• **“ฉลาดทางโลก…อาจนำพาลงเหว

    แต่ฉลาดทางธรรม…เท่านั้น ที่พาข้ามพ้น”**

    เกิดเป็นมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องฟลุก
    ไม่ใช่แค่เพราะฟ้าลิขิต
    แต่เป็นเพราะ…บุญตกแต่งมาแล้ว

    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ปุณณกมาณวกปัญหา ว่า

    > ความเป็นมนุษย์จะเกิดขึ้นไม่ได้
    หากกรรมที่เคยทำมา
    เกิดจากโลภะ โทสะ โมหะล้วนๆ

    นั่นหมายความว่า

    > แม้จะหลง แม้จะผิด
    แต่ต้องมีช่วงหนึ่งที่ใจเรา “ตั้งมั่นเพื่อความดี”
    ถึงได้อาศัยจังหวะนั้นกลับมาเกิดเป็นคนอีกครั้ง

    ---

    บุญแต่งความฉลาดได้…แต่ฉลาดแบบไหน?

    คนฉลาดในโลกมีเยอะ
    แต่คนฉลาดเพื่อออกจากทุกข์…มีน้อย

    บางคนใช้ความฉลาดระดับอัจฉริยะ
    คิดค้นเครื่องมือหลอกลวง ขายของลวงโลก
    โกงคนเป็นร้อยเป็นพันจนร่ำรวยมหาศาล
    นั่นคือฉลาดแบบโลกจัด แต่ ไม่ฉลาดแบบธรรมเลย

    ยิ่งน่าหดหู่เมื่อเห็นคนฉลาดระดับหัวกะทิ
    อุทิศทั้งชีวิตให้กับการสร้างอาวุธล้างเผ่าพันธุ์
    ทั้งที่รู้ว่าผลงานของตนมีไว้เพื่อทำลาย ไม่ใช่สร้างสรรค์
    แต่เขากลับมองว่านั่นคือ "ความสำเร็จในชีวิต"

    ลองคิดดูเถิด...
    สมองดี แต่ใช้สร้างนรกไว้ล่วงหน้าให้ตัวเอง

    > นั่นไม่ใช่ ‘ผู้รู้’
    แต่คือ ‘ผู้หลงในความฉลาดของตนเอง’

    ---

    ฉลาดจริง…ต้องรู้ว่าความดีคือเส้นทางรอด

    แม้เกิดมาแล้วมีปัญญา
    หากใช้ปัญญาในทางผิดซ้ำๆ
    มันจะกลายเป็นพันธะ
    ดึงให้วนเวียนกลับไปทำบาปแบบเดิมอีกครั้ง

    > เว้นแต่ชาตินี้จะมีโอกาส
    ได้เห็นแสงธรรมของพระพุทธเจ้า
    ได้รู้ว่า ความฉลาดที่แท้คือการรู้ว่า
    อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ

    และเลือกเดินในทางที่ปลอดภัยจากบาป

    ---

    บทสรุปของการเป็น “ผู้ฉลาดทางธรรม”

    > คนฉลาดทางโลก…อาจรวยล้นฟ้า แต่ล้มเหลวทางใจ
    คนฉลาดทางธรรม…อาจเรียบง่ายแต่ใจกว้างใหญ่เกินวัดได้

    และคนที่รู้ทันว่า ความฉลาดใดนำไปสู่นรก
    ย่อมไม่อวดฉลาดแบบเดิม

    เขาจะใช้ปัญญาที่มี สร้างบุญใหม่
    และค่อยๆถอนตัวออกจากเส้นทางกรรมเก่า

    จนวันหนึ่ง ความฉลาดนั้น
    พาเขาพ้นจากทุกข์ได้จริง
    **“ฉลาดทางโลก…อาจนำพาลงเหว แต่ฉลาดทางธรรม…เท่านั้น ที่พาข้ามพ้น”** เกิดเป็นมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องฟลุก ไม่ใช่แค่เพราะฟ้าลิขิต แต่เป็นเพราะ…บุญตกแต่งมาแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ปุณณกมาณวกปัญหา ว่า > ความเป็นมนุษย์จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากกรรมที่เคยทำมา เกิดจากโลภะ โทสะ โมหะล้วนๆ นั่นหมายความว่า > แม้จะหลง แม้จะผิด แต่ต้องมีช่วงหนึ่งที่ใจเรา “ตั้งมั่นเพื่อความดี” ถึงได้อาศัยจังหวะนั้นกลับมาเกิดเป็นคนอีกครั้ง --- บุญแต่งความฉลาดได้…แต่ฉลาดแบบไหน? คนฉลาดในโลกมีเยอะ แต่คนฉลาดเพื่อออกจากทุกข์…มีน้อย บางคนใช้ความฉลาดระดับอัจฉริยะ คิดค้นเครื่องมือหลอกลวง ขายของลวงโลก โกงคนเป็นร้อยเป็นพันจนร่ำรวยมหาศาล นั่นคือฉลาดแบบโลกจัด แต่ ไม่ฉลาดแบบธรรมเลย ยิ่งน่าหดหู่เมื่อเห็นคนฉลาดระดับหัวกะทิ อุทิศทั้งชีวิตให้กับการสร้างอาวุธล้างเผ่าพันธุ์ ทั้งที่รู้ว่าผลงานของตนมีไว้เพื่อทำลาย ไม่ใช่สร้างสรรค์ แต่เขากลับมองว่านั่นคือ "ความสำเร็จในชีวิต" ลองคิดดูเถิด... สมองดี แต่ใช้สร้างนรกไว้ล่วงหน้าให้ตัวเอง > นั่นไม่ใช่ ‘ผู้รู้’ แต่คือ ‘ผู้หลงในความฉลาดของตนเอง’ --- ฉลาดจริง…ต้องรู้ว่าความดีคือเส้นทางรอด แม้เกิดมาแล้วมีปัญญา หากใช้ปัญญาในทางผิดซ้ำๆ มันจะกลายเป็นพันธะ ดึงให้วนเวียนกลับไปทำบาปแบบเดิมอีกครั้ง > เว้นแต่ชาตินี้จะมีโอกาส ได้เห็นแสงธรรมของพระพุทธเจ้า ได้รู้ว่า ความฉลาดที่แท้คือการรู้ว่า อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ และเลือกเดินในทางที่ปลอดภัยจากบาป --- บทสรุปของการเป็น “ผู้ฉลาดทางธรรม” > คนฉลาดทางโลก…อาจรวยล้นฟ้า แต่ล้มเหลวทางใจ คนฉลาดทางธรรม…อาจเรียบง่ายแต่ใจกว้างใหญ่เกินวัดได้ และคนที่รู้ทันว่า ความฉลาดใดนำไปสู่นรก ย่อมไม่อวดฉลาดแบบเดิม เขาจะใช้ปัญญาที่มี สร้างบุญใหม่ และค่อยๆถอนตัวออกจากเส้นทางกรรมเก่า จนวันหนึ่ง ความฉลาดนั้น พาเขาพ้นจากทุกข์ได้จริง
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • พวกกบฏแบ่งแยกดินแดนยังคงตะแบงอย่างข้างๆ คูๆ และดูเหมือนคำอธิบายที่ผมพยายามเขียนอยู่หลายครั้งก็ดูจะไม่ค่อยไปถึงไหนไกล นี่คือวิทยาศาสตร์ที่ไม่อาจโต้แย้ง และมีแต่ประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องเท่านั้นที่จะพ้องกับวิทยาศาสตร์นี้อย่างลงตัว
    .
    หนึ่งในเรื่องราวที่มีคนรู้น้อยมาก อันที่จริงต้องพูดว่าคนส่วนใหญ่ไม่แยแสสนใจ เป็นเรื่องของชาวเล หรือที่มีชื่อว่าโอรังลาโว้ย (บ้างเรียก อูรักลาโว้ย) เป็นหนึ่งในชนพื้นเมืองเก่าแก่ที่เรียกว่า "โอรังอัสลิ" ที่ซึ่งอันที่จริงเป็นญาติข้างพี่จากสายพันธุ์ที่เป็นบรรพบุรุษของผู้คนในอุษาคเนย์และเกาะแก่งในอุษาสมุทรแทบทั้งหมด.
    .
    Orang หรือ โอรัง มาจากภาษามาเลย์ แปลว่า คน / Asli หรือ อัสลิ แปลว่า เก่าแก่ ดั้งเดิม. โอรังอัสลิ หมายถึง คนดั้งเดิม มีความหมายตามคำเช่นนั้นตามความเป็นจริง ในอุษาคเนย์ตอนกลางจนจรดคาบสมุทรมาเลย์และเกาะในอุษาสมุทร นอกจากพวกปาปัวและออสโตรอะบอริจิ้นแล้ว ไม่มีใครมีดีเอ็นเอเก่าแก่ไปกว่าพวกโอรังอัสลิ พวกที่มี time stamp ในดีเอ็นเอเก่าที่สุดเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในซาบาห์ เกาะบอร์เนียว
    .
    โอรังอัสลิประกอบด้วยชนเผ่ามากมาย ในประเทศไทยมีพวก โอรังลาโว้ย เซมัง มานิ.. อาศัยอยู่ในภาคใต้ ในประเทศมาเลเซีย มีพวกโอรังกัวลา โอรังคานาค จาคุน เตมูน เซเมไล...ฯ ชนพื้นเมืองหลายเผ่าปรับตัวเป็นคนเมืองเรียกรวมๆ ว่าเซนอย ซึ่งท้ายที่สุดกลายเป็นประชากรชาวมาเลย์ทั่วไป มีพวก เตมีอาร์ เชไม เซมัคบารี จาห์ฮัท มะห์เมรี...ฯ ในประเทศอินโดนีเซียมีพวก ดยัค...ฯ ในประเทศฟิลิปปินส์มีพวก บอนทอค อิฟูเกา...ฯ ในฟอร์โมซาหรือไต้หวันมีพวก อตายาล พูยูมะ...ฯ และที่คาดไม่ถึงคือบางส่วนบนเกาะโอกินาวา
    .
    ชนพื้นเมืองเก่าแก่ในประเทศไทยหลายพวกก็เป็นเชื้อสายอัสเลียน เช่น พวกมอญ พวกลั๊วะ (ข่าว้า, ละว้า) พวกข่าหลายเผ่าที่มีชื่อเรียกต่างกันไปเช่น กัมมุ มลาบรี..
    .
    ชนเผ่าพวกนี้ถือเป็นบรรพบุรุษของคนเอเชียที่อาศัยในเมนแลนด์อุษาคเนย์อย่างเรา
    .
    ไม่เพียงเท่านั้น ตอนที่บรรพบุรุษพวกนี้มาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นกว่าปีก่อน มีมนุษย์ที่เดินทางมาถึงก่อนแล้ว คือพวกอะบอริจิ้นิสท์ พวกนี้มาถึงซุนดาตั้งแต่เมื่อห้าหมื่นปีก่อน ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบผู้หญิงอะบอริจิ้นเลือกบรรพบุรุษอัสเลียนเป็นพ่อพันธุ์ บีบให้ผู้ชายอะบอริจิ้นกระจายออกจากเมนแลนด์ซุนดาไปสู่เกาะแก่งโดยรอบในอุษาสมุทร ด้วยเหตุที่คนเอเชียมีแม่พันธ์ใหญ่ถึงสี่สาแหรก ทำให้ประชากรชาวเอเชียขยายตัวไปมากกว่าสาแหรกครอบครัวใดในโลก เฉพาะมนุษย์ผู้ชาย มีจำนวนมากกว่า 75% ของชายชาวเอเชียในปัจจุบัน ใน 75% นี้ รวมถึงผู้ชายชาวจีนที่เป็นส่วนหนึ่งของประชากรโลกจำนวน 1400 ล้านคน ลองคิดดูว่าคนเอเชียจะมีจำนวนเท่าไหร่ในโลกนี้?
    .
    ที่อธิบายนี่ ต้องการให้เห็นภาพว่า
    ผู้คนในอุษาคเนย์ส่วนใหญ่ มีเชื้อทางพ่อเป็นโอรังอัสลิ และมีเชื้อทางแม่เป็นอะบอริจินิสท์ ดังนั้นหากมีคนใดก็ตามที่ดูถูกเหยียดหยามข่มเหงรังแกคนพื้นเมืองพวกนี้ ให้รู้ไว้เถอะว่า พวกแกกำลังรังแกโคตรพ่อโคตรแม่ของพวกแก
    .
    ผมยกเอาภาพจากหนังสือของอาจารย์ประทีป ชุมพล เรื่อง "เสียงเพรียกจากท้องน้ำ" มาโพสตรงนี้ ก็เพราะโศกนาฏกรรมที่มีต่อชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นบรรพบุรุษเราพวกนี้ถูกรังแกและเหยียดหยามเรื่อยมาจนทุกวันนี้ และคนที่เรียกตนเองว่ามาเลย์นี่แหละ มีไม่น้อยที่มีส่วนในการข่มเหงนี้ อ.ประทีป เขียนหนังสือเล่มนี้ในลักษณะนิยายที่สะท้อนความจริงที่น่าเศร้าซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว และยังคงดำเนินต่อไป
    .
    ตั้งแต่ราวรัชกาลที่หกมาถึงรัชกาลที่เจ็ดได้มีการจัดสรรที่ทำกินให้ชนเผ่าพวกนี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่จะต้องร่อนเร่อยู่กลางทะเล แต่ "คนเมือง" ที่ซึ่งผมได้เกริ่นไปแต่ต้นว่าที่จริงเป็นพี่น้องลูกหลานมาแต่ชนเผ่าเหล่านี้ทั้งนั้น กลับใช้เล่ห์กลเอาเปรียบและแย่งชิงที่ดินของพวกเขาไป ซึ่งมันได้นำพาไปสู่โศกนาฏกรรมในที่สุด เมื่อชนพื้นเมืองพวกนี้กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งต้องคับแค้นใจจนพากันออกไปฆ่าตัวตายกลางทะเล อ.ประทีปได้กลั่นกรองความรู้สึกจากเรื่องราวเหล่านี้ถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือชื่อ เสียงเพรียกจากท้องน้ำ
    .
    นี่คือเหตุที่ทำไมผมตั้งคำถามกับพวกโจรแยกดินแดนที่ซึ่งล้วนเป็นเซนอยที่มาจากโอรังอัสลิทั้งสิ้นว่า.. แทนที่จะมาทำตัวเป็นอาหรับพลัดถิ่นหรือคนมาเลเซียพลัดถิ่น ถามว่าพวกแกปฏิบัติเช่นไรกับโคตรพ่อโคตรแม่ของพวกแกเหล่านี้? พวกแกได้ดูถูกกดขี่เหยียดหยามแย่งที่ทำกินพวกเขาหรือไม่ เคยเป็นห่วงต่อสู้สิทธิในความเป็นมนุษย์และสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของแผ่นดินแต่ดั้งเดิมของพวกเขาหรือไม่? ทำไมไม่เรียกร้อง..."คืนแผ่นดินให้เซมัง....คืนแผ่นดินให้มอเกน????"
    .
    ยังมีไอ้พวกโง่ตอแหลจากสำนักอีซิ่มพร พวกไอ้เฒ่าจิตตก ออกมาตีสำนวนอีกว่า ชาวมลายูอยู่มาก่อนสยาม โพสนี้ตอบคำถามทุกอย่างตามที่เล่า จงถอยกลับไปก่อนการมีประเทศมาเลเซียหรือแม้แต่เมืองท่ามะละกา เมืองท่าปัตตานี... บรรพบุรุษมนุษย์พวกหนึ่งที่จะพัฒนาเป็นคนในเมนแลนด์อุษาคเนย์และเกาะในอุษาสมุทร คนพวกนี้พูดภาษาอัสเลียน ผสมพันธุ์กับพวกออสโตรอะบอริจิ้น ทำให้แตกเป็นภาษาออสโตรนีเชียน และเป็นมาลาโยโพลีนีเชียนตามเกาะแก่ง.. ผสมพันธุ์กับชนเผ่าอื่นๆ ในเมนแลนด์ตอนบนแตกแขนงเป็นออสโตเอเชียติกหรือมอญ-เขมร.. เป็นกรอบเวลาที่ยังไม่มีมนุษย์ที่เรียกว่าคนมาเลย์หรือคนมาลายูเลย ฝรั่งเป็นคนตั้งชื่อดินแดนแถบนี้ว่ามาลายาเมื่อเดินทางมาถึง ในห้วงเวลานั้นดินแดนแถบนั้นไม่มีชื่อหรอก เมื่อเขียนบนแผนที่ก็เลยเป็นที่มาให้เรียกพวกชนชาติแถบนี้รวมๆ ว่าคนมาลายา [แม้แต่จักรวรรดิจีนอันยิ่งใหญ่ในอดีตก็ไม่ได้เรียกอาณาจักรของตนว่า "จีน" พวกเขาเรียกดินแดนพวกเขาว่า จงกั๋ว (จงหยวน) แต่ฝรั่งเอาแซ่ราชวงศ์จิ๋น (ฉิน) ของจิ๋นซีหวงตี้มาเรียกเป็นชื่อว่าอาณาจักรจิ๋น แล้วเขียนบนแผนที่ทำให้ชาวโลกเรียกอาณาจักรจีนว่า China มาจนทุกวันนี้.. ที่จริงจีนใช้ตัวละตินเขียนว่า Qin แต่ออกเสียง ฉิน] โดยข้อเท็จจริงแล้วประวัติศาสตร์ไม่เคยมีประชาชนมาลายา-มาลายู หรือประเทศมาลายา-มาลายู ไปค้นประวัติศาสตร์ของทุกชาติในเอเชียได้ เช่น บันทึกจีนโบราณ เป็นต้น จะไม่มีบันทึกของชาติใดปรากฏชื่อที่มีสถานะเป็นอาณาจักรหรือประชาชนในชื่อมาลายา-มาลายูอยู่เลย (ใครเจอลองเอามาให้ดูหน่อย) นอกจากหัวเมืองชายแดนอันแยกกันเป็นเอกเทศหลายเมืองที่ล้วนเคยเป็นหัวเมืองประเทศราชของสยามมาก่อน ประเทศมาเลเซียเองเพิ่งปรากฏขึ้นในโลกหลังจากได้เอกราชจากการเป็นอิสระจากอาณานิคมอังกฤษ คนในพื้นที่คาบสมุทรนี้ในยุคก่อนมีราชอาณาจักรสยาม เรียกตัวเองว่า โอรังทั้งนั้น เช่นโอรังบูกิต โอรังเชไม โอรังจาฮัท ฯ... ฝรั่งมันไม่จำหรอก เยอะ.. มันเรียกง่ายๆ ว่าคนมาลายู (ดูแผนที่โบราณที่ผมโพสในคอมเม้นท์ข้างล่างแล้วอ่านคำอธิบาย) เพราะฉนั้น ไม่ใช่แค่คนในอินโด-มาเลเซียที่เป็นพวกอัสเลียน พวกที่เคยเป็นอาณาจักรศรีโพธิ์ อาณาจักรศรีวิชัย พวกศรีธรรมโศกราช พวกพริบพรี พวกละโว้ พวกทวารวดี (ซึ่งต่อมาเป็นพวกสยาม..) พวกมอญ พวกขอม พวกเขมร พวกจาม... ล้วนสืบเชื้อโอรังอัสลิและแม่อะบอริจิ้นมาทั้งนั้น คลานออกมาจากมดลูกเดียวกันทั้งคาบสมุทร!! (เบื่ออธิบายกับพวกแกจริงๆ)
    .
    จะบอกอะไรให้อย่างหนึ่ง ในอุษาคเนย์ มีชนพื้นเมืองพวกหนึ่งคือพวกข่าว้าหรือพวกลั๊วะ (บางทีเรียก ว้า ละว้า ล้า) จากผลตรวจดีเอ็นเอทุกชนเผ่าในมณฑลหยุนหนานโดยโปรเฟสเซอร์จินลี (นักวิทยาศาสตร์จีน) พวกข่าว้านี้มียีนเก่าที่สุด พอๆ กับพวกปู้ยี (จ้วงเหนือ). มีคำปรำปราอันหนึ่งของชนเผ่าไทกล่าวว่า "สางสร้างฟ้า ล้าสร้างเมือง" แปลว่า "เทวดาสร้างสวรรค์ พวกละว้าสร้างเมือง" ชนเผ่าไทยกย่องอย่างนี้ว่า ล้าสร้างเมือง... ตำนานน้ำเต้าปุงเล่าว่า สางบันดาลน้ำเต้าลูกมหึมาลงมา ปู่ลางเซิงเอาเหล็กแหลมแทงน้ำเต้าแล้วผู้คนก็ไหลกรูกันออกมา ข่าออกมาก่อน แล้วก็ลาว แล้วก็ไท นี่..ไทก็นับว่าข่าเป็นพี่ลาวเป็นพี่... มีตำนานไทอีกอันเรื่องข้าสี่แสนหมอนม้า ชนเผ่าไทโบราณรบกับพวกละว้าแล้วก็ยึดเมืองจากพวกละว้าได้ ทำให้มีประเพณีที่เมื่อจ้าวไททำพิธีขึ้นกินเมืองจะให้พวกละว้าขึ้นนั่งพระแท่นก่อน แล้วเจ้าไทจึงมาไล่ลง เสร็จแล้วค่อยนั่งครองพระแท่นแทน ธรรมเนียมนี้แสดงว่าคนไทยอมรับว่าล้าสร้างเมืองและเป็นใหญ่มาก่อน แต่เกือบพันปีที่ผ่านมาไม่เคยมีพวกละว้าขอแบ่งแยกดินแดนจากไท-ไทยเลยสักสมัย มีแต่พวกละว้าในพม่าที่เจรจาขอแยกจากการเป็นส่วนหนึ่งของพม่าตอนที่ทำสนธิสัญญาปางโหลงกับนายพลอองซาน. เรื่องของเรื่องก็คือ... ถอยไปอีก พวกนี้ก็มาจากโอรังอัสลิเช่นเดียวกับพวกเซนอยมาลายู แต่เก่ากว่าเป็นพันปี
    .
    เดินไปโรงพยาบาลแล้วขอตรวจดีเอ็นเอ ไอ้พวกโง่ แล้วแกจะได้เห็นว่าแกมีเชื้อเดียวกับเซมัง มอเกน. ในดีเอ็นเอมนุษย์มี time stamp อยู่ในสิ่งที่เรียกว่า genetic marker มันบอกอายุของดีเอ็นเอได้ว่าใครเก่ากว่ากัน และจะโยงพวกแกไปยังบรรพบุรุษเดียวกันในแอฟริกา ถึงตอนนั้นพวกแกจะแปลกใจว่าแกไม่ใช่คนมาลายูแล้ว แต่พวกแกเป็นคน "กอยซาน!!" เข้าใจไหม? คนอย่างไอ้เฒ่าจิตตกนั่นมันไม่รู้สี่รู้แปดอะไรหรอก เคยไปเล่าให้มันฟังแม่งนั่งอ้าปากหวอ
    .
    อย่างที่กล่าว
    คำว่า โอรังอัสลิ เป็นคำในภาษามาเลย์ของพวกแก แปลว่า คนดั้งเดิม
    พวกแกทำไมไม่สู้เพื่อพวกเขาบ้าง? นี่ต่างหาก คนดั้งเดิม
    แต่ไปที่ไหนก็ยังเห็นพวกแกดูถูกพวกเขาอยู่เสมอ
    หรือว่าลืมกำพืด อยากเป็นสุลต่านกัน?
    ถ้าพวกแกมีจิตวิญญาณของนักรบจริง
    ที่กาซ่า พี่น้องมุสลิมชาวปาเลสไตน์กำลังถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยพวกยิว
    ในฐานะมุสลิมด้วยกัน ไปสิ จับอาวุธแล้วไปต่อสู้เพื่อพวกเขา กล้าพอไหม?
    ไปชวนพี่น้องแกในมาเลเซียด้วย ถ้าที่นั่นยังมีนักรบนะ
    จิตสำนึกมุสลิมอันยิ่งใหญ่มีอยู่ไหมในมาเลเซีย
    พระเจ้าจะสรรเสริญพวกแกและรับพวกแกไปสู่ญันนะฮฺเมื่อได้สละชีพ
    คงไม่หรอก เพราะพวกแกฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กน้อยที่บริสุทธิ์
    ไม่ต่างอะไรกับพวกยิวอิสราเอล

    อัลลาฮฺอักบัร
    .
    #ปาตานี #แบ่งแยกดินแดน #คนมลายูอยู่มาก่อนสยาม #โอรังอัสลิ #โอรังลาโว้ย #เสียงเพรียกจากท้องน้ำ
    พวกกบฏแบ่งแยกดินแดนยังคงตะแบงอย่างข้างๆ คูๆ และดูเหมือนคำอธิบายที่ผมพยายามเขียนอยู่หลายครั้งก็ดูจะไม่ค่อยไปถึงไหนไกล นี่คือวิทยาศาสตร์ที่ไม่อาจโต้แย้ง และมีแต่ประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องเท่านั้นที่จะพ้องกับวิทยาศาสตร์นี้อย่างลงตัว . หนึ่งในเรื่องราวที่มีคนรู้น้อยมาก อันที่จริงต้องพูดว่าคนส่วนใหญ่ไม่แยแสสนใจ เป็นเรื่องของชาวเล หรือที่มีชื่อว่าโอรังลาโว้ย (บ้างเรียก อูรักลาโว้ย) เป็นหนึ่งในชนพื้นเมืองเก่าแก่ที่เรียกว่า "โอรังอัสลิ" ที่ซึ่งอันที่จริงเป็นญาติข้างพี่จากสายพันธุ์ที่เป็นบรรพบุรุษของผู้คนในอุษาคเนย์และเกาะแก่งในอุษาสมุทรแทบทั้งหมด. . Orang หรือ โอรัง มาจากภาษามาเลย์ แปลว่า คน / Asli หรือ อัสลิ แปลว่า เก่าแก่ ดั้งเดิม. โอรังอัสลิ หมายถึง คนดั้งเดิม มีความหมายตามคำเช่นนั้นตามความเป็นจริง ในอุษาคเนย์ตอนกลางจนจรดคาบสมุทรมาเลย์และเกาะในอุษาสมุทร นอกจากพวกปาปัวและออสโตรอะบอริจิ้นแล้ว ไม่มีใครมีดีเอ็นเอเก่าแก่ไปกว่าพวกโอรังอัสลิ พวกที่มี time stamp ในดีเอ็นเอเก่าที่สุดเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในซาบาห์ เกาะบอร์เนียว . โอรังอัสลิประกอบด้วยชนเผ่ามากมาย ในประเทศไทยมีพวก โอรังลาโว้ย เซมัง มานิ.. อาศัยอยู่ในภาคใต้ ในประเทศมาเลเซีย มีพวกโอรังกัวลา โอรังคานาค จาคุน เตมูน เซเมไล...ฯ ชนพื้นเมืองหลายเผ่าปรับตัวเป็นคนเมืองเรียกรวมๆ ว่าเซนอย ซึ่งท้ายที่สุดกลายเป็นประชากรชาวมาเลย์ทั่วไป มีพวก เตมีอาร์ เชไม เซมัคบารี จาห์ฮัท มะห์เมรี...ฯ ในประเทศอินโดนีเซียมีพวก ดยัค...ฯ ในประเทศฟิลิปปินส์มีพวก บอนทอค อิฟูเกา...ฯ ในฟอร์โมซาหรือไต้หวันมีพวก อตายาล พูยูมะ...ฯ และที่คาดไม่ถึงคือบางส่วนบนเกาะโอกินาวา . ชนพื้นเมืองเก่าแก่ในประเทศไทยหลายพวกก็เป็นเชื้อสายอัสเลียน เช่น พวกมอญ พวกลั๊วะ (ข่าว้า, ละว้า) พวกข่าหลายเผ่าที่มีชื่อเรียกต่างกันไปเช่น กัมมุ มลาบรี.. . ชนเผ่าพวกนี้ถือเป็นบรรพบุรุษของคนเอเชียที่อาศัยในเมนแลนด์อุษาคเนย์อย่างเรา . ไม่เพียงเท่านั้น ตอนที่บรรพบุรุษพวกนี้มาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นกว่าปีก่อน มีมนุษย์ที่เดินทางมาถึงก่อนแล้ว คือพวกอะบอริจิ้นิสท์ พวกนี้มาถึงซุนดาตั้งแต่เมื่อห้าหมื่นปีก่อน ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบผู้หญิงอะบอริจิ้นเลือกบรรพบุรุษอัสเลียนเป็นพ่อพันธุ์ บีบให้ผู้ชายอะบอริจิ้นกระจายออกจากเมนแลนด์ซุนดาไปสู่เกาะแก่งโดยรอบในอุษาสมุทร ด้วยเหตุที่คนเอเชียมีแม่พันธ์ใหญ่ถึงสี่สาแหรก ทำให้ประชากรชาวเอเชียขยายตัวไปมากกว่าสาแหรกครอบครัวใดในโลก เฉพาะมนุษย์ผู้ชาย มีจำนวนมากกว่า 75% ของชายชาวเอเชียในปัจจุบัน ใน 75% นี้ รวมถึงผู้ชายชาวจีนที่เป็นส่วนหนึ่งของประชากรโลกจำนวน 1400 ล้านคน ลองคิดดูว่าคนเอเชียจะมีจำนวนเท่าไหร่ในโลกนี้? . ที่อธิบายนี่ ต้องการให้เห็นภาพว่า ผู้คนในอุษาคเนย์ส่วนใหญ่ มีเชื้อทางพ่อเป็นโอรังอัสลิ และมีเชื้อทางแม่เป็นอะบอริจินิสท์ ดังนั้นหากมีคนใดก็ตามที่ดูถูกเหยียดหยามข่มเหงรังแกคนพื้นเมืองพวกนี้ ให้รู้ไว้เถอะว่า พวกแกกำลังรังแกโคตรพ่อโคตรแม่ของพวกแก . ผมยกเอาภาพจากหนังสือของอาจารย์ประทีป ชุมพล เรื่อง "เสียงเพรียกจากท้องน้ำ" มาโพสตรงนี้ ก็เพราะโศกนาฏกรรมที่มีต่อชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นบรรพบุรุษเราพวกนี้ถูกรังแกและเหยียดหยามเรื่อยมาจนทุกวันนี้ และคนที่เรียกตนเองว่ามาเลย์นี่แหละ มีไม่น้อยที่มีส่วนในการข่มเหงนี้ อ.ประทีป เขียนหนังสือเล่มนี้ในลักษณะนิยายที่สะท้อนความจริงที่น่าเศร้าซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว และยังคงดำเนินต่อไป . ตั้งแต่ราวรัชกาลที่หกมาถึงรัชกาลที่เจ็ดได้มีการจัดสรรที่ทำกินให้ชนเผ่าพวกนี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่จะต้องร่อนเร่อยู่กลางทะเล แต่ "คนเมือง" ที่ซึ่งผมได้เกริ่นไปแต่ต้นว่าที่จริงเป็นพี่น้องลูกหลานมาแต่ชนเผ่าเหล่านี้ทั้งนั้น กลับใช้เล่ห์กลเอาเปรียบและแย่งชิงที่ดินของพวกเขาไป ซึ่งมันได้นำพาไปสู่โศกนาฏกรรมในที่สุด เมื่อชนพื้นเมืองพวกนี้กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งต้องคับแค้นใจจนพากันออกไปฆ่าตัวตายกลางทะเล อ.ประทีปได้กลั่นกรองความรู้สึกจากเรื่องราวเหล่านี้ถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือชื่อ เสียงเพรียกจากท้องน้ำ . นี่คือเหตุที่ทำไมผมตั้งคำถามกับพวกโจรแยกดินแดนที่ซึ่งล้วนเป็นเซนอยที่มาจากโอรังอัสลิทั้งสิ้นว่า.. แทนที่จะมาทำตัวเป็นอาหรับพลัดถิ่นหรือคนมาเลเซียพลัดถิ่น ถามว่าพวกแกปฏิบัติเช่นไรกับโคตรพ่อโคตรแม่ของพวกแกเหล่านี้? พวกแกได้ดูถูกกดขี่เหยียดหยามแย่งที่ทำกินพวกเขาหรือไม่ เคยเป็นห่วงต่อสู้สิทธิในความเป็นมนุษย์และสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของแผ่นดินแต่ดั้งเดิมของพวกเขาหรือไม่? ทำไมไม่เรียกร้อง..."คืนแผ่นดินให้เซมัง....คืนแผ่นดินให้มอเกน????" . ยังมีไอ้พวกโง่ตอแหลจากสำนักอีซิ่มพร พวกไอ้เฒ่าจิตตก ออกมาตีสำนวนอีกว่า ชาวมลายูอยู่มาก่อนสยาม โพสนี้ตอบคำถามทุกอย่างตามที่เล่า จงถอยกลับไปก่อนการมีประเทศมาเลเซียหรือแม้แต่เมืองท่ามะละกา เมืองท่าปัตตานี... บรรพบุรุษมนุษย์พวกหนึ่งที่จะพัฒนาเป็นคนในเมนแลนด์อุษาคเนย์และเกาะในอุษาสมุทร คนพวกนี้พูดภาษาอัสเลียน ผสมพันธุ์กับพวกออสโตรอะบอริจิ้น ทำให้แตกเป็นภาษาออสโตรนีเชียน และเป็นมาลาโยโพลีนีเชียนตามเกาะแก่ง.. ผสมพันธุ์กับชนเผ่าอื่นๆ ในเมนแลนด์ตอนบนแตกแขนงเป็นออสโตเอเชียติกหรือมอญ-เขมร.. เป็นกรอบเวลาที่ยังไม่มีมนุษย์ที่เรียกว่าคนมาเลย์หรือคนมาลายูเลย ฝรั่งเป็นคนตั้งชื่อดินแดนแถบนี้ว่ามาลายาเมื่อเดินทางมาถึง ในห้วงเวลานั้นดินแดนแถบนั้นไม่มีชื่อหรอก เมื่อเขียนบนแผนที่ก็เลยเป็นที่มาให้เรียกพวกชนชาติแถบนี้รวมๆ ว่าคนมาลายา [แม้แต่จักรวรรดิจีนอันยิ่งใหญ่ในอดีตก็ไม่ได้เรียกอาณาจักรของตนว่า "จีน" พวกเขาเรียกดินแดนพวกเขาว่า จงกั๋ว (จงหยวน) แต่ฝรั่งเอาแซ่ราชวงศ์จิ๋น (ฉิน) ของจิ๋นซีหวงตี้มาเรียกเป็นชื่อว่าอาณาจักรจิ๋น แล้วเขียนบนแผนที่ทำให้ชาวโลกเรียกอาณาจักรจีนว่า China มาจนทุกวันนี้.. ที่จริงจีนใช้ตัวละตินเขียนว่า Qin แต่ออกเสียง ฉิน] โดยข้อเท็จจริงแล้วประวัติศาสตร์ไม่เคยมีประชาชนมาลายา-มาลายู หรือประเทศมาลายา-มาลายู ไปค้นประวัติศาสตร์ของทุกชาติในเอเชียได้ เช่น บันทึกจีนโบราณ เป็นต้น จะไม่มีบันทึกของชาติใดปรากฏชื่อที่มีสถานะเป็นอาณาจักรหรือประชาชนในชื่อมาลายา-มาลายูอยู่เลย (ใครเจอลองเอามาให้ดูหน่อย) นอกจากหัวเมืองชายแดนอันแยกกันเป็นเอกเทศหลายเมืองที่ล้วนเคยเป็นหัวเมืองประเทศราชของสยามมาก่อน ประเทศมาเลเซียเองเพิ่งปรากฏขึ้นในโลกหลังจากได้เอกราชจากการเป็นอิสระจากอาณานิคมอังกฤษ คนในพื้นที่คาบสมุทรนี้ในยุคก่อนมีราชอาณาจักรสยาม เรียกตัวเองว่า โอรังทั้งนั้น เช่นโอรังบูกิต โอรังเชไม โอรังจาฮัท ฯ... ฝรั่งมันไม่จำหรอก เยอะ.. มันเรียกง่ายๆ ว่าคนมาลายู (ดูแผนที่โบราณที่ผมโพสในคอมเม้นท์ข้างล่างแล้วอ่านคำอธิบาย) เพราะฉนั้น ไม่ใช่แค่คนในอินโด-มาเลเซียที่เป็นพวกอัสเลียน พวกที่เคยเป็นอาณาจักรศรีโพธิ์ อาณาจักรศรีวิชัย พวกศรีธรรมโศกราช พวกพริบพรี พวกละโว้ พวกทวารวดี (ซึ่งต่อมาเป็นพวกสยาม..) พวกมอญ พวกขอม พวกเขมร พวกจาม... ล้วนสืบเชื้อโอรังอัสลิและแม่อะบอริจิ้นมาทั้งนั้น คลานออกมาจากมดลูกเดียวกันทั้งคาบสมุทร!! (เบื่ออธิบายกับพวกแกจริงๆ) . จะบอกอะไรให้อย่างหนึ่ง ในอุษาคเนย์ มีชนพื้นเมืองพวกหนึ่งคือพวกข่าว้าหรือพวกลั๊วะ (บางทีเรียก ว้า ละว้า ล้า) จากผลตรวจดีเอ็นเอทุกชนเผ่าในมณฑลหยุนหนานโดยโปรเฟสเซอร์จินลี (นักวิทยาศาสตร์จีน) พวกข่าว้านี้มียีนเก่าที่สุด พอๆ กับพวกปู้ยี (จ้วงเหนือ). มีคำปรำปราอันหนึ่งของชนเผ่าไทกล่าวว่า "สางสร้างฟ้า ล้าสร้างเมือง" แปลว่า "เทวดาสร้างสวรรค์ พวกละว้าสร้างเมือง" ชนเผ่าไทยกย่องอย่างนี้ว่า ล้าสร้างเมือง... ตำนานน้ำเต้าปุงเล่าว่า สางบันดาลน้ำเต้าลูกมหึมาลงมา ปู่ลางเซิงเอาเหล็กแหลมแทงน้ำเต้าแล้วผู้คนก็ไหลกรูกันออกมา ข่าออกมาก่อน แล้วก็ลาว แล้วก็ไท นี่..ไทก็นับว่าข่าเป็นพี่ลาวเป็นพี่... มีตำนานไทอีกอันเรื่องข้าสี่แสนหมอนม้า ชนเผ่าไทโบราณรบกับพวกละว้าแล้วก็ยึดเมืองจากพวกละว้าได้ ทำให้มีประเพณีที่เมื่อจ้าวไททำพิธีขึ้นกินเมืองจะให้พวกละว้าขึ้นนั่งพระแท่นก่อน แล้วเจ้าไทจึงมาไล่ลง เสร็จแล้วค่อยนั่งครองพระแท่นแทน ธรรมเนียมนี้แสดงว่าคนไทยอมรับว่าล้าสร้างเมืองและเป็นใหญ่มาก่อน แต่เกือบพันปีที่ผ่านมาไม่เคยมีพวกละว้าขอแบ่งแยกดินแดนจากไท-ไทยเลยสักสมัย มีแต่พวกละว้าในพม่าที่เจรจาขอแยกจากการเป็นส่วนหนึ่งของพม่าตอนที่ทำสนธิสัญญาปางโหลงกับนายพลอองซาน. เรื่องของเรื่องก็คือ... ถอยไปอีก พวกนี้ก็มาจากโอรังอัสลิเช่นเดียวกับพวกเซนอยมาลายู แต่เก่ากว่าเป็นพันปี . เดินไปโรงพยาบาลแล้วขอตรวจดีเอ็นเอ ไอ้พวกโง่ แล้วแกจะได้เห็นว่าแกมีเชื้อเดียวกับเซมัง มอเกน. ในดีเอ็นเอมนุษย์มี time stamp อยู่ในสิ่งที่เรียกว่า genetic marker มันบอกอายุของดีเอ็นเอได้ว่าใครเก่ากว่ากัน และจะโยงพวกแกไปยังบรรพบุรุษเดียวกันในแอฟริกา ถึงตอนนั้นพวกแกจะแปลกใจว่าแกไม่ใช่คนมาลายูแล้ว แต่พวกแกเป็นคน "กอยซาน!!" เข้าใจไหม? คนอย่างไอ้เฒ่าจิตตกนั่นมันไม่รู้สี่รู้แปดอะไรหรอก เคยไปเล่าให้มันฟังแม่งนั่งอ้าปากหวอ . อย่างที่กล่าว คำว่า โอรังอัสลิ เป็นคำในภาษามาเลย์ของพวกแก แปลว่า คนดั้งเดิม พวกแกทำไมไม่สู้เพื่อพวกเขาบ้าง? นี่ต่างหาก คนดั้งเดิม แต่ไปที่ไหนก็ยังเห็นพวกแกดูถูกพวกเขาอยู่เสมอ หรือว่าลืมกำพืด อยากเป็นสุลต่านกัน? ถ้าพวกแกมีจิตวิญญาณของนักรบจริง ที่กาซ่า พี่น้องมุสลิมชาวปาเลสไตน์กำลังถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยพวกยิว ในฐานะมุสลิมด้วยกัน ไปสิ จับอาวุธแล้วไปต่อสู้เพื่อพวกเขา กล้าพอไหม? ไปชวนพี่น้องแกในมาเลเซียด้วย ถ้าที่นั่นยังมีนักรบนะ จิตสำนึกมุสลิมอันยิ่งใหญ่มีอยู่ไหมในมาเลเซีย พระเจ้าจะสรรเสริญพวกแกและรับพวกแกไปสู่ญันนะฮฺเมื่อได้สละชีพ คงไม่หรอก เพราะพวกแกฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กน้อยที่บริสุทธิ์ ไม่ต่างอะไรกับพวกยิวอิสราเอล อัลลาฮฺอักบัร . #ปาตานี #แบ่งแยกดินแดน #คนมลายูอยู่มาก่อนสยาม #โอรังอัสลิ #โอรังลาโว้ย #เสียงเพรียกจากท้องน้ำ
    4 Comments 0 Shares 554 Views 0 Reviews
  • Evolution
    พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
    9 พ.ค. 2567
    =====================
    .
    ประเด็นหนึ่งที่ผมมักพูดให้นักเรียนผมฟัง หลายชั้นเรียน หลายคาบวิชา หลายกิจกรรม ต่างกรรมต่างวาระ ในห้วงเวลากว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา คือประเด็นที่ว่าด้วยกระบวนการส่งผ่านความรู้
    .
    โลกที่เจริญก้าวหน้ามาได้ทุกวันนี้ เป็นเพราะกระบวนการส่งต่อความรู้นี่แหละ ผ่านรุ่นต่อรุ่นมาหลายพันปี ตั้งแต่ยังไม่มีตัวหนังสือให้ใช้ขีดเขียนบันทึก
    .
    บรรพบุรุษของมนุษย์เซเปี้ยนส์รุ่นแรกๆ ที่อพยพจากแอฟริกาเมื่อราวแสนกว่าปีก่อน นักวิชาการเชื่อกันว่าพวกเขามีภาษาพูดของตนเองแล้ว ก่อนจะอพยพไปยังดินแดนส่วนอื่นๆ ในโลก ที่จุดนั้น กระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นระบบก็เริ่มต้นขึ้น ลองถอยไปคิดถึงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญก่อนหน้านั้นที่ทำให้มนุษย์โบราณรอดจากการสูญพันธุ์มาได้ นั่นคือเมื่อพวกเขาค้นพบการจุดไฟเป็นครั้งแรก จะด้วยวิธีการปั่นให้เสียดสีกันของไม้ หรือการใช้หินกระเทาะกันก็ตาม สิ่งเหล่านี้ต้องสอนกันเพื่อให้ทำได้ถูกต้อง ปฐมบทของเทคโนโลยีได้บังเกิดขึ้น เพื่อให้อยู่รอด ลูกหลานพวกเขาจะต้องเรียนรู้วิธีการพวกนี้
    .
    เครื่องมือมากมายเริ่มถูกคิดค้นเรื่อยมา นับแต่ขวานหิน หลาวไม้ ฯลฯ เมื่อถึงยุคที่เซเปี้ยนส์พ่อคนฉลาดปรากฏขึ้นบนโลก พวกเขามีเครื่องนุ่งห่มป้องกันความหนาว รู้จักว่าอะไรเป็นยา อะไรเป็นพิษ สังเกตุธรรมชาติและฤดูกาล สังเกตุพฤติกรรมสัตว์และวงจรของมัน จนแม้กระทั่งก้าวหน้าจนสามารถหลอมโลหะ..
    .
    แน่นอนว่าในบรรดาความรู้ทั้งหลายที่ค้นพบ ภาษาคือสิ่งที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด มันคือเครื่องมือสื่อสารที่ทำให้มนุษย์ทำงานเป็นทีมได้ หากไม่มีภาษามนุษย์จะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าสัตว์ใหญ่ขนาดนี้ต้องมีการประสานงานสั่งการในการเข้าโจมตีเป็นทีม ผลพวงก็อย่างที่เราได้รู้ พวกมันถูกล่าจนสูญพันธ์ไปหมด เห็นได้ว่าการทำงานเป็นทีมของมนุษย์โบราณพวกนี้มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง เมื่อมีภาษา การเรียนการสอนในโลกครั้งแรกก็เริ่มขึ้น เมื่อมีความรู้ จากนี้พวกเขาจะพร้อมไปพิชิตโลก
    .
    ทั้งสิ้นทั้งปวง นับแต่เทคโนโลยีแรกเกิดขึ้น การจุดไฟ การทำเครื่องมือ แทกติคในการล่า ข้อมูลเกี่ยวกับพืช สัตว์ อาหาร ฤดูกาล อันตรายต่างๆ ฯลฯ จะถูกถ่ายทอดจากคนรุ่นก่อนไปสู่คนรุ่นใหม่ ทักษะต่างๆ ในชีวิต การแก้ปัญหาและการเอาตัวรอดในสถานะการณ์ต่างๆ จะถูกถ่ายทอดอย่างใกล้ชิดจากคนรุ่นก่อนที่มีประสบการณ์โชกโชนมาแล้ว เช่น จากพ่อ จากปู่ ไปสู่ลูก สู่หลาน ไม่ใช่แค่การบอกเล่าสั่งสอน พวกเขาจะคอยเฝ้าดูให้คนหนุ่มสาวเหล่านั้นได้ฝึกฝนปฏิบัติสิ่งต่างๆ ตามคำแนะนำ เฝ้าประกบตั้งแต่การล่าสัตว์ตัวแรก ไปถึงการมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือพิธีกรรมต่างๆ จนกระทั่งมีความพร้อมที่จะทำสิ่งเหล่านั้นได้โดยลำพังและสอนต่อแก่ผู้อื่น พัฒนาจนมีทักษะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการล่า หรือความเข้าใจในเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญ อันจะนำพาให้ชีวิตรอดและเติบโตก้าวหน้าต่อไป จากปฐมบทนี้ มนุษย์สั่งสมความรู้แล้วส่งต่อมาเรื่อย แตกแขนงเป็นสรรพวิชาความรู้ต่างๆ มากมายเหลือคณานับ
    .
    ถ้าเราลองมาพิจารณาดูสักมุมมองหนึ่ง เช่นด้านศิลปะ ที่จุดแรกของการสร้างสรรค์ นึกภาพว่าเมื่อครูคนแรกได้ค้นพบว่า ดินบางชนิดมีคุณสมบัติที่จะนำมาใช้เป็นสีในการวาดภาพได้ ครูคนหนึ่งค้นพบเทคนิคแรกของ stencil ด้วยการเอาดินพวกนั้นผสมน้ำอมเข้าไว้ในปากแล้วพ่นใส่ผ่านมือทำให้เกิดเป็นภาพรอยมือปรากฏบนผนังถ้ำ บางคนใช้นิ้วมือจิ้มดินสีเขียนเป็นภาพคนและสัตว์ แน่นอนว่ามีการสอนต่อกัน เราได้เห็นภาพเขียนโบราณที่ใช้เทคนิคเดียวกันนี้ในหลายแห่งทั่วโลก จุดเริ่มต้นนี้ หากไม่เกิดขึ้น จะไม่มีการประดิษฐ์พู่กัน หมึก และสีมากมายหลายชนิดขึ้นในโลก ซึ่งในที่สุดนำไปสู่การสร้างสรรค์เครื่องมือ วิธีการอันน่าทึ่งต่างๆ และแนวคิดในการสร้างสรรค์อันน่าอัศจรรย์ของศิลปะในโลก
    .
    กระบวนการเรียนรู้และส่งต่อนั้น มันมีลำดับขั้นที่เป็นผลต่อเนื่อง เราไม่อาจปฏิเสธข้อเท็จจริงของปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดการพัฒนาเหล่านั้นได้ เมื่อครูศิลปะคนแรกของโลกเรียนรู้ สมมุติเล่นๆ ให้เห็นภาพ ลองยกตัวอย่างการค้นพบดินสอว่าเป็นเครื่องมือศิลปะอันแรกอย่างหนึ่ง ครูคนแรกผู้นี้อาจใช้เวลาทั้งชีวิตของเขาในการค้นหาวัสดุหลายอย่างที่จะนำมาขีดเขียนให้เป็นเส้นสายสีดำเช่นนั้นได้ เขาจะต้องทดลองถ่านหลายชนิด รวมทั้งจะต้องแก้ปัญหาว่าถ่านชนิดที่เอามาใช้ จะทำอย่างไรไม่ให้เลอะมือ ไม่เปราะและหักง่ายเกินไป ลองคิดจินตนาการว่า เมื่อแรกเริ่มมีดินสอนั้น ผู้ที่คิดค้นมันขึ้นมาน่าจะต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะได้ดินสอหนึ่งแท่ง คนยุคหลังที่เกิดขึ้นมาก็มีดินสอรออยู่ในมือแล้ว ย่อมไม่รู้ว่าคนที่คิดค้นมันต้องผ่านอุปสรรคอะไรมา
    .
    นี่แค่พูดถึงเครื่องมือ แต่เมื่อพูดถึงว่าครูศิลปะคนแรกที่นำดินสอมาเขียนรูป เขายังจะต้องฝึกฝนทักษะในการที่จะควบคุมดินสอนั้นให้เกิดเส้นสายลวดลายต่างๆ ต้องเข้าใจผลที่เกิดจากดินสอที่ถูกเหลาจนคม ผลจากการที่ดินสอทู่ลง ผลจากการตะแคงดินสอใช้ด้านข้างถูให้เกิดแถบที่อ่อนนุ่มกว่า.. กระบวนการทั้งหลายในการพัฒนาทักษะของการใช้ดินสอเช่นนี้ เมื่อผ่านห้วงเวลาทั้งชีวิตของครูศิลปะผู้นี้ อาจหลอมรวมเวลาหลายปี เมื่อครูผู้นี้เริ่มสอน เขาอาจใช้ชีวิตในการวาดรูปด้วยดินสอมาเป็นเวลายี่สิบปี เนื่องจากเขาคือครูคนแรกอย่างที่เราสมมุติ ทั้งโลกและตัวเขาไม่มีต้นทุนมาก่อน ยี่สิบปีของเขาคือเวลาที่เริ่มต้นสั่งสมของมนุษยชาติ แต่เมื่อเขาเริ่มสอนให้แก่ศิษย์คนแรก ประสบการณ์ ความรู้ และทักษะที่สั่งสมมาของเขาตลอดยี่สิบปี สามารถถ่ายทอดให้แก่ศิษย์ในเวลาไม่กี่ปี ถ้าเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยทุกวันนี้ ก็จะเห็นว่าอาจารย์ไม่ว่าจะมีวัยวุฒิคุณวุฒิเท่าใด มีหน้าที่ที่จะถ่ายทอดสิ่งที่เขารู้ให้แก่ศิษย์ภายในเวลาสั้นๆ เพียงแค่สี่ห้าปี
    .
    กระบวนการส่งต่อจึงสำคัญเช่นนี้ อย่างที่สมมุติตัวอย่าง ศิษย์ใช้เวลาสี่ปีในการเรียนรู้ทักษะความรู้ยี่สิบปีของครูคนก่อน เขาไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก ครูคั้นเอาแก่นที่บ่มเพาะมาแล้วมาสอนให้ จากนั้น.. ถ้าไม่ใช่ศิษย์ที่ล้มเหลว เขาก็คงจะใช้ช่วงเวลาในชีวิตของเขาต่อไปในการหาความรู้เพิ่มเติมต่อยอดจากความรู้ยี่สิบปีของครูคนก่อนที่ส่งผ่านมาให้เขา เมื่อถึงจุดที่เขาเริ่มเป็นครูให้กับคนรุ่นต่อจากเขาบ้าง เขาอาจมีประสบการณ์ความรู้และทักษะของเขาเพิ่มเติมมาอีกยี่สิบปี รวมกับความรู้ที่รับมาจากครูคนแรกยี่สิบปี เท่ากับสี่สิบปี ดังนั้นศิษย์ที่มาเรียนกับเขา จะใช้เวลาแค่สี่ปีในการเรียนความรู้ที่สั่งสมมาสี่สิบปี เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ในแต่ละรุ่นก็จะทบทวีเช่นนี้เป็นอัตราทวีคูณ เร็วขึ้นจนแต่ละครั้งเป็นก้าวกระโดด จนกระทั่งมนุษย์ไปอวกาศ..
    .
    ลองคิดดูว่า หากปราศจากการส่งต่อความรู้เช่นนี้ ถ้าคนรุ่นใหม่แต่ละรุ่น ต้องไปค้นหาเรียนรู้นับจากศูนย์ด้วยตัวเอง มนุษย์คงไม่พัฒนามาจนถึงจุดที่ยืนอยู่ในทุกวันนี้ ซึ่งยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่บนฐานความรู้ที่สั่งสมและส่งผ่านมานับพันปี ไม่ใช่ว่าแต่ละคนจะเกิดขึ้นมาแล้วรู้ทุกอย่างได้เองโดยไม่ต้องเรียน หรือความรู้จะผุดโผล่ออกมาเองได้จากอากาศธาตุ
    .
    ด้วยกระบวนการส่งต่อความรู้เช่นนี้นี่เอง จากวันที่มนุษย์มีภาษาและประสานงานกันล่าแมมมอธ มาถึงวันนี้มนุษย์สามารถประดิษฐ์ควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้ ด้วยสรรพความรู้ที่สั่งสมสั่งสอนกันมาเรื่อยๆ นับพันปี โลกจึงก่อเกิดเป็นศาสตร์วิทยาการมากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นผมจึงพูดบ่อยๆ กับนักเรียนของผมว่า การสอน การถ่ายทอดความรู้ ที่จริงไม่ใช่คุณธรรมอันยิ่งใหญ่อันใด แต่เป็นหน้าที่ของมนุษย์อย่างหนึ่งที่จะต้องกระทำด้วยความใส่ใจยิ่ง แม้ท่านมิได้มีอาชีพเป็นครูโดยตรง ท่านก็ควรจะมีคุณสมบัติอันมีประโยชน์บางอย่างที่สั่งสมมาพอจะสอนได้ อย่างน้อยก็คือการอบรมบุตรหลานให้เป็นมนุษย์ที่มีคุณภาพแก่โลก ภาระนี้จะทำให้มนุษย์ยังคงก้าวหน้าพัฒนาต่อไป ทั้งด้านความรู้ สติปัญญา และระดับของจิตใจ
    .
    จริงอยู่ที่ความแก่ ความเก่า เป็นสภาวะทางสังขารอันไม่เที่ยงแท้
    แต่คนฉลาดอย่างเช่นไอน์สไตน์ แม้เมื่อชราลงจนอาจไม่มีแรงก้าวเดิน
    เขาก็จะเสียชีวิตลงในขณะที่ความเฉลียวฉลาดของเขายังคงอยู่กับเขาจนวินาทีสุดท้าย
    คนแก่ ไม่ได้แปลว่า คนโง่ เช่นเดียวกับ คนหนุ่ม ไม่ได้แปลว่า ฉลาด
    โบราณว่า ขิงแก่ย่อมเผ็ดร้อน ฉันใดฉันนั้น
    .
    บรรดาวิทยาการสมัยใหม่ที่พวกท่านได้เสพได้ใช้ได้ปรนเปรอในวันนี้
    ปฏิเสธไม่ได้ว่าสร้างมาจากการถากถางค้นพบของคนรุ่นก่อนท่านทั้งนั้น
    ลองนึกดูว่า หากท่านไปเกิดอยู่บนเกาะร้างสักแห่งที่ไม่มีใครให้ความรู้
    ท่านจะเติบโตพัฒนาขึ้นมาจนกลายเป็นศิลปินหรือผู้มีชื่อเสียงได้หรือไม่
    ตัวท่านเองนอกจากต้องสำนึกแล้ว ก็จะต้องถามตัวเองด้วยว่า
    ท่านจะพึงกระทำหน้าที่ของมนุษย์ในการจะส่งความรู้ให้รุ่นต่อไปหรือไม่
    และได้ทำคุณประโยชน์ใดให้แก่มนุษย์รุ่นต่อจากท่านบ้าง
    ท่านได้ต่อยอดความรู้นับพันปีที่ได้งอกเงยอยู่ในตัวท่านอย่างไร
    เพื่อที่ว่าวันนึงเมื่อท่านกลายเป็น คนแก่อีกคนหนึ่ง
    คนรุ่นใหม่จะได้รำลึกถึงท่านในคุณูปการที่ท่านได้ฝากไว้แก่โลกนี้
    .
    .
    Evolution พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา 9 พ.ค. 2567 ===================== . ประเด็นหนึ่งที่ผมมักพูดให้นักเรียนผมฟัง หลายชั้นเรียน หลายคาบวิชา หลายกิจกรรม ต่างกรรมต่างวาระ ในห้วงเวลากว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา คือประเด็นที่ว่าด้วยกระบวนการส่งผ่านความรู้ . โลกที่เจริญก้าวหน้ามาได้ทุกวันนี้ เป็นเพราะกระบวนการส่งต่อความรู้นี่แหละ ผ่านรุ่นต่อรุ่นมาหลายพันปี ตั้งแต่ยังไม่มีตัวหนังสือให้ใช้ขีดเขียนบันทึก . บรรพบุรุษของมนุษย์เซเปี้ยนส์รุ่นแรกๆ ที่อพยพจากแอฟริกาเมื่อราวแสนกว่าปีก่อน นักวิชาการเชื่อกันว่าพวกเขามีภาษาพูดของตนเองแล้ว ก่อนจะอพยพไปยังดินแดนส่วนอื่นๆ ในโลก ที่จุดนั้น กระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นระบบก็เริ่มต้นขึ้น ลองถอยไปคิดถึงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญก่อนหน้านั้นที่ทำให้มนุษย์โบราณรอดจากการสูญพันธุ์มาได้ นั่นคือเมื่อพวกเขาค้นพบการจุดไฟเป็นครั้งแรก จะด้วยวิธีการปั่นให้เสียดสีกันของไม้ หรือการใช้หินกระเทาะกันก็ตาม สิ่งเหล่านี้ต้องสอนกันเพื่อให้ทำได้ถูกต้อง ปฐมบทของเทคโนโลยีได้บังเกิดขึ้น เพื่อให้อยู่รอด ลูกหลานพวกเขาจะต้องเรียนรู้วิธีการพวกนี้ . เครื่องมือมากมายเริ่มถูกคิดค้นเรื่อยมา นับแต่ขวานหิน หลาวไม้ ฯลฯ เมื่อถึงยุคที่เซเปี้ยนส์พ่อคนฉลาดปรากฏขึ้นบนโลก พวกเขามีเครื่องนุ่งห่มป้องกันความหนาว รู้จักว่าอะไรเป็นยา อะไรเป็นพิษ สังเกตุธรรมชาติและฤดูกาล สังเกตุพฤติกรรมสัตว์และวงจรของมัน จนแม้กระทั่งก้าวหน้าจนสามารถหลอมโลหะ.. . แน่นอนว่าในบรรดาความรู้ทั้งหลายที่ค้นพบ ภาษาคือสิ่งที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด มันคือเครื่องมือสื่อสารที่ทำให้มนุษย์ทำงานเป็นทีมได้ หากไม่มีภาษามนุษย์จะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าสัตว์ใหญ่ขนาดนี้ต้องมีการประสานงานสั่งการในการเข้าโจมตีเป็นทีม ผลพวงก็อย่างที่เราได้รู้ พวกมันถูกล่าจนสูญพันธ์ไปหมด เห็นได้ว่าการทำงานเป็นทีมของมนุษย์โบราณพวกนี้มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง เมื่อมีภาษา การเรียนการสอนในโลกครั้งแรกก็เริ่มขึ้น เมื่อมีความรู้ จากนี้พวกเขาจะพร้อมไปพิชิตโลก . ทั้งสิ้นทั้งปวง นับแต่เทคโนโลยีแรกเกิดขึ้น การจุดไฟ การทำเครื่องมือ แทกติคในการล่า ข้อมูลเกี่ยวกับพืช สัตว์ อาหาร ฤดูกาล อันตรายต่างๆ ฯลฯ จะถูกถ่ายทอดจากคนรุ่นก่อนไปสู่คนรุ่นใหม่ ทักษะต่างๆ ในชีวิต การแก้ปัญหาและการเอาตัวรอดในสถานะการณ์ต่างๆ จะถูกถ่ายทอดอย่างใกล้ชิดจากคนรุ่นก่อนที่มีประสบการณ์โชกโชนมาแล้ว เช่น จากพ่อ จากปู่ ไปสู่ลูก สู่หลาน ไม่ใช่แค่การบอกเล่าสั่งสอน พวกเขาจะคอยเฝ้าดูให้คนหนุ่มสาวเหล่านั้นได้ฝึกฝนปฏิบัติสิ่งต่างๆ ตามคำแนะนำ เฝ้าประกบตั้งแต่การล่าสัตว์ตัวแรก ไปถึงการมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือพิธีกรรมต่างๆ จนกระทั่งมีความพร้อมที่จะทำสิ่งเหล่านั้นได้โดยลำพังและสอนต่อแก่ผู้อื่น พัฒนาจนมีทักษะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการล่า หรือความเข้าใจในเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญ อันจะนำพาให้ชีวิตรอดและเติบโตก้าวหน้าต่อไป จากปฐมบทนี้ มนุษย์สั่งสมความรู้แล้วส่งต่อมาเรื่อย แตกแขนงเป็นสรรพวิชาความรู้ต่างๆ มากมายเหลือคณานับ . ถ้าเราลองมาพิจารณาดูสักมุมมองหนึ่ง เช่นด้านศิลปะ ที่จุดแรกของการสร้างสรรค์ นึกภาพว่าเมื่อครูคนแรกได้ค้นพบว่า ดินบางชนิดมีคุณสมบัติที่จะนำมาใช้เป็นสีในการวาดภาพได้ ครูคนหนึ่งค้นพบเทคนิคแรกของ stencil ด้วยการเอาดินพวกนั้นผสมน้ำอมเข้าไว้ในปากแล้วพ่นใส่ผ่านมือทำให้เกิดเป็นภาพรอยมือปรากฏบนผนังถ้ำ บางคนใช้นิ้วมือจิ้มดินสีเขียนเป็นภาพคนและสัตว์ แน่นอนว่ามีการสอนต่อกัน เราได้เห็นภาพเขียนโบราณที่ใช้เทคนิคเดียวกันนี้ในหลายแห่งทั่วโลก จุดเริ่มต้นนี้ หากไม่เกิดขึ้น จะไม่มีการประดิษฐ์พู่กัน หมึก และสีมากมายหลายชนิดขึ้นในโลก ซึ่งในที่สุดนำไปสู่การสร้างสรรค์เครื่องมือ วิธีการอันน่าทึ่งต่างๆ และแนวคิดในการสร้างสรรค์อันน่าอัศจรรย์ของศิลปะในโลก . กระบวนการเรียนรู้และส่งต่อนั้น มันมีลำดับขั้นที่เป็นผลต่อเนื่อง เราไม่อาจปฏิเสธข้อเท็จจริงของปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดการพัฒนาเหล่านั้นได้ เมื่อครูศิลปะคนแรกของโลกเรียนรู้ สมมุติเล่นๆ ให้เห็นภาพ ลองยกตัวอย่างการค้นพบดินสอว่าเป็นเครื่องมือศิลปะอันแรกอย่างหนึ่ง ครูคนแรกผู้นี้อาจใช้เวลาทั้งชีวิตของเขาในการค้นหาวัสดุหลายอย่างที่จะนำมาขีดเขียนให้เป็นเส้นสายสีดำเช่นนั้นได้ เขาจะต้องทดลองถ่านหลายชนิด รวมทั้งจะต้องแก้ปัญหาว่าถ่านชนิดที่เอามาใช้ จะทำอย่างไรไม่ให้เลอะมือ ไม่เปราะและหักง่ายเกินไป ลองคิดจินตนาการว่า เมื่อแรกเริ่มมีดินสอนั้น ผู้ที่คิดค้นมันขึ้นมาน่าจะต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะได้ดินสอหนึ่งแท่ง คนยุคหลังที่เกิดขึ้นมาก็มีดินสอรออยู่ในมือแล้ว ย่อมไม่รู้ว่าคนที่คิดค้นมันต้องผ่านอุปสรรคอะไรมา . นี่แค่พูดถึงเครื่องมือ แต่เมื่อพูดถึงว่าครูศิลปะคนแรกที่นำดินสอมาเขียนรูป เขายังจะต้องฝึกฝนทักษะในการที่จะควบคุมดินสอนั้นให้เกิดเส้นสายลวดลายต่างๆ ต้องเข้าใจผลที่เกิดจากดินสอที่ถูกเหลาจนคม ผลจากการที่ดินสอทู่ลง ผลจากการตะแคงดินสอใช้ด้านข้างถูให้เกิดแถบที่อ่อนนุ่มกว่า.. กระบวนการทั้งหลายในการพัฒนาทักษะของการใช้ดินสอเช่นนี้ เมื่อผ่านห้วงเวลาทั้งชีวิตของครูศิลปะผู้นี้ อาจหลอมรวมเวลาหลายปี เมื่อครูผู้นี้เริ่มสอน เขาอาจใช้ชีวิตในการวาดรูปด้วยดินสอมาเป็นเวลายี่สิบปี เนื่องจากเขาคือครูคนแรกอย่างที่เราสมมุติ ทั้งโลกและตัวเขาไม่มีต้นทุนมาก่อน ยี่สิบปีของเขาคือเวลาที่เริ่มต้นสั่งสมของมนุษยชาติ แต่เมื่อเขาเริ่มสอนให้แก่ศิษย์คนแรก ประสบการณ์ ความรู้ และทักษะที่สั่งสมมาของเขาตลอดยี่สิบปี สามารถถ่ายทอดให้แก่ศิษย์ในเวลาไม่กี่ปี ถ้าเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยทุกวันนี้ ก็จะเห็นว่าอาจารย์ไม่ว่าจะมีวัยวุฒิคุณวุฒิเท่าใด มีหน้าที่ที่จะถ่ายทอดสิ่งที่เขารู้ให้แก่ศิษย์ภายในเวลาสั้นๆ เพียงแค่สี่ห้าปี . กระบวนการส่งต่อจึงสำคัญเช่นนี้ อย่างที่สมมุติตัวอย่าง ศิษย์ใช้เวลาสี่ปีในการเรียนรู้ทักษะความรู้ยี่สิบปีของครูคนก่อน เขาไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก ครูคั้นเอาแก่นที่บ่มเพาะมาแล้วมาสอนให้ จากนั้น.. ถ้าไม่ใช่ศิษย์ที่ล้มเหลว เขาก็คงจะใช้ช่วงเวลาในชีวิตของเขาต่อไปในการหาความรู้เพิ่มเติมต่อยอดจากความรู้ยี่สิบปีของครูคนก่อนที่ส่งผ่านมาให้เขา เมื่อถึงจุดที่เขาเริ่มเป็นครูให้กับคนรุ่นต่อจากเขาบ้าง เขาอาจมีประสบการณ์ความรู้และทักษะของเขาเพิ่มเติมมาอีกยี่สิบปี รวมกับความรู้ที่รับมาจากครูคนแรกยี่สิบปี เท่ากับสี่สิบปี ดังนั้นศิษย์ที่มาเรียนกับเขา จะใช้เวลาแค่สี่ปีในการเรียนความรู้ที่สั่งสมมาสี่สิบปี เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ในแต่ละรุ่นก็จะทบทวีเช่นนี้เป็นอัตราทวีคูณ เร็วขึ้นจนแต่ละครั้งเป็นก้าวกระโดด จนกระทั่งมนุษย์ไปอวกาศ.. . ลองคิดดูว่า หากปราศจากการส่งต่อความรู้เช่นนี้ ถ้าคนรุ่นใหม่แต่ละรุ่น ต้องไปค้นหาเรียนรู้นับจากศูนย์ด้วยตัวเอง มนุษย์คงไม่พัฒนามาจนถึงจุดที่ยืนอยู่ในทุกวันนี้ ซึ่งยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่บนฐานความรู้ที่สั่งสมและส่งผ่านมานับพันปี ไม่ใช่ว่าแต่ละคนจะเกิดขึ้นมาแล้วรู้ทุกอย่างได้เองโดยไม่ต้องเรียน หรือความรู้จะผุดโผล่ออกมาเองได้จากอากาศธาตุ . ด้วยกระบวนการส่งต่อความรู้เช่นนี้นี่เอง จากวันที่มนุษย์มีภาษาและประสานงานกันล่าแมมมอธ มาถึงวันนี้มนุษย์สามารถประดิษฐ์ควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้ ด้วยสรรพความรู้ที่สั่งสมสั่งสอนกันมาเรื่อยๆ นับพันปี โลกจึงก่อเกิดเป็นศาสตร์วิทยาการมากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นผมจึงพูดบ่อยๆ กับนักเรียนของผมว่า การสอน การถ่ายทอดความรู้ ที่จริงไม่ใช่คุณธรรมอันยิ่งใหญ่อันใด แต่เป็นหน้าที่ของมนุษย์อย่างหนึ่งที่จะต้องกระทำด้วยความใส่ใจยิ่ง แม้ท่านมิได้มีอาชีพเป็นครูโดยตรง ท่านก็ควรจะมีคุณสมบัติอันมีประโยชน์บางอย่างที่สั่งสมมาพอจะสอนได้ อย่างน้อยก็คือการอบรมบุตรหลานให้เป็นมนุษย์ที่มีคุณภาพแก่โลก ภาระนี้จะทำให้มนุษย์ยังคงก้าวหน้าพัฒนาต่อไป ทั้งด้านความรู้ สติปัญญา และระดับของจิตใจ . จริงอยู่ที่ความแก่ ความเก่า เป็นสภาวะทางสังขารอันไม่เที่ยงแท้ แต่คนฉลาดอย่างเช่นไอน์สไตน์ แม้เมื่อชราลงจนอาจไม่มีแรงก้าวเดิน เขาก็จะเสียชีวิตลงในขณะที่ความเฉลียวฉลาดของเขายังคงอยู่กับเขาจนวินาทีสุดท้าย คนแก่ ไม่ได้แปลว่า คนโง่ เช่นเดียวกับ คนหนุ่ม ไม่ได้แปลว่า ฉลาด โบราณว่า ขิงแก่ย่อมเผ็ดร้อน ฉันใดฉันนั้น . บรรดาวิทยาการสมัยใหม่ที่พวกท่านได้เสพได้ใช้ได้ปรนเปรอในวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสร้างมาจากการถากถางค้นพบของคนรุ่นก่อนท่านทั้งนั้น ลองนึกดูว่า หากท่านไปเกิดอยู่บนเกาะร้างสักแห่งที่ไม่มีใครให้ความรู้ ท่านจะเติบโตพัฒนาขึ้นมาจนกลายเป็นศิลปินหรือผู้มีชื่อเสียงได้หรือไม่ ตัวท่านเองนอกจากต้องสำนึกแล้ว ก็จะต้องถามตัวเองด้วยว่า ท่านจะพึงกระทำหน้าที่ของมนุษย์ในการจะส่งความรู้ให้รุ่นต่อไปหรือไม่ และได้ทำคุณประโยชน์ใดให้แก่มนุษย์รุ่นต่อจากท่านบ้าง ท่านได้ต่อยอดความรู้นับพันปีที่ได้งอกเงยอยู่ในตัวท่านอย่างไร เพื่อที่ว่าวันนึงเมื่อท่านกลายเป็น คนแก่อีกคนหนึ่ง คนรุ่นใหม่จะได้รำลึกถึงท่านในคุณูปการที่ท่านได้ฝากไว้แก่โลกนี้ . .
    0 Comments 0 Shares 442 Views 0 Reviews
  • ตอนเรียน มธ.หลงเชื่อข้อมูลผิดๆ ไม่ชอบ ร.๑๐ จนไม่เข้ารับปริญญา ทั้งๆที่ได้ #เกียรตินิยม รู้สึกเสียใจและเสียดายจนถึงทุกวันนี้...
    และ เพราะอะไรถึงกลับมารัก ร.๑๐ อย่างสุดหัวใจ 🙏💛
    ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ 'ดร.นิว' นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา

    ได้โพสเฟซบุ๊ค ดังนี้
    .
    ผมเป็นคนหนึ่งที่เรียน มธ. รหัส 53 และเคยได้รับข้อมูลผิด ๆ จนไม่ชอบในหลวง ร.10 มาก ๆ ถึงขั้นไม่เข้ารับพระราชทานปริญญาทั้ง ๆ ที่ผมจบเกียรตินิยม ผมไม่ได้เข้ารับของจริง ถ้าไม่เชื่อก็ไปเช็กได้เลยครับ ผมจึงยังคงเสียใจและเสียดายมาจนถึงทุกวันนี้ แต่พอได้ศึกษาข้อมูลที่ถูกต้องด้วยตนเองในช่วงเรียนปริญญาเอกที่สิงคโปร์ จากที่ไม่ชอบก็กลายเป็นรักและเห็นใจพระองค์ท่านมาก ๆ
    .
    พบว่าสิ่งที่เคยได้ยินจากสามนิ้วล้มเจ้าในยุคนั้นล้วนเป็นความเท็จและไม่มีประโยชน์ เห็นได้ชัดเจนมาก ๆ ว่าการบิดเบือนให้ร้ายในหลวง ร.10 เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน เพื่อเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจ โดยมักบิดเบือนให้ร้ายสร้างมโนภาพต่าง ๆ ให้ในหลวง ร.10 กลายเป็นคนไม่ดี เป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นจอมวายร้าย
    .
    แต่ทว่าในความเป็นจริง แม้ในหลวง ร.10 จะเป็นคนเคร่งครัดมากในระเบียบวินัยแบบทหาร แต่พระองค์ท่านก็เป็นคนที่มีเมตตาสูงมาก ขนาดชีวิตสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย ท่านยังให้ความเมตตาแบบสุด ๆ ผมเคยได้ยินเรื่องหนึ่งที่เชื่อถือได้อย่างแน่ชัด เวลามีสัตว์หลงเข้ามาในลานฝึก ทหารที่ฝึกกับพระองค์ท่านจะต้องหยิบมันไปปล่อยอย่างเหมาะสม ใครจะไปนึกว่าในหลวง ร.10 จะทรงน่ารักขนาดนี้
    .
    ผมยังจำได้ดี ตอนผมจบปริญญาเอกปี 2561 ในวัย 26 ปี ในปีนั้นเพื่อนชาวสิงคโปร์ของผมชื่อ ‘ยองเจีย’ วัย 25 ปี เคยแสดงความคิดเห็นให้ผมฟังว่า "สถาบันพระมหากษัตริย์คือจุดแข็งที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษอันหาได้ยากยิ่ง ลองคิดดูนะ กว่าประเทศอื่นจะรวมผู้คนให้สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่ประเทศไทยสามารถทำได้แค่ในชั่วพริบตา เพราะมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คน ดังนั้นถ้าหากมีใครต้องการทำลายประเทศไทย หรือแทรกแซงประเทศไทยเพื่อผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงไม่แปลกที่เขาต้องทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์"
    .
    ผมโชคดีที่ตาสว่างกว่า ไม่เช่นนั้นตอนนี้ผมอาจติดคุกหรือไม่ก็ได้ดิบได้ดีในพรรคการเมืองหนึ่ง พรรคที่มีรากเหง้ามาจากสามนิ้วล้มเจ้าใน มธ. ชอบอ้างอย่างปลอมเปลือกว่าอยากให้สถาบันพระมหากษัตริย์มั่นคงสถาพร แต่ในความเป็นจริงแม้แต่ถวายพระพรก็ยังไม่มีเลย สุดท้ายเมื่อผมออกจาก Echo Chamber ของการลือตาม ๆ กันอย่างเสียสติ ไม่ต่างจากนกแก้วนกขุนทอง ไม่หลงเชื่อการโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนให้ร้ายพระองค์ท่านอีกต่อไป ผมจึงตาสว่างยิ่งกว่าตาสว่างและรักพระองค์ท่านสุดหัวใจ

    ดร.นิว ศุภณัฐ

    การที่บุคคล เห็นโทษ โดยความเป็นโทษ แล้วทำ คืนตามธรรม ถึงความสำรวมระวังต่อไป นี้เป็นความเจริญในอริยวินัย ของผู้นั้น
    #ตถาคตภาษิต
    ตอนเรียน มธ.หลงเชื่อข้อมูลผิดๆ ไม่ชอบ ร.๑๐ จนไม่เข้ารับปริญญา ทั้งๆที่ได้ #เกียรตินิยม รู้สึกเสียใจและเสียดายจนถึงทุกวันนี้... และ เพราะอะไรถึงกลับมารัก ร.๑๐ อย่างสุดหัวใจ 🙏💛 ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ 'ดร.นิว' นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โพสเฟซบุ๊ค ดังนี้ . ผมเป็นคนหนึ่งที่เรียน มธ. รหัส 53 และเคยได้รับข้อมูลผิด ๆ จนไม่ชอบในหลวง ร.10 มาก ๆ ถึงขั้นไม่เข้ารับพระราชทานปริญญาทั้ง ๆ ที่ผมจบเกียรตินิยม ผมไม่ได้เข้ารับของจริง ถ้าไม่เชื่อก็ไปเช็กได้เลยครับ ผมจึงยังคงเสียใจและเสียดายมาจนถึงทุกวันนี้ แต่พอได้ศึกษาข้อมูลที่ถูกต้องด้วยตนเองในช่วงเรียนปริญญาเอกที่สิงคโปร์ จากที่ไม่ชอบก็กลายเป็นรักและเห็นใจพระองค์ท่านมาก ๆ . พบว่าสิ่งที่เคยได้ยินจากสามนิ้วล้มเจ้าในยุคนั้นล้วนเป็นความเท็จและไม่มีประโยชน์ เห็นได้ชัดเจนมาก ๆ ว่าการบิดเบือนให้ร้ายในหลวง ร.10 เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน เพื่อเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจ โดยมักบิดเบือนให้ร้ายสร้างมโนภาพต่าง ๆ ให้ในหลวง ร.10 กลายเป็นคนไม่ดี เป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นจอมวายร้าย . แต่ทว่าในความเป็นจริง แม้ในหลวง ร.10 จะเป็นคนเคร่งครัดมากในระเบียบวินัยแบบทหาร แต่พระองค์ท่านก็เป็นคนที่มีเมตตาสูงมาก ขนาดชีวิตสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย ท่านยังให้ความเมตตาแบบสุด ๆ ผมเคยได้ยินเรื่องหนึ่งที่เชื่อถือได้อย่างแน่ชัด เวลามีสัตว์หลงเข้ามาในลานฝึก ทหารที่ฝึกกับพระองค์ท่านจะต้องหยิบมันไปปล่อยอย่างเหมาะสม ใครจะไปนึกว่าในหลวง ร.10 จะทรงน่ารักขนาดนี้ . ผมยังจำได้ดี ตอนผมจบปริญญาเอกปี 2561 ในวัย 26 ปี ในปีนั้นเพื่อนชาวสิงคโปร์ของผมชื่อ ‘ยองเจีย’ วัย 25 ปี เคยแสดงความคิดเห็นให้ผมฟังว่า "สถาบันพระมหากษัตริย์คือจุดแข็งที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษอันหาได้ยากยิ่ง ลองคิดดูนะ กว่าประเทศอื่นจะรวมผู้คนให้สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่ประเทศไทยสามารถทำได้แค่ในชั่วพริบตา เพราะมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คน ดังนั้นถ้าหากมีใครต้องการทำลายประเทศไทย หรือแทรกแซงประเทศไทยเพื่อผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงไม่แปลกที่เขาต้องทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์" . ผมโชคดีที่ตาสว่างกว่า ไม่เช่นนั้นตอนนี้ผมอาจติดคุกหรือไม่ก็ได้ดิบได้ดีในพรรคการเมืองหนึ่ง พรรคที่มีรากเหง้ามาจากสามนิ้วล้มเจ้าใน มธ. ชอบอ้างอย่างปลอมเปลือกว่าอยากให้สถาบันพระมหากษัตริย์มั่นคงสถาพร แต่ในความเป็นจริงแม้แต่ถวายพระพรก็ยังไม่มีเลย สุดท้ายเมื่อผมออกจาก Echo Chamber ของการลือตาม ๆ กันอย่างเสียสติ ไม่ต่างจากนกแก้วนกขุนทอง ไม่หลงเชื่อการโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนให้ร้ายพระองค์ท่านอีกต่อไป ผมจึงตาสว่างยิ่งกว่าตาสว่างและรักพระองค์ท่านสุดหัวใจ ดร.นิว ศุภณัฐ การที่บุคคล เห็นโทษ โดยความเป็นโทษ แล้วทำ คืนตามธรรม ถึงความสำรวมระวังต่อไป นี้เป็นความเจริญในอริยวินัย ของผู้นั้น #ตถาคตภาษิต
    0 Comments 0 Shares 514 Views 0 Reviews
  • ทุกการพบคือ... การเตรียมจากลา ใช้ช่วงเวลานี้ ให้ดีที่สุด! คุ้มค่าจริงหรือ? ที่จะเก็บความโกรธไว้ จนไม่ได้เจอกันอีกเลย

    เมื่อวันพรุ่งนี้อาจไม่มีอีกแล้ว... รักให้มากที่สุด ก่อนที่จะสายเกินไป อย่าปล่อยให้ความโกรธพรากคนที่คุณรัก ใช้เวลานี้ให้ดีที่สุด เพราะทุกการพบคือการเตรียมจากลา

    จะพาทบทวนความสัมพันธ์ ความเปราะบางของชีวิต และเหตุผลที่เราควรใช้ช่วงเวลาทุกวินาทีให้คุ้มค่า เพราะเราไม่มีวันรู้เลยว่า วันพรุ่งนี้จะมีให้กับทุกคนอีกหรือไม่

    🌿 ชีวิตคือ “ของขวัญชั่วคราว” ที่ไม่มีใครบอกได้ว่า วันหมดอายุคือเมื่อไหร่ เคยไหม... อยู่กับใครสักคนทุกวัน จนหลงลืมว่า เขาอาจไม่อยู่กับเราตลอดไป?

    เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วย “ความไม่แน่นอน” และ “การสูญเสีย” แม้จะรู้ดีว่าความตาย เป็นปลายทางของทุกชีวิต แต่หลายคนก็ยังใช้ชีวิตราวกับว่า มีเวลามากมายไม่รู้จบ ทั้งที่จริง... เราไม่มีใครรู้เลยว่า “วันนี้” อาจเป็น “วันสุดท้าย” ที่เราจะได้เห็นรอยยิ้มของใครบางคน

    การเข้าใจความไม่แน่นอนของชีวิต ไม่ได้ทำให้เราต้องใช้ชีวิตอย่างเศร้าสร้อย แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้เรา “เห็นคุณค่า” ของแต่ละวินาทีที่ยังมีอยู่ ใช้โอกาสนี้ให้ดีที่สุดก่อนที่จะ “สายเกินไป”

    ความหมายของคำว่า “ทุกการพบคือการเตรียมจากลา” คำพูดที่ดูเรียบง่ายนี้ กลับเต็มไปด้วยความจริงที่ลึกซึ้ง

    เราเกิดมาเพื่อ “พบเจอ” และ “จากลา” เป็นวัฏจักรของชีวิต ที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แม้เราจะหลีกเลี่ยงการพูดถึงมัน แต่ความตายก็ยังอยู่ตรงนั้น รอวันเวลาที่มาถึง

    📌 “เราต่างพบกันชั่วคราว เพื่อจากกันตลอดกาลเท่านั้นเอง”

    ประโยคนี้อาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกใจหาย แต่มันคือ “ความจริง” ที่ควรเตือนใจเราทุกวัน ว่า... อย่าประมาทกับเวลา อย่าผัดวันประกันพรุ่งในการรัก การให้อภัย หรือการดูแลกัน และอย่าปล่อยให้ความโกรธ กลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราทิ้งไว้ให้กัน

    เพราะ “ความตาย” ไม่รอใคร... 🖤 บางคนเพิ่งกอดกันเมื่อวาน วันนี้อาจเหลือแค่ความว่างเปล่า...

    มนุษย์เรามีแนวโน้ม จะมองข้ามความเปราะบางของชีวิต เราใช้ชีวิตเหมือนมีพรุ่งนี้เสมอ ทั้งที่พรุ่งนี้อาจไม่มีจริง สำหรับบางคน

    ลองคิดดูสิ... ถ้าคืนนี้เป็นคืนสุดท้าย คุณจะยังโกรธใครอยู่ไหม? ถ้าคนที่คุณรักกำลังจะจากไป คุณจะยังเลือกความเงียบมากกว่าการสื่อสารไหม? ถ้าพรุ่งนี้เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว คุณจะเสียใจแค่ไหน ที่ไม่ได้บอกรักเขาอีกสักครั้ง?

    💡 “การตาย” อาจเกิดขึ้นทันที โดยไม่ให้เวลาเตรียมใจแม้แต่นาทีเดียว

    คุ้มค่าจริงหรือ? ที่จะเก็บความโกรธไว้... จนไม่ได้เจอกันอีกเลย โกรธ... คืออารมณ์ที่มนุษย์ทุกคนมี แต่การเก็บความโกรธไว้นาน ๆ โดยไม่หาทางปลดปล่อยมัน อาจกลายเป็นบาดแผลในความสัมพันธ์ ที่ไม่มีวันรักษาได้

    🔥 คนเราทะเลาะกันได้ ผิดใจกันได้ แต่ควรรีบเคลียร์ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่า “โอกาสหน้า” จะยังมีอยู่หรือเปล่า

    “ความโกรธไม่ใช่ปัญหา... แต่การไม่จัดการความโกรธต่างหาก ที่เป็นปัญหา” ทุกความโกรธ ทุกความเข้าใจผิด ควรถูกแก้ไขในวันที่ยังมีโอกาส ไม่ใช่ในวันงานศพ ที่ไม่สามารถพูดอะไรได้อีกแล้ว

    ใช้เวลานี้ให้ดีที่สุด รักให้มากที่สุด เท่าที่เวลาจะมีให้ ⏳ เวลาคือทรัพยากรที่ใช้แล้ว ไม่สามารถเรียกคืนได้ แทนที่จะมัวเสียเวลาไปกับความคาดหวัง การเปรียบเทียบ หรือความขุ่นเคืองใจ ลองหันกลับมาใช้ “เวลาที่เหลืออยู่” เพื่อทำสิ่งเหล่านี้...

    บอกรักให้บ่อยขึ้น กอดกันให้แน่นขึ้น ให้อภัยเร็วขึ้น ฟังกันมากขึ้น ใส่ใจกันมากกว่าก่อน เพราะสุดท้ายแล้ว... ไม่มีใครเสียใจที่รักมากเกินไป แต่ทุกคนเสียใจที่ “ไม่ได้รักให้มากพอ”

    เมื่อวันพรุ่งนี้ไม่มีอีกแล้ว... 🎗️ โลกนี้ไม่เคยเตรียมเราให้พร้อมกับการจากลา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ คนรัก เพื่อนสนิท หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง ทุกคนล้วนมีวันจากไป บางคนอาจจากกันด้วยเหตุผล บางคนจากกันด้วยความตาย และบางคนจากไป... โดยไม่มีแม้แต่คำลา

    และเมื่อวันนั้นมาถึง... ไม่มีเวลาแก้ตัว ไม่มีเวลาอธิบาย ไม่มีเวลาขอโทษ ไม่มีเวลาเริ่มต้นใหม่ จะดีกว่าไหม ถ้าทำทุกวันให้ดีที่สุด... เหมือนมันคือวันสุดท้าย

    อย่าทำร้ายกันด้วยความเงียบ 💬 การไม่พูด การไม่อธิบาย การไม่บอกความรู้สึก คือสิ่งที่ทำร้ายจิตใจ ได้มากกว่าคำพูดรุนแรงเสียอีก

    ในช่วงเวลาที่มีจำกัด คำพูดง่าย ๆ อย่าง “ขอโทษ” “คิดถึง” หรือ “รักนะ” อาจเป็นสิ่งที่เปลี่ยนใจใครบางคนได้ และอาจเป็นคำสุดท้ายที่เขาได้ยินจากเรา

    ถ้าเป็นวันนี้... คุณยังอยากโกรธอยู่ไหม? ลองถามตัวเอง... ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของเรา... เรายังอยากถือโทษใครอยู่ไหม? ถ้าคำตอบคือ “ไม่” แปลว่า... ความโกรธนั้น ไม่สำคัญพอจะเก็บมันไว้ตั้งแต่แรก

    ชีวิตสั้นเกินกว่าจะเก็บความรู้สึกดี ๆ ไว้ 🌼 ทุกการพบคือการเตรียมจากลา ใช้ช่วงเวลาที่มีให้คุ้มค่า ใช้ใจในการรัก ใช้เวลาในการฟัง ใช้โอกาสในการให้อภัย ใช้คำพูดในการสร้างความเข้าใจ

    โลกใบนี้ไม่แน่นอน แต่การกระทำของเราวันนี้สามารถ “เปลี่ยนแปลงความทรงจำของใครสักคนตลอดไป”

    ทุกลมหายใจ คือของขวัญ 🕊️ อย่ารอให้สายเกินไป ก่อนจะพูดว่า... "ฉันรักเธอ"

    เราควรให้อภัยคนที่ทำร้ายเรา? เพราะการให้อภัย คือการปลดปล่อยตัวเอง ไม่ใช่เพื่อตัวเขา แต่เพื่อตัวเรา ที่จะได้ก้าวต่อไปอย่างสงบ

    หากคุณยังรู้สึกผิด หรือยังคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แปลว่า... ยังไม่สายเกินไปที่จะพูดคำขอโท

    คำว่า “ชั่วคราว” มีพลังมาก เพราะมันเตือนให้เรารู้ว่า ไม่มีสิ่งใดยั่งยืน ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไป

    เราจะหยุดโกรธคนที่เรารัก หากนึกถึงช่วงเวลาที่ดี นึกถึงวันหนึ่งที่เขาอาจไม่อยู่ แล้วคุณจะรู้ว่าความโกรธไม่คุ้มค่า

    ความรักจะช่วยเยียวยาความเสียใจได้ เพราะความรักคือการเข้าใจ ให้อภัย และเป็นพลังงานที่อยู่เหนือความเศร้า

    เริ่มใช้ชีวิตให้คุ้มค่าจากวันนี้ ลองโทรหาคนที่คุณคิดถึง พูดในสิ่งที่อยากพูด ทำในสิ่งที่อยากทำ ก่อนจะไม่มีโอกาสอีก

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 222155 เม.ย. 2568

    #ใช้เวลานี้ให้ดีที่สุด #อย่าปล่อยให้สายเกินไป #รักให้เต็มที่ #คำขอโทษสุดท้าย #ความตายคือปลายทาง #ความรักและการให้อภัย #ความทรงจำดีๆ #ชีวิตสั้นนัก #พบเพื่อจาก #เราต่างพบกันชั่วคราว
    ทุกการพบคือ... การเตรียมจากลา ใช้ช่วงเวลานี้ ให้ดีที่สุด! คุ้มค่าจริงหรือ? ที่จะเก็บความโกรธไว้ จนไม่ได้เจอกันอีกเลย เมื่อวันพรุ่งนี้อาจไม่มีอีกแล้ว... รักให้มากที่สุด ก่อนที่จะสายเกินไป อย่าปล่อยให้ความโกรธพรากคนที่คุณรัก ใช้เวลานี้ให้ดีที่สุด เพราะทุกการพบคือการเตรียมจากลา จะพาทบทวนความสัมพันธ์ ความเปราะบางของชีวิต และเหตุผลที่เราควรใช้ช่วงเวลาทุกวินาทีให้คุ้มค่า เพราะเราไม่มีวันรู้เลยว่า วันพรุ่งนี้จะมีให้กับทุกคนอีกหรือไม่ 🌿 ชีวิตคือ “ของขวัญชั่วคราว” ที่ไม่มีใครบอกได้ว่า วันหมดอายุคือเมื่อไหร่ เคยไหม... อยู่กับใครสักคนทุกวัน จนหลงลืมว่า เขาอาจไม่อยู่กับเราตลอดไป? เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วย “ความไม่แน่นอน” และ “การสูญเสีย” แม้จะรู้ดีว่าความตาย เป็นปลายทางของทุกชีวิต แต่หลายคนก็ยังใช้ชีวิตราวกับว่า มีเวลามากมายไม่รู้จบ ทั้งที่จริง... เราไม่มีใครรู้เลยว่า “วันนี้” อาจเป็น “วันสุดท้าย” ที่เราจะได้เห็นรอยยิ้มของใครบางคน การเข้าใจความไม่แน่นอนของชีวิต ไม่ได้ทำให้เราต้องใช้ชีวิตอย่างเศร้าสร้อย แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้เรา “เห็นคุณค่า” ของแต่ละวินาทีที่ยังมีอยู่ ใช้โอกาสนี้ให้ดีที่สุดก่อนที่จะ “สายเกินไป” ความหมายของคำว่า “ทุกการพบคือการเตรียมจากลา” คำพูดที่ดูเรียบง่ายนี้ กลับเต็มไปด้วยความจริงที่ลึกซึ้ง เราเกิดมาเพื่อ “พบเจอ” และ “จากลา” เป็นวัฏจักรของชีวิต ที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แม้เราจะหลีกเลี่ยงการพูดถึงมัน แต่ความตายก็ยังอยู่ตรงนั้น รอวันเวลาที่มาถึง 📌 “เราต่างพบกันชั่วคราว เพื่อจากกันตลอดกาลเท่านั้นเอง” ประโยคนี้อาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกใจหาย แต่มันคือ “ความจริง” ที่ควรเตือนใจเราทุกวัน ว่า... อย่าประมาทกับเวลา อย่าผัดวันประกันพรุ่งในการรัก การให้อภัย หรือการดูแลกัน และอย่าปล่อยให้ความโกรธ กลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราทิ้งไว้ให้กัน เพราะ “ความตาย” ไม่รอใคร... 🖤 บางคนเพิ่งกอดกันเมื่อวาน วันนี้อาจเหลือแค่ความว่างเปล่า... มนุษย์เรามีแนวโน้ม จะมองข้ามความเปราะบางของชีวิต เราใช้ชีวิตเหมือนมีพรุ่งนี้เสมอ ทั้งที่พรุ่งนี้อาจไม่มีจริง สำหรับบางคน ลองคิดดูสิ... ถ้าคืนนี้เป็นคืนสุดท้าย คุณจะยังโกรธใครอยู่ไหม? ถ้าคนที่คุณรักกำลังจะจากไป คุณจะยังเลือกความเงียบมากกว่าการสื่อสารไหม? ถ้าพรุ่งนี้เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว คุณจะเสียใจแค่ไหน ที่ไม่ได้บอกรักเขาอีกสักครั้ง? 💡 “การตาย” อาจเกิดขึ้นทันที โดยไม่ให้เวลาเตรียมใจแม้แต่นาทีเดียว คุ้มค่าจริงหรือ? ที่จะเก็บความโกรธไว้... จนไม่ได้เจอกันอีกเลย โกรธ... คืออารมณ์ที่มนุษย์ทุกคนมี แต่การเก็บความโกรธไว้นาน ๆ โดยไม่หาทางปลดปล่อยมัน อาจกลายเป็นบาดแผลในความสัมพันธ์ ที่ไม่มีวันรักษาได้ 🔥 คนเราทะเลาะกันได้ ผิดใจกันได้ แต่ควรรีบเคลียร์ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่า “โอกาสหน้า” จะยังมีอยู่หรือเปล่า “ความโกรธไม่ใช่ปัญหา... แต่การไม่จัดการความโกรธต่างหาก ที่เป็นปัญหา” ทุกความโกรธ ทุกความเข้าใจผิด ควรถูกแก้ไขในวันที่ยังมีโอกาส ไม่ใช่ในวันงานศพ ที่ไม่สามารถพูดอะไรได้อีกแล้ว ใช้เวลานี้ให้ดีที่สุด รักให้มากที่สุด เท่าที่เวลาจะมีให้ ⏳ เวลาคือทรัพยากรที่ใช้แล้ว ไม่สามารถเรียกคืนได้ แทนที่จะมัวเสียเวลาไปกับความคาดหวัง การเปรียบเทียบ หรือความขุ่นเคืองใจ ลองหันกลับมาใช้ “เวลาที่เหลืออยู่” เพื่อทำสิ่งเหล่านี้... บอกรักให้บ่อยขึ้น กอดกันให้แน่นขึ้น ให้อภัยเร็วขึ้น ฟังกันมากขึ้น ใส่ใจกันมากกว่าก่อน เพราะสุดท้ายแล้ว... ไม่มีใครเสียใจที่รักมากเกินไป แต่ทุกคนเสียใจที่ “ไม่ได้รักให้มากพอ” เมื่อวันพรุ่งนี้ไม่มีอีกแล้ว... 🎗️ โลกนี้ไม่เคยเตรียมเราให้พร้อมกับการจากลา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ คนรัก เพื่อนสนิท หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง ทุกคนล้วนมีวันจากไป บางคนอาจจากกันด้วยเหตุผล บางคนจากกันด้วยความตาย และบางคนจากไป... โดยไม่มีแม้แต่คำลา และเมื่อวันนั้นมาถึง... ไม่มีเวลาแก้ตัว ไม่มีเวลาอธิบาย ไม่มีเวลาขอโทษ ไม่มีเวลาเริ่มต้นใหม่ จะดีกว่าไหม ถ้าทำทุกวันให้ดีที่สุด... เหมือนมันคือวันสุดท้าย อย่าทำร้ายกันด้วยความเงียบ 💬 การไม่พูด การไม่อธิบาย การไม่บอกความรู้สึก คือสิ่งที่ทำร้ายจิตใจ ได้มากกว่าคำพูดรุนแรงเสียอีก ในช่วงเวลาที่มีจำกัด คำพูดง่าย ๆ อย่าง “ขอโทษ” “คิดถึง” หรือ “รักนะ” อาจเป็นสิ่งที่เปลี่ยนใจใครบางคนได้ และอาจเป็นคำสุดท้ายที่เขาได้ยินจากเรา ถ้าเป็นวันนี้... คุณยังอยากโกรธอยู่ไหม? ลองถามตัวเอง... ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของเรา... เรายังอยากถือโทษใครอยู่ไหม? ถ้าคำตอบคือ “ไม่” แปลว่า... ความโกรธนั้น ไม่สำคัญพอจะเก็บมันไว้ตั้งแต่แรก ชีวิตสั้นเกินกว่าจะเก็บความรู้สึกดี ๆ ไว้ 🌼 ทุกการพบคือการเตรียมจากลา ใช้ช่วงเวลาที่มีให้คุ้มค่า ใช้ใจในการรัก ใช้เวลาในการฟัง ใช้โอกาสในการให้อภัย ใช้คำพูดในการสร้างความเข้าใจ โลกใบนี้ไม่แน่นอน แต่การกระทำของเราวันนี้สามารถ “เปลี่ยนแปลงความทรงจำของใครสักคนตลอดไป” ทุกลมหายใจ คือของขวัญ 🕊️ อย่ารอให้สายเกินไป ก่อนจะพูดว่า... "ฉันรักเธอ" เราควรให้อภัยคนที่ทำร้ายเรา? เพราะการให้อภัย คือการปลดปล่อยตัวเอง ไม่ใช่เพื่อตัวเขา แต่เพื่อตัวเรา ที่จะได้ก้าวต่อไปอย่างสงบ หากคุณยังรู้สึกผิด หรือยังคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แปลว่า... ยังไม่สายเกินไปที่จะพูดคำขอโท คำว่า “ชั่วคราว” มีพลังมาก เพราะมันเตือนให้เรารู้ว่า ไม่มีสิ่งใดยั่งยืน ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไป เราจะหยุดโกรธคนที่เรารัก หากนึกถึงช่วงเวลาที่ดี นึกถึงวันหนึ่งที่เขาอาจไม่อยู่ แล้วคุณจะรู้ว่าความโกรธไม่คุ้มค่า ความรักจะช่วยเยียวยาความเสียใจได้ เพราะความรักคือการเข้าใจ ให้อภัย และเป็นพลังงานที่อยู่เหนือความเศร้า เริ่มใช้ชีวิตให้คุ้มค่าจากวันนี้ ลองโทรหาคนที่คุณคิดถึง พูดในสิ่งที่อยากพูด ทำในสิ่งที่อยากทำ ก่อนจะไม่มีโอกาสอีก ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 222155 เม.ย. 2568 #ใช้เวลานี้ให้ดีที่สุด #อย่าปล่อยให้สายเกินไป #รักให้เต็มที่ #คำขอโทษสุดท้าย #ความตายคือปลายทาง #ความรักและการให้อภัย #ความทรงจำดีๆ #ชีวิตสั้นนัก #พบเพื่อจาก #เราต่างพบกันชั่วคราว
    0 Comments 0 Shares 509 Views 0 Reviews
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 3 ความมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้น
    .
    เงิน 100 บาท เมื่อฝากในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ครบ 1 ปี เงินต้นนั้นก็จะโตเป็น 110 บาท (ดอกเบี้ย 10บาท ไปทบเงินต้นเดิม 100บาท จนกลายเป็นเงินใหม่ 110บาท)
    เงิน 110 บาทนี้ จะกลายเป็นเงินต้นของการคิดดอกเบี้ยในช่วงเวลาปีที่ 2 ต่อไป ดังนั้นเงินต้น 110 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อปี ในเวลา 1 ปี ก็จะโตขึ้นเป็น 121 บาท (เงินต้น 110 บาท + ดอกเบี้ยระหว่างปีที่สอง 11 บาท)
    สรุปได้ว่า เงินต้น 100 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยประเภททบต้นร้อยละ 10 ต่อปี ภายในเวลา 2 ปี เงินต้น 100 บาทนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 121 บาท
    .
    ภายใต้ระบบดอกเบี้ยธรรมดา การฝากเงิน 100 บาท อัตรดอกเบี้ยร้อยละ 10 เป็นเวลา 2 ปี เงินต้นก็จะเติบโตเป็น 120 บาท (เงินต้น 100 บาท + ดอกเบี้ยปีที่หนึ่ง 10 บาท + ดอกเบี้ยปีที่สอง 10 บาท)
    .
    ในตัวอย่างข้างต้น วิธีคิดดอกเบี้ยทบต้น ทำให้ ณ ปลายปีที่สอง เงินต้น 100 บาท เติบโตเป็น 121 บาท ในขณะที่วิธีคิดดอกเบี้ยธรรมดา ทำใหเงินต้นเติบโตเป็น 120 บาท ข้อแตกต่างกัน 1 บาทมิใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะถ้าเงินต้นเป็น 1 ล้านบาท ก็หมายความว่าเงินแตกต่างกันถึง 10,000 บาท และเมื่อฝากนานปี เข้ากลไกการทบดอกเบี้ยเข้ากับเงินต้นก็จะแสดงอิทธิฤทธิ์ยิ่งขึ้นทุกปี
    .
    มีสูตรคณิตศาสตร์ง่ายๆที่แสดงให้เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยทบต้นทำให้เงินงอกเงยได้เร็วแค่ไหน ให้เอาตัวเลขคงที่ 70 ตั้ง (ตำราบางเล่มใช้เลข 72 ซึ่งมีผลไม่ต่างกันนัก) และหารด้วยอัตราดอกเบี้ยทบต้นต่อปี ตัวเลขที่ได้คือ จำนวนปีที่ต้องใช้เพื่อให้เงินต้นเพิ่มขึ้นประมาณหนึ่งเท่าตัว
    .
    ตามตัวอย่างแรกข้างต้น อัตราดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 10 ต่อปี ดังนั้นเงินต้น 100 บาท จะเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัวเป็น 200 บาทในเวลา 7 ปี (70 หารด้วย 10) อีก 7 ปีต่อมาจะกลายเป็น 400 บาท อีก 7 ปีต่อมาจะเพิ่มขึ่นเป็น 800 บาท และอีก 7 ปีต่อมาจะเพิ่มเป็น 1,600 หรือเพิ่มขึ้น 16 เท่าตัว (จาก 100 กลายเป็น 1,600) ในเวลา 28 ปี ให้ลองจินตนาการดูว่าถ้าฝากไว้ 10 ล้านบาท มันก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 160 ล้านบาท โดยไม่ต้องออกแรงแต่อย่างใด
    .
    ยิ่งอัตราดอกเบี้ยทบต้นสูงเท่าใด ช่วงเวลาที่เงินต้นนั้นจะเพิ่มอีกหนึ่งเท่าตัวก็ยิ่งสั้นลงเท่านั้น และถ้าคิดดอกเบี้ยทบต้นต่อช่วงเวลาที่สั้นลงเพียงใด อัตราดอกเบี้ยทบต้นก็ยิ่งมีความมหัศจรรย์มากขึ้นเพียงนั้น
    .
    ถ้าออมและฝากเงินเดือนละ 500 บาท ในอัตราดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 10 ต่อปี ฝากเป็นเวลา 10 ปี จะได้เงินก้อน 103,276 บาท ทั้งหมดนี้เงินเติบโตโดยเจ้าของเงินไม่ต้องออกแรงแต่อย่างใด (ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน ถ้าฝากเดือนละ 5,000 บาท ก็จะเพิ่มเป็น 10 เท่า เงินก้อนสุดท้ายเท่ากับ 1,032760 บาท และถ้าฝากเดือนละ 50,000 บาท ก็จะเพิ่มเป็น 100 เท่า เงินก้อนสุดท้ายเท่ากับ 10,327,600 บาท)
    .
    500 บาท มิใช่เงินมากมายนักต่อเดือน ลองคิดดูว่าถ้าใช้จ่ายเงินน้อยลงเดือนละ 500 บาท และนำเงินจำนวนนั้นในแต่ละเดือนไปฝากสถาบันการเงิน เงินก็จะงอกเงยขึ้นตลอดเวลา แม้แต่ ณ อัตราดอกเบี้ยต่ำสุดคือร้อยละ 5 ฝากเป็นระยะเวลา 5 ปี ยังได้เงินก้อน 34,145 บาท
    .
    การบ่นว่ามีเงินเดือนประจำน้อยในระดับพันบาทจนไม่สามารถผ่อนบ้านได้เลย จึงไม่เป็นความจริง โดยทั่วไปเรามักดูกันแต่ตัวเลขเงินที่ตนเองต้องออม ซึ่งเป็นก้อนใหญ่เพื่อซื้อบ้านจนรู้สึกท้อใจ บ่อยครั้งที่เรามักมองข้ามการทำให้เงินงอกเงยอย่างน่ามหัศจรรย์จากการทำงานของอัตราดอกเบี้ยทบต้น.



    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 3 ความมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้น . เงิน 100 บาท เมื่อฝากในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ครบ 1 ปี เงินต้นนั้นก็จะโตเป็น 110 บาท (ดอกเบี้ย 10บาท ไปทบเงินต้นเดิม 100บาท จนกลายเป็นเงินใหม่ 110บาท) เงิน 110 บาทนี้ จะกลายเป็นเงินต้นของการคิดดอกเบี้ยในช่วงเวลาปีที่ 2 ต่อไป ดังนั้นเงินต้น 110 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อปี ในเวลา 1 ปี ก็จะโตขึ้นเป็น 121 บาท (เงินต้น 110 บาท + ดอกเบี้ยระหว่างปีที่สอง 11 บาท) สรุปได้ว่า เงินต้น 100 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยประเภททบต้นร้อยละ 10 ต่อปี ภายในเวลา 2 ปี เงินต้น 100 บาทนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 121 บาท . ภายใต้ระบบดอกเบี้ยธรรมดา การฝากเงิน 100 บาท อัตรดอกเบี้ยร้อยละ 10 เป็นเวลา 2 ปี เงินต้นก็จะเติบโตเป็น 120 บาท (เงินต้น 100 บาท + ดอกเบี้ยปีที่หนึ่ง 10 บาท + ดอกเบี้ยปีที่สอง 10 บาท) . ในตัวอย่างข้างต้น วิธีคิดดอกเบี้ยทบต้น ทำให้ ณ ปลายปีที่สอง เงินต้น 100 บาท เติบโตเป็น 121 บาท ในขณะที่วิธีคิดดอกเบี้ยธรรมดา ทำใหเงินต้นเติบโตเป็น 120 บาท ข้อแตกต่างกัน 1 บาทมิใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะถ้าเงินต้นเป็น 1 ล้านบาท ก็หมายความว่าเงินแตกต่างกันถึง 10,000 บาท และเมื่อฝากนานปี เข้ากลไกการทบดอกเบี้ยเข้ากับเงินต้นก็จะแสดงอิทธิฤทธิ์ยิ่งขึ้นทุกปี . มีสูตรคณิตศาสตร์ง่ายๆที่แสดงให้เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยทบต้นทำให้เงินงอกเงยได้เร็วแค่ไหน ให้เอาตัวเลขคงที่ 70 ตั้ง (ตำราบางเล่มใช้เลข 72 ซึ่งมีผลไม่ต่างกันนัก) และหารด้วยอัตราดอกเบี้ยทบต้นต่อปี ตัวเลขที่ได้คือ จำนวนปีที่ต้องใช้เพื่อให้เงินต้นเพิ่มขึ้นประมาณหนึ่งเท่าตัว . ตามตัวอย่างแรกข้างต้น อัตราดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 10 ต่อปี ดังนั้นเงินต้น 100 บาท จะเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัวเป็น 200 บาทในเวลา 7 ปี (70 หารด้วย 10) อีก 7 ปีต่อมาจะกลายเป็น 400 บาท อีก 7 ปีต่อมาจะเพิ่มขึ่นเป็น 800 บาท และอีก 7 ปีต่อมาจะเพิ่มเป็น 1,600 หรือเพิ่มขึ้น 16 เท่าตัว (จาก 100 กลายเป็น 1,600) ในเวลา 28 ปี ให้ลองจินตนาการดูว่าถ้าฝากไว้ 10 ล้านบาท มันก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 160 ล้านบาท โดยไม่ต้องออกแรงแต่อย่างใด . ยิ่งอัตราดอกเบี้ยทบต้นสูงเท่าใด ช่วงเวลาที่เงินต้นนั้นจะเพิ่มอีกหนึ่งเท่าตัวก็ยิ่งสั้นลงเท่านั้น และถ้าคิดดอกเบี้ยทบต้นต่อช่วงเวลาที่สั้นลงเพียงใด อัตราดอกเบี้ยทบต้นก็ยิ่งมีความมหัศจรรย์มากขึ้นเพียงนั้น . ถ้าออมและฝากเงินเดือนละ 500 บาท ในอัตราดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 10 ต่อปี ฝากเป็นเวลา 10 ปี จะได้เงินก้อน 103,276 บาท ทั้งหมดนี้เงินเติบโตโดยเจ้าของเงินไม่ต้องออกแรงแต่อย่างใด (ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน ถ้าฝากเดือนละ 5,000 บาท ก็จะเพิ่มเป็น 10 เท่า เงินก้อนสุดท้ายเท่ากับ 1,032760 บาท และถ้าฝากเดือนละ 50,000 บาท ก็จะเพิ่มเป็น 100 เท่า เงินก้อนสุดท้ายเท่ากับ 10,327,600 บาท) . 500 บาท มิใช่เงินมากมายนักต่อเดือน ลองคิดดูว่าถ้าใช้จ่ายเงินน้อยลงเดือนละ 500 บาท และนำเงินจำนวนนั้นในแต่ละเดือนไปฝากสถาบันการเงิน เงินก็จะงอกเงยขึ้นตลอดเวลา แม้แต่ ณ อัตราดอกเบี้ยต่ำสุดคือร้อยละ 5 ฝากเป็นระยะเวลา 5 ปี ยังได้เงินก้อน 34,145 บาท . การบ่นว่ามีเงินเดือนประจำน้อยในระดับพันบาทจนไม่สามารถผ่อนบ้านได้เลย จึงไม่เป็นความจริง โดยทั่วไปเรามักดูกันแต่ตัวเลขเงินที่ตนเองต้องออม ซึ่งเป็นก้อนใหญ่เพื่อซื้อบ้านจนรู้สึกท้อใจ บ่อยครั้งที่เรามักมองข้ามการทำให้เงินงอกเงยอย่างน่ามหัศจรรย์จากการทำงานของอัตราดอกเบี้ยทบต้น.
    0 Comments 0 Shares 228 Views 0 Reviews
  • ที่จริงสัตว์ป่า สัตว์ทั่วๆ ไปนี้มันเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วมันก็ฝึกจนเป็นเพื่อนกันได้ ไม่ว่านก หรือกระรอก หรือสัตว์ใดๆ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสัตว์เหล่านี้มีความรู้สึกธรรมดาสามัญ ไม่เป็นศัตรูกัน เมื่ออาตมาอยู่ที่สวนโมกข์แห่งเก่าโน่น อาศัยอยู่ในเพิงที่ต่อออกไปจากโบสถ์ร้าง เสามันเป็นไม้เก่า มันกลวง มันเป็นโพรง ลูกตะกวดมันเข้าไปอยู่ในโพรง โต ลูกตะกวดนี้โตเกือบเท่าฝ่ามือ ไม่ถึงเท่าข้อมือแต่มันก็โตมาก และมันอยู่ในโพรง มันโผล่ศีรษะออกมาจากรูเสานั้น พออาตมาเดินเข้าไปในที่พักมันก็หลุบพลุบเลย พอเดินเข้าออกทีใดมันก็หลุบปุ๊บ แต่หลายหนเข้ามันก็ไม่ค่อยจะหลุบ จนกระทั่งว่าเดินผ่านเฉียดเข้าไปมันก็ไม่หลุบ เราเอามือไปถูกจมูกมัน มันจึงจะหลุบ เนี่ยความเคยชินเป็นมิตรมันมากขึ้น ทีนี้ในตอนหลังๆ เดิน มันไม่หลุบ เอามือไปถูกจมูกมัน มันหลับตาเสีย ลองคิดดูว่ามัน มันทำตนเป็นเพื่อนเหลือประมาณ ไม่ได้ให้อะไรกินนะ ก็ไม่รู้จะเอาอะไรให้ลูกตะกวดกิน ไม่มีความรู้ เพียงแต่เป็นเพื่อนกัน อยู่ด้วยกัน อาตมาก็อยู่ในเพิงนั้น เขาก็อยู่ที่เสานั่น มันก็เป็นเพื่อนกันได้ขนาดนี้
    .
    ก็ควรจะถือเป็นหลักว่า สัตว์เหล่านี้เอาไว้ฝึกความเป็นเพื่อนกันจะดีกว่า อย่าไปฆ่า ไปอะไรมันเลย เว้นไว้แต่มันจะเหลือทนจริงๆจึงค่อยไล่ค่อยตะเพิดไปเสีย สัญชาตญาณของสัตว์มันไม่ต้องการจะเป็นศัตรูและมันไม่สันนิษฐานว่าใครจะเป็นศัตรู มันเพียงแต่ระวัง ระวังเชิง พอเห็นว่าไม่มีความเป็นศัตรูมันก็แสดงความเป็นมิตร ไก่ป่ามันก็มามากขึ้นเพราะว่ามันได้กินอะไรบ้าง อย่างนี้มันไม่เหมือนกับลูกตะกวดตัวนั้นซึ่งไม่ได้กินอะไรเลย มีไก่ป่าหลายสิบตัวมาคอยกินอาหาร เมื่อเราฉัน มันก็ไปอยู่ใต้ถุนร้านที่เรานั่งฉัน ซึ่งเป็นซีกฟาก มันก็มีมากจนนักเลงต่อไก่หรือนักเลงยิงไก่มาเห็นแล้ว มันก็เป็นอย่างที่เขาเรียกว่าน้ำลายไหล ทั้งที่มันยังเป็นๆ อยู่อย่างนี้ มันก็ไม่เป็นไร
    .
    พุทธทาสภิกขุ - ธรรมะน้ำล้างธรรมะโคลน (ภาคบ่าย)
    ฟังได้ที่
    https://drive.google.com/file/d/1OZt32Fw_jfmgtR1tVBuV-b__-mIjvOeH/view?usp=drive_link
    ที่จริงสัตว์ป่า สัตว์ทั่วๆ ไปนี้มันเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วมันก็ฝึกจนเป็นเพื่อนกันได้ ไม่ว่านก หรือกระรอก หรือสัตว์ใดๆ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสัตว์เหล่านี้มีความรู้สึกธรรมดาสามัญ ไม่เป็นศัตรูกัน เมื่ออาตมาอยู่ที่สวนโมกข์แห่งเก่าโน่น อาศัยอยู่ในเพิงที่ต่อออกไปจากโบสถ์ร้าง เสามันเป็นไม้เก่า มันกลวง มันเป็นโพรง ลูกตะกวดมันเข้าไปอยู่ในโพรง โต ลูกตะกวดนี้โตเกือบเท่าฝ่ามือ ไม่ถึงเท่าข้อมือแต่มันก็โตมาก และมันอยู่ในโพรง มันโผล่ศีรษะออกมาจากรูเสานั้น พออาตมาเดินเข้าไปในที่พักมันก็หลุบพลุบเลย พอเดินเข้าออกทีใดมันก็หลุบปุ๊บ แต่หลายหนเข้ามันก็ไม่ค่อยจะหลุบ จนกระทั่งว่าเดินผ่านเฉียดเข้าไปมันก็ไม่หลุบ เราเอามือไปถูกจมูกมัน มันจึงจะหลุบ เนี่ยความเคยชินเป็นมิตรมันมากขึ้น ทีนี้ในตอนหลังๆ เดิน มันไม่หลุบ เอามือไปถูกจมูกมัน มันหลับตาเสีย ลองคิดดูว่ามัน มันทำตนเป็นเพื่อนเหลือประมาณ ไม่ได้ให้อะไรกินนะ ก็ไม่รู้จะเอาอะไรให้ลูกตะกวดกิน ไม่มีความรู้ เพียงแต่เป็นเพื่อนกัน อยู่ด้วยกัน อาตมาก็อยู่ในเพิงนั้น เขาก็อยู่ที่เสานั่น มันก็เป็นเพื่อนกันได้ขนาดนี้ . ก็ควรจะถือเป็นหลักว่า สัตว์เหล่านี้เอาไว้ฝึกความเป็นเพื่อนกันจะดีกว่า อย่าไปฆ่า ไปอะไรมันเลย เว้นไว้แต่มันจะเหลือทนจริงๆจึงค่อยไล่ค่อยตะเพิดไปเสีย สัญชาตญาณของสัตว์มันไม่ต้องการจะเป็นศัตรูและมันไม่สันนิษฐานว่าใครจะเป็นศัตรู มันเพียงแต่ระวัง ระวังเชิง พอเห็นว่าไม่มีความเป็นศัตรูมันก็แสดงความเป็นมิตร ไก่ป่ามันก็มามากขึ้นเพราะว่ามันได้กินอะไรบ้าง อย่างนี้มันไม่เหมือนกับลูกตะกวดตัวนั้นซึ่งไม่ได้กินอะไรเลย มีไก่ป่าหลายสิบตัวมาคอยกินอาหาร เมื่อเราฉัน มันก็ไปอยู่ใต้ถุนร้านที่เรานั่งฉัน ซึ่งเป็นซีกฟาก มันก็มีมากจนนักเลงต่อไก่หรือนักเลงยิงไก่มาเห็นแล้ว มันก็เป็นอย่างที่เขาเรียกว่าน้ำลายไหล ทั้งที่มันยังเป็นๆ อยู่อย่างนี้ มันก็ไม่เป็นไร . พุทธทาสภิกขุ - ธรรมะน้ำล้างธรรมะโคลน (ภาคบ่าย) ฟังได้ที่ https://drive.google.com/file/d/1OZt32Fw_jfmgtR1tVBuV-b__-mIjvOeH/view?usp=drive_link
    0 Comments 0 Shares 336 Views 0 Reviews
  • ผมเพิ่งมาฉุกคิดเอาเมื่อไม่กี่วันมานี้เองว่า ไพ่ Tower นำเสนอโลกทัศน์แบบเฟมินิสม์ (Feminism) ชัดเอามาก ๆ หรือจะให้เจาะจงกว่านั้นคือ ไพ่ใบนี้แสดงถึงการต่อต้านปิตาธิปไตย (Patriarchy) แบบเห็นตำตากระแทกหน้าเลยทีเดียว

    ก่อนจะตอบคำถามว่าทำไม ผมขอถือวิสาสะติ๊ต่างว่าพวกคุณที่กำลังอ่านเนื้อหาในโพสต์นี้อยู่ไม่เคยรู้จักคำว่า Phallus หรือ Phallic symbol มาก่อน เพื่อที่ผมจะได้ติ๊ต่างว่าตัวเองเป็นผู้ทรงภูมิและเล่าเรื่องต่อจากนี้ได้อย่างมีแพชชันมากขึ้นนะครับ

    ในสัญลักษณ์วิทยา ซึ่งต่อมาก็ขยายไปถึงทฤษฏีการวิจารณ์งานศิลปะ วรรณกรรม และสื่อประเภทต่าง ๆ มีสัญลักษณ์ประเภทหนึ่งที่เรียกว่า "Phallic symbol" หรือ "ลึงคสัญลักษณ์" คือเป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับ "Phallus" หรือ "ลึงค์" หรือก็คือ_วยซึ่งเป็นเครื่องเพศแบบ Built it แต่กำเนิดของมนุษย์เพศชายทุกคนนั่นแหละครับ

    Phallic symbol คือสัญลักษณ์ที่อยู่ในรูปวัตถุสิ่งของใด ๆ ก็ตามที่มีลักษณะหรือสัณฐานคล้าย Phallus กล่าวคือ ยาว เป็นแท่ง เป็นดุ้น เป็นลำ มีตั้งแต่สิ่งของไม่มีชีวิต เช่น ดาบ กระบอง จรวด เข็ม ดินสอ ปืน ฯลฯ ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตหรืออวัยวะ เช่น งู มังกร แขน ขา นิ้ว เขี้ยว หนวดหมึก เป็นต้น แน่นอนว่า หอคอย ก็จัดเป็นสัญลักษณ์ประเภทนี้ด้วย

    ทีนี้ วัตถุสิ่งของใดก็ตามที่เข้าข่าย Phallic symbol มันไม่ได้แค่เป็นตัวแทนของ_วยหรือลึงค์ของผู้ชาย แต่ในทางสัญลักษณ์วิทยาและทฤษฎีการวิจารณ์ (โดยเฉพาะในสายจิตวิเคราะห์และสายเฟมินิสม์) สัญลักษณ์พวกนี้พ่วงมาด้วยคุณลักษณะอะไรก็ตามที่สังคมแบบปิตาธิปไตยหรือชายเป็นใหญ่ล้วนแต่จับยึดโยงกับเพศชาย ไม่ว่าจะเป็น ความแข็งแกร่ง ความเป็นผู้นำ ความเป็นฝ่ายกระทำหรือฝ่ายรุก อำนาจ ฯลฯ ตย. ที่เห็นชัดมาก ๆ คือในสมัยก่อน คนที่จับอาวุธอย่างดาบ กระบี่กระบอง หรือท่อนไม้ เพื่อใช้ต่อสู้ศัตรูหรือปกป้องครอบครัว ก็มักเป็นผู้ชาย ส่วนในสมัยปัจจุบันก็มีสัญลักษณ์ใหม่ ๆ อย่างรถยนต์ ผู้ชายที่ขับรถก็เป็นการแสดงถึงความมีอำนาจ(ทางการเงิน) ทำให้มีโอกาสตกผู้หญิงได้มากกว่าคนไม่มีรถขับ อะไรทำนองนี้

    เมื่อพูดถึง Phallus แล้วก็ต้องขอแนะนำอีกคำหนึ่ง นั่นคือ "Phallocentrism" คือแนวคิดว่าด้วยการเอา "ลึงค์" เป็นศูนย์กลาง ไม่ได้หมายถึงวัน ๆ คิดแต่เรื่องหื่น ๆ แต่หมายถึงการสร้างวัฒนธรรมและวางระบบของสังคมโดยเน้นที่เพศชายเป็นหลัก หรืออีกนัยหนึ่งก็คือปิตาธิปไตยนั่นเอง

    สังคมมนุษย์หลายแห่งทั้งในอดีตและปัจจุบันเป็นสังคมแบบเอาลึงค์เป็นใหญ่ ซึ่งมักสะท้อนให้เห็นผ่านตำนานความเชื่อของคนในสังคมนั้น ๆ ลองสังเกตเทพปกรณัมของหลายชนชาติที่ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นชายมีอำนาจสูงสุด มันมักจะมีสัญลักษณ์ที่เป็น Phallic symbol สักอย่างทำหน้าที่เป็นเสมือนศูนย์กลางทางจักรวาลวิทยาของความเชื่อนั้น ๆ เช่น เขาโอลิมปัสและเขาพระสุเมรุที่เป็นแกนกลางของจักรวาลตามตำนานกรีกและฮินดูตามลำดับ ต้นอิกดราซิลของนอร์ส หรือในกรณีของศาสนาที่ยังคง active ในปัจจุบัน ก็มีต้นศรีมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าประทับข้างใต้ขณะตรัสรู้ และไม้กางเขนที่ตรึงพระเยซู เป็นต้น (อย่าปฏิเสธผมนะว่า 2 ศาสนานี้ไม่ได้เอาชายเป็นใหญ่)

    กลับมาที่ไพ่ Tower ไพ่ทาโรต์ชุดหลักหมายเลข 16 ตัวหอคอยที่กำลังโดนฟ้าผ่าจนพังทลาย มันก็คือ Phallic symbol อย่างหนึ่ง เป็นเสมือนลึงค์ลำเบ้อเร่อที่ชูตระหง่านขึ้นฟ้า ลองนึกภาพว่าคุณเป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ ในหมู่บ้านห่างไกล หอคอยหลังนี้น่าจะสูงตระหง่านจนมองเห็นได้จากหมู่บ้านของคุณ และผู้ที่สั่งการให้สร้างหอคอยสูงตระหง่านขนาดนี้ได้ก็ต้องมีอำนาจไม่ธรรมดา และแน่นอนว่าสำหรับยุคสมัยนั้น ผู้มีอำนาจนี้ก็น่าเป็นผู้ปกครองที่เป็นชาย เป็นราชา เป็นจักรพรรดิ หอคอยสูงตระหง่านหลังนี้จึงเป็นเสมือนสัญลักษณ์แทนอำนาจของผู้ปกครอง(ชาย)ที่สูงเสียดฟ้า และดังนั้นจึงเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจปิตาธิปไตยที่อยู่เหนือดินแดนแห่งนั้นด้วย

    และเมื่อหอคอยที่ว่าถูกทำลายจนถล่ม มองในเชิงสัญลักษณ์ มันก็คือการพังทลายของอำนาจชายเป็นใหญ่นั่นเอง และพอความเป็นปิตาธิปไตยพังทลายแล้ว นั่นก็หมายถึงการเปิดพื้นที่ให้เพศที่เป็นรองอย่างเพศหญิงได้ลุกขึ้นมาลืมตาอ้าปาก มีบทบาทมากขึ้น รวมไปถึงการเปิดพื้นที่ให้เพศวิถีและรูปแบบความสัมพันธ์ที่อยู่นอกเหนือไปจากบรรทัดฐานเพศตรงข้าม (Heteronormativity) ที่ปัจจุบันเราเรียกรวม ๆ ว่า LGBTQIA+ ทั้งหมดนี่แหละครับคือ เฟมินิสม์

    โอเคครับ บางคนอาจจะบอกว่า เรื่องราวตามหน้าไพ่ Tower มันอ้างอิงถึงตำนานของหอบาเบลไม่ใช่หรือ มนุษย์ผู้อหังการมุ่งหมายจะยึดอำนาจพระเจ้า พระเจ้าเลยตบเกรียนสั่งสอนด้วยการทำลายหอคอยและทำให้มนุษย์พูดภาษาต่างกัน อ่าฮะ ถ้างั้น ลองมาอ่านตำนานนี้จากแว่นของทฤษฎีจิตวิเคราะห์กันไหมครับ ;) การสร้างหอคอยบาเบลก็ไม่ต่างจากการที่มนุษย์จะพยายามฉุดคร่าข่มขืuแดนสวรรค์ มนุษย์พยายามสร้าง "ลึงค์" อันมหึมาให้แข็งชูชันขึ้นไปทะลุเยื่อเมฆเพื่อเปิดซิงสวรรค์ แต่สวรรค์ไม่ใช่แดน "บริสุทธิ์" มีพระเจ้าเป็นเจ้าของอยู่แล้ว และพระเจ้าก็ใช้ Phallic symbol ที่มาพร้อมอำนาจทำลายล้างทรงพลังกว่า อย่างสายฟ้า ทำลายลึงค์ของมนุษย์จนพังไม่เป็นท่า หอบาเบลที่ถล่มไปก็เหมือนลึงค์ขาด เปรียบเหมือนมนุษย์ถูกลงโทษด้วยการโดน "ตอน" ส่วนการพูดภาษาแตกต่างกัน ก็คือการสูญเสียอำนาจในรูปแบบหนึ่ง พอคนคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ก็รวมตัวกันก่อการใหญ่ไม่ได้อีก

    อย่างไรก็ดี ตำนานหอคอยบาเบลก็มีกำเนิดจากศาสนายิว ซึ่งคงไม่ต้องย้ำนะครับว่าเป็นอีกหนึ่งตัวพ่อในการเผยแพร่วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ คุณดูสิว่าเขาเรียกพระเจ้าว่าอะไร พระบิดา ใช่ไหม และก่อนที่จะมีไพ่ RWS เกิดขึ้นมา ไพ่ทาโรต์ระบบหลักในยุโรปตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 14 - 19 คือระบบมาร์แซย์ (Tarot de Marseille) ระบบนี้เรียกไพ่หอคอยถล่มหมายเลข XVI ว่า "La Maison Dieu" ลา เมซง ดิเยอ แปลตรงตัวว่า บ้านของพระเจ้า พระเจ้าคือตัวแทนสูงสุดแห่งปิตาธิปไตย เมื่อหอคอยที่เป็นเหมือนบ้านของพระเจ้าถูกทำลายลง มันก็เปรียบได้กับการพังทลายของปิตาธิปไตย... ย้อนกลับไปสู่เมื่อ 2 ย่อหน้าที่แล้ว

    ทีนี้ บางคนอาจสงสัย (มีไหมนะ? มีจริงไหมไม่รู้ เอาเป็นว่าผมจะมโนละกันว่ามี) ว่าถ้าดูตามภาพหน้าไพ่ ก็เห็นว่าคนที่ร่วงลงมามีทั้งชายและหญิง แล้วแบบนี้จะเป็นการพังทลายของแนวคิดชายเป็นใหญ่แต่ฝ่ายเดียวได้ยังไง ผมจะตอบอย่างนี้ละกันครับว่า ปิตาธิปไตยหรือชายเป็นใหญ่เป็นแนวคิดที่ผูกติดกับทั้งสังคมและวัฒนธรรม และผู้คนที่ยึดถือปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมทางสังคมและวัฒนธรรมสืบต่อกันมาก็มีทั้งชายและหญิง ทำต่อ ๆ กันมาจนทุกคน(หลง)เชื่อกันว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องปกติวิสัยที่จะให้ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า เป็นนักรบ ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง เป็นแม่ศรีเรือน ใครที่ชอบหรือหลงใหลกิจกรรมที่สังคมมองว่าเหมาะสำหรับอีกเพศ (เช่น ผู้ชายอยากเรียนแต่งหน้า ผู้หญิงอยากเรียนวิทยาศาสตร์) จะถูกมองว่าแปลก ทั้งหมดนี้คือชุดความคิดที่เป็นมายาคติครอบงำโลกทัศน์ของผู้คนในสังคมและวัฒนธรรมนั้น ๆ เป็นเหมือนโลกทั้งใบของเขา ฉะนั้น คุณลองคิดดูว่า ถ้าจู่ ๆ มีคนบอกว่าคุณไม่ต้องทำตามกรอบขนบประเพณีพวกนั้นแล้ว โลกของพวกเขาก็คงเหมือนจะพังทลาย ไม่ต่างกับหอคอยในไพ่ Tower

    ดังนั้น ครั้งต่อไปที่เห็นไพ่ Tower ปรากฏขึ้นมา ถ้าพิจารณาจากบริบทคำถามแล้ว เห็นว่ามันไม่น่าจะเป็นคำเตือนถึงอุบัติเหตุหรืออะไรบางอย่างที่จะเกิดอย่างกะทันหัน ลองตั้งคำถามกับตัวเองดูนะครับว่า หรือไพ่กำลังกระซิบบอกให้คุณทลายกรอบความคิดหรือมายาคติเกี่ยวกับเรื่องเพศสภาพและเพศวิถี แล้วลองมองเรื่องตรงหน้าโดยสวมแว่นของเฟมินิสต์ดูบ้าง
    ผมเพิ่งมาฉุกคิดเอาเมื่อไม่กี่วันมานี้เองว่า ไพ่ Tower นำเสนอโลกทัศน์แบบเฟมินิสม์ (Feminism) ชัดเอามาก ๆ หรือจะให้เจาะจงกว่านั้นคือ ไพ่ใบนี้แสดงถึงการต่อต้านปิตาธิปไตย (Patriarchy) แบบเห็นตำตากระแทกหน้าเลยทีเดียว ก่อนจะตอบคำถามว่าทำไม ผมขอถือวิสาสะติ๊ต่างว่าพวกคุณที่กำลังอ่านเนื้อหาในโพสต์นี้อยู่ไม่เคยรู้จักคำว่า Phallus หรือ Phallic symbol มาก่อน เพื่อที่ผมจะได้ติ๊ต่างว่าตัวเองเป็นผู้ทรงภูมิและเล่าเรื่องต่อจากนี้ได้อย่างมีแพชชันมากขึ้นนะครับ ในสัญลักษณ์วิทยา ซึ่งต่อมาก็ขยายไปถึงทฤษฏีการวิจารณ์งานศิลปะ วรรณกรรม และสื่อประเภทต่าง ๆ มีสัญลักษณ์ประเภทหนึ่งที่เรียกว่า "Phallic symbol" หรือ "ลึงคสัญลักษณ์" คือเป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับ "Phallus" หรือ "ลึงค์" หรือก็คือ_วยซึ่งเป็นเครื่องเพศแบบ Built it แต่กำเนิดของมนุษย์เพศชายทุกคนนั่นแหละครับ Phallic symbol คือสัญลักษณ์ที่อยู่ในรูปวัตถุสิ่งของใด ๆ ก็ตามที่มีลักษณะหรือสัณฐานคล้าย Phallus กล่าวคือ ยาว เป็นแท่ง เป็นดุ้น เป็นลำ มีตั้งแต่สิ่งของไม่มีชีวิต เช่น ดาบ กระบอง จรวด เข็ม ดินสอ ปืน ฯลฯ ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตหรืออวัยวะ เช่น งู มังกร แขน ขา นิ้ว เขี้ยว หนวดหมึก เป็นต้น แน่นอนว่า หอคอย ก็จัดเป็นสัญลักษณ์ประเภทนี้ด้วย ทีนี้ วัตถุสิ่งของใดก็ตามที่เข้าข่าย Phallic symbol มันไม่ได้แค่เป็นตัวแทนของ_วยหรือลึงค์ของผู้ชาย แต่ในทางสัญลักษณ์วิทยาและทฤษฎีการวิจารณ์ (โดยเฉพาะในสายจิตวิเคราะห์และสายเฟมินิสม์) สัญลักษณ์พวกนี้พ่วงมาด้วยคุณลักษณะอะไรก็ตามที่สังคมแบบปิตาธิปไตยหรือชายเป็นใหญ่ล้วนแต่จับยึดโยงกับเพศชาย ไม่ว่าจะเป็น ความแข็งแกร่ง ความเป็นผู้นำ ความเป็นฝ่ายกระทำหรือฝ่ายรุก อำนาจ ฯลฯ ตย. ที่เห็นชัดมาก ๆ คือในสมัยก่อน คนที่จับอาวุธอย่างดาบ กระบี่กระบอง หรือท่อนไม้ เพื่อใช้ต่อสู้ศัตรูหรือปกป้องครอบครัว ก็มักเป็นผู้ชาย ส่วนในสมัยปัจจุบันก็มีสัญลักษณ์ใหม่ ๆ อย่างรถยนต์ ผู้ชายที่ขับรถก็เป็นการแสดงถึงความมีอำนาจ(ทางการเงิน) ทำให้มีโอกาสตกผู้หญิงได้มากกว่าคนไม่มีรถขับ อะไรทำนองนี้ เมื่อพูดถึง Phallus แล้วก็ต้องขอแนะนำอีกคำหนึ่ง นั่นคือ "Phallocentrism" คือแนวคิดว่าด้วยการเอา "ลึงค์" เป็นศูนย์กลาง ไม่ได้หมายถึงวัน ๆ คิดแต่เรื่องหื่น ๆ แต่หมายถึงการสร้างวัฒนธรรมและวางระบบของสังคมโดยเน้นที่เพศชายเป็นหลัก หรืออีกนัยหนึ่งก็คือปิตาธิปไตยนั่นเอง สังคมมนุษย์หลายแห่งทั้งในอดีตและปัจจุบันเป็นสังคมแบบเอาลึงค์เป็นใหญ่ ซึ่งมักสะท้อนให้เห็นผ่านตำนานความเชื่อของคนในสังคมนั้น ๆ ลองสังเกตเทพปกรณัมของหลายชนชาติที่ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นชายมีอำนาจสูงสุด มันมักจะมีสัญลักษณ์ที่เป็น Phallic symbol สักอย่างทำหน้าที่เป็นเสมือนศูนย์กลางทางจักรวาลวิทยาของความเชื่อนั้น ๆ เช่น เขาโอลิมปัสและเขาพระสุเมรุที่เป็นแกนกลางของจักรวาลตามตำนานกรีกและฮินดูตามลำดับ ต้นอิกดราซิลของนอร์ส หรือในกรณีของศาสนาที่ยังคง active ในปัจจุบัน ก็มีต้นศรีมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าประทับข้างใต้ขณะตรัสรู้ และไม้กางเขนที่ตรึงพระเยซู เป็นต้น (อย่าปฏิเสธผมนะว่า 2 ศาสนานี้ไม่ได้เอาชายเป็นใหญ่) กลับมาที่ไพ่ Tower ไพ่ทาโรต์ชุดหลักหมายเลข 16 ตัวหอคอยที่กำลังโดนฟ้าผ่าจนพังทลาย มันก็คือ Phallic symbol อย่างหนึ่ง เป็นเสมือนลึงค์ลำเบ้อเร่อที่ชูตระหง่านขึ้นฟ้า ลองนึกภาพว่าคุณเป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ ในหมู่บ้านห่างไกล หอคอยหลังนี้น่าจะสูงตระหง่านจนมองเห็นได้จากหมู่บ้านของคุณ และผู้ที่สั่งการให้สร้างหอคอยสูงตระหง่านขนาดนี้ได้ก็ต้องมีอำนาจไม่ธรรมดา และแน่นอนว่าสำหรับยุคสมัยนั้น ผู้มีอำนาจนี้ก็น่าเป็นผู้ปกครองที่เป็นชาย เป็นราชา เป็นจักรพรรดิ หอคอยสูงตระหง่านหลังนี้จึงเป็นเสมือนสัญลักษณ์แทนอำนาจของผู้ปกครอง(ชาย)ที่สูงเสียดฟ้า และดังนั้นจึงเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจปิตาธิปไตยที่อยู่เหนือดินแดนแห่งนั้นด้วย และเมื่อหอคอยที่ว่าถูกทำลายจนถล่ม มองในเชิงสัญลักษณ์ มันก็คือการพังทลายของอำนาจชายเป็นใหญ่นั่นเอง และพอความเป็นปิตาธิปไตยพังทลายแล้ว นั่นก็หมายถึงการเปิดพื้นที่ให้เพศที่เป็นรองอย่างเพศหญิงได้ลุกขึ้นมาลืมตาอ้าปาก มีบทบาทมากขึ้น รวมไปถึงการเปิดพื้นที่ให้เพศวิถีและรูปแบบความสัมพันธ์ที่อยู่นอกเหนือไปจากบรรทัดฐานเพศตรงข้าม (Heteronormativity) ที่ปัจจุบันเราเรียกรวม ๆ ว่า LGBTQIA+ ทั้งหมดนี่แหละครับคือ เฟมินิสม์ โอเคครับ บางคนอาจจะบอกว่า เรื่องราวตามหน้าไพ่ Tower มันอ้างอิงถึงตำนานของหอบาเบลไม่ใช่หรือ มนุษย์ผู้อหังการมุ่งหมายจะยึดอำนาจพระเจ้า พระเจ้าเลยตบเกรียนสั่งสอนด้วยการทำลายหอคอยและทำให้มนุษย์พูดภาษาต่างกัน อ่าฮะ ถ้างั้น ลองมาอ่านตำนานนี้จากแว่นของทฤษฎีจิตวิเคราะห์กันไหมครับ ;) การสร้างหอคอยบาเบลก็ไม่ต่างจากการที่มนุษย์จะพยายามฉุดคร่าข่มขืuแดนสวรรค์ มนุษย์พยายามสร้าง "ลึงค์" อันมหึมาให้แข็งชูชันขึ้นไปทะลุเยื่อเมฆเพื่อเปิดซิงสวรรค์ แต่สวรรค์ไม่ใช่แดน "บริสุทธิ์" มีพระเจ้าเป็นเจ้าของอยู่แล้ว และพระเจ้าก็ใช้ Phallic symbol ที่มาพร้อมอำนาจทำลายล้างทรงพลังกว่า อย่างสายฟ้า ทำลายลึงค์ของมนุษย์จนพังไม่เป็นท่า หอบาเบลที่ถล่มไปก็เหมือนลึงค์ขาด เปรียบเหมือนมนุษย์ถูกลงโทษด้วยการโดน "ตอน" ส่วนการพูดภาษาแตกต่างกัน ก็คือการสูญเสียอำนาจในรูปแบบหนึ่ง พอคนคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ก็รวมตัวกันก่อการใหญ่ไม่ได้อีก อย่างไรก็ดี ตำนานหอคอยบาเบลก็มีกำเนิดจากศาสนายิว ซึ่งคงไม่ต้องย้ำนะครับว่าเป็นอีกหนึ่งตัวพ่อในการเผยแพร่วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ คุณดูสิว่าเขาเรียกพระเจ้าว่าอะไร พระบิดา ใช่ไหม และก่อนที่จะมีไพ่ RWS เกิดขึ้นมา ไพ่ทาโรต์ระบบหลักในยุโรปตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 14 - 19 คือระบบมาร์แซย์ (Tarot de Marseille) ระบบนี้เรียกไพ่หอคอยถล่มหมายเลข XVI ว่า "La Maison Dieu" ลา เมซง ดิเยอ แปลตรงตัวว่า บ้านของพระเจ้า พระเจ้าคือตัวแทนสูงสุดแห่งปิตาธิปไตย เมื่อหอคอยที่เป็นเหมือนบ้านของพระเจ้าถูกทำลายลง มันก็เปรียบได้กับการพังทลายของปิตาธิปไตย... ย้อนกลับไปสู่เมื่อ 2 ย่อหน้าที่แล้ว ทีนี้ บางคนอาจสงสัย (มีไหมนะ? มีจริงไหมไม่รู้ เอาเป็นว่าผมจะมโนละกันว่ามี) ว่าถ้าดูตามภาพหน้าไพ่ ก็เห็นว่าคนที่ร่วงลงมามีทั้งชายและหญิง แล้วแบบนี้จะเป็นการพังทลายของแนวคิดชายเป็นใหญ่แต่ฝ่ายเดียวได้ยังไง ผมจะตอบอย่างนี้ละกันครับว่า ปิตาธิปไตยหรือชายเป็นใหญ่เป็นแนวคิดที่ผูกติดกับทั้งสังคมและวัฒนธรรม และผู้คนที่ยึดถือปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมทางสังคมและวัฒนธรรมสืบต่อกันมาก็มีทั้งชายและหญิง ทำต่อ ๆ กันมาจนทุกคน(หลง)เชื่อกันว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องปกติวิสัยที่จะให้ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า เป็นนักรบ ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง เป็นแม่ศรีเรือน ใครที่ชอบหรือหลงใหลกิจกรรมที่สังคมมองว่าเหมาะสำหรับอีกเพศ (เช่น ผู้ชายอยากเรียนแต่งหน้า ผู้หญิงอยากเรียนวิทยาศาสตร์) จะถูกมองว่าแปลก ทั้งหมดนี้คือชุดความคิดที่เป็นมายาคติครอบงำโลกทัศน์ของผู้คนในสังคมและวัฒนธรรมนั้น ๆ เป็นเหมือนโลกทั้งใบของเขา ฉะนั้น คุณลองคิดดูว่า ถ้าจู่ ๆ มีคนบอกว่าคุณไม่ต้องทำตามกรอบขนบประเพณีพวกนั้นแล้ว โลกของพวกเขาก็คงเหมือนจะพังทลาย ไม่ต่างกับหอคอยในไพ่ Tower ดังนั้น ครั้งต่อไปที่เห็นไพ่ Tower ปรากฏขึ้นมา ถ้าพิจารณาจากบริบทคำถามแล้ว เห็นว่ามันไม่น่าจะเป็นคำเตือนถึงอุบัติเหตุหรืออะไรบางอย่างที่จะเกิดอย่างกะทันหัน ลองตั้งคำถามกับตัวเองดูนะครับว่า หรือไพ่กำลังกระซิบบอกให้คุณทลายกรอบความคิดหรือมายาคติเกี่ยวกับเรื่องเพศสภาพและเพศวิถี แล้วลองมองเรื่องตรงหน้าโดยสวมแว่นของเฟมินิสต์ดูบ้าง
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 679 Views 0 Reviews
  • 🥗 เคยได้ยินไหมว่า "ไม่กินอาหารเช้า" อาจทำให้สุขภาพดีกว่า? 🤯 ช็อกใช่ไหมล่ะ!

    💡 ความจริงที่หลายคนอาจไม่รู้คือ ร่างกายเราไม่จำเป็นต้องกินอาหารทันทีที่ตื่นนอนเลย 💪 ลองคิดดู... สมัยก่อนบรรพบุรุษเราต้องออกล่าสัตว์ 🏃‍♂️ หาอาหารก่อนที่จะได้กินเลยนะ
    .
    ✨ เคล็ดลับเด็ดคือการ Fasting 16 ชั่วโมง หรือที่เรียกว่า IF นี่แหละ! ⏰ วิธีนี้ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น 🔥 แถมยังช่วยลดระดับอินซูลินด้วย 📉
    .
    😱 รู้ไหมว่าที่เราเชื่อกันว่า "อาหารเช้าสำคัญที่สุด" จริงๆ แล้วเป็นแค่กลยุทธ์การตลาด 🏢 ของบริษัทอาหารในอเมริกาเท่านั้นเอง! เขาอยากขายซีเรียล 🥣 ขนมปัง 🍞 และอาหารเช้าให้เรานั่นเอง
    .
    พิกัด อาหารสุขภาพ Tokoyo ลด 40%📌 https://s.shopee.co.th/gBABCNyIG
    พิกัด อาหารสุขภาพ Tokoyo ลด 40%📌 https://s.shopee.co.th/gBABCNyIG
    .
    🤔 แล้วคุณล่ะ? ยังจะกินมื้อเช้าเหมือนเดิมไหม หรือจะลองเปลี่ยนมาดูแลสุขภาพด้วยการ IF ดูบ้าง?
    .
    💭 มาแชร์กันหน่อย! เคยลอง IF ไหม? รู้สึกยังไงบ้าง? 💪
    .
    #สุขภาพดี #ลดพุง #Fasting #IntermittentFasting #ลดน้ำหนักแบบสุขภาพดี 🎯
    🥗 เคยได้ยินไหมว่า "ไม่กินอาหารเช้า" อาจทำให้สุขภาพดีกว่า? 🤯 ช็อกใช่ไหมล่ะ! 💡 ความจริงที่หลายคนอาจไม่รู้คือ ร่างกายเราไม่จำเป็นต้องกินอาหารทันทีที่ตื่นนอนเลย 💪 ลองคิดดู... สมัยก่อนบรรพบุรุษเราต้องออกล่าสัตว์ 🏃‍♂️ หาอาหารก่อนที่จะได้กินเลยนะ . ✨ เคล็ดลับเด็ดคือการ Fasting 16 ชั่วโมง หรือที่เรียกว่า IF นี่แหละ! ⏰ วิธีนี้ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น 🔥 แถมยังช่วยลดระดับอินซูลินด้วย 📉 . 😱 รู้ไหมว่าที่เราเชื่อกันว่า "อาหารเช้าสำคัญที่สุด" จริงๆ แล้วเป็นแค่กลยุทธ์การตลาด 🏢 ของบริษัทอาหารในอเมริกาเท่านั้นเอง! เขาอยากขายซีเรียล 🥣 ขนมปัง 🍞 และอาหารเช้าให้เรานั่นเอง . พิกัด อาหารสุขภาพ Tokoyo ลด 40%📌 https://s.shopee.co.th/gBABCNyIG พิกัด อาหารสุขภาพ Tokoyo ลด 40%📌 https://s.shopee.co.th/gBABCNyIG . 🤔 แล้วคุณล่ะ? ยังจะกินมื้อเช้าเหมือนเดิมไหม หรือจะลองเปลี่ยนมาดูแลสุขภาพด้วยการ IF ดูบ้าง? . 💭 มาแชร์กันหน่อย! เคยลอง IF ไหม? รู้สึกยังไงบ้าง? 💪 . #สุขภาพดี #ลดพุง #Fasting #IntermittentFasting #ลดน้ำหนักแบบสุขภาพดี 🎯
    1 Comments 0 Shares 776 Views 10 0 Reviews
  • สวัสดีครับทุกท่าน ผมมีชื่อเล่นว่า "แดนเจอร์" นะครับ
    ผมเป็นผู้พิทักษ์แห่งความมืด 1 ใน 6 เสาหลักผู้พิทักษ์แห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ในองค์กรเพื่อนแท้ ดิ เอลเลเม้นท์(ใครอยากรู้ว่ามันคืออะไรให้ไปที่บันทึกของผมก็แล้วกัน ผมขี้เกียจนั่งอธิบายทีละคนนะครับ ซึ่งในบันทึกของผมนั้นจะมีคำตอบและตัวตนทั้งหมดของผมอยู่นั่นเอง)
    อุดมการณ์ของผม คือ พิทักษ์ชาติ,ศาสน์,กษัตริย์ สานต่อเจตจำนงบรรพชน ค้ำจุนคนดี กำราบคนชั่ว ทำให้ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข บนผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้ ผืนแผ่นดินของในหลวง(รัชกาลที่๙)กับราชินี(ในรัชกาลที่๙) และบรรพชนของเรา ให้เป็นเอกราชสืบต่อไปจวบจนรุ่นลูกรุ่นหลานในภายภาคหน้า
    ป.ล.1 ผมรับเฉพาะเพื่อนคนพันธุ์พิเศษเท่านั้นนะครับ คนธรรมดาทั่วไปนั้นผมไม่รับเป็นเพื่อนด้วย(เพื่อนคนพันธุ์พิเศษ คือ พวกที่มีอะไรที่พิเศษในตัวเองที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร และมีจุดยืนของตัวเองที่มั่นคงชัดเจน ซึ่งก็คือมีอุดมการณ์ มีจิตวิญญาณ ไม่ใช่พวกหลักลอย หรือพวกผีดิบ)
    ซึ่งใครจะหาว่าผมว่าเป็นพวกหยิ่ง,ชั่วช้า,เลวทรามอย่างไรก็ช่าง เรื่องของพวกคุณ ผมไม่สนใจ เพราะผมไม่มีเวลามานั่งสนใจความรู้สึกของคนธรรมดาที่แสนชั่วช้าเลวทรามอย่างพวกคุณ สังคมเน่าๆอย่างนี้ผมไม่ขออยู่ร่วมด้วย ถ้ามีเพื่อนที่มันไม่เข้าใจเรา,ไม่รักเรา,ไม่รู้จักเราอย่างแท้จริงแล้วล่ะก็ สู้เราอดทนอยู่แม่งมันตัวคนเดียวเสียยังจะดีกว่าไปเกลือกกลั้วกลิ้งกับคนธรรมดาที่แสนชั่วช้าเลวทรามอย่างพวกคุณ
    ถ้าหากคุณอยากจะเป็นเพื่อนแท้กันก็เอาใจมาแลกใจ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ไม่มีอะไรซื้อผมได้นอกจากจิตใจที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น
    ป.ล.2 ผมยินดีที่จะเป็นมิตรกับทุกคนที่รักความถูกต้องโดยชอบธรรม โดยมีธรรมะอยู่ในจิตใจ และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นที่มีความเป็นธรรม โดยมีความเป็นกลางและไม่มีอวิชชาหรืออคติใดๆที่ไม่ชอบธรรม และพร้อมที่จะรับความผิดชอบเมื่อได้กระทำความผิดพลาด หรือพลั้งเผลอไปด้วยความยินดี ซึ่งทุกคนก็ล้วนเคยได้ทำผิดพลาดกันมาในชีวิตมาด้วยกันได้ทั้งนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอะไรเลย เพียงแค่คุณยอมรับมันได้และเปิดใจของคุณเอง มันก็เป็นแค่เพียงเท่านั้นเอง
    ป.ล.3 ผมยินดีและพร้อมที่จะเป็นเพื่อนกับทุกท่านที่เป็นพันธมิตรฯที่แท้จริง ที่เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกันทุกท่าน เพียงแค่คุณกล้าพอที่จะเป็นเพื่อนกับผม และรองรับอารมณ์ความโกรธเกรี้ยว พลังความมืดในด้านมืดของผมได้ และเข้าใจในตัวตนที่แท้จริงของผมอย่างลึกซึ้ง โดยไม่มีอารมณ์และอคติใดๆที่เป็นอารมณ์ด้านลบติดอยู่กับตัว เพราะนั่นคือ กิเลส หรือ มาร ที่จะมาคอยฉุดรั้งคุณเพื่อไม่ให้คุณได้กระทำความดีได้อย่างเต็มที่นั่นเอง(ซึ่งผมเองก็เคยเป็น และได้ประสบพบเจอมากับตัวผมเองมาแล้ว ผมจึงปรารถนาที่จะไม่ให้คุณต้องตกเป็นแบบเดียวกันกับผมเหมือนเมื่อก่อนอย่างในอดีตของผมนั่นเอง)
    ป.ล.4 ผมขออธิบายความหมายของคำว่าคนธรรมดากับคนพิเศษไว้ในที่นี้นะครับ เผื่อบางท่านอาจจะงง,สงสัย,เข้าใจผิดกันได้ คนธรรมดาสำหรับผมนั้นหมายถึง คนชั่ว ส่วนคนพิเศษสำหรับผมนั้นหมายถึง คนดี นั่นเองครับ(ผมขออภัยทุกท่านด้วยจริงๆนะครับ ที่ทำให้ทุกท่านเข้าใจในตัวผมผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปนะครับ)
    ป.ล.5 ผมไม่สนใจในคู่ชีวิต หรือ ผู้หญิงที่ดีแต่สวยที่รูปร่างหน้าตา เก่ง,สวย,รวย,ดีพร้อมไปหมดทุกอย่าง แต่ไร้ซึ่งคุณงามความดีหรอกนะ
    มันก็เป็นแค่เพียงภายนอกสำหรับผม ลองคิดดู อีกสัก 20 ปี หรือหลายปี เพียงแค่เวลาไม่นานมันก็ต้องหมดวัย พอแก่ตัวลงไปแล้วนั้นต่อให้ตายกลายเป็นผีก็ไม่มีวันที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรอกนะ
    เพราะฉะนั้นคนเราควรที่จะคบดูกันที่นิสัยใจคอ ซึ่งก็คือคุณงามความดีที่ได้เคยกระทำมา ต่อให้เค้าเป็นตัวประหลาดในสังคม แต่ถ้าเค้าเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม ผมก็ยังคิดว่าเค้าก็ยังจะดีกว่าผู้หญิงที่ดีแต่รูปลักษณ์ภายนอก แต่จิตใจชั่วช้าเลวทรามยิ่งกว่าสัตว์นรกเสียอีก
    ทุกวันนี้คนเรามันชอบเอาหน้ากากใส่หน้ากากเอาหน้าด้านชั่วเข้าหากันและกัน ไม่เคยคิดที่จะจริงใจต่อกันและกันเลย ดีแต่จะคบดูคนกันที่ภายนอก แต่ไม่รู้จักภายในจิตใจนิสัยใจคอที่แท้จริงกันเสียเลย เมื่อพอตายไปกลายเป็นผีลงโลงไปแล้วก็ลงนรกกันแม่งทุกราย
    ถ้าอยากได้รักแท้ก็ควรที่จะกระทำตัวเป็นคนดีกันเอาไว้เสียบ้าง ไม่ใช่วันๆดีแต่ทำตัวเหมือน แรด,ชะนี ร้องเรียกหาผัว อยากกระสันที่จะมีคู่ครองจนตัวสั่น โดยที่ไม่นึกคิดที่จะทำตัวของตนเองให้มันดูดีมีคุณค่าในตัวเองกันบ้างเสียเลย โลกนี้มันก็คงจะไม่น่าอยู่กันอีกต่อไปแล้ว
    พูดแล้วก็ สาธุ ถ้าหากว่าต้องการอยากที่จะได้คนแบบไหนก็ควรที่จะทำตัวของตนเองให้ได้เหมือนกันกับคนที่เราอยากได้มาครอบครองแบบนั้นมาเป็นคู่ชีวิตของเราอย่างนั้นเช่นนั้นแล
    ป.ล.6 ทุกวันนี้คนเราในในสังคมเรานั้นมักจะชอบดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นกันง่ายดายเสียเหลือเกินกันจริงๆ ซึ่งตนเองนั้นก็มักจะชอบที่จะมองดูคนอื่นจากรูปลักษณ์ภายนอกกันเสียก่อนอื่น(ซึ่งผมเองก็เข้าใจ)เช่นดูที่รูปลักษณ์รูปร่างหน้าตา,ท่าทางกิริยามารยาท,วาจาคำพูด,การกระทำ หรือแม้แต่เงินทองข้าวของ เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆนาๆ แต่ไม่เคยคิดที่จะมองลงไปให้ลึกให้ถึงรายละเอียดภายในจิตใจกันเสียบ้างเสียเลย เปรียบเสมือนกับการที่เราดูหนังสือที่ดีมีความรู้มากมายแค่ที่ปกหนังสือเท่านั้น ซึ่งไม่เคยเลยแม้แต่จะคิดที่จะลองเปิดอ่านดูในเนื้อหาสาระข้างในหนังสือนั้นเลยแม้แต่น้อยเดียวว่า มันมีคุณค่าและสาระมากมายแค่ไหนเพียงไร ในทุกวันนี้คนเราในสังคมมันก็เป็นเสียซะอย่างนี้แหล่ะ ซึ่งผมเองก็คงจะไม่แปลกใจเลยจริงๆ ที่ในทุกวันนี้คนในสังคมของเรามันถึงได้วุ่นวายสับสนอลม่านน่าละอายแก่ใจเหนื่อยหน่ายใจกันสิ้นดีเลยจริงๆ
    ป.ล.7 คนเราทุกคนล้วนมีคุณค่าอยู่ในตัวของตนเองกันทั้งนั้น แม้แต่กระทั่งกับคนที่ชั่วช้าเลวทรามสามานย์ที่สุด ก็ยังมีคุณค่าอยู่ในตัวของตนเอง อย่างน้อยก็กับครอบครัวของตนเอง เพียงแต่แค่มีสตินึกรู้ได้ ไตร่ตรองเป็น และไม่กระทำตัวของตนเองให้กลับกลายเป็นคนชั่วที่ไร้คุณค่าไป คุณก็ได้ขึ้นชื่อว่าเกิดมาเป็นคนที่ดีมีคุณค่าในตัวของตนเองแล้วล่ะนะ เพียงแค่ตัวคุณไม่ทำตัวของตนเองให้เป็นคนที่ไร้คุณค่าเองก็เท่านั้นเองนั่นแหล่ะ

    จบแล้วครับทุกท่าน ขอบคุณที่กรุณาอ่านมาจนจบนะครับ และผมหวังเป็นอย่างยิ่งยวดว่าคุณคงจะเข้าใจในตัวตนของผมบ้างไม่มากก็น้อยเนาะ

    โย่ แม้น โย่ โย่ โย่ โย่
    สวัสดีครับทุกท่าน ผมมีชื่อเล่นว่า "แดนเจอร์" นะครับ ผมเป็นผู้พิทักษ์แห่งความมืด 1 ใน 6 เสาหลักผู้พิทักษ์แห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ในองค์กรเพื่อนแท้ ดิ เอลเลเม้นท์(ใครอยากรู้ว่ามันคืออะไรให้ไปที่บันทึกของผมก็แล้วกัน ผมขี้เกียจนั่งอธิบายทีละคนนะครับ ซึ่งในบันทึกของผมนั้นจะมีคำตอบและตัวตนทั้งหมดของผมอยู่นั่นเอง) อุดมการณ์ของผม คือ พิทักษ์ชาติ,ศาสน์,กษัตริย์ สานต่อเจตจำนงบรรพชน ค้ำจุนคนดี กำราบคนชั่ว ทำให้ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข บนผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้ ผืนแผ่นดินของในหลวง(รัชกาลที่๙)กับราชินี(ในรัชกาลที่๙) และบรรพชนของเรา ให้เป็นเอกราชสืบต่อไปจวบจนรุ่นลูกรุ่นหลานในภายภาคหน้า ป.ล.1 ผมรับเฉพาะเพื่อนคนพันธุ์พิเศษเท่านั้นนะครับ คนธรรมดาทั่วไปนั้นผมไม่รับเป็นเพื่อนด้วย(เพื่อนคนพันธุ์พิเศษ คือ พวกที่มีอะไรที่พิเศษในตัวเองที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร และมีจุดยืนของตัวเองที่มั่นคงชัดเจน ซึ่งก็คือมีอุดมการณ์ มีจิตวิญญาณ ไม่ใช่พวกหลักลอย หรือพวกผีดิบ) ซึ่งใครจะหาว่าผมว่าเป็นพวกหยิ่ง,ชั่วช้า,เลวทรามอย่างไรก็ช่าง เรื่องของพวกคุณ ผมไม่สนใจ เพราะผมไม่มีเวลามานั่งสนใจความรู้สึกของคนธรรมดาที่แสนชั่วช้าเลวทรามอย่างพวกคุณ สังคมเน่าๆอย่างนี้ผมไม่ขออยู่ร่วมด้วย ถ้ามีเพื่อนที่มันไม่เข้าใจเรา,ไม่รักเรา,ไม่รู้จักเราอย่างแท้จริงแล้วล่ะก็ สู้เราอดทนอยู่แม่งมันตัวคนเดียวเสียยังจะดีกว่าไปเกลือกกลั้วกลิ้งกับคนธรรมดาที่แสนชั่วช้าเลวทรามอย่างพวกคุณ ถ้าหากคุณอยากจะเป็นเพื่อนแท้กันก็เอาใจมาแลกใจ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ไม่มีอะไรซื้อผมได้นอกจากจิตใจที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น ป.ล.2 ผมยินดีที่จะเป็นมิตรกับทุกคนที่รักความถูกต้องโดยชอบธรรม โดยมีธรรมะอยู่ในจิตใจ และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นที่มีความเป็นธรรม โดยมีความเป็นกลางและไม่มีอวิชชาหรืออคติใดๆที่ไม่ชอบธรรม และพร้อมที่จะรับความผิดชอบเมื่อได้กระทำความผิดพลาด หรือพลั้งเผลอไปด้วยความยินดี ซึ่งทุกคนก็ล้วนเคยได้ทำผิดพลาดกันมาในชีวิตมาด้วยกันได้ทั้งนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอะไรเลย เพียงแค่คุณยอมรับมันได้และเปิดใจของคุณเอง มันก็เป็นแค่เพียงเท่านั้นเอง ป.ล.3 ผมยินดีและพร้อมที่จะเป็นเพื่อนกับทุกท่านที่เป็นพันธมิตรฯที่แท้จริง ที่เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกันทุกท่าน เพียงแค่คุณกล้าพอที่จะเป็นเพื่อนกับผม และรองรับอารมณ์ความโกรธเกรี้ยว พลังความมืดในด้านมืดของผมได้ และเข้าใจในตัวตนที่แท้จริงของผมอย่างลึกซึ้ง โดยไม่มีอารมณ์และอคติใดๆที่เป็นอารมณ์ด้านลบติดอยู่กับตัว เพราะนั่นคือ กิเลส หรือ มาร ที่จะมาคอยฉุดรั้งคุณเพื่อไม่ให้คุณได้กระทำความดีได้อย่างเต็มที่นั่นเอง(ซึ่งผมเองก็เคยเป็น และได้ประสบพบเจอมากับตัวผมเองมาแล้ว ผมจึงปรารถนาที่จะไม่ให้คุณต้องตกเป็นแบบเดียวกันกับผมเหมือนเมื่อก่อนอย่างในอดีตของผมนั่นเอง) ป.ล.4 ผมขออธิบายความหมายของคำว่าคนธรรมดากับคนพิเศษไว้ในที่นี้นะครับ เผื่อบางท่านอาจจะงง,สงสัย,เข้าใจผิดกันได้ คนธรรมดาสำหรับผมนั้นหมายถึง คนชั่ว ส่วนคนพิเศษสำหรับผมนั้นหมายถึง คนดี นั่นเองครับ(ผมขออภัยทุกท่านด้วยจริงๆนะครับ ที่ทำให้ทุกท่านเข้าใจในตัวผมผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปนะครับ) ป.ล.5 ผมไม่สนใจในคู่ชีวิต หรือ ผู้หญิงที่ดีแต่สวยที่รูปร่างหน้าตา เก่ง,สวย,รวย,ดีพร้อมไปหมดทุกอย่าง แต่ไร้ซึ่งคุณงามความดีหรอกนะ มันก็เป็นแค่เพียงภายนอกสำหรับผม ลองคิดดู อีกสัก 20 ปี หรือหลายปี เพียงแค่เวลาไม่นานมันก็ต้องหมดวัย พอแก่ตัวลงไปแล้วนั้นต่อให้ตายกลายเป็นผีก็ไม่มีวันที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรอกนะ เพราะฉะนั้นคนเราควรที่จะคบดูกันที่นิสัยใจคอ ซึ่งก็คือคุณงามความดีที่ได้เคยกระทำมา ต่อให้เค้าเป็นตัวประหลาดในสังคม แต่ถ้าเค้าเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม ผมก็ยังคิดว่าเค้าก็ยังจะดีกว่าผู้หญิงที่ดีแต่รูปลักษณ์ภายนอก แต่จิตใจชั่วช้าเลวทรามยิ่งกว่าสัตว์นรกเสียอีก ทุกวันนี้คนเรามันชอบเอาหน้ากากใส่หน้ากากเอาหน้าด้านชั่วเข้าหากันและกัน ไม่เคยคิดที่จะจริงใจต่อกันและกันเลย ดีแต่จะคบดูคนกันที่ภายนอก แต่ไม่รู้จักภายในจิตใจนิสัยใจคอที่แท้จริงกันเสียเลย เมื่อพอตายไปกลายเป็นผีลงโลงไปแล้วก็ลงนรกกันแม่งทุกราย ถ้าอยากได้รักแท้ก็ควรที่จะกระทำตัวเป็นคนดีกันเอาไว้เสียบ้าง ไม่ใช่วันๆดีแต่ทำตัวเหมือน แรด,ชะนี ร้องเรียกหาผัว อยากกระสันที่จะมีคู่ครองจนตัวสั่น โดยที่ไม่นึกคิดที่จะทำตัวของตนเองให้มันดูดีมีคุณค่าในตัวเองกันบ้างเสียเลย โลกนี้มันก็คงจะไม่น่าอยู่กันอีกต่อไปแล้ว พูดแล้วก็ สาธุ ถ้าหากว่าต้องการอยากที่จะได้คนแบบไหนก็ควรที่จะทำตัวของตนเองให้ได้เหมือนกันกับคนที่เราอยากได้มาครอบครองแบบนั้นมาเป็นคู่ชีวิตของเราอย่างนั้นเช่นนั้นแล ป.ล.6 ทุกวันนี้คนเราในในสังคมเรานั้นมักจะชอบดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นกันง่ายดายเสียเหลือเกินกันจริงๆ ซึ่งตนเองนั้นก็มักจะชอบที่จะมองดูคนอื่นจากรูปลักษณ์ภายนอกกันเสียก่อนอื่น(ซึ่งผมเองก็เข้าใจ)เช่นดูที่รูปลักษณ์รูปร่างหน้าตา,ท่าทางกิริยามารยาท,วาจาคำพูด,การกระทำ หรือแม้แต่เงินทองข้าวของ เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆนาๆ แต่ไม่เคยคิดที่จะมองลงไปให้ลึกให้ถึงรายละเอียดภายในจิตใจกันเสียบ้างเสียเลย เปรียบเสมือนกับการที่เราดูหนังสือที่ดีมีความรู้มากมายแค่ที่ปกหนังสือเท่านั้น ซึ่งไม่เคยเลยแม้แต่จะคิดที่จะลองเปิดอ่านดูในเนื้อหาสาระข้างในหนังสือนั้นเลยแม้แต่น้อยเดียวว่า มันมีคุณค่าและสาระมากมายแค่ไหนเพียงไร ในทุกวันนี้คนเราในสังคมมันก็เป็นเสียซะอย่างนี้แหล่ะ ซึ่งผมเองก็คงจะไม่แปลกใจเลยจริงๆ ที่ในทุกวันนี้คนในสังคมของเรามันถึงได้วุ่นวายสับสนอลม่านน่าละอายแก่ใจเหนื่อยหน่ายใจกันสิ้นดีเลยจริงๆ ป.ล.7 คนเราทุกคนล้วนมีคุณค่าอยู่ในตัวของตนเองกันทั้งนั้น แม้แต่กระทั่งกับคนที่ชั่วช้าเลวทรามสามานย์ที่สุด ก็ยังมีคุณค่าอยู่ในตัวของตนเอง อย่างน้อยก็กับครอบครัวของตนเอง เพียงแต่แค่มีสตินึกรู้ได้ ไตร่ตรองเป็น และไม่กระทำตัวของตนเองให้กลับกลายเป็นคนชั่วที่ไร้คุณค่าไป คุณก็ได้ขึ้นชื่อว่าเกิดมาเป็นคนที่ดีมีคุณค่าในตัวของตนเองแล้วล่ะนะ เพียงแค่ตัวคุณไม่ทำตัวของตนเองให้เป็นคนที่ไร้คุณค่าเองก็เท่านั้นเองนั่นแหล่ะ จบแล้วครับทุกท่าน ขอบคุณที่กรุณาอ่านมาจนจบนะครับ และผมหวังเป็นอย่างยิ่งยวดว่าคุณคงจะเข้าใจในตัวตนของผมบ้างไม่มากก็น้อยเนาะ โย่ แม้น โย่ โย่ โย่ โย่
    0 Comments 0 Shares 776 Views 0 Reviews
  • 19/1/68

    ภัยร้ายจากของฟรี
    ที่อาจถึงตาย

    เศษวัสดุทางการเกษตร
    นำเข้าจากจีน

    มีนักธุรกิจบางคน
    นำเข้าเห็ดหอมจากจีน
    ขณะเดียวกัน ก็ยังนำเข้าเศษเห็ดหอมที่เป็นวัสดุเหลือทิ้งจากการผลิตเข้ามาด้วย

    เศษเห็ดหอมนำเข้านี้
    จะไม่ขาย
    หากแต่จะให้ฟรีสำหรับเกษตรกร เพื่อนำไปใช้ทำปุ๋ยหมักในทางเกษตร

    ในโลกนี้ไม่มีของฟรี

    ผมสงสัยเหลือเกินว่าทำไมพ่อค้าจึงใจดี

    “ยอมเสียค่าขนส่ง
    ส่งวัสดุเหลือใช้ชั้นดี
    ให้ทำปุ๋ยที่เมืองไทย”

    ด้วยความสนับสนุนจากอาจารย์ที่เคารพรัก
    ก็ได้นำเศษวัสดุเห็ดหอม
    ส่งเข้าห้องแลป

    พบว่า
    มีโลหะหนัก***จำนวนมาก***

    จึงได้ถึงบางอ้อ

    ที่แท้พวกเขาเอาเศษเห็ดหอมไปซับน้ำกากของเสียอุตสาหกรรม
    ซึ่งมีโลหะหนักจำนวนมาก จากนั้นทำการอบแห้ง
    แล้วส่งออก
    เข้าประเทศไทย
    โดยให้เหตุผลแสนดีว่า

    “สนับสนุนเกษตรกรไทย”

    เท่าที่ทราบ
    ขยะอุตสาหกรรมที่นำเข้ามาจะไม่มีเฉพาะรูปแบบของเศษเห็ดหอมอย่างเดียว
    ยังมีอีกหลากหลายรูปแบบที่เราไม่รู้

    โลหะหนักเหล่านี้
    กินเพียงเล็กน้อยก็เป็นมะเร็งได้

    ลองคิดดู
    มีเกษตรกรจำนวนมากที่ไม่รู้ทันกลโกง และ
    นำเศษวัสดุทางการเกษตรเหล่านี้มาทำปุ๋ย

    โลหะหนักเหล่านี้จึงแฝงเข้าไปอยู่ในเรือกสวนไร่นา
    ไหลไปตามลำธาร
    ซึมเข้าไปในตัวของสัตว์น้ำ สุดท้าย
    อาหารเหล่านี้ก็เข้าสู่วงจรตลาด และถูกปรุง
    จนมาอยู่บนจานข้าวของเรา

    อะไรจะเกิดขึ้น
    เมื่อเรากินอาหารเหล่านั้น
    และ
    อะไรจะเกิดขึ้น
    หากกากอุตสาหกรรมเหล่านั้น
    ยังคงไหลบ่า
    ถาโถมเข้าแผ่นดินไทย

    ไม่รู้ว่าเสียงของผมจะดังได้แค่ไหน
    ขอให้ทุกคนช่วยกันแชร์เรื่องอันเลวร้ายนี้ออกไปให้มากที่สุดด้วยครับ

    # กากอุตสาหกรรม #
    #โลหะหนัก#
    19/1/68 ภัยร้ายจากของฟรี ที่อาจถึงตาย เศษวัสดุทางการเกษตร นำเข้าจากจีน มีนักธุรกิจบางคน นำเข้าเห็ดหอมจากจีน ขณะเดียวกัน ก็ยังนำเข้าเศษเห็ดหอมที่เป็นวัสดุเหลือทิ้งจากการผลิตเข้ามาด้วย เศษเห็ดหอมนำเข้านี้ จะไม่ขาย หากแต่จะให้ฟรีสำหรับเกษตรกร เพื่อนำไปใช้ทำปุ๋ยหมักในทางเกษตร ในโลกนี้ไม่มีของฟรี ผมสงสัยเหลือเกินว่าทำไมพ่อค้าจึงใจดี “ยอมเสียค่าขนส่ง ส่งวัสดุเหลือใช้ชั้นดี ให้ทำปุ๋ยที่เมืองไทย” ด้วยความสนับสนุนจากอาจารย์ที่เคารพรัก ก็ได้นำเศษวัสดุเห็ดหอม ส่งเข้าห้องแลป พบว่า มีโลหะหนัก***จำนวนมาก*** จึงได้ถึงบางอ้อ ที่แท้พวกเขาเอาเศษเห็ดหอมไปซับน้ำกากของเสียอุตสาหกรรม ซึ่งมีโลหะหนักจำนวนมาก จากนั้นทำการอบแห้ง แล้วส่งออก เข้าประเทศไทย โดยให้เหตุผลแสนดีว่า “สนับสนุนเกษตรกรไทย” เท่าที่ทราบ ขยะอุตสาหกรรมที่นำเข้ามาจะไม่มีเฉพาะรูปแบบของเศษเห็ดหอมอย่างเดียว ยังมีอีกหลากหลายรูปแบบที่เราไม่รู้ โลหะหนักเหล่านี้ กินเพียงเล็กน้อยก็เป็นมะเร็งได้ ลองคิดดู มีเกษตรกรจำนวนมากที่ไม่รู้ทันกลโกง และ นำเศษวัสดุทางการเกษตรเหล่านี้มาทำปุ๋ย โลหะหนักเหล่านี้จึงแฝงเข้าไปอยู่ในเรือกสวนไร่นา ไหลไปตามลำธาร ซึมเข้าไปในตัวของสัตว์น้ำ สุดท้าย อาหารเหล่านี้ก็เข้าสู่วงจรตลาด และถูกปรุง จนมาอยู่บนจานข้าวของเรา อะไรจะเกิดขึ้น เมื่อเรากินอาหารเหล่านั้น และ อะไรจะเกิดขึ้น หากกากอุตสาหกรรมเหล่านั้น ยังคงไหลบ่า ถาโถมเข้าแผ่นดินไทย ไม่รู้ว่าเสียงของผมจะดังได้แค่ไหน ขอให้ทุกคนช่วยกันแชร์เรื่องอันเลวร้ายนี้ออกไปให้มากที่สุดด้วยครับ # กากอุตสาหกรรม # #โลหะหนัก#
    0 Comments 0 Shares 502 Views 0 Reviews
  • #อรุณสวัสวันอาทิตย์จ้า
    #เรื่องวุ่นๆของครอบครัวมิ๊จฉาชีพ
    แฝดนารกเจงๆ
    จริงๆเรื่องนี้พี่คิงส์เคยตีแผ่ไปนานละ แต่พวกสาวกอินิดาคุ๊กกี้อาจไม่รู้
    ขณะที่อิดา อ้างว่า ช่วยอิแฝดพี่ เพราะไม่มีความผิด
    อยากถามอิดาว่า รู้หรือไม่ แฝดพี่และแฝดน้อง ถูกพิทักษ์ทรัพย์แล้ว
    คำถามทำไมถูกพิทักษ์ทรัพย์ นั่นแปลว่า SAN ได้ตัดสินแล้วว่าผิด
    และให้ทำการชดใช้ แต่อิไผ่ และแฝดพี่ มันคือมิ๊จมืออาชีพ
    มันโอนชื่อทุกอย่างให้เป็นชื่อผู้อื่น หาทางซุกไว้ทุกรูปแบบ
    มูลค่ารวมที่ SAN ตัดสินแล้ว มากกว่า 200 ล ที่มันต้องชดใช้
    ผสห เอาละสิ เอาไงต่อละเมิง หรือ ถึง SAN ตัดสินกรูก็จะฟอกให้ต่อ
    เอาให้ดี
    พอสองศรีพี่น้องแฝดมิ๊จฉ๋าชีพ โดน R YAD บช คู่ ทำไงต่อ
    ง่ายมาก แฝดพี่ก็เอาชู้ ขึ้นมาเป้นผัว ส่วนผัว แฝดพี่ก็อ้างว่า ที่บ้านผัวทำของ ต้องหย่าถึงจะหาย แล้วก็เอาชู้มาเป็นผัวแบบออกหน้าออกตา เลี้ยงให้อิ่มหนำ สำราญ อยากเติมเกมส์ จัดให้ อยากแต่งรถเป็นแสนๆจัดให้ อยากสักลายเท่ๆเหมือน วัยหนุ่ม ก็จัดไป เพราะอะไร ก็เอาชู๊ ที่เปลี่ยนสถานะเป็นผัวใหม่ เอามาเป็น บชม๊า เอาเงินที่โGงคนอื่น มาหมุนในบช ตกแต่งบช บริษัท เพื่อให้ผัวใหม่มีเครดิต แล้วก็ไปซื้อหัวบริษัทมา แล้วก็ไปกู๊แบ๊ง ยังมีการออกเช็คเพียบ ตอนนี้ KADEE มีมากกว่า 7 ใน SAN
    ไอ่ผัวใหม่ก็คงงงๆนะ มาถึงจุดนี้ได้ไง แต่มันก็เป็นกรรมของมันนี่แหละ เพราะก่อนมาเป็นชู้กับแฝดพี่ มันก็เชื่อแฝดพี่ ไปต้มเมียตัวเอง ให้ไปยืมญาติมาอ้างต่างๆนาๆ พอได้เงินมาก็เอาไปให้แฝดพี่ แล้วทิ้งให้เมียชดใช้จนถึงวันนี้
    แล้วตอนนี้ ใช้บช ใคร บอกได้แค่ว่า ก็เป็นพนักงานคนหนึ่งในสองแฝดนี่แหละ
    สุดท้าย ลองคิดดู นางนิดา นามสกุลคุ๊กกี้ คบกับคนแบบนี้ ปกป้องคนแบบนี้ และช่วยคนแบบนี้ขายของ ออกหน้าออกตา กรูว่า เคมีตรงกัน ไม่เฮี้ยเหมือนกัน คบกันช่วยกันไม่ได้
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #อรุณสวัสวันอาทิตย์จ้า #เรื่องวุ่นๆของครอบครัวมิ๊จฉาชีพ แฝดนารกเจงๆ จริงๆเรื่องนี้พี่คิงส์เคยตีแผ่ไปนานละ แต่พวกสาวกอินิดาคุ๊กกี้อาจไม่รู้ ขณะที่อิดา อ้างว่า ช่วยอิแฝดพี่ เพราะไม่มีความผิด อยากถามอิดาว่า รู้หรือไม่ แฝดพี่และแฝดน้อง ถูกพิทักษ์ทรัพย์แล้ว คำถามทำไมถูกพิทักษ์ทรัพย์ นั่นแปลว่า SAN ได้ตัดสินแล้วว่าผิด และให้ทำการชดใช้ แต่อิไผ่ และแฝดพี่ มันคือมิ๊จมืออาชีพ มันโอนชื่อทุกอย่างให้เป็นชื่อผู้อื่น หาทางซุกไว้ทุกรูปแบบ มูลค่ารวมที่ SAN ตัดสินแล้ว มากกว่า 200 ล ที่มันต้องชดใช้ ผสห เอาละสิ เอาไงต่อละเมิง หรือ ถึง SAN ตัดสินกรูก็จะฟอกให้ต่อ เอาให้ดี พอสองศรีพี่น้องแฝดมิ๊จฉ๋าชีพ โดน R YAD บช คู่ ทำไงต่อ ง่ายมาก แฝดพี่ก็เอาชู้ ขึ้นมาเป้นผัว ส่วนผัว แฝดพี่ก็อ้างว่า ที่บ้านผัวทำของ ต้องหย่าถึงจะหาย แล้วก็เอาชู้มาเป็นผัวแบบออกหน้าออกตา เลี้ยงให้อิ่มหนำ สำราญ อยากเติมเกมส์ จัดให้ อยากแต่งรถเป็นแสนๆจัดให้ อยากสักลายเท่ๆเหมือน วัยหนุ่ม ก็จัดไป เพราะอะไร ก็เอาชู๊ ที่เปลี่ยนสถานะเป็นผัวใหม่ เอามาเป็น บชม๊า เอาเงินที่โGงคนอื่น มาหมุนในบช ตกแต่งบช บริษัท เพื่อให้ผัวใหม่มีเครดิต แล้วก็ไปซื้อหัวบริษัทมา แล้วก็ไปกู๊แบ๊ง ยังมีการออกเช็คเพียบ ตอนนี้ KADEE มีมากกว่า 7 ใน SAN ไอ่ผัวใหม่ก็คงงงๆนะ มาถึงจุดนี้ได้ไง แต่มันก็เป็นกรรมของมันนี่แหละ เพราะก่อนมาเป็นชู้กับแฝดพี่ มันก็เชื่อแฝดพี่ ไปต้มเมียตัวเอง ให้ไปยืมญาติมาอ้างต่างๆนาๆ พอได้เงินมาก็เอาไปให้แฝดพี่ แล้วทิ้งให้เมียชดใช้จนถึงวันนี้ แล้วตอนนี้ ใช้บช ใคร บอกได้แค่ว่า ก็เป็นพนักงานคนหนึ่งในสองแฝดนี่แหละ สุดท้าย ลองคิดดู นางนิดา นามสกุลคุ๊กกี้ คบกับคนแบบนี้ ปกป้องคนแบบนี้ และช่วยคนแบบนี้ขายของ ออกหน้าออกตา กรูว่า เคมีตรงกัน ไม่เฮี้ยเหมือนกัน คบกันช่วยกันไม่ได้ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 Comments 0 Shares 728 Views 0 Reviews
  • ภัยร้ายจากของฟรี
    ที่อาจถึงตาย

    เศษวัสดุทางการเกษตร
    นำเข้าจากจีน

    มีนักธุรกิจบางคน
    นำเข้าเห็ดหอมจากจีน
    ขณะเดียวกัน ก็ยังนำเข้าเศษเห็ดหอมที่เป็นวัสดุเหลือทิ้งจากการผลิตเข้ามาด้วย

    เศษเห็ดหอมนำเข้านี้
    จะไม่ขาย
    หากแต่จะให้ฟรีสำหรับเกษตรกร เพื่อนำไปใช้ทำปุ๋ยหมักในทางเกษตร

    ในโลกนี้ไม่มีของฟรี

    ผมสงสัยเหลือเกินว่าทำไมพ่อค้าจึงใจดี

    “ยอมเสียค่าขนส่ง
    ส่งวัสดุเหลือใช้ชั้นดี
    ให้ทำปุ๋ยที่เมืองไทย”

    ด้วยความสนับสนุนจากอาจารย์ที่เคารพรัก
    ก็ได้นำเศษวัสดุเห็ดหอม
    ส่งเข้าห้องแลป

    พบว่า
    มีโลหะหนัก***จำนวนมาก***

    จึงได้ถึงบางอ้อ

    ที่แท้พวกเขาเอาเศษเห็ดหอมไปซับน้ำกากของเสียอุตสาหกรรม
    ซึ่งมีโลหะหนักจำนวนมาก จากนั้นทำการอบแห้ง
    แล้วส่งออก
    เข้าประเทศไทย
    โดยให้เหตุผลแสนดีว่า

    “สนับสนุนเกษตรกรไทย”

    เท่าที่ทราบ
    ขยะอุตสาหกรรมที่นำเข้ามาจะไม่มีเฉพาะรูปแบบของเศษเห็ดหอมอย่างเดียว
    ยังมีอีกหลากหลายรูปแบบที่เราไม่รู้

    โลหะหนักเหล่านี้
    กินเพียงเล็กน้อยก็เป็นมะเร็งได้

    ลองคิดดู
    มีเกษตรกรจำนวนมากที่ไม่รู้ทันกลโกง และ
    นำเศษวัสดุทางการเกษตรเหล่านี้มาทำปุ๋ย

    โลหะหนักเหล่านี้จึงแฝงเข้าไปอยู่ในเรือกสวนไร่นา
    ไหลไปตามลำธาร
    ซึมเข้าไปในตัวของสัตว์น้ำ สุดท้าย
    อาหารเหล่านี้ก็เข้าสู่วงจรตลาด และถูกปรุง
    จนมาอยู่บนจานข้าวของเรา

    อะไรจะเกิดขึ้น
    เมื่อเรากินอาหารเหล่านั้น
    และ
    อะไรจะเกิดขึ้น
    หากกากอุตสาหกรรมเหล่านั้น
    ยังคงไหลบ่า
    ถาโถมเข้าแผ่นดินไทย

    ไม่รู้ว่าเสียงของผมจะดังได้แค่ไหน
    ขอให้ทุกคนช่วยกันแชร์เรื่องอันเลวร้ายนี้ออกไปให้มากที่สุดด้วยครับ

    # กากอุตสาหกรรม #
    #โลหะหนัก#
    ภัยร้ายจากของฟรี ที่อาจถึงตาย เศษวัสดุทางการเกษตร นำเข้าจากจีน มีนักธุรกิจบางคน นำเข้าเห็ดหอมจากจีน ขณะเดียวกัน ก็ยังนำเข้าเศษเห็ดหอมที่เป็นวัสดุเหลือทิ้งจากการผลิตเข้ามาด้วย เศษเห็ดหอมนำเข้านี้ จะไม่ขาย หากแต่จะให้ฟรีสำหรับเกษตรกร เพื่อนำไปใช้ทำปุ๋ยหมักในทางเกษตร ในโลกนี้ไม่มีของฟรี ผมสงสัยเหลือเกินว่าทำไมพ่อค้าจึงใจดี “ยอมเสียค่าขนส่ง ส่งวัสดุเหลือใช้ชั้นดี ให้ทำปุ๋ยที่เมืองไทย” ด้วยความสนับสนุนจากอาจารย์ที่เคารพรัก ก็ได้นำเศษวัสดุเห็ดหอม ส่งเข้าห้องแลป พบว่า มีโลหะหนัก***จำนวนมาก*** จึงได้ถึงบางอ้อ ที่แท้พวกเขาเอาเศษเห็ดหอมไปซับน้ำกากของเสียอุตสาหกรรม ซึ่งมีโลหะหนักจำนวนมาก จากนั้นทำการอบแห้ง แล้วส่งออก เข้าประเทศไทย โดยให้เหตุผลแสนดีว่า “สนับสนุนเกษตรกรไทย” เท่าที่ทราบ ขยะอุตสาหกรรมที่นำเข้ามาจะไม่มีเฉพาะรูปแบบของเศษเห็ดหอมอย่างเดียว ยังมีอีกหลากหลายรูปแบบที่เราไม่รู้ โลหะหนักเหล่านี้ กินเพียงเล็กน้อยก็เป็นมะเร็งได้ ลองคิดดู มีเกษตรกรจำนวนมากที่ไม่รู้ทันกลโกง และ นำเศษวัสดุทางการเกษตรเหล่านี้มาทำปุ๋ย โลหะหนักเหล่านี้จึงแฝงเข้าไปอยู่ในเรือกสวนไร่นา ไหลไปตามลำธาร ซึมเข้าไปในตัวของสัตว์น้ำ สุดท้าย อาหารเหล่านี้ก็เข้าสู่วงจรตลาด และถูกปรุง จนมาอยู่บนจานข้าวของเรา อะไรจะเกิดขึ้น เมื่อเรากินอาหารเหล่านั้น และ อะไรจะเกิดขึ้น หากกากอุตสาหกรรมเหล่านั้น ยังคงไหลบ่า ถาโถมเข้าแผ่นดินไทย ไม่รู้ว่าเสียงของผมจะดังได้แค่ไหน ขอให้ทุกคนช่วยกันแชร์เรื่องอันเลวร้ายนี้ออกไปให้มากที่สุดด้วยครับ # กากอุตสาหกรรม # #โลหะหนัก#
    0 Comments 0 Shares 532 Views 0 Reviews
  • จาก งักปุกคุ้ง ถึง งักฮุย ใครเป็นใครมั่งในวันนี้ คิดกันเอาเอง #หนังสือเปลือยธารินทร์
    คนผู้หนึ่ง เพราะเพื่อพิทักษ์ศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของตัวเอง เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ อาศัยเล่ห์ อุบายลึกซึ้ง พฤติกรรมกันสกปรกโสมม ไม่คำนึงถึงการทำร้ายผู้อื่น ทำลายล้างบุคคลอื่น บ้านเราวันนี้มีใครบ้างที่เป็น งักปุกคุ้ง ลองคิดดูเอาเอง
    #ฟังเสียงอ่านหนังสือเปลือยธารินทร์ https://youtu.be/bBOZcAcBHuQ
    จาก งักปุกคุ้ง ถึง งักฮุย ใครเป็นใครมั่งในวันนี้ คิดกันเอาเอง #หนังสือเปลือยธารินทร์ คนผู้หนึ่ง เพราะเพื่อพิทักษ์ศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของตัวเอง เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ อาศัยเล่ห์ อุบายลึกซึ้ง พฤติกรรมกันสกปรกโสมม ไม่คำนึงถึงการทำร้ายผู้อื่น ทำลายล้างบุคคลอื่น บ้านเราวันนี้มีใครบ้างที่เป็น งักปุกคุ้ง ลองคิดดูเอาเอง #ฟังเสียงอ่านหนังสือเปลือยธารินทร์ https://youtu.be/bBOZcAcBHuQ
    0 Comments 0 Shares 520 Views 0 Reviews
  • สื่ออังกฤษป้ายสีนักธุรกิจจีนว่าเป็นสายลับ บิดคำพิพากษาของศาล กรณีของเจ้าชายแอนดรูว์และ “สายลับจีน” โดยบทวิเคราะห์ของArnaud Bertrand เขียนในXระบุว่า การดำเนินการของสื่อของอังกฤษ ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่น่าหวาดระแวงเกี่ยวกับ “ภัยสีเหลือง” ที่สุดที่เคยพบเห็นเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงแล้ว จะพบว่าเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ไม่น่าเชื่ออย่างยิ่ง ในทางปฏิบัติแล้ว หมายความว่าชาวจีนทุกคน - ไม่จำเป็นต้องเป็นคนจีนด้วยซ้ำ อาจเป็นใครก็ได้ที่มีความเชื่อมโยงกับจีน - จะถูกแบนจากสหราชอาณาจักรอย่างถาวร หากพวกเขามีความสัมพันธ์กับบุคคลสำคัญในสหราชอาณาจักรก่อนอื่น มาดูกันว่าสื่อมีแนวคิดเกี่ยวกับกรณีนี้อย่างไร พาดหัวข่าวระบุว่า “สายลับจีนเชื่อมโยงกับเจ้าชายแอนดรูว์ ส.ส. เตือนว่าเขาไม่ใช่หมาป่าเดียวดาย” (The Independent: independent.co.uk/news/uk/politi… ) “เรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับสายลับกับเจ้าชายแอนดรูว์อาจทำให้มีการเปิดโปงภัยคุกคามจากจีนมากขึ้น”(The Guardian: theguardian.com/world/2024/dec… ) "'สายลับ' ชาวจีนที่เชื่อมโยงกับเจ้าชายแอนดรูว์เป็นเพียง 'ส่วนเล็กๆ ของภูเขาน้ำแข็ง' เท่านั้น" (Politico: politico.eu/article/china-… )สื่อหลักทุกสำนักข่าวของอังกฤษที่รายงานเกี่ยวกับเรื่อง "สายลับจีน" ต่างพากันวาดภาพอันชั่วร้ายของการแทรกซึมเข้าสู่ระดับสูงสุดของสังคมอังกฤษ โดยถือเป็น "หลักฐาน" ของ "ภัยคุกคามอันเลวร้ายจากจีน"ทั้งหมดนี้ไม่เป็นความความจริและเหลือเชื่อ เมื่อคุณพิจารณาความเป็นจริงของคดี (อ่านคำพิพากษาของศาลได้ที่นี่: judiciary.uk/judgments/h6-v… ) ข้อกล่าวหาเหล่านี้ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง ไม่มีหลักฐานใดๆ ของการจารกรรม ไม่มีหลักฐานของการกระทำผิดใดๆ เลย จริงๆ แล้วไม่มีข้อกล่าวหาใดๆ เลยเกี่ยวกับการกระทำผิดที่เกิดขึ้น ไม่มีเลย ไม่มีเลย ไม่มีเลยแต่ในความเป็นจริงแล้วคดีของรัฐบาลประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้:- นายหยางมีความเชื่อมโยงกับสถาบันของจีน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนกงานแนวร่วมและพรรคคอมมิวนิสต์) ซึ่งศาลเองก็ยอมรับว่า "อาจใช้ได้กับนักธุรกิจชาวจีนทุกคน"- เขาถูกกล่าวหาว่าไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความเชื่อมโยงเหล่านี้และป้ายสีว่าเขาโกหกเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ - ทั้ๆที่เขายอมรับว่าความเชื่อมโยงดังกล่าวเป็นสิ่งที่ "หลีกเลี่ยงไม่ได้" สำหรับนักธุรกิจจีน (ซึ่งเป็นเพียงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิธีการดำเนินธุรกิจในจีน)แม้ว่าศาลจะยอมรับในคำพิพากษาว่า "ไม่มีหลักฐานมากมาย" ที่สนับสนุนความเชื่อมโยงเหล่านี้ในตอนแรก- เขาสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลสำคัญของอังกฤษ (โดยเฉพาะเจ้าชายแอนดรูว์) ผ่านทางโครงการธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น Pitch@Palace ซึ่งรัฐบาลอังกฤษโต้แย้งว่า "สามารถนำมาใช้ประโยชน์" เพื่อสร้างอิทธิพลในบางจุดในอนาคตได้ แม้ว่าศาลจะเขียนว่า "อาจเป็นเพียงแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจปกติ" ก็ตามนั่นแหละ นั่นคือกรณีทั้งหมดจริงๆสามารถตรวจสอบด้วยตัวเองได้ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน: judiciary.uk/judgments/h6-v… นั่นคือกรณีทั้งหมดจริงๆไม่มีหลักฐานหรือข้อกล่าวหา (!), เกี่ยวกับการจารกรรมในคดีที่สื่อทั้งหมดนำเสนอว่าเป็น "สายลับจีน" ความผิดของนายหยางคือการเป็นนักธุรกิจชาวจีนที่มีความเชื่อมโยงกับสถาบันของจีน ซึ่งศาลเองก็ยอมรับว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเขาประสบความสำเร็จในการสร้างความสัมพันธ์กับชนชั้นนำอังกฤษผ่านการร่วมทุนทางธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเพียงแค่ความจริงที่ว่าความสัมพันธ์เหล่านี้สามารถ "ใช้ประโยชน์" เพื่อสร้างอิทธิพลในบางจุดในอนาคต  แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาถูกแบนจากสหราชอาณาจักรอย่างถาวร แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานว่าเขาตั้งใจจะทำเช่นนั้นหรือทำอะไรที่ไม่เหมาะสมก็ตามและนี่คือจุดที่ทุกอย่างกลายเป็นโลกดิสโทเปียอย่างแท้จริง นายหยางถูกห้ามเข้าสหราชอาณาจักรอย่างถาวรโดยไม่ได้อ้างกฎหมายหรือหลักฐานการกระทำผิดใดๆ แต่อยู่ภายใต้อำนาจของกษัตริย์โบราณที่เรียกว่า "พระราชอำนาจพิเศษ" รัฐบาลไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ด้วยซ้ำว่าเขาทำอะไรผิด พวกเขาเพียงแค่ต้องโต้แย้งว่าเป็นเรื่อง "สมเหตุสมผล" ที่จะคิดว่าความสัมพันธ์ทางธุรกิจของเขาสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างอิทธิพลในสักวันหนึ่งลองคิดดูว่าสิ่งนี้มีความหมายอย่างไรในทางปฏิบัติ นักธุรกิจชาวจีนที่:- พัฒนาความสัมพันธ์กับบุคคลสำคัญในสหราชอาณาจักร (ซึ่งมักจำเป็นต่อการทำธุรกิจ)- มีความสัมพันธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้กับสถาบันของจีน (ซึ่งมักจะเป็นเช่นนี้เกือบเสมอ)- ถือเป็นการไม่แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความเชื่อมโยงเหล่านี้อาจถูกแบนจากสหราชอาณาจักรอย่างถาวรโดยไม่ต้องก่ออาชญากรรมหรือกระทำผิดใดๆ รัฐบาลเพียงแค่ต้องโบกไม้กายสิทธิ์แห่ง "ความมั่นคงแห่งชาติ" และเสนอแนะความเสี่ยงในอนาคตตามทฤษฎีสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือสื่อตะวันตกล้มเหลวในการตรวจสอบเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง แทนที่จะตั้งคำถามว่าทำไมคนๆ หนึ่งจึงถูกตราหน้าว่าเป็น "สายลับ" และถูกห้ามเข้าประเทศเพียงเพราะไม่มีหลักฐานใดๆ เกี่ยวกับการจารกรรม พวกเขากลับขยายความหวาดระแวงด้วยพาดหัวข่าวที่สร้างความตื่นตระหนกและอ้างคำพูดของสมาชิกรัฐสภาที่เตือนว่านี่เป็นเพียง "ส่วนเล็กๆ ของเรื่องใหญ่" และเขา "ไม่ใช่หมาป่าเดียวดาย"โดยพื้นฐานแล้ว เรากำลังเฝ้าดูการสร้างกรอบกฎหมายสำหรับการเลือกปฏิบัติต่อพลเมืองจีน (และอาจรวมถึงผู้ที่มีความเชื่อมโยงกับจีนด้วย) โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกเขาทำ แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่รัฐบาลคิดว่าพวกเขาอาจทำในอนาคตโดยอาศัยพื้นฐานง่ายๆ ว่าพวกเขาเป็นชาวจีน ในขณะที่สื่อมวลชนก็เชียร์การกัดกร่อนหลักการทางกฎหมายและศีลธรรมพื้นฐานนี้ด้วยวาทกรรม "สายลับ" ที่ยั่วยุและไม่มีหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งล้วนแต่เป็นผลงานของคาฟคาทั้งสิ้นลองนึกภาพดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากจีนเริ่มสั่งห้ามนักธุรกิจชาวอังกฤษเข้าประเทศอย่างถาวร เนื่องจากพวกเขามีความสัมพันธ์กับสถาบันของอังกฤษ และพัฒนาความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่จีนที่ "สามารถใช้ประโยชน์" เพื่อสร้างอิทธิพลได้ ซึ่งหมายถึงนักธุรกิจชาวอังกฤษเกือบทั้งหมดในจีนที่มีอาวุโสในระดับหนึ่ง ดังนั้น เราจะต้องเผชิญหน้ากับการเนรเทศชุมชนธุรกิจชาวอังกฤษออกจากจีนเกือบทั้งหมด...แม้แต่จากมุมมองของผลประโยชน์ของชาติอังกฤษแล้ว ก็ไม่สมเหตุสมผลเลย พวกเขาควรต้องการให้นักธุรกิจชาวจีนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีมาทำธุรกิจที่นั่น เพราะความสัมพันธ์เหล่านี้มีความสำคัญต่อธุรกิจ หากพวกเขากังวลว่าความสัมพันธ์เหล่านี้อาจถูกนำมาใช้เพื่อมีอิทธิพลที่ไม่เหมาะสม การตอบสนองของพวกเขาควรเสริมสร้างมาตรการต่อต้านการทุจริตในประเทศ ไม่ใช่ห้ามนักธุรกิจชาวจีนสร้างความสัมพันธ์ที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ แนวทางนี้ไม่ได้ปกป้องผลประโยชน์ของอังกฤษ แต่กลับสร้างความเสียหายให้กับพวกเขาโดยสร้างผลกระทบเชิงลบต่อความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศคดีของหยาง เติงโป ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่น่าเศร้าอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ชาติตะวันตกต้องคลี่คลายสิ่งที่ชาติตะวันตกอ้างว่าเป็น "ค่านิยมพื้นฐาน" ของตน เมื่อเราเริ่มลงโทษผู้คนไม่ใช่เพราะสิ่งที่พวกเขาทำ แต่เพราะสิ่งที่พวกเขาอาจทำในทางทฤษฎีเพราะสัญชาติของพวกเขา เรากำลังก้าวข้ามเส้นที่ควรทำให้ผู้ที่เชื่อในหลักนิติธรรมและความยุติธรรมขั้นพื้นฐานวิตกกังวล สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เราปลอดภัยและเจริญรุ่งเรืองขึ้น แต่ทำให้เรามีความยุติธรรมน้อยลงเท่านั้น หากสิ่งนี้ไม่ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับทิศทางที่เรากำลังมุ่งหน้าไป ฉันก็ไม่รู้ว่าอะไรจะทำให้เกิดขึ้นได้
    สื่ออังกฤษป้ายสีนักธุรกิจจีนว่าเป็นสายลับ บิดคำพิพากษาของศาล กรณีของเจ้าชายแอนดรูว์และ “สายลับจีน” โดยบทวิเคราะห์ของArnaud Bertrand เขียนในXระบุว่า การดำเนินการของสื่อของอังกฤษ ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่น่าหวาดระแวงเกี่ยวกับ “ภัยสีเหลือง” ที่สุดที่เคยพบเห็นเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงแล้ว จะพบว่าเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ไม่น่าเชื่ออย่างยิ่ง ในทางปฏิบัติแล้ว หมายความว่าชาวจีนทุกคน - ไม่จำเป็นต้องเป็นคนจีนด้วยซ้ำ อาจเป็นใครก็ได้ที่มีความเชื่อมโยงกับจีน - จะถูกแบนจากสหราชอาณาจักรอย่างถาวร หากพวกเขามีความสัมพันธ์กับบุคคลสำคัญในสหราชอาณาจักรก่อนอื่น มาดูกันว่าสื่อมีแนวคิดเกี่ยวกับกรณีนี้อย่างไร พาดหัวข่าวระบุว่า “สายลับจีนเชื่อมโยงกับเจ้าชายแอนดรูว์ ส.ส. เตือนว่าเขาไม่ใช่หมาป่าเดียวดาย” (The Independent: independent.co.uk/news/uk/politi… ) “เรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับสายลับกับเจ้าชายแอนดรูว์อาจทำให้มีการเปิดโปงภัยคุกคามจากจีนมากขึ้น”(The Guardian: theguardian.com/world/2024/dec… ) "'สายลับ' ชาวจีนที่เชื่อมโยงกับเจ้าชายแอนดรูว์เป็นเพียง 'ส่วนเล็กๆ ของภูเขาน้ำแข็ง' เท่านั้น" (Politico: politico.eu/article/china-… )สื่อหลักทุกสำนักข่าวของอังกฤษที่รายงานเกี่ยวกับเรื่อง "สายลับจีน" ต่างพากันวาดภาพอันชั่วร้ายของการแทรกซึมเข้าสู่ระดับสูงสุดของสังคมอังกฤษ โดยถือเป็น "หลักฐาน" ของ "ภัยคุกคามอันเลวร้ายจากจีน"ทั้งหมดนี้ไม่เป็นความความจริและเหลือเชื่อ เมื่อคุณพิจารณาความเป็นจริงของคดี (อ่านคำพิพากษาของศาลได้ที่นี่: judiciary.uk/judgments/h6-v… ) ข้อกล่าวหาเหล่านี้ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง ไม่มีหลักฐานใดๆ ของการจารกรรม ไม่มีหลักฐานของการกระทำผิดใดๆ เลย จริงๆ แล้วไม่มีข้อกล่าวหาใดๆ เลยเกี่ยวกับการกระทำผิดที่เกิดขึ้น ไม่มีเลย ไม่มีเลย ไม่มีเลยแต่ในความเป็นจริงแล้วคดีของรัฐบาลประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้:- นายหยางมีความเชื่อมโยงกับสถาบันของจีน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนกงานแนวร่วมและพรรคคอมมิวนิสต์) ซึ่งศาลเองก็ยอมรับว่า "อาจใช้ได้กับนักธุรกิจชาวจีนทุกคน"- เขาถูกกล่าวหาว่าไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความเชื่อมโยงเหล่านี้และป้ายสีว่าเขาโกหกเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ - ทั้ๆที่เขายอมรับว่าความเชื่อมโยงดังกล่าวเป็นสิ่งที่ "หลีกเลี่ยงไม่ได้" สำหรับนักธุรกิจจีน (ซึ่งเป็นเพียงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิธีการดำเนินธุรกิจในจีน)แม้ว่าศาลจะยอมรับในคำพิพากษาว่า "ไม่มีหลักฐานมากมาย" ที่สนับสนุนความเชื่อมโยงเหล่านี้ในตอนแรก- เขาสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลสำคัญของอังกฤษ (โดยเฉพาะเจ้าชายแอนดรูว์) ผ่านทางโครงการธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น Pitch@Palace ซึ่งรัฐบาลอังกฤษโต้แย้งว่า "สามารถนำมาใช้ประโยชน์" เพื่อสร้างอิทธิพลในบางจุดในอนาคตได้ แม้ว่าศาลจะเขียนว่า "อาจเป็นเพียงแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจปกติ" ก็ตามนั่นแหละ นั่นคือกรณีทั้งหมดจริงๆสามารถตรวจสอบด้วยตัวเองได้ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน: judiciary.uk/judgments/h6-v… นั่นคือกรณีทั้งหมดจริงๆไม่มีหลักฐานหรือข้อกล่าวหา (!), เกี่ยวกับการจารกรรมในคดีที่สื่อทั้งหมดนำเสนอว่าเป็น "สายลับจีน" ความผิดของนายหยางคือการเป็นนักธุรกิจชาวจีนที่มีความเชื่อมโยงกับสถาบันของจีน ซึ่งศาลเองก็ยอมรับว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเขาประสบความสำเร็จในการสร้างความสัมพันธ์กับชนชั้นนำอังกฤษผ่านการร่วมทุนทางธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเพียงแค่ความจริงที่ว่าความสัมพันธ์เหล่านี้สามารถ "ใช้ประโยชน์" เพื่อสร้างอิทธิพลในบางจุดในอนาคต  แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาถูกแบนจากสหราชอาณาจักรอย่างถาวร แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานว่าเขาตั้งใจจะทำเช่นนั้นหรือทำอะไรที่ไม่เหมาะสมก็ตามและนี่คือจุดที่ทุกอย่างกลายเป็นโลกดิสโทเปียอย่างแท้จริง นายหยางถูกห้ามเข้าสหราชอาณาจักรอย่างถาวรโดยไม่ได้อ้างกฎหมายหรือหลักฐานการกระทำผิดใดๆ แต่อยู่ภายใต้อำนาจของกษัตริย์โบราณที่เรียกว่า "พระราชอำนาจพิเศษ" รัฐบาลไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ด้วยซ้ำว่าเขาทำอะไรผิด พวกเขาเพียงแค่ต้องโต้แย้งว่าเป็นเรื่อง "สมเหตุสมผล" ที่จะคิดว่าความสัมพันธ์ทางธุรกิจของเขาสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างอิทธิพลในสักวันหนึ่งลองคิดดูว่าสิ่งนี้มีความหมายอย่างไรในทางปฏิบัติ นักธุรกิจชาวจีนที่:- พัฒนาความสัมพันธ์กับบุคคลสำคัญในสหราชอาณาจักร (ซึ่งมักจำเป็นต่อการทำธุรกิจ)- มีความสัมพันธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้กับสถาบันของจีน (ซึ่งมักจะเป็นเช่นนี้เกือบเสมอ)- ถือเป็นการไม่แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความเชื่อมโยงเหล่านี้อาจถูกแบนจากสหราชอาณาจักรอย่างถาวรโดยไม่ต้องก่ออาชญากรรมหรือกระทำผิดใดๆ รัฐบาลเพียงแค่ต้องโบกไม้กายสิทธิ์แห่ง "ความมั่นคงแห่งชาติ" และเสนอแนะความเสี่ยงในอนาคตตามทฤษฎีสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือสื่อตะวันตกล้มเหลวในการตรวจสอบเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง แทนที่จะตั้งคำถามว่าทำไมคนๆ หนึ่งจึงถูกตราหน้าว่าเป็น "สายลับ" และถูกห้ามเข้าประเทศเพียงเพราะไม่มีหลักฐานใดๆ เกี่ยวกับการจารกรรม พวกเขากลับขยายความหวาดระแวงด้วยพาดหัวข่าวที่สร้างความตื่นตระหนกและอ้างคำพูดของสมาชิกรัฐสภาที่เตือนว่านี่เป็นเพียง "ส่วนเล็กๆ ของเรื่องใหญ่" และเขา "ไม่ใช่หมาป่าเดียวดาย"โดยพื้นฐานแล้ว เรากำลังเฝ้าดูการสร้างกรอบกฎหมายสำหรับการเลือกปฏิบัติต่อพลเมืองจีน (และอาจรวมถึงผู้ที่มีความเชื่อมโยงกับจีนด้วย) โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกเขาทำ แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่รัฐบาลคิดว่าพวกเขาอาจทำในอนาคตโดยอาศัยพื้นฐานง่ายๆ ว่าพวกเขาเป็นชาวจีน ในขณะที่สื่อมวลชนก็เชียร์การกัดกร่อนหลักการทางกฎหมายและศีลธรรมพื้นฐานนี้ด้วยวาทกรรม "สายลับ" ที่ยั่วยุและไม่มีหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งล้วนแต่เป็นผลงานของคาฟคาทั้งสิ้นลองนึกภาพดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากจีนเริ่มสั่งห้ามนักธุรกิจชาวอังกฤษเข้าประเทศอย่างถาวร เนื่องจากพวกเขามีความสัมพันธ์กับสถาบันของอังกฤษ และพัฒนาความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่จีนที่ "สามารถใช้ประโยชน์" เพื่อสร้างอิทธิพลได้ ซึ่งหมายถึงนักธุรกิจชาวอังกฤษเกือบทั้งหมดในจีนที่มีอาวุโสในระดับหนึ่ง ดังนั้น เราจะต้องเผชิญหน้ากับการเนรเทศชุมชนธุรกิจชาวอังกฤษออกจากจีนเกือบทั้งหมด...แม้แต่จากมุมมองของผลประโยชน์ของชาติอังกฤษแล้ว ก็ไม่สมเหตุสมผลเลย พวกเขาควรต้องการให้นักธุรกิจชาวจีนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีมาทำธุรกิจที่นั่น เพราะความสัมพันธ์เหล่านี้มีความสำคัญต่อธุรกิจ หากพวกเขากังวลว่าความสัมพันธ์เหล่านี้อาจถูกนำมาใช้เพื่อมีอิทธิพลที่ไม่เหมาะสม การตอบสนองของพวกเขาควรเสริมสร้างมาตรการต่อต้านการทุจริตในประเทศ ไม่ใช่ห้ามนักธุรกิจชาวจีนสร้างความสัมพันธ์ที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ แนวทางนี้ไม่ได้ปกป้องผลประโยชน์ของอังกฤษ แต่กลับสร้างความเสียหายให้กับพวกเขาโดยสร้างผลกระทบเชิงลบต่อความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศคดีของหยาง เติงโป ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่น่าเศร้าอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ชาติตะวันตกต้องคลี่คลายสิ่งที่ชาติตะวันตกอ้างว่าเป็น "ค่านิยมพื้นฐาน" ของตน เมื่อเราเริ่มลงโทษผู้คนไม่ใช่เพราะสิ่งที่พวกเขาทำ แต่เพราะสิ่งที่พวกเขาอาจทำในทางทฤษฎีเพราะสัญชาติของพวกเขา เรากำลังก้าวข้ามเส้นที่ควรทำให้ผู้ที่เชื่อในหลักนิติธรรมและความยุติธรรมขั้นพื้นฐานวิตกกังวล สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เราปลอดภัยและเจริญรุ่งเรืองขึ้น แต่ทำให้เรามีความยุติธรรมน้อยลงเท่านั้น หากสิ่งนี้ไม่ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับทิศทางที่เรากำลังมุ่งหน้าไป ฉันก็ไม่รู้ว่าอะไรจะทำให้เกิดขึ้นได้
    0 Comments 0 Shares 1076 Views 0 Reviews
  • รัฐมนตรีต่างประเทศจีนกล่าวแสดงความหวังว่า คณะบริหารใหม่ของอเมริกาจะ “ตัดสินใจถูกต้อง” และร่วมมือกับปักกิ่งซึ่งจะทำให้สามารถบรรลุ “สิ่งต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่จำนวนมาก” ขณะที่ก่อนหน้านั้นไม่นาน โดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ว่า สี จิ้นผิง เคยเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเขา แต่ความสัมพันธ์ที่ดีนี้มีอันร้าวฉานเนื่องจากโรคระบาดใหญ่โควิด-19
    .
    สองประเทศเจ้าของระบบเศรษฐกิจใหญ่สุดอันดับ 1 และ 2 ของโลก งัดข้อกันหลากหลายประเด็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เรื่องการค้า เทคโนโลยี สิทธิมนุษยชน จนถึงเรื่องไต้หวัน
    .
    โดยเฉพาะในเรื่องหลังนี้ จีนถือว่า ไต้หวันเป็นดินแดนของตน และไม่ตัดความเป็นไปได้ที่อาจต้องใช้กำลังเข้ายึดในวันใดวันหนึ่ง ขณะที่อเมริกาแม้ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่ก็ผ่านกฎหมายให้เข้าช่วยเหลือไต้หวัน รวมทั้งทำข้อตกลงขายอาวุธให้ไทเปป้องกันตนเองได้
    .
    ณ งานประชุมสำคัญที่ปักกิ่งในวันอังคาร (17) หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน พูดว่า นโยบายของจีนต่ออเมริกา “ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง” ในระหว่างที่เขากล่าวปราศรัยเปิดงานคราวนี้ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายมุ่งสะท้อนถึงผลงานทางการทูตของแดนมังกรในรอบปีที่ผ่านมา ตลอดจนความคาดหวังต่างๆ สำหรับอนาคต
    .
    รัฐมนตรีต่างประเทศจีนระบุว่า จากการปฏิบัติงานของคณะทำงานต่างๆ ทางด้านเศรษฐกิจ ตลอดจนการร่วมมือกันในการควบคุมการลักลอบขนยาเสพติดข้ามพรมแดนเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อสองประเทศร่วมมือกัน จีนและอเมริกาก็สามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่มากมาย
    .
    หวังยังแสดงความหวังว่า คณะบริหารของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะ “เลือกถูก” ด้วยการร่วมมือกับจีนเดินไปในทิศทางเดียวกัน เอาชนะอุปสรรค และมุ่งมั่นพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีที่มีเสถียรภาพ ราบรื่น และยั่งยืน
    .
    อย่างไรก็ดี เขายังคงกล่าวย้ำเตือนในเรื่องไต้หวัน โดยบอกว่า ปักกิ่ง “คัดค้านอย่างเด็ดเดี่ยวต่อการกดขี่อย่างผิดกฎหมายและไม่มีเหตุผลของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าแทรกแซงอย่างหยาบคายในกิจการภายในของจีน” ซึ่งก็รวมทั้งเรื่องสถานะของเกาะไต้หวัน
    .
    ขณะเดียวกัน ในการปราศรัยคราวนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้วาดภาพของโลกที่มืดมนลงกว่าเดิม โดยที่มีการสู้รบขัดแย้งกันเพิ่มมากขึ้น
    .
    เขากล่าวเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์โลกที่มีความวุ่นวายและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ซึ่งพัวพันกันอย่างยุ่งเหยิง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินต่อไปและรุนแรงขึ้น เวลาเดียวกันนั้น กระแสการแยกตัดขาดจากกันและการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานก็กำลังรุนแรงขึ้น ก่อนจะสำทับว่า ท่ามกลางสถานการณ์วุ่นวายและความขัดแย้งทั่วโลก จีนจะยังคงเป็นพลังส่งเสริมสันติภาพต่อไป
    .
    ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อวันจันทร์ (16) ทรัมป์ได้จัดแถลงข่าวครั้งแรกนับจากชนะการเลือกตั้งเมื่อ 6 สัปดาห์ที่แล้ว ณ รีสอร์ตส่วนตัว มาร์-อา-ลาโก รัฐฟลอริดา ของเขา โดยช่วงหนึ่งได้บอกว่า เขากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เคยเป็นเพื่อนกัน และเอ่ยชื่นชมว่า ประมุขจีนว่าเป็นคนที่น่าทึ่งมาก แต่แล้วความสัมพันธ์ที่ดีมากระหว่างกันก็มีอันร้าวฉานนับจากโควิด-19 ระบาด
    .
    ทรัมป์เปิดเผยในสัปดาห์ที่แล้วว่า สี เป็นผู้นำต่างประเทศคนหนึ่งในหลายๆ คนที่เขาได้เชื้อเชิญให้มาร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯของเขาที่กรุงวอชิงตันในวันที่ 20 ม.ค. ที่จะถึงนี้ โดยรายงานข่าวระบุว่าเขาได้เชิญ สี ตั้งแต่ไม่กี่วันหลังการเลือกตั้งตอนต้นเดือน พ.ย. ด้วยซ้ำ ทว่ายังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าประมุขจีนจะตอบรับหรือไม่ เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามในวันจันทร์ (16) เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทรัมป์ก็ตอบเลี่ยงๆ ว่า “โควิดไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ (ระหว่างตัวเขากับสี) สิ้นสุดลง แต่มันก็กลายเป็นก้าวเดินที่ต้องก้าวไกลเกินไปสำหรับผม”
    .
    อย่างไรก็ดี ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกายังคงพูดในแง่ดีว่า “จีนกับสหรัฐฯสามารถร่วมกันแก้ไขปัญหาทุกๆ อย่างของโลก คุณลองคิดดูสิ” และย้ำว่า “ดังนั้น มันจึงมีความสำคัญมาก และเขาก็เคยเป็นเพื่อนคนหนึ่งของผม”
    .
    กระนั้น พวกนักวิเคราะห์จำนวนมากยังคงมองว่า ดูเหมือนคำพูดและการกระทำของทรัมป์จะตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง โดยที่ก่อนหน้านี้เขาเสนอชื่อผู้ที่มีจุดยืนแข็งกร้าวกับจีนเข้ารับบทบาทสำคัญในทีมงานด้านการทูตและเศรษฐกิจของเขา ส่งสัญญาณว่า จะมีการเผชิญหน้ากับจีนที่เป็นศัตรูเชิงยุทธศาสตร์หลักของอเมริกามากกว่าสมัยทรัมป์ 1.0 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามการค้า ซึ่งสร้างความปั่นป่วนยุ่งเยิกให้แก่ห่วงโซ่อุปทานโลก และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทุกประเทศจากการทำให้เงินเฟ้อและดอกเบี้ยพุ่งขึ้น
    .
    ทรัมป์ยังประกาศว่า จะขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าจีนอีก 10% จาก 60% ที่ขู่ไว้แต่แรก เพื่อกดดันให้จีนพยายามมากขึ้นในการสกัดการลักลอบส่งเฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา
    .
    ทางด้านจีนเตรียมพร้อมตอบโต้คณะบริหารของทรัมป์แบบตาต่อตา-ฟันต่อฟันเช่นเดียวกัน และกำลังรวบรวมเครื่องมือต่อรองเพื่อเริ่มต้นการเจรจา ซึ่งรวมถึงประเด็นทางการค้า การลงทุน วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000121237
    ..............
    Sondhi X
    รัฐมนตรีต่างประเทศจีนกล่าวแสดงความหวังว่า คณะบริหารใหม่ของอเมริกาจะ “ตัดสินใจถูกต้อง” และร่วมมือกับปักกิ่งซึ่งจะทำให้สามารถบรรลุ “สิ่งต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่จำนวนมาก” ขณะที่ก่อนหน้านั้นไม่นาน โดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ว่า สี จิ้นผิง เคยเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเขา แต่ความสัมพันธ์ที่ดีนี้มีอันร้าวฉานเนื่องจากโรคระบาดใหญ่โควิด-19 . สองประเทศเจ้าของระบบเศรษฐกิจใหญ่สุดอันดับ 1 และ 2 ของโลก งัดข้อกันหลากหลายประเด็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เรื่องการค้า เทคโนโลยี สิทธิมนุษยชน จนถึงเรื่องไต้หวัน . โดยเฉพาะในเรื่องหลังนี้ จีนถือว่า ไต้หวันเป็นดินแดนของตน และไม่ตัดความเป็นไปได้ที่อาจต้องใช้กำลังเข้ายึดในวันใดวันหนึ่ง ขณะที่อเมริกาแม้ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่ก็ผ่านกฎหมายให้เข้าช่วยเหลือไต้หวัน รวมทั้งทำข้อตกลงขายอาวุธให้ไทเปป้องกันตนเองได้ . ณ งานประชุมสำคัญที่ปักกิ่งในวันอังคาร (17) หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน พูดว่า นโยบายของจีนต่ออเมริกา “ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง” ในระหว่างที่เขากล่าวปราศรัยเปิดงานคราวนี้ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายมุ่งสะท้อนถึงผลงานทางการทูตของแดนมังกรในรอบปีที่ผ่านมา ตลอดจนความคาดหวังต่างๆ สำหรับอนาคต . รัฐมนตรีต่างประเทศจีนระบุว่า จากการปฏิบัติงานของคณะทำงานต่างๆ ทางด้านเศรษฐกิจ ตลอดจนการร่วมมือกันในการควบคุมการลักลอบขนยาเสพติดข้ามพรมแดนเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อสองประเทศร่วมมือกัน จีนและอเมริกาก็สามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่มากมาย . หวังยังแสดงความหวังว่า คณะบริหารของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะ “เลือกถูก” ด้วยการร่วมมือกับจีนเดินไปในทิศทางเดียวกัน เอาชนะอุปสรรค และมุ่งมั่นพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีที่มีเสถียรภาพ ราบรื่น และยั่งยืน . อย่างไรก็ดี เขายังคงกล่าวย้ำเตือนในเรื่องไต้หวัน โดยบอกว่า ปักกิ่ง “คัดค้านอย่างเด็ดเดี่ยวต่อการกดขี่อย่างผิดกฎหมายและไม่มีเหตุผลของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าแทรกแซงอย่างหยาบคายในกิจการภายในของจีน” ซึ่งก็รวมทั้งเรื่องสถานะของเกาะไต้หวัน . ขณะเดียวกัน ในการปราศรัยคราวนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้วาดภาพของโลกที่มืดมนลงกว่าเดิม โดยที่มีการสู้รบขัดแย้งกันเพิ่มมากขึ้น . เขากล่าวเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์โลกที่มีความวุ่นวายและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ซึ่งพัวพันกันอย่างยุ่งเหยิง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินต่อไปและรุนแรงขึ้น เวลาเดียวกันนั้น กระแสการแยกตัดขาดจากกันและการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานก็กำลังรุนแรงขึ้น ก่อนจะสำทับว่า ท่ามกลางสถานการณ์วุ่นวายและความขัดแย้งทั่วโลก จีนจะยังคงเป็นพลังส่งเสริมสันติภาพต่อไป . ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อวันจันทร์ (16) ทรัมป์ได้จัดแถลงข่าวครั้งแรกนับจากชนะการเลือกตั้งเมื่อ 6 สัปดาห์ที่แล้ว ณ รีสอร์ตส่วนตัว มาร์-อา-ลาโก รัฐฟลอริดา ของเขา โดยช่วงหนึ่งได้บอกว่า เขากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เคยเป็นเพื่อนกัน และเอ่ยชื่นชมว่า ประมุขจีนว่าเป็นคนที่น่าทึ่งมาก แต่แล้วความสัมพันธ์ที่ดีมากระหว่างกันก็มีอันร้าวฉานนับจากโควิด-19 ระบาด . ทรัมป์เปิดเผยในสัปดาห์ที่แล้วว่า สี เป็นผู้นำต่างประเทศคนหนึ่งในหลายๆ คนที่เขาได้เชื้อเชิญให้มาร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯของเขาที่กรุงวอชิงตันในวันที่ 20 ม.ค. ที่จะถึงนี้ โดยรายงานข่าวระบุว่าเขาได้เชิญ สี ตั้งแต่ไม่กี่วันหลังการเลือกตั้งตอนต้นเดือน พ.ย. ด้วยซ้ำ ทว่ายังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าประมุขจีนจะตอบรับหรือไม่ เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามในวันจันทร์ (16) เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทรัมป์ก็ตอบเลี่ยงๆ ว่า “โควิดไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ (ระหว่างตัวเขากับสี) สิ้นสุดลง แต่มันก็กลายเป็นก้าวเดินที่ต้องก้าวไกลเกินไปสำหรับผม” . อย่างไรก็ดี ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกายังคงพูดในแง่ดีว่า “จีนกับสหรัฐฯสามารถร่วมกันแก้ไขปัญหาทุกๆ อย่างของโลก คุณลองคิดดูสิ” และย้ำว่า “ดังนั้น มันจึงมีความสำคัญมาก และเขาก็เคยเป็นเพื่อนคนหนึ่งของผม” . กระนั้น พวกนักวิเคราะห์จำนวนมากยังคงมองว่า ดูเหมือนคำพูดและการกระทำของทรัมป์จะตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง โดยที่ก่อนหน้านี้เขาเสนอชื่อผู้ที่มีจุดยืนแข็งกร้าวกับจีนเข้ารับบทบาทสำคัญในทีมงานด้านการทูตและเศรษฐกิจของเขา ส่งสัญญาณว่า จะมีการเผชิญหน้ากับจีนที่เป็นศัตรูเชิงยุทธศาสตร์หลักของอเมริกามากกว่าสมัยทรัมป์ 1.0 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามการค้า ซึ่งสร้างความปั่นป่วนยุ่งเยิกให้แก่ห่วงโซ่อุปทานโลก และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทุกประเทศจากการทำให้เงินเฟ้อและดอกเบี้ยพุ่งขึ้น . ทรัมป์ยังประกาศว่า จะขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าจีนอีก 10% จาก 60% ที่ขู่ไว้แต่แรก เพื่อกดดันให้จีนพยายามมากขึ้นในการสกัดการลักลอบส่งเฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา . ทางด้านจีนเตรียมพร้อมตอบโต้คณะบริหารของทรัมป์แบบตาต่อตา-ฟันต่อฟันเช่นเดียวกัน และกำลังรวบรวมเครื่องมือต่อรองเพื่อเริ่มต้นการเจรจา ซึ่งรวมถึงประเด็นทางการค้า การลงทุน วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000121237 .............. Sondhi X
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 1216 Views 0 Reviews
  • #ข้าวเปลือก# คุณตาของผู้เขียนเล่าให้ฟังว่า เวลาเจอข้าวเปลือกในข้าวที่เรากิน (เท่านั้น) ให้เก็บติดตัวเอาไว้ นัยว่า ทางแคล้วคลาดดีนักแล...ลองคิดดู ผ่านการ สี จัด บรรจุ กี่กระบวนการ มาถึงเรา ผ่านกระบวนการซาวน้ำอีก...ยังเล็ดลอดมาถึงเรา...นั่นละ ...ของดี...(ไม่ใช่ข้าวเปลือกทั่วไปนะ)
    #ข้าวเปลือก# คุณตาของผู้เขียนเล่าให้ฟังว่า เวลาเจอข้าวเปลือกในข้าวที่เรากิน (เท่านั้น) ให้เก็บติดตัวเอาไว้ นัยว่า ทางแคล้วคลาดดีนักแล...ลองคิดดู ผ่านการ สี จัด บรรจุ กี่กระบวนการ มาถึงเรา ผ่านกระบวนการซาวน้ำอีก...ยังเล็ดลอดมาถึงเรา...นั่นละ ...ของดี...(ไม่ใช่ข้าวเปลือกทั่วไปนะ)
    Wow
    1
    0 Comments 0 Shares 195 Views 0 Reviews
  • ((( ขยาย เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ซีเรียที่แท้จริง มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนกว่าที่คิดไว้เยอะ )))ลองคิดดูว่า หากไม่มีทางเลือกอื่นจริง ปูติน อัสซาด คงไม่ตัดสินใจทำเช่นนี้ เหตุเพราะอะไร กว่า 10 ปี ที่ซีเรีย ถูกเหี้ยไอซิสเข้าครอบครอง และก่อนหน้านั้น ก็ได้ทำการล้างสมองชาวบ้านไปเยอะ ปัจจุบันนี้ ซีเรียมีทั้งคนชอบอัสซาด และคนที่ไม่เอาอัสซาด(ส่วนใหญ่เป็นชาวเคิร์ก) เคิร์กอยู่เต็มไปหมดทั้งซีเรีย อิรัก ตุรกี บริเวณคาบสมุทรไซนาย เหตุผลความขัดแย้ง ก็คือเรื่องดินแดน แยกตัว ตั้งรัฐอิสระ พูดง่ายๆ คือ กองกำลังซีเรียแท้จริงที่ย้ายไปอิรัก และแอบซ่อนตัวอยู่ตามพรมแดนซีเรีย คือกองกำลังปกป้องอัสซาดนั่นเอง ส่วนไอ้พวกที่ยังต่อต้านกองทัพตุรกีตอนนี้ คือกลุ่มเคิร์กไงล่ะ และเหล่าขี้ข้าเหี้ย C ที่อยู่เกลื่อนซีเรีย ดังนั้น เวลาสื่อตีข่าว มักจะใช้คำว่า "ชาวซีเรีย" กองกำลังซีเรีย แต่ไม่ได้บอก ว่า "พวกใคร" มันง่าย ที่จะทำให้เข้าใจผิด ว่าคือกองกำลังเก่าที่ปกป้องอัสซาด อัสซาดไม่อยู่ แล้วมรึงจะไปปกป้องใคร? ดังนั้น ฟังสื่อ ต้องใช้สติ ขนาดประเทศกูมี 75 ล้าน ยังมีควายถึง 14 ล้านได้ แล้วซีเรีย จะมีเท่าไหร่ล่ะ? ไม่ต้องตกใจสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับกลยุทธการศึก คิดง่ายๆ ว่า อยู่ดีดี ปูติน อัสซาด จะยอมถอนกำลังออกจากแผ่นดินตัวเองทำไม? แปลว่า ต้องมีเหตุผลที่หนักกว่าดีกว่า และทำได้จริง เป็นอนาคตที่ดีกว่าเดิมชัวร์ สรุปคือ ปูตินใช้อีไก่งวงมาช่วยล้างแผ่นดินให้ซีเรีย กวาดล้างบางไอ้อีที่ซ่อนตัวทั้งหมด เมื่อจัดการเสร็จ ค่อยรอต้อนรับอียิวเข้ามา แล้วมุสลิมปาร์ตี้แม่งซะเลย มรึงไปบุกเค้า มรึงต้องใช้กำลังมากกว่าเดิม 3 เท่า ตามสูตร 3:1 ฝ่ายรุกถึงได้เปรียบ และนั่นคือกับดักที่ไม่ต้องเปลืองแรงขยี้ เหี้ยกำลังเดินเข้ามาหลุมศพตัวเอง คิดดู อาวุธขัี้วใหม่ ดีกว่า แรงกว่า พิสูจน์แล้วจริง หากจะจัดการอียิวขั้นเด็ดขาด ทำไมจะทำไม่ได้ โปรดดูวิถีเกมส์นี้ให้ดีดี ขั้วใหม่บีบให้อียิวแหกกฎหมายทุกข้อบนโลก บีบให้มันเผยธาตุแท้ออกมาจนหมดสิ้น กวักมือเรียกขี้ข้าอีแอบออกมาหมด ตอนนี้ โลกประจักษ์ชัดแล้ว นอกจากอียิวจะฆ่าชาวปาเลสไตน์ ยังจะเดินหน้ามายึดซีเรียต่อ ไม่ว่ามองมุมไหน มรึงแพ้ราบคาบ และหมดรูปชัวร์ ละครฉากใหญ่ซีเรีย ยังไม่จบง่ายๆ ดอก ยิ่งลาก เหี้ยยิ่งตายบ ยิ่งยาว เหี้ยยิ่งหมดตูด อยากได้อเมริกา ยุโรป ถูกๆ มั้ยล่ะ? ลากมันไปจนถึงปีหน้า "เผาจริงแน่" ขั้วใหม่นับเงิน ขั้วเก่านับศพ คีย์มันชัด!แค่มาบอกเล่า 9/10 ดูสื่อรายงาน อย่าเชื่อ คิดเองบ้าง ไตร่ตรองเองบ้าง เป็นสาวกหมี ต้องรอบจัด คิดหลายตลบ อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ ต้องดื้อเข้าไว้ ภาพมายามันหลอกได้ชั่วคราว เจอบ่อยๆ เดี๋ยวก็จะรู้ทันเอง ไม่มีใครฉลาดตั้งแต่เกิด แต่สติจะทำให้มรึงเกิดเต็มตัว จงกลายร่างเป็นหมี CNN ทั้งหมดได้แล้ว ตกผลึกกับกูมานานนับสิบปี จงเป็นเพชรที่มีค่า กอบกู้ ปกป้อง แผ่นดินอโยธยา อันเป็นที่รัก บ้านของเราทุกคน(ที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์)หมี CNN(กว่าพันปี เปอร์เซีย อาหรับ มุสลิม เข้าสู่สงครามมานับไม่ถ้วน มีแตกเป็น 1000 กลุ่ม 1000 ลัทธิ มรึงจะไม่ให้ทะเลาะกันเลยคงยาก ประวัติศาสตร์มันมี เคยเกลียดกัน เคยฆ่ากัน แต่วันนี้ เพื่อความอยู่รอด ต้องรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ชาติพันธุ์ถึงจะอยู่รอด เฉกเช่นสยามประเทศ เกาะกลุ่มกันไว้ คนแบบมรึงกับกู มันมีน้อย แต่พลังมหาศาล เพราะไม่ได้เป็นผู้ตาม มรึงถูกกำหนดให้เป็นผู้นำ รู้ตัวบ้างป่ะ?)12 ธันวาคม 6722.35 น.
    ((( ขยาย เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ซีเรียที่แท้จริง มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนกว่าที่คิดไว้เยอะ )))ลองคิดดูว่า หากไม่มีทางเลือกอื่นจริง ปูติน อัสซาด คงไม่ตัดสินใจทำเช่นนี้ เหตุเพราะอะไร กว่า 10 ปี ที่ซีเรีย ถูกเหี้ยไอซิสเข้าครอบครอง และก่อนหน้านั้น ก็ได้ทำการล้างสมองชาวบ้านไปเยอะ ปัจจุบันนี้ ซีเรียมีทั้งคนชอบอัสซาด และคนที่ไม่เอาอัสซาด(ส่วนใหญ่เป็นชาวเคิร์ก) เคิร์กอยู่เต็มไปหมดทั้งซีเรีย อิรัก ตุรกี บริเวณคาบสมุทรไซนาย เหตุผลความขัดแย้ง ก็คือเรื่องดินแดน แยกตัว ตั้งรัฐอิสระ พูดง่ายๆ คือ กองกำลังซีเรียแท้จริงที่ย้ายไปอิรัก และแอบซ่อนตัวอยู่ตามพรมแดนซีเรีย คือกองกำลังปกป้องอัสซาดนั่นเอง ส่วนไอ้พวกที่ยังต่อต้านกองทัพตุรกีตอนนี้ คือกลุ่มเคิร์กไงล่ะ และเหล่าขี้ข้าเหี้ย C ที่อยู่เกลื่อนซีเรีย ดังนั้น เวลาสื่อตีข่าว มักจะใช้คำว่า "ชาวซีเรีย" กองกำลังซีเรีย แต่ไม่ได้บอก ว่า "พวกใคร" มันง่าย ที่จะทำให้เข้าใจผิด ว่าคือกองกำลังเก่าที่ปกป้องอัสซาด อัสซาดไม่อยู่ แล้วมรึงจะไปปกป้องใคร? ดังนั้น ฟังสื่อ ต้องใช้สติ ขนาดประเทศกูมี 75 ล้าน ยังมีควายถึง 14 ล้านได้ แล้วซีเรีย จะมีเท่าไหร่ล่ะ? ไม่ต้องตกใจสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับกลยุทธการศึก คิดง่ายๆ ว่า อยู่ดีดี ปูติน อัสซาด จะยอมถอนกำลังออกจากแผ่นดินตัวเองทำไม? แปลว่า ต้องมีเหตุผลที่หนักกว่าดีกว่า และทำได้จริง เป็นอนาคตที่ดีกว่าเดิมชัวร์ สรุปคือ ปูตินใช้อีไก่งวงมาช่วยล้างแผ่นดินให้ซีเรีย กวาดล้างบางไอ้อีที่ซ่อนตัวทั้งหมด เมื่อจัดการเสร็จ ค่อยรอต้อนรับอียิวเข้ามา แล้วมุสลิมปาร์ตี้แม่งซะเลย มรึงไปบุกเค้า มรึงต้องใช้กำลังมากกว่าเดิม 3 เท่า ตามสูตร 3:1 ฝ่ายรุกถึงได้เปรียบ และนั่นคือกับดักที่ไม่ต้องเปลืองแรงขยี้ เหี้ยกำลังเดินเข้ามาหลุมศพตัวเอง คิดดู อาวุธขัี้วใหม่ ดีกว่า แรงกว่า พิสูจน์แล้วจริง หากจะจัดการอียิวขั้นเด็ดขาด ทำไมจะทำไม่ได้ โปรดดูวิถีเกมส์นี้ให้ดีดี ขั้วใหม่บีบให้อียิวแหกกฎหมายทุกข้อบนโลก บีบให้มันเผยธาตุแท้ออกมาจนหมดสิ้น กวักมือเรียกขี้ข้าอีแอบออกมาหมด ตอนนี้ โลกประจักษ์ชัดแล้ว นอกจากอียิวจะฆ่าชาวปาเลสไตน์ ยังจะเดินหน้ามายึดซีเรียต่อ ไม่ว่ามองมุมไหน มรึงแพ้ราบคาบ และหมดรูปชัวร์ ละครฉากใหญ่ซีเรีย ยังไม่จบง่ายๆ ดอก ยิ่งลาก เหี้ยยิ่งตายบ ยิ่งยาว เหี้ยยิ่งหมดตูด อยากได้อเมริกา ยุโรป ถูกๆ มั้ยล่ะ? ลากมันไปจนถึงปีหน้า "เผาจริงแน่" ขั้วใหม่นับเงิน ขั้วเก่านับศพ คีย์มันชัด!แค่มาบอกเล่า 9/10 ดูสื่อรายงาน อย่าเชื่อ คิดเองบ้าง ไตร่ตรองเองบ้าง เป็นสาวกหมี ต้องรอบจัด คิดหลายตลบ อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ ต้องดื้อเข้าไว้ ภาพมายามันหลอกได้ชั่วคราว เจอบ่อยๆ เดี๋ยวก็จะรู้ทันเอง ไม่มีใครฉลาดตั้งแต่เกิด แต่สติจะทำให้มรึงเกิดเต็มตัว จงกลายร่างเป็นหมี CNN ทั้งหมดได้แล้ว ตกผลึกกับกูมานานนับสิบปี จงเป็นเพชรที่มีค่า กอบกู้ ปกป้อง แผ่นดินอโยธยา อันเป็นที่รัก บ้านของเราทุกคน(ที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์)หมี CNN(กว่าพันปี เปอร์เซีย อาหรับ มุสลิม เข้าสู่สงครามมานับไม่ถ้วน มีแตกเป็น 1000 กลุ่ม 1000 ลัทธิ มรึงจะไม่ให้ทะเลาะกันเลยคงยาก ประวัติศาสตร์มันมี เคยเกลียดกัน เคยฆ่ากัน แต่วันนี้ เพื่อความอยู่รอด ต้องรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ชาติพันธุ์ถึงจะอยู่รอด เฉกเช่นสยามประเทศ เกาะกลุ่มกันไว้ คนแบบมรึงกับกู มันมีน้อย แต่พลังมหาศาล เพราะไม่ได้เป็นผู้ตาม มรึงถูกกำหนดให้เป็นผู้นำ รู้ตัวบ้างป่ะ?)12 ธันวาคม 6722.35 น.
    0 Comments 0 Shares 676 Views 0 Reviews
  • ท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมมาตอนนี้เกิน ๓ วันแล้ว แต่ว่าหลายต่อหลายท่านกำลังใจยังฟุ้งซ่านเป็นปกติ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ใจไปต่อต้านแนวทางปฏิบัติที่ตนเองไม่คุ้นเคย พูดง่าย ๆ ว่าไม่สามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับกรรมฐานแบบใหม่ได้ และโดยเฉพาะความรู้สึกต่อต้านที่ว่า ไม่ใช่แบบที่ครูบาอาจารย์ของเราสอนมา..!ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายใฝ่รู้ใฝ่เรียนเสียอย่างเดียว ไม่ว่ากรรมฐานแนวไหนท่านก็จะรับได้ เพราะว่าไม่มีกรรมฐานสายโน้น ไม่มีกรรมฐานสายนี้ เนื่องเพราะว่ากรรมฐานทุกรูปแบบ มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น เพียงแต่ว่าครูบาอาจารย์ท่านถนัดแบบไหน ก็เอาแบบนั้นมาสอน แล้วคนที่ชอบก็ติดตามไปปฏิบัติ จนกระทั่งกลายเป็นกรรมฐานสายโน้นสายนี้ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์สอนอยู่พระองค์เดียว..!หรือแม้กระทั่งบุคคลที่น่าจะเป็นรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ไปจัดการกับวัด ๆ หนึ่ง ซึ่งได้รับบริจาคร่างกายของผู้ตายมาเพื่อให้ฝึกกรรมฐาน โดยที่ผู้ใหญ่ระดับนั้นไปฟันธงว่า "การใช้ซากศพฝึกกรรมฐานไม่มีผล" ถ้าแบบนี้ควรที่จะหาคนอื่นมาดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแทน เนื่องเพราะว่าไม่ได้ศึกษาอะไรมาเลย..!อย่าลืมว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงการพิจารณาซากศพ ๙ แบบด้วยกัน ถ้าสงสัยข้องใจสามารถไปดูได้ในมหาสติปัฏฐานสูตร ทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก นวสีวถิกาปัพพะ ในเมื่อเราไม่เข้าใจแล้วอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจในแผ่นดิน ไปกล่าวในลักษณะแบบนั้น บรรดาลูกน้องที่โง่กว่าหรือโง่พอกับเจ้านาย ก็อาจจะรีบสนองด้วยการไปเล่นงานพระเสียอีก..!ถ้าหากว่าลักษณะแบบนั้น จะทำให้พระพุทธศาสนาของเราโดนจำกัดแนวทางในการปฏิบัติไป ทั้ง ๆ ที่การกำหนดอสุภกรรมฐาน เป็นกรรมฐานสำคัญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้พวกเราพิจารณาเพื่อตัดร่างกายของตนเอง และร่างกายของคนอื่น พูดง่าย ๆ ว่าเมื่อเห็นความจริงว่าร่างกายเมื่อตายลงแล้วมีสภาพน่าเกลียดน่าชังแบบนี้ ก็จะได้สติ ถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเองออกมา แล้วเมื่อถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเองออกไปได้ ก็สามารถถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของคนอื่นได้ส่วนบรรดาผู้เข้าอบรมพัฒนาศักยภาพของพระวิปัสสนาจารย์ ส่วนหนึ่งนอกจากจะต่อต้านการปฏิบัติ ไม่น้อมใจตามไปแล้ว ยังทำตนเหมือนกับคนมีเวลาว่างมาก แทนที่ทุกเวลาจะอยู่กับการปฏิบัติธรรม เพราะว่ามีเวลาแค่ ๑๕ วันเท่านั้น แต่กลับทำตัวตามสบาย หลายท่านกระผม/อาตมภาพบรรยายจบแล้ว ยังมาไม่ถึงห้องกรรมฐานเลย แล้วท่านทั้งหลายคิดว่าบุคคลแบบนี้ ถ้าไปเป็นพระวิปัสสนาจารย์สอนผู้อื่นต่อ จะเอาดีได้หรือไม่ ?พูดง่าย ๆ ว่าผู้บังคับบัญชา ตลอดจนกระทั่งพระสังฆาธิการ ทุ่มเทงบประมาณจำนวนมากมายลงไป โดยเฉพาะการกิน การอยู่ ค่าน้ำ ค่าไฟของคนเป็นร้อย ๆ แต่ละวันมากมายมหาศาล แต่ผลที่หวังดูท่าจะไม่ได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ นอกจากจะรู้สึกต่อต้านเพราะว่าเป็นกรรมฐานที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ตนเองศึกษาเรียนรู้มาแล้ว หลายท่านยังยอมสารภาพตรง ๆ ว่า "โดนผู้บังคับบัญชาบังคับให้มา" เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านละโอกาสซึ่งหาได้ยากที่สุดในโลกเนื่องเพราะว่าในส่วนของบุญกุศลที่ทุกคนก็พึงหวัง สามารถที่จะมีได้ใน ๑๐ อย่างด้วยกัน แต่เน้นหนักที่ ทาน ศีล ภาวนา บุญจากการภาวนาถือว่าสูงที่สุด ถ้าใครตั้งหน้าตั้งตาทำ สามารถเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี หรือเรียกว่า "พลิกชีวิต" ได้เลย แต่กลับไม่คิดที่จะทำกันให้เต็มที่ภายในเวลาที่จำกัด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่ญาติโยมทั้งหลายจะได้ศึกษาหาความรู้ จะได้แบบอย่างที่ดีงามไปเพื่อปฏิบัติตาม ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าแม่ปูเดินคดเสียแล้ว จะให้ลูกปูเดินตรงทางก็ย่อมเป็นไปได้ยากเราท่านทั้งหลายต้องตระหนักว่าจุดมุ่งหมายในการอุปสมบท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดเอาไว้แล้ว พระอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านให้เราปฏิญาณว่า "นิพพานัสสะ สัจฉิกะระณัตถายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา - ข้าพเจ้าขอรับเอาผ้ากาสาวพัสตร์นี้มา เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน" แม้ว่างานคันถธุระ จะเรื่องของการศึกษาเล่าเรียน บูรณปฏิสังขรณ์ หรือว่าสาธารณสงเคราะห์อะไรจะสำคัญก็ตาม ท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมเป้าหมายตรงนี้เป็นอันขาดสมัยเป็นพระใหม่อยู่วัดท่าซุง กระผม/อาตมภาพทำงานทุกอย่าง งานตรงหน้าหมดก็เร่หางานอื่นต่อไป ปรากฏว่าไปช่วยงานรุ่นพี่ท่านหนึ่ง พอได้เวลา ๕ โมงเย็นก็ได้เรียนท่านว่า "ขอตัวก่อนนะครับ ผมต้องไปทำวัตรเย็น" ท่านชี้งานที่อยู่ตรงหน้า บอกว่า "นี่ก็ทำวัตรเหมือนกัน" กระผม/อาตมภาพก็เลยบอกว่า "นี่มันวัตรของหลวงพี่ ไม่ใช่วัตรของผม วัตรของผมอยู่ที่ตึกธัมมวิโมกข์โน่น" แล้วก็ไปสรงน้ำ แต่งตัว เดินไปเจริญพระกรรมฐาน แล้วทำวัตรที่ตึกธัมมวิโมกข์ ซึ่งมาภายหลังเมื่อมีวิหาร ๑๐๐ เมตร ก็ไปทำวัตรเจริญพระกรรมฐานกันที่พระวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตรแทนท่านลองคิดดูว่า ขนาดอยู่กับครูบาอาจารย์ที่เคร่งครัดขนาดหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ก็ยังมีประเภท "หลุดคิวซี" อย่างนี้อยู่เป็นประจำ ท่านทั้งหลายจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระภิกษุสมัยนั้นอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ๔๐ - ๕๐ รูปทุกปี พระอาคันตุกะอีก ๓๐๐ - ๔๐๐ รูป แล้วทำไมถึงมีบุคคลที่ออกไปเป็นหลักให้กับลูกศิษย์สายหลวงพ่อได้แค่ไม่กี่รูปโบราณเขาบอกว่า "อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยัน" บุคคลถ้าหากว่าปัญญาน้อย ความเพียรต้องมาก เพื่อเอาไปชดเชยกับปัญญาของเรา พูดง่าย ๆ ว่าลองผิดลองถูกไปเรื่อย จะต้องถูกเข้าสักครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ปัญญามากความเพียรน้อย จะได้มีโอกาสรอดไปได้ แล้วถ้าหากว่าปัญญาน้อย ความเพียรน้อย โอกาสที่จะได้ดีย่อมเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้น..เมื่อเห็นพระวิปัสสนาจารย์ในโครงการซึ่งมาถึงครึ่งทางแล้ว ยังปฏิบัติอยู่ในลักษณะถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง แถมยังรู้สึกว่าตัวเองทำดีแล้ว อุตส่าห์เสียสละมาตั้ง ๑๕ วัน กระผม/อาตมภาพรู้สึกเสียดายเวลาแทนเพราะว่าการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่ปฏิบัติ ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมงแล้วพัก แต่ต้องปฏิบัติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เพราะว่ากิเลสกินเราไม่มีเวลาพัก แล้วเราไปพักรอให้กิเลสมากินเรา ก็เหมือนกับบุคคลรอให้ไฟไหม้มาถึงตัวแล้วค่อยขยับหนี เผลอเมื่อไรขยับไม่ทันก็โดนไหม้ทั้งตัว..!จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องตระหนักว่า โครงการนี้จะมีอยู่ทุกปี ถ้าใครได้ไปเข้าโครงการ ขอให้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ไม่ใช่สักแต่ว่ารอให้ครบ ๑๕ วัน พูดง่าย ๆ ว่า เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง ศึกษาแล้วต้องนำมาบอกต่อสอนต่อได้ จึงถือว่าประสบความสำเร็จตามโครงการอย่างแท้จริงพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.เสียงธรรมจากวัดท่าขนุนวันเสาร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
    ท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมมาตอนนี้เกิน ๓ วันแล้ว แต่ว่าหลายต่อหลายท่านกำลังใจยังฟุ้งซ่านเป็นปกติ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ใจไปต่อต้านแนวทางปฏิบัติที่ตนเองไม่คุ้นเคย พูดง่าย ๆ ว่าไม่สามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับกรรมฐานแบบใหม่ได้ และโดยเฉพาะความรู้สึกต่อต้านที่ว่า ไม่ใช่แบบที่ครูบาอาจารย์ของเราสอนมา..!ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายใฝ่รู้ใฝ่เรียนเสียอย่างเดียว ไม่ว่ากรรมฐานแนวไหนท่านก็จะรับได้ เพราะว่าไม่มีกรรมฐานสายโน้น ไม่มีกรรมฐานสายนี้ เนื่องเพราะว่ากรรมฐานทุกรูปแบบ มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น เพียงแต่ว่าครูบาอาจารย์ท่านถนัดแบบไหน ก็เอาแบบนั้นมาสอน แล้วคนที่ชอบก็ติดตามไปปฏิบัติ จนกระทั่งกลายเป็นกรรมฐานสายโน้นสายนี้ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์สอนอยู่พระองค์เดียว..!หรือแม้กระทั่งบุคคลที่น่าจะเป็นรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ไปจัดการกับวัด ๆ หนึ่ง ซึ่งได้รับบริจาคร่างกายของผู้ตายมาเพื่อให้ฝึกกรรมฐาน โดยที่ผู้ใหญ่ระดับนั้นไปฟันธงว่า "การใช้ซากศพฝึกกรรมฐานไม่มีผล" ถ้าแบบนี้ควรที่จะหาคนอื่นมาดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแทน เนื่องเพราะว่าไม่ได้ศึกษาอะไรมาเลย..!อย่าลืมว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงการพิจารณาซากศพ ๙ แบบด้วยกัน ถ้าสงสัยข้องใจสามารถไปดูได้ในมหาสติปัฏฐานสูตร ทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก นวสีวถิกาปัพพะ ในเมื่อเราไม่เข้าใจแล้วอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจในแผ่นดิน ไปกล่าวในลักษณะแบบนั้น บรรดาลูกน้องที่โง่กว่าหรือโง่พอกับเจ้านาย ก็อาจจะรีบสนองด้วยการไปเล่นงานพระเสียอีก..!ถ้าหากว่าลักษณะแบบนั้น จะทำให้พระพุทธศาสนาของเราโดนจำกัดแนวทางในการปฏิบัติไป ทั้ง ๆ ที่การกำหนดอสุภกรรมฐาน เป็นกรรมฐานสำคัญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้พวกเราพิจารณาเพื่อตัดร่างกายของตนเอง และร่างกายของคนอื่น พูดง่าย ๆ ว่าเมื่อเห็นความจริงว่าร่างกายเมื่อตายลงแล้วมีสภาพน่าเกลียดน่าชังแบบนี้ ก็จะได้สติ ถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเองออกมา แล้วเมื่อถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเองออกไปได้ ก็สามารถถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของคนอื่นได้ส่วนบรรดาผู้เข้าอบรมพัฒนาศักยภาพของพระวิปัสสนาจารย์ ส่วนหนึ่งนอกจากจะต่อต้านการปฏิบัติ ไม่น้อมใจตามไปแล้ว ยังทำตนเหมือนกับคนมีเวลาว่างมาก แทนที่ทุกเวลาจะอยู่กับการปฏิบัติธรรม เพราะว่ามีเวลาแค่ ๑๕ วันเท่านั้น แต่กลับทำตัวตามสบาย หลายท่านกระผม/อาตมภาพบรรยายจบแล้ว ยังมาไม่ถึงห้องกรรมฐานเลย แล้วท่านทั้งหลายคิดว่าบุคคลแบบนี้ ถ้าไปเป็นพระวิปัสสนาจารย์สอนผู้อื่นต่อ จะเอาดีได้หรือไม่ ?พูดง่าย ๆ ว่าผู้บังคับบัญชา ตลอดจนกระทั่งพระสังฆาธิการ ทุ่มเทงบประมาณจำนวนมากมายลงไป โดยเฉพาะการกิน การอยู่ ค่าน้ำ ค่าไฟของคนเป็นร้อย ๆ แต่ละวันมากมายมหาศาล แต่ผลที่หวังดูท่าจะไม่ได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ นอกจากจะรู้สึกต่อต้านเพราะว่าเป็นกรรมฐานที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ตนเองศึกษาเรียนรู้มาแล้ว หลายท่านยังยอมสารภาพตรง ๆ ว่า "โดนผู้บังคับบัญชาบังคับให้มา" เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านละโอกาสซึ่งหาได้ยากที่สุดในโลกเนื่องเพราะว่าในส่วนของบุญกุศลที่ทุกคนก็พึงหวัง สามารถที่จะมีได้ใน ๑๐ อย่างด้วยกัน แต่เน้นหนักที่ ทาน ศีล ภาวนา บุญจากการภาวนาถือว่าสูงที่สุด ถ้าใครตั้งหน้าตั้งตาทำ สามารถเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี หรือเรียกว่า "พลิกชีวิต" ได้เลย แต่กลับไม่คิดที่จะทำกันให้เต็มที่ภายในเวลาที่จำกัด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่ญาติโยมทั้งหลายจะได้ศึกษาหาความรู้ จะได้แบบอย่างที่ดีงามไปเพื่อปฏิบัติตาม ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าแม่ปูเดินคดเสียแล้ว จะให้ลูกปูเดินตรงทางก็ย่อมเป็นไปได้ยากเราท่านทั้งหลายต้องตระหนักว่าจุดมุ่งหมายในการอุปสมบท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดเอาไว้แล้ว พระอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านให้เราปฏิญาณว่า "นิพพานัสสะ สัจฉิกะระณัตถายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา - ข้าพเจ้าขอรับเอาผ้ากาสาวพัสตร์นี้มา เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน" แม้ว่างานคันถธุระ จะเรื่องของการศึกษาเล่าเรียน บูรณปฏิสังขรณ์ หรือว่าสาธารณสงเคราะห์อะไรจะสำคัญก็ตาม ท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมเป้าหมายตรงนี้เป็นอันขาดสมัยเป็นพระใหม่อยู่วัดท่าซุง กระผม/อาตมภาพทำงานทุกอย่าง งานตรงหน้าหมดก็เร่หางานอื่นต่อไป ปรากฏว่าไปช่วยงานรุ่นพี่ท่านหนึ่ง พอได้เวลา ๕ โมงเย็นก็ได้เรียนท่านว่า "ขอตัวก่อนนะครับ ผมต้องไปทำวัตรเย็น" ท่านชี้งานที่อยู่ตรงหน้า บอกว่า "นี่ก็ทำวัตรเหมือนกัน" กระผม/อาตมภาพก็เลยบอกว่า "นี่มันวัตรของหลวงพี่ ไม่ใช่วัตรของผม วัตรของผมอยู่ที่ตึกธัมมวิโมกข์โน่น" แล้วก็ไปสรงน้ำ แต่งตัว เดินไปเจริญพระกรรมฐาน แล้วทำวัตรที่ตึกธัมมวิโมกข์ ซึ่งมาภายหลังเมื่อมีวิหาร ๑๐๐ เมตร ก็ไปทำวัตรเจริญพระกรรมฐานกันที่พระวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตรแทนท่านลองคิดดูว่า ขนาดอยู่กับครูบาอาจารย์ที่เคร่งครัดขนาดหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ก็ยังมีประเภท "หลุดคิวซี" อย่างนี้อยู่เป็นประจำ ท่านทั้งหลายจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระภิกษุสมัยนั้นอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ๔๐ - ๕๐ รูปทุกปี พระอาคันตุกะอีก ๓๐๐ - ๔๐๐ รูป แล้วทำไมถึงมีบุคคลที่ออกไปเป็นหลักให้กับลูกศิษย์สายหลวงพ่อได้แค่ไม่กี่รูปโบราณเขาบอกว่า "อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยัน" บุคคลถ้าหากว่าปัญญาน้อย ความเพียรต้องมาก เพื่อเอาไปชดเชยกับปัญญาของเรา พูดง่าย ๆ ว่าลองผิดลองถูกไปเรื่อย จะต้องถูกเข้าสักครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ปัญญามากความเพียรน้อย จะได้มีโอกาสรอดไปได้ แล้วถ้าหากว่าปัญญาน้อย ความเพียรน้อย โอกาสที่จะได้ดีย่อมเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้น..เมื่อเห็นพระวิปัสสนาจารย์ในโครงการซึ่งมาถึงครึ่งทางแล้ว ยังปฏิบัติอยู่ในลักษณะถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง แถมยังรู้สึกว่าตัวเองทำดีแล้ว อุตส่าห์เสียสละมาตั้ง ๑๕ วัน กระผม/อาตมภาพรู้สึกเสียดายเวลาแทนเพราะว่าการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่ปฏิบัติ ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมงแล้วพัก แต่ต้องปฏิบัติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เพราะว่ากิเลสกินเราไม่มีเวลาพัก แล้วเราไปพักรอให้กิเลสมากินเรา ก็เหมือนกับบุคคลรอให้ไฟไหม้มาถึงตัวแล้วค่อยขยับหนี เผลอเมื่อไรขยับไม่ทันก็โดนไหม้ทั้งตัว..!จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องตระหนักว่า โครงการนี้จะมีอยู่ทุกปี ถ้าใครได้ไปเข้าโครงการ ขอให้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ไม่ใช่สักแต่ว่ารอให้ครบ ๑๕ วัน พูดง่าย ๆ ว่า เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง ศึกษาแล้วต้องนำมาบอกต่อสอนต่อได้ จึงถือว่าประสบความสำเร็จตามโครงการอย่างแท้จริงพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.เสียงธรรมจากวัดท่าขนุนวันเสาร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
    0 Comments 1 Shares 1324 Views 0 Reviews
  • ทุกสิ่งแค่ของชั่วคราว สมบัติสาธารณะผลัดกันชม อย่ายึดมั่นถือมั่นยึดติดให้เยอะจะกลายเป็นทุกข์

    ลองคิดดูโลกนี้มีอะไรเป็นของเราบ้าง เราตายไปแล้ว เราสามารถเอาอะไรไปได้บ้าง และครอบครองอะไรได้บ้าง

    ทุกอย่างก็เปลี่ยนมือไปเป็นของคนอื่นหมุนเปลี่ยนวนเวียนเช่นนี้

    โลกนี้สนุกได้ชั่วคราว
    มาตัวเปล่า ไปตัวเปล่า

    คุณค่าของการเกิดมา
    ได้สร้างประโยชน์อะไร
    ให้แก่โลกใบนี้

    หลวงตาม้า
    ทุกสิ่งแค่ของชั่วคราว สมบัติสาธารณะผลัดกันชม อย่ายึดมั่นถือมั่นยึดติดให้เยอะจะกลายเป็นทุกข์ ลองคิดดูโลกนี้มีอะไรเป็นของเราบ้าง เราตายไปแล้ว เราสามารถเอาอะไรไปได้บ้าง และครอบครองอะไรได้บ้าง ทุกอย่างก็เปลี่ยนมือไปเป็นของคนอื่นหมุนเปลี่ยนวนเวียนเช่นนี้ โลกนี้สนุกได้ชั่วคราว มาตัวเปล่า ไปตัวเปล่า คุณค่าของการเกิดมา ได้สร้างประโยชน์อะไร ให้แก่โลกใบนี้ หลวงตาม้า
    0 Comments 0 Shares 347 Views 0 Reviews
  • เขาบอกว่า หากใครมีประเด็นก็ไปฟ้องศาล พื้นที่เขากระโดงมีพื้นที่กว่า 5 พันไร่ เท่าที่ทราบตระกูลชิดชอบมีอยู่ 300 ไร่ แล้วอีก 4,700 ไร่ จะผิดแค่ 300 ไร่ได้อย่างไร หากเป็นอย่างนั้นก็ไปพิสูจน์เอา ไม่เกี่ยวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไม่ใช่อำนาจในการเพิกถอนหรืออนุญาต อยากจะยุ่งก็ยุ่งไม่ได้เพราะไม่มีอำนาจ

    ด้านนายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่ายังมีรายละเอียดอีกเยอะที่หลายคนไม่รู้ ซึ่ง รฟท.หรือประชาชนเองต้องทำการพิสูจน์สิทธิให้ชัดเจน ตนไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ให้ลองคิดดูว่าในประเทศไทยมีพื้นที่ใดที่กันรางรถไฟออกไป 1 กิโลเมตร ตรงไหนบ้างที่ไม่ใช่ชุมทาง แต่เป็นสถานีใหญ่ๆ มีหรือไม่ หากมี มีที่ไหนบ้างช่วยตอบหน่อย แล้วทำไมต้องเป็นแค่พื้นที่ตรงนี้ รฟท.จะเอาที่ดินไปทำอะไร

    เขาบอกว่า โดยส่วนตัวได้ติดตามเรื่องนี้มาพอสมควร และมองว่าน่าจะมีแผนที่บางตอนที่หายไป ซึ่งแผนที่ที่นำมาแสดงตนดูแล้วมีคลาดเคลื่อนอยู่ประมาณ 500 เมตร ซึ่งมองว่าน่าจะมีความขัดแย้งกัน แต่ทั้งนี้เราได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61 ซึ่งได้มีการพิจารณาไปแล้วว่า กรมที่ดินยังไม่ได้เพิกถอนโฉนดพื้นที่เขากระโดง แต่ก็ไม่ได้ตัดสิทธิ์การรถไฟฯ แต่เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น เพราะการรถไฟฯ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่จะทำให้คณะกรรมการสามารถเพิกถอนได้ ครั้งนี้ก็เป็นสิทธิ์ของการรถไฟฯ ที่จะไปฟ้องร้องตามกฎหมายต่อไป

    เมื่อถามว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ก็ระบุว่าพื้นที่เขากระโดงต้องเป็นของการรถไฟฯ เพราะถือว่าคำตัดสินของศาลฎีกาเป็นที่สิ้นสุด รมช.มหาดไทยตอบว่า ส่วนตัวมองว่าคำพิพากษาของศาลฎีกา หากอ่านดีๆ จะพบว่ามีฎีกาทับฎีกาอยู่เสมอ ในโอกาสที่จะมีหลักฐานใหม่เข้ามา เพื่อให้เกิดความรอบคอบและความเป็นธรรมกับพี่น้องประชาชน

    เมื่อถามถึงข้อกังขาว่า หนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบเป็นคนในกลุ่มเพื่อนเนวิน นายทรงศักดิ์กล่าวว่า คิดมากไป ทุกคนที่มาเป็นคณะกรรมการก็มีกฎหมายรองรับอยู่แล้ว หากการทำหน้าที่ทำอะไรผิดไปและมีคนติดใจ ก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย จะไปมองว่าคนนั้นคนนี้เป็นใครไม่ได้ เพราะการทำงานของแต่ละคนก็มีบรรทัดฐานตามกรอบอยู่แล้ว

    ซักว่า ในพื้นที่เขากระโดงปรากฏว่ามีการถือครองที่ดินจากคนในตระกูลชิดชอบอยู่กว่า 20 แปลง ได้มีการตรวจสอบอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ นายทรงศักดิ์กล่าวว่า การได้มาของที่ดินเขากระโดงก็ได้มาตามประมวลกฎหมายที่ดิน ได้สิทธิ์ตามกฎหมายอยู่แล้ว ส่วนในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของกระบวนการ จะจำกัดว่าตระกูลหนึ่ง จะไม่มีสิทธิ์ไปครอบครองที่ดินเลยก็คงไม่ได้ มีกฎหมายตรงไหนที่ห้ามตระกูลหนึ่งเข้าไปถือสิทธิที่ดินตามกฎหมาย มีหรือไม่ มันไม่มี เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กัน

    ขณะที่นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ชี้แจง งานในส่วนของกรมที่ดินว่าทำอยู่ 3 ส่วน โดยส่วนแรกทำตามคำสั่งศาลปกครอง ส่วนที่สองทำตามข้อกฎหมาย ไม่มีส่วนใดใช้เรื่องดุลยพินิจ และส่วนที่สามทำไปตามข้อเท็จจริงที่มีพยานหลักฐานและกฎหมายที่ชัดเจน เพราะฉะนั้นทุกอย่างสามารถตรวจสอบในเรื่องการดำเนินการได้

    เมื่อถามต่อว่า ผู้บริหารของกระทรวงมหาดไทยอยู่ในพรรคภูมิใจไทย จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นการฟอกขาว อธิบดีกรมที่ดินยืนยันว่า กระบวนการที่ดำเนินมาทำตั้งแต่ก่อนที่นายอนุทินจะเข้ามา การตั้งคณะกรรมการมีการตั้งก่อน และการหาเอกสารพยานหลักฐานในการดำเนินการก็ทำมาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด ตนจึงยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามคำสั่งศาลปกครอง ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

    อย่างไรก็ตาม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องนี้มีความสำคัญ หากเป็นที่ดินของ รฟท.แม้กระทั่งตารางวาก็จะเสียไปไม่ได้ จึงให้ รฟท.ไปเช็กดู ซึ่งได้รับรายงานว่าวันที่ 10 พ.ย.นี้ รฟท.ได้ยื่นขอต่อศาลปกครองกลาง แจ้งว่าอธิบดีกรมที่ดินปฏิบัติตามคำพิพากษาไม่ครบถ้วน ขอให้ศาลปกครองพิจารณาหรือไต่สวนกำหนดวิธีการดำเนินการ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ในการร่วมกันชี้แนวเขตที่ดินของ รฟท. และให้พิจารณามีคำสั่งในประเด็นต่างๆ ต่อไป ซึ่งผู้ว่าฯ รฟท.ได้ทำหนังสือถึงกรมที่ดินเพื่อยื่นคัดค้านหนังสือของอธิบดีกรมที่ดิน ตามมาตรา 44 พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางการปกครอง ซึ่งในนั้นระบุว่าเราต้องยื่นภายใน 15 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 12 พ.ย. และเราส่งไปเรียบร้อยแล้ววันที่ 11 พ.ย. รฟท.รู้กฎหมายอยู่ จะไปหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกที่ดินกว่า 900 แปลง ซึ่งขั้นตอนตรงนี้ยังมีเวลา ยืนยันว่าจะดูให้รอบคอบ

    ถามว่า เรื่องนี้เรื้อรังมานานจะเคลียร์ให้จบภายในช่วงที่เป็นรัฐมนตรีหรือไม่ รมว.คมนาคมตอบว่า เรื่องนี้ต้องดำเนินการตามกฎหมาย มันไม่ช้าอยู่แล้ว

    ซักว่า จำเป็นต้องพูดคุยกับนายอนุทินหรือไม่ นายสุริยะชี้แจงว่า เป็นระดับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติ เมื่อกรมที่ดินบอกว่าเป็นที่ของเขา ไม่ได้เป็นที่ของ รฟท. เพราะมีหลักฐานไม่เพียงพอ แต่ รฟท.เชื่อว่ามีหลักฐานเพียงพอ ก็ได้ดำเนินการไป

    เมื่อถามว่า มีการมองว่าที่ดินหลายแปลงในเขากระโดงเป็นของตระกูลชิดชอบ นายสุริยะกล่าวว่า ไม่อยากให้เรื่องขยายเป็นประเด็นการเมือง อยากให้ว่าไปตามกระบวนการ หรือ รฟท.เห็นว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไรเมื่ออธิบดีกรมที่ดินชี้มาแบบนี้ รฟท.เห็นว่าไม่ใช่ก็ต้องพยายามรักษาสิทธิ์ของ รฟท.ไว้

    "คิดว่าเป็นเรื่องที่ปฏิบัติตามกฎหมาย อย่าไปมองว่าใครอยู่พรรคไหนหรือมีความขัดแย้งกัน" รมว.คมนาคมกล่าว.

    ที่มา https://www.thaipost.net/one-newspaper/688793/

    #Thaitimes
    เขาบอกว่า หากใครมีประเด็นก็ไปฟ้องศาล พื้นที่เขากระโดงมีพื้นที่กว่า 5 พันไร่ เท่าที่ทราบตระกูลชิดชอบมีอยู่ 300 ไร่ แล้วอีก 4,700 ไร่ จะผิดแค่ 300 ไร่ได้อย่างไร หากเป็นอย่างนั้นก็ไปพิสูจน์เอา ไม่เกี่ยวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไม่ใช่อำนาจในการเพิกถอนหรืออนุญาต อยากจะยุ่งก็ยุ่งไม่ได้เพราะไม่มีอำนาจ ด้านนายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่ายังมีรายละเอียดอีกเยอะที่หลายคนไม่รู้ ซึ่ง รฟท.หรือประชาชนเองต้องทำการพิสูจน์สิทธิให้ชัดเจน ตนไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ให้ลองคิดดูว่าในประเทศไทยมีพื้นที่ใดที่กันรางรถไฟออกไป 1 กิโลเมตร ตรงไหนบ้างที่ไม่ใช่ชุมทาง แต่เป็นสถานีใหญ่ๆ มีหรือไม่ หากมี มีที่ไหนบ้างช่วยตอบหน่อย แล้วทำไมต้องเป็นแค่พื้นที่ตรงนี้ รฟท.จะเอาที่ดินไปทำอะไร เขาบอกว่า โดยส่วนตัวได้ติดตามเรื่องนี้มาพอสมควร และมองว่าน่าจะมีแผนที่บางตอนที่หายไป ซึ่งแผนที่ที่นำมาแสดงตนดูแล้วมีคลาดเคลื่อนอยู่ประมาณ 500 เมตร ซึ่งมองว่าน่าจะมีความขัดแย้งกัน แต่ทั้งนี้เราได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61 ซึ่งได้มีการพิจารณาไปแล้วว่า กรมที่ดินยังไม่ได้เพิกถอนโฉนดพื้นที่เขากระโดง แต่ก็ไม่ได้ตัดสิทธิ์การรถไฟฯ แต่เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น เพราะการรถไฟฯ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่จะทำให้คณะกรรมการสามารถเพิกถอนได้ ครั้งนี้ก็เป็นสิทธิ์ของการรถไฟฯ ที่จะไปฟ้องร้องตามกฎหมายต่อไป เมื่อถามว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ก็ระบุว่าพื้นที่เขากระโดงต้องเป็นของการรถไฟฯ เพราะถือว่าคำตัดสินของศาลฎีกาเป็นที่สิ้นสุด รมช.มหาดไทยตอบว่า ส่วนตัวมองว่าคำพิพากษาของศาลฎีกา หากอ่านดีๆ จะพบว่ามีฎีกาทับฎีกาอยู่เสมอ ในโอกาสที่จะมีหลักฐานใหม่เข้ามา เพื่อให้เกิดความรอบคอบและความเป็นธรรมกับพี่น้องประชาชน เมื่อถามถึงข้อกังขาว่า หนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบเป็นคนในกลุ่มเพื่อนเนวิน นายทรงศักดิ์กล่าวว่า คิดมากไป ทุกคนที่มาเป็นคณะกรรมการก็มีกฎหมายรองรับอยู่แล้ว หากการทำหน้าที่ทำอะไรผิดไปและมีคนติดใจ ก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย จะไปมองว่าคนนั้นคนนี้เป็นใครไม่ได้ เพราะการทำงานของแต่ละคนก็มีบรรทัดฐานตามกรอบอยู่แล้ว ซักว่า ในพื้นที่เขากระโดงปรากฏว่ามีการถือครองที่ดินจากคนในตระกูลชิดชอบอยู่กว่า 20 แปลง ได้มีการตรวจสอบอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ นายทรงศักดิ์กล่าวว่า การได้มาของที่ดินเขากระโดงก็ได้มาตามประมวลกฎหมายที่ดิน ได้สิทธิ์ตามกฎหมายอยู่แล้ว ส่วนในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของกระบวนการ จะจำกัดว่าตระกูลหนึ่ง จะไม่มีสิทธิ์ไปครอบครองที่ดินเลยก็คงไม่ได้ มีกฎหมายตรงไหนที่ห้ามตระกูลหนึ่งเข้าไปถือสิทธิที่ดินตามกฎหมาย มีหรือไม่ มันไม่มี เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กัน ขณะที่นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ชี้แจง งานในส่วนของกรมที่ดินว่าทำอยู่ 3 ส่วน โดยส่วนแรกทำตามคำสั่งศาลปกครอง ส่วนที่สองทำตามข้อกฎหมาย ไม่มีส่วนใดใช้เรื่องดุลยพินิจ และส่วนที่สามทำไปตามข้อเท็จจริงที่มีพยานหลักฐานและกฎหมายที่ชัดเจน เพราะฉะนั้นทุกอย่างสามารถตรวจสอบในเรื่องการดำเนินการได้ เมื่อถามต่อว่า ผู้บริหารของกระทรวงมหาดไทยอยู่ในพรรคภูมิใจไทย จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นการฟอกขาว อธิบดีกรมที่ดินยืนยันว่า กระบวนการที่ดำเนินมาทำตั้งแต่ก่อนที่นายอนุทินจะเข้ามา การตั้งคณะกรรมการมีการตั้งก่อน และการหาเอกสารพยานหลักฐานในการดำเนินการก็ทำมาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด ตนจึงยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามคำสั่งศาลปกครอง ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย อย่างไรก็ตาม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องนี้มีความสำคัญ หากเป็นที่ดินของ รฟท.แม้กระทั่งตารางวาก็จะเสียไปไม่ได้ จึงให้ รฟท.ไปเช็กดู ซึ่งได้รับรายงานว่าวันที่ 10 พ.ย.นี้ รฟท.ได้ยื่นขอต่อศาลปกครองกลาง แจ้งว่าอธิบดีกรมที่ดินปฏิบัติตามคำพิพากษาไม่ครบถ้วน ขอให้ศาลปกครองพิจารณาหรือไต่สวนกำหนดวิธีการดำเนินการ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ในการร่วมกันชี้แนวเขตที่ดินของ รฟท. และให้พิจารณามีคำสั่งในประเด็นต่างๆ ต่อไป ซึ่งผู้ว่าฯ รฟท.ได้ทำหนังสือถึงกรมที่ดินเพื่อยื่นคัดค้านหนังสือของอธิบดีกรมที่ดิน ตามมาตรา 44 พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางการปกครอง ซึ่งในนั้นระบุว่าเราต้องยื่นภายใน 15 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 12 พ.ย. และเราส่งไปเรียบร้อยแล้ววันที่ 11 พ.ย. รฟท.รู้กฎหมายอยู่ จะไปหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกที่ดินกว่า 900 แปลง ซึ่งขั้นตอนตรงนี้ยังมีเวลา ยืนยันว่าจะดูให้รอบคอบ ถามว่า เรื่องนี้เรื้อรังมานานจะเคลียร์ให้จบภายในช่วงที่เป็นรัฐมนตรีหรือไม่ รมว.คมนาคมตอบว่า เรื่องนี้ต้องดำเนินการตามกฎหมาย มันไม่ช้าอยู่แล้ว ซักว่า จำเป็นต้องพูดคุยกับนายอนุทินหรือไม่ นายสุริยะชี้แจงว่า เป็นระดับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติ เมื่อกรมที่ดินบอกว่าเป็นที่ของเขา ไม่ได้เป็นที่ของ รฟท. เพราะมีหลักฐานไม่เพียงพอ แต่ รฟท.เชื่อว่ามีหลักฐานเพียงพอ ก็ได้ดำเนินการไป เมื่อถามว่า มีการมองว่าที่ดินหลายแปลงในเขากระโดงเป็นของตระกูลชิดชอบ นายสุริยะกล่าวว่า ไม่อยากให้เรื่องขยายเป็นประเด็นการเมือง อยากให้ว่าไปตามกระบวนการ หรือ รฟท.เห็นว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไรเมื่ออธิบดีกรมที่ดินชี้มาแบบนี้ รฟท.เห็นว่าไม่ใช่ก็ต้องพยายามรักษาสิทธิ์ของ รฟท.ไว้ "คิดว่าเป็นเรื่องที่ปฏิบัติตามกฎหมาย อย่าไปมองว่าใครอยู่พรรคไหนหรือมีความขัดแย้งกัน" รมว.คมนาคมกล่าว. ที่มา https://www.thaipost.net/one-newspaper/688793/ #Thaitimes
    WWW.THAIPOST.NET
    มท.ปัดเอื้อที่ดินเขากระโดง ‘สุริยะ’ลั่นรฟท.ไม่ยอมแน่!
    "อนุทิน" ยัน “คดีเขากระโดง” ไม่มีแทรกแซง ไม่มีช่วยเพื่อน ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย
    Sad
    2
    0 Comments 0 Shares 1227 Views 0 Reviews
  • วันนี้ผ่านไปอ่านเจอความเห็นนึง แล้วยิ้มไปในใจ...ดูว่า คงจำเขามาพูด...เพื่ออาจจะให้คนได้ดูว่า เป็นผู้ทรงภูมิ ..
    ...แต่เดี๋ยวก่อน...วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ทุกสิ่งจริงหรือ?
    ...ความจริงคือ วิทยาศาสตร์ พิสูจน์อะไรก็ตามได้ก็ต่อเมื่อ มีองค์ความรู้ และเครื่องมือ ที่จะใช้พิสูจน์....แล้ว มันมีแบบนั้นกับทุกเรื่องไหม?....
    ...ในปัจจุบัน หรือย้อนหลังไปหลายปี คนระดับ อ.หมอ ดอกเตอร์ รองศาสตารารย์ และผู้เขี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ...ออกมาพูดเรื่อง พลังจิต พลังงานต่างๆ มากมาย.......บรรยายเป็นเรื่องราวบ่อยครั้ง...ถามว่า กลุ่มคนเหล่านี้ สุ่มเสี่ยงไหม ..ถ้าพูดเรื่องที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้.....แต่ทำไมพวกเขาพูด และกระทำ
    #ลองคิดดู
    วันนี้ผ่านไปอ่านเจอความเห็นนึง แล้วยิ้มไปในใจ...ดูว่า คงจำเขามาพูด...เพื่ออาจจะให้คนได้ดูว่า เป็นผู้ทรงภูมิ .. ...แต่เดี๋ยวก่อน...วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ทุกสิ่งจริงหรือ? ...ความจริงคือ วิทยาศาสตร์ พิสูจน์อะไรก็ตามได้ก็ต่อเมื่อ มีองค์ความรู้ และเครื่องมือ ที่จะใช้พิสูจน์....แล้ว มันมีแบบนั้นกับทุกเรื่องไหม?.... ...ในปัจจุบัน หรือย้อนหลังไปหลายปี คนระดับ อ.หมอ ดอกเตอร์ รองศาสตารารย์ และผู้เขี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ...ออกมาพูดเรื่อง พลังจิต พลังงานต่างๆ มากมาย.......บรรยายเป็นเรื่องราวบ่อยครั้ง...ถามว่า กลุ่มคนเหล่านี้ สุ่มเสี่ยงไหม ..ถ้าพูดเรื่องที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้.....แต่ทำไมพวกเขาพูด และกระทำ #ลองคิดดู
    0 Comments 1 Shares 233 Views 0 Reviews
  • ♣️ ผู้เสียหายบอกเองว่า บอสมินนี่แหละตัวดี หลอกล่อให้หาลูกทีม 200 คน อวดรถหรู-ปิระมิด อ้างอยากให้ลูกข่ายรวยไปด้วยกัน ใครที่กำลังจะสงสารเธอ ลองคิดดูใหม่ ว่าใครน่าสงสารกว่ากัน คนหลอกที่กำลังชดใช้กรรม หรือคนถูกหลอกที่เหมือนตายทั้งเป็น
    #7ดอกจิก
    #บอสมิน
    ♣️ ผู้เสียหายบอกเองว่า บอสมินนี่แหละตัวดี หลอกล่อให้หาลูกทีม 200 คน อวดรถหรู-ปิระมิด อ้างอยากให้ลูกข่ายรวยไปด้วยกัน ใครที่กำลังจะสงสารเธอ ลองคิดดูใหม่ ว่าใครน่าสงสารกว่ากัน คนหลอกที่กำลังชดใช้กรรม หรือคนถูกหลอกที่เหมือนตายทั้งเป็น #7ดอกจิก #บอสมิน
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 786 Views 0 Reviews
  • 18/10/67


    บทควาทของ
    คุณวินทร์ เลียววาริณ
    เป็นอีกแง่คิดที่น่าสนใจครับ

    ผมเกิดในยุคจอมพล ป. โตในยุคจอมพลสฤษดิ์และจอมพลถนอม สโลแกนของรัฐบาลตอนนั้นคือ "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข"

    ยุคนั้นยังไม่มีประชานิยมแบบสมัยนี้ ใครอยากมีเงินก็ต้องทำงาน

    มองซ้ายมองขวา ก็เห็นแต่คนทำงาน

    ปัจจุบันผมมองซ้ายมองขวา เห็นแต่แรงงานต่างชาติ พม่าบ้าง เขมรบ้าง

    ผมเคยถามเพื่อนว่า "คนไทยหายไปไหนหมด?" คำตอบคือ "ไปค้ายา เล่นหวย กับรอเงินแจก"

    เชื่อว่าเป็นคำตอบแบบกวนตีนเล่น คงไม่จริงหรอกน่า

    ครั้นมองซ้ายเห็นคนขับแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยคนไทย รับแต่คนต่างชาติ เพื่อที่จะโขกสับค่าโดยสาร มองขวาเห็นคนรอรับเงิน ดิจิตัล วอลเล็ต มองบนเห็นคนจะเฉือนป่ามาแบ่งกัน มองล่างเห็นคนสนับสนุนให้สร้างบ่อน ก็เริ่มเห็นว่าบางทีเพื่อนผมไม่ได้ตอบแบบกวนตีน

    เราก้าวจากสังคม "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" มาเป็น "ไม่ต้องทำงานก็บันดาลสุข" แล้วหรือนี่? จริงหรือนี่?

    เวลาผมเขียนต่อต้านการสร้างบ่อน มักจะมีคำแย้งหนึ่งเสมอว่า การพนันเป็นส่วนหนึ่งของคนไทย หนีไม่พ้นหรอก และในเมื่อหนีไม่พ้น ก็ควรหาเงินเข้ารัฐ

    นี่เป็นวิธีมองมุมหนึ่ง

    แต่ผมไม่ได้มองที่เงิน ผมมองที่สิ่งมีค่ากว่าเงินล้านเท่า ผมมองที่อนาคตของประเทศอีก 20 ปี 30 ปี 50 ปีข้างหน้า

    นี่ก็คือวิธีมองเดียวกับที่เมื่อผมชี้ว่า การท่องเที่ยวไม่ใช่คำตอบของประเทศ อย่าพึ่งแต่การท่องเที่ยว

    เมืองไทยในยุคจอมพล ป. จอมพลสฤษดิ์ และจอมพลถนอมยังเล็กอยู่ เราอยู่กันเองได้ แต่เมืองไทยตอนนี้ คิดอย่างนั้นไม่ได้แล้ว คู่แข่งของเราไม่ใช่ร้านเจ๊จูหน้าบ้าน ร้านเจ๊กก๊กหลังบ้าน แต่คือคนทั้งโลก

    ถ้าเราบริหารประเทศไม่เป็น ต่อให้มีทรัพยากรธรรมชาติล้นเหลือ ก็กลายเป็น failed state ได้ง่ายๆ

    และเครื่องมือเดียวของทุกชาติไม่ใช่ทรัพยากรธรรมชาติ แต่คือคน

    คนไม่มีคุณภาพ ชาติพังอย่างเดียว

    เมืองไทยเรามีทางหาเงินได้มากมาย เราแค่ขี้เกียจเท่านั้น อยากทำอะไรง่ายๆ ได้เงินเร็วๆ ได้เงินมากๆ

    เราจึงไปหมกตัวที่ตลาดหุ้น บ่อน คอร์รัปชั่นอยู่ในสายเลือดของเรา

    สิ่งเลวร้ายที่สุดของคนไทยคือความโลภ มันก่อให้เกิดคอร์รัปชั่น ทุจริตเชิงนโยบาย ฯลฯ

    มันทำลายทุกอย่าง เพราะเราปลูกฝังความโลภเข้าไปในกมลสันดาน ลอกออกยาก

    เงินเท่าไรก็ไม่มีวันพอ

    สิ่งที่ได้จากบ่อนคือเงิน แต่สิ่งที่เสียไปคือคน

    การสร้างบ่อนก็คือการใช้ทรัพยากรคนไปทำเรื่องไร้ประโยชน์ แค่เม็ดเงินนิดหน่อยที่เราหลอกตัวเองว่านำไปพัฒนาชาติ

    มันทำลายคุณภาพคนต่างหาก

    หากเราไม่เริ่มสร้างคนที่มีคุณภาพตั้งแต่วันนี้ สร้างคนที่มีความรู้ คิดเป็น วิเคราะห์เป็น มีความคิดสร้างสรรค์ เราตายแน่นอน

    มองดูระบบการศึกษา เราได้ยินแต่เสียงว่า "ข้อสอบยากไป" "เรียนไปทำไม" "ชั่วโมงยาวไป" ฯลฯ

    เมืองไทยจะหวังแต่สร้างหมอนวดเท้านักท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องสร้างความหลากหลายของวิชาชีพ เราต้องคิดนำโลก ไม่ใช่ตามโลกอย่างเดียว

    ทำได้จริงหรือ?

    ดูไต้หวันเป็นตัวอย่าง ไต้หวันเป็นแหล่งผลิตชิพที่ใหญ่ที่สุดในโลก อุตสาหกรรมนี้ไม่เพียงสร้างเงิน มันยังรับประกันเอกราชของชาติ หากมีการบุกจากจีน เพราะชาติใหญ่ๆ ต้องการชิพ

    ลองคิดดูว่าหากไต้หวันสร้างบ่อนทั่วประเทศแทนสร้างโรงงานผลิตชิพ ประเทศนั้นจะเป็นอย่างไร

    เราคิดแต่เรื่องเงิน เงิน เงิน แต่เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ คนต่างหากที่สำคัญที่สุด

    ขณะที่เราพยายามดูดนักท่องเที่ยวให้มากที่สุด หลายประเทศเริ่มหาทางลดนักท่องเที่ยวแล้ว เพราะ mass tourism ทำลายประเทศ

    ดังนั้นเวลาพูดถึงสร้างบ่อน มันจึงเป็นเรื่องกว้างกว่าบ่อนหลายปีแสง มันไม่ใช่เรื่องเงินอยู่ใต้ดินหรือบนดิน ถ้ามองตรงนี้ไม่ออก ก็จบข่าว

    เราไม่สามารถมองอะไรไกลเกินสี่ปีเลือกตั้ง ทั้งที่ในโลกทุกวันนี้ เราต้องมองไปสามสิบปีล่วงหน้าแล้ว

    ประเทศที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่ประเทศที่รวยที่สุด แต่เป็นประเทศที่คนมีปัญญาที่สุด และปัญญาทำให้มีความสุข

    ได้โปรดเถอะ หยุดคิดแต่เรื่องเงินสักครู่ได้ไหม

    คิดถึงอนาคตของลูกหลานบ้างเถอะ

    วินทร์ เลียววาริณ
    18 กันยายน 2567
    18/10/67 บทควาทของ คุณวินทร์ เลียววาริณ เป็นอีกแง่คิดที่น่าสนใจครับ ผมเกิดในยุคจอมพล ป. โตในยุคจอมพลสฤษดิ์และจอมพลถนอม สโลแกนของรัฐบาลตอนนั้นคือ "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" ยุคนั้นยังไม่มีประชานิยมแบบสมัยนี้ ใครอยากมีเงินก็ต้องทำงาน มองซ้ายมองขวา ก็เห็นแต่คนทำงาน ปัจจุบันผมมองซ้ายมองขวา เห็นแต่แรงงานต่างชาติ พม่าบ้าง เขมรบ้าง ผมเคยถามเพื่อนว่า "คนไทยหายไปไหนหมด?" คำตอบคือ "ไปค้ายา เล่นหวย กับรอเงินแจก" เชื่อว่าเป็นคำตอบแบบกวนตีนเล่น คงไม่จริงหรอกน่า ครั้นมองซ้ายเห็นคนขับแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยคนไทย รับแต่คนต่างชาติ เพื่อที่จะโขกสับค่าโดยสาร มองขวาเห็นคนรอรับเงิน ดิจิตัล วอลเล็ต มองบนเห็นคนจะเฉือนป่ามาแบ่งกัน มองล่างเห็นคนสนับสนุนให้สร้างบ่อน ก็เริ่มเห็นว่าบางทีเพื่อนผมไม่ได้ตอบแบบกวนตีน เราก้าวจากสังคม "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" มาเป็น "ไม่ต้องทำงานก็บันดาลสุข" แล้วหรือนี่? จริงหรือนี่? เวลาผมเขียนต่อต้านการสร้างบ่อน มักจะมีคำแย้งหนึ่งเสมอว่า การพนันเป็นส่วนหนึ่งของคนไทย หนีไม่พ้นหรอก และในเมื่อหนีไม่พ้น ก็ควรหาเงินเข้ารัฐ นี่เป็นวิธีมองมุมหนึ่ง แต่ผมไม่ได้มองที่เงิน ผมมองที่สิ่งมีค่ากว่าเงินล้านเท่า ผมมองที่อนาคตของประเทศอีก 20 ปี 30 ปี 50 ปีข้างหน้า นี่ก็คือวิธีมองเดียวกับที่เมื่อผมชี้ว่า การท่องเที่ยวไม่ใช่คำตอบของประเทศ อย่าพึ่งแต่การท่องเที่ยว เมืองไทยในยุคจอมพล ป. จอมพลสฤษดิ์ และจอมพลถนอมยังเล็กอยู่ เราอยู่กันเองได้ แต่เมืองไทยตอนนี้ คิดอย่างนั้นไม่ได้แล้ว คู่แข่งของเราไม่ใช่ร้านเจ๊จูหน้าบ้าน ร้านเจ๊กก๊กหลังบ้าน แต่คือคนทั้งโลก ถ้าเราบริหารประเทศไม่เป็น ต่อให้มีทรัพยากรธรรมชาติล้นเหลือ ก็กลายเป็น failed state ได้ง่ายๆ และเครื่องมือเดียวของทุกชาติไม่ใช่ทรัพยากรธรรมชาติ แต่คือคน คนไม่มีคุณภาพ ชาติพังอย่างเดียว เมืองไทยเรามีทางหาเงินได้มากมาย เราแค่ขี้เกียจเท่านั้น อยากทำอะไรง่ายๆ ได้เงินเร็วๆ ได้เงินมากๆ เราจึงไปหมกตัวที่ตลาดหุ้น บ่อน คอร์รัปชั่นอยู่ในสายเลือดของเรา สิ่งเลวร้ายที่สุดของคนไทยคือความโลภ มันก่อให้เกิดคอร์รัปชั่น ทุจริตเชิงนโยบาย ฯลฯ มันทำลายทุกอย่าง เพราะเราปลูกฝังความโลภเข้าไปในกมลสันดาน ลอกออกยาก เงินเท่าไรก็ไม่มีวันพอ สิ่งที่ได้จากบ่อนคือเงิน แต่สิ่งที่เสียไปคือคน การสร้างบ่อนก็คือการใช้ทรัพยากรคนไปทำเรื่องไร้ประโยชน์ แค่เม็ดเงินนิดหน่อยที่เราหลอกตัวเองว่านำไปพัฒนาชาติ มันทำลายคุณภาพคนต่างหาก หากเราไม่เริ่มสร้างคนที่มีคุณภาพตั้งแต่วันนี้ สร้างคนที่มีความรู้ คิดเป็น วิเคราะห์เป็น มีความคิดสร้างสรรค์ เราตายแน่นอน มองดูระบบการศึกษา เราได้ยินแต่เสียงว่า "ข้อสอบยากไป" "เรียนไปทำไม" "ชั่วโมงยาวไป" ฯลฯ เมืองไทยจะหวังแต่สร้างหมอนวดเท้านักท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องสร้างความหลากหลายของวิชาชีพ เราต้องคิดนำโลก ไม่ใช่ตามโลกอย่างเดียว ทำได้จริงหรือ? ดูไต้หวันเป็นตัวอย่าง ไต้หวันเป็นแหล่งผลิตชิพที่ใหญ่ที่สุดในโลก อุตสาหกรรมนี้ไม่เพียงสร้างเงิน มันยังรับประกันเอกราชของชาติ หากมีการบุกจากจีน เพราะชาติใหญ่ๆ ต้องการชิพ ลองคิดดูว่าหากไต้หวันสร้างบ่อนทั่วประเทศแทนสร้างโรงงานผลิตชิพ ประเทศนั้นจะเป็นอย่างไร เราคิดแต่เรื่องเงิน เงิน เงิน แต่เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ คนต่างหากที่สำคัญที่สุด ขณะที่เราพยายามดูดนักท่องเที่ยวให้มากที่สุด หลายประเทศเริ่มหาทางลดนักท่องเที่ยวแล้ว เพราะ mass tourism ทำลายประเทศ ดังนั้นเวลาพูดถึงสร้างบ่อน มันจึงเป็นเรื่องกว้างกว่าบ่อนหลายปีแสง มันไม่ใช่เรื่องเงินอยู่ใต้ดินหรือบนดิน ถ้ามองตรงนี้ไม่ออก ก็จบข่าว เราไม่สามารถมองอะไรไกลเกินสี่ปีเลือกตั้ง ทั้งที่ในโลกทุกวันนี้ เราต้องมองไปสามสิบปีล่วงหน้าแล้ว ประเทศที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่ประเทศที่รวยที่สุด แต่เป็นประเทศที่คนมีปัญญาที่สุด และปัญญาทำให้มีความสุข ได้โปรดเถอะ หยุดคิดแต่เรื่องเงินสักครู่ได้ไหม คิดถึงอนาคตของลูกหลานบ้างเถอะ วินทร์ เลียววาริณ 18 กันยายน 2567
    0 Comments 0 Shares 631 Views 0 Reviews