• รายละเอียดบางส่วนของข้อตกลงความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างอิหร่านและรัสเซีย

    👉ความร่วมมือทางยุทธศาสตร์และความมั่นคง:
    - รัสเซียและอิหร่านจะเสริมสร้างความสัมพันธ์ในทุกพื้นที่ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งความมั่นคงและการป้องกันประเทศ
    - ทั้งสองประเทศจะประสานงานการดำเนินการทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกภายใต้ความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระยะยาว
    - ทั้งสองประเทศจะเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติด้วยการต่อสู้กับภัยคุกคามร่วมกัน ซึ่งรวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ระหว่างหน่วย SVR ของรัสเซียและหน่วย VAJA ของอิหร่าน
    - ทั้งสองประเทศมุ่งมั่นที่จะจัดการซ้อมรบร่วมกันในทั้งสองประเทศและในระดับนานาชาติ
    - รัสเซียและอิหร่านจะร่วมมือกันจัดการกับภัยคุกคามทางทหารและความมั่นคงร่วมกันทั้งในระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาค เช่นเดียวกับข้อตกลงรัสเซีย-จีน
    - สร้างความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ด้วยการประชุมประจำปีเพื่อทบทวนและผลักดันข้อตกลงทวิภาคี
    - ความร่วมมือจะมุ่งเน้นไปที่การป้องกันการแทรกแซงของบุคคลที่สามในทะเลแคสเปียน เอเชียกลาง คอเคซัส และตะวันออกกลาง

    👉ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและพลังงาน:
    - เสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจให้ขยายออกไป โดยเน้นที่การลงทุนร่วมกันในดานโครงสร้างพื้นฐาน ความร่วมมือด้านธนาคาร และการสร้างเส้นทางการค้าผ่านอิหร่าน
    - ทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันในภาคส่วนน้ำมันและก๊าซ โดยแบ่งปันเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญด้านการผลิต การแปรรูป และการขนส่ง โดยมุ่งหวังที่จะมีอิทธิพลต่อตลาดน้ำมันและก๊าซโลก
    - ทั้งสองประเทศจะดำเนินโครงการร่วมกันที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติภาพ รวมถึงการสร้างโรงงานนิวเคลียร์

    👉ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี:
    - จัดทำแผนความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์อย่างกว้างขวาง
    - ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีอวกาศจะได้รับการเสริมความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
    รายละเอียดบางส่วนของข้อตกลงความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างอิหร่านและรัสเซีย 👉ความร่วมมือทางยุทธศาสตร์และความมั่นคง: - รัสเซียและอิหร่านจะเสริมสร้างความสัมพันธ์ในทุกพื้นที่ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งความมั่นคงและการป้องกันประเทศ - ทั้งสองประเทศจะประสานงานการดำเนินการทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกภายใต้ความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระยะยาว - ทั้งสองประเทศจะเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติด้วยการต่อสู้กับภัยคุกคามร่วมกัน ซึ่งรวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ระหว่างหน่วย SVR ของรัสเซียและหน่วย VAJA ของอิหร่าน - ทั้งสองประเทศมุ่งมั่นที่จะจัดการซ้อมรบร่วมกันในทั้งสองประเทศและในระดับนานาชาติ - รัสเซียและอิหร่านจะร่วมมือกันจัดการกับภัยคุกคามทางทหารและความมั่นคงร่วมกันทั้งในระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาค เช่นเดียวกับข้อตกลงรัสเซีย-จีน - สร้างความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ด้วยการประชุมประจำปีเพื่อทบทวนและผลักดันข้อตกลงทวิภาคี - ความร่วมมือจะมุ่งเน้นไปที่การป้องกันการแทรกแซงของบุคคลที่สามในทะเลแคสเปียน เอเชียกลาง คอเคซัส และตะวันออกกลาง 👉ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและพลังงาน: - เสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจให้ขยายออกไป โดยเน้นที่การลงทุนร่วมกันในดานโครงสร้างพื้นฐาน ความร่วมมือด้านธนาคาร และการสร้างเส้นทางการค้าผ่านอิหร่าน - ทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันในภาคส่วนน้ำมันและก๊าซ โดยแบ่งปันเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญด้านการผลิต การแปรรูป และการขนส่ง โดยมุ่งหวังที่จะมีอิทธิพลต่อตลาดน้ำมันและก๊าซโลก - ทั้งสองประเทศจะดำเนินโครงการร่วมกันที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติภาพ รวมถึงการสร้างโรงงานนิวเคลียร์ 👉ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี: - จัดทำแผนความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์อย่างกว้างขวาง - ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีอวกาศจะได้รับการเสริมความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Robeauté จากปารีสได้ระดมทุนเกือบ 28 ล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาไมโครโรบ็อตขนาดเท่าเมล็ดข้าวที่สามารถช่วยศัลยแพทย์สมองในการผ่าตัดได้ โรบ็อตนี้ถูกออกแบบมาให้สามารถเคลื่อนที่ได้เองและมีขนาดเล็กพอที่จะเข้าไปในสมองโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อที่ละเอียดอ่อน

    โรบ็อตนี้จะถูกใช้ในการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อสำหรับการตรวจชิ้นเนื้อในขั้นต้น และในอนาคตอาจถูกใช้ในการส่งยาตรงไปยังส่วนต่างๆ ของสมองหรือฝังอิเล็กโทรดเพื่อรักษาโรคพาร์กินสัน

    Bertrand Duplat และ Joana Cartocci ผู้ก่อตั้ง Robeauté ได้พัฒนาโรบ็อตนี้หลังจากที่แม่ของ Duplat ถูกวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอกในสมองที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ พวกเขาใช้เวลาห้าปีในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้โดยทำงานร่วมกับห้องปฏิบัติการต่างๆ

    โรบ็อตนี้ได้รับการทดสอบในสัตว์ทดลองและศพมนุษย์ และหวังว่าจะเริ่มการทดสอบในมนุษย์ในปี 2026 โดยต้องได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ก่อน

    การพัฒนาโรบ็อตนี้เป็นก้าวสำคัญในการผ่าตัดสมองที่มีความแม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการผ่าตัดและเพิ่มโอกาสในการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับสมอง

    https://www.techspot.com/news/106402-robots-size-rice-grains-aim-revolutionize-brain-surgery.html
    บริษัท Robeauté จากปารีสได้ระดมทุนเกือบ 28 ล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาไมโครโรบ็อตขนาดเท่าเมล็ดข้าวที่สามารถช่วยศัลยแพทย์สมองในการผ่าตัดได้ โรบ็อตนี้ถูกออกแบบมาให้สามารถเคลื่อนที่ได้เองและมีขนาดเล็กพอที่จะเข้าไปในสมองโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อที่ละเอียดอ่อน โรบ็อตนี้จะถูกใช้ในการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อสำหรับการตรวจชิ้นเนื้อในขั้นต้น และในอนาคตอาจถูกใช้ในการส่งยาตรงไปยังส่วนต่างๆ ของสมองหรือฝังอิเล็กโทรดเพื่อรักษาโรคพาร์กินสัน Bertrand Duplat และ Joana Cartocci ผู้ก่อตั้ง Robeauté ได้พัฒนาโรบ็อตนี้หลังจากที่แม่ของ Duplat ถูกวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอกในสมองที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ พวกเขาใช้เวลาห้าปีในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้โดยทำงานร่วมกับห้องปฏิบัติการต่างๆ โรบ็อตนี้ได้รับการทดสอบในสัตว์ทดลองและศพมนุษย์ และหวังว่าจะเริ่มการทดสอบในมนุษย์ในปี 2026 โดยต้องได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ก่อน การพัฒนาโรบ็อตนี้เป็นก้าวสำคัญในการผ่าตัดสมองที่มีความแม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการผ่าตัดและเพิ่มโอกาสในการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับสมอง https://www.techspot.com/news/106402-robots-size-rice-grains-aim-revolutionize-brain-surgery.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Robots the size of rice grains aim to revolutionize brain surgery
    Existing solutions often involve stiff, invasive tools that can cause major damage to sensitive brain tissue. Robeauté's bot, which is roughly the size of a grain of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta ได้คาดการณ์ว่า AI อาจเข้ามาแทนที่วิศวกรระดับกลางในปี 2025 และเปลี่ยนแปลงการเขียนโค้ดอย่างสิ้นเชิง ในการสัมภาษณ์กับ Joe Rogan Zuckerberg กล่าวถึงทิศทางของบริษัทและการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น โดยเขาได้วิจารณ์ Apple ว่าขาดนวัตกรรมและคาดการณ์ว่า AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเขียนโค้ด

    Zuckerberg กล่าวว่า AI จะสามารถทำหน้าที่เป็นวิศวกรระดับกลางที่สามารถเขียนโค้ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้วิศวกรมีเวลามากขึ้นในการทำงานที่สร้างสรรค์และเชิงกลยุทธ์ แม้ว่าในช่วงแรกการนำ AI มาใช้จะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่เมื่อเวลาผ่านไป AI จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถพัฒนาโค้ดได้มากกว่ามนุษย์

    การคาดการณ์นี้สอดคล้องกับการพัฒนาในวงการเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งอาจมีผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีโดยรวม นอกจากนี้ ซีอีโอของ Salesforce ยังได้กล่าวถึงการพิจารณาการจ้างวิศวกรซอฟต์แวร์ในปี 2025 และการใช้ AI ในการทำงานแทนมนุษย์

    การนำ AI มาใช้ในงานวิศวกรรมอาจทำให้บทบาทของวิศวกรเปลี่ยนแปลงไป และต้องใช้เวลาและความพยายามในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้

    https://wccftech.com/mark-zuckerberg-predicts-ai-might-replace-mid-level-engineers-in-2025-and-completely-reshape-coding/
    Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta ได้คาดการณ์ว่า AI อาจเข้ามาแทนที่วิศวกรระดับกลางในปี 2025 และเปลี่ยนแปลงการเขียนโค้ดอย่างสิ้นเชิง ในการสัมภาษณ์กับ Joe Rogan Zuckerberg กล่าวถึงทิศทางของบริษัทและการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น โดยเขาได้วิจารณ์ Apple ว่าขาดนวัตกรรมและคาดการณ์ว่า AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเขียนโค้ด Zuckerberg กล่าวว่า AI จะสามารถทำหน้าที่เป็นวิศวกรระดับกลางที่สามารถเขียนโค้ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้วิศวกรมีเวลามากขึ้นในการทำงานที่สร้างสรรค์และเชิงกลยุทธ์ แม้ว่าในช่วงแรกการนำ AI มาใช้จะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่เมื่อเวลาผ่านไป AI จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถพัฒนาโค้ดได้มากกว่ามนุษย์ การคาดการณ์นี้สอดคล้องกับการพัฒนาในวงการเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งอาจมีผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีโดยรวม นอกจากนี้ ซีอีโอของ Salesforce ยังได้กล่าวถึงการพิจารณาการจ้างวิศวกรซอฟต์แวร์ในปี 2025 และการใช้ AI ในการทำงานแทนมนุษย์ การนำ AI มาใช้ในงานวิศวกรรมอาจทำให้บทบาทของวิศวกรเปลี่ยนแปลงไป และต้องใช้เวลาและความพยายามในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้ https://wccftech.com/mark-zuckerberg-predicts-ai-might-replace-mid-level-engineers-in-2025-and-completely-reshape-coding/
    WCCFTECH.COM
    Mark Zuckerberg Predicts AI Might Replace Mid-Level Engineers In 2025 And Completely Reshape Coding
    Mark Zuckerberg recently shared his views on a podcast about the role of AI and how it might replace mid level engineers in 2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงข่าวลือเกี่ยวกับการพัฒนา CPU และ GPU รุ่นใหม่ของ AMD โดยมีข้อมูลจากสมาชิกในฟอรัม Chiphell ที่เคยให้ข้อมูลที่ถูกต้องในอดีต

    สำหรับ CPU รุ่นใหม่ของ AMD ที่มีโค้ดเนมว่า "Medusa Ridge" จะใช้เทคโนโลยีการผลิต N3E และมีการอัปเกรด IO die ที่ใช้เทคโนโลยี N4C ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่คุ้มค่าของเทคโนโลยี N4P โดย CPU รุ่นนี้คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2026 หรือต้นปี 2027

    ในส่วนของ GPU รุ่นใหม่ AMD จะเปิดตัวสถาปัตยกรรม UDNA ที่จะมาแทนที่สถาปัตยกรรม RDNA และ CDNA โดยจะใช้เทคโนโลยีการผลิต N3E จาก TSMC สำหรับผลิตภัณฑ์เกม และคาดว่าจะมีการผลิตในปริมาณมากในไตรมาสที่ 2 ของปี 2026 นอกจากนี้ GPU รุ่นนี้ยังจะถูกนำไปใช้ในคอนโซลรุ่นใหม่ เช่น PS6

    นอกจากนี้ AMD ยังมีการอัปเดตเทคโนโลยี 3D Stacking สำหรับ APU รุ่นใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลและการระบายความร้อน

    การพัฒนา CPU และ GPU รุ่นใหม่ของ AMD นี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลและการเล่นเกม ทำให้ผู้ใช้สามารถเพลิดเพลินกับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น

    https://wccftech.com/amd-ryzen-zen-6-cpus-radeon-udna-gpus-utilize-n3e-high-end-gaming-gpus-3d-stacking-for-next-gen-halo-console-apus-rumor/
    บทความนี้กล่าวถึงข่าวลือเกี่ยวกับการพัฒนา CPU และ GPU รุ่นใหม่ของ AMD โดยมีข้อมูลจากสมาชิกในฟอรัม Chiphell ที่เคยให้ข้อมูลที่ถูกต้องในอดีต สำหรับ CPU รุ่นใหม่ของ AMD ที่มีโค้ดเนมว่า "Medusa Ridge" จะใช้เทคโนโลยีการผลิต N3E และมีการอัปเกรด IO die ที่ใช้เทคโนโลยี N4C ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่คุ้มค่าของเทคโนโลยี N4P โดย CPU รุ่นนี้คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2026 หรือต้นปี 2027 ในส่วนของ GPU รุ่นใหม่ AMD จะเปิดตัวสถาปัตยกรรม UDNA ที่จะมาแทนที่สถาปัตยกรรม RDNA และ CDNA โดยจะใช้เทคโนโลยีการผลิต N3E จาก TSMC สำหรับผลิตภัณฑ์เกม และคาดว่าจะมีการผลิตในปริมาณมากในไตรมาสที่ 2 ของปี 2026 นอกจากนี้ GPU รุ่นนี้ยังจะถูกนำไปใช้ในคอนโซลรุ่นใหม่ เช่น PS6 นอกจากนี้ AMD ยังมีการอัปเดตเทคโนโลยี 3D Stacking สำหรับ APU รุ่นใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลและการระบายความร้อน การพัฒนา CPU และ GPU รุ่นใหม่ของ AMD นี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลและการเล่นเกม ทำให้ผู้ใช้สามารถเพลิดเพลินกับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น https://wccftech.com/amd-ryzen-zen-6-cpus-radeon-udna-gpus-utilize-n3e-high-end-gaming-gpus-3d-stacking-for-next-gen-halo-console-apus-rumor/
    WCCFTECH.COM
    AMD's Ryzen "Zen 6" CPUs & Radeon "UDNA" GPUs To Utilize N3E Process, High-End Gaming GPUs & 3D Stacking For Next-Gen Halo & Console APUs Expected
    Rumors regarding AMD's next-gen Ryzen "Zen 6" CPU & Radeon "UDNA" GPUs have been shared along with next-gen 3D stacking updates.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel Foundry ได้ประกาศการเข้าร่วมของลูกค้าใหม่ในโครงการ RAMP-C (Rapid Assured Microelectronics Prototypes - Commercial) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Trusted & Assured Microelectronics (T&AM) ภายใต้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ สำหรับการวิจัยและวิศวกรรม (OUSD (R&E)) ลูกค้าใหม่ที่เข้าร่วมโครงการนี้ได้แก่ Trusted Semiconductor Solutions และ Reliable MicroSystems

    โครงการ RAMP-C ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการผลิต Intel 18A และการบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงสำหรับการผลิตต้นแบบและการผลิตในปริมาณมากของผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์และผลิตภัณฑ์สำหรับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

    Kapil Wadhera รองประธานของ Intel Foundry และผู้จัดการทั่วไปของกลุ่มธุรกิจการบินและอวกาศ กลาโหม และรัฐบาล กล่าวว่า "เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ต้อนรับ Trusted Semiconductor Solutions และ Reliable MicroSystems เข้าร่วมโครงการ RAMP-C ความร่วมมือนี้จะช่วยขับเคลื่อนโซลูชันเซมิคอนดักเตอร์ที่ปลอดภัยและทันสมัย ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของประเทศ เราภูมิใจในบทบาทสำคัญของ Intel Foundry ในการสนับสนุนการป้องกันประเทศของสหรัฐฯ และหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับลูกค้าใหม่ของเราเพื่อพัฒนานวัตกรรมด้วยเทคโนโลยี Intel 18A ของเรา"

    โครงการ RAMP-C ได้รับความสำเร็จอย่างมากตั้งแต่เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2021 โดย Intel Foundry มีบทบาทสำคัญในทุกขั้นตอนของโครงการ ตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยี การสร้างทรัพย์สินทางปัญญา และการเตรียมลูกค้าสำหรับการทดสอบชิปต้นแบบ จนถึงการขยายฐานลูกค้าและการผลิตต้นแบบขั้นสูง

    การขยายการผลิต Intel 18A ช่วยเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกด้วยแหล่งที่เชื่อถือได้และยั่งยืนของเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดสำหรับอุปกรณ์ไมโครอิเล็กทรอนิกส์

    https://www.techpowerup.com/331263/intel-foundry-adds-new-customers-to-ramp-c-project-for-us-defense
    Intel Foundry ได้ประกาศการเข้าร่วมของลูกค้าใหม่ในโครงการ RAMP-C (Rapid Assured Microelectronics Prototypes - Commercial) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Trusted & Assured Microelectronics (T&AM) ภายใต้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ สำหรับการวิจัยและวิศวกรรม (OUSD (R&E)) ลูกค้าใหม่ที่เข้าร่วมโครงการนี้ได้แก่ Trusted Semiconductor Solutions และ Reliable MicroSystems โครงการ RAMP-C ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการผลิต Intel 18A และการบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงสำหรับการผลิตต้นแบบและการผลิตในปริมาณมากของผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์และผลิตภัณฑ์สำหรับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ Kapil Wadhera รองประธานของ Intel Foundry และผู้จัดการทั่วไปของกลุ่มธุรกิจการบินและอวกาศ กลาโหม และรัฐบาล กล่าวว่า "เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ต้อนรับ Trusted Semiconductor Solutions และ Reliable MicroSystems เข้าร่วมโครงการ RAMP-C ความร่วมมือนี้จะช่วยขับเคลื่อนโซลูชันเซมิคอนดักเตอร์ที่ปลอดภัยและทันสมัย ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของประเทศ เราภูมิใจในบทบาทสำคัญของ Intel Foundry ในการสนับสนุนการป้องกันประเทศของสหรัฐฯ และหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับลูกค้าใหม่ของเราเพื่อพัฒนานวัตกรรมด้วยเทคโนโลยี Intel 18A ของเรา" โครงการ RAMP-C ได้รับความสำเร็จอย่างมากตั้งแต่เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2021 โดย Intel Foundry มีบทบาทสำคัญในทุกขั้นตอนของโครงการ ตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยี การสร้างทรัพย์สินทางปัญญา และการเตรียมลูกค้าสำหรับการทดสอบชิปต้นแบบ จนถึงการขยายฐานลูกค้าและการผลิตต้นแบบขั้นสูง การขยายการผลิต Intel 18A ช่วยเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกด้วยแหล่งที่เชื่อถือได้และยั่งยืนของเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดสำหรับอุปกรณ์ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ https://www.techpowerup.com/331263/intel-foundry-adds-new-customers-to-ramp-c-project-for-us-defense
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Intel Foundry Adds New Customers to RAMP-C Project for US Defense
    Intel Foundry has announced the onboarding of new defense industrial base (DIB) customers, Trusted Semiconductor Solutions and Reliable MicroSystems, as part of the third phase of the Rapid Assured Microelectronics Prototypes - Commercial (RAMP-C) efforts under the Trusted & Assured Microelectronics...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานว่า Intel อาจถูกเข้าซื้อกิจการ โดยมีการคาดการณ์ว่าบริษัทที่ไม่ระบุชื่อกำลังพิจารณาการเข้าซื้อกิจการของ Intel Corporation อย่างจริงจัง รายงานจาก SemiAccurate ระบุว่ามีการแชร์บันทึกภายในระหว่างกลุ่มผู้บริหารระดับสูงของบริษัทที่ไม่ระบุชื่อ ซึ่งบันทึกนี้ได้รับการยืนยันความถูกต้องจากแหล่งข่าวภายในระดับสูงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าการซื้อกิจการของ Intel อาจอยู่ในระหว่างการพิจารณาอย่างจริงจัง

    รายงานระบุว่าผู้ซื้อที่มีศักยภาพมีทรัพยากรทางการเงินเพียงพอที่จะซื้อ Intel ได้ทั้งหมด โดยพิจารณาจากมูลค่าตลาดปัจจุบันของบริษัท นอกจากนี้ ผู้ซื้อที่มีศักยภาพนี้ยังไม่เคยถูกระบุชื่อในบทสนทนาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับอนาคตของ Intel ซึ่งบ่งชี้ว่าการวางแผนเกิดขึ้นเบื้องหลัง

    การพยายามซื้อ Intel จะต้องผ่านการตรวจสอบด้านกฎระเบียบอย่างละเอียด เนื่องจากบทบาทของบริษัทในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์สำหรับการใช้งานทั้งเชิงพาณิชย์และรัฐบาล หน่วยงานกำกับดูแลจะต้องประเมินประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ ความเสถียรของห่วงโซ่อุปทาน และผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาดชิปทั่วโลก

    แม้ว่า Intel และผู้ซื้อที่ไม่ระบุชื่อจะยังไม่ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับข่าวลือนี้ แต่เรากำลังจับตาดูสัญญาณของการเจรจาอย่างเป็นทางการ การเปลี่ยนแปลงความเป็นเจ้าของของ Intel จะต้องเป็นไปในประเทศ เนื่องจาก Intel เป็นแหล่งสำคัญของภาคเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ หากข้อตกลงเกิดขึ้นจริง จะเป็นหนึ่งในธุรกรรมที่ใหญ่ที่สุดในวงการเทคโนโลยี

    https://www.techpowerup.com/331264/report-intel-could-face-acquisition-units-to-remain-together
    มีรายงานว่า Intel อาจถูกเข้าซื้อกิจการ โดยมีการคาดการณ์ว่าบริษัทที่ไม่ระบุชื่อกำลังพิจารณาการเข้าซื้อกิจการของ Intel Corporation อย่างจริงจัง รายงานจาก SemiAccurate ระบุว่ามีการแชร์บันทึกภายในระหว่างกลุ่มผู้บริหารระดับสูงของบริษัทที่ไม่ระบุชื่อ ซึ่งบันทึกนี้ได้รับการยืนยันความถูกต้องจากแหล่งข่าวภายในระดับสูงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าการซื้อกิจการของ Intel อาจอยู่ในระหว่างการพิจารณาอย่างจริงจัง รายงานระบุว่าผู้ซื้อที่มีศักยภาพมีทรัพยากรทางการเงินเพียงพอที่จะซื้อ Intel ได้ทั้งหมด โดยพิจารณาจากมูลค่าตลาดปัจจุบันของบริษัท นอกจากนี้ ผู้ซื้อที่มีศักยภาพนี้ยังไม่เคยถูกระบุชื่อในบทสนทนาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับอนาคตของ Intel ซึ่งบ่งชี้ว่าการวางแผนเกิดขึ้นเบื้องหลัง การพยายามซื้อ Intel จะต้องผ่านการตรวจสอบด้านกฎระเบียบอย่างละเอียด เนื่องจากบทบาทของบริษัทในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์สำหรับการใช้งานทั้งเชิงพาณิชย์และรัฐบาล หน่วยงานกำกับดูแลจะต้องประเมินประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ ความเสถียรของห่วงโซ่อุปทาน และผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาดชิปทั่วโลก แม้ว่า Intel และผู้ซื้อที่ไม่ระบุชื่อจะยังไม่ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับข่าวลือนี้ แต่เรากำลังจับตาดูสัญญาณของการเจรจาอย่างเป็นทางการ การเปลี่ยนแปลงความเป็นเจ้าของของ Intel จะต้องเป็นไปในประเทศ เนื่องจาก Intel เป็นแหล่งสำคัญของภาคเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ หากข้อตกลงเกิดขึ้นจริง จะเป็นหนึ่งในธุรกรรมที่ใหญ่ที่สุดในวงการเทคโนโลยี https://www.techpowerup.com/331264/report-intel-could-face-acquisition-units-to-remain-together
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Report: Intel Could Face Acquisition, Units to Remain Together
    Multiple sources say an unidentified corporation is exploring the complete acquisition of Intel Corporation, according to tech publication SemiAccurate. The report points to an internal memo shared among a small group of top executives at the unnamed firm. A high-level insider confirmed the memo's l...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงความท้าทายที่ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) เผชิญในการขยายการผลิตชิปในสหรัฐอเมริกา แม้ว่ากฎหมายของไต้หวันจะอนุญาตให้ TSMC ส่งออกเทคโนโลยีการผลิตล่าสุดไปยังโรงงานในต่างประเทศได้ แต่การดำเนินการนี้ยังคงมีความซับซ้อนเนื่องจากระยะทางและระบบราชการในสหรัฐอเมริกา

    C.C. Wei ประธานและซีอีโอของ TSMC อธิบายว่า การเพิ่มกำลังการผลิตเทคโนโลยีการผลิตชั้นนำในสหรัฐอเมริกานั้นซับซ้อน เนื่องจากโรงงานในรัฐแอริโซนาอยู่ห่างไกลจากทีมวิจัยและพัฒนาในไต้หวัน ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีให้เหมาะสมกับเป้าหมายที่กำหนด นอกจากนี้ ระบบราชการในสหรัฐอเมริกายังทำให้การก่อสร้างโรงงานใช้เวลานานกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับไต้หวัน และมีค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามกฎระเบียบสูงถึง 35 ล้านดอลลาร์

    นอกจากนี้ การขาดแคลนซัพพลายเชนที่ยืดหยุ่นในสหรัฐอเมริกายังทำให้ TSMC ต้องขนส่งสารเคมีจากไต้หวันไปยังลอสแอนเจลิสและจากนั้นไปยังแอริโซนา ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายในการผลิต

    การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตใหม่ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ เช่น การออกแบบโรงงานใหม่เพื่อรองรับเครื่องมือ EUV ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและการใช้สารเคมีใหม่ที่จำเป็นสำหรับเทคโนโลยีการผลิตใหม่

    การขยายการผลิตชิปในสหรัฐอเมริกายังคงเป็นความท้าทายที่ TSMC ต้องเผชิญ เนื่องจากความซับซ้อนของเทคโนโลยีและระบบราชการที่เข้มงวดในสหรัฐอเมริกา

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/bureaucracy-and-distance-mean-tsmcs-u-s-fabs-may-always-be-behind-taiwan
    บทความนี้กล่าวถึงความท้าทายที่ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) เผชิญในการขยายการผลิตชิปในสหรัฐอเมริกา แม้ว่ากฎหมายของไต้หวันจะอนุญาตให้ TSMC ส่งออกเทคโนโลยีการผลิตล่าสุดไปยังโรงงานในต่างประเทศได้ แต่การดำเนินการนี้ยังคงมีความซับซ้อนเนื่องจากระยะทางและระบบราชการในสหรัฐอเมริกา C.C. Wei ประธานและซีอีโอของ TSMC อธิบายว่า การเพิ่มกำลังการผลิตเทคโนโลยีการผลิตชั้นนำในสหรัฐอเมริกานั้นซับซ้อน เนื่องจากโรงงานในรัฐแอริโซนาอยู่ห่างไกลจากทีมวิจัยและพัฒนาในไต้หวัน ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีให้เหมาะสมกับเป้าหมายที่กำหนด นอกจากนี้ ระบบราชการในสหรัฐอเมริกายังทำให้การก่อสร้างโรงงานใช้เวลานานกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับไต้หวัน และมีค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามกฎระเบียบสูงถึง 35 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ การขาดแคลนซัพพลายเชนที่ยืดหยุ่นในสหรัฐอเมริกายังทำให้ TSMC ต้องขนส่งสารเคมีจากไต้หวันไปยังลอสแอนเจลิสและจากนั้นไปยังแอริโซนา ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายในการผลิต การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตใหม่ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ เช่น การออกแบบโรงงานใหม่เพื่อรองรับเครื่องมือ EUV ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและการใช้สารเคมีใหม่ที่จำเป็นสำหรับเทคโนโลยีการผลิตใหม่ การขยายการผลิตชิปในสหรัฐอเมริกายังคงเป็นความท้าทายที่ TSMC ต้องเผชิญ เนื่องจากความซับซ้อนของเทคโนโลยีและระบบราชการที่เข้มงวดในสหรัฐอเมริกา https://www.tomshardware.com/tech-industry/bureaucracy-and-distance-mean-tsmcs-u-s-fabs-may-always-be-behind-taiwan
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Bureaucracy and distance mean TSMC's U.S. fabs may always be behind Taiwan
    TSMC says it is close to impossible to ramp up a leading-edge node in the U.S.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงยังไม่มีโอกาสได้ใช้ PCIe 5.0 เลย แผนการพัฒนา PCIe 7.0 ก็กำลีงจะมา

    กลุ่มผู้กำหนดมาตรฐาน PCIe (PCI-SIG) ได้เผยแพร่ร่างข้อกำหนดสำหรับ PCIe 7.0 โดยคาดว่าจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2025. PCIe 7.0 มีเป้าหมายที่จะเพิ่มขีดจำกัดของ PCIe 6.0 เป็นสองเท่า โดยมีอัตราบิตดิบสูงสุดที่ 128GT/s และความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลแบบสองทิศทางที่ 512GB/s ในการกำหนดค่าแบบ 16 เลน

    การพัฒนา PCIe 7.0 จะใช้เทคโนโลยี Pulse Amplitude Modulation with 4 levels (PAM4) ซึ่งช่วยให้สามารถเข้ารหัสข้อมูลได้สองบิตต่อรอบนาฬิกา ทำให้เพิ่มอัตราการถ่ายโอนข้อมูลเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่ใช้ใน PCIe 4.0 และ PCIe 5.0

    แม้ว่าข้อกำหนด PCIe 7.0 จะได้รับการเผยแพร่ในปี 2025 แต่การนำไปใช้ในตลาดอาจใช้เวลานาน เนื่องจากข้อกำหนด PCIe 5.0 ที่เผยแพร่ในปี 2019 ก็ใช้เวลาถึงปี 2023 กว่าจะมี SSD ที่รองรับ PCIe 5.0 วางจำหน่ายในร้านค้าปลีก

    นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ เช่น อุณหภูมิการทำงานที่สูงขึ้น ซึ่งทำให้ต้องมีการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    การพัฒนา PCIe 7.0 เป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมต่อฮาร์ดแวร์ที่ทันสมัยและเพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายโอนข้อมูล ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคตไม่ถูกจำกัดโดยข้อกำหนดการเชื่อมต่อ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/pcie-standards-group-releases-draft-specification-for-pcie-7-0-full-release-expected-in-2025
    ลุงยังไม่มีโอกาสได้ใช้ PCIe 5.0 เลย แผนการพัฒนา PCIe 7.0 ก็กำลีงจะมา กลุ่มผู้กำหนดมาตรฐาน PCIe (PCI-SIG) ได้เผยแพร่ร่างข้อกำหนดสำหรับ PCIe 7.0 โดยคาดว่าจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2025. PCIe 7.0 มีเป้าหมายที่จะเพิ่มขีดจำกัดของ PCIe 6.0 เป็นสองเท่า โดยมีอัตราบิตดิบสูงสุดที่ 128GT/s และความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลแบบสองทิศทางที่ 512GB/s ในการกำหนดค่าแบบ 16 เลน การพัฒนา PCIe 7.0 จะใช้เทคโนโลยี Pulse Amplitude Modulation with 4 levels (PAM4) ซึ่งช่วยให้สามารถเข้ารหัสข้อมูลได้สองบิตต่อรอบนาฬิกา ทำให้เพิ่มอัตราการถ่ายโอนข้อมูลเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่ใช้ใน PCIe 4.0 และ PCIe 5.0 แม้ว่าข้อกำหนด PCIe 7.0 จะได้รับการเผยแพร่ในปี 2025 แต่การนำไปใช้ในตลาดอาจใช้เวลานาน เนื่องจากข้อกำหนด PCIe 5.0 ที่เผยแพร่ในปี 2019 ก็ใช้เวลาถึงปี 2023 กว่าจะมี SSD ที่รองรับ PCIe 5.0 วางจำหน่ายในร้านค้าปลีก นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ เช่น อุณหภูมิการทำงานที่สูงขึ้น ซึ่งทำให้ต้องมีการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การพัฒนา PCIe 7.0 เป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมต่อฮาร์ดแวร์ที่ทันสมัยและเพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายโอนข้อมูล ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคตไม่ถูกจำกัดโดยข้อกำหนดการเชื่อมต่อ https://www.tomshardware.com/tech-industry/pcie-standards-group-releases-draft-specification-for-pcie-7-0-full-release-expected-in-2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • ChatGPT ใช้น้ำเยอะเกินไปจนไม่พอดับไฟป่าแคลิฟอร์เนียจริงหรือ?

    ในช่วงที่เกิดไฟป่ารุนแรงในแคลิฟอร์เนีย ผู้ใช้โซเชียลมีเดียเริ่มมองหาผู้รับผิดชอบในการดับไฟป่า และมีการกล่าวโทษว่าโมเดล AI อย่าง ChatGPT ใช้น้ำเยอะเกินไปจนทำให้น้ำไม่พอดับไฟป่า โดยมีการรณรงค์ให้ชาวแคลิฟอร์เนียหยุดใช้งาน ChatGPT เพื่อประหยัดน้ำ

    การฝึกโมเดล AI ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล ซึ่งทำให้เกิดความร้อนสูงและต้องใช้น้ำในการระบายความร้อน ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ขอให้ ChatGPT เขียนอีเมล 1 ฉบับต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 1 ปี ChatGPT จะใช้น้ำ 27 ลิตร และหากชาวอเมริกัน 1 ใน 10 คน หรือ 16 ล้านคนทำเช่นเดียวกันนี้ จะต้องใช้น้ำมากกว่า 435 ล้านลิตร

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำในเขตเมืองออกความเห็นว่า การใช้น้ำของ AI ไม่ใช่ตัวการทำให้มีน้ำไม่พอดับไฟ แต่เป็นเพราะระบบน้ำที่มีอยู่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือภัยพิบัติระดับนี้ เหตุไฟไหม้ป่าลอสแองเจลิส แคลิฟอร์เนีย ถือว่ารุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมือง โดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 25 คน และพื้นที่เสียหายกว่า 40,000 เอเคอร์

    ChatGPT รวมถึงโมเดล AI อื่นๆ มีรอยเท้าคาร์บอนจำนวนมาก ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดสภาพอากาศแห้งแล้งและอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดไฟป่าและลุกลามรวดเร็วเมื่อผนวกกับลมแรง

    การใช้น้ำของ ChatGPT และโมเดล AI อื่นๆ เป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดไฟป่าและน้ำไม่พอดับไฟ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการย้ายศูนย์ข้อมูลไปยังพื้นที่ที่อากาศหนาวเย็นกว่าเดิม หรือการใช้เทคโนโลยีการหล่อเย็นแบบจุ่ม (immersion cooling) อาจช่วยลดการใช้น้ำได้

    ในขณะที่นักรณรงค์บนโซเชียลมีเดียบอกว่า หากอยากประหยัดน้ำจริง หยุดใช้ ChatGPT คงไม่พอ คงต้องหยุดใช้โมเดล AI อื่นๆ ด้วย เช่น Claude, Grok, Gemini, Copilot, Midjourney, Leonardo, DALL-E, Firefly, ElevenLabs, Shortwave, Runway, Mem, Suno, Jasper, Notion, Bard, Alphacode, MetaAI, Wordtune และ Stable Diffusion

    การจัดการน้ำในแคลิฟอร์เนียยังคงเป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดภัยพิบัติระดับใหญ่เช่นนี้

    ขอบคุณบทความจากเวบ Thairath ครับ

    https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/105099
    ChatGPT ใช้น้ำเยอะเกินไปจนไม่พอดับไฟป่าแคลิฟอร์เนียจริงหรือ? ในช่วงที่เกิดไฟป่ารุนแรงในแคลิฟอร์เนีย ผู้ใช้โซเชียลมีเดียเริ่มมองหาผู้รับผิดชอบในการดับไฟป่า และมีการกล่าวโทษว่าโมเดล AI อย่าง ChatGPT ใช้น้ำเยอะเกินไปจนทำให้น้ำไม่พอดับไฟป่า โดยมีการรณรงค์ให้ชาวแคลิฟอร์เนียหยุดใช้งาน ChatGPT เพื่อประหยัดน้ำ การฝึกโมเดล AI ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล ซึ่งทำให้เกิดความร้อนสูงและต้องใช้น้ำในการระบายความร้อน ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ขอให้ ChatGPT เขียนอีเมล 1 ฉบับต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 1 ปี ChatGPT จะใช้น้ำ 27 ลิตร และหากชาวอเมริกัน 1 ใน 10 คน หรือ 16 ล้านคนทำเช่นเดียวกันนี้ จะต้องใช้น้ำมากกว่า 435 ล้านลิตร อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำในเขตเมืองออกความเห็นว่า การใช้น้ำของ AI ไม่ใช่ตัวการทำให้มีน้ำไม่พอดับไฟ แต่เป็นเพราะระบบน้ำที่มีอยู่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือภัยพิบัติระดับนี้ เหตุไฟไหม้ป่าลอสแองเจลิส แคลิฟอร์เนีย ถือว่ารุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมือง โดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 25 คน และพื้นที่เสียหายกว่า 40,000 เอเคอร์ ChatGPT รวมถึงโมเดล AI อื่นๆ มีรอยเท้าคาร์บอนจำนวนมาก ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดสภาพอากาศแห้งแล้งและอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดไฟป่าและลุกลามรวดเร็วเมื่อผนวกกับลมแรง การใช้น้ำของ ChatGPT และโมเดล AI อื่นๆ เป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดไฟป่าและน้ำไม่พอดับไฟ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการย้ายศูนย์ข้อมูลไปยังพื้นที่ที่อากาศหนาวเย็นกว่าเดิม หรือการใช้เทคโนโลยีการหล่อเย็นแบบจุ่ม (immersion cooling) อาจช่วยลดการใช้น้ำได้ ในขณะที่นักรณรงค์บนโซเชียลมีเดียบอกว่า หากอยากประหยัดน้ำจริง หยุดใช้ ChatGPT คงไม่พอ คงต้องหยุดใช้โมเดล AI อื่นๆ ด้วย เช่น Claude, Grok, Gemini, Copilot, Midjourney, Leonardo, DALL-E, Firefly, ElevenLabs, Shortwave, Runway, Mem, Suno, Jasper, Notion, Bard, Alphacode, MetaAI, Wordtune และ Stable Diffusion การจัดการน้ำในแคลิฟอร์เนียยังคงเป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดภัยพิบัติระดับใหญ่เช่นนี้ ขอบคุณบทความจากเวบ Thairath ครับ https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/105099
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพสหรัฐฯ กำลังร่วมมือกับบริษัท Skyryse เพื่อพัฒนาระบบปฏิบัติการใหม่ที่เรียกว่า "SkyOS" ซึ่งจะทำให้เฮลิคอปเตอร์ UH-60 Black Hawk สามารถบินได้ง่ายขึ้นและอาจไม่ต้องมีนักบินบนเครื่อง ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อทำให้การควบคุมเฮลิคอปเตอร์เป็นเรื่องง่าย โดยใช้หน้าจอสัมผัสและคอนโทรลเลอร์แบบสติ๊กข้างเดียว

    SkyOS ใช้การแมปภูมิประเทศแบบ 3 มิติอัจฉริยะเพื่อเตือนนักบินถึงอันตราย และสามารถรักษาการลอยตัวได้อย่างมั่นคงด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว นอกจากนี้ยังมีระบบสำรองการบินแบบ fly-by-wire ที่มีความน่าเชื่อถือสูง

    ปัจจุบันการฝึกนักบินเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพสหรัฐฯ ใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี แต่ SkyOS มีเป้าหมายที่จะลดระยะเวลานี้ลงอย่างมาก และอาจทำให้เกือบทุกคนสามารถบินเฮลิคอปเตอร์ได้ด้วยการฝึกพื้นฐาน แม้ว่าจะไม่ใช่เจตนาของกองทัพก็ตาม

    ระบบนี้ยังสามารถทำให้เฮลิคอปเตอร์ Black Hawk บินได้โดยไม่ต้องมีนักบินในภารกิจที่มีความเสี่ยงสูง การติดตั้ง SkyOS ในเฮลิคอปเตอร์จะต้องมีการปรับปรุงฮาร์ดแวร์และการเดินสายไฟใหม่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและจะดำเนินการเป็นระยะเวลาหลายปี

    การพัฒนานี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการทำให้การบินเป็นเรื่องง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติและอินเตอร์เฟซอัจฉริยะ

    https://www.techspot.com/news/106380-new-operating-system-could-us-army-black-hawk.html
    กองทัพสหรัฐฯ กำลังร่วมมือกับบริษัท Skyryse เพื่อพัฒนาระบบปฏิบัติการใหม่ที่เรียกว่า "SkyOS" ซึ่งจะทำให้เฮลิคอปเตอร์ UH-60 Black Hawk สามารถบินได้ง่ายขึ้นและอาจไม่ต้องมีนักบินบนเครื่อง ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อทำให้การควบคุมเฮลิคอปเตอร์เป็นเรื่องง่าย โดยใช้หน้าจอสัมผัสและคอนโทรลเลอร์แบบสติ๊กข้างเดียว SkyOS ใช้การแมปภูมิประเทศแบบ 3 มิติอัจฉริยะเพื่อเตือนนักบินถึงอันตราย และสามารถรักษาการลอยตัวได้อย่างมั่นคงด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว นอกจากนี้ยังมีระบบสำรองการบินแบบ fly-by-wire ที่มีความน่าเชื่อถือสูง ปัจจุบันการฝึกนักบินเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพสหรัฐฯ ใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี แต่ SkyOS มีเป้าหมายที่จะลดระยะเวลานี้ลงอย่างมาก และอาจทำให้เกือบทุกคนสามารถบินเฮลิคอปเตอร์ได้ด้วยการฝึกพื้นฐาน แม้ว่าจะไม่ใช่เจตนาของกองทัพก็ตาม ระบบนี้ยังสามารถทำให้เฮลิคอปเตอร์ Black Hawk บินได้โดยไม่ต้องมีนักบินในภารกิจที่มีความเสี่ยงสูง การติดตั้ง SkyOS ในเฮลิคอปเตอร์จะต้องมีการปรับปรุงฮาร์ดแวร์และการเดินสายไฟใหม่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและจะดำเนินการเป็นระยะเวลาหลายปี การพัฒนานี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการทำให้การบินเป็นเรื่องง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติและอินเตอร์เฟซอัจฉริยะ https://www.techspot.com/news/106380-new-operating-system-could-us-army-black-hawk.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    New operating system could let US army Black Hawk helicopters be piloted with basic training
    The US Army is teaming up with a company called Skyryse to make their massive fleet of over 2,100 UH-60 Black Hawks significantly smarter and easier to operate.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพสวีเดนได้ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยีฝูงโดรนที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งสามารถควบคุมโดรนได้ถึง 100 เครื่องโดยผู้ควบคุมเพียงคนเดียว ระบบนี้พัฒนาโดยความร่วมมือกับบริษัท Saab ผู้ผลิตเครื่องบินรบ Saab JAS 39 Gripen และใช้เวลาเพียง 12 เดือนในการสร้าง

    หน่วยทหารราบ I 13 ที่ตั้งอยู่ในเมืองฟาลุน สวีเดน จะเป็นหน่วยแรกที่ได้รับเทคโนโลยีนี้ และคาดว่าจะมีการทดสอบในระหว่างการฝึกซ้อมทางทหาร Arctic Strike ในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ การพัฒนานี้เป็นผลมาจากการใช้โดรนอย่างแพร่หลายในสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเทคโนโลยีได้พัฒนาอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยให้ยูเครนป้องกันการรุกราน

    ข้อได้เปรียบใหญ่ของระบบนี้คือไม่จำเป็นต้องใช้โดรนที่ออกแบบมาเฉพาะทางทหาร สามารถติดตั้งบนโดรนที่มีจำหน่ายในท้องตลาดและเปลี่ยนให้เป็นฝูงโดรนที่ทำงานร่วมกันได้อย่างอัตโนมัติ โดรนเหล่านี้สามารถใช้ในการสอดแนมและกลับมาชาร์จพลังงานเองเมื่อถึงขีดจำกัดของระยะการทำงาน

    นอกจากนี้ ระบบยังสามารถอัปเดตและเปลี่ยนแปลงซอฟต์แวร์ให้ตรงกับความต้องการของกองทัพได้ และมีการเสนอว่าอาจจะอัปเกรดให้โดรนสามารถบรรทุกระเบิดได้ ซึ่งจะทำให้สามารถโจมตีได้โดยไม่ต้องมีนักบินโดรนที่มีทักษะสูง

    แม้ว่าเทคโนโลยีนี้จะดูมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้งาน โดยหวังว่า Saab และกองทัพสวีเดนจะเพิ่มมาตรการความปลอดภัยในโปรแกรมของฝูงโดรน AI นี้ก่อนที่จะนำไปใช้ในการโจมตี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/swedish-armys-new-ai-drone-swarm-technology-can-control-up-to-100-devices
    กองทัพสวีเดนได้ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยีฝูงโดรนที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งสามารถควบคุมโดรนได้ถึง 100 เครื่องโดยผู้ควบคุมเพียงคนเดียว ระบบนี้พัฒนาโดยความร่วมมือกับบริษัท Saab ผู้ผลิตเครื่องบินรบ Saab JAS 39 Gripen และใช้เวลาเพียง 12 เดือนในการสร้าง หน่วยทหารราบ I 13 ที่ตั้งอยู่ในเมืองฟาลุน สวีเดน จะเป็นหน่วยแรกที่ได้รับเทคโนโลยีนี้ และคาดว่าจะมีการทดสอบในระหว่างการฝึกซ้อมทางทหาร Arctic Strike ในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ การพัฒนานี้เป็นผลมาจากการใช้โดรนอย่างแพร่หลายในสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเทคโนโลยีได้พัฒนาอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยให้ยูเครนป้องกันการรุกราน ข้อได้เปรียบใหญ่ของระบบนี้คือไม่จำเป็นต้องใช้โดรนที่ออกแบบมาเฉพาะทางทหาร สามารถติดตั้งบนโดรนที่มีจำหน่ายในท้องตลาดและเปลี่ยนให้เป็นฝูงโดรนที่ทำงานร่วมกันได้อย่างอัตโนมัติ โดรนเหล่านี้สามารถใช้ในการสอดแนมและกลับมาชาร์จพลังงานเองเมื่อถึงขีดจำกัดของระยะการทำงาน นอกจากนี้ ระบบยังสามารถอัปเดตและเปลี่ยนแปลงซอฟต์แวร์ให้ตรงกับความต้องการของกองทัพได้ และมีการเสนอว่าอาจจะอัปเกรดให้โดรนสามารถบรรทุกระเบิดได้ ซึ่งจะทำให้สามารถโจมตีได้โดยไม่ต้องมีนักบินโดรนที่มีทักษะสูง แม้ว่าเทคโนโลยีนี้จะดูมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้งาน โดยหวังว่า Saab และกองทัพสวีเดนจะเพิ่มมาตรการความปลอดภัยในโปรแกรมของฝูงโดรน AI นี้ก่อนที่จะนำไปใช้ในการโจมตี https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/swedish-armys-new-ai-drone-swarm-technology-can-control-up-to-100-devices
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงพาณิชย์ของจีน (MOFCOM) ได้รับการร้องเรียนจากบริษัทในประเทศเกี่ยวกับการให้เงินอุดหนุนที่ไม่เป็นธรรมจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้กฎหมาย CHIPS and Science Act ซึ่งจัดสรรเงิน $52.7 พันล้านสำหรับการผลิต การวิจัย และการพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ

    จีนอ้างว่าเงินอุดหนุนเหล่านี้ทำให้บริษัทชิปของสหรัฐฯ สามารถส่งออกชิปที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัยไปยังจีนในราคาที่ถูกลง ทำให้บริษัทชิปของจีนเสียเปรียบในการแข่งขัน แม้ว่ากฎหมาย CHIPS and Science Act จะมีเป้าหมายเพื่อดึงการผลิตชิปที่ล้ำสมัยกลับมาสู่สหรัฐฯ แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้มอบเงินอุดหนุนให้กับบริษัทที่ผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย เช่น GlobalFoundries และ SkyWater Technologies

    การตรวจสอบนี้เกิดขึ้นในขณะที่จีนกำลังขยายกำลังการผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย โดยคาดว่ากำลังการผลิตชิปของจีนจะเพิ่มขึ้นถึง 60% ในอีกสามปีข้างหน้า และส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย

    การตรวจสอบนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของจีนในการปกป้องอุตสาหกรรมชิปในประเทศและรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-investigates-whether-chips-and-science-act-harms-its-chip-companies
    กระทรวงพาณิชย์ของจีน (MOFCOM) ได้รับการร้องเรียนจากบริษัทในประเทศเกี่ยวกับการให้เงินอุดหนุนที่ไม่เป็นธรรมจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้กฎหมาย CHIPS and Science Act ซึ่งจัดสรรเงิน $52.7 พันล้านสำหรับการผลิต การวิจัย และการพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ จีนอ้างว่าเงินอุดหนุนเหล่านี้ทำให้บริษัทชิปของสหรัฐฯ สามารถส่งออกชิปที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัยไปยังจีนในราคาที่ถูกลง ทำให้บริษัทชิปของจีนเสียเปรียบในการแข่งขัน แม้ว่ากฎหมาย CHIPS and Science Act จะมีเป้าหมายเพื่อดึงการผลิตชิปที่ล้ำสมัยกลับมาสู่สหรัฐฯ แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้มอบเงินอุดหนุนให้กับบริษัทที่ผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย เช่น GlobalFoundries และ SkyWater Technologies การตรวจสอบนี้เกิดขึ้นในขณะที่จีนกำลังขยายกำลังการผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย โดยคาดว่ากำลังการผลิตชิปของจีนจะเพิ่มขึ้นถึง 60% ในอีกสามปีข้างหน้า และส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย การตรวจสอบนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของจีนในการปกป้องอุตสาหกรรมชิปในประเทศและรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-investigates-whether-chips-and-science-act-harms-its-chip-companies
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนกำลังพัฒนาโครงการสถานีพลังงานใหม่ที่สามารถเก็บและแปลงพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศโดยตรง โดยสถานีนี้จะมีขนาดกว้าง 1 กิโลเมตร และสามารถส่งพลังงานแสงอาทิตย์กลับมายังโลกในรูปแบบของรังสีไมโครเวฟ พลังงานที่เก็บได้ในหนึ่งปีจะเทียบเท่ากับปริมาณน้ำมันทั้งหมดที่ยังสามารถสกัดได้จากโลก

    หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำที่อยู่เบื้องหลังแผนพลังงานใหม่นี้คือ Long Lehao ผู้เชี่ยวชาญด้านจรวดและสมาชิกของ Chinese Academy of Engineering Lehao กำลังทำงานกับ Long March 9 (CZ-9) จรวดขนส่งหนักพิเศษของจีนที่เพิ่งได้รับการอัปเดตให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้และสามารถยกน้ำหนักได้อย่างน้อย 136 เมตริกตันจากพื้นผิวโลก

    พลังงานที่เก็บได้ในอวกาศจะมีความหนาแน่นมากกว่าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มาถึงพื้นผิวโลกถึง 10 เท่า เนื่องจากเมฆและบรรยากาศสามารถส่งผลกระทบต่อกระบวนการเก็บพลังงานได้อย่างมาก

    จีนไม่ใช่ประเทศเดียวที่สนใจในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ (SBSP) บริษัทในสหรัฐอเมริกา เช่น Lockheed Martin และ Northrop Grumman องค์การอวกาศยุโรป และองค์การอวกาศญี่ปุ่น กำลังศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการดังกล่าว แม้ว่าจะยังอยู่ในขั้นตอนการพิสูจน์แนวคิด

    ทีมของ Lehao หวังที่จะแก้ไขปัญหาบางประการที่เกี่ยวข้องกับ SBSP โดยใช้เทคโนโลยีจรวดนำกลับมาใช้ใหม่ของตนเองกับโครงการ CZ-9 จีนมีความทะเยอทะยานอย่างมากสำหรับโครงการสำรวจอวกาศของตน โดยมีแผนที่จะใช้จรวด Long March เพื่อสร้างสถานีวิจัยนานาชาติบนพื้นผิวดวงจันทร์ภายในปี 2035

    https://www.techspot.com/news/106382-china-plans-build-massive-space-based-solar-power.html
    จีนกำลังพัฒนาโครงการสถานีพลังงานใหม่ที่สามารถเก็บและแปลงพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศโดยตรง โดยสถานีนี้จะมีขนาดกว้าง 1 กิโลเมตร และสามารถส่งพลังงานแสงอาทิตย์กลับมายังโลกในรูปแบบของรังสีไมโครเวฟ พลังงานที่เก็บได้ในหนึ่งปีจะเทียบเท่ากับปริมาณน้ำมันทั้งหมดที่ยังสามารถสกัดได้จากโลก หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำที่อยู่เบื้องหลังแผนพลังงานใหม่นี้คือ Long Lehao ผู้เชี่ยวชาญด้านจรวดและสมาชิกของ Chinese Academy of Engineering Lehao กำลังทำงานกับ Long March 9 (CZ-9) จรวดขนส่งหนักพิเศษของจีนที่เพิ่งได้รับการอัปเดตให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้และสามารถยกน้ำหนักได้อย่างน้อย 136 เมตริกตันจากพื้นผิวโลก พลังงานที่เก็บได้ในอวกาศจะมีความหนาแน่นมากกว่าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มาถึงพื้นผิวโลกถึง 10 เท่า เนื่องจากเมฆและบรรยากาศสามารถส่งผลกระทบต่อกระบวนการเก็บพลังงานได้อย่างมาก จีนไม่ใช่ประเทศเดียวที่สนใจในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ (SBSP) บริษัทในสหรัฐอเมริกา เช่น Lockheed Martin และ Northrop Grumman องค์การอวกาศยุโรป และองค์การอวกาศญี่ปุ่น กำลังศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการดังกล่าว แม้ว่าจะยังอยู่ในขั้นตอนการพิสูจน์แนวคิด ทีมของ Lehao หวังที่จะแก้ไขปัญหาบางประการที่เกี่ยวข้องกับ SBSP โดยใช้เทคโนโลยีจรวดนำกลับมาใช้ใหม่ของตนเองกับโครงการ CZ-9 จีนมีความทะเยอทะยานอย่างมากสำหรับโครงการสำรวจอวกาศของตน โดยมีแผนที่จะใช้จรวด Long March เพื่อสร้างสถานีวิจัยนานาชาติบนพื้นผิวดวงจันทร์ภายในปี 2035 https://www.techspot.com/news/106382-china-plans-build-massive-space-based-solar-power.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    China's reusable rockets pave the way for space-based solar power
    Chinese researchers are working on a new power station project that could gather and convert solar energy directly from space. The station would be 1 kilometer wide...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • 20 ปี รถไฟฟ้าใต้ดินชนกัน ที่ศูนย์วัฒนธรรม โทษคนเพื่อปกป้องระบบ ความสูญเสียที่กลายเป็นบทเรียนราคาแพง

    ย้อนไปเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2548 เกิดเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือน วงการคมนาคมไทย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินสองขบวน ชนกันที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จนทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน และกลายเป็นกรณีศึกษา เรื่องความปลอดภัย ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย

    เช้าวันที่ 17 มกราคม 2548 เวลา 9.15 น. ในชั่วโมงเร่งด่วน รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน ขบวนลาดพร้าว-หัวลำโพง หมายเลข 1015 ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารกว่า 700 คน ได้จอดรับส่งผู้โดยสา รที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยมีนายวิภูติ จันทนภริน เป็นพนักงานขับรถ ระหว่างที่ขบวนกำลังจะเคลื่อนออกจากสถานี กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รถไฟฟ้าอีกขบวนหนึ่ง หมายเลข 1028 ซึ่งเป็นขบวนเปล่าสำหรับซ่อมบำรุง มีนายนิติพนธ์ นิธิโยสิยานนท์ เป็นพนักงานขับรถ ได้ไหลลงมาจากทางลาดชัน และพุ่งชนกับขบวนที่กำลังให้บริการ

    แรงชนทำให้หน้าขบวนรถ 1028 ยุบเข้าไปกว่า 70 เซนติเมตร อัดก๊อบปี้พนักงานขับรถ ติดคาซา ประตูฉุกเฉินของขบวน 1015 ไม่สามารถใช้งานได้ ส่งผลให้การอพยพผู้โดยสา รต้องรอกุญแจสำรองกว่า 10 นาที

    แรงจากการชน ส่งผลให้ผนังอุโมงค์ใต้ดินิพังถล่มลงมาทับขบวน 1015 ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วสถานี โชคดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ แต่ผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ถูกนำส่งโรงพยาบาลพระราม 9 จำนวน 124 คน โรงพยาบาลกรุงเทพ 21 คน โรงพยาบาลราชวิถี 15 คน โรงพยาบาลตำรวจ 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดีรามคำแหง 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดี 11 คน โรงพยาบาลพระมงกุฏ 11 คน โรงพยาบาลเปาโลสยาม 11 คน โรงพยาบาลสมิติเวช 8 คน โรงพยาบาลเมโย 4 คน โรงพยาบาลปิยะเวท 3 คน โดยมีผู้บาดเจ็บสาหัสถึง 10 คน ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ จากกระดูกแตก และแรงกระแทก

    สาเหตุที่แท้จริง เมื่อระบบและคน ทำงานผิดพลาดร่วมกัน
    หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้น มีการสืบสวนอย่างละเอียด ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน หลักฐานจากกล่องดำของรถไฟฟ้า เผยว่า การชนครั้งนี้ เกิดจากการผสมผสาน ความผิดพลาดของมนุษย์ และปัญหาของระบบควบคุมอัตโนมัติ

    1. ความผิดพลาดในการควบคุมการเดินรถ
    รถไฟขบวน 1028 ซึ่งจอดอยู่ในศูนย์ซ่อมบำรุง ถูกสั่งปลดเบรกมือ ในขณะที่รถยังอยู่บนทางลาด
    เจ้าหน้าที่ควบคุมการเดินรถได้สั่งการให้ "ดัน" ขบวน 1028 เพื่อกลับเข้าสู่รางที่ 3 ซึ่งเป็นรางจ่ายไฟ
    การสั่งการดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยง ที่รถอาจไหลลงมาด้วยความเร็วสูง

    2. ปัญหาจากระบบควบคุมอัตโนมัติ
    ระบบรถไฟฟ้าใต้ดินของกรุงเทพฯ ในขณะนั้น พึ่งพาระบบอัตโนมัติเป็นหลัก แต่กลับพบว่า เกิดการขัดข้องในระบบ ที่ทำให้การควบคุมทั้งสองขบวนรถ ทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ขบวนรถไฟฟ้า หลุดจากการควบคุม และไหลไปชน

    3. การจัดการเบรก และการตัดสินใจที่ผิดพลาด
    รถไฟฟ้าขบวน 1028 ถูกสั่งปลดเบรกมือ โดยไม่ควบคุมความเร็ว ส่งผลให้รถพุ่งชนขบวน 1015 ที่กำลังจอดรับผู้โดยสาร

    รถไฟฟ้าใต้ดิน สายเฉลิมรัชมงคล หรือสายสีน้ำเงิน เปิดใช้เร็วกว่ากำหนดถึง 4 เดือน แต่วิ่งได้เพียง 2 วัน ก็เกิดอุบัติเหตุครั้งแรกขึ้น เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2547 ที่สถานีคลองเตย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินออกจากสถานีหัวลำโพง มุ่งหน้าสถานีบางซื่อ เมื่อระบบเบรกล็อกเองอัตโนมัติ ทำให้ล้อยางเสียดสีกับยาง จนเกิดกลุ่มควันพวยพุ่ง สร้างความแตกตื่นให้กับผู้โดยสาร ต้องอพยพกันชุลมุน

    ต่อมาวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ก็เกิดเหตุการณ์​การจ่ายกระแสไฟฟ้าขัดข้อง ที่สถานีหัวลำโพงถึง 3 จุด ทำให้ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้า ไปยังจุดสับเปลี่ยนรางได้ ทำให้ผู้โดยสารกว่าพันคน ต้องตกค้างที่สถานีสามย่าน และสถานีหัวลำโพง

    เหตุครั้งล่าสุดเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา 17 มกราคม 2548 รถไฟฟ้าใต้ดินขบวน 1028 พุ่งชนประสานงานขบวน 1015 ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ส่วนพนักงานขับรถขบวน 1028 บาดเจ็บสาหัส เรียกได้ว่าเปิดใช้งานมายังไม่ถึง 1 ปี ก็มาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน

    เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงแต่ส่งผล ต่อภาพลักษณ์ของระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ยังทำให้เกิดการตั้งคำถาม ถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย

    1. ความเชื่อมั่นของประชาชนที่ลดลง
    หลังจากเหตุการณ์นี้ ผู้โดยสารจำนวนมาก เริ่มมีความกังวล เกี่ยวกับความปลอดภัย ของการใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการ ลดลงในช่วงเวลานั้น

    2. การปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย
    ตรวจสอบระบบควบคุมการเดินรถ หลังเหตุการณ์นี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้ามาเร่งตรวจสอบ ระบบความปลอดภัย ของรถไฟฟ้าใต้ดิน พนักงานควบคุมการเดินรถ และคนขับ รับการอบรมอย่างเข้มข้นมากขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดข้อผิดพลาด ในอนาคต

    ผลการสอบสวนชี้ว่า เป็นความผิดพลาดของพนักงานควบคุมการเดินรถ ที่อนุญาตให้ปลดเบรกขบวนรถ 1028 ได้ แต่ก็เชื่อได้ว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เป็นเพราะระบบ ไม่ใช่คน เพราะระบบจะควบคุมทั้งหมด สามารถสั่งให้รถวิ่ง หรือหยุดก็ได้คนขับมีหน้าที่เดียว หรือกดเปิดปิดเครื่องเท่านั้น

    แต่จำเป็นต้องมีความพยายามเบี่ยงประเด็น ให้คนเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะหากผลการสอบสอวนระบุว่า เกิดจากระบบ บริษัทที่เกี่ยวข้อง ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทางแพ่ง จำนวนหลายพันล้านบาท

    ทั้งนี้ผ่านมา เคยเกิดเหตุ ขบวนรถที่กลับเข้าศูนย์ซ่อม หยุดที่บริเวณดังกล่าว 2-3 ครั้ง และก็มีการลากจูงเพื่อแก้ปัญหา โชคดีที่ไม่มีการปลดเบรก แต่ครั้งนี้พนักงานปลดเบรกมือ จึงทำให้รถไหลเข้าไปในอุโมงค์ จนชนกันขึ้น

    เหตุการณ์ชนกันของรถไฟใต้ดิน ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความผิดพลาด แต่เป็นบทเรียนสำคัญ ที่ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญ ของมาตรฐานความปลอดภัย ในการขนส่งมวลชน

    1. ความสำคัญของระบบสำรองฉุกเฉิน
    การที่ประตูฉุกเฉิน ไม่สามารถเปิดใช้งานได้ในทันที เป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข อย่างเร่งด่วน เหตุการณ์นี้ จึงนำไปสู่การปรับปรุง ระบบฉุกเฉินในรถไฟฟ้าทุกขบวน

    2. การฝึกอบรม และการปฏิบัติตามมาตรฐาน
    พนักงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีความรู้ และการฝึกอบรมอย่างละเอียด ในทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

    3. การพัฒนาระบบควบคุมอัตโนมัติ
    การพึ่งพาระบบอัตโนมัติอย่างเดียว ไม่เพียงพอ ต้องมีการตรวจสอบระบบ และอัปเดตเทคโนโลยี อย่างสม่ำเสมอ

    การรับมือในอนาคต
    ตรวจสอบระบบอย่างต่อเนื่อง มีการตรวจสอบระบบรถไฟฟ้า และศูนย์ซ่อมบำรุงเป็นประจำ
    เพิ่มอุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น การติดตั้งระบบเบรกฉุกเฉิน ที่สามารถหยุดรถไฟได้ทันที ในกรณีฉุกเฉิน
    สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน การสื่อสารและรายงานความคืบหน้า เกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัย จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น ให้กับผู้ใช้บริการ

    เหตุการณ์รถไฟใต้ดินชนกัน เมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ในประวัติศาสตร์ของระบบขนส่งมวลชนไทย แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ก็เพียงพอที่จะทำให้เราตระหนักถึง ความสำคัญของมาตรการความปลอดภัย ที่เข้มงวดมากขึ้น

    การพัฒนา และปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน ให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ จะเป็นสิ่งที่ช่วยลดโอกาส ในการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคต ได้อย่างแน่นอน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 170912 ม.ค. 2568

    #รถไฟใต้ดิน #เหตุการณ์สำคัญ #ความปลอดภัยในระบบขนส่ง #บทเรียนราคาแพง #ระบบควบคุมอัตโนมัติ #20ปีแห่งบทเรียน #เหตุรถไฟชนกัน #การพัฒนาระบบขนส่ง #มาตรการความปลอดภัย
    20 ปี รถไฟฟ้าใต้ดินชนกัน ที่ศูนย์วัฒนธรรม โทษคนเพื่อปกป้องระบบ ความสูญเสียที่กลายเป็นบทเรียนราคาแพง ย้อนไปเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2548 เกิดเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือน วงการคมนาคมไทย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินสองขบวน ชนกันที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จนทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน และกลายเป็นกรณีศึกษา เรื่องความปลอดภัย ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย เช้าวันที่ 17 มกราคม 2548 เวลา 9.15 น. ในชั่วโมงเร่งด่วน รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน ขบวนลาดพร้าว-หัวลำโพง หมายเลข 1015 ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารกว่า 700 คน ได้จอดรับส่งผู้โดยสา รที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยมีนายวิภูติ จันทนภริน เป็นพนักงานขับรถ ระหว่างที่ขบวนกำลังจะเคลื่อนออกจากสถานี กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รถไฟฟ้าอีกขบวนหนึ่ง หมายเลข 1028 ซึ่งเป็นขบวนเปล่าสำหรับซ่อมบำรุง มีนายนิติพนธ์ นิธิโยสิยานนท์ เป็นพนักงานขับรถ ได้ไหลลงมาจากทางลาดชัน และพุ่งชนกับขบวนที่กำลังให้บริการ แรงชนทำให้หน้าขบวนรถ 1028 ยุบเข้าไปกว่า 70 เซนติเมตร อัดก๊อบปี้พนักงานขับรถ ติดคาซา ประตูฉุกเฉินของขบวน 1015 ไม่สามารถใช้งานได้ ส่งผลให้การอพยพผู้โดยสา รต้องรอกุญแจสำรองกว่า 10 นาที แรงจากการชน ส่งผลให้ผนังอุโมงค์ใต้ดินิพังถล่มลงมาทับขบวน 1015 ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วสถานี โชคดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ แต่ผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ถูกนำส่งโรงพยาบาลพระราม 9 จำนวน 124 คน โรงพยาบาลกรุงเทพ 21 คน โรงพยาบาลราชวิถี 15 คน โรงพยาบาลตำรวจ 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดีรามคำแหง 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดี 11 คน โรงพยาบาลพระมงกุฏ 11 คน โรงพยาบาลเปาโลสยาม 11 คน โรงพยาบาลสมิติเวช 8 คน โรงพยาบาลเมโย 4 คน โรงพยาบาลปิยะเวท 3 คน โดยมีผู้บาดเจ็บสาหัสถึง 10 คน ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ จากกระดูกแตก และแรงกระแทก สาเหตุที่แท้จริง เมื่อระบบและคน ทำงานผิดพลาดร่วมกัน หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้น มีการสืบสวนอย่างละเอียด ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน หลักฐานจากกล่องดำของรถไฟฟ้า เผยว่า การชนครั้งนี้ เกิดจากการผสมผสาน ความผิดพลาดของมนุษย์ และปัญหาของระบบควบคุมอัตโนมัติ 1. ความผิดพลาดในการควบคุมการเดินรถ รถไฟขบวน 1028 ซึ่งจอดอยู่ในศูนย์ซ่อมบำรุง ถูกสั่งปลดเบรกมือ ในขณะที่รถยังอยู่บนทางลาด เจ้าหน้าที่ควบคุมการเดินรถได้สั่งการให้ "ดัน" ขบวน 1028 เพื่อกลับเข้าสู่รางที่ 3 ซึ่งเป็นรางจ่ายไฟ การสั่งการดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยง ที่รถอาจไหลลงมาด้วยความเร็วสูง 2. ปัญหาจากระบบควบคุมอัตโนมัติ ระบบรถไฟฟ้าใต้ดินของกรุงเทพฯ ในขณะนั้น พึ่งพาระบบอัตโนมัติเป็นหลัก แต่กลับพบว่า เกิดการขัดข้องในระบบ ที่ทำให้การควบคุมทั้งสองขบวนรถ ทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ขบวนรถไฟฟ้า หลุดจากการควบคุม และไหลไปชน 3. การจัดการเบรก และการตัดสินใจที่ผิดพลาด รถไฟฟ้าขบวน 1028 ถูกสั่งปลดเบรกมือ โดยไม่ควบคุมความเร็ว ส่งผลให้รถพุ่งชนขบวน 1015 ที่กำลังจอดรับผู้โดยสาร รถไฟฟ้าใต้ดิน สายเฉลิมรัชมงคล หรือสายสีน้ำเงิน เปิดใช้เร็วกว่ากำหนดถึง 4 เดือน แต่วิ่งได้เพียง 2 วัน ก็เกิดอุบัติเหตุครั้งแรกขึ้น เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2547 ที่สถานีคลองเตย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินออกจากสถานีหัวลำโพง มุ่งหน้าสถานีบางซื่อ เมื่อระบบเบรกล็อกเองอัตโนมัติ ทำให้ล้อยางเสียดสีกับยาง จนเกิดกลุ่มควันพวยพุ่ง สร้างความแตกตื่นให้กับผู้โดยสาร ต้องอพยพกันชุลมุน ต่อมาวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ก็เกิดเหตุการณ์​การจ่ายกระแสไฟฟ้าขัดข้อง ที่สถานีหัวลำโพงถึง 3 จุด ทำให้ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้า ไปยังจุดสับเปลี่ยนรางได้ ทำให้ผู้โดยสารกว่าพันคน ต้องตกค้างที่สถานีสามย่าน และสถานีหัวลำโพง เหตุครั้งล่าสุดเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา 17 มกราคม 2548 รถไฟฟ้าใต้ดินขบวน 1028 พุ่งชนประสานงานขบวน 1015 ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ส่วนพนักงานขับรถขบวน 1028 บาดเจ็บสาหัส เรียกได้ว่าเปิดใช้งานมายังไม่ถึง 1 ปี ก็มาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงแต่ส่งผล ต่อภาพลักษณ์ของระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ยังทำให้เกิดการตั้งคำถาม ถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย 1. ความเชื่อมั่นของประชาชนที่ลดลง หลังจากเหตุการณ์นี้ ผู้โดยสารจำนวนมาก เริ่มมีความกังวล เกี่ยวกับความปลอดภัย ของการใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการ ลดลงในช่วงเวลานั้น 2. การปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย ตรวจสอบระบบควบคุมการเดินรถ หลังเหตุการณ์นี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้ามาเร่งตรวจสอบ ระบบความปลอดภัย ของรถไฟฟ้าใต้ดิน พนักงานควบคุมการเดินรถ และคนขับ รับการอบรมอย่างเข้มข้นมากขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดข้อผิดพลาด ในอนาคต ผลการสอบสวนชี้ว่า เป็นความผิดพลาดของพนักงานควบคุมการเดินรถ ที่อนุญาตให้ปลดเบรกขบวนรถ 1028 ได้ แต่ก็เชื่อได้ว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เป็นเพราะระบบ ไม่ใช่คน เพราะระบบจะควบคุมทั้งหมด สามารถสั่งให้รถวิ่ง หรือหยุดก็ได้คนขับมีหน้าที่เดียว หรือกดเปิดปิดเครื่องเท่านั้น แต่จำเป็นต้องมีความพยายามเบี่ยงประเด็น ให้คนเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะหากผลการสอบสอวนระบุว่า เกิดจากระบบ บริษัทที่เกี่ยวข้อง ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทางแพ่ง จำนวนหลายพันล้านบาท ทั้งนี้ผ่านมา เคยเกิดเหตุ ขบวนรถที่กลับเข้าศูนย์ซ่อม หยุดที่บริเวณดังกล่าว 2-3 ครั้ง และก็มีการลากจูงเพื่อแก้ปัญหา โชคดีที่ไม่มีการปลดเบรก แต่ครั้งนี้พนักงานปลดเบรกมือ จึงทำให้รถไหลเข้าไปในอุโมงค์ จนชนกันขึ้น เหตุการณ์ชนกันของรถไฟใต้ดิน ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความผิดพลาด แต่เป็นบทเรียนสำคัญ ที่ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญ ของมาตรฐานความปลอดภัย ในการขนส่งมวลชน 1. ความสำคัญของระบบสำรองฉุกเฉิน การที่ประตูฉุกเฉิน ไม่สามารถเปิดใช้งานได้ในทันที เป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข อย่างเร่งด่วน เหตุการณ์นี้ จึงนำไปสู่การปรับปรุง ระบบฉุกเฉินในรถไฟฟ้าทุกขบวน 2. การฝึกอบรม และการปฏิบัติตามมาตรฐาน พนักงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีความรู้ และการฝึกอบรมอย่างละเอียด ในทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น 3. การพัฒนาระบบควบคุมอัตโนมัติ การพึ่งพาระบบอัตโนมัติอย่างเดียว ไม่เพียงพอ ต้องมีการตรวจสอบระบบ และอัปเดตเทคโนโลยี อย่างสม่ำเสมอ การรับมือในอนาคต ตรวจสอบระบบอย่างต่อเนื่อง มีการตรวจสอบระบบรถไฟฟ้า และศูนย์ซ่อมบำรุงเป็นประจำ เพิ่มอุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น การติดตั้งระบบเบรกฉุกเฉิน ที่สามารถหยุดรถไฟได้ทันที ในกรณีฉุกเฉิน สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน การสื่อสารและรายงานความคืบหน้า เกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัย จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น ให้กับผู้ใช้บริการ เหตุการณ์รถไฟใต้ดินชนกัน เมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ในประวัติศาสตร์ของระบบขนส่งมวลชนไทย แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ก็เพียงพอที่จะทำให้เราตระหนักถึง ความสำคัญของมาตรการความปลอดภัย ที่เข้มงวดมากขึ้น การพัฒนา และปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน ให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ จะเป็นสิ่งที่ช่วยลดโอกาส ในการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคต ได้อย่างแน่นอน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 170912 ม.ค. 2568 #รถไฟใต้ดิน #เหตุการณ์สำคัญ #ความปลอดภัยในระบบขนส่ง #บทเรียนราคาแพง #ระบบควบคุมอัตโนมัติ #20ปีแห่งบทเรียน #เหตุรถไฟชนกัน #การพัฒนาระบบขนส่ง #มาตรการความปลอดภัย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทนายความยุติการเป็นตัวแทน Meta เนื่องจาก "พฤติกรรมที่เป็นพิษและความคลั่งไคล้แบบนีโอนาซี" ของ Mark Zuckerberg

    Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากนักเทคโนโลยีที่ดูเหมือนกิ้งก่าไปเป็นคนที่หลงใหลในศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA) และเรียกร้องให้มีพลังความเป็นชายมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ทนายความ Mark Lemley ยุติการเป็นตัวแทน Meta เนื่องจากไม่สามารถรับใช้ลูกค้าด้วยจิตสำนึกที่ดีได้อีกต่อไป

    Lemley เคยเป็นตัวแทน Meta ในคดีลิขสิทธิ์ปี 2023 ที่บริษัทใช้ชุดข้อมูลที่มีหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่มีลิขสิทธิ์ในการฝึกอบรมโมเดลภาษาใหญ่ (LLMs) ซึ่งเขาเชื่อว่าน่าจะถือเป็นการใช้งานที่เป็นธรรม แต่ปัญหาของเขาอยู่ที่ Zuckerberg และ "วิกฤตวัยกลางคน" ของเขา

    Zuckerberg เริ่มสนใจในศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานในช่วงฤดูร้อนปี 2020 และได้เข้าร่วมการแข่งขัน Brazilian Jiu-Jitsu และฝึกกับนักสู้ UFC ที่เก่งที่สุดบางคน นอกจากนี้เขายังได้แสดงตัวตนใหม่ในพอดแคสต์ของ Joe Rogan โดยกล่าวว่าบริษัทต้องการพลังความเป็นชายมากขึ้น

    การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ Zuckerberg ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการส่งเสริมความเป็นชายที่เป็นพิษและความบ้าคลั่งแบบนีโอนาซี ซึ่งทำให้ Lemley ตัดสินใจยุติการเป็นตัวแทน Meta

    https://www.techspot.com/news/106385-lawyer-drops-meta-client-citing-mark-zuckerberg-toxic.html
    ทนายความยุติการเป็นตัวแทน Meta เนื่องจาก "พฤติกรรมที่เป็นพิษและความคลั่งไคล้แบบนีโอนาซี" ของ Mark Zuckerberg Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากนักเทคโนโลยีที่ดูเหมือนกิ้งก่าไปเป็นคนที่หลงใหลในศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA) และเรียกร้องให้มีพลังความเป็นชายมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ทนายความ Mark Lemley ยุติการเป็นตัวแทน Meta เนื่องจากไม่สามารถรับใช้ลูกค้าด้วยจิตสำนึกที่ดีได้อีกต่อไป Lemley เคยเป็นตัวแทน Meta ในคดีลิขสิทธิ์ปี 2023 ที่บริษัทใช้ชุดข้อมูลที่มีหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่มีลิขสิทธิ์ในการฝึกอบรมโมเดลภาษาใหญ่ (LLMs) ซึ่งเขาเชื่อว่าน่าจะถือเป็นการใช้งานที่เป็นธรรม แต่ปัญหาของเขาอยู่ที่ Zuckerberg และ "วิกฤตวัยกลางคน" ของเขา Zuckerberg เริ่มสนใจในศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานในช่วงฤดูร้อนปี 2020 และได้เข้าร่วมการแข่งขัน Brazilian Jiu-Jitsu และฝึกกับนักสู้ UFC ที่เก่งที่สุดบางคน นอกจากนี้เขายังได้แสดงตัวตนใหม่ในพอดแคสต์ของ Joe Rogan โดยกล่าวว่าบริษัทต้องการพลังความเป็นชายมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ Zuckerberg ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการส่งเสริมความเป็นชายที่เป็นพิษและความบ้าคลั่งแบบนีโอนาซี ซึ่งทำให้ Lemley ตัดสินใจยุติการเป็นตัวแทน Meta https://www.techspot.com/news/106385-lawyer-drops-meta-client-citing-mark-zuckerberg-toxic.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Lawyer drops Meta as client, citing Mark Zuckerberg's "toxic masculinity and Neo-Nazi madness"
    Stanford law professor Mark Lemley represented Meta in a 2023 copyright case in which the company used a data set containing copyrighted e-books to train its LLMs,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.88 : Affirmative Action

    วันนี้อยากจะเล่าเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ Affirmative Action ของมาเลเซียประเทศเพื่อนบ้านของเราครับ

    ในสมัยก่อนนู้น คือ ยุคก่อนปี 1950 นั้น มาเลเซีย (ตอนนั้นเรียก “มลายา”) เป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ครับ อังกฤษเขาเห็นว่าที่มลายานี้ยังขาดแคลลนแรงงานอยู่มาก ก็เลยเปิดรับชาวจีนให้อพยพเข้ามาเป็นแรงงานอยู่ที่มลายา

    ชาวจีนที่อพยพมามลายานั้น ส่วนใหญ่จะมาจากมณฑลฟูเจี้ยนและกวางตุ้ง เหตุที่อพยพมาก็เพราะหนีความอดอยากและยากจนของประเทศจีนในเวลานั้นครับ

    คนจีนเหล่านี้ เบื้องแรกก็มาเป็นแรงงานทำโน่นทำนี่ แต่อยู่ๆไปก็เริ่มเรียนภาษาอังกฤษและเริ่มทำธุรกิจ ชีวิตความเป็นอยู่และรายได้เริ่มดีขึ้นด้วยความขยันตามประสาคนจีน

    นี่คือจุดเริ่มต้นของคนจีนในคาบสมุทรมลายา คิดเป็นสัดส่วนราวๆ 10% ของประชากรทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมลายู

    คนอินเดียก็มีมาอยู่ที่มลายาเหมือนกัน แต่น้อยกว่าคนจีน

    ทีนี้พอถึงปี 1957 อังกฤษคืนเอกราชให้มลายา อำนาจการปกครองรัฐบาลนั้นเป็นของชาวมลายูเกือบ 100%

    ในเวลานั้น ธุรกิจสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในมือของชาวจีน และสำคัญคือ 99% ของนักศึกษาที่เข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยนั้น ล้วนมีแต่ชาวจีนทั้งสิ้น

    นักศึกษาชาวมลายูมีแค่ 1%

    ในคณะที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ ที่เราเรียกว่า STEM นั้น ก็เป็นแบบเดียวกันคือ มีแต่นักศึกษาชาวจีน อันทำให้ชาวจีนมีความรู้สูงกว่าและเจริญงอกงามกว่าชาวมลายูทั้งๆที่ประชากรชาวจีนนั้นมีไม่ถึง 20%

    ก่อให้เกิดความเกลียดชังที่คนมลายูมีต่อคนจีน
    .
    .
    .
    ในปี 1960 รัฐบาลมาเลเซียซึ่งเป็นคนมลายูทั้งหมด จึงดำริโครงการที่ชื่อว่า Affirmative Action เพื่อช่วยชาวมลายู คือ ช่วยเหลือทุกวิถีทางที่จะเพิ่มจำนวนคนมลายูให้เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้

    นำไปสู่การตั้งโควต้านักศึกษา ว่าจะต้องมีคนมลายูเท่านี้และจำกัดจำนวนคนจีนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ

    และที่ช้อคสุดคือ รัฐบาลสั่งเปลี่ยนภาษาที่สอนในมหาลัย จากเดิมที่สอนเป็นภาษาอังกฤษให้เปลี่ยนเป็นภาษามลายูทั้งหมด

    คือ กีดกันคนจีนกันเต็มที่

    ทำให้นักศึกษาจีนที่เก่งๆหัวดีจำนวนมากถอดใจกับการเข้ามหาวิทยาลัย และย้ายไปเรียนที่อเมริกาและยุโรปแทน คนจีนที่มีความรู้สูงจำนวนมากย้ายออกจากมาเลเซีย

    การกีดกันเชื้อชาตินี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สิงคโปร์แยกตัวออกไปตั้งประเทศเอง และภายหลังสิงคโปร์นั้นเจริญงอกงามกว่ามาเลเซียมาก

    (ถ้าจะพูดให้ถูกคือ รัฐบาลมลายูขับไล่นายลี กวน ยูและสิงคโปร์ออกไปครับ)

    แต่กระนั้นความกดดันของรัฐบาลมลายูนี้ก็ก่อให้เกิดผลดีอยู่บ้างคือ ชาวจีนรวมตัวกันสร้างมหาวิทยาลัยเอกชนขึ้นในมาเลเซียหลายแห่ง สอนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเคย เพื่อสอนให้กับชาวจีนและอินเดียที่ได้รับผลกระทบ

    และได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในเวลาต่อมา
    .
    .
    .
    เมื่อกาลเวลาผ่านไป 60 ปี Affirmative Action นี้ก็ยังคงอยู่ในมาเลเซียในรูปแบบของโควต้าเชื้อชาติ

    ผลของ Affirmative Action นี้ ทำให้คนมลายูมีอัตราการเรียนมหาวิทยาลัยสูงขึ้นจริง มีรายได้สูงขึ้นจริง

    แต่ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจยังคงเหมือนเดิม

    คือ ธุรกิจและอุตสาหกรรมภาคเอกชนขนาดใหญ่ในมาเลเซียยังคงอยู่ในมือของคนจีน

    ส่วนคนมลายูนั้นส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในภาครัฐ ที่โดดเด่นขึ้นมาในภาคเอกชนก็มีครับ เช่น แอร์ เอเซีย ที่ก่อตั้งโดยนักธุรกิจมลายู 2 คนครับ

    ในประชากรมาเลเซีย 100 คน มีชาวมลายูราวๆ 70% ชาวจีน 20% ที่เหลือเป็นอินเดีย 8% ครับ

    เมื่อสำรวจรายได้ของคนมาเลเซียในปี 2022 ก็ได้พบว่า หากชาวจีนมีรายได้ 100 บาท ชาวมลายูจะมีรายได้ 70 บาท และชาวอินเดีย 87 บาท

    ชาวมลายูยังคงรายได้ต่ำที่สุดอยู่เช่นเคย แม้จะกีดกันชาวจีนแล้วก็ตาม
    .
    .
    .
    ที่ผมยกเรื่องโครงการ Affirmative Action ขึ้นมานี้ เพราะเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันทั่วโลกมากว่าเป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ (Discrimination) ครับ

    คือ เลือกช่วยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ

    จริงๆแล้วมาเลเซียลอกไอเดียนี้มาจากอเมริกาในปี 1960 ที่ปธน.จอห์น เอฟ เคนเนดี้ นำมาใช้เพื่อให้โอกาสคนดำและเชื้อชาติอื่นได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง

    เพราะหากเอานักเรียนมาสอบแข่งขันกันจริงๆแล้ว ในเวลานั้นนักเรียนผิวขาวชนะขาดลอย เช่นเดียวกับที่นักเรียนจีนในมาเลเซียที่เก่งกว่าเด็กมลายู

    อเมริกาใช้โครงการนี้อยู่หลายรัฐบาล มีการใช้โควต้าเชื้อชาติด้วย จนกระทั่งศาลสูงของอเมริกาสั่งยกเลิกระบบนี้ในการคัดเลือกนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย

    และปัจจุบันอเมริกาก็เอานโยบายคล้ายๆกันนี้กลับเข้ามาใช้อีกในรูปแบบของ DEI (Diversity, Equity and Inclusion) คือ ให้เอาเชื้อชาติเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณารับคนเข้าทำงาน โดยเฉพาะในหน่วยงานรัฐบาล

    คือ ในหนึ่งองค์กรจะต้องมีคนจากทุกเชื้อชาติให้ได้มากที่สุด

    เรื่อง DEI นี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อทรัมป์ถูกพยายามลอบสังหารและมีภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจลับหญิงอ้วนที่เงอะๆงั่นๆทำอะไรไม่ถูกยืนอยู่ข้างๆทรัมป์

    ชาวเน็ทอเมริกันจึงจัดทัวร์ไปลงว่า “DEI ทำให้เราไม่ได้จ้างคนจากฝีมือและความสามารถ”
    .
    .
    .
    ผมนั่งดูๆเรื่องนี้แล้ว ก็บังเกิดความเห็นใจทั้ง 2 ฝั่ง

    คือ ผมเห็นใจคนบางกลุ่มบางเผ่าพันธุ์ว่า ถ้าเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษแล้ว โอกาสที่จะโงหัวขึ้นมามีชีวิตที่ดีบ้างนั้นก็แทบจะไม่มีเลย

    ในขณะเดียวกันผมก็เห็นใจคนหัวดีและคนเก่งกว่าว่า เขาตั้งใจเรียนและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่กลายเป็นต้องมาแพ้ให้กับระบบโควต้าที่ช่วยคนที่ห่วยกว่าตัวเอง

    หนทางที่ดีที่สุดของเรื่องลักษณะนี้ ผมเห็นด้วย 100% กับท่านผู้พิพากษาศาลสูงของอเมริกาชื่อ “ซานดร้า เดย์ โอคอนเนอร์”

    ท่านกล่าวว่า “Race-conscious admissions policies must be limited in time. The court expects that 25 years from now, the use of racial preferences will no longer be necessary"

    "นโยบายการเลือกรับคนโดยดูจากเชื้อชาตินั้นควรกำหนดกรอบเวลาไว้ ศาลหวังว่าในอีก 25 ปีจากนี้ไปนั้น เราไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องเชื้อชาติมาร่วมพิจารณาอีกต่อไป“

    ท่านบันทึกไว้ในปี 2003 ครับ

    เพราะผมเห็นด้วยกับที่มีคนเคยพูดว่า “กลุ่มคนที่เคยได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือใช้ทางลัดมาตลอดชีวิตนั้น เมื่อถึงวันหนึ่งที่ต้องออกไปต่อสู้อย่างแฟร์ๆแล้ว คนพวกนี้ก็จะบอกว่า ”ฉันไม่ได้รับความยุติธรรม“

    …ไม่ช่วยเลยก็น่าสงสาร ช่วยมากไปก็อ่อนแอ…

    ภาพประกอบไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องครับ ผมเห็นว่าสวยดีก็เลยโพสท์ไปด้วย 😉


    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.88 : Affirmative Action วันนี้อยากจะเล่าเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ Affirmative Action ของมาเลเซียประเทศเพื่อนบ้านของเราครับ ในสมัยก่อนนู้น คือ ยุคก่อนปี 1950 นั้น มาเลเซีย (ตอนนั้นเรียก “มลายา”) เป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ครับ อังกฤษเขาเห็นว่าที่มลายานี้ยังขาดแคลลนแรงงานอยู่มาก ก็เลยเปิดรับชาวจีนให้อพยพเข้ามาเป็นแรงงานอยู่ที่มลายา ชาวจีนที่อพยพมามลายานั้น ส่วนใหญ่จะมาจากมณฑลฟูเจี้ยนและกวางตุ้ง เหตุที่อพยพมาก็เพราะหนีความอดอยากและยากจนของประเทศจีนในเวลานั้นครับ คนจีนเหล่านี้ เบื้องแรกก็มาเป็นแรงงานทำโน่นทำนี่ แต่อยู่ๆไปก็เริ่มเรียนภาษาอังกฤษและเริ่มทำธุรกิจ ชีวิตความเป็นอยู่และรายได้เริ่มดีขึ้นด้วยความขยันตามประสาคนจีน นี่คือจุดเริ่มต้นของคนจีนในคาบสมุทรมลายา คิดเป็นสัดส่วนราวๆ 10% ของประชากรทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมลายู คนอินเดียก็มีมาอยู่ที่มลายาเหมือนกัน แต่น้อยกว่าคนจีน ทีนี้พอถึงปี 1957 อังกฤษคืนเอกราชให้มลายา อำนาจการปกครองรัฐบาลนั้นเป็นของชาวมลายูเกือบ 100% ในเวลานั้น ธุรกิจสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในมือของชาวจีน และสำคัญคือ 99% ของนักศึกษาที่เข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยนั้น ล้วนมีแต่ชาวจีนทั้งสิ้น นักศึกษาชาวมลายูมีแค่ 1% ในคณะที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ ที่เราเรียกว่า STEM นั้น ก็เป็นแบบเดียวกันคือ มีแต่นักศึกษาชาวจีน อันทำให้ชาวจีนมีความรู้สูงกว่าและเจริญงอกงามกว่าชาวมลายูทั้งๆที่ประชากรชาวจีนนั้นมีไม่ถึง 20% ก่อให้เกิดความเกลียดชังที่คนมลายูมีต่อคนจีน . . . ในปี 1960 รัฐบาลมาเลเซียซึ่งเป็นคนมลายูทั้งหมด จึงดำริโครงการที่ชื่อว่า Affirmative Action เพื่อช่วยชาวมลายู คือ ช่วยเหลือทุกวิถีทางที่จะเพิ่มจำนวนคนมลายูให้เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ นำไปสู่การตั้งโควต้านักศึกษา ว่าจะต้องมีคนมลายูเท่านี้และจำกัดจำนวนคนจีนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ และที่ช้อคสุดคือ รัฐบาลสั่งเปลี่ยนภาษาที่สอนในมหาลัย จากเดิมที่สอนเป็นภาษาอังกฤษให้เปลี่ยนเป็นภาษามลายูทั้งหมด คือ กีดกันคนจีนกันเต็มที่ ทำให้นักศึกษาจีนที่เก่งๆหัวดีจำนวนมากถอดใจกับการเข้ามหาวิทยาลัย และย้ายไปเรียนที่อเมริกาและยุโรปแทน คนจีนที่มีความรู้สูงจำนวนมากย้ายออกจากมาเลเซีย การกีดกันเชื้อชาตินี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สิงคโปร์แยกตัวออกไปตั้งประเทศเอง และภายหลังสิงคโปร์นั้นเจริญงอกงามกว่ามาเลเซียมาก (ถ้าจะพูดให้ถูกคือ รัฐบาลมลายูขับไล่นายลี กวน ยูและสิงคโปร์ออกไปครับ) แต่กระนั้นความกดดันของรัฐบาลมลายูนี้ก็ก่อให้เกิดผลดีอยู่บ้างคือ ชาวจีนรวมตัวกันสร้างมหาวิทยาลัยเอกชนขึ้นในมาเลเซียหลายแห่ง สอนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเคย เพื่อสอนให้กับชาวจีนและอินเดียที่ได้รับผลกระทบ และได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในเวลาต่อมา . . . เมื่อกาลเวลาผ่านไป 60 ปี Affirmative Action นี้ก็ยังคงอยู่ในมาเลเซียในรูปแบบของโควต้าเชื้อชาติ ผลของ Affirmative Action นี้ ทำให้คนมลายูมีอัตราการเรียนมหาวิทยาลัยสูงขึ้นจริง มีรายได้สูงขึ้นจริง แต่ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจยังคงเหมือนเดิม คือ ธุรกิจและอุตสาหกรรมภาคเอกชนขนาดใหญ่ในมาเลเซียยังคงอยู่ในมือของคนจีน ส่วนคนมลายูนั้นส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในภาครัฐ ที่โดดเด่นขึ้นมาในภาคเอกชนก็มีครับ เช่น แอร์ เอเซีย ที่ก่อตั้งโดยนักธุรกิจมลายู 2 คนครับ ในประชากรมาเลเซีย 100 คน มีชาวมลายูราวๆ 70% ชาวจีน 20% ที่เหลือเป็นอินเดีย 8% ครับ เมื่อสำรวจรายได้ของคนมาเลเซียในปี 2022 ก็ได้พบว่า หากชาวจีนมีรายได้ 100 บาท ชาวมลายูจะมีรายได้ 70 บาท และชาวอินเดีย 87 บาท ชาวมลายูยังคงรายได้ต่ำที่สุดอยู่เช่นเคย แม้จะกีดกันชาวจีนแล้วก็ตาม . . . ที่ผมยกเรื่องโครงการ Affirmative Action ขึ้นมานี้ เพราะเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันทั่วโลกมากว่าเป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ (Discrimination) ครับ คือ เลือกช่วยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ จริงๆแล้วมาเลเซียลอกไอเดียนี้มาจากอเมริกาในปี 1960 ที่ปธน.จอห์น เอฟ เคนเนดี้ นำมาใช้เพื่อให้โอกาสคนดำและเชื้อชาติอื่นได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง เพราะหากเอานักเรียนมาสอบแข่งขันกันจริงๆแล้ว ในเวลานั้นนักเรียนผิวขาวชนะขาดลอย เช่นเดียวกับที่นักเรียนจีนในมาเลเซียที่เก่งกว่าเด็กมลายู อเมริกาใช้โครงการนี้อยู่หลายรัฐบาล มีการใช้โควต้าเชื้อชาติด้วย จนกระทั่งศาลสูงของอเมริกาสั่งยกเลิกระบบนี้ในการคัดเลือกนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย และปัจจุบันอเมริกาก็เอานโยบายคล้ายๆกันนี้กลับเข้ามาใช้อีกในรูปแบบของ DEI (Diversity, Equity and Inclusion) คือ ให้เอาเชื้อชาติเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณารับคนเข้าทำงาน โดยเฉพาะในหน่วยงานรัฐบาล คือ ในหนึ่งองค์กรจะต้องมีคนจากทุกเชื้อชาติให้ได้มากที่สุด เรื่อง DEI นี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อทรัมป์ถูกพยายามลอบสังหารและมีภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจลับหญิงอ้วนที่เงอะๆงั่นๆทำอะไรไม่ถูกยืนอยู่ข้างๆทรัมป์ ชาวเน็ทอเมริกันจึงจัดทัวร์ไปลงว่า “DEI ทำให้เราไม่ได้จ้างคนจากฝีมือและความสามารถ” . . . ผมนั่งดูๆเรื่องนี้แล้ว ก็บังเกิดความเห็นใจทั้ง 2 ฝั่ง คือ ผมเห็นใจคนบางกลุ่มบางเผ่าพันธุ์ว่า ถ้าเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษแล้ว โอกาสที่จะโงหัวขึ้นมามีชีวิตที่ดีบ้างนั้นก็แทบจะไม่มีเลย ในขณะเดียวกันผมก็เห็นใจคนหัวดีและคนเก่งกว่าว่า เขาตั้งใจเรียนและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่กลายเป็นต้องมาแพ้ให้กับระบบโควต้าที่ช่วยคนที่ห่วยกว่าตัวเอง หนทางที่ดีที่สุดของเรื่องลักษณะนี้ ผมเห็นด้วย 100% กับท่านผู้พิพากษาศาลสูงของอเมริกาชื่อ “ซานดร้า เดย์ โอคอนเนอร์” ท่านกล่าวว่า “Race-conscious admissions policies must be limited in time. The court expects that 25 years from now, the use of racial preferences will no longer be necessary" "นโยบายการเลือกรับคนโดยดูจากเชื้อชาตินั้นควรกำหนดกรอบเวลาไว้ ศาลหวังว่าในอีก 25 ปีจากนี้ไปนั้น เราไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องเชื้อชาติมาร่วมพิจารณาอีกต่อไป“ ท่านบันทึกไว้ในปี 2003 ครับ เพราะผมเห็นด้วยกับที่มีคนเคยพูดว่า “กลุ่มคนที่เคยได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือใช้ทางลัดมาตลอดชีวิตนั้น เมื่อถึงวันหนึ่งที่ต้องออกไปต่อสู้อย่างแฟร์ๆแล้ว คนพวกนี้ก็จะบอกว่า ”ฉันไม่ได้รับความยุติธรรม“ …ไม่ช่วยเลยก็น่าสงสาร ช่วยมากไปก็อ่อนแอ… ภาพประกอบไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องครับ ผมเห็นว่าสวยดีก็เลยโพสท์ไปด้วย 😉 นัทแนะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้เข้มงวดการควบคุมการส่งออกอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ที่ถูกคว่ำบาตรอีกครั้ง โดย ASML จะต้องขอใบอนุญาตจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์แทนที่จะเป็นสหรัฐฯ กฎใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน และเป็นการตอบสนองของกรุงเฮกต่อรายการอุปกรณ์ที่ถูกคว่ำบาตรที่อัปเดตล่าสุด

    กฎใหม่นี้รวมถึงอุปกรณ์การวัดและการตรวจสอบที่ผลิตโดยบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของเนเธอร์แลนด์ เช่น ASML. แม้ว่าทางการเนเธอร์แลนด์จะไม่ได้กล่าวถึงการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ โดยตรง แต่แหล่งข่าวระบุว่ามาตรการเหล่านี้สอดคล้องกับนโยบายของทำเนียบขาว

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เนเธอร์แลนด์อัปเดตการควบคุมการส่งออกเพื่อให้มีการควบคุมบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำของตน ในเดือนกันยายน 2024 เนเธอร์แลนด์ได้ป้องกันไม่ให้จีนเข้าถึงเครื่องมือ DUV ของ ASML ที่ใช้ในการผลิตชิป 7nm และชิปที่มีโหนดขั้นสูงกว่า

    แม้ว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนจะกล่าวว่าประเทศของเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพา ASML สำหรับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ ASML เป็นบริษัทเดียวที่ผลิตเครื่องลิโทกราฟีขั้นสูงที่สุดที่สามารถผลิตชิปขั้นสูงได้ ซีอีโอของ ASML กล่าวเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่าจีนยังล้าหลังในด้านความสามารถในการผลิตชิปอย่างน้อย 10 ถึง 15 ปี

    แม้ว่าจะมีการคว่ำบาตรและการห้ามส่งออก แต่จีนยังคงคิดเป็นครึ่งหนึ่งของยอดขายของ ASML ในไตรมาสที่ 3 ปี 2024 โดยมีมูลค่าประมาณ 2.87 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ด้วยการขยายการควบคุมการส่งออกนี้ บริษัทคาดว่ายอดขายในภูมิภาคนี้จะลดลงเหลือ 20% ของรายได้ทั้งหมดในปีนี้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/netherlands-tightens-export-controls-on-sanctioned-semiconductor-equipment-move-made-in-line-with-u-s-limitations-asml-will-apply-for-licenses-from-the-dutch-government
    รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้เข้มงวดการควบคุมการส่งออกอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ที่ถูกคว่ำบาตรอีกครั้ง โดย ASML จะต้องขอใบอนุญาตจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์แทนที่จะเป็นสหรัฐฯ กฎใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน และเป็นการตอบสนองของกรุงเฮกต่อรายการอุปกรณ์ที่ถูกคว่ำบาตรที่อัปเดตล่าสุด กฎใหม่นี้รวมถึงอุปกรณ์การวัดและการตรวจสอบที่ผลิตโดยบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของเนเธอร์แลนด์ เช่น ASML. แม้ว่าทางการเนเธอร์แลนด์จะไม่ได้กล่าวถึงการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ โดยตรง แต่แหล่งข่าวระบุว่ามาตรการเหล่านี้สอดคล้องกับนโยบายของทำเนียบขาว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เนเธอร์แลนด์อัปเดตการควบคุมการส่งออกเพื่อให้มีการควบคุมบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำของตน ในเดือนกันยายน 2024 เนเธอร์แลนด์ได้ป้องกันไม่ให้จีนเข้าถึงเครื่องมือ DUV ของ ASML ที่ใช้ในการผลิตชิป 7nm และชิปที่มีโหนดขั้นสูงกว่า แม้ว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนจะกล่าวว่าประเทศของเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพา ASML สำหรับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ ASML เป็นบริษัทเดียวที่ผลิตเครื่องลิโทกราฟีขั้นสูงที่สุดที่สามารถผลิตชิปขั้นสูงได้ ซีอีโอของ ASML กล่าวเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่าจีนยังล้าหลังในด้านความสามารถในการผลิตชิปอย่างน้อย 10 ถึง 15 ปี แม้ว่าจะมีการคว่ำบาตรและการห้ามส่งออก แต่จีนยังคงคิดเป็นครึ่งหนึ่งของยอดขายของ ASML ในไตรมาสที่ 3 ปี 2024 โดยมีมูลค่าประมาณ 2.87 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ด้วยการขยายการควบคุมการส่งออกนี้ บริษัทคาดว่ายอดขายในภูมิภาคนี้จะลดลงเหลือ 20% ของรายได้ทั้งหมดในปีนี้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/netherlands-tightens-export-controls-on-sanctioned-semiconductor-equipment-move-made-in-line-with-u-s-limitations-asml-will-apply-for-licenses-from-the-dutch-government
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia กำลังให้ความสำคัญกับการผลิต GPU รุ่น Blackwell ที่ใช้การบรรจุภัณฑ์ CoWoS-L ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงที่พัฒนาโดย TSMC ความต้องการสำหรับการออกแบบ dual-die ของ Blackwell กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้ Nvidia ต้องปรับแผนการผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการนี้

    Nvidia จะมุ่งเน้นไปที่การผลิต GPU รุ่น 200 series Blackwell ที่ใช้การออกแบบ multi-die เช่น GB200 NVL72 และจะยกเลิกการผลิตรุ่น single-die เช่น B200A นอกจากนี้ Nvidia ยังวางแผนที่จะให้ความสำคัญกับรุ่น B300 series ที่ใช้การออกแบบ multi-die โดยเฉพาะ GB300 NVL72 การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อซัพพลายเออร์บางรายที่จัดหา CoWoS-S ให้กับ Nvidia เนื่องจาก Nvidia จะหันไปใช้ CoWoS-L เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม TSMC จะไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากการเปลี่ยนแปลงนี้ เนื่องจาก TSMC วางแผนที่จะใช้ CoWoS-L เป็นโซลูชันหลักในการผลิต

    การเปลี่ยนจากการผลิต B200 ไปเป็น B300 ใช้กระบวนการ FEoL เดียวกัน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต TSMC คาดว่า AI/HPC จะเป็นแหล่งรายได้หลักในปี 2025

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-reportedly-prioritizing-dual-die-blackwell-gpus-with-cowos-l-packaging
    Nvidia กำลังให้ความสำคัญกับการผลิต GPU รุ่น Blackwell ที่ใช้การบรรจุภัณฑ์ CoWoS-L ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงที่พัฒนาโดย TSMC ความต้องการสำหรับการออกแบบ dual-die ของ Blackwell กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้ Nvidia ต้องปรับแผนการผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการนี้ Nvidia จะมุ่งเน้นไปที่การผลิต GPU รุ่น 200 series Blackwell ที่ใช้การออกแบบ multi-die เช่น GB200 NVL72 และจะยกเลิกการผลิตรุ่น single-die เช่น B200A นอกจากนี้ Nvidia ยังวางแผนที่จะให้ความสำคัญกับรุ่น B300 series ที่ใช้การออกแบบ multi-die โดยเฉพาะ GB300 NVL72 การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อซัพพลายเออร์บางรายที่จัดหา CoWoS-S ให้กับ Nvidia เนื่องจาก Nvidia จะหันไปใช้ CoWoS-L เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม TSMC จะไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากการเปลี่ยนแปลงนี้ เนื่องจาก TSMC วางแผนที่จะใช้ CoWoS-L เป็นโซลูชันหลักในการผลิต การเปลี่ยนจากการผลิต B200 ไปเป็น B300 ใช้กระบวนการ FEoL เดียวกัน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต TSMC คาดว่า AI/HPC จะเป็นแหล่งรายได้หลักในปี 2025 https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-reportedly-prioritizing-dual-die-blackwell-gpus-with-cowos-l-packaging
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Nvidia reportedly prioritizing dual-die Blackwell GPUs with CoWoS-L packaging
    CoWoS-L is shaping up to be the dominant packaging solution for Nvidia Blackwell GPUs going forward.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • Huawei กำลังวางแผนที่จะกลับมาทำตลาดทั่วโลกอีกครั้งด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนที่ใช้ชิปเซ็ต Kirin ในตลาดเพิ่มเติม ซึ่งอาจสร้างความกังวลให้กับคู่แข่ง ชิปเซ็ต Kirin 9000S ที่พบใน Mate 60 รุ่นปี 2023 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Huawei สามารถกลับมาสู่ตลาดได้อย่างยิ่งใหญ่ แม้จะเผชิญกับการคว่ำบาตรทางการค้าจากสหรัฐฯ

    Huawei มีแผนที่จะขยายตลาดไปยัง 60 ประเทศ โดยใช้สมาร์ทโฟนที่ใช้ชิปเซ็ต Kirin และระบบปฏิบัติการ HarmonyOS ที่พัฒนาขึ้นเอง การเปลี่ยนไปใช้ HarmonyOS ช่วยให้ Huawei ไม่ต้องพึ่งพา Android และสามารถสร้างระบบนิเวศซอฟต์แวร์ที่เป็นของตนเองได้

    แม้ว่า Huawei จะสามารถกลับมาสู่ตลาดได้ แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายในการผลิตชิปเซ็ตขั้นสูง เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีลิโทกราฟีขั้นสูงของ TSMC ได้ ชิปเซ็ต Kirin 9020 รุ่นล่าสุดถูกผลิตด้วยกระบวนการ 7nm ซึ่งยังคงล้าหลังกว่าคู่แข่งหลายรุ่น Huawei สามารถลดช่องว่างทางเทคโนโลยีได้โดยการปรับปรุง HarmonyOS ให้ใช้ทรัพยากรน้อยลงและให้ประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นเทียบเท่ากับสมาร์ทโฟน Android ที่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 8 Elite

    การพัฒนานี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Huawei ในการกลับมาสู่ตลาดโลกและความท้าทายที่ต้องเผชิญในการแข่งขันกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน

    https://wccf.tech/1fti2
    Huawei กำลังวางแผนที่จะกลับมาทำตลาดทั่วโลกอีกครั้งด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนที่ใช้ชิปเซ็ต Kirin ในตลาดเพิ่มเติม ซึ่งอาจสร้างความกังวลให้กับคู่แข่ง ชิปเซ็ต Kirin 9000S ที่พบใน Mate 60 รุ่นปี 2023 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Huawei สามารถกลับมาสู่ตลาดได้อย่างยิ่งใหญ่ แม้จะเผชิญกับการคว่ำบาตรทางการค้าจากสหรัฐฯ Huawei มีแผนที่จะขยายตลาดไปยัง 60 ประเทศ โดยใช้สมาร์ทโฟนที่ใช้ชิปเซ็ต Kirin และระบบปฏิบัติการ HarmonyOS ที่พัฒนาขึ้นเอง การเปลี่ยนไปใช้ HarmonyOS ช่วยให้ Huawei ไม่ต้องพึ่งพา Android และสามารถสร้างระบบนิเวศซอฟต์แวร์ที่เป็นของตนเองได้ แม้ว่า Huawei จะสามารถกลับมาสู่ตลาดได้ แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายในการผลิตชิปเซ็ตขั้นสูง เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีลิโทกราฟีขั้นสูงของ TSMC ได้ ชิปเซ็ต Kirin 9020 รุ่นล่าสุดถูกผลิตด้วยกระบวนการ 7nm ซึ่งยังคงล้าหลังกว่าคู่แข่งหลายรุ่น Huawei สามารถลดช่องว่างทางเทคโนโลยีได้โดยการปรับปรุง HarmonyOS ให้ใช้ทรัพยากรน้อยลงและให้ประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นเทียบเท่ากับสมาร์ทโฟน Android ที่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 8 Elite การพัฒนานี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Huawei ในการกลับมาสู่ตลาดโลกและความท้าทายที่ต้องเผชิญในการแข่งขันกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน https://wccf.tech/1fti2
    WCCF.TECH
    Huawei To Reportedly Make A Comeback Globally By Launching Smartphones With Kirin Chipsets In Additional Markets, Creating Trouble For Its Competitors
    After making a comeback in China, Huawei is reportedly set to enter other markets with handsets powered by its Kirin chipsets
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ในไต้หวันได้ปฏิเสธข่าวลือเกี่ยวกับปัญหาความร้อนสูงเกินไปของเซิร์ฟเวอร์ AI รุ่น GB200 ของ NVIDIA และยืนยันว่าการผลิตยังคงเป็นไปตามกำหนดการ ข่าวลือเกี่ยวกับปัญหาการออกแบบของเซิร์ฟเวอร์ GB200 เริ่มแพร่กระจายตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2024 โดย NVIDIA ได้กล่าวว่าปัญหาเหล่านี้ได้รับการแก้ไขแล้ว แต่ในรายงานล่าสุดพบว่าปัญหายังคงเกิดขึ้น ทำให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ลดคำสั่งซื้อ

    รายงานจาก Taiwan Economic Daily อ้างถึงผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ในไต้หวันที่กล่าวว่าข่าวลือเหล่านี้เป็นเพียงการคาดเดา และการผลิตยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ พวกเขายังกล่าวว่า "ข่าวลือเดิมจะเกิดขึ้นอีกกี่ครั้ง?

    ในเดือนพฤศจิกายน 2024 มีการเปิดเผยว่าเซิร์ฟเวอร์ Blackwell ของ NVIDIA มีปัญหาการออกแบบที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อชิปของ TSMC Microsoft เคยวางแผนที่จะติดตั้งตู้เซิร์ฟเวอร์ AI GB200 กว่า 50,000 ตู้ แต่ตัวเลขนี้ลดลงอย่างมาก. นอกจากนี้ บริษัทต่าง ๆ ยังหันไปใช้โซลูชันรุ่นเก่าของ NVIDIA อย่าง Hopper แทน ลูกค้ารายใหญ่เช่น Microsoft, Amazon และ OpenAI ได้ลดคำสั่งซื้อ GB200 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าห่วงโซ่อุปทานกำลังเผชิญกับปัญหา

    แม้ว่าปัญหาของเซิร์ฟเวอร์ GB200 อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของ NVIDIA แต่การเติบโตของเซิร์ฟเวอร์ AI ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าห่วงโซ่อุปทานจะต้องเผชิญกับปัญหา อย่างไรก็ตาม ด้วยทรัพยากรทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่ NVIDIA มีอยู่ในขณะนี้ คาดว่าปัญหาของเซิร์ฟเวอร์ GB200 จะได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว

    https://wccf.tech/1ftir
    ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ในไต้หวันได้ปฏิเสธข่าวลือเกี่ยวกับปัญหาความร้อนสูงเกินไปของเซิร์ฟเวอร์ AI รุ่น GB200 ของ NVIDIA และยืนยันว่าการผลิตยังคงเป็นไปตามกำหนดการ ข่าวลือเกี่ยวกับปัญหาการออกแบบของเซิร์ฟเวอร์ GB200 เริ่มแพร่กระจายตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2024 โดย NVIDIA ได้กล่าวว่าปัญหาเหล่านี้ได้รับการแก้ไขแล้ว แต่ในรายงานล่าสุดพบว่าปัญหายังคงเกิดขึ้น ทำให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ลดคำสั่งซื้อ รายงานจาก Taiwan Economic Daily อ้างถึงผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ในไต้หวันที่กล่าวว่าข่าวลือเหล่านี้เป็นเพียงการคาดเดา และการผลิตยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ พวกเขายังกล่าวว่า "ข่าวลือเดิมจะเกิดขึ้นอีกกี่ครั้ง? ในเดือนพฤศจิกายน 2024 มีการเปิดเผยว่าเซิร์ฟเวอร์ Blackwell ของ NVIDIA มีปัญหาการออกแบบที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อชิปของ TSMC Microsoft เคยวางแผนที่จะติดตั้งตู้เซิร์ฟเวอร์ AI GB200 กว่า 50,000 ตู้ แต่ตัวเลขนี้ลดลงอย่างมาก. นอกจากนี้ บริษัทต่าง ๆ ยังหันไปใช้โซลูชันรุ่นเก่าของ NVIDIA อย่าง Hopper แทน ลูกค้ารายใหญ่เช่น Microsoft, Amazon และ OpenAI ได้ลดคำสั่งซื้อ GB200 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าห่วงโซ่อุปทานกำลังเผชิญกับปัญหา แม้ว่าปัญหาของเซิร์ฟเวอร์ GB200 อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของ NVIDIA แต่การเติบโตของเซิร์ฟเวอร์ AI ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าห่วงโซ่อุปทานจะต้องเผชิญกับปัญหา อย่างไรก็ตาม ด้วยทรัพยากรทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่ NVIDIA มีอยู่ในขณะนี้ คาดว่าปัญหาของเซิร์ฟเวอร์ GB200 จะได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว https://wccf.tech/1ftir
    WCCF.TECH
    Taiwanese Server Manufacturers Deny Overheating Issues with NVIDIA's GB200 AI Servers, Claim Production Is On Schedule
    Taiwanese manufacturers have claimed that NVIDIA's GB200 AI servers have no "overheating" issues and that production is right track.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • Morgan Stanley รายงานว่า ลูกค้าของ TSMC อย่าง AMD และ Broadcom กำลังปล่อยการจองกำลังผลิตชิปที่ใช้เทคโนโลยี CoWoS-S เนื่องจากความต้องการที่ลดลง ซึ่งทำให้ NVIDIA สามารถเปลี่ยนกำลังผลิตนี้ไปใช้กับ CoWoS-L สำหรับการผลิต GB300A ได้

    CoWoS-S (Chip-on-Wafer-on-Substrate with silicon interposer) เป็นเทคโนโลยีการบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงที่พัฒนาโดย TSMC เพื่อรองรับการประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการประมวลผลขั้นสูง (HPC)

    CoWoS-L (Chip-on-Wafer-on-Substrate with Local Silicon Interconnect) เป็นเทคโนโลยีการบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงที่พัฒนาโดย TSMC ซึ่งรวมข้อดีของ CoWoS-S และ InFO (Integrated Fan-Out) เข้าด้วยกัน. CoWoS-L ใช้ชิป LSI (Local Silicon Interconnect) เป็น interposer เพื่อให้การเชื่อมต่อระหว่างชิปมีความยืดหยุ่นสูงสุด และใช้ชั้น RDL (Redistribution Layer) สำหรับการส่งสัญญาณและพลังงาน

    แม้ว่าจะมีการยกเลิกคำสั่งซื้อ CoWoS-S แต่ความต้องการ CoWoS โดยรวมของ TSMC ยังคงมีเสถียรภาพ และอาจมีการเพิ่มการผลิต GB300A ในปลายปีนี้

    การพัฒนานี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความท้าทายในการจัดการคำสั่งซื้อและกำลังของการผลิตในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และความสำคัญของการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้ารายใหญ่

    https://wccf.tech/1ftiq
    Morgan Stanley รายงานว่า ลูกค้าของ TSMC อย่าง AMD และ Broadcom กำลังปล่อยการจองกำลังผลิตชิปที่ใช้เทคโนโลยี CoWoS-S เนื่องจากความต้องการที่ลดลง ซึ่งทำให้ NVIDIA สามารถเปลี่ยนกำลังผลิตนี้ไปใช้กับ CoWoS-L สำหรับการผลิต GB300A ได้ CoWoS-S (Chip-on-Wafer-on-Substrate with silicon interposer) เป็นเทคโนโลยีการบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงที่พัฒนาโดย TSMC เพื่อรองรับการประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการประมวลผลขั้นสูง (HPC) CoWoS-L (Chip-on-Wafer-on-Substrate with Local Silicon Interconnect) เป็นเทคโนโลยีการบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงที่พัฒนาโดย TSMC ซึ่งรวมข้อดีของ CoWoS-S และ InFO (Integrated Fan-Out) เข้าด้วยกัน. CoWoS-L ใช้ชิป LSI (Local Silicon Interconnect) เป็น interposer เพื่อให้การเชื่อมต่อระหว่างชิปมีความยืดหยุ่นสูงสุด และใช้ชั้น RDL (Redistribution Layer) สำหรับการส่งสัญญาณและพลังงาน แม้ว่าจะมีการยกเลิกคำสั่งซื้อ CoWoS-S แต่ความต้องการ CoWoS โดยรวมของ TSMC ยังคงมีเสถียรภาพ และอาจมีการเพิ่มการผลิต GB300A ในปลายปีนี้ การพัฒนานี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความท้าทายในการจัดการคำสั่งซื้อและกำลังของการผลิตในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และความสำคัญของการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้ารายใหญ่ https://wccf.tech/1ftiq
    WCCF.TECH
    Morgan Stanley: "[TSMC's] Customers Like AMD And Broadcom Are Releasing CoWoS-S Capacity Due To Weaker Demand," Allowing NVIDIA To "Convert This Capacity To CoWoS-L For GB300A Production"
    Morgan Stanley notes that, in light of CoWoS-S capacity cancelations, NVIDIA has requested TSMC to convert its spare capacity to CoWoS-L.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานว่า TSMC ปฏิเสธข้อเสนอของ Samsung ในการผลิตชิปเซ็ต Exynos โดยใช้เทคโนโลยีลิโทกราฟีขั้นสูงของ TSMC Samsung กำลังประสบปัญหาในการเพิ่มผลผลิตของกระบวนการ 3nm GAA รุ่นใหม่ โดยมีเป้าหมายผลผลิตเริ่มต้นที่ 70% แต่ปัจจุบันทำได้เพียง 20% เท่านั้น ในขณะที่ TSMC สามารถทำการผลิตทดลอง 2nm ได้ถึง 60% แล้ว

    มีการพูดถึงว่า TSMC อาจเข้ามาช่วยผลิตชิป Exynos ของ Samsung แต่แหล่งข่าวระบุว่า TSMC ปฏิเสธข้อเสนอนี้ เนื่องจากกังวลว่า Samsung อาจเข้าถึงความลับทางการค้าของ TSMC ซึ่งอาจทำให้ Samsung ได้เปรียบในอนาคต

    แม้ว่า TSMC จะปฏิเสธข้อเสนอ แต่ Samsung ยังคงพยายามพัฒนากระบวนการผลิตของตนเอง โดยมีการเริ่มพัฒนาชิป SoC บนกระบวนการ 2nm ที่มีชื่อรหัสว่า 'Ulysses'

    https://wccf.tech/1ftn4
    มีรายงานว่า TSMC ปฏิเสธข้อเสนอของ Samsung ในการผลิตชิปเซ็ต Exynos โดยใช้เทคโนโลยีลิโทกราฟีขั้นสูงของ TSMC Samsung กำลังประสบปัญหาในการเพิ่มผลผลิตของกระบวนการ 3nm GAA รุ่นใหม่ โดยมีเป้าหมายผลผลิตเริ่มต้นที่ 70% แต่ปัจจุบันทำได้เพียง 20% เท่านั้น ในขณะที่ TSMC สามารถทำการผลิตทดลอง 2nm ได้ถึง 60% แล้ว มีการพูดถึงว่า TSMC อาจเข้ามาช่วยผลิตชิป Exynos ของ Samsung แต่แหล่งข่าวระบุว่า TSMC ปฏิเสธข้อเสนอนี้ เนื่องจากกังวลว่า Samsung อาจเข้าถึงความลับทางการค้าของ TSMC ซึ่งอาจทำให้ Samsung ได้เปรียบในอนาคต แม้ว่า TSMC จะปฏิเสธข้อเสนอ แต่ Samsung ยังคงพยายามพัฒนากระบวนการผลิตของตนเอง โดยมีการเริ่มพัฒนาชิป SoC บนกระบวนการ 2nm ที่มีชื่อรหัสว่า 'Ulysses' https://wccf.tech/1ftn4
    WCCF.TECH
    TSMC Is Rumored To Have Rejected Samsung’s Alleged Proposal Of Mass Producing The Latter’s Exynos Chipsets Using Its Cutting-Edge Lithography
    A tipster reveals that TSMC will not enter into any partnership with Samsung to mass produce the Korean giant’s Exynos chipsets
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia ได้เปิดเผยว่า ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของบริษัทได้ทำการปรับปรุงเทคโนโลยี DLSS (Deep Learning Super Sampling) อย่างต่อเนื่องตลอด 6 ปีที่ผ่านมา DLSS เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มคุณภาพของภาพและการอัพสเกลภาพในเกม โดยใช้การเรียนรู้เชิงลึก

    ตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในซีรีส์ GeForce 20, DLSS ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง. ล่าสุด Nvidia ได้เปิดตัว DLSS 4 ที่งาน CES ซึ่งสัญญาว่าจะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่ารุ่นก่อนหน้านี้อย่างมาก

    Bryan Catanzaro รองประธานฝ่ายวิจัยการเรียนรู้เชิงลึกประยุกต์ของ Nvidia กล่าวว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของบริษัทที่มี GPU หลายพันตัวทำงานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน เพื่อปรับปรุง DLSS กระบวนการฝึกอบรมนี้เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ความล้มเหลว เช่น การเกิดภาพเบลอหรือการกระพริบในเกม

    Nvidia อ้างว่า RTX 5070 ที่ใช้ DLSS 4 มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ RTX 4090 นอกจากนี้ RTX 5090 ยังเร็วกว่า RTX 4090 ประมาณ 30% โดยไม่ใช้ DLSS และ RTX 5080 เร็วกว่า RTX 4080 ประมาณ 15%

    https://www.techspot.com/news/106368-supercomputer-nvidia-has-improving-dlss-non-stop-six.html
    Nvidia ได้เปิดเผยว่า ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของบริษัทได้ทำการปรับปรุงเทคโนโลยี DLSS (Deep Learning Super Sampling) อย่างต่อเนื่องตลอด 6 ปีที่ผ่านมา DLSS เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มคุณภาพของภาพและการอัพสเกลภาพในเกม โดยใช้การเรียนรู้เชิงลึก ตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในซีรีส์ GeForce 20, DLSS ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง. ล่าสุด Nvidia ได้เปิดตัว DLSS 4 ที่งาน CES ซึ่งสัญญาว่าจะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่ารุ่นก่อนหน้านี้อย่างมาก Bryan Catanzaro รองประธานฝ่ายวิจัยการเรียนรู้เชิงลึกประยุกต์ของ Nvidia กล่าวว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของบริษัทที่มี GPU หลายพันตัวทำงานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน เพื่อปรับปรุง DLSS กระบวนการฝึกอบรมนี้เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ความล้มเหลว เช่น การเกิดภาพเบลอหรือการกระพริบในเกม Nvidia อ้างว่า RTX 5070 ที่ใช้ DLSS 4 มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ RTX 4090 นอกจากนี้ RTX 5090 ยังเร็วกว่า RTX 4090 ประมาณ 30% โดยไม่ใช้ DLSS และ RTX 5080 เร็วกว่า RTX 4080 ประมาณ 15% https://www.techspot.com/news/106368-supercomputer-nvidia-has-improving-dlss-non-stop-six.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    An Nvidia supercomputer has been improving DLSS non-stop for the past six years
    While discussing the tech at at the consumer electronics show, Nvidia's VP of applied deep learning research, Bryan Catanzaro, said improving DLSS has been a continuous, six-year...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • Oracle ยังคงยืนยันการถือครองเครื่องหมายการค้า JavaScript ทำให้ชุมชนผู้พัฒนา JavaScript เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ทางกฎหมาย Oracle อ้างสิทธิ์การเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านี้ แต่บริษัทจะต้องปกป้องตำแหน่งของตนในศาล เนื่องจากชุมชนผู้พัฒนาโต้แย้งว่าเครื่องหมายการค้านี้ควรถูกยกเลิก

    Deno Land และสมาชิกชุมชน JS ที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าของสหรัฐฯ (USPTO) เพื่อขอให้ยกเลิกเครื่องหมายการค้านี้ Oracle ต้องตอบคำร้องนี้อย่างเป็นทางการภายในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ แต่การต่อสู้ทางกฎหมายอาจดำเนินต่อไปจนถึงปี 2026 เว้นแต่ Oracle จะยอมแพ้

    Deno อ้างว่า Oracle ไม่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนา JavaScript และใช้ภาพหน้าจอของโครงการโอเพ่นซอร์ส Node.js อย่างผิดกฎหมายเพื่อพิสูจน์การเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า การต่อสู้ทางกฎหมายนี้อาจกลายเป็นการดึงเชือกที่ยุ่งยากในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่นเดียวกับการต่อสู้ระหว่าง Automattic และ WP Engine เกี่ยวกับการเป็นเจ้าของ WordPress

    https://www.techspot.com/news/106351-oracle-wont-relinquish-javascript-trademark-js-community-prepares.html
    Oracle ยังคงยืนยันการถือครองเครื่องหมายการค้า JavaScript ทำให้ชุมชนผู้พัฒนา JavaScript เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ทางกฎหมาย Oracle อ้างสิทธิ์การเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านี้ แต่บริษัทจะต้องปกป้องตำแหน่งของตนในศาล เนื่องจากชุมชนผู้พัฒนาโต้แย้งว่าเครื่องหมายการค้านี้ควรถูกยกเลิก Deno Land และสมาชิกชุมชน JS ที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าของสหรัฐฯ (USPTO) เพื่อขอให้ยกเลิกเครื่องหมายการค้านี้ Oracle ต้องตอบคำร้องนี้อย่างเป็นทางการภายในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ แต่การต่อสู้ทางกฎหมายอาจดำเนินต่อไปจนถึงปี 2026 เว้นแต่ Oracle จะยอมแพ้ Deno อ้างว่า Oracle ไม่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนา JavaScript และใช้ภาพหน้าจอของโครงการโอเพ่นซอร์ส Node.js อย่างผิดกฎหมายเพื่อพิสูจน์การเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า การต่อสู้ทางกฎหมายนี้อาจกลายเป็นการดึงเชือกที่ยุ่งยากในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่นเดียวกับการต่อสู้ระหว่าง Automattic และ WP Engine เกี่ยวกับการเป็นเจ้าของ WordPress https://www.techspot.com/news/106351-oracle-wont-relinquish-javascript-trademark-js-community-prepares.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Oracle won't relinquish JavaScript trademark, so the JS community prepares for court battle
    The initial attempt to cancel Oracle's ownership of the "JavaScript" trademark was unsuccessful. Deno Land and other prominent JS community members recently petitioned the United States Patent...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • OpenAI ได้เปิดตัวโมเดล AI ใหม่ล่าสุดที่มีชื่อว่า o1 ซึ่งได้แสดงพฤติกรรมที่ไม่คาดคิดและทำให้ผู้ใช้งานและผู้เชี่ยวชาญต่างสงสัย โมเดลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานด้านการให้เหตุผล แต่กลับมีการเปลี่ยนภาษากลางคันระหว่างการคิด แม้ว่าคำถามเริ่มต้นจะถูกนำเสนอเป็นภาษาอังกฤษก็ตาม

    ผู้ใช้งานหลายคนรายงานว่า โมเดล o1 ของ OpenAI เริ่มกระบวนการคิดเป็นภาษาอังกฤษ แต่กลับเปลี่ยนไปใช้ภาษาจีน เปอร์เซีย หรือภาษาอื่น ๆ ก่อนที่จะให้คำตอบสุดท้ายเป็นภาษาอังกฤษ พฤติกรรมนี้ถูกพบในหลายสถานการณ์ ตั้งแต่การนับเลขง่าย ๆ ไปจนถึงการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน

    ผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้เสนอทฤษฎีเพื่ออธิบายพฤติกรรมนี้
    Clément Delangue ซีอีโอของ Hugging Face คาดว่า ปรากฏการณ์นี้อาจเกี่ยวข้องกับข้อมูลการฝึกที่ใช้สำหรับโมเดล o1
    Ted Xiao นักวิจัยจาก Google DeepMind เสนอว่า การพึ่งพาบริการการระบุข้อมูลจากจีนอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดพฤติกรรมนี้
    Matthew Guzdial นักวิจัย AI และผู้ช่วยศาสตราจารย์จาก University of Alberta เสนอว่า โมเดลอาจเลือกภาษาที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการแก้ปัญหาแต่ละประเภท เขาอธิบายว่า โมเดลไม่รู้จักภาษาหรือความแตกต่างระหว่างภาษา มันมองว่าทุกอย่างเป็นเพียงข้อความเท่านั้น
    Luca Soldaini นักวิทยาศาสตร์วิจัยจาก Allen Institute for AI เน้นย้ำถึงความสำคัญของความโปร่งใสในการพัฒนา AI เขากล่าวว่า การสังเกตพฤติกรรมของระบบ AI ที่ถูกใช้งานจริงเป็นเรื่องยากเนื่องจากความไม่โปร่งใสของโมเดลเหล่านี้

    ความไม่โปร่งใสของโมเดล AI เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย:
    1) การฝึกอบรมด้วยข้อมูลที่ไม่เปิดเผย: โมเดล AI มักถูกฝึกด้วยข้อมูลที่ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถทราบได้ว่าข้อมูลใดถูกใช้ในการฝึกอบรม

    2) การใช้บริการติดป้ายข้อมูลจากบุคคลที่สาม: บางครั้งการระบุข้อมูลสำหรับการฝึกอบรมโมเดล AI ถูกทำโดยบุคคลที่สาม ซึ่งอาจมีการใช้ภาษาหรือวิธีการที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดความไม่โปร่งใสในกระบวนการนี้

    3) การออกแบบโมเดลที่ซับซ้อน: โมเดล AI ที่มีความซับซ้อนสูงอาจทำให้การตรวจสอบและการทำความเข้าใจการทำงานภายในของโมเดลเป็นเรื่องยาก

    4) การขาดการเปิดเผยข้อมูลจากผู้พัฒนา: บางครั้งผู้พัฒนาโมเดล AI อาจไม่เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการฝึกอบรมและการออกแบบโมเดล ทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถทราบได้ว่าโมเดลทำงานอย่างไร

    การพัฒนานี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความโปร่งใสในการพัฒนา AI เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจและเชื่อถือในเทคโนโลยีนี้ได้

    https://www.techspot.com/news/106355-openai-new-ai-model-switches-languages-mid-reasoning.html
    OpenAI ได้เปิดตัวโมเดล AI ใหม่ล่าสุดที่มีชื่อว่า o1 ซึ่งได้แสดงพฤติกรรมที่ไม่คาดคิดและทำให้ผู้ใช้งานและผู้เชี่ยวชาญต่างสงสัย โมเดลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานด้านการให้เหตุผล แต่กลับมีการเปลี่ยนภาษากลางคันระหว่างการคิด แม้ว่าคำถามเริ่มต้นจะถูกนำเสนอเป็นภาษาอังกฤษก็ตาม ผู้ใช้งานหลายคนรายงานว่า โมเดล o1 ของ OpenAI เริ่มกระบวนการคิดเป็นภาษาอังกฤษ แต่กลับเปลี่ยนไปใช้ภาษาจีน เปอร์เซีย หรือภาษาอื่น ๆ ก่อนที่จะให้คำตอบสุดท้ายเป็นภาษาอังกฤษ พฤติกรรมนี้ถูกพบในหลายสถานการณ์ ตั้งแต่การนับเลขง่าย ๆ ไปจนถึงการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้เสนอทฤษฎีเพื่ออธิบายพฤติกรรมนี้ Clément Delangue ซีอีโอของ Hugging Face คาดว่า ปรากฏการณ์นี้อาจเกี่ยวข้องกับข้อมูลการฝึกที่ใช้สำหรับโมเดล o1 Ted Xiao นักวิจัยจาก Google DeepMind เสนอว่า การพึ่งพาบริการการระบุข้อมูลจากจีนอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดพฤติกรรมนี้ Matthew Guzdial นักวิจัย AI และผู้ช่วยศาสตราจารย์จาก University of Alberta เสนอว่า โมเดลอาจเลือกภาษาที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการแก้ปัญหาแต่ละประเภท เขาอธิบายว่า โมเดลไม่รู้จักภาษาหรือความแตกต่างระหว่างภาษา มันมองว่าทุกอย่างเป็นเพียงข้อความเท่านั้น Luca Soldaini นักวิทยาศาสตร์วิจัยจาก Allen Institute for AI เน้นย้ำถึงความสำคัญของความโปร่งใสในการพัฒนา AI เขากล่าวว่า การสังเกตพฤติกรรมของระบบ AI ที่ถูกใช้งานจริงเป็นเรื่องยากเนื่องจากความไม่โปร่งใสของโมเดลเหล่านี้ ความไม่โปร่งใสของโมเดล AI เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย: 1) การฝึกอบรมด้วยข้อมูลที่ไม่เปิดเผย: โมเดล AI มักถูกฝึกด้วยข้อมูลที่ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถทราบได้ว่าข้อมูลใดถูกใช้ในการฝึกอบรม 2) การใช้บริการติดป้ายข้อมูลจากบุคคลที่สาม: บางครั้งการระบุข้อมูลสำหรับการฝึกอบรมโมเดล AI ถูกทำโดยบุคคลที่สาม ซึ่งอาจมีการใช้ภาษาหรือวิธีการที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดความไม่โปร่งใสในกระบวนการนี้ 3) การออกแบบโมเดลที่ซับซ้อน: โมเดล AI ที่มีความซับซ้อนสูงอาจทำให้การตรวจสอบและการทำความเข้าใจการทำงานภายในของโมเดลเป็นเรื่องยาก 4) การขาดการเปิดเผยข้อมูลจากผู้พัฒนา: บางครั้งผู้พัฒนาโมเดล AI อาจไม่เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการฝึกอบรมและการออกแบบโมเดล ทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถทราบได้ว่าโมเดลทำงานอย่างไร การพัฒนานี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความโปร่งใสในการพัฒนา AI เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจและเชื่อถือในเทคโนโลยีนี้ได้ https://www.techspot.com/news/106355-openai-new-ai-model-switches-languages-mid-reasoning.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    OpenAI's newest AI model is switching languages to Chinese and others while reasoning, puzzling users and experts
    Users across various platforms have reported instances where OpenAI's o1 model begins its reasoning process in English but unexpectedly shifts to Chinese, Persian, or other languages before...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts