• เด็กชายชาวอเมริกัน จากวิสคอนซิน ถูกกล่าวหาว่าสังหารพ่อแม่ของตัวเอง เพื่อนำเงินไปใช้ในการสร้างโดรนพลีชีพ โดยมุ่งหวังจะลอบสังหารประธานาธิบดีทรัมป์ และถ้าหากทำสำเร็จ เจ้าตัวจะหลบหนีไปยูเครน

    จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ เชื่อว่าเด็กหนุ่มวัยรุ่นคนนี้มีผู้สมรู้ร่วมคิดเป็นกลุ่มคนบางกลุ่ม แต่ยังไม่ระบุชัดเจนว่าเป็นกลุ่มใด

    จากการรายงานของสื่อ คาดว่ามีความเกี่ยวข้องกับกลุ่ม Azov ซึ่งเป็นกลุ่มนาซีหัวรุนแรงในยูเครน
    เด็กชายชาวอเมริกัน จากวิสคอนซิน ถูกกล่าวหาว่าสังหารพ่อแม่ของตัวเอง เพื่อนำเงินไปใช้ในการสร้างโดรนพลีชีพ โดยมุ่งหวังจะลอบสังหารประธานาธิบดีทรัมป์ และถ้าหากทำสำเร็จ เจ้าตัวจะหลบหนีไปยูเครน จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ เชื่อว่าเด็กหนุ่มวัยรุ่นคนนี้มีผู้สมรู้ร่วมคิดเป็นกลุ่มคนบางกลุ่ม แต่ยังไม่ระบุชัดเจนว่าเป็นกลุ่มใด จากการรายงานของสื่อ คาดว่ามีความเกี่ยวข้องกับกลุ่ม Azov ซึ่งเป็นกลุ่มนาซีหัวรุนแรงในยูเครน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • 15 เมษายน 2568-รายงานข่าวมติชนระบุว่า ด่วน! รวบตัวได้แล้ว ‘กชพร’ โบรกเกอร์คนสุดท้ายคดีหมอบุญ ดีเอสไอ แถลงข่าวพรุ่งนี้... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.ด่วน! รวบตัวได้แล้ว ‘กชพร’ โบรกเกอร์คนสุดท้ายคดีหมอบุญ ดีเอสไอ แถลงข่าวพรุ่งนีก่อนที่ ตท.ได้มีหนังสือแจ้งไปยังองค์การตำรวจสากล (Interpol) ซึ่งต่อมาได้มีประกาศตำรวจสากลสีแดง (Red Notice) ของผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย เรียบร้อยแล้ว กระทั่งต่อมาชุดปฏิบัติการติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้สืบสวนจนทราบว่า น.ส.ฐิติพร เฉลิมรัตนประทีป ได้หลบหนีไปยังนครกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน จึงได้ประสานไปยังกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน (Ministry of Public Security) เพื่อติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี ซึ่งตำรวจนครกว่างโจวได้รายงานเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 68 ว่าสามารถควบคุมตัว น.ส.ฐิติพร ได้แล้ว และควบคุมตัว น.ส.ฐิติพร กลับมายังประเทศไทยในวันที่ 7 เมษายน 68 โดยสายการบินไชน่าเซาเทิร์นแอร์ไลน์ เที่ยวบิน CZ361 ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เวลา 22.00 น. ก่อนที่จะส่งฟ้องศาลอาญาเมื่อวันที่ 9 เมษายนนั้นล่าสุดเมื่อวันที่ 15 เมษายน กรมสอบสวนคดีพิเศษ แจ้งสื่อมวลชน เชิญร่วมทำข่าวการจับกุม น.ส.กชพร สุวรรณกูฏ อายุ 39 ปี โบรกเกอร์คนสุดท้าย ผู้ต้องหาในคดีหมอบุญ วนาสินธ์ พรุ่งนี้ (16 เมษายน) โดยมีรายละเอียดดังนี้วันพรุ่งนี้ (วันพุธที่ 16 เมษายน 2568) เวลา 08.30 น. ที่อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พลตำรวจตรี พิทักษ์ อุทัยธรรม รองผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษกองกิจการอำนวยความยุติธรรม แถลงข่าวจับกุม/ได้ตัวโบรกเกอร์ผู้ต้องหาในคดีหมอบุญ วนาสินธ์ ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งได้หลบหนีไปต่างประเทศรายงานข่าวแจ้งว่า น.ส.กชพร เป็นโบรกเกอร์คนสุดท้ายในคดีหมอบุญที่หลบหนีออกนอกราชอาณาจักรไปก่อนหน้านี้ โดยมีรายงานข่าว น.ส.กชพร ได้เข้ามาในประเทศไทย จึงถูกตำรวจจับกุมได้ทั้งนี้จึงยังเหลือแค่หมอบุญ ที่ ตร.ยังคงติดตามตัว... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/local/crime/news_5140873#m9ijbu4nnpukcv9im9
    15 เมษายน 2568-รายงานข่าวมติชนระบุว่า ด่วน! รวบตัวได้แล้ว ‘กชพร’ โบรกเกอร์คนสุดท้ายคดีหมอบุญ ดีเอสไอ แถลงข่าวพรุ่งนี้... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.ด่วน! รวบตัวได้แล้ว ‘กชพร’ โบรกเกอร์คนสุดท้ายคดีหมอบุญ ดีเอสไอ แถลงข่าวพรุ่งนีก่อนที่ ตท.ได้มีหนังสือแจ้งไปยังองค์การตำรวจสากล (Interpol) ซึ่งต่อมาได้มีประกาศตำรวจสากลสีแดง (Red Notice) ของผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย เรียบร้อยแล้ว กระทั่งต่อมาชุดปฏิบัติการติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้สืบสวนจนทราบว่า น.ส.ฐิติพร เฉลิมรัตนประทีป ได้หลบหนีไปยังนครกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน จึงได้ประสานไปยังกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน (Ministry of Public Security) เพื่อติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี ซึ่งตำรวจนครกว่างโจวได้รายงานเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 68 ว่าสามารถควบคุมตัว น.ส.ฐิติพร ได้แล้ว และควบคุมตัว น.ส.ฐิติพร กลับมายังประเทศไทยในวันที่ 7 เมษายน 68 โดยสายการบินไชน่าเซาเทิร์นแอร์ไลน์ เที่ยวบิน CZ361 ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เวลา 22.00 น. ก่อนที่จะส่งฟ้องศาลอาญาเมื่อวันที่ 9 เมษายนนั้นล่าสุดเมื่อวันที่ 15 เมษายน กรมสอบสวนคดีพิเศษ แจ้งสื่อมวลชน เชิญร่วมทำข่าวการจับกุม น.ส.กชพร สุวรรณกูฏ อายุ 39 ปี โบรกเกอร์คนสุดท้าย ผู้ต้องหาในคดีหมอบุญ วนาสินธ์ พรุ่งนี้ (16 เมษายน) โดยมีรายละเอียดดังนี้วันพรุ่งนี้ (วันพุธที่ 16 เมษายน 2568) เวลา 08.30 น. ที่อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พลตำรวจตรี พิทักษ์ อุทัยธรรม รองผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษกองกิจการอำนวยความยุติธรรม แถลงข่าวจับกุม/ได้ตัวโบรกเกอร์ผู้ต้องหาในคดีหมอบุญ วนาสินธ์ ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งได้หลบหนีไปต่างประเทศรายงานข่าวแจ้งว่า น.ส.กชพร เป็นโบรกเกอร์คนสุดท้ายในคดีหมอบุญที่หลบหนีออกนอกราชอาณาจักรไปก่อนหน้านี้ โดยมีรายงานข่าว น.ส.กชพร ได้เข้ามาในประเทศไทย จึงถูกตำรวจจับกุมได้ทั้งนี้จึงยังเหลือแค่หมอบุญ ที่ ตร.ยังคงติดตามตัว... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/local/crime/news_5140873#m9ijbu4nnpukcv9im9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • DSI-ตร. แถลงรวบ "ฐิติพร" โบรคเกอร์ร่วมฉ้อโกง 1.6 หมื่นล้านคดีหมอบุญ วนาสิน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ หลังหลบหนีไปจีนและถูกเนรเทศส่งตัวกลับ เป็นผู้ต้องหารายที่ 14 ที่มีหมายแดงจากตำรวจสากล

    https://www.thansettakij.com/business/624423
    DSI-ตร. แถลงรวบ "ฐิติพร" โบรคเกอร์ร่วมฉ้อโกง 1.6 หมื่นล้านคดีหมอบุญ วนาสิน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ หลังหลบหนีไปจีนและถูกเนรเทศส่งตัวกลับ เป็นผู้ต้องหารายที่ 14 ที่มีหมายแดงจากตำรวจสากล https://www.thansettakij.com/business/624423
    WWW.THANSETTAKIJ.COM
    DSI แถลงจับ "โบรคเกอร์" คดีหมอบุญ เผย จีนเนรเทศกลับหลังมีหมายแดง
    DSI-ตร. แถลงรวบ "ฐิติพร โบรคเกอร์ร่วมฉ้อโกง 1.6 หมื่นล้านคดีหมอบุญ วนาสิน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ หลังหลบหนีไปจีนและถูกเนรเทศส่งตัวกลับ เป็นผู้ต้องหารายที่ 14 ที่มีหมายแดงจากตำรวจสากล
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • 7 เมษายน 2568 เวลา 22.00 น. DSI แถลงข่าวหลังจากรวบตัว"โบรกเกอร์" คนสนิทของหมอบุญ วนาสิน ที่หนีกบดานอยู่ประเทศจีน คดีร่วมกันฉ้อโกงเสียหาย 1.4 หมื่นล้านบาท กระทำความผิด ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิด ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิดอื่น ที่เกี่ยวข้อง เป็นคดีพิเศษที่ 136/2567 เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2567 ที่ผ่านมาต่อมา ดีเอสไอได้ส่งสำนวนอัยการสั่งฟ้อง หมอบุญ กับพวกรวม 16 ราย ฐานฉ้อโกงประชาชน มูลค่าความเสียหาย 14,246,048,033 บาททั้งนี้วันนี้มีรายงานว่า ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พลตำรวจโท สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษกองกิจการอำนวยความยุติธรรม เตรียมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาคดี "หมอบุญ วนาสิน" ที่หลบหนีไปต่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ชั้น 2 ประตู 8 ในเวลา 22.00 น. ของวันนี้ทั้งนี้ จากรายงาน คือ น.ส.ฐิติพร เฉลิมรัตนประทีป ทำหน้าที่เป็น โบรกเกอร์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ลงวันที่ 4 ธ.ค. 67 โดยจับกุมได้ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้ ยังเหลือผู้ต้องหาอีก 2 ราย คือ นพ.บุญ และ น.ส.กชพร ที่อยู่ระหว่างหลบหนีในต่างประเทศโดยคดีดังกล่าว นพ.บุญ พร้อมพวก ได้หลอกชักชวนผู้เสียหายลงทุนโครงการทางการแพทย์ มูลค่าความเสียหายกว่า 16,000 ล้านบาท https://www.youtube.com/live/4JOmIY3cmYY?si=7NZSfJvhF4VqErlt
    7 เมษายน 2568 เวลา 22.00 น. DSI แถลงข่าวหลังจากรวบตัว"โบรกเกอร์" คนสนิทของหมอบุญ วนาสิน ที่หนีกบดานอยู่ประเทศจีน คดีร่วมกันฉ้อโกงเสียหาย 1.4 หมื่นล้านบาท กระทำความผิด ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิด ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิดอื่น ที่เกี่ยวข้อง เป็นคดีพิเศษที่ 136/2567 เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2567 ที่ผ่านมาต่อมา ดีเอสไอได้ส่งสำนวนอัยการสั่งฟ้อง หมอบุญ กับพวกรวม 16 ราย ฐานฉ้อโกงประชาชน มูลค่าความเสียหาย 14,246,048,033 บาททั้งนี้วันนี้มีรายงานว่า ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พลตำรวจโท สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษกองกิจการอำนวยความยุติธรรม เตรียมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาคดี "หมอบุญ วนาสิน" ที่หลบหนีไปต่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ชั้น 2 ประตู 8 ในเวลา 22.00 น. ของวันนี้ทั้งนี้ จากรายงาน คือ น.ส.ฐิติพร เฉลิมรัตนประทีป ทำหน้าที่เป็น โบรกเกอร์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ลงวันที่ 4 ธ.ค. 67 โดยจับกุมได้ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้ ยังเหลือผู้ต้องหาอีก 2 ราย คือ นพ.บุญ และ น.ส.กชพร ที่อยู่ระหว่างหลบหนีในต่างประเทศโดยคดีดังกล่าว นพ.บุญ พร้อมพวก ได้หลอกชักชวนผู้เสียหายลงทุนโครงการทางการแพทย์ มูลค่าความเสียหายกว่า 16,000 ล้านบาท https://www.youtube.com/live/4JOmIY3cmYY?si=7NZSfJvhF4VqErlt
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • DSI รวบ "โบรกเกอร์" คนสนิท หมอบุญ หนีกบดานประเทศจีน ร่วมฉ้อโกง เสียหาย 1.4 หมื่นล้านเตรียมแถลงคืนนี้ 4 ทุ่มข่าวที่เกี่ยวข้องความคืบหน้ากรณี นายแพทย์บุญ วนาสิน กับพวก ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันกระทำความผิด ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิด ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิดอื่น ที่เกี่ยวข้อง เป็นคดีพิเศษที่ 136/2567 เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2567 ที่ผ่านมาต่อมา ดีเอสไอได้ส่งสำนวนอัยการสั่งฟ้อง หมอบุญ กับพวกรวม 16 ราย ฐานฉ้อโกงประชาชน มูลค่าความเสียหาย 14,246,048,033 บาท ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้นล่าสุด วันที่ 7 เมษายน 2568 มีรายงานว่า ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พลตำรวจโท สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษกองกิจการอำนวยความยุติธรรม เตรียมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาคดี "หมอบุญ วนาสิน" ที่หลบหนีไปต่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ชั้น 2 ประตู 8 ในเวลา 22.00 น. ของวันนี้ทั้งนี้ จากรายงาน คือ น.ส.ฐิติพร เฉลิมรัตนประทีป ทำหน้าที่เป็น โบรกเกอร์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ลงวันที่ 4 ธ.ค. 67 โดยจับกุมได้ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้ ยังเหลือผู้ต้องหาอีก 2 ราย คือ นพ.บุญ และ น.ส.กชพร ที่อยู่ระหว่างหลบหนีในต่างประเทศโดยคดีดังกล่าว นพ.บุญ พร้อมพวก ได้หลอกชักชวนผู้เสียหายลงทุนโครงการทางการแพทย์ มูลค่าความเสียหายกว่า 16,000 ล้านบาทhttps://www.amarintv.com/news/crime/511086#
    DSI รวบ "โบรกเกอร์" คนสนิท หมอบุญ หนีกบดานประเทศจีน ร่วมฉ้อโกง เสียหาย 1.4 หมื่นล้านเตรียมแถลงคืนนี้ 4 ทุ่มข่าวที่เกี่ยวข้องความคืบหน้ากรณี นายแพทย์บุญ วนาสิน กับพวก ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันกระทำความผิด ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิด ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิดอื่น ที่เกี่ยวข้อง เป็นคดีพิเศษที่ 136/2567 เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2567 ที่ผ่านมาต่อมา ดีเอสไอได้ส่งสำนวนอัยการสั่งฟ้อง หมอบุญ กับพวกรวม 16 ราย ฐานฉ้อโกงประชาชน มูลค่าความเสียหาย 14,246,048,033 บาท ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้นล่าสุด วันที่ 7 เมษายน 2568 มีรายงานว่า ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พลตำรวจโท สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษกองกิจการอำนวยความยุติธรรม เตรียมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาคดี "หมอบุญ วนาสิน" ที่หลบหนีไปต่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ชั้น 2 ประตู 8 ในเวลา 22.00 น. ของวันนี้ทั้งนี้ จากรายงาน คือ น.ส.ฐิติพร เฉลิมรัตนประทีป ทำหน้าที่เป็น โบรกเกอร์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ลงวันที่ 4 ธ.ค. 67 โดยจับกุมได้ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้ ยังเหลือผู้ต้องหาอีก 2 ราย คือ นพ.บุญ และ น.ส.กชพร ที่อยู่ระหว่างหลบหนีในต่างประเทศโดยคดีดังกล่าว นพ.บุญ พร้อมพวก ได้หลอกชักชวนผู้เสียหายลงทุนโครงการทางการแพทย์ มูลค่าความเสียหายกว่า 16,000 ล้านบาทhttps://www.amarintv.com/news/crime/511086#
    WWW.AMARINTV.COM
    DSI รวบ "โบรกเกอร์" คนสนิท หมอบุญ หลังหนีกบดานประเทศจีน
    DSI รวบ "โบรกเกอร์" คนสนิท หมอบุญ หนีกบดานประเทศจีน ร่วมฉ้อโกง เสียหาย 1.4 หมื่นล้านเตรียมแถลงคืนนี้ 4 ทุ่ม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ โดนจำคุกยังปีกว่า บ้ายื่นประกันไป 52 ครั้ง หวังปั่นตัวเลขไว้ให้ร้ายการที่ศาลฯ ยกคำร้อง ไม่ดูตัวเองว่าความผิดมากมายขนาดไหน แค้นพรรคพวกที่หลบหนีไปต่างประเทศก็ยอมรับมา
    #7ดอกจิก
    #อานนท์นำภา
    ♣ โดนจำคุกยังปีกว่า บ้ายื่นประกันไป 52 ครั้ง หวังปั่นตัวเลขไว้ให้ร้ายการที่ศาลฯ ยกคำร้อง ไม่ดูตัวเองว่าความผิดมากมายขนาดไหน แค้นพรรคพวกที่หลบหนีไปต่างประเทศก็ยอมรับมา #7ดอกจิก #อานนท์นำภา
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • 29 มีนาคม 2568-รายงานจากเพจThairathTV ระบุว่าSEE TRUE เจอจะจะ! ทุนจีนหอบเอกสารหนีหลังตึก สตง. ถล่ม.29 มีนาคม 2568 ทีมข่าว SEE TRUE ลงพื้นที่ตึก สตง. สวนจตุจักรถล่ม เจอจะจะ กลุ่มนายทุนจีนรวมกลุ่มหาจังหวะเหมาะหอบเอกสารสำคัญการสร้างตึกหลบหนีไปต่อหน้าต่อตา ทันทีที่คนกลุ่มนี้เห็นทีมงาน SEE TRUE ก็รีบหอบเอกสารขึ้นรถขับหลบหนีไปทาง ถ.กำแพงเพชรทันที เบื้องต้นตำรวจประสานขอภาพหลักฐานจากทีมงาน .เพื่อตามไล่ล่าคนกลุ่มนี้มาสอบสวนหาข้อเท็จจริงแล้ว ติดตามภารกิจ SEE TRUE "อะไรอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้" ตอน "ถอดบทเรียนแผ่นดินไหว-ตึกถล่ม" ได้ในรายการไทยรัฐนิวส์โชว์https://youtube.com/shorts/o-l-qt82e1Q?si=kSEX1BssBGNamvCx
    29 มีนาคม 2568-รายงานจากเพจThairathTV ระบุว่าSEE TRUE เจอจะจะ! ทุนจีนหอบเอกสารหนีหลังตึก สตง. ถล่ม.29 มีนาคม 2568 ทีมข่าว SEE TRUE ลงพื้นที่ตึก สตง. สวนจตุจักรถล่ม เจอจะจะ กลุ่มนายทุนจีนรวมกลุ่มหาจังหวะเหมาะหอบเอกสารสำคัญการสร้างตึกหลบหนีไปต่อหน้าต่อตา ทันทีที่คนกลุ่มนี้เห็นทีมงาน SEE TRUE ก็รีบหอบเอกสารขึ้นรถขับหลบหนีไปทาง ถ.กำแพงเพชรทันที เบื้องต้นตำรวจประสานขอภาพหลักฐานจากทีมงาน .เพื่อตามไล่ล่าคนกลุ่มนี้มาสอบสวนหาข้อเท็จจริงแล้ว ติดตามภารกิจ SEE TRUE "อะไรอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้" ตอน "ถอดบทเรียนแผ่นดินไหว-ตึกถล่ม" ได้ในรายการไทยรัฐนิวส์โชว์https://youtube.com/shorts/o-l-qt82e1Q?si=kSEX1BssBGNamvCx
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 310 มุมมอง 0 รีวิว
  • อีนิวส์ จตุพร รู้ว่าครุกแน่นอน 2 ปี ไม่ขอขึ้นศาลฎีกา หลบหนีไปแล้ว หลบการชดใช้กรรมในเรือนจำได้ แต่หลบหนีกฎแห่งกรรมไม่ได้ ชีวิตต้องไปตุยต่างแดน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #นิวส์จตุพร
    อีนิวส์ จตุพร รู้ว่าครุกแน่นอน 2 ปี ไม่ขอขึ้นศาลฎีกา หลบหนีไปแล้ว หลบการชดใช้กรรมในเรือนจำได้ แต่หลบหนีกฎแห่งกรรมไม่ได้ ชีวิตต้องไปตุยต่างแดน #คิงส์โพธิ์แดง #นิวส์จตุพร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปัตตานี - คนร้ายขว้างไปป์บอมใส่จุดตรวจริมถนนสายนาเกตุ-โคกโพธิ์ ม.7 บ้านดอน ต.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ก่อนเร่งเครื่องหลบหนีไป โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ เชื่อเป็นกลุ่มก่อความไม่สงบที่พยายามสร้างสถานการณ์

    วันนี้ (11 มี.ค.) พ.ต.อ.มุสตาพา มะนิ ผกก.สภ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งคนร้ายขว้างไปป์บอมบ์ ใส่จุดตรวจยูเทิร์น ตั้งอยู่ริมถนนสายนาเกตุ-โคกโพธิ์ ม.7 บ้านดอน ต.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี หลังได้รับแจ้งจึงรีบนำกำลังเข้าที่เกิดเหตุ พร้อมรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ เมื่อไปถึงพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ประจำป้อมจุดตรวจออกมาด้านนอกคุมพื้นที่หลังเกิดเหตุ พร้อมกับปิดกั้นเส้นทางดังกล่าวไว้ชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบร่องรอยระเบิดบริเวณบังเกอร์และหลุมระเบิดอยู่บริเวณด้านข้างป้อมจุดตรวจ และมีชิ้นส่วนระเบิดและสะเก็ดระเบิดกระจายไปทั่วบริเวณ เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน

    จากการสอบสวนก่อนเกิดเหตุทราบว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำป้อม กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในป้อม ปรากฏว่าได้มีคนร้าย 2 คน ขับรถจักรยานยนต์มาทาง อ.โคกโพธิ์ เมื่อมาถึงด้านหน้าของจุดตรวจโคราช จึงได้ขว้างไปป์บอมบ์ตกด้านข้างจนเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่น เจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายในต่างกระโดดหลบก่อนจะออกมาด้านนอกเพราะเกรงว่าจะมีการโจมตีซ้ำ แต่หลังเกิดเหตุคนร้ายได้เร่งเครื่องหลบหนีไป

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/south/detail/9680000023344

    #MGROnline #ปัตตานี #ไปป์บอม #จุดตรวจริม #ถนนสายนาเกตุ_โคกโพธิ์
    ปัตตานี - คนร้ายขว้างไปป์บอมใส่จุดตรวจริมถนนสายนาเกตุ-โคกโพธิ์ ม.7 บ้านดอน ต.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ก่อนเร่งเครื่องหลบหนีไป โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ เชื่อเป็นกลุ่มก่อความไม่สงบที่พยายามสร้างสถานการณ์ • วันนี้ (11 มี.ค.) พ.ต.อ.มุสตาพา มะนิ ผกก.สภ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งคนร้ายขว้างไปป์บอมบ์ ใส่จุดตรวจยูเทิร์น ตั้งอยู่ริมถนนสายนาเกตุ-โคกโพธิ์ ม.7 บ้านดอน ต.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี หลังได้รับแจ้งจึงรีบนำกำลังเข้าที่เกิดเหตุ พร้อมรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ เมื่อไปถึงพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ประจำป้อมจุดตรวจออกมาด้านนอกคุมพื้นที่หลังเกิดเหตุ พร้อมกับปิดกั้นเส้นทางดังกล่าวไว้ชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบร่องรอยระเบิดบริเวณบังเกอร์และหลุมระเบิดอยู่บริเวณด้านข้างป้อมจุดตรวจ และมีชิ้นส่วนระเบิดและสะเก็ดระเบิดกระจายไปทั่วบริเวณ เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน • จากการสอบสวนก่อนเกิดเหตุทราบว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำป้อม กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในป้อม ปรากฏว่าได้มีคนร้าย 2 คน ขับรถจักรยานยนต์มาทาง อ.โคกโพธิ์ เมื่อมาถึงด้านหน้าของจุดตรวจโคราช จึงได้ขว้างไปป์บอมบ์ตกด้านข้างจนเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่น เจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายในต่างกระโดดหลบก่อนจะออกมาด้านนอกเพราะเกรงว่าจะมีการโจมตีซ้ำ แต่หลังเกิดเหตุคนร้ายได้เร่งเครื่องหลบหนีไป • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/south/detail/9680000023344 • #MGROnline #ปัตตานี #ไปป์บอม #จุดตรวจริม #ถนนสายนาเกตุ_โคกโพธิ์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 398 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงเวลาที่ชายสวมชุดดำ นั่งท้ายรถกระบะกระบะยี่ห้อ ISUZU D-Max ตอนครึ่ง สีบรอนซ์เงิน และ รถยนต์เก๋งสีบรอนซ์เงิน ขับผ่านด่านตรวจหน้าที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ก่อนใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ อส.พร้อมกับขว้างระเบิดและมีการปะทะกัน แล้วหลบหนีไป ทำให้เจ้าหน้าที่ อส.เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 8 คน และประชาชนได้รับบาดเจ็บ 3 คน เหตุเกิดเวลาประมาณ 19.00 น. วันนี้ (8 มี.ค.2568)
    ช่วงเวลาที่ชายสวมชุดดำ นั่งท้ายรถกระบะกระบะยี่ห้อ ISUZU D-Max ตอนครึ่ง สีบรอนซ์เงิน และ รถยนต์เก๋งสีบรอนซ์เงิน ขับผ่านด่านตรวจหน้าที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ก่อนใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ อส.พร้อมกับขว้างระเบิดและมีการปะทะกัน แล้วหลบหนีไป ทำให้เจ้าหน้าที่ อส.เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 8 คน และประชาชนได้รับบาดเจ็บ 3 คน เหตุเกิดเวลาประมาณ 19.00 น. วันนี้ (8 มี.ค.2568)
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 526 มุมมอง 30 0 รีวิว
  • 39 ปี ลอบสังหารนายกสวีเดน "อูลอฟ พัลเมอ" คดีปริศนาที่ใช้เวลาสืบสวนนาน 34 ปี

    🕵️‍♂️ เหตุการณ์ลอบสังหารผู้นำประเทศ ที่เป็นปริศนายาวนานที่สุดในโลก ย้อนไปเมื่อ 39 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 สวีเดนต้องเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อ "อูลอฟ พัลเมอ" (Olof Palme) นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม คดีนี้ใช้เวลาสืบสวนนานถึง 34 ปี ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะประกาศปิดคดี โดยมีการตั้งข้อสงสัยว่า "สตีก เอ็งสเตริม" (Stig Engström) เป็นผู้ก่อเหตุ แต่เจ้าตัวเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543

    นี่คือหนึ่งในคดีฆาตกรรมทางการเมือง ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และยังคงเป็นที่ถกเถียง ในแวดวงกฎหมายและสื่อมวลชน มาจนถึงปัจจุบัน

    🔎 นายกรัฐมนตรีสวีเดน ผู้ทรงอิทธิพลและขั้วขัดแย้ง ✨ "สเวน อูลอฟ โยอาคิม พัลเมอ" (Sven Olof Joachim Palme) เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2470 เป็นนักการเมืองคนสำคัญของสวีเดน และเป็นผู้นำของพรรคสังคมประชาธิปไตยสวีเดน (Social Democrats - SAP)

    📌 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย
    - วาระแรก พ.ศ. 2512 - 2519
    - วาระที่สอง พ.ศ. 2525 - 2529

    นายกพัลเมอเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้า สนับสนุนสิทธิแรงงาน สวัสดิการสังคม และต่อต้านสงคราม มีนโยบายที่ไม่ฝักใฝ่ขั้วมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือสหภาพโซเวียต ทำให้ถูกมองว่า เป็นบุคคลที่ "แตกต่าง" ในเวทีการเมืองโลก

    🌍 นักการเมืองที่กล้าท้าทายอำนาจโลก นายกพัลเมอเป็นผู้นำชาวตะวันตกคนแรกที่
    ✅ เดินทางไปเยือนคิวบา และพบกับ "ฟิเดล คาสโตร" หลังการปฏิวัติคิวบา
    ✅ วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิจักรวรรดินิยม และการปกครองแบบเผด็จการ
    ✅ ต่อต้านระบอบแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้
    ✅ เปรียบเทียบการทิ้งระเบิดฮานอยของสหรัฐฯ กับ "อาชญากรรมสงคราม"

    📢 ความกล้าของนายกพัลเมอ ทำให้มีทั้งผู้สนับสนุนและศัตรูมากมาย และนั่นอาจเป็นสาเหตุ ที่นำไปสู่การลอบสังหารในท้ายที่สุด

    🔫 คืนสังหาร 28 กุมภาพันธ์ 2529 คืนวันศุกร์ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์สวีเดนตลอดกาล 🌃

    📍 เหตุเกิดที่ถนนสเวียแวเกน (Sveavägen) หนึ่งในถนนที่คึกคักที่สุด ของกรุงสต็อกโฮล์ม

    🚶‍♂️ ไม่มีการ์ดคุ้มกัน ในคืนนั้น นายกพัลเมอและภรรยา "ลิสเบต พัลเมอ" (Lisbeth Palme) ตัดสินใจไปชมภาพยนตร์ "The Mozart Brothers" โดย ไม่ได้มีบอดี้การ์ดไปด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับนายกพัลเมอ

    🕵️‍♂️ มือปืนลอบสังหาร เวลา 23.21 น. นายกพัลเมอและภรรยา เดินออกจากโรงภาพยนตร์ มือปืนเดินปรี่เข้ามาจากด้านหลัง และจ่อยิงนายกพัลเมอเข้ากลางหลังหนึ่งนัด ด้วยปืนลูกโม่ .357 แม็กนัม เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ และจ่อยิงภรรยานายกพัลเมออีกหนึ่งนัด แล้วหลบหนีไป โดยไม่มีใครสามารถจับตัวได้

    💥 การลอบสังหารครั้งนี้ เป็นการฆาตกรรมผู้นำประเทศสวีเดนครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2335 ใช้เวลาสืบสวนที่ยาวนาน 34 ปี 🏛️

    🔍 การสอบสวนครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์สวีเดน มีพยานถูกสอบปากคำหลายพันคน บุคคลที่ถูกสอบสวนในฐานะผู้ต้องสงสัย มากกว่า 130 ราย คดีนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบตำรวจ และกฎหมายของสวีเดน

    👤 ผู้ต้องสงสัยรายแรก "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน"
    ปี 2531 ตำรวจจับกุม "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน" (Christer Pettersson) ชายติดยาในพื้นที่ และศาลตัดสินว่า มีความผิดฐานฆาตกรรม

    ❌ แต่ภายหลัง ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสิน และปล่อยตัวเขาเป็นอิสระ เนื่องจาก
    1️⃣ ไม่มีหลักฐานชัดเจน
    2️⃣ อาวุธที่ใช้ก่อเหตุไม่เคยถูกพบ
    3️⃣ แรงจูงใจในการสังหารไม่ชัดเจน

    เพ็ตเตอช็อนเสียชีวิตในปี 2547 ทำให้การสืบสวน หวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง

    🛑 ปิดคดีในปี 2563: ฆาตกรคือ "สกันเดียแมน"?
    🔎 ในเดือน มิถุนายน 2563 คณะอัยการสวีเดนประกาศว่า

    👉 สตีก เอ็งสเตริม (Stig Engström) หรือ "สกันเดียแมน" เป็นผู้ต้องสงสัยหลัก

    👨‍💼 "สกันเดียแมน" เป็นนักออกแบบกราฟิก ทำงานที่บริษัท "สกันเดีย" (Skandia) ใกล้ที่เกิดเหตุ มีทักษะในการใช้ปืน ได้วิพากษ์วิจารณ์นายกพัลเมออย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีปัญหาด้านการเงิน และติดสุรา

    💀 แต่ปัญหาคือ เอ็งสเตริมเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543 ทำให้ ไม่มีทางนำตัวมาพิจารณาคดีในชั้นศาลได้

    📢 "การสืบสวนจึงถูกปิด โดยไม่มีการตั้งข้อหาใด ๆ"

    🤔 คำถามที่ยังไร้คำตอบ
    ❓ แรงจูงใจของฆาตกรคืออะไร?
    ❓ เป็นแผนลอบสังหาร จากรัฐบาลเผด็จการหรือไม่?
    ❓ มีองค์กรลับอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า?
    ❓ เหตุใดตำรวจถึงใช้เวลานานถึง 34 ปี ในการสรุปคดีนี้?

    แม้ว่าอัยการจะปิดคดีนี้ไปแล้ว แต่ข้อสงสัยมากมายยังคงอยู่ ทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็น "ปริศนาแห่งสวีเดน" ที่จะถูกพูดถึงไปอีกนาน

    🔥 คดีฆาตกรรมที่สะเทือนโลก
    📌 "อูลอฟ พัลเมอ" เป็นนายกฯ ที่มีอุดมการณ์ชัดเจน
    📌 ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม ในปี 2529
    📌 คดีนี้สืบสวนนาน 34 ปี ก่อนสรุปว่า "สตีก เอ็งสเตริม" เป็นมือปืน
    📌 คดีถูกปิด แต่คำถามมากมาย ยังคงไม่มีคำตอบ

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 282037 ก.พ. 2568

    #OlofPalme #ฆาตกรรมปริศนา #ลอบสังหาร #คดีดัง #สวีเดน #TrueCrime
    39 ปี ลอบสังหารนายกสวีเดน "อูลอฟ พัลเมอ" คดีปริศนาที่ใช้เวลาสืบสวนนาน 34 ปี 🕵️‍♂️ เหตุการณ์ลอบสังหารผู้นำประเทศ ที่เป็นปริศนายาวนานที่สุดในโลก ย้อนไปเมื่อ 39 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 สวีเดนต้องเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อ "อูลอฟ พัลเมอ" (Olof Palme) นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม คดีนี้ใช้เวลาสืบสวนนานถึง 34 ปี ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะประกาศปิดคดี โดยมีการตั้งข้อสงสัยว่า "สตีก เอ็งสเตริม" (Stig Engström) เป็นผู้ก่อเหตุ แต่เจ้าตัวเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543 นี่คือหนึ่งในคดีฆาตกรรมทางการเมือง ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และยังคงเป็นที่ถกเถียง ในแวดวงกฎหมายและสื่อมวลชน มาจนถึงปัจจุบัน 🔎 นายกรัฐมนตรีสวีเดน ผู้ทรงอิทธิพลและขั้วขัดแย้ง ✨ "สเวน อูลอฟ โยอาคิม พัลเมอ" (Sven Olof Joachim Palme) เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2470 เป็นนักการเมืองคนสำคัญของสวีเดน และเป็นผู้นำของพรรคสังคมประชาธิปไตยสวีเดน (Social Democrats - SAP) 📌 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย - วาระแรก พ.ศ. 2512 - 2519 - วาระที่สอง พ.ศ. 2525 - 2529 นายกพัลเมอเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้า สนับสนุนสิทธิแรงงาน สวัสดิการสังคม และต่อต้านสงคราม มีนโยบายที่ไม่ฝักใฝ่ขั้วมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือสหภาพโซเวียต ทำให้ถูกมองว่า เป็นบุคคลที่ "แตกต่าง" ในเวทีการเมืองโลก 🌍 นักการเมืองที่กล้าท้าทายอำนาจโลก นายกพัลเมอเป็นผู้นำชาวตะวันตกคนแรกที่ ✅ เดินทางไปเยือนคิวบา และพบกับ "ฟิเดล คาสโตร" หลังการปฏิวัติคิวบา ✅ วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิจักรวรรดินิยม และการปกครองแบบเผด็จการ ✅ ต่อต้านระบอบแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ ✅ เปรียบเทียบการทิ้งระเบิดฮานอยของสหรัฐฯ กับ "อาชญากรรมสงคราม" 📢 ความกล้าของนายกพัลเมอ ทำให้มีทั้งผู้สนับสนุนและศัตรูมากมาย และนั่นอาจเป็นสาเหตุ ที่นำไปสู่การลอบสังหารในท้ายที่สุด 🔫 คืนสังหาร 28 กุมภาพันธ์ 2529 คืนวันศุกร์ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์สวีเดนตลอดกาล 🌃 📍 เหตุเกิดที่ถนนสเวียแวเกน (Sveavägen) หนึ่งในถนนที่คึกคักที่สุด ของกรุงสต็อกโฮล์ม 🚶‍♂️ ไม่มีการ์ดคุ้มกัน ในคืนนั้น นายกพัลเมอและภรรยา "ลิสเบต พัลเมอ" (Lisbeth Palme) ตัดสินใจไปชมภาพยนตร์ "The Mozart Brothers" โดย ไม่ได้มีบอดี้การ์ดไปด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับนายกพัลเมอ 🕵️‍♂️ มือปืนลอบสังหาร เวลา 23.21 น. นายกพัลเมอและภรรยา เดินออกจากโรงภาพยนตร์ มือปืนเดินปรี่เข้ามาจากด้านหลัง และจ่อยิงนายกพัลเมอเข้ากลางหลังหนึ่งนัด ด้วยปืนลูกโม่ .357 แม็กนัม เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ และจ่อยิงภรรยานายกพัลเมออีกหนึ่งนัด แล้วหลบหนีไป โดยไม่มีใครสามารถจับตัวได้ 💥 การลอบสังหารครั้งนี้ เป็นการฆาตกรรมผู้นำประเทศสวีเดนครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2335 ใช้เวลาสืบสวนที่ยาวนาน 34 ปี 🏛️ 🔍 การสอบสวนครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์สวีเดน มีพยานถูกสอบปากคำหลายพันคน บุคคลที่ถูกสอบสวนในฐานะผู้ต้องสงสัย มากกว่า 130 ราย คดีนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบตำรวจ และกฎหมายของสวีเดน 👤 ผู้ต้องสงสัยรายแรก "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน" ปี 2531 ตำรวจจับกุม "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน" (Christer Pettersson) ชายติดยาในพื้นที่ และศาลตัดสินว่า มีความผิดฐานฆาตกรรม ❌ แต่ภายหลัง ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสิน และปล่อยตัวเขาเป็นอิสระ เนื่องจาก 1️⃣ ไม่มีหลักฐานชัดเจน 2️⃣ อาวุธที่ใช้ก่อเหตุไม่เคยถูกพบ 3️⃣ แรงจูงใจในการสังหารไม่ชัดเจน เพ็ตเตอช็อนเสียชีวิตในปี 2547 ทำให้การสืบสวน หวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง 🛑 ปิดคดีในปี 2563: ฆาตกรคือ "สกันเดียแมน"? 🔎 ในเดือน มิถุนายน 2563 คณะอัยการสวีเดนประกาศว่า 👉 สตีก เอ็งสเตริม (Stig Engström) หรือ "สกันเดียแมน" เป็นผู้ต้องสงสัยหลัก 👨‍💼 "สกันเดียแมน" เป็นนักออกแบบกราฟิก ทำงานที่บริษัท "สกันเดีย" (Skandia) ใกล้ที่เกิดเหตุ มีทักษะในการใช้ปืน ได้วิพากษ์วิจารณ์นายกพัลเมออย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีปัญหาด้านการเงิน และติดสุรา 💀 แต่ปัญหาคือ เอ็งสเตริมเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543 ทำให้ ไม่มีทางนำตัวมาพิจารณาคดีในชั้นศาลได้ 📢 "การสืบสวนจึงถูกปิด โดยไม่มีการตั้งข้อหาใด ๆ" 🤔 คำถามที่ยังไร้คำตอบ ❓ แรงจูงใจของฆาตกรคืออะไร? ❓ เป็นแผนลอบสังหาร จากรัฐบาลเผด็จการหรือไม่? ❓ มีองค์กรลับอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า? ❓ เหตุใดตำรวจถึงใช้เวลานานถึง 34 ปี ในการสรุปคดีนี้? แม้ว่าอัยการจะปิดคดีนี้ไปแล้ว แต่ข้อสงสัยมากมายยังคงอยู่ ทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็น "ปริศนาแห่งสวีเดน" ที่จะถูกพูดถึงไปอีกนาน 🔥 คดีฆาตกรรมที่สะเทือนโลก 📌 "อูลอฟ พัลเมอ" เป็นนายกฯ ที่มีอุดมการณ์ชัดเจน 📌 ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม ในปี 2529 📌 คดีนี้สืบสวนนาน 34 ปี ก่อนสรุปว่า "สตีก เอ็งสเตริม" เป็นมือปืน 📌 คดีถูกปิด แต่คำถามมากมาย ยังคงไม่มีคำตอบ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 282037 ก.พ. 2568 #OlofPalme #ฆาตกรรมปริศนา #ลอบสังหาร #คดีดัง #สวีเดน #TrueCrime
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 836 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อเดือนมกราคม มาร์โค รูบิโอ ที่เพิ่งได้รับการเสนอให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้การกับสภาคองเกรส เรื่องสำคัญที่เขาย้ำกับสภาก็คือต้องล็อบบี้ไม่ให้ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ไปให้จีน

    เขาบอกว่า “ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งมากของสหรัฐฯ และเป็นพันธมิตรทางประวัติศาสตร์ที่แข็งแกร่ง นั่นคือพื้นที่ที่ผมคิดว่าการทูตสามารถบรรลุผลได้จริง เนื่องจากความสัมพันธ์นั้นมีความสำคัญและใกล้ชิดกันมาก”

    รูบิโอ มั่นใจมากกว่าเขาจะใช้บารมีของสหรัฐที่มีต่อไทยสกัดกั้นการส่งตัวอุยกูร์ไปจีน ในช่วงเวลาที่ประเด็นอุยกูร์เป็นวาระของชาติตะวันตกอีกครั้งในช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา

    แต่หนึ่งเดือนหลังจากนั้น รูบิโอ ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ปรากฏว่าการทูตของสหรัฐฯ เละเทะไปหมด รวมถึงความหวังที่จะเห็นไทยเป็นพัธมิตรที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ด้วย เพราะไทยส่งอุยกูร์ให้จีนไปแล้ว

    พูดง่ายๆ คือภารกิจแรกของ รูบิโอ ในการรักษาพันธมิตรล้มเหลวไม่เป็นท่า ดังนั้นจากที่ต้องการจะรักษาไทยในฐานะพันธมิตรทางประวัติศาสตร์ รูบิโอกล่าวในแถลงการณ์ว่า “เราขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการที่ไทยบังคับส่งตัวชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คนกลับประเทศจีน”

    และกล่าวว่าไทยเสี่ยงที่จะ “ละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศ” ตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ของสหประชาชาติและอนุสัญญาโลกอื่นๆ และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ไทย “ตรวจสอบอย่างต่อเนื่องอย่างเต็มที่” ว่าทางการจีนปกป้องสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์หรือไม่

    ฝ่ายสถานทูตจีนในไทยกล่าวดักเอาไว้ว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศนั้น “ดำเนินการตามกฎหมายของจีนและไทย กฎหมายระหว่างประเทศ และแนวปฏิบัติทั่วไป”

    แต่โปรดทราบว่าแนวปฏิบัติและการตีความสิทธิมนุษยชนของจีนและตะวันตกนั้นไม่ตรงกันเอาเลย ส่วนใครจะถูกจะผิดนั้นโปรดพิจารณากันเอาเอง

    อีกเรื่องคือการที่อุยกูร์เป็นประเด็นอีกครั้ง เพราะมีกลุ่มอุยกูร์ที่ถูกขึ้นบัญชีก่อการร้าย [ETIM] ไปร่วมรบในซีเรียกับฝ่ายที่ชนะล่าสุด เรื่องนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่ตะวันตกบี้ไทยเรื่องจะส่งอุยกูร์พอดี ส่วนสถานทูตจีนประจำกรุงเทพฯ ออกมาชี้แจงเมื่อเดือนที่แล้วว่าผู้ต้องขังชาวอุยกูร์มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้าย และ “บุคคลจำนวนหนึ่งที่ถูกล่อลวงโดยกองกำลังภายนอกได้หลบหนีออกนอกประเทศและเข้าร่วมกับ ‘ขบวนการอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก’ [ETIM] ซึ่งเป็นองค์กรก่อการร้ายที่ได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติ”

    ETIM พอเดินทางมาถึงเอเชียกลางและต่อมาถึงซีเรีย ก็เปลี่ยนร่างเป็นขบวนการ Turkistan Islamic Party (TIP)

    ยิ่งหลังจากรัฐบาลอัสซาดล่มเมื่อเดือนธันวาคม 2024 พวก TIP ก็ประกาศว่า "เราจะขับไล่พวกคนจีนนอกศาสนาออกไป (จากซินเจียง)” พอถึงมกราคม 2025 สื่อตะวันตกก็เริ่มประโคมไม่หยุดว่าอุยกูร์ที่ช่วยรบในซีเรียจะเล่นงานจีน เช่น The Economist ชี้ว่า Militant Uyghurs in Syria threaten the Chinese government และ The Telegraph ที่รายงานว่า Uyghur fighters in Syria vow to come for China next (สองสื่ออังกฤษมีท่าทีต่อต้านจีนอยู่แล้ว) - รัฐบาลจีนเห็นแบบนี้คงนิ่งไม่ไหว

    จากการรายงานของ Reuters เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ทูตจีนเพิ่งพบกับผู้นำซีเรียคนใหม่ (ซึ่งมีพวกอุยกูร์ช่วยรบอยู่ในกองทัพ) ในรายงานนี้ย้ำว่า "ในปี 2015 เจ้าหน้าที่จีนกล่าวว่าชาวอุยกูร์จำนวนมากที่หลบหนีไปยังตุรกีผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้วางแผนที่จะนำญิฮาดกลับไปยังจีน โดยอ้างว่าบางคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับ "กิจกรรมก่อการร้าย""

    เรื่อง ETIM ผมเพิ่งเขียนไปเมื่อไม่นานมานี้ สามารถเลื่อนลงไปอ่านได้เพราะมีบริบทเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ตอนนี้ระหว่างตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ กับจีน โดยมีไทยเป็น "โซ่ข้อกลาง"

    ส่วนชาติตะวันตกและสำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติก็ประณามไทยเช่นกัน (อย่างเบาๆ คือ "เสียใจ") แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับดุลความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน-สหรัฐมากกว่า

    กรณีล่าสุด (รวมถึงอีกหลายกรณีก่อนหน้านี้) ไม่บอกก็รู้ว่าไทยเอียงไปทางจีนอย่างมากแล้วในตอนนี้

    ป.ล. - เป็นที่น่าสังเกตว่า ในวันที่ไทยส่งอุยกูร์ให้จีนนั้น รัสเซียก็เดินเกม "สร้างแนวร่วม" ในอาเซียนด้วยการส่ง ชอยกู รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงไปหารือกับผู้นำอินโดนีเซียและมาเลเซีย กรณีเหล่านี้น่าจะสะท้อนถึงการเดิมเกมรุกของแกนหลัก "ทางการเมือง" ของกลุ่ม BRICS

    ที่มา : เฟซบุ๊กของกรกิจ ดิษฐาน
    เมื่อเดือนมกราคม มาร์โค รูบิโอ ที่เพิ่งได้รับการเสนอให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้การกับสภาคองเกรส เรื่องสำคัญที่เขาย้ำกับสภาก็คือต้องล็อบบี้ไม่ให้ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ไปให้จีน เขาบอกว่า “ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งมากของสหรัฐฯ และเป็นพันธมิตรทางประวัติศาสตร์ที่แข็งแกร่ง นั่นคือพื้นที่ที่ผมคิดว่าการทูตสามารถบรรลุผลได้จริง เนื่องจากความสัมพันธ์นั้นมีความสำคัญและใกล้ชิดกันมาก” รูบิโอ มั่นใจมากกว่าเขาจะใช้บารมีของสหรัฐที่มีต่อไทยสกัดกั้นการส่งตัวอุยกูร์ไปจีน ในช่วงเวลาที่ประเด็นอุยกูร์เป็นวาระของชาติตะวันตกอีกครั้งในช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา แต่หนึ่งเดือนหลังจากนั้น รูบิโอ ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ปรากฏว่าการทูตของสหรัฐฯ เละเทะไปหมด รวมถึงความหวังที่จะเห็นไทยเป็นพัธมิตรที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ด้วย เพราะไทยส่งอุยกูร์ให้จีนไปแล้ว พูดง่ายๆ คือภารกิจแรกของ รูบิโอ ในการรักษาพันธมิตรล้มเหลวไม่เป็นท่า ดังนั้นจากที่ต้องการจะรักษาไทยในฐานะพันธมิตรทางประวัติศาสตร์ รูบิโอกล่าวในแถลงการณ์ว่า “เราขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการที่ไทยบังคับส่งตัวชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คนกลับประเทศจีน” และกล่าวว่าไทยเสี่ยงที่จะ “ละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศ” ตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ของสหประชาชาติและอนุสัญญาโลกอื่นๆ และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ไทย “ตรวจสอบอย่างต่อเนื่องอย่างเต็มที่” ว่าทางการจีนปกป้องสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์หรือไม่ ฝ่ายสถานทูตจีนในไทยกล่าวดักเอาไว้ว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศนั้น “ดำเนินการตามกฎหมายของจีนและไทย กฎหมายระหว่างประเทศ และแนวปฏิบัติทั่วไป” แต่โปรดทราบว่าแนวปฏิบัติและการตีความสิทธิมนุษยชนของจีนและตะวันตกนั้นไม่ตรงกันเอาเลย ส่วนใครจะถูกจะผิดนั้นโปรดพิจารณากันเอาเอง อีกเรื่องคือการที่อุยกูร์เป็นประเด็นอีกครั้ง เพราะมีกลุ่มอุยกูร์ที่ถูกขึ้นบัญชีก่อการร้าย [ETIM] ไปร่วมรบในซีเรียกับฝ่ายที่ชนะล่าสุด เรื่องนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่ตะวันตกบี้ไทยเรื่องจะส่งอุยกูร์พอดี ส่วนสถานทูตจีนประจำกรุงเทพฯ ออกมาชี้แจงเมื่อเดือนที่แล้วว่าผู้ต้องขังชาวอุยกูร์มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้าย และ “บุคคลจำนวนหนึ่งที่ถูกล่อลวงโดยกองกำลังภายนอกได้หลบหนีออกนอกประเทศและเข้าร่วมกับ ‘ขบวนการอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก’ [ETIM] ซึ่งเป็นองค์กรก่อการร้ายที่ได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติ” ETIM พอเดินทางมาถึงเอเชียกลางและต่อมาถึงซีเรีย ก็เปลี่ยนร่างเป็นขบวนการ Turkistan Islamic Party (TIP) ยิ่งหลังจากรัฐบาลอัสซาดล่มเมื่อเดือนธันวาคม 2024 พวก TIP ก็ประกาศว่า "เราจะขับไล่พวกคนจีนนอกศาสนาออกไป (จากซินเจียง)” พอถึงมกราคม 2025 สื่อตะวันตกก็เริ่มประโคมไม่หยุดว่าอุยกูร์ที่ช่วยรบในซีเรียจะเล่นงานจีน เช่น The Economist ชี้ว่า Militant Uyghurs in Syria threaten the Chinese government และ The Telegraph ที่รายงานว่า Uyghur fighters in Syria vow to come for China next (สองสื่ออังกฤษมีท่าทีต่อต้านจีนอยู่แล้ว) - รัฐบาลจีนเห็นแบบนี้คงนิ่งไม่ไหว จากการรายงานของ Reuters เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ทูตจีนเพิ่งพบกับผู้นำซีเรียคนใหม่ (ซึ่งมีพวกอุยกูร์ช่วยรบอยู่ในกองทัพ) ในรายงานนี้ย้ำว่า "ในปี 2015 เจ้าหน้าที่จีนกล่าวว่าชาวอุยกูร์จำนวนมากที่หลบหนีไปยังตุรกีผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้วางแผนที่จะนำญิฮาดกลับไปยังจีน โดยอ้างว่าบางคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับ "กิจกรรมก่อการร้าย"" เรื่อง ETIM ผมเพิ่งเขียนไปเมื่อไม่นานมานี้ สามารถเลื่อนลงไปอ่านได้เพราะมีบริบทเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ตอนนี้ระหว่างตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ กับจีน โดยมีไทยเป็น "โซ่ข้อกลาง" ส่วนชาติตะวันตกและสำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติก็ประณามไทยเช่นกัน (อย่างเบาๆ คือ "เสียใจ") แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับดุลความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน-สหรัฐมากกว่า กรณีล่าสุด (รวมถึงอีกหลายกรณีก่อนหน้านี้) ไม่บอกก็รู้ว่าไทยเอียงไปทางจีนอย่างมากแล้วในตอนนี้ ป.ล. - เป็นที่น่าสังเกตว่า ในวันที่ไทยส่งอุยกูร์ให้จีนนั้น รัสเซียก็เดินเกม "สร้างแนวร่วม" ในอาเซียนด้วยการส่ง ชอยกู รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงไปหารือกับผู้นำอินโดนีเซียและมาเลเซีย กรณีเหล่านี้น่าจะสะท้อนถึงการเดิมเกมรุกของแกนหลัก "ทางการเมือง" ของกลุ่ม BRICS ที่มา : เฟซบุ๊กของกรกิจ ดิษฐาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 636 มุมมอง 0 รีวิว
  • หมวกกันน็อกใบเดียว ใช้ทำร้ายผู้อื่นถึงตายได้

    เหตุอุกอาจทำร้ายร่างกายใจกลางเมือง ขณะที่ นพ.ชเนษฎ์ ศรีสุโข เจ้าของมาลิคลินิกเวชกรรม สาขาสีลม 3 กำลังเดินออกจากคลีนิกหลังเลิกงาน มีคนร้ายเป็นชาย 2 คน บุกเข้ามารุมทำร้ายด้วยการใช้หมวกกันน็อกรุมตีหลายครั้งจนเลือดอาบ เจ้าตัวพยายามวิ่งหลบหนีหกล้มกลางถนน ก่อนที่จะมีรถยนต์ของชาวบ้านขับผ่านมา คนร้ายจึงขับขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า รุ่นพีซีเอ็กซ์ สีแสด ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนหลบหนีไป เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 18.28 น. ของวันที่ 25 ม.ค. 2568 นพ.ชเนษฎ์ ได้รับบาดเจ็บ ศีรษะถูกตีด้วยของแข็งจนเลือดอาบ ก่อนแจ้งความกับ ว่าที่ พ.ต.ท.สถิต สะดีวงศ์ พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ และตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจ

    เมื่อมีการนำเสนอข่าวผ่านสื่อมวลชน ผู้ก่อเหตุพร้อมด้วยทนายความจึงเข้ามอบตัวสู้คดีและประกันตัวออกไป อ้างว่าหูแว่ว ติดยา ในวันที่ไปศาลแขวงพระนครใต้ เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2568 จำเลยพาภรรยา ญาติ และลูกน้อยไปศาลพร้อมทนายความด้วย ตอนแรกจำเลยกล่าวหาว่า นพ.ชเนษฎ์ ไปด่าพ่อ แต่ต่อมาก็อ้างว่าพนักงานคลีนิกไปด่าพ่อ ซึ่ง นพ.ชเนษฎ์ ตั้งข้อสังเกตว่าที่ผ่านมา มีความพยายามใช้ชื่อปลอมร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ ให้เข้ามาสอบสวนคลินิก แต่ไม่พบความผิดปกติใดๆ ก่อนจะเกิดเรื่องขึ้น ถึงกระนั้นเหตุการณ์นี้เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล ทุกวันนี้ต้องว่าจ้างทีมอารักขามืออาชีพช่วยดูแลความปลอดภัย

    สิ่งที่น่าคิดจากคดีนี้ก็คือ คนร้ายเลือกใช้หมวกกันน็อกเป็นอาวุธทำร้ายร่างกาย นพ.ชเนษฎ์ เปิดเผยว่า บริษัทรักษาความปลอดภัยในไทยหลายแห่งได้แจ้งมาว่า จากคดีดังกล่าวพบว่าหมวกกันน็อกเป็นที่นิยมในหมู่คนร้าย เพราะมีโทษเบาไปถึงศาลแขวง ไม่ใช่ศาลอาญา รวมทั้งหามาเป็นอาวุธได้ง่าย มีการแนะนำให้ตนหาหมวกกันน็อกมาลองทุบแตงโมดู จึงทดลองทุบเอง ที่กลุ่มสืบเสาะและพินิจ กรมคุมประพฤติ กรุงเทพมหานคร 5 ซึ่งเฟซบุ๊กส่วนตัวของ นพ.ชเนษฎ์ นำมาเผยแพร่ พบว่าแตงโมแตก ซึ่งหากทุบจุดสำคัญของศีรษะอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

    ถึงกระนั้น ตามกฎหมายแล้วหมวกกันน็อกไม่ถือว่าเป็นอาวุธ และในทางคดีพบว่าเป็นการทำร้ายร่างกายธรรมดาไม่สาหัส ทำให้คดีทำร้ายร่างกายครั้งนี้ไปถึงแค่ศาลแขวง ไปไม่ถึงศาลอาญา แม้เหตุการณ์นี้จะทำให้ นพ.ชเนษฎ์ บาดเจ็บถึงขั้นเลือดอาบก็ตาม ปัจจุบัน ณ เดือนมกราคม 2568 ประเทศไทยมีรถจักรยานยนต์มากกว่า 22.85 ล้านคัน รถจักรยายยนต์รับจ้างกว่า 1.17 แสนคัน และมีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์รวมกันกว่า 13.10 ล้านใบ การใช้หมวกกันน็อกเป็นอาวุธทำร้ายร่างกาย ถือเป็นอีกช่องโหว่ทางกฎหมาย ที่พลเมืองดีและสุจริตชนทั้งหลายพึงระวัง

    #Newskit
    หมวกกันน็อกใบเดียว ใช้ทำร้ายผู้อื่นถึงตายได้ เหตุอุกอาจทำร้ายร่างกายใจกลางเมือง ขณะที่ นพ.ชเนษฎ์ ศรีสุโข เจ้าของมาลิคลินิกเวชกรรม สาขาสีลม 3 กำลังเดินออกจากคลีนิกหลังเลิกงาน มีคนร้ายเป็นชาย 2 คน บุกเข้ามารุมทำร้ายด้วยการใช้หมวกกันน็อกรุมตีหลายครั้งจนเลือดอาบ เจ้าตัวพยายามวิ่งหลบหนีหกล้มกลางถนน ก่อนที่จะมีรถยนต์ของชาวบ้านขับผ่านมา คนร้ายจึงขับขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า รุ่นพีซีเอ็กซ์ สีแสด ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนหลบหนีไป เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 18.28 น. ของวันที่ 25 ม.ค. 2568 นพ.ชเนษฎ์ ได้รับบาดเจ็บ ศีรษะถูกตีด้วยของแข็งจนเลือดอาบ ก่อนแจ้งความกับ ว่าที่ พ.ต.ท.สถิต สะดีวงศ์ พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ และตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจ เมื่อมีการนำเสนอข่าวผ่านสื่อมวลชน ผู้ก่อเหตุพร้อมด้วยทนายความจึงเข้ามอบตัวสู้คดีและประกันตัวออกไป อ้างว่าหูแว่ว ติดยา ในวันที่ไปศาลแขวงพระนครใต้ เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2568 จำเลยพาภรรยา ญาติ และลูกน้อยไปศาลพร้อมทนายความด้วย ตอนแรกจำเลยกล่าวหาว่า นพ.ชเนษฎ์ ไปด่าพ่อ แต่ต่อมาก็อ้างว่าพนักงานคลีนิกไปด่าพ่อ ซึ่ง นพ.ชเนษฎ์ ตั้งข้อสังเกตว่าที่ผ่านมา มีความพยายามใช้ชื่อปลอมร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ ให้เข้ามาสอบสวนคลินิก แต่ไม่พบความผิดปกติใดๆ ก่อนจะเกิดเรื่องขึ้น ถึงกระนั้นเหตุการณ์นี้เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล ทุกวันนี้ต้องว่าจ้างทีมอารักขามืออาชีพช่วยดูแลความปลอดภัย สิ่งที่น่าคิดจากคดีนี้ก็คือ คนร้ายเลือกใช้หมวกกันน็อกเป็นอาวุธทำร้ายร่างกาย นพ.ชเนษฎ์ เปิดเผยว่า บริษัทรักษาความปลอดภัยในไทยหลายแห่งได้แจ้งมาว่า จากคดีดังกล่าวพบว่าหมวกกันน็อกเป็นที่นิยมในหมู่คนร้าย เพราะมีโทษเบาไปถึงศาลแขวง ไม่ใช่ศาลอาญา รวมทั้งหามาเป็นอาวุธได้ง่าย มีการแนะนำให้ตนหาหมวกกันน็อกมาลองทุบแตงโมดู จึงทดลองทุบเอง ที่กลุ่มสืบเสาะและพินิจ กรมคุมประพฤติ กรุงเทพมหานคร 5 ซึ่งเฟซบุ๊กส่วนตัวของ นพ.ชเนษฎ์ นำมาเผยแพร่ พบว่าแตงโมแตก ซึ่งหากทุบจุดสำคัญของศีรษะอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ถึงกระนั้น ตามกฎหมายแล้วหมวกกันน็อกไม่ถือว่าเป็นอาวุธ และในทางคดีพบว่าเป็นการทำร้ายร่างกายธรรมดาไม่สาหัส ทำให้คดีทำร้ายร่างกายครั้งนี้ไปถึงแค่ศาลแขวง ไปไม่ถึงศาลอาญา แม้เหตุการณ์นี้จะทำให้ นพ.ชเนษฎ์ บาดเจ็บถึงขั้นเลือดอาบก็ตาม ปัจจุบัน ณ เดือนมกราคม 2568 ประเทศไทยมีรถจักรยานยนต์มากกว่า 22.85 ล้านคัน รถจักรยายยนต์รับจ้างกว่า 1.17 แสนคัน และมีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์รวมกันกว่า 13.10 ล้านใบ การใช้หมวกกันน็อกเป็นอาวุธทำร้ายร่างกาย ถือเป็นอีกช่องโหว่ทางกฎหมาย ที่พลเมืองดีและสุจริตชนทั้งหลายพึงระวัง #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 613 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรือประมงเวียดนามหันหัวพุ่งชน "เรือหลวงเทพา" กองทัพเรือพังเสียหาย หลังพยายามเข้าไปจับกุมรุกลํ้าน่านนํ้าไทยเข้ามาทำประมงนับ 10 ลำ ก่อนจับเรือได้ 1 ลำ ผู้ต้องหา 4 คน ที่เหลือหลบหนีไปได้
    .
    เมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่บริเวณท่าเรืออเนกประสงค์ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด เรือหลวงเทพา และเรือต.246 ลากเรือประมงต่างชาติ 1 ลำ พร้อมลูกเรือประมงจำนวน 4 คน มาเทียบท่าเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ หลังถูกจับกุมได้ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศไทย เมื่อเช้าวันนี้ โดยมี พล.ร.ท.อาภา ชพานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1/ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 พร้อมด้วย พล.ร.ต.ไชยนันท์ ชูใหม่ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 และคณะ ร่วมให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนที่มาติดตามสถานการณ์
    .
    พล.ร.ท.อาภา เปิดเผยว่า ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 (ศรชล.ภาค 1) บูรณาการร่วมกับ ทัพเรือภาคที่ 1 (ทรภ.1) กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) หมวดเรือลาดตระเวนชายแดน (มชด.) รวมถึงการประสานงานด้านการข่าวร่วมกับ กรมข่าวทหารเรือ (ขว.ทร.) จากการปฏิบัติการด้านการข่าวนำไปสู่การจับกุมเรือประมงต่างชาติรุกล้ำเข้าทำการประมงในเขตน่านน้ำไทยจำนวน 1 ลำ
    .
    โดยเมื่อ 24 ก.พ. ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าว กรณีตรวจพบเรือประมงต่างชาติรุกล้ำเข้ามาทำการประมงในเขตน่านน้ำไทย โดยตรวจพบเป็นกลุ่มเรือประมงต่างชาติ จำนวนประมาณ 10 ลำ ประกอบด้วยเรือประมงลากคู่ เรืออวนล้อม และเรือไดปั่นไฟ เข้ามาทำการประมงอยู่ในน่านน้ำไทย บริเวณพิกัด ละติจูด 11 องศา 06 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 102 องศา 26 ลิปดาตะวันออก ลงไปจนถึง ละติจูด 10 องศา 58 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 102 องศา 25 ลิปดาตะวันออก อย่างต่อเนื่อง และมีพฤติการณ์รุกล้ำเข้ามาทำประมงในห้วงเวลากลางคืนในพื้นที่ดังกล่าว และจะออกจากพื้นที่วิ่งลงใต้ไปจอดพักคอยในเวลากลางวัน เพื่อรอทำการประมงในห้วงกลางคืนของทุกวัน
    .
    จากปัจจัยพื้นที่และเวลา ศรชล.ภาค 1 จึงขอรับการสนับสนุนเรือในบัญชีกำลัง ศรชล.ภาค 1 จาก กปช.จต. โดยเป็นเรือใน มชด./1 และอากาศยานจาก มวบ.กปก.ทรภ.1 ในการตรวจสอบในพื้นที่และกลุ่มเรือประมงดังกล่าว ซึ่ง กปช.จต. ให้การสนับสนุน ร.ล.เทพา และ เรือ ต.264 พร้อมด้วย ทรภ.1 จัด บ.ตช.1 สนับสนุน ศรชล.ภาค 1 และผลการปฏิบัติ จับกุมเรือประมงต่างชาติ ได้จำนวน 1 ลำ พร้อม ลูกเรือจำนวน 4 คน ส่วนที่เหลือเร่งเครื่องและหันทิศทางหนีออกนอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศไทยไปได้
    .
    พล.ร.ท.อาภา ตอบคำถามสื่อมวลชนเพิ่มเติมกรณีที่มีเรือประมงเวียดนามทำการชนเรือหลวงเทพา ว่า ระหว่างทำการจับกุมนั้น เรือประมงเวียดนามหลายลำได้เร่งเครื่องยนต์และหลบหนีไปนอกเขตเศรษฐกิจพิเศษ แต่มีเรือประมงเวียดนามอีกลำที่หลบหนีไม่ทัน ได้หันหัวเรือพุ่งเข้าชนเรือหลวงเทพาที่บริเวณด้านข้างเรือด้านขวา ทำให้ยุบไปส่วนหนึ่ง แต่ไม่มากนัก แต่สุดท้ายถูกจับได้พร้อมลูกเรือ 4 คน ส่วนก่อนการจับกุมได้ทำการยิงปืนเอ็ม 16 ขู่ เพื่อให้หยุดการหลบหนี ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ดำเนินการตามหลักสากล
    .
    ทั้งนี้ ทางกองทัพเรือจะดำเนินการอย่างเข้มงวดต่อไป โดยก่อนหน้านี้ เรือประมงเวียดนามได้เข้ามาลักลอบทำประมงในเขตน่านน้ำไทยบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ทัพเรือภาค 2 หรืออ่าวไทยตอนล่าง ซึ่งได้มีการจับกุมบ่อยครั้ง และครั้งนี้ ได้เข้ามายังพื้นที่ทัพเรือภาค 1 ซึ่งเหนือขึ้นมา และครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในปี 2568 ที่มีการจับกุมได้ของพื้นที่ทัพเรือภาค 1 ทั้งนี้ ทางกองทัพเรือจะได้ทำหนังสือแจ้งไปยังรัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศให้ประสานไปยังรัฐบาลเวียดนามในการดูแลในเรื่องนี้ต่อไป
    .
    สุดท้ายศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 ขอขอบคุณพี่น้องชาวประมง ในความร่วมมือที่ได้แจ้งเบาะแสของเรือที่กระทำความผิด และขอให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนและชาวประมงไทยว่า “ในพื้นที่รับผิดชอบของ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 นั้น เราจะปกป้อง และรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างเต็มความสามารถ โดยมิยอมให้เรือประมงต่างชาติรุกล้ำเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรในการทำการประมงเป็นอันขาด ทั้งนี้เพื่อให้ทรัพยากรของประเทศไทย คงอยู่กับลูกหลานของคนไทย”
    ---------
    ที่มา : เดลินิวส์
    ที่มา : https://www.dailynews.co.th/news/4436420/
    เรือประมงเวียดนามหันหัวพุ่งชน "เรือหลวงเทพา" กองทัพเรือพังเสียหาย หลังพยายามเข้าไปจับกุมรุกลํ้าน่านนํ้าไทยเข้ามาทำประมงนับ 10 ลำ ก่อนจับเรือได้ 1 ลำ ผู้ต้องหา 4 คน ที่เหลือหลบหนีไปได้ . เมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่บริเวณท่าเรืออเนกประสงค์ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด เรือหลวงเทพา และเรือต.246 ลากเรือประมงต่างชาติ 1 ลำ พร้อมลูกเรือประมงจำนวน 4 คน มาเทียบท่าเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ หลังถูกจับกุมได้ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศไทย เมื่อเช้าวันนี้ โดยมี พล.ร.ท.อาภา ชพานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1/ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 พร้อมด้วย พล.ร.ต.ไชยนันท์ ชูใหม่ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 และคณะ ร่วมให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนที่มาติดตามสถานการณ์ . พล.ร.ท.อาภา เปิดเผยว่า ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 (ศรชล.ภาค 1) บูรณาการร่วมกับ ทัพเรือภาคที่ 1 (ทรภ.1) กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) หมวดเรือลาดตระเวนชายแดน (มชด.) รวมถึงการประสานงานด้านการข่าวร่วมกับ กรมข่าวทหารเรือ (ขว.ทร.) จากการปฏิบัติการด้านการข่าวนำไปสู่การจับกุมเรือประมงต่างชาติรุกล้ำเข้าทำการประมงในเขตน่านน้ำไทยจำนวน 1 ลำ . โดยเมื่อ 24 ก.พ. ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าว กรณีตรวจพบเรือประมงต่างชาติรุกล้ำเข้ามาทำการประมงในเขตน่านน้ำไทย โดยตรวจพบเป็นกลุ่มเรือประมงต่างชาติ จำนวนประมาณ 10 ลำ ประกอบด้วยเรือประมงลากคู่ เรืออวนล้อม และเรือไดปั่นไฟ เข้ามาทำการประมงอยู่ในน่านน้ำไทย บริเวณพิกัด ละติจูด 11 องศา 06 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 102 องศา 26 ลิปดาตะวันออก ลงไปจนถึง ละติจูด 10 องศา 58 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 102 องศา 25 ลิปดาตะวันออก อย่างต่อเนื่อง และมีพฤติการณ์รุกล้ำเข้ามาทำประมงในห้วงเวลากลางคืนในพื้นที่ดังกล่าว และจะออกจากพื้นที่วิ่งลงใต้ไปจอดพักคอยในเวลากลางวัน เพื่อรอทำการประมงในห้วงกลางคืนของทุกวัน . จากปัจจัยพื้นที่และเวลา ศรชล.ภาค 1 จึงขอรับการสนับสนุนเรือในบัญชีกำลัง ศรชล.ภาค 1 จาก กปช.จต. โดยเป็นเรือใน มชด./1 และอากาศยานจาก มวบ.กปก.ทรภ.1 ในการตรวจสอบในพื้นที่และกลุ่มเรือประมงดังกล่าว ซึ่ง กปช.จต. ให้การสนับสนุน ร.ล.เทพา และ เรือ ต.264 พร้อมด้วย ทรภ.1 จัด บ.ตช.1 สนับสนุน ศรชล.ภาค 1 และผลการปฏิบัติ จับกุมเรือประมงต่างชาติ ได้จำนวน 1 ลำ พร้อม ลูกเรือจำนวน 4 คน ส่วนที่เหลือเร่งเครื่องและหันทิศทางหนีออกนอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศไทยไปได้ . พล.ร.ท.อาภา ตอบคำถามสื่อมวลชนเพิ่มเติมกรณีที่มีเรือประมงเวียดนามทำการชนเรือหลวงเทพา ว่า ระหว่างทำการจับกุมนั้น เรือประมงเวียดนามหลายลำได้เร่งเครื่องยนต์และหลบหนีไปนอกเขตเศรษฐกิจพิเศษ แต่มีเรือประมงเวียดนามอีกลำที่หลบหนีไม่ทัน ได้หันหัวเรือพุ่งเข้าชนเรือหลวงเทพาที่บริเวณด้านข้างเรือด้านขวา ทำให้ยุบไปส่วนหนึ่ง แต่ไม่มากนัก แต่สุดท้ายถูกจับได้พร้อมลูกเรือ 4 คน ส่วนก่อนการจับกุมได้ทำการยิงปืนเอ็ม 16 ขู่ เพื่อให้หยุดการหลบหนี ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ดำเนินการตามหลักสากล . ทั้งนี้ ทางกองทัพเรือจะดำเนินการอย่างเข้มงวดต่อไป โดยก่อนหน้านี้ เรือประมงเวียดนามได้เข้ามาลักลอบทำประมงในเขตน่านน้ำไทยบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ทัพเรือภาค 2 หรืออ่าวไทยตอนล่าง ซึ่งได้มีการจับกุมบ่อยครั้ง และครั้งนี้ ได้เข้ามายังพื้นที่ทัพเรือภาค 1 ซึ่งเหนือขึ้นมา และครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในปี 2568 ที่มีการจับกุมได้ของพื้นที่ทัพเรือภาค 1 ทั้งนี้ ทางกองทัพเรือจะได้ทำหนังสือแจ้งไปยังรัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศให้ประสานไปยังรัฐบาลเวียดนามในการดูแลในเรื่องนี้ต่อไป . สุดท้ายศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 ขอขอบคุณพี่น้องชาวประมง ในความร่วมมือที่ได้แจ้งเบาะแสของเรือที่กระทำความผิด และขอให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนและชาวประมงไทยว่า “ในพื้นที่รับผิดชอบของ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 นั้น เราจะปกป้อง และรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างเต็มความสามารถ โดยมิยอมให้เรือประมงต่างชาติรุกล้ำเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรในการทำการประมงเป็นอันขาด ทั้งนี้เพื่อให้ทรัพยากรของประเทศไทย คงอยู่กับลูกหลานของคนไทย” --------- ที่มา : เดลินิวส์ ที่มา : https://www.dailynews.co.th/news/4436420/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 570 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไต้หวันยกย่องถ้อยคำที่ "เป็นพวกและเป็นมิตร" เกี่ยวกับเกาะแห่งนี้บนเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่มีการอัปเดตใหม่ ซึ่งถอดข้อความที่ว่าวอชิงตัน "ไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป
    .
    สหรัฐฯ เป็นผู้สนับสนุนรายสำคัญที่สุดของไต้หวันมาช้านาน แม้พวกเขาถอนการรับรองทางการทูตเกาะปกครองตนเองแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 1979 แล้วหันไปสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มีอิทธิพลมากกว่าแทน
    .
    ภาษาอย่างเป็นทางการที่ใช้จำกัดความความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ไต้หวัน เป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างมากและความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ต่อการเปลี่ยนแปลงในเอกสารข้อเท็จจริงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เกี่ยวกับเกาะไต้หวัน เคยโหมกระพือการตอบโต้ด้วยความเดือดดาลมาจากจีน ซึ่งอ้างว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน
    .
    นอกจากปรับแต่งข้อความอื่นๆ แล้ว ในการอัปเดตล่าสุดของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ลบบรรทัดที่มีการเน้นย้ำว่า "เราไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป เอเอฟพีวิเคราะห์ข้อความบนเพจกระทวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้านี้
    .
    อย่างไรก็ตาม บนเพจยังคงเน้นย้ำว่าวอชิงตันยอมรับเพียงปักกิ่ง ในฐานะรัฐบาลจีนภายใต้ "นโยบายจีนเดียวที่ยืดถือมานาน" และคัดค้านการ "เปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบันแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ว่าจากฝ่ายใดก็ตาม"
    .
    กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันบอกว่าถ้อยคำ "ที่เป็นบวกและเป็นมิตร" ในเอกสารข้อเท็จจริงที่อัปเดตเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ สะท้อนถึงความใกล้ชิดและเป็นมิตรในความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ
    .
    หลิน เชีย-ลัง รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน ขอบคุณรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ "สำหรับคำมั่นสัญญาต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน เศรษฐกิจไต้หวัน-อเมริกา ความเป็นหุ้นส่วนทางการค้าและเทคโนโลยี รวมถึงด้านอวกาศนานาชาติของไต้หวัน" กระทรวงการต่างประเทศระบุ
    .
    สถาบันอเมริกาในไต้หวัน (AIT) ซึ่งถือเป็นสถานทูตโดยพฤตินัยของสหรัฐฯ บอกว่าการอัปเดตดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติ "เราเน้นย้ำมาช้านานว่าเราคัดค้านการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงฝ่ายเดียวจากทั้ง 2 ฝ่าย ต่อสถานภาพในปัจจุบัน" โฆษกของ AIT ระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ต่อเอเอฟพี
    .
    "เราไม่ขอแสดงความคิดเห็นกับทุกสมมติฐานต่างๆ ที่จีนนำเสนอ หนึ่งเดียวที่เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน" ถ้อยแถลงระบุ
    .
    ไต้หวันพยายามหาทางอยู่ฝ่ายเดียวกับ ทรัมป์ ผู้ซึ่งสไตล์ทางการทูตก่อความกังวลเกี่ยวกับความตั้งใจของเขาในการปกป้องเกาะแห่งนี้จากจีน
    .
    ทรัมป์ เคยก่อความวิตกกังวลแก่ไต้หวัน ด้วยการบ่งชี้ว่าไทเปควรจ่ายเงินตอบแทนแก่สหรัฐฯ สำหรับเป็นค่าปกป้องและกล่าวหาเกาะแห่งนี้ขโมยอุตสาหกรรมชิปของอเมริกา
    .
    ไล่ ชิงเต๋อ ประธานาธิบดีไต้หวัน ประกาศกร้าวเมื่อวันศุกร์ (14 ก.พ.) ว่าจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ และด้านการป้องกันตนเอง หลัง ทรัมป์ ขู่รีดภาษี 100% ต่อชิปเซเมคอนดักเตอร์ของเกาะแห่งนี้
    .
    ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐฯ ถอดข้อความเกี่ยวกับการไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวันออกไป โดยในเดือนพฤษภาคม 2022 รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ณ ขณะนั้น ได้ถอดข้อความดังกล่าว ซึ่งก่อความเดือดดาลแก่จีน ก่อคืนสถานะมันกลับมาหลังจากนั้น
    .
    ข้อพิพาทระหว่างจีนกับไต้หวัน ต้องย้อนกลับไปใน 1949 ครั้งที่กองกำลังชาตินิยมก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค หลบหนีไปยังไต้หวัน หลังพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองแก่กองกำลังคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตง
    .
    ไต้หวัน ซึ่งมีรัฐบาล กองทัพและค่าเงินเป็นของตนเอง เรียกตัวเองว่าเป็นชาติอธิปไตย แต่ไม่ถึงขั้นประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเส้นตายที่ปักกิ่งขีดไว้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015544
    ..............
    Sondhi X
    ไต้หวันยกย่องถ้อยคำที่ "เป็นพวกและเป็นมิตร" เกี่ยวกับเกาะแห่งนี้บนเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่มีการอัปเดตใหม่ ซึ่งถอดข้อความที่ว่าวอชิงตัน "ไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป . สหรัฐฯ เป็นผู้สนับสนุนรายสำคัญที่สุดของไต้หวันมาช้านาน แม้พวกเขาถอนการรับรองทางการทูตเกาะปกครองตนเองแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 1979 แล้วหันไปสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มีอิทธิพลมากกว่าแทน . ภาษาอย่างเป็นทางการที่ใช้จำกัดความความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ไต้หวัน เป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างมากและความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ต่อการเปลี่ยนแปลงในเอกสารข้อเท็จจริงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เกี่ยวกับเกาะไต้หวัน เคยโหมกระพือการตอบโต้ด้วยความเดือดดาลมาจากจีน ซึ่งอ้างว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน . นอกจากปรับแต่งข้อความอื่นๆ แล้ว ในการอัปเดตล่าสุดของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ลบบรรทัดที่มีการเน้นย้ำว่า "เราไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป เอเอฟพีวิเคราะห์ข้อความบนเพจกระทวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้านี้ . อย่างไรก็ตาม บนเพจยังคงเน้นย้ำว่าวอชิงตันยอมรับเพียงปักกิ่ง ในฐานะรัฐบาลจีนภายใต้ "นโยบายจีนเดียวที่ยืดถือมานาน" และคัดค้านการ "เปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบันแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ว่าจากฝ่ายใดก็ตาม" . กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันบอกว่าถ้อยคำ "ที่เป็นบวกและเป็นมิตร" ในเอกสารข้อเท็จจริงที่อัปเดตเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ สะท้อนถึงความใกล้ชิดและเป็นมิตรในความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ . หลิน เชีย-ลัง รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน ขอบคุณรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ "สำหรับคำมั่นสัญญาต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน เศรษฐกิจไต้หวัน-อเมริกา ความเป็นหุ้นส่วนทางการค้าและเทคโนโลยี รวมถึงด้านอวกาศนานาชาติของไต้หวัน" กระทรวงการต่างประเทศระบุ . สถาบันอเมริกาในไต้หวัน (AIT) ซึ่งถือเป็นสถานทูตโดยพฤตินัยของสหรัฐฯ บอกว่าการอัปเดตดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติ "เราเน้นย้ำมาช้านานว่าเราคัดค้านการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงฝ่ายเดียวจากทั้ง 2 ฝ่าย ต่อสถานภาพในปัจจุบัน" โฆษกของ AIT ระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ต่อเอเอฟพี . "เราไม่ขอแสดงความคิดเห็นกับทุกสมมติฐานต่างๆ ที่จีนนำเสนอ หนึ่งเดียวที่เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน" ถ้อยแถลงระบุ . ไต้หวันพยายามหาทางอยู่ฝ่ายเดียวกับ ทรัมป์ ผู้ซึ่งสไตล์ทางการทูตก่อความกังวลเกี่ยวกับความตั้งใจของเขาในการปกป้องเกาะแห่งนี้จากจีน . ทรัมป์ เคยก่อความวิตกกังวลแก่ไต้หวัน ด้วยการบ่งชี้ว่าไทเปควรจ่ายเงินตอบแทนแก่สหรัฐฯ สำหรับเป็นค่าปกป้องและกล่าวหาเกาะแห่งนี้ขโมยอุตสาหกรรมชิปของอเมริกา . ไล่ ชิงเต๋อ ประธานาธิบดีไต้หวัน ประกาศกร้าวเมื่อวันศุกร์ (14 ก.พ.) ว่าจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ และด้านการป้องกันตนเอง หลัง ทรัมป์ ขู่รีดภาษี 100% ต่อชิปเซเมคอนดักเตอร์ของเกาะแห่งนี้ . ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐฯ ถอดข้อความเกี่ยวกับการไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวันออกไป โดยในเดือนพฤษภาคม 2022 รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ณ ขณะนั้น ได้ถอดข้อความดังกล่าว ซึ่งก่อความเดือดดาลแก่จีน ก่อคืนสถานะมันกลับมาหลังจากนั้น . ข้อพิพาทระหว่างจีนกับไต้หวัน ต้องย้อนกลับไปใน 1949 ครั้งที่กองกำลังชาตินิยมก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค หลบหนีไปยังไต้หวัน หลังพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองแก่กองกำลังคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตง . ไต้หวัน ซึ่งมีรัฐบาล กองทัพและค่าเงินเป็นของตนเอง เรียกตัวเองว่าเป็นชาติอธิปไตย แต่ไม่ถึงขั้นประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเส้นตายที่ปักกิ่งขีดไว้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015544 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1632 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไต้หวันในวันอาทิตย์(16ก.พ.) ยกย่องถ้อยคำที่ "เป็นพวกและเป็นมิตร" เกี่ยวกับเกาะแห่งนี้บนเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯที่มีการอัพเดทใหม่ ซึ่งถอดข้อความที่ว่าวอชิงตัน "ไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป

    สหรัฐฯเป็นผู้สนับสนุนรายสำคัญที่สุดของไต้หวันมาช้านาน แม้พวกเขาถอนการรับรองทางการทูตเกาะปกครองตนเองแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 1979 แล้วหันไปสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มีอิทธิพลมากกว่าแทน

    ภาษาอย่างเป็นทางการที่ใช้จำกัดความความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ไต้หวัน เป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างมากและความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ต่อการเปลี่ยนแปลงในเอกสารข้อเท็จจริงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเกี่ยวกับเกาะไต้หวัน เคยโหมกระพือการตอบโต้ด้วยความเดือดดาลมาจากจีน ซึ่งอ้างว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน

    นอกจากปรับแต่งข้อความอื่นๆแล้ว ในการอัทเดทล่าสุดของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯได้ลบบรรทัดที่มีการเน้นย้ำว่า "เราไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป เอเอฟพีวิเคราะห์ข้อความบนเพจกระทวงการต่างประเทศสหรัฐฯเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้านี้

    อย่างไรก็ตามบนเพจยังคงเน้นย้ำว่าวอชิงตันยอมรับเพียงปักกิ่ง ในฐานะรัฐบาลจีนภายใต้ "นโยบายจีนเดียวที่ยืดถือมานาน" และคัดค้านการ "เปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบันแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ว่าจากฝ่ายใดก็ตาม"

    กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันบอกว่าถ้อยคำ "ที่เป็นบวกและเป็นมิตร" ในเอกสารข้อเท็จจริงที่อัพเดทเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ สะท้อนถึงความใกล้ชิดและเป็นมิตรในความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ

    หลิน เชีย-ลัง รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน ขอบคุณรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ "สำหรับคำมั่้นสัญญาต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน เศรษฐกิจไต้หวัน-อเมริกา ความเป็นหุ้นส่วนทางการค้าและเทคโนโลยี รวมถึงด้านอวกาศนานาชาติของไต้หวัน" กระทรวงการต่างประเทศระบุ

    สถาบันอเมริกาในไต้หวัน(AIT) ซึ่งถือเป็นสถานทูตโดยพฤตินัยของสหรัฐฯ บอกว่าการอัพเดทดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติ "เราเน้นย้ำมาช้านานว่าเราคัดค้านการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงฝ่ายเดียวจากทั้ง 2 ฝ่าย ต่อสถานภาพในปัจจุบัน" โฆษกของ AIT ระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ต่อเอเอฟพี

    "เราไม่ขอแสดงความคิดเห็นกับทุกสมมุติฐานต่างๆที่จีนนำเสนอ หนึ่งเดียวที่เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน" ถ้อยแถลงระบุ

    ไต้หวัน พยายามหาทางอยู่ฝ่ายเดียวกับ ทรัมป์ ผู้ซึ่งสไตล์ทางการทูตก่อความกังวลเกี่ยวกับความตั้งใจของเขาในการปกป้องเกาะแห่งนี้จากจีน

    ทรัมป์ เคยก่อความวิตกกังวลแก่ไต้หวัน ด้วยการบ่งชี้ว่าไทเปควรจ่ายเงินตอบแทนแก่สหรัฐฯ สำหรับเป็นค่าปกป้องและกล่าวหาเกาะแห่งนี้ขโมยอุตสาหกรรมชิปของอเมริกา

    ไล่ ชิงเต๋อ ประธานาธิบดีไต้หวัน ประกาศกร้าวเมื่อวันศุกร์(14ก.พ.) ว่าจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯและด้านการป้องกันตนเอง หลัง ทรัมป์ ขู่รีดภาษี 100% ต่อชิปเซเมคอนดัคเตอร์ของเกาะแห่งนี้

    ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐฯถอดข้อความเกี่ยวกับการไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวันออกไป โดยในเดือนพฤษภาคม 2022 รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ณ ขณะนั้น ได้ถอดข้อความดังกล่าว ซึ่งก่อความเดือดดาลแก่จีน ก่อคืนสถานะมันกลับมาหลังจากนั้น

    ข้อพิพาทระหว่างจีนกับไต้หวัน ต้องย้อนกลับไปใน 1949 ครั้งที่กองกำลังชาตินิยมก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค หลบหนีไปยังไต้หวัน หลังพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองแก่กองกำลังคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตง

    หต้หวัน ซึ่งมีรัฐบาล กองทัพและค่าเงินเป็นของตนเอง เรียกตัวเองว่าเป็นชาติอธิปไตย แต่ไม่ถึงขั้นประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเส้นตายที่ปักกิ่งขีดไว้

    (ที่มา:เอเอฟพี)
    https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.36XB67E
    ไต้หวันในวันอาทิตย์(16ก.พ.) ยกย่องถ้อยคำที่ "เป็นพวกและเป็นมิตร" เกี่ยวกับเกาะแห่งนี้บนเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯที่มีการอัพเดทใหม่ ซึ่งถอดข้อความที่ว่าวอชิงตัน "ไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป สหรัฐฯเป็นผู้สนับสนุนรายสำคัญที่สุดของไต้หวันมาช้านาน แม้พวกเขาถอนการรับรองทางการทูตเกาะปกครองตนเองแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 1979 แล้วหันไปสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มีอิทธิพลมากกว่าแทน ภาษาอย่างเป็นทางการที่ใช้จำกัดความความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ไต้หวัน เป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างมากและความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ต่อการเปลี่ยนแปลงในเอกสารข้อเท็จจริงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเกี่ยวกับเกาะไต้หวัน เคยโหมกระพือการตอบโต้ด้วยความเดือดดาลมาจากจีน ซึ่งอ้างว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน นอกจากปรับแต่งข้อความอื่นๆแล้ว ในการอัทเดทล่าสุดของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯได้ลบบรรทัดที่มีการเน้นย้ำว่า "เราไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป เอเอฟพีวิเคราะห์ข้อความบนเพจกระทวงการต่างประเทศสหรัฐฯเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามบนเพจยังคงเน้นย้ำว่าวอชิงตันยอมรับเพียงปักกิ่ง ในฐานะรัฐบาลจีนภายใต้ "นโยบายจีนเดียวที่ยืดถือมานาน" และคัดค้านการ "เปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบันแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ว่าจากฝ่ายใดก็ตาม" กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันบอกว่าถ้อยคำ "ที่เป็นบวกและเป็นมิตร" ในเอกสารข้อเท็จจริงที่อัพเดทเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ สะท้อนถึงความใกล้ชิดและเป็นมิตรในความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ หลิน เชีย-ลัง รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน ขอบคุณรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ "สำหรับคำมั่้นสัญญาต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน เศรษฐกิจไต้หวัน-อเมริกา ความเป็นหุ้นส่วนทางการค้าและเทคโนโลยี รวมถึงด้านอวกาศนานาชาติของไต้หวัน" กระทรวงการต่างประเทศระบุ สถาบันอเมริกาในไต้หวัน(AIT) ซึ่งถือเป็นสถานทูตโดยพฤตินัยของสหรัฐฯ บอกว่าการอัพเดทดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติ "เราเน้นย้ำมาช้านานว่าเราคัดค้านการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงฝ่ายเดียวจากทั้ง 2 ฝ่าย ต่อสถานภาพในปัจจุบัน" โฆษกของ AIT ระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ต่อเอเอฟพี "เราไม่ขอแสดงความคิดเห็นกับทุกสมมุติฐานต่างๆที่จีนนำเสนอ หนึ่งเดียวที่เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน" ถ้อยแถลงระบุ ไต้หวัน พยายามหาทางอยู่ฝ่ายเดียวกับ ทรัมป์ ผู้ซึ่งสไตล์ทางการทูตก่อความกังวลเกี่ยวกับความตั้งใจของเขาในการปกป้องเกาะแห่งนี้จากจีน ทรัมป์ เคยก่อความวิตกกังวลแก่ไต้หวัน ด้วยการบ่งชี้ว่าไทเปควรจ่ายเงินตอบแทนแก่สหรัฐฯ สำหรับเป็นค่าปกป้องและกล่าวหาเกาะแห่งนี้ขโมยอุตสาหกรรมชิปของอเมริกา ไล่ ชิงเต๋อ ประธานาธิบดีไต้หวัน ประกาศกร้าวเมื่อวันศุกร์(14ก.พ.) ว่าจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯและด้านการป้องกันตนเอง หลัง ทรัมป์ ขู่รีดภาษี 100% ต่อชิปเซเมคอนดัคเตอร์ของเกาะแห่งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐฯถอดข้อความเกี่ยวกับการไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวันออกไป โดยในเดือนพฤษภาคม 2022 รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ณ ขณะนั้น ได้ถอดข้อความดังกล่าว ซึ่งก่อความเดือดดาลแก่จีน ก่อคืนสถานะมันกลับมาหลังจากนั้น ข้อพิพาทระหว่างจีนกับไต้หวัน ต้องย้อนกลับไปใน 1949 ครั้งที่กองกำลังชาตินิยมก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค หลบหนีไปยังไต้หวัน หลังพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองแก่กองกำลังคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตง หต้หวัน ซึ่งมีรัฐบาล กองทัพและค่าเงินเป็นของตนเอง เรียกตัวเองว่าเป็นชาติอธิปไตย แต่ไม่ถึงขั้นประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเส้นตายที่ปักกิ่งขีดไว้ (ที่มา:เอเอฟพี) https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.36XB67E
    FACTCHECK.AFP.COM
    Posts falsely claim Trump administration changed Taiwan webpage
    Various US government websites have been scrubbed of key information since Donald Trump began his second term, but the State Department has not overhauled its Taiwan factsheet webpage as of February 14. Social media posts alleging the page had been altered falsely shared a screenshot from an older version of the site that was changed under former president Joe Biden.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 400 มุมมอง 0 รีวิว
  • 5 ปี โศกนาฏกรรมโคราช จ่าสรรพาวุธคลั่ง กราดยิงเสียชีวิต 31 ศพ บาดเจ็บ 58 คน

    📅 ย้อนรอยเหตุการณ์ โศกนาฏกรรมกราดยิงโคราช ที่เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ สะเทือนขวัญที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย จ่าสิบเอกจักรพันธ์ ถมมา ทหารสังกัดกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ได้ก่อเหตุกราดยิงผู้บริสุทธิ์ ในตัวเมืองนครราชสีมา มีผู้เสียชีวิตรวม 31 ศพ รวมตัวผู้ก่อเหตุ และบาดเจ็บ 58 ราย

    เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงสร้างความสูญเสีย ให้กับครอบครัวผู้เคราะห์ร้ายเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่คำถาม เกี่ยวกับระบบสวัสดิการทหาร ความโปร่งใสของกองทัพ และการควบคุมอาวุธ ของเจ้าหน้าที่รัฐ 🔥

    📌 สาเหตุที่นำไปสู่โศกนาฏกรรม
    จากการสอบสวน พบว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ จ.ส.อ. จักรพันธ์ ก่อเหตุในครั้งนี้ เกิดจากปัญหาการเงิน และความขัดแย้ง ในการซื้อบ้านสวัสดิการทหาร 🚪🏡

    🔹 ปมปัญหาซื้อบ้านสวัสดิการ
    จ.ส.อ. จักรพันธ์ ซื้อบ้านจากโครงการสวัสดิการทหาร ในราคา 1,500,000 บาท และมอบหมายให้ นางอนงค์ มิตรจันทร์ ภรรยาของ พ.อ. อนันต์ฐโรจน์ กระแสร์ ผู้บังคับบัญชาของเขา เป็นผู้จัดการเรื่องการตกแต่งบ้าน และเอกสารการซื้อขาย

    🔹 ความขัดแย้งเรื่องเงินส่วนต่าง
    เมื่อดำเนินเรื่องเสร็จสิ้น พบว่ามีเงินเหลือ 50,000 บาท ซึ่งถูกส่งไปให้นายหน้าที่ชื่อ นายพิทยา จ.ส.อ. จักรพันธ์ จึงเรียกร้องขอเงินคืน แต่กลับพบว่าเงินก้อนนี้หมดไปแล้ว โดยก่อนหน้านี้เขาเข้าใจว่า ตนเองจะได้เงินคืนสูงถึง 400,000 บาท

    🔹 การพูดคุยที่ล้มเหลว
    เมื่อมีการนัดเจรจากัน นายพิทยา ขอเวลาเพื่อหาเงินคืน แต่จำนวนเงินที่ตกลงกัน ไม่ได้เป็นไปตามที่ จ.ส.อ. จักรพันธ์ คาดหวัง ทำให้เขารู้สึกว่า ตนเองถูกโกง และไม่ได้รับความเป็นธรรม

    นี่เป็นจุดเริ่มต้น ที่นำไปสู่การสังหารโหด... 🔫

    ⏳ จากปมปัญหา สู่โศกนาฏกรรม
    🔴 จุดเริ่มต้น ก่อเหตุที่บ้านพัก
    📍 เวลา 15.30 น. จ.ส.อ. จักรพันธ์ เดินทางไปบ้านของ พ.อ. อนันต์ฐโรจน์ และใช้อาวุธปืนยิง พ.อ. อนันต์ฐโรจน์ และนางอนงค์ มิตรจันทร์ จนเสียชีวิต จากนั้นไล่ยิงนายพิทยา (นายหน้า) แต่เขาหลบหนีไปได้

    🔴 จุดที่สอง ค่ายทหารสุรธรรมพิทักษ์
    📍 เวลา 16.00 น. จ.ส.อ. จักรพันธ์ เดินทางไปที่ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ และชิงอาวุธสงคราม จากคลังแสง ซึ่งรวมถึงปืน HK33, ปืนกล M60 และกระสุนจำนวนมาก โดยในระหว่างนี้ มีการยิงทหารเวร และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บอีก 1 นาย

    🔴 จุดที่สาม กราดยิงตามถนนโคราช
    📍 ระหว่างทางจากค่ายทหาร ไปยังห้างเทอร์มินอล 21
    จ.ส.อ. จักรพันธ์ ขับรถฮัมวี ออกจากค่ายทหาร กราดยิงผู้คนตามทาง เสียชีวิต 9 ศพ มีผู้ที่ถูกยิงขณะอยู่บนรถ และมีนักเรียนที่ขับจักรยานยนต์ถูกยิงซ้ำ เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย ถูกยิงเสียชีวิต ขณะกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์

    🔴 จุดสุดท้าย ห้างเทอร์มินอล 21 โคราช
    📍 เวลา 17.30 น. จ.ส.อ. จักรพันธ์ เข้าไปภายในห้าง และเริ่มกราดยิงผู้คน
    📍 จับตัวประกันกว่า 16 คน และถ่ายทอดสดเหตุการณ์ ลงบนเฟซบุ๊กของตัวเอง 😨
    📍 เกิดเหตุระเบิด และไฟไหม้ภายในห้าง เนื่องจากเขายิงถังแก๊ส
    📍 เวลา 09.14 น. เช้าวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 หน่วยอรินทราช 26 วิสามัญฆาตกรรม จ.ส.อ. จักรพันธ์ ที่ ชั้นใต้ดินของห้าง

    ⚖️ บทเรียนจากเหตุการณ์กราดยิงโคราช
    เหตุการณ์นี้นำไปสู่คำถามสำคัญเกี่ยวกับ...
    🔹 การจัดการอาวุธของกองทัพ เหตุใดทหารชั้นผู้น้อย สามารถเข้าถึงอาวุธสงคราม ได้ง่ายขนาดนี้?
    🔹 สวัสดิการทหาร และความโปร่งใสของกองทัพ มีปัญหาเรื่อง "เงินทอน" จริงหรือไม่?
    🔹 บทบาทของสื่อมวลชน การรายงานข่าว ในลักษณะที่เปิดเผยข้อมูล การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ส่งผลกระทบต่อการควบคุมสถานการณ์
    🔹 ผลกระทบทางจิตวิทยาต่อสังคม เหตุการณ์นี้ สร้างความหวาดกลัว และกระตุ้นให้เกิดคำถาม เกี่ยวกับความปลอดภัย ในที่สาธารณะ

    📍 สรุปเหตุการณ์ และจำนวนผู้เสียชีวิต
    📌 ผู้เสียชีวิตทั้งหมด 31 ศพ รวมผู้ก่อเหตุ
    📌 ผู้บาดเจ็บ 58 ราย

    🔸 พื้นที่ที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด
    ห้างเทอร์มินอล 21
    เส้นทางจากค่ายทหาร ไปยังตัวเมือง

    🔗 มาตรการ และการเปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์
    📌 กองทัพบกได้ประกาศมาตรการใหม่
    - ควบคุมการเข้าถึงอาวุธของทหาร
    - ทบทวนโครงการสวัสดิการทหาร
    - สอบสวนขบวนการ "เงินทอน" ที่เกี่ยวข้อง

    📌 รัฐบาลและสื่อมวลชน
    - กสทช. สั่งปรับสถานีโทรทัศน์ 3 ช่อง ฐานละเมิดข้อกำหนดการรายงานข่าว
    - เฟซบุ๊กลบวิดีโอถ่ายทอดสด และโพสต์ของผู้ก่อเหตุ

    📍 ครบ 5 ปี ของเหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงปัญหาหลายประเด็น ที่ต้องได้รับการแก้ไข ทั้งในเรื่องความโปร่งใสของกองทัพ ระบบสวัสดิการของทหาร และบทบาทของสื่อมวลชน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 082315ก.พ. 2568

    📢 #กราดยิงโคราช #KoratShooting #โศกนาฏกรรมโคราช #ความปลอดภัยในที่สาธารณะ #บทเรียนจากอดีต
    5 ปี โศกนาฏกรรมโคราช จ่าสรรพาวุธคลั่ง กราดยิงเสียชีวิต 31 ศพ บาดเจ็บ 58 คน 📅 ย้อนรอยเหตุการณ์ โศกนาฏกรรมกราดยิงโคราช ที่เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ สะเทือนขวัญที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย จ่าสิบเอกจักรพันธ์ ถมมา ทหารสังกัดกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ได้ก่อเหตุกราดยิงผู้บริสุทธิ์ ในตัวเมืองนครราชสีมา มีผู้เสียชีวิตรวม 31 ศพ รวมตัวผู้ก่อเหตุ และบาดเจ็บ 58 ราย เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงสร้างความสูญเสีย ให้กับครอบครัวผู้เคราะห์ร้ายเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่คำถาม เกี่ยวกับระบบสวัสดิการทหาร ความโปร่งใสของกองทัพ และการควบคุมอาวุธ ของเจ้าหน้าที่รัฐ 🔥 📌 สาเหตุที่นำไปสู่โศกนาฏกรรม จากการสอบสวน พบว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ จ.ส.อ. จักรพันธ์ ก่อเหตุในครั้งนี้ เกิดจากปัญหาการเงิน และความขัดแย้ง ในการซื้อบ้านสวัสดิการทหาร 🚪🏡 🔹 ปมปัญหาซื้อบ้านสวัสดิการ จ.ส.อ. จักรพันธ์ ซื้อบ้านจากโครงการสวัสดิการทหาร ในราคา 1,500,000 บาท และมอบหมายให้ นางอนงค์ มิตรจันทร์ ภรรยาของ พ.อ. อนันต์ฐโรจน์ กระแสร์ ผู้บังคับบัญชาของเขา เป็นผู้จัดการเรื่องการตกแต่งบ้าน และเอกสารการซื้อขาย 🔹 ความขัดแย้งเรื่องเงินส่วนต่าง เมื่อดำเนินเรื่องเสร็จสิ้น พบว่ามีเงินเหลือ 50,000 บาท ซึ่งถูกส่งไปให้นายหน้าที่ชื่อ นายพิทยา จ.ส.อ. จักรพันธ์ จึงเรียกร้องขอเงินคืน แต่กลับพบว่าเงินก้อนนี้หมดไปแล้ว โดยก่อนหน้านี้เขาเข้าใจว่า ตนเองจะได้เงินคืนสูงถึง 400,000 บาท 🔹 การพูดคุยที่ล้มเหลว เมื่อมีการนัดเจรจากัน นายพิทยา ขอเวลาเพื่อหาเงินคืน แต่จำนวนเงินที่ตกลงกัน ไม่ได้เป็นไปตามที่ จ.ส.อ. จักรพันธ์ คาดหวัง ทำให้เขารู้สึกว่า ตนเองถูกโกง และไม่ได้รับความเป็นธรรม นี่เป็นจุดเริ่มต้น ที่นำไปสู่การสังหารโหด... 🔫 ⏳ จากปมปัญหา สู่โศกนาฏกรรม 🔴 จุดเริ่มต้น ก่อเหตุที่บ้านพัก 📍 เวลา 15.30 น. จ.ส.อ. จักรพันธ์ เดินทางไปบ้านของ พ.อ. อนันต์ฐโรจน์ และใช้อาวุธปืนยิง พ.อ. อนันต์ฐโรจน์ และนางอนงค์ มิตรจันทร์ จนเสียชีวิต จากนั้นไล่ยิงนายพิทยา (นายหน้า) แต่เขาหลบหนีไปได้ 🔴 จุดที่สอง ค่ายทหารสุรธรรมพิทักษ์ 📍 เวลา 16.00 น. จ.ส.อ. จักรพันธ์ เดินทางไปที่ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ และชิงอาวุธสงคราม จากคลังแสง ซึ่งรวมถึงปืน HK33, ปืนกล M60 และกระสุนจำนวนมาก โดยในระหว่างนี้ มีการยิงทหารเวร และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บอีก 1 นาย 🔴 จุดที่สาม กราดยิงตามถนนโคราช 📍 ระหว่างทางจากค่ายทหาร ไปยังห้างเทอร์มินอล 21 จ.ส.อ. จักรพันธ์ ขับรถฮัมวี ออกจากค่ายทหาร กราดยิงผู้คนตามทาง เสียชีวิต 9 ศพ มีผู้ที่ถูกยิงขณะอยู่บนรถ และมีนักเรียนที่ขับจักรยานยนต์ถูกยิงซ้ำ เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย ถูกยิงเสียชีวิต ขณะกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ 🔴 จุดสุดท้าย ห้างเทอร์มินอล 21 โคราช 📍 เวลา 17.30 น. จ.ส.อ. จักรพันธ์ เข้าไปภายในห้าง และเริ่มกราดยิงผู้คน 📍 จับตัวประกันกว่า 16 คน และถ่ายทอดสดเหตุการณ์ ลงบนเฟซบุ๊กของตัวเอง 😨 📍 เกิดเหตุระเบิด และไฟไหม้ภายในห้าง เนื่องจากเขายิงถังแก๊ส 📍 เวลา 09.14 น. เช้าวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 หน่วยอรินทราช 26 วิสามัญฆาตกรรม จ.ส.อ. จักรพันธ์ ที่ ชั้นใต้ดินของห้าง ⚖️ บทเรียนจากเหตุการณ์กราดยิงโคราช เหตุการณ์นี้นำไปสู่คำถามสำคัญเกี่ยวกับ... 🔹 การจัดการอาวุธของกองทัพ เหตุใดทหารชั้นผู้น้อย สามารถเข้าถึงอาวุธสงคราม ได้ง่ายขนาดนี้? 🔹 สวัสดิการทหาร และความโปร่งใสของกองทัพ มีปัญหาเรื่อง "เงินทอน" จริงหรือไม่? 🔹 บทบาทของสื่อมวลชน การรายงานข่าว ในลักษณะที่เปิดเผยข้อมูล การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ส่งผลกระทบต่อการควบคุมสถานการณ์ 🔹 ผลกระทบทางจิตวิทยาต่อสังคม เหตุการณ์นี้ สร้างความหวาดกลัว และกระตุ้นให้เกิดคำถาม เกี่ยวกับความปลอดภัย ในที่สาธารณะ 📍 สรุปเหตุการณ์ และจำนวนผู้เสียชีวิต 📌 ผู้เสียชีวิตทั้งหมด 31 ศพ รวมผู้ก่อเหตุ 📌 ผู้บาดเจ็บ 58 ราย 🔸 พื้นที่ที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด ห้างเทอร์มินอล 21 เส้นทางจากค่ายทหาร ไปยังตัวเมือง 🔗 มาตรการ และการเปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์ 📌 กองทัพบกได้ประกาศมาตรการใหม่ - ควบคุมการเข้าถึงอาวุธของทหาร - ทบทวนโครงการสวัสดิการทหาร - สอบสวนขบวนการ "เงินทอน" ที่เกี่ยวข้อง 📌 รัฐบาลและสื่อมวลชน - กสทช. สั่งปรับสถานีโทรทัศน์ 3 ช่อง ฐานละเมิดข้อกำหนดการรายงานข่าว - เฟซบุ๊กลบวิดีโอถ่ายทอดสด และโพสต์ของผู้ก่อเหตุ 📍 ครบ 5 ปี ของเหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงปัญหาหลายประเด็น ที่ต้องได้รับการแก้ไข ทั้งในเรื่องความโปร่งใสของกองทัพ ระบบสวัสดิการของทหาร และบทบาทของสื่อมวลชน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 082315ก.พ. 2568 📢 #กราดยิงโคราช #KoratShooting #โศกนาฏกรรมโคราช #ความปลอดภัยในที่สาธารณะ #บทเรียนจากอดีต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1070 มุมมอง 0 รีวิว
  • 22 ปี จากจลาจลกัมพูชา สู่ปฏิบัติการโปเชนตง เบื้องหลังความขัดแย้ง ปฏิบัติการที่โลกต้องจดจำ

    ย้อนกลับไปเมื่อ 22 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2546 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงพนมเปญ
    ประเทศกัมพูชา ไม่เพียงแต่สร้างความสูญเสีย ทางกายภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เหตุจลาจลครั้งนี้ มีจุดเริ่มต้นจากบทความ ในหนังสือพิมพ์กัมพูชา"รัศมี อังกอร์" ที่พาดพิงถึงนักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" ว่าได้กล่าวหากัมพูชาเรื่องนครวัด จนนำไปสู่ความโกรธแค้น และความรุนแรง ที่ลุกลามไปถึงการเผาสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ

    จากบทความหนังสือพิมพ์ สู่ความโกลาหล
    ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2546 หนังสือพิมพ์ "รัศมี อังกอร์" ของกัมพูชา ได้ตีพิทพ์เผยแพร่บทความ ที่กล่าวอ้างว่า นักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" พูดว่านครวัดเป็นของไทย และกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ "ขโมย" นครวัดไป ข้อความนี้แพร่กระจาย ออกไปอย่างรวดเร็ว สร้างกระแสความโกรธเคือง ในหมู่ชาวกัมพูชา แม้ว่ากบ-สุวนันท์ จะออกมาปฏิเสธว่า เธอไม่เคยพูดเช่นนั้น แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้ง กระแสความไม่พอใจได้

    การตอบสนองของฮุนเซ็น
    นายกรัฐมนตรีกัมพูชา "ฮุนเซ็น" ได้กล่าวสนับสนุนข้อความ ในบทความดังกล่าว โดยเปรียบเทียบว่า นักแสดงชาวไทยคนนี้ "ไม่มีค่าเทียบเท่าใบหญ้า ที่ขึ้นใกล้นครวัด" พร้อมทั้งสั่งให้สถานีโทรทัศน์กัมพูชา หยุดการเผยแพร่ละครไทยทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการปลุกระดม ให้ประชาชนกัมพูชา ระลึกถึงรากเหง้าของตนเอง ซึ่งยิ่งกระพือความไม่พอใจ ในวงกว้าง

    จากชุมนุมสู่เหตุการณ์จลาจล เริ่มต้นที่สถานทูตไทย
    เช้าวันที่ 29 มกราคม 2546 กลุ่มชาวกัมพูชาหลายร้อยคน เริ่มรวมตัวกัน ที่หน้าสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ การประท้วงเริ่มจาก การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เช่น เผาธงชาติไทย และป้ายของสถานทูต ก่อนที่จะบานปลายไปสู่ความรุนแรง เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มบุกเข้าไป ในบริเวณสถานทูต

    อพยพเจ้าหน้าที่สถานทูต
    เอกอัครราชทูตไทย ประจำกัมพูชาในขณะนั้น "ชัชเวทย์ ชาติสุวรรณ" ตัดสินใจสั่งการ ให้เจ้าหน้าที่สถานทูต อพยพออกจากอาคาร โดยปีนรั้วด้านหลังของสถานทูต ไปยังแม่น้ำบาสัก และบางส่วนหลบหนีไปยังสถานทูตญี่ปุ่น ที่อยู่ติดกัน การตัดสินใจที่เด็ดขาดนี้ ช่วยรักษาชีวิตของทุกคน ไว้ได้อย่างปลอดภัย

    ทำลายสถานทูตไทย
    ในช่วงเวลาต่อมา กลุ่มผู้ชุมนุมได้เผา และปล้นสดมสถานทูตไทย รวมถึงทำลายทรัพย์สิ นของธุรกิจไทยในกรุงพนมเปญ เช่น โรงแรม สำนักงาน และร้านค้าต่าง ๆ เหตุการณ์นี้ยิ่งเลวร้ายขึ้น เมื่อมีข่าวลือว่า คนกัมพูชาถูกทำร้ายในประเทศไทย ซึ่งทำให้การจลาจลในพนมเปญ รุนแรงขึ้นไปอีก

    ปฏิบัติการโปเชนตง ความช่วยเหลือจากฟากฟ้า
    หลังจากเกิดเหตุการณ์จลาจล รัฐบาลไทยภายใต้การนำ ของนายกรัฐมนตรี "ดร.ทักษิณ ชินวัตร" ได้ตัดสินใจเปิดปฏิบัติการ "โปเชนตง" เพื่ออพยพคนไทยออกจากกัมพูชา โดยใช้สนามบินเก่า "โปเชนตง" ในกรุงพนมเปญ เป็นจุดรับส่ง โดยได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลกัมพูชา ที่เริ่มเปลี่ยนท่าที และยินยอมให้เครื่องบินทหารไทยเข้าประเทศ

    รายละเอียดของปฏิบัติการ
    วันที่ 30 มกราคม 2546 เวลา 05.15 น. เครื่องบินลำเลียงแบบ C-130H และ G-222 พร้อมหน่วยรบพิเศษ ได้บินจากฐานทัพดอนเมือง ไปยังสนามบินโปเชนตง เพื่ออพยพคนไทยกว่า 700 คน การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีการคุ้มกันอย่างเข้มงวด โดยสามารถนำคนไทย กลับมาได้อย่างปลอดภัยทั้งหมด ในวันเดียว

    ผลกระทบที่เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา
    เหตุการณ์ครั้งนี้ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เลวร้ายลงอย่างมาก ไทยตัดสินใจ ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต และปิดชายแดนระหว่างสองประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวในภูมิภาค

    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญ ของการสื่อสารระหว่างประเทศ และการป้องกันการปลุกระดม ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง การตอบสนองที่รวดเร็ว และเด็ดขาดของรัฐบาลไทยในครั้งนั้น ยังเป็นตัวอย่างของการจัดการวิกฤต ที่มีประสิทธิภาพ

    22 ปี หลังเหตุการณ์จลาจลในพนมเปญ และปฏิบัติการโปเชนตง ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญ ในประวัติศาสตร์ไทยและกัมพูชา ทั้งในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการจัดการวิกฤตระดับชาติ เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึง ความสำคัญของความร่วมมือ ความเข้าใจ และการสื่อสารที่ถูกต้อง ระหว่างประชาชน และผู้นำของทั้งสองประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอนาคต

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 290850 ม.ค. 2568

    #จลาจลกัมพูชา #ปฏิบัติการโปเชนตง #ไทยกัมพูชา #สถานทูตไทย #ประวัติศาสตร์ไทย #การเมืองระหว่างประเทศ #บทเรียนความขัดแย้ง #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #เหตุการณ์ในอดีต







    22 ปี จากจลาจลกัมพูชา สู่ปฏิบัติการโปเชนตง เบื้องหลังความขัดแย้ง ปฏิบัติการที่โลกต้องจดจำ ย้อนกลับไปเมื่อ 22 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2546 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ไม่เพียงแต่สร้างความสูญเสีย ทางกายภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เหตุจลาจลครั้งนี้ มีจุดเริ่มต้นจากบทความ ในหนังสือพิมพ์กัมพูชา"รัศมี อังกอร์" ที่พาดพิงถึงนักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" ว่าได้กล่าวหากัมพูชาเรื่องนครวัด จนนำไปสู่ความโกรธแค้น และความรุนแรง ที่ลุกลามไปถึงการเผาสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ จากบทความหนังสือพิมพ์ สู่ความโกลาหล ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2546 หนังสือพิมพ์ "รัศมี อังกอร์" ของกัมพูชา ได้ตีพิทพ์เผยแพร่บทความ ที่กล่าวอ้างว่า นักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" พูดว่านครวัดเป็นของไทย และกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ "ขโมย" นครวัดไป ข้อความนี้แพร่กระจาย ออกไปอย่างรวดเร็ว สร้างกระแสความโกรธเคือง ในหมู่ชาวกัมพูชา แม้ว่ากบ-สุวนันท์ จะออกมาปฏิเสธว่า เธอไม่เคยพูดเช่นนั้น แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้ง กระแสความไม่พอใจได้ การตอบสนองของฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา "ฮุนเซ็น" ได้กล่าวสนับสนุนข้อความ ในบทความดังกล่าว โดยเปรียบเทียบว่า นักแสดงชาวไทยคนนี้ "ไม่มีค่าเทียบเท่าใบหญ้า ที่ขึ้นใกล้นครวัด" พร้อมทั้งสั่งให้สถานีโทรทัศน์กัมพูชา หยุดการเผยแพร่ละครไทยทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการปลุกระดม ให้ประชาชนกัมพูชา ระลึกถึงรากเหง้าของตนเอง ซึ่งยิ่งกระพือความไม่พอใจ ในวงกว้าง จากชุมนุมสู่เหตุการณ์จลาจล เริ่มต้นที่สถานทูตไทย เช้าวันที่ 29 มกราคม 2546 กลุ่มชาวกัมพูชาหลายร้อยคน เริ่มรวมตัวกัน ที่หน้าสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ การประท้วงเริ่มจาก การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เช่น เผาธงชาติไทย และป้ายของสถานทูต ก่อนที่จะบานปลายไปสู่ความรุนแรง เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มบุกเข้าไป ในบริเวณสถานทูต อพยพเจ้าหน้าที่สถานทูต เอกอัครราชทูตไทย ประจำกัมพูชาในขณะนั้น "ชัชเวทย์ ชาติสุวรรณ" ตัดสินใจสั่งการ ให้เจ้าหน้าที่สถานทูต อพยพออกจากอาคาร โดยปีนรั้วด้านหลังของสถานทูต ไปยังแม่น้ำบาสัก และบางส่วนหลบหนีไปยังสถานทูตญี่ปุ่น ที่อยู่ติดกัน การตัดสินใจที่เด็ดขาดนี้ ช่วยรักษาชีวิตของทุกคน ไว้ได้อย่างปลอดภัย ทำลายสถานทูตไทย ในช่วงเวลาต่อมา กลุ่มผู้ชุมนุมได้เผา และปล้นสดมสถานทูตไทย รวมถึงทำลายทรัพย์สิ นของธุรกิจไทยในกรุงพนมเปญ เช่น โรงแรม สำนักงาน และร้านค้าต่าง ๆ เหตุการณ์นี้ยิ่งเลวร้ายขึ้น เมื่อมีข่าวลือว่า คนกัมพูชาถูกทำร้ายในประเทศไทย ซึ่งทำให้การจลาจลในพนมเปญ รุนแรงขึ้นไปอีก ปฏิบัติการโปเชนตง ความช่วยเหลือจากฟากฟ้า หลังจากเกิดเหตุการณ์จลาจล รัฐบาลไทยภายใต้การนำ ของนายกรัฐมนตรี "ดร.ทักษิณ ชินวัตร" ได้ตัดสินใจเปิดปฏิบัติการ "โปเชนตง" เพื่ออพยพคนไทยออกจากกัมพูชา โดยใช้สนามบินเก่า "โปเชนตง" ในกรุงพนมเปญ เป็นจุดรับส่ง โดยได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลกัมพูชา ที่เริ่มเปลี่ยนท่าที และยินยอมให้เครื่องบินทหารไทยเข้าประเทศ รายละเอียดของปฏิบัติการ วันที่ 30 มกราคม 2546 เวลา 05.15 น. เครื่องบินลำเลียงแบบ C-130H และ G-222 พร้อมหน่วยรบพิเศษ ได้บินจากฐานทัพดอนเมือง ไปยังสนามบินโปเชนตง เพื่ออพยพคนไทยกว่า 700 คน การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีการคุ้มกันอย่างเข้มงวด โดยสามารถนำคนไทย กลับมาได้อย่างปลอดภัยทั้งหมด ในวันเดียว ผลกระทบที่เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา เหตุการณ์ครั้งนี้ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เลวร้ายลงอย่างมาก ไทยตัดสินใจ ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต และปิดชายแดนระหว่างสองประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวในภูมิภาค เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญ ของการสื่อสารระหว่างประเทศ และการป้องกันการปลุกระดม ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง การตอบสนองที่รวดเร็ว และเด็ดขาดของรัฐบาลไทยในครั้งนั้น ยังเป็นตัวอย่างของการจัดการวิกฤต ที่มีประสิทธิภาพ 22 ปี หลังเหตุการณ์จลาจลในพนมเปญ และปฏิบัติการโปเชนตง ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญ ในประวัติศาสตร์ไทยและกัมพูชา ทั้งในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการจัดการวิกฤตระดับชาติ เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึง ความสำคัญของความร่วมมือ ความเข้าใจ และการสื่อสารที่ถูกต้อง ระหว่างประชาชน และผู้นำของทั้งสองประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอนาคต ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 290850 ม.ค. 2568 #จลาจลกัมพูชา #ปฏิบัติการโปเชนตง #ไทยกัมพูชา #สถานทูตไทย #ประวัติศาสตร์ไทย #การเมืองระหว่างประเทศ #บทเรียนความขัดแย้ง #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #เหตุการณ์ในอดีต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1019 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยิ้มเปลี่ยนชีวิตได้ ในบางครั้งยังอาจสามารถเปลี่ยนโลก นี่ไม่ต้องลำบากเสาะหาจากที่ไหนให้วุ่นวาย เพราะมีอยู่ในกายทุกผู้คน

    #กระบี่อมตะ
    โก้วเล้ง เขียน / ว.ณ เมืองลุง แปล
    สนพ.สร้างสรรค์บุ๊กส์
    นวนิยายสั้นเล่มเดียวจบ หมวดกำลังภายใน
    เป็นเล่มแรกที่ถูกจัดเข้าในชุดอาวุธของโก้วเล้ง

    ไม่แน่ใจว่าที่แท้แล้ว ผลงานในชุดนี้มีทั้งหมดกี่เล่ม บางแหล่งระบุว่ามี 7 เล่ม บางแหล่งระบุว่ามี 8 เล่ม ซึ่งตามความจริง ล้วนเป็นเหล่า สนพ.ต่าง ๆ จากต้นทาง ที่รวบรวมจัดเข้าชุดกันเองเพื่อหวังในยอดขายเพิ่มขึ้น หาใช่สิ่งที่โก้วเล้งเป็นคนตั้งใจหรือวางแผนไว้แต่แรก มีบางข้อมูลถึงกับระบุว่า เล่มที่โก้วเล้งเป็นคนเขียนเองมีเพียง 2 เรื่องแรกเท่านั้น คือกระบี่อมตะ และเดชขนนกยูง หากข้อมูลดังกล่าวถูกต้อง แล้วเล่มอื่นในชุดใครที่เป็นมือปืนรับจ้างเขียนแทนโดยใช้ชื่อโก้วเล้งเล่า

    นี่คืออีกหนึ่งปริศนาในงานเขียนของปีศาจสุรา ที่ช่วงหลังก่อนเสียชีวิต แต่งเรื่องไว้หลายเรื่องแต่แต่งไม่จบ นับเป็นรอยด่างหรือความมัวหมองในชีวิตงานเขียนประการหนึ่งซึ่งน่าเสียดาย

    วกมาสู่เล่มนี้

    เพิ่งจบเมื่อเช้า ก่อนหน้าไม่เคยอ่านในชุดอาวุธมาเลยสักเล่มเดียว ผ่านตาพบเห็นมาหลายปกตั้งแต่เด็ก แต่ก็นิยมไปอ่านเรื่องยาว หรือเรื่องชุดอื่น ๆ ซะ บัดนี้ตั้งใจว่าจะลองมาลิ้มรสเล่มที่พลาดไป เริ่มต้นด้วยเล่มนี้เป็นเล่มแรกครับ

    เนื้อหากล่าวถึง กลุ่มชายฉกรรจ์ขบวนใหญ่ ต่างที่มาแต่มารวมตัวกันเฉพาะกิจ ด้วยเหตุผลคือตามล่าคนคนหนึ่งซึ่งมีสิ่งของที่ทั้งหมดต้องการแอบซ่อนไว้ เปิดเรื่องที่โรงเตี๊ยมในเมืองซึ่งมีตัวเอกของเรื่อง นามแปะเง็กเกียเดินทางผ่านมาแวะพักค้างอ้างแรม ในมือของมันผู้นี้มีศาสตราวุธสุดยอดเป็นกระบี่ดำเล่มหนึ่ง กระบี่โบราณดูไปไม่มีใดน่าสนใจ ทว่าผู้กล้าและชาวยุทธ์ทั่วหล้าต่างพากันทราบดี ถึงชื่อเสียงเกียรติภูมิที่ได้รับการกล่าวขานถึง นั่นเรียกว่ากระบี่อมตะ ผู้มาที่ไม่ทราบสำนักสังกัดชัด ต่างล้วนทราบดีแก่ใจว่าบุรุษเจ้าของกระบี่เล่มนี้ยากตอแย และมีฝีมือมิใช่ชั่ว ต่างคุมเชิงกันและกันไม่ว่าใครไม่กล้าลงไม้ลงมือก่อน

    มิคาดนอกจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะมีบุรุษหน้าตาเข้าทีฝีมือรวบรัดมาเยี่ยมเยือนและอุดหนุนแล้ว ยังมีวาสนาได้รับการต้อนรับโกวเนี้ยเยาว์วัยนางหนึ่ง ซึ่งมีบุคลิกที่เรียบร้อยราวคุณหนู และรูปโฉมโนมพรรณที่สามารถสร้างความลุ่มหลงแก่เหล่าบุรุษได้ นางมีชื่อว่าอ้วงจีเยี้ย ไม่แน่ใจเป็นนางที่ไล่ตามแปะเง็กเกียหรือไม่ เพราะเขาจำได้ว่าเคยพบหน้านางมาก่อนแล้วถึงสองครั้งที่โรงเตี๊ยมแห่งอื่น นี่ไม่อาจโทษว่าเขาเป็นชายเจ้าชู้ อย่างไรชายงามย่อมพึงตาต้องใจในสตรีสาวและยังสวยเป็นธรรมดา ที่สำคัญกลับเป็นนางที่เป็นฝ่ายเริ่มต้นเข้าหา เจรจาพาทีกับเขาก่อนด้วย เป็นเรื่องที่เขาเองก็คาดไม่ถึง อย่างน้อยทุกครั้งที่พบหน้า นางส่งรอยยิ้มที่พิมพ์ใจกระไรปานนั้นให้กับเขา

    ทว่าเรื่องราวกับซับซ้อนยอกย้อนยิ่ง ในขณะที่แปะเง็กเกียเข้าใจว่ากลุ่มชายแปลกหน้าท่าทางประหลาดทั้งหลาย ล้วนมีเป้าประสงค์ที่จะมาหาเรื่องกับตน พลันเกิดเหตุลอบฆ่าฟันกันขึ้น มีคนตายและอาวุธที่เข่นฆ่าก็แปลกประหลาด ขณะที่บรรยากาศโดยรอบภายในโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยความตึงเครียด อ้วงจีเยี้ยพลันเอ่ยขอร้องแปะเง็กเกียให้ค้างอยู่ร่วมห้องเดียวกับนาง ให้เหตุผลว่าบัดนี้นางกลัวยิ่ง เช่นนี้ไยมิใช่การบอกใบ้ว่านางยินดีให้แปะเง็กเกีย ไม่ต้องทำตัวเรียบ ๆ ร้อย ๆ กับนางระหว่างคืนใช่หรือไม่ แต่แปะเง็กเกียกลับเรียบร้อยขึ้นมาจริง ๆ มันพานขึ้นไปนอนบนเตียงเรียงคู่กับนาง ทว่าเพียงแค่อ้าปากกล่าววาจาด้วยท่าทีสงวนคำพูดยิ่งนัก

    คืนนั้นเอง อ้วงจี่เยี้ยพลันกล้าเผยความในใจ ปรารถนาให้เมื่ออรุณขึ้น เขาพานางติดตามไปด้วยในทุกที่ หลีกลี้หนีจากวังวนความวุ่นวายทั้งหลาย แปะเง็กเกียกลับรับปากง่ายดาย ก่อนรุ่งสางได้สกัดจุดหลับนางแล้วออกจากห้อง ตั้งใจจะไปตกลงเจรจากับพวกคนเหล่านั้นให้เรียบร้อย ก่อนที่จะพานางที่ตนชมชอบปลีกกายจากไป ไหนเลยมีเรื่องง่ายดายปานนั้น หลังเอ่ยวาจาอ้อมค้อมลดเลี้ยวอยู่เนิ่นนาน แปะเง็กเกียที่เตรียมจะยกถุงผ้าที่บรรจุวัตถุหายากที่มีมูลค่ามหาศาลทั้งหมดให้กับคนประหลาดที่เหลือ หาคาดไม่ที่พวกมันกังวลสนใจกลับเป็นตัวของอ้วงจีเยี้ยเอง แต่ไม่ยอมบอกว่าเป็นสิ่งของใดในตัวนางที่พวกมันกล่าวหาว่าถูกขโมยมา เมื่อการค้าตกลงไม่สำเร็จแปะเง็กเกียจึงลุกเดินกลับห้อง แต่กลับพบเห็นมีเงาชายคนหนึ่งอยู่ในห้องคล้ายเจรจาบางอย่างกับหญิงที่ตนชอบ ด้วยความเสียใจ ขณะจะผละจากไปปรากฏเสียงร้องของนางดังขึ้นด้วยความตกใจ

    แปะเง็กเกียรีบพุ่งปราดเข้าไปจึงพบว่า เป็นคนร้ายที่เป็นตัวประหลาดคนหนึ่ง ทั้งสองต่อสู้กันชั่วครู่ก่อนที่มันจะชิงจังหวะโดดหลบหนีไป พอดีกับที่สหายคนหนึ่งของแปะเง็กเกียเข้าประตูมาเพราะได้ยินเสียง แปะเง็กเกียจึงขอร้องให้มันช่วยดูแลอ้วงจีเยี้ยแทน ก่อนจะโผออกจากห้อง พุ่งทะยานขึ้นหลังคาตามไป

    เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ให้เพื่อน ๆ ไปหาอ่านกันต่อ ขอบอกเพียงว่า เป็นนิยายกำลังภายในขนาดสั้นที่เขียนได้ดีมากเล่มหนึ่ง โดยเฉพาะในแง่ที่มีความเป็นงานแนวสืบสวนสอบสวน มีการพลิกไปพลิกมาของความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัว ที่มีเบื้องหลังคือของมีค่าอันเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง ซึ่งวัตถุชิ้นนี้กล่าวโยงไปถึงของสำคัญอันจะมีส่วนสำคัญต่อไปในเล่มที่สองของชุดอาวุธของโก้วเล้ง

    ตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะครึ่งเรื่องไปแล้วนั้น ล้วนเต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบ หักเหลี่ยมของเหล่าบรรดาโจรทั้งหลายที่ต่างหมายของสิ่งเดียวกัน ใครเป็นมิตรกับใคร ใครแฝงตัวหลอกล่อ เป้าจริงคือใคร เป้าลวงไฉนเยอะปานนั้น จะเชื่อใจใครได้บ้าง ศัตรูกลับกลายเป็นมิตร หรือสหายกลับทรยศ หญิงงามความจริงคือผู้ถูกกระทำ หรือคือต้นตอของเหตุเภทภัยทั้งหมดกันแน่ แต่ละบทที่ผ่านไปมีแต่ศพ ที่เพิ่มมากขึ้น คนมีชีวิตกลับยิ่งมายิ่งลดน้อยลง แปะเง็กเกียที่ถูกม้วนเข้าไปในวังวนของแหใหญ่ปากนี้ จะสามารถพาตัวรอดพ้นจากหายนะได้หรือไม่

    ฤาต้องจบชีวิตไปอย่างเลอะเลือนงมงาย ไม่ทราบกระทั่งความจริงว่าตนต้องตายด้วยสาเหตุใด

    สุดท้ายที่นึกว่าจะจบลงแล้ว กลับมีพลิกในพลิกอีกที... นี่มันอะไร

    ไปลองอ่านดูนะครับ

    #โก้วเล้ง
    #วณเมืองลุง
    #นิบายจีน
    #นิยายแปล
    #รีวิวหนังสือ
    #หนังสือน่าอ่าน
    #thaitimes]

    ยิ้มเปลี่ยนชีวิตได้ ในบางครั้งยังอาจสามารถเปลี่ยนโลก นี่ไม่ต้องลำบากเสาะหาจากที่ไหนให้วุ่นวาย เพราะมีอยู่ในกายทุกผู้คน #กระบี่อมตะ โก้วเล้ง เขียน / ว.ณ เมืองลุง แปล สนพ.สร้างสรรค์บุ๊กส์ นวนิยายสั้นเล่มเดียวจบ หมวดกำลังภายใน เป็นเล่มแรกที่ถูกจัดเข้าในชุดอาวุธของโก้วเล้ง ไม่แน่ใจว่าที่แท้แล้ว ผลงานในชุดนี้มีทั้งหมดกี่เล่ม บางแหล่งระบุว่ามี 7 เล่ม บางแหล่งระบุว่ามี 8 เล่ม ซึ่งตามความจริง ล้วนเป็นเหล่า สนพ.ต่าง ๆ จากต้นทาง ที่รวบรวมจัดเข้าชุดกันเองเพื่อหวังในยอดขายเพิ่มขึ้น หาใช่สิ่งที่โก้วเล้งเป็นคนตั้งใจหรือวางแผนไว้แต่แรก มีบางข้อมูลถึงกับระบุว่า เล่มที่โก้วเล้งเป็นคนเขียนเองมีเพียง 2 เรื่องแรกเท่านั้น คือกระบี่อมตะ และเดชขนนกยูง หากข้อมูลดังกล่าวถูกต้อง แล้วเล่มอื่นในชุดใครที่เป็นมือปืนรับจ้างเขียนแทนโดยใช้ชื่อโก้วเล้งเล่า นี่คืออีกหนึ่งปริศนาในงานเขียนของปีศาจสุรา ที่ช่วงหลังก่อนเสียชีวิต แต่งเรื่องไว้หลายเรื่องแต่แต่งไม่จบ นับเป็นรอยด่างหรือความมัวหมองในชีวิตงานเขียนประการหนึ่งซึ่งน่าเสียดาย วกมาสู่เล่มนี้ เพิ่งจบเมื่อเช้า ก่อนหน้าไม่เคยอ่านในชุดอาวุธมาเลยสักเล่มเดียว ผ่านตาพบเห็นมาหลายปกตั้งแต่เด็ก แต่ก็นิยมไปอ่านเรื่องยาว หรือเรื่องชุดอื่น ๆ ซะ บัดนี้ตั้งใจว่าจะลองมาลิ้มรสเล่มที่พลาดไป เริ่มต้นด้วยเล่มนี้เป็นเล่มแรกครับ เนื้อหากล่าวถึง กลุ่มชายฉกรรจ์ขบวนใหญ่ ต่างที่มาแต่มารวมตัวกันเฉพาะกิจ ด้วยเหตุผลคือตามล่าคนคนหนึ่งซึ่งมีสิ่งของที่ทั้งหมดต้องการแอบซ่อนไว้ เปิดเรื่องที่โรงเตี๊ยมในเมืองซึ่งมีตัวเอกของเรื่อง นามแปะเง็กเกียเดินทางผ่านมาแวะพักค้างอ้างแรม ในมือของมันผู้นี้มีศาสตราวุธสุดยอดเป็นกระบี่ดำเล่มหนึ่ง กระบี่โบราณดูไปไม่มีใดน่าสนใจ ทว่าผู้กล้าและชาวยุทธ์ทั่วหล้าต่างพากันทราบดี ถึงชื่อเสียงเกียรติภูมิที่ได้รับการกล่าวขานถึง นั่นเรียกว่ากระบี่อมตะ ผู้มาที่ไม่ทราบสำนักสังกัดชัด ต่างล้วนทราบดีแก่ใจว่าบุรุษเจ้าของกระบี่เล่มนี้ยากตอแย และมีฝีมือมิใช่ชั่ว ต่างคุมเชิงกันและกันไม่ว่าใครไม่กล้าลงไม้ลงมือก่อน มิคาดนอกจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะมีบุรุษหน้าตาเข้าทีฝีมือรวบรัดมาเยี่ยมเยือนและอุดหนุนแล้ว ยังมีวาสนาได้รับการต้อนรับโกวเนี้ยเยาว์วัยนางหนึ่ง ซึ่งมีบุคลิกที่เรียบร้อยราวคุณหนู และรูปโฉมโนมพรรณที่สามารถสร้างความลุ่มหลงแก่เหล่าบุรุษได้ นางมีชื่อว่าอ้วงจีเยี้ย ไม่แน่ใจเป็นนางที่ไล่ตามแปะเง็กเกียหรือไม่ เพราะเขาจำได้ว่าเคยพบหน้านางมาก่อนแล้วถึงสองครั้งที่โรงเตี๊ยมแห่งอื่น นี่ไม่อาจโทษว่าเขาเป็นชายเจ้าชู้ อย่างไรชายงามย่อมพึงตาต้องใจในสตรีสาวและยังสวยเป็นธรรมดา ที่สำคัญกลับเป็นนางที่เป็นฝ่ายเริ่มต้นเข้าหา เจรจาพาทีกับเขาก่อนด้วย เป็นเรื่องที่เขาเองก็คาดไม่ถึง อย่างน้อยทุกครั้งที่พบหน้า นางส่งรอยยิ้มที่พิมพ์ใจกระไรปานนั้นให้กับเขา ทว่าเรื่องราวกับซับซ้อนยอกย้อนยิ่ง ในขณะที่แปะเง็กเกียเข้าใจว่ากลุ่มชายแปลกหน้าท่าทางประหลาดทั้งหลาย ล้วนมีเป้าประสงค์ที่จะมาหาเรื่องกับตน พลันเกิดเหตุลอบฆ่าฟันกันขึ้น มีคนตายและอาวุธที่เข่นฆ่าก็แปลกประหลาด ขณะที่บรรยากาศโดยรอบภายในโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยความตึงเครียด อ้วงจีเยี้ยพลันเอ่ยขอร้องแปะเง็กเกียให้ค้างอยู่ร่วมห้องเดียวกับนาง ให้เหตุผลว่าบัดนี้นางกลัวยิ่ง เช่นนี้ไยมิใช่การบอกใบ้ว่านางยินดีให้แปะเง็กเกีย ไม่ต้องทำตัวเรียบ ๆ ร้อย ๆ กับนางระหว่างคืนใช่หรือไม่ แต่แปะเง็กเกียกลับเรียบร้อยขึ้นมาจริง ๆ มันพานขึ้นไปนอนบนเตียงเรียงคู่กับนาง ทว่าเพียงแค่อ้าปากกล่าววาจาด้วยท่าทีสงวนคำพูดยิ่งนัก คืนนั้นเอง อ้วงจี่เยี้ยพลันกล้าเผยความในใจ ปรารถนาให้เมื่ออรุณขึ้น เขาพานางติดตามไปด้วยในทุกที่ หลีกลี้หนีจากวังวนความวุ่นวายทั้งหลาย แปะเง็กเกียกลับรับปากง่ายดาย ก่อนรุ่งสางได้สกัดจุดหลับนางแล้วออกจากห้อง ตั้งใจจะไปตกลงเจรจากับพวกคนเหล่านั้นให้เรียบร้อย ก่อนที่จะพานางที่ตนชมชอบปลีกกายจากไป ไหนเลยมีเรื่องง่ายดายปานนั้น หลังเอ่ยวาจาอ้อมค้อมลดเลี้ยวอยู่เนิ่นนาน แปะเง็กเกียที่เตรียมจะยกถุงผ้าที่บรรจุวัตถุหายากที่มีมูลค่ามหาศาลทั้งหมดให้กับคนประหลาดที่เหลือ หาคาดไม่ที่พวกมันกังวลสนใจกลับเป็นตัวของอ้วงจีเยี้ยเอง แต่ไม่ยอมบอกว่าเป็นสิ่งของใดในตัวนางที่พวกมันกล่าวหาว่าถูกขโมยมา เมื่อการค้าตกลงไม่สำเร็จแปะเง็กเกียจึงลุกเดินกลับห้อง แต่กลับพบเห็นมีเงาชายคนหนึ่งอยู่ในห้องคล้ายเจรจาบางอย่างกับหญิงที่ตนชอบ ด้วยความเสียใจ ขณะจะผละจากไปปรากฏเสียงร้องของนางดังขึ้นด้วยความตกใจ แปะเง็กเกียรีบพุ่งปราดเข้าไปจึงพบว่า เป็นคนร้ายที่เป็นตัวประหลาดคนหนึ่ง ทั้งสองต่อสู้กันชั่วครู่ก่อนที่มันจะชิงจังหวะโดดหลบหนีไป พอดีกับที่สหายคนหนึ่งของแปะเง็กเกียเข้าประตูมาเพราะได้ยินเสียง แปะเง็กเกียจึงขอร้องให้มันช่วยดูแลอ้วงจีเยี้ยแทน ก่อนจะโผออกจากห้อง พุ่งทะยานขึ้นหลังคาตามไป เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ให้เพื่อน ๆ ไปหาอ่านกันต่อ ขอบอกเพียงว่า เป็นนิยายกำลังภายในขนาดสั้นที่เขียนได้ดีมากเล่มหนึ่ง โดยเฉพาะในแง่ที่มีความเป็นงานแนวสืบสวนสอบสวน มีการพลิกไปพลิกมาของความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัว ที่มีเบื้องหลังคือของมีค่าอันเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง ซึ่งวัตถุชิ้นนี้กล่าวโยงไปถึงของสำคัญอันจะมีส่วนสำคัญต่อไปในเล่มที่สองของชุดอาวุธของโก้วเล้ง ตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะครึ่งเรื่องไปแล้วนั้น ล้วนเต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบ หักเหลี่ยมของเหล่าบรรดาโจรทั้งหลายที่ต่างหมายของสิ่งเดียวกัน ใครเป็นมิตรกับใคร ใครแฝงตัวหลอกล่อ เป้าจริงคือใคร เป้าลวงไฉนเยอะปานนั้น จะเชื่อใจใครได้บ้าง ศัตรูกลับกลายเป็นมิตร หรือสหายกลับทรยศ หญิงงามความจริงคือผู้ถูกกระทำ หรือคือต้นตอของเหตุเภทภัยทั้งหมดกันแน่ แต่ละบทที่ผ่านไปมีแต่ศพ ที่เพิ่มมากขึ้น คนมีชีวิตกลับยิ่งมายิ่งลดน้อยลง แปะเง็กเกียที่ถูกม้วนเข้าไปในวังวนของแหใหญ่ปากนี้ จะสามารถพาตัวรอดพ้นจากหายนะได้หรือไม่ ฤาต้องจบชีวิตไปอย่างเลอะเลือนงมงาย ไม่ทราบกระทั่งความจริงว่าตนต้องตายด้วยสาเหตุใด สุดท้ายที่นึกว่าจะจบลงแล้ว กลับมีพลิกในพลิกอีกที... นี่มันอะไร ไปลองอ่านดูนะครับ #โก้วเล้ง #วณเมืองลุง #นิบายจีน #นิยายแปล #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #thaitimes]
    Like
    Yay
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 832 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าหน้าที่สนธิกำลังลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุระเบิดรถยนต์สองพ่อลูก ตชด.ศรีสาคร จ.นราธิวาส พบมีการกดระเบิดและเข้าจ่อยิงศีรษะซ้ำทั้ง 2 ราย ก่อนจะขโมยปืนหลบหนีไป

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000004176

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    เจ้าหน้าที่สนธิกำลังลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุระเบิดรถยนต์สองพ่อลูก ตชด.ศรีสาคร จ.นราธิวาส พบมีการกดระเบิดและเข้าจ่อยิงศีรษะซ้ำทั้ง 2 ราย ก่อนจะขโมยปืนหลบหนีไป อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000004176 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Sad
    Like
    14
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1380 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจสืบนครบาลขยายผลจับกุม “ชาคิต” คนขับกระบะมารับ “จ่าเอ็ม” มือยิงอดีต สส.กัมพูชา พาหลบหนีไปส่งยังจุดข้ามแดน

    วันนี้ (14 ม.ค.) พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 พ.ต.อ.วิชัย แดงประดับ รอง ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.สนอง แสงมณี ผกก.สน.ชนะสงคราม พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. พ.ต.อ.วิชัย สนสกุล ผกก.สส.บก.น.1 และเจ้าหน้าที่ บก.สส.บช.น.ร่วมกันจับกุมตัว นายชาคิต หรือชำนาญ อายุ 47 ปี ภูมิลำเนา ต.ทับช้าง อ.สอยดาว จ.จันทบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.168/2568 ลงวันที่ 13 ม.ค. 68 ข้อหากระทำด้วยประการใดๆอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิดแม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตามผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดในฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน สามารถจับกุมตัวได้ที่ หน้าบ้านน็อคดาวน์ไม่มีเลขที่ ม.10 ต.เขาคันทรง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี

    โดยพฤติการณ์กล่าวคือ ผบช.น.สั่งขยายผลเพิ่มผู้สนับสนุนนายเอกลักษณ์ แพน้อย หรือจ่าเอ็ม มือปืนรับจ้างวานฆ่าอดีต สส.ฝ่ายค้านกัมพูชา ซึ่งทาง พล.ต.ต.ธีรเดช พบพยานหลักฐานถึงผู้สนับสนุนดังกล่าวรายหนึ่ง ซึ่งมีหลักฐานบ่งชี้ไปถึงการวางแผนกับจ่าเอ็มตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ไปจนถึงหลังเกิดเหตุยังได้เป็นผู้ขับขี่รถกระบะ โตโยต้า 4 ประตูสีเทา พาจ่าเอ็มหลบหนีไปยังจุดข้ามแดนทางช่องทางธรรมชาติชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณด่านเขาดิน ต.คลองหาด อ.คลองหาด จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 23.45 น. ซึ่งจากการขยายผลทราบว่าผู้สนับสนุนรายนี้คือ นายชาคิต

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000004046

    #MGROnline #ชาคิต #คนขับกระบะมา #จ่าเอ็ม
    ตำรวจสืบนครบาลขยายผลจับกุม “ชาคิต” คนขับกระบะมารับ “จ่าเอ็ม” มือยิงอดีต สส.กัมพูชา พาหลบหนีไปส่งยังจุดข้ามแดน • วันนี้ (14 ม.ค.) พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 พ.ต.อ.วิชัย แดงประดับ รอง ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.สนอง แสงมณี ผกก.สน.ชนะสงคราม พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. พ.ต.อ.วิชัย สนสกุล ผกก.สส.บก.น.1 และเจ้าหน้าที่ บก.สส.บช.น.ร่วมกันจับกุมตัว นายชาคิต หรือชำนาญ อายุ 47 ปี ภูมิลำเนา ต.ทับช้าง อ.สอยดาว จ.จันทบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.168/2568 ลงวันที่ 13 ม.ค. 68 ข้อหากระทำด้วยประการใดๆอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิดแม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตามผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดในฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน สามารถจับกุมตัวได้ที่ หน้าบ้านน็อคดาวน์ไม่มีเลขที่ ม.10 ต.เขาคันทรง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี • โดยพฤติการณ์กล่าวคือ ผบช.น.สั่งขยายผลเพิ่มผู้สนับสนุนนายเอกลักษณ์ แพน้อย หรือจ่าเอ็ม มือปืนรับจ้างวานฆ่าอดีต สส.ฝ่ายค้านกัมพูชา ซึ่งทาง พล.ต.ต.ธีรเดช พบพยานหลักฐานถึงผู้สนับสนุนดังกล่าวรายหนึ่ง ซึ่งมีหลักฐานบ่งชี้ไปถึงการวางแผนกับจ่าเอ็มตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ไปจนถึงหลังเกิดเหตุยังได้เป็นผู้ขับขี่รถกระบะ โตโยต้า 4 ประตูสีเทา พาจ่าเอ็มหลบหนีไปยังจุดข้ามแดนทางช่องทางธรรมชาติชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณด่านเขาดิน ต.คลองหาด อ.คลองหาด จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 23.45 น. ซึ่งจากการขยายผลทราบว่าผู้สนับสนุนรายนี้คือ นายชาคิต • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000004046 • #MGROnline #ชาคิต #คนขับกระบะมา #จ่าเอ็ม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 825 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขั้นตอนจ่าเอ็ม เปิดปากรับสารภาพ ผู้มีพระคุณจ้างวานฆ่า อดีต สส.กัมพูชา ด้วยเงิน 60,000 บาท รับมัดจำมาแล้ว 30,000 บาท มีคนชี้เป้าให้ข้อมูล ขณะหลบหนีก็มีคนบอกตลอดให้ไปตรงจุดใดความคืบหน้าคดีอดีต สส.กัมพูชา ภายหลังการควบคุมตัวนายเอกลักษณ์ หรือจ่าเอ็ม หรือเอ็ม กองเรือ มาสอบปากคำที่ สน.ชนะสงคราม พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำในเบื้องต้นเป็นเวลานานกว่า 3 ชั่วโมง ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งประเด็นหลักที่ผู้ต้องหายังคงกังวลคือเกรงว่าญาติพี่น้องจะรู้ถึงเหตุการณ์นี้ แต่ตำรวจให้ผู้ต้องหาพบทนายความและมีการพูดคุย จนกระทั่งนายเอ็มเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นจนสามารถให้การกับพนักงานสอบสวนได้บ้างแล้วนายเอ็มอ้างว่า ก่อนเกิดเหตุไม่ถึง 24 ชั่วโมง ผู้มีพระคุณซึ่งเป็นพลเรือนมาจ้างวานให้ฆ่านายลิม กิมยา อดีต สส.กัมพูชา ซึ่งตอนแรกนายเอ็มได้ตอบปฏิเสธ แต่ผู้มีพระคุณพยายามโทร.ตื๊อ จนทำให้ตอบตกลงรับงาน ในราคา 60,000 บาท และจ่ายมัดจำมาก้อนแรก 30,000 บาท นายเอ็มจึงเอาเงินจำนวนนี้ไปไถ่ปืนที่จำนำไว้ในราคา 2,000 บาท ในช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุ นายเอ็มบอกว่า มีคน LINE มาให้ข้อมูลตลอด ว่าเป้าหมายรูปพรรณสันฐานเป็นอย่างไร ตอนนี้เดินทางถึงไหน และช่วงเวลาที่หลบหนีไปประเทศกัมพูชา ก็มีคน LINE มาบอกตลอดว่าให้ไปตรงจุดใด ซึ่งข้อมูลในโทรศัพท์มือถือตรงกับคำให้การของนายเอ็มนายเอ็มยังได้ใช้สิทธิของผู้ต้องหา ไม่ประสงค์ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยให้เหตุผลว่ากังวลเรื่องความปลอดภัย และยังไม่อยากไปเจอหน้าใครทั้งนี้ พนักงานสอบสวนจะควบคุมตัวนายเอ็มไปขออำนาจศาลอาญาฝากขังในวันที่ 13 ม.ค.68การส่งตัวในวันนี้ พล.ต.ท.สมประสงค์ จะเป็นผู้ไปรับตัวนายเอ็มจากรอง ผบ.ตร. ของประเทศกัมพูชา จะเป็นผู้นำตัวมาส่งด้วยตัวเอง จากนั้นเมื่อควบคุมตัวผู้ต้องหามาถึงกองบินตำรวจ เจ้าหน้าที่จะส่งมอบตัวผู้ต้องหา ให้กับพนักงานสอบสวนสน.ชนะสงคราม เพื่อสอบปากคำ ก่อนจะส่งตัวฝากขังศาลอาญารัชดาในวันจันทร์ที่ 13 ม.ค.นี้ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
    ขั้นตอนจ่าเอ็ม เปิดปากรับสารภาพ ผู้มีพระคุณจ้างวานฆ่า อดีต สส.กัมพูชา ด้วยเงิน 60,000 บาท รับมัดจำมาแล้ว 30,000 บาท มีคนชี้เป้าให้ข้อมูล ขณะหลบหนีก็มีคนบอกตลอดให้ไปตรงจุดใดความคืบหน้าคดีอดีต สส.กัมพูชา ภายหลังการควบคุมตัวนายเอกลักษณ์ หรือจ่าเอ็ม หรือเอ็ม กองเรือ มาสอบปากคำที่ สน.ชนะสงคราม พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำในเบื้องต้นเป็นเวลานานกว่า 3 ชั่วโมง ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งประเด็นหลักที่ผู้ต้องหายังคงกังวลคือเกรงว่าญาติพี่น้องจะรู้ถึงเหตุการณ์นี้ แต่ตำรวจให้ผู้ต้องหาพบทนายความและมีการพูดคุย จนกระทั่งนายเอ็มเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นจนสามารถให้การกับพนักงานสอบสวนได้บ้างแล้วนายเอ็มอ้างว่า ก่อนเกิดเหตุไม่ถึง 24 ชั่วโมง ผู้มีพระคุณซึ่งเป็นพลเรือนมาจ้างวานให้ฆ่านายลิม กิมยา อดีต สส.กัมพูชา ซึ่งตอนแรกนายเอ็มได้ตอบปฏิเสธ แต่ผู้มีพระคุณพยายามโทร.ตื๊อ จนทำให้ตอบตกลงรับงาน ในราคา 60,000 บาท และจ่ายมัดจำมาก้อนแรก 30,000 บาท นายเอ็มจึงเอาเงินจำนวนนี้ไปไถ่ปืนที่จำนำไว้ในราคา 2,000 บาท ในช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุ นายเอ็มบอกว่า มีคน LINE มาให้ข้อมูลตลอด ว่าเป้าหมายรูปพรรณสันฐานเป็นอย่างไร ตอนนี้เดินทางถึงไหน และช่วงเวลาที่หลบหนีไปประเทศกัมพูชา ก็มีคน LINE มาบอกตลอดว่าให้ไปตรงจุดใด ซึ่งข้อมูลในโทรศัพท์มือถือตรงกับคำให้การของนายเอ็มนายเอ็มยังได้ใช้สิทธิของผู้ต้องหา ไม่ประสงค์ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยให้เหตุผลว่ากังวลเรื่องความปลอดภัย และยังไม่อยากไปเจอหน้าใครทั้งนี้ พนักงานสอบสวนจะควบคุมตัวนายเอ็มไปขออำนาจศาลอาญาฝากขังในวันที่ 13 ม.ค.68การส่งตัวในวันนี้ พล.ต.ท.สมประสงค์ จะเป็นผู้ไปรับตัวนายเอ็มจากรอง ผบ.ตร. ของประเทศกัมพูชา จะเป็นผู้นำตัวมาส่งด้วยตัวเอง จากนั้นเมื่อควบคุมตัวผู้ต้องหามาถึงกองบินตำรวจ เจ้าหน้าที่จะส่งมอบตัวผู้ต้องหา ให้กับพนักงานสอบสวนสน.ชนะสงคราม เพื่อสอบปากคำ ก่อนจะส่งตัวฝากขังศาลอาญารัชดาในวันจันทร์ที่ 13 ม.ค.นี้ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 555 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจ เข้าตรวจสอบรถ จยย.ที่ “จ่าเอ็ม” ใช้ก่อเหตุยิงอดีต สส.ฝ่ายค้านกัมพูชาเสียชีวิต หลังนำมาจอดทิ้งไว้ในปั้มน้ำมันเรียบถนนมอเตอร์เวย์

    กรณีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงนายลิม กิมยา อดีต สส.ฝ่ายค้าน ประเทศกัมพูชา นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เสียชีวิตบนเกาะกลางถนน ย่านบางลำภู ตรงข้ามวัดบวรนิเวศฯ โดยภาพวงจรปิดพบคนร้ายขับขี่จยย. มาจอดรอ ก่อนจะข้ามถนนไปยิงผู้เสียชีวิต แล้วกลับมาขี่จยย.หลบหนีไป จากนั้นหลังศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาคือ นายเอกลักษณ์ แพน้อย หรือจ่าเอ็ม ผู้ต้องหาคดีฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พกอาวุธไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต

    ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (8 ม.ค.) พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. เจ้าหน้าที่ บก.สส.บช.น. พฐ. เข้าตรวจสอบรถจยย.ฮอนด้า เวฟ 100 สีแดง ทะเบียน 1 กช 845 สมุทรปราการ ที่คนร้ายนำมาจอดทิ้งไว้บริเวณปั๊มน้ำมันพีที (ปั๊มแก๊สแอลพีจี) ถนนเรียบมอเตอร์เวย์ แขวงและเขตสวนหลวง กทม.

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000002219

    #MGROnline #จ่าเอ็ม #ฝ่ายค้าน #กัมพูชา
    ตำรวจ เข้าตรวจสอบรถ จยย.ที่ “จ่าเอ็ม” ใช้ก่อเหตุยิงอดีต สส.ฝ่ายค้านกัมพูชาเสียชีวิต หลังนำมาจอดทิ้งไว้ในปั้มน้ำมันเรียบถนนมอเตอร์เวย์ • กรณีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงนายลิม กิมยา อดีต สส.ฝ่ายค้าน ประเทศกัมพูชา นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เสียชีวิตบนเกาะกลางถนน ย่านบางลำภู ตรงข้ามวัดบวรนิเวศฯ โดยภาพวงจรปิดพบคนร้ายขับขี่จยย. มาจอดรอ ก่อนจะข้ามถนนไปยิงผู้เสียชีวิต แล้วกลับมาขี่จยย.หลบหนีไป จากนั้นหลังศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาคือ นายเอกลักษณ์ แพน้อย หรือจ่าเอ็ม ผู้ต้องหาคดีฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พกอาวุธไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต • ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (8 ม.ค.) พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. เจ้าหน้าที่ บก.สส.บช.น. พฐ. เข้าตรวจสอบรถจยย.ฮอนด้า เวฟ 100 สีแดง ทะเบียน 1 กช 845 สมุทรปราการ ที่คนร้ายนำมาจอดทิ้งไว้บริเวณปั๊มน้ำมันพีที (ปั๊มแก๊สแอลพีจี) ถนนเรียบมอเตอร์เวย์ แขวงและเขตสวนหลวง กทม. • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000002219 • #MGROnline #จ่าเอ็ม #ฝ่ายค้าน #กัมพูชา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 605 มุมมอง 0 รีวิว
  • #พ่อตาอิยุต วางแผนมาดี
    #ตำรวจ ตามไม่ทัน พบข้อมูล #จ่าเอ็ม
    มือปืนยิงฝ่ายค้านกัมพูชา #หลบหนีไป
    #กัมพูชาแล้วทาง #ด่านถาวรเขาดิน
    คลองน้ำใส #สระแก้ว ได้ ประมาณตี 1 วันนี้
    #พ่อตาอิยุต วางแผนมาดี #ตำรวจ ตามไม่ทัน พบข้อมูล #จ่าเอ็ม มือปืนยิงฝ่ายค้านกัมพูชา #หลบหนีไป #กัมพูชาแล้วทาง #ด่านถาวรเขาดิน คลองน้ำใส #สระแก้ว ได้ ประมาณตี 1 วันนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 637 มุมมอง 0 รีวิว
  • 7 มกราคม 2568-รายงานข่าวเนชั่นทีวีระบุว่า มีรายงานว่า นายลิม กิมยา เดินทางมาจาก เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา โดยรถบัส มาพร้อมกับภรรยาชาวฝรั่งเศส และลุงชาวกัมพูชา ได้มาลงตรงบริเวณที่เกิดเหตุ และมีคนร้ายขับรถ จยย. ไม่ทราบทะเบียน มาจอด และยิง ก่อนหลบหนีไปเบื้องต้นฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม พาภรรยาไปสอบปากคำที่ สน.ชนะสงคราม เพื่อหาสาเหตุปมสังหาร อดีต สส.ฝ่ายค้านกัมพูชา อย่างอุกอาจกลางกรุงสำหรับนายลิม กิมยา ผู้เสียชีวิต เป็นนักการเมืองกัมพูชา ขั้วตรงข้ามกับ สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานพฤฒสภาของกัมพูชา เป็นอดีต สส.ฝ่ายค้าน จากพรรค Cambodia National Rescue ที่มีผลงานโดดเด่น โดยเมื่อปี 2018 เขาได้อภิปรายเรื่องงบประมาณรัฐบาลอย่างหนัก โดยปัจจุบัน นายลิม กิมยา ถือสัญชาติ ฝรั่งเศส-กัมพูชารายงานข่าวว่า พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 พ.ต.อ.สนอง แสงมณี ผกก.สน.ชนะสงคราม ชุดสืบสวนนครบาลและ ชุดสืบสวนนครบาล 1 เร่งล่าตัวมือปืนผู้ก่อเหตุ ซึ่งหลบหนีไป มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปที่มา https://www.nationtv.tv/news/crime/378954029?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR3Mc9xWHt0sCgNYdnBU24IoEr-Y-8_XuMg04Tc43GgZy7zWog0qmGrM3ME_aem_VsFP1guRTCe58IWSYccN8Q#m5ml6y27yfwju4yta39
    7 มกราคม 2568-รายงานข่าวเนชั่นทีวีระบุว่า มีรายงานว่า นายลิม กิมยา เดินทางมาจาก เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา โดยรถบัส มาพร้อมกับภรรยาชาวฝรั่งเศส และลุงชาวกัมพูชา ได้มาลงตรงบริเวณที่เกิดเหตุ และมีคนร้ายขับรถ จยย. ไม่ทราบทะเบียน มาจอด และยิง ก่อนหลบหนีไปเบื้องต้นฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม พาภรรยาไปสอบปากคำที่ สน.ชนะสงคราม เพื่อหาสาเหตุปมสังหาร อดีต สส.ฝ่ายค้านกัมพูชา อย่างอุกอาจกลางกรุงสำหรับนายลิม กิมยา ผู้เสียชีวิต เป็นนักการเมืองกัมพูชา ขั้วตรงข้ามกับ สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานพฤฒสภาของกัมพูชา เป็นอดีต สส.ฝ่ายค้าน จากพรรค Cambodia National Rescue ที่มีผลงานโดดเด่น โดยเมื่อปี 2018 เขาได้อภิปรายเรื่องงบประมาณรัฐบาลอย่างหนัก โดยปัจจุบัน นายลิม กิมยา ถือสัญชาติ ฝรั่งเศส-กัมพูชารายงานข่าวว่า พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 พ.ต.อ.สนอง แสงมณี ผกก.สน.ชนะสงคราม ชุดสืบสวนนครบาลและ ชุดสืบสวนนครบาล 1 เร่งล่าตัวมือปืนผู้ก่อเหตุ ซึ่งหลบหนีไป มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปที่มา https://www.nationtv.tv/news/crime/378954029?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR3Mc9xWHt0sCgNYdnBU24IoEr-Y-8_XuMg04Tc43GgZy7zWog0qmGrM3ME_aem_VsFP1guRTCe58IWSYccN8Q#m5ml6y27yfwju4yta39
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 574 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts