษฐีหลายคนต่างพากันมาเยี่ยมเขาที่บ้านโดยไม่ได้นัดหมาย “เกลอเอ๋ย มันเป็นสิ่งประหลาดมาก หลายวันนี้พวกเราได้ไปเยี่ยมชมนิทรรศการการภาพวาดของจิตกรผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง แต่มีอยู่ภาพหนึ่งที่มีราคาแพงมาก และไม่ยอมให้มีการต่อรองราคาใดๆ ทั้งสิ้น แต่ภาพวาดนั้น เหมือนเกลอยังกะแกะ เกลอรู้ไหมภาพนั่นมีราคาเท่าไหร่? หกแสนเชียวนะภาพนั้นนะ! แต่ที่น่าขันก็คือ #ภาพนั้นมี่ชื่อว่า “โจร”

    #เศรษฐีเหมือนถูกไม้หน้าสามตีกลางแสกหน้า ภาพเหตุการณ์เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วผุดขึ้นมาเหมือนม้วนหนังที่ทำการฉายใหม่อีกครั้ง

    #สิ่งที่เพื่อนของเขาเล่ามา ทำความเสียหายให้เขาเป็นอย่างยิ่ง เขารีบเดินทางไปที่จัดแสดงนิทรรศการภาพวาดแห่งนั้นในทันที พร้อมกับเข้าไปทำการขอโทษจิตกรหนุ่มผู้นั้นด้วยตัวของเขาเอง แถมยังยอมซื้อภาพนั้นกลับบ้านในราคาหกแสนเหรียญโดยไม่ขาดไม่เกินไปแม้แต่สตางค์เดียว

    #เพราะอุดมการณ์ ที่ไม่ยอมแพ้ในครานั้น ทำให้ชายเศรษฐียอมกลับมาก้มหัวให้ในวันนี้ จิตกรหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่า "ปิกัสโซ่"

    #ไม่มีใคร สามารถทำร้ายคุณหรือยัดเหยียดความอัปยศอดสูมาให้คุณได้ นอกเสียจากตัวคุณเอง!


    #เครดิต : นุสนธิ์บุคส์
    #ขอบคุณเจ้าของบทความและภาพประกอบ
    23/ 10/67 # วันนี้มีบทความข้อคิดดีๆ มาฝากทุกท่านครับ #ภาพวาด ปีกัสโซ่ #ชื่อภาพ "โจร" #จิตกรหนุ่มคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะมีชื่อเสียง เขาได้พักอาศัยอยู่ในห้องเก่าๆ แคบๆ แห่งหนึ่ง เขาอาศัยการวาดภาพในการหล่อเลี้ยงชีวิต #อยู่มาวันหนึ่ง เศรษฐีคนหนึ่งเดินผ่านมาและเห็นฝีมือการวาดภาพของจิตกร เขารู้สึกพอใจและชอบเป็นอย่างยิ่ง เศรษฐีจึงว่าจ้างให้เขาวาดภาพเหมือนของตัวเองหนึ่งภาพ ตกลงสนทนาราคากันไว้ที่ ๑๐,๐๐๐ เหรียญ #เมื่อผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ภาพวาดของเศรษฐีก็สำเร็จเรียบร้อย เศรษฐีกลับมารับภาพตามเวลาที่กำหนดไว้ แต่ครั้งนี้ เศรษฐีเกิดจิตคิดที่ไม่ดี บอกกับจิตกรหนุ่มว่า “เธอไม่ได้+เป็นจิตกรที่มีชื่อเสียง ฉันให้ราคาตามที่ตกลงกันไว้ไม่ได้หรอก!” เศรษฐีนึกกระหยิ่มในใจ “ภาพนี้ก็เป็นภาพของฉัน หากฉันไม่ซื้อ ใครจะโง่ยอมซื้อวะ? ในเมื่อไม่มีคนซื้อ ฉันจำเป็นต้องจ่ายในราคาที่แพงไปทำไม?” “ฉันให้ราคาภาพนี้แค่ ๓,๐๐๐ เหรียญ จะเอาหรือไม่เอา?” #จิตกรหนุ่มตกตะลึง เหมือนโดนไฟฟ้าช็อตเป็นรอบที่สอง เพราะเขาไม่เคยเจอลูกค้าประเภทนี้มาก่อน จึงรู้สึกสับสน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาอ้อนวอนเศรษฐีอยู่เป็นเวลานานสองนาน เพื่อให้เศรษฐียอมจ่ายให้ตามราคาที่ตกลงกันไว้ เขาบอกกับเศรษฐีว่า "คนเราต้องถือสัจจะเป็นที่ตั้ง"! “อย่ามาโยกโย้ ฉันให้นายแค่ ๓,๐๐๐ พันเหรียญเท่านั้น!” เศรษฐีคิดว่าตนถือไพ่เหนือกว่า จึงได้ตะคอกกลับไปอีกว่า “ฉันบอกนายเป็นครั้งสุดท้าย ๓,๐๐๐ เหรียญ จะขายหรือไม่ขาย?” #จิตกรหนุ่มรู้ว่าอ้อนวอนไปก็เปล่าประโยชน์ ประกอบกับความรู้สึกไม่พอใจกับการถูกข่มเหง เขาจึงพูดกับเศรษฐีด้วยเสียงอันดังว่า “ไม่"! ผมไม่ขายรูปแผ่นนี้แล้ว และผมจะไม่ยอมรับความอัปยศที่คุณพยายามเสือกใสมาให้ผมเป็นอันขาด วันนี้คุณเป็นคนผิดสัจจะ วันข้างหน้าผมจะทำให้คุณต้องซื้อภาพนี้ในราคาที่สูงกว่านี้อีก ๒๐๐ เท่า” “ตลกล่ะ ๒๐๐ เท่า ก็เท่ากับหกแสนเหรียญเชียวนะ ฉันจะโง่ซื้อภาพของตัวเองในราคาหกแสนเหรียญได้ยังไง?” “งั้นผมก็จะรอคุณเป็นคนมาง้อขอซื้อภาพของคุณเองก็แล้วกัน!” พูดเสร็จ ชายหนุ่มก็ถือภาพนั้นเดินกลับเข้าบ้านไป ไม่สนใจชายเศรษฐีแม้แต่น้อย #เหตุการณ์ที่จิตกรหนุ่ม ได้เผชิญกับความอัปยศที่เศรษฐียัดเหยียดมาให้ วันรุ่งขึ้น เขาย้ายไปอยู่เมืองอื่นด้วยความสะเทือนใจ #เขาตัดสินใจเข้าเรียนศิลปะอย่างเป็นทางการ และเอาจริงเอาจังกับการวาดภาพอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟ้าย่อมไม่ทำให้ผู้ทุ่มเทผิดหวัง ผ่านไป ๑๐ กว่าปี เขากลายเป็นจิตกรที่มีชื่อเสียง ในกลุ่มจิตกรที่ติดอันดับมีชื่อของเขาเป็นหนึ่งในนั้น #ส่วนเศรษฐีคนนั้นล่ะ? หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นผ่านไปได้ ๒ วัน เขาก็ได้ลืมเรื่องราวนั้นไปและไม่เคยจำมาใส่ใจอีกเลย #อยู่มาวันหนึ่ง สหายของเศรษฐีหลายคนต่างพากันมาเยี่ยมเขาที่บ้านโดยไม่ได้นัดหมาย “เกลอเอ๋ย มันเป็นสิ่งประหลาดมาก หลายวันนี้พวกเราได้ไปเยี่ยมชมนิทรรศการการภาพวาดของจิตกรผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง แต่มีอยู่ภาพหนึ่งที่มีราคาแพงมาก และไม่ยอมให้มีการต่อรองราคาใดๆ ทั้งสิ้น แต่ภาพวาดนั้น เหมือนเกลอยังกะแกะ เกลอรู้ไหมภาพนั่นมีราคาเท่าไหร่? หกแสนเชียวนะภาพนั้นนะ! แต่ที่น่าขันก็คือ #ภาพนั้นมี่ชื่อว่า “โจร” #เศรษฐีเหมือนถูกไม้หน้าสามตีกลางแสกหน้า ภาพเหตุการณ์เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วผุดขึ้นมาเหมือนม้วนหนังที่ทำการฉายใหม่อีกครั้ง #สิ่งที่เพื่อนของเขาเล่ามา ทำความเสียหายให้เขาเป็นอย่างยิ่ง เขารีบเดินทางไปที่จัดแสดงนิทรรศการภาพวาดแห่งนั้นในทันที พร้อมกับเข้าไปทำการขอโทษจิตกรหนุ่มผู้นั้นด้วยตัวของเขาเอง แถมยังยอมซื้อภาพนั้นกลับบ้านในราคาหกแสนเหรียญโดยไม่ขาดไม่เกินไปแม้แต่สตางค์เดียว #เพราะอุดมการณ์ ที่ไม่ยอมแพ้ในครานั้น ทำให้ชายเศรษฐียอมกลับมาก้มหัวให้ในวันนี้ จิตกรหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่า "ปิกัสโซ่" #ไม่มีใคร สามารถทำร้ายคุณหรือยัดเหยียดความอัปยศอดสูมาให้คุณได้ นอกเสียจากตัวคุณเอง! #เครดิต : นุสนธิ์บุคส์ #ขอบคุณเจ้าของบทความและภาพประกอบ
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • 22/10/67

    พ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง
    ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือ ไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้

    ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์ และผู้ใหญ่ที่พบเห็น
    แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้าที่่บึ้งตึง
    เหมือนมีเรื่องขุ่นมัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง

    “ลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยมีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง
    โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมาเถิด”

    ลูกชายไม่่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงานหนัก
    จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปากถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป

    ” ที่ห้องของผมมีนักเรียนย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน
    และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบได้คะแนนดี และได้รับคำชมจากครูบ่อย ๆ
    เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลา”

    ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ

    ” แล้วลูกทำอย่างไรเมือโดนเขาแกล้ง” ผู้เป็นพ่อถามต่อ

    ” ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ
    สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสียๆ ของเขาบ้าง”

    พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป
    เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธมากแน่ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรกเกเร
    หาเรื่องชกต่อยกับใคร ทว่า……..พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา!
    ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า

    ” ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้พวกคนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวด
    และอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง”

    ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า

    ” อีกสามวันจะเป็นวันเกิด ครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย
    แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก”

    ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวัน
    มาถึงเร็ว ๆ ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา
    เป็นกล่องกระดาษสีขาว และ สีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง

    ” พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว”
    ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก

    ” ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจาก พ่อเถิด”

    ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก
    แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม

    ” เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก” พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ

    ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว

    นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น

    ” พ่อครับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ !!!! ” ลูกชายบอกกับพ่อของเขา

    “พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ”

    ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า

    ” พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ! ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง
    กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆว หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข
    ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว

    ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์
    ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ
    แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน”

    แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี
    ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว
    และเอาเศษกระดาษอีกมากมายที่เขียนเรื่องราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆ

    สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ
    เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง
    แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไป ฉุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

    ” ผมทนไม่ไหวแล้วครับพ่อ พวกคนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปลูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ
    แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ”

    คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า “วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง”

    ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า ” ผมจะไปจัดการพวกคนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก”

    ” ลูกต้องไปเขียนก่อน” พ่อบอกเสียงเรียบ “เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน”

    ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย
    แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธลงชั่วคราวแล้วทำตามที่พ่อบอก

    หลังจากหย่อนกระดาษความสุขความทุกข์ลงในกล่องกระดาษสีขาวสีดำเรียบร้อยแล้ว
    ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน

    ” โอ้โห แค่สาม! เดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้”
    ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า ” ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ”

    ” กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว”

    แต่ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคงเหลืออยู่ในนั้นแล้ว ลูกชายหันไปมองหน้าพ่อ

    ” ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่ากล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ”

    แต่ผู้เป็นพ่อบอกว่า

    “เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาดมากวาดมันทิ้งไปให้หมดเถิด
    ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูก
    จะเต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลา”

    อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย
    เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน
    ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้

    ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์
    กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ”

    ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างอัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง

    ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะ กล่องแห่งความทุกข์ของเขาว่างเปล่าแล้วนั่นเอง

    ………………………………………………………………………

    ช่างน่าฉงนจริง ๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำ และยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก

    สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือสีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข
    ด้วยการละทิ้งความทุกข์ แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มีให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้
    ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต

    เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรกที่ชอบโยนขยะและความโสโครกใส่หน้าบ้านเราไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้าน
    และกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้

    แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ต่อไปความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย
    .
    22/10/67 พ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือ ไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้ ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์ และผู้ใหญ่ที่พบเห็น แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้าที่่บึ้งตึง เหมือนมีเรื่องขุ่นมัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง “ลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยมีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมาเถิด” ลูกชายไม่่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงานหนัก จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปากถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป ” ที่ห้องของผมมีนักเรียนย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบได้คะแนนดี และได้รับคำชมจากครูบ่อย ๆ เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลา” ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ ” แล้วลูกทำอย่างไรเมือโดนเขาแกล้ง” ผู้เป็นพ่อถามต่อ ” ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสียๆ ของเขาบ้าง” พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธมากแน่ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรกเกเร หาเรื่องชกต่อยกับใคร ทว่า……..พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา! ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า ” ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้พวกคนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวด และอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง” ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า ” อีกสามวันจะเป็นวันเกิด ครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก” ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวัน มาถึงเร็ว ๆ ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา เป็นกล่องกระดาษสีขาว และ สีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง ” พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว” ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก ” ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจาก พ่อเถิด” ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม ” เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก” พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น ” พ่อครับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ !!!! ” ลูกชายบอกกับพ่อของเขา “พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ” ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า ” พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ! ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆว หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์ ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน” แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว และเอาเศษกระดาษอีกมากมายที่เขียนเรื่องราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆ สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไป ฉุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ” ผมทนไม่ไหวแล้วครับพ่อ พวกคนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปลูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ” คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า “วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง” ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า ” ผมจะไปจัดการพวกคนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก” ” ลูกต้องไปเขียนก่อน” พ่อบอกเสียงเรียบ “เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน” ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธลงชั่วคราวแล้วทำตามที่พ่อบอก หลังจากหย่อนกระดาษความสุขความทุกข์ลงในกล่องกระดาษสีขาวสีดำเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน ” โอ้โห แค่สาม! เดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้” ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า ” ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ” ” กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว” แต่ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคงเหลืออยู่ในนั้นแล้ว ลูกชายหันไปมองหน้าพ่อ ” ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่ากล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ” แต่ผู้เป็นพ่อบอกว่า “เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาดมากวาดมันทิ้งไปให้หมดเถิด ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูก จะเต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลา” อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้ ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์ กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ” ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างอัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะ กล่องแห่งความทุกข์ของเขาว่างเปล่าแล้วนั่นเอง ……………………………………………………………………… ช่างน่าฉงนจริง ๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำ และยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือสีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ด้วยการละทิ้งความทุกข์ แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มีให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้ ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรกที่ชอบโยนขยะและความโสโครกใส่หน้าบ้านเราไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้าน และกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้ แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ต่อไปความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย .
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • 22/10/67

    พ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง
    ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือ ไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้

    ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์ และผู้ใหญ่ที่พบเห็น
    แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้าที่่บึ้งตึง
    เหมือนมีเรื่องขุ่นมัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง

    “ลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยมีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง
    โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมาเถิด”

    ลูกชายไม่่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงานหนัก
    จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปากถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป

    ” ที่ห้องของผมมีนักเรียนย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน
    และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบได้คะแนนดี และได้รับคำชมจากครูบ่อย ๆ
    เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลา”

    ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ

    ” แล้วลูกทำอย่างไรเมือโดนเขาแกล้ง” ผู้เป็นพ่อถามต่อ

    ” ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ
    สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสียๆ ของเขาบ้าง”

    พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป
    เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธมากแน่ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรกเกเร
    หาเรื่องชกต่อยกับใคร ทว่า……..พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา!
    ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า

    ” ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้พวกคนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวด
    และอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง”

    ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า

    ” อีกสามวันจะเป็นวันเกิด ครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย
    แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก”

    ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวัน
    มาถึงเร็ว ๆ ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา
    เป็นกล่องกระดาษสีขาว และ สีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง

    ” พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว”
    ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก

    ” ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจาก พ่อเถิด”

    ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก
    แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม

    ” เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก” พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ

    ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว

    นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น

    ” พ่อครับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ !!!! ” ลูกชายบอกกับพ่อของเขา

    “พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ”

    ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า

    ” พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ! ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง
    กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆว หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข
    ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว

    ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์
    ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ
    แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน”

    แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี
    ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว
    และเอาเศษกระดาษอีกมากมายที่เขียนเรื่องราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆ

    สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ
    เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง
    แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไป ฉุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

    ” ผมทนไม่ไหวแล้วครับพ่อ พวกคนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปลูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ
    แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ”

    คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า “วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง”

    ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า ” ผมจะไปจัดการพวกคนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก”

    ” ลูกต้องไปเขียนก่อน” พ่อบอกเสียงเรียบ “เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน”

    ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย
    แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธลงชั่วคราวแล้วทำตามที่พ่อบอก

    หลังจากหย่อนกระดาษความสุขความทุกข์ลงในกล่องกระดาษสีขาวสีดำเรียบร้อยแล้ว
    ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน

    ” โอ้โห แค่สาม! เดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้”
    ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า ” ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ”

    ” กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว”

    แต่ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคงเหลืออยู่ในนั้นแล้ว ลูกชายหันไปมองหน้าพ่อ

    ” ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่ากล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ”

    แต่ผู้เป็นพ่อบอกว่า

    “เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาดมากวาดมันทิ้งไปให้หมดเถิด
    ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูก
    จะเต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลา”

    อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย
    เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน
    ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้

    ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์
    กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ”

    ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างอัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง

    ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะ กล่องแห่งความทุกข์ของเขาว่างเปล่าแล้วนั่นเอง

    ………………………………………………………………………

    ช่างน่าฉงนจริง ๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำ และยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก

    สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือสีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข
    ด้วยการละทิ้งความทุกข์ แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มีให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้
    ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต

    เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรกที่ชอบโยนขยะและความโสโครกใส่หน้าบ้านเราไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้าน
    และกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้

    แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ต่อไปความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย


    .
    22/10/67 พ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือ ไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้ ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์ และผู้ใหญ่ที่พบเห็น แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้าที่่บึ้งตึง เหมือนมีเรื่องขุ่นมัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง “ลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยมีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมาเถิด” ลูกชายไม่่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงานหนัก จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปากถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป ” ที่ห้องของผมมีนักเรียนย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบได้คะแนนดี และได้รับคำชมจากครูบ่อย ๆ เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลา” ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ ” แล้วลูกทำอย่างไรเมือโดนเขาแกล้ง” ผู้เป็นพ่อถามต่อ ” ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสียๆ ของเขาบ้าง” พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธมากแน่ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรกเกเร หาเรื่องชกต่อยกับใคร ทว่า……..พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา! ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า ” ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้พวกคนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวด และอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง” ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า ” อีกสามวันจะเป็นวันเกิด ครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก” ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวัน มาถึงเร็ว ๆ ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา เป็นกล่องกระดาษสีขาว และ สีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง ” พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว” ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก ” ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจาก พ่อเถิด” ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม ” เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก” พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น ” พ่อครับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ !!!! ” ลูกชายบอกกับพ่อของเขา “พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ” ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า ” พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ! ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆว หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์ ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน” แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว และเอาเศษกระดาษอีกมากมายที่เขียนเรื่องราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆ สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไป ฉุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ” ผมทนไม่ไหวแล้วครับพ่อ พวกคนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปลูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ” คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า “วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง” ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า ” ผมจะไปจัดการพวกคนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก” ” ลูกต้องไปเขียนก่อน” พ่อบอกเสียงเรียบ “เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน” ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธลงชั่วคราวแล้วทำตามที่พ่อบอก หลังจากหย่อนกระดาษความสุขความทุกข์ลงในกล่องกระดาษสีขาวสีดำเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน ” โอ้โห แค่สาม! เดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้” ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า ” ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ” ” กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว” แต่ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคงเหลืออยู่ในนั้นแล้ว ลูกชายหันไปมองหน้าพ่อ ” ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่ากล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ” แต่ผู้เป็นพ่อบอกว่า “เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาดมากวาดมันทิ้งไปให้หมดเถิด ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูก จะเต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลา” อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้ ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์ กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ” ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างอัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะ กล่องแห่งความทุกข์ของเขาว่างเปล่าแล้วนั่นเอง ……………………………………………………………………… ช่างน่าฉงนจริง ๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำ และยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือสีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ด้วยการละทิ้งความทุกข์ แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มีให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้ ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรกที่ชอบโยนขยะและความโสโครกใส่หน้าบ้านเราไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้าน และกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้ แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ต่อไปความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย .
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • กระทู้ที่ 1 วันที่ 21 ตุลาคม 2567
    แรม 4 ค่ำ เดือน 11 ปีมะโรง
    เรื่อง ความเป็นมาของ คาถาอาคม ในประเทศไทย
    ในอดีตทียังไม่เป็นประเทศไทยเหมือนในปัจจุบันอิทธิพลศาสนาฮินดูได้มีอิทธิพลต่อผู้นำในอดีต ผู้นำในอดีตได้รับเอาพิธีกรรมทางศาสนาฮินดูมาเป็นที่ยึดเหนี่ยว วัฒนธรรมฮินดูในประเทศอินเดียมีมาช้านานก่อนศสนาพุทธ จะเห็นได้ในยุคขอมเรืองอำนาจ จะเห็นได้จากปราสาทขอมที่ทิ้งไว้ให้ปรากฎในปัจจุบัน เมื่อพระพุทธศาสนาได้เข้าในยุคที่พระเจ้าอโศกส่งพระธรรมทูตเข้าเผยแพร่ในแผ่นดินที่เรียกว่าประเทศไทยในปัจจุบันผู้ปกครองในยุคต่อมาค่อยเปลี่ยนแปลงและนำเอาพระพุทธศาสนามาผสมประสานเข้ากับศาสนาฮินดู ในศาสนาฮินดูมีพิธีกรรมต่างๆมีบทสวดมากมายเป็นการร้องขอความช่วยเหลือต่างๆกับเทพเจ้าที่เชื่อว่าจะดลบันดาลให้สมความปรารถนา ต่อมาพระสงฆ์ทางพระพุทธศาสนาผู้ทรงภูมปัญญาได้คิดวิธีการโดยอาศัยแบบอย่างของศาสนาฮินดูแต่แตกต่างโดยการแต่งมนต์โดยใช้บทสวดในทางพระพุทธศาสนามาเป็นมนต์คาถา ซึ่งเรียกว่าพระพุทธมนต์ การจะแต่งพระพุทธมนต์นั้นไม่ใช่จับแพะชนแกะ บูรพาจารผู้แต่งต้องแตกฉานในปริยัติ และต้องเข้าถึงการปฏิบัติจนได้ฌาณสมาบัติ ซึ่งเป็นความรู้ขั้นสูงจึงสามารถร้อยเรียงพุทธมนต์ขึ้นมาได้ แม้แต่การลงอักขระเลขยันต์ล้วนแล้วแต่ผ่านการคิดค้นออกมาจากบูรพาจารย์ผู้ทรงฌาณทั้งสิ้น พระพุทธมนต์เลขยันต์ต่างๆที่มีการจดบันทึกมานั้นนับเป็นพันตำหรับ การจะเขียนยันต์ในแต่ละตัวเขามีสูตรการลงไว้ไม่ใช่เขียนส่งเดชแล้วก็ใช้ได้ วันนี้ทดลองเขียนกระทู้ใน thaitimes ครั้งแรก เอาไว้ตอนต่อไปค่อยว่ากันใหม่ สวัสดี
    กระทู้ที่ 1 วันที่ 21 ตุลาคม 2567 แรม 4 ค่ำ เดือน 11 ปีมะโรง เรื่อง ความเป็นมาของ คาถาอาคม ในประเทศไทย ในอดีตทียังไม่เป็นประเทศไทยเหมือนในปัจจุบันอิทธิพลศาสนาฮินดูได้มีอิทธิพลต่อผู้นำในอดีต ผู้นำในอดีตได้รับเอาพิธีกรรมทางศาสนาฮินดูมาเป็นที่ยึดเหนี่ยว วัฒนธรรมฮินดูในประเทศอินเดียมีมาช้านานก่อนศสนาพุทธ จะเห็นได้ในยุคขอมเรืองอำนาจ จะเห็นได้จากปราสาทขอมที่ทิ้งไว้ให้ปรากฎในปัจจุบัน เมื่อพระพุทธศาสนาได้เข้าในยุคที่พระเจ้าอโศกส่งพระธรรมทูตเข้าเผยแพร่ในแผ่นดินที่เรียกว่าประเทศไทยในปัจจุบันผู้ปกครองในยุคต่อมาค่อยเปลี่ยนแปลงและนำเอาพระพุทธศาสนามาผสมประสานเข้ากับศาสนาฮินดู ในศาสนาฮินดูมีพิธีกรรมต่างๆมีบทสวดมากมายเป็นการร้องขอความช่วยเหลือต่างๆกับเทพเจ้าที่เชื่อว่าจะดลบันดาลให้สมความปรารถนา ต่อมาพระสงฆ์ทางพระพุทธศาสนาผู้ทรงภูมปัญญาได้คิดวิธีการโดยอาศัยแบบอย่างของศาสนาฮินดูแต่แตกต่างโดยการแต่งมนต์โดยใช้บทสวดในทางพระพุทธศาสนามาเป็นมนต์คาถา ซึ่งเรียกว่าพระพุทธมนต์ การจะแต่งพระพุทธมนต์นั้นไม่ใช่จับแพะชนแกะ บูรพาจารผู้แต่งต้องแตกฉานในปริยัติ และต้องเข้าถึงการปฏิบัติจนได้ฌาณสมาบัติ ซึ่งเป็นความรู้ขั้นสูงจึงสามารถร้อยเรียงพุทธมนต์ขึ้นมาได้ แม้แต่การลงอักขระเลขยันต์ล้วนแล้วแต่ผ่านการคิดค้นออกมาจากบูรพาจารย์ผู้ทรงฌาณทั้งสิ้น พระพุทธมนต์เลขยันต์ต่างๆที่มีการจดบันทึกมานั้นนับเป็นพันตำหรับ การจะเขียนยันต์ในแต่ละตัวเขามีสูตรการลงไว้ไม่ใช่เขียนส่งเดชแล้วก็ใช้ได้ วันนี้ทดลองเขียนกระทู้ใน thaitimes ครั้งแรก เอาไว้ตอนต่อไปค่อยว่ากันใหม่ สวัสดี
    0 Comments 0 Shares 122 Views 0 Reviews
  • #จัดโปรฯ
    #แกะถุงผิวเดิมๆสวยๆ
    เหรียญเสด็จนิวัติพระนคร ปี 2504 เหรียญ1บ.ที่ระลึกวาระแรก ของในหลวงรัชกาลที่ 9 สภาพไม่ผ่านการใช้แกะจากถุง พร้อมแพคเมาส์อย่างดีให้ทุกเหรียญ น่าสะสมมากๆ ครับจัดโปรฯขายเพียง
    **เหรียญละ 80บ.**
    **ส่งems 50.**
    **โทร 085-5494951**
    **id : pookui*
    #จัดโปรฯ #แกะถุงผิวเดิมๆสวยๆ เหรียญเสด็จนิวัติพระนคร ปี 2504 เหรียญ1บ.ที่ระลึกวาระแรก ของในหลวงรัชกาลที่ 9 สภาพไม่ผ่านการใช้แกะจากถุง พร้อมแพคเมาส์อย่างดีให้ทุกเหรียญ น่าสะสมมากๆ ครับจัดโปรฯขายเพียง **เหรียญละ 80บ.** **ส่งems 50.** **โทร 085-5494951** **id : pookui*
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • ให้อาหารแกะ #แกะ #นิวซีแลนด์
    ให้อาหารแกะ #แกะ #นิวซีแลนด์
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 146 Views 110 0 Reviews
  • รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก ‘ปราย พันแสง

    เมื่อคืนดูคลิปบอสเล่านิทานเรื่อง“มดไต่แก้ว”แล้วนอนไม่หลับเอาเลย ยอมรับว่าเล่าเก่งโคตร

    ไม่น่าแปลกใจว่าทำไม
    จึงมีเหยื่อมากมายนัก
    ก็มันชวนเคลิ้มซะขนาดนี้

    🌻

    นานมาแล้ว สตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ลเคยบอกว่า "The most powerful person in the world is the storyteller.“ คนที่ทรงพลังที่สุดในโลกคือนักเล่าเรื่อง จอบส์ฟันธงไว้อย่างนั้น

    เขาบอกว่า“นักเล่าเรื่อง” หรือคนที่เล่าเรื่องเป็น(storyteller) จะเป็นผู้กำหนดวิสัยทัศน์ ค่านิยม และระเบียบวาระต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นให้กับผู้คนทั้งเจเนอเรชั่น อาจจะกล่าวได้ว่า นักเล่าเรื่องเก่งๆ นั้นสามารถกำหนดเทรนด์หรือทิศทางของสังคมได้

    ส่วนที่จอบส์ไม่ได้บอกไว้ก็คือ นักเล่าเรื่องเก่งๆ หลายคน สามารถทำให้คนคิดฆ่าตัวตาย ทำให้เกิดความฉิบหายระดับหมื่นล้านแสนล้านได้ด้วย

    สิ่งที่ปรากฏต่อสังคมไทยในวันนี้
    มันอาจเป็นประจักษ์พยานด้านมืด
    ของ storyteller อย่างชัดๆ

    🌻

    “มดไต่แก้ว” เป็นเรื่องเล่าง่ายๆ เกี่ยวกับมดที่พยายามป่ายปีนออกไปให้พ้นแก้ว มดบางตัวปีนไปจนอยู่ในจุดสูงที่สุดของปากแก้ว แต่แล้วก็ตกลงมา

    บอสบอกไว้คมเฉียบว่า ”การตกลงมาจากจุดสูงสุดอย่างนั้น มันทำให้เจ็บที่สุด ทำให้มีมดบางตัวยอมแพั แต่ก็ยังมีมดบางตัวสู้ต่อ จนได้รับอิสรภาพในที่สุด“

    เคลิ้มมั้ยล่ะ ^__^

    🌻

    เอาจริง จากอาชีพอ่านๆ เขียนๆ เรื่องเล่าประเภทนี้ไม่ได้กินเราหรอก แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คลุกคลี อีกทั้งยังต้องอยู่ในสถานะลูกข่ายที่ต้องไล่ล่าทำยอดขาย พลังของเรื่องเล่าแบบนี้มันพุ่งปรี๊ดทะลุปม กระแทกต่อมได้ตรงจุด จึงไม่น่าแปลกใจถ้ามันจะทำให้ใครๆ ที่ได้ฟังครั้งแรกถึงกับน้ำตาไหลพราก ซาบซึ้งตรึงใจ

    เราเองฟังเรื่องมดไต่แก้วนี้กลับไปคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้มีใครเคยฟังมั้ย เป็นนิทานเรื่องกบกระโดด เรื่องมีอยู่ว่า มีกบตัวหนึ่งพยายามปีนออกจากบ่อลึก ทุกครั้งที่มันพยายามกระโดด เพื่อนๆ กบจะพากันตะโกนห้ามว่า "เลิกเถอะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก!"

    ทว่ากบตัวนั้นไม่ยอมแพ้ สุดท้ายในการกระโดดครั้งที่ 99 มันก็กระโดดออกจากบ่อได้สำเร็จ แต่ความจริงของเรื่องนี้คือ กบตัวนี้หูหนวก มันเลยไม่ได้ยินเสียงร้องห้ามจากเพื่อนๆ เลยสักนิดเดียว

    ช่างไม่ต่างอะไรเลยกับผู้เสียหายมากมาย
    ที่ไม่ยอมฟังคำทัดทานจากใครเลย
    เหมือนกบหูหนวก

    🌻

    คดีบอสๆ นี้ เราว่านิทานเรื่องมดไต่แก้วนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ที่เรารู้สึกเองว่ามันทรงพลังแห่ง storytelling จริงๆ น่าจะเป็นนิทานเรื่องจริงที่แชร์กันเยอะๆ วันนี้ ที่เป็นคลิปเล่าเรื่องบอสพอลพาผู้ชมกลับไปทัวร์สลัมคลองเตยบ้านเกิด พาไปชมแฟลตเก่าชั้นสองห้อง 16 ที่เคยเติบโตมา

    แคปชั่นตรึงใจ “ผมไม่เคยลืม...ว่าผมเติบโตมาจากที่ไหน ชุมชนแออัด หรือที่ใครหลายคนเรียกว่า "สลัม"ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ในตอนที่ยังเริ่มต้นสร้างชีวิต”

    “20 ปีที่แล้ว กับภาพในวันนี้ ทุกอย่างมันยังคงอยู่เหมือนเดิม ราวกับว่ามันหยุดเวลาไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจอะไรบางอย่าง มันคือจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ผมไม่เคยคิดดูถูกความฝันหรือความพยายามของใคร เพราะผมก็เคยเป็นหนึ่งคน ที่ชีวิตไม่พร้อม แต่มีความฝัน ขอเป็นกำลังใจให้กับนักสู้ชีวิตทุก ๆ ท่านครับ“

    คลิปถ่ายสวย ไม่เวอร์
    ภาพดี เสียงดี เล่าเรื่องดี
    นักแสดง(บอสพอล)แอ๊คติ้งเป็นธรรมชาติ
    ไม่มีตรงไหนชวนแหวะ
    หรือชวนเอ๊ะเลย

    ยิ่งตอนโทรคุยกับแม่หน้าแฟลตเก่า พูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวไก่เจ้าอร่อยที่ยังขายอยู่นั่นก็ดูจะเป็นซีนที่น่าจดจำมากทีเดียว คือถ้าไม่ติดเรื่องข้อสงสัยว่าเป็นธุรกิจผิดกฎหมายเนี่ย อยากเชิญคนทำคลิปนี้ไปสร้างหนังไทยเลย อยากดู

    ในคลิปนี้ บอสยืนพูดหน้าแฟลตที่สกปรกรุงรังว่า ตอนที่เขายังใช้ชีวิตอยู่ในสลัมแห่งนี้ ชีวิตวัยนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่าอยากดูแลแม่ให้มีความสุขเท่านั้น ตรงนี้เชื่อว่าเอฟซีอาจน้ำตาร่วง

    อีกทั้งน้ำเสียงของแม่ปลายสาย ก็ร่าเริงมีความสุข กับการพูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่เคยกินสมัยอยู่สลัม สื่อให้เห็นว่าเมื่อก้าวพ้นความยากจนไปแล้ว ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ในสลัมธรรมดาก็ยังงดงามขึ้นมาได้

    ทุกอย่างสอดคล้องกลมกลืนลื่นไหล เป็นคลิปฟิลลิ่ง Nostalgia การรำลึกความหลังยากแค้นของเศรษฐีหมื่นล้านที่สุดละเมียดจริงแท้

    ใครไม่เคลิ้มให้มันรูัไป

    ยอดขายระเบิดเถิดเทิงหมื่นล้านแสนล้าน ไม่ใช่ได้มาแบบฟลุคๆ แน่นอน มันผ่านการเล่าเรื่องที่คัดเค้นมาแล้วอย่างประณีต เพื่อพิชิตใจมหาชนคนสามัญที่คุ้นเคยชมชอบกับเรื่องดรามาชนิดซึมเข้ากระดูกดำแบบไทยๆ เราอย่างเหมาะเหม็ง

    ดูคลิปนี้แล้วยิ่งไม่แปลกใจเลยสักนิด
    ว่าทำไมลูกข่ายหอบเงินมาประเคนให้
    เป็นหลักหมื่นแสนล้าน

    🌻

    เอาจริง เรื่องเล่าตรึงใจระคายต่อมพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่หรอก มันเป็นเครื่องมือสำเร็จรูปที่มีใช้กันนานแล้วในวงการต่างๆ โดยเฉพาะในแวดวงหลอกลวงต้มตุ๋น ดูเหมือนจะสร้างเม็ดเงินมหาศาลทำลายสถิติได้ทุกยุคสมัย

    เรื่องเล่ากระตุ้นต่อมที่ชาวโลกรู้จักกันแพร่หลาย ก็คงจะเป็นนิทานเรื่อง“ปลาทอง" ในคดีฉ้อฉลของเบอร์นี แมดอฟฟ์ในอเมริกา ที่น่าจะอื้อฉาวพอๆ กับคดีดิ ไอคอน ในเมืองไทยตอนนี้ก็ว่าได้

    สมัยนั้น เบอร์นี แมดอฟฟ์ ก็มักจะชอบเล่าเรื่องเปรียบเทียบการลงทุนกับการให้อาหารปลาทอง โดยบอกว่าต้องให้อาหารสม่ำเสมอ ไม่มากไม่น้อยเกินไป เพื่อให้ปลาเติบโตอย่างแข็งแรง

    เขาใช้เรื่องนี้อธิบายกลยุทธ์การลงทุนที่ "สม่ำเสมอ" ของเขา ซึ่งในความเป็นจริงคือแผนการณ์หลอกลวงแบบพอนซี (Ponzi scheme- คล้ายแชร์ลูกโซ่ แต่ไม่มีสินค้า ใช้วิธีเอาเงินคนใหม่ไปจ่ายให้คนเก่าวนไปเรื่อยๆ )

    พอนซีของแมดอล์ฟฟ์มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 64.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    แมดอล์ฟฟ์ใช้เรื่องเล่าเกี่ยวกับปลาทองเพื่อสื่อว่ากลยุทธ์การลงทุนของเขานั้น "สม่ำเสมอ" และ "ปลอดภัย" เขาอ้างว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่คงที่และน่าเชื่อถือได้ ไม่ว่าสภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร เรื่องเล่านี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและทำให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญที่มีกลยุทธ์ที่มั่นคง

    ในความเป็นจริง แมดอล์ฟฟ์ไม่ได้นำเงินของลูกค้าไปลงทุนเลยสักนิด เขาใช้เงินจากนักลงทุนรายใหม่เพื่อจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุนรายเก่า ซึ่งเป็นลักษณะของแผนพอนซี ผลตอบแทน "สม่ำเสมอ" ที่เขาอ้างถึงนั้นเป็นเพียงตัวเลขที่เขาสร้างขึ้นมาเอง

    แผนฉ้อโกงนี้ดำเนินมานานหลายทศวรรษก่อนจะถูกเปิดโปงในปี 2008 มีผู้เสียหายจำนวนมาก รวมถึงบุคคลทั่วไป องค์กรการกุศล และสถาบันการเงิน

    ปัจจุบันแมดอล์ฟฟ์ถูกจับกุม
    และถูกตัดสินจำคุก 150 ปี

    🌻

    นอกจากนิทานปลาทองของแมดอล์ฟฟ์ ยังมีนิทานอีกเรื่องที่โด่งดังไม่แพ้กัน นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า “ช้างล่ามโซ่” ที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงของบริษัท One Coin

    One Coin เป็นโครงการที่อ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrency) แต่ในความเป็นจริงเป็นแผนหลอกลวงแบบพีระมิด (pyramid scheme) ที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ต้มตุ๋น

    รูจา อิกนาโตวา (Ruja Ignatova) ผู้ก่อตั้ง One Coin
    เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1980 ที่เมืองรูส ประเทศบัลแกเรีย ย้ายไปเยอรมนีตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จบปริญญาเอกด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยคอนสแตนซ์ ประเทศเยอรมนี เคยทำงานให้กับบริษัทที่ปรึกษา McKinsey & Company ในปี 2014 เธอก่อตั้งบริษัท One Coin ซึ่งอ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัลใหม่

    บริษัท One Coin เติบโตอย่างรวดเร็ว มีสมาชิกกว่า 3 ล้านคนทั่วโลก จนกระทั่งในปี 2016 เริ่มมีการสงสัยและตรวจสอบ One Coin ว่าอาจเป็นแชร์ลูกโซ่

    วันที่ 25 ตุลาคม 2017 รูจาหายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากบินจากโซเฟียไปยังเอเธนส์ ในปี 2019 เธอถูกฟ้องในสหรัฐอเมริกาในข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน

    🌻

    ในการหลอกล่อเหยื่อมาลงทุน รูจา อิกนาโตวา มักใช้นิทานเรื่องช้างล่ามโซ่ในการปราศรัยบ่อยครั้ง

    เธอเปรียบเทียบว่าคนทั่วไปเหมือนช้างที่ถูกล่ามด้วยโซ่ทางการเงิน ไม่กล้าที่จะหลุดพ้น เธอชี้ให้เห็นว่า One Coin คือโอกาสที่ทุกคนจะได้ "ตัดโซ่" และเป็นอิสระทางการเงิน

    นิทานเรื่องนี้นำมาใช้เพื่อกระตุ้นให้คนรู้สึกว่าตนกำลัง "ติดกับดัก" ทางการเงิน สร้างความรู้สึกว่า One Coin เป็นทางออกเดียวที่จะทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากข้อจำกัดทางการเงิน สร้างแรงจูงใจให้คนกล้าที่จะ "ทำลายกรอบความคิดเดิมๆ" และเข้าร่วมโครงการ

    ในความเป็นจริง One Coin ไม่ได้เป็นสกุลเงินดิจิทัลจริง ไม่มีบล็อกเชนที่ใช้งานได้จริง เป็นระบบพีระมิดที่สร้างรายได้จากการรับสมาชิกใหม่เท่านั้น ผู้ลงทุนไม่สามารถถอนเงินหรือแลกเปลี่ยน One Coin เป็นเงินจริงได้

    One Coin มีผู้เสียหายทั่วโลกมากกว่า 3 ล้านคน ความเสียหายทางการเงินประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รูจา อิกนาโตวา ได้รับฉายาว่า “ราชินีคริปโต” หรือ Cryptoqueen เธอหายตัวไปในปี 2017 ทุกวันนี้ยังคงเป็นที่ต้องการตัวของ FBI

    ปัจจุบัน เธอกลายเป็นหนึ่งในอาชญากรทางการเงินที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย​​​​​​​​​​​​​​​​จนทุกวันนี้

    🌻

    จะเห็นได้ว่า เรื่องเล่าอย่าง "ช้างล่ามโซ่" ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมและกระตุ้นการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผล จึงควรระวังโครงการที่สัญญาว่าจะทำให้รวยอย่างรวดเร็วหรือหลุดพ้นจากปัญหาทางการเงินอย่างง่ายดาย

    คดีนี้แสดงให้เห็นว่าเรื่องเล่าที่สร้างแรงบันดาลใจสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและไม่เป็นที่เข้าใจกันดีนักเช่น cryptocurrency

    🌻

    ยังมีนิทานประเภทสร้างแรงบันดาลใจอีกมากมายหลายเรื่อง ที่มักนำมาใช้ในบริบทการฉ้อโกงลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นนิทานเรื่อง“มีดเหลาดินสอ”ที่หลายคนอาจจะคุ้น พวกคอร์สอบรมต่างๆ จะเอามาเล่าบ่อย

    เรื่องราวมีอยู่ว่า ดินสอบ่นว่าเจ็บเมื่อถูกเหลา แต่มีดเหลาบอกว่า "การเจ็บนี้จะทำให้เธอแหลมคมและเขียนได้ดีขึ้น“ นิทานเรื่องนี้ถูกนำมาใช้เพื่อให้แง่คิดเรื่องความอดทนต่อความยากลำบากที่อาจทำให้เราได้เติบโตและพัฒนา

    🌻

    "นิทานเรื่องช้างและเชือกเส้นเล็ก"

    เรื่องมีอยู่ว่าในคณะละครสัตว์ มีช้างตัวใหญ่ถูกล่ามด้วยเชือกเส้นเล็กๆ เด็กน้อยสงสัยว่าทำไมช้างไม่ดึงเชือกให้ขาด คนเลี้ยงช้างอธิบายว่า ตั้งแต่ช้างยังเล็ก มันถูกล่ามด้วยโซ่ใหญ่ที่ไม่สามารถหลุดได้ ช้างจึงเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางหลุดจากการล่าม แม้โตแล้วก็ยังคิดเช่นนั้น

    🌻

    "นิทานเรื่องหินสลักและค้อน"

    เรื่องราวของช่างแกะสลักกำลังทำงานบนหินก้อนใหญ่ เขาตีค้อนลงบนหินครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่เห็นผล คนผ่านไปมาสงสัยว่าทำไมเขาไม่ยอมแพ้ ในที่สุด หลังจากตีค้อนครั้งที่ 101 หินก็แตกออกตามที่เขาต้องการ ช่างแกะสลักอธิบายว่า "ไม่ใช่การตีครั้งสุดท้ายที่ทำให้หินแตก แต่มันเป็นผลรวมของการตีทุกครั้งที่ผ่านมา"

    🌻

    นิทานเหล่านี้มักถูกใช้เพื่อสื่อถึงความอดทน การไม่ยอมแพ้ และการเอาชนะข้อจำกัดทางความคิด

    นิทานไม่ได้มีพิษภัยในตัวมันเอง มันเป็นเรื่องเล่าแสนวิเศษ สร้างแรงบันดาลใจได้จริง แต่เมื่อมีการนำมาใช้ในบริบทของการลงทุนหรือธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง การตีความและการนำไปใช้ กลับเป็นสิ่งที่ต้องระวัง

    บางครั้งนิทานเหล่านี้
    มักถูกใช้เพื่อกระตุ้นอารมณ์มากกว่าเหตุผล
    อาจไม่สะท้อนความเป็นจริงของสถานการณ์
    ในบริบทของธุรกิจที่น่าสงสัย
    อาจใช้เพื่อกดดัน
    ให้คนทำในสิ่งที่ไม่ควร

    การยอมรับความจริง
    เลิกทนและถอยออกมา
    ก็อาจเป็นการตัดสินใจ
    ที่ชาญฉลาดได้เช่นกัน

    🌻

    “ในยุคข้อมูลข่าวสาร ความจริงกำลังถูกบดบังด้วยเรื่องเล่าหรือเรื่องราวที่สร้างขึ้น (narratives)”

    ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ เขียนไว้ในหนังสือ"21 Lessons for the 21st Century"เมื่อหลายปีมาแล้ว (21 บทเรียน สำหรับศตวรรษที่ 21 : ผู้แปล ธิดา จงนิรามัยสถิต, ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์ , สำนักพิมพ์ยิปซี)

    ฮาราริอธิบายว่าผู้คนมักเชื่อในเรื่องราวที่สอดคล้องกับความเชื่อและอัตลักษณ์ของตน มากกว่าข้อเท็จจริงที่อาจขัดแย้งกับความเชื่อนั้น และชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะเชื่อในเรื่องเล่าที่ให้ความหมายและอธิบายโลกรอบตัว เขาบอกว่า“เรื่องเล่าเหล่านี้มีพลังมากกว่าข้อเท็จจริงเพราะมันตอบสนองต่อความต้องการทางอารมณ์และจิตวิญญาณของมนุษย์”

    ฮาราริเตือนว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะ AI และ Big Data สามารถใช้ในการสร้างและเผยแพร่เรื่องราวที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (อย่างคลิปเรื่องเล่าสารพัดที่ผลิตออกมาชักจูงใจคน) เขาชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถเข้าใจและจัดการกับอารมณ์มนุษย์ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

    การให้ความสำคัญกับ“อารมณ์”มากกว่า“ความจริง”อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการประชาธิปไตยและการตัดสินใจที่สำคัญ เขาเตือนว่าสังคมอาจถูกชี้นำด้วยการปลุกเร้าอารมณ์มากกว่าการใช้เหตุผลและข้อมูล

    ในอนาคต ทักษะทางอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์อาจมีความสำคัญมากกว่าความรู้ทางเทคนิค เขาแนะนำว่าระบบการศึกษาควรปรับตัวเพื่อเตรียมคนให้พร้อมสำหรับโลกที่อารมณ์และความคิดสร้างสรรค์มีบทบาทสำคัญ

    ฮาราริเน้นย้ำความสำคัญของการรู้จักและเข้าใจตนเอง รวมถึงอารมณ์และความรู้สึกของเราให้ได้อย่างถ่องแท้ เขาบอกว่า“การเข้าใจตนเองจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับโลกที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยการกระตุ้นทางอารมณ์ได้ดีขึ้น”

    ผู้เขียน "21 Lessons for the 21st Century" ไม่ได้บอกว่า แนวโน้มนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นความท้าทายที่สำคัญที่เราต้องเตรียมพร้อมรับมือ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา การเมือง และการพัฒนาตนเอง

    เพื่อรักษาสมดุล
    ระหว่างอารมณ์และเหตุผล
    ในยุคสมัยปัจจุบัน
    ที่“อารมณ์”อาจมีอิทธิพล
    มากขึ้นเรื่อยๆ​​​​​​​​​​​​​​​​

    🌻

    จากข่าวสารประเด็นร้อนแรงในประเทศไทยวันนี้ เราก็ได้เห็นการใช้ Storytelling ในทางที่ผิดหลายเรื่อง

    เรื่องเล่าถูกใช้เพื่อบิดเบือนความจริงและสร้างภาพลวงตา มุ่งเน้นการกระตุ้นอารมณ์มากกว่าการให้ข้อมูลที่เป็นจริง

    นิทานเหล่านี้สร้างความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความสำเร็จและความมั่งคั่ง ทำให้คนมองข้ามความเสี่ยงและความเป็นจริงของสถานการณ์

    เรื่องเล่าที่น่าประทับใจอาจทำให้ผู้ฟังลดการใช้เหตุผลและการคิดวิเคราะห์ ผู้คนอาจตัดสินใจบนพื้นฐานของ“อารมณ์” มากกว่า“ความจริง” อย่างที่ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ กล่าวไว้ไม่มีผิด

    Storytelling : นิทานหรือเรื่องเล่าที่มีประสิทธิภาพสามารถสร้างความไว้วางใจได้อย่างรวดเร็ว แม้กับคนแปลกหน้า ในกรณีของการหลอกลวง Storytelling ถูกใช้เพื่อลดความระแวดระวังของเหยื่อ เรื่องเล่าที่สวยงามอาจถูกใช้เพื่อปิดบังความจริงที่น่าเป็นห่วงหรือรายละเอียดที่สำคัญ

    ในกรณีของแชร์ลูกโซ่หรือ MLM นิทาน เรื่องเล่า หรือ Storytelling ทั้งหลาย อาจถูกใช้เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่กดดันให้สมาชิกไม่ยอมแพ้ แม้จะเผชิญกับความล้มเหลว

    เรื่องเล่าเหล่านี้
    มักเล็งเป้าไปที่ความฝัน
    และความหวังของผู้คน
    ทำให้เหยื่ออ่อนไหวและเปราะบาง
    ทำให้ง่ายที่จะหลอกลวง

    🌻

    นิทาน เรื่องเล่า Storytelling ทั้งหลาย มันไม่ได้เลวร้ายในตัวมันเอง แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง สามารถใช้ในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้

    ในด้านบวก Storytelling สามารถใช้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ สอน และสื่อสารความคิดที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    สิ่งสำคัญที่คนเรายุคนี้ต้องรับมือ
    คือต้องพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์
    และการรู้เท่าทันสื่อของตัวเอง
    เพื่อแยกแยะให้ออก
    ระหว่างการใช้ Storytelling
    ในทางที่สร้างสรรค์
    หรือการใช้เพื่อหลอกลวง

    🌻

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/sg5pYj1hseTp1QGK/?mibextid=CTbP7

    #Thaitimes
    รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก ‘ปราย พันแสง เมื่อคืนดูคลิปบอสเล่านิทานเรื่อง“มดไต่แก้ว”แล้วนอนไม่หลับเอาเลย ยอมรับว่าเล่าเก่งโคตร ไม่น่าแปลกใจว่าทำไม จึงมีเหยื่อมากมายนัก ก็มันชวนเคลิ้มซะขนาดนี้ 🌻 นานมาแล้ว สตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ลเคยบอกว่า "The most powerful person in the world is the storyteller.“ คนที่ทรงพลังที่สุดในโลกคือนักเล่าเรื่อง จอบส์ฟันธงไว้อย่างนั้น เขาบอกว่า“นักเล่าเรื่อง” หรือคนที่เล่าเรื่องเป็น(storyteller) จะเป็นผู้กำหนดวิสัยทัศน์ ค่านิยม และระเบียบวาระต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นให้กับผู้คนทั้งเจเนอเรชั่น อาจจะกล่าวได้ว่า นักเล่าเรื่องเก่งๆ นั้นสามารถกำหนดเทรนด์หรือทิศทางของสังคมได้ ส่วนที่จอบส์ไม่ได้บอกไว้ก็คือ นักเล่าเรื่องเก่งๆ หลายคน สามารถทำให้คนคิดฆ่าตัวตาย ทำให้เกิดความฉิบหายระดับหมื่นล้านแสนล้านได้ด้วย สิ่งที่ปรากฏต่อสังคมไทยในวันนี้ มันอาจเป็นประจักษ์พยานด้านมืด ของ storyteller อย่างชัดๆ 🌻 “มดไต่แก้ว” เป็นเรื่องเล่าง่ายๆ เกี่ยวกับมดที่พยายามป่ายปีนออกไปให้พ้นแก้ว มดบางตัวปีนไปจนอยู่ในจุดสูงที่สุดของปากแก้ว แต่แล้วก็ตกลงมา บอสบอกไว้คมเฉียบว่า ”การตกลงมาจากจุดสูงสุดอย่างนั้น มันทำให้เจ็บที่สุด ทำให้มีมดบางตัวยอมแพั แต่ก็ยังมีมดบางตัวสู้ต่อ จนได้รับอิสรภาพในที่สุด“ เคลิ้มมั้ยล่ะ ^__^ 🌻 เอาจริง จากอาชีพอ่านๆ เขียนๆ เรื่องเล่าประเภทนี้ไม่ได้กินเราหรอก แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คลุกคลี อีกทั้งยังต้องอยู่ในสถานะลูกข่ายที่ต้องไล่ล่าทำยอดขาย พลังของเรื่องเล่าแบบนี้มันพุ่งปรี๊ดทะลุปม กระแทกต่อมได้ตรงจุด จึงไม่น่าแปลกใจถ้ามันจะทำให้ใครๆ ที่ได้ฟังครั้งแรกถึงกับน้ำตาไหลพราก ซาบซึ้งตรึงใจ เราเองฟังเรื่องมดไต่แก้วนี้กลับไปคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้มีใครเคยฟังมั้ย เป็นนิทานเรื่องกบกระโดด เรื่องมีอยู่ว่า มีกบตัวหนึ่งพยายามปีนออกจากบ่อลึก ทุกครั้งที่มันพยายามกระโดด เพื่อนๆ กบจะพากันตะโกนห้ามว่า "เลิกเถอะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก!" ทว่ากบตัวนั้นไม่ยอมแพ้ สุดท้ายในการกระโดดครั้งที่ 99 มันก็กระโดดออกจากบ่อได้สำเร็จ แต่ความจริงของเรื่องนี้คือ กบตัวนี้หูหนวก มันเลยไม่ได้ยินเสียงร้องห้ามจากเพื่อนๆ เลยสักนิดเดียว ช่างไม่ต่างอะไรเลยกับผู้เสียหายมากมาย ที่ไม่ยอมฟังคำทัดทานจากใครเลย เหมือนกบหูหนวก 🌻 คดีบอสๆ นี้ เราว่านิทานเรื่องมดไต่แก้วนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ที่เรารู้สึกเองว่ามันทรงพลังแห่ง storytelling จริงๆ น่าจะเป็นนิทานเรื่องจริงที่แชร์กันเยอะๆ วันนี้ ที่เป็นคลิปเล่าเรื่องบอสพอลพาผู้ชมกลับไปทัวร์สลัมคลองเตยบ้านเกิด พาไปชมแฟลตเก่าชั้นสองห้อง 16 ที่เคยเติบโตมา แคปชั่นตรึงใจ “ผมไม่เคยลืม...ว่าผมเติบโตมาจากที่ไหน ชุมชนแออัด หรือที่ใครหลายคนเรียกว่า "สลัม"ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ในตอนที่ยังเริ่มต้นสร้างชีวิต” “20 ปีที่แล้ว กับภาพในวันนี้ ทุกอย่างมันยังคงอยู่เหมือนเดิม ราวกับว่ามันหยุดเวลาไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจอะไรบางอย่าง มันคือจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ผมไม่เคยคิดดูถูกความฝันหรือความพยายามของใคร เพราะผมก็เคยเป็นหนึ่งคน ที่ชีวิตไม่พร้อม แต่มีความฝัน ขอเป็นกำลังใจให้กับนักสู้ชีวิตทุก ๆ ท่านครับ“ คลิปถ่ายสวย ไม่เวอร์ ภาพดี เสียงดี เล่าเรื่องดี นักแสดง(บอสพอล)แอ๊คติ้งเป็นธรรมชาติ ไม่มีตรงไหนชวนแหวะ หรือชวนเอ๊ะเลย ยิ่งตอนโทรคุยกับแม่หน้าแฟลตเก่า พูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวไก่เจ้าอร่อยที่ยังขายอยู่นั่นก็ดูจะเป็นซีนที่น่าจดจำมากทีเดียว คือถ้าไม่ติดเรื่องข้อสงสัยว่าเป็นธุรกิจผิดกฎหมายเนี่ย อยากเชิญคนทำคลิปนี้ไปสร้างหนังไทยเลย อยากดู ในคลิปนี้ บอสยืนพูดหน้าแฟลตที่สกปรกรุงรังว่า ตอนที่เขายังใช้ชีวิตอยู่ในสลัมแห่งนี้ ชีวิตวัยนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่าอยากดูแลแม่ให้มีความสุขเท่านั้น ตรงนี้เชื่อว่าเอฟซีอาจน้ำตาร่วง อีกทั้งน้ำเสียงของแม่ปลายสาย ก็ร่าเริงมีความสุข กับการพูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่เคยกินสมัยอยู่สลัม สื่อให้เห็นว่าเมื่อก้าวพ้นความยากจนไปแล้ว ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ในสลัมธรรมดาก็ยังงดงามขึ้นมาได้ ทุกอย่างสอดคล้องกลมกลืนลื่นไหล เป็นคลิปฟิลลิ่ง Nostalgia การรำลึกความหลังยากแค้นของเศรษฐีหมื่นล้านที่สุดละเมียดจริงแท้ ใครไม่เคลิ้มให้มันรูัไป ยอดขายระเบิดเถิดเทิงหมื่นล้านแสนล้าน ไม่ใช่ได้มาแบบฟลุคๆ แน่นอน มันผ่านการเล่าเรื่องที่คัดเค้นมาแล้วอย่างประณีต เพื่อพิชิตใจมหาชนคนสามัญที่คุ้นเคยชมชอบกับเรื่องดรามาชนิดซึมเข้ากระดูกดำแบบไทยๆ เราอย่างเหมาะเหม็ง ดูคลิปนี้แล้วยิ่งไม่แปลกใจเลยสักนิด ว่าทำไมลูกข่ายหอบเงินมาประเคนให้ เป็นหลักหมื่นแสนล้าน 🌻 เอาจริง เรื่องเล่าตรึงใจระคายต่อมพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่หรอก มันเป็นเครื่องมือสำเร็จรูปที่มีใช้กันนานแล้วในวงการต่างๆ โดยเฉพาะในแวดวงหลอกลวงต้มตุ๋น ดูเหมือนจะสร้างเม็ดเงินมหาศาลทำลายสถิติได้ทุกยุคสมัย เรื่องเล่ากระตุ้นต่อมที่ชาวโลกรู้จักกันแพร่หลาย ก็คงจะเป็นนิทานเรื่อง“ปลาทอง" ในคดีฉ้อฉลของเบอร์นี แมดอฟฟ์ในอเมริกา ที่น่าจะอื้อฉาวพอๆ กับคดีดิ ไอคอน ในเมืองไทยตอนนี้ก็ว่าได้ สมัยนั้น เบอร์นี แมดอฟฟ์ ก็มักจะชอบเล่าเรื่องเปรียบเทียบการลงทุนกับการให้อาหารปลาทอง โดยบอกว่าต้องให้อาหารสม่ำเสมอ ไม่มากไม่น้อยเกินไป เพื่อให้ปลาเติบโตอย่างแข็งแรง เขาใช้เรื่องนี้อธิบายกลยุทธ์การลงทุนที่ "สม่ำเสมอ" ของเขา ซึ่งในความเป็นจริงคือแผนการณ์หลอกลวงแบบพอนซี (Ponzi scheme- คล้ายแชร์ลูกโซ่ แต่ไม่มีสินค้า ใช้วิธีเอาเงินคนใหม่ไปจ่ายให้คนเก่าวนไปเรื่อยๆ ) พอนซีของแมดอล์ฟฟ์มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 64.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แมดอล์ฟฟ์ใช้เรื่องเล่าเกี่ยวกับปลาทองเพื่อสื่อว่ากลยุทธ์การลงทุนของเขานั้น "สม่ำเสมอ" และ "ปลอดภัย" เขาอ้างว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่คงที่และน่าเชื่อถือได้ ไม่ว่าสภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร เรื่องเล่านี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและทำให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญที่มีกลยุทธ์ที่มั่นคง ในความเป็นจริง แมดอล์ฟฟ์ไม่ได้นำเงินของลูกค้าไปลงทุนเลยสักนิด เขาใช้เงินจากนักลงทุนรายใหม่เพื่อจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุนรายเก่า ซึ่งเป็นลักษณะของแผนพอนซี ผลตอบแทน "สม่ำเสมอ" ที่เขาอ้างถึงนั้นเป็นเพียงตัวเลขที่เขาสร้างขึ้นมาเอง แผนฉ้อโกงนี้ดำเนินมานานหลายทศวรรษก่อนจะถูกเปิดโปงในปี 2008 มีผู้เสียหายจำนวนมาก รวมถึงบุคคลทั่วไป องค์กรการกุศล และสถาบันการเงิน ปัจจุบันแมดอล์ฟฟ์ถูกจับกุม และถูกตัดสินจำคุก 150 ปี 🌻 นอกจากนิทานปลาทองของแมดอล์ฟฟ์ ยังมีนิทานอีกเรื่องที่โด่งดังไม่แพ้กัน นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า “ช้างล่ามโซ่” ที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงของบริษัท One Coin One Coin เป็นโครงการที่อ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrency) แต่ในความเป็นจริงเป็นแผนหลอกลวงแบบพีระมิด (pyramid scheme) ที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ต้มตุ๋น รูจา อิกนาโตวา (Ruja Ignatova) ผู้ก่อตั้ง One Coin เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1980 ที่เมืองรูส ประเทศบัลแกเรีย ย้ายไปเยอรมนีตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จบปริญญาเอกด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยคอนสแตนซ์ ประเทศเยอรมนี เคยทำงานให้กับบริษัทที่ปรึกษา McKinsey & Company ในปี 2014 เธอก่อตั้งบริษัท One Coin ซึ่งอ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัลใหม่ บริษัท One Coin เติบโตอย่างรวดเร็ว มีสมาชิกกว่า 3 ล้านคนทั่วโลก จนกระทั่งในปี 2016 เริ่มมีการสงสัยและตรวจสอบ One Coin ว่าอาจเป็นแชร์ลูกโซ่ วันที่ 25 ตุลาคม 2017 รูจาหายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากบินจากโซเฟียไปยังเอเธนส์ ในปี 2019 เธอถูกฟ้องในสหรัฐอเมริกาในข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน 🌻 ในการหลอกล่อเหยื่อมาลงทุน รูจา อิกนาโตวา มักใช้นิทานเรื่องช้างล่ามโซ่ในการปราศรัยบ่อยครั้ง เธอเปรียบเทียบว่าคนทั่วไปเหมือนช้างที่ถูกล่ามด้วยโซ่ทางการเงิน ไม่กล้าที่จะหลุดพ้น เธอชี้ให้เห็นว่า One Coin คือโอกาสที่ทุกคนจะได้ "ตัดโซ่" และเป็นอิสระทางการเงิน นิทานเรื่องนี้นำมาใช้เพื่อกระตุ้นให้คนรู้สึกว่าตนกำลัง "ติดกับดัก" ทางการเงิน สร้างความรู้สึกว่า One Coin เป็นทางออกเดียวที่จะทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากข้อจำกัดทางการเงิน สร้างแรงจูงใจให้คนกล้าที่จะ "ทำลายกรอบความคิดเดิมๆ" และเข้าร่วมโครงการ ในความเป็นจริง One Coin ไม่ได้เป็นสกุลเงินดิจิทัลจริง ไม่มีบล็อกเชนที่ใช้งานได้จริง เป็นระบบพีระมิดที่สร้างรายได้จากการรับสมาชิกใหม่เท่านั้น ผู้ลงทุนไม่สามารถถอนเงินหรือแลกเปลี่ยน One Coin เป็นเงินจริงได้ One Coin มีผู้เสียหายทั่วโลกมากกว่า 3 ล้านคน ความเสียหายทางการเงินประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รูจา อิกนาโตวา ได้รับฉายาว่า “ราชินีคริปโต” หรือ Cryptoqueen เธอหายตัวไปในปี 2017 ทุกวันนี้ยังคงเป็นที่ต้องการตัวของ FBI ปัจจุบัน เธอกลายเป็นหนึ่งในอาชญากรทางการเงินที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย​​​​​​​​​​​​​​​​จนทุกวันนี้ 🌻 จะเห็นได้ว่า เรื่องเล่าอย่าง "ช้างล่ามโซ่" ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมและกระตุ้นการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผล จึงควรระวังโครงการที่สัญญาว่าจะทำให้รวยอย่างรวดเร็วหรือหลุดพ้นจากปัญหาทางการเงินอย่างง่ายดาย คดีนี้แสดงให้เห็นว่าเรื่องเล่าที่สร้างแรงบันดาลใจสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและไม่เป็นที่เข้าใจกันดีนักเช่น cryptocurrency 🌻 ยังมีนิทานประเภทสร้างแรงบันดาลใจอีกมากมายหลายเรื่อง ที่มักนำมาใช้ในบริบทการฉ้อโกงลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นนิทานเรื่อง“มีดเหลาดินสอ”ที่หลายคนอาจจะคุ้น พวกคอร์สอบรมต่างๆ จะเอามาเล่าบ่อย เรื่องราวมีอยู่ว่า ดินสอบ่นว่าเจ็บเมื่อถูกเหลา แต่มีดเหลาบอกว่า "การเจ็บนี้จะทำให้เธอแหลมคมและเขียนได้ดีขึ้น“ นิทานเรื่องนี้ถูกนำมาใช้เพื่อให้แง่คิดเรื่องความอดทนต่อความยากลำบากที่อาจทำให้เราได้เติบโตและพัฒนา 🌻 "นิทานเรื่องช้างและเชือกเส้นเล็ก" เรื่องมีอยู่ว่าในคณะละครสัตว์ มีช้างตัวใหญ่ถูกล่ามด้วยเชือกเส้นเล็กๆ เด็กน้อยสงสัยว่าทำไมช้างไม่ดึงเชือกให้ขาด คนเลี้ยงช้างอธิบายว่า ตั้งแต่ช้างยังเล็ก มันถูกล่ามด้วยโซ่ใหญ่ที่ไม่สามารถหลุดได้ ช้างจึงเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางหลุดจากการล่าม แม้โตแล้วก็ยังคิดเช่นนั้น 🌻 "นิทานเรื่องหินสลักและค้อน" เรื่องราวของช่างแกะสลักกำลังทำงานบนหินก้อนใหญ่ เขาตีค้อนลงบนหินครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่เห็นผล คนผ่านไปมาสงสัยว่าทำไมเขาไม่ยอมแพ้ ในที่สุด หลังจากตีค้อนครั้งที่ 101 หินก็แตกออกตามที่เขาต้องการ ช่างแกะสลักอธิบายว่า "ไม่ใช่การตีครั้งสุดท้ายที่ทำให้หินแตก แต่มันเป็นผลรวมของการตีทุกครั้งที่ผ่านมา" 🌻 นิทานเหล่านี้มักถูกใช้เพื่อสื่อถึงความอดทน การไม่ยอมแพ้ และการเอาชนะข้อจำกัดทางความคิด นิทานไม่ได้มีพิษภัยในตัวมันเอง มันเป็นเรื่องเล่าแสนวิเศษ สร้างแรงบันดาลใจได้จริง แต่เมื่อมีการนำมาใช้ในบริบทของการลงทุนหรือธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง การตีความและการนำไปใช้ กลับเป็นสิ่งที่ต้องระวัง บางครั้งนิทานเหล่านี้ มักถูกใช้เพื่อกระตุ้นอารมณ์มากกว่าเหตุผล อาจไม่สะท้อนความเป็นจริงของสถานการณ์ ในบริบทของธุรกิจที่น่าสงสัย อาจใช้เพื่อกดดัน ให้คนทำในสิ่งที่ไม่ควร การยอมรับความจริง เลิกทนและถอยออกมา ก็อาจเป็นการตัดสินใจ ที่ชาญฉลาดได้เช่นกัน 🌻 “ในยุคข้อมูลข่าวสาร ความจริงกำลังถูกบดบังด้วยเรื่องเล่าหรือเรื่องราวที่สร้างขึ้น (narratives)” ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ เขียนไว้ในหนังสือ"21 Lessons for the 21st Century"เมื่อหลายปีมาแล้ว (21 บทเรียน สำหรับศตวรรษที่ 21 : ผู้แปล ธิดา จงนิรามัยสถิต, ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์ , สำนักพิมพ์ยิปซี) ฮาราริอธิบายว่าผู้คนมักเชื่อในเรื่องราวที่สอดคล้องกับความเชื่อและอัตลักษณ์ของตน มากกว่าข้อเท็จจริงที่อาจขัดแย้งกับความเชื่อนั้น และชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะเชื่อในเรื่องเล่าที่ให้ความหมายและอธิบายโลกรอบตัว เขาบอกว่า“เรื่องเล่าเหล่านี้มีพลังมากกว่าข้อเท็จจริงเพราะมันตอบสนองต่อความต้องการทางอารมณ์และจิตวิญญาณของมนุษย์” ฮาราริเตือนว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะ AI และ Big Data สามารถใช้ในการสร้างและเผยแพร่เรื่องราวที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (อย่างคลิปเรื่องเล่าสารพัดที่ผลิตออกมาชักจูงใจคน) เขาชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถเข้าใจและจัดการกับอารมณ์มนุษย์ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ การให้ความสำคัญกับ“อารมณ์”มากกว่า“ความจริง”อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการประชาธิปไตยและการตัดสินใจที่สำคัญ เขาเตือนว่าสังคมอาจถูกชี้นำด้วยการปลุกเร้าอารมณ์มากกว่าการใช้เหตุผลและข้อมูล ในอนาคต ทักษะทางอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์อาจมีความสำคัญมากกว่าความรู้ทางเทคนิค เขาแนะนำว่าระบบการศึกษาควรปรับตัวเพื่อเตรียมคนให้พร้อมสำหรับโลกที่อารมณ์และความคิดสร้างสรรค์มีบทบาทสำคัญ ฮาราริเน้นย้ำความสำคัญของการรู้จักและเข้าใจตนเอง รวมถึงอารมณ์และความรู้สึกของเราให้ได้อย่างถ่องแท้ เขาบอกว่า“การเข้าใจตนเองจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับโลกที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยการกระตุ้นทางอารมณ์ได้ดีขึ้น” ผู้เขียน "21 Lessons for the 21st Century" ไม่ได้บอกว่า แนวโน้มนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นความท้าทายที่สำคัญที่เราต้องเตรียมพร้อมรับมือ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา การเมือง และการพัฒนาตนเอง เพื่อรักษาสมดุล ระหว่างอารมณ์และเหตุผล ในยุคสมัยปัจจุบัน ที่“อารมณ์”อาจมีอิทธิพล มากขึ้นเรื่อยๆ​​​​​​​​​​​​​​​​ 🌻 จากข่าวสารประเด็นร้อนแรงในประเทศไทยวันนี้ เราก็ได้เห็นการใช้ Storytelling ในทางที่ผิดหลายเรื่อง เรื่องเล่าถูกใช้เพื่อบิดเบือนความจริงและสร้างภาพลวงตา มุ่งเน้นการกระตุ้นอารมณ์มากกว่าการให้ข้อมูลที่เป็นจริง นิทานเหล่านี้สร้างความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความสำเร็จและความมั่งคั่ง ทำให้คนมองข้ามความเสี่ยงและความเป็นจริงของสถานการณ์ เรื่องเล่าที่น่าประทับใจอาจทำให้ผู้ฟังลดการใช้เหตุผลและการคิดวิเคราะห์ ผู้คนอาจตัดสินใจบนพื้นฐานของ“อารมณ์” มากกว่า“ความจริง” อย่างที่ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ กล่าวไว้ไม่มีผิด Storytelling : นิทานหรือเรื่องเล่าที่มีประสิทธิภาพสามารถสร้างความไว้วางใจได้อย่างรวดเร็ว แม้กับคนแปลกหน้า ในกรณีของการหลอกลวง Storytelling ถูกใช้เพื่อลดความระแวดระวังของเหยื่อ เรื่องเล่าที่สวยงามอาจถูกใช้เพื่อปิดบังความจริงที่น่าเป็นห่วงหรือรายละเอียดที่สำคัญ ในกรณีของแชร์ลูกโซ่หรือ MLM นิทาน เรื่องเล่า หรือ Storytelling ทั้งหลาย อาจถูกใช้เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่กดดันให้สมาชิกไม่ยอมแพ้ แม้จะเผชิญกับความล้มเหลว เรื่องเล่าเหล่านี้ มักเล็งเป้าไปที่ความฝัน และความหวังของผู้คน ทำให้เหยื่ออ่อนไหวและเปราะบาง ทำให้ง่ายที่จะหลอกลวง 🌻 นิทาน เรื่องเล่า Storytelling ทั้งหลาย มันไม่ได้เลวร้ายในตัวมันเอง แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง สามารถใช้ในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ ในด้านบวก Storytelling สามารถใช้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ สอน และสื่อสารความคิดที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญที่คนเรายุคนี้ต้องรับมือ คือต้องพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ และการรู้เท่าทันสื่อของตัวเอง เพื่อแยกแยะให้ออก ระหว่างการใช้ Storytelling ในทางที่สร้างสรรค์ หรือการใช้เพื่อหลอกลวง 🌻 ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/sg5pYj1hseTp1QGK/?mibextid=CTbP7 #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 494 Views 0 Reviews
  • วัดสุวรรณพุทธชยันตี พระมหาเจดีย์พุทธคยา จำลองมาจากสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ประเทศอินเดีย ยอดเจดีย์ทำจากหินทรายแกะสลักจากเมืองจูนนาห์ ประเทศอินเดีย ภายในพระมหาเจดีย์ บรรจุพระสารีริกธาตุ #สมุทรปราการ #วัดไทย #ไหว้พระ #ธรรมะ #ท่องเที่ยว #travel #thaitimes #kaiaminute
    วัดสุวรรณพุทธชยันตี พระมหาเจดีย์พุทธคยา จำลองมาจากสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ประเทศอินเดีย ยอดเจดีย์ทำจากหินทรายแกะสลักจากเมืองจูนนาห์ ประเทศอินเดีย ภายในพระมหาเจดีย์ บรรจุพระสารีริกธาตุ #สมุทรปราการ #วัดไทย #ไหว้พระ #ธรรมะ #ท่องเที่ยว #travel #thaitimes #kaiaminute
    0 Comments 0 Shares 346 Views 186 0 Reviews
  • 🌱 #เทคนิคเด็ดดูแลกล้าเมล่อนให้แข็งแรง! 🍈

    วันที่ 2-3 หลังเพาะ: เมล็ดเมล่อนเริ่มงอก! 🌿
    แล้วจะดูแลอย่างไรให้กล้าเติบโตแข็งแรง? มาดูกัน!

    1️⃣ #แสงแดด: กุญแจสำคัญสู่กล้าแข็งแรง
    • ให้กล้าได้รับแสงแดดจัดทั้งวัน ☀️
    • แสงกระตุ้นการสังเคราะห์แสง เร่งการเจริญเติบโต
    • ช่วยป้องกันกล้าเน่า ลดความเสี่ยงโรคโคนเน่า

    2️⃣ #การให้น้ำ: สมดุลคือกุญแจ
    • หมั่นตรวจสอบความชื้นวัสดุเพาะ ไม่ให้แห้งเกินไป 💧
    • พ่นน้ำเปล่าสม่ำเสมอ แต่ระวังอย่าให้ชื้นแฉะ
    • เทคนิค: ใช้ละอองน้ำละเอียดเพื่อไม่ให้กล้าล้ม

    3️⃣ #การดูแลพิเศษ
    • หากเปลือกเมล็ดติดบนใบเลี้ยง ค่อยๆ แกะออกอย่างเบามือ ✋
    • ระวัง! การแกะผิดวิธีอาจทำให้ใบเลี้ยงฉีกขาดได้

    4️⃣ #ป้องกันศัตรูพืช
    • กำจัดมด 🐜 แมลง 🦟 และสัตว์รบกวนอื่นๆ
    • ใช้วิธีธรรมชาติ เช่น ใช้ไตรโคบิวพลัสพ่นป้องกันแมลง

    💡 รู้หรือไม่? กล้าเมล่อนที่แข็งแรงควรมีลำต้นอวบ ใบเขียวเข้ม และรากขาวแข็งแรง

    เพียง 7 วันจากนี้ กล้าของคุณจะพร้อมลงแปลงปลูก! 🌱➡️🏡

    ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมหรืออุปกรณ์คุณภาพสำหรับการปลูกเมล่อน?
    📞 ติดต่อเราได้ที่ 093-696-2691
    💬 หรือส่งข้อความมาที่ Inbox

    #เทคนิคปลูกเมล่อน #กล้าเมล่อนแข็งแรง #เกษตรอินทรีย์ #ลิตเติ้ลฟาร์ม
    🌱 #เทคนิคเด็ดดูแลกล้าเมล่อนให้แข็งแรง! 🍈 วันที่ 2-3 หลังเพาะ: เมล็ดเมล่อนเริ่มงอก! 🌿 แล้วจะดูแลอย่างไรให้กล้าเติบโตแข็งแรง? มาดูกัน! 1️⃣ #แสงแดด: กุญแจสำคัญสู่กล้าแข็งแรง • ให้กล้าได้รับแสงแดดจัดทั้งวัน ☀️ • แสงกระตุ้นการสังเคราะห์แสง เร่งการเจริญเติบโต • ช่วยป้องกันกล้าเน่า ลดความเสี่ยงโรคโคนเน่า 2️⃣ #การให้น้ำ: สมดุลคือกุญแจ • หมั่นตรวจสอบความชื้นวัสดุเพาะ ไม่ให้แห้งเกินไป 💧 • พ่นน้ำเปล่าสม่ำเสมอ แต่ระวังอย่าให้ชื้นแฉะ • เทคนิค: ใช้ละอองน้ำละเอียดเพื่อไม่ให้กล้าล้ม 3️⃣ #การดูแลพิเศษ • หากเปลือกเมล็ดติดบนใบเลี้ยง ค่อยๆ แกะออกอย่างเบามือ ✋ • ระวัง! การแกะผิดวิธีอาจทำให้ใบเลี้ยงฉีกขาดได้ 4️⃣ #ป้องกันศัตรูพืช • กำจัดมด 🐜 แมลง 🦟 และสัตว์รบกวนอื่นๆ • ใช้วิธีธรรมชาติ เช่น ใช้ไตรโคบิวพลัสพ่นป้องกันแมลง 💡 รู้หรือไม่? กล้าเมล่อนที่แข็งแรงควรมีลำต้นอวบ ใบเขียวเข้ม และรากขาวแข็งแรง เพียง 7 วันจากนี้ กล้าของคุณจะพร้อมลงแปลงปลูก! 🌱➡️🏡 ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมหรืออุปกรณ์คุณภาพสำหรับการปลูกเมล่อน? 📞 ติดต่อเราได้ที่ 093-696-2691 💬 หรือส่งข้อความมาที่ Inbox #เทคนิคปลูกเมล่อน #กล้าเมล่อนแข็งแรง #เกษตรอินทรีย์ #ลิตเติ้ลฟาร์ม
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • ปฐมบท..บอสพอล The Icon

    พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ

    ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์

    หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท

    ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ

    พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย

    พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก)

    จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน..

    ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ

    คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global
    👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal

    ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ

    ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง

    เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท

    แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan
    👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/

    ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้

    เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้

    จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน

    และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558
    👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/

    เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน

    เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด

    เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ

    พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse

    และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค

    เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“

    ---------

    โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย

    โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี"

    โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา

    -----------

    ลูกค้าของพอล..

    ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง

    เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง)

    โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ

    และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี

    และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี

    การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV

    นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว

    รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก

    โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า

    ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที

    พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น

    พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น

    คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง

    พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่

    เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

    แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท

    89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน)

    มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ

    เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว

    ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว

    คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย

    เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon

    และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM

    เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ

    และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย
    ---------

    ยุคทองของ..บอสพอล The Icon

    เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง

    เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว

    แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป

    เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้

    The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล

    ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น

    แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด

    ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto

    ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ

    หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ

    คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม

    เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน

    พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ

    และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา

    และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร

    กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย

    เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย

    กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย

    แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ
    -----------

    ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลในฐานแชร์ลูกโซ่ได้เลย

    จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยากเพราะไปผิดทางไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู

    เพราะเคสแบบนี้มันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า

    การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน”และตัวแทนไม่ใช่ผู้บริโภค สคบ.จึงไม่มีอำนาจ“

    หรือเคยมีผู้บริโภคได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ

    จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้

    เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย

    ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง #และสินค้ามีคุณภาพ ตรงจุดนี้คือกุญแจดอกเดียวที่จะไขเข้าไปถึงตัวพอลได้นั่นคือ..สินค้าไม่ตรงปรก

    พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง

    เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ

    แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั

    ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป

    โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ

    หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้..

    พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน

    ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.?

    ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที

    เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย

    บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง

    พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ

    สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ..

    การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง

    ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร

    ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว

    คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว

    หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ

    เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว

    แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่

    บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ

    พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

    บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้

    จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว

    อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ

    สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship

    คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป

    กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต

    มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย
    ----------

    ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้

    1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ

    2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer

    3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20%

    เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง

    พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้

    4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย

    ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด"

    ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด

    ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส.

    น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣

    เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง

    สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง

    ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100%

    ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.?

    นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก

    #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊

    ep.1
    👉 https://www.facebook.com/share/p/YgaYdxzS5FirmYa2/?mibextid=WC7FNe

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน

    ปฐมบท..บอสพอล The Icon พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์ หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก) จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน.. ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global 👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan 👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/ ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้ เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้ จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558 👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/ เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“ --------- โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี" โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา ----------- ลูกค้าของพอล.. ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง) โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่ เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท 89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน) มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย --------- ยุคทองของ..บอสพอล The Icon เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้ The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ ----------- ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลในฐานแชร์ลูกโซ่ได้เลย จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยากเพราะไปผิดทางไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู เพราะเคสแบบนี้มันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน”และตัวแทนไม่ใช่ผู้บริโภค สคบ.จึงไม่มีอำนาจ“ หรือเคยมีผู้บริโภคได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้ เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง #และสินค้ามีคุณภาพ ตรงจุดนี้คือกุญแจดอกเดียวที่จะไขเข้าไปถึงตัวพอลได้นั่นคือ..สินค้าไม่ตรงปรก พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้.. พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.? ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ.. การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่ บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้ จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย ---------- ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้ 1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ 2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer 3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20% เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้ 4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด" ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส. น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣 เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100% ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.? นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊ ep.1 👉 https://www.facebook.com/share/p/YgaYdxzS5FirmYa2/?mibextid=WC7FNe สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • FB Page เหยื่อ V.2 เขียนดีมาก ครบถ้วน จึงขอยกมานำเสนอแบบเต็มๆ
    ...............
    ปฐมบท..บอสพอล The Icon

    พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ

    ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์

    หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท

    ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ

    พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย

    พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก)

    จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน..

    ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ

    คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global
    👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal

    ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ

    ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง

    เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท

    แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan
    👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/

    ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้

    เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้

    จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน

    และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558
    👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/

    เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน

    เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด

    เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ

    พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse

    และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค

    เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“

    ---------

    โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย

    โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี"

    โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา

    -----------

    ลูกค้าของพอล..

    ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง

    เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง)

    โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ

    และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี

    และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี

    การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV

    นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว

    รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก

    โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า

    ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที

    พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น

    พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น

    คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง

    พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่

    เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

    แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท

    89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน)

    มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ

    เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว

    ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว

    คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย

    เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon

    และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM

    เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ

    และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย
    ---------

    ยุคทองของ..บอสพอล The Icon

    เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง

    เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว

    แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป

    เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้

    The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล

    ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น

    แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด

    ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto

    ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ

    หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ

    คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม

    เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน

    พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ

    และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา

    และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร

    กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย

    เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย

    กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย

    แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ
    -----------

    ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลได้เลย

    จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยาก ไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู

    เพราะเคสแบบนีัมันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน”

    หรือเคยมีใครได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ

    จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้

    เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง

    พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง

    เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ

    แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั

    ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป

    โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ

    หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้..

    พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน

    ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.?

    ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที

    เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย

    บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง

    พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ

    สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ..

    การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง

    ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร

    ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว

    คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว

    หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ

    เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว

    แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่

    บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ

    พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

    บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้

    จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว

    อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ

    สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship

    คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป

    กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต

    มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย
    ----------

    ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้

    1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ

    2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer

    3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20%

    เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง

    พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้

    4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย

    ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด"

    ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด

    ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส.

    น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣

    เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง

    สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง

    ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100%

    ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.?

    นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก

    #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    .
    Cr : FB เหยื่อ V.2
    FB Page เหยื่อ V.2 เขียนดีมาก ครบถ้วน จึงขอยกมานำเสนอแบบเต็มๆ ............... ปฐมบท..บอสพอล The Icon พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์ หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก) จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน.. ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global 👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan 👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/ ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้ เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้ จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558 👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/ เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“ --------- โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี" โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา ----------- ลูกค้าของพอล.. ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง) โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่ เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท 89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน) มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย --------- ยุคทองของ..บอสพอล The Icon เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้ The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ ----------- ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลได้เลย จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยาก ไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู เพราะเคสแบบนีัมันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน” หรือเคยมีใครได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้ เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้.. พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.? ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ.. การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่ บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้ จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย ---------- ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้ 1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ 2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer 3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20% เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้ 4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด" ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส. น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣 เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100% ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.? นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊ สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน . Cr : FB เหยื่อ V.2
    Like
    12
    1 Comments 1 Shares 622 Views 1 Reviews
  • สัจจะของคนเป็นสิ่งจำเป็นต้องมี มิฉะนั้น คำพูดที่ออกจากปาก ก็จะเป็นเพียงคำพูดของเด็กเลี้ยงแกะ ซึ่งไม่มีใครเชื่อถืออีกต่อไป
    คนดี อริยชนจึงไม่ยอมเสียวาจสสัจจ์ แม้ต้องแลกกับชีวิต
    สัจจะของคนเป็นสิ่งจำเป็นต้องมี มิฉะนั้น คำพูดที่ออกจากปาก ก็จะเป็นเพียงคำพูดของเด็กเลี้ยงแกะ ซึ่งไม่มีใครเชื่อถืออีกต่อไป คนดี อริยชนจึงไม่ยอมเสียวาจสสัจจ์ แม้ต้องแลกกับชีวิต
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • วันนี้เป็นวันที่ดีเลยแฮะ เจอพี่คนเดิมวางงานใหม่ให้ผม แต่ผมต้องศึกษาเรียนรู้ แกะโครงสร้าง ในสิ่งที่ ยาก ไม่ว่าจะยากแค่ไหน ก็ไม่พ้นมือผม เพราะ ผมควรทำเงินให้ได้มากกว่านี้นะครับ เพื่อพัฒนาตนเองให้แบบว่า ตนเองทำงานร่วมกับคนอื่นได้แม้จะอยู่ที่บ้านนั่งทำงานทางเน็ตก็ตามครับ
    วันนี้เป็นวันที่ดีเลยแฮะ เจอพี่คนเดิมวางงานใหม่ให้ผม แต่ผมต้องศึกษาเรียนรู้ แกะโครงสร้าง ในสิ่งที่ ยาก ไม่ว่าจะยากแค่ไหน ก็ไม่พ้นมือผม เพราะ ผมควรทำเงินให้ได้มากกว่านี้นะครับ เพื่อพัฒนาตนเองให้แบบว่า ตนเองทำงานร่วมกับคนอื่นได้แม้จะอยู่ที่บ้านนั่งทำงานทางเน็ตก็ตามครับ
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • 🔔 ทัวร์ยุโรป แกรนด์สวิสเซอร์แลนด์ 9 วัน 6 คืน
    ✈️ เดินทางโดย : QR-กาตาร์แอร์เวย์
    🅿️ 29 พ.ย. - 7 ธ.ค. 68 ท่านละ 140,888
    🅿️ 25 ธ.ค. - 2 ม.ค. 68 / 29 ธ.ค. - 6 ม.ค. 68 ท่านละ 159,888

    ราคาเริ่มต้น : ฿140,888

    📍 นั่งรถไฟสายโรแมนติก เบอร์นิน่าเอกซ์เพรส
    📍 นั่งรถไฟกลาเซียร์เอ็กซเพรส - ขึ้นเขากรอนเนอร์แกรต
    📍 ยอดเขาแมทเธอร์ฮอร์น
    📍 พิชิตยอดเขาจุงเฟรา TOP OF EUROPE
    📍 เซอร์แมทซ์
    📍 หมู่บ้านลอยเกอร์บาด
    📍 เมืองเวเวย์
    📍 อนุสาวรีย์ ชาลี แชปปลิ้น
    📍 ประติมากรรมส้อมหมู่บ้านอิเซล์ทวาลด์
    📍 เที่ยวเมืองลูเซิร์น
    📍 สะพานไม้ชาเปล และ สิงโตหินแกะสลัก
    📍 เที่ยวเมืองสเปียซ
    📍 น้ำตกไรน์

    📢 ระดับทัวร์ : ทัวร์คุณภาพระดับมาตรฐาน
    📢 รหัสทัวร์ : Z9402
    🏢 โรงแรม : 4 ดาว

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/e04d1c

    ดูทัวร์ลูเซิร์นทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/eb0202

    ดูทัวร์สวิตเซอร์แลนด์|สวิสทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/f4191e

    ดูทัวร์เซอร์แมททั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/e5be13

    ดูทัวร์วันปีใหม่ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/e63281

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    📷: etravelway 78s.me/05e8da
    ☎️: 0 2116 6395

    #ทัวร์สวิตเซอร์แลนด์|สวิส #ทัวร์วันปีใหม่ #ทัวร์เซอร์แมท #ทัวร์ลูเซิร์น #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    🔔 ทัวร์ยุโรป แกรนด์สวิสเซอร์แลนด์ 9 วัน 6 คืน ✈️ เดินทางโดย : QR-กาตาร์แอร์เวย์ 🅿️ 29 พ.ย. - 7 ธ.ค. 68 ท่านละ 140,888 🅿️ 25 ธ.ค. - 2 ม.ค. 68 / 29 ธ.ค. - 6 ม.ค. 68 ท่านละ 159,888 ราคาเริ่มต้น : ฿140,888 📍 นั่งรถไฟสายโรแมนติก เบอร์นิน่าเอกซ์เพรส 📍 นั่งรถไฟกลาเซียร์เอ็กซเพรส - ขึ้นเขากรอนเนอร์แกรต 📍 ยอดเขาแมทเธอร์ฮอร์น 📍 พิชิตยอดเขาจุงเฟรา TOP OF EUROPE 📍 เซอร์แมทซ์ 📍 หมู่บ้านลอยเกอร์บาด 📍 เมืองเวเวย์ 📍 อนุสาวรีย์ ชาลี แชปปลิ้น 📍 ประติมากรรมส้อมหมู่บ้านอิเซล์ทวาลด์ 📍 เที่ยวเมืองลูเซิร์น 📍 สะพานไม้ชาเปล และ สิงโตหินแกะสลัก 📍 เที่ยวเมืองสเปียซ 📍 น้ำตกไรน์ 📢 ระดับทัวร์ : ทัวร์คุณภาพระดับมาตรฐาน 📢 รหัสทัวร์ : Z9402 🏢 โรงแรม : 4 ดาว ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/e04d1c ดูทัวร์ลูเซิร์นทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/eb0202 ดูทัวร์สวิตเซอร์แลนด์|สวิสทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/f4191e ดูทัวร์เซอร์แมททั้งหมดได้ที่ https://78s.me/e5be13 ดูทัวร์วันปีใหม่ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/e63281 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์สวิตเซอร์แลนด์|สวิส #ทัวร์วันปีใหม่ #ทัวร์เซอร์แมท #ทัวร์ลูเซิร์น #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 175 Views 0 Reviews
  • ..น่าสนใจมากหากพันธมิตรเสื้อแผ่นดินไทย,ออกมาพลิกประเทศ ยึดอำนาจโดยภาคมหาชนจริงจัง ทำให้จบและสุดซอยของจริงในยุคนี้,บวกขึ้นเวทีประกาศก้องทั่วทั้งเวทีกลางแจ้ง"ภาคมหาประชาชนคนกู้แผ่นดิน" บอกความจริงเรื่องวัคซีนบนเวทีสะท้อนความจริงยิงข้อมูลตรงไปทั่วทั้งประเทศปลุกตื่นรู้จริง&เข้าใจความจริงทั่วประเทศไทยจริง,ถ้าทำได้นะเจริญแน่นอน ทั้งเชิญคนไทย&กูรูไทยมากมายขึ้นเวที แฉตระกูลรอธไชล์ดและตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ที่ต้องการปกครองคนทั้งโลกอย่างเบ็ดเสร็จด้วยและผลงานชั่วร้ายต่างๆที่ทำต่อคนทั้งโลกในอดีตถึงปัจจุบัน ออกมาแฉครบสูตรกันเลย เด้งแบบหมูเด้งกระจายทั่วโลกเรียลไทม์สแกนหา&ร่วมกันกำจัดพวกนี้ ภัยของโลกโดยชาวโลกเราทุกๆคนขึ้นไปไล่ล่ากำจัดมันอย่างจริงจังร่วมกันเพื่อตัดตอนและมิให้พวกมันลุแก่ใจ&ได้ใจเกินชั่วต่อไปสู่ยุคหน้า&ยุคต่อไป มิให้มีซากพวกนี้เด็ดขาดแบบไปต่อไม่ได้เลย,เราคนไทยและทั่วทั้งโลกจะร่วมกันจัดการต้นเหตุต้นตอของตัวปัญหาชัดเจนทันที&ร่วมกันเกาถูกที่ถูกทาง&ถูกที่คันด้วย,โลกจะสงบสุขทันทีที่ตระกูลพวกนี้ดับอนาถไป,เพราะพวกนี้ทั้งสิ้นที่ก่อกวนโกลาหลทั้งโลกจนวุ่นวายถึงปัจจุบัน ค้าอาวุธ&ทำกำไรจากสงครามที่ยุยงปลุก&ปั่นสงครามทุกๆรูปแบบ& ค้าความตายจากวัคซีนจากการค้าขายสาระพัดวัคซีนและออปชั่นต่างๆเพรียบทัังแบบตายเด็ดขาดและตายผ่อนส่งต่างค้ากำไร&ดูดตังเหยื่อชาวโลกได้ทุกๆสไตล์เลยทีเดียว.
    ..พันธมิตรออกมาจริง จะมีโอกาสพลิกโลกได้ หากเราไม่ขับเคลื่อนเอง ใครจะขับเคลื่อน ทหารยึดอำนาจก็ตกประโยชน์ในหมู่นายทุนทุกๆสมัยแบบอดีตที่ผ่านๆมา ยึดอำนาจโดยทหารเผลอๆยึดเพื่อปกป้องผลประโยชน์ชนชั้นอีลิทซาตานเท่านั้น เสมือนทหารในอดีตคือขี้ข้า&ทาส&บ๋อย&ส้นตีนสมุนรับใช้อีลิทซาตานเท่านั้น ดูสิในอดีต มีปัญญาคิดอ่านแค่จะฉีกแต่รัฐธรรมนูญ ไม่มีหัว ไม่มีปัญญาฉีกกฎหมายสัมปทานต่างๆเลย เพราะโดยหลักความจริง บ้านใดถูกยึด ทัังบ้านทั้งที่ดิน และทุกๆอย่างในบ้านนั้นๆจะเป็นเอกสิทธิผู้เดียวของคนไปยึดบ้านยึดที่ดินยึดอำนาจบ้านนั้นแล้ว เงื่อนไข&กฎกติกาใดๆในบ้านหลังนั้นที่มีอยู่ก่อนแล้วเป็นอันตกไปทัังหมดหรือโมฆะสิ้นซากทั้งหมด,เขาจะตั้งกฎกติกาใหม่ใดๆย่อมเป็นอำนาจเขาคนยึดอำนาจทั้งสิ้น,แล้วทหารในอดีตทำห่าที่ว่ามั้ย ยึดบ่อน้ำมันคืนมาเป็นอธิปไตยความมั่นคงทางพลังงานขั้นพื้นฐานของประเทศแบบคืนสู่สามัญมั้ย ,ก็ไม่ทำ ทหารมีไว้ทำรัฐประหารยึดอำนาจใช่หรือไม่,ภาคมหาประชาชนไม่มีสิทธิเอาอำนาจตนเองคืนมาหรือไง,ทำยึดอำนาจเองไม่เป็นหรือไง,ทหารต้องปกป้องอธิปไตยคนไทยแผ่นดินไทยระหว่างประชาชนจัดการระบบประชาธิปไตยเองสิ,วังทำไม่ได้เพราะกฎหมายเขียนไว้,วังยึดอำนาจเองได้มั้ยล่ะ ก็ไม่ได้,ทหารเป็นอะไรจึวมีสิทธิ์เหนือกว่าประชาชน ทหารก็เกณฑ์ประชาชนไปเป็น,น้ำท่วมทหารประชาชนลงไประงับเหตุก็ถูกต้องแล้ว,แต่ไม่สุดคือยังขลาดกลัวฝรั่งต่างชาติไม่โมฆะทรัพยากรมีค่ามากมายที่พวกมันปล้นแผ่นดินไทยผ่านกฎหมายลูกต่างๆบนแผ่นดินไทยไปและด้วยบริบทการฉีกกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ตนยึดอำนาจสิ้นแล้ว ต้องเสมือนกฎหมายลูกทั่วราชอาณาใหม่นี้ ของเก่าต้องโมฆะทั้งหมดในทันที,ไม่อนุญาตให้ใช้ต่อได้ทันทีเพราะจบอัตโนมัติสิ้นสภาพไปทันทีแล้วเมื่อฉีกรัฐธรรมนูณนั้นสำเร็จ อิสระสัมปทานจึงสมควรคืนสู่สามัญทั้งหมดแก่แผ่นดินไทยด้วยแต่ทหารที่ยึดอำนาจขี้ขลาด กาก&กระจอกสิ้นดี,สมควรพันธมิตรภาคมหาประชาชนกระทำเองผ่านสายตาชาวโลกอย่างชอบธรรมแทนเลย&เปิดเผยด้วย,โปร่งใส ชัดเจนด้วย.,เราจะได้อธิปไตยแผ่นดินไทย&อิสระเสรีกลับคืนมาอย่างเปิดเผยทันที,ใครก็แทรกแซงไม่ได้ UNเขามาจะน่าเกียจทันที ไม่สวยงามด้วย ไม่ได้ค่าให้ค่าต่อสายตาชาวโลกด้วยเพราะประชาชนกระทำการอย่างชอบธรรมนั้นเอง,ถ้าคนทั้งโลกยังเหมือนควายเหมือนวัว ย่อมาไทยก็ด้วย เสือชั่วร้ายเพียวตัวเดียวหรือสองตัวกำลังจะฆ่าจะกัดกินควายกัดกินวัว แต่ฝูงควายฝูงวัวทั้งฝูงมีเป็นอันมากกว่า7,000-8,000ล้านตัวหรือไทยกว่า70ล้านคน ยืนมองเฉยๆแบบโง่ๆ &โง่เขลา เขลาสิ้นดียืนมองใกล้&เฉยอย่างเหี้ยๆอย่างบัดสบอย่างไรสมองคิดอ่านกระทำร่วมกัน อาทิ เหยียบมันร่วมกันทันทีขณะนั้นที่กำลังคาบกัดเพื่อนๆเราอยู่ให้ทั้งตัวมันอักเสบ แข้งขาหักไส้แตกหากไม่ปล่อยก็สามารถทำได้แต่เสือกพากันไม่ทำยืนเหี้ยดูตาบัดสบทำเฉย ก็สมควรตายทั้งฝูงหรือทั่วโลกจริงๆ ปล่อยให้เสือร้ายออกลีลาฆ่าอย่างหน่ำใจสบายอยู่แบบนัันล่ะ อาทิ ฉีดวัคซีนให้คนทั้งโลกฉีดแล้วฉีดอีก ปล่อยข่าวเลวชั่วระยำๆปลอมๆ ปลอมแล้วปลอมอีก ปล่อยให้มันหามุกสาระพัดมาฆ่ามากัดสร้างลีลาฆ่าลีลากัดอย่างสบายใจต่อหน้าต่อตาคนทั้งฝูงทั่วไทย&ทั่วโลก,ถึงเวลาแล้วที่จะกระทืบเสือเลวระยำนี้ไม่กี่ตระกูลทั่วโลกให้สิ้นซากไป,เลิกเป็นควายเป็นวัวเป็นแกะเป็นแพะเถอะ พญาอินทรีย์ พญามหาเทพปราบมารเราสามารถเป็นร่วมกันทุกๆคนทั่วไทย&ทั่วโลกได้ ถึงเวลาเข้าทำลายล้างพวกเลวชั่วนี้ได้แล้ว ร่วมกันทั่วโลก เพราะ "เราคือประชาชน" ชาวโลกมนุษย์ร่วมกันทุกๆคน เริ่มบริบทปฐมบทในไทยก่อนก็ได้ ดังแบบหมูเด้งเลย.,เอาตระกูลชั่วรอธไชล์ด&ร็อกกี้เฟลเลอร์ดังๆทั่วโลกเลย แฉความชั่วเลวทุกๆบริบทให้ดังๆ คนก็จะมาเห็นชัดเจนแจ้งในความดังทางชั่วๆเลวๆทั่วโลกครบรสชาติทุกๆมิติมุมมอง,สแกนหาในอนาคตเพื่อทำลายและกำจัดร่วมกันกับคนทั้งโลกคงหลุดสายตาชาวโลกเรายากมากๆแล้ว ลงใต้อุโมงค์มุดดินก็คงไม่รอด ทะลุกายมิติสี่ก็ไม่รอดเพราะพวกเรามีทุกๆมิติไล่ล่าได้หมดก็ว่า,คนเก่งๆฝ่ายดีมีกันทั่วโลกแน่นอน,ชัยชนะคงไม่ยาก,จัดการที่ไทยก่อนเลย ไม่เริ่มก้าวแรก ก้าวที่สองคงไม่มี,แฉมันให้ดังๆเลย คนจะมาร่วมดูร่วมหน้างานแบบดังเหมือนหมูเด้งทั่วโลกเลย,คนจะได้รู้และร่วมกันทำลายได้ง่ายขึ้นเพราะคือภัยพิบัติของโลกตัวพ่อนั้นเอง&ร่วมทั้งสุดชั่วมาก่อการในไทยด้วยแบบเนียนๆเงียบๆหลังฉากมาแสนนาน.
    ..น่าสนใจมากหากพันธมิตรเสื้อแผ่นดินไทย,ออกมาพลิกประเทศ ยึดอำนาจโดยภาคมหาชนจริงจัง ทำให้จบและสุดซอยของจริงในยุคนี้,บวกขึ้นเวทีประกาศก้องทั่วทั้งเวทีกลางแจ้ง"ภาคมหาประชาชนคนกู้แผ่นดิน" บอกความจริงเรื่องวัคซีนบนเวทีสะท้อนความจริงยิงข้อมูลตรงไปทั่วทั้งประเทศปลุกตื่นรู้จริง&เข้าใจความจริงทั่วประเทศไทยจริง,ถ้าทำได้นะเจริญแน่นอน ทั้งเชิญคนไทย&กูรูไทยมากมายขึ้นเวที แฉตระกูลรอธไชล์ดและตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ที่ต้องการปกครองคนทั้งโลกอย่างเบ็ดเสร็จด้วยและผลงานชั่วร้ายต่างๆที่ทำต่อคนทั้งโลกในอดีตถึงปัจจุบัน ออกมาแฉครบสูตรกันเลย เด้งแบบหมูเด้งกระจายทั่วโลกเรียลไทม์สแกนหา&ร่วมกันกำจัดพวกนี้ ภัยของโลกโดยชาวโลกเราทุกๆคนขึ้นไปไล่ล่ากำจัดมันอย่างจริงจังร่วมกันเพื่อตัดตอนและมิให้พวกมันลุแก่ใจ&ได้ใจเกินชั่วต่อไปสู่ยุคหน้า&ยุคต่อไป มิให้มีซากพวกนี้เด็ดขาดแบบไปต่อไม่ได้เลย,เราคนไทยและทั่วทั้งโลกจะร่วมกันจัดการต้นเหตุต้นตอของตัวปัญหาชัดเจนทันที&ร่วมกันเกาถูกที่ถูกทาง&ถูกที่คันด้วย,โลกจะสงบสุขทันทีที่ตระกูลพวกนี้ดับอนาถไป,เพราะพวกนี้ทั้งสิ้นที่ก่อกวนโกลาหลทั้งโลกจนวุ่นวายถึงปัจจุบัน ค้าอาวุธ&ทำกำไรจากสงครามที่ยุยงปลุก&ปั่นสงครามทุกๆรูปแบบ& ค้าความตายจากวัคซีนจากการค้าขายสาระพัดวัคซีนและออปชั่นต่างๆเพรียบทัังแบบตายเด็ดขาดและตายผ่อนส่งต่างค้ากำไร&ดูดตังเหยื่อชาวโลกได้ทุกๆสไตล์เลยทีเดียว. ..พันธมิตรออกมาจริง จะมีโอกาสพลิกโลกได้ หากเราไม่ขับเคลื่อนเอง ใครจะขับเคลื่อน ทหารยึดอำนาจก็ตกประโยชน์ในหมู่นายทุนทุกๆสมัยแบบอดีตที่ผ่านๆมา ยึดอำนาจโดยทหารเผลอๆยึดเพื่อปกป้องผลประโยชน์ชนชั้นอีลิทซาตานเท่านั้น เสมือนทหารในอดีตคือขี้ข้า&ทาส&บ๋อย&ส้นตีนสมุนรับใช้อีลิทซาตานเท่านั้น ดูสิในอดีต มีปัญญาคิดอ่านแค่จะฉีกแต่รัฐธรรมนูญ ไม่มีหัว ไม่มีปัญญาฉีกกฎหมายสัมปทานต่างๆเลย เพราะโดยหลักความจริง บ้านใดถูกยึด ทัังบ้านทั้งที่ดิน และทุกๆอย่างในบ้านนั้นๆจะเป็นเอกสิทธิผู้เดียวของคนไปยึดบ้านยึดที่ดินยึดอำนาจบ้านนั้นแล้ว เงื่อนไข&กฎกติกาใดๆในบ้านหลังนั้นที่มีอยู่ก่อนแล้วเป็นอันตกไปทัังหมดหรือโมฆะสิ้นซากทั้งหมด,เขาจะตั้งกฎกติกาใหม่ใดๆย่อมเป็นอำนาจเขาคนยึดอำนาจทั้งสิ้น,แล้วทหารในอดีตทำห่าที่ว่ามั้ย ยึดบ่อน้ำมันคืนมาเป็นอธิปไตยความมั่นคงทางพลังงานขั้นพื้นฐานของประเทศแบบคืนสู่สามัญมั้ย ,ก็ไม่ทำ ทหารมีไว้ทำรัฐประหารยึดอำนาจใช่หรือไม่,ภาคมหาประชาชนไม่มีสิทธิเอาอำนาจตนเองคืนมาหรือไง,ทำยึดอำนาจเองไม่เป็นหรือไง,ทหารต้องปกป้องอธิปไตยคนไทยแผ่นดินไทยระหว่างประชาชนจัดการระบบประชาธิปไตยเองสิ,วังทำไม่ได้เพราะกฎหมายเขียนไว้,วังยึดอำนาจเองได้มั้ยล่ะ ก็ไม่ได้,ทหารเป็นอะไรจึวมีสิทธิ์เหนือกว่าประชาชน ทหารก็เกณฑ์ประชาชนไปเป็น,น้ำท่วมทหารประชาชนลงไประงับเหตุก็ถูกต้องแล้ว,แต่ไม่สุดคือยังขลาดกลัวฝรั่งต่างชาติไม่โมฆะทรัพยากรมีค่ามากมายที่พวกมันปล้นแผ่นดินไทยผ่านกฎหมายลูกต่างๆบนแผ่นดินไทยไปและด้วยบริบทการฉีกกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ตนยึดอำนาจสิ้นแล้ว ต้องเสมือนกฎหมายลูกทั่วราชอาณาใหม่นี้ ของเก่าต้องโมฆะทั้งหมดในทันที,ไม่อนุญาตให้ใช้ต่อได้ทันทีเพราะจบอัตโนมัติสิ้นสภาพไปทันทีแล้วเมื่อฉีกรัฐธรรมนูณนั้นสำเร็จ อิสระสัมปทานจึงสมควรคืนสู่สามัญทั้งหมดแก่แผ่นดินไทยด้วยแต่ทหารที่ยึดอำนาจขี้ขลาด กาก&กระจอกสิ้นดี,สมควรพันธมิตรภาคมหาประชาชนกระทำเองผ่านสายตาชาวโลกอย่างชอบธรรมแทนเลย&เปิดเผยด้วย,โปร่งใส ชัดเจนด้วย.,เราจะได้อธิปไตยแผ่นดินไทย&อิสระเสรีกลับคืนมาอย่างเปิดเผยทันที,ใครก็แทรกแซงไม่ได้ UNเขามาจะน่าเกียจทันที ไม่สวยงามด้วย ไม่ได้ค่าให้ค่าต่อสายตาชาวโลกด้วยเพราะประชาชนกระทำการอย่างชอบธรรมนั้นเอง,ถ้าคนทั้งโลกยังเหมือนควายเหมือนวัว ย่อมาไทยก็ด้วย เสือชั่วร้ายเพียวตัวเดียวหรือสองตัวกำลังจะฆ่าจะกัดกินควายกัดกินวัว แต่ฝูงควายฝูงวัวทั้งฝูงมีเป็นอันมากกว่า7,000-8,000ล้านตัวหรือไทยกว่า70ล้านคน ยืนมองเฉยๆแบบโง่ๆ &โง่เขลา เขลาสิ้นดียืนมองใกล้&เฉยอย่างเหี้ยๆอย่างบัดสบอย่างไรสมองคิดอ่านกระทำร่วมกัน อาทิ เหยียบมันร่วมกันทันทีขณะนั้นที่กำลังคาบกัดเพื่อนๆเราอยู่ให้ทั้งตัวมันอักเสบ แข้งขาหักไส้แตกหากไม่ปล่อยก็สามารถทำได้แต่เสือกพากันไม่ทำยืนเหี้ยดูตาบัดสบทำเฉย ก็สมควรตายทั้งฝูงหรือทั่วโลกจริงๆ ปล่อยให้เสือร้ายออกลีลาฆ่าอย่างหน่ำใจสบายอยู่แบบนัันล่ะ อาทิ ฉีดวัคซีนให้คนทั้งโลกฉีดแล้วฉีดอีก ปล่อยข่าวเลวชั่วระยำๆปลอมๆ ปลอมแล้วปลอมอีก ปล่อยให้มันหามุกสาระพัดมาฆ่ามากัดสร้างลีลาฆ่าลีลากัดอย่างสบายใจต่อหน้าต่อตาคนทั้งฝูงทั่วไทย&ทั่วโลก,ถึงเวลาแล้วที่จะกระทืบเสือเลวระยำนี้ไม่กี่ตระกูลทั่วโลกให้สิ้นซากไป,เลิกเป็นควายเป็นวัวเป็นแกะเป็นแพะเถอะ พญาอินทรีย์ พญามหาเทพปราบมารเราสามารถเป็นร่วมกันทุกๆคนทั่วไทย&ทั่วโลกได้ ถึงเวลาเข้าทำลายล้างพวกเลวชั่วนี้ได้แล้ว ร่วมกันทั่วโลก เพราะ "เราคือประชาชน" ชาวโลกมนุษย์ร่วมกันทุกๆคน เริ่มบริบทปฐมบทในไทยก่อนก็ได้ ดังแบบหมูเด้งเลย.,เอาตระกูลชั่วรอธไชล์ด&ร็อกกี้เฟลเลอร์ดังๆทั่วโลกเลย แฉความชั่วเลวทุกๆบริบทให้ดังๆ คนก็จะมาเห็นชัดเจนแจ้งในความดังทางชั่วๆเลวๆทั่วโลกครบรสชาติทุกๆมิติมุมมอง,สแกนหาในอนาคตเพื่อทำลายและกำจัดร่วมกันกับคนทั้งโลกคงหลุดสายตาชาวโลกเรายากมากๆแล้ว ลงใต้อุโมงค์มุดดินก็คงไม่รอด ทะลุกายมิติสี่ก็ไม่รอดเพราะพวกเรามีทุกๆมิติไล่ล่าได้หมดก็ว่า,คนเก่งๆฝ่ายดีมีกันทั่วโลกแน่นอน,ชัยชนะคงไม่ยาก,จัดการที่ไทยก่อนเลย ไม่เริ่มก้าวแรก ก้าวที่สองคงไม่มี,แฉมันให้ดังๆเลย คนจะมาร่วมดูร่วมหน้างานแบบดังเหมือนหมูเด้งทั่วโลกเลย,คนจะได้รู้และร่วมกันทำลายได้ง่ายขึ้นเพราะคือภัยพิบัติของโลกตัวพ่อนั้นเอง&ร่วมทั้งสุดชั่วมาก่อการในไทยด้วยแบบเนียนๆเงียบๆหลังฉากมาแสนนาน.
    0 Comments 0 Shares 119 Views 261 0 Reviews
  • วิพากษ์หนังสือ “ในนามความมั่นคงภายในฯ” (1)

    หลังจากได้อ่านหนังสือ ในนามความมั่นคงภายในฯ ซึ่งเขียนโดยอาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์ แล้ว ขออนุญาตใช้เสรีภาพทางวิชาการ วิพากษ์หนังสือเล่มนี้นะครับ

    ประเด็นแรกต้องกล่าวถึงคือ แนวคิดและทฤษฎีที่นำมาใช้ในงานวิจัย จากที่อ่านนั้น อาจารย์พวงทองไม่ได้กล่าวถึงแนวคิดทฤษฎีใดเป็นรายทฤษฎีโดยเฉพาะ ต้องแกะจากเนื้อหา ส่วนที่อาจารย์พวงทองได้กล่าวถึงในการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ นั้นได้เอ่ยถึงเพียงแค่ทฤษฎี Civil Control ในสังคมประชาธิปไตยเท่านั้น [1]

    จากที่แกะจากเนื้อหาจะเห็นร่องรอยแนวคิดหลักสำคัญแนวคิดแรก คือ แนวคิดเรื่องชุมชนจินตกรรมของเบเนดิกซ์ แอนเดอร์สัน ซึ่งส่งต่ออิทธิพลแนวคิดให้กับปัญญาชนไทยอย่าง นิธิ เอียวศรีวงศ์, ธงชัย วินิจจะกูล รวมถึง เกษียรเตชะพีระ จนก่อเกิดเป็นงานเขียนซึ่งเกษียรได้ระบุว่าประยุกต์ต่อยอดและพัฒนาแนวคิดชุมชนจินตกรรมหลายเล่ม[2] เล่มที่น่าสนใจคืองาน Siam Mapped : A History of the Geo-Body of a Nation ของธงชัย วินิจจะกูล ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยโดย อ.พวงทอง และคณะ

    แนวความคิดชุมชนจินตกรรม คือ “ความเป็นชาติ และชาตินิยมนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์เฉพาะทางวัตนธรรมอย่างหนึ่ง”[3] ซึ่งนักวิชาการไทยนำมาต่อยอดว่ากระบวนการสร้างชาตินั้นใช้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการสร้างชาติ

    ร่องรอยเหล่านี้ปรากฎอยู่ในวลี อุดมการณ์ราชาชาตินิยม ซึ่งปรากฎอยู่หลายต่อหลายครั้งในหนังสือ รวมทั้งประโยคที่ว่า “แม้ว่าชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมจะเชื่อมั่นในวิธีการครอบงำเชิงอุดมการณ์ที่พวกเขาดำเนินมาเกินศตวรรษ”[4]

    ธงชัยได้เขียนไว้ในหนังสือออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทยว่า “...ประวัติศาตร์แบบราชาชาตินิยมที่แพร่หลายครอบงำสังคมไทย หรือเป็น ขนบ (Convention) ของความรู้ประวัติศาสตร์ของไทยในยุคปัจจุบัน มิใช่การไต่สวนค้นคว้าเพื่ออธิบายอดีตหรือปัจจุบันอย่างรอบคอบ แต่เป็นประวัติศาสตร์เพื่อปลูกฝังความเชื่อและศรัทธาชุดหนึ่งที่ไม่พึงสงสัย และตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีก [5]

    ร่องรอยอิทธิพลแนวคิดชุมชนจินตกรรมอีกประการคือ จากหนังสือชาติไทย, เมืองไทย,แบบเรียน และอนุสาวรีย์ มีประเด็นหนึ่งที่ใกล้เคียงกับแนวคิดของหนังสือ อ.พวงทองก็คือ นิธิ ได้กล่าวไว้ว่า “ชนชั้นนำทางอำนาจมีความชอบธรรมจะดำรงฐานะนั้นอยู่ได้ก็เพื่อปกป้องชาติจากศัตรู เมื่อใดที่หาศัตรูให้แก่ชาติไม่ได้ ชนชั้นนำก็หาเหตุผลที่จะดำรงสถานะนั้นไว้ได้ยากขึ้น”[6]

    ส่วน อ.พวงทอง นั้นได้กล่าวว่า “ไม่ใช่การป้องกันภัยคุกคามจากภายนอกประเทศหรอก แต่คือภารกิจการป้องกันความมั่นคงภายในประเทศต่างหากที่เป็นสารัตถะ เป็นเหตุผลของการดำรงอยู่ (raison d'être) ของกองทัพไทย” [7]

    จากอิทธิพลแนวคิดของ นิธิ ได้ทำให้ อ.พวงทองได้สรุปในตอนท้ายว่า “กอ.รมน. ถูกสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับภัยคอมมิวนิสต์ เพื่อ พคท.พ่ายแพ้ลงแล้ว กอ.รมน. ก็ควรถูกยกเลิกไปด้วย แต่กองทัพและชนชั้นนำจารีตกลับช่วยกันสร้างสภาวะยกเว้นใหม่ๆขึ้นมา สร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา และผลักดันกฏหมายฉบับใหม่ที่ให้อำนาจกับ กอ.รมน.มากขึ้น”[8]

    ทฤษฎีที่สองที่พบจากหนังสือเล่มนี้ คือ ทฤษฎีวิพากษ์ (Critical Theory) ซึ่งธงชัย วินิจจะกูลได้เขียนไว้ว่า เขาได้รับอิทธิพลของทฤษฎีวิพากษ์ยุคหลังมาร์กซ์ (post-Marxist critical theories) ซึ่งเป็นกลุ่มความคิดที่ท้าทายขนบที่สุด และตนมีประสบการณ์กับความโหดร้ายของประวัติศาตร์ตามขนบราชาชาตินิยม จึงตั้งความปราถนาที่จะรื้อสร้างประวัติศาสตร์ไทยกันใหม่ [9]

    งานที่ธงชัยพยายามท้าทายรื้อประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมแบ่งเป็น 3 ประเภท อย่างแรกได้แก่ หนังสือ Siam Mapped อย่างที่สองรวมอยู่ในหนังสือ “โฉมหน้าราชาชาตินิยม” และอย่างที่สาม คือบทความที่แนะนำวิธีวิทยาและแนวคิดต่างๆที่ท้าทายประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม [10]

    จำกันได้มั้ยครับใครคือผู้แปลหนังสือเรื่อง Siam Mapped จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมจึงมีคำว่า “ราชาชาตินิยม” ปรากฎอยู่หลายที่ในหนังสือในนามความมั่นคงฯ

    แต่ในฐานะที่งานเรื่องนี้ เป็นงานวิจัยด้านความมั่นคง เราคงไม่สามารถมองโลกด้วยแว่นชุมชนจินตกรรมและทฤษฎีวิพากษ์เท่านั้นครับ

    ทฤษฎี หรือ แนวคิดที่ควรศึกษาแต่ว่าขาดหายไป มีอยู่หลายแนวคิด เช่น

    แนวคิดความมั่นคงแบบองค์รวม (Comprehensive Security) เป็นแนวคิดที่ขยายขอบเขตมุมมองด้านความมั่นคงให้ครอบคลุมมากกว่ามิติทางการทหาร แต่ยังรวมถึงมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการเมือง [11]

    โดย Richard H. Ullman (1983) ในปี 1983 เป็นคนแรก ๆ ที่กล่าวถึงการขยายขอบเขตของความท้าทายด้านความมั่นคงออกไปจากภัยคุกคามทางทหาร ในบทความวิชาการที่ชื่อว่า “Redefining Security” [12]

    แนวคิดนี้แทบจะเป็นแนวคิดหลักในสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ดูจากวารสารมุมมองด้านความมั่นคง[13] จะพบแนวคิด Comprehensive Security เยอะมาก

    หาก อ.พวงทองศึกษาเรื่องนี้สักนิดคงไม่สรุปว่า กองทัพและชนชั้นนำจารีตช่วยกันสร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา เพราะแนวคิดภัยคุกคามที่ว่านี้ Richard H. Ullman เป็นคนแรกๆที่นำเสนอครับ

    นอกจากนั้นแล้วงานวิจัยชิ้นนี้ยังไม่กล่าวถึงผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเช่นการแข่งขันกันของจีนกับสหรัฐฯที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายใน ซึ่งมีแนวคิดที่สำคัญเช่น ความโกลาหลที่ควบคุมได้ (Controlled Chaos) ซึ่งถูกพัฒนาโดยหน่วยงานวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ เช่น RAND Corporation ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความไม่เสถียรหรือความวุ่นวายในระบบสังคมและการเมืองของประเทศเป้าหมาย แต่ยังคงมีการควบคุมผลลัพธ์เพื่อให้เกิดประโยชน์ตามที่ต้องการ ซึ่งการเข้าไปแทรกแซงประกอบด้วย การสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคม (NGOs) สื่อมวลชนที่เป็นอิสระ และการให้ทุนวิจัยในสาขาสังคมศาสตร์ ซึ่งการให้ทุนนี้มักมุ่งสร้างเนื้อหาที่เป็นเชิงลบต่อรัฐบาล ซึ่งสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นในห้วงการปฏิวัติสี และที่รัสเซีย [14]

    อีกทั้งการปฏิบัติการในพื้นที่สีเทาของสหรัฐฯ ก็ยืนยันแนวคิดนี้ เนื่องจากหน่วยรบพิเศษของสหรัฐฯมีภารกิจในการค้ำยันบัลลังก์ของผู้นำประเทศที่คล้อยตามนโยบายสหรัฐฯ แต่จะโค่นบัลลังก์ของผู้นำประเทศที่ไม่สนับสนุนนโยบาย ซึ่งจากเดิมนั้นจะสนับสนุนกองโจรเป็นหลักในการเคลื่อนไหวล้มล้าง แต่หลังจากการปฏิวัติบูลโดเซอร์ สหรัฐฯได้หันมาสนับสนุนขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแทน เนื่องจากได้ผลและเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศมากกว่า[15]

    หากศึกษาแนวคิดเหล่านี้จะเห็นภาพของการแทรกแซงจากต่างชาติเพื่อเข้ามาบ่อนทำลายความมั่นคงภายในของประเทศ การตีความข้อมูลเท่าที่มีแล้วสรุปผลว่า กองทัพและชนชั้นนำจารีตช่วยกันสร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา นั้นย่อมเป็นการตีความที่ไม่ได้สำรวจจากมุมมองที่หลากหลาย แต่เป็นการตีความจากมุมมองชุมชนจินตกรรมและทฤษฎีวิพากษ์เท่านั้น

    การตีความข้อมูลนั้นเป็นเสรีของนักวิจัยก็จริง แต่ก่อนจะตีความ นักวิจัยควรสำรวจข้อมูลที่มี ว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย ครบถ้วนรอบด้านแล้วหรือยัง

    งานวิจัยชิ้นนี้ที่เสนอยุบกอ.รมน.โดยไม่ได้ศึกษาทฤษฎีความมั่นคงอย่างรอบด้าน ก็คล้ายกับคนที่เสนอให้เลิกดื่มกาแฟ โดยฉายภาพให้เห็นเฉพาะข้อเสียของกาแฟ แต่ไม่กล่าวถึงข้อดี

    งานชิ้นนี้จึงไม่ต่างไปจากการผลิตซ้ำอุดมการณ์ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ กับ ธงชัย วินิจจะกูลสักเท่าไหร่

    ยังมีอีกหลายประเด็นเอาไว้ว่ากันต่อในโพสหน้าครับ

    ---

    อ้างอิง

    [1] พวงทอง ภวัครพันธุ์ VS กอ.รมน. เผชิญหน้า ถกปมหนังสือ ในนามของความมั่นคงภายใน, Matichon TV, (นาทีที่ 17:50), https://youtu.be/W2fQ0NrKoqA?si=SgJpjHhEliaNz8vH (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [2] เกษียร เตชะพีระ, จินตนากรรมที่แปลกแยกจากชุมชน (2), มติชนสุดสัปดาห์, 14 ธันวาคม 2566, https://www.matichonweekly.com/column/article_730383 (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [3] Benedict Anderson, Imagined Communities, London, Verso, 1983, หน้า 13. อ้างถึงใน นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียน และอนุสาวรีย์, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2564), หน้า 40.

    [4] พวงทอง ภวัครพันธุ์, ในนามความมั่นคงภายใน: การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2567), หน้า 199.

    [5] ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562), หน้า 5.

    [6] นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียน และอนุสาวรีย์, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2564), หน้า 149.

    [7] พวงทอง ภวัครพันธุ์, ในนามความมั่นคงภายใน: การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย, หน้า 14.

    [8] เรื่องเดียวกัน, หน้า 220.

    [9] ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย, หน้า 8.

    [10] เรื่องเดียวกัน, หน้า 10.

    [11] ดวงมน สุขสมาน, "แนวทางการสร้างความมั่นคงของไทยต่อกลุ่มประเทศ CLMV," วารสารมุมมองความมั่นคง, ฉบับที่ 14 (ตุลาคม 2566-มกราคม 2567), หน้า 30, https://www.nsc.go.th/wp-content/uploads/Journal/article-01403.pdf (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [12] จารุพล เรืองสุวรรณ, ทบทวนแนวโน้มสถานการณ์ความมั่นคงของโลก สิ่งที่ไทยควรตระหนักและเตรียมการรับมือ, สถาบันวิจัยดิเรก ชัยนาม, 2 มิถุนายน 2564, http://www.polsci.tu.ac.th/direk/view.aspx?id=505&Keyword=%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%84 (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [13] ศึกษาวารสารมุมมองความมั่นคงได้ที่ https://www.nsc.go.th/ebook-%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%87/ (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [14] A.S. Brychkov and G.A. Nikonorov, "Color Revolutions," Journal of the Academy of Military Science (Russia), แปลโดย Boris Vainer, https://www.armyupress.army.mil/Portals/7/Hot%20Spots/Documents/Russia/Color-Revolutions-Brychkov-Nikonorov.pdf (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [15] Joseph L. Votel, Charles T. Cleveland, Charles T. Connett, and Will Irwin, "Unconventional Warfare in the Gray Zone," Joint Force Quarterly, NDU Press, ฉบับที่ 80, ไตรมาสที่ 1 ปี 2016, หน้า 101-109, https://ndupress.ndu.edu/JFQ/Joint-Force-Quarterly-80/article/643108/unconventional-warfare-in-the-gray-zone/ (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    ---


    ต. ตุลยากร
    วิพากษ์หนังสือ “ในนามความมั่นคงภายในฯ” (1) หลังจากได้อ่านหนังสือ ในนามความมั่นคงภายในฯ ซึ่งเขียนโดยอาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์ แล้ว ขออนุญาตใช้เสรีภาพทางวิชาการ วิพากษ์หนังสือเล่มนี้นะครับ ประเด็นแรกต้องกล่าวถึงคือ แนวคิดและทฤษฎีที่นำมาใช้ในงานวิจัย จากที่อ่านนั้น อาจารย์พวงทองไม่ได้กล่าวถึงแนวคิดทฤษฎีใดเป็นรายทฤษฎีโดยเฉพาะ ต้องแกะจากเนื้อหา ส่วนที่อาจารย์พวงทองได้กล่าวถึงในการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ นั้นได้เอ่ยถึงเพียงแค่ทฤษฎี Civil Control ในสังคมประชาธิปไตยเท่านั้น [1] จากที่แกะจากเนื้อหาจะเห็นร่องรอยแนวคิดหลักสำคัญแนวคิดแรก คือ แนวคิดเรื่องชุมชนจินตกรรมของเบเนดิกซ์ แอนเดอร์สัน ซึ่งส่งต่ออิทธิพลแนวคิดให้กับปัญญาชนไทยอย่าง นิธิ เอียวศรีวงศ์, ธงชัย วินิจจะกูล รวมถึง เกษียรเตชะพีระ จนก่อเกิดเป็นงานเขียนซึ่งเกษียรได้ระบุว่าประยุกต์ต่อยอดและพัฒนาแนวคิดชุมชนจินตกรรมหลายเล่ม[2] เล่มที่น่าสนใจคืองาน Siam Mapped : A History of the Geo-Body of a Nation ของธงชัย วินิจจะกูล ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยโดย อ.พวงทอง และคณะ แนวความคิดชุมชนจินตกรรม คือ “ความเป็นชาติ และชาตินิยมนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์เฉพาะทางวัตนธรรมอย่างหนึ่ง”[3] ซึ่งนักวิชาการไทยนำมาต่อยอดว่ากระบวนการสร้างชาตินั้นใช้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการสร้างชาติ ร่องรอยเหล่านี้ปรากฎอยู่ในวลี อุดมการณ์ราชาชาตินิยม ซึ่งปรากฎอยู่หลายต่อหลายครั้งในหนังสือ รวมทั้งประโยคที่ว่า “แม้ว่าชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมจะเชื่อมั่นในวิธีการครอบงำเชิงอุดมการณ์ที่พวกเขาดำเนินมาเกินศตวรรษ”[4] ธงชัยได้เขียนไว้ในหนังสือออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทยว่า “...ประวัติศาตร์แบบราชาชาตินิยมที่แพร่หลายครอบงำสังคมไทย หรือเป็น ขนบ (Convention) ของความรู้ประวัติศาสตร์ของไทยในยุคปัจจุบัน มิใช่การไต่สวนค้นคว้าเพื่ออธิบายอดีตหรือปัจจุบันอย่างรอบคอบ แต่เป็นประวัติศาสตร์เพื่อปลูกฝังความเชื่อและศรัทธาชุดหนึ่งที่ไม่พึงสงสัย และตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีก [5] ร่องรอยอิทธิพลแนวคิดชุมชนจินตกรรมอีกประการคือ จากหนังสือชาติไทย, เมืองไทย,แบบเรียน และอนุสาวรีย์ มีประเด็นหนึ่งที่ใกล้เคียงกับแนวคิดของหนังสือ อ.พวงทองก็คือ นิธิ ได้กล่าวไว้ว่า “ชนชั้นนำทางอำนาจมีความชอบธรรมจะดำรงฐานะนั้นอยู่ได้ก็เพื่อปกป้องชาติจากศัตรู เมื่อใดที่หาศัตรูให้แก่ชาติไม่ได้ ชนชั้นนำก็หาเหตุผลที่จะดำรงสถานะนั้นไว้ได้ยากขึ้น”[6] ส่วน อ.พวงทอง นั้นได้กล่าวว่า “ไม่ใช่การป้องกันภัยคุกคามจากภายนอกประเทศหรอก แต่คือภารกิจการป้องกันความมั่นคงภายในประเทศต่างหากที่เป็นสารัตถะ เป็นเหตุผลของการดำรงอยู่ (raison d'être) ของกองทัพไทย” [7] จากอิทธิพลแนวคิดของ นิธิ ได้ทำให้ อ.พวงทองได้สรุปในตอนท้ายว่า “กอ.รมน. ถูกสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับภัยคอมมิวนิสต์ เพื่อ พคท.พ่ายแพ้ลงแล้ว กอ.รมน. ก็ควรถูกยกเลิกไปด้วย แต่กองทัพและชนชั้นนำจารีตกลับช่วยกันสร้างสภาวะยกเว้นใหม่ๆขึ้นมา สร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา และผลักดันกฏหมายฉบับใหม่ที่ให้อำนาจกับ กอ.รมน.มากขึ้น”[8] ทฤษฎีที่สองที่พบจากหนังสือเล่มนี้ คือ ทฤษฎีวิพากษ์ (Critical Theory) ซึ่งธงชัย วินิจจะกูลได้เขียนไว้ว่า เขาได้รับอิทธิพลของทฤษฎีวิพากษ์ยุคหลังมาร์กซ์ (post-Marxist critical theories) ซึ่งเป็นกลุ่มความคิดที่ท้าทายขนบที่สุด และตนมีประสบการณ์กับความโหดร้ายของประวัติศาตร์ตามขนบราชาชาตินิยม จึงตั้งความปราถนาที่จะรื้อสร้างประวัติศาสตร์ไทยกันใหม่ [9] งานที่ธงชัยพยายามท้าทายรื้อประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมแบ่งเป็น 3 ประเภท อย่างแรกได้แก่ หนังสือ Siam Mapped อย่างที่สองรวมอยู่ในหนังสือ “โฉมหน้าราชาชาตินิยม” และอย่างที่สาม คือบทความที่แนะนำวิธีวิทยาและแนวคิดต่างๆที่ท้าทายประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม [10] จำกันได้มั้ยครับใครคือผู้แปลหนังสือเรื่อง Siam Mapped จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมจึงมีคำว่า “ราชาชาตินิยม” ปรากฎอยู่หลายที่ในหนังสือในนามความมั่นคงฯ แต่ในฐานะที่งานเรื่องนี้ เป็นงานวิจัยด้านความมั่นคง เราคงไม่สามารถมองโลกด้วยแว่นชุมชนจินตกรรมและทฤษฎีวิพากษ์เท่านั้นครับ ทฤษฎี หรือ แนวคิดที่ควรศึกษาแต่ว่าขาดหายไป มีอยู่หลายแนวคิด เช่น แนวคิดความมั่นคงแบบองค์รวม (Comprehensive Security) เป็นแนวคิดที่ขยายขอบเขตมุมมองด้านความมั่นคงให้ครอบคลุมมากกว่ามิติทางการทหาร แต่ยังรวมถึงมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการเมือง [11] โดย Richard H. Ullman (1983) ในปี 1983 เป็นคนแรก ๆ ที่กล่าวถึงการขยายขอบเขตของความท้าทายด้านความมั่นคงออกไปจากภัยคุกคามทางทหาร ในบทความวิชาการที่ชื่อว่า “Redefining Security” [12] แนวคิดนี้แทบจะเป็นแนวคิดหลักในสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ดูจากวารสารมุมมองด้านความมั่นคง[13] จะพบแนวคิด Comprehensive Security เยอะมาก หาก อ.พวงทองศึกษาเรื่องนี้สักนิดคงไม่สรุปว่า กองทัพและชนชั้นนำจารีตช่วยกันสร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา เพราะแนวคิดภัยคุกคามที่ว่านี้ Richard H. Ullman เป็นคนแรกๆที่นำเสนอครับ นอกจากนั้นแล้วงานวิจัยชิ้นนี้ยังไม่กล่าวถึงผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเช่นการแข่งขันกันของจีนกับสหรัฐฯที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายใน ซึ่งมีแนวคิดที่สำคัญเช่น ความโกลาหลที่ควบคุมได้ (Controlled Chaos) ซึ่งถูกพัฒนาโดยหน่วยงานวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ เช่น RAND Corporation ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความไม่เสถียรหรือความวุ่นวายในระบบสังคมและการเมืองของประเทศเป้าหมาย แต่ยังคงมีการควบคุมผลลัพธ์เพื่อให้เกิดประโยชน์ตามที่ต้องการ ซึ่งการเข้าไปแทรกแซงประกอบด้วย การสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคม (NGOs) สื่อมวลชนที่เป็นอิสระ และการให้ทุนวิจัยในสาขาสังคมศาสตร์ ซึ่งการให้ทุนนี้มักมุ่งสร้างเนื้อหาที่เป็นเชิงลบต่อรัฐบาล ซึ่งสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นในห้วงการปฏิวัติสี และที่รัสเซีย [14] อีกทั้งการปฏิบัติการในพื้นที่สีเทาของสหรัฐฯ ก็ยืนยันแนวคิดนี้ เนื่องจากหน่วยรบพิเศษของสหรัฐฯมีภารกิจในการค้ำยันบัลลังก์ของผู้นำประเทศที่คล้อยตามนโยบายสหรัฐฯ แต่จะโค่นบัลลังก์ของผู้นำประเทศที่ไม่สนับสนุนนโยบาย ซึ่งจากเดิมนั้นจะสนับสนุนกองโจรเป็นหลักในการเคลื่อนไหวล้มล้าง แต่หลังจากการปฏิวัติบูลโดเซอร์ สหรัฐฯได้หันมาสนับสนุนขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแทน เนื่องจากได้ผลและเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศมากกว่า[15] หากศึกษาแนวคิดเหล่านี้จะเห็นภาพของการแทรกแซงจากต่างชาติเพื่อเข้ามาบ่อนทำลายความมั่นคงภายในของประเทศ การตีความข้อมูลเท่าที่มีแล้วสรุปผลว่า กองทัพและชนชั้นนำจารีตช่วยกันสร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา นั้นย่อมเป็นการตีความที่ไม่ได้สำรวจจากมุมมองที่หลากหลาย แต่เป็นการตีความจากมุมมองชุมชนจินตกรรมและทฤษฎีวิพากษ์เท่านั้น การตีความข้อมูลนั้นเป็นเสรีของนักวิจัยก็จริง แต่ก่อนจะตีความ นักวิจัยควรสำรวจข้อมูลที่มี ว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย ครบถ้วนรอบด้านแล้วหรือยัง งานวิจัยชิ้นนี้ที่เสนอยุบกอ.รมน.โดยไม่ได้ศึกษาทฤษฎีความมั่นคงอย่างรอบด้าน ก็คล้ายกับคนที่เสนอให้เลิกดื่มกาแฟ โดยฉายภาพให้เห็นเฉพาะข้อเสียของกาแฟ แต่ไม่กล่าวถึงข้อดี งานชิ้นนี้จึงไม่ต่างไปจากการผลิตซ้ำอุดมการณ์ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ กับ ธงชัย วินิจจะกูลสักเท่าไหร่ ยังมีอีกหลายประเด็นเอาไว้ว่ากันต่อในโพสหน้าครับ --- อ้างอิง [1] พวงทอง ภวัครพันธุ์ VS กอ.รมน. เผชิญหน้า ถกปมหนังสือ ในนามของความมั่นคงภายใน, Matichon TV, (นาทีที่ 17:50), https://youtu.be/W2fQ0NrKoqA?si=SgJpjHhEliaNz8vH (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [2] เกษียร เตชะพีระ, จินตนากรรมที่แปลกแยกจากชุมชน (2), มติชนสุดสัปดาห์, 14 ธันวาคม 2566, https://www.matichonweekly.com/column/article_730383 (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [3] Benedict Anderson, Imagined Communities, London, Verso, 1983, หน้า 13. อ้างถึงใน นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียน และอนุสาวรีย์, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2564), หน้า 40. [4] พวงทอง ภวัครพันธุ์, ในนามความมั่นคงภายใน: การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2567), หน้า 199. [5] ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562), หน้า 5. [6] นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียน และอนุสาวรีย์, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2564), หน้า 149. [7] พวงทอง ภวัครพันธุ์, ในนามความมั่นคงภายใน: การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย, หน้า 14. [8] เรื่องเดียวกัน, หน้า 220. [9] ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย, หน้า 8. [10] เรื่องเดียวกัน, หน้า 10. [11] ดวงมน สุขสมาน, "แนวทางการสร้างความมั่นคงของไทยต่อกลุ่มประเทศ CLMV," วารสารมุมมองความมั่นคง, ฉบับที่ 14 (ตุลาคม 2566-มกราคม 2567), หน้า 30, https://www.nsc.go.th/wp-content/uploads/Journal/article-01403.pdf (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [12] จารุพล เรืองสุวรรณ, ทบทวนแนวโน้มสถานการณ์ความมั่นคงของโลก สิ่งที่ไทยควรตระหนักและเตรียมการรับมือ, สถาบันวิจัยดิเรก ชัยนาม, 2 มิถุนายน 2564, http://www.polsci.tu.ac.th/direk/view.aspx?id=505&Keyword=%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%84 (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [13] ศึกษาวารสารมุมมองความมั่นคงได้ที่ https://www.nsc.go.th/ebook-%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%87/ (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [14] A.S. Brychkov and G.A. Nikonorov, "Color Revolutions," Journal of the Academy of Military Science (Russia), แปลโดย Boris Vainer, https://www.armyupress.army.mil/Portals/7/Hot%20Spots/Documents/Russia/Color-Revolutions-Brychkov-Nikonorov.pdf (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [15] Joseph L. Votel, Charles T. Cleveland, Charles T. Connett, and Will Irwin, "Unconventional Warfare in the Gray Zone," Joint Force Quarterly, NDU Press, ฉบับที่ 80, ไตรมาสที่ 1 ปี 2016, หน้า 101-109, https://ndupress.ndu.edu/JFQ/Joint-Force-Quarterly-80/article/643108/unconventional-warfare-in-the-gray-zone/ (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). --- ต. ตุลยากร
    1 Comments 0 Shares 73 Views 0 Reviews
  • Smith&Wesson Model 629 .44 Magnum

    โดย. พีระพงษ์ กลั่นกรอง

    เมื่อ คลิ้นท์ อี้สต์วู้ด (Clint Eastwood) ในบทของสารวัตรมือปราบ ฮาร์รี่ คาลาแฮน (Harry Callahan) พูดกับคนร้ายในฉากแรกของภาพยนต์เรื่อง “มือปราบปืนโหด” หรือ Dirty Harry ภาพยนต์ซีรี่ส์บู้แอ๊คชั่นที่ยิงกันสนั่นจอเรื่องที่โด่งดังที่สุดในโลกเมื่อ 40 ปีที่แล้ว

    ด้วยทุนสร้าง 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มือปราบปืนโหด(ภาคแรก-ปีค.ศ.1971)ทำรายได้สูงถึง 35 ล้านเหรียญ, ภาคที่สอง คือ Magnum Force (ปี 1973), ภาคที่สาม-The Enforcer (ปี 1976), ภาคที่สี่-Sudden Impact (ปี 1983), และภาคสุดท้าย คือ The Dead Pool (ปี 1988)

    ไม่ว่าภาพยนต์เรื่องนี้จะออกมากี่ภาคก็ตาม ผลตอบรับ ก็คือ ปลุกกระแสความนิยมปืน “สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 สี่สี่แม็กนั่ม” จนตลาดปืนทั่วโลกยอดขายถล่มทลาย แม้ว่าบริษัทผลิตปืนสมิธฯกำลังจะขุดหลุมฝัง(เลิกผลิต)ปืนสั้นกระสุนโหดรุ่นนี้อยู่ก่อนหน้านั้นก็ตาม
    ................

    อเมริกัน ได้ชื่อว่าเก่งในเรื่องการต่อสู้ด้วยอาวุธปืน เรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน นับแต่ครั้งที่ต่อสู้แย่งผืนดินที่ทำกินกับอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ จนกระทั่งถึงสงครามกลางเมือง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง-สอง และสงครามเวียดนาม

    อานุภาพกระสุนปืน(อำนาจหยุดยั้ง, ประหัตประหาร, และทะลุทะลวง)เป็นข้อสำคัญประการแรกสำหรับงานล่า ป้องกันตัว และจู่โจม ความแม่นยำเป็นอันดับที่สองโดยเฉพาะกรณีที่ระยะยิงตั้งแต่ 75 หลา(หรือ 68.6 เมตร)ขึ้นไป หรือในระยะที่ความหนาของใบศูนย์หน้าใหญ่ทับเป้าหรือตัวคน

    ดังที่ทราบกัน โดยหลักการ การเพิ่มอานุภาพกระสุนปืนมากขึ้นได้ก็ต้องอาศัย หนึ่ง-แรงดันในรังเพลิง(Chamber Pressure) ซึ่งจะให้ประโยชน์โดยปริยายในข้อที่สอง-คือ ความเร็วหัวกระสุน(Velocity), สาม-รูปแบบหัวกระสุน(Bullet type), ส่วนข้อที่สี่ คือ ขนาด-น้ำหนักหัวกระสุน(Bore & Weight) นั้น กลายเป็นเรื่องท้ายสุด หากว่าความเร็วกระสุนเกิน 3,000 ฟุตต่อวินาทีขึ้นไป ก็จะเกิดแรงปะทะคลื่นอากาศหรือ Shock Wave ทำให้บาดแผลแหกฉกรรจ์และกระเด็นล้มคว่ำได้ทันใด

    ยกตัวอย่าง กระสุนเอ็ม 16 หรือกระสุนปืนไรเฟิลล่าสัตว์ขนาด .223 หรือ 5.56x45 ม.ม.นาโต้(NATO) หัวกระสุนเล็กเท่ากับกระสุนลูกกรด คือ .22 นิ้วฟุต น้ำหนักหัวกระสุน 55 เกรนมากกว่ากระสุนลูกกรด(40 เกรน)นิดเดียว ความเร็วต้น 3,250 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 1,325 ฟุต-ปอนด์ ฯลฯ เป็นต้น

    “สี่สี่แม็กนั่ม” หรือในชื่อเป็นทางการว่า .44 Remington Magnum เมื่อ 40 ปีที่แล้วเป็นกระสุนปืนสั้นที่อานุภาพเอกอุที่สุดในโลก(The Most Powerful Handgun in the World)

    ประดิษฐ์คิดค้นโดย เอลเม่อร์ คีธ (Elmer Keith) นักเขียนเรื่องปืนและนักผจญภัยกลางแจ้ง(Outdoor Adventurer)ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสหรัฐอเมริกา โดยร่วมกับบริษัทผลิตปืน สมิธแอนด์เวสสัน(Smith&Wesson)และบริษัทปืนและกระสุนยี่ห้อเรมิงตัน(Remington) ผลิตจำหน่ายในปีค.ศ.1955 (ปีพ.ศ.2498) จนปัจจุบัน

    เอลเม่อร์ คีธ นำกระสุนขนาด “สี่สี่-สเปเชี่ยล” หรือ .44 S&W Special (ผลิตในปีค.ศ.1907 แรงดันรังเพลิง 15,500 ปอนด์/ตร.นิ้วฟุต ปลอกกระสุนยาว 1.16 นิ้วฟุต น้ำหนักหัวกระสุน 246 เกรน ความเร็วต้น 755 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 310 ฟุต-ปอนด์) มาทดลองพัฒนาเพิ่มแรงดันในรังเพลิง ซึ่งก็หมายถึงกระสุนความเร็วสูงโดยปริยาย เพื่อให้เป็น “สี่สี่-แม็กนั่ม”

    โดยไม่คิดนำกระสุนหน้าตัดใหญ่ที่โด่งดังในยุคโคบาลตะวันตก(Wild Western) คือ “สี่ห้า-โค้ลท์” หรือ .45 Colt (ผลิตในปีค.ศ.1872 แรงดันรังเพลิง 14,000 ปอนด์/ตร.นิ้วฟุต ปลอกกระสุนยาว 1.285 นิ้วฟุต หัวกระสุนหนัก 250 เกรน ความเร็วต้น 929 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 479 ฟุต-ปอนด์ และแบบ Buffalo Bore หัวกระสุนหนัก 325 เกรน ความเร็วต้น 1,325 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 1,267 ฟุต-ปอนด์) มาพัฒนา

    หลักการง่ายๆ ก็คือ กระสุนหน้าตัดใหญ่(Big Bore), หัวกระสุนหนักอึ้ง(Heavy Bullet), และ กระสุนความเร็วสูง(Higher Velocity) เปรียบง่ายๆว่า ซุงหนึ่งต้นหนัก 500 กิโลกรัมวางไว้เฉยๆข้างถนน รถยนต์ที่พุ่งชนต้นซุงต้นนี้ย่อมเสียหายน้อยกว่าการที่ถูกต้นซุงพุ่งมาด้วยความเร็ว 60 กม./ชม.ชนเข้ากับรถยนต์ที่จอดอยู่เฉยๆ (อ่านและคิดทบทวนอีกครั้งนะครับ)

    วัตถุประสงค์หลักในการประดิษฐ์คิดค้น ก็เพื่อล่าสัตว์เท้ากีบขนาดเขื่อง เช่น กวางเอ้ลค์(Elk) สูงถึงหัวไหล่ 1.50 เมตร หนักประมาณ 250-450 กิโลกรัม จนกระทั่งถึงควายป่าที่เรียกว่า Cape Buffalo ที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แต่น้ำหนักไม่มากเท่ากระทิงในบ้านเรา โดยการยิงจากปืนสั้นลูกโม่ลำกล้องยาว 7-8 นิ้วฟุต

    จึงเป็นจุดกำเนิดปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ๊คชั่น Smith&Wesson Model 29
    สมิธแอนด์เวสสัน “สี่สี่-แม็กนั่ม”

    56 ปีมาแล้วที่ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 ปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ็คชั่น(Double-Action Revolver) กระสุนสี่สี่แม็กนั่มผลิตจำหน่าย อันที่จริงก็ด้วยวัตถุประสงค์ของการล่าสัตว์ด้วยปืนสั้น ซึ่งเป็นความคลาสสิคและใช้ศิลปะการล่ามากกว่าปืนยาว ยิ่งปืนสั้นลูกโม่แม้จะลำกล้องยาว 7-8 นิ้วฟุต หากได้ติดศูนย์กล้องเล็งขยาย 4-8 เท่า ก็ยิ่งทวีความยากลำบากในการเล็งยิงมากขึ้น

    แม้ปืนโมเดลนี้(ซึ่งรวมทั้งกระสุนด้วย)จะขายดิบดีในช่วงต้นๆของการเปิดจำหน่ายก็ตาม แต่แล้วยอดขายก็ตกฮวบตามวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เช่นเดียวกับรถ 4x4 Off-Road เพราะมนุษย์หันมาอนุรักษ์สัตว์ป่าและธรรมชาติ ออกกำลังกายในร่มมากกว่ากีฬากลางแจ้งเช่นก่อน

    จนกระทั่ง ในปีค.ศ.1971 ที่ภาพยนต์บู้แอ๊คชั่นเรื่อง “มือปราบปืนโหด” ออกฉาย ทำให้ปืนและกระสุนสี่สี่แม๊กนั่มกลับขายดีถล่มทลาย เพราะผู้ชายส่วนมากอย่างเก่งกล้าหรือมีอาวุธที่อานุภาพเอกอุเหมือนพระเอก คลิ้นท์ อี้สต์วู้ด นั้น จะเป็นกลยุทธ์การตลาดเช่นเดียวกับที่ภาพยนต์เรื่อง เจมส์ บอนด์ ปลุกกระแสความนิยมรถสปอร์ตอังกฤษยี่ห้อ แอสตัน มาร์ติน(Aston Martin) เป็นเหตุผลอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า อันนี้ไม่แน่ใจ

    สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29
    -ปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ๊คชั่นบรรจุกระสุน 6 นัด โครงปืนใหญ่(S&W N-Frame)
    -ลูกโม่หมุนทวนเข็มนาฬิกา(Anti-Clockwise)
    -กระสุนปืนสั้นลูกโม่ชนวนกลาง(Revolver/Center-Fire Cartridge)ขนาด .44 Remington Magnum
    -ตัวปืนเสนอตลาดด้วย 7 ขนาดความยาวลำกล้อง ได้แก่ 3, 4, 5, 6, 6 ½ , 8 3/8 และหลังสุด 10 5/8 นิ้วฟุต
    -เฉพาะลำกล้อง 5 นิ้วฟุตเท่านั้นที่ฟักก้านกระทุ้งปลอกกระสุนยาวเต็มความยาวลำกล้องหรือ Full Barrel Length Underlug

    โมเดล 29 เสนออยู่ 2 แบบ ได้แก่ แบบรมดำผิวหนา(Highly Polished Blued Finish) กับแบบนิเกิ้ลโครเมี่ยม(Nickle-Plated Surface)

    ในปีค.ศ.1960 โมเดล 29-1 ผลิตสู่ตลาดภายใต้การปรับปรุงด้านเทคนิคเล็กน้อย อาทิ สกรูยึดก้านกระทุ้งปลอกกระสุน(Ejector Rod Screw) ให้หลังหนึ่งปี โมเดล 29-2 ก็ปรากฏสู่ตลาดโดยเพิ่มสกรูตัวขันยึดความแน่นหนาให้กับสปริงสลักล็อคลูกโม่(Cylinder Stop Spring) ในปีค.ศ. 1979 หั่นลำกล้องจาก 6 ½ เหลือแค่ 6 นิ้วฟุต

    ทั้งโมเดล 29-1 และ 29-2 เพิ่มเทคนิคพิเศษอีกนิดนึง คือ ตัวลำกล้องขันเกลียวยึดแน่นกับโครงปืนพร้อมหมุดตอกย้ำ ส่วนตัวลูกโม่เซาะร่องฝังจานคัดปลอกกระสุนให้เรียบหน้าโม่ เรียกเทคนิคนี้ว่า Pinned & Recessed Model

    ปีค.ศ.1967-1971 บริษัทสนับสนุนทางยุทโธปกรณ์สหรัฐอเมริกา ชื่อ AAI Corporation (Aircraft Armaments, Inc.) สั่งผลิตปืนสมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 จำนวนหนึ่ง

    ลำกล้องสั้นแค่ 1.375 นิ้วฟุต ใช้ยิงกับกระสุน .40 หรือว่า 10 มอมอ และกระสุนลูกซองขนาด .410 เพื่อใช้ในปฏิบัติการพิเศษที่เรียกว่า QAPR (Quiet Special Purpose Revolver) เพื่อให้ทหารอเมริกันบุกเข้าจู่โจมและตรวจค้น “ถ้ำรูหนู” หรือ Tunnel Rats ที่ทหารเวียดนามอาศัยเป็นช่องทางหลบหนีหลบซ่อน

    ในปีค.ศ. 1982 โมเดล 29-3 ยกเลิกเทคนิคพิเศษดังกล่าวเพิ่มลดต้นทุนและระยะเวลาในการผลิต โดยหันมาใช้เทคนิค Crush-Fit Barrel หรือคล้ายๆกับ โคนลำกล้องตีปลอกฟิตแน่นกับโครงปืน ซึ่งได้ผลเท่าเทียมกันแต่ประหยัดต้นทุนและเวลาผลิตมากกว่า

    ในปีค.ศ.1988 (โมเดล 29-4) และปี 1990 (โมเดล 29-5) เสริมแรงให้กับชิ้นส่วนและโครงสร้างตัวปืนเพื่อให้ใช้งานได้อย่างสมบุกสมบันมากขึ้น โดยเฉพาะทนแรงดันรังเพลิงและแรงสะบัดสะท้อนจากกระสุนแรงสูงสมัยใหม่ ปีค.ศ.1994 โมเดล 29-6 ผลิตจำหน่ายพร้อมกับด้ามยาง Monogrip กระชับมือยี่ห้อ ฮ้อว์ก(Hogue) สันบนโครงปืนมีรูไว้สำหรับขันสกรูติดตั้งศูนย์กล้องล่าสัตว์

    ในปีค.ศ.1998 โมเดล 29-7 ออกตลาดภายใต้การปรับปรุงชิ้นส่วนลั่นไก เช่น เข็มแทงชนวน, นกปืน, ไกปืน, ฯลฯ ล้วนผลิตจากกรรมวิธีฉีดโลหะขึ้นรูป(Metal Injection Molding Process) เพื่อป้องกันปัญหาแตกหักขณะใช้งานหนัก

    สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 ถูกยกเลิกการผลิตไปอย่างถาวรในปีค.ศ.1999 ด้วยเหตุผลของอายุสินค้า(Model Life)ในเชิงการตลาด ปัจจุบัน ทั้งตลาดนอกและตลาดไทย นักเล่นปืนต่างมองหาสี่สี่แม็กนั่มรุ่นนี้ไว้สะสม เพราะตัวปืนมีความสวยงามมากกว่าปืนรุ่นใหม่ของสมิธฯ

    โดยเฉพาะ โมเดล 29 ในรุ่นฉลองครบรอบ 50 ปี (50th Anniversary Model 29) ที่ผลิตขึ้นจำกัดจำนวนเมื่อวันที่ 26 มกราคมปี 2006 ลักษณะพิเศษ ได้แก่ ลูกโม่กลมกลึงไม่มีร่อง(Non-Fluted Cylinder), สลักลายทองด้วยแสงเลเซอร์บนตัวปืน, ระบบสลักนิรภัยภายใน(Interlock Mechanism), ฯลฯ

    วันที่ 1 มกราคมปี 2007 โมเดล 29 คลาสสิคไลน์ รุ่นพิเศษแกะลายสวยหรู(Engraved Model)

    สมิธแอนด์เวสสัน “โมเดล 629”
    ในยุคที่โลหะวิทยาหันมาสนใจเหล็กสแตนเลส(Stainless Steel)กันอย่างบ้าคลั่ง

    ด้วยคุณสมบัติบางประการที่ให้ประโยชน์ใช้งานเหนือกว่าเหล็ก(Steel) เช่น ไม่เป็นสนิมเหล็ก, ทนสภาวะกัดกร่อนได้สูง(Anti-Corrosion), เนื้อโลหะเหนียวแน่น(High-Density)จากการหล่อขึ้นรูปได้มากกว่า, เนื้อผิวสวยงามดูน่าใช้น่าจับต้องมากกว่า, ฯลฯ
    สมิธแอนด์เวสสัน “โมเดล 629” จึงกำเนิดขึ้นมาด้วยเหล็กสแตนเลสแทนโมเดล 29 ที่เป็นเหล็ก ด้วยประการเช่นนี้

    โมเดล 629 สี่สี่แม็กนั่ม เปิดตัวครั้งแรกในปีค.ศ.1978 ในขนาดลำกล้องยาว 6 นิ้วฟุต ส่วนลำกล้อง 4 และ 8 3/8 นิ้วฟุตออกสู่ตลาดในปีค.ศ.1980

    ในปีค.ศ.1982 โมเดล 629-1 ใช้เทคนิคพิเศษ Crush-Fit Barrel ตามอย่างโมเดล 29-3 ในปีค.ศ.1988 โมเดล 629-1 เพิ่มรุ่นพิเศษลำกล้องสั้น 3 นิ้วฟุต ส้นด้ามมน(Round Butt) ชิ้นส่วนกลไกภายในเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับโมเดล 29-4 กรณีที่ตัวปืนปั๊ม 629-2E นั่นหมายถึงว่า บานพับหน้าลูกโม่หรือ Cylinder Crane ปรับให้ผิวเนื้อมีความแข็งแกร่งมากขึ้น

    ปีค.ศ.1990 โมเดล 629-3 มาในรูปแบบของด้ามยางฮ้อว์ก(Hogue), สันบนโครงปืนมีสกรูพร้อมติดตั้งศูนย์กล้องเล็ง, เปลี่ยนก้านกระทุ้งปลอกกระสุน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโมเดล 629-4 ที่เปิดตัวภายหลังในคุณสมบัติของปืนสั้นแข่งขันยิงเป้ามากขึ้น อาทิ นกปืน-ไกปืนใหญ่แบบปืนสั้นแข่งขันยิงเป้า, ศูนย์หน้ากระโดงปลาแถบแดง(Red Ramp Front Sight), ใบศูนย์หลังเส้นขาว(White Outline Rear Sight), ฯลฯ เป็นต้น

    ในปีเดียวกันนี้(1990) โมเดล 629 คลาสสิค(Classic) เสนอตลาดด้วยรูปแบบของ “ฝักเต็ม” หรือ Full Barrel Underlug หมายถึง มีแท่งตันถ่วงน้ำหนักต่อจากฝักก้านกระทุ้งปลอกกระสุนใต้ลำกล้องยาวจรดปากกระบอกปืน

    ภายใต้รหัส 629-4s ลำกล้องยาว 5, 6 และ 8 3/8 นิ้วฟุต ปีค.ศ.1991 โมเดล 629 คลาสสิค ดีเอ๊กซ์ (629 Classic DX) ออกสู่ตลาดพร้อมกับคุณสมบัติพิเศษเหนือใคร คือ เปลี่ยนใบศูนย์หน้าได้ 5 แบบ

    ปีค.ศ.1988 โมเดล 629-5 เปลี่ยนนกและไกปืน MIM และใช้เข็มแทงชนวนแบบฝังลอยในโครงปืน แทนเข็มแทงชนวนแบบนกสับเช่นก่อน

    โมเดล 629 คลาสสิค มิได้เป็นแค่สินค้ารุ่นใหม่ที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้มีคุณภาพดีมากกว่าโมเดล 29 และโมเดล 629 เท่านั้น

    ในเชิงการตลาดถือว่าเป็นการ “ยกระดับ” สินค้า(Product Repositioning)ให้สูงขึ้น ซึ่งหมายถึง ราคาแพงขึ้นตามคุณภาพสินค้า ขณะเดียวกัน ก็ยกระดับชื่อยี่ห้อและตัวสินค้าให้สูงขึ้นเพื่อตลาดระดับไฮเอ็น(High-end) คือ เศรษฐีและนักสะสมปืน

    ดังนี้ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 629 คลาสสิค ยุคหลังๆจึงมีสินค้ารุ่นพิเศษสู่ตลาด อาทิ แม๊กน่าคลาสสิค(MagnaClassic), วี-ค้อมพ์(V-Comp), สเต็ลท์ฮันเตอร์(Stealth Hunter), ฯลฯ เป็นต้น รวมทั้งความยาวลำกล้อง 7 ½ นิ้วฟุตที่มาคั่นกลางเป็นทางเลือกใหม่ ระหว่างลำกล้อง 6 และ 8 3/8 นิ้วฟุต อีกด้วย

    บทวิพากย์….
    ในแง่มุมของนักสะสมปืน(Gun Collectors) ยังมีข้อมูลอีกมากมายที่ไม่สามารถลงพิมพ์ในจำนวนหน้ากระดาษจำกัดนี้ได้หมด เช่น รุ่นลำกล้องสั้น 3 นิ้วฟุต, เมาเท่นกันส์(Mountain Gun), และอื่นๆ

    แต่ในมุมของผู้ใช้ปืนทั่วไปก็พอที่จะใช้เนื้อที่หน้ากระดาษที่เหลือนั่งจับเข่าคุยกันได้ดังนี้ครับ

    คำถาม: “ใครบ้างที่ซื้อปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่ม? และทำไมต้องเป็นสมิธแอนด์เวสสัน?”

    ตอบ: แม้กระสุนสี่สี่แม็กนั่มจะออกแบบมาแต่อ้อนออกให้ใช้กับปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ็คชั่น เพื่อกีฬาล่าสัตว์และป้องกันตัวจากสัตว์ร้ายในงานสำรวจท่องเที่ยวป่า

    แต่กลุ่มผู้ซื้อปืนสั้นกระสุนดุขนาดนี้ส่วนมากกลับเป็นนักสะสมปืน นักเลงปืน และตำรวจทหารตามชายแดนหรือในท้องที่ทุรกันดาร ทั้งในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และเมืองไทย

    ด้วยราคาตัวปืนและกระสุนที่แพงกว่าปืนอื่นในตลาด ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ผู้ที่ซื้อปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่ม ก็คือ คนที่มีใจรักปืนสั้นกระสุนดุขนาดนี้จริงๆ

    ขณะที่ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 สี่สี่แม็กนั่ม คลอดสู่ตลาดเมื่อ 56 ปีที่แล้ว ก็มีบริษัทผลิตปืนยี่ห้อ รูเก้อร์ (Ruger) สหรัฐอเมริกา ผลิตปืนสั้นที่ใช้กระสุนขนาดเดียวกันนี้ออกแข่งตลาด แต่เป็นปืนสั้นซิงเกิ้ลแอ๊คชั่น(Single Action Revolver)

    นัยว่า เป็นเพราะพนักงานของบริษัทผลิตกระสุนเรมิงตันนำปลอกกระสุนขนาดใหม่ล่านี้ไปให้รูเก้อร์

    ปัจจุบัน แม้ว่าจะมีปืนสั้นหลายยี่ห้อที่แข่งค้ากับปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มของสมิธฯ เช่น โค้ลท์ อะนาคอนด้า(Colt Anaconda), รูเก้อร์ ซูเปอร์ เรดฮอว์ก(Ruger Super Redhawk)ดับเบิ้ลแอ๊คชั่น, รูเก้อร์ ซูเปอร์ แบล็คฮอว์ก(Ruger Super Blackhawk)ซิงเกิ้ลแอ๊คชั่น, ฯลฯ

    ยังไม่นับปืนพกกึ่งอัตโนมัติ(Semi-Automatic Pistol)ชื่อดังที่ใช้กระสุนสี่สี่แม๊กนั่มของปืนสั้นลูกโม่ เช่น เดสเสิร์ต อีเกิ้ล (IMI Desert Eagle), และอื่นๆ เป็นต้น

    แต่ที่เมืองนอกเมืองไทยพูดกันมากที่สุด ก็คือ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29, 629 และ 629 คลาสสิค ประณีตแม่นยำที่สุดในกระบวนปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มด้วยกัน

    ถาม: “ปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มใช้กระสุนอื่นยิงแทนได้ไหมในเมื่อไม่มีลูกซ้อมยิง?”

    ตอบ: ได้ คือ .44 สเปเชี่ยล(.44 S&W Special) ที่ปลอกหรือนัดกระสุนสั้นกว่าสี่สี่แม็กนั่มนิดเดียว (0.125 นิ้วฟุต)

    ทำนองเดียวกับที่เราใช้กระสุนสามแปดสเปฯ (.38 Special) ยิงซ้อมมือกับปืนสั้นลูกโม่สามห้าเจ็ดแม็กนั่ม(.357 Magnum) เพราะขนาดหน้าตัดหัวกระสุนและความโตของปลอกกระสุนใกล้เคียงกันมาก แต่หลักการนี้ใช้ได้เฉพาะปืนสั้นลูกโม่เท่านั้น ปืนพกกึ่งอัตโนมัติหรือปืนสั้นออโตเมติคจะมีปัญหา

    ถาม: “สมมุติว่าขอใบอนุญาตและซื้อปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มมาได้แล้วจะไปยิงซ้อมที่สนามยิงปืนที่ไหน?”

    ตอบ: เดี๋ยวนี้ยากมากครับ สนามยิงปืนของราชการและเอกชนทั่วไปในบ้านเราไม่ค่อยอนุญาตให้ยิงปืนกระสุนสี่สี่แม็กนั่ม ซึ่งรวมทั้งปืนไรเฟิลขนาดต่างๆ ด้วย

    ปืนกระสุนดุที่อนุญาตให้ยิงซ้อมกันในสนาม อย่างมากก็แค่สิบเอ็ดมอมอ(.45 ACP), ลูกซองกระสุนลูกปราย, สามห้าเจ็ดแม็กนั่ม(.357 Magnum)เป็นบางสนาม จริงๆจังๆก็คงเป็นสนามยิงปืนของทหารที่ Backstop (กำแพงหยุดกระสุนหลังเป้า) เตรียมไว้สำหรับเอ็ม 16 ก็พอจะพูดคุยขอกันได้บ้าง

    ถาม: “สี่สี่แม็กนั่มกระสุนนอกราคานัดละเท่าไร? กระสุนไทยมีผลิตไหม?”

    ตอบ: กระสุนสี่สี่แม็กนั่มที่พอจะหาซื้อได้ในตลาดปืนบ้านเรามีค่อนข้างน้อยมาก ถ้ามีก็ตกนัดละเกือบๆร้อยบาทหรือกว่านี้ เท่าที่ทราบ สี่สี่แม็กนั่มไม่มีผลิตขึ้นในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพราะขาดวัสดุและดินปืนที่ต้องขออนุญาตกลาโหมเพื่อนำเข้า ยอดจำหน่ายมีแค่นิดเดียว จึงไม่คุ้มที่จะผลิตในประเทศไทย

    ถาม: “ที่ว่า ปืนสมิธฯสี่สี่แม็กนั่มแม่นยำกว่าปืนอื่นนั้นเป็นอย่างไร?”

    ตอบ: จากบทความต่างประเทศ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 629 แม็กน่าคลาสสิค ลำกล้องยาว 8 3/8 นิ้วฟุต ยิงด้วยกระสุน Garrett Cartridges หัวกระสุนหนัก 320 เกรน ความเร็วต้น 1,315 ฟุต/วินาที จากระยะยิง 25 หลา(ประมาณ 23 เมตร)จำนวน 6 นัดทำกลุ่มกระสุนได้ 1 นิ้วฟุต

    กระสุน Carbon Hunter หัวกระสุนหนัก 260 เกรน หัวรู(Hollow Point) ความเร็วต้น 1,450 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 1,214 ฟุต-ปอนด์ ระยะยิง 25 หลา จำนวน 6 นัดทำกลุ่มได้ 1x2 นิ้วฟุต

    ทั้งนี้ยังไม่มีการยิงพิสูจน์ความแม่นยำเทียบระหว่าง Smith&Wesson, Colt Anaconda, Ruger Super Redhawk ทั้งเมืองนอกและในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

    ถาม: “ถ้าจะซื้อปืนสั้นลูกโม่สี่สี่แม็กนั่มสักกระบอกในชีวิตจะเลือกอะไรดี?”

    ตอบ: ถ้าเลือกความประณีตแม่นยำ(Precision/Accuracy)ก็ต้องสมิธแอนด์เวสสัน ถ้าชอบความแข็งแรงบึกบึนทนทาน(Strong, Durability & Reliability)ก็ต้องฟันธงว่ารูเก้อร์ ส่วนอะนาคอนด้า(Anaconda)เป็นอะไรๆ ที่ต้องเป็นยี่ห้อโค้ลท์ไว้ก่อน

    ถาม: “ปืนสั้นลูกโม่เล่นกระสุนสี่สี่แม็กนั่มแบบไหนดี?”

    ตอบ: นักเลงสี่สี่แม็กนั่มตัวจริงจะเล่นกระสุน “หัวตัน-หัวหนัก” ไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็น Jacketed Soft Point, Semi-Wadcutter, Flat/Leaded Nose, รวมทั้งกระสุนพิเศษซาบ้อต(Sabot)

    จากประสบการณ์ส่วนตัว สี่สี่แม็กนั่มหัวรู น้ำหนัก 240 เกรน แม้จะมีความเร็วสูงถึงขั้น 1,400 ฟุต/วินาที จะมีปัญหา “เหินลม” ทำให้วิถีกระสุน(Trajectory)ไม่ราบเรียบไม่แม่นยำเท่าควร

    ขณะที่กระสุนหัวตัน น้ำหนักหัวกระสุนมากๆ (หรือบางทีก็น้ำหนัก 240 เกรนเท่ากัน) แต่ปลอกกระสุนมีเข็มขัดรัดหรือรอยย้ำ 2 แถว แม้ความเร็วน้อยกว่าแต่ให้ความแม่นยำหนักแน่นสูงกว่ามาก เรียกว่าได้ใจทุกนัดไป ข้อเสีย คือ ยิงสะบัดกัดมือมากกว่ากระสุนรุ่นใหม่ๆ ประมาณ +15%-20%

    ถาม: “ปืนสี่สี่แม็กนั่มต้องระวังอะไรบ้าง? ติดศูนย์กล้องดีไหม?”

    ตอบ: ข้อหนึ่ง-ถ้าเป็นเหล็กสแตนเลส เช่น โมเดล 629 และ 629 คลาสสิค ควรใส่กล่องเก็บหรือไม่ก็ตัดซองหนังใส่ปืนเก็บรักษา เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน รอยขนแมว ที่เกิดขึ้นเพราะผิวเหล็กสแตนเลสเนื้ออ่อนกว่าเหล็ก

    ข้อสอง-ไม่ควรใช้ยาขัดโลหะชนิดที่มีสารชะล้าง(Solven)ขัดถูกตัวปืน เพราะจะทำให้ตัวอักษรที่แกะสลักด้วยเลเซอร์เคลือบสีทองไว้ลางเลือนจางหาย

    ข้อสาม-หมั่นตรวจขันหมุดสกรูที่ตัวปืนทั้งก่อนและหลังการยิง เนื่องจากแรงสะบัดสะท้อนรุนแรงทำให้หมุดสกรูคลายตัวและอาจหลุดกระเด็นหาย

    ข้อสี่-ถึงจะหาซื้อกระสุนได้มากก็ไม่ควรยิงเล่นบ่อยๆ เพราะจะทำให้ตัวปืนทรุดโทรมเร็วกว่าที่ควรอย่างน่าเสียดาย

    ข้อห้า-อย่านำมายิงแห้งหรือเหนี่ยวไกเล่น(โดยไม่บรรจุกระสุนในตัวปืน)บ่อยๆ กลไกปืนอาจชำรุดเสียหาย โดยเฉพาะเข็มแทงชนวนอาจหักโดยไม่รู้ตัว

    ข้อหก-ติดศูนย์กล้องเล็งได้ในกำลังขยายภาพไม่เกิน 4 เท่า สูงกว่านั้นจะเล็งยิงได้ลำบาก มือสั่นสายตาพร่ามัวเพราะไม่กล้าลั่นกระสุน(เพราะภาพมันฟ้องว่าศูนย์ปืนไม่เข้าเป้าเนื่องจากมือผู้ยิงสั่นไปมา) แต่สุดท้ายก็ต้องถอดศูนย์กล้องเล็งออกเพราะรู้สึกเกะกะหนักตัวปืนเปล่าๆ

    สรุปท้ายเรื่อง...

    สมิธแอนด์เวสสัน สี่สี่แม็กนั่ม เป็นทรัพย์สมบัติที่คู่ควรต่อผู้มีบารมีและนักสะสมปืนมากกว่าการมีใช้เพื่อต่อสู้ป้องกันชีวิตทรัพย์สิน ไม่ใช่ปืนสั้นประจำกายอย่างแน่นอน แต่จะเหมาะที่สุดในกรณีท่องไพรสำรวจป่าที่พกไว้ข้างเอวหรือข้างสีข้างลำตัวเพื่อป้องกันสัตว์เขี้ยวยาวดุร้ายต่างๆ

    แม้ปัจจุบัน ตลาดปืนโลกจะมี “ปืนโหดกระสุนดุ” รุ่นใหม่ๆที่มีอานุภาพสูงกว่าสี่สี่แม็กนั่ม ไม่ว่าจะเป็น .454 Casull, .460 S&W Magnum, .500 S&W Magnum, และอื่นๆ แต่

    “สี่สี่แม็กนั่มยังจะเป็นเพื่อนที่ดีของนักเล่นปืนตลอดไป”
    ขอบคุณครับ...

    Smith&Wesson Model 629 .44 Magnum โดย. พีระพงษ์ กลั่นกรอง เมื่อ คลิ้นท์ อี้สต์วู้ด (Clint Eastwood) ในบทของสารวัตรมือปราบ ฮาร์รี่ คาลาแฮน (Harry Callahan) พูดกับคนร้ายในฉากแรกของภาพยนต์เรื่อง “มือปราบปืนโหด” หรือ Dirty Harry ภาพยนต์ซีรี่ส์บู้แอ๊คชั่นที่ยิงกันสนั่นจอเรื่องที่โด่งดังที่สุดในโลกเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ด้วยทุนสร้าง 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มือปราบปืนโหด(ภาคแรก-ปีค.ศ.1971)ทำรายได้สูงถึง 35 ล้านเหรียญ, ภาคที่สอง คือ Magnum Force (ปี 1973), ภาคที่สาม-The Enforcer (ปี 1976), ภาคที่สี่-Sudden Impact (ปี 1983), และภาคสุดท้าย คือ The Dead Pool (ปี 1988) ไม่ว่าภาพยนต์เรื่องนี้จะออกมากี่ภาคก็ตาม ผลตอบรับ ก็คือ ปลุกกระแสความนิยมปืน “สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 สี่สี่แม็กนั่ม” จนตลาดปืนทั่วโลกยอดขายถล่มทลาย แม้ว่าบริษัทผลิตปืนสมิธฯกำลังจะขุดหลุมฝัง(เลิกผลิต)ปืนสั้นกระสุนโหดรุ่นนี้อยู่ก่อนหน้านั้นก็ตาม ................ อเมริกัน ได้ชื่อว่าเก่งในเรื่องการต่อสู้ด้วยอาวุธปืน เรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน นับแต่ครั้งที่ต่อสู้แย่งผืนดินที่ทำกินกับอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ จนกระทั่งถึงสงครามกลางเมือง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง-สอง และสงครามเวียดนาม อานุภาพกระสุนปืน(อำนาจหยุดยั้ง, ประหัตประหาร, และทะลุทะลวง)เป็นข้อสำคัญประการแรกสำหรับงานล่า ป้องกันตัว และจู่โจม ความแม่นยำเป็นอันดับที่สองโดยเฉพาะกรณีที่ระยะยิงตั้งแต่ 75 หลา(หรือ 68.6 เมตร)ขึ้นไป หรือในระยะที่ความหนาของใบศูนย์หน้าใหญ่ทับเป้าหรือตัวคน ดังที่ทราบกัน โดยหลักการ การเพิ่มอานุภาพกระสุนปืนมากขึ้นได้ก็ต้องอาศัย หนึ่ง-แรงดันในรังเพลิง(Chamber Pressure) ซึ่งจะให้ประโยชน์โดยปริยายในข้อที่สอง-คือ ความเร็วหัวกระสุน(Velocity), สาม-รูปแบบหัวกระสุน(Bullet type), ส่วนข้อที่สี่ คือ ขนาด-น้ำหนักหัวกระสุน(Bore & Weight) นั้น กลายเป็นเรื่องท้ายสุด หากว่าความเร็วกระสุนเกิน 3,000 ฟุตต่อวินาทีขึ้นไป ก็จะเกิดแรงปะทะคลื่นอากาศหรือ Shock Wave ทำให้บาดแผลแหกฉกรรจ์และกระเด็นล้มคว่ำได้ทันใด ยกตัวอย่าง กระสุนเอ็ม 16 หรือกระสุนปืนไรเฟิลล่าสัตว์ขนาด .223 หรือ 5.56x45 ม.ม.นาโต้(NATO) หัวกระสุนเล็กเท่ากับกระสุนลูกกรด คือ .22 นิ้วฟุต น้ำหนักหัวกระสุน 55 เกรนมากกว่ากระสุนลูกกรด(40 เกรน)นิดเดียว ความเร็วต้น 3,250 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 1,325 ฟุต-ปอนด์ ฯลฯ เป็นต้น “สี่สี่แม็กนั่ม” หรือในชื่อเป็นทางการว่า .44 Remington Magnum เมื่อ 40 ปีที่แล้วเป็นกระสุนปืนสั้นที่อานุภาพเอกอุที่สุดในโลก(The Most Powerful Handgun in the World) ประดิษฐ์คิดค้นโดย เอลเม่อร์ คีธ (Elmer Keith) นักเขียนเรื่องปืนและนักผจญภัยกลางแจ้ง(Outdoor Adventurer)ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสหรัฐอเมริกา โดยร่วมกับบริษัทผลิตปืน สมิธแอนด์เวสสัน(Smith&Wesson)และบริษัทปืนและกระสุนยี่ห้อเรมิงตัน(Remington) ผลิตจำหน่ายในปีค.ศ.1955 (ปีพ.ศ.2498) จนปัจจุบัน เอลเม่อร์ คีธ นำกระสุนขนาด “สี่สี่-สเปเชี่ยล” หรือ .44 S&W Special (ผลิตในปีค.ศ.1907 แรงดันรังเพลิง 15,500 ปอนด์/ตร.นิ้วฟุต ปลอกกระสุนยาว 1.16 นิ้วฟุต น้ำหนักหัวกระสุน 246 เกรน ความเร็วต้น 755 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 310 ฟุต-ปอนด์) มาทดลองพัฒนาเพิ่มแรงดันในรังเพลิง ซึ่งก็หมายถึงกระสุนความเร็วสูงโดยปริยาย เพื่อให้เป็น “สี่สี่-แม็กนั่ม” โดยไม่คิดนำกระสุนหน้าตัดใหญ่ที่โด่งดังในยุคโคบาลตะวันตก(Wild Western) คือ “สี่ห้า-โค้ลท์” หรือ .45 Colt (ผลิตในปีค.ศ.1872 แรงดันรังเพลิง 14,000 ปอนด์/ตร.นิ้วฟุต ปลอกกระสุนยาว 1.285 นิ้วฟุต หัวกระสุนหนัก 250 เกรน ความเร็วต้น 929 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 479 ฟุต-ปอนด์ และแบบ Buffalo Bore หัวกระสุนหนัก 325 เกรน ความเร็วต้น 1,325 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 1,267 ฟุต-ปอนด์) มาพัฒนา หลักการง่ายๆ ก็คือ กระสุนหน้าตัดใหญ่(Big Bore), หัวกระสุนหนักอึ้ง(Heavy Bullet), และ กระสุนความเร็วสูง(Higher Velocity) เปรียบง่ายๆว่า ซุงหนึ่งต้นหนัก 500 กิโลกรัมวางไว้เฉยๆข้างถนน รถยนต์ที่พุ่งชนต้นซุงต้นนี้ย่อมเสียหายน้อยกว่าการที่ถูกต้นซุงพุ่งมาด้วยความเร็ว 60 กม./ชม.ชนเข้ากับรถยนต์ที่จอดอยู่เฉยๆ (อ่านและคิดทบทวนอีกครั้งนะครับ) วัตถุประสงค์หลักในการประดิษฐ์คิดค้น ก็เพื่อล่าสัตว์เท้ากีบขนาดเขื่อง เช่น กวางเอ้ลค์(Elk) สูงถึงหัวไหล่ 1.50 เมตร หนักประมาณ 250-450 กิโลกรัม จนกระทั่งถึงควายป่าที่เรียกว่า Cape Buffalo ที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แต่น้ำหนักไม่มากเท่ากระทิงในบ้านเรา โดยการยิงจากปืนสั้นลูกโม่ลำกล้องยาว 7-8 นิ้วฟุต จึงเป็นจุดกำเนิดปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ๊คชั่น Smith&Wesson Model 29 สมิธแอนด์เวสสัน “สี่สี่-แม็กนั่ม” 56 ปีมาแล้วที่ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 ปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ็คชั่น(Double-Action Revolver) กระสุนสี่สี่แม็กนั่มผลิตจำหน่าย อันที่จริงก็ด้วยวัตถุประสงค์ของการล่าสัตว์ด้วยปืนสั้น ซึ่งเป็นความคลาสสิคและใช้ศิลปะการล่ามากกว่าปืนยาว ยิ่งปืนสั้นลูกโม่แม้จะลำกล้องยาว 7-8 นิ้วฟุต หากได้ติดศูนย์กล้องเล็งขยาย 4-8 เท่า ก็ยิ่งทวีความยากลำบากในการเล็งยิงมากขึ้น แม้ปืนโมเดลนี้(ซึ่งรวมทั้งกระสุนด้วย)จะขายดิบดีในช่วงต้นๆของการเปิดจำหน่ายก็ตาม แต่แล้วยอดขายก็ตกฮวบตามวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เช่นเดียวกับรถ 4x4 Off-Road เพราะมนุษย์หันมาอนุรักษ์สัตว์ป่าและธรรมชาติ ออกกำลังกายในร่มมากกว่ากีฬากลางแจ้งเช่นก่อน จนกระทั่ง ในปีค.ศ.1971 ที่ภาพยนต์บู้แอ๊คชั่นเรื่อง “มือปราบปืนโหด” ออกฉาย ทำให้ปืนและกระสุนสี่สี่แม๊กนั่มกลับขายดีถล่มทลาย เพราะผู้ชายส่วนมากอย่างเก่งกล้าหรือมีอาวุธที่อานุภาพเอกอุเหมือนพระเอก คลิ้นท์ อี้สต์วู้ด นั้น จะเป็นกลยุทธ์การตลาดเช่นเดียวกับที่ภาพยนต์เรื่อง เจมส์ บอนด์ ปลุกกระแสความนิยมรถสปอร์ตอังกฤษยี่ห้อ แอสตัน มาร์ติน(Aston Martin) เป็นเหตุผลอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า อันนี้ไม่แน่ใจ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 -ปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ๊คชั่นบรรจุกระสุน 6 นัด โครงปืนใหญ่(S&W N-Frame) -ลูกโม่หมุนทวนเข็มนาฬิกา(Anti-Clockwise) -กระสุนปืนสั้นลูกโม่ชนวนกลาง(Revolver/Center-Fire Cartridge)ขนาด .44 Remington Magnum -ตัวปืนเสนอตลาดด้วย 7 ขนาดความยาวลำกล้อง ได้แก่ 3, 4, 5, 6, 6 ½ , 8 3/8 และหลังสุด 10 5/8 นิ้วฟุต -เฉพาะลำกล้อง 5 นิ้วฟุตเท่านั้นที่ฟักก้านกระทุ้งปลอกกระสุนยาวเต็มความยาวลำกล้องหรือ Full Barrel Length Underlug โมเดล 29 เสนออยู่ 2 แบบ ได้แก่ แบบรมดำผิวหนา(Highly Polished Blued Finish) กับแบบนิเกิ้ลโครเมี่ยม(Nickle-Plated Surface) ในปีค.ศ.1960 โมเดล 29-1 ผลิตสู่ตลาดภายใต้การปรับปรุงด้านเทคนิคเล็กน้อย อาทิ สกรูยึดก้านกระทุ้งปลอกกระสุน(Ejector Rod Screw) ให้หลังหนึ่งปี โมเดล 29-2 ก็ปรากฏสู่ตลาดโดยเพิ่มสกรูตัวขันยึดความแน่นหนาให้กับสปริงสลักล็อคลูกโม่(Cylinder Stop Spring) ในปีค.ศ. 1979 หั่นลำกล้องจาก 6 ½ เหลือแค่ 6 นิ้วฟุต ทั้งโมเดล 29-1 และ 29-2 เพิ่มเทคนิคพิเศษอีกนิดนึง คือ ตัวลำกล้องขันเกลียวยึดแน่นกับโครงปืนพร้อมหมุดตอกย้ำ ส่วนตัวลูกโม่เซาะร่องฝังจานคัดปลอกกระสุนให้เรียบหน้าโม่ เรียกเทคนิคนี้ว่า Pinned & Recessed Model ปีค.ศ.1967-1971 บริษัทสนับสนุนทางยุทโธปกรณ์สหรัฐอเมริกา ชื่อ AAI Corporation (Aircraft Armaments, Inc.) สั่งผลิตปืนสมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 จำนวนหนึ่ง ลำกล้องสั้นแค่ 1.375 นิ้วฟุต ใช้ยิงกับกระสุน .40 หรือว่า 10 มอมอ และกระสุนลูกซองขนาด .410 เพื่อใช้ในปฏิบัติการพิเศษที่เรียกว่า QAPR (Quiet Special Purpose Revolver) เพื่อให้ทหารอเมริกันบุกเข้าจู่โจมและตรวจค้น “ถ้ำรูหนู” หรือ Tunnel Rats ที่ทหารเวียดนามอาศัยเป็นช่องทางหลบหนีหลบซ่อน ในปีค.ศ. 1982 โมเดล 29-3 ยกเลิกเทคนิคพิเศษดังกล่าวเพิ่มลดต้นทุนและระยะเวลาในการผลิต โดยหันมาใช้เทคนิค Crush-Fit Barrel หรือคล้ายๆกับ โคนลำกล้องตีปลอกฟิตแน่นกับโครงปืน ซึ่งได้ผลเท่าเทียมกันแต่ประหยัดต้นทุนและเวลาผลิตมากกว่า ในปีค.ศ.1988 (โมเดล 29-4) และปี 1990 (โมเดล 29-5) เสริมแรงให้กับชิ้นส่วนและโครงสร้างตัวปืนเพื่อให้ใช้งานได้อย่างสมบุกสมบันมากขึ้น โดยเฉพาะทนแรงดันรังเพลิงและแรงสะบัดสะท้อนจากกระสุนแรงสูงสมัยใหม่ ปีค.ศ.1994 โมเดล 29-6 ผลิตจำหน่ายพร้อมกับด้ามยาง Monogrip กระชับมือยี่ห้อ ฮ้อว์ก(Hogue) สันบนโครงปืนมีรูไว้สำหรับขันสกรูติดตั้งศูนย์กล้องล่าสัตว์ ในปีค.ศ.1998 โมเดล 29-7 ออกตลาดภายใต้การปรับปรุงชิ้นส่วนลั่นไก เช่น เข็มแทงชนวน, นกปืน, ไกปืน, ฯลฯ ล้วนผลิตจากกรรมวิธีฉีดโลหะขึ้นรูป(Metal Injection Molding Process) เพื่อป้องกันปัญหาแตกหักขณะใช้งานหนัก สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 ถูกยกเลิกการผลิตไปอย่างถาวรในปีค.ศ.1999 ด้วยเหตุผลของอายุสินค้า(Model Life)ในเชิงการตลาด ปัจจุบัน ทั้งตลาดนอกและตลาดไทย นักเล่นปืนต่างมองหาสี่สี่แม็กนั่มรุ่นนี้ไว้สะสม เพราะตัวปืนมีความสวยงามมากกว่าปืนรุ่นใหม่ของสมิธฯ โดยเฉพาะ โมเดล 29 ในรุ่นฉลองครบรอบ 50 ปี (50th Anniversary Model 29) ที่ผลิตขึ้นจำกัดจำนวนเมื่อวันที่ 26 มกราคมปี 2006 ลักษณะพิเศษ ได้แก่ ลูกโม่กลมกลึงไม่มีร่อง(Non-Fluted Cylinder), สลักลายทองด้วยแสงเลเซอร์บนตัวปืน, ระบบสลักนิรภัยภายใน(Interlock Mechanism), ฯลฯ วันที่ 1 มกราคมปี 2007 โมเดล 29 คลาสสิคไลน์ รุ่นพิเศษแกะลายสวยหรู(Engraved Model) สมิธแอนด์เวสสัน “โมเดล 629” ในยุคที่โลหะวิทยาหันมาสนใจเหล็กสแตนเลส(Stainless Steel)กันอย่างบ้าคลั่ง ด้วยคุณสมบัติบางประการที่ให้ประโยชน์ใช้งานเหนือกว่าเหล็ก(Steel) เช่น ไม่เป็นสนิมเหล็ก, ทนสภาวะกัดกร่อนได้สูง(Anti-Corrosion), เนื้อโลหะเหนียวแน่น(High-Density)จากการหล่อขึ้นรูปได้มากกว่า, เนื้อผิวสวยงามดูน่าใช้น่าจับต้องมากกว่า, ฯลฯ สมิธแอนด์เวสสัน “โมเดล 629” จึงกำเนิดขึ้นมาด้วยเหล็กสแตนเลสแทนโมเดล 29 ที่เป็นเหล็ก ด้วยประการเช่นนี้ โมเดล 629 สี่สี่แม็กนั่ม เปิดตัวครั้งแรกในปีค.ศ.1978 ในขนาดลำกล้องยาว 6 นิ้วฟุต ส่วนลำกล้อง 4 และ 8 3/8 นิ้วฟุตออกสู่ตลาดในปีค.ศ.1980 ในปีค.ศ.1982 โมเดล 629-1 ใช้เทคนิคพิเศษ Crush-Fit Barrel ตามอย่างโมเดล 29-3 ในปีค.ศ.1988 โมเดล 629-1 เพิ่มรุ่นพิเศษลำกล้องสั้น 3 นิ้วฟุต ส้นด้ามมน(Round Butt) ชิ้นส่วนกลไกภายในเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับโมเดล 29-4 กรณีที่ตัวปืนปั๊ม 629-2E นั่นหมายถึงว่า บานพับหน้าลูกโม่หรือ Cylinder Crane ปรับให้ผิวเนื้อมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ปีค.ศ.1990 โมเดล 629-3 มาในรูปแบบของด้ามยางฮ้อว์ก(Hogue), สันบนโครงปืนมีสกรูพร้อมติดตั้งศูนย์กล้องเล็ง, เปลี่ยนก้านกระทุ้งปลอกกระสุน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโมเดล 629-4 ที่เปิดตัวภายหลังในคุณสมบัติของปืนสั้นแข่งขันยิงเป้ามากขึ้น อาทิ นกปืน-ไกปืนใหญ่แบบปืนสั้นแข่งขันยิงเป้า, ศูนย์หน้ากระโดงปลาแถบแดง(Red Ramp Front Sight), ใบศูนย์หลังเส้นขาว(White Outline Rear Sight), ฯลฯ เป็นต้น ในปีเดียวกันนี้(1990) โมเดล 629 คลาสสิค(Classic) เสนอตลาดด้วยรูปแบบของ “ฝักเต็ม” หรือ Full Barrel Underlug หมายถึง มีแท่งตันถ่วงน้ำหนักต่อจากฝักก้านกระทุ้งปลอกกระสุนใต้ลำกล้องยาวจรดปากกระบอกปืน ภายใต้รหัส 629-4s ลำกล้องยาว 5, 6 และ 8 3/8 นิ้วฟุต ปีค.ศ.1991 โมเดล 629 คลาสสิค ดีเอ๊กซ์ (629 Classic DX) ออกสู่ตลาดพร้อมกับคุณสมบัติพิเศษเหนือใคร คือ เปลี่ยนใบศูนย์หน้าได้ 5 แบบ ปีค.ศ.1988 โมเดล 629-5 เปลี่ยนนกและไกปืน MIM และใช้เข็มแทงชนวนแบบฝังลอยในโครงปืน แทนเข็มแทงชนวนแบบนกสับเช่นก่อน โมเดล 629 คลาสสิค มิได้เป็นแค่สินค้ารุ่นใหม่ที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้มีคุณภาพดีมากกว่าโมเดล 29 และโมเดล 629 เท่านั้น ในเชิงการตลาดถือว่าเป็นการ “ยกระดับ” สินค้า(Product Repositioning)ให้สูงขึ้น ซึ่งหมายถึง ราคาแพงขึ้นตามคุณภาพสินค้า ขณะเดียวกัน ก็ยกระดับชื่อยี่ห้อและตัวสินค้าให้สูงขึ้นเพื่อตลาดระดับไฮเอ็น(High-end) คือ เศรษฐีและนักสะสมปืน ดังนี้ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 629 คลาสสิค ยุคหลังๆจึงมีสินค้ารุ่นพิเศษสู่ตลาด อาทิ แม๊กน่าคลาสสิค(MagnaClassic), วี-ค้อมพ์(V-Comp), สเต็ลท์ฮันเตอร์(Stealth Hunter), ฯลฯ เป็นต้น รวมทั้งความยาวลำกล้อง 7 ½ นิ้วฟุตที่มาคั่นกลางเป็นทางเลือกใหม่ ระหว่างลำกล้อง 6 และ 8 3/8 นิ้วฟุต อีกด้วย บทวิพากย์…. ในแง่มุมของนักสะสมปืน(Gun Collectors) ยังมีข้อมูลอีกมากมายที่ไม่สามารถลงพิมพ์ในจำนวนหน้ากระดาษจำกัดนี้ได้หมด เช่น รุ่นลำกล้องสั้น 3 นิ้วฟุต, เมาเท่นกันส์(Mountain Gun), และอื่นๆ แต่ในมุมของผู้ใช้ปืนทั่วไปก็พอที่จะใช้เนื้อที่หน้ากระดาษที่เหลือนั่งจับเข่าคุยกันได้ดังนี้ครับ คำถาม: “ใครบ้างที่ซื้อปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่ม? และทำไมต้องเป็นสมิธแอนด์เวสสัน?” ตอบ: แม้กระสุนสี่สี่แม็กนั่มจะออกแบบมาแต่อ้อนออกให้ใช้กับปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ็คชั่น เพื่อกีฬาล่าสัตว์และป้องกันตัวจากสัตว์ร้ายในงานสำรวจท่องเที่ยวป่า แต่กลุ่มผู้ซื้อปืนสั้นกระสุนดุขนาดนี้ส่วนมากกลับเป็นนักสะสมปืน นักเลงปืน และตำรวจทหารตามชายแดนหรือในท้องที่ทุรกันดาร ทั้งในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และเมืองไทย ด้วยราคาตัวปืนและกระสุนที่แพงกว่าปืนอื่นในตลาด ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ผู้ที่ซื้อปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่ม ก็คือ คนที่มีใจรักปืนสั้นกระสุนดุขนาดนี้จริงๆ ขณะที่ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 สี่สี่แม็กนั่ม คลอดสู่ตลาดเมื่อ 56 ปีที่แล้ว ก็มีบริษัทผลิตปืนยี่ห้อ รูเก้อร์ (Ruger) สหรัฐอเมริกา ผลิตปืนสั้นที่ใช้กระสุนขนาดเดียวกันนี้ออกแข่งตลาด แต่เป็นปืนสั้นซิงเกิ้ลแอ๊คชั่น(Single Action Revolver) นัยว่า เป็นเพราะพนักงานของบริษัทผลิตกระสุนเรมิงตันนำปลอกกระสุนขนาดใหม่ล่านี้ไปให้รูเก้อร์ ปัจจุบัน แม้ว่าจะมีปืนสั้นหลายยี่ห้อที่แข่งค้ากับปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มของสมิธฯ เช่น โค้ลท์ อะนาคอนด้า(Colt Anaconda), รูเก้อร์ ซูเปอร์ เรดฮอว์ก(Ruger Super Redhawk)ดับเบิ้ลแอ๊คชั่น, รูเก้อร์ ซูเปอร์ แบล็คฮอว์ก(Ruger Super Blackhawk)ซิงเกิ้ลแอ๊คชั่น, ฯลฯ ยังไม่นับปืนพกกึ่งอัตโนมัติ(Semi-Automatic Pistol)ชื่อดังที่ใช้กระสุนสี่สี่แม๊กนั่มของปืนสั้นลูกโม่ เช่น เดสเสิร์ต อีเกิ้ล (IMI Desert Eagle), และอื่นๆ เป็นต้น แต่ที่เมืองนอกเมืองไทยพูดกันมากที่สุด ก็คือ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29, 629 และ 629 คลาสสิค ประณีตแม่นยำที่สุดในกระบวนปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มด้วยกัน ถาม: “ปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มใช้กระสุนอื่นยิงแทนได้ไหมในเมื่อไม่มีลูกซ้อมยิง?” ตอบ: ได้ คือ .44 สเปเชี่ยล(.44 S&W Special) ที่ปลอกหรือนัดกระสุนสั้นกว่าสี่สี่แม็กนั่มนิดเดียว (0.125 นิ้วฟุต) ทำนองเดียวกับที่เราใช้กระสุนสามแปดสเปฯ (.38 Special) ยิงซ้อมมือกับปืนสั้นลูกโม่สามห้าเจ็ดแม็กนั่ม(.357 Magnum) เพราะขนาดหน้าตัดหัวกระสุนและความโตของปลอกกระสุนใกล้เคียงกันมาก แต่หลักการนี้ใช้ได้เฉพาะปืนสั้นลูกโม่เท่านั้น ปืนพกกึ่งอัตโนมัติหรือปืนสั้นออโตเมติคจะมีปัญหา ถาม: “สมมุติว่าขอใบอนุญาตและซื้อปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มมาได้แล้วจะไปยิงซ้อมที่สนามยิงปืนที่ไหน?” ตอบ: เดี๋ยวนี้ยากมากครับ สนามยิงปืนของราชการและเอกชนทั่วไปในบ้านเราไม่ค่อยอนุญาตให้ยิงปืนกระสุนสี่สี่แม็กนั่ม ซึ่งรวมทั้งปืนไรเฟิลขนาดต่างๆ ด้วย ปืนกระสุนดุที่อนุญาตให้ยิงซ้อมกันในสนาม อย่างมากก็แค่สิบเอ็ดมอมอ(.45 ACP), ลูกซองกระสุนลูกปราย, สามห้าเจ็ดแม็กนั่ม(.357 Magnum)เป็นบางสนาม จริงๆจังๆก็คงเป็นสนามยิงปืนของทหารที่ Backstop (กำแพงหยุดกระสุนหลังเป้า) เตรียมไว้สำหรับเอ็ม 16 ก็พอจะพูดคุยขอกันได้บ้าง ถาม: “สี่สี่แม็กนั่มกระสุนนอกราคานัดละเท่าไร? กระสุนไทยมีผลิตไหม?” ตอบ: กระสุนสี่สี่แม็กนั่มที่พอจะหาซื้อได้ในตลาดปืนบ้านเรามีค่อนข้างน้อยมาก ถ้ามีก็ตกนัดละเกือบๆร้อยบาทหรือกว่านี้ เท่าที่ทราบ สี่สี่แม็กนั่มไม่มีผลิตขึ้นในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพราะขาดวัสดุและดินปืนที่ต้องขออนุญาตกลาโหมเพื่อนำเข้า ยอดจำหน่ายมีแค่นิดเดียว จึงไม่คุ้มที่จะผลิตในประเทศไทย ถาม: “ที่ว่า ปืนสมิธฯสี่สี่แม็กนั่มแม่นยำกว่าปืนอื่นนั้นเป็นอย่างไร?” ตอบ: จากบทความต่างประเทศ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 629 แม็กน่าคลาสสิค ลำกล้องยาว 8 3/8 นิ้วฟุต ยิงด้วยกระสุน Garrett Cartridges หัวกระสุนหนัก 320 เกรน ความเร็วต้น 1,315 ฟุต/วินาที จากระยะยิง 25 หลา(ประมาณ 23 เมตร)จำนวน 6 นัดทำกลุ่มกระสุนได้ 1 นิ้วฟุต กระสุน Carbon Hunter หัวกระสุนหนัก 260 เกรน หัวรู(Hollow Point) ความเร็วต้น 1,450 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 1,214 ฟุต-ปอนด์ ระยะยิง 25 หลา จำนวน 6 นัดทำกลุ่มได้ 1x2 นิ้วฟุต ทั้งนี้ยังไม่มีการยิงพิสูจน์ความแม่นยำเทียบระหว่าง Smith&Wesson, Colt Anaconda, Ruger Super Redhawk ทั้งเมืองนอกและในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ถาม: “ถ้าจะซื้อปืนสั้นลูกโม่สี่สี่แม็กนั่มสักกระบอกในชีวิตจะเลือกอะไรดี?” ตอบ: ถ้าเลือกความประณีตแม่นยำ(Precision/Accuracy)ก็ต้องสมิธแอนด์เวสสัน ถ้าชอบความแข็งแรงบึกบึนทนทาน(Strong, Durability & Reliability)ก็ต้องฟันธงว่ารูเก้อร์ ส่วนอะนาคอนด้า(Anaconda)เป็นอะไรๆ ที่ต้องเป็นยี่ห้อโค้ลท์ไว้ก่อน ถาม: “ปืนสั้นลูกโม่เล่นกระสุนสี่สี่แม็กนั่มแบบไหนดี?” ตอบ: นักเลงสี่สี่แม็กนั่มตัวจริงจะเล่นกระสุน “หัวตัน-หัวหนัก” ไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็น Jacketed Soft Point, Semi-Wadcutter, Flat/Leaded Nose, รวมทั้งกระสุนพิเศษซาบ้อต(Sabot) จากประสบการณ์ส่วนตัว สี่สี่แม็กนั่มหัวรู น้ำหนัก 240 เกรน แม้จะมีความเร็วสูงถึงขั้น 1,400 ฟุต/วินาที จะมีปัญหา “เหินลม” ทำให้วิถีกระสุน(Trajectory)ไม่ราบเรียบไม่แม่นยำเท่าควร ขณะที่กระสุนหัวตัน น้ำหนักหัวกระสุนมากๆ (หรือบางทีก็น้ำหนัก 240 เกรนเท่ากัน) แต่ปลอกกระสุนมีเข็มขัดรัดหรือรอยย้ำ 2 แถว แม้ความเร็วน้อยกว่าแต่ให้ความแม่นยำหนักแน่นสูงกว่ามาก เรียกว่าได้ใจทุกนัดไป ข้อเสีย คือ ยิงสะบัดกัดมือมากกว่ากระสุนรุ่นใหม่ๆ ประมาณ +15%-20% ถาม: “ปืนสี่สี่แม็กนั่มต้องระวังอะไรบ้าง? ติดศูนย์กล้องดีไหม?” ตอบ: ข้อหนึ่ง-ถ้าเป็นเหล็กสแตนเลส เช่น โมเดล 629 และ 629 คลาสสิค ควรใส่กล่องเก็บหรือไม่ก็ตัดซองหนังใส่ปืนเก็บรักษา เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน รอยขนแมว ที่เกิดขึ้นเพราะผิวเหล็กสแตนเลสเนื้ออ่อนกว่าเหล็ก ข้อสอง-ไม่ควรใช้ยาขัดโลหะชนิดที่มีสารชะล้าง(Solven)ขัดถูกตัวปืน เพราะจะทำให้ตัวอักษรที่แกะสลักด้วยเลเซอร์เคลือบสีทองไว้ลางเลือนจางหาย ข้อสาม-หมั่นตรวจขันหมุดสกรูที่ตัวปืนทั้งก่อนและหลังการยิง เนื่องจากแรงสะบัดสะท้อนรุนแรงทำให้หมุดสกรูคลายตัวและอาจหลุดกระเด็นหาย ข้อสี่-ถึงจะหาซื้อกระสุนได้มากก็ไม่ควรยิงเล่นบ่อยๆ เพราะจะทำให้ตัวปืนทรุดโทรมเร็วกว่าที่ควรอย่างน่าเสียดาย ข้อห้า-อย่านำมายิงแห้งหรือเหนี่ยวไกเล่น(โดยไม่บรรจุกระสุนในตัวปืน)บ่อยๆ กลไกปืนอาจชำรุดเสียหาย โดยเฉพาะเข็มแทงชนวนอาจหักโดยไม่รู้ตัว ข้อหก-ติดศูนย์กล้องเล็งได้ในกำลังขยายภาพไม่เกิน 4 เท่า สูงกว่านั้นจะเล็งยิงได้ลำบาก มือสั่นสายตาพร่ามัวเพราะไม่กล้าลั่นกระสุน(เพราะภาพมันฟ้องว่าศูนย์ปืนไม่เข้าเป้าเนื่องจากมือผู้ยิงสั่นไปมา) แต่สุดท้ายก็ต้องถอดศูนย์กล้องเล็งออกเพราะรู้สึกเกะกะหนักตัวปืนเปล่าๆ สรุปท้ายเรื่อง... สมิธแอนด์เวสสัน สี่สี่แม็กนั่ม เป็นทรัพย์สมบัติที่คู่ควรต่อผู้มีบารมีและนักสะสมปืนมากกว่าการมีใช้เพื่อต่อสู้ป้องกันชีวิตทรัพย์สิน ไม่ใช่ปืนสั้นประจำกายอย่างแน่นอน แต่จะเหมาะที่สุดในกรณีท่องไพรสำรวจป่าที่พกไว้ข้างเอวหรือข้างสีข้างลำตัวเพื่อป้องกันสัตว์เขี้ยวยาวดุร้ายต่างๆ แม้ปัจจุบัน ตลาดปืนโลกจะมี “ปืนโหดกระสุนดุ” รุ่นใหม่ๆที่มีอานุภาพสูงกว่าสี่สี่แม็กนั่ม ไม่ว่าจะเป็น .454 Casull, .460 S&W Magnum, .500 S&W Magnum, และอื่นๆ แต่ “สี่สี่แม็กนั่มยังจะเป็นเพื่อนที่ดีของนักเล่นปืนตลอดไป” ขอบคุณครับ...
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • พบกับ Bovet Virtuoso XI โครงกระดูกเต็มเรือนแรกแบบใหม่ที่มีตัวเรือนไวท์โกลด์ 18k ขนาด 44 มม. ซึ่งทุกอย่างถูกแกะสลักด้วยมือทั้งหมด: ตูร์บิญงบิน ระบบการกรอกลับแบบใหม่ที่ได้รับสิทธิบัตร และการสำรองพลังงานมหาศาลถึง 10 วัน การพัฒนามุ่งเป้าไปที่การปรับปรุงความแม่นยำและความน่าเชื่อถืออยู่เสมอ ขณะเดียวกันก็ให้ความเป็นมิตรต่อผู้ใช้และความซับซ้อนที่ปรับให้เข้ากับเวลาและความต้องการของนักสะสม นี่คือความรู้ของ House of Bovet! Virtuoso XI ใหม่มาในตัวเรือนไวท์โกลด์ 18k พร้อมตัวเลือกสำหรับการแกะสลักหรือขัดเงาสูง และประดับด้วยเพชรสีขาวเจิดจ้าหรือไม่ได้เจียระไน • 📸
    พบกับ Bovet Virtuoso XI โครงกระดูกเต็มเรือนแรกแบบใหม่ที่มีตัวเรือนไวท์โกลด์ 18k ขนาด 44 มม. ซึ่งทุกอย่างถูกแกะสลักด้วยมือทั้งหมด: ตูร์บิญงบิน ระบบการกรอกลับแบบใหม่ที่ได้รับสิทธิบัตร และการสำรองพลังงานมหาศาลถึง 10 วัน การพัฒนามุ่งเป้าไปที่การปรับปรุงความแม่นยำและความน่าเชื่อถืออยู่เสมอ ขณะเดียวกันก็ให้ความเป็นมิตรต่อผู้ใช้และความซับซ้อนที่ปรับให้เข้ากับเวลาและความต้องการของนักสะสม นี่คือความรู้ของ House of Bovet! Virtuoso XI ใหม่มาในตัวเรือนไวท์โกลด์ 18k พร้อมตัวเลือกสำหรับการแกะสลักหรือขัดเงาสูง และประดับด้วยเพชรสีขาวเจิดจ้าหรือไม่ได้เจียระไน • 📸
    0 Comments 0 Shares 147 Views 33 0 Reviews
  • UGG
    CHESTER CAPRA SLIPPER
    Size. US 11 /UK 10 /EUR 44 /29 cm

    🔥 Price : 690฿

    UGG แบรนด์แฟชั่นจากรองเท้าชาวเลมาสู่แฟชั่นระดับโลก มีที่มาจากรองเท้าขนแกะของชาวเลในออสเตรเลีย แต่ปัจจุบันเป็นของบริษัท Deckers Outdoor ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน และได้รับความนิยมไปทั่วโลก เนื่องจากความสบายและความอบอุ่นของรองเท้า

    👉 รายละเอียด :-
    UGG : CHESTER CAPRA SLIPPER คือนวัตกรรมใหม่ที่ใช้บนท้องถนนในรูปทรงที่เรียบง่ายผสมผสานความสบายของรองเท้าแตะและการใช้งานของรองเท้าลำลองเข้าด้วยกัน หนังแกะนุ่มๆและพื้นรองเท้าด้านนอกยางวัลคาไนซ์ เป็นสิ่งยืนยันถึงประโยชน์ใช้สอยในชีวิตประจำวันของ Chester Capra Slipper
    🔹ส่วนบนทำจากหนังแกะที่หนานุ่ม
    🔹ตะเข็บตกแต่งให้ดูโดดเด่น
    🔹เชือกผูกหนังแบบตายตัว
    🔹ซับในทำจากหนังแกะ
    🔹พื้นรองเท้าชั้นกลางทำจาก EVA Foam
    🔹พื้นรองเท้าด้านนอกทำจาก Vulcanized Rubber แบบฉีดขึ้นรูป
    🔹โลโก้ UGG® ประทับด้วยความร้อนบนพื้นรองเท้า

    👉 เรื่องราว :-
    แบรนด์ UGG โดยบริษัท Deckers Outdoor ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน มีรากฐานมาจากรองเท้าที่ทำจากขนแกะของชาวเลในออสเตรเลียสู่แฟชั่นระดับโลก ซึ่งสวมใส่เพื่อความอบอุ่นในสภาพอากาศหนาวเย็น

    แบรนด์ UGG ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในกลุ่มนักเล่นเซิร์ฟและนักสกี เนื่องจากความนุ่มสบายและความอบอุ่นของรองเท้า จนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในสหรัฐอเมริกา และก็ขยายตลาดไปทั่วโลก กลายเป็นแฟชั่นไอเท็มที่ได้รับความนิยมจากคนทุกเพศทุกวัย
    UGG CHESTER CAPRA SLIPPER Size. US 11 /UK 10 /EUR 44 /29 cm 🔥 Price : 690฿ UGG แบรนด์แฟชั่นจากรองเท้าชาวเลมาสู่แฟชั่นระดับโลก มีที่มาจากรองเท้าขนแกะของชาวเลในออสเตรเลีย แต่ปัจจุบันเป็นของบริษัท Deckers Outdoor ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน และได้รับความนิยมไปทั่วโลก เนื่องจากความสบายและความอบอุ่นของรองเท้า 👉 รายละเอียด :- UGG : CHESTER CAPRA SLIPPER คือนวัตกรรมใหม่ที่ใช้บนท้องถนนในรูปทรงที่เรียบง่ายผสมผสานความสบายของรองเท้าแตะและการใช้งานของรองเท้าลำลองเข้าด้วยกัน หนังแกะนุ่มๆและพื้นรองเท้าด้านนอกยางวัลคาไนซ์ เป็นสิ่งยืนยันถึงประโยชน์ใช้สอยในชีวิตประจำวันของ Chester Capra Slipper 🔹ส่วนบนทำจากหนังแกะที่หนานุ่ม 🔹ตะเข็บตกแต่งให้ดูโดดเด่น 🔹เชือกผูกหนังแบบตายตัว 🔹ซับในทำจากหนังแกะ 🔹พื้นรองเท้าชั้นกลางทำจาก EVA Foam 🔹พื้นรองเท้าด้านนอกทำจาก Vulcanized Rubber แบบฉีดขึ้นรูป 🔹โลโก้ UGG® ประทับด้วยความร้อนบนพื้นรองเท้า 👉 เรื่องราว :- แบรนด์ UGG โดยบริษัท Deckers Outdoor ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน มีรากฐานมาจากรองเท้าที่ทำจากขนแกะของชาวเลในออสเตรเลียสู่แฟชั่นระดับโลก ซึ่งสวมใส่เพื่อความอบอุ่นในสภาพอากาศหนาวเย็น แบรนด์ UGG ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในกลุ่มนักเล่นเซิร์ฟและนักสกี เนื่องจากความนุ่มสบายและความอบอุ่นของรองเท้า จนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในสหรัฐอเมริกา และก็ขยายตลาดไปทั่วโลก กลายเป็นแฟชั่นไอเท็มที่ได้รับความนิยมจากคนทุกเพศทุกวัย
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • "🌧️ #เคล็ดลับรับมือฤดูฝน: ดูแลเมล่อนอย่างมือโปร! 🍈

    วันนี้ที่ Silver Valley - เมล่อนเอมเมอรัล อันดามันของเรากำลังติดผล! 🌱

    👨‍🌾 วิธีจัดการสวนช่วงฝนตกทุกบ่าย:
    1. ตัดแต่งใบล่าง 5-6 ใบ เพื่อให้โคนต้นโปร่ง
    2. เพิ่มการระบายอากาศ ลดความเสี่ยงโรคเชื้อรา
    3. หลังตัดแต่ง พ่น #ไตรโคบิวพลัส ป้องกันเชื้อราที่แผล

    💪 #ผลลัพธ์ที่ได้:
    • ต้นสมบูรณ์แข็งแรง ใบใหญ่
    • ไม่พบโรคไวรัส เชื้อรา หรือแมลงรบกวน
    • ป้องกันโรคราน้ำค้างได้ดีเยี่ยม

    🔑 #เคล็ดลับความสำเร็จ:
    พ่น #ไตรโคบิวพลัส ทุก 5 วันตลอดการปลูก

    🐐 Fun Fact: เศษยอด ใบ และแขนงที่ตัดแต่ง เราให้เป็นอาหารสัตว์:
    • เฉาก๊วย • นมสด • มอคค่า • ลาเต้
    ปลอดสารพิษ 100% แพะ แกะ และนกกระจอกเทศกินได้อย่างปลอดภัย!

    🌟 ลิตเติ้ลฟาร์ม พร้อมสนับสนุนการปลูกเมล่อนของคุณ:
    • ปุ๋ย AB เมล่อนคุณภาพสูง
    • ธาตุอาหารบำรุงต้น
    • ชีวภัณฑ์ป้องกันโรคและแมลง
    • คำปรึกษาฟรีตลอดการปลูก!

    📞 สนใจสอบถาม: 093-696-2691
    💬 หรือทัก Inbox ได้เลยครับ

    #เมล่อนชีวภัณฑ์ #เกษตรปลอดสาร #SilverValley #ลิตเติ้ลฟาร์ม"
    "🌧️ #เคล็ดลับรับมือฤดูฝน: ดูแลเมล่อนอย่างมือโปร! 🍈 วันนี้ที่ Silver Valley - เมล่อนเอมเมอรัล อันดามันของเรากำลังติดผล! 🌱 👨‍🌾 วิธีจัดการสวนช่วงฝนตกทุกบ่าย: 1. ตัดแต่งใบล่าง 5-6 ใบ เพื่อให้โคนต้นโปร่ง 2. เพิ่มการระบายอากาศ ลดความเสี่ยงโรคเชื้อรา 3. หลังตัดแต่ง พ่น #ไตรโคบิวพลัส ป้องกันเชื้อราที่แผล 💪 #ผลลัพธ์ที่ได้: • ต้นสมบูรณ์แข็งแรง ใบใหญ่ • ไม่พบโรคไวรัส เชื้อรา หรือแมลงรบกวน • ป้องกันโรคราน้ำค้างได้ดีเยี่ยม 🔑 #เคล็ดลับความสำเร็จ: พ่น #ไตรโคบิวพลัส ทุก 5 วันตลอดการปลูก 🐐 Fun Fact: เศษยอด ใบ และแขนงที่ตัดแต่ง เราให้เป็นอาหารสัตว์: • เฉาก๊วย • นมสด • มอคค่า • ลาเต้ ปลอดสารพิษ 100% แพะ แกะ และนกกระจอกเทศกินได้อย่างปลอดภัย! 🌟 ลิตเติ้ลฟาร์ม พร้อมสนับสนุนการปลูกเมล่อนของคุณ: • ปุ๋ย AB เมล่อนคุณภาพสูง • ธาตุอาหารบำรุงต้น • ชีวภัณฑ์ป้องกันโรคและแมลง • คำปรึกษาฟรีตลอดการปลูก! 📞 สนใจสอบถาม: 093-696-2691 💬 หรือทัก Inbox ได้เลยครับ #เมล่อนชีวภัณฑ์ #เกษตรปลอดสาร #SilverValley #ลิตเติ้ลฟาร์ม"
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • ❤️ส่งด่วน1วัน รีวิวเยอะสุด 🙏เกรดพรีเมี่ยม ทุเรียนหมอนทอง จันทบุรี แกะเนื้อล้วน พร้อมทาน 🚚ส่งรถเย็น
    พิกัด: https://s.shopee.co.th/3q4lnB45iK
    ❤️ส่งด่วน1วัน รีวิวเยอะสุด 🙏เกรดพรีเมี่ยม ทุเรียนหมอนทอง จันทบุรี แกะเนื้อล้วน พร้อมทาน 🚚ส่งรถเย็น พิกัด: https://s.shopee.co.th/3q4lnB45iK
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • เสียสละไก่ทอดแสนอร่อย

    เรื่องมีอยู่ว่า มียายหลานเดินผ่านเต๊นท์พี่ทหาร สังกัดโรงเรียนช่างฝีมือทหาร

    หนูน้อยบอกคุณยายว่าอยากกิน KFC แต่ร้านมันปิด

    ทหารนายหนึ่ง ลงพื้นที่น้ำท่วม และกำลังจะแกะกล่องไก่ทอด ที่ได้รับสนับสนุนมาจาก พื้นที่อื่นได้ยินเข้า

    เขารีบเอา KFC ของเขาที่อยู่ในมือมอบให้ทันที

    ผู้บังคับบัญชาถามทหารหนุ่ม

    "แล้วเราน่ะ จะกินอะไร ให้เขาไปหมดแล้ว"

    ทหารหนุ่มตอบว่า เราไม่กินก็ได้ครับให้คนที่นี่ได้กินก่อน

    #ประทับใจ
    #ชื่นชมทหารกล้า
    #ล้านความดี
    เสียสละไก่ทอดแสนอร่อย เรื่องมีอยู่ว่า มียายหลานเดินผ่านเต๊นท์พี่ทหาร สังกัดโรงเรียนช่างฝีมือทหาร หนูน้อยบอกคุณยายว่าอยากกิน KFC แต่ร้านมันปิด ทหารนายหนึ่ง ลงพื้นที่น้ำท่วม และกำลังจะแกะกล่องไก่ทอด ที่ได้รับสนับสนุนมาจาก พื้นที่อื่นได้ยินเข้า เขารีบเอา KFC ของเขาที่อยู่ในมือมอบให้ทันที ผู้บังคับบัญชาถามทหารหนุ่ม "แล้วเราน่ะ จะกินอะไร ให้เขาไปหมดแล้ว" ทหารหนุ่มตอบว่า เราไม่กินก็ได้ครับให้คนที่นี่ได้กินก่อน #ประทับใจ #ชื่นชมทหารกล้า #ล้านความดี
    Like
    Love
    3
    1 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • #เดอะลู๊ค บ่อนลอยฟ้า

    เราท่านอาจเคยเห็นโฆษณาเว็บพนันที่บอกว่า“เป็นเว็บตรง API จากต่างประเทศ ใช้ระบบฝากถอนออโต้”

    แปะ Banner เว็บพนันโฆษณาชวนเชื่อล่อผีพนันกันมีให้เห็นทุกแพล็ตฟอร์มออนไลน์ แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าการฝากถอนออโต้มันทำกันได้ด้วยเหรอ.?

    ก็การฝากถอนเงินใดๆกับสถาบันการเงิน มันต้องทำโดยสุจริตทุกการฝาก-ถอน จะถูก Record จัดเก็บไว้นานนับ 10 ปี

    เจ้าหน้าที่รัฐสามารถขอบัญชีมาตรวจสอบได้ และเส้นเงินมันไม่เคยโกหก เว้นเสียแต่ว่าพนักงานธนาคารจะทุจริต

    แล้วทำไมคนทำเว็บพนันถึงมีระบบฝากถอนเงินได้ตลอดเวลา เหมือนสถาบันการเงินยังไงยังงั้นเลย.?

    โพสต์นี้จะเขียนถึงระบบฝากถอนออโต้ของ #เดอะลู๊ค ตัวตึงบ่อนลอยฟ้า ที่จัดจำหน่ายระบบฝากถอนออโตให้คนทำเว็บพนันมานานมากแล้ว

    (ล่าสุดแหล่งข่าวเรายืนยันข้อมูลว่าคดีของ เดอะลู๊ค และคดีของป้ายแพง อัยการจะสั่งไม่ฟ้องทั้ง 2 คดี จับตาดูจะสั่ง เร็วๆนี้)
    ---------

    ระบบฝากถอนโต้..หลักการทำงานโดยปกติแล้วในการฝาก จะใช้ในการเปรียบเทียบ ยอดฝากจากธนาคาร

    สมมุติว่าลูกค้าฝากมา 100 บาท ระบบของเว็บพนันก็จะเช็คยอด 100 บาทนี้

    ถ้าหากชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชีตรงกับ ชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชี ที่มีในระบบ ก็จะให้เติมเครดิตให้ลูกค้าคนนี้ไป

    การถอนก็ใช้หลักการ โอนเงินผ่านระบบหลังบ้าน โดยที่ไม่ต้องมีคนมานั่งโอนเงินใน App มือถือ

    ระบบถอนนี้จะใช้อยู่ 2 วิธีคือ ..
    1. ให้แอดมินโอนเงินผ่าน app ธนาคาร
    2. ยืนยันจากระบบหลังบ้าน แล้วระบบก็จะโอนเงินให้เอง

    แล้วจะเช็คยอดเงินในธนาคารกันอย่างไร.?

    พวกนี้จะมีวิธีการ เช็ค ผ่าน sms alert จากธนาคาร หรือ หน้าเว็บ และ app ธนาคาร หากเช็คผ่าน sms alert

    พวกนี้จะมีการสร้าง app ขึ้นมาตัวหนึ่ง เพื่อมาเก็บ notification ในมือถือ แล้วส่งต่อไปที่เซิร์ฟเวอร์

    แล้วนำข้อความนั้นไป เปรียบเทียบในระบบ เพื่อจะเติมเครดิตให้ลูกค้า โดยการเช็คผ่าน sms alert

    ทางธนาคารจะมีการส่ง จำนวนยอด และ เลขบัญชี 4 ตัวท้าย หรือ 6 ตัวท้าย แล้วก็ ชื่อ - นามสกุล มานั้นเอง

    app จะส่งต่อข้อความเข้าเซิร์ฟเวอร์ ที่เว็บพนันสร้างขึ้นมา
    👉 https://play.google.com/store/apps/details?id=com.exp.ff http://dd88bet.com/app_sms.apk

    หากเช็คผ่านหน้าเว็บ เช่น scbeasy หรือ kbiz พวกนี้จะสร้างบอทมาตัวหนึ่งเพื่อจะให้บอทตัวนี้ไปเช็คยอดเงินในหน้าเว็บธนาคารต่างๆ

    โดยจะตั้งเวลาในการเข้าไปเช็ค เช่น ทุกๆ 5 นาที เพื่อไม่ให้ธนาคารจับได้ โดยปกติแล้วหากเราเข้าหน้าเว็บถี่เกินไป

    ธนาคารจะมีการป้องกันโดยใช้ reCAPTCHA (เครื่องมือตรวจจับว่าผู้ใช้เป็นมนุษย์จริงๆไหม)แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก

    เพราะเว็บพนันมันจะใช้วิธีการ bypass captcha เพื่อเข้าใช้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แล้วบอทก็จะเข้าเช็คว่ามียอดใหม่มาไหม

    ถ้ามียอดใหม่เข้ามาก็ให้ดึงยอดนั้นมาเปรียบเทียบในระบบหลังบ้าน

    ในการเปรียบเทียบในหน้าเว็บ ธนาคารจะมีเวลา จำนวนเงิน และ ชื่อ - นามสกุล ให้

    โดยที่เขาจะเอาเวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุลนี้ เป็นการเช็คยอดต่างๆ

    หากสมมุติว่าลูกค้าฝาก 100 บาทยอดแรกเลย บอทก็จะเอายอดนี้ไปเช็คในระบบหลังบ้านว่ามียอดนี้ไหม

    ถ้าไม่มีก็ให้ดึงยอดนี้มา แล้วถ้ามียอดที่ 2 มาก็เอามาเช็คอีกรอบว่า ยอดนี้ ( เวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุล ) นี้ มีในระบบไหม

    ถ้าไม่มีก็ดึงมาเติมได้เลย แต่ถ้าสมมุติว่ามี ก็จะข้ามไปดึงยอดอื่น แค่นั้นเอง

    หากผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เวลาเราเปิดบัญชีใหม่ขึ้นมา แล้วหากเราต้องการเข้าใช้งาน app ธนาคารในมือถือ

    ในการเชื่อมทางธนาคารจะให้กรอก บัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตร ATM

    แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาไปเชื่อมกับบัญชีไว้ได้เลย ใช่ไหม.?

    แต่..พวกเว็บพนันมันล้ำกว่านั้น มันจะมีการแกะ app หรือแฮก

    โดยหลักแล้วก็ต้อง root เครื่องมือถือ แล้ว bypass เพื่อเอาเส้น api ใน app มาทำเป็น web application

    เพื่อที่พวกมันจะไม่ต้องทำธุรกรรมต่างๆผ่าน app มือถือ แต่ไปทำผ่านเว็บแทน ทุกอย่างที่ทำผ่านหน้าเว็บก็จะเหมือนใน app มือถือหมด

    ในการเชื่อมก็ต้องกรอก เลขประชาชน ปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตรเอทีเอ็ม แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาเชื่อมกับบัญชีไว้ เหมือนกัน

    พอกรอกเสร็จก็สามารถใช้ โอน เช็คยอดเข้า-ออก ดูจำนวนคงเหลือ ถอนเงิน ได้เหมือน app ธนาคารเลย

    แล้วพวกคนทำเว็บพนันมันเช็คยอดเงินกันอย่างไร.?

    หากใช้ผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เงินเข้า-ออก เราก็สามารถดูได้ทันที แบบ Real-time เลย

    อันนี้แหละพวกมันจะเอา api ในส่วนเงินเข้าออก มาเช็คแล้วเปรียบเทียบ เหมือนกับทุกๆอันที่อธิบายไปตอนต้น

    แต่มันต่างกันที่หากผ่านแอพธนาคาร สามารถใช้โอนได้ ปกติแล้วพวกเว็บพนันก็จะใช้วิธีนี้ในการทำระบบถอนออโต้ โดยที่เอา เส้น api ในส่วนของการโอนเงินไปใช้

    แล้วเอาไปเช็คว่า หากสมมุติว่าลูกค้าแจ้งถอนมา 100 บาท ระบบหลังบ้านก็จะเอาข้อมูลลูกค้าคนนั้น เช่น ชื่อ - นามสกุล เลขบัญชี จำนวนเงิน ไปกรอก

    ในสิ่งที่ต้องกรอกก็มีแค่ เลขบัญชี จำนวนเงิน แต่ชื่อจะเป็นการเปรียบเทียบว่าตรงกับลูกค้าไหม

    แต่จริงๆส่วนใหญ่แล้ว เขาจะให้แอดมินเช็คเองว่าชื่อตรงกันไหม ถ้าตรงก็กดยืนยันถอนไปให้ หรือ โอนให้

    ทุกครั้งก่อนจะถอนเงินจะมีการยืนยันทุกครั้ง เหมือนที่เราทำการโอนเงินให้คนอื่นใน app มือถือ เราก็แค่กรอกเลขบัญชี จำนวนเงินที่จะโอนให้แค่นั้นเอง

    app สำหรับแกะธนาคาร (รีบดูก่อนถูกลบทิ้ง)
    👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/kbrg.apk (ธนาคาร Kbank)

    👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/Register+KPLUS+GSB.apk ( ธนาคาร Kbank และ GSB)

    แล้วอีกวิธีระบบถอน ผ่าน หน้าเว็บธนาคาร เช่น scbeasy แต่วิธีนี้ไม่ค่อยได้ใช้กัน ส่วนมากเขาจะใช้ในกรณีที่แบบอื่นมีปัญหา

    โดยที่ใช้บอทไปกรอกข้อมูลเช่น เลขบัญชี จำนวน แต่กรณีโอนผ่านหน้าเว็บ ทุกครั้งต้องยืนยัน otp แต่ก็สามารถทำได้เหมือนกัน

    โดยใช้หลักการเหมือนเช็คยอดผ่าน sms alert โดยเขาจะให้บอทเอา otp นั้นมากรอกอีกครั้ง เพื่อจะทำการโอน

    ต้องขอบอกเลยว่าคนกลุ่มนี้โคตรอันตราย ต่อระบบการเงินของประเทศไทย

    ขอแนะนำให้แฟนเพจคัดลอกบทความเก็บไว้ก่อน แล้วค่อยอ่าน เผื่อถูกรายงานโพสต์ปลิวไปยังมีบทความอ่าน

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    #เดอะลู๊ค บ่อนลอยฟ้า เราท่านอาจเคยเห็นโฆษณาเว็บพนันที่บอกว่า“เป็นเว็บตรง API จากต่างประเทศ ใช้ระบบฝากถอนออโต้” แปะ Banner เว็บพนันโฆษณาชวนเชื่อล่อผีพนันกันมีให้เห็นทุกแพล็ตฟอร์มออนไลน์ แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าการฝากถอนออโต้มันทำกันได้ด้วยเหรอ.? ก็การฝากถอนเงินใดๆกับสถาบันการเงิน มันต้องทำโดยสุจริตทุกการฝาก-ถอน จะถูก Record จัดเก็บไว้นานนับ 10 ปี เจ้าหน้าที่รัฐสามารถขอบัญชีมาตรวจสอบได้ และเส้นเงินมันไม่เคยโกหก เว้นเสียแต่ว่าพนักงานธนาคารจะทุจริต แล้วทำไมคนทำเว็บพนันถึงมีระบบฝากถอนเงินได้ตลอดเวลา เหมือนสถาบันการเงินยังไงยังงั้นเลย.? โพสต์นี้จะเขียนถึงระบบฝากถอนออโต้ของ #เดอะลู๊ค ตัวตึงบ่อนลอยฟ้า ที่จัดจำหน่ายระบบฝากถอนออโตให้คนทำเว็บพนันมานานมากแล้ว (ล่าสุดแหล่งข่าวเรายืนยันข้อมูลว่าคดีของ เดอะลู๊ค และคดีของป้ายแพง อัยการจะสั่งไม่ฟ้องทั้ง 2 คดี จับตาดูจะสั่ง เร็วๆนี้) --------- ระบบฝากถอนโต้..หลักการทำงานโดยปกติแล้วในการฝาก จะใช้ในการเปรียบเทียบ ยอดฝากจากธนาคาร สมมุติว่าลูกค้าฝากมา 100 บาท ระบบของเว็บพนันก็จะเช็คยอด 100 บาทนี้ ถ้าหากชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชีตรงกับ ชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชี ที่มีในระบบ ก็จะให้เติมเครดิตให้ลูกค้าคนนี้ไป การถอนก็ใช้หลักการ โอนเงินผ่านระบบหลังบ้าน โดยที่ไม่ต้องมีคนมานั่งโอนเงินใน App มือถือ ระบบถอนนี้จะใช้อยู่ 2 วิธีคือ .. 1. ให้แอดมินโอนเงินผ่าน app ธนาคาร 2. ยืนยันจากระบบหลังบ้าน แล้วระบบก็จะโอนเงินให้เอง แล้วจะเช็คยอดเงินในธนาคารกันอย่างไร.? พวกนี้จะมีวิธีการ เช็ค ผ่าน sms alert จากธนาคาร หรือ หน้าเว็บ และ app ธนาคาร หากเช็คผ่าน sms alert พวกนี้จะมีการสร้าง app ขึ้นมาตัวหนึ่ง เพื่อมาเก็บ notification ในมือถือ แล้วส่งต่อไปที่เซิร์ฟเวอร์ แล้วนำข้อความนั้นไป เปรียบเทียบในระบบ เพื่อจะเติมเครดิตให้ลูกค้า โดยการเช็คผ่าน sms alert ทางธนาคารจะมีการส่ง จำนวนยอด และ เลขบัญชี 4 ตัวท้าย หรือ 6 ตัวท้าย แล้วก็ ชื่อ - นามสกุล มานั้นเอง app จะส่งต่อข้อความเข้าเซิร์ฟเวอร์ ที่เว็บพนันสร้างขึ้นมา 👉 https://play.google.com/store/apps/details?id=com.exp.ff http://dd88bet.com/app_sms.apk หากเช็คผ่านหน้าเว็บ เช่น scbeasy หรือ kbiz พวกนี้จะสร้างบอทมาตัวหนึ่งเพื่อจะให้บอทตัวนี้ไปเช็คยอดเงินในหน้าเว็บธนาคารต่างๆ โดยจะตั้งเวลาในการเข้าไปเช็ค เช่น ทุกๆ 5 นาที เพื่อไม่ให้ธนาคารจับได้ โดยปกติแล้วหากเราเข้าหน้าเว็บถี่เกินไป ธนาคารจะมีการป้องกันโดยใช้ reCAPTCHA (เครื่องมือตรวจจับว่าผู้ใช้เป็นมนุษย์จริงๆไหม)แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะเว็บพนันมันจะใช้วิธีการ bypass captcha เพื่อเข้าใช้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แล้วบอทก็จะเข้าเช็คว่ามียอดใหม่มาไหม ถ้ามียอดใหม่เข้ามาก็ให้ดึงยอดนั้นมาเปรียบเทียบในระบบหลังบ้าน ในการเปรียบเทียบในหน้าเว็บ ธนาคารจะมีเวลา จำนวนเงิน และ ชื่อ - นามสกุล ให้ โดยที่เขาจะเอาเวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุลนี้ เป็นการเช็คยอดต่างๆ หากสมมุติว่าลูกค้าฝาก 100 บาทยอดแรกเลย บอทก็จะเอายอดนี้ไปเช็คในระบบหลังบ้านว่ามียอดนี้ไหม ถ้าไม่มีก็ให้ดึงยอดนี้มา แล้วถ้ามียอดที่ 2 มาก็เอามาเช็คอีกรอบว่า ยอดนี้ ( เวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุล ) นี้ มีในระบบไหม ถ้าไม่มีก็ดึงมาเติมได้เลย แต่ถ้าสมมุติว่ามี ก็จะข้ามไปดึงยอดอื่น แค่นั้นเอง หากผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เวลาเราเปิดบัญชีใหม่ขึ้นมา แล้วหากเราต้องการเข้าใช้งาน app ธนาคารในมือถือ ในการเชื่อมทางธนาคารจะให้กรอก บัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตร ATM แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาไปเชื่อมกับบัญชีไว้ได้เลย ใช่ไหม.? แต่..พวกเว็บพนันมันล้ำกว่านั้น มันจะมีการแกะ app หรือแฮก โดยหลักแล้วก็ต้อง root เครื่องมือถือ แล้ว bypass เพื่อเอาเส้น api ใน app มาทำเป็น web application เพื่อที่พวกมันจะไม่ต้องทำธุรกรรมต่างๆผ่าน app มือถือ แต่ไปทำผ่านเว็บแทน ทุกอย่างที่ทำผ่านหน้าเว็บก็จะเหมือนใน app มือถือหมด ในการเชื่อมก็ต้องกรอก เลขประชาชน ปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตรเอทีเอ็ม แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาเชื่อมกับบัญชีไว้ เหมือนกัน พอกรอกเสร็จก็สามารถใช้ โอน เช็คยอดเข้า-ออก ดูจำนวนคงเหลือ ถอนเงิน ได้เหมือน app ธนาคารเลย แล้วพวกคนทำเว็บพนันมันเช็คยอดเงินกันอย่างไร.? หากใช้ผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เงินเข้า-ออก เราก็สามารถดูได้ทันที แบบ Real-time เลย อันนี้แหละพวกมันจะเอา api ในส่วนเงินเข้าออก มาเช็คแล้วเปรียบเทียบ เหมือนกับทุกๆอันที่อธิบายไปตอนต้น แต่มันต่างกันที่หากผ่านแอพธนาคาร สามารถใช้โอนได้ ปกติแล้วพวกเว็บพนันก็จะใช้วิธีนี้ในการทำระบบถอนออโต้ โดยที่เอา เส้น api ในส่วนของการโอนเงินไปใช้ แล้วเอาไปเช็คว่า หากสมมุติว่าลูกค้าแจ้งถอนมา 100 บาท ระบบหลังบ้านก็จะเอาข้อมูลลูกค้าคนนั้น เช่น ชื่อ - นามสกุล เลขบัญชี จำนวนเงิน ไปกรอก ในสิ่งที่ต้องกรอกก็มีแค่ เลขบัญชี จำนวนเงิน แต่ชื่อจะเป็นการเปรียบเทียบว่าตรงกับลูกค้าไหม แต่จริงๆส่วนใหญ่แล้ว เขาจะให้แอดมินเช็คเองว่าชื่อตรงกันไหม ถ้าตรงก็กดยืนยันถอนไปให้ หรือ โอนให้ ทุกครั้งก่อนจะถอนเงินจะมีการยืนยันทุกครั้ง เหมือนที่เราทำการโอนเงินให้คนอื่นใน app มือถือ เราก็แค่กรอกเลขบัญชี จำนวนเงินที่จะโอนให้แค่นั้นเอง app สำหรับแกะธนาคาร (รีบดูก่อนถูกลบทิ้ง) 👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/kbrg.apk (ธนาคาร Kbank) 👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/Register+KPLUS+GSB.apk ( ธนาคาร Kbank และ GSB) แล้วอีกวิธีระบบถอน ผ่าน หน้าเว็บธนาคาร เช่น scbeasy แต่วิธีนี้ไม่ค่อยได้ใช้กัน ส่วนมากเขาจะใช้ในกรณีที่แบบอื่นมีปัญหา โดยที่ใช้บอทไปกรอกข้อมูลเช่น เลขบัญชี จำนวน แต่กรณีโอนผ่านหน้าเว็บ ทุกครั้งต้องยืนยัน otp แต่ก็สามารถทำได้เหมือนกัน โดยใช้หลักการเหมือนเช็คยอดผ่าน sms alert โดยเขาจะให้บอทเอา otp นั้นมากรอกอีกครั้ง เพื่อจะทำการโอน ต้องขอบอกเลยว่าคนกลุ่มนี้โคตรอันตราย ต่อระบบการเงินของประเทศไทย ขอแนะนำให้แฟนเพจคัดลอกบทความเก็บไว้ก่อน แล้วค่อยอ่าน เผื่อถูกรายงานโพสต์ปลิวไปยังมีบทความอ่าน สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 128 Views 0 Reviews
  • ข้อตกลงเชิงนโยบายของยิวไซออนิสต์:

    นักวิชาการ เจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงและสื่อที่สนใจความมั่นคงของประเทศ ควรจะหาหนังสือเล่มนี้ให้เจอแล้วก็พากันอ่านเสีย เป็นข้อตกลงเชิงนโยบายว่าการจะเริ่มต้นจัดระเบียบโลกของยิวไซออนิสต์มีขั้นตอนอะไรบ้าง

    มีทั้งการควบคุมสื่อไปทั่วโลก (ทำได้แล้ว),การล้างสมองผู้คนด้วยข่าวเท็จ (มีไปทั่วแล้ว), การก่อสงครามในภูมิภาคต่างๆ เพื่อให้เกิดคลื่นอพยพไปทั่ว ทำให้คนต่างชาติพันธุ์ ต่างวัฒนธรรม ต่างศาสนาทะเลาะกัน (มีไปทั่วแล้ว),

    การให้กู้และเครดิตผ่านธนาคารโลกและ IMF แล้วบีบให้แก้กฎหมายเพื่อกลุ่มทุนจะเข้ามายึดทรัพยากรธรรมชาติได้ (มีแล้ว), ใช้ระบบวัตถุนิยมครอบงำศาสนา เป็นต้น
    ผมถึงมองว่าหน่วยความมั่นคงของไทยนั้นทำงานกันแบบอ่อนหัดกันมาก ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงก็อ่อนหัดมาก วันๆ คงคิดได้แค่หาวิธีจัดการพรรคส้ม แต่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว ศัตรูใหญ่ที่สุดซึ่งเป็นภัยคุกคามใหญ่ที่สุดคือกลุ่มยิวไซออนิสต์ที่ต้องการจัดระเบียบโลกอยู่ขณะนี้

    วงการสื่อก็แย่ครับ สื่อจำพวก investigative journalists ไม่มี ส่วนใหญ่มีแต่สื่อสากกะเบือไม่ออกดอก จับแพะชนแกะทั้งนั้น สื่อดียังมีน้อยมาก

    ใครที่ทำงานด้านความมั่นคง ไปติดตามอ่านข้อเขียนผมเก่าๆ ที่ blockdit ใช้ชื่อจริง นามสกุลจริง ตามไปอ่านเพิ่มเติมที่ VK และไปหาหนังสือนี้มาอ่านกันเสีย จะได้ฉลาดกันขึ้นครับ


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    ข้อตกลงเชิงนโยบายของยิวไซออนิสต์: นักวิชาการ เจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงและสื่อที่สนใจความมั่นคงของประเทศ ควรจะหาหนังสือเล่มนี้ให้เจอแล้วก็พากันอ่านเสีย เป็นข้อตกลงเชิงนโยบายว่าการจะเริ่มต้นจัดระเบียบโลกของยิวไซออนิสต์มีขั้นตอนอะไรบ้าง มีทั้งการควบคุมสื่อไปทั่วโลก (ทำได้แล้ว),การล้างสมองผู้คนด้วยข่าวเท็จ (มีไปทั่วแล้ว), การก่อสงครามในภูมิภาคต่างๆ เพื่อให้เกิดคลื่นอพยพไปทั่ว ทำให้คนต่างชาติพันธุ์ ต่างวัฒนธรรม ต่างศาสนาทะเลาะกัน (มีไปทั่วแล้ว), การให้กู้และเครดิตผ่านธนาคารโลกและ IMF แล้วบีบให้แก้กฎหมายเพื่อกลุ่มทุนจะเข้ามายึดทรัพยากรธรรมชาติได้ (มีแล้ว), ใช้ระบบวัตถุนิยมครอบงำศาสนา เป็นต้น ผมถึงมองว่าหน่วยความมั่นคงของไทยนั้นทำงานกันแบบอ่อนหัดกันมาก ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงก็อ่อนหัดมาก วันๆ คงคิดได้แค่หาวิธีจัดการพรรคส้ม แต่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว ศัตรูใหญ่ที่สุดซึ่งเป็นภัยคุกคามใหญ่ที่สุดคือกลุ่มยิวไซออนิสต์ที่ต้องการจัดระเบียบโลกอยู่ขณะนี้ วงการสื่อก็แย่ครับ สื่อจำพวก investigative journalists ไม่มี ส่วนใหญ่มีแต่สื่อสากกะเบือไม่ออกดอก จับแพะชนแกะทั้งนั้น สื่อดียังมีน้อยมาก ใครที่ทำงานด้านความมั่นคง ไปติดตามอ่านข้อเขียนผมเก่าๆ ที่ blockdit ใช้ชื่อจริง นามสกุลจริง ตามไปอ่านเพิ่มเติมที่ VK และไปหาหนังสือนี้มาอ่านกันเสีย จะได้ฉลาดกันขึ้นครับ ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • #เดอะลู๊ค บ่อนลอยฟ้า

    เราท่านอาจเคยเห็นโฆษณาเว็บพนันที่บอกว่า“เป็นเว็บตรง API จากต่างประเทศ ใช้ระบบฝากถอนออโต้”

    แปะ Banner เว็บพนันโฆษณาชวนเชื่อล่อผีพนันกันมีให้เห็นทุกแพล็ตฟอร์มออนไลน์ แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าการฝากถอนออโต้มันทำกันได้ด้วยเหรอ.?

    ก็การฝากถอนเงินใดๆกับสถาบันการเงิน มันต้องทำโดยสุจริตทุกการฝาก-ถอน จะถูก Record จัดเก็บไว้นานนับ 10 ปี

    เจ้าหน้าที่รัฐสามารถขอบัญชีมาตรวจสอบได้ และเส้นเงินมันไม่เคยโกหก เว้นเสียแต่ว่าพนักงานธนาคารจะทุจริต

    แล้วทำไมคนทำเว็บพนันถึงมีระบบฝากถอนเงินได้ตลอดเวลา เหมือนสถาบันการเงินยังไงยังงั้นเลย.?

    โพสต์นี้จะเขียนถึงระบบฝากถอนออโต้ของ #เดอะลู๊ค ตัวตึงบ่อนลอยฟ้า ที่จัดจำหน่ายระบบฝากถอนออโตให้คนทำเว็บพนันมานานมากแล้ว

    (ล่าสุดแหล่งข่าวเรายืนยันข้อมูลว่าคดีของ เดอะลู๊ค และคดีของป้ายแพง อัยการจะสั่งไม่ฟ้องทั้ง 2 คดี จับตาดูจะสั่ง เร็วๆนี้)
    ---------

    ระบบฝากถอนโต้..หลักการทำงานโดยปกติแล้วในการฝาก จะใช้ในการเปรียบเทียบ ยอดฝากจากธนาคาร

    สมมุติว่าลูกค้าฝากมา 100 บาท ระบบของเว็บพนันก็จะเช็คยอด 100 บาทนี้

    ถ้าหากชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชีตรงกับ ชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชี ที่มีในระบบ ก็จะให้เติมเครดิตให้ลูกค้าคนนี้ไป

    การถอนก็ใช้หลักการ โอนเงินผ่านระบบหลังบ้าน โดยที่ไม่ต้องมีคนมานั่งโอนเงินใน App มือถือ

    ระบบถอนนี้จะใช้อยู่ 2 วิธีคือ ..
    1. ให้แอดมินโอนเงินผ่าน app ธนาคาร
    2. ยืนยันจากระบบหลังบ้าน แล้วระบบก็จะโอนเงินให้เอง

    แล้วจะเช็คยอดเงินในธนาคารกันอย่างไร.?

    พวกนี้จะมีวิธีการ เช็ค ผ่าน sms alert จากธนาคาร หรือ หน้าเว็บ และ app ธนาคาร หากเช็คผ่าน sms alert

    พวกนี้จะมีการสร้าง app ขึ้นมาตัวหนึ่ง เพื่อมาเก็บ notification ในมือถือ แล้วส่งต่อไปที่เซิร์ฟเวอร์

    แล้วนำข้อความนั้นไป เปรียบเทียบในระบบ เพื่อจะเติมเครดิตให้ลูกค้า โดยการเช็คผ่าน sms alert

    ทางธนาคารจะมีการส่ง จำนวนยอด และ เลขบัญชี 4 ตัวท้าย หรือ 6 ตัวท้าย แล้วก็ ชื่อ - นามสกุล มานั้นเอง

    app จะส่งต่อข้อความเข้าเซิร์ฟเวอร์ ที่เว็บพนันสร้างขึ้นมา
    👉 https://play.google.com/store/apps/details?id=com.exp.ff http://dd88bet.com/app_sms.apk

    หากเช็คผ่านหน้าเว็บ เช่น scbeasy หรือ kbiz พวกนี้จะสร้างบอทมาตัวหนึ่งเพื่อจะให้บอทตัวนี้ไปเช็คยอดเงินในหน้าเว็บธนาคารต่างๆ

    โดยจะตั้งเวลาในการเข้าไปเช็ค เช่น ทุกๆ 5 นาที เพื่อไม่ให้ธนาคารจับได้ โดยปกติแล้วหากเราเข้าหน้าเว็บถี่เกินไป

    ธนาคารจะมีการป้องกันโดยใช้ reCAPTCHA (เครื่องมือตรวจจับว่าผู้ใช้เป็นมนุษย์จริงๆไหม)แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก

    เพราะเว็บพนันมันจะใช้วิธีการ bypass captcha เพื่อเข้าใช้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แล้วบอทก็จะเข้าเช็คว่ามียอดใหม่มาไหม

    ถ้ามียอดใหม่เข้ามาก็ให้ดึงยอดนั้นมาเปรียบเทียบในระบบหลังบ้าน

    ในการเปรียบเทียบในหน้าเว็บ ธนาคารจะมีเวลา จำนวนเงิน และ ชื่อ - นามสกุล ให้

    โดยที่เขาจะเอาเวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุลนี้ เป็นการเช็คยอดต่างๆ

    หากสมมุติว่าลูกค้าฝาก 100 บาทยอดแรกเลย บอทก็จะเอายอดนี้ไปเช็คในระบบหลังบ้านว่ามียอดนี้ไหม

    ถ้าไม่มีก็ให้ดึงยอดนี้มา แล้วถ้ามียอดที่ 2 มาก็เอามาเช็คอีกรอบว่า ยอดนี้ ( เวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุล ) นี้ มีในระบบไหม

    ถ้าไม่มีก็ดึงมาเติมได้เลย แต่ถ้าสมมุติว่ามี ก็จะข้ามไปดึงยอดอื่น แค่นั้นเอง

    หากผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เวลาเราเปิดบัญชีใหม่ขึ้นมา แล้วหากเราต้องการเข้าใช้งาน app ธนาคารในมือถือ

    ในการเชื่อมทางธนาคารจะให้กรอก บัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตร ATM

    แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาไปเชื่อมกับบัญชีไว้ได้เลย ใช่ไหม.?

    แต่..พวกเว็บพนันมันล้ำกว่านั้น มันจะมีการแกะ app หรือแฮก

    โดยหลักแล้วก็ต้อง root เครื่องมือถือ แล้ว bypass เพื่อเอาเส้น api ใน app มาทำเป็น web application

    เพื่อที่พวกมันจะไม่ต้องทำธุรกรรมต่างๆผ่าน app มือถือ แต่ไปทำผ่านเว็บแทน ทุกอย่างที่ทำผ่านหน้าเว็บก็จะเหมือนใน app มือถือหมด

    ในการเชื่อมก็ต้องกรอก เลขประชาชน ปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตรเอทีเอ็ม แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาเชื่อมกับบัญชีไว้ เหมือนกัน

    พอกรอกเสร็จก็สามารถใช้ โอน เช็คยอดเข้า-ออก ดูจำนวนคงเหลือ ถอนเงิน ได้เหมือน app ธนาคารเลย

    แล้วพวกคนทำเว็บพนันมันเช็คยอดเงินกันอย่างไร.?

    หากใช้ผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เงินเข้า-ออก เราก็สามารถดูได้ทันที แบบ Real-time เลย

    อันนี้แหละพวกมันจะเอา api ในส่วนเงินเข้าออก มาเช็คแล้วเปรียบเทียบ เหมือนกับทุกๆอันที่อธิบายไปตอนต้น

    แต่มันต่างกันที่หากผ่านแอพธนาคาร สามารถใช้โอนได้ ปกติแล้วพวกเว็บพนันก็จะใช้วิธีนี้ในการทำระบบถอนออโต้ โดยที่เอา เส้น api ในส่วนของการโอนเงินไปใช้

    แล้วเอาไปเช็คว่า หากสมมุติว่าลูกค้าแจ้งถอนมา 100 บาท ระบบหลังบ้านก็จะเอาข้อมูลลูกค้าคนนั้น เช่น ชื่อ - นามสกุล เลขบัญชี จำนวนเงิน ไปกรอก

    ในสิ่งที่ต้องกรอกก็มีแค่ เลขบัญชี จำนวนเงิน แต่ชื่อจะเป็นการเปรียบเทียบว่าตรงกับลูกค้าไหม

    แต่จริงๆส่วนใหญ่แล้ว เขาจะให้แอดมินเช็คเองว่าชื่อตรงกันไหม ถ้าตรงก็กดยืนยันถอนไปให้ หรือ โอนให้

    ทุกครั้งก่อนจะถอนเงินจะมีการยืนยันทุกครั้ง เหมือนที่เราทำการโอนเงินให้คนอื่นใน app มือถือ เราก็แค่กรอกเลขบัญชี จำนวนเงินที่จะโอนให้แค่นั้นเอง

    app สำหรับแกะธนาคาร (รีบดูก่อนถูกลบทิ้ง)
    👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/kbrg.apk (ธนาคาร Kbank)

    👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/Register+KPLUS+GSB.apk ( ธนาคาร Kbank และ GSB)

    แล้วอีกวิธีระบบถอน ผ่าน หน้าเว็บธนาคาร เช่น scbeasy แต่วิธีนี้ไม่ค่อยได้ใช้กัน ส่วนมากเขาจะใช้ในกรณีที่แบบอื่นมีปัญหา

    โดยที่ใช้บอทไปกรอกข้อมูลเช่น เลขบัญชี จำนวน แต่กรณีโอนผ่านหน้าเว็บ ทุกครั้งต้องยืนยัน otp แต่ก็สามารถทำได้เหมือนกัน

    โดยใช้หลักการเหมือนเช็คยอดผ่าน sms alert โดยเขาจะให้บอทเอา otp นั้นมากรอกอีกครั้ง เพื่อจะทำการโอน

    ต้องขอบอกเลยว่าคนกลุ่มนี้โคตรอันตราย ต่อระบบการเงินของประเทศไทย

    ขอแนะนำให้แฟนเพจคัดลอกบทความเก็บไว้ก่อน แล้วค่อยอ่าน เผื่อถูกรายงานโพสต์ปลิวไปยังมีบทความอ่าน

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน


    #เดอะลู๊ค บ่อนลอยฟ้า เราท่านอาจเคยเห็นโฆษณาเว็บพนันที่บอกว่า“เป็นเว็บตรง API จากต่างประเทศ ใช้ระบบฝากถอนออโต้” แปะ Banner เว็บพนันโฆษณาชวนเชื่อล่อผีพนันกันมีให้เห็นทุกแพล็ตฟอร์มออนไลน์ แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าการฝากถอนออโต้มันทำกันได้ด้วยเหรอ.? ก็การฝากถอนเงินใดๆกับสถาบันการเงิน มันต้องทำโดยสุจริตทุกการฝาก-ถอน จะถูก Record จัดเก็บไว้นานนับ 10 ปี เจ้าหน้าที่รัฐสามารถขอบัญชีมาตรวจสอบได้ และเส้นเงินมันไม่เคยโกหก เว้นเสียแต่ว่าพนักงานธนาคารจะทุจริต แล้วทำไมคนทำเว็บพนันถึงมีระบบฝากถอนเงินได้ตลอดเวลา เหมือนสถาบันการเงินยังไงยังงั้นเลย.? โพสต์นี้จะเขียนถึงระบบฝากถอนออโต้ของ #เดอะลู๊ค ตัวตึงบ่อนลอยฟ้า ที่จัดจำหน่ายระบบฝากถอนออโตให้คนทำเว็บพนันมานานมากแล้ว (ล่าสุดแหล่งข่าวเรายืนยันข้อมูลว่าคดีของ เดอะลู๊ค และคดีของป้ายแพง อัยการจะสั่งไม่ฟ้องทั้ง 2 คดี จับตาดูจะสั่ง เร็วๆนี้) --------- ระบบฝากถอนโต้..หลักการทำงานโดยปกติแล้วในการฝาก จะใช้ในการเปรียบเทียบ ยอดฝากจากธนาคาร สมมุติว่าลูกค้าฝากมา 100 บาท ระบบของเว็บพนันก็จะเช็คยอด 100 บาทนี้ ถ้าหากชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชีตรงกับ ชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชี ที่มีในระบบ ก็จะให้เติมเครดิตให้ลูกค้าคนนี้ไป การถอนก็ใช้หลักการ โอนเงินผ่านระบบหลังบ้าน โดยที่ไม่ต้องมีคนมานั่งโอนเงินใน App มือถือ ระบบถอนนี้จะใช้อยู่ 2 วิธีคือ .. 1. ให้แอดมินโอนเงินผ่าน app ธนาคาร 2. ยืนยันจากระบบหลังบ้าน แล้วระบบก็จะโอนเงินให้เอง แล้วจะเช็คยอดเงินในธนาคารกันอย่างไร.? พวกนี้จะมีวิธีการ เช็ค ผ่าน sms alert จากธนาคาร หรือ หน้าเว็บ และ app ธนาคาร หากเช็คผ่าน sms alert พวกนี้จะมีการสร้าง app ขึ้นมาตัวหนึ่ง เพื่อมาเก็บ notification ในมือถือ แล้วส่งต่อไปที่เซิร์ฟเวอร์ แล้วนำข้อความนั้นไป เปรียบเทียบในระบบ เพื่อจะเติมเครดิตให้ลูกค้า โดยการเช็คผ่าน sms alert ทางธนาคารจะมีการส่ง จำนวนยอด และ เลขบัญชี 4 ตัวท้าย หรือ 6 ตัวท้าย แล้วก็ ชื่อ - นามสกุล มานั้นเอง app จะส่งต่อข้อความเข้าเซิร์ฟเวอร์ ที่เว็บพนันสร้างขึ้นมา 👉 https://play.google.com/store/apps/details?id=com.exp.ff http://dd88bet.com/app_sms.apk หากเช็คผ่านหน้าเว็บ เช่น scbeasy หรือ kbiz พวกนี้จะสร้างบอทมาตัวหนึ่งเพื่อจะให้บอทตัวนี้ไปเช็คยอดเงินในหน้าเว็บธนาคารต่างๆ โดยจะตั้งเวลาในการเข้าไปเช็ค เช่น ทุกๆ 5 นาที เพื่อไม่ให้ธนาคารจับได้ โดยปกติแล้วหากเราเข้าหน้าเว็บถี่เกินไป ธนาคารจะมีการป้องกันโดยใช้ reCAPTCHA (เครื่องมือตรวจจับว่าผู้ใช้เป็นมนุษย์จริงๆไหม)แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะเว็บพนันมันจะใช้วิธีการ bypass captcha เพื่อเข้าใช้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แล้วบอทก็จะเข้าเช็คว่ามียอดใหม่มาไหม ถ้ามียอดใหม่เข้ามาก็ให้ดึงยอดนั้นมาเปรียบเทียบในระบบหลังบ้าน ในการเปรียบเทียบในหน้าเว็บ ธนาคารจะมีเวลา จำนวนเงิน และ ชื่อ - นามสกุล ให้ โดยที่เขาจะเอาเวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุลนี้ เป็นการเช็คยอดต่างๆ หากสมมุติว่าลูกค้าฝาก 100 บาทยอดแรกเลย บอทก็จะเอายอดนี้ไปเช็คในระบบหลังบ้านว่ามียอดนี้ไหม ถ้าไม่มีก็ให้ดึงยอดนี้มา แล้วถ้ามียอดที่ 2 มาก็เอามาเช็คอีกรอบว่า ยอดนี้ ( เวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุล ) นี้ มีในระบบไหม ถ้าไม่มีก็ดึงมาเติมได้เลย แต่ถ้าสมมุติว่ามี ก็จะข้ามไปดึงยอดอื่น แค่นั้นเอง หากผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เวลาเราเปิดบัญชีใหม่ขึ้นมา แล้วหากเราต้องการเข้าใช้งาน app ธนาคารในมือถือ ในการเชื่อมทางธนาคารจะให้กรอก บัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตร ATM แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาไปเชื่อมกับบัญชีไว้ได้เลย ใช่ไหม.? แต่..พวกเว็บพนันมันล้ำกว่านั้น มันจะมีการแกะ app หรือแฮก โดยหลักแล้วก็ต้อง root เครื่องมือถือ แล้ว bypass เพื่อเอาเส้น api ใน app มาทำเป็น web application เพื่อที่พวกมันจะไม่ต้องทำธุรกรรมต่างๆผ่าน app มือถือ แต่ไปทำผ่านเว็บแทน ทุกอย่างที่ทำผ่านหน้าเว็บก็จะเหมือนใน app มือถือหมด ในการเชื่อมก็ต้องกรอก เลขประชาชน ปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตรเอทีเอ็ม แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาเชื่อมกับบัญชีไว้ เหมือนกัน พอกรอกเสร็จก็สามารถใช้ โอน เช็คยอดเข้า-ออก ดูจำนวนคงเหลือ ถอนเงิน ได้เหมือน app ธนาคารเลย แล้วพวกคนทำเว็บพนันมันเช็คยอดเงินกันอย่างไร.? หากใช้ผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เงินเข้า-ออก เราก็สามารถดูได้ทันที แบบ Real-time เลย อันนี้แหละพวกมันจะเอา api ในส่วนเงินเข้าออก มาเช็คแล้วเปรียบเทียบ เหมือนกับทุกๆอันที่อธิบายไปตอนต้น แต่มันต่างกันที่หากผ่านแอพธนาคาร สามารถใช้โอนได้ ปกติแล้วพวกเว็บพนันก็จะใช้วิธีนี้ในการทำระบบถอนออโต้ โดยที่เอา เส้น api ในส่วนของการโอนเงินไปใช้ แล้วเอาไปเช็คว่า หากสมมุติว่าลูกค้าแจ้งถอนมา 100 บาท ระบบหลังบ้านก็จะเอาข้อมูลลูกค้าคนนั้น เช่น ชื่อ - นามสกุล เลขบัญชี จำนวนเงิน ไปกรอก ในสิ่งที่ต้องกรอกก็มีแค่ เลขบัญชี จำนวนเงิน แต่ชื่อจะเป็นการเปรียบเทียบว่าตรงกับลูกค้าไหม แต่จริงๆส่วนใหญ่แล้ว เขาจะให้แอดมินเช็คเองว่าชื่อตรงกันไหม ถ้าตรงก็กดยืนยันถอนไปให้ หรือ โอนให้ ทุกครั้งก่อนจะถอนเงินจะมีการยืนยันทุกครั้ง เหมือนที่เราทำการโอนเงินให้คนอื่นใน app มือถือ เราก็แค่กรอกเลขบัญชี จำนวนเงินที่จะโอนให้แค่นั้นเอง app สำหรับแกะธนาคาร (รีบดูก่อนถูกลบทิ้ง) 👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/kbrg.apk (ธนาคาร Kbank) 👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/Register+KPLUS+GSB.apk ( ธนาคาร Kbank และ GSB) แล้วอีกวิธีระบบถอน ผ่าน หน้าเว็บธนาคาร เช่น scbeasy แต่วิธีนี้ไม่ค่อยได้ใช้กัน ส่วนมากเขาจะใช้ในกรณีที่แบบอื่นมีปัญหา โดยที่ใช้บอทไปกรอกข้อมูลเช่น เลขบัญชี จำนวน แต่กรณีโอนผ่านหน้าเว็บ ทุกครั้งต้องยืนยัน otp แต่ก็สามารถทำได้เหมือนกัน โดยใช้หลักการเหมือนเช็คยอดผ่าน sms alert โดยเขาจะให้บอทเอา otp นั้นมากรอกอีกครั้ง เพื่อจะทำการโอน ต้องขอบอกเลยว่าคนกลุ่มนี้โคตรอันตราย ต่อระบบการเงินของประเทศไทย ขอแนะนำให้แฟนเพจคัดลอกบทความเก็บไว้ก่อน แล้วค่อยอ่าน เผื่อถูกรายงานโพสต์ปลิวไปยังมีบทความอ่าน สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 291 Views 0 Reviews
  • #เดอะลู๊ค Lucabet

    ล่าสุด..แหล่งข่าวแจ้งมาว่าคดีของเดอะลู๊ค-ป้ายแพง-หลวงดีด จะมีคำสั่งไม่ฟ้อง เราก็รอดูกันต่อไปว่าผลจะออกมาอย่างไร

    ep.นี้จะเอาแช็ตที่ทีมงานเราล่อซื้อคนในทีมงานของเดอะลู๊คมาให้อ่านเล่นกัน

    แช็ตสนทนาชุดนี้ทีมงานคุยกับคนของเดอะลู๊คตอนปลายปี 2565

    ทีมงานเจรจาล่อซื้อได้บัญชีม้าที่รับโอนเงินมา 1 บัญชี (ส่งให้เจ้าหน้าที่รัฐไปแล้ว)

    โฆษณาเว็บพนันที่มักจะขายขิงด้วยตรรกะที่ว่า..“เป็นเว็บตรงจากต่างประเทศ ระบบฝากถอนเงินอัตโนมัติ”

    เว็บตรงจากต่างประเทศ“ไม่มีอยู่จริง” ทุกเว็บล้วนเช่าสิทธิ์มาจากต่างประเทศ มีหลายสิทธิ์และ % ต่างกัน

    -company
    -shareholder
    -masteragent
    -agent
    -member

    👆สิทธิ์จะมีประมาณนี้

    ส่วนระบบฝากถอนเงินออโต้..มีอยู่จริง

    อ้าว.! ระบบการฝาก-ถอนเงินทุกบาท มันเป็นเรื่องของธนาคารนี่ แล้วเว็บพนันมันเอาระบบมาใช้ได้อย่างไร.?

    มีใครเคยรู้สึก เอ๊ะ ในใจกันบ้างไหมครับ.?

    ถ้าคนในธนาคารไม่ร่วมมือกับคนทำเว็บพนันระบบการฝากถอนออโต้ของเว็บพนันจะมีความเป็นไปได้แค่ 1 ข้อที่จะทำได้คือ..
    👉ใช้โปรแกรมเมอร์แกะเข้าไปใน app ธนาคาร

    เราเห็นโฆษณาฝากถอนออโต้ครั้งแรก เราเอ๊ะทันทีเพราะนี่มันเรื่องใหญ่ระดับประเทศเลยนะ เราจึงให้ทีมงานล่อซื้อจากแก๊ง..#เดอะลู๊ค

    พวกเราไล่ตามรอยไปจนรู้ว่า“คนในธนาคารไม่ต้องมีส่วนรู้เห็น”กับพวกทำเว็บพนัน พวกมันก็ทำกันได้อย่างงายดาย

    โปรแกรมเมอร์เว็บพนันจะใช้หลักการ reverse enging กันแทบทุกเว็บ

    เพื่อแกะเข้าไปใน app ของธนาคารเพื่อเอาเส้น api มาทำเป็นหน้าเว็บ สามารถฝาก-ถอนผ่านหน้าเว็บได้ โดยไม่ต้องผ่าน app ของธนาคาร

    ตอนหน้าจะเล่าให้อ่านเรื่องระบบฝาก-ถอนออโต้ของแก๊งตัวตึงบ่อนลอยฟ้า #เดอะลู๊ค มีหลักการแกะหน้าธนาคารมาได้อย่างไร

    จะดีลกับเดอะลู๊ค ก็ลองอ่านค่าใช้จ่ายในแช็ตดูให้จบ แต่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เรตราคาขยับไปกี่บาทแล้ว

    รู้ยัง.? ระบบ sms2pro กับ host2pro ก็เป็นของเดอะลู๊คเขานะฮะ แล้วพวกท่านจะสั่งไม่ฟ้องตัวอันตรายระดับประเทศอย่าง #เดอะลู๊ค Lucabet จริงๆอ่ะ.?

    #อย่าให้ความโลภครอบงำเจ้าได้ จงคิดถึงบุตรหลานของท่านที่อยู่ในประเทศอเมริกาให้เยอะๆ นะครับท่าน

    @เล้ง โอภาสี
    #เดอะลู๊ค Lucabet ล่าสุด..แหล่งข่าวแจ้งมาว่าคดีของเดอะลู๊ค-ป้ายแพง-หลวงดีด จะมีคำสั่งไม่ฟ้อง เราก็รอดูกันต่อไปว่าผลจะออกมาอย่างไร ep.นี้จะเอาแช็ตที่ทีมงานเราล่อซื้อคนในทีมงานของเดอะลู๊คมาให้อ่านเล่นกัน แช็ตสนทนาชุดนี้ทีมงานคุยกับคนของเดอะลู๊คตอนปลายปี 2565 ทีมงานเจรจาล่อซื้อได้บัญชีม้าที่รับโอนเงินมา 1 บัญชี (ส่งให้เจ้าหน้าที่รัฐไปแล้ว) โฆษณาเว็บพนันที่มักจะขายขิงด้วยตรรกะที่ว่า..“เป็นเว็บตรงจากต่างประเทศ ระบบฝากถอนเงินอัตโนมัติ” เว็บตรงจากต่างประเทศ“ไม่มีอยู่จริง” ทุกเว็บล้วนเช่าสิทธิ์มาจากต่างประเทศ มีหลายสิทธิ์และ % ต่างกัน -company -shareholder -masteragent -agent -member 👆สิทธิ์จะมีประมาณนี้ ส่วนระบบฝากถอนเงินออโต้..มีอยู่จริง อ้าว.! ระบบการฝาก-ถอนเงินทุกบาท มันเป็นเรื่องของธนาคารนี่ แล้วเว็บพนันมันเอาระบบมาใช้ได้อย่างไร.? มีใครเคยรู้สึก เอ๊ะ ในใจกันบ้างไหมครับ.? ถ้าคนในธนาคารไม่ร่วมมือกับคนทำเว็บพนันระบบการฝากถอนออโต้ของเว็บพนันจะมีความเป็นไปได้แค่ 1 ข้อที่จะทำได้คือ.. 👉ใช้โปรแกรมเมอร์แกะเข้าไปใน app ธนาคาร เราเห็นโฆษณาฝากถอนออโต้ครั้งแรก เราเอ๊ะทันทีเพราะนี่มันเรื่องใหญ่ระดับประเทศเลยนะ เราจึงให้ทีมงานล่อซื้อจากแก๊ง..#เดอะลู๊ค พวกเราไล่ตามรอยไปจนรู้ว่า“คนในธนาคารไม่ต้องมีส่วนรู้เห็น”กับพวกทำเว็บพนัน พวกมันก็ทำกันได้อย่างงายดาย โปรแกรมเมอร์เว็บพนันจะใช้หลักการ reverse enging กันแทบทุกเว็บ เพื่อแกะเข้าไปใน app ของธนาคารเพื่อเอาเส้น api มาทำเป็นหน้าเว็บ สามารถฝาก-ถอนผ่านหน้าเว็บได้ โดยไม่ต้องผ่าน app ของธนาคาร ตอนหน้าจะเล่าให้อ่านเรื่องระบบฝาก-ถอนออโต้ของแก๊งตัวตึงบ่อนลอยฟ้า #เดอะลู๊ค มีหลักการแกะหน้าธนาคารมาได้อย่างไร จะดีลกับเดอะลู๊ค ก็ลองอ่านค่าใช้จ่ายในแช็ตดูให้จบ แต่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เรตราคาขยับไปกี่บาทแล้ว รู้ยัง.? ระบบ sms2pro กับ host2pro ก็เป็นของเดอะลู๊คเขานะฮะ แล้วพวกท่านจะสั่งไม่ฟ้องตัวอันตรายระดับประเทศอย่าง #เดอะลู๊ค Lucabet จริงๆอ่ะ.? #อย่าให้ความโลภครอบงำเจ้าได้ จงคิดถึงบุตรหลานของท่านที่อยู่ในประเทศอเมริกาให้เยอะๆ นะครับท่าน @เล้ง โอภาสี
    4 Comments 0 Shares 323 Views 0 Reviews
  • คุณติ่งๆทั้งหลายขา….ฉุดไม่อยู่แล้วค่าาาา พี่ปูก้าวขึ้นไปในจุดที่สูงสุดแบบรวดเร็วปานกามนิตหนุ่มนั้นเชียว…

    ตอนสิบ……ปูตินที่ว่าเหนือชั้นแล้ว……เยลซินยิ่งเหนือกว่า……!!!

    จากสายตาของประชาชนทั่วไป นายกรัฐมนตรีปูติน คือ คนที่เยลซินเลือกมานั่งในตำแหน่ง เหมือนอย่างคนอื่นๆที่มาแล้วก็ไป จนผู้คนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร แถมไม่สนใจด้วยซ้ำ
    พอเรื่องสงครามที่เชเชนที่มีผลดี ชื่อปูตินก็ดีขึ้นมาหน่อย
    แต่ก็ยังเป็นหน้าใหม่อยู่ดี
    ในผลโพลความนิยมในเดือนตุลาคม กระเตื้องขึ้นมาเป็น 27 เปอร์เซ็นต์ ยังน้อยกว่า Primakov
    นโยบายพรรคการเมือง Unity ของเยลซิน คือ กึ่งสังคมนิยม
    แต่ที่ผ่านๆมา คือการสนับสนุนไปทางทหาร รักษาชายแดน
    เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ……จึงเชื่อได้ว่า ไม่น่าจะชนะแบบแลนด์สไลด์……
    ในเดือนตุลาคม ที่พอมองเห็นว่า คะแนนของพรรคยังอยู่หลังพรรคฝั่งซ้าย The Fatherland ที่มีฐานเสียงเป็นประชาชนรอบนอกส่วนใหญ่
    พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ฐานเสียงคือ มอสโคว์ เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และเหล่านายทุน (ที่จะไประดมมา……)
    ยกตัวอย่างเช่น Boris Berezovsky**(ที่เยลซินเทไปแล้ว…)
    เขาได้ใช้ความเป็นเจ้าของสถานีวิทยุ โทรทัศน์ ออกข่าว
    โจมตีคู่แข่งอย่าง Luzhkov ในเรื่อง คอร์รัปชั่นกันทั้งครอบครัว
    และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมในหลายคดี
    คนอื่นๆก็ถูกขุดขึ้นมาแฉโพยด้วย เป็นการสกัดไว้ชั้นหนึ่งก่อน
    การกล่าวหานี้ โดยปรกติแล้วมันเป็นยิ่งกว่าการหมิ่นประมาท
    แต่…มักใช้ได้ผลแบบทันตาเห็น (เรื่องคดีไว้ว่ากันทีหลัง…)

    แต่ที่ทุกคนไม่รู้……คือ เยลซินได้ฝากความหวังของรัสเซียทั้งหมดไว้กับนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งแกะกล่อง วลาดิเมียร์ ปูติน
    เมื่อช่วงปลายปี 1999 สุขภาพของเยลซินเริ่มถดถอย อีกทั้งเรื่องคดีความทางกฎหมาย เช่นเรื่องไล่อัยการ Skuratov ออกเพราะว่ามีเทปลับสามคนผัวเมีย……
    ซึ่งอัยการฟ้องกลับ……อีกทั้งสาวหาเรื่องอื่นเกี่ยวกับ”วงใน” และ”นายทุน” รวมทั้งการที่ครอบครัวของท่านผู้นำไปมีหุ้นอยู่ที่บริษัท Mabetex ในสวิตเซอร์แลนด์

    เยลซินเหลือเวลาไม่มากนักในการต่อสู้กับเกมชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะสำหรับเขาคือ ไม่มีโอกาสเพราะเป็นสมัยที่สอง และถ้าพรรคอื่นได้มาเป็น……นั่นหมายถึงเขาจะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก อย่าหวังว่าจะได้พึ่งพวกเศรษฐีนายทุน เพราะคนพวกนี้มักจะเกาะอยู่กับกลุ่มอำนาจที่อำนวยผลประโยชน์ให้ได้เท่านั้น

    หลังสงครามเชเชน……ปูตินได้รับความนิยมขึ้นมาถึง 40%
    แต่เขาไม่ได้ร่วมเป็นสมาขิกของพรรค Unity
    เพราะเขาต้องการความเป็นอิสระ จากกรอบนโยบาย
    หากแต่…เขาให้ความสนับสนุนโดยการให้สัมภาษณ์ว่า
    “ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมไม่ควรที่จะบอกว่าชื่นชอบพรรคไหนเป็นพิเศษ……แต่ถ้าในฐานะประชาชนคนธรรมดา ผมจะโหวตให้กับยูนิตี้……”

    วันที่ 14 ธันวาคม ก่อนวันเลือกตั้ง 5 วัน และเยลซินได้เรียกให้ปูตินไปพบเป็นการส่วนตัว……เพื่อที่จะบอกแผนการที่ได้ตระเตรียมไว้……

    “ฉันจะลาออกจากตำแหน่งแล้วนะ ปีนี้จะเป็นปีที่สำคัญมากแห่งศตวรรษ มันจะเป็นศตวรรษที่ยิ่งใหญ่ของนาย……วลาดิเมียร์ ปูติน……นายเข้าใจไหม…?”
    ปูตินส่ายหน้า….ไม่เข้าใจ……เพราะที่เคยคุยกันไว้ครั้งที่แล้ว คือ ถ้าเยลซินพ้นจากตำแหน่งไป……เขาก็จะลาออก จบชีวิตทางการเมือง……
    เยลซินกล่าวต่อว่า………
    “นายไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ฉันได้เตรียมแผนการไว้เรียบร้อยแล้ว นายก็รู้ดีถึงรัฐธรรมนูญในตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ว่า
    ถ้าประธานาธิบดีลาออกจากตำแหน่งกลางคัน ก่อนวันเลือกตั้ง
    ผู้ที่จะต้องดำรงตำแหน่งแทน คือ นายกรัฐมนตรี และการเลือกตั้งจะต้องมีขึ้นภายใน 90 วัน…นายเข้าใจหรือยัง…?

    ในเก้าสิบวันนี้แหละ คือ เก้าสิบวันที่นายจะได้ทำหน้าที่ สร้างความเลื่อมใสกับประชาชน เพื่อที่จะครองตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งต่อไป……”

    ปูตินนั่งนิ่งขึง………อยู่ในอาการสับสนปนทึ่ง สักพัก เขาตอบว่า
    “ผมยังไม่แน่ใจกับการที่จะตัดสินใจ เพราะเป้าหมายคือหน้าที่ที่ใหญ่ยิ่ง”

    เยลซินได้พูด(กล่อม) ต่อไปว่า……
    “ฟังนะ ตอนที่ฉันเข้ามาในสนามการเมืองในมอสโคว์ ตอนนั้นฉันอายุห้าสิบกว่าแล้ว ยังทำได้ แล้วหนุ่มๆไฟแรง มุ่งมั่นอย่างนายจะไปได้ไกล และจะดูแลบ้านเมืองไปได้อีกนาน จะรอให้แต่คนแก่มาทำงาน ชาติก็จะยิ่งถอยหลัง ฉันเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมานั่งในตำแหน่งนี้ มันไม่ง่าย มันเหนื่อย แต่เราถอยไม่ได้……นายเป็นคนที่เหมาะที่สุด……ว่าไง……ให้คำตอบฉันได้หรือยัง……วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช..?”
    ~~”วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช คือการเรียกเต็มยศ ที่แปลได้ว่า
    วลาดิเมียร์ บุตรชายนายวลาดิเมียร์…”

    ในที่สุด ปูตินได้ตกลงใจ รับข้อเสนอที่เยลชินบรรจงจัดแต่งให้
    เป็นความลับที่รู้กันแค่สองคน……ในใจความคือ เยลซินต้องการยิงนกหลายตัวในกระสุนนัดเดียว
    การที่ประกาศลาออกของเขานั้น คือ ……กระสุน
    นกตัวที่หนึ่ง คือ การเลือกตั้งที่จะตอนกลางปี คือ เดือนมิถุนายน จะต้องเลื่อนขึ้นมาในเดือนมีนาคม
    นกตัวที่สอง คือ เมื่อปูตินก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีรักษาการ จะได้”แสง” ทั้งหมดจากนอกและในประเทศ ไม่ต้องง้อสื่อไหนๆ ทุกคนย่อมติดตามทำข่าวประธานาธิบดีตามหน้าที่อยู่แล้ว
    นกตัวที่สาม……คือ กลุ่มที่จะล้างแค้นเยลซิน ก็จะหมดโอกาส
    เผลอๆจะถูกล้างเอง…
    นกตัวที่สี่……ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป……ปูตินก็จะได้เป็นประธานาธิบดีต่อไปอย่างแน่นอน เพราะกำลังอยู่ในขาขึ้น
    นกตัวที่ห้า……คือเหล่านายทุนทั้งหลายที่เกาะกินประเทศมาสุมหัวกันอยู่ในเครมลินตั้งแต่สมัยกอร์บาเชฟ จะได้โดนล้างบางเสียที…

    ต้องยกให้เยลซิน………เป็นขงเบ้งแห่งรัสเซีย….!!!!

    วันที่ 19 ธันวาคม 1999 ที่มีการเลือกตั้งผู้แทนเข้าสภา
    พรรคคอมมิวนิสต์ ได้ 24%, พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ได้ 23%
    พรรค Luzhkov-Primakov alliance ได้ 13%
    ซึ่งยังต้องมีการเลือกตั้งซ่อม ยังต้องดูบัตรเสีย และต้องผ่านขั้นตอนขบวนพิจารณาทางกฏหมาย ที่จะต้องใช้เวลาในช่วงหลังปีใหม่ไปแล้ว……

    เยลซินได้เตรียมการประกาศลาออกแบบฟ้าผ่าในวันสิ้นปี
    เพราะจะใช้เวลาที่ประธานาธิบดีกล่าวสวัสดีปีใหม่และอวยพรออกทีวี……ในคราวเดียวกัน
    ในเช้าวันนั้น ปูตินได้มาถึงพร้อมทีม ตั้งแต่เวลา 9:30 เพื่อซักซ้อมอัดเทปการอ่านคำรับแถลงการณ์ ที่มีทีท่าเขินอายนิดๆ
    เยลซินได้มีคำสั่งให้ฝ่ายความมั่นคงเตรียมการส่งกระเป๋าที่มี โค้ดสำหรับปุ่มกดนิวเคลียร์ทั้งหลายให้เรียบร้อย เพื่อที่จะส่งมอบให้กับประธานาธิบดีคนใหม่

    เมื่อเวลามาถึง……เที่ยงตรง สถานีโทรทัศน์ Ostankino ได้เตรียมออกอากาศในวาระสำคัญของการเริ่มต้นปี 2000
    ที่ประธานาธิบดีเยลซินได้เริ่มต้นว่า……

    “เพื่อนประชาชนที่รักทั้งหลาย……
    ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมามาก กับข่าวลือที่ว่า ข้าพเจ้าหวงอำนาจ
    เกาะติดเก้าอี้ ทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือ ไม่มีความจริงแต่ประการใด ข้าพเจ้าพร้อมที่จะมอบตำแหน่งให้กับผู้ที่รักชาติที่มีความสามารถ

    แต่ข้าพเจ้าต้องขออภัย ขอให้ยกโทษให้กับข้าพเจ้าในสิ่งที่อาจมีความผิดพลาด หรือ สร้างความไม่สบายใจ แต่จากนี้ไป ข้าพเจ้าได้หวังว่า เราจะได้รับแต่สิ่งดีๆ ประเทศชาติแข็งแกร่ง เจริญรุ่งเรือง มากไปกว่าที่ผ่านมา………
    รัสเซียควรเข้าสู่ยุคสองพัน ด้วยนักการเมืองรุ่นใหม่ ไฟแรง
    มีวิสัยทัศน์กระจ่างแจ้ง ในขณะที่ข้าพเจ้าที่มองเห็นตัวเองว่าเป็นคนรุ่นเก่า….จึงขออำลา……และเปิดทางให้เขาก้าวเข้ามา
    สร้างฝันของพวกเราให้เป็นจริง…”

    เยลซินได้กล่าวคำอำลา ด้วยน้ำตาของลูกผู้ชาย………

    ลุดมิลาไม่ได้ดูข่าวทีวี……แต่เพียงห้านาทีจากนั้น มีเพื่อนสาวโทรเข้ามาแสดงความยินดีและอวยพรที่เธอก็แสดงความยินดีตอบ เพราะคิดว่าเป็นการอวยพรวันปีใหม่
    เพื่อนต้องอธิบายให้ฟัง ว่า “สามีเธอน่ะ……เป็นประธานาธิบดีไปแล้ว..”
    ลุดมิลา…ไม่รู้เรื่องอะไรเลย……ปูตินไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังแม้แต่นิด เหมือนอย่างครั้งแรก ที่เช้ายังคุยกันดีๆ จู่ๆตอนบ่ายเขาก็เป็นผู้ว่านครเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก หรือ จากคนตกงาน กลายมาเป็น ผู้อำนวยการ FSB
    เธอก็ไม่แปลกใจอะไร……แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ ความเป็นอยู่ของครอบครัว ที่เหมือนเธอกลับเข้าสู่ยุคของมาดามสายลับอีกครั้ง ไปไหนก็จะมีทีมอารักขา ลูกๆต้องเรียนที่บ้านกับเหล่าติวเตอร์

    ลุดมิลามีเพื่อนน้อยมาก เพราะเธอไม่สามารถมีสังคมเหมือนคนทั่วไป อดีตเพื่อนสนิทคนหนึ่ง คือ Irene Pietsch เป็นภรรยาของนายธนาคารเยอรมัน ไอรีน ที่ลุดมิลาสามารถปรับทุกข์ได้
    ว่า ชีวิตสมรสของเธอมีปัญหา เธอไม่เคยมีเครดิตการ์ดเหมือนคนอื่นๆ ต้องใช้ชีวิตเหมือนค้างคาวที่ต้องอยู่ในความมืดตลอดเวลา ไม่เคยได้ไปไหนตามที่ต้องการ ไม่สามารถพูดในสิ่งที่ต้องการ เธออยากจะมีชีวิตที่เป็นอิสระเหมือนกับคนอื่นๆ
    ส่วนปูติน……ก็เคยบอกกับไอรีนในช่วงที่เคยไปเที่ยวพักร้อนด้วยกันว่า……

    “ถ้าใครสามารถอยู่กับเมียผมได้ถึงสามอาทิตย์ละก้อ……ผมจะสร้างอนุสาวรีย์ให้อย่างใหญ่เลยเชียว……”

    ลุดมิลา…ได้แต่หวังว่า สามีของเธอจะอยู่ในตำแหน่งในฐานะ
    ประธานาธิบดีรักษาการ ที่มีอายุสามเดือนเท่านั้น……
    เพราะถ้านานกว่านั้น……เธอคงรับไม่ไหว..!!!

    คนอื่นๆก็คงอยู่ไม่ไหวเหมือนกัน หมายถึงคนในเครมลิน
    เพราะนโยบายหลักของปูติน คือ ล้างบางคอร์รัปชั่น และ
    กำจัดเหลือบนายทุนที่เกาะกินอยู่กับรัฐบาลเยลซินมานานแสนนาน
    สอบสวนไปมา ปรากฏว่า มาเฟียตัวแม่……ที่ทำตัวเป็นสายใยชักเปอร์เซ็นต์ เป็นล็อบบี้กินส่วนแบ่ง ไม่ใช่ใครที่ไหน
    แต่ เธอคือ Tatyana Yumasheva ที่เป็นธิดาของอดีตประธานาธิบดีเยลซิน มือปั้นนั่นเอง
    ทาเทียน่า มีตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรีในเครมลิน
    และเป็นหนึ่งในวงในที่ประสานทางการเงินกับ Boris Berezovsky และ Roman Abramovich (อดีตเจ้าของทีมเชลซี) รวมทั้งมีส่วนได้ส่วนเสียกับเส้นทางการเงินที่ไหลไปในต่างประเทศ

    ปูตินได้ให้ความกรุณาสูงสุด คือ ไล่เธอออกจากตำแหน่งในเดือนแรกที่เขารับตำแหน่งประธานาธิบดี….!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    คุณติ่งๆทั้งหลายขา….ฉุดไม่อยู่แล้วค่าาาา พี่ปูก้าวขึ้นไปในจุดที่สูงสุดแบบรวดเร็วปานกามนิตหนุ่มนั้นเชียว… ตอนสิบ……ปูตินที่ว่าเหนือชั้นแล้ว……เยลซินยิ่งเหนือกว่า……!!! จากสายตาของประชาชนทั่วไป นายกรัฐมนตรีปูติน คือ คนที่เยลซินเลือกมานั่งในตำแหน่ง เหมือนอย่างคนอื่นๆที่มาแล้วก็ไป จนผู้คนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร แถมไม่สนใจด้วยซ้ำ พอเรื่องสงครามที่เชเชนที่มีผลดี ชื่อปูตินก็ดีขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังเป็นหน้าใหม่อยู่ดี ในผลโพลความนิยมในเดือนตุลาคม กระเตื้องขึ้นมาเป็น 27 เปอร์เซ็นต์ ยังน้อยกว่า Primakov นโยบายพรรคการเมือง Unity ของเยลซิน คือ กึ่งสังคมนิยม แต่ที่ผ่านๆมา คือการสนับสนุนไปทางทหาร รักษาชายแดน เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ……จึงเชื่อได้ว่า ไม่น่าจะชนะแบบแลนด์สไลด์…… ในเดือนตุลาคม ที่พอมองเห็นว่า คะแนนของพรรคยังอยู่หลังพรรคฝั่งซ้าย The Fatherland ที่มีฐานเสียงเป็นประชาชนรอบนอกส่วนใหญ่ พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ฐานเสียงคือ มอสโคว์ เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และเหล่านายทุน (ที่จะไประดมมา……) ยกตัวอย่างเช่น Boris Berezovsky**(ที่เยลซินเทไปแล้ว…) เขาได้ใช้ความเป็นเจ้าของสถานีวิทยุ โทรทัศน์ ออกข่าว โจมตีคู่แข่งอย่าง Luzhkov ในเรื่อง คอร์รัปชั่นกันทั้งครอบครัว และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมในหลายคดี คนอื่นๆก็ถูกขุดขึ้นมาแฉโพยด้วย เป็นการสกัดไว้ชั้นหนึ่งก่อน การกล่าวหานี้ โดยปรกติแล้วมันเป็นยิ่งกว่าการหมิ่นประมาท แต่…มักใช้ได้ผลแบบทันตาเห็น (เรื่องคดีไว้ว่ากันทีหลัง…) แต่ที่ทุกคนไม่รู้……คือ เยลซินได้ฝากความหวังของรัสเซียทั้งหมดไว้กับนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งแกะกล่อง วลาดิเมียร์ ปูติน เมื่อช่วงปลายปี 1999 สุขภาพของเยลซินเริ่มถดถอย อีกทั้งเรื่องคดีความทางกฎหมาย เช่นเรื่องไล่อัยการ Skuratov ออกเพราะว่ามีเทปลับสามคนผัวเมีย…… ซึ่งอัยการฟ้องกลับ……อีกทั้งสาวหาเรื่องอื่นเกี่ยวกับ”วงใน” และ”นายทุน” รวมทั้งการที่ครอบครัวของท่านผู้นำไปมีหุ้นอยู่ที่บริษัท Mabetex ในสวิตเซอร์แลนด์ เยลซินเหลือเวลาไม่มากนักในการต่อสู้กับเกมชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะสำหรับเขาคือ ไม่มีโอกาสเพราะเป็นสมัยที่สอง และถ้าพรรคอื่นได้มาเป็น……นั่นหมายถึงเขาจะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก อย่าหวังว่าจะได้พึ่งพวกเศรษฐีนายทุน เพราะคนพวกนี้มักจะเกาะอยู่กับกลุ่มอำนาจที่อำนวยผลประโยชน์ให้ได้เท่านั้น หลังสงครามเชเชน……ปูตินได้รับความนิยมขึ้นมาถึง 40% แต่เขาไม่ได้ร่วมเป็นสมาขิกของพรรค Unity เพราะเขาต้องการความเป็นอิสระ จากกรอบนโยบาย หากแต่…เขาให้ความสนับสนุนโดยการให้สัมภาษณ์ว่า “ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมไม่ควรที่จะบอกว่าชื่นชอบพรรคไหนเป็นพิเศษ……แต่ถ้าในฐานะประชาชนคนธรรมดา ผมจะโหวตให้กับยูนิตี้……” วันที่ 14 ธันวาคม ก่อนวันเลือกตั้ง 5 วัน และเยลซินได้เรียกให้ปูตินไปพบเป็นการส่วนตัว……เพื่อที่จะบอกแผนการที่ได้ตระเตรียมไว้…… “ฉันจะลาออกจากตำแหน่งแล้วนะ ปีนี้จะเป็นปีที่สำคัญมากแห่งศตวรรษ มันจะเป็นศตวรรษที่ยิ่งใหญ่ของนาย……วลาดิเมียร์ ปูติน……นายเข้าใจไหม…?” ปูตินส่ายหน้า….ไม่เข้าใจ……เพราะที่เคยคุยกันไว้ครั้งที่แล้ว คือ ถ้าเยลซินพ้นจากตำแหน่งไป……เขาก็จะลาออก จบชีวิตทางการเมือง…… เยลซินกล่าวต่อว่า……… “นายไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ฉันได้เตรียมแผนการไว้เรียบร้อยแล้ว นายก็รู้ดีถึงรัฐธรรมนูญในตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ว่า ถ้าประธานาธิบดีลาออกจากตำแหน่งกลางคัน ก่อนวันเลือกตั้ง ผู้ที่จะต้องดำรงตำแหน่งแทน คือ นายกรัฐมนตรี และการเลือกตั้งจะต้องมีขึ้นภายใน 90 วัน…นายเข้าใจหรือยัง…? ในเก้าสิบวันนี้แหละ คือ เก้าสิบวันที่นายจะได้ทำหน้าที่ สร้างความเลื่อมใสกับประชาชน เพื่อที่จะครองตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งต่อไป……” ปูตินนั่งนิ่งขึง………อยู่ในอาการสับสนปนทึ่ง สักพัก เขาตอบว่า “ผมยังไม่แน่ใจกับการที่จะตัดสินใจ เพราะเป้าหมายคือหน้าที่ที่ใหญ่ยิ่ง” เยลซินได้พูด(กล่อม) ต่อไปว่า…… “ฟังนะ ตอนที่ฉันเข้ามาในสนามการเมืองในมอสโคว์ ตอนนั้นฉันอายุห้าสิบกว่าแล้ว ยังทำได้ แล้วหนุ่มๆไฟแรง มุ่งมั่นอย่างนายจะไปได้ไกล และจะดูแลบ้านเมืองไปได้อีกนาน จะรอให้แต่คนแก่มาทำงาน ชาติก็จะยิ่งถอยหลัง ฉันเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมานั่งในตำแหน่งนี้ มันไม่ง่าย มันเหนื่อย แต่เราถอยไม่ได้……นายเป็นคนที่เหมาะที่สุด……ว่าไง……ให้คำตอบฉันได้หรือยัง……วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช..?” ~~”วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช คือการเรียกเต็มยศ ที่แปลได้ว่า วลาดิเมียร์ บุตรชายนายวลาดิเมียร์…” ในที่สุด ปูตินได้ตกลงใจ รับข้อเสนอที่เยลชินบรรจงจัดแต่งให้ เป็นความลับที่รู้กันแค่สองคน……ในใจความคือ เยลซินต้องการยิงนกหลายตัวในกระสุนนัดเดียว การที่ประกาศลาออกของเขานั้น คือ ……กระสุน นกตัวที่หนึ่ง คือ การเลือกตั้งที่จะตอนกลางปี คือ เดือนมิถุนายน จะต้องเลื่อนขึ้นมาในเดือนมีนาคม นกตัวที่สอง คือ เมื่อปูตินก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีรักษาการ จะได้”แสง” ทั้งหมดจากนอกและในประเทศ ไม่ต้องง้อสื่อไหนๆ ทุกคนย่อมติดตามทำข่าวประธานาธิบดีตามหน้าที่อยู่แล้ว นกตัวที่สาม……คือ กลุ่มที่จะล้างแค้นเยลซิน ก็จะหมดโอกาส เผลอๆจะถูกล้างเอง… นกตัวที่สี่……ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป……ปูตินก็จะได้เป็นประธานาธิบดีต่อไปอย่างแน่นอน เพราะกำลังอยู่ในขาขึ้น นกตัวที่ห้า……คือเหล่านายทุนทั้งหลายที่เกาะกินประเทศมาสุมหัวกันอยู่ในเครมลินตั้งแต่สมัยกอร์บาเชฟ จะได้โดนล้างบางเสียที… ต้องยกให้เยลซิน………เป็นขงเบ้งแห่งรัสเซีย….!!!! วันที่ 19 ธันวาคม 1999 ที่มีการเลือกตั้งผู้แทนเข้าสภา พรรคคอมมิวนิสต์ ได้ 24%, พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ได้ 23% พรรค Luzhkov-Primakov alliance ได้ 13% ซึ่งยังต้องมีการเลือกตั้งซ่อม ยังต้องดูบัตรเสีย และต้องผ่านขั้นตอนขบวนพิจารณาทางกฏหมาย ที่จะต้องใช้เวลาในช่วงหลังปีใหม่ไปแล้ว…… เยลซินได้เตรียมการประกาศลาออกแบบฟ้าผ่าในวันสิ้นปี เพราะจะใช้เวลาที่ประธานาธิบดีกล่าวสวัสดีปีใหม่และอวยพรออกทีวี……ในคราวเดียวกัน ในเช้าวันนั้น ปูตินได้มาถึงพร้อมทีม ตั้งแต่เวลา 9:30 เพื่อซักซ้อมอัดเทปการอ่านคำรับแถลงการณ์ ที่มีทีท่าเขินอายนิดๆ เยลซินได้มีคำสั่งให้ฝ่ายความมั่นคงเตรียมการส่งกระเป๋าที่มี โค้ดสำหรับปุ่มกดนิวเคลียร์ทั้งหลายให้เรียบร้อย เพื่อที่จะส่งมอบให้กับประธานาธิบดีคนใหม่ เมื่อเวลามาถึง……เที่ยงตรง สถานีโทรทัศน์ Ostankino ได้เตรียมออกอากาศในวาระสำคัญของการเริ่มต้นปี 2000 ที่ประธานาธิบดีเยลซินได้เริ่มต้นว่า…… “เพื่อนประชาชนที่รักทั้งหลาย…… ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมามาก กับข่าวลือที่ว่า ข้าพเจ้าหวงอำนาจ เกาะติดเก้าอี้ ทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือ ไม่มีความจริงแต่ประการใด ข้าพเจ้าพร้อมที่จะมอบตำแหน่งให้กับผู้ที่รักชาติที่มีความสามารถ แต่ข้าพเจ้าต้องขออภัย ขอให้ยกโทษให้กับข้าพเจ้าในสิ่งที่อาจมีความผิดพลาด หรือ สร้างความไม่สบายใจ แต่จากนี้ไป ข้าพเจ้าได้หวังว่า เราจะได้รับแต่สิ่งดีๆ ประเทศชาติแข็งแกร่ง เจริญรุ่งเรือง มากไปกว่าที่ผ่านมา……… รัสเซียควรเข้าสู่ยุคสองพัน ด้วยนักการเมืองรุ่นใหม่ ไฟแรง มีวิสัยทัศน์กระจ่างแจ้ง ในขณะที่ข้าพเจ้าที่มองเห็นตัวเองว่าเป็นคนรุ่นเก่า….จึงขออำลา……และเปิดทางให้เขาก้าวเข้ามา สร้างฝันของพวกเราให้เป็นจริง…” เยลซินได้กล่าวคำอำลา ด้วยน้ำตาของลูกผู้ชาย……… ลุดมิลาไม่ได้ดูข่าวทีวี……แต่เพียงห้านาทีจากนั้น มีเพื่อนสาวโทรเข้ามาแสดงความยินดีและอวยพรที่เธอก็แสดงความยินดีตอบ เพราะคิดว่าเป็นการอวยพรวันปีใหม่ เพื่อนต้องอธิบายให้ฟัง ว่า “สามีเธอน่ะ……เป็นประธานาธิบดีไปแล้ว..” ลุดมิลา…ไม่รู้เรื่องอะไรเลย……ปูตินไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังแม้แต่นิด เหมือนอย่างครั้งแรก ที่เช้ายังคุยกันดีๆ จู่ๆตอนบ่ายเขาก็เป็นผู้ว่านครเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก หรือ จากคนตกงาน กลายมาเป็น ผู้อำนวยการ FSB เธอก็ไม่แปลกใจอะไร……แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ ความเป็นอยู่ของครอบครัว ที่เหมือนเธอกลับเข้าสู่ยุคของมาดามสายลับอีกครั้ง ไปไหนก็จะมีทีมอารักขา ลูกๆต้องเรียนที่บ้านกับเหล่าติวเตอร์ ลุดมิลามีเพื่อนน้อยมาก เพราะเธอไม่สามารถมีสังคมเหมือนคนทั่วไป อดีตเพื่อนสนิทคนหนึ่ง คือ Irene Pietsch เป็นภรรยาของนายธนาคารเยอรมัน ไอรีน ที่ลุดมิลาสามารถปรับทุกข์ได้ ว่า ชีวิตสมรสของเธอมีปัญหา เธอไม่เคยมีเครดิตการ์ดเหมือนคนอื่นๆ ต้องใช้ชีวิตเหมือนค้างคาวที่ต้องอยู่ในความมืดตลอดเวลา ไม่เคยได้ไปไหนตามที่ต้องการ ไม่สามารถพูดในสิ่งที่ต้องการ เธออยากจะมีชีวิตที่เป็นอิสระเหมือนกับคนอื่นๆ ส่วนปูติน……ก็เคยบอกกับไอรีนในช่วงที่เคยไปเที่ยวพักร้อนด้วยกันว่า…… “ถ้าใครสามารถอยู่กับเมียผมได้ถึงสามอาทิตย์ละก้อ……ผมจะสร้างอนุสาวรีย์ให้อย่างใหญ่เลยเชียว……” ลุดมิลา…ได้แต่หวังว่า สามีของเธอจะอยู่ในตำแหน่งในฐานะ ประธานาธิบดีรักษาการ ที่มีอายุสามเดือนเท่านั้น…… เพราะถ้านานกว่านั้น……เธอคงรับไม่ไหว..!!! คนอื่นๆก็คงอยู่ไม่ไหวเหมือนกัน หมายถึงคนในเครมลิน เพราะนโยบายหลักของปูติน คือ ล้างบางคอร์รัปชั่น และ กำจัดเหลือบนายทุนที่เกาะกินอยู่กับรัฐบาลเยลซินมานานแสนนาน สอบสวนไปมา ปรากฏว่า มาเฟียตัวแม่……ที่ทำตัวเป็นสายใยชักเปอร์เซ็นต์ เป็นล็อบบี้กินส่วนแบ่ง ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่ เธอคือ Tatyana Yumasheva ที่เป็นธิดาของอดีตประธานาธิบดีเยลซิน มือปั้นนั่นเอง ทาเทียน่า มีตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรีในเครมลิน และเป็นหนึ่งในวงในที่ประสานทางการเงินกับ Boris Berezovsky และ Roman Abramovich (อดีตเจ้าของทีมเชลซี) รวมทั้งมีส่วนได้ส่วนเสียกับเส้นทางการเงินที่ไหลไปในต่างประเทศ ปูตินได้ให้ความกรุณาสูงสุด คือ ไล่เธอออกจากตำแหน่งในเดือนแรกที่เขารับตำแหน่งประธานาธิบดี….!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 587 Views 0 Reviews
  • #ความเชื่อ#
    #การรับรู้#
    #ความคิด#
    🪷🪷
    _ความเชื่อ (ย่อ)
    ลอยน้ำมาจากทางเหนือ กับพระพี่น้อง บางตำนานว่า 3 บางตำนานว่า 5 ถูกอัญเชิญขึ้น ณ วัดโสธรในปัจจุบัน
    _ การรับรู้ ผู้มิมิตรท่านนึง กล่าวว่า หล่อขึ้นที่เชียงใหม่ (จำตรงตรงนี้ไว้) และเมื่อเกิดสงคราม เข้าประชิดเมือง จึงผูกแพลอยน้ำไป เพื่อรอดจากการเผาทำลาย และมาขึ้นที่วัดโสธรในปัจจุบัน
    _ ความคิด จากหลักฐานเชิงประจักษ์ ชุมชนนี้เกิดขึ้นเพราะเป็นย่านการค้าขาย ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากเป็นปากอ่าวติดทะเล เมื่อมีชุมชน ก็มีศาสนสถาน (เป็นทุกอารยะธรรม) ในที่นี้ก็คือ วัด และศิลปะในองค์พระ คือ ศิลปะอยุธยาตอนปลาย และถูกแกะขึ้นจากหินทราย แบบหลายชิ้นมาประกอบกัน (ไม่ใช่การหล่อโลหะ) และยังพบพระพุทธรูปศิลปะแบบนี้ อีกหลายวัด ในบริเวณใกล้เคียงกันนี้ ....จากข้อมูลประกอบ จึงมีข้อสรุปที่ว่า ไม่ได้มาจากที่อื่น คงสร้างและอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรก
    🙂😊🙏 ท่านผู้อ่านจะเชื่อแบบใด แล้วแต่ท่านเลย เพราะเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล.
    #ความเชื่อ# #การรับรู้# #ความคิด# 🪷🪷 _ความเชื่อ (ย่อ) ลอยน้ำมาจากทางเหนือ กับพระพี่น้อง บางตำนานว่า 3 บางตำนานว่า 5 ถูกอัญเชิญขึ้น ณ วัดโสธรในปัจจุบัน _ การรับรู้ ผู้มิมิตรท่านนึง กล่าวว่า หล่อขึ้นที่เชียงใหม่ (จำตรงตรงนี้ไว้) และเมื่อเกิดสงคราม เข้าประชิดเมือง จึงผูกแพลอยน้ำไป เพื่อรอดจากการเผาทำลาย และมาขึ้นที่วัดโสธรในปัจจุบัน _ ความคิด จากหลักฐานเชิงประจักษ์ ชุมชนนี้เกิดขึ้นเพราะเป็นย่านการค้าขาย ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากเป็นปากอ่าวติดทะเล เมื่อมีชุมชน ก็มีศาสนสถาน (เป็นทุกอารยะธรรม) ในที่นี้ก็คือ วัด และศิลปะในองค์พระ คือ ศิลปะอยุธยาตอนปลาย และถูกแกะขึ้นจากหินทราย แบบหลายชิ้นมาประกอบกัน (ไม่ใช่การหล่อโลหะ) และยังพบพระพุทธรูปศิลปะแบบนี้ อีกหลายวัด ในบริเวณใกล้เคียงกันนี้ ....จากข้อมูลประกอบ จึงมีข้อสรุปที่ว่า ไม่ได้มาจากที่อื่น คงสร้างและอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรก 🙂😊🙏 ท่านผู้อ่านจะเชื่อแบบใด แล้วแต่ท่านเลย เพราะเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล.
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 300 Views 0 Reviews
  • BEARPAW
    SUEDE ANKLE BOOTS
    (American Footwear Brands)
    Size. EUR 39 /25 cm

    🔥Price : 750฿

    👉 เรื่องราว :-
    BEARPAW เป็นแบรนด์รองเท้า เครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับ ก่อตั้งโดย Tom Romeo ในปี 2544 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดนิยามใหม่ของรองเท้าลำลองโดยใช้หนังแกะเพื่อสร้างรองเท้าที่สะดวกสบายและมีสไตล์ ในกลุ่มตลาดรองเท้าที่มีการแข่งขันสูงที่สุดกลุ่มหนึ่ง โดยมี UGG Australia และ EMU Australia เป็นคู่แข่งหลักในการผลิตรองเท้าหนังแกะ Bearpaw ได้เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มด้วยการมอบความสะดวกสบายและความรู้สึกพิเศษให้กับลูกค้าเพื่อสร้างความแตกต่าง ร้านค้าปลีก Bearpaw แห่งแรกเปิดในเมือง Citrus Heights รัฐแคลิฟอร์เนียในปี 2554 ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ของแบรนด์

    ในปี 2018 แบรนด์เริ่มผลิตรองเท้าบูทวีแกน (ไม่ใช่หนังแกะ) โดยเฉพาะหนังกลับไมโครซูเอดวีแกน (โพลีเอสเตอร์) ซับในด้วยโพลีเอสเตอร์ผสม และพื้นรองเท้ายางชั้นนอก

    ในเดือนมิถุนายน 2561 Bearpaw ได้เข้าซื้อกิจการ Flip Flop Shops ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ Cherokee Inc. เป็นเจ้าของ

    สินค้า
    สินค้าซิกเนเจอร์ของ Bearpaw คือรองเท้าบูทหนังแกะ ซึ่งมีหลายสไตล์และหลายสี แบรนด์ยังผลิตรองเท้าเดินป่า รองเท้าแตะ รองเท้าผ้าใบ และเครื่องประดับสำหรับบุรุษ สตรี และเด็ก
    BEARPAW SUEDE ANKLE BOOTS (American Footwear Brands) Size. EUR 39 /25 cm 🔥Price : 750฿ 👉 เรื่องราว :- BEARPAW เป็นแบรนด์รองเท้า เครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับ ก่อตั้งโดย Tom Romeo ในปี 2544 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดนิยามใหม่ของรองเท้าลำลองโดยใช้หนังแกะเพื่อสร้างรองเท้าที่สะดวกสบายและมีสไตล์ ในกลุ่มตลาดรองเท้าที่มีการแข่งขันสูงที่สุดกลุ่มหนึ่ง โดยมี UGG Australia และ EMU Australia เป็นคู่แข่งหลักในการผลิตรองเท้าหนังแกะ Bearpaw ได้เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มด้วยการมอบความสะดวกสบายและความรู้สึกพิเศษให้กับลูกค้าเพื่อสร้างความแตกต่าง ร้านค้าปลีก Bearpaw แห่งแรกเปิดในเมือง Citrus Heights รัฐแคลิฟอร์เนียในปี 2554 ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ของแบรนด์ ในปี 2018 แบรนด์เริ่มผลิตรองเท้าบูทวีแกน (ไม่ใช่หนังแกะ) โดยเฉพาะหนังกลับไมโครซูเอดวีแกน (โพลีเอสเตอร์) ซับในด้วยโพลีเอสเตอร์ผสม และพื้นรองเท้ายางชั้นนอก ในเดือนมิถุนายน 2561 Bearpaw ได้เข้าซื้อกิจการ Flip Flop Shops ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ Cherokee Inc. เป็นเจ้าของ สินค้า สินค้าซิกเนเจอร์ของ Bearpaw คือรองเท้าบูทหนังแกะ ซึ่งมีหลายสไตล์และหลายสี แบรนด์ยังผลิตรองเท้าเดินป่า รองเท้าแตะ รองเท้าผ้าใบ และเครื่องประดับสำหรับบุรุษ สตรี และเด็ก
    0 Comments 0 Shares 141 Views 0 Reviews
  • Pierre Cardin
    Men’s Deluxe Sheepskin in Dark Brown Dress Shoes with Tassels
    Size. EUR 41 /26(26.5) cm

    🔥 Price : 970฿

    รองเท้าแบรนด์เก่าแก่จากฝรั่งเศส คู่นี้เป็นเดรสชูส์ที่มาในลุคคลาสสิกสุดหรูหรา ทรงสวมใช้หนังแกะนุ่มๆ ทรงกว้างมาตรฐานขนาด EE สามารถสวมใส่แมทช์กับชุดเสื้อผ้าทั้งแบบทางการและแบบลำลอง

    👉 เรื่องราว :-
    Pierre Cardin (ปิแอร์ การ์แดง) แบรนด์แฟชั่นเก่าแก่ระดับโลกของฝรั่งเศส มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ ศิลปะ และอื่นๆ อีกมากมาย โดยผู้ก่อตั้ง มิสเตอร์ ปิแอร์ การ์แดง Iconnic แห่งวงการแฟชั่น ผู้ปฏิวัติวงการแฟชั่นโลกมาอย่างยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์แห่งวงการแฟชั่น ทำให้ผลงานและผลิตภัณฑ์ได้รับการยอมรับและขยายไปยังกว่า 140 ประเทศทั่วโลก มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 1,000 รายการ
    Pierre Cardin Men’s Deluxe Sheepskin in Dark Brown Dress Shoes with Tassels Size. EUR 41 /26(26.5) cm 🔥 Price : 970฿ รองเท้าแบรนด์เก่าแก่จากฝรั่งเศส คู่นี้เป็นเดรสชูส์ที่มาในลุคคลาสสิกสุดหรูหรา ทรงสวมใช้หนังแกะนุ่มๆ ทรงกว้างมาตรฐานขนาด EE สามารถสวมใส่แมทช์กับชุดเสื้อผ้าทั้งแบบทางการและแบบลำลอง 👉 เรื่องราว :- Pierre Cardin (ปิแอร์ การ์แดง) แบรนด์แฟชั่นเก่าแก่ระดับโลกของฝรั่งเศส มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ ศิลปะ และอื่นๆ อีกมากมาย โดยผู้ก่อตั้ง มิสเตอร์ ปิแอร์ การ์แดง Iconnic แห่งวงการแฟชั่น ผู้ปฏิวัติวงการแฟชั่นโลกมาอย่างยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์แห่งวงการแฟชั่น ทำให้ผลงานและผลิตภัณฑ์ได้รับการยอมรับและขยายไปยังกว่า 140 ประเทศทั่วโลก มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 1,000 รายการ
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • Clarks
    (121113292)
    Clarks Originals Wallabee Suede Loafers Shoes
    Size. UK 7G /26 cm
    ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ Excellent Condition (95%+)

    🔥 Price : 1,390฿

    👉 เรื่องราว :-
    Clarks เป็นแบรนด์รองเท้าที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ ก่อตั้งขึ้นในปี 1825 โดยพี่น้องตระกูล Clark ที่มีความชำนาญในการทำรองเท้าหนังแกะ

    ✅ จุดเด่นของ Clarks :-
    🔹ประสบการณ์ยาวนาน : ด้วยประวัติอันยาวนานกว่า 190 ปี Clarks จึงสั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการผลิต รองเท้าที่มีคุณภาพและดีไซน์ที่โดดเด่น
    🔹นวัตกรรม : Clarks ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้รองเท้ามีความสบายและตอบสนองต่อความต้องการของผู้สวมใส่ได้มากยิ่งขึ้น
    🔹ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ : Clarks ผลิตรองเท้าหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่รองเท้าลำลองไปจนถึงรองเท้าทางการ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม
    🔹คุณภาพ : Clarks ให้ความสำคัญกับคุณภาพของวัสดุและกระบวนการผลิต เพื่อให้ได้รองเท้าที่มีความทนทานและใช้งานได้ยาวนาน
    🔹ความคลาสสิก : ดีไซน์ของรองเท้า Clarks มักมีความคลาสสิกและไม่ตกยุค ทำให้สามารถสวมใส่ได้ในทุกโอกาส
    🔹ความสบาย : รองเท้า Clarks เน้นเรื่องความสบายในการสวมใส่ ทำให้รู้สึกสบายเท้าตลอดทั้งวัน

    🔥รองเท้ารุ่นที่โด่งดัง :-
    🔹Desert Boot : รองเท้าบูทหนังกลับทรงคลาสสิกที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรองเท้าของทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
    🔹Wallabee : รองเท้าหนังกลับทรงโมคาซินที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยดีไซน์ที่เรียบง่ายแต่สวยงาม
    Clarks (121113292) Clarks Originals Wallabee Suede Loafers Shoes Size. UK 7G /26 cm ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ Excellent Condition (95%+) 🔥 Price : 1,390฿ 👉 เรื่องราว :- Clarks เป็นแบรนด์รองเท้าที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ ก่อตั้งขึ้นในปี 1825 โดยพี่น้องตระกูล Clark ที่มีความชำนาญในการทำรองเท้าหนังแกะ ✅ จุดเด่นของ Clarks :- 🔹ประสบการณ์ยาวนาน : ด้วยประวัติอันยาวนานกว่า 190 ปี Clarks จึงสั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการผลิต รองเท้าที่มีคุณภาพและดีไซน์ที่โดดเด่น 🔹นวัตกรรม : Clarks ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้รองเท้ามีความสบายและตอบสนองต่อความต้องการของผู้สวมใส่ได้มากยิ่งขึ้น 🔹ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ : Clarks ผลิตรองเท้าหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่รองเท้าลำลองไปจนถึงรองเท้าทางการ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม 🔹คุณภาพ : Clarks ให้ความสำคัญกับคุณภาพของวัสดุและกระบวนการผลิต เพื่อให้ได้รองเท้าที่มีความทนทานและใช้งานได้ยาวนาน 🔹ความคลาสสิก : ดีไซน์ของรองเท้า Clarks มักมีความคลาสสิกและไม่ตกยุค ทำให้สามารถสวมใส่ได้ในทุกโอกาส 🔹ความสบาย : รองเท้า Clarks เน้นเรื่องความสบายในการสวมใส่ ทำให้รู้สึกสบายเท้าตลอดทั้งวัน 🔥รองเท้ารุ่นที่โด่งดัง :- 🔹Desert Boot : รองเท้าบูทหนังกลับทรงคลาสสิกที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรองเท้าของทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 🔹Wallabee : รองเท้าหนังกลับทรงโมคาซินที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยดีไซน์ที่เรียบง่ายแต่สวยงาม
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews
  • BLACKSTONE
    Men’s Genuine Leather Boat Shoes
    Size. US 9 /EUR 42 /26.5(27) cm

    🔥 Price : 690฿

    รองเท้าหนังแท้ทรง Boat Shoes แบรนด์คุณภาพจากประเทศเนเธอร์แลนด์ วัสดุและการตัดเย็บดีมาก อัพเปอร์ทั้งภายนอกภายในใช้หนังแท้เกรดพรีเมี่ยม มาพร้อมปลอกนวมหุ้มข้อด้วยหนังแท้ช่วยให้ใส่กระชับข้อเท้า แผ่นรองพื้นรองเท้าเป็นยางปิดด้วยหนังแท้ พื้นรองเท้าด้านนอกเป็นยางและหนังกลับ สภาพโดยรวม 85%+ ทรงนี้ใส่เท่สามารถแมทช์กับสไตล์การแต่งตัวทั้งแบบทางการ และไม่ทางการได้

    👉 เรื่องราว :-
    🔹ปี 1926 : บริษัทการค้าหนังของ J.A. de Bruijn ก่อตั้งขึ้นที่เมือง Gouda ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยมีภารกิจในการจัดหาหนังคุณภาพดีที่สุดให้กับผู้ผลิตและช่างทำรองเท้าในท้องถิ่น
    🔹ปี 1992 : Blackstone Footwear ก่อตั้งขึ้น โดยเริ่มต้นด้วยการออกแบบและผลิตรองเท้าทำงานคุณภาพสูง ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของแบรนด์
    🔹ปี 2003 : Blackstone ได้ขยายการผลิตเพื่อเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ โดยนำเสนอชุดรองเท้าและแฟชั่นเพิ่มเติม ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นในโลกของแฟชั่นและรองเท้า
    🔹ปี 2010 : Blackstone ได้กลับมาที่จุดเริ่มต้น โดยเน้นการใช้หนังธรรมชาติและออกแบบรองเท้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค
    🔹ปี 2018 : Blackstone ได้แนะนำรองเท้าที่มีเอกลักษณ์ใหม่ๆ เช่น รองเท้าหนังแกะและรองเท้า 6" Original boot ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูง
    🔹ปี 2023 : Blackstone ได้ประกาศการเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่เพื่อเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์ของแบรนด์และการมีอยู่ทั่วโลก โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลก
    BLACKSTONE Men’s Genuine Leather Boat Shoes Size. US 9 /EUR 42 /26.5(27) cm 🔥 Price : 690฿ รองเท้าหนังแท้ทรง Boat Shoes แบรนด์คุณภาพจากประเทศเนเธอร์แลนด์ วัสดุและการตัดเย็บดีมาก อัพเปอร์ทั้งภายนอกภายในใช้หนังแท้เกรดพรีเมี่ยม มาพร้อมปลอกนวมหุ้มข้อด้วยหนังแท้ช่วยให้ใส่กระชับข้อเท้า แผ่นรองพื้นรองเท้าเป็นยางปิดด้วยหนังแท้ พื้นรองเท้าด้านนอกเป็นยางและหนังกลับ สภาพโดยรวม 85%+ ทรงนี้ใส่เท่สามารถแมทช์กับสไตล์การแต่งตัวทั้งแบบทางการ และไม่ทางการได้ 👉 เรื่องราว :- 🔹ปี 1926 : บริษัทการค้าหนังของ J.A. de Bruijn ก่อตั้งขึ้นที่เมือง Gouda ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยมีภารกิจในการจัดหาหนังคุณภาพดีที่สุดให้กับผู้ผลิตและช่างทำรองเท้าในท้องถิ่น 🔹ปี 1992 : Blackstone Footwear ก่อตั้งขึ้น โดยเริ่มต้นด้วยการออกแบบและผลิตรองเท้าทำงานคุณภาพสูง ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของแบรนด์ 🔹ปี 2003 : Blackstone ได้ขยายการผลิตเพื่อเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ โดยนำเสนอชุดรองเท้าและแฟชั่นเพิ่มเติม ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นในโลกของแฟชั่นและรองเท้า 🔹ปี 2010 : Blackstone ได้กลับมาที่จุดเริ่มต้น โดยเน้นการใช้หนังธรรมชาติและออกแบบรองเท้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค 🔹ปี 2018 : Blackstone ได้แนะนำรองเท้าที่มีเอกลักษณ์ใหม่ๆ เช่น รองเท้าหนังแกะและรองเท้า 6" Original boot ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูง 🔹ปี 2023 : Blackstone ได้ประกาศการเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่เพื่อเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์ของแบรนด์และการมีอยู่ทั่วโลก โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลก
    0 Comments 0 Shares 263 Views 0 Reviews
  • เปิดร้านเด็ดที่ซีฟู้ดสดแบบไม่มีอะไรกั้น กับ "บ้านปูเป็น 2 เพชรบุรี" ยกทะเลขึ้นมาบนโต๊ะ บรรยากาศร้านสุดชิลท่ามกลางวิวทุ่งนาเกลือ เหมาะกับการมากับแก๊งเพื่อนและครอบครัว เมนูเด็ดของที่นี่คือ "ปูนึ่ง" เนื้อสด หวาน แกะมาให้พร้อมกิน จิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บยิ่งฟินแบบสุด ๆ หรือจะลอง "ทะเลเผา" ซีฟู้ดรวมมิตรจัดเต็มมาในตะกร้าจานยักษ์ มีทั้งหอย ปู กุ้ง ปลาหมึก มาหลายคนต้องจัด และห้ามพลาด "กั้งกระดานทอดกระเทียม” ที่เนื้อแน่น กระเทียมกรุบกรอบ หอมไปทั้งโต๊ะ ใครได้กินก็อยากกลับมาซ้ำ!.

    พิกัด : บ้านปูเป็น2 เพชรบุรีสาขาแหลมผักเบี้ย

    #ชวนกิน #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    เปิดร้านเด็ดที่ซีฟู้ดสดแบบไม่มีอะไรกั้น กับ "บ้านปูเป็น 2 เพชรบุรี" ยกทะเลขึ้นมาบนโต๊ะ บรรยากาศร้านสุดชิลท่ามกลางวิวทุ่งนาเกลือ เหมาะกับการมากับแก๊งเพื่อนและครอบครัว เมนูเด็ดของที่นี่คือ "ปูนึ่ง" เนื้อสด หวาน แกะมาให้พร้อมกิน จิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บยิ่งฟินแบบสุด ๆ หรือจะลอง "ทะเลเผา" ซีฟู้ดรวมมิตรจัดเต็มมาในตะกร้าจานยักษ์ มีทั้งหอย ปู กุ้ง ปลาหมึก มาหลายคนต้องจัด และห้ามพลาด "กั้งกระดานทอดกระเทียม” ที่เนื้อแน่น กระเทียมกรุบกรอบ หอมไปทั้งโต๊ะ ใครได้กินก็อยากกลับมาซ้ำ!. พิกัด : บ้านปูเป็น2 เพชรบุรีสาขาแหลมผักเบี้ย #ชวนกิน #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 459 Views 0 Reviews
  • #เดอะลู๊ค Lucabet

    ล่าสุด..แหล่งข่าวแจ้งมาว่าคดีของเดอะลู๊ค-ป้ายแพง-หลวงดีด จะมีคำสั่งไม่ฟ้อง เราก็รอดูกันต่อไปว่าผลจะออกมาอย่างไร

    ep.นี้จะเอาแช็ตที่ทีมงานเราล่อซื้อคนในทีมงานของเดอะลู๊คมาให้อ่านเล่นกัน

    แช็ตสนทนาชุดนี้ทีมงานคุยกับคนของเดอะลู๊คตอนปลายปี 2565

    ทีมงานเจรจาล่อซื้อได้บัญชีม้าที่รับโอนเงินมา 1 บัญชี (ส่งให้เจ้าหน้าที่รัฐไปแล้ว)

    โฆษณาเว็บพนันที่มักจะขายขิงด้วยตรรกะที่ว่า..“เป็นเว็บตรงจากต่างประเทศ ระบบฝากถอนเงินอัตโนมัติ”

    เว็บตรงจากต่างประเทศ“ไม่มีอยู่จริง” ทุกเว็บล้วนเช่าสิทธิ์มาจากต่างประเทศ มีหลายสิทธิ์และ % ต่างกัน

    -company
    -shareholder
    -masteragent
    -agent
    -member

    👆สิทธิ์จะมีประมาณนี้

    ส่วนระบบฝากถอนเงินออโต้..มีอยู่จริง

    อ้าว.! ระบบการฝาก-ถอนเงินทุกบาท มันเป็นเรื่องของธนาคารนี่ แล้วเว็บพนันมันเอาระบบมาใช้ได้อย่างไร.?

    มีใครเคยรู้สึก เอ๊ะ ในใจกันบ้างไหมครับ.?

    ถ้าคนในธนาคารไม่ร่วมมือกับคนทำเว็บพนันระบบการฝากถอนออโต้ของเว็บพนันจะมีความเป็นไปได้แค่ 1 ข้อที่จะทำได้คือ..
    👉ใช้โปรแกรมเมอร์แกะเข้าไปใน app ธนาคาร

    เราเห็นโฆษณาฝากถอนออโต้ครั้งแรก เราเอ๊ะทันทีเพราะนี่มันเรื่องใหญ่ระดับประเทศเลยนะ เราจึงให้ทีมงานล่อซื้อจากแก๊ง..#เดอะลู๊ค

    พวกเราไล่ตามรอยไปจนรู้ว่า“คนในธนาคารไม่ต้องมีส่วนรู้เห็น”กับพวกทำเว็บพนัน พวกมันก็ทำกันได้อย่างงายดาย

    โปรแกรมเมอร์เว็บพนันจะใช้หลักการ reverse enging กันแทบทุกเว็บ

    เพื่อแกะเข้าไปใน app ของธนาคารเพื่อเอาเส้น api มาทำเป็นหน้าเว็บ สามารถฝาก-ถอนผ่านหน้าเว็บได้ โดยไม่ต้องผ่าน app ของธนาคาร

    ตอนหน้าจะเล่าให้อ่านเรื่องระบบฝาก-ถอนออโต้ของแก๊งตัวตึงบ่อนลอยฟ้า #เดอะลู๊ค มีหลักการแกะหน้าธนาคารมาได้อย่างไร

    จะดีลกับเดอะลู๊ค ก็ลองอ่านค่าใช้จ่ายในแช็ตดูให้จบ แต่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เรตราคาขยับไปกี่บาทแล้ว

    รู้ยัง.? ระบบ sms2pro กับ host2pro ก็เป็นของเดอะลู๊คเขานะฮะ แล้วพวกท่านจะสั่งไม่ฟ้องตัวอันตรายระดับประเทศอย่าง #เดอะลู๊ค Lucabet จริงๆอ่ะ.?

    #อย่าให้ความโลภครอบงำเจ้าได้ จงคิดถึงบุตรหลานของท่านที่อยู่ในประเทศอเมริกาให้เยอะๆ นะครับท่าน

    @เล้ง โอภาสี
    #เดอะลู๊ค Lucabet ล่าสุด..แหล่งข่าวแจ้งมาว่าคดีของเดอะลู๊ค-ป้ายแพง-หลวงดีด จะมีคำสั่งไม่ฟ้อง เราก็รอดูกันต่อไปว่าผลจะออกมาอย่างไร ep.นี้จะเอาแช็ตที่ทีมงานเราล่อซื้อคนในทีมงานของเดอะลู๊คมาให้อ่านเล่นกัน แช็ตสนทนาชุดนี้ทีมงานคุยกับคนของเดอะลู๊คตอนปลายปี 2565 ทีมงานเจรจาล่อซื้อได้บัญชีม้าที่รับโอนเงินมา 1 บัญชี (ส่งให้เจ้าหน้าที่รัฐไปแล้ว) โฆษณาเว็บพนันที่มักจะขายขิงด้วยตรรกะที่ว่า..“เป็นเว็บตรงจากต่างประเทศ ระบบฝากถอนเงินอัตโนมัติ” เว็บตรงจากต่างประเทศ“ไม่มีอยู่จริง” ทุกเว็บล้วนเช่าสิทธิ์มาจากต่างประเทศ มีหลายสิทธิ์และ % ต่างกัน -company -shareholder -masteragent -agent -member 👆สิทธิ์จะมีประมาณนี้ ส่วนระบบฝากถอนเงินออโต้..มีอยู่จริง อ้าว.! ระบบการฝาก-ถอนเงินทุกบาท มันเป็นเรื่องของธนาคารนี่ แล้วเว็บพนันมันเอาระบบมาใช้ได้อย่างไร.? มีใครเคยรู้สึก เอ๊ะ ในใจกันบ้างไหมครับ.? ถ้าคนในธนาคารไม่ร่วมมือกับคนทำเว็บพนันระบบการฝากถอนออโต้ของเว็บพนันจะมีความเป็นไปได้แค่ 1 ข้อที่จะทำได้คือ.. 👉ใช้โปรแกรมเมอร์แกะเข้าไปใน app ธนาคาร เราเห็นโฆษณาฝากถอนออโต้ครั้งแรก เราเอ๊ะทันทีเพราะนี่มันเรื่องใหญ่ระดับประเทศเลยนะ เราจึงให้ทีมงานล่อซื้อจากแก๊ง..#เดอะลู๊ค พวกเราไล่ตามรอยไปจนรู้ว่า“คนในธนาคารไม่ต้องมีส่วนรู้เห็น”กับพวกทำเว็บพนัน พวกมันก็ทำกันได้อย่างงายดาย โปรแกรมเมอร์เว็บพนันจะใช้หลักการ reverse enging กันแทบทุกเว็บ เพื่อแกะเข้าไปใน app ของธนาคารเพื่อเอาเส้น api มาทำเป็นหน้าเว็บ สามารถฝาก-ถอนผ่านหน้าเว็บได้ โดยไม่ต้องผ่าน app ของธนาคาร ตอนหน้าจะเล่าให้อ่านเรื่องระบบฝาก-ถอนออโต้ของแก๊งตัวตึงบ่อนลอยฟ้า #เดอะลู๊ค มีหลักการแกะหน้าธนาคารมาได้อย่างไร จะดีลกับเดอะลู๊ค ก็ลองอ่านค่าใช้จ่ายในแช็ตดูให้จบ แต่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เรตราคาขยับไปกี่บาทแล้ว รู้ยัง.? ระบบ sms2pro กับ host2pro ก็เป็นของเดอะลู๊คเขานะฮะ แล้วพวกท่านจะสั่งไม่ฟ้องตัวอันตรายระดับประเทศอย่าง #เดอะลู๊ค Lucabet จริงๆอ่ะ.? #อย่าให้ความโลภครอบงำเจ้าได้ จงคิดถึงบุตรหลานของท่านที่อยู่ในประเทศอเมริกาให้เยอะๆ นะครับท่าน @เล้ง โอภาสี
    0 Comments 0 Shares 244 Views 0 Reviews
  • ข่าวดี คนชอบเก็บปลายทาง วันนี้เป็นต้นไป กฏหมายอนุญาตให้แกะกล่องดูของก่อนชำระได้ บอกต่อๆกันด้วยเน้อ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ข่าวดี คนชอบเก็บปลายทาง วันนี้เป็นต้นไป กฏหมายอนุญาตให้แกะกล่องดูของก่อนชำระได้ บอกต่อๆกันด้วยเน้อ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 98 Views 0 Reviews