• หนุ่มหล่อแคลิฟอเนีย กินเก่งแข็งแรงดี วัย 3 เดือน ราคา 2,000 บาท สนใจทักมาได้นะครับ
    หนุ่มหล่อแคลิฟอเนีย กินเก่งแข็งแรงดี วัย 3 เดือน ราคา 2,000 บาท สนใจทักมาได้นะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • พี่หนุ่มร้องว้าว ลั่นเรื่องฟิล์มสุดซอย (05/02/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ฟิล์มสุดซอย #ฟิล์มแจ้งความหนุ่ม #ตบทรัพย์ดิไอค่อน
    พี่หนุ่มร้องว้าว ลั่นเรื่องฟิล์มสุดซอย (05/02/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ฟิล์มสุดซอย #ฟิล์มแจ้งความหนุ่ม #ตบทรัพย์ดิไอค่อน
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 653 มุมมอง 38 0 รีวิว
  • คนวัยทำงาน คนหนุ่มสาว ดูไว้นะ เอาชาติไปส่งคราม นักการเมืองมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ไม่รู้ แต่ ประชากรหาย ผลผลิตชาติ ลด มีหนี้ แล้วก็ขายทรัพยากรใช้หนี้ คนส่วนใหญ่ไม่ได้ แต่นักการเมือง คงได้
    https://mgronline.com/around/detail/9680000011123
    คนวัยทำงาน คนหนุ่มสาว ดูไว้นะ เอาชาติไปส่งคราม นักการเมืองมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ไม่รู้ แต่ ประชากรหาย ผลผลิตชาติ ลด มีหนี้ แล้วก็ขายทรัพยากรใช้หนี้ คนส่วนใหญ่ไม่ได้ แต่นักการเมือง คงได้ https://mgronline.com/around/detail/9680000011123
    MGRONLINE.COM
    ทุกอย่างมีราคา! เซเลนสกีหน้าซีดทรัมป์ยื่นเงื่อนไข ขอแร่แรร์เอิร์ธแลกความช่วยเหลือทางการเงิน
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯในวันจันทร์(3ก.พ.) ระบุต้องการให้ยูเครนป้อนแร่แรร์เอิร์ธแก่อเมริกา ในฐานะรูปแบบหนึ่งของการชำระเงิน แลกกับความช่วยเหลือทางการเงินสนับสนุนประเทศแห่งนี้ที่กำลังทำสงครามกับรัสเซีย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🥪อบไก่ได้ทั้งตัว ควรใช้เตาอบไฟฟ้าความจุเท่าไรดีนะ?🍖
    .
    ▫️การเลือกเตาอบไฟฟ้าเพื่ออบไก่ให้อร่อยต้องพิจารณาความจุแบบไม่ให้ขาด! ควรเลือกเตาที่มีความจุ 30 ลิตรขึ้นไป เพื่อให้ไก่ได้สุกทั่วถึงเหมือนความฟินที่ได้หนุ่มหล่อๆ!
    .
    ▫️ถ้าครัวแคบๆ เตาขนาดกลาง 20-30 ลิตรก็ยังรับมือได้ ส่วนเตาขนาดใหญ่กว่า 40 ลิตรเหมาะสำหรับงานเลี้ยงแบบจัดเต็ม!
    ▫️แล้วคุณมีสูตรเด็ดหรือเคล็ดลับในการอบไก่ให้อร่อยไหม?
    .
    พิกัด เตาอบไฟฟ้า ลด 65% 📌 https://s.shopee.co.th/LY6xq3AGD
    .
    _______________
    #เตาอบไฟฟ้า
    #เตาอบไฟฟ้า60ลิตร70ลิตร100ลิตร
    #เตาอบไฟฟ้ายี่ห้อไหนดี
    #เตาอบไฟฟ้า20ลิตร
    #เตาอบไฟฟ้า60ลิตร
    #เตาอบไฟฟ้า100ลิตร
    #เตาอบไฟฟ้า70ลิตร
    #เตาอบไฟฟ้าขนาดใหญ่
    #เตาอบไฟฟ้าelectrolux
    #เตาอบไฟฟ้าpantip
    #เตาอบไฟฟ้ายี่ห้อไหนดี2564pantip
    #เตาอบไฟฟ้า60ลิตรยี่ห้อไหนดี
    #เตาอบไฟฟ้าotto
    #เตาอบไฟฟ้าsharp
    #เตาอบไฟฟ้าแม็คโคร
    #เตาอบไฟฟ้า70ลิตรยี่ห้อไหนดี
    #เตาอบไฟฟ้ายี่ห้อไหนดี2564
    #เตาอบไฟฟ้า
    #เตาอบไฟฟ้า60ลิตร
    #เตาอบไฟฟ้า100ลิตร
    #เตาอบไฟฟ้า70ลิตร
    #เตาอบไฟฟ้ายี่ห้อไหนดี2563pantip
    #เตาอบไฟฟ้า70ลิตร
    #เตาอบไฟฟ้าราคาถูกแม็คโคร
    #เตาอบไฟฟ้าขนาดใหญ่
    #เตาอบไฟฟ้าelectrolux
    #เตาอบไฟฟ้าราคาถูกแม็คโคร
    #เตาอบไฟฟ้ายี่ห้อไหนดี
    #เตาอบไฟฟ้าelectrolux
    #รีวิวเตาอบไฟฟ้า
    🥪อบไก่ได้ทั้งตัว ควรใช้เตาอบไฟฟ้าความจุเท่าไรดีนะ?🍖 . ▫️การเลือกเตาอบไฟฟ้าเพื่ออบไก่ให้อร่อยต้องพิจารณาความจุแบบไม่ให้ขาด! ควรเลือกเตาที่มีความจุ 30 ลิตรขึ้นไป เพื่อให้ไก่ได้สุกทั่วถึงเหมือนความฟินที่ได้หนุ่มหล่อๆ! . ▫️ถ้าครัวแคบๆ เตาขนาดกลาง 20-30 ลิตรก็ยังรับมือได้ ส่วนเตาขนาดใหญ่กว่า 40 ลิตรเหมาะสำหรับงานเลี้ยงแบบจัดเต็ม! ▫️แล้วคุณมีสูตรเด็ดหรือเคล็ดลับในการอบไก่ให้อร่อยไหม? . พิกัด เตาอบไฟฟ้า ลด 65% 📌 https://s.shopee.co.th/LY6xq3AGD . _______________ #เตาอบไฟฟ้า #เตาอบไฟฟ้า60ลิตร70ลิตร100ลิตร #เตาอบไฟฟ้ายี่ห้อไหนดี #เตาอบไฟฟ้า20ลิตร #เตาอบไฟฟ้า60ลิตร #เตาอบไฟฟ้า100ลิตร #เตาอบไฟฟ้า70ลิตร #เตาอบไฟฟ้าขนาดใหญ่ #เตาอบไฟฟ้าelectrolux #เตาอบไฟฟ้าpantip #เตาอบไฟฟ้ายี่ห้อไหนดี2564pantip #เตาอบไฟฟ้า60ลิตรยี่ห้อไหนดี #เตาอบไฟฟ้าotto #เตาอบไฟฟ้าsharp #เตาอบไฟฟ้าแม็คโคร #เตาอบไฟฟ้า70ลิตรยี่ห้อไหนดี #เตาอบไฟฟ้ายี่ห้อไหนดี2564 #เตาอบไฟฟ้า #เตาอบไฟฟ้า60ลิตร #เตาอบไฟฟ้า100ลิตร #เตาอบไฟฟ้า70ลิตร #เตาอบไฟฟ้ายี่ห้อไหนดี2563pantip #เตาอบไฟฟ้า70ลิตร #เตาอบไฟฟ้าราคาถูกแม็คโคร #เตาอบไฟฟ้าขนาดใหญ่ #เตาอบไฟฟ้าelectrolux #เตาอบไฟฟ้าราคาถูกแม็คโคร #เตาอบไฟฟ้ายี่ห้อไหนดี #เตาอบไฟฟ้าelectrolux #รีวิวเตาอบไฟฟ้า
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 400 มุมมอง 10 0 รีวิว
  • หนุ่มอังกฤษอายุ 18 ปี ถูกโดรนรัสเซียสังหารตั้งแต่ภารกิจแรกในยูเครน

    "เขาไม่มีโอกาสรอดเลย" เพื่อนร่วมรบชาวอเมริกันที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าวินาทีที่เกิดขึ้น ชาวอเมริกันรอดโดรนรัสเซียมาได้แต่เสียขาไปข้างนึงในเวลาต่อมา - สำนักข่าว The Sun รายงานข่าวเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2025

    เจมส์ หนุ่มอังกฤษจากเมืองแมนเชสเตอร์บินมายูเครนเมื่อ 4 เดือนก่อน อายุ แค่ 17 ปีเท่านั้น เพื่อเข้าร่วมกับกองทัพยูเครนเพื่อรบกับรัสเซีย เขาไม่เคยมีประสบการณ์ทางทหารมาก่อน

    เขาตายในภารกิจแรกจากโดรนทิ้งระเบิดของรัสเซีย

    ภารกิจแรกของเขาคือไปส่งเสบียงให้แก่ทหารทหารที่อยู่ในแนวหน้า
    เจสัน— นักรบชาวอเมริกันที่อยู่กับเจมส์ในช่วงที่เขาเสียชีวิต และต่อมาเสียเท้าซ้ายระหว่างการสู้รบ — บอกกับ The Sun ว่า

    "ภารกิจนั้นเป็นภารกิจแรกและสุดท้ายของเจมส์"

    "พวกเราต้องข้ามทุ่งโล่งที่ไม่มีต้นไม้ ไม่มีที่กำบัง ไม่มีอะไรเลย เพื่อส่งเสบียงให้ทหารคนอื่น"

    "ผมเป็นหัวหน้าทีม และพวกเรามีกันหกคน เคลื่อนที่เป็นกลุ่มละสองคน โดยเว้นระยะห่างกัน 20 เมตร ผมกับเจมส์เป็นคู่สุดท้าย"

    "ผมเป็นคนสุดท้ายของกลุ่ม ผมบอกเขาให้รักษาระยะห่าง 20 เมตรจากผม ผมเห็นว่าเขากลัว และผมก็กลัวเหมือนกัน แต่ผมบอกเขาว่าเขาจะไม่เป็นไร"

    "พวกเรามีกระเป๋าหนักถึง 60 กิโลกรัม เมื่อเราข้ามทุ่งไปได้ครึ่งทาง เขาก็หยุดกะทันหัน"

    "ผมตะโกนเรียกเขาว่า ‘ทำไมถึงหยุด? นายกำลังทำอะไร?’ แต่เขาไม่ตอบ"

    "แล้วผมก็ได้ยินเสียงมัน—เสียงหึ่งๆ ในอากาศเหนือเรา—และคิดในใจว่า ‘บ้าเอ้ย’ ผมใช้เวลาสองถึงสามวินาทีมองหามัน แล้วก็เห็นมัน และตระหนักว่าเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด—กลางทุ่งโล่ง ไม่มีที่ให้เราหนี"

    "ผมตะโกนบอกเขาว่า ‘เราต้องขยับแล้ว! เราต้องไปเดี๋ยวนี้!’ แล้วโดรนก็เคลื่อนเข้ามาและเริ่มลอยอยู่เหนือผมที่ระยะ 20 เมตร"

    "ผมรู้ทันทีว่ามันเป็น ‘โดรนทิ้งระเบิด’ และนักบินของมันกำลังตัดสินใจว่าจะฆ่าใคร—ผมหรือเจมส์"

    "มันต้องการให้เราขยับเข้ามาใกล้กัน เพื่อที่จะฆ่าทั้งคู่ด้วยระเบิดลูกเดียว แล้วจู่ๆ ก็มีโดรนอีกตัวปรากฏขึ้น ผมบอกเขาว่าผมจะเริ่มยิง แล้วเขาหันมาพูดว่า ‘ฉันจะวิ่งแล้ว’"

    "เราทั้งคู่เริ่มออกวิ่ง โดยมีโดรนสองตัวตามอยู่เหนือหัว—แล้วก็มีตัวที่สามโผล่มาอีก"

    "พอโดรนจับเป้าหมายที่เจมส์ได้แล้ว เขาก็ไม่มีโอกาสรอดเลย"

    "เขาอยู่ห่างจากแนวสนามเพียงประมาณ 30 เมตร ตอนที่ผมเห็นโดรนระเบิด"

    "ขณะที่ผมก้มลงไปคว้าตัวเขา โดรนอีกตัวก็ปรากฏขึ้น ห่างจากหัวผมแค่สิบเมตร ผมหลับตาแล้วคิดในใจว่า ‘บ้าเอ้ย! นี่ฉันต้องตายแล้วสินะ’"

    "ผมรู้สึกสงบนิ่งไปชั่วขณะเหมือนทำใจยอมรับแล้ว ผมกอดเพื่อนเอาไว้ รอให้มันเกิดขึ้น"

    "แต่ผ่านไปห้าวินาที โดรนรัสเซียกลับพุ่งออกไปและทิ้งผมไว้ตรงนั้น—จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าทำไม"

    หลังจากเห็นเจมส์เสียชีวิต เขายังคงสู้ต่อไป และสามารถอพยพทหารที่บาดเจ็บได้อีกสามคน ซึ่งทั้งหมดรอดชีวิต
    แต่สี่วันต่อมา เขาเหยียบกับระเบิดและเสียเท้าซ้ายตั้งแต่ใต้เข่าลงไป

    เจสันกล่าวว่า "ผมพาเพื่อนของผม เจมส์ ออกจากสนามรบ แต่เขาก็จากไป มันยากที่จะไม่รู้สึกสะเทือนใจ แต่การได้เห็นสิ่งนั้นทำให้ผมอยากพยายามให้มากขึ้นเพื่อช่วยคนอื่น"

    "เขาเป็นน้องเล็กสุดในกลุ่ม และพวกเราทุกคนก็รู้สึกอยากปกป้องเขา สำหรับผม เขากลายเป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่ง"

    .
    https://www.facebook.com/share/p/19mBeAksJc/
    หนุ่มอังกฤษอายุ 18 ปี ถูกโดรนรัสเซียสังหารตั้งแต่ภารกิจแรกในยูเครน "เขาไม่มีโอกาสรอดเลย" เพื่อนร่วมรบชาวอเมริกันที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าวินาทีที่เกิดขึ้น ชาวอเมริกันรอดโดรนรัสเซียมาได้แต่เสียขาไปข้างนึงในเวลาต่อมา - สำนักข่าว The Sun รายงานข่าวเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2025 เจมส์ หนุ่มอังกฤษจากเมืองแมนเชสเตอร์บินมายูเครนเมื่อ 4 เดือนก่อน อายุ แค่ 17 ปีเท่านั้น เพื่อเข้าร่วมกับกองทัพยูเครนเพื่อรบกับรัสเซีย เขาไม่เคยมีประสบการณ์ทางทหารมาก่อน เขาตายในภารกิจแรกจากโดรนทิ้งระเบิดของรัสเซีย ภารกิจแรกของเขาคือไปส่งเสบียงให้แก่ทหารทหารที่อยู่ในแนวหน้า เจสัน— นักรบชาวอเมริกันที่อยู่กับเจมส์ในช่วงที่เขาเสียชีวิต และต่อมาเสียเท้าซ้ายระหว่างการสู้รบ — บอกกับ The Sun ว่า "ภารกิจนั้นเป็นภารกิจแรกและสุดท้ายของเจมส์" "พวกเราต้องข้ามทุ่งโล่งที่ไม่มีต้นไม้ ไม่มีที่กำบัง ไม่มีอะไรเลย เพื่อส่งเสบียงให้ทหารคนอื่น" "ผมเป็นหัวหน้าทีม และพวกเรามีกันหกคน เคลื่อนที่เป็นกลุ่มละสองคน โดยเว้นระยะห่างกัน 20 เมตร ผมกับเจมส์เป็นคู่สุดท้าย" "ผมเป็นคนสุดท้ายของกลุ่ม ผมบอกเขาให้รักษาระยะห่าง 20 เมตรจากผม ผมเห็นว่าเขากลัว และผมก็กลัวเหมือนกัน แต่ผมบอกเขาว่าเขาจะไม่เป็นไร" "พวกเรามีกระเป๋าหนักถึง 60 กิโลกรัม เมื่อเราข้ามทุ่งไปได้ครึ่งทาง เขาก็หยุดกะทันหัน" "ผมตะโกนเรียกเขาว่า ‘ทำไมถึงหยุด? นายกำลังทำอะไร?’ แต่เขาไม่ตอบ" "แล้วผมก็ได้ยินเสียงมัน—เสียงหึ่งๆ ในอากาศเหนือเรา—และคิดในใจว่า ‘บ้าเอ้ย’ ผมใช้เวลาสองถึงสามวินาทีมองหามัน แล้วก็เห็นมัน และตระหนักว่าเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด—กลางทุ่งโล่ง ไม่มีที่ให้เราหนี" "ผมตะโกนบอกเขาว่า ‘เราต้องขยับแล้ว! เราต้องไปเดี๋ยวนี้!’ แล้วโดรนก็เคลื่อนเข้ามาและเริ่มลอยอยู่เหนือผมที่ระยะ 20 เมตร" "ผมรู้ทันทีว่ามันเป็น ‘โดรนทิ้งระเบิด’ และนักบินของมันกำลังตัดสินใจว่าจะฆ่าใคร—ผมหรือเจมส์" "มันต้องการให้เราขยับเข้ามาใกล้กัน เพื่อที่จะฆ่าทั้งคู่ด้วยระเบิดลูกเดียว แล้วจู่ๆ ก็มีโดรนอีกตัวปรากฏขึ้น ผมบอกเขาว่าผมจะเริ่มยิง แล้วเขาหันมาพูดว่า ‘ฉันจะวิ่งแล้ว’" "เราทั้งคู่เริ่มออกวิ่ง โดยมีโดรนสองตัวตามอยู่เหนือหัว—แล้วก็มีตัวที่สามโผล่มาอีก" "พอโดรนจับเป้าหมายที่เจมส์ได้แล้ว เขาก็ไม่มีโอกาสรอดเลย" "เขาอยู่ห่างจากแนวสนามเพียงประมาณ 30 เมตร ตอนที่ผมเห็นโดรนระเบิด" "ขณะที่ผมก้มลงไปคว้าตัวเขา โดรนอีกตัวก็ปรากฏขึ้น ห่างจากหัวผมแค่สิบเมตร ผมหลับตาแล้วคิดในใจว่า ‘บ้าเอ้ย! นี่ฉันต้องตายแล้วสินะ’" "ผมรู้สึกสงบนิ่งไปชั่วขณะเหมือนทำใจยอมรับแล้ว ผมกอดเพื่อนเอาไว้ รอให้มันเกิดขึ้น" "แต่ผ่านไปห้าวินาที โดรนรัสเซียกลับพุ่งออกไปและทิ้งผมไว้ตรงนั้น—จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าทำไม" หลังจากเห็นเจมส์เสียชีวิต เขายังคงสู้ต่อไป และสามารถอพยพทหารที่บาดเจ็บได้อีกสามคน ซึ่งทั้งหมดรอดชีวิต แต่สี่วันต่อมา เขาเหยียบกับระเบิดและเสียเท้าซ้ายตั้งแต่ใต้เข่าลงไป เจสันกล่าวว่า "ผมพาเพื่อนของผม เจมส์ ออกจากสนามรบ แต่เขาก็จากไป มันยากที่จะไม่รู้สึกสะเทือนใจ แต่การได้เห็นสิ่งนั้นทำให้ผมอยากพยายามให้มากขึ้นเพื่อช่วยคนอื่น" "เขาเป็นน้องเล็กสุดในกลุ่ม และพวกเราทุกคนก็รู้สึกอยากปกป้องเขา สำหรับผม เขากลายเป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่ง" . https://www.facebook.com/share/p/19mBeAksJc/
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ฟิล์มให้สัมภาษณ์พี่หนุ่มนั่งดู
    พร้อมโพสภาพนี้ ให้อ่านปาก
    พี่คิงส์ได้ใช้ระบบเอไออ่านออกมาแล้ว
    พี่หนุ่มพูดว่า กรวย รวย หรือฆวย
    แน่ๆ ฟิล์มลองไปอ่านปากดูนะครับ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    #ฟิล์มให้สัมภาษณ์พี่หนุ่มนั่งดู พร้อมโพสภาพนี้ ให้อ่านปาก พี่คิงส์ได้ใช้ระบบเอไออ่านออกมาแล้ว พี่หนุ่มพูดว่า กรวย รวย หรือฆวย แน่ๆ ฟิล์มลองไปอ่านปากดูนะครับ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศึกใหญ่ใครจะดับ ฟิล์มเปิดศึกหนุ่มและอี๊ งานนี้มีเละ
    ศึกนี้ใหญ่หลวงนัก ความขัดแย้งระหว่างฟิล์ม รัฐภูมิ กับหนุ่มกรรชัย พัฒนามาถึงขั้นผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ ยากจะประนีประนอม เพราะมีคําว่า จัญไรเวิ่นจอในการพูดถึงแต่ละฝ่าย ฝ่ายฟิล์มหลังจากเงียบไปตั้งหลักอยู่นานจนนึกว่าจะยอมแพ้จากการเป็นฝ่ายถูกเปิดโปง ทั้งจากหนุ่มกรรชัย
    ทั้งจาก อี้แทนคุณ ที่ลุยแฉฟิล์มรัวรัวในห้วงเวลาใกล้เคียงกับหนุ่มกรรชัยที่ไหนได้ ฟิล์มไม่ยอมแพ้ เขากลับมาคราวนี้มาทวงความยุติธรรมให้ตัวเองโดยใช้บริการของทนายรุ่นเดอะ อย่างทนายประมาณ เรืองวัฒนวนิช
    คําว่าจัญไรก็ออกมาจากปากของทนายประมาณเองต่อหน้ากล้องสื่อมวลชนทุกช่องเรียกว่าจงใจเรื่องเรตติ้งข่าวกันเลย ทนายประมาณ พาฟิล์มไปแจ้งความที่สน ห้วยขวาง ดําเนินคดีกับหนุ่มกรรชัยและอี้แทนคุณ ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา
    งานนี้อี้แทนคุณโดนจัดหนักถึง 8 กรรมส่วนหนุ่มกรรชัยประมาณ 3-4 กรรมโดยฟิล์ม โอดครวญว่าที่ต้องเปิดศึกกับทั้งสองคนเพราะตัวเองโดนศาลเตี้ยชักจูงให้สังคมคล้อยตาม จนมีคนดุด่าไปถึงบุพการี ทันทีที่ปรากฏเป็นข่าวก็มีปฏิกิริยาตอบโต้จากหนุ่มกรรชัยทางควันมีคําว่าจัญไรออกมาเช่นกัน
    และโพสต์เตือนว่าใจเองมันได้ แต่หน้าเองมันด้าน พร้อมประกาศว่าทันทีที่หมายเรียกจากตํารวจมาถึง เขาก็จะสวนตับแตกเหมือนกันโดยจะแจ้งความกลับข้อหาแจ้งความเท็จและกลั่นแกล้งให้คนอื่นนั้นได้รับโทษทางอาญา
    ขณะที่อี้แทนคุณซึ่งถูกฟิล์มเย้ยว่าส่งคนมาต่อสายเจรจาลับหลัง ก็ปฏิเสธว่าไม่จริงและประกาศจะลุยเปิดโปงฟิล์มต่อไป สิ่งที่ทนายประมาณกล่าวต่อสื่อเขาบอกว่ามั่นใจในพยานหลักฐานที่มีถึงขั้นการันตีความบริสุทธิ์ของฟิล์มว่าไม่มีปัญหาเรื่องไปตบทรัพย์ยี่สิบล้านจากบอสปันแต่อย่างใด ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่...
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    #ฟิล์มรัฐภูมิ
    #หนุ่มกรรชัย
    #อี้แทนคุณ
    #โหนกระแส
    ศึกใหญ่ใครจะดับ ฟิล์มเปิดศึกหนุ่มและอี๊ งานนี้มีเละ ศึกนี้ใหญ่หลวงนัก ความขัดแย้งระหว่างฟิล์ม รัฐภูมิ กับหนุ่มกรรชัย พัฒนามาถึงขั้นผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ ยากจะประนีประนอม เพราะมีคําว่า จัญไรเวิ่นจอในการพูดถึงแต่ละฝ่าย ฝ่ายฟิล์มหลังจากเงียบไปตั้งหลักอยู่นานจนนึกว่าจะยอมแพ้จากการเป็นฝ่ายถูกเปิดโปง ทั้งจากหนุ่มกรรชัย ทั้งจาก อี้แทนคุณ ที่ลุยแฉฟิล์มรัวรัวในห้วงเวลาใกล้เคียงกับหนุ่มกรรชัยที่ไหนได้ ฟิล์มไม่ยอมแพ้ เขากลับมาคราวนี้มาทวงความยุติธรรมให้ตัวเองโดยใช้บริการของทนายรุ่นเดอะ อย่างทนายประมาณ เรืองวัฒนวนิช คําว่าจัญไรก็ออกมาจากปากของทนายประมาณเองต่อหน้ากล้องสื่อมวลชนทุกช่องเรียกว่าจงใจเรื่องเรตติ้งข่าวกันเลย ทนายประมาณ พาฟิล์มไปแจ้งความที่สน ห้วยขวาง ดําเนินคดีกับหนุ่มกรรชัยและอี้แทนคุณ ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา งานนี้อี้แทนคุณโดนจัดหนักถึง 8 กรรมส่วนหนุ่มกรรชัยประมาณ 3-4 กรรมโดยฟิล์ม โอดครวญว่าที่ต้องเปิดศึกกับทั้งสองคนเพราะตัวเองโดนศาลเตี้ยชักจูงให้สังคมคล้อยตาม จนมีคนดุด่าไปถึงบุพการี ทันทีที่ปรากฏเป็นข่าวก็มีปฏิกิริยาตอบโต้จากหนุ่มกรรชัยทางควันมีคําว่าจัญไรออกมาเช่นกัน และโพสต์เตือนว่าใจเองมันได้ แต่หน้าเองมันด้าน พร้อมประกาศว่าทันทีที่หมายเรียกจากตํารวจมาถึง เขาก็จะสวนตับแตกเหมือนกันโดยจะแจ้งความกลับข้อหาแจ้งความเท็จและกลั่นแกล้งให้คนอื่นนั้นได้รับโทษทางอาญา ขณะที่อี้แทนคุณซึ่งถูกฟิล์มเย้ยว่าส่งคนมาต่อสายเจรจาลับหลัง ก็ปฏิเสธว่าไม่จริงและประกาศจะลุยเปิดโปงฟิล์มต่อไป สิ่งที่ทนายประมาณกล่าวต่อสื่อเขาบอกว่ามั่นใจในพยานหลักฐานที่มีถึงขั้นการันตีความบริสุทธิ์ของฟิล์มว่าไม่มีปัญหาเรื่องไปตบทรัพย์ยี่สิบล้านจากบอสปันแต่อย่างใด ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่... #คิงส์โพธิ์ดำ #ฟิล์มรัฐภูมิ #หนุ่มกรรชัย #อี้แทนคุณ #โหนกระแส
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศึกใหญ่ใครจะดับ ฟิล์มเปิดศึกหนุ่มและอี๊ งานนี้มีเละ
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    #ฟิล์มรัฐภูมิ
    #หนุ่มกรรชัย
    #อี้แทนคุณ
    #โหนกระแส
    ศึกใหญ่ใครจะดับ ฟิล์มเปิดศึกหนุ่มและอี๊ งานนี้มีเละ #คิงส์โพธิ์ดำ #ฟิล์มรัฐภูมิ #หนุ่มกรรชัย #อี้แทนคุณ #โหนกระแส
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 3 0 รีวิว
  • "หนุ่ม กรรชัย"ลั่น สวนกลับตับแตกแน่!หลังถูก"ฟิล์ม รัฐภูมิ"แจ้งความหมิ่นประมาท 31/01/68 #หนุ่ม กรรชัย #ฟิล์ม รัฐภูมิ
    "หนุ่ม กรรชัย"ลั่น สวนกลับตับแตกแน่!หลังถูก"ฟิล์ม รัฐภูมิ"แจ้งความหมิ่นประมาท 31/01/68 #หนุ่ม กรรชัย #ฟิล์ม รัฐภูมิ
    Like
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 913 มุมมอง 32 0 รีวิว
  • ทานายประมาณทานายของไอ่เฮี้ยฟิล์มด่าพวกคุณJANGไร ฟ๊องหนุ่มกรรชัย "คืออะไรของเมิงไอ่ฟิล์มมันไถบอสอ้างพี่หนุ่ม สติเมิงมีมั๊ยประมาณ"
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    ทานายประมาณทานายของไอ่เฮี้ยฟิล์มด่าพวกคุณJANGไร ฟ๊องหนุ่มกรรชัย "คืออะไรของเมิงไอ่ฟิล์มมันไถบอสอ้างพี่หนุ่ม สติเมิงมีมั๊ยประมาณ" #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไอ่เฮี้ยฟิล์มเหิม ฟ๊องหนุ่มกรรไกร อ้างทำให้ตัวเองเสียชื่อเสียง ดาราไร้สำนึก ดาราต๋ำตม ดารานักไถ ดาราฟอกขาวเงิน ดาราหน้าH่EE
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    ไอ่เฮี้ยฟิล์มเหิม ฟ๊องหนุ่มกรรไกร อ้างทำให้ตัวเองเสียชื่อเสียง ดาราไร้สำนึก ดาราต๋ำตม ดารานักไถ ดาราฟอกขาวเงิน ดาราหน้าH่EE #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ฟิล์ม" ไม่ทน! เดินหน้าเอาผิด "หนุ่ม กรรชัย"-"อี้ แทนคุณ" เหน็บไม่แมน! 31/01/68 #ฟิล์ม รัฐภูมิ #หนุ่ม กรรชัย #อี้แทนคุณ
    "ฟิล์ม" ไม่ทน! เดินหน้าเอาผิด "หนุ่ม กรรชัย"-"อี้ แทนคุณ" เหน็บไม่แมน! 31/01/68 #ฟิล์ม รัฐภูมิ #หนุ่ม กรรชัย #อี้แทนคุณ
    Like
    Haha
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 816 มุมมอง 32 0 รีวิว
  • ปส.-ตร.ฝาง-ทหาร ฉก.ไชยานุภาพ กองกำลังผาเมือง เจออีกบิ๊กล็อต..หลังดักสกัดแก๊งขนยาออกจากชายแดนฝาง เจอไอ้หนุ่มไชยปราการควบกระบะบรรทุกยานรกแทบล้นรถเกือบ 100 กระสอบ จะฝ่าด่านตรวจ แต่ไม่รอด พบยาบ้าไม่ต่ำกว่า 15 ล้านเม็ด

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000009786

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ปส.-ตร.ฝาง-ทหาร ฉก.ไชยานุภาพ กองกำลังผาเมือง เจออีกบิ๊กล็อต..หลังดักสกัดแก๊งขนยาออกจากชายแดนฝาง เจอไอ้หนุ่มไชยปราการควบกระบะบรรทุกยานรกแทบล้นรถเกือบ 100 กระสอบ จะฝ่าด่านตรวจ แต่ไม่รอด พบยาบ้าไม่ต่ำกว่า 15 ล้านเม็ด อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000009786 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Wow
    16
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1198 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผ่านมาร่วมเดือนกับดรามานอกใจภรรยา สำหรับนักร้องหนุ่ม “แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข” หลังจากที่ออกมายอมรับว่าตัวเองนอกใจภรรยา อุปโลกน์ชู้มาเป็นสไตลิสต์ข้างกาย ทำแฟนคลับที่เสพผลงานกลัวว่า นักร้องหนุ่มอาจจะหมดอนาคตเพราะข่าวฉาวนี้ ซึ่งที่ผ่านมา แสตมป์ ก็ออกมายอมรับว่าถูกงานแคนเซิลหมดจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น

    แต่ล่าสุด (29 ม.ค.) ทางเพจ page Letana Hotel & Restaurant 24 Hrs ได้เผยภาพ แสตมป์ หวนเวทีครั้งแรกหลังมีดรามานอกใจเมีย ขึ้นเล่นคอนเสิร์ตที่ทางร้าน Letana บางพลี โดยช่วงที่กระแสข่าวกำลังแรงๆ ทางร้านก็อยู่ในช่วงกำลังโปรโมตงาน แม้แสตมป์จะบอกว่าถูกยกเลิกงานจนหมด แต่ร้านนี้ยืนหยัดจะจ้าง ซึ่งในงานก็มีแฟนเพลงไปซัปพอร์ตชมคอนเสิร์ตแบบสดๆ กันเพียบ ส่วนแฟนเพลงออนไลน์ก็เข้ามาคอมเมนต์ดีใจกันล้นหลาม ดีใจที่ได้เห็นแสตมป์กลับมาอีกครั้ง พร้อมบอกยังคงสนับสนุนอยู่แน่นอน แต่ก็ยังมีชาวเน็ตอีกจำนวนหนึ่งเข้ามาแซะ บ้างก็บอกฟังเพลง แสตมป์ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

    ขอบคุณภาพจาก page Letana Hotel & Restaurant 24 Hrs

    #MGROnline #แสตมป์อภิวัชร์
    ผ่านมาร่วมเดือนกับดรามานอกใจภรรยา สำหรับนักร้องหนุ่ม “แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข” หลังจากที่ออกมายอมรับว่าตัวเองนอกใจภรรยา อุปโลกน์ชู้มาเป็นสไตลิสต์ข้างกาย ทำแฟนคลับที่เสพผลงานกลัวว่า นักร้องหนุ่มอาจจะหมดอนาคตเพราะข่าวฉาวนี้ ซึ่งที่ผ่านมา แสตมป์ ก็ออกมายอมรับว่าถูกงานแคนเซิลหมดจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น • แต่ล่าสุด (29 ม.ค.) ทางเพจ page Letana Hotel & Restaurant 24 Hrs ได้เผยภาพ แสตมป์ หวนเวทีครั้งแรกหลังมีดรามานอกใจเมีย ขึ้นเล่นคอนเสิร์ตที่ทางร้าน Letana บางพลี โดยช่วงที่กระแสข่าวกำลังแรงๆ ทางร้านก็อยู่ในช่วงกำลังโปรโมตงาน แม้แสตมป์จะบอกว่าถูกยกเลิกงานจนหมด แต่ร้านนี้ยืนหยัดจะจ้าง ซึ่งในงานก็มีแฟนเพลงไปซัปพอร์ตชมคอนเสิร์ตแบบสดๆ กันเพียบ ส่วนแฟนเพลงออนไลน์ก็เข้ามาคอมเมนต์ดีใจกันล้นหลาม ดีใจที่ได้เห็นแสตมป์กลับมาอีกครั้ง พร้อมบอกยังคงสนับสนุนอยู่แน่นอน แต่ก็ยังมีชาวเน็ตอีกจำนวนหนึ่งเข้ามาแซะ บ้างก็บอกฟังเพลง แสตมป์ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป • ขอบคุณภาพจาก page Letana Hotel & Restaurant 24 Hrs • #MGROnline #แสตมป์อภิวัชร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครุฑครบรอบ 50 ปี
    อากาศยานแบบ โจมตีธุรการแบบที่2 AU-23A ประจำการ ฝูงบิน501 กองบิน5 อ่าวมะนาว ประจวบคีรีขันธ์

    เปิดให้เช่าบูชาเหรียญทรงกลม เนื้อสัมฤทธิ์ เล็กกว่าเหรียญสิบบาทหนุ่มเวียนแบบสองสีเล็กน้อย ในราคา 550 บาท จัดส่งฟรี
    ครุฑครบรอบ 50 ปี อากาศยานแบบ โจมตีธุรการแบบที่2 AU-23A ประจำการ ฝูงบิน501 กองบิน5 อ่าวมะนาว ประจวบคีรีขันธ์ เปิดให้เช่าบูชาเหรียญทรงกลม เนื้อสัมฤทธิ์ เล็กกว่าเหรียญสิบบาทหนุ่มเวียนแบบสองสีเล็กน้อย ในราคา 550 บาท จัดส่งฟรี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • พี่หนุ่มและกันจอมพลัง จะไม่เล่นเรื่องน้องแตงโมแน่นอน เพราะบางเหตุผลเดียวกัน คนไทยต้องเข้าใจทุกคนมีเหตุผลส่วนตัวที่พูดไม่ได้
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    พี่หนุ่มและกันจอมพลัง จะไม่เล่นเรื่องน้องแตงโมแน่นอน เพราะบางเหตุผลเดียวกัน คนไทยต้องเข้าใจทุกคนมีเหตุผลส่วนตัวที่พูดไม่ได้ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ฉีเคอะ” ประกาศ “ก๊วยเจ๋ง” ต้อง “เซียวจ้าน” คนเดียวเท่านั้น !
    ​​
    หลังจากประกาศงานการสร้าง ที่มีแม่ทัพคือ "ฉีเคอะ" ที่นั่งหัวโต๊ะรับหน้าที่ผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้กำกับระดับตำนานแห่งภาพยนตร์จีน ที่เลื่องชื่อในเรื่องความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ จนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้างสรรค์ที่ "อุทิศจิตวิญญาณ" แม้จะอายุ 75 แล้ว เขายังคงมีพลังล้นเหลือและมาตรฐานที่สูง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบฉากหรือกระบวนท่าต่อสู้ เขาก็ลงมือทำเองทั้งหมด ขัดเกลาทั้งวันทั้งคืน เพียงเพื่อสร้างภาพยนตร์ "มังกรหยก" ให้เป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่สมการรอคอย และสิ่งสำคัญที่สุด "ฉีเคอะ" สตีเว่น สปิลเบิร์ก แห่งเมืองจีน ฟันธงก๊วยเจ๋งของเขาต้องเป็น "เซียวจ้าน" เท่านั้น
    ​​
    "เซียวจ้าน" ซุปเปอร์สตาร์ดาราหนุ่มผู้ที่มาพร้อมกับวลีเด็ดติดปาก "ขออีกทีครับ!" ความมุ่งมั่น ความมีวินัย และความใส่ใจในทุกรายละเอียด เซียวจ้านได้พิสูจน์ให้ฉีเคอะเห็นมาตลอดว่าเขาไม่คิดที่จะหยุดอยู่กับที่ เขาพร้อมที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า! และความพยายามอย่างไม่ย่อท้อนี้เองคือเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจมหาชนของวงการบันเทิงจีน!

    คำกล่าวของฉีเคอะที่ว่า "โอกาสไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นให้ แต่เป็นสิ่งที่เราต้องไขว่คว้ามาเอง" ได้รับการพิสูจน์แล้วโดยเซียวจ้าน ! กับบทบาท "ก๊วยเจ๋ง" จึงเหมาะสมกับเขาอย่างไม่มีข้อกังขา ! เขาได้พิชิตใจฉีเคอะ พิชิตใจทีมงาน และกำลังจะเข้าไปพิชิตใจผู้ชมทั่วโลก !

    จากบทประพันธ์สุดลือลั่นของกิมย้ง ด้วยมหึมาทุนสร้าง 2,000 ล้านบาท
    นี่คือภาพยนตร์มังกรหยกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค
    มหาศึกระหว่างเหล่าจอมยุทธกับทัพใหญ่มองโกล
    ผลงานของผู้กำกับมือเทพ “ฉีเคอะ”

    “เซียวจ้าน” เป็น ก๊วยเจ๋ง ใน
    “The Legend of the Condor Heroes : The Gallants”
    “มังกรหยก จอมยุทธผู้ยิ่งใหญ่”
    ระเบิดพลังยุทธกอบกู้แผ่นดิน
    20 กุมภาพันธ์นี้ ต้องไปชมในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

    #มังกรหยกจอมยุทธผู้ยิ่งใหญ่ #จอมยุทธผู้ยิ่งใหญ่
    #LegendsofTheCondorHeroes #มังกรหยก2025
    #LegendsoftheCondorHeroesTheGallants
    #มังกรหยกเซียวจ้าน2025 #XiaoZhan
    #XiaoZhan肖战 #เซียวจ้าน #肖战
    #XiaoZhanxGuoJing #มังกรหยก
    #ก๊วยเจ๋ง #กัวจึ้ง #GuoJing
    “ฉีเคอะ” ประกาศ “ก๊วยเจ๋ง” ต้อง “เซียวจ้าน” คนเดียวเท่านั้น ! ​​ หลังจากประกาศงานการสร้าง ที่มีแม่ทัพคือ "ฉีเคอะ" ที่นั่งหัวโต๊ะรับหน้าที่ผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้กำกับระดับตำนานแห่งภาพยนตร์จีน ที่เลื่องชื่อในเรื่องความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ จนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้างสรรค์ที่ "อุทิศจิตวิญญาณ" แม้จะอายุ 75 แล้ว เขายังคงมีพลังล้นเหลือและมาตรฐานที่สูง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบฉากหรือกระบวนท่าต่อสู้ เขาก็ลงมือทำเองทั้งหมด ขัดเกลาทั้งวันทั้งคืน เพียงเพื่อสร้างภาพยนตร์ "มังกรหยก" ให้เป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่สมการรอคอย และสิ่งสำคัญที่สุด "ฉีเคอะ" สตีเว่น สปิลเบิร์ก แห่งเมืองจีน ฟันธงก๊วยเจ๋งของเขาต้องเป็น "เซียวจ้าน" เท่านั้น ​​ "เซียวจ้าน" ซุปเปอร์สตาร์ดาราหนุ่มผู้ที่มาพร้อมกับวลีเด็ดติดปาก "ขออีกทีครับ!" ความมุ่งมั่น ความมีวินัย และความใส่ใจในทุกรายละเอียด เซียวจ้านได้พิสูจน์ให้ฉีเคอะเห็นมาตลอดว่าเขาไม่คิดที่จะหยุดอยู่กับที่ เขาพร้อมที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า! และความพยายามอย่างไม่ย่อท้อนี้เองคือเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจมหาชนของวงการบันเทิงจีน! คำกล่าวของฉีเคอะที่ว่า "โอกาสไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นให้ แต่เป็นสิ่งที่เราต้องไขว่คว้ามาเอง" ได้รับการพิสูจน์แล้วโดยเซียวจ้าน ! กับบทบาท "ก๊วยเจ๋ง" จึงเหมาะสมกับเขาอย่างไม่มีข้อกังขา ! เขาได้พิชิตใจฉีเคอะ พิชิตใจทีมงาน และกำลังจะเข้าไปพิชิตใจผู้ชมทั่วโลก ! จากบทประพันธ์สุดลือลั่นของกิมย้ง ด้วยมหึมาทุนสร้าง 2,000 ล้านบาท นี่คือภาพยนตร์มังกรหยกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค มหาศึกระหว่างเหล่าจอมยุทธกับทัพใหญ่มองโกล ผลงานของผู้กำกับมือเทพ “ฉีเคอะ” “เซียวจ้าน” เป็น ก๊วยเจ๋ง ใน “The Legend of the Condor Heroes : The Gallants” “มังกรหยก จอมยุทธผู้ยิ่งใหญ่” ระเบิดพลังยุทธกอบกู้แผ่นดิน 20 กุมภาพันธ์นี้ ต้องไปชมในโรงภาพยนตร์เท่านั้น #มังกรหยกจอมยุทธผู้ยิ่งใหญ่ #จอมยุทธผู้ยิ่งใหญ่ #LegendsofTheCondorHeroes #มังกรหยก2025 #LegendsoftheCondorHeroesTheGallants #มังกรหยกเซียวจ้าน2025 #XiaoZhan #XiaoZhan肖战 #เซียวจ้าน #肖战 #XiaoZhanxGuoJing #มังกรหยก #ก๊วยเจ๋ง #กัวจึ้ง #GuoJing
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 490 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัยที่ผมยังเด็ก...

    ลมหนาวจางๆ เริ่มพัดมาแล้ว...
    ระดับนํ้าในแม่นํ้าโขงเริ่มลดลง พอให้ชาวบ้านที่อยู่ติดริมนํ้าได้เริ่มลงมือปลูกผักสวนครัวไว้ใช้ในบ้าน

    เมื่อลมหนาว เริ่มพัดมา ก็หมายความว่า ฤดูฝนกำลังจะหมดไป
    งานบุญเดือน 11 กำลังมาถึง..

    งานบุญออกพรรษา...

    สิ่งที่มีมาคู่กับงานออกพรรษาคือ
    งานบุญแข่งเรือ

    ช่วงก่อนจะใกล้งานบุญแข่งเรือสักหนึ่งเดือน...
    ช่วงเย็นๆ ที่ลำนํ้าโขงจะปรากฎเสียงกระตุ้นเร้าเป็นระยะๆ ดังพร้อมๆ กับเสียงนกหวีด ให้ออกแรง พายจํ้า
    เรือแข่งหลายสิบฝีพาย หลายๆลำมักจะใช้แม่นํ้าโขงเป็นสนามฝึกซ้อม

    หน้าต่างฝั่งนํ้าโขงของบ้านผมนั้น เป็นที่ที่ผมปีนขึ้นไปนั่งได้อย่างสะดวก แค่เหยียบเก้าอี้ขึ้นไป ก็นั่งขอบหน้าต่างได้แล้ว

    ปกติแล้วผมมักจะชอบนั่งดูแม่นํ้าอยู่ริมหน้าต่างที่บ้านเก่า และบ่อยครั้งก็อุตริขึ้นไปนั่งอ่านนิยายที่ขอบหน้าต่าง

    คราวที่ กำลังง่วนกับการละเล่น พอได้ยินเสียงนกหวีดให้จังหวะฝีพาย ผมจะทิ้งทุกอย่างวิ่งมาเกาะหน้าต่างดู ฝีพายที่ขะมักเขม้น จ้วงพายลงในนํ้า ในจังหวะที่พร้อมเพรียงกัน

    ฝีพายทั้งหลายต่างพร้อมใจกันมาซ้อมทุกเช้าเย็น...

    จวบจนวันบุญแข่งเรือ และงานวันออกพรรษา มาถึง....

    ถนนสุนทรวิจิตร หน้าบ้านผมในสมัย40กว่าปีก่อนนั้น...
    นับได้ว่าเป็นถนนเศรษฐกิจเลยทีเดียว ทั้งรถราวิ่งกันขวักไขว่ ร้านอาหาร บาร์ ก็ผุดเป็นดอกเห็ดยามหน้าฝน
    เวลามีงานบุญต่างๆ ขบวนแห่ทั้งหลาย ก็ต้องผ่านเส้นนี้ทั้งนั้น

    วันออกพรรษา ที่เป็นวันเต็ง คือวันขึ้น15 คํ่าเดือน11 .....

    ลานหญ้าริมเขื่อนฝั่งโขง หน้าบ้านพักผู้พิพากษา ยาวไปถึงสถานีตำรวจ และเลยไปถึงโรงเรียนสุนทรวิจิตร
    จะเต็มไปด้วยซุ้มต่างๆของแต่ละอำเภอ แต่ละท้องถิ่น พากันมาออกร้าน ทั้งไม้ไผ่ ทางมะพร้าว ไพหญ้า ต่างถูกใช้เป็นวัสดุหลักในการทำโครงสร้างรวมทั้งการตกแต่ง ที่เรียบง่าย แต่น่าสนใจเหลือเกินสำหรับเด็กในวัย6-7ขวบอย่างผม

    ตั้งแต่เช้า....
    ผู้คนเริ่มทะยอยกัน ออกมาเดินเท้าบนถนน ถนนหน้าบ้านผมคราครํ่าไปด้วยผู้คน

    แม่บ้านที่เลี้ยงผมในยามนั้น
    แกชอบออกมานั่งดู ผู้คนเดินไปมา ผมซึ่งยังเป็นเด็กมากในขณะนั้นกลับรู้สึกว่า ไม่เห็นจะน่าสนใจอะไรเลย
    สู้ลูกโป่งสีสวยในมือพ่อค้าไม่ได้

    หรือเสาไม้ไผ่ที่พ่อค้าแบกพาดไว้บนไหล่ถูกเจาะรู รอบๆเป็นระยะๆ เอาไว้เสียบเครื่องเล่น ของเล่น นานาชนิด...

    เครื่องบินที่แพนหางเป็นกระดาษ ส่วนหัว มีเชือกป่านผูกกับปลายไม้ที่เป็นก้านจับ พอแกว่งให้ปะทะอากาศก็จะมีเสียงดังวี้ด ๆ

    ยังมี "จั๊กจั่น" ที่เป็นกล่องกระดาษทรงกระบอกเล็กๆ ฝั่งหนึ่งเจาะรูมีเชือกร้อยห้อยติดกับไม้ พอเหวี่ยงกล่องกระดาษที่ปลายมันจะเกิดเสียงแหลมๆคล้ายจั๊กจั่น

    และที่ลืมไม่ได้...
    ป๋องแป๋งกระดาษแก้ว..
    ที่หน้าของตัวป๋องแป๋งขึงด้วยการะดาษแก้วหลากสี
    ตัวป๋องแป๋งมีลักษณะคล้ายกลองขนาดเล็ก ขึงหน้าด้วยกระดาษแก้วสี ด้านข้างมีเชือกป่านร้อยไว้ทั้ง2ด้านปลายด้านหนึ่ง มีดินเหนียวแห้งเป็นตุ้มถ่วง พอแกว่งป๋องแป๋ง ดินเหนียวนี้ก็จะไปปะทะหน้าป๋องแป๋ง เกิดเสียงกังวานขึ้น
    เตี่ยผมเคย ช่วยซ่อมป๋องแป๋งนี้ในยามที่หน้ากระดาษแก้วมันหย่อน
    แกเอาผ้าชุบนํ้าพอหมาดๆ แล้วเช็ดหน้ากระดาษแก้วไวๆ น่าประหลาดที่มันกลับมาตึงและดังกังวานได้อีกครั้ง

    แกบอกว่า กระดาษแก้วพอถูกนํ้าจะตึงขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ทำบ่อยๆก็ไม่ไหว มันจะหมดสภาพไป...
    .
    .
    .
    ฝูงชนยังคงคราครํ่า บนถนน...
    แม่บ้านผมก็ยังคงนั่งมองผู้คนอยู่อย่างนั้น...

    มาบัดนี้ ด้วยที่ผ่านวัยนั้นมา ผมเข้าใจแล้วว่า
    แกคงมองดูหนุ่มสาวที่มาด้วยกัน บางครั้งคงแอบมองหนุ่มๆที่มาคนเดียว หรือมาร่วมกลุ่มกัน นั่นก็คงทำให้แกมีความสุขเล็กๆได้
    .
    .
    พอตกบ่าย...
    หลังจากการแข่งเรือในท้องนํ้าที่กว้างใหญ่ผ่านไป
    มักจะมีเรือเล็กติดเครื่องยนต์ วิ่งไปมาใกล้ตลิ่ง
    หนุ่มๆบนเรือ บ้างก็เปลื้องผ้าท่อนบน บ้างก็มีสภาพมึนเมา บ่อยครั้งที่จะมีคำร้องกลอนพื้นบ้าน พร้อมเสียงกลองเสียงเคาะขวด ลอยตามเรือมาเป็นระยะๆ
    สาวบ้านไหนอยู่ในระยะสายตา มักจะโดนหนุ่มๆขี้เมาทั้งหลายในเรือลำจิ๋ว แซวไปซะทุกครั้ง และแน่นอน คำร้องแซว นั้น อยู่ในระดับ หยาบถึงหยาบมาก
    .
    .
    ขบวนแห่ปราสาทผึ้งเริ่มแล้ว
    การตกแต่ง ริ้วขบวนเป็นไปด้วยความเรียบง่าย ทั้งดนตรีปี่กลอง ผู้ร่วมขบวนนั้นมีมากมาย และมีทุกวัย
    บางคราวก็จะเห็น ตา หรือ ยายแก่ๆ ฟ้อนเข้าจังหวะ แต่จังหวะสับขานั้นเต็มไปด้วยควมสับสนอาจจะเพราะฤทธิ์ 40 ดีกรี ที่ดวดเข้าไปเต็มคราบ ถึงกับถอยหน้าถอยหลัง ไปไม่ถึงไหน
    ร้อนถึงเพื่อน ในขบวนต้องช่วยกันรุนหลังให้ตามขบวนไป
    บ้างก็หมดสภาพขนาดเพื่อนๆ ต้องหิ้วปีกตามขบวนกันเลย ก็ยังเคยมีให้เห็น
    .
    .
    งานบุญแบบนี้ สิ่งที่เด็กๆอย่างผมตั้งตารอ ก็คงจะหนีไม่พ้น ขนม นม เนย ที่วางขายกัน

    ของกิน ของซื้อมากมายเหลือเกินในงานออกร้าน

    รถเข็นขายลูกชิ้นปิ้ง
    ซึ่งผมและเด็กอีกหลายๆคนมักจะทำคล้ายๆกัน คือ ใช้ไม้ที่มีลูกชิ้นนั้น จิ้มนํ้าจิ้ม และดูดกินนํ้าจิ้มนั้น เรื่อยๆก่อน เหมือนกลัวว่า ถ้ารีบกินลูกชิ้นนั้น จะหมดลงไวเกินไป อีกมือที่ว่างก็ล้วงไปที่ถุงพลาสติกที่มีกระหลํ่าปลีหั่น เอาออกมาจิ้มนํ้าจิ้มกินอย่างเอร็ดอร่อย
    จนควรแก่เวลา ถึงได้บรรเลงลูกชิ้นที่เหลือไว้ ลงท้อง

    รถเข็นขายซาละเปา
    ซาละเปาร้อนๆ หอมฉุยทุกครั้งที่เปิดฝาซึ้งที่ใช้นึ่งซาละเปา ยังมีขนมปังที่กินกับไอศครีมตัก พ่อค้านำมาประยุกต์ ใส่ไส้สังขยาลงไป แล้วเอามานึ่งพร้อมซาละเปา ก็อร่อยไปอีกแบบ

    และสิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานออกพรรษาสมัยนั้น คือ ลูกเดือยต้ม

    มันจะถูกแบ่งเป็นกำๆ กำหนึ่งมีหลายก้าน ปลายก้านจะมีลูกเดือยอยู่แต่มันถูกหุ้มด้วยเปลือกแข็งๆ ต้องแทะเปลือกออกถึงจะได้ลิ้มรส ไอ้ลูกเดือยนี่แหละทำให้คนกวาดถนนออกมาบ่นทุกครั้งที่จบงาน เพราะมันถูกทิ้งเกลื่อนและเปลือกมีขนาดเล็ก ทำให้ยากต่อการเก็บกวาด

    งานดำเนินไปค่อนคืน...
    งานเลี้ยงก็ถึงเวลาต้องเลิกรา...
    .
    .
    .
    หลายสิบปีผ่านไป...
    งานออกพรรษา เปลี่ยนไปแล้ว...

    ความเรียบง่ายแฝงเสน่ห์บ้านๆถูกแทนที่ด้วยความยิ่งใหญ่ จ้าแจ่ม ของความทันสมัยที่ถูกใส่เข้ามาแทนที่

    ของเล่นในวัยเด็กที่พ่อค้าแบกท่อนไม้ไผ่เจาะรู ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว

    ของกินที่แสนอร่อยในวัยเด็กถูกแทนที่ด้วยของกินหน้าตาแปลกใหม่ และอาจจะอร่อยกว่าของเดิม

    ลูกเดือยต้ม แทบจะหาไม่ได้อีกแล้วในงานบุญออกพรรษา

    พร้อมๆกับที่ หนุ่มวัยรุ่นขี้เมาล่องเรือแซวสาว...
    ก็หายไปจากท้องนํ้า....
    .
    .
    .
    มีเพียงความทรงจำสีจางๆ...
    ภาพเก่าๆ ให้ระลึกถึง...

    ก็ทำให้ ใครบางคน...
    สถานที่บางสถานที่...
    ที่เคยสลายไปแล้วนั้น
    กลับมามีชีวิตอีกครั้ง...
    แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ก็ตาม....
    .
    .
    .
    ***ปล. ขอบคุณท่านเจ้าของภาพที่ผมนำมาใช้ประกอบบทความครับ

    ***ออกพรรษา
    เผยแพร่ครั้งแรก เมื่อ 7 ตุลาคม 2560 ที่เพจ ล ม ห ว น
    สมัยที่ผมยังเด็ก... ลมหนาวจางๆ เริ่มพัดมาแล้ว... ระดับนํ้าในแม่นํ้าโขงเริ่มลดลง พอให้ชาวบ้านที่อยู่ติดริมนํ้าได้เริ่มลงมือปลูกผักสวนครัวไว้ใช้ในบ้าน เมื่อลมหนาว เริ่มพัดมา ก็หมายความว่า ฤดูฝนกำลังจะหมดไป งานบุญเดือน 11 กำลังมาถึง.. งานบุญออกพรรษา... สิ่งที่มีมาคู่กับงานออกพรรษาคือ งานบุญแข่งเรือ ช่วงก่อนจะใกล้งานบุญแข่งเรือสักหนึ่งเดือน... ช่วงเย็นๆ ที่ลำนํ้าโขงจะปรากฎเสียงกระตุ้นเร้าเป็นระยะๆ ดังพร้อมๆ กับเสียงนกหวีด ให้ออกแรง พายจํ้า เรือแข่งหลายสิบฝีพาย หลายๆลำมักจะใช้แม่นํ้าโขงเป็นสนามฝึกซ้อม หน้าต่างฝั่งนํ้าโขงของบ้านผมนั้น เป็นที่ที่ผมปีนขึ้นไปนั่งได้อย่างสะดวก แค่เหยียบเก้าอี้ขึ้นไป ก็นั่งขอบหน้าต่างได้แล้ว ปกติแล้วผมมักจะชอบนั่งดูแม่นํ้าอยู่ริมหน้าต่างที่บ้านเก่า และบ่อยครั้งก็อุตริขึ้นไปนั่งอ่านนิยายที่ขอบหน้าต่าง คราวที่ กำลังง่วนกับการละเล่น พอได้ยินเสียงนกหวีดให้จังหวะฝีพาย ผมจะทิ้งทุกอย่างวิ่งมาเกาะหน้าต่างดู ฝีพายที่ขะมักเขม้น จ้วงพายลงในนํ้า ในจังหวะที่พร้อมเพรียงกัน ฝีพายทั้งหลายต่างพร้อมใจกันมาซ้อมทุกเช้าเย็น... จวบจนวันบุญแข่งเรือ และงานวันออกพรรษา มาถึง.... ถนนสุนทรวิจิตร หน้าบ้านผมในสมัย40กว่าปีก่อนนั้น... นับได้ว่าเป็นถนนเศรษฐกิจเลยทีเดียว ทั้งรถราวิ่งกันขวักไขว่ ร้านอาหาร บาร์ ก็ผุดเป็นดอกเห็ดยามหน้าฝน เวลามีงานบุญต่างๆ ขบวนแห่ทั้งหลาย ก็ต้องผ่านเส้นนี้ทั้งนั้น วันออกพรรษา ที่เป็นวันเต็ง คือวันขึ้น15 คํ่าเดือน11 ..... ลานหญ้าริมเขื่อนฝั่งโขง หน้าบ้านพักผู้พิพากษา ยาวไปถึงสถานีตำรวจ และเลยไปถึงโรงเรียนสุนทรวิจิตร จะเต็มไปด้วยซุ้มต่างๆของแต่ละอำเภอ แต่ละท้องถิ่น พากันมาออกร้าน ทั้งไม้ไผ่ ทางมะพร้าว ไพหญ้า ต่างถูกใช้เป็นวัสดุหลักในการทำโครงสร้างรวมทั้งการตกแต่ง ที่เรียบง่าย แต่น่าสนใจเหลือเกินสำหรับเด็กในวัย6-7ขวบอย่างผม ตั้งแต่เช้า.... ผู้คนเริ่มทะยอยกัน ออกมาเดินเท้าบนถนน ถนนหน้าบ้านผมคราครํ่าไปด้วยผู้คน แม่บ้านที่เลี้ยงผมในยามนั้น แกชอบออกมานั่งดู ผู้คนเดินไปมา ผมซึ่งยังเป็นเด็กมากในขณะนั้นกลับรู้สึกว่า ไม่เห็นจะน่าสนใจอะไรเลย สู้ลูกโป่งสีสวยในมือพ่อค้าไม่ได้ หรือเสาไม้ไผ่ที่พ่อค้าแบกพาดไว้บนไหล่ถูกเจาะรู รอบๆเป็นระยะๆ เอาไว้เสียบเครื่องเล่น ของเล่น นานาชนิด... เครื่องบินที่แพนหางเป็นกระดาษ ส่วนหัว มีเชือกป่านผูกกับปลายไม้ที่เป็นก้านจับ พอแกว่งให้ปะทะอากาศก็จะมีเสียงดังวี้ด ๆ ยังมี "จั๊กจั่น" ที่เป็นกล่องกระดาษทรงกระบอกเล็กๆ ฝั่งหนึ่งเจาะรูมีเชือกร้อยห้อยติดกับไม้ พอเหวี่ยงกล่องกระดาษที่ปลายมันจะเกิดเสียงแหลมๆคล้ายจั๊กจั่น และที่ลืมไม่ได้... ป๋องแป๋งกระดาษแก้ว.. ที่หน้าของตัวป๋องแป๋งขึงด้วยการะดาษแก้วหลากสี ตัวป๋องแป๋งมีลักษณะคล้ายกลองขนาดเล็ก ขึงหน้าด้วยกระดาษแก้วสี ด้านข้างมีเชือกป่านร้อยไว้ทั้ง2ด้านปลายด้านหนึ่ง มีดินเหนียวแห้งเป็นตุ้มถ่วง พอแกว่งป๋องแป๋ง ดินเหนียวนี้ก็จะไปปะทะหน้าป๋องแป๋ง เกิดเสียงกังวานขึ้น เตี่ยผมเคย ช่วยซ่อมป๋องแป๋งนี้ในยามที่หน้ากระดาษแก้วมันหย่อน แกเอาผ้าชุบนํ้าพอหมาดๆ แล้วเช็ดหน้ากระดาษแก้วไวๆ น่าประหลาดที่มันกลับมาตึงและดังกังวานได้อีกครั้ง แกบอกว่า กระดาษแก้วพอถูกนํ้าจะตึงขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ทำบ่อยๆก็ไม่ไหว มันจะหมดสภาพไป... . . . ฝูงชนยังคงคราครํ่า บนถนน... แม่บ้านผมก็ยังคงนั่งมองผู้คนอยู่อย่างนั้น... มาบัดนี้ ด้วยที่ผ่านวัยนั้นมา ผมเข้าใจแล้วว่า แกคงมองดูหนุ่มสาวที่มาด้วยกัน บางครั้งคงแอบมองหนุ่มๆที่มาคนเดียว หรือมาร่วมกลุ่มกัน นั่นก็คงทำให้แกมีความสุขเล็กๆได้ . . พอตกบ่าย... หลังจากการแข่งเรือในท้องนํ้าที่กว้างใหญ่ผ่านไป มักจะมีเรือเล็กติดเครื่องยนต์ วิ่งไปมาใกล้ตลิ่ง หนุ่มๆบนเรือ บ้างก็เปลื้องผ้าท่อนบน บ้างก็มีสภาพมึนเมา บ่อยครั้งที่จะมีคำร้องกลอนพื้นบ้าน พร้อมเสียงกลองเสียงเคาะขวด ลอยตามเรือมาเป็นระยะๆ สาวบ้านไหนอยู่ในระยะสายตา มักจะโดนหนุ่มๆขี้เมาทั้งหลายในเรือลำจิ๋ว แซวไปซะทุกครั้ง และแน่นอน คำร้องแซว นั้น อยู่ในระดับ หยาบถึงหยาบมาก . . ขบวนแห่ปราสาทผึ้งเริ่มแล้ว การตกแต่ง ริ้วขบวนเป็นไปด้วยความเรียบง่าย ทั้งดนตรีปี่กลอง ผู้ร่วมขบวนนั้นมีมากมาย และมีทุกวัย บางคราวก็จะเห็น ตา หรือ ยายแก่ๆ ฟ้อนเข้าจังหวะ แต่จังหวะสับขานั้นเต็มไปด้วยควมสับสนอาจจะเพราะฤทธิ์ 40 ดีกรี ที่ดวดเข้าไปเต็มคราบ ถึงกับถอยหน้าถอยหลัง ไปไม่ถึงไหน ร้อนถึงเพื่อน ในขบวนต้องช่วยกันรุนหลังให้ตามขบวนไป บ้างก็หมดสภาพขนาดเพื่อนๆ ต้องหิ้วปีกตามขบวนกันเลย ก็ยังเคยมีให้เห็น . . งานบุญแบบนี้ สิ่งที่เด็กๆอย่างผมตั้งตารอ ก็คงจะหนีไม่พ้น ขนม นม เนย ที่วางขายกัน ของกิน ของซื้อมากมายเหลือเกินในงานออกร้าน รถเข็นขายลูกชิ้นปิ้ง ซึ่งผมและเด็กอีกหลายๆคนมักจะทำคล้ายๆกัน คือ ใช้ไม้ที่มีลูกชิ้นนั้น จิ้มนํ้าจิ้ม และดูดกินนํ้าจิ้มนั้น เรื่อยๆก่อน เหมือนกลัวว่า ถ้ารีบกินลูกชิ้นนั้น จะหมดลงไวเกินไป อีกมือที่ว่างก็ล้วงไปที่ถุงพลาสติกที่มีกระหลํ่าปลีหั่น เอาออกมาจิ้มนํ้าจิ้มกินอย่างเอร็ดอร่อย จนควรแก่เวลา ถึงได้บรรเลงลูกชิ้นที่เหลือไว้ ลงท้อง รถเข็นขายซาละเปา ซาละเปาร้อนๆ หอมฉุยทุกครั้งที่เปิดฝาซึ้งที่ใช้นึ่งซาละเปา ยังมีขนมปังที่กินกับไอศครีมตัก พ่อค้านำมาประยุกต์ ใส่ไส้สังขยาลงไป แล้วเอามานึ่งพร้อมซาละเปา ก็อร่อยไปอีกแบบ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานออกพรรษาสมัยนั้น คือ ลูกเดือยต้ม มันจะถูกแบ่งเป็นกำๆ กำหนึ่งมีหลายก้าน ปลายก้านจะมีลูกเดือยอยู่แต่มันถูกหุ้มด้วยเปลือกแข็งๆ ต้องแทะเปลือกออกถึงจะได้ลิ้มรส ไอ้ลูกเดือยนี่แหละทำให้คนกวาดถนนออกมาบ่นทุกครั้งที่จบงาน เพราะมันถูกทิ้งเกลื่อนและเปลือกมีขนาดเล็ก ทำให้ยากต่อการเก็บกวาด งานดำเนินไปค่อนคืน... งานเลี้ยงก็ถึงเวลาต้องเลิกรา... . . . หลายสิบปีผ่านไป... งานออกพรรษา เปลี่ยนไปแล้ว... ความเรียบง่ายแฝงเสน่ห์บ้านๆถูกแทนที่ด้วยความยิ่งใหญ่ จ้าแจ่ม ของความทันสมัยที่ถูกใส่เข้ามาแทนที่ ของเล่นในวัยเด็กที่พ่อค้าแบกท่อนไม้ไผ่เจาะรู ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ของกินที่แสนอร่อยในวัยเด็กถูกแทนที่ด้วยของกินหน้าตาแปลกใหม่ และอาจจะอร่อยกว่าของเดิม ลูกเดือยต้ม แทบจะหาไม่ได้อีกแล้วในงานบุญออกพรรษา พร้อมๆกับที่ หนุ่มวัยรุ่นขี้เมาล่องเรือแซวสาว... ก็หายไปจากท้องนํ้า.... . . . มีเพียงความทรงจำสีจางๆ... ภาพเก่าๆ ให้ระลึกถึง... ก็ทำให้ ใครบางคน... สถานที่บางสถานที่... ที่เคยสลายไปแล้วนั้น กลับมามีชีวิตอีกครั้ง... แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ก็ตาม.... . . . ***ปล. ขอบคุณท่านเจ้าของภาพที่ผมนำมาใช้ประกอบบทความครับ ***ออกพรรษา เผยแพร่ครั้งแรก เมื่อ 7 ตุลาคม 2560 ที่เพจ ล ม ห ว น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 316 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟังข่าวเมื่อวาน จากจุดเดียวกันกับที่เคยมีตำรวจขี่รถมอเตอร์ไซค์ชนหมอกระต่ายที่กำลังเดินข้ามทางม้าลายจนลอยกระเด็นไปไกลและเสียชีวิต

    ไรเดอร์หนุ่มซิ่งมอเตอร์ไซค์ชนนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีขณะกำลังข้ามถนน เคราะห์ดียังไม่ถึงตาย

    ฟังคำอ้างของไรเดอร์แล้วได้แต่อนาถใจ เพราะเขาให้เหตุผลว่ามองไม่เห็นสัญญาณไฟคนข้าม

    หากให้พูดสำนวนนักเลงหน่อยคงต้องใช้ประโยคประมาณว่า

    "อะไรของมึง ตอบมาได้อย่างไร ใบขับขี่ซื้อมาเหรอ กฎหมายจราจรชัดเจนมีมานานตั้งแต่ไรเดอร์ยังไม่เกิดเลย"

    ข้อหนึ่งใจความประมาณว่าเมื่อผู้ขับขี่ขับมาถึงบริเวณที่มีทางข้ามอย่างทางม้าลาย ให้ระมัดระวัง เตรียมชะลอ หากมีคนรอข้าม ให้จอดรถสนิทห่างจากทางม้าลายอย่างน้อย 3 เมตร แต่ถ้าดูดีแล้วว่าไม่มีคนจึงค่อยออกรถวิ่งต่อได้ ฝ่าฝืนคือผิดกฎหมาย

    ด้วยเหตุนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวถือว่าไรเดอร์ทำผิดกฎแล้ว 100% มันน่าอับอายคนทั่วโลกเหลือเกิน ที่คนขับขี่รถในประเทศนี้ คุณภาพโดยรวมต่ำย่ำแย่ติดลบสุด ๆ

    ใน 100 คน หาสักคนที่จะชะลอจอดยังหาไม่ได้เลยมั้ง คนเหล่านี้ไม่สำนึก ผ่านวันนี้ไปก็คงลืมแล้ว วันต่อไปก็เป็นเช่นเดิม การบังคับใช้กฎหมายของ จนท.ก็ย่ำแย่พอกับคุณภาพคนขับขี่ ไม่ควรให้ออกมาขี่รถตลอดชีวิตด้วยซ้ำ มีโอกาสสูงมากที่สักวันต้องทำคนตายบนถนนแน่

    คิดถึงที่ข้าพเจ้าเคยเขียนไว้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ขอรีโพสต์อีกครั้งแล้วกัน ดังมีเนื้อหาต่อไปนี้

    ...........

    #ทางม้าลายหรือทางตายแน่

    ทางม้าลายในไทยนี้มีก็ไม่แตกต่างจากไม่มีจริงนะ เคยพูดเรื่องนี้หลายหน ข้าพเจ้าเดินข้ามถนนมาตั้งแต่เด็กที่ต้องกลับบ้านเอง และการข้ามถนนในกรุงเทพสำหรับเด็กแล้ว มันคือการเสี่ยงดวงทุกครั้ง

    ถ้ามีสะพานลอย นั่นคือทางเลือกแรก แต่ในหลายที่ไม่มี ก็ต้องมองหาทางม้าลายแทน แต่แม้นจะหาเจอ บอกได้เลยว่าเจ้าลายขาวดำบนพื้นนั้น ไม่ได้ช่วยให้คนข้ามรู้สึกถึงความปลอดภัยเพิ่มขึ้นกว่าพื้นถนนที่ไม่มีลายแม้แต่นิดเดียว สำหรับในเมืองไทยนี้

    หลายครั้งก็หวุดหวิดเกือบโดนเฉี่ยวชน แต่ยังบุญรักษาที่รอดมาได้ถึงปัจจุบัน

    ข้ามมาไม่รู้กี่พันครั้งในชีวิตนี้ เชื่อไหมว่าที่มีคนขับมีน้ำใจ มีมารยาทตามกฎจราจร หยุดจอดให้โดยดีก่อนถึงเส้นขาวดำนั้นมีไม่น่าจะถึง 10 ครั้ง

    เกือบทั้งหมดคือไม่สนเลยว่าใครจะข้าม จะมีคนแก่ คนท้อง เด็ก ผู้หญิง คนพิการ หรือแค่คนปกติธรรมดาที่เขายืนรอจังหวะหวังว่าจะพอมีช่วงที่รถชะลอให้พอข้ามได้

    ล้วนแล้วแต่อยากจะรีบไปของตัวเองกันแทบทั้งนั้น อย่าว่าแต่หยุดรถให้เลย แค่ลดความเร็วยังหายากมากถึงมากที่สุด จะข้ามได้คือต้องช่วงที่รถอยู่ห่างจากตัวหลายสิบเมตร แล้วกะจังหวะเวลาให้ดี ใหม่ๆก็วิ่งหน้าตั้ง หลังๆประสบการณ์พอตัว ก็ไม่วิ่ง ก้าวเร็วๆเอา

    แต่บางถนนที่มีการจราจรแน่นหนาคับคั่ง การข้ามทางม้าลายนี่ยังกับปีนไต่ต้นถั่วขึ้นไปบนฟ้า โอกาสร่วงลงมาตายสูง เผลอๆมีสิ่งคาดไม่ถึงเกิดขึ้นด้วย

    อาทิเรากะว่าน่าจะวิ่งข้ามทัน แต่รถดันมาไวมาก ถึงจวนตัวกระชั้นชิด ก็จะโดนบีบแตรไล่ยาว พอเราตกใจหยุดกะทันหันคนขับจะหัวเสียที่ต้องเบรกเอี๊ยด ทำหน้ายักษ์ใส่ แล้วยกมือขึ้นมาทำท่าโบกเหมือนไล่ให้รีบไปเร็วๆ อย่ามาเกะกะกู ครั้นพอเราได้สติ จะรีบข้ามต่อ แต่รถคันที่มาเลนกลางดันไม่สนใจว่าคันทางซ้ายนั้นจำใจจอดแล้ว ตัวเองควรต้องจอดด้วยเพื่อให้คนข้าม

    เขากลับทำตรงข้ามกับสิ่งที่ควรทำ คือยิ่งเร่งความเร็วจะผ่านตรงม้าลายนี้ไป ดังนั้นถ้าหากเราไม่ตาไวและระวังเพียงพอ ก็มีสิทธิถูกเสยกระเด็นไปเหมือนว่าวขาดลอย

    นี่คือจุดตายของคนข้ามทางม้าลายมานักต่อนัก อย่าชะล่าใจเป็นอันขาดที่คิดว่าคันแรกจอดให้เราข้าม แล้วคันอื่นๆที่วิ่งตามมาเลนอื่นจะจอดให้เราไปง่ายๆ

    น้ำใจบนท้องถนนของคนขับรถในบ้านเมืองนี้ ต้องบอกว่าแห้งแล้งยิ่งกว่าแผ่นดินอีสานเมื่อหลายสิบปีก่อน เป็นเช่นนั้นจริงๆ และนับวันจะเป็นมากขึ้น

    ที่จอดให้นั้น จำใจจอดซะเป็นส่วนใหญ่ ที่จะตั้งใจจอดให้เองอย่างยินดีตั้งแต่รถยังไม่ทันทับเส้นขาวดำนี่น่าจะเหมือนฝัน หากใครพบเจอในไทยนะ ขอแนะนำให้หันไปยิ้มให้และไหว้ขอบคุณคนขับอย่างงามๆเป็นการให้กำลังใจในสิ่งที่เขาทำสักหน่อยเถิด

    คนมีรถยนต์ส่วนตัวนั้น ที่จะขับขี่โดยไม่เห็นแก่ตัว และมองเห็นหัวคนเดินถนนบ้างนั้น หาได้น้อยแสนน้อยยิ่งนัก

    เอาง่ายๆ ใครมีรถ ลองถามใจตัวเอง ทุกครั้งที่วิ่งผ่านทางม้าลาย ต่อให้ไม่มีคนรอข้ามเลย เคยไหมที่จะชะลอลดความเร็วลง หรือว่าห้อตะบึงไปอย่างไม่ไยดี

    หรือหากมีคน แล้วกี่ครั้งกันที่คุณหยุดรถให้เขาเหล่านั้นได้เดินข้ามอย่างไม่ต้องวิ่งตาลีตาเหลือก

    หรือมีแต่บีบแตรกันไม่ให้เขาข้ามมา ทั้งที่ตัวเองก็ยังอยู่ห่างจากทางม้าลายพอสมควร แต่ไม่คิดจะหยุด จึงต้องบีบแตรไว้ก่อน เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าฉันจะไปยาวนะ ไม่จอด อย่าสะเออะข้ามมา

    ชนตายไม่รู้นะมึง

    ใช่เป็นแบบนั้นหรือไม่?

    น่าเศร้าใจนะไทยแลนด์

    ทำไมคนขับรถถึงใจดำได้เพียงนี้

    ช่วงหน้าฝนชัดเจนที่สุด คนยืนรอข้ามถนน รอขึ้นรถเมล์ หรือกำลังเดินริมถนน รถแต่ละคันวิ่งฝ่าน้ำบนพื้น กระฉูดใส่คนบนทางเท้าราวกับคลื่นทะเลที่มาเป็นอุโมงค์น้ำ

    คนเหล่านั้นเขาน่าสงสาร น่าเห็นใจขนาดไหน เด็กเล็กๆกับพ่อแม่ผู้ปกครองที่ไปรับกลับบ้าน หรือมาโรงเรียน คนทำงานที่เหน็ดเหนื่อยรอที่จะกลับบ้านหรือกำลังจะไปที่ทำงาน ฝนตกยืนกางร่มก็ลำบากไม่น้อยแล้ว ยังต้องมาถูกซัดโครมเดียวด้วยน้ำสกปรกสีขุ่นและตะกอนฝุ่นผงดินโคลนทั้งหลายก็กระเด็น กระจัดกระจาย สร้างลวดลายไปบนชุดและร่างกายของเขาทั่วหัวยันตีน เข้าตา เข้าจมูก เข้าหู เข้าปากด้วยก็ไม่แน่

    เขาต้องทนไปจนกว่าจะกลับถึงบ้านจึงได้อาบน้ำ ถ้ากำลังไปเรียน ไปทำงาน ไปสอบ จะทำอย่างไร แต่คนขับที่ทำอุโมงค์น้ำซัดใส่นั้น หายไปไหนแล้วไม่รู้

    แล้วรู้อะไรไหม คนขับพวกนี้ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำร้ายใครไปแล้วบ้างกี่คน กว่าที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางของตัวเอง

    จากประสบการณ์จริงที่เคยเจอมาทั้งกับตัวเอง และเห็นคนที่โดนกระทำในขณะที่เราเป็นผู้โดยสารอยู่บนรถคันที่ก่อเหตุ

    เพราะเราเป็นคนเดินดินริมถนน เหมือนกันกับเขา จึงเข้าใจ แต่หลายคนที่เคยเป็นคนเดินถนน พอเริ่มมีรถเป็นของตนเองแล้วเมื่อไร ก็เหมือนโดนคำสาปสิงสู่ใจ ทำให้ลืมไปหมดในเรื่องที่ตนเคยประสบพบเจอมา แล้วก็กลายร่างเป็นคนชนิดเดียวกันกับคนที่เคยเบียดเบียนตนเองมาก่อนเช่นกัน

    อย่าลืมว่าเขาที่เดินเท้าบนถนนก็คือคนที่มีศักดิ์ มีศรี ควรต่อการให้ความใส่ใจ และปฏิบัติต่อกันเฉกเช่นคนในครอบครัวของเรา หาใช่ก้อนอิฐ หิน ดิน ทราย ที่ไร้ชีวิต

    ขอบคุณภาพฟรีจาก pixabay.com

    #บทความ
    #thaitimes
    #แง่คิด
    #รถชนนักท่องเที่ยว
    #ข้ามทางม้าลาย
    ฟังข่าวเมื่อวาน จากจุดเดียวกันกับที่เคยมีตำรวจขี่รถมอเตอร์ไซค์ชนหมอกระต่ายที่กำลังเดินข้ามทางม้าลายจนลอยกระเด็นไปไกลและเสียชีวิต ไรเดอร์หนุ่มซิ่งมอเตอร์ไซค์ชนนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีขณะกำลังข้ามถนน เคราะห์ดียังไม่ถึงตาย ฟังคำอ้างของไรเดอร์แล้วได้แต่อนาถใจ เพราะเขาให้เหตุผลว่ามองไม่เห็นสัญญาณไฟคนข้าม หากให้พูดสำนวนนักเลงหน่อยคงต้องใช้ประโยคประมาณว่า "อะไรของมึง ตอบมาได้อย่างไร ใบขับขี่ซื้อมาเหรอ กฎหมายจราจรชัดเจนมีมานานตั้งแต่ไรเดอร์ยังไม่เกิดเลย" ข้อหนึ่งใจความประมาณว่าเมื่อผู้ขับขี่ขับมาถึงบริเวณที่มีทางข้ามอย่างทางม้าลาย ให้ระมัดระวัง เตรียมชะลอ หากมีคนรอข้าม ให้จอดรถสนิทห่างจากทางม้าลายอย่างน้อย 3 เมตร แต่ถ้าดูดีแล้วว่าไม่มีคนจึงค่อยออกรถวิ่งต่อได้ ฝ่าฝืนคือผิดกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวถือว่าไรเดอร์ทำผิดกฎแล้ว 100% มันน่าอับอายคนทั่วโลกเหลือเกิน ที่คนขับขี่รถในประเทศนี้ คุณภาพโดยรวมต่ำย่ำแย่ติดลบสุด ๆ ใน 100 คน หาสักคนที่จะชะลอจอดยังหาไม่ได้เลยมั้ง คนเหล่านี้ไม่สำนึก ผ่านวันนี้ไปก็คงลืมแล้ว วันต่อไปก็เป็นเช่นเดิม การบังคับใช้กฎหมายของ จนท.ก็ย่ำแย่พอกับคุณภาพคนขับขี่ ไม่ควรให้ออกมาขี่รถตลอดชีวิตด้วยซ้ำ มีโอกาสสูงมากที่สักวันต้องทำคนตายบนถนนแน่ คิดถึงที่ข้าพเจ้าเคยเขียนไว้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ขอรีโพสต์อีกครั้งแล้วกัน ดังมีเนื้อหาต่อไปนี้ ........... #ทางม้าลายหรือทางตายแน่ ทางม้าลายในไทยนี้มีก็ไม่แตกต่างจากไม่มีจริงนะ เคยพูดเรื่องนี้หลายหน ข้าพเจ้าเดินข้ามถนนมาตั้งแต่เด็กที่ต้องกลับบ้านเอง และการข้ามถนนในกรุงเทพสำหรับเด็กแล้ว มันคือการเสี่ยงดวงทุกครั้ง ถ้ามีสะพานลอย นั่นคือทางเลือกแรก แต่ในหลายที่ไม่มี ก็ต้องมองหาทางม้าลายแทน แต่แม้นจะหาเจอ บอกได้เลยว่าเจ้าลายขาวดำบนพื้นนั้น ไม่ได้ช่วยให้คนข้ามรู้สึกถึงความปลอดภัยเพิ่มขึ้นกว่าพื้นถนนที่ไม่มีลายแม้แต่นิดเดียว สำหรับในเมืองไทยนี้ หลายครั้งก็หวุดหวิดเกือบโดนเฉี่ยวชน แต่ยังบุญรักษาที่รอดมาได้ถึงปัจจุบัน ข้ามมาไม่รู้กี่พันครั้งในชีวิตนี้ เชื่อไหมว่าที่มีคนขับมีน้ำใจ มีมารยาทตามกฎจราจร หยุดจอดให้โดยดีก่อนถึงเส้นขาวดำนั้นมีไม่น่าจะถึง 10 ครั้ง เกือบทั้งหมดคือไม่สนเลยว่าใครจะข้าม จะมีคนแก่ คนท้อง เด็ก ผู้หญิง คนพิการ หรือแค่คนปกติธรรมดาที่เขายืนรอจังหวะหวังว่าจะพอมีช่วงที่รถชะลอให้พอข้ามได้ ล้วนแล้วแต่อยากจะรีบไปของตัวเองกันแทบทั้งนั้น อย่าว่าแต่หยุดรถให้เลย แค่ลดความเร็วยังหายากมากถึงมากที่สุด จะข้ามได้คือต้องช่วงที่รถอยู่ห่างจากตัวหลายสิบเมตร แล้วกะจังหวะเวลาให้ดี ใหม่ๆก็วิ่งหน้าตั้ง หลังๆประสบการณ์พอตัว ก็ไม่วิ่ง ก้าวเร็วๆเอา แต่บางถนนที่มีการจราจรแน่นหนาคับคั่ง การข้ามทางม้าลายนี่ยังกับปีนไต่ต้นถั่วขึ้นไปบนฟ้า โอกาสร่วงลงมาตายสูง เผลอๆมีสิ่งคาดไม่ถึงเกิดขึ้นด้วย อาทิเรากะว่าน่าจะวิ่งข้ามทัน แต่รถดันมาไวมาก ถึงจวนตัวกระชั้นชิด ก็จะโดนบีบแตรไล่ยาว พอเราตกใจหยุดกะทันหันคนขับจะหัวเสียที่ต้องเบรกเอี๊ยด ทำหน้ายักษ์ใส่ แล้วยกมือขึ้นมาทำท่าโบกเหมือนไล่ให้รีบไปเร็วๆ อย่ามาเกะกะกู ครั้นพอเราได้สติ จะรีบข้ามต่อ แต่รถคันที่มาเลนกลางดันไม่สนใจว่าคันทางซ้ายนั้นจำใจจอดแล้ว ตัวเองควรต้องจอดด้วยเพื่อให้คนข้าม เขากลับทำตรงข้ามกับสิ่งที่ควรทำ คือยิ่งเร่งความเร็วจะผ่านตรงม้าลายนี้ไป ดังนั้นถ้าหากเราไม่ตาไวและระวังเพียงพอ ก็มีสิทธิถูกเสยกระเด็นไปเหมือนว่าวขาดลอย นี่คือจุดตายของคนข้ามทางม้าลายมานักต่อนัก อย่าชะล่าใจเป็นอันขาดที่คิดว่าคันแรกจอดให้เราข้าม แล้วคันอื่นๆที่วิ่งตามมาเลนอื่นจะจอดให้เราไปง่ายๆ น้ำใจบนท้องถนนของคนขับรถในบ้านเมืองนี้ ต้องบอกว่าแห้งแล้งยิ่งกว่าแผ่นดินอีสานเมื่อหลายสิบปีก่อน เป็นเช่นนั้นจริงๆ และนับวันจะเป็นมากขึ้น ที่จอดให้นั้น จำใจจอดซะเป็นส่วนใหญ่ ที่จะตั้งใจจอดให้เองอย่างยินดีตั้งแต่รถยังไม่ทันทับเส้นขาวดำนี่น่าจะเหมือนฝัน หากใครพบเจอในไทยนะ ขอแนะนำให้หันไปยิ้มให้และไหว้ขอบคุณคนขับอย่างงามๆเป็นการให้กำลังใจในสิ่งที่เขาทำสักหน่อยเถิด คนมีรถยนต์ส่วนตัวนั้น ที่จะขับขี่โดยไม่เห็นแก่ตัว และมองเห็นหัวคนเดินถนนบ้างนั้น หาได้น้อยแสนน้อยยิ่งนัก เอาง่ายๆ ใครมีรถ ลองถามใจตัวเอง ทุกครั้งที่วิ่งผ่านทางม้าลาย ต่อให้ไม่มีคนรอข้ามเลย เคยไหมที่จะชะลอลดความเร็วลง หรือว่าห้อตะบึงไปอย่างไม่ไยดี หรือหากมีคน แล้วกี่ครั้งกันที่คุณหยุดรถให้เขาเหล่านั้นได้เดินข้ามอย่างไม่ต้องวิ่งตาลีตาเหลือก หรือมีแต่บีบแตรกันไม่ให้เขาข้ามมา ทั้งที่ตัวเองก็ยังอยู่ห่างจากทางม้าลายพอสมควร แต่ไม่คิดจะหยุด จึงต้องบีบแตรไว้ก่อน เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าฉันจะไปยาวนะ ไม่จอด อย่าสะเออะข้ามมา ชนตายไม่รู้นะมึง ใช่เป็นแบบนั้นหรือไม่? น่าเศร้าใจนะไทยแลนด์ ทำไมคนขับรถถึงใจดำได้เพียงนี้ ช่วงหน้าฝนชัดเจนที่สุด คนยืนรอข้ามถนน รอขึ้นรถเมล์ หรือกำลังเดินริมถนน รถแต่ละคันวิ่งฝ่าน้ำบนพื้น กระฉูดใส่คนบนทางเท้าราวกับคลื่นทะเลที่มาเป็นอุโมงค์น้ำ คนเหล่านั้นเขาน่าสงสาร น่าเห็นใจขนาดไหน เด็กเล็กๆกับพ่อแม่ผู้ปกครองที่ไปรับกลับบ้าน หรือมาโรงเรียน คนทำงานที่เหน็ดเหนื่อยรอที่จะกลับบ้านหรือกำลังจะไปที่ทำงาน ฝนตกยืนกางร่มก็ลำบากไม่น้อยแล้ว ยังต้องมาถูกซัดโครมเดียวด้วยน้ำสกปรกสีขุ่นและตะกอนฝุ่นผงดินโคลนทั้งหลายก็กระเด็น กระจัดกระจาย สร้างลวดลายไปบนชุดและร่างกายของเขาทั่วหัวยันตีน เข้าตา เข้าจมูก เข้าหู เข้าปากด้วยก็ไม่แน่ เขาต้องทนไปจนกว่าจะกลับถึงบ้านจึงได้อาบน้ำ ถ้ากำลังไปเรียน ไปทำงาน ไปสอบ จะทำอย่างไร แต่คนขับที่ทำอุโมงค์น้ำซัดใส่นั้น หายไปไหนแล้วไม่รู้ แล้วรู้อะไรไหม คนขับพวกนี้ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำร้ายใครไปแล้วบ้างกี่คน กว่าที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางของตัวเอง จากประสบการณ์จริงที่เคยเจอมาทั้งกับตัวเอง และเห็นคนที่โดนกระทำในขณะที่เราเป็นผู้โดยสารอยู่บนรถคันที่ก่อเหตุ เพราะเราเป็นคนเดินดินริมถนน เหมือนกันกับเขา จึงเข้าใจ แต่หลายคนที่เคยเป็นคนเดินถนน พอเริ่มมีรถเป็นของตนเองแล้วเมื่อไร ก็เหมือนโดนคำสาปสิงสู่ใจ ทำให้ลืมไปหมดในเรื่องที่ตนเคยประสบพบเจอมา แล้วก็กลายร่างเป็นคนชนิดเดียวกันกับคนที่เคยเบียดเบียนตนเองมาก่อนเช่นกัน อย่าลืมว่าเขาที่เดินเท้าบนถนนก็คือคนที่มีศักดิ์ มีศรี ควรต่อการให้ความใส่ใจ และปฏิบัติต่อกันเฉกเช่นคนในครอบครัวของเรา หาใช่ก้อนอิฐ หิน ดิน ทราย ที่ไร้ชีวิต ขอบคุณภาพฟรีจาก pixabay.com #บทความ #thaitimes #แง่คิด #รถชนนักท่องเที่ยว #ข้ามทางม้าลาย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 445 มุมมอง 0 รีวิว
  • Part 1 : The Beats and William S. Burroughs

    บีทเจนเนอเรชั่น คือ กลุ่มคนหนุ่ม-สาว ในยุคต้น 1960s ที่เกี่ยวข้องแวะกันด้วยอิทธิพลทางความคิดต้านกระแสสังคม พวกเขายืนอยู่บนเส้นแบ่งของแนวคิดแบบองค์รวมของสังคมอเมริกันอุดมคติแบบ แฟร้งคลิน ดีลาโน่ รูทส์เวลท์ และ สังคมที่นิยมความเป็นปัจเจกบุคคลแบบสุดโต่งในช่วงเวลานั้น ตัวตนขวกเขาถูกแสดงผ่านผลงานการเขียน หลากหลายรูปแบบ เซ็กซ์ ดนตรี และ ศิลปะ พวกเขาเชื่อกันเองว่าในกลุ่มพวกเขามีอยู่เพียงหลักร้อยคน ซึ่งอันที่จริง จำนวนที่แท้จริงของกลุ่ม บีทส์ นั้นไม่ปรากฏเป็นตัวเลขที่ชัดเจนนัก



    นอแมน เมลเลอร์ ผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน ความมีตัวตนของ บีทส์ กล่าวไว้อย่างสวยงามมากว่า บีทส์นั้นคือผู้กล้าหาญที่จะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง ในยุคที่ทุกกระแสสังคมถูกจับจ้องโดยรัฐบาลสหรัฐ พวกเขาคือคนที่อยู่นอกกฏระเบียบของสังคม งานเขียนของพวกเขาสะท้อนสิ่งที่ประชาชนยุคนั้นมองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็น ซึ่งครอบคลุมเรื่องการเมือง วัฒนธรรม และ การแสวงหาทางจิตวิญญาณ โดยที่พวกเขานั้นไม่อิงแอบกับตรรกะภายนอก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องทุนนิยมเรื่องสังคมนิยม แต่เป็นการค้นพบสิ่งใหม่ด้วยตัวเอง ผลงานของพวกเขาจึงเป็นดั่งการเบิกทางให้กับผู้ที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆในยุคต่อๆมา



    แจ็ค คูโรแวค

    แอลลัน กินเบิร์ค

    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์



    สามศาสดาแถวหน้า บีทเจนเนอเรชั่น



    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ “อัจฉริยะ รุนแรง บ้าคลั่ง”

    .

    .

    วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ อายุมากกว่าเพื่อนอีกสองคน และ ผลงานของเขาประสบความสำเร็จช้ากว่าอีกสองคนมาก แต่เป็นการประสบความสำเร็จที่ยาวนานและยั่งยืนที่สุด บิล เกิดในปี ค.ศ. 1914 ในเซนหลุยส์ มิสซูรี่ ปู่ของเขาร่ำรวยจากกว่าเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องบวกเลขเครื่องแรกของโลก แม้ครอบครัวของบิลจะไม่รวยเท่ากับรุ่นปู่แต่บอกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีมากๆครอบครัวหนึ่งในเวลานั้น เมื่ออายุได้ 15 ปี ตามกระแสในยุคนั้น ครอบครัวส่งบิลได้เรียนในโรงเรียน “บ้านไร่” โรงเรียนประจำที่อยู่ในรัฐตะวันตกอเมริกา ซึ่งเขาถูกส่งไปอยู่ถึงรัฐนิวแม็กซิโก - โรงเรียนประจำลอสอลาโมสแรนช์สกูล เนื่องจากบิลเป็นคนที่เกลียดกิจกรรมภายนอกห้องเรียนอยู่เป็นทุนเดิน เขาแทบจะเข้ากับที่นั่นไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่กีฬาชนิดหนึ่งของโรงเรียนที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษนั่นก็คือ กีฬายิงปืนนั่นเอง

    .

    ที่นั่นบิลได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสารเสพติดเป็นครั้งแรกนั่นก็คือ คลอรอลไฮเดรต ยาระงับประสาท และเป็นที่รู้กันว่า บิลเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการเสพเกินขนาด พอเรียนต่อไม่ได้จึงต้องย้ายไปเข้าโรงเรียนเอกชนเพื่อเก็บเกรดไว้ไปต่อที่ฮาร์วาร์ด ซึ่งก็ทันตอนอายุ 18 พอดี พอเข้าไปได้ บิลก็ไม่ได้สนใจเล่าเรียนเท่าไหร่ แต่มักพบว่าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ที่นั่นเขาได้อ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสอย่างจุใจ พอเรียนจบตอนอายุ 21 ปีพอดี บิลขอพ่อแม่ออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วยุโรป และ ก็ได้เมียเป็นแม่หม้าย ชาวยิวอายุ 35 ปี จาก ยูโกสลาเวีย นัยว่าตัวเขานั้นอยากเป็นฮีโร่ ปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งจากลัทธิเผด็จการที่เริ่มก่อตัวในยุโรปในขณะนั้น ซึ่งก็อยู่กินกับเขาเกือบ 9 ปีในนิวยอร์ค กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945

    .

    หลังจากกลับมาถึงสหรัฐอเมริกา บิลเลือกจะที่กลับไปสู่แวดวงการศึกษาโดยเข้าเรียนในระดับปริญญาโทอีกครั้งที่ ฮาร์วาร์ด โดยแรงจูงใจในครั้งนี้คือการได้ใกล้ชิดกับเพื่อนชายของเขา เคลส์ แอลวินส์ ที่นั่นเอง ทั้งสองคนได้ร่วมกันผลิตงานเขียนเสียดสี เกี่้ยวกับการจมลงของเรือไททานิคโดยใช้ชื่อว่า "แสงสะท้อนสุดท้ายของยามพลบค่ำ" ซึ่งพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการหาสำนักพิมพ์ที่จะรับซื้องานเขียนดังกล่าวได้ โดยนิตยสาร Esquire ตอบกลับมาว่า มันไม่มีเนื้อหาอะไรลึกซึ้งพอที่จะให้พวกเขานำไปตีพิมพ์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม งานเขียนนี้กลับมาปรากฏในนิยายเรื่อง "โนวา เอ็กซ์เพรส"ของบิลในเวลาต่อมา

    .

    บิลเลือกที่จะทิ้งการเรียนปริญญาโทไปแบบครึ่งๆกลางๆ และ กลับไปอยู่ที่ เซนหลุยส์ มิสซูรี่ เพื่อจะไปเป็นลูกศิษย์ของ อัลเฟรด คอซิบสกี้ นักอรรถศาสตร์ ผู้เสนอแนวคิดว่า "คำพูดต่างๆนั้นสูญเสียความหมายที่แท้จริง" และ จากนี้ต่อไปตลอดชีวิต บิลก็ทุ่มเทความคิดให้กับการค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำศัพท์แต่ละคำที่เขาเล็งเห็นว่าถูกใช้อย่างผิดๆโดยมนุษย์
    .
    "ผมขอเสนอทฤษฎีอย่างกว้างๆว่า คำศัพท์ของมนุษย์เราจริงๆแล้วคือ ไวรัส แต่มนุษย์เราจะไม่ได้ทราบว่ามันเป็นไวรัส ก็เพราะว่าเราเป็นพาหะที่ค่อนข้างเสถียร ซึ่ง ไอ้ไวรัสนี่ไม่มีหน้าที่อะไรนอกจาก ทำสำเนาให้ตัวเอง และส่งต่อจากมนุษย์คนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งหรือหลายๆคน..."
    .
    หลังเหตุการณ์ประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ บิลถูกหมายเกณฑ์ให้เป็นทหาร แต่แม่ของบิลช่วยเขาหลีกเลี่ยงการเป็นทหารโดยการส่งเขาเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช และให้การรับรองว่าเขาป่วยทางจิตและไม่เหมาะสมกับการรับใช้ชาติ ช่วงเวลาดังกล่าว บิลเดินทางออกจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ สู่เมืองชิคาโก้ และหาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างกำจัดสัตว์ไม่พึงประสงค์ (อาชีพนี้ทำให้เขาได้เข้าไปสัมผัสมุมมืดในสังคมเมืองใหญ่ ที่เขาเคยแต่เพียงอ่านจากในหนังสือเท่านั้น พอเป็นแบบนี้มันทำให้บิลมีความรู้สึกว่า สิ่งที่เขาพบเจอนั้นคือของแท้) นอกจากนี้ยังได้รับเงินอุดหนุนจากทางบ้านเป็นค่ากินอยู่อีกเดือนละ 200 เหรียญ เป็นอยู่อย่างนี้อีกประมาณแปดเดือนเศษ กระทั่งเขาได้เจอเพื่อนเก่าจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ นั่นก็คือ ลูเชี่ยน คารร์ และ เดวิท แคมเมอเรอร์ ที่ชิคาโก้ (ในเวลาต่อมา คารร์ก็ปลิดชีพ แคมเมอเรอร์ ที่นิวยอร์ค)
    .
    คารร์ มาแวะเพียงชั่วคราว และ มุ่งหน้าสู่นิวยอร์คเพื่อจะกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ บิล กับ แคมเมอเรอร์ก็ตามไปสมทบในที่สุด ซึ่งที่นี่เองเป็นที่ ที่ บิลได้พบกับเพื่อนที่จะข้องเกี่ยวกับตัวเขาเองไปอีกครึ่งศตวรรษ เขาคนนั้นคือ แอลลัน กินเบิร์ค - และ แอลลันก็แนะนำพวกเขาให้รู้จักกับ แจ็ค คูโรแวค , อีดี้ ปาร์คเกอร์ (แฟนสาวของแจ็ค) และ โจแอน โวมเมอร์ (ภรรยาของบิลในเวลาต่อมา) แอลลัน กับ แจ็ค ร่วมกันผลิตงานเขียนด้วยกันเป็นครั้งแรก มีชื่อว่า "และฮิปโปโดนต้มในบ่อของมันเอง" ซึ่งก็ไม่ได้ถูกสำนักพิมพ์ใดๆนำไปตีพิมพ์ ขณะเดียวกัน บิลก็เริ่มเบนเข็มสู่อีกช่าวของชีวิต เขาเริ่มเป็นแมงดาข้างถนนย่านไทม์สแควร์ ขายของอีหยิบ ขายมอร์ฟีนแบบเข็มฉีดเข้าเส้น และ ปล้นจี้คนด้วยปืนพกในสถานีรถไฟใต้ดินในยามค่ำคืน คนที่เป็นผู้ชักชวนบิลสู่เส้นทางสายนี้คือ เฮอเบิร์ท ฮังค์คี ซึ่งอยู่ในสายอาชีพ ปล้นชิงทรัพย์ ลักเล็กขโมยน้อย มาแต่เดิม อีกด้านหนึ่ง บิลก็แนะนำ เฮอเบิร์ทให้รู้กจักกับพวกกลุ่มเพื่อนของเขาใน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ รวมกลุ่มกันอยู่แบบชุมชนเล็กในอพาร์ทเม็นท์ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย นั่นแหละ
    .
    โจแอน โวมเมอร์ นักศึกษาสาวคณะวารสารศาสตร์ เริ่มคบหาเชิงชู้สาวกับ บิล ทั้งๆที่ใครๆในกลุ่มก็ทราบดีว่าบิลมีรสนิยมทางเพศแบบโฮโมเซ็กซ์ชั่ล แต่เธอให้เห็นผลว่า "บิลเก่งเรื่องบนเตียง แบบที่แมงดาควรเป็น" - สองคนนี้อยู่กินกันแบบสามีภรรยา และเสพยาหนักทั้งคู่ กระทั่งวันหนึ่งก็ถูกตำรวจบุกจับถึงอพาร์ทเม็นท์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สองคนยังหาเวลาไปเขียนบทละครสั้น เกี่ยวกับเรื่องรสนิยมทางเพศ อยู่ด้วยกันอยู่หลายเรื่อง ซึ่งในเวลาต่อมา บิลก็เอาไปยัดใส่ในวรรณกรรมของเขาทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ไม่นานหลังจากห้วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย โวมเมอร์กับบิล ร่วมกันซื้อไร่ขนาด 99 เอเคอร์ ในเมือง นิวเวเวอรี่ รัฐเท็กซัส และ โวมเมอร์ก็ให้กำเนิดลูกชายของบิลหนึ่งคน สองผัวเมียมองหาธุรกิจทำและในที่สุดก็ชักชวน ฮังค์คี ให้มาอยู่ด้วยกันที่ไร่ และไม่นานเกินรอผลผลิตหลักจากไร่ของสองผัวเมีย คือ กัญชา
    .
    เพื่อนที่เริ่มมีชื่อเสียงมาก ก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยมสองผัวเมีย ไม่ว่าจะเป็น อัลแลน รวมไปถึง นีล แคซซิดี้ (คู่ขาเพศชายของอัลแลน) นีลทำหน้าที่หลักคือขนกัญชาของบิลไปขายในนิวยอร์ค ส่วน อัลแลนส่งกัญชาของสองผัวเมียไปขายผ่านเส้นสายของเหล่าพาณิชย์นาวี ที่เขามีแต่เดิม เป็นแผนธุรกิจฟังดูดีใช่ไหม? แต่เอาจริง แม่งเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะค่าใช้จ่ายของแต่ละคนมันสูงมาก เนื่องจาก สองผัวเมียนักเสพ ต้องคอยส่งส่วยให้ตำรวจท้องถิ่นตลอด ราคาขายส่งที่ควรจะเป็นมันถีบสูงไปถึงร้อยเหรียญ ในที่สุดสองผัวเมียและอีกหนึ่งนักปลูกเพื่อนผัว ก็ต้องระเห็ดไปอยู่ที่ นิวออร์ลีนส์ แต่แค่พักเดียวยังไม่ทันได้ทำอะไรจริงจัง ตำรวจก็เข้าจับกุมพวกเขาถึงบ้าน ซ้ำร้ายนอกจากกัญชาที่ปลูกไว้เสพด้วย ขายด้วยแล้ว ก็เจอยาเสพติดอีกหลายประเภทในบ้านของสองผัวเมีย แต่โชคดีพวกนี้รู้จักทนายเก่ง ทนายก็ทำให้คดีหลุดด้วยช่องโหว่ทางกฏหมาย แต่ก็แนะนำว่า สองผัวเมียควรออกไปอยู่นอกประเทศสักพักจะเป็นการดีที่สุด
    .
    ในปี 1950 บิลเขียนจดหมายหาอัลแลน จากที่ประเทศแม็กซิโก แจ้งว่าเขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ใกล้เสร็จแล้ว หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "ไอ้ขี้ยา" - Junkie. ในวันที่ 6 กันยายน ปีเดียวกันนั้นเอง เล่ากันว่า บิลและโวมเมอร์กำลังเมากันได้ที่ จากการเสพและดื่ม โวมเมอร์เริ่มต้นก่อนด้วยการท้าทายฝีมือการแม่นปืนของบิล ซึ่งเธอเอาแก้วน้ำวางไว้เหนือหัว และ บิลก็ชักปืนสั้นขึ้นยิงแก้วนั้น แต่เล็งพลาด กระสุนเลยพุ่งเข้ากลางหน้าผากโวมเมอร์ ปลิดชีพภรรยาคู่เสพทันที และ ปิดบทบาทสามี ที่ บิลไม่ค่อยเต็มใจนัก
    .
    .
    to be continued...
    Part 1 : The Beats and William S. Burroughs บีทเจนเนอเรชั่น คือ กลุ่มคนหนุ่ม-สาว ในยุคต้น 1960s ที่เกี่ยวข้องแวะกันด้วยอิทธิพลทางความคิดต้านกระแสสังคม พวกเขายืนอยู่บนเส้นแบ่งของแนวคิดแบบองค์รวมของสังคมอเมริกันอุดมคติแบบ แฟร้งคลิน ดีลาโน่ รูทส์เวลท์ และ สังคมที่นิยมความเป็นปัจเจกบุคคลแบบสุดโต่งในช่วงเวลานั้น ตัวตนขวกเขาถูกแสดงผ่านผลงานการเขียน หลากหลายรูปแบบ เซ็กซ์ ดนตรี และ ศิลปะ พวกเขาเชื่อกันเองว่าในกลุ่มพวกเขามีอยู่เพียงหลักร้อยคน ซึ่งอันที่จริง จำนวนที่แท้จริงของกลุ่ม บีทส์ นั้นไม่ปรากฏเป็นตัวเลขที่ชัดเจนนัก นอแมน เมลเลอร์ ผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน ความมีตัวตนของ บีทส์ กล่าวไว้อย่างสวยงามมากว่า บีทส์นั้นคือผู้กล้าหาญที่จะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง ในยุคที่ทุกกระแสสังคมถูกจับจ้องโดยรัฐบาลสหรัฐ พวกเขาคือคนที่อยู่นอกกฏระเบียบของสังคม งานเขียนของพวกเขาสะท้อนสิ่งที่ประชาชนยุคนั้นมองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็น ซึ่งครอบคลุมเรื่องการเมือง วัฒนธรรม และ การแสวงหาทางจิตวิญญาณ โดยที่พวกเขานั้นไม่อิงแอบกับตรรกะภายนอก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องทุนนิยมเรื่องสังคมนิยม แต่เป็นการค้นพบสิ่งใหม่ด้วยตัวเอง ผลงานของพวกเขาจึงเป็นดั่งการเบิกทางให้กับผู้ที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆในยุคต่อๆมา แจ็ค คูโรแวค แอลลัน กินเบิร์ค วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ สามศาสดาแถวหน้า บีทเจนเนอเรชั่น วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ “อัจฉริยะ รุนแรง บ้าคลั่ง” . . วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ อายุมากกว่าเพื่อนอีกสองคน และ ผลงานของเขาประสบความสำเร็จช้ากว่าอีกสองคนมาก แต่เป็นการประสบความสำเร็จที่ยาวนานและยั่งยืนที่สุด บิล เกิดในปี ค.ศ. 1914 ในเซนหลุยส์ มิสซูรี่ ปู่ของเขาร่ำรวยจากกว่าเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องบวกเลขเครื่องแรกของโลก แม้ครอบครัวของบิลจะไม่รวยเท่ากับรุ่นปู่แต่บอกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีมากๆครอบครัวหนึ่งในเวลานั้น เมื่ออายุได้ 15 ปี ตามกระแสในยุคนั้น ครอบครัวส่งบิลได้เรียนในโรงเรียน “บ้านไร่” โรงเรียนประจำที่อยู่ในรัฐตะวันตกอเมริกา ซึ่งเขาถูกส่งไปอยู่ถึงรัฐนิวแม็กซิโก - โรงเรียนประจำลอสอลาโมสแรนช์สกูล เนื่องจากบิลเป็นคนที่เกลียดกิจกรรมภายนอกห้องเรียนอยู่เป็นทุนเดิน เขาแทบจะเข้ากับที่นั่นไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่กีฬาชนิดหนึ่งของโรงเรียนที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษนั่นก็คือ กีฬายิงปืนนั่นเอง . ที่นั่นบิลได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสารเสพติดเป็นครั้งแรกนั่นก็คือ คลอรอลไฮเดรต ยาระงับประสาท และเป็นที่รู้กันว่า บิลเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการเสพเกินขนาด พอเรียนต่อไม่ได้จึงต้องย้ายไปเข้าโรงเรียนเอกชนเพื่อเก็บเกรดไว้ไปต่อที่ฮาร์วาร์ด ซึ่งก็ทันตอนอายุ 18 พอดี พอเข้าไปได้ บิลก็ไม่ได้สนใจเล่าเรียนเท่าไหร่ แต่มักพบว่าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ที่นั่นเขาได้อ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสอย่างจุใจ พอเรียนจบตอนอายุ 21 ปีพอดี บิลขอพ่อแม่ออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วยุโรป และ ก็ได้เมียเป็นแม่หม้าย ชาวยิวอายุ 35 ปี จาก ยูโกสลาเวีย นัยว่าตัวเขานั้นอยากเป็นฮีโร่ ปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งจากลัทธิเผด็จการที่เริ่มก่อตัวในยุโรปในขณะนั้น ซึ่งก็อยู่กินกับเขาเกือบ 9 ปีในนิวยอร์ค กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945 . หลังจากกลับมาถึงสหรัฐอเมริกา บิลเลือกจะที่กลับไปสู่แวดวงการศึกษาโดยเข้าเรียนในระดับปริญญาโทอีกครั้งที่ ฮาร์วาร์ด โดยแรงจูงใจในครั้งนี้คือการได้ใกล้ชิดกับเพื่อนชายของเขา เคลส์ แอลวินส์ ที่นั่นเอง ทั้งสองคนได้ร่วมกันผลิตงานเขียนเสียดสี เกี่้ยวกับการจมลงของเรือไททานิคโดยใช้ชื่อว่า "แสงสะท้อนสุดท้ายของยามพลบค่ำ" ซึ่งพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการหาสำนักพิมพ์ที่จะรับซื้องานเขียนดังกล่าวได้ โดยนิตยสาร Esquire ตอบกลับมาว่า มันไม่มีเนื้อหาอะไรลึกซึ้งพอที่จะให้พวกเขานำไปตีพิมพ์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม งานเขียนนี้กลับมาปรากฏในนิยายเรื่อง "โนวา เอ็กซ์เพรส"ของบิลในเวลาต่อมา . บิลเลือกที่จะทิ้งการเรียนปริญญาโทไปแบบครึ่งๆกลางๆ และ กลับไปอยู่ที่ เซนหลุยส์ มิสซูรี่ เพื่อจะไปเป็นลูกศิษย์ของ อัลเฟรด คอซิบสกี้ นักอรรถศาสตร์ ผู้เสนอแนวคิดว่า "คำพูดต่างๆนั้นสูญเสียความหมายที่แท้จริง" และ จากนี้ต่อไปตลอดชีวิต บิลก็ทุ่มเทความคิดให้กับการค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำศัพท์แต่ละคำที่เขาเล็งเห็นว่าถูกใช้อย่างผิดๆโดยมนุษย์ . "ผมขอเสนอทฤษฎีอย่างกว้างๆว่า คำศัพท์ของมนุษย์เราจริงๆแล้วคือ ไวรัส แต่มนุษย์เราจะไม่ได้ทราบว่ามันเป็นไวรัส ก็เพราะว่าเราเป็นพาหะที่ค่อนข้างเสถียร ซึ่ง ไอ้ไวรัสนี่ไม่มีหน้าที่อะไรนอกจาก ทำสำเนาให้ตัวเอง และส่งต่อจากมนุษย์คนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งหรือหลายๆคน..." . หลังเหตุการณ์ประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ บิลถูกหมายเกณฑ์ให้เป็นทหาร แต่แม่ของบิลช่วยเขาหลีกเลี่ยงการเป็นทหารโดยการส่งเขาเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช และให้การรับรองว่าเขาป่วยทางจิตและไม่เหมาะสมกับการรับใช้ชาติ ช่วงเวลาดังกล่าว บิลเดินทางออกจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ สู่เมืองชิคาโก้ และหาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างกำจัดสัตว์ไม่พึงประสงค์ (อาชีพนี้ทำให้เขาได้เข้าไปสัมผัสมุมมืดในสังคมเมืองใหญ่ ที่เขาเคยแต่เพียงอ่านจากในหนังสือเท่านั้น พอเป็นแบบนี้มันทำให้บิลมีความรู้สึกว่า สิ่งที่เขาพบเจอนั้นคือของแท้) นอกจากนี้ยังได้รับเงินอุดหนุนจากทางบ้านเป็นค่ากินอยู่อีกเดือนละ 200 เหรียญ เป็นอยู่อย่างนี้อีกประมาณแปดเดือนเศษ กระทั่งเขาได้เจอเพื่อนเก่าจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ นั่นก็คือ ลูเชี่ยน คารร์ และ เดวิท แคมเมอเรอร์ ที่ชิคาโก้ (ในเวลาต่อมา คารร์ก็ปลิดชีพ แคมเมอเรอร์ ที่นิวยอร์ค) . คารร์ มาแวะเพียงชั่วคราว และ มุ่งหน้าสู่นิวยอร์คเพื่อจะกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ บิล กับ แคมเมอเรอร์ก็ตามไปสมทบในที่สุด ซึ่งที่นี่เองเป็นที่ ที่ บิลได้พบกับเพื่อนที่จะข้องเกี่ยวกับตัวเขาเองไปอีกครึ่งศตวรรษ เขาคนนั้นคือ แอลลัน กินเบิร์ค - และ แอลลันก็แนะนำพวกเขาให้รู้จักกับ แจ็ค คูโรแวค , อีดี้ ปาร์คเกอร์ (แฟนสาวของแจ็ค) และ โจแอน โวมเมอร์ (ภรรยาของบิลในเวลาต่อมา) แอลลัน กับ แจ็ค ร่วมกันผลิตงานเขียนด้วยกันเป็นครั้งแรก มีชื่อว่า "และฮิปโปโดนต้มในบ่อของมันเอง" ซึ่งก็ไม่ได้ถูกสำนักพิมพ์ใดๆนำไปตีพิมพ์ ขณะเดียวกัน บิลก็เริ่มเบนเข็มสู่อีกช่าวของชีวิต เขาเริ่มเป็นแมงดาข้างถนนย่านไทม์สแควร์ ขายของอีหยิบ ขายมอร์ฟีนแบบเข็มฉีดเข้าเส้น และ ปล้นจี้คนด้วยปืนพกในสถานีรถไฟใต้ดินในยามค่ำคืน คนที่เป็นผู้ชักชวนบิลสู่เส้นทางสายนี้คือ เฮอเบิร์ท ฮังค์คี ซึ่งอยู่ในสายอาชีพ ปล้นชิงทรัพย์ ลักเล็กขโมยน้อย มาแต่เดิม อีกด้านหนึ่ง บิลก็แนะนำ เฮอเบิร์ทให้รู้กจักกับพวกกลุ่มเพื่อนของเขาใน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ รวมกลุ่มกันอยู่แบบชุมชนเล็กในอพาร์ทเม็นท์ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย นั่นแหละ . โจแอน โวมเมอร์ นักศึกษาสาวคณะวารสารศาสตร์ เริ่มคบหาเชิงชู้สาวกับ บิล ทั้งๆที่ใครๆในกลุ่มก็ทราบดีว่าบิลมีรสนิยมทางเพศแบบโฮโมเซ็กซ์ชั่ล แต่เธอให้เห็นผลว่า "บิลเก่งเรื่องบนเตียง แบบที่แมงดาควรเป็น" - สองคนนี้อยู่กินกันแบบสามีภรรยา และเสพยาหนักทั้งคู่ กระทั่งวันหนึ่งก็ถูกตำรวจบุกจับถึงอพาร์ทเม็นท์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สองคนยังหาเวลาไปเขียนบทละครสั้น เกี่ยวกับเรื่องรสนิยมทางเพศ อยู่ด้วยกันอยู่หลายเรื่อง ซึ่งในเวลาต่อมา บิลก็เอาไปยัดใส่ในวรรณกรรมของเขาทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ไม่นานหลังจากห้วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย โวมเมอร์กับบิล ร่วมกันซื้อไร่ขนาด 99 เอเคอร์ ในเมือง นิวเวเวอรี่ รัฐเท็กซัส และ โวมเมอร์ก็ให้กำเนิดลูกชายของบิลหนึ่งคน สองผัวเมียมองหาธุรกิจทำและในที่สุดก็ชักชวน ฮังค์คี ให้มาอยู่ด้วยกันที่ไร่ และไม่นานเกินรอผลผลิตหลักจากไร่ของสองผัวเมีย คือ กัญชา . เพื่อนที่เริ่มมีชื่อเสียงมาก ก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยมสองผัวเมีย ไม่ว่าจะเป็น อัลแลน รวมไปถึง นีล แคซซิดี้ (คู่ขาเพศชายของอัลแลน) นีลทำหน้าที่หลักคือขนกัญชาของบิลไปขายในนิวยอร์ค ส่วน อัลแลนส่งกัญชาของสองผัวเมียไปขายผ่านเส้นสายของเหล่าพาณิชย์นาวี ที่เขามีแต่เดิม เป็นแผนธุรกิจฟังดูดีใช่ไหม? แต่เอาจริง แม่งเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะค่าใช้จ่ายของแต่ละคนมันสูงมาก เนื่องจาก สองผัวเมียนักเสพ ต้องคอยส่งส่วยให้ตำรวจท้องถิ่นตลอด ราคาขายส่งที่ควรจะเป็นมันถีบสูงไปถึงร้อยเหรียญ ในที่สุดสองผัวเมียและอีกหนึ่งนักปลูกเพื่อนผัว ก็ต้องระเห็ดไปอยู่ที่ นิวออร์ลีนส์ แต่แค่พักเดียวยังไม่ทันได้ทำอะไรจริงจัง ตำรวจก็เข้าจับกุมพวกเขาถึงบ้าน ซ้ำร้ายนอกจากกัญชาที่ปลูกไว้เสพด้วย ขายด้วยแล้ว ก็เจอยาเสพติดอีกหลายประเภทในบ้านของสองผัวเมีย แต่โชคดีพวกนี้รู้จักทนายเก่ง ทนายก็ทำให้คดีหลุดด้วยช่องโหว่ทางกฏหมาย แต่ก็แนะนำว่า สองผัวเมียควรออกไปอยู่นอกประเทศสักพักจะเป็นการดีที่สุด . ในปี 1950 บิลเขียนจดหมายหาอัลแลน จากที่ประเทศแม็กซิโก แจ้งว่าเขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ใกล้เสร็จแล้ว หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "ไอ้ขี้ยา" - Junkie. ในวันที่ 6 กันยายน ปีเดียวกันนั้นเอง เล่ากันว่า บิลและโวมเมอร์กำลังเมากันได้ที่ จากการเสพและดื่ม โวมเมอร์เริ่มต้นก่อนด้วยการท้าทายฝีมือการแม่นปืนของบิล ซึ่งเธอเอาแก้วน้ำวางไว้เหนือหัว และ บิลก็ชักปืนสั้นขึ้นยิงแก้วนั้น แต่เล็งพลาด กระสุนเลยพุ่งเข้ากลางหน้าผากโวมเมอร์ ปลิดชีพภรรยาคู่เสพทันที และ ปิดบทบาทสามี ที่ บิลไม่ค่อยเต็มใจนัก . . to be continued...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 436 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงนี้อ่านเล่มไหนก็รู้สึกชอบและสนุกไปหมดเลยครับ อาจเพราะเป็นคนเลือกที่อยากอ่านเองจริง ๆ และก็มักไม่พบความผิดหวังกับเล่มที่เลือกนั้น ล่าสุดก็เรื่องนี้ที่สะดุดตาตั้งแต่ปกหน้า พอเจอในแอป hibrary ที่คนจองคิวไม่มาก และระบุว่าเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน ระทึกขวัญกลางกรุงโตเกียว คิดว่าน่าสนใจจึงต่อคิวจอง และเมื่อวันก่อนครบกำหนดต้องคืน จึงรีบอ่านแบบติดเทอร์โบรวดเดียวจนจบทันก่อนเวลาเส้นตายแบบเฉียดฉิว เมื่ออ่านจบก็พบว่า

    "ดีจริงที่ตัดสินใจที่จะลองอ่าน ถ้าไม่งั้นคงน่าเสียดายยิ่ง"

    #silenttokyoandsothisisxmas
    สนพ.ไดฟุกุ (อ่านหนังสือของไดฟุกุติดกันหลายเล่ม เป็นสนพ.หนึ่งที่ผลิตหนังสือค่อนข้างคุณภาพทีเดียว แต่ผมอ่านแบบอีบุ๊ก)
    ฮาตะ ทาเคฮิโตะ เขียน
    เกวลิน ลิขิตวิทยาวุฒิ แปล
    248 หน้า 280 บาท
    พิมพ์ในญี่ปุ่นครั้งแรก 2559 ในไทยพิมพ์ครั้งแรกปี 2564

    คุณจะทำอย่างไร ถ้ารู้ว่าเมืองที่ตนอาศัยอยู่กำลังจะเกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ใจกลางกรุง?

    เริ่มเรื่องก็ระทึกขวัญแต่ต้น ด้วยการที่แม่บ้านวัยสี่สิบกว่ารายหนึ่งตั้งใจจะออกไปซื้อของขวัญให้สามี เพราะใกล้จะถึงคริสต์มาส เธอจึงออกจากบ้านไปยังย่านกลางเมือง หลังซื้อของแล้วจึงมานั่งรับแดดกะจะกินแซนด์วิช บนม้านั่งตัวหนึ่งที่ลานสาธารณะหน้าสถานีรถไฟเอบิสุ ครู่หนึ่งชายที่ไหนไม่รู้ เข้ามาคุยกับเธอพูดจาแปลก ๆ บอกว่าใต้ม้านั่งมีระเบิด ห้ามเธอลุกขึ้นไม่งั้นระเบิดจะทำงาน เพราะเมื่อมีน้ำหนักมากกว่า30กิโลกรัมกดทับ วงจรจะเริ่มเตรียมพร้อม ทางเดียวที่จะรอด เธอต้องนั่งรอจนกว่าจะมีคนจากสถานทีโทรทัศน์แห่งหนึ่งมาที่นี่ แล้วให้เขานั่งลงข้าง ๆ จากนั้นเธอจึงลุกขึ้นได้ แต่ให้บอกสิ่งที่เธอได้ยินนี้กับเขาด้วยเพื่อจะได้ไม่ตายเพราะระเบิด และสุดท้ายให้บอกเขาว่า นี่คือสงคราม!

    🧨

    จากจุดเริ่มนั้นเอง ที่สถานีโทรทัศน์แห่งนั้น มีสายโทรแจ้งว่าจะมีการระเบิดขึ้นที่...หนุ่มทำงานพาร์ตไทม์ในสถานีที่ได้รับงานเป็นเบ๊ทั่วไป ถูกสั่งให้ไปยังจุดดังกล่าวพร้อมจนท.อีกคนที่ติดอุปกรณ์การถ่ายทำไปด้วย ทั้งสองจำใจไปแต่เชื่อว่าคงเป็นการล้อกันเล่น เมื่อไปถึงพบหญิงที่นั่งอยู่ข้างม้านั่งที่คนในสายแจ้ง ทั้งสองเข้าไปใกล้กะจะไปนั่งม้านั่งใกล้กันเพื่อสังเกต แต่เธอกลับเรียกให้ชายที่ถือกล้องนั่งลงถามว่ามาจากสถานีโทรทัศน์ใช่ไหม เขาแปลกใจจึงนั่งลงจะสอบถาม เธอรีบกระโดดขึ้นทันทีพลางบอกรายละเอียดทั้งหมด

    🧨

    ชายที่นั่งไม่เชื่อจะลุก เธอรีบกดไหล่และหว่านล้อมว่าวิธีเดียวที่จะรอดคือต้องทำตามคำบอกของชายคนที่แจ้งรายละเอียดกับเธอไว้ในตอนแรก นั่นคือให้เขาใช้กล้องบันทึกสิ่งที่ตัวเองประสบแล้วเผยแพร่ออกไป จากนั้นเธอเอาของที่คล้ายนาฬิกาข้อมือดิจิทัลมาคล้องกับข้อมือของหนุ่มพาร์ตไทม์โดยเขาไม่ทันตั้งตัว พลางเธอชูให้ดูว่าที่ข้อมือตัวเองก็มี บอกว่านี่เป็นระเบิดด้วยเช่นกัน ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของชายแปลกหน้าที่เข้ามาคุยกับเธอ เขาจะสั่งงานระยะไกลให้นาฬิการะเบิด แล้วรีบบอกกับเด็กหนุ่มว่าต้องไปต่อที่แห่งหนึ่งตามคำสั่ง จากนั้นทิ้งชายที่น่าสงสารไว้ตามลำพัง ซึ่งเขาก็กลัวมากจึงรีบทำตามที่เธอบอก ในที่สุดเรื่องก็ทราบถึงตำรวจ จนแห่กันมากู้ระเบิดด้วยการใช้ไนโตรเจนเหลวกะให้หยุดการทำงานของระบบ ปรากฏว่าเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น

    🧨

    ที่แท้เป็นการข่มขู่ แค่ระเบิดเสียงแต่ยังไม่มีอำนาจทำลายล้าง ทว่าด้วยเหตุนี้ทางตำรวจสืบสวนกลางจึงตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลและสืบเรื่องนี้ขึ้น จากการวิเคราะห์ทำให้ตำรวจทราบว่า ระเบิดนั้นถูกติดตั้งตัวจับอุณหภูมิไว้ด้วย แสดงว่าคนที่ประกอบระเบิดเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้ด้านนี้และคาดเดาได้ว่าตำรวจจะใช้ไนโตรเจนเหลว จึงดักทางด้วยการติดตั้งระบบให้ไม่อาจกู้ด้วยวิธีที่ตำรวจใช้ ในทีมสืบสวน มีการจับคู่ของนายตำรวจมากประสบการณ์วัยสี่สิบกว่ากับตำรวจหนุ่มไฟแรงคู่หนึ่ง ซึ่งมีบทบาทในการตามสืบข้อมูลเกี่ยวกับการระเบิดครั้งนี้อย่างกัดติด ด้วยตำรวจวัยกลางคนนั้นเคยแต่งงานกับลูกสาวของระดับสูงของหัวหน้าที่ตั้งทีมครั้งนี้ ทว่ามีเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้ต้องหย่ากันไป อย่างไรเขาคือผู้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเกี่ยวกับสถานการณ์อันตราย

    🧨

    ด้านหญิงกลางคนกับหนุ่มพาร์ตไทม์ เดินทางไปยังอาคารหลังหนึ่งเป็นห้องเช่า ที่ภายในมีทีวีและอุปกรณ์กล้อง พร้อมซองสีขาวที่เขียนรายละเอียดบอกไว้ให้เด็กหนุ่มต้องอ่านข้อความตามที่มีบทพูดไว้ให้ โดยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนทำหน้าที่บันทึกภาพ จากนั้นให้นำโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นในยูทูปเห็น เนื้อหาสรุปคือให้บอกว่าผมคือผู้ที่วางระเบิดนั้นเอง และยื่นข้อเสนอขอคุยกับนายกถ่ายทอดออกทางสถานีโทรทัศน์ ถ้าไม่ทำตาม จะมีการวางระเบิดในย่านใจกลางชิบูย่า หน้ารูปปั้นหมาฮาจิโกะ เส้นตายคือ18.30น. ปรากฏว่านายกฯออกข่าวตอบโต้ว่าไม่ต้องการเจรจาใดกับผู้ก่อการร้ายทั้งสิ้น และจะทำสงครามกับคนไม่หวังดีอย่างถึงที่สุด

    🧨

    ด้านหนุ่มพาร์ตไทม์ได้รับคำสั่งต่อไปให้ไปทำคนเดียว จึงต้องแยกกับหญิงกลางคนที่ถูกให้เฝ้ารอคำสั่งอยู่ในห้องแห่งนั้น ส่วนตำรวจก็วิ่งขาขวิด ล้อมรั้วด้วยแถบเหลืองรอบรูปปั้นฮาจิโกะด้วยรัศมีประมาณหนึ่ง และให้หน่วยกอบกู้ระเบิดพยายามเร่งค้นหาวัตถุระเบิดที่ถูกซุกซ่อนอยู่ แต่คนโตเกียวและชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เข้าใจว่าคลิปที่เผยแพร่ น่าจะเป็นการหลอกลวงเหมือนเช่นระเบิดก่อนหน้าที่สถานีเอบิสุ จึงไม่รู้สึกกลัวแถมยังแห่มายังบริเวณลานอันเป็นสถานที่ถูกระบุ ด้วยต้องการมาเซลฟี่ตนเอง บ้างมาเป็นกลุ่ม เพื่ออัปโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นเห็น

    🧨

    มีหญิงสาวพนักงานบริษัทธรรมดาสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน คนหนึ่งเป็นชู้กับสามีของคนอื่นและคะยั้นคะยอชวนเพื่อนไปนัดบอดก่อนหน้านี้ ซึ่งเพื่อนของเธอเพิ่งอกหักจากแฟนที่รักกันมากว่าสิบปี แล้วทิ้งไปอยู่กับกิ๊กที่ตั้งท้องไม่กี่เดือน เพื่อนสาวคนนี้กำลังคิดจะเริ่มต้นใหม่และรู้สึกดีกับหนุ่มคนหนึ่งในงานนัดบอด โดยเขาคนนั้นเป็นเจ้าของบริษัทที่สร้างแอปพลิเคชันที่เปิดตัวดีและมีคนใช้เยอะ ธุรกิจไปได้สวยทั้งที่ยังอายุไม่มาก แต่ค่อนข้างเย็นชาไม่สนใจคนรอบข้าง สองสาวตั้งใจจะมากินอาหารฉลองก่อนคริสต์มาส แล้วเห็นหนุ่มคนที่ตนสนใจเข้าพอดีในสถานที่ใกล้รูปปั้นฮาจิโกะ เพื่อนคนที่ใจกล้าจึงชวนอีกคนว่าให้ลองตามไปดูเขาว่าทำไมถึงมาอยู่แถวชิบูย่า ทั้งที่ก่อนหน้าตอนเธอชวนมากินข้าวด้วยกัน ปฏิเสธว่ามีนัดสำคัญที่อื่น เธอไม่อยากไปแต่สุดท้ายก็โดนเพื่อนลากไปจนได้

    🧨

    ด้านตำรวจยังคงพยายามตามหาว่าระเบิดถูกซ่อนตรงไหน เวลากระชั้นสั้นเข้าใกล้ถึงกำหนดที่ถูกประกาศว่าจะมีการระเบิด แต่ผู้คนยิ่งมาออกันอย่างเนืองแน่นด้วยความสนุกสนาน

    สุดท้ายจึงเกิดโศกนาฏกรรมใหญ่ เพราะมีการระเบิดขึ้นจริง ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แต่เรื่องราวไม่จบเท่านี้ เพราะหลังเหตุร้ายแรง นายกฯยังคงยืนยันคำพูดแข็งกร้าวเช่นเดิม ดังนั้นจึงมีข้อความต่อมาของคนร้ายที่แจ้งให้ทราบว่า ถ้านายกยังไม่ทำตามข้อเสนอ ระเบิดครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในคืนวันคริสต์มาสอีฟ คราวนี้บอกแค่เวลา แต่ไม่ระบุจุดที่จะระเบิด บอกเพียงว่าในกรุงโตเกียว

    🧨

    เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป..

    ตำรวจจะหาตัวคนร้ายเจอไหม ..

    สถานที่ใดจะเกิดระเบิดครั้งต่อไป..

    หญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงบริเวณย่านชิบูย่าตายหรือไม่..

    ชายคนที่หญิงสาวรู้สึกสนใจ ทำไมโกหกเธอ แล้วเขามาทำอะไร รอดตายหรือไม่..

    หญิงวัยกลางคนที่ประสบเหตุคนแรกเล่า ที่ข้อมือยังมีนาฬิกาที่พร้อมระเบิดถ้าขัดคำสั่งคนร้าย เธอถูกให้ทำเรื่องใดต่อไป..

    หนุ่มพาร์ตไทม์ที่ได้รับมอบหมายงานไปทำตามลำพัง จะรอดหรือไม่ ใคร ๆ ต่างเข้าใจว่าเขาคือคนร้ายไปหมดแล้ว ...

    ยังมีอีกหลายตัวละครที่มีบทบาทต่อเนื้อเรื่อง ที่ผมเล่าได้ไม่หมด ต้องไปหาอ่านกันต่อแล้วล่ะ

    .......

    ภาควิเคราะห์✒️

    ตัวละครเยอะ และโผล่มาเรื่อย ๆ เฉพาะที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลักก็เกือบสิบคน ยังมีประเภทโผล่มาประปรายเพราะมีความสัมพันธ์กับตัวละครที่เกี่ยวข้องอีกพอสมควร แต่เนื่องจากผมมีเวลาจำกัดที่ต้องอ่านให้จบทันก่อนหนังสือจะคืนเข้าระบบตามกำหนด จึงไม่สามารถค่อย ๆ เสพอ่านอย่างละเมียดบรรจง แต่ใช้วิธีอ่านแบบกวาดตาโดยไว ซึ่งปกติจะไม่อยากอ่านแบบนี้ถ้าไม่จำเป็น เนื่องจากจะจดจำชื่อตัวละคร หรือดื่มด่ำกับสำนวนและการบรรยายของผู้เขียนได้น้อย

    ✒️

    ดีที่เล่มนี้ไม่เน้นการบรรยายเยอะ แต่สนทนามากกว่า มีบรรยายบ้างแต่ไม่ยาวเป็นหน้า ค่อนข้างเดินเรื่องกระชับฉับไว ให้รายละเอียดเท่าที่จำเป็น ตัวละครคุยกันเยอะ ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังครับ ยิ่งอ่านประวัติคนเขียนด้วยจึงเข้าใจ เพราะเป็นทั้งนักเขียนหนังสือ นักเขียนบท โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ มิน่าล่ะจึงสะท้อนความเชี่ยวชาญและแนวคิดการทำงานในการผลิตหนัง มาใช้ในงานเขียนด้วย

    ✒️

    อ่านแล้วนึกถึงหนังเรื่อง pulp fiction เมื่อปี 2537 ครับ ลักษณะการเล่ามีความเดินเรื่องคล้ายอย่างในหนัง คือไม่ได้เล่าไปทีละลำดับ แต่สลับระหว่างตัวละครหลักกลับไปกลับมา ฉากโน้นฉากนี้ แล้วพอตัวละครเยอะ ก็จะเข้าใจยากหน่อย แต่พอนำมาร้อยเรียงกันเองในหัวแล้วจะเริ่มมองภาพใหญ่ออก เพียงแค่ผู้เขียนเลือกหยิบเล่าในบริเวณจำกัดของ jigsaw บางส่วนในภาพทั้งหมด แล้วกระโดดไปเล่ามุมอื่นของชีวิตตัวละครตัวอื่น วนไปวนมาแบบนี้ จนค่อย ๆ กลายเป็นภาพที่ต่อสำเร็จเป็นรูปร่างมากขึ้นเรื่อย ๆ

    ✒️

    อ่านไปเหมือนจะงง แล้วพาลทำให้ไม่เข้าใจและไม่ชอบ หมดสนุกได้หากเราไม่คุ้นเคยกับการเล่าแบบนี้ ผมนึกถึงตัวเองตอนได้ดู pulp fiction ในโรงหนังลิโด้ครั้งแรกสมัยก่อน ถึงกับอุทานในใจ

    แหม..หนังอะไรวะเนี่ย ดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจอะไรเลย ตัวละครต่าง ๆ ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาแบบไม่มีต้น ไม่มีปลาย มาทำบ้าอะไรของมันเดี๋ยวเดียวก็ตัดไป กลายเป็นตัวอื่นโผล่มาแล้วก็ลักษณะเดียวกันคือไม่มีรายละเอียดให้รู้ งงไปจนแทบเลยกลางเรื่องไปพอสมควรแล้วนั่นแหละ แบบดูไปด่าไปในใจ แต่ก็ทนดูต่อไปเพราะอยากรู้ว่าตกลงเรื่องราวมันยังไงกันแน่

    ✒️

    พอดูจบถึงกับแทบโห่ร้องออกมาแบบไม่มีเสียง นี่มันหนังโคตรดี สุดยอดอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน คิดได้ยังไง ถ้าดำเนินเรื่องตามลำดับเวลาก่อนหลังที่ควรจะเป็น เราก็เข้าใจง่ายตั้งแต่ต้นละ แต่นี่ดันตัดเอาแค่บางช่วงสลับไปมาจนงงไปหมด ให้ไปต่อเอาเองในหัว

    หนังสือเล่มนี้ก็มีความคล้ายในการเล่าแบบหนังเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ได้มากเท่าและไม่ได้ชัดเจนเท่า ยังมีความเล่าตามลำดับในโครงสร้างใหญ่ไปตามวันที่เริ่มตั้งแต่ 22 ธันวาคม จนถึงก่อนวันคริสต์มาส แต่ทว่าจะมีช่วงที่เล่าให้ทราบถึงความเป็นไปในตัวละครบางตัวในอดีต เป็นเชิงภาคขยายจากในคราวแรกที่ไม่ได้ให้รายละเอียดตัวละครอะไรมากมาย

    ✒️

    กลางเล่มไปแล้วที่หลังเกิดเหตุระเบิดใหญ่อันน่าตกใจและมีการสูญเสียทำได้ดีทีเดียว ฉากกลางย่านชิบูย่าในภาพก่อนหน้าที่กำลังวุ่นวายและเต็มไปด้วยความเอะอะของเหล่าผู้คน ที่ไม่ตระหนักถึงอันตรายใดแล้วไม่สนใจคำเตือนตำรวจ กับภายหลังเหตุระเบิด รวมถึงความไต่ระดับของการเดินเรื่องที่บางตัวละครพยายามตามหาความจริง จิกกัดไม่ปล่อย ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่ตำรวจและยังเป็นผู้หญิง มีฉากหนึ่งที่อ่านแล้วอดนึกไม่ได้ว่า

    "อยากตายนักหรือไง"

    เพราะเธอไปจี้ถาม คุ้ยแคะแกะแผลจะคาดคั้นเอาคำตอบกับคนที่น่าสงสัยให้ได้ ช่วงบทสนทนาตอนนั้นคือลุ้นมาก นางปากดีคนนี้จะถูกหมกตายไหมเนี่ย ช่างปากกล้า ปากเก่งในเวลาที่ไม่ควรจริง ๆ แล้วเหตุการณ์ต่อจากฉากนั้น ก็ทำเอาแทบกลั้นลมหายใจอ่านทีเดียว

    ✒️

    ผู้เขียนฉลาดในการหลอกล่อคนอ่านมาตั้งแต่ต้นเริ่มเรื่องทีเดียว เรียกว่าเอาอยู่ หัวปั่นเพราะเบาะแสที่ให้มาทีละนิด เราก็คิดว่าเออ คนนี้หรือคนนั้นมีแววนะว่าอาจจะใช่คนร้ายที่เจ้าแผนการทั้งหมด เพียงเพื่อสุดท้ายจะพบกับความพลิกเหมือนลูกรูบิกที่บิดที สีที่เหมือนจะเรียงกันได้ครบ แต่ทำเอาแทบสลบเพราะนอกจากไม่เรียงสำเร็จทุกสี ยังเหมือนวิ่งหนีออกไปไกลกว่าเก่า

    อ้าว..ที่แท้คนนี้เองเหรอ..เราหมุนไปผิดทางตั้งแต่แรกเลยเหรอเนี่ย

    พอย้อนไปเก็บรายละเอียดหลังอ่านจบ โดยทวนเนื้อหาใหม่ในบางช่วงบางบทสนทนา การบรรยายรายละเอียดที่ผู้เขียนใส่ไว้ใหม่ จึงเกิดความรู้สึกเหมือน อะไรที่มันขัดกันในหัว หมุนเคลื่อนตัวลงล็อกดัง "กริ๊ก" ในตำแหน่งที่ถูกต้องเป๊ะ

    ✒️

    เราอ่านไม่ดีเองตั้งแต่แรก ละเลยส่วนสำคัญไปเพราะไม่ละเอียดและไม่คิดตามมากพอ แท้จริงร่องรอยของความจริงได้วางไว้ให้เห็นอยู่แล้ว ช่างสุดยอดจริง ๆ สมกับที่เล่มนี้ขายดีในญี่ปุ่น รวมถึงตอนสร้างเป็นหนังก็มีผลตอบรับดีด้วย (ตามที่ในหนังสือระบุไว้ในช่วงคำนำสำนักพิมพ์ หรือความในใจของผู้แปลก็ไม่แน่ใจ)

    ชอบที่ตอนจบ บทสรุปที่ให้คนอ่านได้เก็บไปคิดทบทวนถึงสิ่งที่คนเขียนต้องการสื่อไปถึงชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศ หรือที่จริงชาวโลกก็ว่าได้ เกี่ยวกับสงครามว่าคือสิ่งที่นักการเมือง ผู้มีอำนาจ และพลเมืองที่อยู่ในประเทศนั้น ๆ ควรจะปฏิบัติเช่นไร หรือไม่ควรปฏิบัติเช่นไร

    ✒️บทสรุปของคนร้ายจะตายหรือไม่

    ตอนที่เรื่องเฉลยโดยให้คนร้ายบอกเล่าความจริงในใจกับใครคนหนึ่งนั้น รู้สึกชอบวิธีเฉลยที่ผู้เขียนเลือกใช้ครับ รูปแบบเรียบง่ายแต่เข้ากับนิสัยของตัวละครตัวนี้ดี บ่งบอกตัวตนของคนคนนี้ได้ค่อนข้างชัดเจน

    คนอ่านหลายคนอาจไม่ชอบเหตุผลและแรงจูงใจของคนร้าย และไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ แต่ผมคิดว่าพอจะเข้าใจนะ แต่ไม่ใช่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนร้ายเลือกกระทำ คนเราเมื่อยึดติดในสิ่งใด สัตว์ใด คนใด ความเชื่อใดมากจนฝังแน่นไปถึงจิต

    ✒️

    มันยากเหลือเกินที่จะลบล้างเอาเจ้าความคิดนั้นให้หลุดออกไปได้ ในแง่นี้ผมจึงคิดว่าเข้าใจและเห็นใจสงสารคนร้ายพอสมควร ส่วนประชาชนคนที่ตายไปมากมายนั้น หากพูดกันอย่างไม่อคติ จะไปโทษคนร้ายทั้งหมดก็ไม่ได้ แท้จริงเหล่าคนที่ตายไป จะมากน้อยเพราะเขาทำตัวเอง พาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่อันตราย ทั้งที่ทางตำรวจก็แจ้งเตือน ห้ามปราม แต่ก็ไม่สนใจ รวมถึงพวกสื่อต่าง ๆ ที่เอาแต่อยากทำข่าวโดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ทำนั้นจะส่งผลให้สถานการณ์แย่กว่าเดิมหรือเป็นอันตรายต่อสังคม ประชาชนและประเทศชาติหรือไม่

    ผมว่าเล่มนี้สะท้อนมุมมองเรื่องเหล่านี้ได้ดี

    แต่เหนืออื่นใดคือฉากจบที่ตัวละครหนึ่งที่น่าสงสารและน่าเห็นใจมาก แต่กลับเป็นฝ่ายพูดและให้กำลังใจกับตัวละครอีกตัวที่บาดเจ็บทางใจอย่างร้ายแรงได้อย่างเข้าถึงจิตใจภายใน ราวกับคำพูดนั้นไปสัมผัสและลูบไล้ที่หัวใจด้วยความแผ่วเบาที่สุด

    ช่างอบอุ่นหัวใจดีเหลือเกิน หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ประสบมา

    สำนวนแปลอ่านได้อย่างไม่รู้สึกสะดุด

    ..........

    อ่านจบ ไปลองค้นข้อมูลที่มีการสร้างเป็นหนังต่อ พอเห็นภาพโปสเตอร์ยิ่งอยากดูมาก เพราะมีนักแสดงคนโปรดเล่นด้วยนั่นคือ อิชิดะ ยูริโกะ และคนอื่น ๆ ก็ต่างเป็นนักแสดงคุณภาพทั้งนั้น สุดท้ายเจอที่มีคนทำซับบรรยายไทย จึงโหลดมาชม แต่ดูจบแล้วพบว่า ฉบับหนังสือดีกว่าพอสมควร คือหนังสร้างออกมาได้โอเคอยู่ นักแสดงก็ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองได้ดี แต่มันมีอยู่หลายช่วงที่รู้สึกว่าน่าจะเล่าได้ดีกว่านี้ อาจเพราะเวลาจำกัด รายละเอียดมากมายจึงใส่มาได้ไม่หมด จึงทำให้ลดความสนุกลงไปจากฉบับหนังสือเยอะเลย

    แต่ฉากสำคัญที่เกิดระเบิดกลางย่านชิบูย่าทำออกมาได้ดี

    ใครสนใจลองไปหาชมดูครับ

    สุดท้ายขอจบด้วยประโยคที่ตัวละครสองตัวในเรื่องเอ่ยไว้ได้อย่างน่าประทับใจ โดยระบุว่าเป็นคำกล่าวของนักเขียนนิยายที่มีชื่อว่า Stephen King

    "ผู้ชนะในการแข่งขันปาขี้คือคนที่มือเปื้อนน้อยที่สุด คนมีคุณภาพคือคนที่ไม่ทำให้มือตัวเองเปื้อนจากอะไรไร้สาระอย่างการขว้างปาเจตนาร้ายใส่คนอื่น"

    #หนังญี่ปุ่น
    #หนังน่าดู
    #หนังสือน่าอ่าน
    #บทความ
    #รีววิหนังสือ
    #thaitimes
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #ระเบิดกลางกรุง
    #โตเกียว
    #สงคราม
    #แง่คิด
    #ระทึกขวัญ
    #สืบสวน
    #ก่อการร้าย
    ช่วงนี้อ่านเล่มไหนก็รู้สึกชอบและสนุกไปหมดเลยครับ อาจเพราะเป็นคนเลือกที่อยากอ่านเองจริง ๆ และก็มักไม่พบความผิดหวังกับเล่มที่เลือกนั้น ล่าสุดก็เรื่องนี้ที่สะดุดตาตั้งแต่ปกหน้า พอเจอในแอป hibrary ที่คนจองคิวไม่มาก และระบุว่าเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน ระทึกขวัญกลางกรุงโตเกียว คิดว่าน่าสนใจจึงต่อคิวจอง และเมื่อวันก่อนครบกำหนดต้องคืน จึงรีบอ่านแบบติดเทอร์โบรวดเดียวจนจบทันก่อนเวลาเส้นตายแบบเฉียดฉิว เมื่ออ่านจบก็พบว่า "ดีจริงที่ตัดสินใจที่จะลองอ่าน ถ้าไม่งั้นคงน่าเสียดายยิ่ง" #silenttokyoandsothisisxmas สนพ.ไดฟุกุ (อ่านหนังสือของไดฟุกุติดกันหลายเล่ม เป็นสนพ.หนึ่งที่ผลิตหนังสือค่อนข้างคุณภาพทีเดียว แต่ผมอ่านแบบอีบุ๊ก) ฮาตะ ทาเคฮิโตะ เขียน เกวลิน ลิขิตวิทยาวุฒิ แปล 248 หน้า 280 บาท พิมพ์ในญี่ปุ่นครั้งแรก 2559 ในไทยพิมพ์ครั้งแรกปี 2564 คุณจะทำอย่างไร ถ้ารู้ว่าเมืองที่ตนอาศัยอยู่กำลังจะเกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ใจกลางกรุง? เริ่มเรื่องก็ระทึกขวัญแต่ต้น ด้วยการที่แม่บ้านวัยสี่สิบกว่ารายหนึ่งตั้งใจจะออกไปซื้อของขวัญให้สามี เพราะใกล้จะถึงคริสต์มาส เธอจึงออกจากบ้านไปยังย่านกลางเมือง หลังซื้อของแล้วจึงมานั่งรับแดดกะจะกินแซนด์วิช บนม้านั่งตัวหนึ่งที่ลานสาธารณะหน้าสถานีรถไฟเอบิสุ ครู่หนึ่งชายที่ไหนไม่รู้ เข้ามาคุยกับเธอพูดจาแปลก ๆ บอกว่าใต้ม้านั่งมีระเบิด ห้ามเธอลุกขึ้นไม่งั้นระเบิดจะทำงาน เพราะเมื่อมีน้ำหนักมากกว่า30กิโลกรัมกดทับ วงจรจะเริ่มเตรียมพร้อม ทางเดียวที่จะรอด เธอต้องนั่งรอจนกว่าจะมีคนจากสถานทีโทรทัศน์แห่งหนึ่งมาที่นี่ แล้วให้เขานั่งลงข้าง ๆ จากนั้นเธอจึงลุกขึ้นได้ แต่ให้บอกสิ่งที่เธอได้ยินนี้กับเขาด้วยเพื่อจะได้ไม่ตายเพราะระเบิด และสุดท้ายให้บอกเขาว่า นี่คือสงคราม! 🧨 จากจุดเริ่มนั้นเอง ที่สถานีโทรทัศน์แห่งนั้น มีสายโทรแจ้งว่าจะมีการระเบิดขึ้นที่...หนุ่มทำงานพาร์ตไทม์ในสถานีที่ได้รับงานเป็นเบ๊ทั่วไป ถูกสั่งให้ไปยังจุดดังกล่าวพร้อมจนท.อีกคนที่ติดอุปกรณ์การถ่ายทำไปด้วย ทั้งสองจำใจไปแต่เชื่อว่าคงเป็นการล้อกันเล่น เมื่อไปถึงพบหญิงที่นั่งอยู่ข้างม้านั่งที่คนในสายแจ้ง ทั้งสองเข้าไปใกล้กะจะไปนั่งม้านั่งใกล้กันเพื่อสังเกต แต่เธอกลับเรียกให้ชายที่ถือกล้องนั่งลงถามว่ามาจากสถานีโทรทัศน์ใช่ไหม เขาแปลกใจจึงนั่งลงจะสอบถาม เธอรีบกระโดดขึ้นทันทีพลางบอกรายละเอียดทั้งหมด 🧨 ชายที่นั่งไม่เชื่อจะลุก เธอรีบกดไหล่และหว่านล้อมว่าวิธีเดียวที่จะรอดคือต้องทำตามคำบอกของชายคนที่แจ้งรายละเอียดกับเธอไว้ในตอนแรก นั่นคือให้เขาใช้กล้องบันทึกสิ่งที่ตัวเองประสบแล้วเผยแพร่ออกไป จากนั้นเธอเอาของที่คล้ายนาฬิกาข้อมือดิจิทัลมาคล้องกับข้อมือของหนุ่มพาร์ตไทม์โดยเขาไม่ทันตั้งตัว พลางเธอชูให้ดูว่าที่ข้อมือตัวเองก็มี บอกว่านี่เป็นระเบิดด้วยเช่นกัน ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของชายแปลกหน้าที่เข้ามาคุยกับเธอ เขาจะสั่งงานระยะไกลให้นาฬิการะเบิด แล้วรีบบอกกับเด็กหนุ่มว่าต้องไปต่อที่แห่งหนึ่งตามคำสั่ง จากนั้นทิ้งชายที่น่าสงสารไว้ตามลำพัง ซึ่งเขาก็กลัวมากจึงรีบทำตามที่เธอบอก ในที่สุดเรื่องก็ทราบถึงตำรวจ จนแห่กันมากู้ระเบิดด้วยการใช้ไนโตรเจนเหลวกะให้หยุดการทำงานของระบบ ปรากฏว่าเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น 🧨 ที่แท้เป็นการข่มขู่ แค่ระเบิดเสียงแต่ยังไม่มีอำนาจทำลายล้าง ทว่าด้วยเหตุนี้ทางตำรวจสืบสวนกลางจึงตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลและสืบเรื่องนี้ขึ้น จากการวิเคราะห์ทำให้ตำรวจทราบว่า ระเบิดนั้นถูกติดตั้งตัวจับอุณหภูมิไว้ด้วย แสดงว่าคนที่ประกอบระเบิดเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้ด้านนี้และคาดเดาได้ว่าตำรวจจะใช้ไนโตรเจนเหลว จึงดักทางด้วยการติดตั้งระบบให้ไม่อาจกู้ด้วยวิธีที่ตำรวจใช้ ในทีมสืบสวน มีการจับคู่ของนายตำรวจมากประสบการณ์วัยสี่สิบกว่ากับตำรวจหนุ่มไฟแรงคู่หนึ่ง ซึ่งมีบทบาทในการตามสืบข้อมูลเกี่ยวกับการระเบิดครั้งนี้อย่างกัดติด ด้วยตำรวจวัยกลางคนนั้นเคยแต่งงานกับลูกสาวของระดับสูงของหัวหน้าที่ตั้งทีมครั้งนี้ ทว่ามีเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้ต้องหย่ากันไป อย่างไรเขาคือผู้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเกี่ยวกับสถานการณ์อันตราย 🧨 ด้านหญิงกลางคนกับหนุ่มพาร์ตไทม์ เดินทางไปยังอาคารหลังหนึ่งเป็นห้องเช่า ที่ภายในมีทีวีและอุปกรณ์กล้อง พร้อมซองสีขาวที่เขียนรายละเอียดบอกไว้ให้เด็กหนุ่มต้องอ่านข้อความตามที่มีบทพูดไว้ให้ โดยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนทำหน้าที่บันทึกภาพ จากนั้นให้นำโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นในยูทูปเห็น เนื้อหาสรุปคือให้บอกว่าผมคือผู้ที่วางระเบิดนั้นเอง และยื่นข้อเสนอขอคุยกับนายกถ่ายทอดออกทางสถานีโทรทัศน์ ถ้าไม่ทำตาม จะมีการวางระเบิดในย่านใจกลางชิบูย่า หน้ารูปปั้นหมาฮาจิโกะ เส้นตายคือ18.30น. ปรากฏว่านายกฯออกข่าวตอบโต้ว่าไม่ต้องการเจรจาใดกับผู้ก่อการร้ายทั้งสิ้น และจะทำสงครามกับคนไม่หวังดีอย่างถึงที่สุด 🧨 ด้านหนุ่มพาร์ตไทม์ได้รับคำสั่งต่อไปให้ไปทำคนเดียว จึงต้องแยกกับหญิงกลางคนที่ถูกให้เฝ้ารอคำสั่งอยู่ในห้องแห่งนั้น ส่วนตำรวจก็วิ่งขาขวิด ล้อมรั้วด้วยแถบเหลืองรอบรูปปั้นฮาจิโกะด้วยรัศมีประมาณหนึ่ง และให้หน่วยกอบกู้ระเบิดพยายามเร่งค้นหาวัตถุระเบิดที่ถูกซุกซ่อนอยู่ แต่คนโตเกียวและชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เข้าใจว่าคลิปที่เผยแพร่ น่าจะเป็นการหลอกลวงเหมือนเช่นระเบิดก่อนหน้าที่สถานีเอบิสุ จึงไม่รู้สึกกลัวแถมยังแห่มายังบริเวณลานอันเป็นสถานที่ถูกระบุ ด้วยต้องการมาเซลฟี่ตนเอง บ้างมาเป็นกลุ่ม เพื่ออัปโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นเห็น 🧨 มีหญิงสาวพนักงานบริษัทธรรมดาสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน คนหนึ่งเป็นชู้กับสามีของคนอื่นและคะยั้นคะยอชวนเพื่อนไปนัดบอดก่อนหน้านี้ ซึ่งเพื่อนของเธอเพิ่งอกหักจากแฟนที่รักกันมากว่าสิบปี แล้วทิ้งไปอยู่กับกิ๊กที่ตั้งท้องไม่กี่เดือน เพื่อนสาวคนนี้กำลังคิดจะเริ่มต้นใหม่และรู้สึกดีกับหนุ่มคนหนึ่งในงานนัดบอด โดยเขาคนนั้นเป็นเจ้าของบริษัทที่สร้างแอปพลิเคชันที่เปิดตัวดีและมีคนใช้เยอะ ธุรกิจไปได้สวยทั้งที่ยังอายุไม่มาก แต่ค่อนข้างเย็นชาไม่สนใจคนรอบข้าง สองสาวตั้งใจจะมากินอาหารฉลองก่อนคริสต์มาส แล้วเห็นหนุ่มคนที่ตนสนใจเข้าพอดีในสถานที่ใกล้รูปปั้นฮาจิโกะ เพื่อนคนที่ใจกล้าจึงชวนอีกคนว่าให้ลองตามไปดูเขาว่าทำไมถึงมาอยู่แถวชิบูย่า ทั้งที่ก่อนหน้าตอนเธอชวนมากินข้าวด้วยกัน ปฏิเสธว่ามีนัดสำคัญที่อื่น เธอไม่อยากไปแต่สุดท้ายก็โดนเพื่อนลากไปจนได้ 🧨 ด้านตำรวจยังคงพยายามตามหาว่าระเบิดถูกซ่อนตรงไหน เวลากระชั้นสั้นเข้าใกล้ถึงกำหนดที่ถูกประกาศว่าจะมีการระเบิด แต่ผู้คนยิ่งมาออกันอย่างเนืองแน่นด้วยความสนุกสนาน สุดท้ายจึงเกิดโศกนาฏกรรมใหญ่ เพราะมีการระเบิดขึ้นจริง ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แต่เรื่องราวไม่จบเท่านี้ เพราะหลังเหตุร้ายแรง นายกฯยังคงยืนยันคำพูดแข็งกร้าวเช่นเดิม ดังนั้นจึงมีข้อความต่อมาของคนร้ายที่แจ้งให้ทราบว่า ถ้านายกยังไม่ทำตามข้อเสนอ ระเบิดครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในคืนวันคริสต์มาสอีฟ คราวนี้บอกแค่เวลา แต่ไม่ระบุจุดที่จะระเบิด บอกเพียงว่าในกรุงโตเกียว 🧨 เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป.. ตำรวจจะหาตัวคนร้ายเจอไหม .. สถานที่ใดจะเกิดระเบิดครั้งต่อไป.. หญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงบริเวณย่านชิบูย่าตายหรือไม่.. ชายคนที่หญิงสาวรู้สึกสนใจ ทำไมโกหกเธอ แล้วเขามาทำอะไร รอดตายหรือไม่.. หญิงวัยกลางคนที่ประสบเหตุคนแรกเล่า ที่ข้อมือยังมีนาฬิกาที่พร้อมระเบิดถ้าขัดคำสั่งคนร้าย เธอถูกให้ทำเรื่องใดต่อไป.. หนุ่มพาร์ตไทม์ที่ได้รับมอบหมายงานไปทำตามลำพัง จะรอดหรือไม่ ใคร ๆ ต่างเข้าใจว่าเขาคือคนร้ายไปหมดแล้ว ... ยังมีอีกหลายตัวละครที่มีบทบาทต่อเนื้อเรื่อง ที่ผมเล่าได้ไม่หมด ต้องไปหาอ่านกันต่อแล้วล่ะ ....... ภาควิเคราะห์✒️ ตัวละครเยอะ และโผล่มาเรื่อย ๆ เฉพาะที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลักก็เกือบสิบคน ยังมีประเภทโผล่มาประปรายเพราะมีความสัมพันธ์กับตัวละครที่เกี่ยวข้องอีกพอสมควร แต่เนื่องจากผมมีเวลาจำกัดที่ต้องอ่านให้จบทันก่อนหนังสือจะคืนเข้าระบบตามกำหนด จึงไม่สามารถค่อย ๆ เสพอ่านอย่างละเมียดบรรจง แต่ใช้วิธีอ่านแบบกวาดตาโดยไว ซึ่งปกติจะไม่อยากอ่านแบบนี้ถ้าไม่จำเป็น เนื่องจากจะจดจำชื่อตัวละคร หรือดื่มด่ำกับสำนวนและการบรรยายของผู้เขียนได้น้อย ✒️ ดีที่เล่มนี้ไม่เน้นการบรรยายเยอะ แต่สนทนามากกว่า มีบรรยายบ้างแต่ไม่ยาวเป็นหน้า ค่อนข้างเดินเรื่องกระชับฉับไว ให้รายละเอียดเท่าที่จำเป็น ตัวละครคุยกันเยอะ ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังครับ ยิ่งอ่านประวัติคนเขียนด้วยจึงเข้าใจ เพราะเป็นทั้งนักเขียนหนังสือ นักเขียนบท โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ มิน่าล่ะจึงสะท้อนความเชี่ยวชาญและแนวคิดการทำงานในการผลิตหนัง มาใช้ในงานเขียนด้วย ✒️ อ่านแล้วนึกถึงหนังเรื่อง pulp fiction เมื่อปี 2537 ครับ ลักษณะการเล่ามีความเดินเรื่องคล้ายอย่างในหนัง คือไม่ได้เล่าไปทีละลำดับ แต่สลับระหว่างตัวละครหลักกลับไปกลับมา ฉากโน้นฉากนี้ แล้วพอตัวละครเยอะ ก็จะเข้าใจยากหน่อย แต่พอนำมาร้อยเรียงกันเองในหัวแล้วจะเริ่มมองภาพใหญ่ออก เพียงแค่ผู้เขียนเลือกหยิบเล่าในบริเวณจำกัดของ jigsaw บางส่วนในภาพทั้งหมด แล้วกระโดดไปเล่ามุมอื่นของชีวิตตัวละครตัวอื่น วนไปวนมาแบบนี้ จนค่อย ๆ กลายเป็นภาพที่ต่อสำเร็จเป็นรูปร่างมากขึ้นเรื่อย ๆ ✒️ อ่านไปเหมือนจะงง แล้วพาลทำให้ไม่เข้าใจและไม่ชอบ หมดสนุกได้หากเราไม่คุ้นเคยกับการเล่าแบบนี้ ผมนึกถึงตัวเองตอนได้ดู pulp fiction ในโรงหนังลิโด้ครั้งแรกสมัยก่อน ถึงกับอุทานในใจ แหม..หนังอะไรวะเนี่ย ดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจอะไรเลย ตัวละครต่าง ๆ ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาแบบไม่มีต้น ไม่มีปลาย มาทำบ้าอะไรของมันเดี๋ยวเดียวก็ตัดไป กลายเป็นตัวอื่นโผล่มาแล้วก็ลักษณะเดียวกันคือไม่มีรายละเอียดให้รู้ งงไปจนแทบเลยกลางเรื่องไปพอสมควรแล้วนั่นแหละ แบบดูไปด่าไปในใจ แต่ก็ทนดูต่อไปเพราะอยากรู้ว่าตกลงเรื่องราวมันยังไงกันแน่ ✒️ พอดูจบถึงกับแทบโห่ร้องออกมาแบบไม่มีเสียง นี่มันหนังโคตรดี สุดยอดอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน คิดได้ยังไง ถ้าดำเนินเรื่องตามลำดับเวลาก่อนหลังที่ควรจะเป็น เราก็เข้าใจง่ายตั้งแต่ต้นละ แต่นี่ดันตัดเอาแค่บางช่วงสลับไปมาจนงงไปหมด ให้ไปต่อเอาเองในหัว หนังสือเล่มนี้ก็มีความคล้ายในการเล่าแบบหนังเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ได้มากเท่าและไม่ได้ชัดเจนเท่า ยังมีความเล่าตามลำดับในโครงสร้างใหญ่ไปตามวันที่เริ่มตั้งแต่ 22 ธันวาคม จนถึงก่อนวันคริสต์มาส แต่ทว่าจะมีช่วงที่เล่าให้ทราบถึงความเป็นไปในตัวละครบางตัวในอดีต เป็นเชิงภาคขยายจากในคราวแรกที่ไม่ได้ให้รายละเอียดตัวละครอะไรมากมาย ✒️ กลางเล่มไปแล้วที่หลังเกิดเหตุระเบิดใหญ่อันน่าตกใจและมีการสูญเสียทำได้ดีทีเดียว ฉากกลางย่านชิบูย่าในภาพก่อนหน้าที่กำลังวุ่นวายและเต็มไปด้วยความเอะอะของเหล่าผู้คน ที่ไม่ตระหนักถึงอันตรายใดแล้วไม่สนใจคำเตือนตำรวจ กับภายหลังเหตุระเบิด รวมถึงความไต่ระดับของการเดินเรื่องที่บางตัวละครพยายามตามหาความจริง จิกกัดไม่ปล่อย ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่ตำรวจและยังเป็นผู้หญิง มีฉากหนึ่งที่อ่านแล้วอดนึกไม่ได้ว่า "อยากตายนักหรือไง" เพราะเธอไปจี้ถาม คุ้ยแคะแกะแผลจะคาดคั้นเอาคำตอบกับคนที่น่าสงสัยให้ได้ ช่วงบทสนทนาตอนนั้นคือลุ้นมาก นางปากดีคนนี้จะถูกหมกตายไหมเนี่ย ช่างปากกล้า ปากเก่งในเวลาที่ไม่ควรจริง ๆ แล้วเหตุการณ์ต่อจากฉากนั้น ก็ทำเอาแทบกลั้นลมหายใจอ่านทีเดียว ✒️ ผู้เขียนฉลาดในการหลอกล่อคนอ่านมาตั้งแต่ต้นเริ่มเรื่องทีเดียว เรียกว่าเอาอยู่ หัวปั่นเพราะเบาะแสที่ให้มาทีละนิด เราก็คิดว่าเออ คนนี้หรือคนนั้นมีแววนะว่าอาจจะใช่คนร้ายที่เจ้าแผนการทั้งหมด เพียงเพื่อสุดท้ายจะพบกับความพลิกเหมือนลูกรูบิกที่บิดที สีที่เหมือนจะเรียงกันได้ครบ แต่ทำเอาแทบสลบเพราะนอกจากไม่เรียงสำเร็จทุกสี ยังเหมือนวิ่งหนีออกไปไกลกว่าเก่า อ้าว..ที่แท้คนนี้เองเหรอ..เราหมุนไปผิดทางตั้งแต่แรกเลยเหรอเนี่ย พอย้อนไปเก็บรายละเอียดหลังอ่านจบ โดยทวนเนื้อหาใหม่ในบางช่วงบางบทสนทนา การบรรยายรายละเอียดที่ผู้เขียนใส่ไว้ใหม่ จึงเกิดความรู้สึกเหมือน อะไรที่มันขัดกันในหัว หมุนเคลื่อนตัวลงล็อกดัง "กริ๊ก" ในตำแหน่งที่ถูกต้องเป๊ะ ✒️ เราอ่านไม่ดีเองตั้งแต่แรก ละเลยส่วนสำคัญไปเพราะไม่ละเอียดและไม่คิดตามมากพอ แท้จริงร่องรอยของความจริงได้วางไว้ให้เห็นอยู่แล้ว ช่างสุดยอดจริง ๆ สมกับที่เล่มนี้ขายดีในญี่ปุ่น รวมถึงตอนสร้างเป็นหนังก็มีผลตอบรับดีด้วย (ตามที่ในหนังสือระบุไว้ในช่วงคำนำสำนักพิมพ์ หรือความในใจของผู้แปลก็ไม่แน่ใจ) ชอบที่ตอนจบ บทสรุปที่ให้คนอ่านได้เก็บไปคิดทบทวนถึงสิ่งที่คนเขียนต้องการสื่อไปถึงชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศ หรือที่จริงชาวโลกก็ว่าได้ เกี่ยวกับสงครามว่าคือสิ่งที่นักการเมือง ผู้มีอำนาจ และพลเมืองที่อยู่ในประเทศนั้น ๆ ควรจะปฏิบัติเช่นไร หรือไม่ควรปฏิบัติเช่นไร ✒️บทสรุปของคนร้ายจะตายหรือไม่ ตอนที่เรื่องเฉลยโดยให้คนร้ายบอกเล่าความจริงในใจกับใครคนหนึ่งนั้น รู้สึกชอบวิธีเฉลยที่ผู้เขียนเลือกใช้ครับ รูปแบบเรียบง่ายแต่เข้ากับนิสัยของตัวละครตัวนี้ดี บ่งบอกตัวตนของคนคนนี้ได้ค่อนข้างชัดเจน คนอ่านหลายคนอาจไม่ชอบเหตุผลและแรงจูงใจของคนร้าย และไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ แต่ผมคิดว่าพอจะเข้าใจนะ แต่ไม่ใช่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนร้ายเลือกกระทำ คนเราเมื่อยึดติดในสิ่งใด สัตว์ใด คนใด ความเชื่อใดมากจนฝังแน่นไปถึงจิต ✒️ มันยากเหลือเกินที่จะลบล้างเอาเจ้าความคิดนั้นให้หลุดออกไปได้ ในแง่นี้ผมจึงคิดว่าเข้าใจและเห็นใจสงสารคนร้ายพอสมควร ส่วนประชาชนคนที่ตายไปมากมายนั้น หากพูดกันอย่างไม่อคติ จะไปโทษคนร้ายทั้งหมดก็ไม่ได้ แท้จริงเหล่าคนที่ตายไป จะมากน้อยเพราะเขาทำตัวเอง พาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่อันตราย ทั้งที่ทางตำรวจก็แจ้งเตือน ห้ามปราม แต่ก็ไม่สนใจ รวมถึงพวกสื่อต่าง ๆ ที่เอาแต่อยากทำข่าวโดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ทำนั้นจะส่งผลให้สถานการณ์แย่กว่าเดิมหรือเป็นอันตรายต่อสังคม ประชาชนและประเทศชาติหรือไม่ ผมว่าเล่มนี้สะท้อนมุมมองเรื่องเหล่านี้ได้ดี แต่เหนืออื่นใดคือฉากจบที่ตัวละครหนึ่งที่น่าสงสารและน่าเห็นใจมาก แต่กลับเป็นฝ่ายพูดและให้กำลังใจกับตัวละครอีกตัวที่บาดเจ็บทางใจอย่างร้ายแรงได้อย่างเข้าถึงจิตใจภายใน ราวกับคำพูดนั้นไปสัมผัสและลูบไล้ที่หัวใจด้วยความแผ่วเบาที่สุด ช่างอบอุ่นหัวใจดีเหลือเกิน หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ประสบมา สำนวนแปลอ่านได้อย่างไม่รู้สึกสะดุด .......... อ่านจบ ไปลองค้นข้อมูลที่มีการสร้างเป็นหนังต่อ พอเห็นภาพโปสเตอร์ยิ่งอยากดูมาก เพราะมีนักแสดงคนโปรดเล่นด้วยนั่นคือ อิชิดะ ยูริโกะ และคนอื่น ๆ ก็ต่างเป็นนักแสดงคุณภาพทั้งนั้น สุดท้ายเจอที่มีคนทำซับบรรยายไทย จึงโหลดมาชม แต่ดูจบแล้วพบว่า ฉบับหนังสือดีกว่าพอสมควร คือหนังสร้างออกมาได้โอเคอยู่ นักแสดงก็ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองได้ดี แต่มันมีอยู่หลายช่วงที่รู้สึกว่าน่าจะเล่าได้ดีกว่านี้ อาจเพราะเวลาจำกัด รายละเอียดมากมายจึงใส่มาได้ไม่หมด จึงทำให้ลดความสนุกลงไปจากฉบับหนังสือเยอะเลย แต่ฉากสำคัญที่เกิดระเบิดกลางย่านชิบูย่าทำออกมาได้ดี ใครสนใจลองไปหาชมดูครับ สุดท้ายขอจบด้วยประโยคที่ตัวละครสองตัวในเรื่องเอ่ยไว้ได้อย่างน่าประทับใจ โดยระบุว่าเป็นคำกล่าวของนักเขียนนิยายที่มีชื่อว่า Stephen King "ผู้ชนะในการแข่งขันปาขี้คือคนที่มือเปื้อนน้อยที่สุด คนมีคุณภาพคือคนที่ไม่ทำให้มือตัวเองเปื้อนจากอะไรไร้สาระอย่างการขว้างปาเจตนาร้ายใส่คนอื่น" #หนังญี่ปุ่น #หนังน่าดู #หนังสือน่าอ่าน #บทความ #รีววิหนังสือ #thaitimes #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #ระเบิดกลางกรุง #โตเกียว #สงคราม #แง่คิด #ระทึกขวัญ #สืบสวน #ก่อการร้าย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 646 มุมมอง 0 รีวิว
  • #สนุกจังตังอยู่ครบ

    ความสนุกที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ กับแค่โครงเรื่องแนวคลาสสิกที่ให้คนกลุ่มหนึ่ง ติดอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่อาจติดต่อกับคนอื่นได้ แล้วมีการตายเกิดขึ้นทีละราย ทว่าเล่มนี้มีการรื้อโครงสร้างแนวเก่าออก แล้วก่อขึ้นใหม่โดยรูปแบบภายนอกยังคงคล้ายเดิม ทว่าภายในนั้นมีความดัดแปลงให้แตกต่างไป นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่น่าพอใจยิ่ง

    ผมกำลังพูดถึง #ฆาตกรรมปิดตายบนภูเขาหิมะ ผลงานของ ฮิงาชิโนะ เคโงะ ฝีมือแปลโดย สุรีรัตน์ งามสง่าพงษ์
    จัดพิมพ์โดย สนพ.ไดฟุกุ เมื่อกรกฎาคม 2566 ความหนา 240 หน้า ราคา 270 บาท ต้นฉบับพิมพ์ตั้งแต่ปี 2539 นับถึงปัจจุบันก็เฉียด 30 ปีเข้าแล้ว

    อ่านจบก่อนและค่อนข้างชอบ จึงลองไปอ่านความเห็นคนอื่นดูบ้าง รู้สึกเสียงแตกเป็นสองฝั่ง มีไม่น้อยค่อนไปในทางไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก ซึ่งก็แล้วแต่ความเห็นของคนอ่าน ในส่วนของผมเองมีเหตุผลที่ชอบซึ่งจะได้เขียนถึงต่อไป

    เบื้องต้นขอเล่าเนื้อหาโดยสรุปดังนี้

    ชายหนุ่มหญิงสาว 7 คน (แบ่งเป็นชาย4หญิง3) ที่ผ่านการออดิชันเพื่อจะรับบทแสดงนำในละครเวทีของคณะละครแห่งหนึ่ง ได้รับจดหมายจากผกก.ละครที่ส่งถึงทุกคนว่าให้มารวมตัวกันที่บ้านพักหลังหนึ่งบนภูเขาเป็นเวลา 4 วัน เพื่อฝึกซ้อมพิเศษตามวันเวลานัดที่ระบุ ถ้าใครไม่มาหรือมาช้าจะถูกตัดสิทธิ์ และห้ามบอกใครทั้งนั้น

    ที่บ้านพัก ทั้ง7คนได้พบกับเจ้าของบ้านที่รออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ให้ทราบว่ามีห้องอะไรในเกสต์เฮาส์บ้าง มีวัตถุดิบทำอาหารไว้ให้พอสำหรับ 4 วัน แต่ผู้มาพักต้องทำอาหารเอง ไม่มีใครมาคอยดูแลให้ทั้งสิ้น ทั้ง7ต้องอยู่ตามลำพัง เป็นเงื่อนไขที่ทางคนกลางของ ผกก.ที่ติดต่อมาแจ้งไว้ ก่อนออกจากบ้านพักเขาทิ้งท้ายว่าหากมีเหตุฉุกเฉินให้โทรศัพท์ถึงเขาได้ เขาอยู่อีกที่หนึ่งซึ่งห่างไปไม่ไกลนัก

    ขณะทั้ง7กำลังไม่สบอารมณ์ในสิ่งที่เจ้าของบ้านพักแจ้ง และจับกลุ่มสนทนา ปรากฏว่ามีจดหมายจากผกก.มาส่ง แจ้งรายละเอียดว่าตลอด 4 วันนี้ ให้ทุกคนถือเสมือนหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์ที่มีหิมะตกหนัก ไม่สามารถออกไปไหนและสายสัญญาณโทรศัพท์ถูกหิมะหล่นทับไม่อาจติดต่อใคร และจะมีการฆาตกรรมเกิดขึ้น โดยให้แต่ละคนจำลองสถานการณ์เอาเองว่าจะทำอย่างไร ถ้ามีฆาตกรฆ่าคนตายไปทีละคน ทั้งหมดถือเป็นการฝึกซ้อมและทดสอบที่จะนำมาใช้ในการวัดผล โดยห้ามติดต่อหาใครทั้งนั้น ห้ามออกไปไหนจนกว่าจะครบกำหนด ใครฝ่าฝืนถือว่าสละสิทธิ์โดยปริยาย ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้ทั้ง7คนทุ่มเถียงถึงคำสั่งแปลกพิสดารของผกก. แต่ในที่สุดก็จำต้องยอมรับและปฏิบัติตาม

    หลังเลือกห้องกันแล้วว่าใครจะพักห้องไหน มีทั้งห้องเตียงเดี่ยวและเตียงคู่ มีห้องสันทนาการ ห้องนั่งเล่นรวม ห้องอาหาร ห้องครัว ห้องสุขาและอาบน้ำ และห้องอื่น ๆ ทุกคนใช้ชีวิตไปตามอัธยาศัย แล้วก็เกิดเหตุน่ากลัวขึ้นในคืนวันแรก สมาชิกในกลุ่มคนหนึ่งหายตัวไปในเช้าวันถัดมา และมีกระดาษที่เขียนคำอธิบายไว้ว่าบุคคลคนนั้นถูกฆ่าตายแล้วด้วยวิธีการใด และต้องหายตัวไปเหมือนถูกตัดออกจากการแข่งขัน สมาชิกที่เหลือจึงเริ่มตื่นตัวขึ้น แม้ไม่รู้ว่าเพื่อนคนดังกล่าวไปแอบอยู่ที่ใดระหว่างที่ยังไม่ครบ4วัน คนที่เหลือต้องพยายามหาทางคาดเดาตัวคนร้ายให้ได้

    ในระหว่างคนทั้ง6ที่เหลือ ก็มีความสัมพันธ์ส่วนตัวพัวพันกันอยู่ มีชายอย่างน้อยสามคนที่ชอบหญิงคนหนึ่งในกลุ่ม จึงมีการพูดจาเชิงข่มหรือดูถูกเหยียดหยาม ส่วนหญิงอีกคนดูจะมีใจให้กับชายอีกคนที่ชอบผู้หญิงอีกคน มันช่างยุ่งเหยิงดีแท้ และแล้วก็มีการตายเกิดขึ้นอีกในคืนวันถัดมาโดยไม่มีใครทราบจนล่วงเข้าวันใหม่ ยังคงมีกระดาษเขียนรายละเอียดที่ระบุว่าผู้ตายถูกฆ่าแบบไหน และคนในกลุ่มก็หายตัวไปอีกหนึ่ง เหลือเพียง 5 คน ทำให้เกิดการทุ่มเถียงกันมากขึ้น มีคนหนึ่งเริ่มเสนอแนวคิดที่น่ากลัวว่า คนที่หายตัวไปนั้นอาจไม่ใช่การซ้อมแสดงละคร แต่ได้ถูกฆ่าตายไปแล้วจริง ๆ

    ความจริงเบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดคืออะไรกันแน่ หาคำตอบได้ใน ฆาตกรรมปิดตายบนภูเขาหิมะครับ

    ..............

    ความจริงเล่มนี้ตัวละครไม่เยอะ มีกล่าวถึงคนอื่นที่เกี่ยวข้องบ้างเล็กน้อยคือผกก. ,เจ้าของบ้านพัก,และตัวละครอีกหนึ่งคนซึ่งจะถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังคนในกลุ่มได้เข้าพักในบ้านไปแล้วระยะหนึ่ง ดังนั้นสำหรับผม ถือว่าเรื่องนี้มีความง่ายกว่าเรื่องอื่น ๆ ที่เคยอ่านมาในการจดจำตัวละคร เรียกว่าพยายามท่องจำเอาตั้งแต่เริ่มเลย พร้อมกับดูผังบ้านชั้น1 และชั้น2ประกอบไปด้วย เพื่อจำว่าใครพักอยู่ห้องไหนบ้าง แม้รายละเอียดของผังบ้านที่ให้มาจะไม่ได้มีรายละเอียดมากนัก แค่วาดแบ่งเป็นขนาดให้เห็นอย่างหยาบ ๆ ว่าห้องไหนคือห้องอะไร มีเฟอร์นิเจอร์ใดตั้งอยู่บ้างเท่าที่จำเป็น ตำแหน่งของประตูหน้าต่างก็บอกเฉพาะบางตำแหน่งเท่านั้น ไม่ได้แสดงครบทุกห้อง และมองเห็นบางจุดที่รู้สึกติดใจตั้งแต่ทีแรกว่าตำแหน่งนั้นคืออะไร ทำไมไม่ระบุรายละเอียดให้ทราบ พออ่านจนใกล้จบจึงถึงบางอ้อ ที่แท้จุดที่เราสงสัยเป็นส่วนสำคัญของปริศนาแห่งคดีในเล่มนี้ด้วยสิ

    ขอกล่าวถึงเหตุผลที่ชอบนะครับ หลักเลยคือเห็นถึงความตั้งใจของผู้เขียน ที่อยากจะทำให้เกิดการเล่าเรื่องแนวใหม่ที่แตกต่างไปจากการเล่ารูปแบบเดิมที่เคยใช้กันมาในนิยายรุ่นเก่าของนักเขียนดังหลายคนทางฝากตะวันตก แม้จะสร้างสถานการณ์ให้มีคนมาอยู่รวมกันในที่ซึ่งเหมือนหนีไปไหนไม่ได้ แล้วตายไปทีละคนเช่นโครงเรื่องแนวคลาสสิก แต่ก็ใส่รายละเอียดที่ทำให้ต่างตรงที่คราวนี้ ทุกอย่างถูกกำหนดบังคับจากกฎกติกาที่ระบุในจม. ทำให้เหยื่อมีความสับสนระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าคือความจริงหรือคือการแสดงละครตามสิ่งที่ผกก.ต้องการกันแน่

    ที่สร้างสรรค์อย่างมากคือใช้วิธีการเล่าสองรูปแบบสลับกันไปตลอดทั้งเรื่อง คือเล่าในมุมมองพระเจ้าที่เราเข้าใจเอาเองแต่แรกว่าคือมุมมองสายตาของนักเขียน ทว่าเฉลยตอนท้ายที่เข้าสู่ช่วงไขคดีว่าที่แท้เป็นมุมมองพระเจ้าก็จริง แต่ไม่ใช่สายตาผู้เขียน หากแต่เป็นใคร หากได้อ่านเองแล้วก็จะรู้ จุดนี้ผมถือว่ายอดเยี่ยมมาก ส่วนอีกมุมมองหนึ่งจะเป็นการเล่าผ่านสายตาและความคิดของตัวละครตัวหนึ่งที่อยู่ในกลุ่ม7คน คล้ายทำนองบันทึกการคุยกับตัวเองว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น มีใครทำอะไร ใครคุยว่าอย่างไรบ้าง โดยในส่วนนี้จะมีสอดแทรกความเห็นส่วนตัวของคนดังกล่าวทำให้คนอ่านทราบมุมมองของเขาอย่างใกล้ชิด และเป็นตัวละครสำคัญที่เหมือนเป็นตัวขับเคลื่อนให้เรื่องเดินหน้าต่อไป และตัวละครตัวนี้เองที่ภายหลัง ก็คล้ายจะสถาปนาตนเองเป็นผู้ทำหน้าที่แทนนักสืบในการคลี่คลายปริศนาทั้งหมดด้วย

    เรื่องจะถูกแบ่งเล่าเป็น 4 วัน ในแต่ละวันมีอะไรเกิดขึ้นบ้างจนกระทั่งจบวัน จึงเริ่มต้นบทใหม่ในวันถัดไป ดังที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้คือ ตั้งใจท่องจำชื่อตัวละครทั้ง7และจำผังบ้านไว้ในหัวคร่าว ๆ ดังนั้นตอนอ่านที่ผู้เขียนบรรยายเล่าถึงช่วงที่ระบุถึงตัวละครกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหนในห้องใด และการเล่าถึงสภาพภายในของบ้านพักว่ามีอะไรตั้งอยู่จุดไหนอย่างไร ผมจึงมองเห็นภาพเป็นสามมิติได้ไม่ยากนัก นับว่าผู้เขียนออกแบบและคิดผังบ้านหลังนี้มาได้ไม่เลว จึงสอดรับเข้ากันกับเหตุผลที่ประกอบในการกระทำของตัวละครต่าง ๆ อย่างกลมกลืน

    ด้วยความที่ส่วนตัวผมเคยผ่านการ try out จนได้รับเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของคนที่ได้รับการฝึกฝนเพื่อแสดงละครเวที รวมถึงเคยอยู่ในฐานะของผู้ที่ฝึกฝนการแสดงให้กับรุ่นน้องในคณะสมัยเรียนมาก่อน ดังนั้นจึงค่อนข้างเข้าใจในความรู้สึกของเหล่าตัวละครที่แสดงบทบาทลีลาในเรื่อง ว่าทำไมถึงคิดหรือพูดและทำอะไรลงไปดังที่ปรากฏนั้น ซึ่งไม่แปลกแต่ประการใด จึงถือว่าเล่มนี้เป็นอีกเล่มหนึ่งของผู้เขียน ที่มีมุมมองการเล่าเรื่องที่สร้างสรรค์ได้น่าสนใจไม่แพ้เรื่องตุ๊กตาปิเอโรในคฤหาสน์กางเขนเช่นกัน

    ด้านสำนวนการแปลอ่านได้เพลินไม่มีสะดุดติดขัด บางคำพูดของบทสนทนาก็ทำให้รู้สึกฮาเหมือนกัน เป็นเรื่องที่น่าจะเครียด แต่กลับอ่านแล้วผ่อนคลายสบาย ๆ และอยากรู้ว่าที่แท้แล้วเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ ชอบบทสรุปของเรื่องในตอนท้ายที่ต่างไปจากนิยายแนวนี้ที่อ่านผ่านมาทั้งหมด นับว่าเป็นตอนจบที่ผมมีความสุขมากจริง ๆ ครับ โดยเฉพาะกลอุบายที่ใช้ ช่างน่าประทับใจยิ่ง

    #รีวิวหนังสือ
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #บทความ
    #เรื่องแปล
    #ฃาตกรรม
    #สืบสวน
    #thaitimes
    #ละครเวที
    #ไขปริศนา
    #สนุกจังตังอยู่ครบ ความสนุกที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ กับแค่โครงเรื่องแนวคลาสสิกที่ให้คนกลุ่มหนึ่ง ติดอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่อาจติดต่อกับคนอื่นได้ แล้วมีการตายเกิดขึ้นทีละราย ทว่าเล่มนี้มีการรื้อโครงสร้างแนวเก่าออก แล้วก่อขึ้นใหม่โดยรูปแบบภายนอกยังคงคล้ายเดิม ทว่าภายในนั้นมีความดัดแปลงให้แตกต่างไป นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่น่าพอใจยิ่ง ผมกำลังพูดถึง #ฆาตกรรมปิดตายบนภูเขาหิมะ ผลงานของ ฮิงาชิโนะ เคโงะ ฝีมือแปลโดย สุรีรัตน์ งามสง่าพงษ์ จัดพิมพ์โดย สนพ.ไดฟุกุ เมื่อกรกฎาคม 2566 ความหนา 240 หน้า ราคา 270 บาท ต้นฉบับพิมพ์ตั้งแต่ปี 2539 นับถึงปัจจุบันก็เฉียด 30 ปีเข้าแล้ว อ่านจบก่อนและค่อนข้างชอบ จึงลองไปอ่านความเห็นคนอื่นดูบ้าง รู้สึกเสียงแตกเป็นสองฝั่ง มีไม่น้อยค่อนไปในทางไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก ซึ่งก็แล้วแต่ความเห็นของคนอ่าน ในส่วนของผมเองมีเหตุผลที่ชอบซึ่งจะได้เขียนถึงต่อไป เบื้องต้นขอเล่าเนื้อหาโดยสรุปดังนี้ ชายหนุ่มหญิงสาว 7 คน (แบ่งเป็นชาย4หญิง3) ที่ผ่านการออดิชันเพื่อจะรับบทแสดงนำในละครเวทีของคณะละครแห่งหนึ่ง ได้รับจดหมายจากผกก.ละครที่ส่งถึงทุกคนว่าให้มารวมตัวกันที่บ้านพักหลังหนึ่งบนภูเขาเป็นเวลา 4 วัน เพื่อฝึกซ้อมพิเศษตามวันเวลานัดที่ระบุ ถ้าใครไม่มาหรือมาช้าจะถูกตัดสิทธิ์ และห้ามบอกใครทั้งนั้น ที่บ้านพัก ทั้ง7คนได้พบกับเจ้าของบ้านที่รออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ให้ทราบว่ามีห้องอะไรในเกสต์เฮาส์บ้าง มีวัตถุดิบทำอาหารไว้ให้พอสำหรับ 4 วัน แต่ผู้มาพักต้องทำอาหารเอง ไม่มีใครมาคอยดูแลให้ทั้งสิ้น ทั้ง7ต้องอยู่ตามลำพัง เป็นเงื่อนไขที่ทางคนกลางของ ผกก.ที่ติดต่อมาแจ้งไว้ ก่อนออกจากบ้านพักเขาทิ้งท้ายว่าหากมีเหตุฉุกเฉินให้โทรศัพท์ถึงเขาได้ เขาอยู่อีกที่หนึ่งซึ่งห่างไปไม่ไกลนัก ขณะทั้ง7กำลังไม่สบอารมณ์ในสิ่งที่เจ้าของบ้านพักแจ้ง และจับกลุ่มสนทนา ปรากฏว่ามีจดหมายจากผกก.มาส่ง แจ้งรายละเอียดว่าตลอด 4 วันนี้ ให้ทุกคนถือเสมือนหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์ที่มีหิมะตกหนัก ไม่สามารถออกไปไหนและสายสัญญาณโทรศัพท์ถูกหิมะหล่นทับไม่อาจติดต่อใคร และจะมีการฆาตกรรมเกิดขึ้น โดยให้แต่ละคนจำลองสถานการณ์เอาเองว่าจะทำอย่างไร ถ้ามีฆาตกรฆ่าคนตายไปทีละคน ทั้งหมดถือเป็นการฝึกซ้อมและทดสอบที่จะนำมาใช้ในการวัดผล โดยห้ามติดต่อหาใครทั้งนั้น ห้ามออกไปไหนจนกว่าจะครบกำหนด ใครฝ่าฝืนถือว่าสละสิทธิ์โดยปริยาย ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้ทั้ง7คนทุ่มเถียงถึงคำสั่งแปลกพิสดารของผกก. แต่ในที่สุดก็จำต้องยอมรับและปฏิบัติตาม หลังเลือกห้องกันแล้วว่าใครจะพักห้องไหน มีทั้งห้องเตียงเดี่ยวและเตียงคู่ มีห้องสันทนาการ ห้องนั่งเล่นรวม ห้องอาหาร ห้องครัว ห้องสุขาและอาบน้ำ และห้องอื่น ๆ ทุกคนใช้ชีวิตไปตามอัธยาศัย แล้วก็เกิดเหตุน่ากลัวขึ้นในคืนวันแรก สมาชิกในกลุ่มคนหนึ่งหายตัวไปในเช้าวันถัดมา และมีกระดาษที่เขียนคำอธิบายไว้ว่าบุคคลคนนั้นถูกฆ่าตายแล้วด้วยวิธีการใด และต้องหายตัวไปเหมือนถูกตัดออกจากการแข่งขัน สมาชิกที่เหลือจึงเริ่มตื่นตัวขึ้น แม้ไม่รู้ว่าเพื่อนคนดังกล่าวไปแอบอยู่ที่ใดระหว่างที่ยังไม่ครบ4วัน คนที่เหลือต้องพยายามหาทางคาดเดาตัวคนร้ายให้ได้ ในระหว่างคนทั้ง6ที่เหลือ ก็มีความสัมพันธ์ส่วนตัวพัวพันกันอยู่ มีชายอย่างน้อยสามคนที่ชอบหญิงคนหนึ่งในกลุ่ม จึงมีการพูดจาเชิงข่มหรือดูถูกเหยียดหยาม ส่วนหญิงอีกคนดูจะมีใจให้กับชายอีกคนที่ชอบผู้หญิงอีกคน มันช่างยุ่งเหยิงดีแท้ และแล้วก็มีการตายเกิดขึ้นอีกในคืนวันถัดมาโดยไม่มีใครทราบจนล่วงเข้าวันใหม่ ยังคงมีกระดาษเขียนรายละเอียดที่ระบุว่าผู้ตายถูกฆ่าแบบไหน และคนในกลุ่มก็หายตัวไปอีกหนึ่ง เหลือเพียง 5 คน ทำให้เกิดการทุ่มเถียงกันมากขึ้น มีคนหนึ่งเริ่มเสนอแนวคิดที่น่ากลัวว่า คนที่หายตัวไปนั้นอาจไม่ใช่การซ้อมแสดงละคร แต่ได้ถูกฆ่าตายไปแล้วจริง ๆ ความจริงเบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดคืออะไรกันแน่ หาคำตอบได้ใน ฆาตกรรมปิดตายบนภูเขาหิมะครับ .............. ความจริงเล่มนี้ตัวละครไม่เยอะ มีกล่าวถึงคนอื่นที่เกี่ยวข้องบ้างเล็กน้อยคือผกก. ,เจ้าของบ้านพัก,และตัวละครอีกหนึ่งคนซึ่งจะถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังคนในกลุ่มได้เข้าพักในบ้านไปแล้วระยะหนึ่ง ดังนั้นสำหรับผม ถือว่าเรื่องนี้มีความง่ายกว่าเรื่องอื่น ๆ ที่เคยอ่านมาในการจดจำตัวละคร เรียกว่าพยายามท่องจำเอาตั้งแต่เริ่มเลย พร้อมกับดูผังบ้านชั้น1 และชั้น2ประกอบไปด้วย เพื่อจำว่าใครพักอยู่ห้องไหนบ้าง แม้รายละเอียดของผังบ้านที่ให้มาจะไม่ได้มีรายละเอียดมากนัก แค่วาดแบ่งเป็นขนาดให้เห็นอย่างหยาบ ๆ ว่าห้องไหนคือห้องอะไร มีเฟอร์นิเจอร์ใดตั้งอยู่บ้างเท่าที่จำเป็น ตำแหน่งของประตูหน้าต่างก็บอกเฉพาะบางตำแหน่งเท่านั้น ไม่ได้แสดงครบทุกห้อง และมองเห็นบางจุดที่รู้สึกติดใจตั้งแต่ทีแรกว่าตำแหน่งนั้นคืออะไร ทำไมไม่ระบุรายละเอียดให้ทราบ พออ่านจนใกล้จบจึงถึงบางอ้อ ที่แท้จุดที่เราสงสัยเป็นส่วนสำคัญของปริศนาแห่งคดีในเล่มนี้ด้วยสิ ขอกล่าวถึงเหตุผลที่ชอบนะครับ หลักเลยคือเห็นถึงความตั้งใจของผู้เขียน ที่อยากจะทำให้เกิดการเล่าเรื่องแนวใหม่ที่แตกต่างไปจากการเล่ารูปแบบเดิมที่เคยใช้กันมาในนิยายรุ่นเก่าของนักเขียนดังหลายคนทางฝากตะวันตก แม้จะสร้างสถานการณ์ให้มีคนมาอยู่รวมกันในที่ซึ่งเหมือนหนีไปไหนไม่ได้ แล้วตายไปทีละคนเช่นโครงเรื่องแนวคลาสสิก แต่ก็ใส่รายละเอียดที่ทำให้ต่างตรงที่คราวนี้ ทุกอย่างถูกกำหนดบังคับจากกฎกติกาที่ระบุในจม. ทำให้เหยื่อมีความสับสนระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าคือความจริงหรือคือการแสดงละครตามสิ่งที่ผกก.ต้องการกันแน่ ที่สร้างสรรค์อย่างมากคือใช้วิธีการเล่าสองรูปแบบสลับกันไปตลอดทั้งเรื่อง คือเล่าในมุมมองพระเจ้าที่เราเข้าใจเอาเองแต่แรกว่าคือมุมมองสายตาของนักเขียน ทว่าเฉลยตอนท้ายที่เข้าสู่ช่วงไขคดีว่าที่แท้เป็นมุมมองพระเจ้าก็จริง แต่ไม่ใช่สายตาผู้เขียน หากแต่เป็นใคร หากได้อ่านเองแล้วก็จะรู้ จุดนี้ผมถือว่ายอดเยี่ยมมาก ส่วนอีกมุมมองหนึ่งจะเป็นการเล่าผ่านสายตาและความคิดของตัวละครตัวหนึ่งที่อยู่ในกลุ่ม7คน คล้ายทำนองบันทึกการคุยกับตัวเองว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น มีใครทำอะไร ใครคุยว่าอย่างไรบ้าง โดยในส่วนนี้จะมีสอดแทรกความเห็นส่วนตัวของคนดังกล่าวทำให้คนอ่านทราบมุมมองของเขาอย่างใกล้ชิด และเป็นตัวละครสำคัญที่เหมือนเป็นตัวขับเคลื่อนให้เรื่องเดินหน้าต่อไป และตัวละครตัวนี้เองที่ภายหลัง ก็คล้ายจะสถาปนาตนเองเป็นผู้ทำหน้าที่แทนนักสืบในการคลี่คลายปริศนาทั้งหมดด้วย เรื่องจะถูกแบ่งเล่าเป็น 4 วัน ในแต่ละวันมีอะไรเกิดขึ้นบ้างจนกระทั่งจบวัน จึงเริ่มต้นบทใหม่ในวันถัดไป ดังที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้คือ ตั้งใจท่องจำชื่อตัวละครทั้ง7และจำผังบ้านไว้ในหัวคร่าว ๆ ดังนั้นตอนอ่านที่ผู้เขียนบรรยายเล่าถึงช่วงที่ระบุถึงตัวละครกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหนในห้องใด และการเล่าถึงสภาพภายในของบ้านพักว่ามีอะไรตั้งอยู่จุดไหนอย่างไร ผมจึงมองเห็นภาพเป็นสามมิติได้ไม่ยากนัก นับว่าผู้เขียนออกแบบและคิดผังบ้านหลังนี้มาได้ไม่เลว จึงสอดรับเข้ากันกับเหตุผลที่ประกอบในการกระทำของตัวละครต่าง ๆ อย่างกลมกลืน ด้วยความที่ส่วนตัวผมเคยผ่านการ try out จนได้รับเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของคนที่ได้รับการฝึกฝนเพื่อแสดงละครเวที รวมถึงเคยอยู่ในฐานะของผู้ที่ฝึกฝนการแสดงให้กับรุ่นน้องในคณะสมัยเรียนมาก่อน ดังนั้นจึงค่อนข้างเข้าใจในความรู้สึกของเหล่าตัวละครที่แสดงบทบาทลีลาในเรื่อง ว่าทำไมถึงคิดหรือพูดและทำอะไรลงไปดังที่ปรากฏนั้น ซึ่งไม่แปลกแต่ประการใด จึงถือว่าเล่มนี้เป็นอีกเล่มหนึ่งของผู้เขียน ที่มีมุมมองการเล่าเรื่องที่สร้างสรรค์ได้น่าสนใจไม่แพ้เรื่องตุ๊กตาปิเอโรในคฤหาสน์กางเขนเช่นกัน ด้านสำนวนการแปลอ่านได้เพลินไม่มีสะดุดติดขัด บางคำพูดของบทสนทนาก็ทำให้รู้สึกฮาเหมือนกัน เป็นเรื่องที่น่าจะเครียด แต่กลับอ่านแล้วผ่อนคลายสบาย ๆ และอยากรู้ว่าที่แท้แล้วเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ ชอบบทสรุปของเรื่องในตอนท้ายที่ต่างไปจากนิยายแนวนี้ที่อ่านผ่านมาทั้งหมด นับว่าเป็นตอนจบที่ผมมีความสุขมากจริง ๆ ครับ โดยเฉพาะกลอุบายที่ใช้ ช่างน่าประทับใจยิ่ง #รีวิวหนังสือ #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #บทความ #เรื่องแปล #ฃาตกรรม #สืบสวน #thaitimes #ละครเวที #ไขปริศนา
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 450 มุมมอง 0 รีวิว
  • 23/1/68

    PM 2.5 หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เช็ก 4 อาการเสี่ยงระดับรุนแรง

    ฝุ่น PM2.5 ทำให้ค่าอายุเฉลี่ยของคนไทยลดลง 1.78 ปี โดยกรมอนามัย ระบุ ผลกระทบต่อสุขภาพ ในระยะสั้น ไอ จาม ระคายเคืองผิวหนัง ผื่น คัน ระคายเคืองตา แสบตา ตาแดง ส่วนผลกระทบระยะยาว ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เสี่ยงต่อภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หัวใจวาย ภาวะหลอดเลือดสมองตีบ ความดันโลหิตสูง ,ระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ,เบาหวาน, มะเร็งปอด ,เสี่ยงแท้ง/คลอดก่อนกำหนด ,กระทบต่อพัฒนาการ/ระบบสมองของทารกและทารกแรกคลอดผิดปกติ/น้ำหนักน้อย

    4 อาการ เสี่ยงระดับรุนแรง
    การประเมินตนเองผ่านคลินิกมลพิษออนไลน์ หากมีอาการ 1 ใน 4 รายการนี้เพียง 1 ข้อ ถือว่าอยู่ในระดับรุนแรงควรรีบปรึกษาแพทย์ ได้แก่

    แน่นหน้าอก หายใจลำบาก

    หอบ หายใจเสียงดังวี๊ด

    เจ็บหน้าอก

    เหนื่อยมากจนต้องนั่งพักหรือทำงานไม่ได้

    ฝุ่น PM 2.5 ทำร้ายเซลล์หลอดเลือด

    พญ.ฉันทนา ผดุงทศ ผอ.กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ว่า ข้อมูลสะสมตั้งแต่ ต.ค.2567-ม.ค.2568 มีรายงานผู้ป่วย 4 กลุ่มโรคที่เฝ้าระวังประมาณ 1 ล้านราย มากที่สุดคือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นราว 2 แสนราย เป็นต้น

    การได้รับฝุ่น PM 2.5 ต่อเนื่อง กรณีที่ป่วยอยู่แล้ว ในระยะยาวจะทำให้ป่วยรุนแรง เช่น ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือหอบหืดอยู่แล้ว แทนที่จะหายใจได้บ้างก็กลายเป็นหายใจลำบาก เพราะฝุ่นทำให้โรคไม่หายเสียที นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้รับสารเคมีตัวอื่นที่เกาะกับฝุ่น PM 2.5 เข้าสู่ร่างกายได้ด้วย ฝุ่น PM 2.5 เข้าไปได้ลึกถึงถุงลม สารเคมีที่มาจับกับฝุ่นก็ลงไปได้ลึกเท่านั้น ที่กังวลคือการก่อมะเร็งปอดในอนาคต
    “ผลกระทบจริงๆ ของฝุ่น PM 2.5 เข้าไปทำร้ายเซลล์หลอดเลือด เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบ เนื่องจากฝุ่น PM2.5 เข้าไปทำให้ผนังเส้นเลือดไม่แข็งแรง หรือกรณีที่เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคเกี่ยวกับสมองเพราะฝุ่น PM2.5 เข้าไปทำให้เส้นเลือดสมองไม่แข็งแรง ทำให้เกิดการอุดตันได้ง่าย”พญ.ฉันทนากล่าว

    หากเป็นกรณีการอักเสบ เหมือนเป็นแผล ถ้าไม่มีฝุ่น PM2.5 เข้ามาทำให้เกิดการระคายเคืองอีก ก็สามารถหายได้ แต่กรณีโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืดก็จะเข้าสู่ภาวะโรคปกติ เช่น ยังต้องพ่นยาอยู่ แต่ก็ไม่ต้องพ่นเยอะเหมือนช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 แต่ในส่วนของมะเร็งอาจจะต้องดูระยะยาว ต้องติดตาม

    พญ.ฉันทนา กล่าวอีกว่า มะเร็งปอดที่มาจากฝุ่น PM2.5 ยังต้องเก็บข้อมูลในระยะยาว แต่ก็เห็นตัวอย่างในหลายๆ ประเทศแล้ว แม้แต่ในไทยก็พบมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด ทั้งที่มีประวัติคลีนมาก ก็อาจเป็นเรื่องของฝุ่นเป็นหลัก ปัจจุบันคาดการณ์จากประเทศอื่นๆ ที่ทำวิจัย ส่วนในประเทศไทย กำลังมีการศึกษาวิจัยไปข้างหน้าว่ามันจะเกิดขึ้นไหม ยังไม่นานพอที่จะทำให้เห็นว่าเกี่ยวกับฝุ่น แต่ก็พอเห็นกรณีที่มีความเป็นไปได้ว่ามาจากฝุ่น

    ปัญหาฝุ่น PM2.5 มาจาก 3 ปัจจัยหลักๆ คือ การเผาในที่โล่ง ซึ่งพบมากที่สุดในตอนนี้ ต่อมาเป็นโรงงานอุตสาหกรรม และการคมนาคมขนส่ง นอกจากฝุ่น PM 2.5 ยังมีสารพิษที่น่ากลัว และน่ากังวลที่สามารถเกาะมากับ PM2.5 คือ สารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon : PAHs) โดยเฉพาะการเผาไหม้ที่เกิดจากการเผายาง หรือการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ทำให้เกิดสาร PAHs เช่นกัน

    เสี่ยง โรคหัวใจ-สมองขาดเลือดเฉียบพลัน
    ขณะที่ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ค่า PM2.5 ที่บ้านริมน้ำวัดได้สูงสุดตอนเจ็ดโมงเช้าที่ 102.9 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร(มคก./ลบ.ม.) ค่ารายชั่วโมงที่ 75 มคก./ลบ.ม. สำหรับคนทั่วไปอาจจะถึงขั้น เจ็บได้ คือ แสบจมูกและคอ ระคายเคืองตาและผิวหนัง

    แต่ถ้าขึ้นไปถึง 150 มคก./ลบ.ม. อาจตายได้ จากโรคหัวใจขาดเลือดและสมองขาดเลือดเฉียบพลัน สำหรับกลุ่มคนเปราะบาง ค่าเจ็บได้จะอยู่ที่ 37.5 มคก./ลบ.ม. จากโรคหืดและโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้กำเริบ โรคถุงลมโป่งพองกำเริบ โรคหัวใจและสมองกำเริบ ส่วนค่าที่อาจตายได้จะอยู่ที่ 75 มคก./ลบ.ม. หรือเอาง่าย ๆ คือ ครึ่งหนึ่งของคนปกติ

    มะเร็งปอดภาคเหนือสูง
    ดังที่ทราบว่าภาคเหนือมีปัญหาฝุ่น PM 2.5 มานานนับ 10 ปี การศึกษาวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) ในการเปรียบเทียบอัตราการตายของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ตั้งแต่ปี 2553-2564 ระหว่าง ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ พบว่าภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ และลำปาง มีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดสูงที่สุด นอกจากนี้ ยังพบสัดส่วนของผู้ป่วยมะเร็งปอดในคนหนุ่มสาวของประชากรภาคเหนือสูงกว่าภาคอื่นๆ

    นอกจากนี้ งานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มช. ยังบ่งบอกหลักฐานสนับสนุนความสัมพันธ์ของฝุ่น PM2.5 กับมะเร็ง โดยการศึกษาผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองในพื้นที่ อ.เชียงดาว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีค่า PM2.5 สูงอันดับต้นๆของจ.เชียงใหม่ โดยการขูดเซลล์บริเวณกระพุ้งแก้มของผู้ป่วยถุงลมโป่งพองไปตรวจ เปรียบเทียบกันระหว่างช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สูงและช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 ต่ำ ผลปรากฏว่าในช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สูง เซลล์กระพุ้งแก้มของผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลง บ่งบอกว่ายีนมีความผิดปกติ ซึ่งจะส่งผลในระยะยาว จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ ในอนาคต
    23/1/68 PM 2.5 หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เช็ก 4 อาการเสี่ยงระดับรุนแรง ฝุ่น PM2.5 ทำให้ค่าอายุเฉลี่ยของคนไทยลดลง 1.78 ปี โดยกรมอนามัย ระบุ ผลกระทบต่อสุขภาพ ในระยะสั้น ไอ จาม ระคายเคืองผิวหนัง ผื่น คัน ระคายเคืองตา แสบตา ตาแดง ส่วนผลกระทบระยะยาว ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เสี่ยงต่อภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หัวใจวาย ภาวะหลอดเลือดสมองตีบ ความดันโลหิตสูง ,ระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ,เบาหวาน, มะเร็งปอด ,เสี่ยงแท้ง/คลอดก่อนกำหนด ,กระทบต่อพัฒนาการ/ระบบสมองของทารกและทารกแรกคลอดผิดปกติ/น้ำหนักน้อย 4 อาการ เสี่ยงระดับรุนแรง การประเมินตนเองผ่านคลินิกมลพิษออนไลน์ หากมีอาการ 1 ใน 4 รายการนี้เพียง 1 ข้อ ถือว่าอยู่ในระดับรุนแรงควรรีบปรึกษาแพทย์ ได้แก่ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หอบ หายใจเสียงดังวี๊ด เจ็บหน้าอก เหนื่อยมากจนต้องนั่งพักหรือทำงานไม่ได้ ฝุ่น PM 2.5 ทำร้ายเซลล์หลอดเลือด พญ.ฉันทนา ผดุงทศ ผอ.กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ว่า ข้อมูลสะสมตั้งแต่ ต.ค.2567-ม.ค.2568 มีรายงานผู้ป่วย 4 กลุ่มโรคที่เฝ้าระวังประมาณ 1 ล้านราย มากที่สุดคือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นราว 2 แสนราย เป็นต้น การได้รับฝุ่น PM 2.5 ต่อเนื่อง กรณีที่ป่วยอยู่แล้ว ในระยะยาวจะทำให้ป่วยรุนแรง เช่น ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือหอบหืดอยู่แล้ว แทนที่จะหายใจได้บ้างก็กลายเป็นหายใจลำบาก เพราะฝุ่นทำให้โรคไม่หายเสียที นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้รับสารเคมีตัวอื่นที่เกาะกับฝุ่น PM 2.5 เข้าสู่ร่างกายได้ด้วย ฝุ่น PM 2.5 เข้าไปได้ลึกถึงถุงลม สารเคมีที่มาจับกับฝุ่นก็ลงไปได้ลึกเท่านั้น ที่กังวลคือการก่อมะเร็งปอดในอนาคต “ผลกระทบจริงๆ ของฝุ่น PM 2.5 เข้าไปทำร้ายเซลล์หลอดเลือด เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบ เนื่องจากฝุ่น PM2.5 เข้าไปทำให้ผนังเส้นเลือดไม่แข็งแรง หรือกรณีที่เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคเกี่ยวกับสมองเพราะฝุ่น PM2.5 เข้าไปทำให้เส้นเลือดสมองไม่แข็งแรง ทำให้เกิดการอุดตันได้ง่าย”พญ.ฉันทนากล่าว หากเป็นกรณีการอักเสบ เหมือนเป็นแผล ถ้าไม่มีฝุ่น PM2.5 เข้ามาทำให้เกิดการระคายเคืองอีก ก็สามารถหายได้ แต่กรณีโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืดก็จะเข้าสู่ภาวะโรคปกติ เช่น ยังต้องพ่นยาอยู่ แต่ก็ไม่ต้องพ่นเยอะเหมือนช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 แต่ในส่วนของมะเร็งอาจจะต้องดูระยะยาว ต้องติดตาม พญ.ฉันทนา กล่าวอีกว่า มะเร็งปอดที่มาจากฝุ่น PM2.5 ยังต้องเก็บข้อมูลในระยะยาว แต่ก็เห็นตัวอย่างในหลายๆ ประเทศแล้ว แม้แต่ในไทยก็พบมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด ทั้งที่มีประวัติคลีนมาก ก็อาจเป็นเรื่องของฝุ่นเป็นหลัก ปัจจุบันคาดการณ์จากประเทศอื่นๆ ที่ทำวิจัย ส่วนในประเทศไทย กำลังมีการศึกษาวิจัยไปข้างหน้าว่ามันจะเกิดขึ้นไหม ยังไม่นานพอที่จะทำให้เห็นว่าเกี่ยวกับฝุ่น แต่ก็พอเห็นกรณีที่มีความเป็นไปได้ว่ามาจากฝุ่น ปัญหาฝุ่น PM2.5 มาจาก 3 ปัจจัยหลักๆ คือ การเผาในที่โล่ง ซึ่งพบมากที่สุดในตอนนี้ ต่อมาเป็นโรงงานอุตสาหกรรม และการคมนาคมขนส่ง นอกจากฝุ่น PM 2.5 ยังมีสารพิษที่น่ากลัว และน่ากังวลที่สามารถเกาะมากับ PM2.5 คือ สารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon : PAHs) โดยเฉพาะการเผาไหม้ที่เกิดจากการเผายาง หรือการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ทำให้เกิดสาร PAHs เช่นกัน เสี่ยง โรคหัวใจ-สมองขาดเลือดเฉียบพลัน ขณะที่ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ค่า PM2.5 ที่บ้านริมน้ำวัดได้สูงสุดตอนเจ็ดโมงเช้าที่ 102.9 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร(มคก./ลบ.ม.) ค่ารายชั่วโมงที่ 75 มคก./ลบ.ม. สำหรับคนทั่วไปอาจจะถึงขั้น เจ็บได้ คือ แสบจมูกและคอ ระคายเคืองตาและผิวหนัง แต่ถ้าขึ้นไปถึง 150 มคก./ลบ.ม. อาจตายได้ จากโรคหัวใจขาดเลือดและสมองขาดเลือดเฉียบพลัน สำหรับกลุ่มคนเปราะบาง ค่าเจ็บได้จะอยู่ที่ 37.5 มคก./ลบ.ม. จากโรคหืดและโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้กำเริบ โรคถุงลมโป่งพองกำเริบ โรคหัวใจและสมองกำเริบ ส่วนค่าที่อาจตายได้จะอยู่ที่ 75 มคก./ลบ.ม. หรือเอาง่าย ๆ คือ ครึ่งหนึ่งของคนปกติ มะเร็งปอดภาคเหนือสูง ดังที่ทราบว่าภาคเหนือมีปัญหาฝุ่น PM 2.5 มานานนับ 10 ปี การศึกษาวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) ในการเปรียบเทียบอัตราการตายของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ตั้งแต่ปี 2553-2564 ระหว่าง ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ พบว่าภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ และลำปาง มีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดสูงที่สุด นอกจากนี้ ยังพบสัดส่วนของผู้ป่วยมะเร็งปอดในคนหนุ่มสาวของประชากรภาคเหนือสูงกว่าภาคอื่นๆ นอกจากนี้ งานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มช. ยังบ่งบอกหลักฐานสนับสนุนความสัมพันธ์ของฝุ่น PM2.5 กับมะเร็ง โดยการศึกษาผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองในพื้นที่ อ.เชียงดาว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีค่า PM2.5 สูงอันดับต้นๆของจ.เชียงใหม่ โดยการขูดเซลล์บริเวณกระพุ้งแก้มของผู้ป่วยถุงลมโป่งพองไปตรวจ เปรียบเทียบกันระหว่างช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สูงและช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 ต่ำ ผลปรากฏว่าในช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สูง เซลล์กระพุ้งแก้มของผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลง บ่งบอกว่ายีนมีความผิดปกติ ซึ่งจะส่งผลในระยะยาว จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ ในอนาคต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 426 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ความดันโลหิตสูง

    ทำไมในขณะที่เราออกกำลังกาย ความดันโลหิตของเราจึงสูงขึ้น

    ความดันโลหิต หมายถึง แรงดันของกระแสเลือดที่กระทบต่อผนังหลอดเลือดแดง ซึ่งเกิดจากการสูบฉีดของหัวใจ สามารถวัดได้โดยการใช้เครื่องวัดความดัน (Sphygmomanometer) วัดที่แขน และมีค่าที่วัดได้ 2 ค่า คือ

    • ความดันช่วงบน หรือ ความดันซิสโตลี (Systolic blood pressure) หมายถึง แรงดันเลือดในขณะที่หัวใจบีบตัว ซึ่งอาจจะสูงตามอายุ และความดันช่วงบนของคนคนเดียวกัน อาจมีค่าที่ต่างกันออกไป ตามท่าเคลื่อนไหวของร่างกาย การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์และปริมาณของการออกกำลังกาย

    • ความดันช่วงล่าง หรือ ความดันไดแอสโตลี (Diastolic blood pressure) หมายถึง แรงดันเลือดในขณะที่หัวใจคลายตัว ในปัจจุบันได้มีการกำหนดค่าความดันโลหิตปกติ และระดับความรุนแรงของโรคความดันโลหิตสูง ดังนี้

    ความดันโลหิตปกติ < 120 และ < 80

    ความดันโลหิตปกติที่ค่อนไปทางสูง 120-129 และ < 80

    ความดันโลหิตสูงระดับที่ 1 130-139 และ/หรือ 80-89

    ความดันโหลิตสูงระดับที่ 2 ≥ 140 และ/หรือ ≥ 90

    ความดันช่วงบนสูงเดี่ยว≥ 140 และ < 90

    แต่สิ่งที่การกำหนดมาตรฐานลืมคิดก็คือ เมื่อน้ำหนักของร่างกายเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม หลอดเลือดจะยาวเพิ่มขึ้นอีก 5 กิโลเมตร มันแปลว่า จะกำหนดให้ผู้สูงอายุที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานอยู่ 5 กิโลกรัมมีความดันโลหิตที่ 120/80 เท่ากับเด็กหนุ่มที่มีดัชนีร่างกายสมส่วนและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอมิได้

    จะกำหนดค่าความดันโลหิตของคนที่มีเม็ดเลือดแดงต่ำ ให้อยู่ในมาตรฐาน 120/80 มิได้ เนื่องจากหัวใจต้องสูบฉีดเลือดมากขึ้น

    ดังนั้น ถ้าค่าความดันโลหิตของคุณไม่อยู่ในมาตรฐาน 120/80 ก็ไม่ต้องกังวลให้มาก แต่ให้ตรวจสอบว่าร่างกายของคุณประสบกับปัญหาอะไรอยู่

    และพึงระลึกไว้ว่า ยาลดความดันโลหิตไม่ได้เป็นการมุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและยังมีผลข้างเคียงในระยะยาวอีกด้วย

    สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง

    • ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ประมาณ 90-95% มักจะมีปัญหาทางด้านระบบทางเดินอาหารและระบบการย่อย อาทิ โรคกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน ลำไส้แปรปรวน ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ริดสีดวงทวาร และโรคภูมิแพ้ เนื่องจาก ขาดสารอาหาร ในขณะที่ร่างกายยังต้องการอาหารและอากาศตามปกติ จำเป็นอยู่เองที่หัวใจจะต้องส่งอาหารและอากาศให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย

    • ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงส่วนน้อยประมาณ 5-10% อาจตรวจพบโรคหรือภาวะผิดปกติที่เป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง ได้แก่

    • โรคไต เช่น โรคไตเรื้อรัง กรวยไตอักเสบเรื้อรัง หน่วยไตอักเสบ โรคถุงน้ำไตชนิดหลายถุง ฯลฯ หลอดเลือดแดงไตตีบ (Renal artery stenosis)หลอดเลือดแดงใหญ่ตีบ (Coarctation of aorta) เนื้องอกบางชนิดของต่อมหมวกไต หรือต่อมใต้สมอง

    • โรคเบาหวาน เพราะก่อให้เกิดการอักเสบ เลือดข้นและตีบแคบของหลอดเลือดต่างๆ รวมทั้งหลอดเลือดของไต

    • น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน เนื่องจากน้ำหนักตัวที่เพิ่ม 1 กิโลกรัม เส้นเลือดฝอยในเนื้อเยื่อจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5 กิโลเมตร ดังนั้นเมื่อระยะทางของหลอดเลือดเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นอยู่เองที่หัวใจจะต้องทำการเพิ่มแรงดัน

    • โรคหลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis) จะทำให้หลอดเลือดมีบาดแผลและตับจำเป็นต้องสร้างคอเลสเตอรอลมาซ่อมแซม จึงทำให้เกิดการตีบในหลอดเลือดได้

    ดังนั้นการที่จะรักษาความดันให้ปกติ ก็ต้องไปแก้ที่ต้นเหตุของแต่ละโรค

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจ
    Cr. Santi Manadee
    #ความดันโลหิตสูง ทำไมในขณะที่เราออกกำลังกาย ความดันโลหิตของเราจึงสูงขึ้น ความดันโลหิต หมายถึง แรงดันของกระแสเลือดที่กระทบต่อผนังหลอดเลือดแดง ซึ่งเกิดจากการสูบฉีดของหัวใจ สามารถวัดได้โดยการใช้เครื่องวัดความดัน (Sphygmomanometer) วัดที่แขน และมีค่าที่วัดได้ 2 ค่า คือ • ความดันช่วงบน หรือ ความดันซิสโตลี (Systolic blood pressure) หมายถึง แรงดันเลือดในขณะที่หัวใจบีบตัว ซึ่งอาจจะสูงตามอายุ และความดันช่วงบนของคนคนเดียวกัน อาจมีค่าที่ต่างกันออกไป ตามท่าเคลื่อนไหวของร่างกาย การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์และปริมาณของการออกกำลังกาย • ความดันช่วงล่าง หรือ ความดันไดแอสโตลี (Diastolic blood pressure) หมายถึง แรงดันเลือดในขณะที่หัวใจคลายตัว ในปัจจุบันได้มีการกำหนดค่าความดันโลหิตปกติ และระดับความรุนแรงของโรคความดันโลหิตสูง ดังนี้ ความดันโลหิตปกติ < 120 และ < 80 ความดันโลหิตปกติที่ค่อนไปทางสูง 120-129 และ < 80 ความดันโลหิตสูงระดับที่ 1 130-139 และ/หรือ 80-89 ความดันโหลิตสูงระดับที่ 2 ≥ 140 และ/หรือ ≥ 90 ความดันช่วงบนสูงเดี่ยว≥ 140 และ < 90 แต่สิ่งที่การกำหนดมาตรฐานลืมคิดก็คือ เมื่อน้ำหนักของร่างกายเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม หลอดเลือดจะยาวเพิ่มขึ้นอีก 5 กิโลเมตร มันแปลว่า จะกำหนดให้ผู้สูงอายุที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานอยู่ 5 กิโลกรัมมีความดันโลหิตที่ 120/80 เท่ากับเด็กหนุ่มที่มีดัชนีร่างกายสมส่วนและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอมิได้ จะกำหนดค่าความดันโลหิตของคนที่มีเม็ดเลือดแดงต่ำ ให้อยู่ในมาตรฐาน 120/80 มิได้ เนื่องจากหัวใจต้องสูบฉีดเลือดมากขึ้น ดังนั้น ถ้าค่าความดันโลหิตของคุณไม่อยู่ในมาตรฐาน 120/80 ก็ไม่ต้องกังวลให้มาก แต่ให้ตรวจสอบว่าร่างกายของคุณประสบกับปัญหาอะไรอยู่ และพึงระลึกไว้ว่า ยาลดความดันโลหิตไม่ได้เป็นการมุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและยังมีผลข้างเคียงในระยะยาวอีกด้วย สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง • ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ประมาณ 90-95% มักจะมีปัญหาทางด้านระบบทางเดินอาหารและระบบการย่อย อาทิ โรคกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน ลำไส้แปรปรวน ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ริดสีดวงทวาร และโรคภูมิแพ้ เนื่องจาก ขาดสารอาหาร ในขณะที่ร่างกายยังต้องการอาหารและอากาศตามปกติ จำเป็นอยู่เองที่หัวใจจะต้องส่งอาหารและอากาศให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย • ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงส่วนน้อยประมาณ 5-10% อาจตรวจพบโรคหรือภาวะผิดปกติที่เป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง ได้แก่ • • โรคไต เช่น โรคไตเรื้อรัง กรวยไตอักเสบเรื้อรัง หน่วยไตอักเสบ โรคถุงน้ำไตชนิดหลายถุง ฯลฯ หลอดเลือดแดงไตตีบ (Renal artery stenosis)หลอดเลือดแดงใหญ่ตีบ (Coarctation of aorta) เนื้องอกบางชนิดของต่อมหมวกไต หรือต่อมใต้สมอง • โรคเบาหวาน เพราะก่อให้เกิดการอักเสบ เลือดข้นและตีบแคบของหลอดเลือดต่างๆ รวมทั้งหลอดเลือดของไต • น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน เนื่องจากน้ำหนักตัวที่เพิ่ม 1 กิโลกรัม เส้นเลือดฝอยในเนื้อเยื่อจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5 กิโลเมตร ดังนั้นเมื่อระยะทางของหลอดเลือดเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นอยู่เองที่หัวใจจะต้องทำการเพิ่มแรงดัน • โรคหลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis) จะทำให้หลอดเลือดมีบาดแผลและตับจำเป็นต้องสร้างคอเลสเตอรอลมาซ่อมแซม จึงทำให้เกิดการตีบในหลอดเลือดได้ ดังนั้นการที่จะรักษาความดันให้ปกติ ก็ต้องไปแก้ที่ต้นเหตุของแต่ละโรค ด้วยรักและห่วงใยจากใจ Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • พยาบาลสาวผู้ใจดีย์มาฉีดยาให้คนไข้หนุ่มผู้ยากไร้ถึงห้องนอนอันซอมซ่อของเขา #เอไอวันละนิดจิตแจ่มใส
    พยาบาลสาวผู้ใจดีย์มาฉีดยาให้คนไข้หนุ่มผู้ยากไร้ถึงห้องนอนอันซอมซ่อของเขา #เอไอวันละนิดจิตแจ่มใส
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts