• เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI กลายเป็น “เจ้านายใหม่” ที่ทำให้คนตกงาน

    ปี 2025 กลายเป็นปีที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้องเผชิญกับคลื่นพายุแห่งการปลดพนักงานครั้งใหญ่ — มากกว่า 100,000 คนถูกเลิกจ้างภายในครึ่งปีแรก และตัวเลขยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Intel, Microsoft, Meta, Google, Amazon และ Cisco ต่างทยอยปลดพนักงานหลายหมื่นคน โดยมีเหตุผลหลักคือการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อมุ่งสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว

    Intel ซึ่งเคยเป็นยักษ์ใหญ่ด้านชิป PC กำลังเผชิญกับยอดขายที่ตกต่ำ และหันไปเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี AI แทน โดยคาดว่าจะปลดพนักงานถึง 75,000 คนภายในสิ้นปีนี้

    Microsoft ก็ไม่ต่างกัน — ปลดพนักงานไปแล้ว 15,000 คน แม้จะมีกำไรดี แต่กลับเลือกลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และใช้ Copilot เขียนโค้ดแทนมนุษย์ถึง 30% แล้ว

    หลายบริษัทอ้างว่า AI ไม่ได้ “แทนที่” คน แต่เป็นการ “ปรับโครงสร้าง” เพื่อให้มีงบลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ แต่สำหรับพนักงานที่ถูกปลด คำอธิบายนี้อาจฟังดูเย็นชาเกินไป

    ยอดปลดพนักงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีปี 2025 ทะลุ 100,000 คนแล้ว
    เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
    เป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในหลายบริษัท

    Intel มีแผนปลดพนักงานมากที่สุด
    ประกาศปลด 24,000 คน และคาดว่าจะถึง 75,000 คนภายในสิ้นปี
    สาเหตุหลักคือยอดขาย CPU ลดลง และหันไปเน้นธุรกิจ AI

    Microsoft ปลดพนักงาน 15,000 คน
    ครอบคลุมหลายแผนก เช่น cloud, gaming, hardware
    ใช้ AI เขียนโค้ดถึง 30% และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $80 พันล้าน

    บริษัทอื่น ๆ ก็ปรับตัวเช่นกัน
    Meta, Google, Amazon, Cisco ปลดพนักงานหลายพันคน
    นำงบไปลงทุนในโมเดล AI และระบบอัตโนมัติ

    สาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดการปลดพนักงาน
    การจ้างงานเกินในช่วงโควิดที่ไม่สามารถรักษาไว้ได้
    ความไม่แน่นอนจากภาษีและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

    AI กลายเป็นปัจจัยหลักในการปรับโครงสร้าง
    งานที่เคยทำโดยมนุษย์ถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ
    บริษัทเน้น “การจ้างงานแบบแม่นยำ” มากกว่าการจ้างงานจำนวนมาก

    https://www.techspot.com/news/108818-layoffs-surge-tech-more-than-100000-jobs-cut.html
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI กลายเป็น “เจ้านายใหม่” ที่ทำให้คนตกงาน ปี 2025 กลายเป็นปีที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้องเผชิญกับคลื่นพายุแห่งการปลดพนักงานครั้งใหญ่ — มากกว่า 100,000 คนถูกเลิกจ้างภายในครึ่งปีแรก และตัวเลขยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Intel, Microsoft, Meta, Google, Amazon และ Cisco ต่างทยอยปลดพนักงานหลายหมื่นคน โดยมีเหตุผลหลักคือการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อมุ่งสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว Intel ซึ่งเคยเป็นยักษ์ใหญ่ด้านชิป PC กำลังเผชิญกับยอดขายที่ตกต่ำ และหันไปเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี AI แทน โดยคาดว่าจะปลดพนักงานถึง 75,000 คนภายในสิ้นปีนี้ Microsoft ก็ไม่ต่างกัน — ปลดพนักงานไปแล้ว 15,000 คน แม้จะมีกำไรดี แต่กลับเลือกลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และใช้ Copilot เขียนโค้ดแทนมนุษย์ถึง 30% แล้ว หลายบริษัทอ้างว่า AI ไม่ได้ “แทนที่” คน แต่เป็นการ “ปรับโครงสร้าง” เพื่อให้มีงบลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ แต่สำหรับพนักงานที่ถูกปลด คำอธิบายนี้อาจฟังดูเย็นชาเกินไป ✅ ยอดปลดพนักงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีปี 2025 ทะลุ 100,000 คนแล้ว ➡️ เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ➡️ เป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในหลายบริษัท ✅ Intel มีแผนปลดพนักงานมากที่สุด ➡️ ประกาศปลด 24,000 คน และคาดว่าจะถึง 75,000 คนภายในสิ้นปี ➡️ สาเหตุหลักคือยอดขาย CPU ลดลง และหันไปเน้นธุรกิจ AI ✅ Microsoft ปลดพนักงาน 15,000 คน ➡️ ครอบคลุมหลายแผนก เช่น cloud, gaming, hardware ➡️ ใช้ AI เขียนโค้ดถึง 30% และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $80 พันล้าน ✅ บริษัทอื่น ๆ ก็ปรับตัวเช่นกัน ➡️ Meta, Google, Amazon, Cisco ปลดพนักงานหลายพันคน ➡️ นำงบไปลงทุนในโมเดล AI และระบบอัตโนมัติ ✅ สาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดการปลดพนักงาน ➡️ การจ้างงานเกินในช่วงโควิดที่ไม่สามารถรักษาไว้ได้ ➡️ ความไม่แน่นอนจากภาษีและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ✅ AI กลายเป็นปัจจัยหลักในการปรับโครงสร้าง ➡️ งานที่เคยทำโดยมนุษย์ถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ➡️ บริษัทเน้น “การจ้างงานแบบแม่นยำ” มากกว่าการจ้างงานจำนวนมาก https://www.techspot.com/news/108818-layoffs-surge-tech-more-than-100000-jobs-cut.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Layoffs surge in tech: More than 100,000 jobs cut in 2025 so far
    We've now entered the second half of the year, and tech-related layoffs have already skyrocketed past the 100,000 mark. The Bridge Chronicle has compiled a list of...
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • สถาบันยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ International Institute for Strategic Studies (IISS) แห่งสหราชอาณาจักร ระบุไว้เมื่อต้นปี 2025 ขณะเผยแพร่รายงานเกี่ยวกับจำนวนกำลังพลของกองทัพทั่วโลก ว่า ไทยมี “กองทัพขนาดใหญ่และได้รับงบประมาณสนับสนุนอย่างดี"

    งบประมาณกลาโหมของไทยในปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ กัมพูชา มีงบประมาณต่ำกว่ามาก อยู่ที่เพียง 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามรายงานของ IISS

    1. กองทัพอากาศ
    IISS ระบุว่า “กองทัพอากาศของไทย ถือเป็นหนึ่งในกองทัพอากาศที่มีอุปกรณ์และการฝึกอบรมดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

    ณ ต้นปี 2025 ไทยมี เครื่องบินรบที่พร้อมปฏิบัติการ 112 ลำ รวมถึง F-16 จำนวน 46 ลำ (หลายรุ่น)

    นอกจากนี้ ไทยยังมี เครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 4 แบบ Gripen ของสวีเดน จำนวนหนึ่ง
    แม้ Gripen และ F-16 จะไม่ใช่เครื่องบินรุ่นที่ 5 (เช่น F-35 หรือ F-22) แต่ถ้าบำรุงรักษาอย่างดี ก็ถือว่ามีขีดความสามารถสูง

    ไทยกำลังทยอยปลดประจำการ F-16 รุ่นเก่า และเพิ่มจำนวน Gripen แทน
    กองทัพอากาศไทยที่มีกำลังพลประมาณ 46,000 นาย ยังมี เครื่องบินเตือนภัยล่วงหน้าแบบ Erieye 2 ลำ ซึ่งทำงานร่วมกับ Gripen

    กัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่ ภายใต้กองทัพอากาศขนาดเล็กเพียง 1,500 นาย แต่มี เฮลิคอปเตอร์ 26 ลำ หลายประเภท

    จอห์น เฮมมิงส์ รองผู้อำนวยการด้านภูมิรัฐศาสตร์แห่งสถาบัน Council on Geostrategy สหราชอาณาจักร กล่าวว่า:

    “กองทัพอากาศไทยมี F-16 จากสหรัฐฯ ซึ่งใช้โจมตีเป้าหมายทางทหารของกัมพูชาเมื่อวันพุธโดยไม่มีแรงต้าน ขณะที่กัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่ประจำการเลย”

    2. กองทัพบกและกองทัพเรือ
    ตามข้อมูลจาก IISS:

    กองทัพบกกัมพูชา มีทหารประมาณ 75,000 นาย และ รถถังราว 200 คัน

    ในจำนวนนี้มี รถถังหลักประมาณ 50 คัน เป็นรุ่น T-54 ของจีน (ซึ่งพัฒนาจากโซเวียตรุ่น T-54)

    อีก 150 คันขึ้นไป เป็นรถถังรุ่น T-54 และ T-55 (รุ่นเก่าจากยุค 1950)

    กัมพูชายังมี รถรบทหารราบแบบ BMP-1 จำนวน 70 คัน ซึ่งเป็นรถสะเทินน้ำสะเทินบกรุ่นโซเวียตที่เคยถูกใช้ในยุโรปตะวันออกโดยรัสเซียและยูเครน

    กองทัพบกไทย มีทหารประจำการ 130,000 นาย และมีเกณฑ์ทหารเพิ่มใกล้เคียงอีกจำนวนหนึ่ง

    มีรถถังหลักประมาณ 400 คัน ส่วนใหญ่เป็นรถถังสัญชาติสหรัฐฯ รุ่นเก่า

    ไทยยังมี เรือบรรทุกเครื่องบิน 1 ลำ และ เรือฟริเกต 7 ลำ

    กัมพูชาไม่มีเรือรบ หรือกองทัพเรือในเชิงยุทธศาสตร์

    เฮมมิงส์ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า:

    “ไทยมีรถถังหลักที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาค เช่น VT4 จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ขณะที่กัมพูชายังคงใช้ T-54 จากยุคปี 1950 เป็นหลัก”

    ทั้งสองประเทศมีอาวุธปืนใหญ่ในรูปแบบต่าง ๆ:

    ระบบจรวดนำวิถีแบบติดตั้งบนรถยนต์

    ปืนใหญ่ลากจูงทั่วไป

    “ระบบของกัมพูชาส่วนใหญ่ยังคงใช้ของเก่า เช่น BM-21 จากยุคสงครามเย็น และมีระบบจากจีนยุค 1990 ปะปนอยู่เล็กน้อย
    ส่วนของไทย มีส่วนผสมของระบบจากสหรัฐฯ อิสราเอล และจีน ซึ่งบางระบบเป็นของใหม่กว่า”

    ที่มา : How Thailand and Cambodia's Militaries Compare, Newsweek, Jul 25, 2025
    สถาบันยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ International Institute for Strategic Studies (IISS) แห่งสหราชอาณาจักร ระบุไว้เมื่อต้นปี 2025 ขณะเผยแพร่รายงานเกี่ยวกับจำนวนกำลังพลของกองทัพทั่วโลก ว่า ไทยมี “กองทัพขนาดใหญ่และได้รับงบประมาณสนับสนุนอย่างดี" งบประมาณกลาโหมของไทยในปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ กัมพูชา มีงบประมาณต่ำกว่ามาก อยู่ที่เพียง 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามรายงานของ IISS 1. กองทัพอากาศ IISS ระบุว่า “กองทัพอากาศของไทย ถือเป็นหนึ่งในกองทัพอากาศที่มีอุปกรณ์และการฝึกอบรมดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ณ ต้นปี 2025 ไทยมี เครื่องบินรบที่พร้อมปฏิบัติการ 112 ลำ รวมถึง F-16 จำนวน 46 ลำ (หลายรุ่น) นอกจากนี้ ไทยยังมี เครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 4 แบบ Gripen ของสวีเดน จำนวนหนึ่ง แม้ Gripen และ F-16 จะไม่ใช่เครื่องบินรุ่นที่ 5 (เช่น F-35 หรือ F-22) แต่ถ้าบำรุงรักษาอย่างดี ก็ถือว่ามีขีดความสามารถสูง ไทยกำลังทยอยปลดประจำการ F-16 รุ่นเก่า และเพิ่มจำนวน Gripen แทน กองทัพอากาศไทยที่มีกำลังพลประมาณ 46,000 นาย ยังมี เครื่องบินเตือนภัยล่วงหน้าแบบ Erieye 2 ลำ ซึ่งทำงานร่วมกับ Gripen กัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่ ภายใต้กองทัพอากาศขนาดเล็กเพียง 1,500 นาย แต่มี เฮลิคอปเตอร์ 26 ลำ หลายประเภท จอห์น เฮมมิงส์ รองผู้อำนวยการด้านภูมิรัฐศาสตร์แห่งสถาบัน Council on Geostrategy สหราชอาณาจักร กล่าวว่า: “กองทัพอากาศไทยมี F-16 จากสหรัฐฯ ซึ่งใช้โจมตีเป้าหมายทางทหารของกัมพูชาเมื่อวันพุธโดยไม่มีแรงต้าน ขณะที่กัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่ประจำการเลย” 2. กองทัพบกและกองทัพเรือ ตามข้อมูลจาก IISS: กองทัพบกกัมพูชา มีทหารประมาณ 75,000 นาย และ รถถังราว 200 คัน ในจำนวนนี้มี รถถังหลักประมาณ 50 คัน เป็นรุ่น T-54 ของจีน (ซึ่งพัฒนาจากโซเวียตรุ่น T-54) อีก 150 คันขึ้นไป เป็นรถถังรุ่น T-54 และ T-55 (รุ่นเก่าจากยุค 1950) กัมพูชายังมี รถรบทหารราบแบบ BMP-1 จำนวน 70 คัน ซึ่งเป็นรถสะเทินน้ำสะเทินบกรุ่นโซเวียตที่เคยถูกใช้ในยุโรปตะวันออกโดยรัสเซียและยูเครน กองทัพบกไทย มีทหารประจำการ 130,000 นาย และมีเกณฑ์ทหารเพิ่มใกล้เคียงอีกจำนวนหนึ่ง มีรถถังหลักประมาณ 400 คัน ส่วนใหญ่เป็นรถถังสัญชาติสหรัฐฯ รุ่นเก่า ไทยยังมี เรือบรรทุกเครื่องบิน 1 ลำ และ เรือฟริเกต 7 ลำ กัมพูชาไม่มีเรือรบ หรือกองทัพเรือในเชิงยุทธศาสตร์ เฮมมิงส์ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า: “ไทยมีรถถังหลักที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาค เช่น VT4 จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ขณะที่กัมพูชายังคงใช้ T-54 จากยุคปี 1950 เป็นหลัก” ทั้งสองประเทศมีอาวุธปืนใหญ่ในรูปแบบต่าง ๆ: ระบบจรวดนำวิถีแบบติดตั้งบนรถยนต์ ปืนใหญ่ลากจูงทั่วไป “ระบบของกัมพูชาส่วนใหญ่ยังคงใช้ของเก่า เช่น BM-21 จากยุคสงครามเย็น และมีระบบจากจีนยุค 1990 ปะปนอยู่เล็กน้อย ส่วนของไทย มีส่วนผสมของระบบจากสหรัฐฯ อิสราเอล และจีน ซึ่งบางระบบเป็นของใหม่กว่า” ที่มา : How Thailand and Cambodia's Militaries Compare, Newsweek, Jul 25, 2025
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • โลกของ “สาธารณสุขระหว่างประเทศ”: ระหว่างชีวิตและอำนาจ

    อดิเทพ จาวลาห์
    https://linktr.ee/chawlaadithep
    ต้นฉบับ: https://www.rookon.com/?p=1330

    เช่นเดียวกับด้านอื่นของการแพทย์ สาธารณสุขก็เป็นเรื่องของ “ชีวิตและความตาย” สิ่งที่แตกต่างคือมันถูกจัดการในระดับกลุ่มและสเกลงานระดับนานาชาติ เมื่อมีเงินก้อนใหญ่—เป็นล้านดอลลาร์ —ถูกจัดสรรไปยังโครงการใดโครงการหนึ่ง ผลลัพธ์อาจเป็นชีวิตที่รอดมากมาย หรือในทางตรงกันข้าม อาจมีชีวิตสูญเสีย และความโศกเศร้าเข้ามาแทนที่ หากเงินนั้นไม่ได้ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือถูกเบี่ยงเบนไปยังสิ่งที่ก่อให้เกิดอันตราย

    การจัดการกับเรื่องเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อ “อีโก้” ของผู้เกี่ยวข้อง เนื่องจากมนุษย์มักให้คุณค่ากับตัวเอง เมื่รู้สึกว่า ตนมีอำนาจที่สามารถส่งผลต่อชีวิตผู้อื่น เมื่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับนานาชาติได้รับการยกย่องและชมเชยจากสื่อและผู้คน—ที่มักได้เห็นเพียงภาพเด็กผิวสีจำนวนมาก 🧒🏾👧🏾ยืนเข้าคิวเพื่อรอรับการช่วยเหลือจากคนในเสื้อกั๊กสีขาวที่มีตราโลโก้เจ๋งๆ —ภาพนี้สร้างความรู้สึก “ยิ่งใหญ่” ขึ้นในใจของพวกเขา ขณะที่ด้านที่เป็นความจริง เช่น เงินเดือนสูงที่มักได้รับการยกเว้นภาษี การเดินทางระหว่างประเทศ พักในโรงแรมห้าดาว บางครั้งถูกปิดบังไม่ให้เป็นเรื่องหลักในสายตาประชาชน ซึ่งผมไม่ได้เกียงสิ่งเหล่านั้น แต่หากคุณศึกษาข้อมูลการใช้เงินของหน่วยงานเหล่านี้ คุณจะตกใจว่า เงินส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการเดินทางและความสะดวกสบายของเจ้าหน้าที่ เป็นหลัก

    ผลคือ “แรงจูงใจทางอีโก้” ถูกเสริมทัพ ทำให้เจ้าหน้าด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ รวมทั้งในประเทศมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง มองว่าค่านิยมของตนดีเลิศจนพร้อมบังคับใช้สิ่งเหล่านั้นกับ “เป้าหมาย” ของงาน ไม่ว่าจะเป็นชุมชนใด เมื่อการงานของพวกเขาดูเหมือนมีคุณค่ามากกว่าการเลี้ยงลูก หรือการทำงานปกติในหมู่บ้าน หรือแม้กระทั่งพนักงานต้อนรับที่สนามบิน — พวกเขาจึงรู้สึกว่าการตัดสินใจแทนผู้อื่นนั้นช่าง “ชอบธรรม” เสียยิ่งนัก

    ตัวอย่างชัดๆ จากองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกยอมรับค่านิยมตะวันตกอย่างสุดโต่ง

    เมื่อทุนใหญ่เข้ามาคุมเกม

    ความซับซ้อนยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อแหล่งเงินทุนหลักมีวาระผลประโยชน์ทางธุรกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น WHO มีงบประมาณมากกว่า 75% ที่ถูกกำหนดโดยผู้ให้ทุน ซึ่งมักเป็นฝ่ายที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายเหล่านั้น เช่นบริษัทผู้ผลิตวัคซีนที่อาจได้กำไรจากการผลักดันวัคซีนใหม่ๆ

    องค์กรขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการรับมือโควิด เช่น GAVI และ CEPI ถูกตั้งขึ้นโดยกลุ่มทุนเอกชนและภาคธุรกิจ หลังจากวิกฤติ พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของตารางบอร์ด และมี “สิทธิในการ” กำหนดทิศทางโครงการระดับโลก

    เมื่อการบรรจุทุนเชิงพาณิชย์และการเมืองเข้าไปอยู่ใต้ร่มของ “สาธารณสุข” เนื้อหาของงานก็เปลี่ยนจากการช่วยชีวิต มาเป็นการผลักดันวาระที่อาจไม่เกี่ยวกับสาธารณสุข แต่คือการหาผลประโยชน์มากกว่า และกำไรนานาประเภท

    แรงงานที่ “ถูกจับแต่เต็มใจ”

    ในธุรกิจ เราโฆษณาสินค้าและหวังว่าลูกค้าจะสนใจ เพราะนั่นคือความเสี่ยงและต้นทุน แต่หากสินค้านั้นถูก “บังคับให้ซื้อ” โดยกลไกของรัฐหรือองค์กร ไม่มีทางเลือก ไม่มีความรับผิดชอบต่อผลที่ตามมา แถมถ้าความเสียหายเกิด—คุณก็ไม่รับผิดชอบ

    สิ่งนี้คือ “การพิมพ์เงิน” แบบไร้ความเสี่ยง และเพื่อให้ระบบนี้เดินไปได้ ต้องมี “แรงงาน” ที่พร้อมเป็นเครื่องมือ ผลิตภัณฑ์ และต้องมีพร่ำบรรยายหน้าแผงข่าวอย่างไม่ผิดพลาด

    ประวัติศาสตร์ที่น่ากลัวของสาธารณสุข

    ประวัติศาสตร์สาธารณสุขในสหรัฐฯ ยังเคยถูกใช้สนับสนุนนโยบายเชิงเหยียดเชื้อชาติและยูจีนิกส์ (Eugenics) ที่บังคับให้กลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น คนเชื้อสายคนพื้นเมือง หรือผู้ที่มีความบกพร่องบางอย่าง ถูกคุมขัง ทำหมัน และปล่อยให้ตายต่ำกว่ามาตรฐานสุขภาพ แนวคิดนี้ยังถูกปลูกฝังในรั้วมหาวิทยาลัย เช่น ห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัย Johns Hopkins

    ถึงแม้ในยุโรป เช่นอิตาลีและเยอรมนี ยุคฟาสซิสต์ก็ใช้สาธารณสุขในการฆาตกรรมกลุ่มชาติพันธุ์ที่ “ด้อยกว่า” —จากการคัดกรองทางพันธุกรรม จนถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จริงๆ และเรื่องนี้ยังดำเนินต่อเนื่องไปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง—อย่างเคส Tuskegee ที่ใช้ฐานข้อมูลทางการแพทย์ล่วงละเมิดความเป็นมนุษย์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ถูกศึกษา 👨🏿‍⚕️

    อีโก้ ความเชื่อ และการบังคับใช้

    แพทย์และพยาบาลในช่วงเวลานั้นเชื่อมั่นว่าตนเองทำ “สิ่งที่ถูกต้อง” จะช่วยกวาดล้าง “ความต่ำช้า” ออกจากสังคม แต่สุดท้ายพวกเขากลายเป็นเครื่องมือของโครงสร้างอำนาจ ที่มองไม่เห็นว่าตนกำลังทำร้ายมนุษย์อย่างไร้ความปราณี

    ในระบบที่มีลำดับขั้น ผู้ปฏิบัติงานจะยิ่งมีจิตวิทยาที่ทำให้ “เชื่อฟัง” และ “ยึดมั่นในระบบ” เมื่อพวกเขาได้รับการฝึกให้เชื่อใน “ความดีขั้นสูง” ของระบบ และเชื่อว่าการบังคับใช้มาตรการแข็ง หรือการจำกัดทางเลือกของประชาชน ล้วนเพื่อ “ประโยชน์สุขของส่วนรวม”

    ทางออกอยู่ที่การให้สิทธิ์และอำนาจ

    ในขณะที่ระบบนี้ขยายอำนาจการควบคุม แนวทางที่แท้จริงของ “สุขภาพ” กลับเป็นเรื่องของความเป็นอยู่ทางจิต ใจ และสังคม ที่ต้องการ “สิทธิ์ในการเลือก”

    เมื่อคนมีอำนาจของตนเองได้กำหนดการรักษา ได้เลือกแนวทางที่เหมาะสมกับพื้นฐานชีวิตของตน และไม่ถูกบังคับจากส่วนกลาง สิ่งนี้เองคือรากฐานของสุขภาพที่แท้จริง

    แต่เมื่อระบบลุกลามไปยังการบังคับและการจำกัดเสรีภาพ—ไม่ว่าจะทางกฎหมายหรือทางวัฒนธรรม—มันคือต

    ตัวบ่อนทำลายระบบสุขภาพ และทำให้มนุษย์กลายเป็นเพียงเครื่องมือของอำนาจ

    สรุปและแนวทางปลุกพลัง

    * สำรวจระบบสาธารณสุขในมิติใหม่ ทั้งในแง่ของอำนาจทุน และโครงสร้างอำนาจ
    * เข้าใจว่าหลายสิ่งถูกออกแบบมาเพื่อชิงผลประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อความเป็นอยู่ของแท้
    * เห็นบทเรียนจากประวัติศาสตร์ว่าการใช้อำนาจโดยไม่ตรวจสอบนำไปสู่หายนะได้จริง
    * ตระหนักถึงอีโก้ของผู้ปฏิบัติงานและอันตรายจากระบบลำดับขั้น
    * ร่วมเรียกร้องให้ทุกคนมีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่เกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง
    * ปลูกจิตสำนึกให้สังคมไม่ถูกควบคุม แต่มีศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ 🧑🏽‍🤝‍🧑🏼

    สุดท้าย… การจะสร้างระบบสุขภาพที่ดีต้องเริ่มจาก “ประชาชนทุกคน” ที่ลุกขึ้นมามีเสียง มีสิทธิ์ มีอำนาจแสดงความคิดเห็น และร่วมกันสร้างระบบที่เคารพสิทธิและความต้องการของทุกคนอย่างแท้จริง

    ดังนั้นการเงียบเฉยคือการปล่อยให้ผู้มีอำนาจกระทำผิดต่ออย่างไม่รู้จบ
    https://www.facebook.com/share/p/1Bmr3SPLx7/
    🌍 โลกของ “สาธารณสุขระหว่างประเทศ”: ระหว่างชีวิตและอำนาจ 🧠💉 ✍️ อดิเทพ จาวลาห์ 🔗 https://linktr.ee/chawlaadithep 📖 ต้นฉบับ: https://www.rookon.com/?p=1330 เช่นเดียวกับด้านอื่นของการแพทย์ 🏥 สาธารณสุขก็เป็นเรื่องของ “ชีวิตและความตาย” สิ่งที่แตกต่างคือมันถูกจัดการในระดับกลุ่มและสเกลงานระดับนานาชาติ 🌐 เมื่อมีเงินก้อนใหญ่—เป็นล้านดอลลาร์ 💵—ถูกจัดสรรไปยังโครงการใดโครงการหนึ่ง ผลลัพธ์อาจเป็นชีวิตที่รอดมากมาย 🙌 หรือในทางตรงกันข้าม อาจมีชีวิตสูญเสีย และความโศกเศร้าเข้ามาแทนที่ 😢 หากเงินนั้นไม่ได้ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือถูกเบี่ยงเบนไปยังสิ่งที่ก่อให้เกิดอันตราย ⚠️ การจัดการกับเรื่องเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อ “อีโก้” ของผู้เกี่ยวข้อง 🧠 เนื่องจากมนุษย์มักให้คุณค่ากับตัวเอง เมื่รู้สึกว่า ตนมีอำนาจที่สามารถส่งผลต่อชีวิตผู้อื่น 🧍‍♀️🧍‍♂️ เมื่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับนานาชาติได้รับการยกย่องและชมเชยจากสื่อและผู้คน—ที่มักได้เห็นเพียงภาพเด็กผิวสีจำนวนมาก 🧒🏾👧🏾ยืนเข้าคิวเพื่อรอรับการช่วยเหลือจากคนในเสื้อกั๊กสีขาวที่มีตราโลโก้เจ๋งๆ 👕—ภาพนี้สร้างความรู้สึก “ยิ่งใหญ่” ขึ้นในใจของพวกเขา ✨ ขณะที่ด้านที่เป็นความจริง เช่น เงินเดือนสูงที่มักได้รับการยกเว้นภาษี 💰 การเดินทางระหว่างประเทศ ✈️ พักในโรงแรมห้าดาว 🏨 บางครั้งถูกปิดบังไม่ให้เป็นเรื่องหลักในสายตาประชาชน ซึ่งผมไม่ได้เกียงสิ่งเหล่านั้น แต่หากคุณศึกษาข้อมูลการใช้เงินของหน่วยงานเหล่านี้ 📊 คุณจะตกใจว่า เงินส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการเดินทางและความสะดวกสบายของเจ้าหน้าที่ เป็นหลัก 🚗🍽️ ผลคือ “แรงจูงใจทางอีโก้” ถูกเสริมทัพ 💪 ทำให้เจ้าหน้าด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ รวมทั้งในประเทศมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ⬆️ มองว่าค่านิยมของตนดีเลิศจนพร้อมบังคับใช้สิ่งเหล่านั้นกับ “เป้าหมาย” ของงาน 🎯 ไม่ว่าจะเป็นชุมชนใด เมื่อการงานของพวกเขาดูเหมือนมีคุณค่ามากกว่าการเลี้ยงลูก 👶 หรือการทำงานปกติในหมู่บ้าน หรือแม้กระทั่งพนักงานต้อนรับที่สนามบิน 🛫 — พวกเขาจึงรู้สึกว่าการตัดสินใจแทนผู้อื่นนั้นช่าง “ชอบธรรม” เสียยิ่งนัก 😇 ตัวอย่างชัดๆ จากองค์การอนามัยโลก (WHO) 🌏 ที่เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกยอมรับค่านิยมตะวันตกอย่างสุดโต่ง ❗ 💸 เมื่อทุนใหญ่เข้ามาคุมเกม ความซับซ้อนยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อแหล่งเงินทุนหลักมีวาระผลประโยชน์ทางธุรกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่ชัดเจน 🧩 ยกตัวอย่างเช่น WHO มีงบประมาณมากกว่า 75% ที่ถูกกำหนดโดยผู้ให้ทุน 💼 ซึ่งมักเป็นฝ่ายที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายเหล่านั้น เช่นบริษัทผู้ผลิตวัคซีนที่อาจได้กำไรจากการผลักดันวัคซีนใหม่ๆ 💉💰 องค์กรขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการรับมือโควิด เช่น GAVI และ CEPI ถูกตั้งขึ้นโดยกลุ่มทุนเอกชนและภาคธุรกิจ 🏢 หลังจากวิกฤติ พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของตารางบอร์ด และมี “สิทธิในการ” กำหนดทิศทางโครงการระดับโลก 🌐 เมื่อการบรรจุทุนเชิงพาณิชย์และการเมืองเข้าไปอยู่ใต้ร่มของ “สาธารณสุข” ⛱️ เนื้อหาของงานก็เปลี่ยนจากการช่วยชีวิต มาเป็นการผลักดันวาระที่อาจไม่เกี่ยวกับสาธารณสุข แต่คือการหาผลประโยชน์มากกว่า และกำไรนานาประเภท 💹 👷‍♂️ แรงงานที่ “ถูกจับแต่เต็มใจ” ในธุรกิจ เราโฆษณาสินค้าและหวังว่าลูกค้าจะสนใจ 📢 เพราะนั่นคือความเสี่ยงและต้นทุน แต่หากสินค้านั้นถูก “บังคับให้ซื้อ” โดยกลไกของรัฐหรือองค์กร 🏛️ ไม่มีทางเลือก ❌ ไม่มีความรับผิดชอบต่อผลที่ตามมา 😶 แถมถ้าความเสียหายเกิด—คุณก็ไม่รับผิดชอบ ❌ สิ่งนี้คือ “การพิมพ์เงิน” แบบไร้ความเสี่ยง 🖨️💵 และเพื่อให้ระบบนี้เดินไปได้ ต้องมี “แรงงาน” ที่พร้อมเป็นเครื่องมือ ⚙️ ผลิตภัณฑ์ และต้องมีพร่ำบรรยายหน้าแผงข่าวอย่างไม่ผิดพลาด 🗞️ 📜 ประวัติศาสตร์ที่น่ากลัวของสาธารณสุข ประวัติศาสตร์สาธารณสุขในสหรัฐฯ 🇺🇸 ยังเคยถูกใช้สนับสนุนนโยบายเชิงเหยียดเชื้อชาติและยูจีนิกส์ (Eugenics) 🧬 ที่บังคับให้กลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น คนเชื้อสายคนพื้นเมือง หรือผู้ที่มีความบกพร่องบางอย่าง 🧑‍🦽 ถูกคุมขัง ทำหมัน และปล่อยให้ตายต่ำกว่ามาตรฐานสุขภาพ 🏚️ แนวคิดนี้ยังถูกปลูกฝังในรั้วมหาวิทยาลัย เช่น ห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัย Johns Hopkins 🏫 ถึงแม้ในยุโรป เช่นอิตาลีและเยอรมนี ยุคฟาสซิสต์ก็ใช้สาธารณสุขในการฆาตกรรมกลุ่มชาติพันธุ์ที่ “ด้อยกว่า” ☠️—จากการคัดกรองทางพันธุกรรม จนถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จริงๆ 🩸 และเรื่องนี้ยังดำเนินต่อเนื่องไปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง—อย่างเคส Tuskegee ที่ใช้ฐานข้อมูลทางการแพทย์ล่วงละเมิดความเป็นมนุษย์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ถูกศึกษา 👨🏿‍⚕️ 🧠 อีโก้ ความเชื่อ และการบังคับใช้ แพทย์และพยาบาลในช่วงเวลานั้นเชื่อมั่นว่าตนเองทำ “สิ่งที่ถูกต้อง” ✅ จะช่วยกวาดล้าง “ความต่ำช้า” ออกจากสังคม แต่สุดท้ายพวกเขากลายเป็นเครื่องมือของโครงสร้างอำนาจ ที่มองไม่เห็นว่าตนกำลังทำร้ายมนุษย์อย่างไร้ความปราณี 🔥 ในระบบที่มีลำดับขั้น 🧱 ผู้ปฏิบัติงานจะยิ่งมีจิตวิทยาที่ทำให้ “เชื่อฟัง” และ “ยึดมั่นในระบบ” เมื่อพวกเขาได้รับการฝึกให้เชื่อใน “ความดีขั้นสูง” ของระบบ และเชื่อว่าการบังคับใช้มาตรการแข็ง หรือการจำกัดทางเลือกของประชาชน ล้วนเพื่อ “ประโยชน์สุขของส่วนรวม” 🫂 🌿 ทางออกอยู่ที่การให้สิทธิ์และอำนาจ ในขณะที่ระบบนี้ขยายอำนาจการควบคุม 🧬 แนวทางที่แท้จริงของ “สุขภาพ” กลับเป็นเรื่องของความเป็นอยู่ทางจิต ใจ และสังคม ที่ต้องการ “สิทธิ์ในการเลือก” 🗳️ เมื่อคนมีอำนาจของตนเองได้กำหนดการรักษา 🧘 ได้เลือกแนวทางที่เหมาะสมกับพื้นฐานชีวิตของตน และไม่ถูกบังคับจากส่วนกลาง สิ่งนี้เองคือรากฐานของสุขภาพที่แท้จริง 🧡 แต่เมื่อระบบลุกลามไปยังการบังคับและการจำกัดเสรีภาพ—ไม่ว่าจะทางกฎหมายหรือทางวัฒนธรรม—มันคือต ตัวบ่อนทำลายระบบสุขภาพ และทำให้มนุษย์กลายเป็นเพียงเครื่องมือของอำนาจ 🤖 📢 สรุปและแนวทางปลุกพลัง * สำรวจระบบสาธารณสุขในมิติใหม่ ทั้งในแง่ของอำนาจทุน และโครงสร้างอำนาจ 🕵️‍♀️ * เข้าใจว่าหลายสิ่งถูกออกแบบมาเพื่อชิงผลประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อความเป็นอยู่ของแท้ 💔 * เห็นบทเรียนจากประวัติศาสตร์ว่าการใช้อำนาจโดยไม่ตรวจสอบนำไปสู่หายนะได้จริง 🧨 * ตระหนักถึงอีโก้ของผู้ปฏิบัติงานและอันตรายจากระบบลำดับขั้น 🧱 * ร่วมเรียกร้องให้ทุกคนมีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่เกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง 🗣️ * ปลูกจิตสำนึกให้สังคมไม่ถูกควบคุม แต่มีศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ 🧑🏽‍🤝‍🧑🏼 สุดท้าย… การจะสร้างระบบสุขภาพที่ดีต้องเริ่มจาก “ประชาชนทุกคน” ที่ลุกขึ้นมามีเสียง 📢 มีสิทธิ์ 🧾 มีอำนาจแสดงความคิดเห็น และร่วมกันสร้างระบบที่เคารพสิทธิและความต้องการของทุกคนอย่างแท้จริง 🙌 ดังนั้นการเงียบเฉยคือการปล่อยให้ผู้มีอำนาจกระทำผิดต่ออย่างไม่รู้จบ ❌ https://www.facebook.com/share/p/1Bmr3SPLx7/
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากวงการชิป: เมื่อ Intel อาจยอมถอยจากแนวหน้าของเทคโนโลยี

    ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan Intel กำลังปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในแผนก Intel Foundry Services (IFS) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก

    แม้ Intel จะมีความก้าวหน้าในกระบวนการผลิต 18A (เทียบเท่า 1.8nm) แต่ตลาดกลับยังคงเทใจให้กับ TSMC ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการผลิตชิป ทำให้ Intel เผชิญกับความไม่แน่นอนว่า:

    หากไม่มีลูกค้าภายนอกรายใหญ่สำหรับ 14A และไม่สามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญได้ อาจไม่คุ้มค่าที่จะพัฒนาต่อ

    Intel จึงอาจ:
    - หยุดพัฒนา 14A และกระบวนการผลิตขั้นสูงอื่นๆ
    - ยกเลิกโครงการขยายโรงงานบางแห่ง
    - หันไปเน้นผลิตชิปภายใน เช่น Panther Lake และ Clearwater Forest

    สถานการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจาก Intel รายงานผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสล่าสุด แม้จะมีการปลดพนักงานจำนวนมากแล้วก็ตาม

    Intel อาจถอนตัวจากการแข่งขันด้านชิปขั้นสูง หากไม่มีลูกค้าภายนอก
    โดยเฉพาะกระบวนการผลิต 14A และ 18A

    CEO Lip-Bu Tan เตรียมปรับโครงสร้างครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูบริษัท
    รวมถึงการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในแผนก Intel Foundry Services

    กระบวนการผลิต 18A มีความก้าวหน้า แต่ยังเน้นใช้ภายในบริษัท
    เช่นในผลิตภัณฑ์ Panther Lake และ Clearwater Forest

    ตลาดยังคงเลือกใช้บริการของ TSMC มากกว่า Intel
    ทำให้ Intel ขาดแรงสนับสนุนจากลูกค้าภายนอก

    Intel รายงานผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสล่าสุด
    แม้จะมีการปลดพนักงานและลดค่าใช้จ่ายแล้ว

    หากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของ 14A ได้ อาจหยุดพัฒนาและขยายโรงงาน
    เป็นการลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว

    หาก Intel ถอนตัวจากการผลิตชิปขั้นสูง อาจทำให้สหรัฐฯ ขาดผู้ผลิตชิประดับแนวหน้า
    ส่งผลต่อความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและการแข่งขันระดับโลก

    การพึ่งพา TSMC มากเกินไปอาจสร้างความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน
    โดยเฉพาะในสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่แน่นอน

    การหยุดพัฒนา 14A และโครงการโรงงานอาจทำให้ Intel เสียโอกาสในอนาคต
    โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และ HPC ต้องการชิปขั้นสูง

    การขาดลูกค้าภายนอกสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงในเทคโนโลยีของ Intel
    อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันระยะยาว

    https://wccftech.com/intel-will-drop-out-of-the-cutting-edge-chip-race-if-it-doesnt-see-external-customer-interest/
    🎙️ เรื่องเล่าจากวงการชิป: เมื่อ Intel อาจยอมถอยจากแนวหน้าของเทคโนโลยี ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan Intel กำลังปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในแผนก Intel Foundry Services (IFS) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก แม้ Intel จะมีความก้าวหน้าในกระบวนการผลิต 18A (เทียบเท่า 1.8nm) แต่ตลาดกลับยังคงเทใจให้กับ TSMC ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการผลิตชิป ทำให้ Intel เผชิญกับความไม่แน่นอนว่า: 🔖 หากไม่มีลูกค้าภายนอกรายใหญ่สำหรับ 14A และไม่สามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญได้ อาจไม่คุ้มค่าที่จะพัฒนาต่อ Intel จึงอาจ: - หยุดพัฒนา 14A และกระบวนการผลิตขั้นสูงอื่นๆ - ยกเลิกโครงการขยายโรงงานบางแห่ง - หันไปเน้นผลิตชิปภายใน เช่น Panther Lake และ Clearwater Forest สถานการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจาก Intel รายงานผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสล่าสุด แม้จะมีการปลดพนักงานจำนวนมากแล้วก็ตาม ✅ Intel อาจถอนตัวจากการแข่งขันด้านชิปขั้นสูง หากไม่มีลูกค้าภายนอก ➡️ โดยเฉพาะกระบวนการผลิต 14A และ 18A ✅ CEO Lip-Bu Tan เตรียมปรับโครงสร้างครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูบริษัท ➡️ รวมถึงการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในแผนก Intel Foundry Services ✅ กระบวนการผลิต 18A มีความก้าวหน้า แต่ยังเน้นใช้ภายในบริษัท ➡️ เช่นในผลิตภัณฑ์ Panther Lake และ Clearwater Forest ✅ ตลาดยังคงเลือกใช้บริการของ TSMC มากกว่า Intel ➡️ ทำให้ Intel ขาดแรงสนับสนุนจากลูกค้าภายนอก ✅ Intel รายงานผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสล่าสุด ➡️ แม้จะมีการปลดพนักงานและลดค่าใช้จ่ายแล้ว ✅ หากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของ 14A ได้ อาจหยุดพัฒนาและขยายโรงงาน ➡️ เป็นการลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว ‼️ หาก Intel ถอนตัวจากการผลิตชิปขั้นสูง อาจทำให้สหรัฐฯ ขาดผู้ผลิตชิประดับแนวหน้า ⛔ ส่งผลต่อความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและการแข่งขันระดับโลก ‼️ การพึ่งพา TSMC มากเกินไปอาจสร้างความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน ⛔ โดยเฉพาะในสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่แน่นอน ‼️ การหยุดพัฒนา 14A และโครงการโรงงานอาจทำให้ Intel เสียโอกาสในอนาคต ⛔ โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และ HPC ต้องการชิปขั้นสูง ‼️ การขาดลูกค้าภายนอกสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงในเทคโนโลยีของ Intel ⛔ อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันระยะยาว https://wccftech.com/intel-will-drop-out-of-the-cutting-edge-chip-race-if-it-doesnt-see-external-customer-interest/
    WCCFTECH.COM
    Intel Will Drop Out of the Cutting-Edge Chip Race If It Doesn’t See External Customer Interest, Possibly Marking the Fall of a Key Custodian of Moore's Law
    Intel's foundry division is expected to witness changes, with one primary being the decision to drop the pursuit of cutting-edge chips.
    0 Comments 0 Shares 83 Views 0 Reviews
  • จีนและสเมริกามองประเทศไทยในบริบททางยุทธศาสตร์และผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองประเทศต่างให้ความสำคัญกับบทบาทของไทยในภูมิภาค ดังนี้

    ### มุมมองของจีนต่อไทย:
    1. **หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เชิงภูมิภาค**
    - จีนมองไทยเป็น "ศูนย์กลางเชื่อมโยงอาเซียน-จีน" ภายใต้ความริเริ่ม Belt and Road (BRI) โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงและระเบียงเศรษฐกิจอีสานตะวันออก (EEC)
    - ให้ความสำคัญกับไทยในฐานะคู่ค้าอันดับ 1 ในอาเซียน (มูลค่าการค้า 1.35 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023)

    2. **ความร่วมมือด้านความมั่นคง**
    - ส่งเสริมการฝึกทหารร่วมและความร่วมมือด้านอาชญากรรมข้ามชาติ
    - เน้นการแก้ไขปัญหาภาคใต้ของไทยโดยไม่แทรกแซงกิจการภายใน

    3. **มิติทางวัฒนธรรม**
    - ใช้ "อำนาจอ่อน" ผ่านสถาบันขงจื่อและการท่องเที่ยว (นักท่องเที่ยวจีนมาไทยกว่า 5 ล้านคน/ปีก่อนโควิด)

    ### มุมมองของสหรัฐอเมริกาต่อไทย:
    1. **พันธมิตรด้านความมั่นคงแบบดั้งเดิม**
    - เน้นบทบาทไทยในสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันอาเซียน-สหรัฐฯ (ADMM-Plus) และการฝึก Cobra Gold
    - ยังคงสถานะ "พันธมิตรนอกนาโต้" (Major Non-NATO Ally) แม้มีความกังวลหลังรัฐประการ 2557

    2. **เกมภูมิรัฐศาสตร์**
    - มองไทยเป็นจุดสมดุลสำคัญต่อการขยายอิทธิพลจีนในลุ่มแม่น้ำโขง
    - สนับสนุนความเข้มแข็งของอาเซียนผ่านโครงการ Mekong-US Partnership

    3. **ประเด็นค่านิยม**
    - กดดันไทยเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง
    - ใช้กลไกตรวจสอบการค้า (เช่น รายงาน TIP Report) เป็นเครื่องมือทางการทูต

    ### จุดร่วมของทั้งสองมหาอำนาจ:
    - เห็นไทยเป็น "ประตูสู่อาเซียน" ด้วยศักยภาพทางโลจิสติกส์และฐานการผลิต
    - ต่างแข่งขันลงทุนใน EEC โดยจีนเน้นอุตสาหกรรม (เช่น ยานยนต์ EV) สหรัฐฯ เน้นดิจิทัลและพลังงานสะอาด
    - ให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหารของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลก

    ### ยุทธศาสตร์ "สมดุลอำนาจ" ของไทย:
    ไทยดำเนินนโยบาย "ไม้สามเส้า" อย่างชาญฉลาด โดย:
    1. รักษาความสัมพันธ์ทางทหารกับสหรัฐฯ
    2. ผลักดันความร่วมมือเศรษฐกิจกับจีน
    3. ยึดอาเซียนเป็นศูนย์กลาง

    ข้อมูลล่าสุดปี 2024 แสดงให้เห็นว่าไทยสามารถรักษาสัดส่วนการค้ากับทั้งสองมหาอำนาจได้ใกล้เคียงกัน (การค้าไทย-จีน 18% ของทั้งหมด ไทย-สหรัฐฯ 11%) สะท้อนความสำเร็จของยุทธศาสตร์นี้ภายใต้บริบทความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจที่ทวีความรุนแรงขึ้น
    จีนและสเมริกามองประเทศไทยในบริบททางยุทธศาสตร์และผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองประเทศต่างให้ความสำคัญกับบทบาทของไทยในภูมิภาค ดังนี้ ### มุมมองของจีนต่อไทย: 1. **หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เชิงภูมิภาค** - จีนมองไทยเป็น "ศูนย์กลางเชื่อมโยงอาเซียน-จีน" ภายใต้ความริเริ่ม Belt and Road (BRI) โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงและระเบียงเศรษฐกิจอีสานตะวันออก (EEC) - ให้ความสำคัญกับไทยในฐานะคู่ค้าอันดับ 1 ในอาเซียน (มูลค่าการค้า 1.35 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023) 2. **ความร่วมมือด้านความมั่นคง** - ส่งเสริมการฝึกทหารร่วมและความร่วมมือด้านอาชญากรรมข้ามชาติ - เน้นการแก้ไขปัญหาภาคใต้ของไทยโดยไม่แทรกแซงกิจการภายใน 3. **มิติทางวัฒนธรรม** - ใช้ "อำนาจอ่อน" ผ่านสถาบันขงจื่อและการท่องเที่ยว (นักท่องเที่ยวจีนมาไทยกว่า 5 ล้านคน/ปีก่อนโควิด) ### มุมมองของสหรัฐอเมริกาต่อไทย: 1. **พันธมิตรด้านความมั่นคงแบบดั้งเดิม** - เน้นบทบาทไทยในสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันอาเซียน-สหรัฐฯ (ADMM-Plus) และการฝึก Cobra Gold - ยังคงสถานะ "พันธมิตรนอกนาโต้" (Major Non-NATO Ally) แม้มีความกังวลหลังรัฐประการ 2557 2. **เกมภูมิรัฐศาสตร์** - มองไทยเป็นจุดสมดุลสำคัญต่อการขยายอิทธิพลจีนในลุ่มแม่น้ำโขง - สนับสนุนความเข้มแข็งของอาเซียนผ่านโครงการ Mekong-US Partnership 3. **ประเด็นค่านิยม** - กดดันไทยเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง - ใช้กลไกตรวจสอบการค้า (เช่น รายงาน TIP Report) เป็นเครื่องมือทางการทูต ### จุดร่วมของทั้งสองมหาอำนาจ: - เห็นไทยเป็น "ประตูสู่อาเซียน" ด้วยศักยภาพทางโลจิสติกส์และฐานการผลิต - ต่างแข่งขันลงทุนใน EEC โดยจีนเน้นอุตสาหกรรม (เช่น ยานยนต์ EV) สหรัฐฯ เน้นดิจิทัลและพลังงานสะอาด - ให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหารของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลก ### ยุทธศาสตร์ "สมดุลอำนาจ" ของไทย: ไทยดำเนินนโยบาย "ไม้สามเส้า" อย่างชาญฉลาด โดย: 1. รักษาความสัมพันธ์ทางทหารกับสหรัฐฯ 2. ผลักดันความร่วมมือเศรษฐกิจกับจีน 3. ยึดอาเซียนเป็นศูนย์กลาง ข้อมูลล่าสุดปี 2024 แสดงให้เห็นว่าไทยสามารถรักษาสัดส่วนการค้ากับทั้งสองมหาอำนาจได้ใกล้เคียงกัน (การค้าไทย-จีน 18% ของทั้งหมด ไทย-สหรัฐฯ 11%) สะท้อนความสำเร็จของยุทธศาสตร์นี้ภายใต้บริบทความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจที่ทวีความรุนแรงขึ้น
    0 Comments 0 Shares 372 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ระบุเปิดกว้างสำหรับพูดคุยกับสหภาพยุโรปและคู่หูการค้าอื่นๆ ก่อนมาตรการรีดภาษีจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม ขณะที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กเปิดเผยว่าในการเจรจาการค้ากับไทยนั้น ทางอเมริกาได้ยื่นข้อเรียกร้องที่เกินกว่าเรื่องเศรษฐกิจ ครอบคลุมถึงประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000066321

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ระบุเปิดกว้างสำหรับพูดคุยกับสหภาพยุโรปและคู่หูการค้าอื่นๆ ก่อนมาตรการรีดภาษีจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม ขณะที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กเปิดเผยว่าในการเจรจาการค้ากับไทยนั้น ทางอเมริกาได้ยื่นข้อเรียกร้องที่เกินกว่าเรื่องเศรษฐกิจ ครอบคลุมถึงประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000066321 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    Angry
    3
    0 Comments 0 Shares 917 Views 0 Reviews
  • สำนักข่าวบลูมเบิร์กเปิดเผยว่าในการเจรจาการค้ากับไทยนั้น ทางอเมริกาได้ยื่นข้อเรียกร้องที่เกินกว่าเรื่องเศรษฐกิจ ครอบคลุมถึงประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์ด้วย

    บางข้อเรียกร้องของสหรัฐฯในการเจรจาการค้า เกินกว่าเรื่องเพดานภาษีและลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี โดยมันครองคลุมถึงประเด็นต่างๆในภูมิรัฐศาสตร์ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าอ้างคำกล่าวของนายพิชัย ที่พูดในงานเสวนาโต๊ะกลมทางการค้า พร้อมยอมรับว่าเรียกร้องดังกล่าวอาจโหมกระพือความไม่สงบภายในประเทศ และบอกว่าข้อตกลงการค้าใดๆกับสหรัฐฯต้องเป็นผลประโยชน์รวมกันและยั่งยืนสำหรับไทยในระยะยาว
    สำนักข่าวบลูมเบิร์กเปิดเผยว่าในการเจรจาการค้ากับไทยนั้น ทางอเมริกาได้ยื่นข้อเรียกร้องที่เกินกว่าเรื่องเศรษฐกิจ ครอบคลุมถึงประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์ด้วย บางข้อเรียกร้องของสหรัฐฯในการเจรจาการค้า เกินกว่าเรื่องเพดานภาษีและลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี โดยมันครองคลุมถึงประเด็นต่างๆในภูมิรัฐศาสตร์ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าอ้างคำกล่าวของนายพิชัย ที่พูดในงานเสวนาโต๊ะกลมทางการค้า พร้อมยอมรับว่าเรียกร้องดังกล่าวอาจโหมกระพือความไม่สงบภายในประเทศ และบอกว่าข้อตกลงการค้าใดๆกับสหรัฐฯต้องเป็นผลประโยชน์รวมกันและยั่งยืนสำหรับไทยในระยะยาว
    0 Comments 0 Shares 238 Views 0 Reviews
  • Zombie Fabs – ความฝันชิปจีนที่กลายเป็นฝันร้าย

    จีนพยายามผลักดันอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะภายใต้แผน “Made in China 2025” ที่ตั้งเป้าให้ประเทศเป็นผู้นำด้านการผลิตชิประดับโลก แต่เบื้องหลังความคืบหน้ากลับมีโครงการล้มเหลวมากมายที่เผาเงินไปหลายหมื่นล้านดอลลาร์

    หลายโครงการสร้างโรงงานผลิตชิป (fabs) ขนาดใหญ่ แต่ไม่เคยติดตั้งเครื่องจักรหรือเริ่มผลิตจริง กลายเป็น “zombie fabs” ที่ถูกทิ้งร้าง เช่น:
    - HSMC ลงทุน $19B เพื่อสร้างโรงงาน 14nm/7nm แต่ถูกยึดโดยรัฐบาลท้องถิ่นหลังเงินหมด
    - QXIC พยายามสร้างโรงงาน 14nm โดยไม่มีเครื่องจักรหรืออาคารจริง
    - Tsinghua Unigroup ล้มเหลวทั้งโครงการ DRAM และ 3D NAND หลังขาดทุนและผู้บริหารลาออก
    - JHICC ถูกสหรัฐฯ แบนหลังขโมยเทคโนโลยีจาก Micron ทำให้ไม่สามารถพัฒนา DRAM ต่อได้
    - GlobalFoundries ลงทุน $10B ใน Chengdu แต่ต้องยกเลิกกลางทาง ก่อนถูก HLMC เข้าซื้อในปี 2023

    สาเหตุหลักของความล้มเหลวเหล่านี้ ได้แก่:
    - ขาดความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคและ R&D
    - พึ่งพาเงินทุนจากรัฐบาลท้องถิ่นโดยไม่มี oversight
    - การบริหารผิดพลาดและการฉ้อโกง
    - ถูกจำกัดการเข้าถึงเครื่องมือผลิตชิประดับสูงจากมาตรการแบนของสหรัฐฯ
    - ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้ supply chain ไม่มั่นคง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/zombie-fabs-plague-chinas-chipmaking-ambitions-failures-burning-tens-of-billions-of-dollars
    Zombie Fabs – ความฝันชิปจีนที่กลายเป็นฝันร้าย จีนพยายามผลักดันอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะภายใต้แผน “Made in China 2025” ที่ตั้งเป้าให้ประเทศเป็นผู้นำด้านการผลิตชิประดับโลก แต่เบื้องหลังความคืบหน้ากลับมีโครงการล้มเหลวมากมายที่เผาเงินไปหลายหมื่นล้านดอลลาร์ หลายโครงการสร้างโรงงานผลิตชิป (fabs) ขนาดใหญ่ แต่ไม่เคยติดตั้งเครื่องจักรหรือเริ่มผลิตจริง กลายเป็น “zombie fabs” ที่ถูกทิ้งร้าง เช่น: - HSMC ลงทุน $19B เพื่อสร้างโรงงาน 14nm/7nm แต่ถูกยึดโดยรัฐบาลท้องถิ่นหลังเงินหมด - QXIC พยายามสร้างโรงงาน 14nm โดยไม่มีเครื่องจักรหรืออาคารจริง - Tsinghua Unigroup ล้มเหลวทั้งโครงการ DRAM และ 3D NAND หลังขาดทุนและผู้บริหารลาออก - JHICC ถูกสหรัฐฯ แบนหลังขโมยเทคโนโลยีจาก Micron ทำให้ไม่สามารถพัฒนา DRAM ต่อได้ - GlobalFoundries ลงทุน $10B ใน Chengdu แต่ต้องยกเลิกกลางทาง ก่อนถูก HLMC เข้าซื้อในปี 2023 สาเหตุหลักของความล้มเหลวเหล่านี้ ได้แก่: - ขาดความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคและ R&D - พึ่งพาเงินทุนจากรัฐบาลท้องถิ่นโดยไม่มี oversight - การบริหารผิดพลาดและการฉ้อโกง - ถูกจำกัดการเข้าถึงเครื่องมือผลิตชิประดับสูงจากมาตรการแบนของสหรัฐฯ - ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้ supply chain ไม่มั่นคง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/zombie-fabs-plague-chinas-chipmaking-ambitions-failures-burning-tens-of-billions-of-dollars
    0 Comments 0 Shares 355 Views 0 Reviews
  • จีนขึ้นบัญชีดำบริษัทอินเดียมากกว่า 20 แห่ง หลังจากพบว่าพยายามแอบลักลอบส่งออกแร่หายาก (Rare Earth) ต่อไปยังสหรัฐอเมริกาและชาติตะวันตกอื่นๆ

    คาดว่า หลังจากนี้จะก่อให้เกิดการหยุดชะงักและการเพิ่มขึ้นของราคาสำหรับผู้ผลิตทั่วโลกที่พึ่งพาแร่หายากสำหรับผลิตภัณฑ์ของตน

    การกระทำของจีนครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับแร่หายาก (Rare Earth) เนื่องจากจีนควบคุมการขุดและแปรรูปแร่หายากของโลกเป็นส่วนใหญ่ ทำให้จีนเป็น "ผู้เล่นหลัก" ในห่วงโซ่อุปทานโลกสำหรับแร่สำคัญเหล่านี้

    "แร่หายาก" เป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์ไฮเทคหลากหลายประเภท เช่น สมาร์ทโฟน ยานยนต์ไฟฟ้า ฮาร์ดแวร์ทางการทหาร และเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน

    ด้วยเหตุนี้ สหรัฐอเมริกาจึงมองจีนว่าใช้แร่หายากเป็นช่องทางในการสร้างอิทธิพลของตนเองต่อข้อพิพาททางการค้าและเพื่อกดดันประเทศต่างๆ
    จีนขึ้นบัญชีดำบริษัทอินเดียมากกว่า 20 แห่ง หลังจากพบว่าพยายามแอบลักลอบส่งออกแร่หายาก (Rare Earth) ต่อไปยังสหรัฐอเมริกาและชาติตะวันตกอื่นๆ คาดว่า หลังจากนี้จะก่อให้เกิดการหยุดชะงักและการเพิ่มขึ้นของราคาสำหรับผู้ผลิตทั่วโลกที่พึ่งพาแร่หายากสำหรับผลิตภัณฑ์ของตน การกระทำของจีนครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับแร่หายาก (Rare Earth) เนื่องจากจีนควบคุมการขุดและแปรรูปแร่หายากของโลกเป็นส่วนใหญ่ ทำให้จีนเป็น "ผู้เล่นหลัก" ในห่วงโซ่อุปทานโลกสำหรับแร่สำคัญเหล่านี้ "แร่หายาก" เป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์ไฮเทคหลากหลายประเภท เช่น สมาร์ทโฟน ยานยนต์ไฟฟ้า ฮาร์ดแวร์ทางการทหาร และเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน ด้วยเหตุนี้ สหรัฐอเมริกาจึงมองจีนว่าใช้แร่หายากเป็นช่องทางในการสร้างอิทธิพลของตนเองต่อข้อพิพาททางการค้าและเพื่อกดดันประเทศต่างๆ
    0 Comments 0 Shares 221 Views 0 Reviews
  • ตรรกป่วยเลขาธิการนาโต้บิดเบือนภูมิรัฐศาสตร์ : [คุยผ่าโลก worldtalk]
    ตรรกป่วยเลขาธิการนาโต้บิดเบือนภูมิรัฐศาสตร์ : [คุยผ่าโลก worldtalk]
    0 Comments 0 Shares 144 Views 0 0 Reviews
  • กล้องวงจรปิด (CCTV) เคยเป็นแค่เรื่องรักษาความปลอดภัย แต่วันนี้มันกลายเป็นเรื่องของ "ความมั่นคงระดับชาติ"

    แคนาดาเพิ่งสั่งให้ Hikvision — บริษัทยักษ์ใหญ่จากจีนที่เป็น ผู้ผลิตกล้องวงจรปิดอันดับ 1 ของโลก — หยุดดำเนินงานในประเทศ โดยระบุว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคงของแคนาดา” (แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเพราะอะไร)

    หลายฝ่ายเชื่อว่าสาเหตุอาจมาจากความสัมพันธ์ของ Hikvision กับรัฐจีน ซึ่งมีข่าวว่า กล้องแบรนด์นี้ถูกใช้ในระบบตรวจจับ–ติดตามชาวอุยกูร์ในซินเจียง มาก่อน — และประเทศอย่างสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ก็เคยแบนมาแล้วเช่นกัน

    ที่น่าสนใจคือ Canada ไม่ใช่แค่ห้ามซื้อใหม่ แต่ จะทยอยเลิกใช้กล้อง Hikvision ที่ติดตั้งอยู่แล้วในสถานที่ราชการ — และขอให้ประชาชน "ใช้วิจารณญาณ" ถ้าจะซื้ออุปกรณ์จากแบรนด์นี้ด้วย

    Hikvision เองก็ออกมาโต้ว่า "ไม่เป็นธรรม ขาดความโปร่งใส และดูเหมือนโดนเล่นงานเพราะเป็นบริษัทจากจีน" — ซึ่งก็สะท้อนว่าเทคโนโลยีบางอย่างกำลังถูกแปะป้าย “น่าเชื่อถือ/ไม่น่าเชื่อถือ” ด้วยเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์มากกว่าเทคนิคจริง ๆ แล้วครับ

    แคนาดาสั่งให้ Hikvision หยุดดำเนินกิจการในประเทศทันที  
    • อ้างเหตุผลด้าน “ภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ”
    • อิงตามกฎหมาย Investment Canada Act

    Hikvision คือผู้ผลิต CCTV รายใหญ่ที่สุดของโลก  
    • เข้ามาทำตลาดในแคนาดาตั้งแต่ปี 2014  
    • ถูกมองว่ามีความเชื่อมโยงกับโครงการรัฐจีน

    แคนาดาจะทยอยเลิกใช้ Hikvision ในอาคารราชการและภาครัฐ
    • พร้อมขอให้ประชาชน “พิจารณาอย่างรอบคอบ” หากจะใช้อุปกรณ์จากแบรนด์นี้

    ประเทศอื่น ๆ เคยแบน Hikvision มาแล้ว เช่น:  
    • สหรัฐฯ, อังกฤษ, ออสเตรเลีย  
    • โดยเฉพาะจากข้อกล่าวหาว่าอุปกรณ์ถูกใช้สอดแนมชาวอุยกูร์ในจีน (ซึ่งจีนปฏิเสธ)

    Hikvision แถลงการณ์ว่า “การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เป็นธรรม และขาดหลักฐานชัดเจน”

    https://www.techradar.com/pro/is-the-worlds-largest-cctv-surveillance-camera-vendor-going-to-be-the-next-huawei-canada-gov-bans-hikvision-amidst-security-fears
    กล้องวงจรปิด (CCTV) เคยเป็นแค่เรื่องรักษาความปลอดภัย แต่วันนี้มันกลายเป็นเรื่องของ "ความมั่นคงระดับชาติ" แคนาดาเพิ่งสั่งให้ Hikvision — บริษัทยักษ์ใหญ่จากจีนที่เป็น ผู้ผลิตกล้องวงจรปิดอันดับ 1 ของโลก — หยุดดำเนินงานในประเทศ โดยระบุว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคงของแคนาดา” (แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเพราะอะไร) หลายฝ่ายเชื่อว่าสาเหตุอาจมาจากความสัมพันธ์ของ Hikvision กับรัฐจีน ซึ่งมีข่าวว่า กล้องแบรนด์นี้ถูกใช้ในระบบตรวจจับ–ติดตามชาวอุยกูร์ในซินเจียง มาก่อน — และประเทศอย่างสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ก็เคยแบนมาแล้วเช่นกัน ที่น่าสนใจคือ Canada ไม่ใช่แค่ห้ามซื้อใหม่ แต่ จะทยอยเลิกใช้กล้อง Hikvision ที่ติดตั้งอยู่แล้วในสถานที่ราชการ — และขอให้ประชาชน "ใช้วิจารณญาณ" ถ้าจะซื้ออุปกรณ์จากแบรนด์นี้ด้วย Hikvision เองก็ออกมาโต้ว่า "ไม่เป็นธรรม ขาดความโปร่งใส และดูเหมือนโดนเล่นงานเพราะเป็นบริษัทจากจีน" — ซึ่งก็สะท้อนว่าเทคโนโลยีบางอย่างกำลังถูกแปะป้าย “น่าเชื่อถือ/ไม่น่าเชื่อถือ” ด้วยเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์มากกว่าเทคนิคจริง ๆ แล้วครับ ✅ แคนาดาสั่งให้ Hikvision หยุดดำเนินกิจการในประเทศทันที   • อ้างเหตุผลด้าน “ภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ” • อิงตามกฎหมาย Investment Canada Act ✅ Hikvision คือผู้ผลิต CCTV รายใหญ่ที่สุดของโลก   • เข้ามาทำตลาดในแคนาดาตั้งแต่ปี 2014   • ถูกมองว่ามีความเชื่อมโยงกับโครงการรัฐจีน ✅ แคนาดาจะทยอยเลิกใช้ Hikvision ในอาคารราชการและภาครัฐ • พร้อมขอให้ประชาชน “พิจารณาอย่างรอบคอบ” หากจะใช้อุปกรณ์จากแบรนด์นี้ ✅ ประเทศอื่น ๆ เคยแบน Hikvision มาแล้ว เช่น:   • สหรัฐฯ, อังกฤษ, ออสเตรเลีย   • โดยเฉพาะจากข้อกล่าวหาว่าอุปกรณ์ถูกใช้สอดแนมชาวอุยกูร์ในจีน (ซึ่งจีนปฏิเสธ) ✅ Hikvision แถลงการณ์ว่า “การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เป็นธรรม และขาดหลักฐานชัดเจน” https://www.techradar.com/pro/is-the-worlds-largest-cctv-surveillance-camera-vendor-going-to-be-the-next-huawei-canada-gov-bans-hikvision-amidst-security-fears
    0 Comments 0 Shares 367 Views 0 Reviews
  • ฮุน เซน สั่งรัฐบาลกัมพูชา หยุดนำเข้าไฟฟ้า-เน็ต-น้ำมัน-ละครไทย จากไทย แก้อายหลังโดนแฉ ยังลอบนำเข้าน้ำมันจากไทยทางทะเล
    https://www.thai-tai.tv/news/19985/
    .
    #ฮุนเซน #กัมพูชา #ไทยกัมพูชา #คว่ำบาตร #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #ละครไทย #พลังงาน #ชายแดน #เศรษฐกิจ #ภูมิรัฐศาสตร์
    ฮุน เซน สั่งรัฐบาลกัมพูชา หยุดนำเข้าไฟฟ้า-เน็ต-น้ำมัน-ละครไทย จากไทย แก้อายหลังโดนแฉ ยังลอบนำเข้าน้ำมันจากไทยทางทะเล https://www.thai-tai.tv/news/19985/ . #ฮุนเซน #กัมพูชา #ไทยกัมพูชา #คว่ำบาตร #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #ละครไทย #พลังงาน #ชายแดน #เศรษฐกิจ #ภูมิรัฐศาสตร์
    0 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
  • นักวิจัยหอจดหมายเหตุอังกฤษ เปิดเอกสาร 'ฮุนเซน' โจมตีไทยมาตลอดกว่า 40 ปี
    https://www.thai-tai.tv/news/19976/
    .
    #ไทยกัมพูชา #ข้อพิพาทชายแดน #ประวัติศาสตร์ไทย #ฮุนเซน #พนมดงรัก #สหประชาชาติ #ICJ #สงครามเย็น #ภูมิรัฐศาสตร์ #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #เนิน537
    นักวิจัยหอจดหมายเหตุอังกฤษ เปิดเอกสาร 'ฮุนเซน' โจมตีไทยมาตลอดกว่า 40 ปี https://www.thai-tai.tv/news/19976/ . #ไทยกัมพูชา #ข้อพิพาทชายแดน #ประวัติศาสตร์ไทย #ฮุนเซน #พนมดงรัก #สหประชาชาติ #ICJ #สงครามเย็น #ภูมิรัฐศาสตร์ #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #เนิน537
    0 Comments 0 Shares 173 Views 0 Reviews
  • **อ่าวไทย** มีทั้งผลกระทบทางบวกและลบต่อ**ประเทศจีน** โดยขึ้นอยู่กับมุมมองทางเศรษฐกิจ การเมือง และยุทธศาสตร์ ดังนี้:

    ---

    ### **ผลกระทบทางบวก (ประโยชน์ต่อจีน):**
    1. **เส้นทางขนส่งทางทะเลที่สำคัญ:**
    - อ่าวไทยเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางเดินเรือระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและอินเดีย ซึ่งจีนพึ่งพาเพื่อการค้าและนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง/แอฟริกา (กว่า 80% ของน้ำมันดิบของจีนขนส่งทางทะเลผ่านช่องแคบมะละกา)
    - โครงการพัฒนาคลองกระ (Kra Canal) ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต (แม้ยังไม่มีความชัดเจน) อาจช่วยลดระยะทางขนส่งและลด "กับดักช่องแคบมะละกา" ซึ่งเป็นจุดอ่อนยุทธศาสตร์ของจีนได้

    2. **ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ:**
    - จีนลงทุนมหาศาลในประเทศรอบอ่าวไทย (ไทย, กัมพูชา, เวียดนาม) ผ่านโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) เช่น ท่าเรือน้ำลึกศรีราชา (ไทย) เขตเศรษฐกิจพิเศษเสียมราฐ (กัมพูชา)
    - อ่าวไทยเป็นแหล่งประมงและพลังงาน (ก๊าซธรรมชาติ) ที่สำคัญ ซึ่งจีนมีส่วนร่วมในการสำรวจและพัฒนา

    3. **ความมั่นคงในภูมิภาค:**
    - จีนร่วมมือกับกองทัพเรือไทย/กัมพูชา ผ่านการฝึกรบร่วมและการสนับสนุนด้านเทคนิค เพื่อรักษาเสถียรภาพในอ่าวไทย ซึ่งส่งผลดีต่อความปลอดภัยของเส้นทางเดินเรือ

    ---

    ### **ผลกระทบทางลบ (ความท้าทายต่อจีน):**
    1. **ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้:**
    - แม้อ่าวไทยไม่ใช่พื้นที่พิพาทโดยตรง แต่ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ (โดยเฉพาะกับเวียดนาม) ส่งผลต่อความสัมพันธ์ในภูมิภาค ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพของอ่าวไทย

    2. **อิทธิพลของสหรัฐฯ:**
    - ไทยเป็นพันธมิตรทางทหารกับสหรัฐฯ การมีฐานทัพเรืออู่ตะเภาและการฝึกคอบร้าโกลด์ (Cobra Gold) อาจทำให้จีนกังวลเรื่องการขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ ในอ่าวไทย

    3. **ภัยคุกคามทางทะเล:**
    - การโจรกรรมทางทะเล การค้ามนุษย์ และการลักลอบทำประมงผิดกฎหมายในอ่าวไทยอาจกระทบต่อเรือสินค้าของจีน

    4. **ปัญหาสิ่งแวดล้อม:**
    - มลภาวะและการกัดเซาะชายฝั่งในอ่าวไทยอาจส่งผลต่อระบบนิเวศที่จีนมีส่วนได้ส่วนเสีย เนื่องจากจีนลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานชายฝั่ง

    ---

    ### **สรุป:**
    อ่าวไทยมี**ผลดีต่อจีน**ในด้านเศรษฐกิจและการขนส่งทางทะเล แต่ก็มี**ความเสี่ยง**ด้านความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์ โดยจีนพยายามสร้างสมดุลผ่าน:
    - การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
    - ความร่วมมือทางทหารกับประเทศอ่าวไทย
    - การส่งเสริม BRI เพื่อขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจ

    ทั้งนี้ ผลกระทบที่แท้จริงขึ้นอยู่กับ**นโยบายของจีน** และ**สถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้** โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับไทย เวียดนาม และกัมพูชา
    **อ่าวไทย** มีทั้งผลกระทบทางบวกและลบต่อ**ประเทศจีน** โดยขึ้นอยู่กับมุมมองทางเศรษฐกิจ การเมือง และยุทธศาสตร์ ดังนี้: --- ### **ผลกระทบทางบวก (ประโยชน์ต่อจีน):** 1. **เส้นทางขนส่งทางทะเลที่สำคัญ:** - อ่าวไทยเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางเดินเรือระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและอินเดีย ซึ่งจีนพึ่งพาเพื่อการค้าและนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง/แอฟริกา (กว่า 80% ของน้ำมันดิบของจีนขนส่งทางทะเลผ่านช่องแคบมะละกา) - โครงการพัฒนาคลองกระ (Kra Canal) ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต (แม้ยังไม่มีความชัดเจน) อาจช่วยลดระยะทางขนส่งและลด "กับดักช่องแคบมะละกา" ซึ่งเป็นจุดอ่อนยุทธศาสตร์ของจีนได้ 2. **ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ:** - จีนลงทุนมหาศาลในประเทศรอบอ่าวไทย (ไทย, กัมพูชา, เวียดนาม) ผ่านโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) เช่น ท่าเรือน้ำลึกศรีราชา (ไทย) เขตเศรษฐกิจพิเศษเสียมราฐ (กัมพูชา) - อ่าวไทยเป็นแหล่งประมงและพลังงาน (ก๊าซธรรมชาติ) ที่สำคัญ ซึ่งจีนมีส่วนร่วมในการสำรวจและพัฒนา 3. **ความมั่นคงในภูมิภาค:** - จีนร่วมมือกับกองทัพเรือไทย/กัมพูชา ผ่านการฝึกรบร่วมและการสนับสนุนด้านเทคนิค เพื่อรักษาเสถียรภาพในอ่าวไทย ซึ่งส่งผลดีต่อความปลอดภัยของเส้นทางเดินเรือ --- ### **ผลกระทบทางลบ (ความท้าทายต่อจีน):** 1. **ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้:** - แม้อ่าวไทยไม่ใช่พื้นที่พิพาทโดยตรง แต่ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ (โดยเฉพาะกับเวียดนาม) ส่งผลต่อความสัมพันธ์ในภูมิภาค ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพของอ่าวไทย 2. **อิทธิพลของสหรัฐฯ:** - ไทยเป็นพันธมิตรทางทหารกับสหรัฐฯ การมีฐานทัพเรืออู่ตะเภาและการฝึกคอบร้าโกลด์ (Cobra Gold) อาจทำให้จีนกังวลเรื่องการขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ ในอ่าวไทย 3. **ภัยคุกคามทางทะเล:** - การโจรกรรมทางทะเล การค้ามนุษย์ และการลักลอบทำประมงผิดกฎหมายในอ่าวไทยอาจกระทบต่อเรือสินค้าของจีน 4. **ปัญหาสิ่งแวดล้อม:** - มลภาวะและการกัดเซาะชายฝั่งในอ่าวไทยอาจส่งผลต่อระบบนิเวศที่จีนมีส่วนได้ส่วนเสีย เนื่องจากจีนลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานชายฝั่ง --- ### **สรุป:** อ่าวไทยมี**ผลดีต่อจีน**ในด้านเศรษฐกิจและการขนส่งทางทะเล แต่ก็มี**ความเสี่ยง**ด้านความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์ โดยจีนพยายามสร้างสมดุลผ่าน: - ✅ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน - ✅ ความร่วมมือทางทหารกับประเทศอ่าวไทย - ✅ การส่งเสริม BRI เพื่อขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ผลกระทบที่แท้จริงขึ้นอยู่กับ**นโยบายของจีน** และ**สถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้** โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับไทย เวียดนาม และกัมพูชา
    0 Comments 0 Shares 388 Views 0 Reviews
  • IMCT News:ทรัมป์เลื่อนการโจมตีอิหร่านเพราะเกรงผลกระทบต่อตลาดการเงิน แต่แผนทำลายอิหร่านยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
    ในบทความล่าสุดบน Substack ซีมัวร์ เฮิร์ช ซึ่งเป็นนักข่าวอวุโสที่มีชื่อเสียงรายงานว่า มีความเป็นไปได้สูงที่สหรัฐฯ จะเริ่มปฏิบัติการโจมตีทางอากาศขนาดใหญ่ต่ออิหร่านภายในสุดสัปดาห์นี้ ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวอิสราเอลและอเมริกันที่เขาเชื่อถือได้
    การโจมตีซึ่งได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ จะมุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานทางทหารและโครงการนิวเคลียร์ที่สำคัญของอิหร่าน รวมถึงศูนย์ฟอร์โดว์ (Fordow) ที่ได้รับการเสริมความแข็งแกร่งอย่างแน่นหนา ซึ่งเป็นสถานที่เก็บเครื่องหมุนเหวี่ยงรุ่นล่าสุดของอิหร่านไว้ใต้ดินลึก
    เฮิร์ชรายงานว่า เหตุผลของการชะลอการโจมตี มาจากความต้องการของทรัมป์ที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อตลาดการเงินของสหรัฐฯ เมื่อตลาดเปิดทำการในวันจันทร์
    แต่ แผนปฏิบัติการครั้งนี้มีเป้าหมายมากกว่าการทำลายขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน – มันมุ่งหวังจะสร้างความไม่มั่นคงให้กับรัฐบาลของประเทศด้วย ผู้วางแผนชาวอเมริกันและอิสราเอลต่างคาดหวังว่าจะเกิดความไม่สงบภายใน โดยการโจมตีฐานทัพ สถานีตำรวจ และศูนย์ราชการจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาลที่กว้างขึ้น
    เฮิร์ชระบุว่า มีรายงาน (ยังไม่ได้รับการยืนยัน) ว่า อายะตุลลอฮ์ คาเมเนอี อาจได้เดินทางออกจากกรุงเตหะรานแล้ว
    ในขณะที่บางฝ่ายในกรุงวอชิงตันเสนอแนวคิดว่าจะ ตั้งผู้นำทางศาสนาในสายกลางขึ้นเป็นผู้นำชั่วคราวของประเทศ เจ้าหน้าที่อิสราเอลกลับไม่เห็นด้วย และต้องการให้มีการควบคุมทางการเมืองอย่างเต็มรูปแบบโดยผ่านบุคคลที่ภักดีต่ออิสราเอล ความเห็นที่แตกต่างนี้สะท้อนถึงความขัดแย้งในเชิงลึกเกี่ยวกับอนาคตของอิหร่านหลังจากการโจมตี
    นอกจากนี้ หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ยังพิจารณาใช้ชนกลุ่มน้อยในอิหร่าน เช่น ชาวอาเซอรี ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับ CIA เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นการลุกฮือครั้งใหญ่
    เฮิร์ชเตือนว่า แผนการนี้มีลักษณะคล้ายกับ การแทรกแซงของชาติตะวันตกในลิเบียและซีเรีย ซึ่งนำไปสู่ความไม่มั่นคงและความทุกข์ทรมานในระยะยาว เขาชี้ว่า การโจมตีอิหร่านอาจส่งผลคล้ายคลึงกัน เสี่ยงที่จะทำให้ประเทศแตกแยกและจุดชนวนความรุนแรงทั่วทั้งภูมิภาค ทั้งหมดนี้ถูกผลักดันโดย เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของเนทันยาฮู และความปรารถนาของทรัมป์ที่จะสร้างชัยชนะในเวทีภูมิรัฐศาสตร์
    https://seymourhersh.substack.com/p/what-i-have-been-told-is-coming-in
    20/6/2025
    IMCT News:ทรัมป์เลื่อนการโจมตีอิหร่านเพราะเกรงผลกระทบต่อตลาดการเงิน แต่แผนทำลายอิหร่านยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ในบทความล่าสุดบน Substack ซีมัวร์ เฮิร์ช ซึ่งเป็นนักข่าวอวุโสที่มีชื่อเสียงรายงานว่า มีความเป็นไปได้สูงที่สหรัฐฯ จะเริ่มปฏิบัติการโจมตีทางอากาศขนาดใหญ่ต่ออิหร่านภายในสุดสัปดาห์นี้ ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวอิสราเอลและอเมริกันที่เขาเชื่อถือได้ การโจมตีซึ่งได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ จะมุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานทางทหารและโครงการนิวเคลียร์ที่สำคัญของอิหร่าน รวมถึงศูนย์ฟอร์โดว์ (Fordow) ที่ได้รับการเสริมความแข็งแกร่งอย่างแน่นหนา ซึ่งเป็นสถานที่เก็บเครื่องหมุนเหวี่ยงรุ่นล่าสุดของอิหร่านไว้ใต้ดินลึก เฮิร์ชรายงานว่า เหตุผลของการชะลอการโจมตี มาจากความต้องการของทรัมป์ที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อตลาดการเงินของสหรัฐฯ เมื่อตลาดเปิดทำการในวันจันทร์ แต่ แผนปฏิบัติการครั้งนี้มีเป้าหมายมากกว่าการทำลายขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน – มันมุ่งหวังจะสร้างความไม่มั่นคงให้กับรัฐบาลของประเทศด้วย ผู้วางแผนชาวอเมริกันและอิสราเอลต่างคาดหวังว่าจะเกิดความไม่สงบภายใน โดยการโจมตีฐานทัพ สถานีตำรวจ และศูนย์ราชการจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาลที่กว้างขึ้น เฮิร์ชระบุว่า มีรายงาน (ยังไม่ได้รับการยืนยัน) ว่า อายะตุลลอฮ์ คาเมเนอี อาจได้เดินทางออกจากกรุงเตหะรานแล้ว ในขณะที่บางฝ่ายในกรุงวอชิงตันเสนอแนวคิดว่าจะ ตั้งผู้นำทางศาสนาในสายกลางขึ้นเป็นผู้นำชั่วคราวของประเทศ เจ้าหน้าที่อิสราเอลกลับไม่เห็นด้วย และต้องการให้มีการควบคุมทางการเมืองอย่างเต็มรูปแบบโดยผ่านบุคคลที่ภักดีต่ออิสราเอล ความเห็นที่แตกต่างนี้สะท้อนถึงความขัดแย้งในเชิงลึกเกี่ยวกับอนาคตของอิหร่านหลังจากการโจมตี นอกจากนี้ หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ยังพิจารณาใช้ชนกลุ่มน้อยในอิหร่าน เช่น ชาวอาเซอรี ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับ CIA เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นการลุกฮือครั้งใหญ่ เฮิร์ชเตือนว่า แผนการนี้มีลักษณะคล้ายกับ การแทรกแซงของชาติตะวันตกในลิเบียและซีเรีย ซึ่งนำไปสู่ความไม่มั่นคงและความทุกข์ทรมานในระยะยาว เขาชี้ว่า การโจมตีอิหร่านอาจส่งผลคล้ายคลึงกัน เสี่ยงที่จะทำให้ประเทศแตกแยกและจุดชนวนความรุนแรงทั่วทั้งภูมิภาค ทั้งหมดนี้ถูกผลักดันโดย เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของเนทันยาฮู และความปรารถนาของทรัมป์ที่จะสร้างชัยชนะในเวทีภูมิรัฐศาสตร์ https://seymourhersh.substack.com/p/what-i-have-been-told-is-coming-in 20/6/2025
    0 Comments 0 Shares 402 Views 0 Reviews
  • ชายแดนไทย-เขมร วาระซ่อนเร้นของผู้นำ : คนเคาะข่าว 18-06-68
    ร่วมสนทนา
    ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต
    ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์
    #คนเคาะข่าว #ชายแดนไทยกัมพูชา #วาระซ่อนเร้น #ความมั่นคงชายแดน #การเมืองไทยกัมพูชา #ผศดรวันวิชิตบุญโปร่ง #รัฐศาสตร์ #มรังสิต #กรองทองเศรษฐสุทธิ์ #วิเคราะห์การเมือง #ภูมิรัฐศาสตร์ #Geopolitics #thaitimes #ความขัดแย้งระหว่างประเทศ #อาเซียน
    ชายแดนไทย-เขมร วาระซ่อนเร้นของผู้นำ : คนเคาะข่าว 18-06-68 ร่วมสนทนา ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์ #คนเคาะข่าว #ชายแดนไทยกัมพูชา #วาระซ่อนเร้น #ความมั่นคงชายแดน #การเมืองไทยกัมพูชา #ผศดรวันวิชิตบุญโปร่ง #รัฐศาสตร์ #มรังสิต #กรองทองเศรษฐสุทธิ์ #วิเคราะห์การเมือง #ภูมิรัฐศาสตร์ #Geopolitics #thaitimes #ความขัดแย้งระหว่างประเทศ #อาเซียน
    Love
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 395 Views 3 0 Reviews
  • อุดมการณ์ชาตินิยม คือ ความอยู่รอดและความมั่นคงของประเทศ : คนเคาะข่าว 17-06-68
    : ทูตสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูต
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์
    #คนเคาะข่าว #อุดมการณ์ชาตินิยม #ความมั่นคงของประเทศ #ความอยู่รอดของชาติ #ทูตสุรพงษ์ชัยนาม #การเมืองไทย #นโยบายความมั่นคง #วิเคราะห์การเมือง #ภูมิรัฐศาสตร์ #ข่าวต่างประเทศ #thaitimes #Geopolitics #ความมั่นคงแห่งรัฐ #แนวคิดชาตินิยม #นงวดีถนิมมาลย์
    อุดมการณ์ชาตินิยม คือ ความอยู่รอดและความมั่นคงของประเทศ : คนเคาะข่าว 17-06-68 : ทูตสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูต ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว #อุดมการณ์ชาตินิยม #ความมั่นคงของประเทศ #ความอยู่รอดของชาติ #ทูตสุรพงษ์ชัยนาม #การเมืองไทย #นโยบายความมั่นคง #วิเคราะห์การเมือง #ภูมิรัฐศาสตร์ #ข่าวต่างประเทศ #thaitimes #Geopolitics #ความมั่นคงแห่งรัฐ #แนวคิดชาตินิยม #นงวดีถนิมมาลย์
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 521 Views 0 0 Reviews
  • เครื่องบินขนส่งสินค้าของจีนลงจอดที่อิหร่านเมื่อเวลา 11:27 น. GMT ส่งสัญญาณมากกว่าแค่เรื่องโลจิสติกส์

    ปักกิ่งสนับสนุนอิหร่านอย่างเปิดเผยมาตลอดในทุกด้าน

    เพราะอิหร่านไม่ใช่แค่พันธมิตรเท่านั้นสำหรับจีน แต่ยังเป็นหุ้นส่วนสำคัญในวาระ BRICS และเป็นเสาหลักทางยุทธศาสตร์ในโครงการ Belt and Road Initiative (BRI - โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน) อีกด้วย

    ยามเมื่ออิหร่านต้องการเพื่อน นี่คือข้อความทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กล้าหาญ ของจีน
    เครื่องบินขนส่งสินค้าของจีนลงจอดที่อิหร่านเมื่อเวลา 11:27 น. GMT ส่งสัญญาณมากกว่าแค่เรื่องโลจิสติกส์ ปักกิ่งสนับสนุนอิหร่านอย่างเปิดเผยมาตลอดในทุกด้าน เพราะอิหร่านไม่ใช่แค่พันธมิตรเท่านั้นสำหรับจีน แต่ยังเป็นหุ้นส่วนสำคัญในวาระ BRICS และเป็นเสาหลักทางยุทธศาสตร์ในโครงการ Belt and Road Initiative (BRI - โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน) อีกด้วย ยามเมื่ออิหร่านต้องการเพื่อน นี่คือข้อความทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กล้าหาญ ของจีน
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 222 Views 0 Reviews
  • รู้ทันเล่ห์เขมร เปิดเกมยาวหวังฮุบดินแดนไทย | คนเคาะข่าว 11-06-68

    ร่วมสนทนา
    รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา และอาจารย์ประจำสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ม.ธรรมศาสตร์
    ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์

    #คนเคาะข่าว #ข้อพิพาทไทยกัมพูชา #เล่ห์เขมร #ฮุบดินแดนไทย #ความมั่นคงชายแดน #ภูมิรัฐศาสตร์ #รศดรดุลยภาคปรีชารัชช #ภูมิภาคศึกษา #มธรรมศาสตร์ #กรองทองเศรษฐสุทธิ์ #Geopolitics #ข่าวต่างประเทศ #thaitimes #ความขัดแย้งระหว่างประเทศ #ASEAN #วิเคราะห์การเมืองไทยกัมพูชา
    รู้ทันเล่ห์เขมร เปิดเกมยาวหวังฮุบดินแดนไทย | คนเคาะข่าว 11-06-68 ร่วมสนทนา รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา และอาจารย์ประจำสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์ #คนเคาะข่าว #ข้อพิพาทไทยกัมพูชา #เล่ห์เขมร #ฮุบดินแดนไทย #ความมั่นคงชายแดน #ภูมิรัฐศาสตร์ #รศดรดุลยภาคปรีชารัชช #ภูมิภาคศึกษา #มธรรมศาสตร์ #กรองทองเศรษฐสุทธิ์ #Geopolitics #ข่าวต่างประเทศ #thaitimes #ความขัดแย้งระหว่างประเทศ #ASEAN #วิเคราะห์การเมืองไทยกัมพูชา
    Like
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 520 Views 3 0 Reviews
  • ข้อพิพาทไทย-กัมพูชา อาจนำไปสู่สงครามใหญ่ที่เลี่ยงไม่ได้ คนเคาะข่าว 10-06-68
    ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ
    #คนเคาะข่าว #ข้อพิพาทไทยกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ความขัดแย้งระหว่างประเทศ #สงครามชายแดน #Geopolitics #ทนงขันทอง #ข่าวต่างประเทศ #ความมั่นคง #การทูตไทยกัมพูชา #thaitimes #วิเคราะห์สถานการณ์ #อาเซียน #ภูมิรัฐศาสตร์ #ความมั่นคงชายแดน
    ข้อพิพาทไทย-กัมพูชา อาจนำไปสู่สงครามใหญ่ที่เลี่ยงไม่ได้ คนเคาะข่าว 10-06-68 ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ #คนเคาะข่าว #ข้อพิพาทไทยกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ความขัดแย้งระหว่างประเทศ #สงครามชายแดน #Geopolitics #ทนงขันทอง #ข่าวต่างประเทศ #ความมั่นคง #การทูตไทยกัมพูชา #thaitimes #วิเคราะห์สถานการณ์ #อาเซียน #ภูมิรัฐศาสตร์ #ความมั่นคงชายแดน
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 373 Views 6 0 Reviews
  • ไทย ผวา!เสียเปรียบคู่แข่ง ‘ภาษีทรัมป์’ : [Biz Talk]

    แม้ไทย จะมีเวลาตั้งหลัก ช่วงสหรัฐฯชะลอใช้อัตราใหม่ Reciprocal Tarriff แต่ภาคเอกชน ห่วงไทย จะเสียหลัก หากผลเจรจาของประเทศคู่แข่ง ทำให้ไทย เสียเปรียบการแข่งขัน อีกทั้งจนถึงขณะนี้กรอบเวลาเจรจาไทย-สหรัฐฯ ยังไม่ชัด เพิ่มความเสี่ยงประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจกระทบการเจรจา!
    ไทย ผวา!เสียเปรียบคู่แข่ง ‘ภาษีทรัมป์’ : [Biz Talk] แม้ไทย จะมีเวลาตั้งหลัก ช่วงสหรัฐฯชะลอใช้อัตราใหม่ Reciprocal Tarriff แต่ภาคเอกชน ห่วงไทย จะเสียหลัก หากผลเจรจาของประเทศคู่แข่ง ทำให้ไทย เสียเปรียบการแข่งขัน อีกทั้งจนถึงขณะนี้กรอบเวลาเจรจาไทย-สหรัฐฯ ยังไม่ชัด เพิ่มความเสี่ยงประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจกระทบการเจรจา!
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 512 Views 29 0 Reviews
  • การคาดการณ์ว่าประเทศใดในเอเชียจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากสงครามโลกครั้งต่อไปเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย **แต่ต้องย้ำว่า สงครามโลกไม่ใช่เรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และประชาคมโลกต่างมุ่งมั่นที่จะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก**

    อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ปัจจุบันและความเปราะบางในภูมิภาค ประเทศหรือพื้นที่ต่อไปนี้อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบทางตรงหรือทางอ้อม **หากเกิดความขัดแย้งขนาดใหญ่**:

    1. **คาบสมุทรเกาหลี**:
    - เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้: อยู่ในแนวหน้าความตึงเครียด โดยเฉพาะหากเกาหลีเหนือมีส่วนเกี่ยวข้องในความขัดแย้งใหญ่
    - ฐานทัพสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้อาจเป็นเป้าหมาย

    2. **ไต้หวันและพื้นที่ใกล้เคียง**:
    - ความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวันอาจขยายตัว หากเกิดวิกฤตระหว่างจีนและสหรัฐฯ
    - ญี่ปุ่น (โดยเฉพาะเกาะทางใต้เช่น โอกินาวา) และฟิลิปปินส์ อาจถูก波及เนื่องจากพันธมิตรทางทหาร

    3. **ประเทศที่มีฐานทัพสหรัฐฯ**:
    - ญี่ปุ่น (ฐานทัพในโอกินาวา/โยโกสุกะ)
    - เกาหลีใต้
    - อาจรวมถึงฟิลิปปินส์ (ภายใต้ข้อตกลง EDCA)

    4. **จุดยุทธศาสตร์ทางทะเล**:
    - ประเทศควบคุมช่องแคบสำคัญ เช่น มะละกา (สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย) หรือช่องแคบฮอร์มุซ (ไม่ใช่เอเชียแต่ส่งผลต่อการขนส่งน้ำมันสู่เอเชีย)
    - หากการขนส่งทางทะเลถูกขัดขวาง ประเทศพึ่งพาการนำเข้า เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจรุนแรง

    5. **พื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้**:
    - เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย บรูไน อาจถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งหากเกิดการปะทะ

    6. **ประเทศที่พึ่งพาการค้าทางทะเลอย่างหนัก**:
    - สิงคโปร์: ศูนย์กลางการค้าโลก
    - ญี่ปุ่น เกาหลีใต้: พึ่งพาการนำเข้าพลังงานและวัตถุดิบ

    7. **ประเทศใกล้รัสเซีย**:
    - ญี่ปุ่น (พิพาทหมู่เกาะคูริล) และมองโกเลีย อาจได้รับผลกระทบหากความขัดแย้งขยายสู่ไซบีเรีย

    ### ปัจจัยเพิ่มความเสี่ยง:
    - **การแข่งขันสหรัฐฯ-จีน**: การเผชิญหน้าทางเศรษฐกิจ/การทหารอาจลุกลาม
    - **อาวุธนิวเคลียร์ในภูมิภาค**: ปากีสถาน อินเดีย เกาหลีเหนือ จีน
    - **ความไม่มั่นคงภายใน**: ความขัดแย้งในเมียนมา กลุ่มติดอาวุธในปากีสถาน/อัฟกานิสถาน

    ### ข้อควรจำ:
    - **การทูตคือทางออก**: องค์กรเช่น ASEAN และ UN ทำงานเพื่อระงับความขัดแย้ง
    - **ผลกระทบจะไม่จำกัดเฉพาะสมรภูมิ**: เศรษฐกิจโลก ระบบขนส่ง และเสบียงอาหารจะสั่นคลาย
    - **ไม่มีผู้ชนะในสงครามนิวเคลียร์**: ทุกฝ่ายจะสูญเสียอย่างมหาศาล

    แทนที่จะจินตนาการถึงสงคราม สิ่งที่สำคัญกว่าคือสนับสนุนกลไกสันติภาพ ความร่วมมือระหว่างประเทศ และการแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติวิธี เพื่อไม่ให้โศกนาฏกรรมในอดีตเกิดขึ้นอีก
    การคาดการณ์ว่าประเทศใดในเอเชียจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากสงครามโลกครั้งต่อไปเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย **แต่ต้องย้ำว่า สงครามโลกไม่ใช่เรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และประชาคมโลกต่างมุ่งมั่นที่จะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก** อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ปัจจุบันและความเปราะบางในภูมิภาค ประเทศหรือพื้นที่ต่อไปนี้อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบทางตรงหรือทางอ้อม **หากเกิดความขัดแย้งขนาดใหญ่**: 1. **คาบสมุทรเกาหลี**: - เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้: อยู่ในแนวหน้าความตึงเครียด โดยเฉพาะหากเกาหลีเหนือมีส่วนเกี่ยวข้องในความขัดแย้งใหญ่ - ฐานทัพสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้อาจเป็นเป้าหมาย 2. **ไต้หวันและพื้นที่ใกล้เคียง**: - ความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวันอาจขยายตัว หากเกิดวิกฤตระหว่างจีนและสหรัฐฯ - ญี่ปุ่น (โดยเฉพาะเกาะทางใต้เช่น โอกินาวา) และฟิลิปปินส์ อาจถูก波及เนื่องจากพันธมิตรทางทหาร 3. **ประเทศที่มีฐานทัพสหรัฐฯ**: - ญี่ปุ่น (ฐานทัพในโอกินาวา/โยโกสุกะ) - เกาหลีใต้ - อาจรวมถึงฟิลิปปินส์ (ภายใต้ข้อตกลง EDCA) 4. **จุดยุทธศาสตร์ทางทะเล**: - ประเทศควบคุมช่องแคบสำคัญ เช่น มะละกา (สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย) หรือช่องแคบฮอร์มุซ (ไม่ใช่เอเชียแต่ส่งผลต่อการขนส่งน้ำมันสู่เอเชีย) - หากการขนส่งทางทะเลถูกขัดขวาง ประเทศพึ่งพาการนำเข้า เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจรุนแรง 5. **พื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้**: - เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย บรูไน อาจถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งหากเกิดการปะทะ 6. **ประเทศที่พึ่งพาการค้าทางทะเลอย่างหนัก**: - สิงคโปร์: ศูนย์กลางการค้าโลก - ญี่ปุ่น เกาหลีใต้: พึ่งพาการนำเข้าพลังงานและวัตถุดิบ 7. **ประเทศใกล้รัสเซีย**: - ญี่ปุ่น (พิพาทหมู่เกาะคูริล) และมองโกเลีย อาจได้รับผลกระทบหากความขัดแย้งขยายสู่ไซบีเรีย ### ปัจจัยเพิ่มความเสี่ยง: - **การแข่งขันสหรัฐฯ-จีน**: การเผชิญหน้าทางเศรษฐกิจ/การทหารอาจลุกลาม - **อาวุธนิวเคลียร์ในภูมิภาค**: ปากีสถาน อินเดีย เกาหลีเหนือ จีน - **ความไม่มั่นคงภายใน**: ความขัดแย้งในเมียนมา กลุ่มติดอาวุธในปากีสถาน/อัฟกานิสถาน ### ข้อควรจำ: - **การทูตคือทางออก**: องค์กรเช่น ASEAN และ UN ทำงานเพื่อระงับความขัดแย้ง - **ผลกระทบจะไม่จำกัดเฉพาะสมรภูมิ**: เศรษฐกิจโลก ระบบขนส่ง และเสบียงอาหารจะสั่นคลาย - **ไม่มีผู้ชนะในสงครามนิวเคลียร์**: ทุกฝ่ายจะสูญเสียอย่างมหาศาล แทนที่จะจินตนาการถึงสงคราม สิ่งที่สำคัญกว่าคือสนับสนุนกลไกสันติภาพ ความร่วมมือระหว่างประเทศ และการแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติวิธี เพื่อไม่ให้โศกนาฏกรรมในอดีตเกิดขึ้นอีก
    0 Comments 0 Shares 351 Views 0 Reviews
  • บทความเก่าขอนำมาโพสอีกครั้ง
    ----------------------------
    สงครามน้ำจะมาถึงในไม่ช้า
    นี่เป็นคำพยากรณ์...
    .
    อันที่จริงผมพูดเรื่องนี้มานานแล้วตั้งแต่ราวปี 2003 ผมเคยพยายามที่จะทำโครงการหนึ่งชื่อ Voices of Asia รวมทั้งเคยหาข้อมูลเพื่อทำสารคดีเรื่องแม่น้ำ.. มันไม่ได้รับการสนับสนุนให้ทำ แต่ยังคงเป็นสิ่งที่วนเวียนหลอกหลอนอยู่ในความคิดผมเสมอมา ความกังวลนี้มาจากการได้อ่านข้อมูลที่เกี่ยวกับปัญหาวิกฤติน้ำในเอธิโอเปียในช่วงเวลานั้น
    .
    แม่น้ำไนล์ เป็นที่รู้ดีมานานแล้วว่า คือกระแสโลหิตที่หล่อเลี้ยงแอฟริกาตอนบน และมันไม่เคยเพียงพอต่อความต้องการเลย นับแต่ซาฮาร่าโบราณที่เคยอุดมสมบูรณ์ในยุคโบราณได้แปรเปลี่ยนเป็นทะเลทราย และบรรพบุรุษของโฮโมเซเปี้ยนส์เริ่มอพยพหนีออกมาจากที่นั่น.. ซาฮาร่าแห้งแล้งลงเรื่อยๆ ผ่านเวลาแสนปีจนถึงปัจจุบัน.. ยิ่งเมื่อภาวะวิกฤติโลกร้อนและอุณหภูมิโลกและอากาศเปลี่ยนแปลงในทุกวันนี้ มันก็ยิ่งเหือดแห้งลงกว่าเดิม และยิ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการมากยิ่งขึ้น..
    .
    ต้นกำเนิดของแม่น้ำสายนี้อยู่ในเอธิโอเปีย. ประเทศอันแสนยากจน พวกเขาส่วนใหญ่ยากจนแสนเข็ญจริงๆ และแม้ว่าแม่น้ำนี้จะกำเนิดจากดินแดนแห่งนี้ แต่พวกเขาในพื้นที่ห่างไกลกลับยากลำบากและขาดแคลนน้ำที่จะนำมาเป็นปัจจัยพื้นฐานเพื่อเอาชีวิตรอด นั่นคือใช้ในการทำเกษตรกรรม. พวกเขาคงจะมีโอกาสรอดมากขึ้น ถ้าเพียงพวกเขาจะทำเขื่อนเพื่อที่จะกักและชะลอน้ำไว้บ้างสำหรับการเพาะปลูกเท่าที่จำเป็น แต่การทำเช่นนั้น.. สร้างความวิตกว่าน้ำจะยิ่งไม่เพียงพอแก่ประเทศอื่นที่ใช้แม่น้ำนี้ร่วมกัน เช่น อียิปต์ และ ซูดาน.. สองประเทศนี้มีแสนยานุภาพ มีขีปนาวุธ และเครื่องบินรบทันสมัยอย่างเอฟสิบหก ทันทีที่เอธิโอเปียสร้างเขื่อน มันจะถูกยิงถล่มเป็นผุยผง.. ประชาชนเอธิโอเปียไม่อาจทำอย่างไรได้ นอกจากจ้องมองแม่น้ำของพวกเขาด้วยความสิ้นหวังและล้มลงตายกับพื้นดิน.
    .
    เหตุการณ์แบบนี้อาจจะเกิดขึ้นที่อื่นอีก อย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว
    และมันอาจเกิดขึ้นกับเรา คุณและผม... สักวันหนึ่ง
    .
    คนไทยอย่างเราอาจมองเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องไกลตัว เราใช้น้ำอย่างสบายใจและฟุ่มเฟือย เราเดินเข้าห้าง เข้ามินิมาร์ตที่มีน้ำดื่มบรรจุขวดมากมายเรียงรายเต็มหิ้งให้เลือก จนเราอาจลืมข้อเท็จจริงและเผลอคิดไปได้ว่า น้ำนี้จะไม่มีวันหมด และมันจะรอเราอยู่บนหิ้งนั้นชั่วนิรันดร์.. นั่นเป็นความคิดที่โง่เขลาสิ้นดีและไม่เป็นความจริง.
    .
    วันนึง ..จะไม่มีน้ำแม้สักครึ่งขวดเหลืออยู่บนหิ้งพวกนั้น และวันนั้นอาจมาถึงในไม่ช้า
    .
    สมัยเด็ก ผมโตมาบนถนนพระอาทิตย์และถนนพระสุเมรุ บ้านพ่ออยู่ติดแม่น้ำหน้าท่าพระอาทิตย์ ส่วนบ้านแม่อยู่ตรอกวัดสังเวช อยู่บนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเลย. ยุคนั้น ที่บ้านแม่ตักน้ำจากแม่น้ำแล้วกวนด้วยสารส้มใช้เป็นประจำ นำมาต้ม แล้วใช้ปรุงอาหารได้.. น้ำดื่มคือน้ำฝนที่รองใส่โอ่ง..
    .
    ทุกวันนี้เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว แม่น้ำเจ้าพระยาตอนบนอาจจะยังคงสะอาดพอควร แต่ตอนกลางนั้นมีการปนเปื้อนอยู่หลายจุดตลอดเส้นทาง.. ไม่ต้องพูดถึงแม่น้ำตอนล่าง ที่ไหลผ่านเมืองใหญ่อย่างอยุธยาและกรุงเทพเลย พวกมันล้วนอุดมด้วยสารพิษอย่างเช่น ปรอท โลหะหนัก และสารเคมีสารพัด เช่น แคดเมี่ยม ฯลฯ พวกมันถูกปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่เรียงรายตามริมแม่น้ำ ผสมโรงด้วยขยะพิษที่ประชาชนปล่อยลงไป ทั้งจากเคมีที่ใช้ประจำวันและยาฆ่าแมลง จากวัตถุมีพิษอื่นๆ เช่น อุปกรณ์อีเลคโทรนิคส์ แบตเตอรี่ ฯลฯ
    .
    ขณะที่ทุกคนต่างใช้ชีวิตอย่างเคยชินกับสิ่งเหล่านี้และไม่สนใจเพิกเฉยปัญหาของมัน หายนะกำลังคืบคลานอย่างช้าๆ มาสู่เราโดยไม่รู้ตัว.. ในภาวะปกตินี้ บ้านเมืองที่มีระบบรองรับ ก็ขับเคลื่อนหน่วยงานกลไกของมันไปตามสถานะที่ยังคงเลื่อนไหลไปได้ตามสภาพที่มี คนทั่วไปนั้นไม่ได้สนใจจะไปรับรู้ว่า กลไกเหล่านั้นขับเคลื่อนได้ดีแค่ไหน? ปลอดภัยแค่ไหน? ได้มาตรฐานแค่ไหน?.. พวกเขาสนใจแค่เรื่องตัวเองและคงคิดแค่ว่า "มีใครสักคนที่รับผิดชอบสิ่งเหล่านี้อยู่ และไม่ใช่ภาระที่ฉันจะเอามาใส่ใจ.." คงมีใครกำลังดูแลมันอยู่และมันก็คงดำเนินไปได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร "ตลอดไป"..
    .
    งั้นสินะ? โอ้.. ฉันมีการประปานครหลวง กองบำบัดน้ำเสีย กระทรวงสาธารณะสุข กรมประมง เทศบาลเมือง การท่า.. ฯลฯ พวกเขาคงทำทุกอย่างได้ราบรื่นไม่มีปัญหา คนทั้งหลายไม่สำเหนียกว่า จักรเฟืองพวกนี้มีวันหยุดชะงักได้ และเมื่อวันนึงเกิดหายนะภัยพิบัติสักอย่างขึ้น เช่น สงครามโลก ภัยจากอวกาศภายนอกอย่างอุกกาบาต แผ่นดินไหวรุนแรง ซุปเปอร์อีรัพชั่น สภาพอากาศวิกฤติ ยุคน้ำแข็ง.. ฯ ระบบที่ขับเคลื่อนไปทั้งหมดนี้ อาจล่มสลายได้ในชั่วข้ามคืน และเมื่อมันเกิดขึ้น คำถามง่ายๆ ที่สุดที่ไม่มีใครคิดอย่างเช่น.. จะยังจะมีน้ำบรรจุขวดอยู่บนหิ้งในห้างร้านอยู่ไหม? อาจตามมาด้วยคำตอบที่แย่เกินกว่าจะยอมรับ.
    .
    กรณีนี้ ถ้าเราไม่มีน้ำดื่มให้ซื้อหาอีกต่อไป ถามว่าเราจะทำอย่างไร? จะดื่มน้ำจากแม่น้ำลำคลองอย่างที่คนโบราณเคยทำได้ไหม? ทำไม่ได้แน่นอน ถ้ามันเป็นพิษ.. เว้นแต่คนจะหมดสิ้นหนทางและความตายเป็นการปลดปล่อยจากความทุกข์ยาก.. ยิ่งเมื่อระบบเมืองและรัฐที่ขับเคลื่อนชาติต้องล่มสลายเพราะหายนะที่กล่าวไป จะเอางบประมาณ จะเอาอุปกรณ์ จะเอาวัตถุดิบ จะเอาเทคโนโลยี่ที่ไหนกัน มาเยียวยาแม่น้ำให้กลับมาดีดังเดิมและสามารถใช้กินใช้ดื่มได้อีก? ถ้าเราไม่แก้ไขเสียแต่ตอนนี้ จนกระทั่งเราไปถึงจุดนั้น แม่น้ำก็จะไม่สามารถกู้คืนได้อีกเลย.
    .
    ครั้งหนึ่ง แม่น้ำโวลกาในรัสเซียนั้น เคยวิกฤติถึงขั้นอันตรายจนกินใช้ไม่ได้เลยอย่างสิ้นเชิง ปลาในแม่น้ำเต็มไปด้วยพิษ แต่ด้วยการร่วมแรงร่วมใจของภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน แม้ใช้เวลานับสิบปีในการพยายามกู้แม่น้ำสายนี้ ในที่สุดแม่น้ำนี้ก็กลับมาดีจนใช้ได้ในที่สุด แม้มันจะไม่ดีพอที่จะดื่มมันได้ก็ตามในตอนนี้..
    .
    แน่นอนว่า แม่น้ำเจ้าพระยานั้นยังไม่เลวร้ายขนาดนั้น และมันเป็นไปได้อย่างแน่นอน ที่จะฟื้นคืนชีวิตแก่มันอย่างสมบูรณ์ หากเราจะถือว่านี่คือวาระแห่งชาติ และร่วมมือกันฟื้นฟูอย่างจริงจัง
    .
    แม่น้ำเจ้าพระยานั้น มีต้นกำเนิดจากป่าต้นน้ำทางภาคเหนือสี่แห่ง ซึ่งคือหัวใจที่ให้ชีวิตแก่แควทั้งสี่ คือ ปิง วัง ยม และ น่าน.. นี่นับเป็นความโชคดีของคนไทยเหลือคณานับ ที่ต้นแม่น้ำสายใหญ่นี้อยู่ในประเทศไทย ไม่ได้อยู่ในประเทศอื่น. นี่เป็นทรัพยากรเลอค่าที่สุด ที่จะพยุงชีวิตให้แก่ชาตินี้ แม้แต่คนโง่ที่สุดก็ควรจะเห็นความสำคัญในจุดนี้ได้. การฟื้นฟูแม่น้ำต้องเริ่มจากป่าต้นน้ำของมัน จะต้องไม่มีการทำลายอีก จะต้องฟื้นฟูป่าเหล่านี้ให้กลับมา จากนั้นฟื้นฟูแม่น้ำแควทั้งสี่ เชื่อมไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน จนจรดเจ้าพระยาตอนล่าง.
    .
    นี่แหละคือชีพจรชีวิตของสยามประเทศ นี่คือหนทางที่จะทำให้เราอยู่รอดได้ หากวันนึงหายนะน้ำเกิดขึ้นและนำไปสู่จุดที่กลายเป็นสงครามแย่งชิงน้ำ ดังนั้นฟื้นฟูมันเสียตั้งแต่บัดนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป!
    .
    หากคุณติดตามข่าว พระเจ้าอยู่หัววชิราลงกรณ์ฯ ท่านทรงไล่ฟื้นฟูคลองในกรุงเทพไล่เรียงไปทีละสาย หลายสายบัดนี้ได้กลับมาสะอาดดังเดิม หากแม่น้ำฟื้นคืนชีวิต คลองทั้งหลายเหล่านี้จะยิ่งหล่อเลี้ยงไปยังแขนงน้อยใหญ่ให้แก่เมือง
    .
    ลองดูภาพแผนที่ เมื่อเราพิจารณาดูแผนที่ที่เห็นอยู่นี้ซึ่งแสดงแม่น้ำสายใหญ่ๆ ในเอเชีย มันต่างกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่ต้นน้ำอยู่ในประเทศไทย ทั้งหมดนั้นล้วนมีต้นกำเนิดอยู่ในทิเบต แม่น้ำทั้งหมดนี้คือสายโลหิตที่เลี้ยงเอเชีย มันไม่ได้มีความสำคัญแค่เป็นจุดกำเนิดวัฒนธรรมอันเก่าแก่ลึกล้ำ มันเป็นหัวใจที่หล่อเลี้ยงความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน และมันยังเป็นปัจจัยสำคัญหลายอย่างโดยเฉพาะทางภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคงของภูมิภาค.
    .
    นี่คือเหตุผลสำคัญที่ว่า ทำไมจีนจึงต้องปกป้องให้ทิเบตสุดชีวิต
    นี่เป็นอาณาเขตที่อ่อนไหวและหวงแหนยิ่งของจีน. เพราะอะไร?
    .
    ดินแดนนี้เป็นดังเขตกันชนที่ต้องเฝ้าระวังการรุกล้ำครอบงำจากโลกฝั่งตะวันตก ที่อาจแทรกทะลุผ่านเอเชียกลางเข้ามาได้. ดินแดนเปราะบางบางส่วนที่เป็นประตูเข้ามาสู่ดินแดนแถบนี้ ถูกแทรกแซงครอบงำจากตะวันตกไปบ้างแล้ว เช่น อัฟกานิสถาน คาซัคสถาน ทาจิกิสถาน... มหาอำนาจตะวันตกนั้นมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเข้ามามีอิทธิพลเหนือทิเบตให้ได้ ด้วยกลยุทธมากมายหลายอย่าง แม้กระทั่งด้วยวิธีการใช้พรอพพาแกนดามากมาย เช่น ฟรีทิเบต เป็นต้น. แม้เราจะเคารพรักองค์ดาไลลามะและเห็นใจพุทธศาสนิกชน ประชากรชาวทิเบตเพียงใด แต่เราก็จำเป็นต้องไตร่ตรองในความเปราะบางของสถานะการณ์เช่นนี้อย่างระมัดระวัง. จีนนั้นมีเหตุผลเช่นไร ในการที่จะปกป้องพื้นที่นี้เอาไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนอย่างสุดกำลังความสามารถ เราสามารถพิจารณาได้จากแผนที่ที่เห็น..
    .
    หากมหาอำนาจตะวันตกใดก็ตามเข้ามายึดครองควบคุมทิเบต ไม่เพียงแค่จีนเท่านั้นที่จะเส่ียงต่อความมั่นคง.. แต่ ไทย ลาว กัมพูชา พม่า และบางส่วนของอินเดีย อาจตกอยู่ในสถานะการณ์ที่ยากลำบากได้. ใครครอบครองทิเบต ผู้นั้นกุมชะตาเอเชีย เท่าที่ผ่านมานับพันปี แม้มีความไม่น่ายินดีกับการจัดการทรัพยากรต้นน้ำของจีนนัก แต่จีนก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ชั่วร้ายที่จะฉกฉวยประโยชน์จากสายเลือดใหญ่เหล่านี้แต่เพียงฝ่ายเดียว พวกเรายังอยู่ร่วมกันมาได้นับพันปี แต่เราไม่อาจคาดการได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากมหาอำนาจอื่น เข้ามามีอำนาจในการควบคุมแม่น้ำสายใหญ่เหล่านี้.
    .
    แน่นอนว่า เวลาเปลี่ยน ปัจจัยเปลี่ยน.. ทั้งมนุษย์ ทั้งปัจจัยทางธรรมชาติ ทั้งสถานะการณ์โลกและนอกโลก.. เราไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราได้แต่ตัดสินใจจากพื้นฐานที่เป็นประสบการณ์ของเราจากประวัติศาสตร์และบทเรียนที่ผ่านมา
    .
    พระพุทธองค์ตรัสว่า สังขารนั้นไม่เที่ยง ย่อมเสื่อมไปตามเหตุและปัจจัย
    มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
    จงมีสติปัญญาที่จะพิจารณาวิเคราะห์และแยกแยะสิ่งต่างๆ ให้ถี่ถ้วนและพร้อมที่จะตัดสินใจ แก้ไขมันอย่างทันท่วงที โดยเลือกทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด
    .
    ด้วยความปรารถนาดีและห่วงใยทุกท่าน
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา -
    .
    อัพเดทข้อมูลในปี 2566
    --------------------------
    - แม่น้ำโวลก้าในเวลานี้มีสภาพที่ดีขึ้นมากกว่าเดิม โลหะหนักเป็นพิษลดสู่ปริมาณที่ต่ำลงอย่างมีนัยยะ
    - พื้นที่ในเอเชียกลางที่เคยถูกแทรกแซงครอบงำจากอิทธิพลตะวันตก เช่นอัฟกานิสถานและปากีสถาน กำลังเป็นอิสระและฟื้นฟูโดยความช่วยเหลือของจีนและรัสเซีย เส้นทางลำเลียงยาเสพติดของซีไอเอในเอเชียกลางถูกกำจัด และเอเชียกลางทั้งหมดผนึกเป็นส่วนเดียวกับพันธมิตรรัสเซีย-จีน เดินหน้าไปสู่ความเจริญของโครงการ One Belt One Road นั่นหมายความว่าแหล่งน้ำในทิเบตในเวลานี้ ได้รอดพ้นจากความเสี่ยงในการเข้าแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตกแล้ว และมันจะกลายเป็นพื้นที่ที่จะได้รับการดูแลรักษาอย่างเอาใจใส่
    - เอธิโอเปีย เข้าร่วมสมาขิก BRICS นั่นหมายความว่า ในที่สุดชาติที่น่าสงสารนี้จะได้ลืมตาอ้าปากเสียที และจีนกำลังเข้าช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับชาติอื่นๆ ในแอฟริกา หลังจากหลายปีแห่งความทุกข์ทรมานจากการถูกเอาเปรียบขูดรีดทรัพยากรโดยมหาทุนตะวันตก
    --------------------------
    บทความเก่าขอนำมาโพสอีกครั้ง ---------------------------- สงครามน้ำจะมาถึงในไม่ช้า นี่เป็นคำพยากรณ์... . อันที่จริงผมพูดเรื่องนี้มานานแล้วตั้งแต่ราวปี 2003 ผมเคยพยายามที่จะทำโครงการหนึ่งชื่อ Voices of Asia รวมทั้งเคยหาข้อมูลเพื่อทำสารคดีเรื่องแม่น้ำ.. มันไม่ได้รับการสนับสนุนให้ทำ แต่ยังคงเป็นสิ่งที่วนเวียนหลอกหลอนอยู่ในความคิดผมเสมอมา ความกังวลนี้มาจากการได้อ่านข้อมูลที่เกี่ยวกับปัญหาวิกฤติน้ำในเอธิโอเปียในช่วงเวลานั้น . แม่น้ำไนล์ เป็นที่รู้ดีมานานแล้วว่า คือกระแสโลหิตที่หล่อเลี้ยงแอฟริกาตอนบน และมันไม่เคยเพียงพอต่อความต้องการเลย นับแต่ซาฮาร่าโบราณที่เคยอุดมสมบูรณ์ในยุคโบราณได้แปรเปลี่ยนเป็นทะเลทราย และบรรพบุรุษของโฮโมเซเปี้ยนส์เริ่มอพยพหนีออกมาจากที่นั่น.. ซาฮาร่าแห้งแล้งลงเรื่อยๆ ผ่านเวลาแสนปีจนถึงปัจจุบัน.. ยิ่งเมื่อภาวะวิกฤติโลกร้อนและอุณหภูมิโลกและอากาศเปลี่ยนแปลงในทุกวันนี้ มันก็ยิ่งเหือดแห้งลงกว่าเดิม และยิ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการมากยิ่งขึ้น.. . ต้นกำเนิดของแม่น้ำสายนี้อยู่ในเอธิโอเปีย. ประเทศอันแสนยากจน พวกเขาส่วนใหญ่ยากจนแสนเข็ญจริงๆ และแม้ว่าแม่น้ำนี้จะกำเนิดจากดินแดนแห่งนี้ แต่พวกเขาในพื้นที่ห่างไกลกลับยากลำบากและขาดแคลนน้ำที่จะนำมาเป็นปัจจัยพื้นฐานเพื่อเอาชีวิตรอด นั่นคือใช้ในการทำเกษตรกรรม. พวกเขาคงจะมีโอกาสรอดมากขึ้น ถ้าเพียงพวกเขาจะทำเขื่อนเพื่อที่จะกักและชะลอน้ำไว้บ้างสำหรับการเพาะปลูกเท่าที่จำเป็น แต่การทำเช่นนั้น.. สร้างความวิตกว่าน้ำจะยิ่งไม่เพียงพอแก่ประเทศอื่นที่ใช้แม่น้ำนี้ร่วมกัน เช่น อียิปต์ และ ซูดาน.. สองประเทศนี้มีแสนยานุภาพ มีขีปนาวุธ และเครื่องบินรบทันสมัยอย่างเอฟสิบหก ทันทีที่เอธิโอเปียสร้างเขื่อน มันจะถูกยิงถล่มเป็นผุยผง.. ประชาชนเอธิโอเปียไม่อาจทำอย่างไรได้ นอกจากจ้องมองแม่น้ำของพวกเขาด้วยความสิ้นหวังและล้มลงตายกับพื้นดิน. . เหตุการณ์แบบนี้อาจจะเกิดขึ้นที่อื่นอีก อย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว และมันอาจเกิดขึ้นกับเรา คุณและผม... สักวันหนึ่ง . คนไทยอย่างเราอาจมองเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องไกลตัว เราใช้น้ำอย่างสบายใจและฟุ่มเฟือย เราเดินเข้าห้าง เข้ามินิมาร์ตที่มีน้ำดื่มบรรจุขวดมากมายเรียงรายเต็มหิ้งให้เลือก จนเราอาจลืมข้อเท็จจริงและเผลอคิดไปได้ว่า น้ำนี้จะไม่มีวันหมด และมันจะรอเราอยู่บนหิ้งนั้นชั่วนิรันดร์.. นั่นเป็นความคิดที่โง่เขลาสิ้นดีและไม่เป็นความจริง. . วันนึง ..จะไม่มีน้ำแม้สักครึ่งขวดเหลืออยู่บนหิ้งพวกนั้น และวันนั้นอาจมาถึงในไม่ช้า . สมัยเด็ก ผมโตมาบนถนนพระอาทิตย์และถนนพระสุเมรุ บ้านพ่ออยู่ติดแม่น้ำหน้าท่าพระอาทิตย์ ส่วนบ้านแม่อยู่ตรอกวัดสังเวช อยู่บนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเลย. ยุคนั้น ที่บ้านแม่ตักน้ำจากแม่น้ำแล้วกวนด้วยสารส้มใช้เป็นประจำ นำมาต้ม แล้วใช้ปรุงอาหารได้.. น้ำดื่มคือน้ำฝนที่รองใส่โอ่ง.. . ทุกวันนี้เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว แม่น้ำเจ้าพระยาตอนบนอาจจะยังคงสะอาดพอควร แต่ตอนกลางนั้นมีการปนเปื้อนอยู่หลายจุดตลอดเส้นทาง.. ไม่ต้องพูดถึงแม่น้ำตอนล่าง ที่ไหลผ่านเมืองใหญ่อย่างอยุธยาและกรุงเทพเลย พวกมันล้วนอุดมด้วยสารพิษอย่างเช่น ปรอท โลหะหนัก และสารเคมีสารพัด เช่น แคดเมี่ยม ฯลฯ พวกมันถูกปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่เรียงรายตามริมแม่น้ำ ผสมโรงด้วยขยะพิษที่ประชาชนปล่อยลงไป ทั้งจากเคมีที่ใช้ประจำวันและยาฆ่าแมลง จากวัตถุมีพิษอื่นๆ เช่น อุปกรณ์อีเลคโทรนิคส์ แบตเตอรี่ ฯลฯ . ขณะที่ทุกคนต่างใช้ชีวิตอย่างเคยชินกับสิ่งเหล่านี้และไม่สนใจเพิกเฉยปัญหาของมัน หายนะกำลังคืบคลานอย่างช้าๆ มาสู่เราโดยไม่รู้ตัว.. ในภาวะปกตินี้ บ้านเมืองที่มีระบบรองรับ ก็ขับเคลื่อนหน่วยงานกลไกของมันไปตามสถานะที่ยังคงเลื่อนไหลไปได้ตามสภาพที่มี คนทั่วไปนั้นไม่ได้สนใจจะไปรับรู้ว่า กลไกเหล่านั้นขับเคลื่อนได้ดีแค่ไหน? ปลอดภัยแค่ไหน? ได้มาตรฐานแค่ไหน?.. พวกเขาสนใจแค่เรื่องตัวเองและคงคิดแค่ว่า "มีใครสักคนที่รับผิดชอบสิ่งเหล่านี้อยู่ และไม่ใช่ภาระที่ฉันจะเอามาใส่ใจ.." คงมีใครกำลังดูแลมันอยู่และมันก็คงดำเนินไปได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร "ตลอดไป".. . งั้นสินะ? โอ้.. ฉันมีการประปานครหลวง กองบำบัดน้ำเสีย กระทรวงสาธารณะสุข กรมประมง เทศบาลเมือง การท่า.. ฯลฯ พวกเขาคงทำทุกอย่างได้ราบรื่นไม่มีปัญหา คนทั้งหลายไม่สำเหนียกว่า จักรเฟืองพวกนี้มีวันหยุดชะงักได้ และเมื่อวันนึงเกิดหายนะภัยพิบัติสักอย่างขึ้น เช่น สงครามโลก ภัยจากอวกาศภายนอกอย่างอุกกาบาต แผ่นดินไหวรุนแรง ซุปเปอร์อีรัพชั่น สภาพอากาศวิกฤติ ยุคน้ำแข็ง.. ฯ ระบบที่ขับเคลื่อนไปทั้งหมดนี้ อาจล่มสลายได้ในชั่วข้ามคืน และเมื่อมันเกิดขึ้น คำถามง่ายๆ ที่สุดที่ไม่มีใครคิดอย่างเช่น.. จะยังจะมีน้ำบรรจุขวดอยู่บนหิ้งในห้างร้านอยู่ไหม? อาจตามมาด้วยคำตอบที่แย่เกินกว่าจะยอมรับ. . กรณีนี้ ถ้าเราไม่มีน้ำดื่มให้ซื้อหาอีกต่อไป ถามว่าเราจะทำอย่างไร? จะดื่มน้ำจากแม่น้ำลำคลองอย่างที่คนโบราณเคยทำได้ไหม? ทำไม่ได้แน่นอน ถ้ามันเป็นพิษ.. เว้นแต่คนจะหมดสิ้นหนทางและความตายเป็นการปลดปล่อยจากความทุกข์ยาก.. ยิ่งเมื่อระบบเมืองและรัฐที่ขับเคลื่อนชาติต้องล่มสลายเพราะหายนะที่กล่าวไป จะเอางบประมาณ จะเอาอุปกรณ์ จะเอาวัตถุดิบ จะเอาเทคโนโลยี่ที่ไหนกัน มาเยียวยาแม่น้ำให้กลับมาดีดังเดิมและสามารถใช้กินใช้ดื่มได้อีก? ถ้าเราไม่แก้ไขเสียแต่ตอนนี้ จนกระทั่งเราไปถึงจุดนั้น แม่น้ำก็จะไม่สามารถกู้คืนได้อีกเลย. . ครั้งหนึ่ง แม่น้ำโวลกาในรัสเซียนั้น เคยวิกฤติถึงขั้นอันตรายจนกินใช้ไม่ได้เลยอย่างสิ้นเชิง ปลาในแม่น้ำเต็มไปด้วยพิษ แต่ด้วยการร่วมแรงร่วมใจของภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน แม้ใช้เวลานับสิบปีในการพยายามกู้แม่น้ำสายนี้ ในที่สุดแม่น้ำนี้ก็กลับมาดีจนใช้ได้ในที่สุด แม้มันจะไม่ดีพอที่จะดื่มมันได้ก็ตามในตอนนี้.. . แน่นอนว่า แม่น้ำเจ้าพระยานั้นยังไม่เลวร้ายขนาดนั้น และมันเป็นไปได้อย่างแน่นอน ที่จะฟื้นคืนชีวิตแก่มันอย่างสมบูรณ์ หากเราจะถือว่านี่คือวาระแห่งชาติ และร่วมมือกันฟื้นฟูอย่างจริงจัง . แม่น้ำเจ้าพระยานั้น มีต้นกำเนิดจากป่าต้นน้ำทางภาคเหนือสี่แห่ง ซึ่งคือหัวใจที่ให้ชีวิตแก่แควทั้งสี่ คือ ปิง วัง ยม และ น่าน.. นี่นับเป็นความโชคดีของคนไทยเหลือคณานับ ที่ต้นแม่น้ำสายใหญ่นี้อยู่ในประเทศไทย ไม่ได้อยู่ในประเทศอื่น. นี่เป็นทรัพยากรเลอค่าที่สุด ที่จะพยุงชีวิตให้แก่ชาตินี้ แม้แต่คนโง่ที่สุดก็ควรจะเห็นความสำคัญในจุดนี้ได้. การฟื้นฟูแม่น้ำต้องเริ่มจากป่าต้นน้ำของมัน จะต้องไม่มีการทำลายอีก จะต้องฟื้นฟูป่าเหล่านี้ให้กลับมา จากนั้นฟื้นฟูแม่น้ำแควทั้งสี่ เชื่อมไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน จนจรดเจ้าพระยาตอนล่าง. . นี่แหละคือชีพจรชีวิตของสยามประเทศ นี่คือหนทางที่จะทำให้เราอยู่รอดได้ หากวันนึงหายนะน้ำเกิดขึ้นและนำไปสู่จุดที่กลายเป็นสงครามแย่งชิงน้ำ ดังนั้นฟื้นฟูมันเสียตั้งแต่บัดนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป! . หากคุณติดตามข่าว พระเจ้าอยู่หัววชิราลงกรณ์ฯ ท่านทรงไล่ฟื้นฟูคลองในกรุงเทพไล่เรียงไปทีละสาย หลายสายบัดนี้ได้กลับมาสะอาดดังเดิม หากแม่น้ำฟื้นคืนชีวิต คลองทั้งหลายเหล่านี้จะยิ่งหล่อเลี้ยงไปยังแขนงน้อยใหญ่ให้แก่เมือง . ลองดูภาพแผนที่ เมื่อเราพิจารณาดูแผนที่ที่เห็นอยู่นี้ซึ่งแสดงแม่น้ำสายใหญ่ๆ ในเอเชีย มันต่างกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่ต้นน้ำอยู่ในประเทศไทย ทั้งหมดนั้นล้วนมีต้นกำเนิดอยู่ในทิเบต แม่น้ำทั้งหมดนี้คือสายโลหิตที่เลี้ยงเอเชีย มันไม่ได้มีความสำคัญแค่เป็นจุดกำเนิดวัฒนธรรมอันเก่าแก่ลึกล้ำ มันเป็นหัวใจที่หล่อเลี้ยงความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน และมันยังเป็นปัจจัยสำคัญหลายอย่างโดยเฉพาะทางภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคงของภูมิภาค. . นี่คือเหตุผลสำคัญที่ว่า ทำไมจีนจึงต้องปกป้องให้ทิเบตสุดชีวิต นี่เป็นอาณาเขตที่อ่อนไหวและหวงแหนยิ่งของจีน. เพราะอะไร? . ดินแดนนี้เป็นดังเขตกันชนที่ต้องเฝ้าระวังการรุกล้ำครอบงำจากโลกฝั่งตะวันตก ที่อาจแทรกทะลุผ่านเอเชียกลางเข้ามาได้. ดินแดนเปราะบางบางส่วนที่เป็นประตูเข้ามาสู่ดินแดนแถบนี้ ถูกแทรกแซงครอบงำจากตะวันตกไปบ้างแล้ว เช่น อัฟกานิสถาน คาซัคสถาน ทาจิกิสถาน... มหาอำนาจตะวันตกนั้นมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเข้ามามีอิทธิพลเหนือทิเบตให้ได้ ด้วยกลยุทธมากมายหลายอย่าง แม้กระทั่งด้วยวิธีการใช้พรอพพาแกนดามากมาย เช่น ฟรีทิเบต เป็นต้น. แม้เราจะเคารพรักองค์ดาไลลามะและเห็นใจพุทธศาสนิกชน ประชากรชาวทิเบตเพียงใด แต่เราก็จำเป็นต้องไตร่ตรองในความเปราะบางของสถานะการณ์เช่นนี้อย่างระมัดระวัง. จีนนั้นมีเหตุผลเช่นไร ในการที่จะปกป้องพื้นที่นี้เอาไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนอย่างสุดกำลังความสามารถ เราสามารถพิจารณาได้จากแผนที่ที่เห็น.. . หากมหาอำนาจตะวันตกใดก็ตามเข้ามายึดครองควบคุมทิเบต ไม่เพียงแค่จีนเท่านั้นที่จะเส่ียงต่อความมั่นคง.. แต่ ไทย ลาว กัมพูชา พม่า และบางส่วนของอินเดีย อาจตกอยู่ในสถานะการณ์ที่ยากลำบากได้. ใครครอบครองทิเบต ผู้นั้นกุมชะตาเอเชีย เท่าที่ผ่านมานับพันปี แม้มีความไม่น่ายินดีกับการจัดการทรัพยากรต้นน้ำของจีนนัก แต่จีนก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ชั่วร้ายที่จะฉกฉวยประโยชน์จากสายเลือดใหญ่เหล่านี้แต่เพียงฝ่ายเดียว พวกเรายังอยู่ร่วมกันมาได้นับพันปี แต่เราไม่อาจคาดการได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากมหาอำนาจอื่น เข้ามามีอำนาจในการควบคุมแม่น้ำสายใหญ่เหล่านี้. . แน่นอนว่า เวลาเปลี่ยน ปัจจัยเปลี่ยน.. ทั้งมนุษย์ ทั้งปัจจัยทางธรรมชาติ ทั้งสถานะการณ์โลกและนอกโลก.. เราไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราได้แต่ตัดสินใจจากพื้นฐานที่เป็นประสบการณ์ของเราจากประวัติศาสตร์และบทเรียนที่ผ่านมา . พระพุทธองค์ตรัสว่า สังขารนั้นไม่เที่ยง ย่อมเสื่อมไปตามเหตุและปัจจัย มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป จงมีสติปัญญาที่จะพิจารณาวิเคราะห์และแยกแยะสิ่งต่างๆ ให้ถี่ถ้วนและพร้อมที่จะตัดสินใจ แก้ไขมันอย่างทันท่วงที โดยเลือกทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด . ด้วยความปรารถนาดีและห่วงใยทุกท่าน - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - . อัพเดทข้อมูลในปี 2566 -------------------------- - แม่น้ำโวลก้าในเวลานี้มีสภาพที่ดีขึ้นมากกว่าเดิม โลหะหนักเป็นพิษลดสู่ปริมาณที่ต่ำลงอย่างมีนัยยะ - พื้นที่ในเอเชียกลางที่เคยถูกแทรกแซงครอบงำจากอิทธิพลตะวันตก เช่นอัฟกานิสถานและปากีสถาน กำลังเป็นอิสระและฟื้นฟูโดยความช่วยเหลือของจีนและรัสเซีย เส้นทางลำเลียงยาเสพติดของซีไอเอในเอเชียกลางถูกกำจัด และเอเชียกลางทั้งหมดผนึกเป็นส่วนเดียวกับพันธมิตรรัสเซีย-จีน เดินหน้าไปสู่ความเจริญของโครงการ One Belt One Road นั่นหมายความว่าแหล่งน้ำในทิเบตในเวลานี้ ได้รอดพ้นจากความเสี่ยงในการเข้าแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตกแล้ว และมันจะกลายเป็นพื้นที่ที่จะได้รับการดูแลรักษาอย่างเอาใจใส่ - เอธิโอเปีย เข้าร่วมสมาขิก BRICS นั่นหมายความว่า ในที่สุดชาติที่น่าสงสารนี้จะได้ลืมตาอ้าปากเสียที และจีนกำลังเข้าช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับชาติอื่นๆ ในแอฟริกา หลังจากหลายปีแห่งความทุกข์ทรมานจากการถูกเอาเปรียบขูดรีดทรัพยากรโดยมหาทุนตะวันตก --------------------------
    0 Comments 0 Shares 865 Views 0 Reviews
  • Space Forge เตรียมเปิดตัวดาวเทียมผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในอวกาศปี 2025

    Space Forge บริษัทสตาร์ทอัพจากสหราชอาณาจักร ได้รับเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์ ในรอบ Series A เพื่อพัฒนา ดาวเทียม ForgeStar-1 และ ForgeStar-2 สำหรับการผลิตวัสดุที่ไม่สามารถสร้างบนโลกได้ โดยใช้ สภาวะไร้น้ำหนัก, สูญญากาศ และอุณหภูมิที่แตกต่างกันสุดขั้วในอวกาศ

    Space Forge ได้รับเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในอวกาศ
    - เป็น เงินทุนรอบ Series A ที่สูงที่สุดสำหรับบริษัทเทคโนโลยีอวกาศในสหราชอาณาจักร

    ดาวเทียม ForgeStar-1 จะเป็นดาวเทียมผลิตวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
    - ช่วยให้ สามารถทำการทดลองและผลิตวัสดุในอวกาศได้อย่างต่อเนื่อง

    วัสดุที่ผลิตในอวกาศมีศักยภาพในการปรับปรุงเซมิคอนดักเตอร์และคอมพิวเตอร์ควอนตัม
    - อาจช่วย ลดการปล่อย CO2 ได้ถึง 75% ในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ศูนย์ข้อมูล

    Space Forge Inc. ในสหรัฐฯ ตั้งเป้าปฏิวัติการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ
    - สอดคล้องกับ CHIPS and Science Act เพื่อเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน

    ดาวเทียม ForgeStar-1 จะเริ่มภารกิจทดสอบในวงโคจรครั้งแรกในปี 2025
    - เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาแพลตฟอร์มการผลิตในอวกาศที่สามารถใช้งานซ้ำได้

    การผลิตในอวกาศต้องเผชิญกับความท้าทายด้านต้นทุนและเทคโนโลยี
    - ต้องติดตามว่า Space Forge จะสามารถทำให้โครงการนี้คุ้มค่าทางเศรษฐกิจได้หรือไม่

    ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์อาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์
    - การพึ่งพาไต้หวันในปัจจุบัน อาจมีผลกระทบหากเกิดความขัดแย้งทางการเมือง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/space-forge-to-pioneer-semiconductor-manufacturing-in-space-with-first-satellite-launch-in-2025
    Space Forge เตรียมเปิดตัวดาวเทียมผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในอวกาศปี 2025 Space Forge บริษัทสตาร์ทอัพจากสหราชอาณาจักร ได้รับเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์ ในรอบ Series A เพื่อพัฒนา ดาวเทียม ForgeStar-1 และ ForgeStar-2 สำหรับการผลิตวัสดุที่ไม่สามารถสร้างบนโลกได้ โดยใช้ สภาวะไร้น้ำหนัก, สูญญากาศ และอุณหภูมิที่แตกต่างกันสุดขั้วในอวกาศ ✅ Space Forge ได้รับเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในอวกาศ - เป็น เงินทุนรอบ Series A ที่สูงที่สุดสำหรับบริษัทเทคโนโลยีอวกาศในสหราชอาณาจักร ✅ ดาวเทียม ForgeStar-1 จะเป็นดาวเทียมผลิตวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ - ช่วยให้ สามารถทำการทดลองและผลิตวัสดุในอวกาศได้อย่างต่อเนื่อง ✅ วัสดุที่ผลิตในอวกาศมีศักยภาพในการปรับปรุงเซมิคอนดักเตอร์และคอมพิวเตอร์ควอนตัม - อาจช่วย ลดการปล่อย CO2 ได้ถึง 75% ในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ศูนย์ข้อมูล ✅ Space Forge Inc. ในสหรัฐฯ ตั้งเป้าปฏิวัติการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ - สอดคล้องกับ CHIPS and Science Act เพื่อเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน ✅ ดาวเทียม ForgeStar-1 จะเริ่มภารกิจทดสอบในวงโคจรครั้งแรกในปี 2025 - เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาแพลตฟอร์มการผลิตในอวกาศที่สามารถใช้งานซ้ำได้ ‼️ การผลิตในอวกาศต้องเผชิญกับความท้าทายด้านต้นทุนและเทคโนโลยี - ต้องติดตามว่า Space Forge จะสามารถทำให้โครงการนี้คุ้มค่าทางเศรษฐกิจได้หรือไม่ ‼️ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์อาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ - การพึ่งพาไต้หวันในปัจจุบัน อาจมีผลกระทบหากเกิดความขัดแย้งทางการเมือง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/space-forge-to-pioneer-semiconductor-manufacturing-in-space-with-first-satellite-launch-in-2025
    0 Comments 0 Shares 259 Views 0 Reviews
  • ยุทธศาสตร์โลก (Global Strategy) เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนและการดำเนินการในระดับโลกเพื่อตอบสนองความท้าทายและโอกาสในบริบทระหว่างประเทศ ซึ่งอาจครอบคลุมหลายด้าน เช่น เศรษฐกิจ การเมือง ความมั่นคง สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี

    ### **ประเด็นสำคัญในยุทธศาสตร์โลกปัจจุบัน**
    1. **การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ**
    - **สหรัฐอเมริกา vs จีน**: การแข่งขันทางเศรษฐกิจ การค้า เทคโนโลยี (เช่น สงครามชิป) และอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์
    - **บทบาทของรัสเซีย**: สงครามยูเครนและผลกระทบต่อความมั่นคงพลังงานและอาหารโลก
    - **EU และกลุ่มประเทศอื่นๆ**: แสวงหาความเป็นเอกภาพหรือความเป็นกลางในความขัดแย้ง

    2. **เศรษฐกิจและการค้าโลก**
    - **ห่วงโซ่อุปทานใหม่**: การลดการพึ่งพาจีน (Friend-shoring, Reshoring)
    - **การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและ AI**
    - **ความตกลงการค้าใหม่**: เช่น CPTPP, RCEP

    3. **ความมั่นคงและความขัดแย้ง**
    - **สงครามในตะวันออกกลาง** (อิสราเอล-ปาเลสไตน์, ความตึงเครียดกับอิหร่าน)
    - **ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้และไต้หวัน**
    - **การขยายตัวของ NATO และความสัมพันธ์กับรัสเซีย**

    4. **สิ่งแวดล้อมและพลังงาน**
    - **การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด** (Net Zero, Renewable Energy)
    - **ผลกระทบจาก Climate Change** และนโยบายลดคาร์บอน
    - **ความมั่นคงด้านพลังงาน** (การพึ่งพาน้ำมันและก๊าซจากตะวันออกกลางและรัสเซีย)

    5. **เทคโนโลยีและไซเบอร์**
    - **การแข่งขันด้าน AI, ควอนตัมคอมพิวติ้ง, อวกาศ**
    - **สงครามไซเบอร์และความปลอดภัยข้อมูล**
    - **กฎระเบียบเทคโนโลยีระหว่างประเทศ** (เช่น GDPR, การควบคุม AI)

    6. **การทูตและองค์กรระหว่างประเทศ**
    - **บทบาทของ UN, WTO, IMF** ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและเศรษฐกิจ
    - **กลุ่มประเทศ BRICS+** ที่ขยายตัวเพื่อท้าทายระบบโลกเดิม
    - **Soft Power และการทูตวัฒนธรรม**

    ### **ยุทธศาสตร์ของประเทศต่างๆ**
    - **สหรัฐอเมริกา**: มุ่งรักษา hegemony ผ่านการเสริมกำลัง NATO, สนับสนุนไต้หวัน, และลงทุนในเทคโนโลยี
    - **จีน**: Belt and Road Initiative (BRI), การขยายอิทธิพลใน Global South
    - **ยุโรป**: ลดการพึ่งพาพลังงานรัสเซีย, ส่งเสริม Green Deal
    - **รัสเซีย**: หาพันธมิตรใหม่ (จีน, อิหร่าน) หลังถูกโดดเดี่ยวจากตะวันตก
    - **กลุ่ม Global South (อินเดีย, บราซิล, แอฟริกาใต้)**: แสวงหาความเป็นกลางหรือประโยชน์จากหลายฝ่าย

    ### **แนวโน้มในอนาคต**
    - **โลกหลายขั้วอำนาจ (Multipolar World)** แทนระบบที่นำโดยสหรัฐเพียงอย่างเดียว
    - **ความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและเทคโนโลยี**
    - **ความเสี่ยงจากความขัดแย้งใหม่ๆ** (เช่น AI Warfare, การแย่งชิงทรัพยากร)

    ยุทธศาสตร์โลกในยุคนี้จึงต้องคำนึงถึง **ความร่วมมือระหว่างประเทศ** แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับ **การแข่งขันและการเผชิญหน้า** ในหลายด้านด้วย
    ยุทธศาสตร์โลก (Global Strategy) เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนและการดำเนินการในระดับโลกเพื่อตอบสนองความท้าทายและโอกาสในบริบทระหว่างประเทศ ซึ่งอาจครอบคลุมหลายด้าน เช่น เศรษฐกิจ การเมือง ความมั่นคง สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี ### **ประเด็นสำคัญในยุทธศาสตร์โลกปัจจุบัน** 1. **การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ** - **สหรัฐอเมริกา vs จีน**: การแข่งขันทางเศรษฐกิจ การค้า เทคโนโลยี (เช่น สงครามชิป) และอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ - **บทบาทของรัสเซีย**: สงครามยูเครนและผลกระทบต่อความมั่นคงพลังงานและอาหารโลก - **EU และกลุ่มประเทศอื่นๆ**: แสวงหาความเป็นเอกภาพหรือความเป็นกลางในความขัดแย้ง 2. **เศรษฐกิจและการค้าโลก** - **ห่วงโซ่อุปทานใหม่**: การลดการพึ่งพาจีน (Friend-shoring, Reshoring) - **การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและ AI** - **ความตกลงการค้าใหม่**: เช่น CPTPP, RCEP 3. **ความมั่นคงและความขัดแย้ง** - **สงครามในตะวันออกกลาง** (อิสราเอล-ปาเลสไตน์, ความตึงเครียดกับอิหร่าน) - **ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้และไต้หวัน** - **การขยายตัวของ NATO และความสัมพันธ์กับรัสเซีย** 4. **สิ่งแวดล้อมและพลังงาน** - **การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด** (Net Zero, Renewable Energy) - **ผลกระทบจาก Climate Change** และนโยบายลดคาร์บอน - **ความมั่นคงด้านพลังงาน** (การพึ่งพาน้ำมันและก๊าซจากตะวันออกกลางและรัสเซีย) 5. **เทคโนโลยีและไซเบอร์** - **การแข่งขันด้าน AI, ควอนตัมคอมพิวติ้ง, อวกาศ** - **สงครามไซเบอร์และความปลอดภัยข้อมูล** - **กฎระเบียบเทคโนโลยีระหว่างประเทศ** (เช่น GDPR, การควบคุม AI) 6. **การทูตและองค์กรระหว่างประเทศ** - **บทบาทของ UN, WTO, IMF** ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและเศรษฐกิจ - **กลุ่มประเทศ BRICS+** ที่ขยายตัวเพื่อท้าทายระบบโลกเดิม - **Soft Power และการทูตวัฒนธรรม** ### **ยุทธศาสตร์ของประเทศต่างๆ** - **สหรัฐอเมริกา**: มุ่งรักษา hegemony ผ่านการเสริมกำลัง NATO, สนับสนุนไต้หวัน, และลงทุนในเทคโนโลยี - **จีน**: Belt and Road Initiative (BRI), การขยายอิทธิพลใน Global South - **ยุโรป**: ลดการพึ่งพาพลังงานรัสเซีย, ส่งเสริม Green Deal - **รัสเซีย**: หาพันธมิตรใหม่ (จีน, อิหร่าน) หลังถูกโดดเดี่ยวจากตะวันตก - **กลุ่ม Global South (อินเดีย, บราซิล, แอฟริกาใต้)**: แสวงหาความเป็นกลางหรือประโยชน์จากหลายฝ่าย ### **แนวโน้มในอนาคต** - **โลกหลายขั้วอำนาจ (Multipolar World)** แทนระบบที่นำโดยสหรัฐเพียงอย่างเดียว - **ความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและเทคโนโลยี** - **ความเสี่ยงจากความขัดแย้งใหม่ๆ** (เช่น AI Warfare, การแย่งชิงทรัพยากร) ยุทธศาสตร์โลกในยุคนี้จึงต้องคำนึงถึง **ความร่วมมือระหว่างประเทศ** แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับ **การแข่งขันและการเผชิญหน้า** ในหลายด้านด้วย
    0 Comments 0 Shares 655 Views 0 Reviews
More Results