• ก.ต. สั่งไล่ออก 2 ผู้พิพากษา! รายแรกมีพฤติกรรมลวนลามบนรถไฟ...อีกรายถูกกล่าวหาเรียกเงินช่วยคดีแกนนำ กปปส.
    https://www.thai-tai.tv/news/21007/
    .
    #กต #ศาลยุติธรรม #ผู้พิพากษา #ข่าวการเมือง #คดีความ #ไทยไท
    ก.ต. สั่งไล่ออก 2 ผู้พิพากษา! รายแรกมีพฤติกรรมลวนลามบนรถไฟ...อีกรายถูกกล่าวหาเรียกเงินช่วยคดีแกนนำ กปปส. https://www.thai-tai.tv/news/21007/ . #กต #ศาลยุติธรรม #ผู้พิพากษา #ข่าวการเมือง #คดีความ #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • 7 สิงหาคม วันรพี น้อมรำลึกถึง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ผู้ทรงได้รับการยกย่องให้เป็น "พระบิดาแห่งกฎหมายไทย" ทรงเป็นนักนิติศาสตร์ และทรงวางระบบแบบแผน ศาลยุติธรรม ทรงจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายในประเทศไทย อันเป็นประโยชน์ใหญ่ยิ่งแก่ประเทศชาติ
    สั่งออนไลน์ ลิงค์อยู่ในช่องแสดงความคิดเห็น
    7 สิงหาคม วันรพี น้อมรำลึกถึง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ผู้ทรงได้รับการยกย่องให้เป็น "พระบิดาแห่งกฎหมายไทย" ทรงเป็นนักนิติศาสตร์ และทรงวางระบบแบบแผน ศาลยุติธรรม ทรงจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายในประเทศไทย อันเป็นประโยชน์ใหญ่ยิ่งแก่ประเทศชาติ สั่งออนไลน์ ลิงค์อยู่ในช่องแสดงความคิดเห็น
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีผู้ให้คำอธิบายถึงสถานการณ์ที่เรียกว่า “หยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข” ดังนี้

    “ก่อนหยุดยิงและเข้าสู่โต๊ะเจรจา ใครได้พื้นที่เยอะสุดก็ได้ไป”

    สะท้อนหลักการที่มักเกิดขึ้นในความขัดแย้งทางทหาร โดยเฉพาะในสงครามหรือการสู้รบที่ไม่มีการตกลงเขตแดนแน่ชัดไว้ก่อน หรือที่เรียกว่า “ข้อเท็จจริงบนพื้นดิน” (facts on the ground)

    คำอธิบาย

    ก่อนที่คู่ขัดแย้งจะ “ตกลงหยุดยิง” หรือเข้าสู่กระบวนการเจรจา พื้นที่ที่ฝ่ายใดยึดครองอยู่ในขณะนั้น มักกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “สถานะที่เป็นอยู่” (status quo) ในการเจรจา

    ดังนั้น ฝ่ายที่ยึดพื้นที่ได้มากก่อนหยุดยิง จะมีความได้เปรียบในการเจรจา หรืออาจถูกนานาชาติยอมรับกลายๆ ว่าเป็น “ผู้ควบคุมพื้นที่” จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง

    แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
    - การเจรจาทางการทูตหลังหยุดยิง
    - การรับรองจากประชาคมโลก
    - คำตัดสินจากองค์กรอย่างศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในกรณีที่มีการฟ้องร้องกัน

    คำว่า “หยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข” (Unconditional Ceasefire) หมายถึง
    - ไม่ต้องถอนกำลัง
    - ไม่ต้องคืนพื้นที่
    - ไม่ต้องยอมรับข้อเสนอของอีกฝ่าย
    - ไม่มีข้อแลกเปลี่ยนทางการเมืองหรือทางทหารก่อนหยุดยิง

    Pattarapol Patthongdee
    มีผู้ให้คำอธิบายถึงสถานการณ์ที่เรียกว่า “หยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข” ดังนี้ “ก่อนหยุดยิงและเข้าสู่โต๊ะเจรจา ใครได้พื้นที่เยอะสุดก็ได้ไป” สะท้อนหลักการที่มักเกิดขึ้นในความขัดแย้งทางทหาร โดยเฉพาะในสงครามหรือการสู้รบที่ไม่มีการตกลงเขตแดนแน่ชัดไว้ก่อน หรือที่เรียกว่า “ข้อเท็จจริงบนพื้นดิน” (facts on the ground) คำอธิบาย ก่อนที่คู่ขัดแย้งจะ “ตกลงหยุดยิง” หรือเข้าสู่กระบวนการเจรจา พื้นที่ที่ฝ่ายใดยึดครองอยู่ในขณะนั้น มักกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “สถานะที่เป็นอยู่” (status quo) ในการเจรจา ดังนั้น ฝ่ายที่ยึดพื้นที่ได้มากก่อนหยุดยิง จะมีความได้เปรียบในการเจรจา หรืออาจถูกนานาชาติยอมรับกลายๆ ว่าเป็น “ผู้ควบคุมพื้นที่” จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ - การเจรจาทางการทูตหลังหยุดยิง - การรับรองจากประชาคมโลก - คำตัดสินจากองค์กรอย่างศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในกรณีที่มีการฟ้องร้องกัน คำว่า “หยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข” (Unconditional Ceasefire) หมายถึง - ไม่ต้องถอนกำลัง - ไม่ต้องคืนพื้นที่ - ไม่ต้องยอมรับข้อเสนอของอีกฝ่าย - ไม่มีข้อแลกเปลี่ยนทางการเมืองหรือทางทหารก่อนหยุดยิง Pattarapol Patthongdee
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงต่างประเทศกัมพูชาร่อนแถลงการณ์โต้ไทย ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องทุ่นระเบิด เผยทหารไทยเข้ามาพื้นที่กัมพูชาโดยละเมิด แม้กัมพูชาจะเตือนถึงทุ่นระเบิดที่ยังไม่ระเบิด ซึ่งเป็นซากความขัดแย้งมาหลายทศวรรษ
    .
    แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
    .
    กัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
    .
    กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาปฏิเสธอย่างหนักแน่นต่อแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เรื่อง “การประท้วงต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” ซึ่งกล่าวหากัมพูชาว่าได้วางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใหม่ ซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บเมื่อเร็วๆ นี้
    .
    รัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ไร้เหตุผลและไร้เหตุผลเหล่านี้อย่างเด็ดขาด ในฐานะรัฐภาคีที่ยึดมั่นในหลักการและเจตนารมณ์ของอนุสัญญาออตตาวาอย่างเต็มที่ กัมพูชาขอปฏิเสธอย่างหนักแน่นต่อข้อกล่าวหาใดๆ ที่ว่ากัมพูชาได้ละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญานี้ ความพยายามและความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของกัมพูชาในปฏิบัติการทุ่นระเบิดได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงความก้าวหน้าที่สำคัญในการกำจัดเศษระเบิดจากสงครามในดินแดนของตน และการมีส่วนร่วมของกัมพูชาในปฏิบัติการกู้ระเบิดของสหประชาชาติในประเทศอื่นๆ หลังสงคราม
    .
    กระทรวงฯ ขอย้ำข้อเท็จจริงว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่หมู่บ้านเตโชมรกต อำเภอจัมโบะ จังหวัดพระวิหาร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ในดินแดนที่กัมพูชายอมรับในระดับสากล ดินแดนนี้ถูกกำหนดโดยแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่จัดทำโดยคณะกรรมาธิการผสมฝรั่งเศส-สยาม ตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 แผนที่เหล่านี้ได้รับการยอมรับจากทั้งรัฐบาลกัมพูชาและไทยมาเป็นเวลานานในฐานะพื้นฐานที่เชื่อถือได้สำหรับการกำหนดเขตแดนของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นแผนที่อ้างอิงสำหรับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคำพิพากษา ค.ศ. 1962 และการตีความเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร ค.ศ. 2013 อีกด้วย
    .
    เป็นเรื่องน่าเสียใจอย่างยิ่งที่ทหารไทยได้เข้ามาในพื้นที่นี้โดยละเมิดบันทึกความเข้าใจ ค.ศ. 2000 ซึ่งกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนร่วมกันอย่างชัดเจน และห้ามมิให้มีกิจกรรมฝ่ายเดียวในพื้นที่ที่ไม่มีเส้นแบ่งเขต แม้ว่ากัมพูชาจะเตือนถึงอันตรายจากทุ่นระเบิดที่ยังไม่ระเบิด ซึ่งเป็นซากของความขัดแย้งทางอาวุธหลายทศวรรษ แต่กองทัพไทยกลับเบี่ยงเบนไปจากเส้นทางลาดตระเวนที่เคยประสานงานกันไว้ก่อนหน้านี้ระหว่างสองประเทศ และสร้างเส้นทางใหม่ผ่านดินแดนกัมพูชา การกระทำที่ขาดความรับผิดชอบนี้ถือเป็นการละเมิดความเข้าใจทวิภาคี ละเมิดดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา เป็นอันตรายต่อชีวิต และบั่นทอนความไว้วางใจซึ่งกันและกัน นี่ยังไม่รวมถึงเจตนาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ชอบด้วยกฎหมายที่กองทัพไทยประกาศใช้ในการบังคับใช้กฎเกณฑ์สำหรับการเข้ามา ของนักท่องเที่ยวและผู้แสวงบุญที่เข้าไปในวัดทาโมนธม (ปราสาทตาเมือนธม) โดยอ้างอำนาจอธิปไตยของไทยเหนือพื้นที่วัด
    .
    แม้จะมีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนและไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ไทยก็ยังคงออกแถลงการณ์ที่ขาดความระมัดระวังและทำให้เข้าใจผิด โดยกล่าวอ้างอย่างเท็จว่าได้กวาดล้างทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการระเบิดทุ่นระเบิดแล้ว ในความเป็นจริง ทหารกัมพูชายังคงประจำการอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว และไม่มีกิจกรรมกวาดล้างทุ่นระเบิดตามที่ไทยอ้าง เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในอาณาเขตของกัมพูชา แทนที่จะยอมรับความจริงและรับผิดชอบ ไทยกลับยังคงเผยแพร่ข้อมูลเท็จต่อทั้งสาธารณชนและประชาคมระหว่างประเทศ กัมพูชาเรียกร้องให้ไทยยุติการดำเนินการดังกล่าวโดยทันที และดำเนินการตามขั้นตอนที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขข้อมูลที่บิดเบือน
    .
    เหตุการณ์ข้างต้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความจำเป็นที่ทั้งสองประเทศต้องเร่งดำเนินการหาข้อยุติโดยสันติและมีผลผูกพันทางกฎหมายผ่านกลไกระหว่างประเทศที่เหมาะสม ดังนั้น กัมพูชาจึงขอย้ำจุดยืนที่มีมายาวนานว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นองค์กรตุลาการหลักของสหประชาชาติ เป็นเวทีที่น่าเชื่อถือและเป็นกลางที่สุดในการแก้ไขข้อพิพาทเขตแดนที่เหลืออยู่ระหว่างสองประเทศ กัมพูชาขอเรียกร้องให้ประเทศไทยยอมรับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในเรื่องนี้ด้วยความสุจริตใจ โดยปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติ และด้วยความมุ่งมั่นอย่างจริงใจที่จะแก้ไขข้อพิพาทเขตแดนอย่างยุติธรรม เป็นธรรม และสันติ เพื่อประกันสันติภาพที่ยั่งยืน ป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่สมควรเกิดขึ้นอีก และส่งเสริมเสถียรภาพระยะยาวของทั้งสองประเทศและภูมิภาคโดยรวม
    .
    พนมเปญ 21 กรกฎาคม 2568
    กระทรวงต่างประเทศกัมพูชาร่อนแถลงการณ์โต้ไทย ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องทุ่นระเบิด เผยทหารไทยเข้ามาพื้นที่กัมพูชาโดยละเมิด แม้กัมพูชาจะเตือนถึงทุ่นระเบิดที่ยังไม่ระเบิด ซึ่งเป็นซากความขัดแย้งมาหลายทศวรรษ . แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา . กัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล . กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาปฏิเสธอย่างหนักแน่นต่อแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เรื่อง “การประท้วงต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” ซึ่งกล่าวหากัมพูชาว่าได้วางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใหม่ ซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บเมื่อเร็วๆ นี้ . รัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ไร้เหตุผลและไร้เหตุผลเหล่านี้อย่างเด็ดขาด ในฐานะรัฐภาคีที่ยึดมั่นในหลักการและเจตนารมณ์ของอนุสัญญาออตตาวาอย่างเต็มที่ กัมพูชาขอปฏิเสธอย่างหนักแน่นต่อข้อกล่าวหาใดๆ ที่ว่ากัมพูชาได้ละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญานี้ ความพยายามและความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของกัมพูชาในปฏิบัติการทุ่นระเบิดได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงความก้าวหน้าที่สำคัญในการกำจัดเศษระเบิดจากสงครามในดินแดนของตน และการมีส่วนร่วมของกัมพูชาในปฏิบัติการกู้ระเบิดของสหประชาชาติในประเทศอื่นๆ หลังสงคราม . กระทรวงฯ ขอย้ำข้อเท็จจริงว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่หมู่บ้านเตโชมรกต อำเภอจัมโบะ จังหวัดพระวิหาร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ในดินแดนที่กัมพูชายอมรับในระดับสากล ดินแดนนี้ถูกกำหนดโดยแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่จัดทำโดยคณะกรรมาธิการผสมฝรั่งเศส-สยาม ตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 แผนที่เหล่านี้ได้รับการยอมรับจากทั้งรัฐบาลกัมพูชาและไทยมาเป็นเวลานานในฐานะพื้นฐานที่เชื่อถือได้สำหรับการกำหนดเขตแดนของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นแผนที่อ้างอิงสำหรับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคำพิพากษา ค.ศ. 1962 และการตีความเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร ค.ศ. 2013 อีกด้วย . เป็นเรื่องน่าเสียใจอย่างยิ่งที่ทหารไทยได้เข้ามาในพื้นที่นี้โดยละเมิดบันทึกความเข้าใจ ค.ศ. 2000 ซึ่งกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนร่วมกันอย่างชัดเจน และห้ามมิให้มีกิจกรรมฝ่ายเดียวในพื้นที่ที่ไม่มีเส้นแบ่งเขต แม้ว่ากัมพูชาจะเตือนถึงอันตรายจากทุ่นระเบิดที่ยังไม่ระเบิด ซึ่งเป็นซากของความขัดแย้งทางอาวุธหลายทศวรรษ แต่กองทัพไทยกลับเบี่ยงเบนไปจากเส้นทางลาดตระเวนที่เคยประสานงานกันไว้ก่อนหน้านี้ระหว่างสองประเทศ และสร้างเส้นทางใหม่ผ่านดินแดนกัมพูชา การกระทำที่ขาดความรับผิดชอบนี้ถือเป็นการละเมิดความเข้าใจทวิภาคี ละเมิดดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา เป็นอันตรายต่อชีวิต และบั่นทอนความไว้วางใจซึ่งกันและกัน นี่ยังไม่รวมถึงเจตนาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ชอบด้วยกฎหมายที่กองทัพไทยประกาศใช้ในการบังคับใช้กฎเกณฑ์สำหรับการเข้ามา ของนักท่องเที่ยวและผู้แสวงบุญที่เข้าไปในวัดทาโมนธม (ปราสาทตาเมือนธม) โดยอ้างอำนาจอธิปไตยของไทยเหนือพื้นที่วัด . แม้จะมีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนและไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ไทยก็ยังคงออกแถลงการณ์ที่ขาดความระมัดระวังและทำให้เข้าใจผิด โดยกล่าวอ้างอย่างเท็จว่าได้กวาดล้างทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการระเบิดทุ่นระเบิดแล้ว ในความเป็นจริง ทหารกัมพูชายังคงประจำการอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว และไม่มีกิจกรรมกวาดล้างทุ่นระเบิดตามที่ไทยอ้าง เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในอาณาเขตของกัมพูชา แทนที่จะยอมรับความจริงและรับผิดชอบ ไทยกลับยังคงเผยแพร่ข้อมูลเท็จต่อทั้งสาธารณชนและประชาคมระหว่างประเทศ กัมพูชาเรียกร้องให้ไทยยุติการดำเนินการดังกล่าวโดยทันที และดำเนินการตามขั้นตอนที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขข้อมูลที่บิดเบือน . เหตุการณ์ข้างต้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความจำเป็นที่ทั้งสองประเทศต้องเร่งดำเนินการหาข้อยุติโดยสันติและมีผลผูกพันทางกฎหมายผ่านกลไกระหว่างประเทศที่เหมาะสม ดังนั้น กัมพูชาจึงขอย้ำจุดยืนที่มีมายาวนานว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นองค์กรตุลาการหลักของสหประชาชาติ เป็นเวทีที่น่าเชื่อถือและเป็นกลางที่สุดในการแก้ไขข้อพิพาทเขตแดนที่เหลืออยู่ระหว่างสองประเทศ กัมพูชาขอเรียกร้องให้ประเทศไทยยอมรับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในเรื่องนี้ด้วยความสุจริตใจ โดยปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติ และด้วยความมุ่งมั่นอย่างจริงใจที่จะแก้ไขข้อพิพาทเขตแดนอย่างยุติธรรม เป็นธรรม และสันติ เพื่อประกันสันติภาพที่ยั่งยืน ป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่สมควรเกิดขึ้นอีก และส่งเสริมเสถียรภาพระยะยาวของทั้งสองประเทศและภูมิภาคโดยรวม . พนมเปญ 21 กรกฎาคม 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 475 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เทพมนตรี” โชว์หลักฐานยันปราสาทตาเมือนธมเป็นของไทย ตามแผนที่ของนักสำรวจชาวฝรั่งเศส ที่เขียนขึ้นเมื่อปี 1901 รับรองโดยสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสปี 1904 ปรากฏในหนังสือ “ปราสาทพระวิหาร” ที่กัมพูชาจัดพิมพ์ร่วมกับยูเนสโก และวงวิชาการศิลปเขมรชอบนำไปอ้างอิง

    วันนี้(6 ก.ค.) นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพประกอบในเฟซบุ๊ก Thepmontri Limpaphayorm เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทตาเมือนธม ที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าอยู่ในเขตอธิปไตยของกัมพูชาและเป็น 1 ในพื้นที่พิพาทกับไทย 4 จุดที่กัมพูชานำไปฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(ICJ)

    นายเทพมนตรี ได้ยืนยันว่าปราสาทตาเมือนธมเป็นของไทย ให้ทุกคนช่วยกันเผยแพร่พร้อมกับแท็กหานายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000063617

    #Thaitimes #MGROnline #ปราสาทพระวิหาร #กัมพูชา
    “เทพมนตรี” โชว์หลักฐานยันปราสาทตาเมือนธมเป็นของไทย ตามแผนที่ของนักสำรวจชาวฝรั่งเศส ที่เขียนขึ้นเมื่อปี 1901 รับรองโดยสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสปี 1904 ปรากฏในหนังสือ “ปราสาทพระวิหาร” ที่กัมพูชาจัดพิมพ์ร่วมกับยูเนสโก และวงวิชาการศิลปเขมรชอบนำไปอ้างอิง • วันนี้(6 ก.ค.) นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพประกอบในเฟซบุ๊ก Thepmontri Limpaphayorm เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทตาเมือนธม ที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าอยู่ในเขตอธิปไตยของกัมพูชาและเป็น 1 ในพื้นที่พิพาทกับไทย 4 จุดที่กัมพูชานำไปฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(ICJ) • นายเทพมนตรี ได้ยืนยันว่าปราสาทตาเมือนธมเป็นของไทย ให้ทุกคนช่วยกันเผยแพร่พร้อมกับแท็กหานายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000063617 • #Thaitimes #MGROnline #ปราสาทพระวิหาร #กัมพูชา
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 311 มุมมอง 0 รีวิว
  • กต.ไทยแถลงโต้กัมพูชา จี้ทำตาม MOU43 ที่ระบุให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ปัญหาเขตแดน ไม่มีตรงไหนที่ให้ใช้กลไกอื่นรวมทั้งศาลโลก ยัน JBC ใช้ได้ผล ไทยปักปันเขตแดนกับมาเลเซีย-ลาว สำเร็จแล้วกว่า 90% และเขมรเองก็ใช้กลไกนี้กับเพื่อนบ้านอื่น วอนกัมพูชาเคารพพันธกรณีที่มีร่วมกัน นำ 4 พื้นที่กลับมาเจราในที่ประชุม JBC

    หลังจากที่วานนี้ กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาออกแถลงการณ์แสดงจุดยืน 8 ข้อ เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้ประณามฝ่ายไทยว่าเป็นฝ่ายก่อปัญหาจากการที่ทหารไทยรุกล้ำอธิปไตยบริเวณสามเหลี่ยมมรกต (ช่องบก) เข้าไปยิงทหารกัมพูชาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 68 ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกัมพูชาต้องตัดสินใจนำข้อพิพาทกับไทย 4 พื้นที่ไปฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) พร้อมเรียกร้องให้ฝ่ายไทยยอมรับขอบเขตอำนาจของ ICJ เพื่อหาทางยุติปัญหาโดยใช้กฎหมายระหว่างประเทศนั้น ล่าสุด วันนี้ (6 ก.ค.) กระทรวงการต่างประเทศได้ออกคำชี้แจงข้อมูล ข้อคิดเห็นและท่าทีเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000063597

    #Thaitimes #MGROnline #กัมพูชา
    กต.ไทยแถลงโต้กัมพูชา จี้ทำตาม MOU43 ที่ระบุให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ปัญหาเขตแดน ไม่มีตรงไหนที่ให้ใช้กลไกอื่นรวมทั้งศาลโลก ยัน JBC ใช้ได้ผล ไทยปักปันเขตแดนกับมาเลเซีย-ลาว สำเร็จแล้วกว่า 90% และเขมรเองก็ใช้กลไกนี้กับเพื่อนบ้านอื่น วอนกัมพูชาเคารพพันธกรณีที่มีร่วมกัน นำ 4 พื้นที่กลับมาเจราในที่ประชุม JBC • หลังจากที่วานนี้ กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาออกแถลงการณ์แสดงจุดยืน 8 ข้อ เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้ประณามฝ่ายไทยว่าเป็นฝ่ายก่อปัญหาจากการที่ทหารไทยรุกล้ำอธิปไตยบริเวณสามเหลี่ยมมรกต (ช่องบก) เข้าไปยิงทหารกัมพูชาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 68 ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกัมพูชาต้องตัดสินใจนำข้อพิพาทกับไทย 4 พื้นที่ไปฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) พร้อมเรียกร้องให้ฝ่ายไทยยอมรับขอบเขตอำนาจของ ICJ เพื่อหาทางยุติปัญหาโดยใช้กฎหมายระหว่างประเทศนั้น ล่าสุด วันนี้ (6 ก.ค.) กระทรวงการต่างประเทศได้ออกคำชี้แจงข้อมูล ข้อคิดเห็นและท่าทีเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000063597 • #Thaitimes #MGROnline #กัมพูชา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 506 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ฮุน มาเนต' นายกรัฐมนตรีกัมพูชา พบคณะที่ปรึกษากฎหมายกรณีกัมพูชายื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งนำทีมโดยศาสตราจารย์ฌอง มาร์ค โซเรล (Prof.Jean-Marc  Sorel) อาจารย์ชาวฝรั่งเศส จากมหาวิทยาลัยปารีส

    นายฮุน มาเนต ระบุว่า การประชุมร่วมกันครั้งนี้เพื่อเดินหน้ากระบวนการนำ 4 พื้นที่พิพาท ได้แก่พื้นที่มอมเบย (ช่องบก) ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice - ICJ)

    เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2025 ณ กรุงเฮก นาง Kimsour Sovannary เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำเนเธอร์แลนด์ซึ่งมีถิ่นพำนักในกรุงบรัสเซลส์ ได้ยื่นคำร้องของกัมพูชาต่อนาย Philippe Gautier นายทะเบียนศาลยุติธรรมระหว่างประเทศด้วยตนเอง

    .

    รายงานของไทยพีบีเอสเมื่อปี 2556 ระบุว่า หากย้อนกลับไปในคดีตีความคำพิพากษากรณีปราสาทพระวิหาร ศาสตราจารย์ฌอง มาร์ค โซเรล คนนี้เป็นสมาชิกสำคัญในทีมที่ปรึกษาทางกฎหมาย ซึ่งมีส่วนช่วยให้กัมพูชาชนะในคดีตีความคำพิพากษาปี 2505 กรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งกลับมาพิจารณาในช่วงปี 2554-2556

    ศาสตราจารย์ฌอง มาร์ค โซเรล ในฐานะทนายความฝ่ายกัมพูชา สู้คดีโดยอ้างในตอนนั้นว่า รัฐไทยตีความคำพิพากษาเข้าข้างตนเอง โดยใช้ท่าทีไม่เป็นมิตร ด้วยภาษาและคำพูดที่เสียดสี บิดเบือน เพื่อทำให้เห็นว่า ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนของไทย ทั้งพยายามนำเรื่องเขตแดนและการพิพากษามารวมไว้เป็นเรื่องเดียวกัน ทั้งที่เป็นคนละเรื่อง
    'ฮุน มาเนต' นายกรัฐมนตรีกัมพูชา พบคณะที่ปรึกษากฎหมายกรณีกัมพูชายื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งนำทีมโดยศาสตราจารย์ฌอง มาร์ค โซเรล (Prof.Jean-Marc  Sorel) อาจารย์ชาวฝรั่งเศส จากมหาวิทยาลัยปารีส นายฮุน มาเนต ระบุว่า การประชุมร่วมกันครั้งนี้เพื่อเดินหน้ากระบวนการนำ 4 พื้นที่พิพาท ได้แก่พื้นที่มอมเบย (ช่องบก) ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice - ICJ) เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2025 ณ กรุงเฮก นาง Kimsour Sovannary เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำเนเธอร์แลนด์ซึ่งมีถิ่นพำนักในกรุงบรัสเซลส์ ได้ยื่นคำร้องของกัมพูชาต่อนาย Philippe Gautier นายทะเบียนศาลยุติธรรมระหว่างประเทศด้วยตนเอง . 👉รายงานของไทยพีบีเอสเมื่อปี 2556 ระบุว่า หากย้อนกลับไปในคดีตีความคำพิพากษากรณีปราสาทพระวิหาร ศาสตราจารย์ฌอง มาร์ค โซเรล คนนี้เป็นสมาชิกสำคัญในทีมที่ปรึกษาทางกฎหมาย ซึ่งมีส่วนช่วยให้กัมพูชาชนะในคดีตีความคำพิพากษาปี 2505 กรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งกลับมาพิจารณาในช่วงปี 2554-2556 👉ศาสตราจารย์ฌอง มาร์ค โซเรล ในฐานะทนายความฝ่ายกัมพูชา สู้คดีโดยอ้างในตอนนั้นว่า รัฐไทยตีความคำพิพากษาเข้าข้างตนเอง โดยใช้ท่าทีไม่เป็นมิตร ด้วยภาษาและคำพูดที่เสียดสี บิดเบือน เพื่อทำให้เห็นว่า ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนของไทย ทั้งพยายามนำเรื่องเขตแดนและการพิพากษามารวมไว้เป็นเรื่องเดียวกัน ทั้งที่เป็นคนละเรื่อง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 417 มุมมอง 0 รีวิว
  • เนื้อหาใน TOR ปี 2546 ที่เป็นหลักฐานว่ารัฐบาลไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200000 ตามความเห็นทนายเขมร
    แม้แต่การเจรจา JBC ครั้งที่ผ่านมา ก็ยังยืนยันจะดำเนินการต่อตาม TOR46

    ข้อกำหนดอ้างอิงและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและกำหนดเขตแดนร่วมระหว่างกัมพูชาและไทย (TOR) ลงวันที่ 23 มีนาคม 2546 กำหนดว่า

    1.1.3 แผนที่ซึ่งเป็นผลงานการกำหนดเขตแดนของคณะกรรมาธิการการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] ซึ่งแยกตามอนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] (ต่อไปนี้จะเรียกว่า " แผนที่1:200,000") และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย]

    วรรคที่ 10 ของข้อกำหนดอ้างอิงเน้นย้ำว่า:

    "TOR นี้ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าทางกฎหมายของข้อตกลงก่อนหน้านี้ระหว่างฝรั่งเศสและสยามเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน หรือต่อมูลค่าของแผนที่ของคณะกรรมาธิการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน ( กัมพูชา) และสยาม (ประเทศไทย) ที่จัดทำขึ้นภายใต้อนุสัญญาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1904 และสนธิสัญญาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 1907 ซึ่งสะท้อนถึงเส้นแบ่งเขตแดนของอินโดจีนและสยาม"

    เห็นได้ชัดว่าแผนที่ที่อ้างถึงคือแผนที่ 1:200,000 ซึ่งตามที่ได้กล่าวข้างต้น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินว่าถูกต้องในปี 1962 และถือเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 1904 (และ 1907) ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่อยู่ในสถานะที่จะยืนยัน ว่า แผนที่1:200,000 (ซึ่งแผนที่หนึ่งเรียกว่าแผนที่ ภาคผนวก I หรือ ภาคผนวกI ที่มีปราสาทพระวิหารตั้งอยู่) ไม่ถูกต้อง ไม่มีฐานทางกฎหมายสำหรับข้อกล่าวอ้างดังกล่าว และข้อกล่าวอ้างดังกล่าวก็เท่ากับเป็นการกล่าวว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับและจะไม่บังคับใช้คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ

    2. กัมพูชายังยอมรับในคำประกาศดังกล่าวว่าคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 ไม่ได้ตัดสินในประเด็นเส้นแบ่งเขตระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาBora Touch: ตรงกันข้ามกับข้อกล่าวอ้างของประเทศไทย ในปี 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินอย่างชัดเจนว่าแผนที่ 1:200,000 (รวมถึงแผนที่ภาคผนวก I หรือแผนที่แดนเกร็ก) ถูกต้องและเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 2447 และ 2450 เนื่องจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยอมรับและตัดสินว่าแผนที่ ดังกล่าว ซึ่งเป็นผลจากการกำหนดเขตแดนของ คณะกรรมาธิการร่วมฝรั่งเศส-สยาม

    , มีผลบังคับใช้และเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินใจว่าไม่จำเป็นต้องตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนเพราะเรื่องนี้ได้รับการตัดสินแล้ว ( แผนที่ได้รับการตัดสินว่ามีผลบังคับใช้) คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับคำตอบเนื่องจากกำหนดโดยแผนที่ดังที่นักวิชาการ Kieth Highet (1987) ชี้ให้เห็นว่า: "ศาลตัดสินว่าเนื่องจากสถานที่ที่ระบุไว้ในแผนที่ได้รับการยอมรับ จึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบตำแหน่งทางกายภาพของเขตแดนที่ได้มาจากเงื่อนไขของสนธิสัญญา" ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนโดยตัดสินว่าแผนที่ นั้น มีผลบังคับใช้

    3.ไทยยืนกรานว่าเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในดินแดนไทย และเรียกร้องให้กัมพูชาถอดทั้งเจดีย์และธงกัมพูชาที่โบกสะบัดอยู่เหนือเจดีย์ เป็นการตอกย้ำการประท้วงหลายครั้งที่ประเทศไทยได้ยื่นต่อกัมพูชาเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นในพระเจดีย์และบริเวณโดยรอบ ซึ่งล้วนแต่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย

    Bora Touch:ตามแผนที่ 1:200,000 (หรือ แผนที่ส่วน Dangkrek หรือภาคผนวกI ) ปราสาทพระวิหารและที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตรอยู่ภายในอาณาเขตของกัมพูชาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ไทยและกัมพูชาเห็นพ้องกันว่าพระเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตร

    กระทรวงต่างประเทศของไทย: 4.กระทรวงฯ ยืนยันคำมั่นสัญญาของไทยในการแก้ไขปัญหาเขตแดนทั้งหมดกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยสันติวิธีภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชาว่าด้วยการกำหนดเขตแดนทางบก (JBC) การกำหนดเส้นแบ่งเขตบริเวณปราสาทพระวิหารยังอยู่ระหว่างการเจรจาภายใต้กรอบของ JBC"

    Bora Touch: การที่ไทยกล่าวว่าใช้กฎหมายระหว่างประเทศในเรื่องนี้ถือเป็นการเข้าใจผิด ประเทศไทยไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 อย่างชัดเจน จึงถือเป็นการละเมิดมาตรา 94(1) ของกฎบัตรสหประชาชาติ/ กัมพูชาร้องเรียนต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อขอใช้มาตรการที่เหมาะสมต่อไทย: มาตรา 94(2)

    Bora Touch ทนายความ

    The Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Cambodia and Thailand (TOR) of 23 March 2003 stipulates:

    1.1.3. Maps which are the results of the Demarcation Works of the Commissions of Delimitation of boundary between Indochina [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam.. sep up under the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam (theferafter referred to as "the maps of 1:200,000") and other documents relating to the application of the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam.

    Paragraph 10 of the Terms of Reference emphasises:

    "This TOR is without prejudice to the legal value of the previous agreements between France and Siam concerning the delimitation of boundary, nor to the value of the Maps of the Commissions of the Delimitation of Boundary between Indochina [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam set up under the Convention of 13 February 1904 and the Treaty of 23 March 1907, reflecting the boundary line of Indochina and Siam"

    Clearly the maps referred to are the 1:200,000 map(s) which, as mentioned above, the ICJ in 1962 ruled to be valid and forms part of the 1904 (and 1907) treaties. Thailand is therefore not in a position to assert that the 1:200,000 maps (one of which is known as Dangrek Section or Annex I map in which the PreahVihear Temple is situated) are not valid. There is no legal basis for such an assertion and to make such an assertion would amount to saying that, in contravention of the UN Charter, Thailand does not accept and will not enforce the Judgment of the ICJ.

    Thai FM: 2. Cambodia also admitted in the aforementioned declaration that the decision of the International Court of Justice (ICJ) of 1962 did not rule on the question of the boundary line between Thailand and Cambodia.

    Bora Touch: Contrary to Thailand's assertion, in 1962 the ICJ ruled unambiguously that the 1:200,000 maps (the Dangrek Section or Annex I Map included) is valid and is a part of the 1904 and 1907 treaties. Since the ICJ accepted and ruled that the map(s), which is the result of the boundary demarcation of the French-Siamese Joint Commissions, is valid and a part the treaties, the ICJ decided that it was unnecessary to rule on the question of boundary because the matter was decided (the map was ruled to be valid). The question did not need an answer as it was determined by the map(s). As scholar Kieth Highet (1987) pointed out: "the Court held that since the location indicated in the map had been accepted, it was unncessary to examine the physical location of boundary as derived from the terms of the Treaty". The ICJ did rule on the boundary question by ruling that map was valid.

    Thai FM: 3. Thailand maintains that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated on Thai territory, and demands that Cambodia remove both the pagoda and the Cambodian flag flying over the pagoda. This is a reiteration of the many protests that Thailand has submitted to Cambodia regarding the activities carried out in the pagoda and the surrounding area, all of which constitute violations of sovereignty and territorial integrity of the Kingdom of Thailand.

    Bora Touch: According to the 1:200,000 map (or the Dangkrek Section or Annex I map), the Preah Vihear Temple and the 4.6 sq km parcel of land undisputedly are inside Cambodian territory. Thailand and Cambodia agree that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated in the 4.6 sqkm parcel of land.

    Thai FM: 4. The Ministry reaffirms Thailand's commitment to resolving all boundary issues with Cambodia in accordance with international law through peaceful means under the framework of the Thai-Cambodian Joint Commission on Demarcation for Land Boundary (JBC). The determination of the boundary line in the area of the Temple of Phra Viharn [Preah Vihear Temple] is still subject to ongoing negotiation under the framework of the JBC."

    Bora Touch: It is misleading for Thailand to say it applies international law in this regard. It obviously failed to perform the obligations as stipulated under the ICJ Judgment of 1962. It thus has violated article 94(1) of the UN Charter/. Cambodia complains to the UN Security Council for appropriate measures against Thailand: Art 94(2).
    เนื้อหาใน TOR ปี 2546 ที่เป็นหลักฐานว่ารัฐบาลไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200000 ตามความเห็นทนายเขมร แม้แต่การเจรจา JBC ครั้งที่ผ่านมา ก็ยังยืนยันจะดำเนินการต่อตาม TOR46 ข้อกำหนดอ้างอิงและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและกำหนดเขตแดนร่วมระหว่างกัมพูชาและไทย (TOR) ลงวันที่ 23 มีนาคม 2546 กำหนดว่า 1.1.3 แผนที่ซึ่งเป็นผลงานการกำหนดเขตแดนของคณะกรรมาธิการการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] ซึ่งแยกตามอนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] (ต่อไปนี้จะเรียกว่า " แผนที่1:200,000") และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] วรรคที่ 10 ของข้อกำหนดอ้างอิงเน้นย้ำว่า: "TOR นี้ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าทางกฎหมายของข้อตกลงก่อนหน้านี้ระหว่างฝรั่งเศสและสยามเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน หรือต่อมูลค่าของแผนที่ของคณะกรรมาธิการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน ( กัมพูชา) และสยาม (ประเทศไทย) ที่จัดทำขึ้นภายใต้อนุสัญญาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1904 และสนธิสัญญาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 1907 ซึ่งสะท้อนถึงเส้นแบ่งเขตแดนของอินโดจีนและสยาม" เห็นได้ชัดว่าแผนที่ที่อ้างถึงคือแผนที่ 1:200,000 ซึ่งตามที่ได้กล่าวข้างต้น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินว่าถูกต้องในปี 1962 และถือเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 1904 (และ 1907) ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่อยู่ในสถานะที่จะยืนยัน ว่า แผนที่1:200,000 (ซึ่งแผนที่หนึ่งเรียกว่าแผนที่ ภาคผนวก I หรือ ภาคผนวกI ที่มีปราสาทพระวิหารตั้งอยู่) ไม่ถูกต้อง ไม่มีฐานทางกฎหมายสำหรับข้อกล่าวอ้างดังกล่าว และข้อกล่าวอ้างดังกล่าวก็เท่ากับเป็นการกล่าวว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับและจะไม่บังคับใช้คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ 2. กัมพูชายังยอมรับในคำประกาศดังกล่าวว่าคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 ไม่ได้ตัดสินในประเด็นเส้นแบ่งเขตระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาBora Touch: ตรงกันข้ามกับข้อกล่าวอ้างของประเทศไทย ในปี 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินอย่างชัดเจนว่าแผนที่ 1:200,000 (รวมถึงแผนที่ภาคผนวก I หรือแผนที่แดนเกร็ก) ถูกต้องและเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 2447 และ 2450 เนื่องจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยอมรับและตัดสินว่าแผนที่ ดังกล่าว ซึ่งเป็นผลจากการกำหนดเขตแดนของ คณะกรรมาธิการร่วมฝรั่งเศส-สยาม , มีผลบังคับใช้และเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินใจว่าไม่จำเป็นต้องตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนเพราะเรื่องนี้ได้รับการตัดสินแล้ว ( แผนที่ได้รับการตัดสินว่ามีผลบังคับใช้) คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับคำตอบเนื่องจากกำหนดโดยแผนที่ดังที่นักวิชาการ Kieth Highet (1987) ชี้ให้เห็นว่า: "ศาลตัดสินว่าเนื่องจากสถานที่ที่ระบุไว้ในแผนที่ได้รับการยอมรับ จึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบตำแหน่งทางกายภาพของเขตแดนที่ได้มาจากเงื่อนไขของสนธิสัญญา" ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนโดยตัดสินว่าแผนที่ นั้น มีผลบังคับใช้ 3.ไทยยืนกรานว่าเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในดินแดนไทย และเรียกร้องให้กัมพูชาถอดทั้งเจดีย์และธงกัมพูชาที่โบกสะบัดอยู่เหนือเจดีย์ เป็นการตอกย้ำการประท้วงหลายครั้งที่ประเทศไทยได้ยื่นต่อกัมพูชาเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นในพระเจดีย์และบริเวณโดยรอบ ซึ่งล้วนแต่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย Bora Touch:ตามแผนที่ 1:200,000 (หรือ แผนที่ส่วน Dangkrek หรือภาคผนวกI ) ปราสาทพระวิหารและที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตรอยู่ภายในอาณาเขตของกัมพูชาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ไทยและกัมพูชาเห็นพ้องกันว่าพระเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตร กระทรวงต่างประเทศของไทย: 4.กระทรวงฯ ยืนยันคำมั่นสัญญาของไทยในการแก้ไขปัญหาเขตแดนทั้งหมดกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยสันติวิธีภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชาว่าด้วยการกำหนดเขตแดนทางบก (JBC) การกำหนดเส้นแบ่งเขตบริเวณปราสาทพระวิหารยังอยู่ระหว่างการเจรจาภายใต้กรอบของ JBC" Bora Touch: การที่ไทยกล่าวว่าใช้กฎหมายระหว่างประเทศในเรื่องนี้ถือเป็นการเข้าใจผิด ประเทศไทยไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 อย่างชัดเจน จึงถือเป็นการละเมิดมาตรา 94(1) ของกฎบัตรสหประชาชาติ/ กัมพูชาร้องเรียนต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อขอใช้มาตรการที่เหมาะสมต่อไทย: มาตรา 94(2) Bora Touch ทนายความ The Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Cambodia and Thailand (TOR) of 23 March 2003 stipulates: 1.1.3. Maps which are the results of the Demarcation Works of the Commissions of Delimitation of boundary between Indochina [Cambodia] and Siam [Thailand].. sep up under the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam [Thailand] (theferafter referred to as "the maps of 1:200,000") and other documents relating to the application of the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam [Thailand]. Paragraph 10 of the Terms of Reference emphasises: "This TOR is without prejudice to the legal value of the previous agreements between France and Siam concerning the delimitation of boundary, nor to the value of the Maps of the Commissions of the Delimitation of Boundary between Indochina [Cambodia] and Siam [Thailand] set up under the Convention of 13 February 1904 and the Treaty of 23 March 1907, reflecting the boundary line of Indochina and Siam" Clearly the maps referred to are the 1:200,000 map(s) which, as mentioned above, the ICJ in 1962 ruled to be valid and forms part of the 1904 (and 1907) treaties. Thailand is therefore not in a position to assert that the 1:200,000 maps (one of which is known as Dangrek Section or Annex I map in which the PreahVihear Temple is situated) are not valid. There is no legal basis for such an assertion and to make such an assertion would amount to saying that, in contravention of the UN Charter, Thailand does not accept and will not enforce the Judgment of the ICJ. Thai FM: 2. Cambodia also admitted in the aforementioned declaration that the decision of the International Court of Justice (ICJ) of 1962 did not rule on the question of the boundary line between Thailand and Cambodia. Bora Touch: Contrary to Thailand's assertion, in 1962 the ICJ ruled unambiguously that the 1:200,000 maps (the Dangrek Section or Annex I Map included) is valid and is a part of the 1904 and 1907 treaties. Since the ICJ accepted and ruled that the map(s), which is the result of the boundary demarcation of the French-Siamese Joint Commissions, is valid and a part the treaties, the ICJ decided that it was unnecessary to rule on the question of boundary because the matter was decided (the map was ruled to be valid). The question did not need an answer as it was determined by the map(s). As scholar Kieth Highet (1987) pointed out: "the Court held that since the location indicated in the map had been accepted, it was unncessary to examine the physical location of boundary as derived from the terms of the Treaty". The ICJ did rule on the boundary question by ruling that map was valid. Thai FM: 3. Thailand maintains that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated on Thai territory, and demands that Cambodia remove both the pagoda and the Cambodian flag flying over the pagoda. This is a reiteration of the many protests that Thailand has submitted to Cambodia regarding the activities carried out in the pagoda and the surrounding area, all of which constitute violations of sovereignty and territorial integrity of the Kingdom of Thailand. Bora Touch: According to the 1:200,000 map (or the Dangkrek Section or Annex I map), the Preah Vihear Temple and the 4.6 sq km parcel of land undisputedly are inside Cambodian territory. Thailand and Cambodia agree that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated in the 4.6 sqkm parcel of land. Thai FM: 4. The Ministry reaffirms Thailand's commitment to resolving all boundary issues with Cambodia in accordance with international law through peaceful means under the framework of the Thai-Cambodian Joint Commission on Demarcation for Land Boundary (JBC). The determination of the boundary line in the area of the Temple of Phra Viharn [Preah Vihear Temple] is still subject to ongoing negotiation under the framework of the JBC." Bora Touch: It is misleading for Thailand to say it applies international law in this regard. It obviously failed to perform the obligations as stipulated under the ICJ Judgment of 1962. It thus has violated article 94(1) of the UN Charter/. Cambodia complains to the UN Security Council for appropriate measures against Thailand: Art 94(2).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 759 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปฐมบท ไทยเสียดินแดน?

    7 โมงเช้า 15 มิ.ย. พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศส่งจดหมายอย่างเป็นทางการถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก เพื่อขอแก้ไขข้อพิพาทชายแดนในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต อาศัยวันที่ศาลโลกตัดสินให้กัมพูชาชนะคดีปราสาทพระวิหารเมื่อ 63 ปีก่อน อ้างว่าต้องการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนซึ่งเสี่ยงที่จะปะทะด้วยอาวุธ กลไกทวิภาคีไม่สามารถแก้ไขได้ และอ้างว่าขอความยุติธรรม ความเป็นธรรม และความชัดเจนในการกำหนดเขตแดนและขอบเขตกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อที่คนรุ่นหลังจะไม่มีปัญหากันอีกต่อไป

    ขณะที่ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) นอกจากจะอนุมัติวาระการประชุม 4 หัวข้อแล้ว นายลัม เจีย รัฐมนตรีประจำสำนักเลขาธิการกิจการชายแดน และประธานคณะกรรมาธิการชายแดนร่วมกัมพูชา ยังกล่าวว่า กัมพูชาจะนำข้อพิพาทชายแดนทั้ง 4 พื้นที่ขึ้นสู่ศาลโลก แม้ไทยจะไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลกก็ตาม โดยจะไม่นำมาเป็นหัวข้อในการหารือภายใต้กรอบ JBC อีกต่อไป อีกทั้งนโยบายรัฐบาลกัมพูชายังยึดถือ MOU 2543 โดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ 1907 และไม่ยอมรับแผนที่ฝ่ายไทยวาดขึ้นเพียงฝ่ายเดียว

    ส่วนกระทรวงการต่างประเทศของไทย อ้างว่ามิได้มีการหารือในประเด็นที่กัมพูชาจะนำพื้นที่ 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก โดยมิได้มีการหารือประเด็นแผนที่ 1:200,000 คณะกรรมการปักปันสยาม-อินโดจีน ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างแต่อย่างใด

    พรมแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชามีระยะทาง 798 กิโลเมตร ปักปันเขตแดนแล้ว 603 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ถึงบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด รวม 73 หลัก แต่ยังไม่ปักปันเขตแดน 195 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำ ถึงช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี กำหนดให้เป็นไปตามสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรัก แต่ไทยและกัมพูชาถือแผนที่คนละฉบับ กัมพูชาใช้แผนที่ 1:200,000 ที่มีมาตราส่วนหยาบ คลาดเคลื่อนจากเส้นสันปันน้ำจริงหลายจุด คลาดเคลื่อนหลักเขตแดนมากถึง 200 เมตร ขณะที่ไทยถือแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ที่จัดทำโดยกรมแผนที่ทหาร มีความละเอียดของเส้นแบ่งเขตแดนที่ชัดเจน เห็นแนวสันเขา ร่องน้ำที่เกี่ยวข้องกับหลักฐานทางภูมิศาสตร์

    ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาทำสงครามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง แต่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร กลับไม่มีท่าทีใดๆ ออกมาชัดเจน ท่ามกลางสังคมเคลือบแคลงสงสัยถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างตระกูลชินวัตรกับตระกูลฮุนของกัมพูชา และความไม่ไว้วางใจของประชาชนชาวไทย ที่ประเทศไทยกำลังจะเสียดินแดนอีกครั้งต่อจากเขาพระวิหาร

    #Newskit
    ปฐมบท ไทยเสียดินแดน? 7 โมงเช้า 15 มิ.ย. พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศส่งจดหมายอย่างเป็นทางการถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก เพื่อขอแก้ไขข้อพิพาทชายแดนในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต อาศัยวันที่ศาลโลกตัดสินให้กัมพูชาชนะคดีปราสาทพระวิหารเมื่อ 63 ปีก่อน อ้างว่าต้องการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนซึ่งเสี่ยงที่จะปะทะด้วยอาวุธ กลไกทวิภาคีไม่สามารถแก้ไขได้ และอ้างว่าขอความยุติธรรม ความเป็นธรรม และความชัดเจนในการกำหนดเขตแดนและขอบเขตกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อที่คนรุ่นหลังจะไม่มีปัญหากันอีกต่อไป ขณะที่ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) นอกจากจะอนุมัติวาระการประชุม 4 หัวข้อแล้ว นายลัม เจีย รัฐมนตรีประจำสำนักเลขาธิการกิจการชายแดน และประธานคณะกรรมาธิการชายแดนร่วมกัมพูชา ยังกล่าวว่า กัมพูชาจะนำข้อพิพาทชายแดนทั้ง 4 พื้นที่ขึ้นสู่ศาลโลก แม้ไทยจะไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลกก็ตาม โดยจะไม่นำมาเป็นหัวข้อในการหารือภายใต้กรอบ JBC อีกต่อไป อีกทั้งนโยบายรัฐบาลกัมพูชายังยึดถือ MOU 2543 โดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ 1907 และไม่ยอมรับแผนที่ฝ่ายไทยวาดขึ้นเพียงฝ่ายเดียว ส่วนกระทรวงการต่างประเทศของไทย อ้างว่ามิได้มีการหารือในประเด็นที่กัมพูชาจะนำพื้นที่ 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก โดยมิได้มีการหารือประเด็นแผนที่ 1:200,000 คณะกรรมการปักปันสยาม-อินโดจีน ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างแต่อย่างใด พรมแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชามีระยะทาง 798 กิโลเมตร ปักปันเขตแดนแล้ว 603 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ถึงบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด รวม 73 หลัก แต่ยังไม่ปักปันเขตแดน 195 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำ ถึงช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี กำหนดให้เป็นไปตามสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรัก แต่ไทยและกัมพูชาถือแผนที่คนละฉบับ กัมพูชาใช้แผนที่ 1:200,000 ที่มีมาตราส่วนหยาบ คลาดเคลื่อนจากเส้นสันปันน้ำจริงหลายจุด คลาดเคลื่อนหลักเขตแดนมากถึง 200 เมตร ขณะที่ไทยถือแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ที่จัดทำโดยกรมแผนที่ทหาร มีความละเอียดของเส้นแบ่งเขตแดนที่ชัดเจน เห็นแนวสันเขา ร่องน้ำที่เกี่ยวข้องกับหลักฐานทางภูมิศาสตร์ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาทำสงครามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง แต่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร กลับไม่มีท่าทีใดๆ ออกมาชัดเจน ท่ามกลางสังคมเคลือบแคลงสงสัยถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างตระกูลชินวัตรกับตระกูลฮุนของกัมพูชา และความไม่ไว้วางใจของประชาชนชาวไทย ที่ประเทศไทยกำลังจะเสียดินแดนอีกครั้งต่อจากเขาพระวิหาร #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 641 มุมมอง 0 รีวิว
  • EP.6 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร

    ค่ำวันที่ 4 กรกฎาคม 2505 หลังจากศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหาร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา ได้ประมาณ 20 วัน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีของไทย ในขณะนั้น ได้กล่าวปราศรัยผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย แสดงความรู้สึกต่อการสูญเสียปราสาทพระวิหาร และยืนยันสิทธิ์ที่จะทวงคืนปราสาทพระวิหารในอนาคต ดังนี้

    พี่น้องร่วมชาติ และมิตรร่วมชีวิตที่รักของข้าพเจ้าทั้งหลาย ตามที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือที่เรียกว่า ศาลโลก ได้วินิจฉัยชี้ขาดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2505 ให้ปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา และทางรัฐบาลได้ออกแถลงให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเป็นลำดับนั้น

    รัฐบาลของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะตัวของข้าพเจ้า ถือว่าเรื่องนี้มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผลได้ผลเสียของชาติ อันเป็นเรื่องของแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นมรดกที่บรรพบุรุษของเราสู้มา อุตส่าห์ฝ่าคมอาวุธรักษาไว้ และตกทอดมาถึงรุ่นเรา

    เนื่องจากในคำปราศรัยนี้เป็นเรื่องที่สะเทือนใจพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าทราบดีว่า ในส่วนลึกและหัวใจแล้ว คนไทยผู้รักชาติทุกคน มีความเศร้าสลดและมีความข่มขืนใจเพียงใด แสดงออกถึงของประชาชนในการเดินขบวนทั่วประเทศ เพื่อคัดค้านคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นสิ่งที่เห็นกันอยู่อย่างชัดเจนแล้ว

    ทั้งนี้ มิใช่ว่าพวกเราจะนั่งนิ่งเฉยหรือท้อแท้ใจ ชาติไทยยอมท้อแท้ทอดอาลัยไม่ได้ เราเคยสูญเสียดินแดนแก่ประเทศมหาอำนาจที่ล่าอาณานิคมมาแล้วหลายครั้ง หากบรรพบุรุษของเรายอมท้อแท้ เราจะเอาแผ่นดินที่ไหนมาอยู่กันได้จนถึงทุกวันนี้ เราจะต้องหาวิธีการสู้ต่อไป

    สำหรับกรณีเขาพระวิหาร ซึ่งศาลโลกได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วนั้น ข้าพเจ้าขอทบทวนเข้าใจกับเพื่อนร่วมชาติทั้งหลาย ว่า รัฐบาลและประชาชนชาวไทย ไม่ได้เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลโลก ทั้งในข้อเท็จจริงกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักความยุติธรรม

    เมื่อเป็นดังนี้ แม้นรัฐบาลและปวงชนชาวไทย จะได้มีความรู้สึกสลดใจและขมขื่นเพียงใด ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ก็ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีในกฎบัตรสหประชาชาติ กล่าวคือ ต้องยอมให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือเขาพระวิหาร ตามพันธกรณีแห่งกฎบัตรสหประชาชาติ แต่รัฐบาลขอตั้งประท้วงและขอสงวนสิทธิ์อันชอบธรรมของประเทศไทยในเรื่องนี้ไว้ เพื่อสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินทางกฎหมายที่จำเป็น ซึ่งอาจจะมีขึ้นในภายภาคหน้า ให้กรรมสิทธิ์นี้กลับคืนมาในโอกาสอันสมควร

    พี่น้องทั้งหลายคงทราบดีว่า ชาติของเราต้องเสียศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิไป เนื่องจากเขาพระวิหาร อีกสิบปีอีกกี่ร้อยปี เราก็สามารถสร้างเกียรติภูมิคราวนี้กลับคืนมาได้ ข้าพเจ้าทราบว่า การสูญเสียปราสาทเขาพระวิหารครั้งนี้ เป็นการสูญเสียที่สะเทือนใจของคนไทยทั้งชาติ

    ฉะนั้น แม้นว่า กัมพูชาจะได้ปราสาทเขาพระวิหารนี้ไป ก็คงไปได้แค่ซากปรักหักพัง และแผ่นดินเฉพาะรองรับเขาพระวิหารเท่านั้น วิญญาณของปราสาทเขาพระวิหารยังคงอยู่กับคนไทยตลอดไป ประชาชนชาวไทยจะระลึกอยู่เสมอว่า ปราสาทเขาพระวิหารของไทยถูกปล้นเอาไป ด้วยอุปเล่ห์เพทุบาย คนที่ไม่มีเกียรติและไม่รับผิดชอบ ไม่รักความเป็นธรรม เมื่อประเทศไทยเราประพฤติปฏิบัติดีในสังคมโลก อันเป็นที่มีศีลธรรม มีสัตย์ ในวันหนึ่งข้างหน้าไม่ช้าก็เร็ว ปราสาทเขาพระวิหารจะต้องกลับมาสู่ดินแดนไทยอีกครั้งหนึ่ง

    เหตุการณ์เกี่ยวกับเขาพระวิหารครั้งนี้ สลักแน่นอยู่ในความทรงจำของคนไทยสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน และเป็นรอยจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติไปตลอด เสมือนแผลที่อยู่ในใจของคนไทยทั้งชาติ แต่ข้าพเจ้าหวังอยู่เสมอว่า ในที่สุด ธรรมะย่อมชนะอธรรม การหัวเราะที่หลังย่อมดังกว่า และนานกว่า

    พี่น้องร่วมชาติทุกท่าน ได้โปรดวางใจรัฐบาลซึ่งข้าพเจ้าเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นี้ จะสามารถนำชาติและพี่น้องชาวไทยที่รักก้าวสู่อนาคตอันสุกใสให้ได้ และข้าพเจ้ารับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า เมื่อถึงคราวที่ชาติคับขันแล้ว ข้าพเจ้าจะกอดคอร่วมเป็นร่วมตายกับพี่น้องประชาชนชาวไทย เอาเลือดทาแผ่นดิน ไม่เสียดายชีวิตแม้แต่นิดเดียว แต่เราจะทำอย่างไรได้ ข้าพเจ้าเองมีความเจ็บช้ำน้ำใจไม่น้อยไปกว่าเพื่อร่วมชาติทั้งหลาย

    การที่ข้าพเจ้าต้องมากล่าวถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวว่า การมาพูดกับท่านด้วยน้ำตา น้ำตาของข้าพเจ้า เป็นน้ำตาของลูกผู้ชาย ของเลือด ของความคับแค้น และการผูกใจเจ็บชั่วชีวิตชาตินี้และชาติหน้า ต่อดวงวิญญาณของบรรพบุรุษผู้กล้าหาญของชาวไทย

    ข้าพเจ้าขอกล่าวคำปฏิญาณด้วยสัตย์วาจาดังนี้ พี่น้องที่รักชาติทั้งหลาย น้ำตาไม่อาจทำให้เราฉลาดขึ้น แต่เราจะต้องได้อะไรคืนมา ในขั้นสุดท้ายชาติไทยจะต้องประสบกับชัยชนะเสมอ เราต้องกล้าสู้ เราต้องกล้ายิ้มรับภัยที่มาถึงตัวเรา ชาติไทยเป็นชาติที่เชื่อมั่นในบริวารพุทธศาสนา ตั้งตนอยู่ในความเป็นธรรมตลอดมา

    ข้าพเจ้าเชื่อมั่นเสมอว่า ชาติของเราจะไม่อับจนเป็นอันขาด เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องหนึ่งในบรรดาเรื่องใหญ่ทั้งหลาย มีความสำคัญมากกว่านี้ ชาติที่รักของเรากำลังพัฒนาไปในสู่วิถีทางที่ดีขึ้น เหตุนี้ไม่ใช่เหตุผลความอับจนของเรา จงหวังและทำในเรื่องชาติที่สำคัญกว่านี้ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นเหลือเกินว่า ชาติไทยของเรามีอนาคตแจ่มใสและรุ่งโรจน์อย่างแน่นอนและมั่นคงในอนาคตอันใกล้ นี้ เราจงมาช่วยกันสร้างชาติที่รักยิ่งของเราต่อไป

    พี่น้องชาวไทยที่รักทั้งหลาย วันนี้เป็นวันหนึ่งและเป็นในวันข้างหน้า เราจะต้องเอาปราสาทเขาพระวิหารกลับคืนมา ให้เป็นของชาติไทยให้จงได้ สวัสดี”

    https://youtube.com/shorts/Xdz0paAXVz4?si=k7SNESYjZJlELM04
    EP.6 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร ค่ำวันที่ 4 กรกฎาคม 2505 หลังจากศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหาร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา ได้ประมาณ 20 วัน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีของไทย ในขณะนั้น ได้กล่าวปราศรัยผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย แสดงความรู้สึกต่อการสูญเสียปราสาทพระวิหาร และยืนยันสิทธิ์ที่จะทวงคืนปราสาทพระวิหารในอนาคต ดังนี้ พี่น้องร่วมชาติ และมิตรร่วมชีวิตที่รักของข้าพเจ้าทั้งหลาย ตามที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือที่เรียกว่า ศาลโลก ได้วินิจฉัยชี้ขาดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2505 ให้ปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา และทางรัฐบาลได้ออกแถลงให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเป็นลำดับนั้น รัฐบาลของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะตัวของข้าพเจ้า ถือว่าเรื่องนี้มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผลได้ผลเสียของชาติ อันเป็นเรื่องของแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นมรดกที่บรรพบุรุษของเราสู้มา อุตส่าห์ฝ่าคมอาวุธรักษาไว้ และตกทอดมาถึงรุ่นเรา เนื่องจากในคำปราศรัยนี้เป็นเรื่องที่สะเทือนใจพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าทราบดีว่า ในส่วนลึกและหัวใจแล้ว คนไทยผู้รักชาติทุกคน มีความเศร้าสลดและมีความข่มขืนใจเพียงใด แสดงออกถึงของประชาชนในการเดินขบวนทั่วประเทศ เพื่อคัดค้านคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นสิ่งที่เห็นกันอยู่อย่างชัดเจนแล้ว ทั้งนี้ มิใช่ว่าพวกเราจะนั่งนิ่งเฉยหรือท้อแท้ใจ ชาติไทยยอมท้อแท้ทอดอาลัยไม่ได้ เราเคยสูญเสียดินแดนแก่ประเทศมหาอำนาจที่ล่าอาณานิคมมาแล้วหลายครั้ง หากบรรพบุรุษของเรายอมท้อแท้ เราจะเอาแผ่นดินที่ไหนมาอยู่กันได้จนถึงทุกวันนี้ เราจะต้องหาวิธีการสู้ต่อไป สำหรับกรณีเขาพระวิหาร ซึ่งศาลโลกได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วนั้น ข้าพเจ้าขอทบทวนเข้าใจกับเพื่อนร่วมชาติทั้งหลาย ว่า รัฐบาลและประชาชนชาวไทย ไม่ได้เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลโลก ทั้งในข้อเท็จจริงกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักความยุติธรรม เมื่อเป็นดังนี้ แม้นรัฐบาลและปวงชนชาวไทย จะได้มีความรู้สึกสลดใจและขมขื่นเพียงใด ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ก็ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีในกฎบัตรสหประชาชาติ กล่าวคือ ต้องยอมให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือเขาพระวิหาร ตามพันธกรณีแห่งกฎบัตรสหประชาชาติ แต่รัฐบาลขอตั้งประท้วงและขอสงวนสิทธิ์อันชอบธรรมของประเทศไทยในเรื่องนี้ไว้ เพื่อสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินทางกฎหมายที่จำเป็น ซึ่งอาจจะมีขึ้นในภายภาคหน้า ให้กรรมสิทธิ์นี้กลับคืนมาในโอกาสอันสมควร พี่น้องทั้งหลายคงทราบดีว่า ชาติของเราต้องเสียศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิไป เนื่องจากเขาพระวิหาร อีกสิบปีอีกกี่ร้อยปี เราก็สามารถสร้างเกียรติภูมิคราวนี้กลับคืนมาได้ ข้าพเจ้าทราบว่า การสูญเสียปราสาทเขาพระวิหารครั้งนี้ เป็นการสูญเสียที่สะเทือนใจของคนไทยทั้งชาติ ฉะนั้น แม้นว่า กัมพูชาจะได้ปราสาทเขาพระวิหารนี้ไป ก็คงไปได้แค่ซากปรักหักพัง และแผ่นดินเฉพาะรองรับเขาพระวิหารเท่านั้น วิญญาณของปราสาทเขาพระวิหารยังคงอยู่กับคนไทยตลอดไป ประชาชนชาวไทยจะระลึกอยู่เสมอว่า ปราสาทเขาพระวิหารของไทยถูกปล้นเอาไป ด้วยอุปเล่ห์เพทุบาย คนที่ไม่มีเกียรติและไม่รับผิดชอบ ไม่รักความเป็นธรรม เมื่อประเทศไทยเราประพฤติปฏิบัติดีในสังคมโลก อันเป็นที่มีศีลธรรม มีสัตย์ ในวันหนึ่งข้างหน้าไม่ช้าก็เร็ว ปราสาทเขาพระวิหารจะต้องกลับมาสู่ดินแดนไทยอีกครั้งหนึ่ง เหตุการณ์เกี่ยวกับเขาพระวิหารครั้งนี้ สลักแน่นอยู่ในความทรงจำของคนไทยสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน และเป็นรอยจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติไปตลอด เสมือนแผลที่อยู่ในใจของคนไทยทั้งชาติ แต่ข้าพเจ้าหวังอยู่เสมอว่า ในที่สุด ธรรมะย่อมชนะอธรรม การหัวเราะที่หลังย่อมดังกว่า และนานกว่า พี่น้องร่วมชาติทุกท่าน ได้โปรดวางใจรัฐบาลซึ่งข้าพเจ้าเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นี้ จะสามารถนำชาติและพี่น้องชาวไทยที่รักก้าวสู่อนาคตอันสุกใสให้ได้ และข้าพเจ้ารับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า เมื่อถึงคราวที่ชาติคับขันแล้ว ข้าพเจ้าจะกอดคอร่วมเป็นร่วมตายกับพี่น้องประชาชนชาวไทย เอาเลือดทาแผ่นดิน ไม่เสียดายชีวิตแม้แต่นิดเดียว แต่เราจะทำอย่างไรได้ ข้าพเจ้าเองมีความเจ็บช้ำน้ำใจไม่น้อยไปกว่าเพื่อร่วมชาติทั้งหลาย การที่ข้าพเจ้าต้องมากล่าวถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวว่า การมาพูดกับท่านด้วยน้ำตา น้ำตาของข้าพเจ้า เป็นน้ำตาของลูกผู้ชาย ของเลือด ของความคับแค้น และการผูกใจเจ็บชั่วชีวิตชาตินี้และชาติหน้า ต่อดวงวิญญาณของบรรพบุรุษผู้กล้าหาญของชาวไทย ข้าพเจ้าขอกล่าวคำปฏิญาณด้วยสัตย์วาจาดังนี้ พี่น้องที่รักชาติทั้งหลาย น้ำตาไม่อาจทำให้เราฉลาดขึ้น แต่เราจะต้องได้อะไรคืนมา ในขั้นสุดท้ายชาติไทยจะต้องประสบกับชัยชนะเสมอ เราต้องกล้าสู้ เราต้องกล้ายิ้มรับภัยที่มาถึงตัวเรา ชาติไทยเป็นชาติที่เชื่อมั่นในบริวารพุทธศาสนา ตั้งตนอยู่ในความเป็นธรรมตลอดมา ข้าพเจ้าเชื่อมั่นเสมอว่า ชาติของเราจะไม่อับจนเป็นอันขาด เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องหนึ่งในบรรดาเรื่องใหญ่ทั้งหลาย มีความสำคัญมากกว่านี้ ชาติที่รักของเรากำลังพัฒนาไปในสู่วิถีทางที่ดีขึ้น เหตุนี้ไม่ใช่เหตุผลความอับจนของเรา จงหวังและทำในเรื่องชาติที่สำคัญกว่านี้ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นเหลือเกินว่า ชาติไทยของเรามีอนาคตแจ่มใสและรุ่งโรจน์อย่างแน่นอนและมั่นคงในอนาคตอันใกล้ นี้ เราจงมาช่วยกันสร้างชาติที่รักยิ่งของเราต่อไป พี่น้องชาวไทยที่รักทั้งหลาย วันนี้เป็นวันหนึ่งและเป็นในวันข้างหน้า เราจะต้องเอาปราสาทเขาพระวิหารกลับคืนมา ให้เป็นของชาติไทยให้จงได้ สวัสดี” https://youtube.com/shorts/Xdz0paAXVz4?si=k7SNESYjZJlELM04
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 518 มุมมอง 0 รีวิว
  • EP.2 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร

    ประวัติศาสตร์ในสถานศึกษาจะสอนเราว่าไทยเสียดินแดน 14 ครั้ง ทำไมแอดถึงบอกว่าเราเสียดินแดนถึง 16 ครั้ง

    เสียดินแดน 1 - 14 ทุกคนคงหาได้ในอินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว แอดจะไม่กล่าวถึง

    แต่ครั้งที่ 15 คือวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ศาลโลกตัดสินให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร นั่นหมายถึง ตัวปราสาทพระวิหาร และดินแดนที่อยู่ใต้ตัวปราสาท

    ในวันที่ “เขาพระวิหาร” ตกเป็นของเขมร ทหารไทยเชิญ “เสาธงชาติไทย” จากเขาพระวิหาร โดย “ไม่มีการลดธง” แม้แต่นิดเดียว ]
    .
    พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ (องค์ต้นราชสกุล “ชุมพล”) ทรงค้นพบปราสาทแห่งนี้เมื่อปี ๒๔๔๒ แล้วทรงจารึกพระนาม และปีที่ค้นพบไว้ที่บริเวณชะง่อนผาเป้ยตาดีว่า “๑๑๘ สรรพสิทธิ” และ “ปราสาทพระวิหาร” เป็นปราสาทที่ได้ชื่อประทานจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว พระองค์มีรับสั่งว่าปราสาทองค์นี้เหมือนปราสาทที่เทพสร้าง จึงเรียกว่า “ปราสาทเทพพระวิหาร” ซึ่งต่อมาเรียกกันทั่วไปว่า “ปราสาทพระวิหาร” คนกัมพูชาออกเสียงเป็น “เปรี๊ยะวิเฮียร์” เรียกตามคนไทยมาตลอด
    .
    เนื่องจากปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ตรงรอยต่อของไทยกับกัมพูชา ซึ่งผลัดกันยึดครองดินแดนแถบนี้จนหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไทยได้ส่งทหารเข้ายึดครองพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร กษัตริย์สีหนุ จึงยื่นฟ้องต่อศาลโลกเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๐๒
    .
    การไต่สวนพิจารณาคดีเป็นไปอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง ๓ ปี มีการนัดพิจารณาสืบพยานทั้งหมด ๗๓ ครั้ง จนในที่สุด ศาลโลกก็ตัดสินให้กัมพูชาเป็นฝ่ายชนะคดีด้วยคะแนน ๙ ต่อ ๓ เสียง ยังผลให้ประเทศไทยต้องยินยอมทำตามข้อเรียกร้องทั้ง ๒ ข้อของกัมพูชา นับเป็นการเสียดินแดนครั้งล่าสุดของประเทศไทยในยุครัตนโกสินทร์ เสียพื้นที่ไปทั้งหมดประมาณ ๑๕๐ ไร่
    .
    ค่ำคืนวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๐๕ หลังศาลโลกตัดสินให้ ปราสาทพระวิหาร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา ได้ประมาณ ๒๐ วัน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้กล่าวปราศรัยผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย แสดงความรู้สึกต่อการสูญเสียปราสาทพระวิหาร
    .
    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คือ พลโทประภาส จารุเสถียร (ยศในขณะนั้น) บอกว่า “...ถ้าเราไปชักธงชาติลง และพับธงเดินกลับมา จะเป็นการเสียเกียรติยศประเทศไทยซึ่งเคยปกครองเขาพระวิหารมาเป็นเวลานาน...”
    .
    จึงได้ให้ทหารและตำรวจตระเวนชายแดน เชิญเสาธงชาติไทยจากเขาพระวิหาร บนยอดผาเป้ยตาดี ยกเสาธงทั้งต้นลงมา โดยไม่มีการลดธงแม้แต่นิดเดียว ซึ่งทำให้กัมพูชาไม่พอใจอย่างมาก เหมือนกับว่าไทยประชดคำตัดสินของศาลโลก ซึ่งทางเราก็ตอบโต้ว่า “...เป็นสิทธิของเรา...”

    ครั้งที่ 16 คือ 11 พ.ย. 2556 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ได้พิพากษาให้กัมพูชาเป็นผู้มีอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่รอบๆ ตัวปราสาทพระวิหาร อันตั้งอยู่ตรงชายแดนติดต่อกับประเทศไทย ในคำตัดสินครั้งสำคัญซึ่งมุ่งหมายยุติข้อพิพาทอันยืดเยื้อหลายสิบปี ทั้งนี้ ศาลสูงสุดของสหประชาชาติแห่งนี้ ยังได้สั่งให้รัฐบาลไทยถอนกำลังรักษาความมั่นคงของตนออกมาจากพื้นที่ดังกล่าวอีกด้วย

    คำตัดสินคราวนี้ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเส้นพรมแดนของทั้งสองประเทศในบริเวณรอบๆ ปราสาทพระวิหารที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วแห่งนี้ จึงเป็นการปฏิเสธข้ออ้างของฝ่ายกัมพูชาที่ว่า ตนเองเป็นมีอำนาจอธิปไตยเหนือภูเขาพนมตรวบ หรือภูมะเขือที่อยู่ใกล้ๆ กับปราสาท

    แต่เพราะ นายนพดล ปัทมะ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศได้เคยลงนามคำแถลงการณ์ร่วมกับฝ่ายกัมพูชา โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีนายสมัคร ยินยอมให้เขมรนำปราสาทพระวิหารขึ้นเป็นมรดกพร้อมแนบแผนที่บริเวรบริหารจัดการให้เขมรไปด้วยเกือบพันไร่ นั่นคือที่เราสูญเสียในครั้งที่ 16

    บทความบางตอนจากเพจโบราณนานมา และ มเหนทรบรรพต
    EP.2 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร ประวัติศาสตร์ในสถานศึกษาจะสอนเราว่าไทยเสียดินแดน 14 ครั้ง ทำไมแอดถึงบอกว่าเราเสียดินแดนถึง 16 ครั้ง เสียดินแดน 1 - 14 ทุกคนคงหาได้ในอินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว แอดจะไม่กล่าวถึง แต่ครั้งที่ 15 คือวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ศาลโลกตัดสินให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร นั่นหมายถึง ตัวปราสาทพระวิหาร และดินแดนที่อยู่ใต้ตัวปราสาท ในวันที่ “เขาพระวิหาร” ตกเป็นของเขมร ทหารไทยเชิญ “เสาธงชาติไทย” จากเขาพระวิหาร โดย “ไม่มีการลดธง” แม้แต่นิดเดียว ] . พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ (องค์ต้นราชสกุล “ชุมพล”) ทรงค้นพบปราสาทแห่งนี้เมื่อปี ๒๔๔๒ แล้วทรงจารึกพระนาม และปีที่ค้นพบไว้ที่บริเวณชะง่อนผาเป้ยตาดีว่า “๑๑๘ สรรพสิทธิ” และ “ปราสาทพระวิหาร” เป็นปราสาทที่ได้ชื่อประทานจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว พระองค์มีรับสั่งว่าปราสาทองค์นี้เหมือนปราสาทที่เทพสร้าง จึงเรียกว่า “ปราสาทเทพพระวิหาร” ซึ่งต่อมาเรียกกันทั่วไปว่า “ปราสาทพระวิหาร” คนกัมพูชาออกเสียงเป็น “เปรี๊ยะวิเฮียร์” เรียกตามคนไทยมาตลอด . เนื่องจากปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ตรงรอยต่อของไทยกับกัมพูชา ซึ่งผลัดกันยึดครองดินแดนแถบนี้จนหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไทยได้ส่งทหารเข้ายึดครองพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร กษัตริย์สีหนุ จึงยื่นฟ้องต่อศาลโลกเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๐๒ . การไต่สวนพิจารณาคดีเป็นไปอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง ๓ ปี มีการนัดพิจารณาสืบพยานทั้งหมด ๗๓ ครั้ง จนในที่สุด ศาลโลกก็ตัดสินให้กัมพูชาเป็นฝ่ายชนะคดีด้วยคะแนน ๙ ต่อ ๓ เสียง ยังผลให้ประเทศไทยต้องยินยอมทำตามข้อเรียกร้องทั้ง ๒ ข้อของกัมพูชา นับเป็นการเสียดินแดนครั้งล่าสุดของประเทศไทยในยุครัตนโกสินทร์ เสียพื้นที่ไปทั้งหมดประมาณ ๑๕๐ ไร่ . ค่ำคืนวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๐๕ หลังศาลโลกตัดสินให้ ปราสาทพระวิหาร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา ได้ประมาณ ๒๐ วัน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้กล่าวปราศรัยผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย แสดงความรู้สึกต่อการสูญเสียปราสาทพระวิหาร . รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คือ พลโทประภาส จารุเสถียร (ยศในขณะนั้น) บอกว่า “...ถ้าเราไปชักธงชาติลง และพับธงเดินกลับมา จะเป็นการเสียเกียรติยศประเทศไทยซึ่งเคยปกครองเขาพระวิหารมาเป็นเวลานาน...” . จึงได้ให้ทหารและตำรวจตระเวนชายแดน เชิญเสาธงชาติไทยจากเขาพระวิหาร บนยอดผาเป้ยตาดี ยกเสาธงทั้งต้นลงมา โดยไม่มีการลดธงแม้แต่นิดเดียว ซึ่งทำให้กัมพูชาไม่พอใจอย่างมาก เหมือนกับว่าไทยประชดคำตัดสินของศาลโลก ซึ่งทางเราก็ตอบโต้ว่า “...เป็นสิทธิของเรา...” ครั้งที่ 16 คือ 11 พ.ย. 2556 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ได้พิพากษาให้กัมพูชาเป็นผู้มีอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่รอบๆ ตัวปราสาทพระวิหาร อันตั้งอยู่ตรงชายแดนติดต่อกับประเทศไทย ในคำตัดสินครั้งสำคัญซึ่งมุ่งหมายยุติข้อพิพาทอันยืดเยื้อหลายสิบปี ทั้งนี้ ศาลสูงสุดของสหประชาชาติแห่งนี้ ยังได้สั่งให้รัฐบาลไทยถอนกำลังรักษาความมั่นคงของตนออกมาจากพื้นที่ดังกล่าวอีกด้วย คำตัดสินคราวนี้ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเส้นพรมแดนของทั้งสองประเทศในบริเวณรอบๆ ปราสาทพระวิหารที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วแห่งนี้ จึงเป็นการปฏิเสธข้ออ้างของฝ่ายกัมพูชาที่ว่า ตนเองเป็นมีอำนาจอธิปไตยเหนือภูเขาพนมตรวบ หรือภูมะเขือที่อยู่ใกล้ๆ กับปราสาท แต่เพราะ นายนพดล ปัทมะ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศได้เคยลงนามคำแถลงการณ์ร่วมกับฝ่ายกัมพูชา โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีนายสมัคร ยินยอมให้เขมรนำปราสาทพระวิหารขึ้นเป็นมรดกพร้อมแนบแผนที่บริเวรบริหารจัดการให้เขมรไปด้วยเกือบพันไร่ นั่นคือที่เราสูญเสียในครั้งที่ 16 บทความบางตอนจากเพจโบราณนานมา และ มเหนทรบรรพต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 520 มุมมอง 27 0 รีวิว
  • กาสิโน กล่องดวงใจเขมร

    ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชารอบใหม่ เนื่องจากทหารกัมพูชาเผาศาลาตรีมุข ก่อนนำกำลังบุกยึดสามเหลี่ยมมรกต หรือมุมไบ ล้ำมาถึงช่องบกเข้าเขตดินแดนไทยด้าน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ทำให้ทหารไทยยอมไม่ได้ เกิดการปะทะกันเมื่อวันที่ 28 พ.ค. ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย ทหารไทยบาดเจ็บ 1 นาย ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาเตรียมนำช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ให้ตกเป็นของกัมพูชา กระแสสังคมกดดันไปยังรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร อย่างหนัก ด้วยข้อหาผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างตระกูลชินวัตร กับสมเด็จฯ ฮุนเซน

    ในที่สุดมาตรการทางทหารที่ออกมา โดยที่รัฐบาลไฟเขียวให้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง หนึ่งในนั้นคือการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา จำกัดการผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า แรงงาน และงานจำเป็นอื่นๆ แต่ปิดตายห้ามนักท่องเที่ยวชาวไทย และนักพนันชาวไทยข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา หนึ่งในนั้นคือด่านพรมแดนบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว กับฝั่งปอยเปต จังหวัดบันทายมีชัย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศกัมพูชา ปรับเวลาเปิดด่านเหลือ 4 โมงเย็น จากเดิม 4 ทุ่ม และห้ามนักท่องเที่ยวรวมถึงนักพนันชาวไทยออกนอกประเทศ ผลก็คือเกิดความโกลาหล ทั้งคนไทยที่ทำงานอยู่ในบ่อนกาสิโนฝั่งปอยเปต และชาวกัมพูชาเข้ามาค้าขายฝั่งไทย

    มาตรการควบคุมการเข้าออกด่าน และที่คาดว่าจะตามมา โดยเฉพาะการตัดกระแสไฟฟ้าที่ส่งไปยังฝั่งกัมพูชากระทบต่อธุรกิจกาสิโนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กลุ่มเป้าหมายหลักคือนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เข้าไปเสี่ยงโชค และยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญของผู้มีอำนาจในกัมพูชาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ในที่สุด วันที่ 8 มิ.ย. พล.ท.สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 กัมพูชา เชิญ พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เข้าร่วมหารือฝ่ายทหารกัมพูชา ยอมถอนกำลังกลับไปยังจุดที่เคยประจำการอยู่เดิม และกลบคูเลตให้กลับคืนสู่สภาพธรรมชาติตามเดิม ตามข้อเสนอของฝ่ายไทย เพื่อเปิดทางให้ใช้กลไกระดับคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นบริหารจัดการพื้นที่ต่อไป

    ปัจจุบันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีบ่อนกาสิโนให้บริการประมาณ 48 แห่ง ที่โดดเด่นที่สุดคือด่านปอยเปต มีกาสิโนให้บริการประมาณ 10 แห่ง โดยใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณ 5-6 ชั่วโมง นักเสี่ยงโชคส่วนใหญ่เป็นชาวไทย และชาวต่างชาติที่ถือหนังสือเดินทางต่างประเทศเท่านั้น เพราะรัฐบาลกัมพูชาไม่อนุญาตให้ชาวกัมพูชาเข้าไปเสี่ยงโชค ในปี 2566 สร้างรายได้ให้รัฐบาลกัมพูชาราว 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

    #Newskit
    กาสิโน กล่องดวงใจเขมร ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชารอบใหม่ เนื่องจากทหารกัมพูชาเผาศาลาตรีมุข ก่อนนำกำลังบุกยึดสามเหลี่ยมมรกต หรือมุมไบ ล้ำมาถึงช่องบกเข้าเขตดินแดนไทยด้าน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ทำให้ทหารไทยยอมไม่ได้ เกิดการปะทะกันเมื่อวันที่ 28 พ.ค. ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย ทหารไทยบาดเจ็บ 1 นาย ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาเตรียมนำช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ให้ตกเป็นของกัมพูชา กระแสสังคมกดดันไปยังรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร อย่างหนัก ด้วยข้อหาผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างตระกูลชินวัตร กับสมเด็จฯ ฮุนเซน ในที่สุดมาตรการทางทหารที่ออกมา โดยที่รัฐบาลไฟเขียวให้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง หนึ่งในนั้นคือการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา จำกัดการผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า แรงงาน และงานจำเป็นอื่นๆ แต่ปิดตายห้ามนักท่องเที่ยวชาวไทย และนักพนันชาวไทยข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา หนึ่งในนั้นคือด่านพรมแดนบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว กับฝั่งปอยเปต จังหวัดบันทายมีชัย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศกัมพูชา ปรับเวลาเปิดด่านเหลือ 4 โมงเย็น จากเดิม 4 ทุ่ม และห้ามนักท่องเที่ยวรวมถึงนักพนันชาวไทยออกนอกประเทศ ผลก็คือเกิดความโกลาหล ทั้งคนไทยที่ทำงานอยู่ในบ่อนกาสิโนฝั่งปอยเปต และชาวกัมพูชาเข้ามาค้าขายฝั่งไทย มาตรการควบคุมการเข้าออกด่าน และที่คาดว่าจะตามมา โดยเฉพาะการตัดกระแสไฟฟ้าที่ส่งไปยังฝั่งกัมพูชากระทบต่อธุรกิจกาสิโนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กลุ่มเป้าหมายหลักคือนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เข้าไปเสี่ยงโชค และยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญของผู้มีอำนาจในกัมพูชาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ในที่สุด วันที่ 8 มิ.ย. พล.ท.สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 กัมพูชา เชิญ พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เข้าร่วมหารือฝ่ายทหารกัมพูชา ยอมถอนกำลังกลับไปยังจุดที่เคยประจำการอยู่เดิม และกลบคูเลตให้กลับคืนสู่สภาพธรรมชาติตามเดิม ตามข้อเสนอของฝ่ายไทย เพื่อเปิดทางให้ใช้กลไกระดับคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นบริหารจัดการพื้นที่ต่อไป ปัจจุบันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีบ่อนกาสิโนให้บริการประมาณ 48 แห่ง ที่โดดเด่นที่สุดคือด่านปอยเปต มีกาสิโนให้บริการประมาณ 10 แห่ง โดยใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณ 5-6 ชั่วโมง นักเสี่ยงโชคส่วนใหญ่เป็นชาวไทย และชาวต่างชาติที่ถือหนังสือเดินทางต่างประเทศเท่านั้น เพราะรัฐบาลกัมพูชาไม่อนุญาตให้ชาวกัมพูชาเข้าไปเสี่ยงโชค ในปี 2566 สร้างรายได้ให้รัฐบาลกัมพูชาราว 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ #Newskit
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 681 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตามหลังความขัดแย้งระหว่างอาร์เซอร์ไบจานกับอาร์เมเนีย และเหตุปะทะช่วงสั้นๆแต่หนักหน่วงระหว่างอินเดียกับปากีสถาน อีกหนึ่งความขัดแย้งในเอเชียที่ถูกแช่แข็งมานาน ได้โหมกระพือความร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้ง และมันเป็นเหตุปะทะที่น่าสนใจอย่างยิ่ง นั่นเพราะมันเป็นศึกระหว่าง กัมพูชา พันธมิตรของจีน และไทย คู่หูตามสนธิสัญญาของสหรัฐฯ ตามรายงานข่าวของยูเรเซียไทม์ส

    ยูเรเซียไทม์ส รายงานว่าการปะทะเมื่อเร็วๆนี้ระหว่างไทยกับกัมพูชา ถือเป็นการดวลปืนครั้งร้ายแรงที่สุดตามแนวชายแดนที่เป็นข้อพิพาทนับตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งคราวนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิต 28 ราย เวลานี้กัมพูชาตัดสินใจจะยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(ICJ) เกี่ยวกับแนวชายแดนที่เป็นข้อพิพาทกับไทย อ้างอิงคำพูดของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเน็ต

    รายงานข่าวระบุว่าข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา หลักๆมีแก่นกลางอยู่ที่ประสาทเขาพระวิหารและคำกล่าวอ้างทางทะเลในอ่าวไทย ซึ่งมีต้นตอจากสนธิสัญญาต่างๆในอดีตและความคลุมเครือในยุคล่าอาณานิคม ประสาทพระวิหารที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 ตั้งอยู่บนเขาแดงเกร็ก ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยกให้เป็นของกัมพูชาในปี 1962 อย่างไรก็ตามข้อพิพาทเกี่ยวกับดินแดนที่อยู่ใกล้เคียงยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง และโหมกระพือหนักหน่วงขึ้นโดยกระแสชาตินิยมในทั้ง 2 ประเทศ หนังสือพิมพ์ยูเรเซียไทม์สรายงาน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000052095

    #MGROnline #ไทย #กัมพูชา
    ตามหลังความขัดแย้งระหว่างอาร์เซอร์ไบจานกับอาร์เมเนีย และเหตุปะทะช่วงสั้นๆแต่หนักหน่วงระหว่างอินเดียกับปากีสถาน อีกหนึ่งความขัดแย้งในเอเชียที่ถูกแช่แข็งมานาน ได้โหมกระพือความร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้ง และมันเป็นเหตุปะทะที่น่าสนใจอย่างยิ่ง นั่นเพราะมันเป็นศึกระหว่าง กัมพูชา พันธมิตรของจีน และไทย คู่หูตามสนธิสัญญาของสหรัฐฯ ตามรายงานข่าวของยูเรเซียไทม์ส • ยูเรเซียไทม์ส รายงานว่าการปะทะเมื่อเร็วๆนี้ระหว่างไทยกับกัมพูชา ถือเป็นการดวลปืนครั้งร้ายแรงที่สุดตามแนวชายแดนที่เป็นข้อพิพาทนับตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งคราวนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิต 28 ราย เวลานี้กัมพูชาตัดสินใจจะยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(ICJ) เกี่ยวกับแนวชายแดนที่เป็นข้อพิพาทกับไทย อ้างอิงคำพูดของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเน็ต • รายงานข่าวระบุว่าข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา หลักๆมีแก่นกลางอยู่ที่ประสาทเขาพระวิหารและคำกล่าวอ้างทางทะเลในอ่าวไทย ซึ่งมีต้นตอจากสนธิสัญญาต่างๆในอดีตและความคลุมเครือในยุคล่าอาณานิคม ประสาทพระวิหารที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 ตั้งอยู่บนเขาแดงเกร็ก ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยกให้เป็นของกัมพูชาในปี 1962 อย่างไรก็ตามข้อพิพาทเกี่ยวกับดินแดนที่อยู่ใกล้เคียงยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง และโหมกระพือหนักหน่วงขึ้นโดยกระแสชาตินิยมในทั้ง 2 ประเทศ หนังสือพิมพ์ยูเรเซียไทม์สรายงาน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000052095 • #MGROnline #ไทย #กัมพูชา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 315 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'กัมพูชา' จะไปศาลโลก อ้างสารพัดเหตุผล 'ภูมิธรรม' ยันไม่ปิดด่าน
    .
    สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ในเวลานี้ดูเหมือนว่าฝั่งกัมพูชาจะเล่นไม่เลิกและเริ่มจะไปกันใหญ่แล้ว ภายหลังสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกฯกัมพูชา โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแจ้งผลประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติและวุฒิสภาช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ว่า มีมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 182 เสียง ต่อแผนการดำเนินการของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในการยื่นข้อพิพาทชายแดนระหว่างกัมพูชากับไทยต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก (ICJ)
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000051854

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    'กัมพูชา' จะไปศาลโลก อ้างสารพัดเหตุผล 'ภูมิธรรม' ยันไม่ปิดด่าน . สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ในเวลานี้ดูเหมือนว่าฝั่งกัมพูชาจะเล่นไม่เลิกและเริ่มจะไปกันใหญ่แล้ว ภายหลังสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกฯกัมพูชา โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแจ้งผลประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติและวุฒิสภาช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ว่า มีมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 182 เสียง ต่อแผนการดำเนินการของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในการยื่นข้อพิพาทชายแดนระหว่างกัมพูชากับไทยต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก (ICJ) . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000051854 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    Love
    14
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1292 มุมมอง 0 รีวิว
  • พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยถึงการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี และกรณีที่ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ข้อความเตรียมบรรจุวาระการประชุม JBC นำประเด็นเรื่องปราสาทตาเหมือนธม ปราสาทตาเหมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่มุมไบ(สามเหลี่ยมมรกต-บริเวณช่องบก) เข้าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(ICJ) ลำดับแรกต้องถอยห่างจากจุดปะทะ ให้ JBC ดูเรื่องปักปันเขตแดนตามกฎหมายและข้อตกลงที่เกี่ยวข้อง เพราะในการพูดคุยกับกัมพูชาก็เห็นตรงกัน จึงต้องรักษากติกาข้อตกลง ก่อนใช้กลไกอื่น

    -กัมพูชารุกล้ำแดนไทย
    -ต่อสายตรงเบรกปิดด่าน
    -ปลุกใจ"กองอาทมาต"
    -ขู่ไทยต้องไปศาลโลก
    พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยถึงการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี และกรณีที่ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ข้อความเตรียมบรรจุวาระการประชุม JBC นำประเด็นเรื่องปราสาทตาเหมือนธม ปราสาทตาเหมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่มุมไบ(สามเหลี่ยมมรกต-บริเวณช่องบก) เข้าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(ICJ) ลำดับแรกต้องถอยห่างจากจุดปะทะ ให้ JBC ดูเรื่องปักปันเขตแดนตามกฎหมายและข้อตกลงที่เกี่ยวข้อง เพราะในการพูดคุยกับกัมพูชาก็เห็นตรงกัน จึงต้องรักษากติกาข้อตกลง ก่อนใช้กลไกอื่น -กัมพูชารุกล้ำแดนไทย -ต่อสายตรงเบรกปิดด่าน -ปลุกใจ"กองอาทมาต" -ขู่ไทยต้องไปศาลโลก
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 717 มุมมอง 20 0 รีวิว
  • นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชาได้ยืนยันอีกครั้งว่าในส่วนของปัญหาชายแดนนั้น แม้ว่าฝ่ายไทยจะไม่เห็นด้วย แต่กัมพูชาจะยังคงยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ​ (ICJ) เพื่อแก้ไขและยุติปัญหาอย่างเด็ดขาด โดยผู้นำกัมพูชาได้แสดงความเห็นดังกล่าวในการประชุมร่วมกันของสภาผู้แทนราษฎรและพฤฒสภา

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000051713

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชาได้ยืนยันอีกครั้งว่าในส่วนของปัญหาชายแดนนั้น แม้ว่าฝ่ายไทยจะไม่เห็นด้วย แต่กัมพูชาจะยังคงยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ​ (ICJ) เพื่อแก้ไขและยุติปัญหาอย่างเด็ดขาด โดยผู้นำกัมพูชาได้แสดงความเห็นดังกล่าวในการประชุมร่วมกันของสภาผู้แทนราษฎรและพฤฒสภา อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000051713 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    Angry
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 519 มุมมอง 0 รีวิว
  • โฆษก ทบ.ชี้ “ฮุน มาเนต” นำเรื่องขึ้นศาลโลกคนละเรื่องกับปัญหาปัจจุบัน ซึ่งต้องหาทางอยู่ร่วมกันในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนที่ยังไม่ชัดเจน โดยต้องถอยจากจุดปะทะแล้วให้ JBC มาปักปันเขตแดน ตามเอ็มโอยูที่ต้องไม่ดัดแปลงสภาพพื้นที่ ชี้ ภาพถ่ายฮุนเซนใกล้ศาลาตรีมุข ไม่ใช่จุดปะทะที่เป็นป่า ไม่มีหลักฐานทหารกัมพูชาเคยมาอยู่ และเพิ่งขุดคูเรดขึ้นมาไม่นาน

    วันนี้ (2 มิ.ย.) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ภายหลัง นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศว่า เตรียมให้ที่ประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee - JBC) ไทย-กัมพูชา ที่จะมีขึ้นกลางเดือน มิ.ย.เสนอนำกรณีสามเหลี่ยมมรกต (ช่องบก) และปราสาทอีก 3 แห่งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ว่า ยังเป็นคนละเรื่องกับปัญหาปัจจุบัน ปัจจุบันคือการทำอย่างไรที่จะอยู่ร่วมกันในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน ที่ยังไม่ชี้ชัดว่าควรเป็นพื้นที่ของใคร

    ในขั้นตอนแรก ทั้ง 2 ฝ่าย จึงถอยห่างจากจุดปะทะ และให้คณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC มาดูในเป็นเรื่องปักปันเขตแดน หรือกฎหมาย ข้อตกลงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพราะข้อตกลงที่ พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ไปพูดคุยกับ ผบ.ทบ.กัมพูชา มีเห็นตรงกัน 3 ประเด็น คือ การถอยกำลังออกจากพื้นที่จุดปะทะ และใช้กลไก JBC มาร่วมแก้ปัญหาเรื่องเขตแดน เรื่องสนธิสัญญา และข้อปฏิบัติตามเอ็มโอยู จะระมัดระวังดูแลกำลังพลพยายามไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000051619

    #MGROnline #ฮุนมาเนต #ศาลโลก #พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนที่ยังไม่ชัดเจน #ทหารกัมพูชา
    โฆษก ทบ.ชี้ “ฮุน มาเนต” นำเรื่องขึ้นศาลโลกคนละเรื่องกับปัญหาปัจจุบัน ซึ่งต้องหาทางอยู่ร่วมกันในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนที่ยังไม่ชัดเจน โดยต้องถอยจากจุดปะทะแล้วให้ JBC มาปักปันเขตแดน ตามเอ็มโอยูที่ต้องไม่ดัดแปลงสภาพพื้นที่ ชี้ ภาพถ่ายฮุนเซนใกล้ศาลาตรีมุข ไม่ใช่จุดปะทะที่เป็นป่า ไม่มีหลักฐานทหารกัมพูชาเคยมาอยู่ และเพิ่งขุดคูเรดขึ้นมาไม่นาน • วันนี้ (2 มิ.ย.) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ภายหลัง นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศว่า เตรียมให้ที่ประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee - JBC) ไทย-กัมพูชา ที่จะมีขึ้นกลางเดือน มิ.ย.เสนอนำกรณีสามเหลี่ยมมรกต (ช่องบก) และปราสาทอีก 3 แห่งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ว่า ยังเป็นคนละเรื่องกับปัญหาปัจจุบัน ปัจจุบันคือการทำอย่างไรที่จะอยู่ร่วมกันในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน ที่ยังไม่ชี้ชัดว่าควรเป็นพื้นที่ของใคร • ในขั้นตอนแรก ทั้ง 2 ฝ่าย จึงถอยห่างจากจุดปะทะ และให้คณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC มาดูในเป็นเรื่องปักปันเขตแดน หรือกฎหมาย ข้อตกลงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพราะข้อตกลงที่ พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ไปพูดคุยกับ ผบ.ทบ.กัมพูชา มีเห็นตรงกัน 3 ประเด็น คือ การถอยกำลังออกจากพื้นที่จุดปะทะ และใช้กลไก JBC มาร่วมแก้ปัญหาเรื่องเขตแดน เรื่องสนธิสัญญา และข้อปฏิบัติตามเอ็มโอยู จะระมัดระวังดูแลกำลังพลพยายามไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000051619 • #MGROnline #ฮุนมาเนต #ศาลโลก #พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนที่ยังไม่ชัดเจน #ทหารกัมพูชา
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 446 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ดอนเมืองโทลล์เวย์”แจ้งตลาดฯ ยื่นอนุญาโตตุลาการฟ้องกรมทางหลวง ชดเชย ผลกระทบโควิดช่วงปี 63-65 เป็นเงิน 2.3 พันล้านบาท “สุริยะ”ยันต้องดำเนินการภายใต้ผลประโยชน์ของรัฐมากที่สุด

    รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) (DMT) หรือดอนเมืองโทลล์เวย์ ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลงนามโดยนายศักดิ์ดา พรรณไวย กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ เรื่องการยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อใช้สิทธิและปฏิบัติตามสัญญาสัมปทานทางหลวงในทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 ถนนวิภาวดีรังสิต ตอนดินแดง – ดอนเมือง (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) (‘สัญญาสัมปทาน”) ระหว่างกรมทางหลวงกับบริษัทฯ เพื่อให้กรมทางหลวง แก้ไขผลเสียต่อฐานะทางการของบริษัทฯ โดยยื่นคำเสนอข้อพิพาทวันที่ 27 พฤษภาคม 2568

    โดยระบุว่า บริษัทฯ เป็นผู้รับสัมปทานทางหลวงในทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 (ถนนวิภาวดีรังสิต) จากกรมทางหลวง รวม 2 ตอน ได้แก่ สัมปทานทางหลวงตอนดินแดง – ดอนเมือง และสัมปทาน ทางหลวงตอนดอนเมือง – อนุสรณ์สถาน โดยระหว่างอายุสัญญาสัมปทานในปี 2563 ถึงปี 2565 ปรากฎการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร อันเป็นเหตุสุดวิสัยตามสัญญาสัมปทาน ส่งผลให้ปริมาณการจราจรที่ใช้ทางหลวงสัมปทานทางหลวงเดิมและทางหลวงสัมปทานตอนต่อขยายทางด้านทิศเหนือลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของสัญญาสัมปทานโดยแจ้งเหตุสุดวิสัยให้กรมทางหลวงทราบ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/business/detail/9680000050355

    #MGROnline #ดอนเมืองโทลล์เวย์ #ทางยกระดับดอนเมือง
    “ดอนเมืองโทลล์เวย์”แจ้งตลาดฯ ยื่นอนุญาโตตุลาการฟ้องกรมทางหลวง ชดเชย ผลกระทบโควิดช่วงปี 63-65 เป็นเงิน 2.3 พันล้านบาท “สุริยะ”ยันต้องดำเนินการภายใต้ผลประโยชน์ของรัฐมากที่สุด • รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) (DMT) หรือดอนเมืองโทลล์เวย์ ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลงนามโดยนายศักดิ์ดา พรรณไวย กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ เรื่องการยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อใช้สิทธิและปฏิบัติตามสัญญาสัมปทานทางหลวงในทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 ถนนวิภาวดีรังสิต ตอนดินแดง – ดอนเมือง (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) (‘สัญญาสัมปทาน”) ระหว่างกรมทางหลวงกับบริษัทฯ เพื่อให้กรมทางหลวง แก้ไขผลเสียต่อฐานะทางการของบริษัทฯ โดยยื่นคำเสนอข้อพิพาทวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 • โดยระบุว่า บริษัทฯ เป็นผู้รับสัมปทานทางหลวงในทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 (ถนนวิภาวดีรังสิต) จากกรมทางหลวง รวม 2 ตอน ได้แก่ สัมปทานทางหลวงตอนดินแดง – ดอนเมือง และสัมปทาน ทางหลวงตอนดอนเมือง – อนุสรณ์สถาน โดยระหว่างอายุสัญญาสัมปทานในปี 2563 ถึงปี 2565 ปรากฎการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร อันเป็นเหตุสุดวิสัยตามสัญญาสัมปทาน ส่งผลให้ปริมาณการจราจรที่ใช้ทางหลวงสัมปทานทางหลวงเดิมและทางหลวงสัมปทานตอนต่อขยายทางด้านทิศเหนือลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของสัญญาสัมปทานโดยแจ้งเหตุสุดวิสัยให้กรมทางหลวงทราบ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/business/detail/9680000050355 • #MGROnline #ดอนเมืองโทลล์เวย์ #ทางยกระดับดอนเมือง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 474 มุมมอง 0 รีวิว
  • 29 เมษายน 2568 - นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ เผยแพร่บทความในรูปแบบถาม-ตอบ เรื่อง อำนาจศาลยุติธรรม ใน "คดีไต่สวนชั้น 14" มีเนื้อหาดังนี้ถาม วันที่ ๓๐ เมษายน นี้ ศาลยุติธรรมจะทำอะไรกับคดีชั้น ๑๔ ของทักษิณตอบ กรมราชทัณฑ์ ได้รับหมายจากศาลให้จำคุกทักษิณ ๑ ปี วันที่ ๓๐ นั้นเป็นวันที่ศาลจะสั่งคำร้องของคุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ที่ร้องต่อศาลว่าทักษิณไม่ได้ติดคุกจริงตามหมายศาล แม้คำร้องนี้จะไม่มีกฎหมายรองรับสิทธิคุณชาญชัยก็ตาม แต่ถ้าศาลเห็นด้วยว่ามีมูล ศาลก็เห็นสมควรสั่งไต่สวนได้เองตามอำนาจที่มีอยู่แล้วถาม ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาผมไม่เห็นมีบทบัญญัติรองรับอำนาจไต่สวนนี้ของศาลเลยครับตอบ นี่คือปัญหากฎหมายข้อแรก ที่ศาลจะต้องอธิบาย ซึ่งผมเห็นว่าเมื่อการจำคุกทำโดยอำนาจศาล ศาลย่อมมีอำนาจตรวจสอบว่าได้มีการทำตามหมายของศาลหรือไม่ หากผิดพลาดศาลก็มีอำนาจสั่งราชทัณฑ์ให้ทำให้ถูกต้องได้เสมอถาม ในการตรวจสอบครั้งนี้ศาลจะยึดกฎหมายฉบับใดเป็นฐาน จะยึดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ( ป.วิอาญา ) หรือตามกฎหมายราชทัณฑ์ครับตอบ ศาลต้องยึดทุกอย่างที่เป็นกฎหมาย ถ้ากฎหมายทั้งสองขัดแย้งกันในเรื่องใด ศาลก็ต้องวินิจฉัยเองว่ากฎหมายใดใช้บังคับได้ ดังปรากฏข้อพิจารณาไปโดยลำดับ ดังนี้ปัญหาการนับระยะเวลาคุมขังถาม นักโทษเจ็บป่วยนอนโรงพยาบาลนอกเรือนจำ อย่างกรณีทักษิณนอนชั้น ๑๔ รพ.ตำรวจนี้ ถ้าศาลออกหมายขัง ๑ ปี แล้วทักษิณนอนมาหกเดือนแล้ว ขอถามว่าเวลานอนป่วย ๖ เดือนนี้ เราจะนับเป็นเวลาคุมขังหรือไม่ครับคำตอบจากกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาตอบ ปี ๒๕๕๐ รัฐสภาตรากฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๔๖ ระบุไว้ว่ามาตรา ๒๔๖ เมื่อจำเลย สามี ภริยา ญาติของจำเลย พนักงาานอัยการผู้บัญชําการเรือนจำ หรือเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุกร้องขอ หรือเมื่อศาลเห็นสมควร ศาลมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อนจนกว่าเหตุอันควรทุเลาจะหมดไป ในกรณีต่อไปนี้(๑) เมื่อจำเลยวิกลจริต(๒) เมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก(๓) ถ้ําจำเลยมีครรภ์(๔) ถ้ําจำเลยคลอดบุตรแล้วยังไม่ถึงสามปี และจำเลยต้องเลี้ยงดูบุตรนั้นในระหว่างทุเลาการบังคับอยู่นั้นศาลจะมีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวอยู่ในความควบคุมในสถานที่อันควรนอกจากเรือนจำหรือสถานที่ที่กำหนดไว้ในหมายจำคุกก็ได้ และให้ศาลกำหนดให้เจ้ําพนักงานผู้มีหน้าที่ จัดการตามหมายนั้นเป็นผู้มีหน้าที่และรับผิดชอบในการดำเนินการตามคำสั่งลักษณะของสถานที่อันควรตามวรรคสอง ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งต้องกำหนดวิธีการควบคุมและบำบัดรักษาที่เหมาะสมกับสภาพของจำเลย และมาตรการเพื่อป้องกันการหลบหนี หรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นด้วยเมื่อศาลมีคำสั่งตามวรรคหนึ่งแล้ว หากภายหลังจำเลยไม่ปฏิบัติตามวิธีการหรือมาตรการตามวรรคสาม หรือพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ให้ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือให้ดำเนินการตามหมายจำคุกได้ ให้หักจำนวนวันที่จำเลยอยู่ในความควบคุมตามมาตรานี้ ออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษาด้วยความตามมาตราข้างต้น การนำนักโทษไปรักษาตัวนอกเรือนจำต้องทำโดยคำสั่งศาล และจะถือระยะเวลานี้เป็นเวลาที่ถูกคุมขังไม่ได้ เพราะเป็นเพียงการทุเลาไม่บังคับตามหมายด้วยเหตุเจ็บป่วยเท่านั้นถาม หมายความว่า หาก ผบ.เรือนจำกับ รพ.ตำรวจ เห็นว่าต้องรับตัวทักษิณไว้รักษา ด้วยเหตุจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ก็ต้องรับไว้ให้นอนโรงพยาบาลก่อน แล้วรีบขอคำสั่งศาลให้อนุมัติและทุเลาการลงโทษใช่ไหมครับตอบ ครับ พอศาลสั่งแล้ว ทักษิณก็นอนต่อไปตามเดิม แต่การนับโทษจะหยุดนับทันที หายดีเมื่อไหร่ก็กลับเข้าเรือนจำแล้วเริ่มนับโทษที่เหลือต่อไปถาม หากถือหลักว่านักโทษติดคุก “ต้องติดจริงๆและติดให้ครบ”อย่างนี้แล้ว ในเมื่อวันนี้ทักษิณยังไม่ติดคุกเลย ศาลก็ต้องจัดการให้กลับไปติดให้ครบ ๑ ปี ใช่ไหมครับ ส่วนเรื่องป่วยจริงหรือไม่นั้น ก็ไม่ใช่ประเด็นในคดีอีกต่อไปตอบ ยังไม่แน่ครับ เพราะวันนี้ยังมี พรบ.ราชทัณฑ์ ให้คำตอบไว้อีกอย่างคำตอบจาก พรบ.ราชทัณฑ์ ๒๕๖๐มาตรา ๕๕ พรบ.ราชทัณฑ์ ๒๕๖๐ในกรณีที่ผู้ต้องขังป่วย มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต หรือเป็นโรคติดต่อ ให้ผู้บัญชาการเรือนจำดำเนินการให้ผู้ต้องขังได้รับการตรวจจากแพทยโดยเร็ว หากผู้ต้องขังนั้นต้องได้รับการบำบัดรักษาเฉพาะด้าน หรือถ้าคงรักษาพยาบาลอยู่ในเรือนจำจะไม่ทุเลาดีขึ้น ให้ส่งตัวผู้ต้องขังดังกล่าวไปยังสถานบำบัดรักษาสำหรับโรคชนิดนั้นโดยเฉพาะ โรงพยาบาล หรือสถานบำบัดรักษาทางสุขภาพจิต นอกเรือนจำต่อไป ทั้งนี้หลักเกณฑและวิธีการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ระยะเวลาการรักษาตัว รวมทั้งผู้มีอำนาจอนุญาต ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการในกรณีที่ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำตามวรรคสอง มิให้ถือว่าผู้ต้องขังนั้นพ้นจากการคุมขัง และถ้าผู้ต้องขังไปเสียจากสถานที่ที่รับผู้ต้องขังไว้รักษาตัว ให้ถือว่ามีความผิดฐานหลบหนี ที่คุมขังตามประมวลกฎหมายอาญาถาม แสดงว่า กฎหมายราชทัณฑ์ มาตรา ๕๕ วรรคสอง ถือว่าการรักษาตัวของทักษิณที่ชั้น ๑๔ นั้นมีฐานะเป็นการคุมขัง ดังนั้นเวลา ๖ เดือนที่นอนชั้น ๑๔ จึงนับว่าทักษิณได้ต้องโทษมา ๖ เดือนแล้ว อย่างนั้นหรือตอบ เป็นเช่นนั้นครับ เห็นได้เลยครับว่า เรื่องนับเวลานี้ทั้ง ป.วิอาญา และ พรบ.ราชทัณฑ์บัญญัติขัดกันชัดเจน และต่างก็เป็นกฎหมายระดับ พรบ.เหมือนกัน มีศักดิ์เท่ากัน เสียด้วย กรณีจึงเกิดปัญหาว่าเราจะต้องใช้กฎหมายใดเป็นฐานในคดีนี้สำหรับผมเองเห็นว่า พรบ.ราชทัณฑ์ บัญญัติขึ้นมาภายหลัง ดังนั้นต้องถือว่ารัฐสภาได้ยกเลิก มาตรา ๒๔๖ แห่ง ป.วิอาญาไปแล้ว ถ้ามองอย่างนี้ ศาลอาจถือมาตรา ๕๕ นี้เป็นฐานกฎหมายในคดีก็ได้ถาม ถ้าคิดจะเอามาตรา ๕๕ เป็นหลัก องค์คณะผู้ไต่สวนอาจต้องขอให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาตัดสินปัญหานี้ก่อนหรือไม่ตอบ เป็นไปได้อย่างยิ่งถาม ถ้าในที่สุดก็ลงเอยกันที่มาตรา ๕๕ อย่างนี้ ศาลก็ต้องไต่สวนต่อไปว่าป่วยจริงหรือไม่ ใช่ไหมครับตอบ ครับ ต้องตรวจสอบหมด ว่ากระบวนการอนุญาตผ่านขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ ทั้งการตรวจและให้ความเห็นของหมอราชทัณฑ์ในชั้นส่งตัว ทั้งการตรวจและให้ความเห็นของหมอโรงพยาบาลตำรวจว่าจำเป็นต้องรับไว้รักษา จนมาถึงคำสั่งอนุญาตของ ผบ.เรือนจำในที่สุดถาม ถ้าพบว่าไม่ถูกต้อง ไม่มีการตรวจและให้ความเห็นเช่นที่ควร คือหน้าด้านส่งไปนอนดู NETFIX บนชั้น ๑๔ กันดื้อๆเลย เช่นนี้ผลทางกฎหมายจะเป็นอย่างไรตอบ ก็หมายความว่า เวลา ๖ เดือนที่อยู่ชั้น ๑๔ นั้น จะนับเป็นเวลารักษาตัวนอกเรือนจำตามมาตรา ๕๕ วรรคแรกไม่ได้ เมื่อเข้าวรรคแรกไม่ได้ก็ถือเป็นเวลาคุมขังตามวรรคสองไม่ได้ กรณีจึงสรุปได้ว่าทักษิณไม่เคยติดคุกตามหมายศาลเลย ศาลต้องสั่งให้จับตัวไปคุมขังจริงๆต่อไป ส่วนเจ้าหน้าที่ทุกระดับที่มีหน้าที่ทำตามหมายศาล ก็โดนละเมิดอำนาจศาลตามไปด้วยอีกคำสั่งหนึ่งถาม แล้วความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ล่ะครับตอบ ทางอาญาก็เป็นเรื่องของ ปปช. ทางจรรยาแพทย์ก็เป็นเรื่องของแพทยสภา ว่ากันตามช่องทางต่างๆของกฎหมายต่อไปถาม ถ้าจบลงอย่างนี้ ภายหน้าควรมีการแก้ไขกฎหมายอย่างไรหรือไม่ครับตอบ สภาควรยกเลิก ป.วิอาญา มาตรา ๒๔๖ ให้ชัดเจนไปเลยว่าใช้บังคับไม่ได้แล้ว แล้วเพิ่มเติมลงไปในกฏกระทรวงด้วยว่า ทุกครั้งที่มีการรักษานักโทษนอกเรือนจำแบบนี้ ให้กรมราชทัณฑ์รายงานพร้อมหลักฐาน ให้ศาลผู้ออกหมายจำคุกได้ทราบและมีอำนาจสอบถามไต่สวนได้ทุกครั้งด้วย ราษฎรธรรมดาจะได้ไม่ต้องสวมบทพลเมืองดี มาดิ้นรนกระเสือกกระสนร้องศาลกันเองแบบนี้อีก
    29 เมษายน 2568 - นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ เผยแพร่บทความในรูปแบบถาม-ตอบ เรื่อง อำนาจศาลยุติธรรม ใน "คดีไต่สวนชั้น 14" มีเนื้อหาดังนี้ถาม วันที่ ๓๐ เมษายน นี้ ศาลยุติธรรมจะทำอะไรกับคดีชั้น ๑๔ ของทักษิณตอบ กรมราชทัณฑ์ ได้รับหมายจากศาลให้จำคุกทักษิณ ๑ ปี วันที่ ๓๐ นั้นเป็นวันที่ศาลจะสั่งคำร้องของคุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ที่ร้องต่อศาลว่าทักษิณไม่ได้ติดคุกจริงตามหมายศาล แม้คำร้องนี้จะไม่มีกฎหมายรองรับสิทธิคุณชาญชัยก็ตาม แต่ถ้าศาลเห็นด้วยว่ามีมูล ศาลก็เห็นสมควรสั่งไต่สวนได้เองตามอำนาจที่มีอยู่แล้วถาม ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาผมไม่เห็นมีบทบัญญัติรองรับอำนาจไต่สวนนี้ของศาลเลยครับตอบ นี่คือปัญหากฎหมายข้อแรก ที่ศาลจะต้องอธิบาย ซึ่งผมเห็นว่าเมื่อการจำคุกทำโดยอำนาจศาล ศาลย่อมมีอำนาจตรวจสอบว่าได้มีการทำตามหมายของศาลหรือไม่ หากผิดพลาดศาลก็มีอำนาจสั่งราชทัณฑ์ให้ทำให้ถูกต้องได้เสมอถาม ในการตรวจสอบครั้งนี้ศาลจะยึดกฎหมายฉบับใดเป็นฐาน จะยึดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ( ป.วิอาญา ) หรือตามกฎหมายราชทัณฑ์ครับตอบ ศาลต้องยึดทุกอย่างที่เป็นกฎหมาย ถ้ากฎหมายทั้งสองขัดแย้งกันในเรื่องใด ศาลก็ต้องวินิจฉัยเองว่ากฎหมายใดใช้บังคับได้ ดังปรากฏข้อพิจารณาไปโดยลำดับ ดังนี้ปัญหาการนับระยะเวลาคุมขังถาม นักโทษเจ็บป่วยนอนโรงพยาบาลนอกเรือนจำ อย่างกรณีทักษิณนอนชั้น ๑๔ รพ.ตำรวจนี้ ถ้าศาลออกหมายขัง ๑ ปี แล้วทักษิณนอนมาหกเดือนแล้ว ขอถามว่าเวลานอนป่วย ๖ เดือนนี้ เราจะนับเป็นเวลาคุมขังหรือไม่ครับคำตอบจากกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาตอบ ปี ๒๕๕๐ รัฐสภาตรากฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๔๖ ระบุไว้ว่ามาตรา ๒๔๖ เมื่อจำเลย สามี ภริยา ญาติของจำเลย พนักงาานอัยการผู้บัญชําการเรือนจำ หรือเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุกร้องขอ หรือเมื่อศาลเห็นสมควร ศาลมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อนจนกว่าเหตุอันควรทุเลาจะหมดไป ในกรณีต่อไปนี้(๑) เมื่อจำเลยวิกลจริต(๒) เมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก(๓) ถ้ําจำเลยมีครรภ์(๔) ถ้ําจำเลยคลอดบุตรแล้วยังไม่ถึงสามปี และจำเลยต้องเลี้ยงดูบุตรนั้นในระหว่างทุเลาการบังคับอยู่นั้นศาลจะมีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวอยู่ในความควบคุมในสถานที่อันควรนอกจากเรือนจำหรือสถานที่ที่กำหนดไว้ในหมายจำคุกก็ได้ และให้ศาลกำหนดให้เจ้ําพนักงานผู้มีหน้าที่ จัดการตามหมายนั้นเป็นผู้มีหน้าที่และรับผิดชอบในการดำเนินการตามคำสั่งลักษณะของสถานที่อันควรตามวรรคสอง ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งต้องกำหนดวิธีการควบคุมและบำบัดรักษาที่เหมาะสมกับสภาพของจำเลย และมาตรการเพื่อป้องกันการหลบหนี หรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นด้วยเมื่อศาลมีคำสั่งตามวรรคหนึ่งแล้ว หากภายหลังจำเลยไม่ปฏิบัติตามวิธีการหรือมาตรการตามวรรคสาม หรือพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ให้ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือให้ดำเนินการตามหมายจำคุกได้ ให้หักจำนวนวันที่จำเลยอยู่ในความควบคุมตามมาตรานี้ ออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษาด้วยความตามมาตราข้างต้น การนำนักโทษไปรักษาตัวนอกเรือนจำต้องทำโดยคำสั่งศาล และจะถือระยะเวลานี้เป็นเวลาที่ถูกคุมขังไม่ได้ เพราะเป็นเพียงการทุเลาไม่บังคับตามหมายด้วยเหตุเจ็บป่วยเท่านั้นถาม หมายความว่า หาก ผบ.เรือนจำกับ รพ.ตำรวจ เห็นว่าต้องรับตัวทักษิณไว้รักษา ด้วยเหตุจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ก็ต้องรับไว้ให้นอนโรงพยาบาลก่อน แล้วรีบขอคำสั่งศาลให้อนุมัติและทุเลาการลงโทษใช่ไหมครับตอบ ครับ พอศาลสั่งแล้ว ทักษิณก็นอนต่อไปตามเดิม แต่การนับโทษจะหยุดนับทันที หายดีเมื่อไหร่ก็กลับเข้าเรือนจำแล้วเริ่มนับโทษที่เหลือต่อไปถาม หากถือหลักว่านักโทษติดคุก “ต้องติดจริงๆและติดให้ครบ”อย่างนี้แล้ว ในเมื่อวันนี้ทักษิณยังไม่ติดคุกเลย ศาลก็ต้องจัดการให้กลับไปติดให้ครบ ๑ ปี ใช่ไหมครับ ส่วนเรื่องป่วยจริงหรือไม่นั้น ก็ไม่ใช่ประเด็นในคดีอีกต่อไปตอบ ยังไม่แน่ครับ เพราะวันนี้ยังมี พรบ.ราชทัณฑ์ ให้คำตอบไว้อีกอย่างคำตอบจาก พรบ.ราชทัณฑ์ ๒๕๖๐มาตรา ๕๕ พรบ.ราชทัณฑ์ ๒๕๖๐ในกรณีที่ผู้ต้องขังป่วย มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต หรือเป็นโรคติดต่อ ให้ผู้บัญชาการเรือนจำดำเนินการให้ผู้ต้องขังได้รับการตรวจจากแพทยโดยเร็ว หากผู้ต้องขังนั้นต้องได้รับการบำบัดรักษาเฉพาะด้าน หรือถ้าคงรักษาพยาบาลอยู่ในเรือนจำจะไม่ทุเลาดีขึ้น ให้ส่งตัวผู้ต้องขังดังกล่าวไปยังสถานบำบัดรักษาสำหรับโรคชนิดนั้นโดยเฉพาะ โรงพยาบาล หรือสถานบำบัดรักษาทางสุขภาพจิต นอกเรือนจำต่อไป ทั้งนี้หลักเกณฑและวิธีการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ระยะเวลาการรักษาตัว รวมทั้งผู้มีอำนาจอนุญาต ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการในกรณีที่ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำตามวรรคสอง มิให้ถือว่าผู้ต้องขังนั้นพ้นจากการคุมขัง และถ้าผู้ต้องขังไปเสียจากสถานที่ที่รับผู้ต้องขังไว้รักษาตัว ให้ถือว่ามีความผิดฐานหลบหนี ที่คุมขังตามประมวลกฎหมายอาญาถาม แสดงว่า กฎหมายราชทัณฑ์ มาตรา ๕๕ วรรคสอง ถือว่าการรักษาตัวของทักษิณที่ชั้น ๑๔ นั้นมีฐานะเป็นการคุมขัง ดังนั้นเวลา ๖ เดือนที่นอนชั้น ๑๔ จึงนับว่าทักษิณได้ต้องโทษมา ๖ เดือนแล้ว อย่างนั้นหรือตอบ เป็นเช่นนั้นครับ เห็นได้เลยครับว่า เรื่องนับเวลานี้ทั้ง ป.วิอาญา และ พรบ.ราชทัณฑ์บัญญัติขัดกันชัดเจน และต่างก็เป็นกฎหมายระดับ พรบ.เหมือนกัน มีศักดิ์เท่ากัน เสียด้วย กรณีจึงเกิดปัญหาว่าเราจะต้องใช้กฎหมายใดเป็นฐานในคดีนี้สำหรับผมเองเห็นว่า พรบ.ราชทัณฑ์ บัญญัติขึ้นมาภายหลัง ดังนั้นต้องถือว่ารัฐสภาได้ยกเลิก มาตรา ๒๔๖ แห่ง ป.วิอาญาไปแล้ว ถ้ามองอย่างนี้ ศาลอาจถือมาตรา ๕๕ นี้เป็นฐานกฎหมายในคดีก็ได้ถาม ถ้าคิดจะเอามาตรา ๕๕ เป็นหลัก องค์คณะผู้ไต่สวนอาจต้องขอให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาตัดสินปัญหานี้ก่อนหรือไม่ตอบ เป็นไปได้อย่างยิ่งถาม ถ้าในที่สุดก็ลงเอยกันที่มาตรา ๕๕ อย่างนี้ ศาลก็ต้องไต่สวนต่อไปว่าป่วยจริงหรือไม่ ใช่ไหมครับตอบ ครับ ต้องตรวจสอบหมด ว่ากระบวนการอนุญาตผ่านขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ ทั้งการตรวจและให้ความเห็นของหมอราชทัณฑ์ในชั้นส่งตัว ทั้งการตรวจและให้ความเห็นของหมอโรงพยาบาลตำรวจว่าจำเป็นต้องรับไว้รักษา จนมาถึงคำสั่งอนุญาตของ ผบ.เรือนจำในที่สุดถาม ถ้าพบว่าไม่ถูกต้อง ไม่มีการตรวจและให้ความเห็นเช่นที่ควร คือหน้าด้านส่งไปนอนดู NETFIX บนชั้น ๑๔ กันดื้อๆเลย เช่นนี้ผลทางกฎหมายจะเป็นอย่างไรตอบ ก็หมายความว่า เวลา ๖ เดือนที่อยู่ชั้น ๑๔ นั้น จะนับเป็นเวลารักษาตัวนอกเรือนจำตามมาตรา ๕๕ วรรคแรกไม่ได้ เมื่อเข้าวรรคแรกไม่ได้ก็ถือเป็นเวลาคุมขังตามวรรคสองไม่ได้ กรณีจึงสรุปได้ว่าทักษิณไม่เคยติดคุกตามหมายศาลเลย ศาลต้องสั่งให้จับตัวไปคุมขังจริงๆต่อไป ส่วนเจ้าหน้าที่ทุกระดับที่มีหน้าที่ทำตามหมายศาล ก็โดนละเมิดอำนาจศาลตามไปด้วยอีกคำสั่งหนึ่งถาม แล้วความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ล่ะครับตอบ ทางอาญาก็เป็นเรื่องของ ปปช. ทางจรรยาแพทย์ก็เป็นเรื่องของแพทยสภา ว่ากันตามช่องทางต่างๆของกฎหมายต่อไปถาม ถ้าจบลงอย่างนี้ ภายหน้าควรมีการแก้ไขกฎหมายอย่างไรหรือไม่ครับตอบ สภาควรยกเลิก ป.วิอาญา มาตรา ๒๔๖ ให้ชัดเจนไปเลยว่าใช้บังคับไม่ได้แล้ว แล้วเพิ่มเติมลงไปในกฏกระทรวงด้วยว่า ทุกครั้งที่มีการรักษานักโทษนอกเรือนจำแบบนี้ ให้กรมราชทัณฑ์รายงานพร้อมหลักฐาน ให้ศาลผู้ออกหมายจำคุกได้ทราบและมีอำนาจสอบถามไต่สวนได้ทุกครั้งด้วย ราษฎรธรรมดาจะได้ไม่ต้องสวมบทพลเมืองดี มาดิ้นรนกระเสือกกระสนร้องศาลกันเองแบบนี้อีก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 772 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลยุติธรรม-ศาลปกครอง ที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน กรณีทักษิณ ชั้น14 : ข่าวลึกปมลับ 23/04/68
    ศาลยุติธรรม-ศาลปกครอง ที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน กรณีทักษิณ ชั้น14 : ข่าวลึกปมลับ 23/04/68
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 3 0 รีวิว
  • 11-04-68/01 : หมี CNN / ลงจากหลังหมา ก็ยิ่งหมากว่าเดิมสิจ๊ะ? ทำไมมันจะไม่รู้ตัว โดนเป็นแพะรับบาป หนีคุก หนีคดี หนีนักล่าทั่วโลก ใครมันจะยอมปล่อยเก้าอี้กันล่ะ? อีกไม่นาน เยรูซาเล็มก็สิ้นแล้ว เขาเชิญให้มรึงออกไปให้พ้นดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ ยิ่งสู้ ยิ่งตายห่า ยิ่งห้าวเป้ง ยิ่งฉิบหายหนักกว่าเดิม บรรดาชาติมหาอำนาจ(เก่า) ทั้งสหรัฐ และชาตินาโต้ เสียหมาหนัก โดนเยเมนถล่มกลับอย่างหมา ไม่มีปัญญาจะหยุดใครได้อีกแล้ว มรึงมันตกยุคไปแล้ว ยังเสือก EGO แรงไม่เลิก อาวุธที่เคยภาคภูมิใจเมื่อ 20 ปีก่อน ตอนนี้ แค่ "ขี้หมา ของเด็กเล่น" นวตกรรมใหม่ไม่มี เงินทุนไม่พอ กำลังสำรองไม่เหลือ คลังแสงเกลี้ยง มิน่า รัสเซีย จีน แทบไม่ต้องทำเหี้ยอาไยเลย แค่รอมรึงตายไปเอง ช่วงสูญญากาศ ยิ่งทำให้ศัตรูของยิวเหี้ยไซออนนิสต์แข็งแกร่งขึ้นมาก เติมอาวุธกันอย่างเมามันส์ ผลิตจัดส่งแบบทุกสัปดาห์ ผลิตแบบ NON STOP 24 ชม. ทั้งมอสโคว์ เปียงยาง เตหะราน มรึงยังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่? ยื้อคือสิ้นชาติ หากตื่นตัว ยอมแพ้ตอนนี้ ยังพอมีเหลือบ้าง เพราะขั้วใหม่เค้าจะดูดมรึงไปจนกว่าจะสิ้นแผ่นดิน ใครโง่กันแน่? ใครมองดูก็รู้ สุดท้ายเยรูซาเล็มก็ต้องแตก โยกย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ เหมือนที่เคยทำมานับ 1000 ปี แนวร่วมไม่เหลือ ย้ายขั้วกันหมดแล้ว เอาตัวรอด ก็โยนบาปให้อีเนรคุณทันยา ฟอกตัวใหม่สิน่ะ แต่โลกไม่ให้อภัยมรึงไปนานแล้ว เค้าจะล่อมรึงจนกว่าจะตายห่าสิ้นโลก หนีไปอเมริกาเหนือซะ ที่ที่มรึงควรจะอยู่ ดินแดนต้องคำสาป เฉพาะเหี้ยเท่านั้นที่อยู่ได้ ไม่ว่ามรึงจะเปลี่ยนผู้นำไปอีกซัก 100 ตัว นโยบายเหี้ยระยำสลัดหมาก็ไม่เคยเปลี่ยน เค้าไม่ขี่ช้างไล่จับตั๊กกะแตนอย่างมรึงดอก ล้างบาง ล้างโคตรเท่านั้น ถึงจะเกิดสันติสุขได้จริง ยิวไม่ตาย โลกไม่มีวันสงบสุข สโลแกนที่ทั้งโลกมอบให้มรึงไงล่ะ? การหยุดยิง ทำให้อียิวประเมินสถานการณ์ใหม่ ฝ่ายต่อต้านเติบโตแข็งแกร่งขึ้นเยอะ จากนี้ มรึงจะบุกเหี้ยอะไรได้อีก มีแต่โดนเค้าถล่มกลับยับ เพราะฮามาสเข้าถึงทุกพื้นที่ได้หมดแล้ว ด้วยอุโมงค์ลับนินจากฮาโตริ โผล่ได้ทุกจุด ไปได้ทุกที่ สมกับที่อดทนรอ ขุดแม่งมากว่า 20 ปี ความตั้งใจ และมุ่งมั่นของชาวปาเลสไตน์ ทำให้อียิวต้องกลายเป็นหมาในวันนี้ จะกฎหมายอะไรก็เท่านั้น ในเมื่อผู้บังคับใช้กฎหมายเป็นได้แค่ขี้ข้ารองตรีนอีเยรูซาเล็ม ดังนั้น ชาวโลก โลกอาหรับจึงมีแค่มติเดียว คือขับไล่เหี้ยออกไปให้พ้น อย่าให้มีเหลือแม้แต่ตัวเดียว ถูกย่างสดแน่มรึง! ทุกวันนี้ ยังยิงกันอยู่ไม่สิ้นสุด แค่ข่าวไม่ออก เพราะผู้คนเบื่อหน่าย มรึงจะรบต่อเพื่อ? แพ้ยับซะขนาดนั้น เอาที่มรึงสบายใจ เพราะสุดท้ายแล้ว อาจจะไม่มี ไอ้อียิวหน้าไหนได้ออกไปจากแผ่นดินคานาอันอีกตลอดกาลเลยก็ได้ ตายห่ากันให้หมด ไอ้ที่อพยผหนีไปนับ 10 ล้านตัวก่อนหน้า กระจายไปตามยุโรป อาเซียน อเมริกาเหนือ หมดแล้ว แต่อย่าคิดว่ารอด ที่ไหนมีชุมชนยิว ที่นั่นมีเฮซบอเลาะห์ตามไปเยี่ยมเยียนเสมอ เพราะมอสสาด คือขนมกรุบ(ของกินเล่น)ของนักล่าอาหรับตอนนี้ไงล่ะ?

    Israel’s Netanyahu crossed all limits to stay in power: Gantz เบนนี่ แกนซ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี Netanyahu เนทันยาฮู ทำทุกทางเพื่อให้ยังมีอำนาจ

    ------------------------------------------------------------------------—
    RONIN500(Admin Nidnoi) แปลโดย นิดหน่อย : เบนนี่ แกนซ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี Netanyahu เนทันยาฮู ทำทุกทางเพื่อให้ยังมีอำนาจ

    ผู้นำฝ่ายค้านเบนนี่ แกนซ์โจมตีนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูว่า เขาทำทุกทางเพื่อให้ยังมีอำนาจ

    จากการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Yedioth Aharonoth ประธานพรรค National Unity ระบุว่า นายเนทันยาฮู “สละทุกข้อจำกัดที่เป็นไปได้”

    เขากล่าว่า นายเนทันยาฮู“ทำทุกอย่างเพื่อให้ยังอยู่ในรัฐบาล”

    อย่างไรก็ตาม เขาระบุว่า การกระทำของนาย Netanyahu เนทันยาฮุจะไม่ช่วยให้เขาอยู่รอดทางการเมือง

    คณะรัฐมนตรีอิสราเอลลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ให้ไล่นายโรเนน บาร์ ผู้อำนวยการสำนักงานสืบสวน ชิน เบต ที่อ้างถึงความผิดพลาดของสำนักงานที่คาดการณ์การโจมตีของกลุ่ม Al-Aqsa ในปี 2023 แต่ศาลสูงสุดชะลอการตัดสินคดีจนถึงวันที่ 8 เมษายน

    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตามจดหมายถึง “ศาลยุติธรรมสูงสุด” นายบาร์ระบุว่า นายเนทันยาฮูเรียกร้องว่า เขาออกความเห็นที่อ้างถึงความกังวลด้านความปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการให้การกับศาลอย่างต่อเนื่องกับการสืบสวนคดีทุจริตซึ่งเป็นคำร้องที่นายบาร์ยื่น

    เขาเตือนถึงความเป็นไปได้ว่า ชิน เบตจะกลายเป็นตำรวจสายลับที่ระบุว่า การเพิกเฉยส่ง “ข้อความที่ชัดเจนต่อคำสั่งทั้งหมดของชิน เบต รวมถึงผู้นำคนต่อไปว่า หากพวกเขาเสียประโยชน์ในกลุ่มผู้มีตำแหน่งทางการเมือง การถอดถอนจะต้องได้รับการหารือในที่ประชุมทันที”

    ชาวอิสราเอลประท้วงทุกสัปดาห์ตั้งแต่ที่เขาออกคำสั่งให้กลับมาปฏิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซ่าอีกครั้ง ผู้ประท้วงหลายคนเรียกร้องถึงข้อตกลงหยุดยิงเพื่อให้ยังมีการปล่อยตัวประกันที่ยังอยู่

    การกลับมาปฏิบัติการโจมตีเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะมีการพิจารณาคดีทุจริตของนายเนทันยาฮูที่เขาต้องเข้าแสดงหลักฐาน

    อิสราเอลถูกบังคับให้ตกลงในข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮามาสจากความผิดพลาดของประเทศที่ไม่สามารถบรรลุจุดประสงค์ของการทำสงครามรวมถึง “การกวาดล้าง” กลุ่มฮามาสหรือการปล่อยตัวประกัน

    ข้อตกลงหยุดยิงเป็นเวลา 42 วันที่เกิดความเสียหายจากการโจมตีอย่างรุนแรงของอิสราเอลหมดอายุเมื่อวันที่ 1 มีนาคม

    https://www.presstv.ir/Detail/2025/04/07/745730/Gantz-Israel-Netanyahu-crossed-all-limits-

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)**
    ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า
    https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    11-04-68/01 : หมี CNN / ลงจากหลังหมา ก็ยิ่งหมากว่าเดิมสิจ๊ะ? ทำไมมันจะไม่รู้ตัว โดนเป็นแพะรับบาป หนีคุก หนีคดี หนีนักล่าทั่วโลก ใครมันจะยอมปล่อยเก้าอี้กันล่ะ? อีกไม่นาน เยรูซาเล็มก็สิ้นแล้ว เขาเชิญให้มรึงออกไปให้พ้นดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ ยิ่งสู้ ยิ่งตายห่า ยิ่งห้าวเป้ง ยิ่งฉิบหายหนักกว่าเดิม บรรดาชาติมหาอำนาจ(เก่า) ทั้งสหรัฐ และชาตินาโต้ เสียหมาหนัก โดนเยเมนถล่มกลับอย่างหมา ไม่มีปัญญาจะหยุดใครได้อีกแล้ว มรึงมันตกยุคไปแล้ว ยังเสือก EGO แรงไม่เลิก อาวุธที่เคยภาคภูมิใจเมื่อ 20 ปีก่อน ตอนนี้ แค่ "ขี้หมา ของเด็กเล่น" นวตกรรมใหม่ไม่มี เงินทุนไม่พอ กำลังสำรองไม่เหลือ คลังแสงเกลี้ยง มิน่า รัสเซีย จีน แทบไม่ต้องทำเหี้ยอาไยเลย แค่รอมรึงตายไปเอง ช่วงสูญญากาศ ยิ่งทำให้ศัตรูของยิวเหี้ยไซออนนิสต์แข็งแกร่งขึ้นมาก เติมอาวุธกันอย่างเมามันส์ ผลิตจัดส่งแบบทุกสัปดาห์ ผลิตแบบ NON STOP 24 ชม. ทั้งมอสโคว์ เปียงยาง เตหะราน มรึงยังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่? ยื้อคือสิ้นชาติ หากตื่นตัว ยอมแพ้ตอนนี้ ยังพอมีเหลือบ้าง เพราะขั้วใหม่เค้าจะดูดมรึงไปจนกว่าจะสิ้นแผ่นดิน ใครโง่กันแน่? ใครมองดูก็รู้ สุดท้ายเยรูซาเล็มก็ต้องแตก โยกย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ เหมือนที่เคยทำมานับ 1000 ปี แนวร่วมไม่เหลือ ย้ายขั้วกันหมดแล้ว เอาตัวรอด ก็โยนบาปให้อีเนรคุณทันยา ฟอกตัวใหม่สิน่ะ แต่โลกไม่ให้อภัยมรึงไปนานแล้ว เค้าจะล่อมรึงจนกว่าจะตายห่าสิ้นโลก หนีไปอเมริกาเหนือซะ ที่ที่มรึงควรจะอยู่ ดินแดนต้องคำสาป เฉพาะเหี้ยเท่านั้นที่อยู่ได้ ไม่ว่ามรึงจะเปลี่ยนผู้นำไปอีกซัก 100 ตัว นโยบายเหี้ยระยำสลัดหมาก็ไม่เคยเปลี่ยน เค้าไม่ขี่ช้างไล่จับตั๊กกะแตนอย่างมรึงดอก ล้างบาง ล้างโคตรเท่านั้น ถึงจะเกิดสันติสุขได้จริง ยิวไม่ตาย โลกไม่มีวันสงบสุข สโลแกนที่ทั้งโลกมอบให้มรึงไงล่ะ? การหยุดยิง ทำให้อียิวประเมินสถานการณ์ใหม่ ฝ่ายต่อต้านเติบโตแข็งแกร่งขึ้นเยอะ จากนี้ มรึงจะบุกเหี้ยอะไรได้อีก มีแต่โดนเค้าถล่มกลับยับ เพราะฮามาสเข้าถึงทุกพื้นที่ได้หมดแล้ว ด้วยอุโมงค์ลับนินจากฮาโตริ โผล่ได้ทุกจุด ไปได้ทุกที่ สมกับที่อดทนรอ ขุดแม่งมากว่า 20 ปี ความตั้งใจ และมุ่งมั่นของชาวปาเลสไตน์ ทำให้อียิวต้องกลายเป็นหมาในวันนี้ จะกฎหมายอะไรก็เท่านั้น ในเมื่อผู้บังคับใช้กฎหมายเป็นได้แค่ขี้ข้ารองตรีนอีเยรูซาเล็ม ดังนั้น ชาวโลก โลกอาหรับจึงมีแค่มติเดียว คือขับไล่เหี้ยออกไปให้พ้น อย่าให้มีเหลือแม้แต่ตัวเดียว ถูกย่างสดแน่มรึง! ทุกวันนี้ ยังยิงกันอยู่ไม่สิ้นสุด แค่ข่าวไม่ออก เพราะผู้คนเบื่อหน่าย มรึงจะรบต่อเพื่อ? แพ้ยับซะขนาดนั้น เอาที่มรึงสบายใจ เพราะสุดท้ายแล้ว อาจจะไม่มี ไอ้อียิวหน้าไหนได้ออกไปจากแผ่นดินคานาอันอีกตลอดกาลเลยก็ได้ ตายห่ากันให้หมด ไอ้ที่อพยผหนีไปนับ 10 ล้านตัวก่อนหน้า กระจายไปตามยุโรป อาเซียน อเมริกาเหนือ หมดแล้ว แต่อย่าคิดว่ารอด ที่ไหนมีชุมชนยิว ที่นั่นมีเฮซบอเลาะห์ตามไปเยี่ยมเยียนเสมอ เพราะมอสสาด คือขนมกรุบ(ของกินเล่น)ของนักล่าอาหรับตอนนี้ไงล่ะ? Israel’s Netanyahu crossed all limits to stay in power: Gantz เบนนี่ แกนซ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี Netanyahu เนทันยาฮู ทำทุกทางเพื่อให้ยังมีอำนาจ ------------------------------------------------------------------------— RONIN500(Admin Nidnoi) แปลโดย นิดหน่อย : เบนนี่ แกนซ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี Netanyahu เนทันยาฮู ทำทุกทางเพื่อให้ยังมีอำนาจ ผู้นำฝ่ายค้านเบนนี่ แกนซ์โจมตีนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูว่า เขาทำทุกทางเพื่อให้ยังมีอำนาจ จากการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Yedioth Aharonoth ประธานพรรค National Unity ระบุว่า นายเนทันยาฮู “สละทุกข้อจำกัดที่เป็นไปได้” เขากล่าว่า นายเนทันยาฮู“ทำทุกอย่างเพื่อให้ยังอยู่ในรัฐบาล” อย่างไรก็ตาม เขาระบุว่า การกระทำของนาย Netanyahu เนทันยาฮุจะไม่ช่วยให้เขาอยู่รอดทางการเมือง คณะรัฐมนตรีอิสราเอลลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ให้ไล่นายโรเนน บาร์ ผู้อำนวยการสำนักงานสืบสวน ชิน เบต ที่อ้างถึงความผิดพลาดของสำนักงานที่คาดการณ์การโจมตีของกลุ่ม Al-Aqsa ในปี 2023 แต่ศาลสูงสุดชะลอการตัดสินคดีจนถึงวันที่ 8 เมษายน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตามจดหมายถึง “ศาลยุติธรรมสูงสุด” นายบาร์ระบุว่า นายเนทันยาฮูเรียกร้องว่า เขาออกความเห็นที่อ้างถึงความกังวลด้านความปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการให้การกับศาลอย่างต่อเนื่องกับการสืบสวนคดีทุจริตซึ่งเป็นคำร้องที่นายบาร์ยื่น เขาเตือนถึงความเป็นไปได้ว่า ชิน เบตจะกลายเป็นตำรวจสายลับที่ระบุว่า การเพิกเฉยส่ง “ข้อความที่ชัดเจนต่อคำสั่งทั้งหมดของชิน เบต รวมถึงผู้นำคนต่อไปว่า หากพวกเขาเสียประโยชน์ในกลุ่มผู้มีตำแหน่งทางการเมือง การถอดถอนจะต้องได้รับการหารือในที่ประชุมทันที” ชาวอิสราเอลประท้วงทุกสัปดาห์ตั้งแต่ที่เขาออกคำสั่งให้กลับมาปฏิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซ่าอีกครั้ง ผู้ประท้วงหลายคนเรียกร้องถึงข้อตกลงหยุดยิงเพื่อให้ยังมีการปล่อยตัวประกันที่ยังอยู่ การกลับมาปฏิบัติการโจมตีเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะมีการพิจารณาคดีทุจริตของนายเนทันยาฮูที่เขาต้องเข้าแสดงหลักฐาน อิสราเอลถูกบังคับให้ตกลงในข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮามาสจากความผิดพลาดของประเทศที่ไม่สามารถบรรลุจุดประสงค์ของการทำสงครามรวมถึง “การกวาดล้าง” กลุ่มฮามาสหรือการปล่อยตัวประกัน ข้อตกลงหยุดยิงเป็นเวลา 42 วันที่เกิดความเสียหายจากการโจมตีอย่างรุนแรงของอิสราเอลหมดอายุเมื่อวันที่ 1 มีนาคม https://www.presstv.ir/Detail/2025/04/07/745730/Gantz-Israel-Netanyahu-crossed-all-limits- ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)** ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    WWW.PRESSTV.IR
    Israel’s Netanyahu crossed all limits to stay in power: Gantz
    Israeli opposition leader Benny Gantz has slammed prime minister Benjamin Netanyahu, saying he crossed all limits to remain in power.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1180 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำหรับ 29 โครงการ ที่ DSI เปิดรายชื่อออกมามีดังนี้ คือ1.อาคารพักอาศัยสูง 32 ชั้น ชุมชนดินแดง การเคหะแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร วงเงิน 807 ล้านบาท2.ศูนย์เรียนรู้และพัฒนาสุขภาพวะผู้สูงอายุแบบครบวงจร โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพมหานคร วงเงิน 563 ล้านบาท3.เปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ถนนอรุณอมรินทร์-บรมราชชนนี-พรานนก การไฟฟ้านครหลวง กรุงเทพมหานคร วงเงิน 1,261 ล้านบาท4.อาคารที่ทำการสถานีตำรวจ สน.สุทธิสาร กรุงเทพมหานคร วงเงิน 139 ล้านบาท5.อาคารบ้านพักส่วนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ลือชา) กรุงเทพมหานคร วงเงิน 231 ล้านบาท6.อาคารที่ทำการศาลแรงงานกลาง สำนักงานศาลยุติธรรม กรุงเทพมหานคร วงเงิน 467 ล้านบาท7.ระบบรวบรวมน้ำเสียเพิ่มเติม ริมคลองแสนแสบ กรุงเทพมหานคร วงเงิน 541 ล้านบาท8.วางท่อประปาและงานที่เกี่ยวข้อง การประปานครหลวง กรุงเทพมหานคร วงเงิน 347 ล้านบาท9.อาคารที่ทำการศาลแพ่งมีนบุรีและศาลอาญามีนบุรี สำนักงานศาลยุติธรรม กรุงเทพมหานคร วงเงิน 782 ล้านบาท10.หอพักนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต วงเงิน 129 ล้านบาท11.ทาวน์โฮมสองชั้น โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนจังหวัดภูเก็ต วงเงิน 343 ล้านบาท12.อาคารการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดภูเก็ต วงเงิน 210 ล้านบาท13.อาคารชุดพักอาศัยข้าราชการตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค 9 จังหวัดสงขลา วงเงิน 386 ล้านบาท14.อาคารผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุโรงพยาบาลสงขลา วงเงิน 424 ล้านบาท15.อาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ท่าอากาศยานนราธิวาส วงเงิน 639 ล้านบาท16.งานเสริมเสถียรภาพและป้องกันน้ำท่วมตามแนวคลองประปาจังหวัดปทุมธานี วงเงิน 194 ล้านบาท17.ระบบป้องกันน้ำท่วมบริเวณโดยรอบสถานีสูบน้ำดิบสำแล จังหวัดปทุมธานี วงเงิน 372 ล้านบาท18.สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) จังหวัดนนทบุรี วงเงิน 716 ล้านบาท19.อาคารคลังพัสดุสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพมหานคร วงเงิน 146 ล้านบาท20.อาคารกองบังคับการ กรมพลาธิการทหารเรือ กรุงเทพมหานคร วงเงิน 179 ล้านบาท21.สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) กรุงเทพมหานคร วงเงิน 2,136 ล้านบาท22.อาคารเรียนและสิ่งปลูกสร้างของโรงเรียนวัดอัมรินทราราม กรุงเทพมหานคร วงเงิน 160 ล้านบาท23.อาคารสถาบันวิชาการ (PEA ACADEMY) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จังหวัดนครปฐม วงเงิน 606 ล้านบาท24.อาคารหอพักบุคลากรกางการแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย วงเงิน468 ล้านบาท25.ศูนย์ราชการจังหวัดแพร่ วงเงิน 540 ล้านบาท26.การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) วงเงิน 608 ล้านบาท27.แขวงทางหลวงชนบทสุพรรณบุรี วงเงิน 10.7 ล้านบาท28.แขวงทางหลวงชนบทสุพรรณบุรี วงเงิน 9.9 ล้านบาท29.รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา วงเงิน 9,348 ล้านบาท
    สำหรับ 29 โครงการ ที่ DSI เปิดรายชื่อออกมามีดังนี้ คือ1.อาคารพักอาศัยสูง 32 ชั้น ชุมชนดินแดง การเคหะแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร วงเงิน 807 ล้านบาท2.ศูนย์เรียนรู้และพัฒนาสุขภาพวะผู้สูงอายุแบบครบวงจร โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพมหานคร วงเงิน 563 ล้านบาท3.เปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ถนนอรุณอมรินทร์-บรมราชชนนี-พรานนก การไฟฟ้านครหลวง กรุงเทพมหานคร วงเงิน 1,261 ล้านบาท4.อาคารที่ทำการสถานีตำรวจ สน.สุทธิสาร กรุงเทพมหานคร วงเงิน 139 ล้านบาท5.อาคารบ้านพักส่วนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ลือชา) กรุงเทพมหานคร วงเงิน 231 ล้านบาท6.อาคารที่ทำการศาลแรงงานกลาง สำนักงานศาลยุติธรรม กรุงเทพมหานคร วงเงิน 467 ล้านบาท7.ระบบรวบรวมน้ำเสียเพิ่มเติม ริมคลองแสนแสบ กรุงเทพมหานคร วงเงิน 541 ล้านบาท8.วางท่อประปาและงานที่เกี่ยวข้อง การประปานครหลวง กรุงเทพมหานคร วงเงิน 347 ล้านบาท9.อาคารที่ทำการศาลแพ่งมีนบุรีและศาลอาญามีนบุรี สำนักงานศาลยุติธรรม กรุงเทพมหานคร วงเงิน 782 ล้านบาท10.หอพักนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต วงเงิน 129 ล้านบาท11.ทาวน์โฮมสองชั้น โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนจังหวัดภูเก็ต วงเงิน 343 ล้านบาท12.อาคารการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดภูเก็ต วงเงิน 210 ล้านบาท13.อาคารชุดพักอาศัยข้าราชการตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค 9 จังหวัดสงขลา วงเงิน 386 ล้านบาท14.อาคารผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุโรงพยาบาลสงขลา วงเงิน 424 ล้านบาท15.อาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ท่าอากาศยานนราธิวาส วงเงิน 639 ล้านบาท16.งานเสริมเสถียรภาพและป้องกันน้ำท่วมตามแนวคลองประปาจังหวัดปทุมธานี วงเงิน 194 ล้านบาท17.ระบบป้องกันน้ำท่วมบริเวณโดยรอบสถานีสูบน้ำดิบสำแล จังหวัดปทุมธานี วงเงิน 372 ล้านบาท18.สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) จังหวัดนนทบุรี วงเงิน 716 ล้านบาท19.อาคารคลังพัสดุสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพมหานคร วงเงิน 146 ล้านบาท20.อาคารกองบังคับการ กรมพลาธิการทหารเรือ กรุงเทพมหานคร วงเงิน 179 ล้านบาท21.สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) กรุงเทพมหานคร วงเงิน 2,136 ล้านบาท22.อาคารเรียนและสิ่งปลูกสร้างของโรงเรียนวัดอัมรินทราราม กรุงเทพมหานคร วงเงิน 160 ล้านบาท23.อาคารสถาบันวิชาการ (PEA ACADEMY) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จังหวัดนครปฐม วงเงิน 606 ล้านบาท24.อาคารหอพักบุคลากรกางการแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย วงเงิน468 ล้านบาท25.ศูนย์ราชการจังหวัดแพร่ วงเงิน 540 ล้านบาท26.การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) วงเงิน 608 ล้านบาท27.แขวงทางหลวงชนบทสุพรรณบุรี วงเงิน 10.7 ล้านบาท28.แขวงทางหลวงชนบทสุพรรณบุรี วงเงิน 9.9 ล้านบาท29.รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา วงเงิน 9,348 ล้านบาท
    Angry
    1
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1050 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนง.ศาลยุติธรรมแจง เสาเข็มก่อสร้างอาคารศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญามีนบุรี ล้มเอียง เป็นภาพเก่า เมื่อปี 2566 จากการขุดดินมากองไว้ด้านข้างเสาเข็ม แล้วฝนตกทำให้เสาล้มเอียง ไม่เกี่ยวเหตุการณ์แผ่นดินไหว

    วันนี้ (3 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กสื่อศาล ของสำนักงานศาลยุติธรรม ได้ชี้แจงว่า ตามที่มีภาพและข่าวในสื่อออนไลน์ว่า เสาเข็มอาคารที่ทำการศาลแพ่งมีนบุรีและศาลอาญามีนบุรีที่อยู่ระหว่างก่อสร้างเอียงล้มเสียหายนั้น สำนักงานศาลขอชี้แจงว่า เป็นภาพเสาเข็มของอาคารดังกล่าวในช่วงเดือน ต.ค. 2566 สาเหตุเสาเข็มล้มเอียงเกิดจากขั้นตอนการขุดดินฐานรากลิฟต์ และนำดินมากองไว้รวมกันด้านข้างหลุมเข็มฐานรากทับถมสูงประมาณ 3 เมตร เมื่อฝนตกลงมาบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง ส่งผลให้เสาเข็มไม่สามารถรับน้ำหนักแรงดันของดินด้านข้างได้ จึงทำให้เสาเข็มเกิดการล้มเอียงเสียหายตามภาพข่าว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000031998

    #MGROnline #สำนักงานศาลยุติธรรม #อาคารศาลแพ่งมีนบุรี #ศาลอาญามีนบุรี
    สนง.ศาลยุติธรรมแจง เสาเข็มก่อสร้างอาคารศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญามีนบุรี ล้มเอียง เป็นภาพเก่า เมื่อปี 2566 จากการขุดดินมากองไว้ด้านข้างเสาเข็ม แล้วฝนตกทำให้เสาล้มเอียง ไม่เกี่ยวเหตุการณ์แผ่นดินไหว • วันนี้ (3 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กสื่อศาล ของสำนักงานศาลยุติธรรม ได้ชี้แจงว่า ตามที่มีภาพและข่าวในสื่อออนไลน์ว่า เสาเข็มอาคารที่ทำการศาลแพ่งมีนบุรีและศาลอาญามีนบุรีที่อยู่ระหว่างก่อสร้างเอียงล้มเสียหายนั้น สำนักงานศาลขอชี้แจงว่า เป็นภาพเสาเข็มของอาคารดังกล่าวในช่วงเดือน ต.ค. 2566 สาเหตุเสาเข็มล้มเอียงเกิดจากขั้นตอนการขุดดินฐานรากลิฟต์ และนำดินมากองไว้รวมกันด้านข้างหลุมเข็มฐานรากทับถมสูงประมาณ 3 เมตร เมื่อฝนตกลงมาบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง ส่งผลให้เสาเข็มไม่สามารถรับน้ำหนักแรงดันของดินด้านข้างได้ จึงทำให้เสาเข็มเกิดการล้มเอียงเสียหายตามภาพข่าว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000031998 • #MGROnline #สำนักงานศาลยุติธรรม #อาคารศาลแพ่งมีนบุรี #ศาลอาญามีนบุรี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 410 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลยุติธรรมสุดทน
    กิจการร่วมค้าฯ สร้าง 2 อาคารล่าช้า รวมกันเกิน 1 พันวัน
    อาจเปิดประมูลหาผู้สร้างรายใหม่
    #7ดอกจิก
    ศาลยุติธรรมสุดทน กิจการร่วมค้าฯ สร้าง 2 อาคารล่าช้า รวมกันเกิน 1 พันวัน อาจเปิดประมูลหาผู้สร้างรายใหม่ #7ดอกจิก
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพจสื่อศาล ของศาลยุติธรรม ชี้แจง อาจเปิดประมูลหาผู้ก่อสร้างรายใหม่ หลังกิจการร่วมค้าฯ สร้าง 2 โครงการล่าช้า รวมเวลา 2 โครงการ ล่าช้ามากกว่า 1 พันวัน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    เพจสื่อศาล ของศาลยุติธรรม ชี้แจง อาจเปิดประมูลหาผู้ก่อสร้างรายใหม่ หลังกิจการร่วมค้าฯ สร้าง 2 โครงการล่าช้า รวมเวลา 2 โครงการ ล่าช้ามากกว่า 1 พันวัน #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts