• Phononic เผยเทคโนโลยีระบายความร้อนแบบใหม่ ช่วยเพิ่มพลัง AI GPU ของ NVIDIA คืนทุนได้ในไม่กี่เดือน

    Phononic บริษัทเทคโนโลยีด้านการระบายความร้อน เปิดเผยว่าเทคโนโลยี thermoelectric cooling (TEC) ของตนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU สำหรับงาน AI ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกับชิป NVIDIA H100 และ Blackwell รุ่นล่าสุด ซึ่งมีความร้อนสูงมากจากการประมวลผล LLM และ GenAI ที่ซับซ้อน การควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำช่วยให้ GPU ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ลดการ throttling และเพิ่ม throughput ได้อย่างชัดเจน

    Larry Yang, Chief Product Officer ของ Phononic อธิบายว่า GPU สมัยใหม่มีข้อจำกัดด้านความร้อน โดยเฉพาะชิป HBM (High Bandwidth Memory) ที่อยู่ติดกับ GPU ซึ่งมักเป็นจุดร้อนที่สุด หากสามารถลดอุณหภูมิของ HBM ได้ ก็จะช่วยให้ GPU ทำงานได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มจำนวน GPU ส่งผลให้ต้นทุนรวมลดลง และสามารถคืนทุนจากการลงทุนในระบบ AI ได้ภายใน “หลักเดือนเดียว”

    Phononic ใช้เทคโนโลยี solid-state cooling ที่ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว ตอบสนองเร็วระดับมิลลิวินาที และสามารถควบคุมอุณหภูมิแบบเฉพาะจุด (localized cooling) ได้อย่างแม่นยำ โดยติดตั้ง TEC ไว้บน HBM แต่ละตัว พร้อมระบบควบคุมอัจฉริยะที่ปรับระดับความเย็นตามโหลดงานจริง

    นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กับ AI ASICs และชิปเครือข่าย เช่น optical transceivers และ switch ASICs ซึ่งมีปัญหาความร้อนคล้ายกัน

    เทคโนโลยี thermoelectric cooling (TEC) ของ Phononic
    ใช้หลักการ solid-state ไม่มีพัดลมหรือของเหลว
    ตอบสนองเร็วระดับมิลลิวินาที ควบคุมอุณหภูมิแบบเฉพาะจุด
    ติดตั้งบน HBM เพื่อป้องกันการ throttling และเพิ่ม performance

    ผลลัพธ์จากการใช้งานกับ GPU NVIDIA
    เพิ่ม throughput ของ H100 และ Blackwell ได้อย่างชัดเจน
    ลดจำนวน GPU ที่ต้องใช้ในระบบ AI
    คืนทุนจากการลงทุนได้ภายใน “single-digit months”

    ปัญหาความร้อนใน AI GPU
    HBM เป็นจุดร้อนหลักในแพ็กเกจ GPU
    ความร้อนสูงทำให้ต้องลดความเร็วการทำงานของ GPU
    การระบายความร้อนที่ดีช่วยให้ใช้ศักยภาพของ GPU ได้เต็มที่

    การขยายไปยังชิปอื่น ๆ
    ใช้กับ optical transceivers และ switch ASICs ได้
    รองรับการใช้งานในดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่
    มีระบบควบคุมผ่าน API และซอฟต์แวร์ orchestration

    https://wccftech.com/nvidias-ai-gpu-performance-can-be-increased-to-bring-payback-to-the-order-of-single-digit-months-says-phononic-chief-product-officer/
    🧊 Phononic เผยเทคโนโลยีระบายความร้อนแบบใหม่ ช่วยเพิ่มพลัง AI GPU ของ NVIDIA คืนทุนได้ในไม่กี่เดือน Phononic บริษัทเทคโนโลยีด้านการระบายความร้อน เปิดเผยว่าเทคโนโลยี thermoelectric cooling (TEC) ของตนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU สำหรับงาน AI ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกับชิป NVIDIA H100 และ Blackwell รุ่นล่าสุด ซึ่งมีความร้อนสูงมากจากการประมวลผล LLM และ GenAI ที่ซับซ้อน การควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำช่วยให้ GPU ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ลดการ throttling และเพิ่ม throughput ได้อย่างชัดเจน Larry Yang, Chief Product Officer ของ Phononic อธิบายว่า GPU สมัยใหม่มีข้อจำกัดด้านความร้อน โดยเฉพาะชิป HBM (High Bandwidth Memory) ที่อยู่ติดกับ GPU ซึ่งมักเป็นจุดร้อนที่สุด หากสามารถลดอุณหภูมิของ HBM ได้ ก็จะช่วยให้ GPU ทำงานได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มจำนวน GPU ส่งผลให้ต้นทุนรวมลดลง และสามารถคืนทุนจากการลงทุนในระบบ AI ได้ภายใน “หลักเดือนเดียว” Phononic ใช้เทคโนโลยี solid-state cooling ที่ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว ตอบสนองเร็วระดับมิลลิวินาที และสามารถควบคุมอุณหภูมิแบบเฉพาะจุด (localized cooling) ได้อย่างแม่นยำ โดยติดตั้ง TEC ไว้บน HBM แต่ละตัว พร้อมระบบควบคุมอัจฉริยะที่ปรับระดับความเย็นตามโหลดงานจริง นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กับ AI ASICs และชิปเครือข่าย เช่น optical transceivers และ switch ASICs ซึ่งมีปัญหาความร้อนคล้ายกัน ✅ เทคโนโลยี thermoelectric cooling (TEC) ของ Phononic ➡️ ใช้หลักการ solid-state ไม่มีพัดลมหรือของเหลว ➡️ ตอบสนองเร็วระดับมิลลิวินาที ควบคุมอุณหภูมิแบบเฉพาะจุด ➡️ ติดตั้งบน HBM เพื่อป้องกันการ throttling และเพิ่ม performance ✅ ผลลัพธ์จากการใช้งานกับ GPU NVIDIA ➡️ เพิ่ม throughput ของ H100 และ Blackwell ได้อย่างชัดเจน ➡️ ลดจำนวน GPU ที่ต้องใช้ในระบบ AI ➡️ คืนทุนจากการลงทุนได้ภายใน “single-digit months” ✅ ปัญหาความร้อนใน AI GPU ➡️ HBM เป็นจุดร้อนหลักในแพ็กเกจ GPU ➡️ ความร้อนสูงทำให้ต้องลดความเร็วการทำงานของ GPU ➡️ การระบายความร้อนที่ดีช่วยให้ใช้ศักยภาพของ GPU ได้เต็มที่ ✅ การขยายไปยังชิปอื่น ๆ ➡️ ใช้กับ optical transceivers และ switch ASICs ได้ ➡️ รองรับการใช้งานในดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ ➡️ มีระบบควบคุมผ่าน API และซอฟต์แวร์ orchestration https://wccftech.com/nvidias-ai-gpu-performance-can-be-increased-to-bring-payback-to-the-order-of-single-digit-months-says-phononic-chief-product-officer/
    WCCFTECH.COM
    NVIDIA's AI GPU Performance Can Be Increased To Bring Payback To The Order Of "Single Digit Months," Says Phononic Chief Product Officer
    After NVIDIA launched its Rubin AI GPUs last month, we decided to interview Larry Yang, the chief product officer at Phononic. We were wondering about the new chips' cooling requirements given that energy constraints are closely related to AI rollout. Larry is an industry veteran with more than 30 years of experience under his belt. He has previously worked at Google, IBM, Microsoft and Cisco. Our conversation revolved around the cooling requirements for NVIDIA's and other AI chips. It also covered AI ASICs, commonly known as custom AI processors. Related Story NVIDIA’s Latest Rubin AI GPUs Don’t Have To Be […]
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • Lenovo Legion บน Linux เตรียมได้โหมด Extreme ที่แท้จริง — แก้ปัญหาพลังงานผิดพลาด พร้อมระบบอนุญาตเฉพาะรุ่นที่รองรับ

    บทความจาก Tom’s Hardware รายงานว่า Lenovo Legion ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Linux กำลังจะได้รับการอัปเดตใหม่ที่เพิ่มโหมด “Extreme” สำหรับการใช้งานประสิทธิภาพสูง โดยจะมีการตรวจสอบรุ่นก่อนอนุญาตให้ใช้งาน เพื่อป้องกันปัญหาความร้อนและการใช้พลังงานเกินขีดจำกัด

    ก่อนหน้านี้ Legion บน Linux มีปัญหาเรื่อง power profile ที่ไม่ตรงกับความสามารถของเครื่อง เช่น โหมด Extreme ถูกเปิดใช้งานในรุ่นที่ไม่รองรับ ทำให้เกิดความไม่เสถียรและอาจทำให้แบตเตอรี่เสียหาย

    นักพัฒนาอิสระ Derek Clark ได้เสนอ patch ใหม่ให้กับ Lenovo WMI GameZone driver ซึ่งเป็นตัวควบคุมโหมดพลังงานบน Linux โดยเปลี่ยนจากระบบ “deny list” เป็น “allow list” หมายความว่า เฉพาะรุ่นที่ผ่านการตรวจสอบแล้วเท่านั้นที่จะสามารถเปิดใช้งานโหมด Extreme ได้

    โหมดนี้จะตั้งค่า PPT/SPL สูงสุด ทำให้ CPU ใช้พลังงานเต็มที่ เหมาะสำหรับการใช้งานขณะเสียบปลั๊กเท่านั้น เพราะอาจกินพลังงานเกินที่แบตเตอรี่จะรับไหว

    ปัญหาเดิมบน Linux
    โหมด Extreme เปิดใช้งานในรุ่นที่ไม่รองรับ
    ทำให้ระบบไม่เสถียรและแบตเตอรี่เสียหาย

    การแก้ไขด้วย patch ใหม่
    เปลี่ยนจาก deny list เป็น allow list
    เฉพาะรุ่นที่ผ่านการตรวจสอบเท่านั้นที่เปิด Extreme ได้
    ใช้กับ Lenovo WMI GameZone driver บน Linux

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    โหมด Extreme ใช้พลังงานสูงมาก
    เหมาะกับการใช้งานแบบเสียบปลั๊กเท่านั้น
    ยังไม่มีรุ่นใดที่ผ่านการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Linux บน Legion
    อย่าเปิดโหมด Extreme หากเครื่องยังไม่อยู่ใน allow list
    ตรวจสอบ patch และรุ่นที่รองรับก่อนใช้งาน
    ใช้โหมดนี้เฉพาะเมื่อต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและมีระบบระบายความร้อนเพียงพอ

    https://www.tomshardware.com/software/linux/lenovo-legion-devices-running-linux-set-to-get-new-extreme-mode-that-fixes-previously-broken-power-limits-only-approved-devices-will-be-able-to-run-the-maximum-performance-mode
    ⚡ Lenovo Legion บน Linux เตรียมได้โหมด Extreme ที่แท้จริง — แก้ปัญหาพลังงานผิดพลาด พร้อมระบบอนุญาตเฉพาะรุ่นที่รองรับ บทความจาก Tom’s Hardware รายงานว่า Lenovo Legion ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Linux กำลังจะได้รับการอัปเดตใหม่ที่เพิ่มโหมด “Extreme” สำหรับการใช้งานประสิทธิภาพสูง โดยจะมีการตรวจสอบรุ่นก่อนอนุญาตให้ใช้งาน เพื่อป้องกันปัญหาความร้อนและการใช้พลังงานเกินขีดจำกัด ก่อนหน้านี้ Legion บน Linux มีปัญหาเรื่อง power profile ที่ไม่ตรงกับความสามารถของเครื่อง เช่น โหมด Extreme ถูกเปิดใช้งานในรุ่นที่ไม่รองรับ ทำให้เกิดความไม่เสถียรและอาจทำให้แบตเตอรี่เสียหาย นักพัฒนาอิสระ Derek Clark ได้เสนอ patch ใหม่ให้กับ Lenovo WMI GameZone driver ซึ่งเป็นตัวควบคุมโหมดพลังงานบน Linux โดยเปลี่ยนจากระบบ “deny list” เป็น “allow list” หมายความว่า เฉพาะรุ่นที่ผ่านการตรวจสอบแล้วเท่านั้นที่จะสามารถเปิดใช้งานโหมด Extreme ได้ โหมดนี้จะตั้งค่า PPT/SPL สูงสุด ทำให้ CPU ใช้พลังงานเต็มที่ เหมาะสำหรับการใช้งานขณะเสียบปลั๊กเท่านั้น เพราะอาจกินพลังงานเกินที่แบตเตอรี่จะรับไหว ✅ ปัญหาเดิมบน Linux ➡️ โหมด Extreme เปิดใช้งานในรุ่นที่ไม่รองรับ ➡️ ทำให้ระบบไม่เสถียรและแบตเตอรี่เสียหาย ✅ การแก้ไขด้วย patch ใหม่ ➡️ เปลี่ยนจาก deny list เป็น allow list ➡️ เฉพาะรุ่นที่ผ่านการตรวจสอบเท่านั้นที่เปิด Extreme ได้ ➡️ ใช้กับ Lenovo WMI GameZone driver บน Linux ✅ ข้อควรระวังในการใช้งาน ➡️ โหมด Extreme ใช้พลังงานสูงมาก ➡️ เหมาะกับการใช้งานแบบเสียบปลั๊กเท่านั้น ➡️ ยังไม่มีรุ่นใดที่ผ่านการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Linux บน Legion ⛔ อย่าเปิดโหมด Extreme หากเครื่องยังไม่อยู่ใน allow list ⛔ ตรวจสอบ patch และรุ่นที่รองรับก่อนใช้งาน ⛔ ใช้โหมดนี้เฉพาะเมื่อต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและมีระบบระบายความร้อนเพียงพอ https://www.tomshardware.com/software/linux/lenovo-legion-devices-running-linux-set-to-get-new-extreme-mode-that-fixes-previously-broken-power-limits-only-approved-devices-will-be-able-to-run-the-maximum-performance-mode
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ซ่อนตัวเลขขาดทุนจาก OpenAI ไว้ในงบ “other, net” มูลค่า $4.7 พันล้าน — นักลงทุนยังไม่รู้ว่าเสียไปเท่าไร

    Microsoft ไม่เปิดเผยตัวเลขขาดทุนจากการลงทุนใน OpenAI โดยรวมไว้ในหมวด “other, net” มูลค่า $4.7 พันล้านในรายงานประจำปีล่าสุด ซึ่งทำให้นักลงทุนไม่สามารถประเมินได้ว่า Microsoft กำลังแบกรับต้นทุน AI มากแค่ไหน

    Microsoft ลงทุนใน OpenAI มูลค่ารวม $13.75 พันล้าน แต่ในงบดุลล่าสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2025 กลับรายงานว่า “equity-method investments” มีมูลค่าเพียง $6 พันล้าน ซึ่งเท่ากับปีที่แล้ว นั่นหมายความว่า:

    อาจมีการขาดทุนจาก OpenAI จนมูลค่าการลงทุนเหลือศูนย์
    หรือยังไม่ได้บันทึกเงินลงทุนทั้งหมดในเชิงบัญชี

    ภายใต้หลักการบัญชี GAAP ของสหรัฐฯ หากบริษัทมี “อิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญ” (ถือหุ้น 20–50%) ต้องเปิดเผยธุรกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน แต่ Microsoft ไม่ได้ระบุชื่อ OpenAI ในรายงานเลย

    แม้จะมีข่าวว่า OpenAI มีมูลค่าตลาดสูงถึง $500 พันล้าน แต่ Microsoft กลับไม่แสดงมูลค่าการถือหุ้นที่สอดคล้องกันในงบการเงิน ทำให้นักลงทุนต้อง “อ่านระหว่างบรรทัด” เพื่อประเมินความเสี่ยง

    Microsoft ซ่อนตัวเลขขาดทุนจาก OpenAI
    รายงานไว้ในหมวด “other, net” มูลค่า $4.7 พันล้าน
    ไม่ระบุชื่อ OpenAI หรือจัดเป็น “related party”

    ความคลุมเครือในงบการเงิน
    มูลค่าการลงทุนใน OpenAI อาจถูกลดเหลือศูนย์
    หรือยังไม่บันทึกเงินลงทุนทั้งหมดในเชิงบัญชี

    ความเสี่ยงต่อภาพลักษณ์และราคาหุ้น
    นักลงทุนไม่สามารถประเมินต้นทุน AI ได้ชัดเจน
    ราคาหุ้น Microsoft ถูกตั้งบนความคาดหวังด้าน AI
    หากไม่มีความโปร่งใส อาจกระทบความเชื่อมั่น

    ข้อตกลงลับระหว่าง Microsoft กับ OpenAI
    มีเงื่อนไขเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์หาก OpenAI พัฒนา AGI
    ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณะ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/microsofts-openai-math-is-still-a-black-box
    📉 Microsoft ซ่อนตัวเลขขาดทุนจาก OpenAI ไว้ในงบ “other, net” มูลค่า $4.7 พันล้าน — นักลงทุนยังไม่รู้ว่าเสียไปเท่าไร Microsoft ไม่เปิดเผยตัวเลขขาดทุนจากการลงทุนใน OpenAI โดยรวมไว้ในหมวด “other, net” มูลค่า $4.7 พันล้านในรายงานประจำปีล่าสุด ซึ่งทำให้นักลงทุนไม่สามารถประเมินได้ว่า Microsoft กำลังแบกรับต้นทุน AI มากแค่ไหน Microsoft ลงทุนใน OpenAI มูลค่ารวม $13.75 พันล้าน แต่ในงบดุลล่าสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2025 กลับรายงานว่า “equity-method investments” มีมูลค่าเพียง $6 พันล้าน ซึ่งเท่ากับปีที่แล้ว นั่นหมายความว่า: ⛔ อาจมีการขาดทุนจาก OpenAI จนมูลค่าการลงทุนเหลือศูนย์ ⛔ หรือยังไม่ได้บันทึกเงินลงทุนทั้งหมดในเชิงบัญชี ภายใต้หลักการบัญชี GAAP ของสหรัฐฯ หากบริษัทมี “อิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญ” (ถือหุ้น 20–50%) ต้องเปิดเผยธุรกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน แต่ Microsoft ไม่ได้ระบุชื่อ OpenAI ในรายงานเลย แม้จะมีข่าวว่า OpenAI มีมูลค่าตลาดสูงถึง $500 พันล้าน แต่ Microsoft กลับไม่แสดงมูลค่าการถือหุ้นที่สอดคล้องกันในงบการเงิน ทำให้นักลงทุนต้อง “อ่านระหว่างบรรทัด” เพื่อประเมินความเสี่ยง ✅ Microsoft ซ่อนตัวเลขขาดทุนจาก OpenAI ➡️ รายงานไว้ในหมวด “other, net” มูลค่า $4.7 พันล้าน ➡️ ไม่ระบุชื่อ OpenAI หรือจัดเป็น “related party” ✅ ความคลุมเครือในงบการเงิน ➡️ มูลค่าการลงทุนใน OpenAI อาจถูกลดเหลือศูนย์ ➡️ หรือยังไม่บันทึกเงินลงทุนทั้งหมดในเชิงบัญชี ✅ ความเสี่ยงต่อภาพลักษณ์และราคาหุ้น ➡️ นักลงทุนไม่สามารถประเมินต้นทุน AI ได้ชัดเจน ➡️ ราคาหุ้น Microsoft ถูกตั้งบนความคาดหวังด้าน AI ➡️ หากไม่มีความโปร่งใส อาจกระทบความเชื่อมั่น ✅ ข้อตกลงลับระหว่าง Microsoft กับ OpenAI ➡️ มีเงื่อนไขเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์หาก OpenAI พัฒนา AGI ➡️ ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณะ https://www.tomshardware.com/tech-industry/microsofts-openai-math-is-still-a-black-box
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • Generative AI สร้างดีไซน์เครื่องพิมพ์ 3D แบบ 5 แกนสุดล้ำ — พิมพ์วัตถุซับซ้อนโดยไม่ต้องใช้โครงรองรับ

    บทความจาก Tom’s Hardware เผยว่า Generative Machine และ Aibuild สองบริษัทจากลอนดอนร่วมกันพัฒนาเครื่องพิมพ์ 3D รุ่นใหม่ชื่อว่า GenerationOne 5-axis โดยใช้ Generative AI ออกแบบโครงสร้างและระบบการพิมพ์ที่สามารถเคลื่อนหัวฉีดได้ 5 แกน ทำให้พิมพ์วัตถุซับซ้อนโดยไม่ต้องใช้ support structure และได้ผิวงานที่เรียบกว่าเดิม

    เครื่องพิมพ์ GenerationOne มีดีไซน์คล้าย Bambu Labs A1 Mini แต่เพิ่มความ “organic” ด้วยแขนพยุงที่ดูเหมือนเส้นใยชีวภาพ ตัวเครื่องใช้ linear rails เพื่อความแม่นยำในการเคลื่อนที่ และสามารถเปลี่ยนแพลตฟอร์มพิมพ์ได้อัตโนมัติ

    Generative AI ถูกใช้ในการออกแบบทั้งโครงสร้างเครื่องและระบบควบคุมการพิมพ์ โดยเน้นการพิมพ์แบบ non-conformal คือสามารถหมุนหัวฉีดให้พิมพ์ในทิศทางที่เหมาะสมกับรูปทรงของวัตถุ ซึ่งช่วยให้ชิ้นงานแข็งแรงขึ้นและไม่ต้องใช้โครงรองรับ

    ซอฟต์แวร์ควบคุมที่ใช้เป็นระดับอุตสาหกรรม โดย Aibuild พัฒนาให้รองรับการ slice แบบ parametric, สร้าง toolpath อัตโนมัติ และ optimize การพิมพ์แบบ multi-axis

    แม้ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคา แต่เครื่องจะเปิดตัวแบบจำกัดจำนวนในงาน Formnext Expo ที่แฟรงก์เฟิร์ต วันที่ 18 พฤศจิกายนนี้

    เครื่องพิมพ์ GenerationOne 5-axis
    ใช้ Generative AI ออกแบบทั้งโครงสร้างและระบบพิมพ์
    เคลื่อนหัวฉีดได้ 5 แกน พิมพ์แบบ non-conformal
    ไม่ต้องใช้ support structure และได้ผิวงานเรียบ

    ดีไซน์และโครงสร้าง
    คล้าย Bambu Labs A1 Mini แต่มีแขนพยุงแบบ organic
    ใช้ linear rails เพื่อความแม่นยำ
    แพลตฟอร์มพิมพ์เปลี่ยนได้อัตโนมัติ

    ซอฟต์แวร์ควบคุมระดับอุตสาหกรรม
    รองรับ parametric slicing และ toolpath generation
    optimize การพิมพ์แบบ multi-axis
    พัฒนาโดย Aibuild

    การเปิดตัว
    เปิดตัวแบบจำกัดจำนวนในงาน Formnext Expo วันที่ 18 พ.ย.
    ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคา

    คำเตือนสำหรับผู้สนใจ
    ยังไม่รองรับวัสดุขั้นสูง เช่น carbon fiber หรือ engineering-grade filament
    เหมาะกับ PLA และ PETG เท่านั้นในรุ่นแรก
    ต้องรอข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องราคาและการจัดจำหน่าย

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/generative-ai-used-to-create-wild-new-3d-printer-design-exotic-collaboration-brings-5-axis-3d-printing-to-the-desktop
    🧠 Generative AI สร้างดีไซน์เครื่องพิมพ์ 3D แบบ 5 แกนสุดล้ำ — พิมพ์วัตถุซับซ้อนโดยไม่ต้องใช้โครงรองรับ บทความจาก Tom’s Hardware เผยว่า Generative Machine และ Aibuild สองบริษัทจากลอนดอนร่วมกันพัฒนาเครื่องพิมพ์ 3D รุ่นใหม่ชื่อว่า GenerationOne 5-axis โดยใช้ Generative AI ออกแบบโครงสร้างและระบบการพิมพ์ที่สามารถเคลื่อนหัวฉีดได้ 5 แกน ทำให้พิมพ์วัตถุซับซ้อนโดยไม่ต้องใช้ support structure และได้ผิวงานที่เรียบกว่าเดิม เครื่องพิมพ์ GenerationOne มีดีไซน์คล้าย Bambu Labs A1 Mini แต่เพิ่มความ “organic” ด้วยแขนพยุงที่ดูเหมือนเส้นใยชีวภาพ ตัวเครื่องใช้ linear rails เพื่อความแม่นยำในการเคลื่อนที่ และสามารถเปลี่ยนแพลตฟอร์มพิมพ์ได้อัตโนมัติ Generative AI ถูกใช้ในการออกแบบทั้งโครงสร้างเครื่องและระบบควบคุมการพิมพ์ โดยเน้นการพิมพ์แบบ non-conformal คือสามารถหมุนหัวฉีดให้พิมพ์ในทิศทางที่เหมาะสมกับรูปทรงของวัตถุ ซึ่งช่วยให้ชิ้นงานแข็งแรงขึ้นและไม่ต้องใช้โครงรองรับ ซอฟต์แวร์ควบคุมที่ใช้เป็นระดับอุตสาหกรรม โดย Aibuild พัฒนาให้รองรับการ slice แบบ parametric, สร้าง toolpath อัตโนมัติ และ optimize การพิมพ์แบบ multi-axis แม้ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคา แต่เครื่องจะเปิดตัวแบบจำกัดจำนวนในงาน Formnext Expo ที่แฟรงก์เฟิร์ต วันที่ 18 พฤศจิกายนนี้ ✅ เครื่องพิมพ์ GenerationOne 5-axis ➡️ ใช้ Generative AI ออกแบบทั้งโครงสร้างและระบบพิมพ์ ➡️ เคลื่อนหัวฉีดได้ 5 แกน พิมพ์แบบ non-conformal ➡️ ไม่ต้องใช้ support structure และได้ผิวงานเรียบ ✅ ดีไซน์และโครงสร้าง ➡️ คล้าย Bambu Labs A1 Mini แต่มีแขนพยุงแบบ organic ➡️ ใช้ linear rails เพื่อความแม่นยำ ➡️ แพลตฟอร์มพิมพ์เปลี่ยนได้อัตโนมัติ ✅ ซอฟต์แวร์ควบคุมระดับอุตสาหกรรม ➡️ รองรับ parametric slicing และ toolpath generation ➡️ optimize การพิมพ์แบบ multi-axis ➡️ พัฒนาโดย Aibuild ✅ การเปิดตัว ➡️ เปิดตัวแบบจำกัดจำนวนในงาน Formnext Expo วันที่ 18 พ.ย. ➡️ ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคา ‼️ คำเตือนสำหรับผู้สนใจ ⛔ ยังไม่รองรับวัสดุขั้นสูง เช่น carbon fiber หรือ engineering-grade filament ⛔ เหมาะกับ PLA และ PETG เท่านั้นในรุ่นแรก ⛔ ต้องรอข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องราคาและการจัดจำหน่าย https://www.tomshardware.com/3d-printing/generative-ai-used-to-create-wild-new-3d-printer-design-exotic-collaboration-brings-5-axis-3d-printing-to-the-desktop
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนยังใช้ชิป Nvidia H100 ในโดรนทหารอัตโนมัติ แม้ถูกสหรัฐฯ แบน — DeepSeek ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยเทคโนโลยีอเมริกัน

    บทความจาก Tom’s Hardware เผยว่าโดรนทหารอัตโนมัติรุ่น P60 ของ Norinco ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐจีน ใช้ระบบ AI ที่ชื่อว่า DeepSeek ในการควบคุมการเคลื่อนที่และสนับสนุนการรบ โดยมีหลักฐานว่าระบบนี้อาจถูกเทรนด้วยชิป Nvidia H100 ที่ถูกสหรัฐฯ แบนการส่งออกไปยังจีนตั้งแต่ปี 2022

    แม้สหรัฐฯ จะจำกัดการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100 และ A100 ไปยังจีน แต่การสืบสวนของ Reuters พบว่าหน่วยงานวิจัยของกองทัพจีน เช่น National University of Defense Technology (NUDT) ยังมีการใช้ชิปเหล่านี้ในงานวิจัย โดยมีการกล่าวถึงในสิทธิบัตรกว่า 35 ฉบับ

    หนึ่งในสิทธิบัตรถูกยื่นในเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งอาจหมายถึงการใช้งานหลังจากมีการควบคุมการส่งออกแล้ว แม้จะไม่สามารถยืนยันได้ว่าชิปถูกนำเข้าอย่างถูกกฎหมายหรือผ่านตลาดมือสอง

    DeepSeek ซึ่งเป็นระบบ AI ที่ใช้ในโดรน P60 ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยชิป Nvidia แต่รุ่นล่าสุดของมันสามารถทำงานร่วมกับชิป Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN ของจีนได้แล้ว

    Nvidia ระบุว่า “การรีไซเคิลชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามใหม่” และ “การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกจำกัดในงานทหารจะไม่สามารถทำงานได้โดยไม่มีซอฟต์แวร์และการสนับสนุน”

    โดรน P60 ของจีนใช้ระบบ AI DeepSeek
    พัฒนาโดย Norinco บริษัทของรัฐ
    เคลื่อนที่ได้ 50 กม./ชม. และมีความสามารถสนับสนุนการรบอัตโนมัติ

    การใช้ชิป Nvidia H100 แม้ถูกแบน
    พบในสิทธิบัตรของ NUDT และสถาบันวิจัยอื่น ๆ
    มีสิทธิบัตรล่าสุดในปี 2025 ที่กล่าวถึง A100
    อาจได้มาจากตลาดมือสองหรือก่อนการควบคุม

    ความพยายามของจีนในการพึ่งพาชิปในประเทศ
    ใช้ Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN
    DeepSeek รุ่นใหม่รองรับชิปจีนโดยตรง

    มุมมองจาก Nvidia
    การใช้ชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยใหม่
    ไม่มีซอฟต์แวร์หรือการสนับสนุนสำหรับงานทหาร

    คำเตือนด้านความมั่นคง
    การใช้ชิป AI ในงานทหารอาจนำไปสู่การพัฒนาอาวุธอัตโนมัติ
    การควบคุมการส่งออกอาจไม่สามารถหยุดการใช้งานได้จริง
    การพึ่งพาตลาดมือสองเปิดช่องให้เกิดการละเมิดนโยบาย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-autonomous-military-combat-drone-powered-by-deepseek-highlights-nvidia-reliance-investigation-reveals-peoples-liberation-army-supporting-institutions-continue-to-use-restricted-h100-chips
    🇨🇳 จีนยังใช้ชิป Nvidia H100 ในโดรนทหารอัตโนมัติ แม้ถูกสหรัฐฯ แบน — DeepSeek ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยเทคโนโลยีอเมริกัน บทความจาก Tom’s Hardware เผยว่าโดรนทหารอัตโนมัติรุ่น P60 ของ Norinco ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐจีน ใช้ระบบ AI ที่ชื่อว่า DeepSeek ในการควบคุมการเคลื่อนที่และสนับสนุนการรบ โดยมีหลักฐานว่าระบบนี้อาจถูกเทรนด้วยชิป Nvidia H100 ที่ถูกสหรัฐฯ แบนการส่งออกไปยังจีนตั้งแต่ปี 2022 แม้สหรัฐฯ จะจำกัดการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100 และ A100 ไปยังจีน แต่การสืบสวนของ Reuters พบว่าหน่วยงานวิจัยของกองทัพจีน เช่น National University of Defense Technology (NUDT) ยังมีการใช้ชิปเหล่านี้ในงานวิจัย โดยมีการกล่าวถึงในสิทธิบัตรกว่า 35 ฉบับ หนึ่งในสิทธิบัตรถูกยื่นในเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งอาจหมายถึงการใช้งานหลังจากมีการควบคุมการส่งออกแล้ว แม้จะไม่สามารถยืนยันได้ว่าชิปถูกนำเข้าอย่างถูกกฎหมายหรือผ่านตลาดมือสอง DeepSeek ซึ่งเป็นระบบ AI ที่ใช้ในโดรน P60 ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยชิป Nvidia แต่รุ่นล่าสุดของมันสามารถทำงานร่วมกับชิป Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN ของจีนได้แล้ว Nvidia ระบุว่า “การรีไซเคิลชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามใหม่” และ “การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกจำกัดในงานทหารจะไม่สามารถทำงานได้โดยไม่มีซอฟต์แวร์และการสนับสนุน” ✅ โดรน P60 ของจีนใช้ระบบ AI DeepSeek ➡️ พัฒนาโดย Norinco บริษัทของรัฐ ➡️ เคลื่อนที่ได้ 50 กม./ชม. และมีความสามารถสนับสนุนการรบอัตโนมัติ ✅ การใช้ชิป Nvidia H100 แม้ถูกแบน ➡️ พบในสิทธิบัตรของ NUDT และสถาบันวิจัยอื่น ๆ ➡️ มีสิทธิบัตรล่าสุดในปี 2025 ที่กล่าวถึง A100 ➡️ อาจได้มาจากตลาดมือสองหรือก่อนการควบคุม ✅ ความพยายามของจีนในการพึ่งพาชิปในประเทศ ➡️ ใช้ Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN ➡️ DeepSeek รุ่นใหม่รองรับชิปจีนโดยตรง ✅ มุมมองจาก Nvidia ➡️ การใช้ชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยใหม่ ➡️ ไม่มีซอฟต์แวร์หรือการสนับสนุนสำหรับงานทหาร ‼️ คำเตือนด้านความมั่นคง ⛔ การใช้ชิป AI ในงานทหารอาจนำไปสู่การพัฒนาอาวุธอัตโนมัติ ⛔ การควบคุมการส่งออกอาจไม่สามารถหยุดการใช้งานได้จริง ⛔ การพึ่งพาตลาดมือสองเปิดช่องให้เกิดการละเมิดนโยบาย https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-autonomous-military-combat-drone-powered-by-deepseek-highlights-nvidia-reliance-investigation-reveals-peoples-liberation-army-supporting-institutions-continue-to-use-restricted-h100-chips
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • กมธ.ต่างประเทศ จ่อเชิญ อนุทิน-รมว.ต่างประเทศ ชี้แจง MOU แร่แรร์เอิร์ธ เรียกร้องเปิดข้อมูลทั้งหมด
    https://www.thai-tai.tv/news/22079/
    .
    #ไทยไท #สรัสนันท์อรรณนพพร #MOUแร่แรร์เอิร์ธ #กมธต่างประเทศ #อนุทิน #ภูมิรัฐศาสตร์
    กมธ.ต่างประเทศ จ่อเชิญ อนุทิน-รมว.ต่างประเทศ ชี้แจง MOU แร่แรร์เอิร์ธ เรียกร้องเปิดข้อมูลทั้งหมด https://www.thai-tai.tv/news/22079/ . #ไทยไท #สรัสนันท์อรรณนพพร #MOUแร่แรร์เอิร์ธ #กมธต่างประเทศ #อนุทิน #ภูมิรัฐศาสตร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 4 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD รีแบรนด์ซีพียู Ryzen 7035 และ 7020 สำหรับโน้ตบุ๊ก — เปลี่ยนชื่อใหม่แต่สเปกเดิม เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้ทันยุค

    AMD ประกาศรีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊กในกลุ่ม Ryzen 7035 (Zen 3+) และ Ryzen 7020 (Zen 2) โดยเปลี่ยนชื่อรุ่นให้สั้นลงเป็น Ryzen 100 และ Ryzen 10 ตามลำดับ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสเปกหรือประสิทธิภาพ แต่เน้นปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยและสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Ryzen AI และ Ryzen 9000

    AMD เลือกใช้วิธีรีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊กที่เปิดตัวในปี 2023 โดยเปลี่ยนชื่อจากรุ่นเดิม เช่น Ryzen 7 7735HS เป็น Ryzen 7 170 หรือ Ryzen 5 7520U เป็น Ryzen 5 40 โดยซีพียูเหล่านี้ยังคงใช้สถาปัตยกรรมเดิมคือ Zen 3+ (Rembrandt-R) และ Zen 2 (Mendocino) พร้อมกราฟิก RDNA 2

    การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้คล้ายกับแนวทางของ Intel ที่ใช้ชื่อ Core 5 120 แทน Core i5-1135G7 เพื่อให้ดูเรียบง่ายและทันสมัยมากขึ้น แม้จะเป็นชิปรุ่นเก่าก็ตาม

    AMD ระบุว่าการรีแบรนด์นี้เป็นการปรับภาพลักษณ์ให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น Ryzen AI 300 และ Ryzen 9000 ที่ใช้ชื่อแบบสามหลัก และอาจเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงระบบการตั้งชื่อในอนาคต

    AMD รีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊ก
    Ryzen 7035 (Rembrandt-R) เปลี่ยนเป็น Ryzen 100 series
    Ryzen 7020 (Mendocino) เปลี่ยนเป็น Ryzen 10 series
    ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสเปกหรือประสิทธิภาพ

    ตัวอย่างการเปลี่ยนชื่อ
    Ryzen 7 7735HS → Ryzen 7 170
    Ryzen 5 7535U → Ryzen 5 130
    Ryzen 3 7320U → Ryzen 3 30
    Athlon Gold 7220U → Athlon Gold 20

    เป้าหมายของการรีแบรนด์
    ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย
    สอดคล้องกับชื่อรุ่นใหม่ เช่น Ryzen AI 300 และ Ryzen 9000
    อาจเป็นการเตรียมระบบการตั้งชื่อใหม่ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-rebrands-ryzen-7035-7020-series-mobile-processors-zen-2-and-zen-3-chips-receive-new-identities
    🔄 AMD รีแบรนด์ซีพียู Ryzen 7035 และ 7020 สำหรับโน้ตบุ๊ก — เปลี่ยนชื่อใหม่แต่สเปกเดิม เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้ทันยุค AMD ประกาศรีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊กในกลุ่ม Ryzen 7035 (Zen 3+) และ Ryzen 7020 (Zen 2) โดยเปลี่ยนชื่อรุ่นให้สั้นลงเป็น Ryzen 100 และ Ryzen 10 ตามลำดับ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสเปกหรือประสิทธิภาพ แต่เน้นปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยและสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Ryzen AI และ Ryzen 9000 AMD เลือกใช้วิธีรีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊กที่เปิดตัวในปี 2023 โดยเปลี่ยนชื่อจากรุ่นเดิม เช่น Ryzen 7 7735HS เป็น Ryzen 7 170 หรือ Ryzen 5 7520U เป็น Ryzen 5 40 โดยซีพียูเหล่านี้ยังคงใช้สถาปัตยกรรมเดิมคือ Zen 3+ (Rembrandt-R) และ Zen 2 (Mendocino) พร้อมกราฟิก RDNA 2 การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้คล้ายกับแนวทางของ Intel ที่ใช้ชื่อ Core 5 120 แทน Core i5-1135G7 เพื่อให้ดูเรียบง่ายและทันสมัยมากขึ้น แม้จะเป็นชิปรุ่นเก่าก็ตาม AMD ระบุว่าการรีแบรนด์นี้เป็นการปรับภาพลักษณ์ให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น Ryzen AI 300 และ Ryzen 9000 ที่ใช้ชื่อแบบสามหลัก และอาจเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงระบบการตั้งชื่อในอนาคต ✅ AMD รีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊ก ➡️ Ryzen 7035 (Rembrandt-R) เปลี่ยนเป็น Ryzen 100 series ➡️ Ryzen 7020 (Mendocino) เปลี่ยนเป็น Ryzen 10 series ➡️ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสเปกหรือประสิทธิภาพ ✅ ตัวอย่างการเปลี่ยนชื่อ ➡️ Ryzen 7 7735HS → Ryzen 7 170 ➡️ Ryzen 5 7535U → Ryzen 5 130 ➡️ Ryzen 3 7320U → Ryzen 3 30 ➡️ Athlon Gold 7220U → Athlon Gold 20 ✅ เป้าหมายของการรีแบรนด์ ➡️ ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย ➡️ สอดคล้องกับชื่อรุ่นใหม่ เช่น Ryzen AI 300 และ Ryzen 9000 ➡️ อาจเป็นการเตรียมระบบการตั้งชื่อใหม่ในอนาคต https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-rebrands-ryzen-7035-7020-series-mobile-processors-zen-2-and-zen-3-chips-receive-new-identities
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • Qualcomm เปิดตัว AI200 และ AI250 — ชิปเร่งการประมวลผล AI สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ท้าชน AMD และ Nvidia

    Qualcomm ประกาศเปิดตัวชิปเร่งการประมวลผล AI รุ่นใหม่ AI200 และ AI250 ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในดาต้าเซ็นเตอร์ โดยใช้สถาปัตยกรรม Hexagon NPU ที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง พร้อมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูง เพื่อรองรับงาน inference ขนาดใหญ่ เช่น Generative AI และ Transformer models

    ชิป AI200 จะเริ่มใช้งานในปี 2026 โดยมาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR ขนาด 768 GB ต่อแร็ค และระบบระบายความร้อนแบบ liquid cooling รองรับการขยายแบบ scale-up ผ่าน PCIe และ scale-out ผ่าน Ethernet โดยมีพลังงานสูงถึง 160 kW ต่อแร็ค ซึ่งถือว่าแรงมากสำหรับงาน inference

    AI250 จะเปิดตัวในปี 2027 โดยเพิ่มสถาปัตยกรรม near-memory compute ที่ช่วยเพิ่มแบนด์วิดท์ของหน่วยความจำมากกว่า 10 เท่า และรองรับการแบ่งทรัพยากร compute/memory แบบ dynamic ระหว่างการ์ดต่าง ๆ

    ทั้งสองรุ่นรองรับการเข้ารหัสโมเดล AI, virtualization, และ confidential computing เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการความปลอดภัยสูง

    Qualcomm ยังพัฒนาแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์สำหรับ hyperscaler ที่รองรับเครื่องมือยอดนิยม เช่น PyTorch, ONNX, LangChain และ vLLM พร้อมระบบ onboarding โมเดลแบบคลิกเดียว

    Qualcomm เปิดตัว AI200 และ AI250
    AI200 ใช้งานปี 2026, AI250 ปี 2027
    ใช้ Hexagon NPU ที่รองรับ scalar, vector, tensor
    รองรับ INT2–INT16, FP8–FP16, micro-tile inferencing

    ความสามารถด้านฮาร์ดแวร์
    AI200 มี LPDDR 768 GB ต่อแร็ค, liquid cooling, 160 kW
    AI250 เพิ่ม near-memory compute และการแบ่งทรัพยากรแบบ dynamic
    รองรับ GenAI, confidential computing, และ model encryption

    แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์
    รองรับ PyTorch, ONNX, LangChain, vLLM
    มีระบบ onboarding โมเดลแบบคลิกเดียว
    รองรับ disaggregated serving และ virtualization

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานระดับองค์กร
    ต้องเตรียมระบบระบายความร้อนและพลังงานให้เพียงพอ
    การใช้ AI inference ขนาดใหญ่ต้องมีการจัดการด้านความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
    ควรตรวจสอบความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์ก่อนใช้งานจริง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/qualcomm-unveils-ai200-and-ai250-ai-inference-accelerators-hexagon-takes-on-amd-and-nvidia-in-the-booming-data-center-realm
    ⚙️ Qualcomm เปิดตัว AI200 และ AI250 — ชิปเร่งการประมวลผล AI สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ท้าชน AMD และ Nvidia Qualcomm ประกาศเปิดตัวชิปเร่งการประมวลผล AI รุ่นใหม่ AI200 และ AI250 ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในดาต้าเซ็นเตอร์ โดยใช้สถาปัตยกรรม Hexagon NPU ที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง พร้อมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูง เพื่อรองรับงาน inference ขนาดใหญ่ เช่น Generative AI และ Transformer models ชิป AI200 จะเริ่มใช้งานในปี 2026 โดยมาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR ขนาด 768 GB ต่อแร็ค และระบบระบายความร้อนแบบ liquid cooling รองรับการขยายแบบ scale-up ผ่าน PCIe และ scale-out ผ่าน Ethernet โดยมีพลังงานสูงถึง 160 kW ต่อแร็ค ซึ่งถือว่าแรงมากสำหรับงาน inference AI250 จะเปิดตัวในปี 2027 โดยเพิ่มสถาปัตยกรรม near-memory compute ที่ช่วยเพิ่มแบนด์วิดท์ของหน่วยความจำมากกว่า 10 เท่า และรองรับการแบ่งทรัพยากร compute/memory แบบ dynamic ระหว่างการ์ดต่าง ๆ ทั้งสองรุ่นรองรับการเข้ารหัสโมเดล AI, virtualization, และ confidential computing เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการความปลอดภัยสูง Qualcomm ยังพัฒนาแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์สำหรับ hyperscaler ที่รองรับเครื่องมือยอดนิยม เช่น PyTorch, ONNX, LangChain และ vLLM พร้อมระบบ onboarding โมเดลแบบคลิกเดียว ✅ Qualcomm เปิดตัว AI200 และ AI250 ➡️ AI200 ใช้งานปี 2026, AI250 ปี 2027 ➡️ ใช้ Hexagon NPU ที่รองรับ scalar, vector, tensor ➡️ รองรับ INT2–INT16, FP8–FP16, micro-tile inferencing ✅ ความสามารถด้านฮาร์ดแวร์ ➡️ AI200 มี LPDDR 768 GB ต่อแร็ค, liquid cooling, 160 kW ➡️ AI250 เพิ่ม near-memory compute และการแบ่งทรัพยากรแบบ dynamic ➡️ รองรับ GenAI, confidential computing, และ model encryption ✅ แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ ➡️ รองรับ PyTorch, ONNX, LangChain, vLLM ➡️ มีระบบ onboarding โมเดลแบบคลิกเดียว ➡️ รองรับ disaggregated serving และ virtualization ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานระดับองค์กร ⛔ ต้องเตรียมระบบระบายความร้อนและพลังงานให้เพียงพอ ⛔ การใช้ AI inference ขนาดใหญ่ต้องมีการจัดการด้านความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ⛔ ควรตรวจสอบความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์ก่อนใช้งานจริง https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/qualcomm-unveils-ai200-and-ai250-ai-inference-accelerators-hexagon-takes-on-amd-and-nvidia-in-the-booming-data-center-realm
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • Foxconn ทุ่มงบ $1.37 พันล้าน สร้างศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์และคลัสเตอร์ AI — ขยายแพลตฟอร์มคลาวด์และเร่งพัฒนาโครงสร้างอัจฉริยะ

    Foxconn หรือ Hon Hai Precision Industry Co Ltd ประกาศแผนลงทุนสูงสุดถึง NT$42 พันล้าน (ประมาณ $1.37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์สำหรับสร้างคลัสเตอร์ AI และศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ โดยจะใช้เงินทุนของบริษัทเองตั้งแต่เดือนธันวาคม 2025 ถึงธันวาคม 2026

    Foxconn ซึ่งเป็นผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดในโลก กำลังเร่งขยายธุรกิจด้าน AI และคลาวด์ โดยการลงทุนครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์มคลาวด์ของบริษัท และเร่งพัฒนา “สามแพลตฟอร์มอัจฉริยะ” ที่เป็นยุทธศาสตร์หลักขององค์กร

    แม้จะยังไม่เปิดเผยสถานที่ตั้งของศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ แต่แผนนี้ต่อยอดจากโครงการก่อนหน้า เช่น การร่วมมือกับ Nvidia สร้างศูนย์ AI ในไต้หวัน และการผลิตอุปกรณ์ดาต้าเซ็นเตอร์ร่วมกับ SoftBank ที่โรงงานเดิมในรัฐโอไฮโอ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Stargate เพื่อเสริมโครงสร้างพื้นฐาน AI ในอเมริกา

    Foxconn กำลังเปลี่ยนบทบาทจากผู้ผลิตฮาร์ดแวร์แบบดั้งเดิม ไปสู่ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก โดยเน้นการลงทุนใน compute power, cloud services และ edge AI

    Foxconn ลงทุน $1.37 พันล้านในคลัสเตอร์ AI
    ใช้เงินทุนของบริษัทเอง
    ลงทุนระหว่าง ธ.ค. 2025 – ธ.ค. 2026
    ยังไม่เปิดเผยสถานที่ตั้งของศูนย์

    เป้าหมายของการลงทุน
    ขยายแพลตฟอร์มคลาวด์ของกลุ่ม
    เร่งพัฒนา “สามแพลตฟอร์มอัจฉริยะ”
    เสริมศักยภาพด้าน compute และ AI infrastructure

    โครงการที่เกี่ยวข้องก่อนหน้า
    ร่วมมือกับ Nvidia สร้างศูนย์ AI ในไต้หวัน
    ผลิตอุปกรณ์ดาต้าเซ็นเตอร์กับ SoftBank ที่โอไฮโอ
    เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Stargate เพื่อเสริม AI infrastructure ในสหรัฐฯ

    คำเตือนสำหรับผู้ติดตามอุตสาหกรรม AI
    การลงทุนขนาดใหญ่ใน compute power อาจกระตุ้นการแข่งขันด้านพลังงานและทรัพยากร
    การขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ต้องมาพร้อมการจัดการด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
    การเปลี่ยนบทบาทของผู้ผลิตฮาร์ดแวร์อาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานเดิม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/28/foxconn-to-invest-up-to-137-billion-in-ai-compute-cluster-supercomputing-centre
    🏭 Foxconn ทุ่มงบ $1.37 พันล้าน สร้างศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์และคลัสเตอร์ AI — ขยายแพลตฟอร์มคลาวด์และเร่งพัฒนาโครงสร้างอัจฉริยะ Foxconn หรือ Hon Hai Precision Industry Co Ltd ประกาศแผนลงทุนสูงสุดถึง NT$42 พันล้าน (ประมาณ $1.37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์สำหรับสร้างคลัสเตอร์ AI และศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ โดยจะใช้เงินทุนของบริษัทเองตั้งแต่เดือนธันวาคม 2025 ถึงธันวาคม 2026 Foxconn ซึ่งเป็นผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดในโลก กำลังเร่งขยายธุรกิจด้าน AI และคลาวด์ โดยการลงทุนครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์มคลาวด์ของบริษัท และเร่งพัฒนา “สามแพลตฟอร์มอัจฉริยะ” ที่เป็นยุทธศาสตร์หลักขององค์กร แม้จะยังไม่เปิดเผยสถานที่ตั้งของศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ แต่แผนนี้ต่อยอดจากโครงการก่อนหน้า เช่น การร่วมมือกับ Nvidia สร้างศูนย์ AI ในไต้หวัน และการผลิตอุปกรณ์ดาต้าเซ็นเตอร์ร่วมกับ SoftBank ที่โรงงานเดิมในรัฐโอไฮโอ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Stargate เพื่อเสริมโครงสร้างพื้นฐาน AI ในอเมริกา Foxconn กำลังเปลี่ยนบทบาทจากผู้ผลิตฮาร์ดแวร์แบบดั้งเดิม ไปสู่ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก โดยเน้นการลงทุนใน compute power, cloud services และ edge AI ✅ Foxconn ลงทุน $1.37 พันล้านในคลัสเตอร์ AI ➡️ ใช้เงินทุนของบริษัทเอง ➡️ ลงทุนระหว่าง ธ.ค. 2025 – ธ.ค. 2026 ➡️ ยังไม่เปิดเผยสถานที่ตั้งของศูนย์ ✅ เป้าหมายของการลงทุน ➡️ ขยายแพลตฟอร์มคลาวด์ของกลุ่ม ➡️ เร่งพัฒนา “สามแพลตฟอร์มอัจฉริยะ” ➡️ เสริมศักยภาพด้าน compute และ AI infrastructure ✅ โครงการที่เกี่ยวข้องก่อนหน้า ➡️ ร่วมมือกับ Nvidia สร้างศูนย์ AI ในไต้หวัน ➡️ ผลิตอุปกรณ์ดาต้าเซ็นเตอร์กับ SoftBank ที่โอไฮโอ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Stargate เพื่อเสริม AI infrastructure ในสหรัฐฯ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ติดตามอุตสาหกรรม AI ⛔ การลงทุนขนาดใหญ่ใน compute power อาจกระตุ้นการแข่งขันด้านพลังงานและทรัพยากร ⛔ การขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ต้องมาพร้อมการจัดการด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ⛔ การเปลี่ยนบทบาทของผู้ผลิตฮาร์ดแวร์อาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานเดิม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/28/foxconn-to-invest-up-to-137-billion-in-ai-compute-cluster-supercomputing-centre
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Foxconn to invest up to $1.37 billion in AI compute cluster, supercomputing centre
    TAIPEI (Reuters) -Taiwan's Foxconn said its board of directors has approved an investment plan to procure equipment for a AI compute cluster and a supercomputing centre, that will allow it to spend up to NT$42 billion ($1.37 billion).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • Meta เปิดตัว “Ghost Posts” บน Threads — แชร์ได้แบบไม่ต้องกลัวถูกจดจำ

    Meta เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่บนแอป Threads ที่ชื่อว่า “Ghost Posts” ซึ่งเป็นโพสต์ที่หายไปอัตโนมัติภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากเผยแพร่ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถแชร์ความคิดแบบสดใหม่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความถาวรหรือภาพลักษณ์

    Ghost Posts เป็นฟีเจอร์ที่คล้ายกับ “Stories” บน Instagram และ Facebook แต่ถูกออกแบบมาให้ใช้ใน Threads ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เน้นการสนทนาแบบข้อความ ผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ได้โดยกดไอคอนรูปผีในหน้าสร้างโพสต์

    โพสต์ที่เป็น Ghost จะปรากฏในฟีดเป็นฟองข้อความสีเทาแบบจุดไข่ปลา เพื่อแยกจากโพสต์ปกติ และจะถูกลบอัตโนมัติหลัง 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้ลบเอง

    ที่สำคัญคือ การตอบกลับโพสต์แบบ Ghost จะถูกส่งไปยังกล่องข้อความของผู้โพสต์เท่านั้น ไม่แสดงต่อสาธารณะ ทำให้ผู้ใช้สามารถพูดคุยแบบส่วนตัวได้มากขึ้น

    Meta ระบุว่า ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้ “แชร์ความคิดแบบไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจดจำหรือถูกตัดสิน” และเป็นการส่งเสริมการใช้งาน Threads ให้หลากหลายขึ้น

    Ghost Posts คืออะไร
    โพสต์ที่หายไปอัตโนมัติภายใน 24 ชั่วโมง
    ใช้ไอคอนรูปผีเพื่อเปิดใช้งานในหน้าสร้างโพสต์
    แสดงเป็นฟองข้อความสีเทาแบบ dotted bubble

    การตอบกลับแบบส่วนตัว
    คอมเมนต์จะถูกส่งไปยังกล่องข้อความของผู้โพสต์
    ไม่แสดงต่อสาธารณะหรือในฟีด

    เป้าหมายของฟีเจอร์
    ส่งเสริมการแชร์ความคิดแบบไม่ต้องกลัวผลกระทบ
    ลดแรงกดดันจากการโพสต์แบบถาวร
    เพิ่มความหลากหลายในการใช้งาน Threads

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    แม้โพสต์จะหายไป แต่อาจถูกแคปหน้าจอหรือบันทึกโดยผู้อื่น
    ไม่ควรใช้ Ghost Posts เพื่อแชร์ข้อมูลส่วนตัวหรือเนื้อหาละเมิด
    การตอบกลับแบบส่วนตัวอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดหากไม่ระวัง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/28/meta-launches-039ghost-posts039-that-disappear-after-24-hours-on-threads
    👻 Meta เปิดตัว “Ghost Posts” บน Threads — แชร์ได้แบบไม่ต้องกลัวถูกจดจำ Meta เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่บนแอป Threads ที่ชื่อว่า “Ghost Posts” ซึ่งเป็นโพสต์ที่หายไปอัตโนมัติภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากเผยแพร่ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถแชร์ความคิดแบบสดใหม่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความถาวรหรือภาพลักษณ์ Ghost Posts เป็นฟีเจอร์ที่คล้ายกับ “Stories” บน Instagram และ Facebook แต่ถูกออกแบบมาให้ใช้ใน Threads ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เน้นการสนทนาแบบข้อความ ผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ได้โดยกดไอคอนรูปผีในหน้าสร้างโพสต์ โพสต์ที่เป็น Ghost จะปรากฏในฟีดเป็นฟองข้อความสีเทาแบบจุดไข่ปลา เพื่อแยกจากโพสต์ปกติ และจะถูกลบอัตโนมัติหลัง 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้ลบเอง ที่สำคัญคือ การตอบกลับโพสต์แบบ Ghost จะถูกส่งไปยังกล่องข้อความของผู้โพสต์เท่านั้น ไม่แสดงต่อสาธารณะ ทำให้ผู้ใช้สามารถพูดคุยแบบส่วนตัวได้มากขึ้น Meta ระบุว่า ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้ “แชร์ความคิดแบบไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจดจำหรือถูกตัดสิน” และเป็นการส่งเสริมการใช้งาน Threads ให้หลากหลายขึ้น ✅ Ghost Posts คืออะไร ➡️ โพสต์ที่หายไปอัตโนมัติภายใน 24 ชั่วโมง ➡️ ใช้ไอคอนรูปผีเพื่อเปิดใช้งานในหน้าสร้างโพสต์ ➡️ แสดงเป็นฟองข้อความสีเทาแบบ dotted bubble ✅ การตอบกลับแบบส่วนตัว ➡️ คอมเมนต์จะถูกส่งไปยังกล่องข้อความของผู้โพสต์ ➡️ ไม่แสดงต่อสาธารณะหรือในฟีด ✅ เป้าหมายของฟีเจอร์ ➡️ ส่งเสริมการแชร์ความคิดแบบไม่ต้องกลัวผลกระทบ ➡️ ลดแรงกดดันจากการโพสต์แบบถาวร ➡️ เพิ่มความหลากหลายในการใช้งาน Threads ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ แม้โพสต์จะหายไป แต่อาจถูกแคปหน้าจอหรือบันทึกโดยผู้อื่น ⛔ ไม่ควรใช้ Ghost Posts เพื่อแชร์ข้อมูลส่วนตัวหรือเนื้อหาละเมิด ⛔ การตอบกลับแบบส่วนตัวอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดหากไม่ระวัง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/28/meta-launches-039ghost-posts039-that-disappear-after-24-hours-on-threads
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta launches 'ghost posts' that disappear after 24 hours on Threads
    (Reuters) -Social media giant Meta launched on Monday posts that are automatically archived 24 hours after being uploaded, dubbed "ghost posts," on its Threads app, mimicking a popular feature available on its other platforms.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศึก "Rare Earth" เดือด! สหรัฐเปิดเกมตัดอิทธิพลจีน ขยายพันธมิตรดึงไทย-มาเลเซียเข้าห่วงโซ่อุปทานยุทธศาสตร์ โลกจับตาไทยจะได้โอกาสทองหรือกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของมหาอำนาจ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000102725

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด #RareEarth
    ศึก "Rare Earth" เดือด! สหรัฐเปิดเกมตัดอิทธิพลจีน ขยายพันธมิตรดึงไทย-มาเลเซียเข้าห่วงโซ่อุปทานยุทธศาสตร์ โลกจับตาไทยจะได้โอกาสทองหรือกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของมหาอำนาจ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000102725 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด #RareEarth
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยกระดับความปลอดภัยในระบบ Serverless ด้วย Zero Trust และ AI — ป้องกันภัยคุกคามยุคใหม่แบบรอบด้าน

    บทความจาก HackRead โดย Rimpy Tewani ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยระบบคลาวด์ของ AWS เผยแนวทางการป้องกันภัยคุกคามในระบบ Serverless ที่กำลังได้รับความนิยมในองค์กรขนาดใหญ่ โดยเน้นการใช้สถาปัตยกรรม Zero Trust และระบบตรวจจับภัยคุกคามด้วย AI เพื่อรับมือกับการโจมตีที่ซับซ้อนและเกิดขึ้นรวดเร็ว

    ระบบ Serverless ช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาแอปพลิเคชันได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องดูแลเซิร์ฟเวอร์เอง แต่ก็เปิดช่องให้เกิดภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เช่น การฉีด event ที่เป็นอันตราย (Function Event Injection), การโจมตีช่วง cold start และการใช้ AI ในการหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ

    แนวทางที่แนะนำคือการใช้สถาปัตยกรรม Zero Trust ซึ่งไม่เชื่อถือสิ่งใดโดยอัตโนมัติ แม้จะผ่านการยืนยันตัวตนแล้วก็ตาม ทุกคำขอและทุกฟังก์ชันต้องผ่านการตรวจสอบซ้ำเสมอ

    ระบบป้องกันประกอบด้วยหลายชั้น เช่น AWS WAF, Cognito, การเข้ารหัสข้อมูล, การตรวจสอบแบบเรียลไทม์ และการใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้เพื่อประเมินความเสี่ยง

    Zero Trust ในระบบ Serverless
    ไม่เชื่อถือคำขอใด ๆ โดยอัตโนมัติ
    ตรวจสอบทุกฟังก์ชันและ API call แบบเรียลไทม์
    ใช้การยืนยันตัวตนหลายชั้นและการเข้ารหัสข้อมูล

    ภัยคุกคามเฉพาะในระบบ Serverless
    Function Event Injection: ฝัง payload อันตรายผ่าน event
    Cold Start Exploitation: โจมตีช่วงเริ่มต้นที่ระบบยังไม่พร้อม
    Credential Stuffing และ API Abuse เพิ่มขึ้นกว่า 300%

    การใช้ AI ในการป้องกัน
    AWS Cognito วิเคราะห์พฤติกรรมและอุปกรณ์ผู้ใช้
    EventBridge ตรวจจับภัยคุกคามข้ามบริการ
    AI วิเคราะห์ prompt injection และ model poisoning ในระบบ GenAI

    ผลลัพธ์จากการใช้งานจริง
    ลดเวลาในการตอบสนองภัยคุกคามจาก 200 นาทีเหลือ 30 วินาที
    เพิ่ม ROI ด้านความปลอดภัยถึง 240% ภายใน 2 ปี
    ตรวจจับการ takeover บัญชีได้แม่นยำถึง 99.7%

    คำเตือนสำหรับองค์กรที่ใช้ Serverless
    อย่าพึ่งพาการตรวจสอบแบบหลังเกิดเหตุเพียงอย่างเดียว
    ควรใช้ระบบตรวจจับแบบ proactive และ AI วิเคราะห์พฤติกรรม
    ต้องเตรียมรับมือกับภัยคุกคามที่เกิดจากการใช้ GenAI

    https://hackread.com/serverless-security-zero-trust-implementation-ai-threat-detection/
    🛡️ ยกระดับความปลอดภัยในระบบ Serverless ด้วย Zero Trust และ AI — ป้องกันภัยคุกคามยุคใหม่แบบรอบด้าน บทความจาก HackRead โดย Rimpy Tewani ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยระบบคลาวด์ของ AWS เผยแนวทางการป้องกันภัยคุกคามในระบบ Serverless ที่กำลังได้รับความนิยมในองค์กรขนาดใหญ่ โดยเน้นการใช้สถาปัตยกรรม Zero Trust และระบบตรวจจับภัยคุกคามด้วย AI เพื่อรับมือกับการโจมตีที่ซับซ้อนและเกิดขึ้นรวดเร็ว ระบบ Serverless ช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาแอปพลิเคชันได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องดูแลเซิร์ฟเวอร์เอง แต่ก็เปิดช่องให้เกิดภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เช่น การฉีด event ที่เป็นอันตราย (Function Event Injection), การโจมตีช่วง cold start และการใช้ AI ในการหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ แนวทางที่แนะนำคือการใช้สถาปัตยกรรม Zero Trust ซึ่งไม่เชื่อถือสิ่งใดโดยอัตโนมัติ แม้จะผ่านการยืนยันตัวตนแล้วก็ตาม ทุกคำขอและทุกฟังก์ชันต้องผ่านการตรวจสอบซ้ำเสมอ ระบบป้องกันประกอบด้วยหลายชั้น เช่น AWS WAF, Cognito, การเข้ารหัสข้อมูล, การตรวจสอบแบบเรียลไทม์ และการใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้เพื่อประเมินความเสี่ยง ✅ Zero Trust ในระบบ Serverless ➡️ ไม่เชื่อถือคำขอใด ๆ โดยอัตโนมัติ ➡️ ตรวจสอบทุกฟังก์ชันและ API call แบบเรียลไทม์ ➡️ ใช้การยืนยันตัวตนหลายชั้นและการเข้ารหัสข้อมูล ✅ ภัยคุกคามเฉพาะในระบบ Serverless ➡️ Function Event Injection: ฝัง payload อันตรายผ่าน event ➡️ Cold Start Exploitation: โจมตีช่วงเริ่มต้นที่ระบบยังไม่พร้อม ➡️ Credential Stuffing และ API Abuse เพิ่มขึ้นกว่า 300% ✅ การใช้ AI ในการป้องกัน ➡️ AWS Cognito วิเคราะห์พฤติกรรมและอุปกรณ์ผู้ใช้ ➡️ EventBridge ตรวจจับภัยคุกคามข้ามบริการ ➡️ AI วิเคราะห์ prompt injection และ model poisoning ในระบบ GenAI ✅ ผลลัพธ์จากการใช้งานจริง ➡️ ลดเวลาในการตอบสนองภัยคุกคามจาก 200 นาทีเหลือ 30 วินาที ➡️ เพิ่ม ROI ด้านความปลอดภัยถึง 240% ภายใน 2 ปี ➡️ ตรวจจับการ takeover บัญชีได้แม่นยำถึง 99.7% ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กรที่ใช้ Serverless ⛔ อย่าพึ่งพาการตรวจสอบแบบหลังเกิดเหตุเพียงอย่างเดียว ⛔ ควรใช้ระบบตรวจจับแบบ proactive และ AI วิเคราะห์พฤติกรรม ⛔ ต้องเตรียมรับมือกับภัยคุกคามที่เกิดจากการใช้ GenAI https://hackread.com/serverless-security-zero-trust-implementation-ai-threat-detection/
    HACKREAD.COM
    Advanced Serverless Security: Zero Trust Implementation with AI-Powered Threat Detection
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ “Tainted Memories” ใน ChatGPT Atlas Browser — เมื่อ AI จำคำสั่งอันตรายโดยไม่รู้ตัว

    บทความจาก HackRead เผยช่องโหว่ร้ายแรงใน ChatGPT Atlas Browser ที่ถูกค้นพบโดยนักวิจัยจาก LayerX Security ซึ่งตั้งชื่อว่า “ChatGPT Tainted Memories” โดยช่องโหว่นี้เปิดทางให้แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งอันตรายลงในหน่วยความจำของ ChatGPT ขณะใช้งาน Atlas Browser ทำให้ AI ทำงานตามคำสั่งที่ผู้ใช้ไม่ได้ร้องขอ

    ChatGPT Atlas เป็นเบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ที่ใช้ความสามารถของ AI ในการอ่านเว็บ สรุปข้อมูล และดำเนินการแทนผู้ใช้ เช่น เปิดบัญชีหรือดาวน์โหลดไฟล์ แต่ช่องโหว่ที่พบทำให้แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งลับลงในเนื้อหาของเว็บไซต์ เมื่อ Atlas อ่านข้อมูลนั้นแล้วเข้าใจว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้ มันก็จะดำเนินการทันทีโดยไม่ตรวจสอบ

    ที่น่ากังวลคือคำสั่งเหล่านี้อาจฝังอยู่ในหน่วยความจำของ ChatGPT และยังคงอยู่แม้จะเปลี่ยนหน้าเว็บหรืออุปกรณ์ ทำให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมการทำงานของเบราว์เซอร์ได้ในระยะยาว

    นอกจากนี้ Atlas ยังไม่มีระบบป้องกัน phishing ที่ดีพอ ทำให้ผู้ใช้มีความเสี่ยงสูงกว่าการใช้เบราว์เซอร์ทั่วไปถึง 90% ตามรายงานของ LayerX

    ช่องโหว่ “Tainted Memories” ใน ChatGPT Atlas
    แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งลับลงในเนื้อหาเว็บ
    ChatGPT อาจเข้าใจผิดว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้
    ดำเนินการโดยไม่ตรวจสอบ เช่น เปิดบัญชีหรือเข้าถึงไฟล์

    ความเสี่ยงจากหน่วยความจำของ AI
    คำสั่งอันตรายอาจอยู่ในหน่วยความจำข้ามอุปกรณ์หรือเซสชัน
    แฮกเกอร์สามารถควบคุมการทำงานของเบราว์เซอร์ในระยะยาว

    ปัญหาด้าน phishing
    Atlas ไม่มีระบบป้องกัน phishing ที่ดี
    ผู้ใช้มีความเสี่ยงสูงกว่าการใช้ Chrome หรือ Edge ถึง 90%

    คำแนะนำจากนักวิจัย
    หลีกเลี่ยงการใช้ Atlas กับบัญชีสำคัญ เช่น อีเมลหรือธนาคาร
    ใช้เบราว์เซอร์ทั่วไปสำหรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง
    ตรวจสอบหน่วยความจำและประวัติการทำงานของ AI เป็นระยะ
    องค์กรควรจำกัดสิทธิ์และตรวจสอบการใช้งาน AI browser อย่างเข้มงวด

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ChatGPT Atlas
    อย่าใช้เบราว์เซอร์นี้กับข้อมูลสำคัญจนกว่าจะมีแพตช์แก้ไข
    หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ที่ไม่รู้จักขณะใช้ Atlas
    ตรวจสอบว่า AI ทำงานตามคำสั่งจริง ไม่ใช่คำสั่งที่ถูกฝังไว้

    https://hackread.com/chatgpt-tainted-memories-atlas-browser/
    🧠 ช่องโหว่ “Tainted Memories” ใน ChatGPT Atlas Browser — เมื่อ AI จำคำสั่งอันตรายโดยไม่รู้ตัว บทความจาก HackRead เผยช่องโหว่ร้ายแรงใน ChatGPT Atlas Browser ที่ถูกค้นพบโดยนักวิจัยจาก LayerX Security ซึ่งตั้งชื่อว่า “ChatGPT Tainted Memories” โดยช่องโหว่นี้เปิดทางให้แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งอันตรายลงในหน่วยความจำของ ChatGPT ขณะใช้งาน Atlas Browser ทำให้ AI ทำงานตามคำสั่งที่ผู้ใช้ไม่ได้ร้องขอ ChatGPT Atlas เป็นเบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ที่ใช้ความสามารถของ AI ในการอ่านเว็บ สรุปข้อมูล และดำเนินการแทนผู้ใช้ เช่น เปิดบัญชีหรือดาวน์โหลดไฟล์ แต่ช่องโหว่ที่พบทำให้แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งลับลงในเนื้อหาของเว็บไซต์ เมื่อ Atlas อ่านข้อมูลนั้นแล้วเข้าใจว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้ มันก็จะดำเนินการทันทีโดยไม่ตรวจสอบ ที่น่ากังวลคือคำสั่งเหล่านี้อาจฝังอยู่ในหน่วยความจำของ ChatGPT และยังคงอยู่แม้จะเปลี่ยนหน้าเว็บหรืออุปกรณ์ ทำให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมการทำงานของเบราว์เซอร์ได้ในระยะยาว นอกจากนี้ Atlas ยังไม่มีระบบป้องกัน phishing ที่ดีพอ ทำให้ผู้ใช้มีความเสี่ยงสูงกว่าการใช้เบราว์เซอร์ทั่วไปถึง 90% ตามรายงานของ LayerX ✅ ช่องโหว่ “Tainted Memories” ใน ChatGPT Atlas ➡️ แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งลับลงในเนื้อหาเว็บ ➡️ ChatGPT อาจเข้าใจผิดว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้ ➡️ ดำเนินการโดยไม่ตรวจสอบ เช่น เปิดบัญชีหรือเข้าถึงไฟล์ ✅ ความเสี่ยงจากหน่วยความจำของ AI ➡️ คำสั่งอันตรายอาจอยู่ในหน่วยความจำข้ามอุปกรณ์หรือเซสชัน ➡️ แฮกเกอร์สามารถควบคุมการทำงานของเบราว์เซอร์ในระยะยาว ✅ ปัญหาด้าน phishing ➡️ Atlas ไม่มีระบบป้องกัน phishing ที่ดี ➡️ ผู้ใช้มีความเสี่ยงสูงกว่าการใช้ Chrome หรือ Edge ถึง 90% ✅ คำแนะนำจากนักวิจัย ➡️ หลีกเลี่ยงการใช้ Atlas กับบัญชีสำคัญ เช่น อีเมลหรือธนาคาร ➡️ ใช้เบราว์เซอร์ทั่วไปสำหรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง ➡️ ตรวจสอบหน่วยความจำและประวัติการทำงานของ AI เป็นระยะ ➡️ องค์กรควรจำกัดสิทธิ์และตรวจสอบการใช้งาน AI browser อย่างเข้มงวด ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ChatGPT Atlas ⛔ อย่าใช้เบราว์เซอร์นี้กับข้อมูลสำคัญจนกว่าจะมีแพตช์แก้ไข ⛔ หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ที่ไม่รู้จักขณะใช้ Atlas ⛔ ตรวจสอบว่า AI ทำงานตามคำสั่งจริง ไม่ใช่คำสั่งที่ถูกฝังไว้ https://hackread.com/chatgpt-tainted-memories-atlas-browser/
    HACKREAD.COM
    ‘ChatGPT Tainted Memories’ Exploit Enables Command Injection in Atlas Browser
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้ตั้งคำถามถึงเสรีภาพของผู้ใช้ในการควบคุมเครื่องของตัวเองในยุคที่ซอฟต์แวร์ถูกล็อกและควบคุมมากขึ้น

    บทความจาก Hackaday ชื่อ “What Happened to Running What You Wanted on Your Own Machine?” วิจารณ์แนวโน้มที่ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ของตนเองได้อย่างแท้จริงอีกต่อไป โดยเฉพาะในยุคที่ระบบปฏิบัติการและฮาร์ดแวร์ถูกออกแบบให้จำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้มากขึ้น เช่น การบังคับใช้ Secure Boot, การล็อก BIOS, และการควบคุมสิทธิ์ root

    ประเด็นหลักของบทความ

    การควบคุมของผู้ผลิต: ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รายใหญ่ เช่น Apple, Microsoft และผู้ผลิตชิปบางราย เริ่มออกแบบระบบให้ผู้ใช้ไม่สามารถติดตั้งหรือรันซอฟต์แวร์ที่ตนเองต้องการได้อย่างอิสระ เช่น การบังคับใช้ Secure Boot ที่ไม่สามารถปิดได้ หรือการจำกัดการเข้าถึง bootloader

    การลดเสรีภาพของผู้ใช้: แม้ผู้ใช้จะเป็นเจ้าของเครื่อง แต่กลับไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่ เช่น ไม่สามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการทางเลือก หรือซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สได้โดยง่าย

    ผลกระทบต่อการศึกษาและนวัตกรรม: การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ทำให้ยากต่อการเรียนรู้ การทดลอง และการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะในแวดวงนักพัฒนาและนักวิจัย

    การเรียกร้องให้คืนสิทธิ์: ผู้เขียนเรียกร้องให้ผู้ใช้ตระหนักถึงสิทธิ์ของตนเอง และสนับสนุนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เปิดให้ควบคุมได้อย่างแท้จริง เช่น โครงการโอเพ่นซอร์ส หรืออุปกรณ์ที่สามารถปลดล็อก bootloader ได้

    ข้อคิดจากบทความ

    คุณควรมีสิทธิ์เต็มที่ในการควบคุมเครื่องของคุณเอง
    การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ไม่ควรเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม
    การสนับสนุนโอเพ่นซอร์สและฮาร์ดแวร์ที่เปิดกว้างคือทางออก
    การศึกษาและนวัตกรรมต้องการพื้นที่ที่เปิดกว้าง ไม่ใช่ระบบที่ปิดตาย

    https://hackaday.com/2025/10/22/what-happened-to-running-what-you-wanted-on-your-own-machine/
    🖥️ บทความนี้ตั้งคำถามถึงเสรีภาพของผู้ใช้ในการควบคุมเครื่องของตัวเองในยุคที่ซอฟต์แวร์ถูกล็อกและควบคุมมากขึ้น บทความจาก Hackaday ชื่อ “What Happened to Running What You Wanted on Your Own Machine?” วิจารณ์แนวโน้มที่ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ของตนเองได้อย่างแท้จริงอีกต่อไป โดยเฉพาะในยุคที่ระบบปฏิบัติการและฮาร์ดแวร์ถูกออกแบบให้จำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้มากขึ้น เช่น การบังคับใช้ Secure Boot, การล็อก BIOS, และการควบคุมสิทธิ์ root 🔍 ประเด็นหลักของบทความ ⚖️ การควบคุมของผู้ผลิต: ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รายใหญ่ เช่น Apple, Microsoft และผู้ผลิตชิปบางราย เริ่มออกแบบระบบให้ผู้ใช้ไม่สามารถติดตั้งหรือรันซอฟต์แวร์ที่ตนเองต้องการได้อย่างอิสระ เช่น การบังคับใช้ Secure Boot ที่ไม่สามารถปิดได้ หรือการจำกัดการเข้าถึง bootloader ⚖️ การลดเสรีภาพของผู้ใช้: แม้ผู้ใช้จะเป็นเจ้าของเครื่อง แต่กลับไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่ เช่น ไม่สามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการทางเลือก หรือซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สได้โดยง่าย ⚖️ ผลกระทบต่อการศึกษาและนวัตกรรม: การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ทำให้ยากต่อการเรียนรู้ การทดลอง และการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะในแวดวงนักพัฒนาและนักวิจัย ⚖️ การเรียกร้องให้คืนสิทธิ์: ผู้เขียนเรียกร้องให้ผู้ใช้ตระหนักถึงสิทธิ์ของตนเอง และสนับสนุนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เปิดให้ควบคุมได้อย่างแท้จริง เช่น โครงการโอเพ่นซอร์ส หรืออุปกรณ์ที่สามารถปลดล็อก bootloader ได้ 📌 ข้อคิดจากบทความ ✅ คุณควรมีสิทธิ์เต็มที่ในการควบคุมเครื่องของคุณเอง ✅ การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ไม่ควรเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม ✅ การสนับสนุนโอเพ่นซอร์สและฮาร์ดแวร์ที่เปิดกว้างคือทางออก ✅ การศึกษาและนวัตกรรมต้องการพื้นที่ที่เปิดกว้าง ไม่ใช่ระบบที่ปิดตาย https://hackaday.com/2025/10/22/what-happened-to-running-what-you-wanted-on-your-own-machine/
    HACKADAY.COM
    What Happened To Running What You Wanted On Your Own Machine?
    When the microcomputer first landed in homes some forty years ago, it came with a simple freedom—you could run whatever software you could get your hands on. Floppy disk from a friend? Pop it in. S…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัทล็อกฟ้อง YouTuber หลังโชว์วิธีเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก — กลับกลายเป็นดราม่าทางกฎหมายและภาพลักษณ์

    บริษัทล็อกชื่อดังตัดสินใจฟ้อง YouTuber รายหนึ่งที่เผยแพร่วิดีโอสาธิตการเปิดล็อกรุ่นยอดนิยมด้วยวิธี “shimming” หรือการสอดแผ่นพลาสติกเข้าไปในช่องล็อก ซึ่งเป็นเทคนิคพื้นฐานที่ใช้กันมานานในวงการรักษาความปลอดภัย แต่การฟ้องครั้งนี้กลับสร้างกระแสตีกลับอย่างรุนแรงในโลกออนไลน์

    YouTuber รายนี้มีผู้ติดตามหลายล้านคน และมักทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการทดสอบอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย เช่น ล็อก กุญแจ และกล้อง โดยเน้นให้ความรู้แก่ผู้บริโภคว่าอุปกรณ์ใด “ปลอดภัยจริง” และอุปกรณ์ใด “แค่ดูดีแต่ไม่ทน”

    ในวิดีโอล่าสุด เขาได้สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติกธรรมดา โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาที ซึ่งทำให้ผู้ชมจำนวนมากตั้งคำถามถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์

    บริษัทผู้ผลิตล็อกไม่พอใจ และตัดสินใจฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและทำให้แบรนด์เสียหาย แต่การฟ้องกลับสร้างกระแสตีกลับ เพราะหลายคนมองว่าเป็นการ “ยิงตัวเอง” และพยายามปิดปากผู้วิจารณ์

    นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยออกมาเตือนว่า การฟ้องผู้ทดสอบอุปกรณ์อาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส และไม่ยอมรับข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    YouTuber สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก
    ใช้เทคนิค “shimming” ที่เป็นที่รู้จักในวงการรักษาความปลอดภัย
    วิดีโอได้รับความนิยมและสร้างคำถามถึงคุณภาพของล็อก

    การตอบโต้จากบริษัทล็อก
    ฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
    กล่าวหาว่าทำให้แบรนด์เสียหายและเข้าใจผิด
    กลายเป็นดราม่าทางภาพลักษณ์ในโลกออนไลน์

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    การฟ้องอาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส
    การวิจารณ์ผลิตภัณฑ์ควรได้รับการปกป้องในฐานะสิทธิเสรีภาพ
    การเปิดเผยข้อบกพร่องช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ดีขึ้น

    คำเตือนสำหรับบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย
    การปิดปากผู้วิจารณ์อาจสร้างผลเสียมากกว่าผลดี
    ควรรับฟังข้อเสนอแนะและปรับปรุงผลิตภัณฑ์
    การฟ้องร้องอาจทำให้เกิดกระแสตีกลับและเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า


    https://arstechnica.com/tech-policy/2025/10/suing-a-popular-youtuber-who-shimmed-a-130-lock-what-could-possibly-go-wrong/
    🔒 บริษัทล็อกฟ้อง YouTuber หลังโชว์วิธีเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก — กลับกลายเป็นดราม่าทางกฎหมายและภาพลักษณ์ บริษัทล็อกชื่อดังตัดสินใจฟ้อง YouTuber รายหนึ่งที่เผยแพร่วิดีโอสาธิตการเปิดล็อกรุ่นยอดนิยมด้วยวิธี “shimming” หรือการสอดแผ่นพลาสติกเข้าไปในช่องล็อก ซึ่งเป็นเทคนิคพื้นฐานที่ใช้กันมานานในวงการรักษาความปลอดภัย แต่การฟ้องครั้งนี้กลับสร้างกระแสตีกลับอย่างรุนแรงในโลกออนไลน์ YouTuber รายนี้มีผู้ติดตามหลายล้านคน และมักทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการทดสอบอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย เช่น ล็อก กุญแจ และกล้อง โดยเน้นให้ความรู้แก่ผู้บริโภคว่าอุปกรณ์ใด “ปลอดภัยจริง” และอุปกรณ์ใด “แค่ดูดีแต่ไม่ทน” ในวิดีโอล่าสุด เขาได้สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติกธรรมดา โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาที ซึ่งทำให้ผู้ชมจำนวนมากตั้งคำถามถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ บริษัทผู้ผลิตล็อกไม่พอใจ และตัดสินใจฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและทำให้แบรนด์เสียหาย แต่การฟ้องกลับสร้างกระแสตีกลับ เพราะหลายคนมองว่าเป็นการ “ยิงตัวเอง” และพยายามปิดปากผู้วิจารณ์ นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยออกมาเตือนว่า การฟ้องผู้ทดสอบอุปกรณ์อาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส และไม่ยอมรับข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์ ✅ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ➡️ YouTuber สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก ➡️ ใช้เทคนิค “shimming” ที่เป็นที่รู้จักในวงการรักษาความปลอดภัย ➡️ วิดีโอได้รับความนิยมและสร้างคำถามถึงคุณภาพของล็อก ✅ การตอบโต้จากบริษัทล็อก ➡️ ฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ➡️ กล่าวหาว่าทำให้แบรนด์เสียหายและเข้าใจผิด ➡️ กลายเป็นดราม่าทางภาพลักษณ์ในโลกออนไลน์ ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ การฟ้องอาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส ➡️ การวิจารณ์ผลิตภัณฑ์ควรได้รับการปกป้องในฐานะสิทธิเสรีภาพ ➡️ การเปิดเผยข้อบกพร่องช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ดีขึ้น ‼️ คำเตือนสำหรับบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย ⛔ การปิดปากผู้วิจารณ์อาจสร้างผลเสียมากกว่าผลดี ⛔ ควรรับฟังข้อเสนอแนะและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ ⛔ การฟ้องร้องอาจทำให้เกิดกระแสตีกลับและเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า https://arstechnica.com/tech-policy/2025/10/suing-a-popular-youtuber-who-shimmed-a-130-lock-what-could-possibly-go-wrong/
    ARSTECHNICA.COM
    10M people watched a YouTuber shim a lock; the lock company sued him. Bad idea.
    It’s still legal to pick locks, even when you swing your legs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • Python Software Foundation ถอนตัวจากทุน NSF มูลค่า $1.5 ล้าน หลังเงื่อนไขขัดต่อค่านิยมด้าน DEI

    Python Software Foundation (PSF) ประกาศถอนตัวจากการรับทุนสนับสนุนมูลค่า $1.5 ล้านจาก National Science Foundation (NSF) ของสหรัฐฯ แม้จะผ่านการคัดเลือกแล้วก็ตาม เนื่องจากเงื่อนไขของทุนขัดแย้งกับพันธกิจด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (DEI) ขององค์กร

    PSF ได้ยื่นขอทุนจากโครงการ “Safety, Security, and Privacy of Open Source Ecosystems” ของ NSF เพื่อพัฒนาเครื่องมือป้องกันมัลแวร์ใน PyPI โดยใช้การวิเคราะห์ความสามารถของแพ็กเกจและฐานข้อมูลมัลแวร์ที่รู้จัก เพื่อเปลี่ยนจากการตรวจสอบแบบ “หลังเกิดเหตุ” เป็น “ก่อนเกิดเหตุ”

    หลังจากผ่านการคัดเลือก PSF กลับพบว่าเงื่อนไขของทุนระบุว่าองค์กรต้องไม่ดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ “ส่งเสริมหรือสนับสนุนอุดมการณ์ด้าน DEI ที่ขัดต่อกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติของรัฐบาลกลาง” และหากละเมิด NSF สามารถเรียกคืนเงินทุนที่จ่ายไปแล้วได้

    PSF เห็นว่าเงื่อนไขนี้ไม่เพียงจำกัดเฉพาะโครงการที่ได้รับทุน แต่ครอบคลุมกิจกรรมทั้งหมดขององค์กร ซึ่งขัดแย้งกับพันธกิจที่เน้นการสนับสนุนชุมชน Python ที่หลากหลายและทั่วโลก

    แม้จะเสียดายโอกาสและผลกระทบทางการเงิน (ทุนนี้คิดเป็น 30% ของงบประมาณประจำปีของ PSF) แต่คณะกรรมการของ PSF ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ถอนตัวจากทุนดังกล่าว เพื่อรักษาค่านิยมขององค์กร

    วัตถุประสงค์ของโครงการทุน
    พัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์มัลแวร์ใน PyPI
    เปลี่ยนจากการตรวจสอบแบบ reactive เป็น proactive
    ขยายผลไปยังระบบ open source อื่น เช่น NPM และ Crates.io

    เงื่อนไขของทุน NSF ที่เป็นปัญหา
    ห้ามดำเนินกิจกรรมที่ส่งเสริม DEI ที่ขัดต่อกฎหมายของรัฐบาลกลาง
    ครอบคลุมกิจกรรมทั้งหมดขององค์กร ไม่ใช่แค่โครงการที่ได้รับทุน
    NSF สามารถเรียกคืนเงินทุนที่จ่ายไปแล้ว หากพบการละเมิด

    การตัดสินใจของ PSF
    ถอนตัวจากทุนแม้จะผ่านการคัดเลือกแล้ว
    คณะกรรมการลงมติเป็นเอกฉันท์
    ยืนยันว่าค่านิยมด้าน DEI สำคัญกว่าผลประโยชน์ทางการเงิน

    ผลกระทบต่อองค์กร
    สูญเสียทุนมูลค่า $1.5 ล้าน ซึ่งคิดเป็น 30% ของงบประมาณ
    ต้องการการสนับสนุนจากสมาชิกและผู้บริจาคมากขึ้น
    เปิดรับสมาชิก สนับสนุน และสปอนเซอร์เพื่อรักษาภารกิจ

    คำเตือนสำหรับองค์กรที่ขอรับทุน
    ควรอ่านเงื่อนไขของทุนอย่างละเอียดก่อนเซ็นสัญญา
    ต้องพิจารณาว่าเงื่อนไขขัดกับค่านิยมองค์กรหรือไม่
    การรับทุนอาจมีผลต่อกิจกรรมอื่น ๆ ขององค์กรโดยไม่รู้ตัว

    https://pyfound.blogspot.com/2025/10/NSF-funding-statement.html
    🐍 Python Software Foundation ถอนตัวจากทุน NSF มูลค่า $1.5 ล้าน หลังเงื่อนไขขัดต่อค่านิยมด้าน DEI Python Software Foundation (PSF) ประกาศถอนตัวจากการรับทุนสนับสนุนมูลค่า $1.5 ล้านจาก National Science Foundation (NSF) ของสหรัฐฯ แม้จะผ่านการคัดเลือกแล้วก็ตาม เนื่องจากเงื่อนไขของทุนขัดแย้งกับพันธกิจด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (DEI) ขององค์กร PSF ได้ยื่นขอทุนจากโครงการ “Safety, Security, and Privacy of Open Source Ecosystems” ของ NSF เพื่อพัฒนาเครื่องมือป้องกันมัลแวร์ใน PyPI โดยใช้การวิเคราะห์ความสามารถของแพ็กเกจและฐานข้อมูลมัลแวร์ที่รู้จัก เพื่อเปลี่ยนจากการตรวจสอบแบบ “หลังเกิดเหตุ” เป็น “ก่อนเกิดเหตุ” หลังจากผ่านการคัดเลือก PSF กลับพบว่าเงื่อนไขของทุนระบุว่าองค์กรต้องไม่ดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ “ส่งเสริมหรือสนับสนุนอุดมการณ์ด้าน DEI ที่ขัดต่อกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติของรัฐบาลกลาง” และหากละเมิด NSF สามารถเรียกคืนเงินทุนที่จ่ายไปแล้วได้ PSF เห็นว่าเงื่อนไขนี้ไม่เพียงจำกัดเฉพาะโครงการที่ได้รับทุน แต่ครอบคลุมกิจกรรมทั้งหมดขององค์กร ซึ่งขัดแย้งกับพันธกิจที่เน้นการสนับสนุนชุมชน Python ที่หลากหลายและทั่วโลก แม้จะเสียดายโอกาสและผลกระทบทางการเงิน (ทุนนี้คิดเป็น 30% ของงบประมาณประจำปีของ PSF) แต่คณะกรรมการของ PSF ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ถอนตัวจากทุนดังกล่าว เพื่อรักษาค่านิยมขององค์กร ✅ วัตถุประสงค์ของโครงการทุน ➡️ พัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์มัลแวร์ใน PyPI ➡️ เปลี่ยนจากการตรวจสอบแบบ reactive เป็น proactive ➡️ ขยายผลไปยังระบบ open source อื่น เช่น NPM และ Crates.io ✅ เงื่อนไขของทุน NSF ที่เป็นปัญหา ➡️ ห้ามดำเนินกิจกรรมที่ส่งเสริม DEI ที่ขัดต่อกฎหมายของรัฐบาลกลาง ➡️ ครอบคลุมกิจกรรมทั้งหมดขององค์กร ไม่ใช่แค่โครงการที่ได้รับทุน ➡️ NSF สามารถเรียกคืนเงินทุนที่จ่ายไปแล้ว หากพบการละเมิด ✅ การตัดสินใจของ PSF ➡️ ถอนตัวจากทุนแม้จะผ่านการคัดเลือกแล้ว ➡️ คณะกรรมการลงมติเป็นเอกฉันท์ ➡️ ยืนยันว่าค่านิยมด้าน DEI สำคัญกว่าผลประโยชน์ทางการเงิน ✅ ผลกระทบต่อองค์กร ➡️ สูญเสียทุนมูลค่า $1.5 ล้าน ซึ่งคิดเป็น 30% ของงบประมาณ ➡️ ต้องการการสนับสนุนจากสมาชิกและผู้บริจาคมากขึ้น ➡️ เปิดรับสมาชิก สนับสนุน และสปอนเซอร์เพื่อรักษาภารกิจ ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กรที่ขอรับทุน ⛔ ควรอ่านเงื่อนไขของทุนอย่างละเอียดก่อนเซ็นสัญญา ⛔ ต้องพิจารณาว่าเงื่อนไขขัดกับค่านิยมองค์กรหรือไม่ ⛔ การรับทุนอาจมีผลต่อกิจกรรมอื่น ๆ ขององค์กรโดยไม่รู้ตัว https://pyfound.blogspot.com/2025/10/NSF-funding-statement.html
    PYFOUND.BLOGSPOT.COM
    The PSF has withdrawn a $1.5 million proposal to US government grant program
    In January 2025, the PSF submitted a proposal to the US government National Science Foundation under the Safety, Security, and Privacy of Op...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ความไม่จริงใจในการใช้ AI เขียนบทความ”

    บทความนี้สะท้อนความรู้สึกของผู้เขียนที่ผิดหวังและไม่พอใจเมื่อพบว่าเนื้อหาที่ตนอ่านนั้นถูกสร้างขึ้นโดย AI โดยไม่มีความพยายามหรือความตั้งใจจากผู้เขียนเลย ผู้เขียนมองว่า การใช้ AI เขียนบทความโดยไม่ใส่ความเป็นตัวตนหรือประสบการณ์จริงของมนุษย์ เป็นการลดคุณค่าของการสื่อสาร และทำให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนถูกหลอก

    คุณค่าของการเขียนด้วยตัวเอง
    การเขียนด้วยตนเองสะท้อนความคิด ประสบการณ์ และอารมณ์ที่แท้จริง
    ความผิดพลาดในการเขียนคือโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต
    การกล้าแสดงความไม่สมบูรณ์แบบคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีเสน่ห์

    ความสำคัญของการขอความช่วยเหลือ
    ไม่ควรกลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
    การเรียนรู้ร่วมกันทำให้เกิดความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดี

    ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน
    ผู้อ่านต้องการรู้จัก “ตัวตน” ของผู้เขียน ไม่ใช่แค่เนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไร้จิตวิญญาณ
    การเขียนคือการเปิดใจ ไม่ใช่แค่การส่งข้อมูล

    สิ่งที่ไม่ควรทำตาม
    ใช้ AI เขียนบทความทั้งหมดโดยไม่ใส่ความคิดหรือประสบการณ์ของตนเอง
    หลีกเลี่ยงการเขียนเพียงเพื่อ “ให้มีเนื้อหา” โดยไม่สนใจคุณภาพหรือความจริงใจ
    ปิดกั้นตัวเองจากการเรียนรู้ผ่านความผิดพลาด เพราะกลัวจะดูไม่สมบูรณ์

    ข้อคิดจากบทความนี้: AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ไม่ควรใช้แทน “หัวใจ” ของผู้เขียน การเขียนที่ดีไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้อง “จริงใจ” และ “มีตัวตน” เพราะนั่นคือสิ่งที่เชื่อมโยงเรากับผู้อ่านได้ดีที่สุด

    https://blog.pabloecortez.com/its-insulting-to-read-your-ai-generated-blog-post/
    📝 “ความไม่จริงใจในการใช้ AI เขียนบทความ” บทความนี้สะท้อนความรู้สึกของผู้เขียนที่ผิดหวังและไม่พอใจเมื่อพบว่าเนื้อหาที่ตนอ่านนั้นถูกสร้างขึ้นโดย AI โดยไม่มีความพยายามหรือความตั้งใจจากผู้เขียนเลย ผู้เขียนมองว่า การใช้ AI เขียนบทความโดยไม่ใส่ความเป็นตัวตนหรือประสบการณ์จริงของมนุษย์ เป็นการลดคุณค่าของการสื่อสาร และทำให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนถูกหลอก ✅ คุณค่าของการเขียนด้วยตัวเอง ➡️ การเขียนด้วยตนเองสะท้อนความคิด ประสบการณ์ และอารมณ์ที่แท้จริง ➡️ ความผิดพลาดในการเขียนคือโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต ➡️ การกล้าแสดงความไม่สมบูรณ์แบบคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีเสน่ห์ ✅ ความสำคัญของการขอความช่วยเหลือ ➡️ ไม่ควรกลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ➡️ การเรียนรู้ร่วมกันทำให้เกิดความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดี ✅ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน ➡️ ผู้อ่านต้องการรู้จัก “ตัวตน” ของผู้เขียน ไม่ใช่แค่เนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไร้จิตวิญญาณ ➡️ การเขียนคือการเปิดใจ ไม่ใช่แค่การส่งข้อมูล ‼️ สิ่งที่ไม่ควรทำตาม ⛔ ใช้ AI เขียนบทความทั้งหมดโดยไม่ใส่ความคิดหรือประสบการณ์ของตนเอง ⛔ หลีกเลี่ยงการเขียนเพียงเพื่อ “ให้มีเนื้อหา” โดยไม่สนใจคุณภาพหรือความจริงใจ ⛔ ปิดกั้นตัวเองจากการเรียนรู้ผ่านความผิดพลาด เพราะกลัวจะดูไม่สมบูรณ์ 💡 ข้อคิดจากบทความนี้: AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ไม่ควรใช้แทน “หัวใจ” ของผู้เขียน การเขียนที่ดีไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้อง “จริงใจ” และ “มีตัวตน” เพราะนั่นคือสิ่งที่เชื่อมโยงเรากับผู้อ่านได้ดีที่สุด https://blog.pabloecortez.com/its-insulting-to-read-your-ai-generated-blog-post/
    BLOG.PABLOECORTEZ.COM
    It's insulting to read your AI-generated blog post
    It seems so rude and careless to make me, a person with thoughts, ideas, humor, contradictions and life experience to read something spit out by the equivale...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • Claude for Excel คือฟีเจอร์ใหม่ที่ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์และจัดการข้อมูลใน Excel ได้อย่างชาญฉลาด โดยเข้าใจสูตรซับซ้อนและความสัมพันธ์ระหว่างแผ่นงาน

    Claude for Excel เป็นฟีเจอร์ที่อยู่ในช่วงทดลอง (beta) โดย Anthropic ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานกับไฟล์ Excel ได้ง่ายขึ้นผ่านการใช้ AI ที่เข้าใจบริบทของข้อมูลในระดับเซลล์และสูตรที่ซับซ้อน

    Claude for Excel ไม่ใช่แค่ผู้ช่วยในการคำนวณ แต่เป็น “นักวิเคราะห์ข้อมูล” ที่สามารถเข้าใจโครงสร้างของไฟล์ Excel ทั้งสูตรที่ซ้อนกันหลายชั้นและความสัมพันธ์ระหว่างหลายแผ่นงาน เช่น ถ้าคุณมีไฟล์ที่ใช้สูตร VLOOKUP เชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแท็บ Claude สามารถอธิบายได้ว่าแต่ละเซลล์ทำงานอย่างไร และจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณเปลี่ยนค่าบางจุด

    ฟีเจอร์นี้ยังสามารถ:
    อธิบายสูตรแบบละเอียด พร้อมบอกว่าแต่ละส่วนของสูตรทำหน้าที่อะไร
    ตอบคำถามเกี่ยวกับข้อมูล เช่น “ยอดขายเดือนเมษายนเพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคมเท่าไหร่?”
    ช่วยปรับสูตรหรือแก้ไขข้อผิดพลาดโดยไม่ต้องเขียนใหม่ทั้งหมด
    อัปเดตสมมติฐานในไฟล์โดยไม่ทำให้สูตรเสีย

    Claude for Excel ยังอยู่ในช่วงทดลองใช้งานแบบจำกัด และเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วม waitlist เพื่อทดลองใช้ในอนาคต

    ความสามารถของ Claude for Excel
    เข้าใจสูตรซับซ้อนและความสัมพันธ์ระหว่างแผ่นงาน
    อธิบายสูตรแบบละเอียดในระดับเซลล์
    ตอบคำถามเกี่ยวกับข้อมูลในไฟล์ Excel
    ปรับสมมติฐานโดยไม่ทำให้สูตรเสีย

    สถานะการใช้งาน
    อยู่ในช่วง beta แบบจำกัด
    เปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วม waitlist

    จุดเด่นที่เหนือกว่าผู้ช่วยทั่วไป
    วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากหลายแท็บ
    ช่วยแก้ไขสูตรและข้อผิดพลาดแบบอัตโนมัติ
    เหมาะกับงานวิเคราะห์ทางการเงินและธุรกิจ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน
    ยังไม่เปิดให้ใช้งานทั่วไป ต้องลงทะเบียน waitlist
    ควรตรวจสอบผลลัพธ์จาก AI ก่อนนำไปใช้จริง
    ไม่ควรใช้กับข้อมูลที่มีความอ่อนไหวโดยไม่มีการเข้ารหัสหรือป้องกัน

    https://www.claude.com/claude-for-excel
    🧠 Claude for Excel คือฟีเจอร์ใหม่ที่ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์และจัดการข้อมูลใน Excel ได้อย่างชาญฉลาด โดยเข้าใจสูตรซับซ้อนและความสัมพันธ์ระหว่างแผ่นงาน Claude for Excel เป็นฟีเจอร์ที่อยู่ในช่วงทดลอง (beta) โดย Anthropic ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานกับไฟล์ Excel ได้ง่ายขึ้นผ่านการใช้ AI ที่เข้าใจบริบทของข้อมูลในระดับเซลล์และสูตรที่ซับซ้อน Claude for Excel ไม่ใช่แค่ผู้ช่วยในการคำนวณ แต่เป็น “นักวิเคราะห์ข้อมูล” ที่สามารถเข้าใจโครงสร้างของไฟล์ Excel ทั้งสูตรที่ซ้อนกันหลายชั้นและความสัมพันธ์ระหว่างหลายแผ่นงาน เช่น ถ้าคุณมีไฟล์ที่ใช้สูตร VLOOKUP เชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแท็บ Claude สามารถอธิบายได้ว่าแต่ละเซลล์ทำงานอย่างไร และจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณเปลี่ยนค่าบางจุด ฟีเจอร์นี้ยังสามารถ: 📐 อธิบายสูตรแบบละเอียด พร้อมบอกว่าแต่ละส่วนของสูตรทำหน้าที่อะไร 📐 ตอบคำถามเกี่ยวกับข้อมูล เช่น “ยอดขายเดือนเมษายนเพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคมเท่าไหร่?” 📐 ช่วยปรับสูตรหรือแก้ไขข้อผิดพลาดโดยไม่ต้องเขียนใหม่ทั้งหมด 📐 อัปเดตสมมติฐานในไฟล์โดยไม่ทำให้สูตรเสีย Claude for Excel ยังอยู่ในช่วงทดลองใช้งานแบบจำกัด และเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วม waitlist เพื่อทดลองใช้ในอนาคต ✅ ความสามารถของ Claude for Excel ➡️ เข้าใจสูตรซับซ้อนและความสัมพันธ์ระหว่างแผ่นงาน ➡️ อธิบายสูตรแบบละเอียดในระดับเซลล์ ➡️ ตอบคำถามเกี่ยวกับข้อมูลในไฟล์ Excel ➡️ ปรับสมมติฐานโดยไม่ทำให้สูตรเสีย ✅ สถานะการใช้งาน ➡️ อยู่ในช่วง beta แบบจำกัด ➡️ เปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วม waitlist ✅ จุดเด่นที่เหนือกว่าผู้ช่วยทั่วไป ➡️ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากหลายแท็บ ➡️ ช่วยแก้ไขสูตรและข้อผิดพลาดแบบอัตโนมัติ ➡️ เหมาะกับงานวิเคราะห์ทางการเงินและธุรกิจ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน ⛔ ยังไม่เปิดให้ใช้งานทั่วไป ต้องลงทะเบียน waitlist ⛔ ควรตรวจสอบผลลัพธ์จาก AI ก่อนนำไปใช้จริง ⛔ ไม่ควรใช้กับข้อมูลที่มีความอ่อนไหวโดยไม่มีการเข้ารหัสหรือป้องกัน https://www.claude.com/claude-for-excel
    WWW.CLAUDE.COM
    Claude for Excel
    Claude understands your entire workbook—from nested formulas to multiple tab dependencies.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apache Tomcat ออกแพตช์ด่วน อุดช่องโหว่ URL Rewrite Bypass เสี่ยงถูกเจาะระบบและฉีดคำสั่งผ่าน Console

    Apache Software Foundation ได้ออกแพตช์ความปลอดภัยสำหรับ Apache Tomcat เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรง 3 รายการ ได้แก่ CVE-2025-55752, CVE-2025-55754 และ CVE-2025-61795 ซึ่งอาจนำไปสู่การเจาะระบบจากระยะไกล (RCE), การฉีดคำสั่งผ่าน Console และการทำให้ระบบล่มจากการอัปโหลดไฟล์

    ช่องโหว่ที่ร้ายแรงที่สุดคือ CVE-2025-55752 เกิดจากการจัดการ URL rewrite ที่ผิดพลาด โดยระบบจะ normalize URL ก่อน decode ซึ่งเปิดช่องให้แฮกเกอร์สามารถหลบเลี่ยงข้อจำกัดด้านความปลอดภัย เช่น การเข้าถึงโฟลเดอร์ /WEB-INF/ และ /META-INF/ ได้

    หากระบบเปิดให้ใช้ HTTP PUT ร่วมกับ rewrite URI ก็อาจถูกใช้ในการอัปโหลดไฟล์อันตรายเข้าสู่เซิร์ฟเวอร์ และนำไปสู่การเจาะระบบจากระยะไกล (RCE) ได้ แม้ Apache จะระบุว่าการโจมตีลักษณะนี้ “ไม่น่าจะเกิดขึ้น” ในการตั้งค่าทั่วไป แต่ก็ยังถือว่าเป็นความเสี่ยงที่ต้องรีบอุด

    อีกช่องโหว่ CVE-2025-55754 เกิดขึ้นในระบบ Console บน Windows ที่รองรับ ANSI escape sequences ซึ่งแฮกเกอร์สามารถใช้ URL ที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อฉีดคำสั่งลงใน Console และ Clipboard ได้

    ช่องโหว่สุดท้าย CVE-2025-61795 เกิดจากการจัดการไฟล์ multipart upload ที่ผิดพลาด โดยไฟล์ชั่วคราวที่อัปโหลดจะไม่ถูกลบทันทีเมื่อเกิดข้อผิดพลาด ทำให้พื้นที่จัดเก็บอาจเต็มจนระบบล่มได้

    ช่องโหว่ CVE-2025-55752
    เกิดจากการจัดการ URL rewrite ที่ผิดพลาด
    เปิดช่องให้หลบเลี่ยงข้อจำกัดด้านความปลอดภัย
    เสี่ยงถูกอัปโหลดไฟล์อันตรายผ่าน HTTP PUT
    อาจนำไปสู่การเจาะระบบจากระยะไกล (RCE)

    ช่องโหว่ CVE-2025-55754
    Console บน Windows รองรับ ANSI escape sequences
    แฮกเกอร์สามารถฉีดคำสั่งผ่าน URL ที่ออกแบบเฉพาะ
    ส่งผลต่อ Console และ Clipboard ของผู้ดูแลระบบ

    ช่องโหว่ CVE-2025-61795
    เกิดจากการจัดการไฟล์ multipart upload ที่ผิดพลาด
    ไฟล์ชั่วคราวไม่ถูกลบทันทีเมื่อเกิดข้อผิดพลาด
    เสี่ยงทำให้พื้นที่จัดเก็บเต็มและระบบล่ม

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    Tomcat 9.0.0.M11 ถึง 9.0.108
    Tomcat 10.1.0-M1 ถึง 10.1.44
    Tomcat 11.0.0-M1 ถึง 11.0.10

    เวอร์ชันที่ควรอัปเดต
    Tomcat 9.0.109
    Tomcat 10.1.45
    Tomcat 11.0.11 (หรือใหม่กว่า)

    คำเตือนสำหรับผู้ดูแลระบบ
    ควรอัปเดต Tomcat เป็นเวอร์ชันล่าสุดทันที
    หลีกเลี่ยงการเปิดใช้ HTTP PUT ร่วมกับ rewrite URI
    ตรวจสอบการตั้งค่า Console บน Windows ที่รองรับ ANSI
    ควรมีระบบจัดการไฟล์ชั่วคราวที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

    https://securityonline.info/apache-tomcat-patches-url-rewrite-bypass-cve-2025-55752-risking-rce-and-console-ansi-injection/
    🚨 Apache Tomcat ออกแพตช์ด่วน อุดช่องโหว่ URL Rewrite Bypass เสี่ยงถูกเจาะระบบและฉีดคำสั่งผ่าน Console Apache Software Foundation ได้ออกแพตช์ความปลอดภัยสำหรับ Apache Tomcat เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรง 3 รายการ ได้แก่ CVE-2025-55752, CVE-2025-55754 และ CVE-2025-61795 ซึ่งอาจนำไปสู่การเจาะระบบจากระยะไกล (RCE), การฉีดคำสั่งผ่าน Console และการทำให้ระบบล่มจากการอัปโหลดไฟล์ ช่องโหว่ที่ร้ายแรงที่สุดคือ CVE-2025-55752 เกิดจากการจัดการ URL rewrite ที่ผิดพลาด โดยระบบจะ normalize URL ก่อน decode ซึ่งเปิดช่องให้แฮกเกอร์สามารถหลบเลี่ยงข้อจำกัดด้านความปลอดภัย เช่น การเข้าถึงโฟลเดอร์ /WEB-INF/ และ /META-INF/ ได้ หากระบบเปิดให้ใช้ HTTP PUT ร่วมกับ rewrite URI ก็อาจถูกใช้ในการอัปโหลดไฟล์อันตรายเข้าสู่เซิร์ฟเวอร์ และนำไปสู่การเจาะระบบจากระยะไกล (RCE) ได้ แม้ Apache จะระบุว่าการโจมตีลักษณะนี้ “ไม่น่าจะเกิดขึ้น” ในการตั้งค่าทั่วไป แต่ก็ยังถือว่าเป็นความเสี่ยงที่ต้องรีบอุด อีกช่องโหว่ CVE-2025-55754 เกิดขึ้นในระบบ Console บน Windows ที่รองรับ ANSI escape sequences ซึ่งแฮกเกอร์สามารถใช้ URL ที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อฉีดคำสั่งลงใน Console และ Clipboard ได้ ช่องโหว่สุดท้าย CVE-2025-61795 เกิดจากการจัดการไฟล์ multipart upload ที่ผิดพลาด โดยไฟล์ชั่วคราวที่อัปโหลดจะไม่ถูกลบทันทีเมื่อเกิดข้อผิดพลาด ทำให้พื้นที่จัดเก็บอาจเต็มจนระบบล่มได้ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-55752 ➡️ เกิดจากการจัดการ URL rewrite ที่ผิดพลาด ➡️ เปิดช่องให้หลบเลี่ยงข้อจำกัดด้านความปลอดภัย ➡️ เสี่ยงถูกอัปโหลดไฟล์อันตรายผ่าน HTTP PUT ➡️ อาจนำไปสู่การเจาะระบบจากระยะไกล (RCE) ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-55754 ➡️ Console บน Windows รองรับ ANSI escape sequences ➡️ แฮกเกอร์สามารถฉีดคำสั่งผ่าน URL ที่ออกแบบเฉพาะ ➡️ ส่งผลต่อ Console และ Clipboard ของผู้ดูแลระบบ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-61795 ➡️ เกิดจากการจัดการไฟล์ multipart upload ที่ผิดพลาด ➡️ ไฟล์ชั่วคราวไม่ถูกลบทันทีเมื่อเกิดข้อผิดพลาด ➡️ เสี่ยงทำให้พื้นที่จัดเก็บเต็มและระบบล่ม ✅ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ Tomcat 9.0.0.M11 ถึง 9.0.108 ➡️ Tomcat 10.1.0-M1 ถึง 10.1.44 ➡️ Tomcat 11.0.0-M1 ถึง 11.0.10 ✅ เวอร์ชันที่ควรอัปเดต ➡️ Tomcat 9.0.109 ➡️ Tomcat 10.1.45 ➡️ Tomcat 11.0.11 (หรือใหม่กว่า) ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ดูแลระบบ ⛔ ควรอัปเดต Tomcat เป็นเวอร์ชันล่าสุดทันที ⛔ หลีกเลี่ยงการเปิดใช้ HTTP PUT ร่วมกับ rewrite URI ⛔ ตรวจสอบการตั้งค่า Console บน Windows ที่รองรับ ANSI ⛔ ควรมีระบบจัดการไฟล์ชั่วคราวที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ https://securityonline.info/apache-tomcat-patches-url-rewrite-bypass-cve-2025-55752-risking-rce-and-console-ansi-injection/
    SECURITYONLINE.INFO
    Apache Tomcat Patches URL Rewrite Bypass (CVE-2025-55752) Risking RCE and Console ANSI Injection
    Apache patched three flaws in Tomcat 9/10/11: CVE-2025-55752 risks RCE by bypassing security constraints. CVE-2025-55754 allows ANSI escape sequence injection in Windows logs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google Gemini Canvas เพิ่มฟีเจอร์สร้างสไลด์อัตโนมัติ — แค่พิมพ์หรืออัปโหลดไฟล์ ก็ได้พรีเซนต์พร้อมใช้ทันที

    Google เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Gemini Canvas ที่สามารถสร้างสไลด์พรีเซนเทชันได้อัตโนมัติจากข้อความหรือไฟล์ที่ผู้ใช้ให้มา โดยไม่ต้องใช้ PowerPoint หรือ Google Slides ตั้งแต่ต้นอีกต่อไป ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อช่วยนักเรียนและมืออาชีพให้ทำงานนำเสนอได้เร็วขึ้นและดูดีขึ้น

    Gemini Canvas เป็นพื้นที่ทำงานแบบอินเทอร์แอคทีฟที่เปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2025 โดยให้ผู้ใช้สามารถวางข้อความยาวหรือโค้ดเพื่อให้ Gemini ช่วยแก้ไขหรือปรับแต่งได้ทันที ล่าสุด Google เพิ่มฟีเจอร์ “Instant Slides” ที่ให้ผู้ใช้สร้างสไลด์พรีเซนต์ได้ง่าย ๆ ด้วย 2 วิธี:

    1️⃣ พิมพ์คำสั่ง เช่น “สร้างพรีเซนต์เรื่องการท่องเที่ยวในอังกฤษ” แล้ว Gemini จะสร้างสไลด์พร้อมภาพและธีมให้ทันที 2️⃣ อัปโหลดไฟล์ เช่น เอกสาร Word, Excel หรือ PDF แล้วให้ Gemini สร้างสไลด์จากเนื้อหาในไฟล์นั้น

    หลังจากสร้างสไลด์แล้ว ผู้ใช้สามารถส่งออกไปยัง Google Slides เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมหรือแชร์กับทีมได้ทันที

    ฟีเจอร์นี้จะทยอยเปิดให้ใช้งานในบัญชี Google ส่วนตัวและ Google Workspace ทั้งภาคธุรกิจและการศึกษา เริ่มตั้งแต่วันนี้

    นอกจากนี้ Gemini ยังอัปเดตฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น:

    Veo 3.1 สำหรับสร้างวิดีโอคุณภาพสูง
    Gemini 2.5 Flash ที่ให้คำแนะนำแบบละเอียด
    การแสดงผล LaTeX ที่ดีขึ้น
    Gemini บน Google TV ที่ช่วยค้นหารายการด้วยเสียง

    ฟีเจอร์ Instant Slides ใน Gemini Canvas
    สร้างสไลด์จากข้อความหรือไฟล์ที่อัปโหลด
    มีภาพประกอบและธีมอัตโนมัติ
    ส่งออกไปยัง Google Slides ได้ทันที

    วิธีใช้งาน
    พิมพ์คำสั่ง เช่น “สร้างพรีเซนต์เรื่อง…”
    อัปโหลดไฟล์เอกสารหรือข้อมูลเพื่อให้ Gemini สร้างสไลด์

    การเปิดใช้งาน
    เริ่มทยอยเปิดให้ใช้ในบัญชี Google ส่วนตัวและ Workspace
    รองรับทั้งภาคธุรกิจและการศึกษา

    ฟีเจอร์อื่นที่อัปเดตใน Gemini
    Veo 3.1 สำหรับสร้างวิดีโอคุณภาพสูง
    Gemini 2.5 Flash ให้คำแนะนำแบบละเอียด
    รองรับ LaTeX และ PDF ที่สวยงาม
    Gemini บน Google TV ช่วยค้นหารายการด้วยเสียง

    https://securityonline.info/instant-slides-google-gemini-canvas-can-now-auto-generate-presentations/
    🖼️ Google Gemini Canvas เพิ่มฟีเจอร์สร้างสไลด์อัตโนมัติ — แค่พิมพ์หรืออัปโหลดไฟล์ ก็ได้พรีเซนต์พร้อมใช้ทันที Google เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Gemini Canvas ที่สามารถสร้างสไลด์พรีเซนเทชันได้อัตโนมัติจากข้อความหรือไฟล์ที่ผู้ใช้ให้มา โดยไม่ต้องใช้ PowerPoint หรือ Google Slides ตั้งแต่ต้นอีกต่อไป ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อช่วยนักเรียนและมืออาชีพให้ทำงานนำเสนอได้เร็วขึ้นและดูดีขึ้น Gemini Canvas เป็นพื้นที่ทำงานแบบอินเทอร์แอคทีฟที่เปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2025 โดยให้ผู้ใช้สามารถวางข้อความยาวหรือโค้ดเพื่อให้ Gemini ช่วยแก้ไขหรือปรับแต่งได้ทันที ล่าสุด Google เพิ่มฟีเจอร์ “Instant Slides” ที่ให้ผู้ใช้สร้างสไลด์พรีเซนต์ได้ง่าย ๆ ด้วย 2 วิธี: 1️⃣ พิมพ์คำสั่ง เช่น “สร้างพรีเซนต์เรื่องการท่องเที่ยวในอังกฤษ” แล้ว Gemini จะสร้างสไลด์พร้อมภาพและธีมให้ทันที 2️⃣ อัปโหลดไฟล์ เช่น เอกสาร Word, Excel หรือ PDF แล้วให้ Gemini สร้างสไลด์จากเนื้อหาในไฟล์นั้น หลังจากสร้างสไลด์แล้ว ผู้ใช้สามารถส่งออกไปยัง Google Slides เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมหรือแชร์กับทีมได้ทันที ฟีเจอร์นี้จะทยอยเปิดให้ใช้งานในบัญชี Google ส่วนตัวและ Google Workspace ทั้งภาคธุรกิจและการศึกษา เริ่มตั้งแต่วันนี้ นอกจากนี้ Gemini ยังอัปเดตฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น: 🎗️ Veo 3.1 สำหรับสร้างวิดีโอคุณภาพสูง 🎗️ Gemini 2.5 Flash ที่ให้คำแนะนำแบบละเอียด 🎗️ การแสดงผล LaTeX ที่ดีขึ้น 🎗️ Gemini บน Google TV ที่ช่วยค้นหารายการด้วยเสียง ✅ ฟีเจอร์ Instant Slides ใน Gemini Canvas ➡️ สร้างสไลด์จากข้อความหรือไฟล์ที่อัปโหลด ➡️ มีภาพประกอบและธีมอัตโนมัติ ➡️ ส่งออกไปยัง Google Slides ได้ทันที ✅ วิธีใช้งาน ➡️ พิมพ์คำสั่ง เช่น “สร้างพรีเซนต์เรื่อง…” ➡️ อัปโหลดไฟล์เอกสารหรือข้อมูลเพื่อให้ Gemini สร้างสไลด์ ✅ การเปิดใช้งาน ➡️ เริ่มทยอยเปิดให้ใช้ในบัญชี Google ส่วนตัวและ Workspace ➡️ รองรับทั้งภาคธุรกิจและการศึกษา ✅ ฟีเจอร์อื่นที่อัปเดตใน Gemini ➡️ Veo 3.1 สำหรับสร้างวิดีโอคุณภาพสูง ➡️ Gemini 2.5 Flash ให้คำแนะนำแบบละเอียด ➡️ รองรับ LaTeX และ PDF ที่สวยงาม ➡️ Gemini บน Google TV ช่วยค้นหารายการด้วยเสียง https://securityonline.info/instant-slides-google-gemini-canvas-can-now-auto-generate-presentations/
    SECURITYONLINE.INFO
    Instant Slides: Google Gemini Canvas Can Now Auto-Generate Presentations
    Google Gemini's Canvas workspace now uses AI to automatically generate presentation slides from a prompt or uploaded documents, ready for export to Google Slides.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • OpenAI จับมือ Juilliard สร้างเครื่องมือ AI แต่งเพลงจากข้อความ — เตรียมพลิกโฉมวงการดนตรี

    OpenAI กำลังพัฒนาเครื่องมือสร้างเพลงด้วย AI ที่สามารถแต่งเพลงจากข้อความหรือเสียง โดยร่วมมือกับนักเรียนจาก Juilliard School เพื่อฝึกโมเดลด้วยข้อมูลระดับมืออาชีพ เป้าหมายคือการสร้างเพลงคุณภาพสูงจากคำอธิบายง่าย ๆ เช่น “อยากได้เพลงเศร้าแบบเปียโน” หรือ “จังหวะสนุกสไตล์เร็กเก้”

    OpenAI เคยทดลองสร้างเพลงด้วย AI มาแล้วในโปรเจกต์ MuseNet และ Jukebox แต่ครั้งนี้กลับมาใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำกว่าเดิม โดยใช้โมเดลมัลติโหมดที่สามารถรับคำสั่งเป็นข้อความหรือเสียง แล้วสร้างเพลงที่ตรงกับอารมณ์และสไตล์ที่ผู้ใช้ต้องการ

    เพื่อให้โมเดลเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำ OpenAI ได้ร่วมมือกับนักเรียนจาก Juilliard ซึ่งเป็นโรงเรียนดนตรีระดับโลก โดยให้นักเรียนช่วย “annotate” หรือใส่คำอธิบายให้กับโน้ตเพลง เพื่อให้ AI เข้าใจโครงสร้างดนตรี เครื่องดนตรี และอารมณ์ของแต่ละท่อน

    เครื่องมือนี้อาจถูกนำไปใช้ในหลายรูปแบบ เช่น:
    สร้างเพลงประกอบวิดีโอ YouTube หรือโฆษณา
    เติมเสียงดนตรีให้กับเสียงร้องที่มีอยู่แล้ว
    สร้างเพลงประกอบเกมหรือพอดแคสต์แบบอัตโนมัติ

    แม้ยังไม่มีวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าเครื่องมือนี้อาจถูกผนวกเข้ากับ ChatGPT หรือ Sora ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสร้างวิดีโอของ OpenAI

    จุดเด่นของเครื่องมือ AI สร้างเพลง
    สร้างเพลงจากข้อความหรือเสียงได้โดยตรง
    รองรับการกำหนดอารมณ์ จังหวะ และสไตล์
    ใช้ข้อมูลจาก Juilliard เพื่อฝึกโมเดลให้เข้าใจดนตรีระดับมืออาชีพ

    ความร่วมมือกับ Juilliard
    นักเรียนช่วยใส่คำอธิบายให้โน้ตเพลงเพื่อฝึก AI
    เพิ่มความแม่นยำในการเข้าใจโครงสร้างและอารมณ์ของเพลง
    ผสานความรู้ดนตรีคลาสสิกกับเทคโนโลยีล้ำสมัย

    การใช้งานที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
    สร้างเพลงประกอบวิดีโอ โฆษณา หรือเกม
    เติมเสียงดนตรีให้กับเสียงร้องที่มีอยู่
    สร้างเพลงแบบอัตโนมัติสำหรับครีเอเตอร์อิสระ

    คำเตือนเกี่ยวกับ AI ดนตรี
    อาจเกิดปัญหาลิขสิทธิ์หาก AI เลียนแบบเพลงที่มีอยู่
    ศิลปินบางคนกังวลว่า AI อาจลดคุณค่าของงานสร้างสรรค์
    มีกรณีที่ผู้ไม่หวังดีใช้ AI สร้างเพลงปลอมเพื่อหารายได้จากสตรีมมิ่ง

    https://securityonline.info/openai-is-developing-an-ai-music-generator-with-help-from-juilliard/
    🎼 OpenAI จับมือ Juilliard สร้างเครื่องมือ AI แต่งเพลงจากข้อความ — เตรียมพลิกโฉมวงการดนตรี OpenAI กำลังพัฒนาเครื่องมือสร้างเพลงด้วย AI ที่สามารถแต่งเพลงจากข้อความหรือเสียง โดยร่วมมือกับนักเรียนจาก Juilliard School เพื่อฝึกโมเดลด้วยข้อมูลระดับมืออาชีพ เป้าหมายคือการสร้างเพลงคุณภาพสูงจากคำอธิบายง่าย ๆ เช่น “อยากได้เพลงเศร้าแบบเปียโน” หรือ “จังหวะสนุกสไตล์เร็กเก้” OpenAI เคยทดลองสร้างเพลงด้วย AI มาแล้วในโปรเจกต์ MuseNet และ Jukebox แต่ครั้งนี้กลับมาใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำกว่าเดิม โดยใช้โมเดลมัลติโหมดที่สามารถรับคำสั่งเป็นข้อความหรือเสียง แล้วสร้างเพลงที่ตรงกับอารมณ์และสไตล์ที่ผู้ใช้ต้องการ เพื่อให้โมเดลเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำ OpenAI ได้ร่วมมือกับนักเรียนจาก Juilliard ซึ่งเป็นโรงเรียนดนตรีระดับโลก โดยให้นักเรียนช่วย “annotate” หรือใส่คำอธิบายให้กับโน้ตเพลง เพื่อให้ AI เข้าใจโครงสร้างดนตรี เครื่องดนตรี และอารมณ์ของแต่ละท่อน เครื่องมือนี้อาจถูกนำไปใช้ในหลายรูปแบบ เช่น: 🎵 สร้างเพลงประกอบวิดีโอ YouTube หรือโฆษณา 🎵 เติมเสียงดนตรีให้กับเสียงร้องที่มีอยู่แล้ว 🎵 สร้างเพลงประกอบเกมหรือพอดแคสต์แบบอัตโนมัติ แม้ยังไม่มีวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าเครื่องมือนี้อาจถูกผนวกเข้ากับ ChatGPT หรือ Sora ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสร้างวิดีโอของ OpenAI ✅ จุดเด่นของเครื่องมือ AI สร้างเพลง ➡️ สร้างเพลงจากข้อความหรือเสียงได้โดยตรง ➡️ รองรับการกำหนดอารมณ์ จังหวะ และสไตล์ ➡️ ใช้ข้อมูลจาก Juilliard เพื่อฝึกโมเดลให้เข้าใจดนตรีระดับมืออาชีพ ✅ ความร่วมมือกับ Juilliard ➡️ นักเรียนช่วยใส่คำอธิบายให้โน้ตเพลงเพื่อฝึก AI ➡️ เพิ่มความแม่นยำในการเข้าใจโครงสร้างและอารมณ์ของเพลง ➡️ ผสานความรู้ดนตรีคลาสสิกกับเทคโนโลยีล้ำสมัย ✅ การใช้งานที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ➡️ สร้างเพลงประกอบวิดีโอ โฆษณา หรือเกม ➡️ เติมเสียงดนตรีให้กับเสียงร้องที่มีอยู่ ➡️ สร้างเพลงแบบอัตโนมัติสำหรับครีเอเตอร์อิสระ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับ AI ดนตรี ⛔ อาจเกิดปัญหาลิขสิทธิ์หาก AI เลียนแบบเพลงที่มีอยู่ ⛔ ศิลปินบางคนกังวลว่า AI อาจลดคุณค่าของงานสร้างสรรค์ ⛔ มีกรณีที่ผู้ไม่หวังดีใช้ AI สร้างเพลงปลอมเพื่อหารายได้จากสตรีมมิ่ง https://securityonline.info/openai-is-developing-an-ai-music-generator-with-help-from-juilliard/
    SECURITYONLINE.INFO
    OpenAI is Developing an AI Music Generator with Help from Juilliard
    OpenAI is reportedly developing a text/audio-to-music AI generator and is collaborating with students from The Juilliard School to train its models.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • แก๊งคอลตั้งฐานในไทย เปิดพฤติกรรมต้องสงสัย : [NEWS UPDATE]

    พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยพฤติกรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พบแฝงตัวตั้งฐานปฏิบัติการในที่พักอาศัย เช่น คอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร หรือบ้านเช่า เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับของเจ้าหน้าที่ ใช้โทรศัพท์ สื่อสังคมออนไลน์หลอกเหยื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดย 4 พฤติกรรมต้องสงสัย ได้แก่ 1.ชาวต่างชาติอยู่รวมกัน ไม่ปรากฏอาชีพชัดเจน มักมาเป็นกลุ่ม เช่าพักระยะสั้น ไม่สุงสิงกับคนในชุมชน เข้า-ออกไม่เป็นเวลา 2.มีเสียงพูดโทรศัพท์ภาษาต่างประเทศตลอดเวลา ลักษณะเหมือนอ่านสคริปต์ซ้ำๆ หลอกเหยื่อ 3.ปิดม่านตลอดเวลา ไม่เปิดไฟตอนกลางวัน แต่เปิดไฟตลอดคืน ตามเวลาประเทศต้นทางของเหยื่อ และ 4.มีอุปกรณ์สายไฟ เครื่องมือสื่อสารจำนวนมาก มีคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เราเตอร์หลายเครื่อง และมักมีคนมาซ่อมหรือขนของเข้าออกบ่อยครั้ง

    -แร่แรร์เอิร์ธกระจายทั่วไทย

    -ซัดเพื่อไทยเพิ่งลุกจากโคลน

    -เก็บภาษีวืดเป้า 6.4 หมื่นล้าน

    -รับมืออากาศแปรปรวน
    แก๊งคอลตั้งฐานในไทย เปิดพฤติกรรมต้องสงสัย : [NEWS UPDATE] พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยพฤติกรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พบแฝงตัวตั้งฐานปฏิบัติการในที่พักอาศัย เช่น คอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร หรือบ้านเช่า เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับของเจ้าหน้าที่ ใช้โทรศัพท์ สื่อสังคมออนไลน์หลอกเหยื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดย 4 พฤติกรรมต้องสงสัย ได้แก่ 1.ชาวต่างชาติอยู่รวมกัน ไม่ปรากฏอาชีพชัดเจน มักมาเป็นกลุ่ม เช่าพักระยะสั้น ไม่สุงสิงกับคนในชุมชน เข้า-ออกไม่เป็นเวลา 2.มีเสียงพูดโทรศัพท์ภาษาต่างประเทศตลอดเวลา ลักษณะเหมือนอ่านสคริปต์ซ้ำๆ หลอกเหยื่อ 3.ปิดม่านตลอดเวลา ไม่เปิดไฟตอนกลางวัน แต่เปิดไฟตลอดคืน ตามเวลาประเทศต้นทางของเหยื่อ และ 4.มีอุปกรณ์สายไฟ เครื่องมือสื่อสารจำนวนมาก มีคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เราเตอร์หลายเครื่อง และมักมีคนมาซ่อมหรือขนของเข้าออกบ่อยครั้ง -แร่แรร์เอิร์ธกระจายทั่วไทย -ซัดเพื่อไทยเพิ่งลุกจากโคลน -เก็บภาษีวืดเป้า 6.4 หมื่นล้าน -รับมืออากาศแปรปรวน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • iPad Pro รุ่นใหม่จะมาพร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber และชิป M6 เปิดตัวปี 2027

    Apple เตรียมเปิดตัว iPad Pro รุ่นถัดไปที่ใช้ชิป M6 พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber ซึ่งจะช่วยลดปัญหาเครื่องร้อนและประสิทธิภาพตกเมื่อใช้งานหนัก เช่น การตัดต่อวิดีโอหรือเรนเดอร์ 3D โดยคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2027

    Apple กำลังพัฒนา iPad Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M6 ซึ่งจะมาพร้อมเทคโนโลยีระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber (VC) ที่เคยใช้ใน iPhone 17 Pro โดยระบบนี้จะช่วยลดความร้อนสะสมและป้องกันการลดประสิทธิภาพเมื่อใช้งานหนัก

    การใช้ Vapor Chamber ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะ iPad Pro เริ่มถูกใช้ในงานระดับมืออาชีพมากขึ้น เช่น ตัดต่อวิดีโอ 4K, สร้างโมเดล 3D หรือทำงานกราฟิก ซึ่งต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพสูงอย่างต่อเนื่อง

    หากการใช้งาน VC ใน iPhone และ iPad Pro ได้ผลดี Apple อาจขยายไปยังอุปกรณ์อื่นที่ใช้ระบบระบายความร้อนแบบ passive เช่น MacBook Air ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีพัดลม

    Apple ยังคงรักษารอบการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไว้ที่ประมาณ 18 เดือน ทำให้ iPad Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M6 และระบบ VC น่าจะเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2027

    iPad Pro รุ่นใหม่
    ใช้ชิป M6 ที่มีประสิทธิภาพสูง
    มาพร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber
    ลดปัญหาเครื่องร้อนและประสิทธิภาพตก

    ประโยชน์ของ Vapor Chamber
    ป้องกัน thermal throttling เมื่อใช้งานหนัก
    เหมาะกับงานระดับมืออาชีพ เช่น ตัดต่อวิดีโอและเรนเดอร์ 3D
    เพิ่มความเสถียรในการทำงานต่อเนื่อง

    แนวโน้มการขยายเทคโนโลยี
    หากได้ผลดี อาจนำไปใช้กับ MacBook Air และอุปกรณ์อื่น
    รองรับการใช้งานที่ต้องการระบบ passive cooling

    กำหนดการเปิดตัว
    คาดว่าจะเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2027
    อยู่ในรอบการรีเฟรชผลิตภัณฑ์ทุก 18 เดือน

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ
    หากใช้งานหนักโดยไม่มีระบบระบายความร้อนที่ดี อาจทำให้เครื่องร้อนและช้าลง
    อุปกรณ์ที่ไม่มีพัดลมอาจไม่เหมาะกับงานที่ใช้ทรัพยากรสูงต่อเนื่อง

    https://securityonline.info/next-gen-power-ipad-pro-gets-vapor-chamber-cooling-for-m6-chip/
    📱 iPad Pro รุ่นใหม่จะมาพร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber และชิป M6 เปิดตัวปี 2027 Apple เตรียมเปิดตัว iPad Pro รุ่นถัดไปที่ใช้ชิป M6 พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber ซึ่งจะช่วยลดปัญหาเครื่องร้อนและประสิทธิภาพตกเมื่อใช้งานหนัก เช่น การตัดต่อวิดีโอหรือเรนเดอร์ 3D โดยคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2027 Apple กำลังพัฒนา iPad Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M6 ซึ่งจะมาพร้อมเทคโนโลยีระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber (VC) ที่เคยใช้ใน iPhone 17 Pro โดยระบบนี้จะช่วยลดความร้อนสะสมและป้องกันการลดประสิทธิภาพเมื่อใช้งานหนัก การใช้ Vapor Chamber ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะ iPad Pro เริ่มถูกใช้ในงานระดับมืออาชีพมากขึ้น เช่น ตัดต่อวิดีโอ 4K, สร้างโมเดล 3D หรือทำงานกราฟิก ซึ่งต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพสูงอย่างต่อเนื่อง หากการใช้งาน VC ใน iPhone และ iPad Pro ได้ผลดี Apple อาจขยายไปยังอุปกรณ์อื่นที่ใช้ระบบระบายความร้อนแบบ passive เช่น MacBook Air ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีพัดลม Apple ยังคงรักษารอบการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไว้ที่ประมาณ 18 เดือน ทำให้ iPad Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M6 และระบบ VC น่าจะเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2027 ✅ iPad Pro รุ่นใหม่ ➡️ ใช้ชิป M6 ที่มีประสิทธิภาพสูง ➡️ มาพร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber ➡️ ลดปัญหาเครื่องร้อนและประสิทธิภาพตก ✅ ประโยชน์ของ Vapor Chamber ➡️ ป้องกัน thermal throttling เมื่อใช้งานหนัก ➡️ เหมาะกับงานระดับมืออาชีพ เช่น ตัดต่อวิดีโอและเรนเดอร์ 3D ➡️ เพิ่มความเสถียรในการทำงานต่อเนื่อง ✅ แนวโน้มการขยายเทคโนโลยี ➡️ หากได้ผลดี อาจนำไปใช้กับ MacBook Air และอุปกรณ์อื่น ➡️ รองรับการใช้งานที่ต้องการระบบ passive cooling ✅ กำหนดการเปิดตัว ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2027 ➡️ อยู่ในรอบการรีเฟรชผลิตภัณฑ์ทุก 18 เดือน ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ ⛔ หากใช้งานหนักโดยไม่มีระบบระบายความร้อนที่ดี อาจทำให้เครื่องร้อนและช้าลง ⛔ อุปกรณ์ที่ไม่มีพัดลมอาจไม่เหมาะกับงานที่ใช้ทรัพยากรสูงต่อเนื่อง https://securityonline.info/next-gen-power-ipad-pro-gets-vapor-chamber-cooling-for-m6-chip/
    SECURITYONLINE.INFO
    Next-Gen Power: iPad Pro Gets Vapor Chamber Cooling for M6 Chip
    Apple plans to add vapor chamber cooling to the M6-powered iPad Pro (expected 2027) to prevent thermal throttling during intensive professional workloads.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Caminho” มัลแวร์สายลับจากบราซิล ใช้ภาพจาก Archive.org ซ่อนโค้ดอันตรายด้วยเทคนิคลับ LSB Steganography

    นักวิจัยจาก Arctic Wolf Labs เปิดโปงแคมเปญมัลแวร์ใหม่ชื่อ “Caminho” ซึ่งเป็นบริการ Loader-as-a-Service (LaaS) ที่มีต้นกำเนิดจากบราซิล โดยใช้เทคนิคซ่อนโค้ดอันตรายไว้ในภาพจากเว็บไซต์ Archive.org ผ่านวิธีการที่เรียกว่า LSB Steganography ซึ่งมักพบในงานจารกรรมมากกว่าการโจมตีเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน

    Caminho เป็นมัลแวร์ที่ถูกออกแบบมาให้ทำงานแบบ “ไร้ร่องรอย” โดยไม่เขียนไฟล์ลงดิสก์ แต่โหลดโค้ดอันตรายเข้าสู่หน่วยความจำโดยตรง ทำให้หลบเลี่ยงการตรวจจับจากแอนตี้ไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    วิธีการทำงานของ Caminho: 1️⃣ เริ่มจากอีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์ JavaScript หรือ VBScript ในรูปแบบ ZIP/RAR 2️⃣ เมื่อเปิดไฟล์ สคริปต์จะเรียกใช้ PowerShell เพื่อดึงภาพจาก Archive.org 3️⃣ ภาพเหล่านั้นมีโค้ด .NET ที่ถูกซ่อนไว้ในบิตต่ำสุดของพิกเซล (LSB) 4️⃣ PowerShell จะถอดรหัสโค้ดและโหลดเข้าสู่หน่วยความจำ 5️⃣ จากนั้นมัลแวร์จะถูกฉีดเข้าไปในโปรเซส calc.exe เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ

    มัลแวร์นี้ยังมีระบบตั้งเวลาให้กลับมาทำงานซ้ำ และมีฟีเจอร์ตรวจจับ sandbox, VM และเครื่องมือ debug เพื่อหลบเลี่ยงการวิเคราะห์จากนักวิจัย

    Arctic Wolf พบว่า Caminho ถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่พูดภาษาโปรตุเกส และมีเป้าหมายในหลายประเทศ เช่น บราซิล แอฟริกาใต้ ยูเครน และโปแลนด์ โดยมีการให้บริการแบบ “เช่าใช้” ซึ่งลูกค้าสามารถเลือก payload ที่ต้องการได้ เช่น REMCOS RAT, XWorm หรือ Katz Stealer

    ลักษณะของ Caminho Loader
    เป็นบริการ Loader-as-a-Service จากบราซิล
    ใช้เทคนิค LSB Steganography ซ่อนโค้ดในภาพ
    โหลดโค้ดเข้าสู่หน่วยความจำโดยไม่เขียนไฟล์ลงดิสก์
    ฉีดโค้ดเข้าสู่โปรเซส calc.exe เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ

    วิธีการแพร่กระจาย
    เริ่มจากอีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์สคริปต์
    ใช้ PowerShell ดึงภาพจาก Archive.org
    ถอดรหัส payload จากภาพแล้วโหลดเข้าสู่ระบบ

    ความสามารถพิเศษของมัลแวร์
    ตรวจจับ sandbox, VM และเครื่องมือ debug
    ตั้งเวลาให้กลับมาทำงานซ้ำผ่าน scheduled tasks
    รองรับการโหลด payload หลายชนิดตามความต้องการของลูกค้า

    การใช้บริการแบบเช่า
    ลูกค้าสามารถเลือก payload ที่ต้องการ
    ใช้ภาพเดียวกันในหลายแคมเปญเพื่อประหยัดต้นทุน
    ใช้บริการเว็บที่น่าเชื่อถือ เช่น Archive.org, paste.ee เพื่อหลบเลี่ยงการบล็อก

    คำเตือนเกี่ยวกับภัยคุกคามจาก Caminho
    อีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์ ZIP/RAR อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการติดมัลแวร์
    ภาพจากเว็บที่ดูปลอดภัยอาจมีโค้ดอันตรายซ่อนอยู่
    การโหลดโค้ดเข้าสู่หน่วยความจำโดยตรงทำให้ตรวจจับได้ยาก

    https://securityonline.info/caminho-loader-as-a-service-uses-lsb-steganography-to-hide-net-payloads-in-archive-org-images/
    🕵️‍♂️ “Caminho” มัลแวร์สายลับจากบราซิล ใช้ภาพจาก Archive.org ซ่อนโค้ดอันตรายด้วยเทคนิคลับ LSB Steganography นักวิจัยจาก Arctic Wolf Labs เปิดโปงแคมเปญมัลแวร์ใหม่ชื่อ “Caminho” ซึ่งเป็นบริการ Loader-as-a-Service (LaaS) ที่มีต้นกำเนิดจากบราซิล โดยใช้เทคนิคซ่อนโค้ดอันตรายไว้ในภาพจากเว็บไซต์ Archive.org ผ่านวิธีการที่เรียกว่า LSB Steganography ซึ่งมักพบในงานจารกรรมมากกว่าการโจมตีเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน Caminho เป็นมัลแวร์ที่ถูกออกแบบมาให้ทำงานแบบ “ไร้ร่องรอย” โดยไม่เขียนไฟล์ลงดิสก์ แต่โหลดโค้ดอันตรายเข้าสู่หน่วยความจำโดยตรง ทำให้หลบเลี่ยงการตรวจจับจากแอนตี้ไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🔍 วิธีการทำงานของ Caminho: 1️⃣ เริ่มจากอีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์ JavaScript หรือ VBScript ในรูปแบบ ZIP/RAR 2️⃣ เมื่อเปิดไฟล์ สคริปต์จะเรียกใช้ PowerShell เพื่อดึงภาพจาก Archive.org 3️⃣ ภาพเหล่านั้นมีโค้ด .NET ที่ถูกซ่อนไว้ในบิตต่ำสุดของพิกเซล (LSB) 4️⃣ PowerShell จะถอดรหัสโค้ดและโหลดเข้าสู่หน่วยความจำ 5️⃣ จากนั้นมัลแวร์จะถูกฉีดเข้าไปในโปรเซส calc.exe เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ มัลแวร์นี้ยังมีระบบตั้งเวลาให้กลับมาทำงานซ้ำ และมีฟีเจอร์ตรวจจับ sandbox, VM และเครื่องมือ debug เพื่อหลบเลี่ยงการวิเคราะห์จากนักวิจัย Arctic Wolf พบว่า Caminho ถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่พูดภาษาโปรตุเกส และมีเป้าหมายในหลายประเทศ เช่น บราซิล แอฟริกาใต้ ยูเครน และโปแลนด์ โดยมีการให้บริการแบบ “เช่าใช้” ซึ่งลูกค้าสามารถเลือก payload ที่ต้องการได้ เช่น REMCOS RAT, XWorm หรือ Katz Stealer ✅ ลักษณะของ Caminho Loader ➡️ เป็นบริการ Loader-as-a-Service จากบราซิล ➡️ ใช้เทคนิค LSB Steganography ซ่อนโค้ดในภาพ ➡️ โหลดโค้ดเข้าสู่หน่วยความจำโดยไม่เขียนไฟล์ลงดิสก์ ➡️ ฉีดโค้ดเข้าสู่โปรเซส calc.exe เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ✅ วิธีการแพร่กระจาย ➡️ เริ่มจากอีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์สคริปต์ ➡️ ใช้ PowerShell ดึงภาพจาก Archive.org ➡️ ถอดรหัส payload จากภาพแล้วโหลดเข้าสู่ระบบ ✅ ความสามารถพิเศษของมัลแวร์ ➡️ ตรวจจับ sandbox, VM และเครื่องมือ debug ➡️ ตั้งเวลาให้กลับมาทำงานซ้ำผ่าน scheduled tasks ➡️ รองรับการโหลด payload หลายชนิดตามความต้องการของลูกค้า ✅ การใช้บริการแบบเช่า ➡️ ลูกค้าสามารถเลือก payload ที่ต้องการ ➡️ ใช้ภาพเดียวกันในหลายแคมเปญเพื่อประหยัดต้นทุน ➡️ ใช้บริการเว็บที่น่าเชื่อถือ เช่น Archive.org, paste.ee เพื่อหลบเลี่ยงการบล็อก ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับภัยคุกคามจาก Caminho ⛔ อีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์ ZIP/RAR อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการติดมัลแวร์ ⛔ ภาพจากเว็บที่ดูปลอดภัยอาจมีโค้ดอันตรายซ่อนอยู่ ⛔ การโหลดโค้ดเข้าสู่หน่วยความจำโดยตรงทำให้ตรวจจับได้ยาก https://securityonline.info/caminho-loader-as-a-service-uses-lsb-steganography-to-hide-net-payloads-in-archive-org-images/
    SECURITYONLINE.INFO
    Caminho Loader-as-a-Service Uses LSB Steganography to Hide .NET Payloads in Archive.org Images
    Arctic Wolf exposed Caminho, a Brazilian Loader-as-a-Service that hides .NET payloads in images via LSB steganography. It operates filelessly and is deployed via phishing and legitimate Archive.org.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • 1inch จับมือ Innerworks เสริมเกราะ DeFi ด้วย AI ตรวจจับภัยคุกคามล่วงหน้า

    แพลตฟอร์มการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) ชั้นนำอย่าง 1inch ประกาศความร่วมมือกับ Innerworks บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อยกระดับการป้องกันภัยคุกคามในโลกคริปโต โดยใช้เทคโนโลยี AI เชิงคาดการณ์ (predictive AI) และการเจาะระบบเชิงจริยธรรม (RedTeam) เพื่อสร้าง “ระบบภูมิคุ้มกัน” ให้กับระบบนิเวศ DeFi

    ในยุคที่แฮกเกอร์เริ่มใช้ AI เพื่อเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์และโจมตีระบบอย่างแนบเนียน 1inch จึงตัดสินใจร่วมมือกับ Innerworks เพื่อเปลี่ยนแนวทางจาก “ตั้งรับ” เป็น “เชิงรุก” โดยใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมของภัยคุกคามล่วงหน้า และส่งข้อมูลให้ระบบป้องกันของ 1inch แบบอัตโนมัติ

    Innerworks ใช้แพลตฟอร์มที่เรียกว่า “Synthetic Threat Intelligence” ซึ่งรวมเอา AI, การฝึกแบบกระจาย (decentralized training) และการเจาะระบบเชิงจริยธรรม เพื่อเปิดโปง “playbook” ของแฮกเกอร์ก่อนที่พวกเขาจะลงมือจริง

    Sergej Kunz ผู้ร่วมก่อตั้ง 1inch กล่าวว่า “เรากำลังพลิกเกมกับแฮกเกอร์ โดยใช้ AI คาดการณ์การเคลื่อนไหวของพวกเขา และปรับระบบป้องกันให้ทันก่อนที่ภัยจะเกิดขึ้นจริง”

    Oli Quie ซีอีโอของ Innerworks เสริมว่า “แฮกเกอร์ยุคใหม่ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป แต่เป็น AI ที่สามารถเจาะระบบได้เกือบทุกแบบ เราจึงต้องสร้างภูมิคุ้มกันแบบรวมหมู่ให้กับโลกคริปโต”

    ความร่วมมือระหว่าง 1inch และ Innerworks
    ใช้ AI เชิงคาดการณ์เพื่อวิเคราะห์และป้องกันภัยคุกคามล่วงหน้า
    ใช้ RedTeam เจาะระบบเชิงจริยธรรมเพื่อเปิดโปงวิธีการของแฮกเกอร์
    ส่งข้อมูลภัยคุกคามเข้าสู่ระบบป้องกันของ 1inch แบบอัตโนมัติ

    จุดเด่นของเทคโนโลยี Innerworks
    แพลตฟอร์ม Synthetic Threat Intelligence
    ผสาน AI, การฝึกแบบกระจาย และการเจาะระบบ
    ป้องกันภัยไซเบอร์โดยไม่ต้องพึ่งการแจ้งเตือนจากผู้ใช้

    เป้าหมายของความร่วมมือ
    สร้าง “ระบบภูมิคุ้มกันรวม” ให้กับระบบนิเวศ DeFi
    ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของวงการคริปโต
    ปรับระบบให้ตอบสนองภัยคุกคามได้แบบเรียลไทม์

    คำเตือนเกี่ยวกับภัยคุกคามในโลก DeFi
    แฮกเกอร์เริ่มใช้ AI เลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์เพื่อหลอกระบบ
    การพึ่งพาการแจ้งเตือนจากผู้ใช้อาจไม่ทันต่อภัยคุกคาม
    ระบบที่ไม่มีการอัปเดตด้านความปลอดภัยอาจตกเป็นเป้าหมายง่ายขึ้น

    https://securityonline.info/1inch-partners-with-innerworks-to-strengthen-defi-security-through-ai-powered-threat-detection/
    🛡️ 1inch จับมือ Innerworks เสริมเกราะ DeFi ด้วย AI ตรวจจับภัยคุกคามล่วงหน้า แพลตฟอร์มการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) ชั้นนำอย่าง 1inch ประกาศความร่วมมือกับ Innerworks บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อยกระดับการป้องกันภัยคุกคามในโลกคริปโต โดยใช้เทคโนโลยี AI เชิงคาดการณ์ (predictive AI) และการเจาะระบบเชิงจริยธรรม (RedTeam) เพื่อสร้าง “ระบบภูมิคุ้มกัน” ให้กับระบบนิเวศ DeFi ในยุคที่แฮกเกอร์เริ่มใช้ AI เพื่อเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์และโจมตีระบบอย่างแนบเนียน 1inch จึงตัดสินใจร่วมมือกับ Innerworks เพื่อเปลี่ยนแนวทางจาก “ตั้งรับ” เป็น “เชิงรุก” โดยใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมของภัยคุกคามล่วงหน้า และส่งข้อมูลให้ระบบป้องกันของ 1inch แบบอัตโนมัติ Innerworks ใช้แพลตฟอร์มที่เรียกว่า “Synthetic Threat Intelligence” ซึ่งรวมเอา AI, การฝึกแบบกระจาย (decentralized training) และการเจาะระบบเชิงจริยธรรม เพื่อเปิดโปง “playbook” ของแฮกเกอร์ก่อนที่พวกเขาจะลงมือจริง Sergej Kunz ผู้ร่วมก่อตั้ง 1inch กล่าวว่า “เรากำลังพลิกเกมกับแฮกเกอร์ โดยใช้ AI คาดการณ์การเคลื่อนไหวของพวกเขา และปรับระบบป้องกันให้ทันก่อนที่ภัยจะเกิดขึ้นจริง” Oli Quie ซีอีโอของ Innerworks เสริมว่า “แฮกเกอร์ยุคใหม่ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป แต่เป็น AI ที่สามารถเจาะระบบได้เกือบทุกแบบ เราจึงต้องสร้างภูมิคุ้มกันแบบรวมหมู่ให้กับโลกคริปโต” ✅ ความร่วมมือระหว่าง 1inch และ Innerworks ➡️ ใช้ AI เชิงคาดการณ์เพื่อวิเคราะห์และป้องกันภัยคุกคามล่วงหน้า ➡️ ใช้ RedTeam เจาะระบบเชิงจริยธรรมเพื่อเปิดโปงวิธีการของแฮกเกอร์ ➡️ ส่งข้อมูลภัยคุกคามเข้าสู่ระบบป้องกันของ 1inch แบบอัตโนมัติ ✅ จุดเด่นของเทคโนโลยี Innerworks ➡️ แพลตฟอร์ม Synthetic Threat Intelligence ➡️ ผสาน AI, การฝึกแบบกระจาย และการเจาะระบบ ➡️ ป้องกันภัยไซเบอร์โดยไม่ต้องพึ่งการแจ้งเตือนจากผู้ใช้ ✅ เป้าหมายของความร่วมมือ ➡️ สร้าง “ระบบภูมิคุ้มกันรวม” ให้กับระบบนิเวศ DeFi ➡️ ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของวงการคริปโต ➡️ ปรับระบบให้ตอบสนองภัยคุกคามได้แบบเรียลไทม์ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับภัยคุกคามในโลก DeFi ⛔ แฮกเกอร์เริ่มใช้ AI เลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์เพื่อหลอกระบบ ⛔ การพึ่งพาการแจ้งเตือนจากผู้ใช้อาจไม่ทันต่อภัยคุกคาม ⛔ ระบบที่ไม่มีการอัปเดตด้านความปลอดภัยอาจตกเป็นเป้าหมายง่ายขึ้น https://securityonline.info/1inch-partners-with-innerworks-to-strengthen-defi-security-through-ai-powered-threat-detection/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts