• “AI Superintelligence” กับเสียงเตือนจากคนดัง: เมื่อเทคโนโลยีอาจล้ำเส้นมนุษย์

    เสียงเตือนจากนักวิทยาศาสตร์และคนดังทั่วโลกกำลังดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ AI กำลังพัฒนาไปสู่ระดับ “Superintelligence” — ปัญญาประดิษฐ์ที่อาจฉลาดกว่ามนุษย์ในทุกด้าน และนั่นอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นภาพที่สร้างจาก AI หรือการพูดคุยกับแชตบอต แต่เบื้องหลังความสะดวกนั้นคือความกังวลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อบริษัทใหญ่อย่าง OpenAI และ xAI กำลังพัฒนา “Superintelligence” — AI ที่สามารถคิด วิเคราะห์ และเรียนรู้ได้เหนือกว่ามนุษย์

    กลุ่มนักวิทยาศาสตร์และคนดัง เช่น Richard Branson, Steve Wozniak, Prince Harry, Meghan Markle, Joseph Gordon-Levitt และ will.i.am ได้ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ “Statement on Superintelligence” เพื่อเรียกร้องให้หยุดการพัฒนา AI ประเภทนี้ชั่วคราว จนกว่าจะมี “ฉันทามติทางวิทยาศาสตร์” ว่าจะสามารถควบคุมได้อย่างปลอดภัย และมี “การยอมรับจากสาธารณชน” อย่างชัดเจน

    Superintelligent AI ไม่เหมือนกับ AI ที่เราใช้กันในปัจจุบัน เพราะมันไม่ต้องพึ่งพามนุษย์ในการสั่งงานอีกต่อไป มันสามารถเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง และอาจมีเป้าหมายที่มันจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้สำเร็จ — โดยไม่สนใจผลกระทบต่อมนุษย์

    ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นมีตั้งแต่การแย่งงาน การควบคุมสังคมผ่านเทคโนโลยี ไปจนถึงการสูญพันธุ์ของมนุษย์ ฟังดูเหมือนนิยายไซไฟ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าเรากำลังเดินเข้าสู่ “พื้นที่ที่ไม่เคยมีใครสำรวจมาก่อน” และควรเตรียมรับมือกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด

    AI Superintelligence คืออะไร
    ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถคิด วิเคราะห์ และเรียนรู้ได้เหนือกว่ามนุษย์
    ไม่ต้องพึ่งพาการสั่งงานจากมนุษย์อีกต่อไป
    สามารถพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีข้อจำกัด

    แถลงการณ์ Statement on Superintelligence
    เรียกร้องให้หยุดการพัฒนา AI ประเภทนี้ชั่วคราว
    ต้องมีฉันทามติทางวิทยาศาสตร์ว่าปลอดภัย
    ต้องได้รับการยอมรับจากสาธารณชนก่อนเปิดใช้งาน

    ผู้ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์
    Richard Branson, Steve Wozniak, Prince Harry, Meghan Markle
    Joseph Gordon-Levitt, will.i.am, Yoshua Bengio, Stuart Russell

    ความเสี่ยงจาก AI Superintelligence
    อาจถูกควบคุมโดยผู้ไม่หวังดี
    มีโอกาส “หลุดจากการควบคุม” ของมนุษย์
    อาจใช้ทรัพยากรทางปัญญาเพื่อบรรลุเป้าหมายโดยไม่สนใจผลกระทบ

    ผลกระทบต่อมนุษย์
    การแย่งงานในหลายอุตสาหกรรม
    การเฝ้าระวังและควบคุมสังคมผ่านเทคโนโลยี
    ความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของมนุษย์

    https://www.slashgear.com/2010667/superintelligence-ban-ai-experts-public-figures/
    🧠 “AI Superintelligence” กับเสียงเตือนจากคนดัง: เมื่อเทคโนโลยีอาจล้ำเส้นมนุษย์ เสียงเตือนจากนักวิทยาศาสตร์และคนดังทั่วโลกกำลังดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ AI กำลังพัฒนาไปสู่ระดับ “Superintelligence” — ปัญญาประดิษฐ์ที่อาจฉลาดกว่ามนุษย์ในทุกด้าน และนั่นอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นภาพที่สร้างจาก AI หรือการพูดคุยกับแชตบอต แต่เบื้องหลังความสะดวกนั้นคือความกังวลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อบริษัทใหญ่อย่าง OpenAI และ xAI กำลังพัฒนา “Superintelligence” — AI ที่สามารถคิด วิเคราะห์ และเรียนรู้ได้เหนือกว่ามนุษย์ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์และคนดัง เช่น Richard Branson, Steve Wozniak, Prince Harry, Meghan Markle, Joseph Gordon-Levitt และ will.i.am ได้ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ “Statement on Superintelligence” เพื่อเรียกร้องให้หยุดการพัฒนา AI ประเภทนี้ชั่วคราว จนกว่าจะมี “ฉันทามติทางวิทยาศาสตร์” ว่าจะสามารถควบคุมได้อย่างปลอดภัย และมี “การยอมรับจากสาธารณชน” อย่างชัดเจน Superintelligent AI ไม่เหมือนกับ AI ที่เราใช้กันในปัจจุบัน เพราะมันไม่ต้องพึ่งพามนุษย์ในการสั่งงานอีกต่อไป มันสามารถเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง และอาจมีเป้าหมายที่มันจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้สำเร็จ — โดยไม่สนใจผลกระทบต่อมนุษย์ ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นมีตั้งแต่การแย่งงาน การควบคุมสังคมผ่านเทคโนโลยี ไปจนถึงการสูญพันธุ์ของมนุษย์ ฟังดูเหมือนนิยายไซไฟ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าเรากำลังเดินเข้าสู่ “พื้นที่ที่ไม่เคยมีใครสำรวจมาก่อน” และควรเตรียมรับมือกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ✅ AI Superintelligence คืออะไร ➡️ ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถคิด วิเคราะห์ และเรียนรู้ได้เหนือกว่ามนุษย์ ➡️ ไม่ต้องพึ่งพาการสั่งงานจากมนุษย์อีกต่อไป ➡️ สามารถพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีข้อจำกัด ✅ แถลงการณ์ Statement on Superintelligence ➡️ เรียกร้องให้หยุดการพัฒนา AI ประเภทนี้ชั่วคราว ➡️ ต้องมีฉันทามติทางวิทยาศาสตร์ว่าปลอดภัย ➡️ ต้องได้รับการยอมรับจากสาธารณชนก่อนเปิดใช้งาน ✅ ผู้ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ ➡️ Richard Branson, Steve Wozniak, Prince Harry, Meghan Markle ➡️ Joseph Gordon-Levitt, will.i.am, Yoshua Bengio, Stuart Russell ‼️ ความเสี่ยงจาก AI Superintelligence ⛔ อาจถูกควบคุมโดยผู้ไม่หวังดี ⛔ มีโอกาส “หลุดจากการควบคุม” ของมนุษย์ ⛔ อาจใช้ทรัพยากรทางปัญญาเพื่อบรรลุเป้าหมายโดยไม่สนใจผลกระทบ ‼️ ผลกระทบต่อมนุษย์ ⛔ การแย่งงานในหลายอุตสาหกรรม ⛔ การเฝ้าระวังและควบคุมสังคมผ่านเทคโนโลยี ⛔ ความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของมนุษย์ https://www.slashgear.com/2010667/superintelligence-ban-ai-experts-public-figures/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    AI Experts & Celebrities Are Sounding The Alarm Bell - They Want A 'Superintelligence' Ban - SlashGear
    Figures like Steve Wozniak and Richard Branson, and will.i.am have signed the Statement on Superintelligence, urging a pause on AI superintelligence research.
    0 Comments 0 Shares 49 Views 0 Reviews
  • Superhuman: จากผู้ช่วยเขียนสู่แพลตฟอร์ม AI ครบวงจร
    Grammarly ก่อตั้งในปี 2009 และเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ช่วยเขียนที่ใช้ AI อย่างแพร่หลาย ล่าสุดบริษัทได้ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น “Superhuman” หลังจากเข้าซื้อกิจการของ Superhuman Mail และ Coda ในปี 2025 โดยเลือกใช้ชื่อของบริษัทที่ถูกซื้อมาแทนชื่อเดิม ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ธรรมดาในวงการเทคโนโลยี

    ภายใต้ชื่อใหม่ Superhuman จะรวม:
    Grammarly (ผู้ช่วยเขียน)
    Superhuman Mail (แพลตฟอร์มอีเมลระดับพรีเมียม)
    Coda (ผู้ช่วยงานที่ใช้ AI)

    ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้ระบบ subscription เดียว พร้อมเปิดตัวผู้ช่วย AI ใหม่ชื่อว่า Superhuman Go ที่จะทำงานแบบเบื้องหลังโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากผู้ใช้

    Superhuman Go จะสามารถ:
    เขียนและปรับแต่งอีเมลอัตโนมัติ
    สรุปข้อมูลจากข้อความหรือเอกสาร
    จัดการตารางงานและการประชุม
    เชื่อมต่อกับ Google Workspace และ Microsoft Outlook

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว เช่น:
    แปลงบันทึกการประชุมเป็นร่างเอกสาร
    จัดระเบียบกล่องอีเมลตามปฏิทินและ workflow ของผู้ใช้

    แพ็กเกจ subscription มีให้เลือก 2 ระดับ:

    Pro Plan ($12/เดือน): เขียนใหม่และแปลข้อความได้ไม่จำกัดใน 19 ภาษา
    Business Plan ($33/เดือน): รวมทุกฟีเจอร์ของ Pro พร้อมใช้งาน Superhuman Mail เต็มรูปแบบ

    https://securityonline.info/grammarly-is-now-superhuman-unifying-mail-and-ai-in-new-productivity-suite/
    🚀 Superhuman: จากผู้ช่วยเขียนสู่แพลตฟอร์ม AI ครบวงจร Grammarly ก่อตั้งในปี 2009 และเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ช่วยเขียนที่ใช้ AI อย่างแพร่หลาย ล่าสุดบริษัทได้ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น “Superhuman” หลังจากเข้าซื้อกิจการของ Superhuman Mail และ Coda ในปี 2025 โดยเลือกใช้ชื่อของบริษัทที่ถูกซื้อมาแทนชื่อเดิม ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ธรรมดาในวงการเทคโนโลยี ภายใต้ชื่อใหม่ Superhuman จะรวม: 💠 Grammarly (ผู้ช่วยเขียน) 💠 Superhuman Mail (แพลตฟอร์มอีเมลระดับพรีเมียม) 💠 Coda (ผู้ช่วยงานที่ใช้ AI) ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้ระบบ subscription เดียว พร้อมเปิดตัวผู้ช่วย AI ใหม่ชื่อว่า Superhuman Go ที่จะทำงานแบบเบื้องหลังโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากผู้ใช้ Superhuman Go จะสามารถ: 💠 เขียนและปรับแต่งอีเมลอัตโนมัติ 💠 สรุปข้อมูลจากข้อความหรือเอกสาร 💠 จัดการตารางงานและการประชุม 💠 เชื่อมต่อกับ Google Workspace และ Microsoft Outlook นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว เช่น: 💠 แปลงบันทึกการประชุมเป็นร่างเอกสาร 💠 จัดระเบียบกล่องอีเมลตามปฏิทินและ workflow ของผู้ใช้ แพ็กเกจ subscription มีให้เลือก 2 ระดับ: 🎗️ Pro Plan ($12/เดือน): เขียนใหม่และแปลข้อความได้ไม่จำกัดใน 19 ภาษา 🎗️ Business Plan ($33/เดือน): รวมทุกฟีเจอร์ของ Pro พร้อมใช้งาน Superhuman Mail เต็มรูปแบบ https://securityonline.info/grammarly-is-now-superhuman-unifying-mail-and-ai-in-new-productivity-suite/
    SECURITYONLINE.INFO
    Grammarly is Now Superhuman, Unifying Mail and AI in New Productivity Suite
    Grammarly has rebranded to Superhuman and launched Superhuman Go, a new AI assistant that unifies Grammarly, Superhuman Mail, and Coda for cross-app automation.
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • กลิ่นไอของสิ่งที่ผ่านมา..ในแต่ะช่วงใครมัน ในความทรงจำดีๆของแต่ละคน.

    เรา..ประเทศไทยสบายมากที่จะดำรงผสมผสานความล้ำสมัยใดๆเข้ากับเราคนไทยได้อย่างลงตัว,ไม่สุดโด่งแบบเผด็จการคอมมิวนิสต์ ไม่อิสระจ๋าแบบประชาธิปไตยจอมปลอมของฝรั่งแต่ไส้ในอุบาทก์ชาติชั่วสุดๆเผด็จการโคตรๆไม่ต่างจากคอมมิวนิสต์ซึ่งทั้งสองอย่างอีลิทมันเองละคือเจ้าของหมด,ดูยุคโควิด19ฉีดตายได้เลยฝรั่งจ๋าบังคับฉีดคนภายในประเทศมันสุดๆเช่นกัน.

    ..อนาคตประเทศไทยเราจะล้ำทั้งทางจิตใจอันดีงามผู้นำทางพลังจิตพลังใจที่ดีงามจริงคู่ขนานAIได้อย่างลงตัวล้ำๆทางเทคโนโลยีนั้นเอง,แต่ต้องกวาดล้างและกำจัดทำความสะอาดบ้านเมืองเราเองจริงๆจังๆก่อน.

    ..ยิ้มสยามทั่วไทยเรา อันน่ารักๆจากใจทุกๆคนไทยจะกลับมาอีกบนฐานะที่ดีร่ำรวยมั่งคงกันทุกๆคน.

    https://vm.tiktok.com/ZSHcdQG4NQcDo-jo9du/

    กลิ่นไอของสิ่งที่ผ่านมา..ในแต่ะช่วงใครมัน ในความทรงจำดีๆของแต่ละคน. เรา..ประเทศไทยสบายมากที่จะดำรงผสมผสานความล้ำสมัยใดๆเข้ากับเราคนไทยได้อย่างลงตัว,ไม่สุดโด่งแบบเผด็จการคอมมิวนิสต์ ไม่อิสระจ๋าแบบประชาธิปไตยจอมปลอมของฝรั่งแต่ไส้ในอุบาทก์ชาติชั่วสุดๆเผด็จการโคตรๆไม่ต่างจากคอมมิวนิสต์ซึ่งทั้งสองอย่างอีลิทมันเองละคือเจ้าของหมด,ดูยุคโควิด19ฉีดตายได้เลยฝรั่งจ๋าบังคับฉีดคนภายในประเทศมันสุดๆเช่นกัน. ..อนาคตประเทศไทยเราจะล้ำทั้งทางจิตใจอันดีงามผู้นำทางพลังจิตพลังใจที่ดีงามจริงคู่ขนานAIได้อย่างลงตัวล้ำๆทางเทคโนโลยีนั้นเอง,แต่ต้องกวาดล้างและกำจัดทำความสะอาดบ้านเมืองเราเองจริงๆจังๆก่อน. ..ยิ้มสยามทั่วไทยเรา อันน่ารักๆจากใจทุกๆคนไทยจะกลับมาอีกบนฐานะที่ดีร่ำรวยมั่งคงกันทุกๆคน. https://vm.tiktok.com/ZSHcdQG4NQcDo-jo9du/
    0 Comments 0 Shares 35 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่แห่งวงการคลาวด์: Sweet Security เปิดตัว Runtime CNAPP สำหรับ Windows

    วันนี้มีข่าวดีสำหรับสายไอทีและผู้ดูแลระบบคลาวด์ทั่วโลก เมื่อ Sweet Security ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยคลาวด์และ AI ได้เปิดตัว Runtime CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเติมเต็มช่องว่างด้านการป้องกันภัยคุกคามในคลาวด์ที่ใช้ Windows ซึ่งก่อนหน้านี้ถือเป็นจุดอ่อนของหลายองค์กร

    ลองนึกภาพว่าองค์กรของคุณมีระบบ Windows รันอยู่บนคลาวด์เต็มไปหมด แต่เครื่องมือป้องกันภัยส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาเพื่อระบบแบบเดิม หรือ Linux เท่านั้น ตอนนี้ Sweet Security ได้พัฒนาเซนเซอร์ใหม่ที่เขียนด้วยภาษา Rust ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและใช้ทรัพยากรต่ำ พร้อมความสามารถในการตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติแบบเรียลไทม์ ไม่ใช่แค่การจับลายเซ็นไวรัสแบบเก่า แต่สามารถตรวจจับการใช้เครื่องมือปกติในทางที่ผิด เช่น PowerShell, DLL injection, การแก้ไข registry และอื่น ๆ

    ที่น่าทึ่งคือ ในการทดสอบจริง เซนเซอร์ของ Sweet สามารถตรวจจับการพยายามขโมยข้อมูล credential ได้ภายในไม่กี่วินาที และใช้เวลาไม่ถึง 2 นาทีในการสืบสวนจนเสร็จสิ้น นี่คือการเปลี่ยนเกมของการรักษาความปลอดภัยในคลาวด์อย่างแท้จริง

    นอกจากนี้ Sweet ยังรวมความสามารถของ AI และ LLM (Large Language Model) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น audit logs และ cloud identities เพื่อให้เห็นภาพรวมของภัยคุกคามได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญจากข่าว
    Sweet Security เปิดตัว Runtime CNAPP สำหรับ Windows
    รองรับการตรวจจับแบบเรียลไทม์และการสืบสวนอัตโนมัติ
    ใช้ภาษา Rust เพื่อประสิทธิภาพสูงและ footprint ต่ำ
    ครอบคลุมพฤติกรรมผิดปกติ เช่น DLL injection, PowerShell, registry manipulation
    ใช้เทคโนโลยี behavioral baselining และ AI เพื่อจับการใช้เครื่องมือปกติในทางผิด
    ตรวจจับ credential dumping ได้ภายในไม่กี่วินาที
    ใช้เวลาไม่ถึง 2 นาทีในการสืบสวนภัยคุกคาม
    รวมความสามารถของ CADR, CSPM, KSPM, CIEM, ITDR และอื่น ๆ ในแพลตฟอร์มเดียว

    ความเสี่ยงของระบบ Windows บนคลาวด์ที่ยังไม่มีการป้องกันแบบ runtime
    ระบบ EDR แบบเดิมอาจไม่ครอบคลุมภัยคุกคามเฉพาะของคลาวด์
    การใช้เครื่องมือปกติในทางผิดอาจไม่ถูกตรวจจับโดยระบบทั่วไป
    การขาดการเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่งทำให้การสืบสวนล่าช้า

    https://securityonline.info/sweet-security-brings-runtime-cnapp-power-to-windows/
    🛡️ ข่าวใหญ่แห่งวงการคลาวด์: Sweet Security เปิดตัว Runtime CNAPP สำหรับ Windows วันนี้มีข่าวดีสำหรับสายไอทีและผู้ดูแลระบบคลาวด์ทั่วโลก เมื่อ Sweet Security ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยคลาวด์และ AI ได้เปิดตัว Runtime CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเติมเต็มช่องว่างด้านการป้องกันภัยคุกคามในคลาวด์ที่ใช้ Windows ซึ่งก่อนหน้านี้ถือเป็นจุดอ่อนของหลายองค์กร ลองนึกภาพว่าองค์กรของคุณมีระบบ Windows รันอยู่บนคลาวด์เต็มไปหมด แต่เครื่องมือป้องกันภัยส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาเพื่อระบบแบบเดิม หรือ Linux เท่านั้น ตอนนี้ Sweet Security ได้พัฒนาเซนเซอร์ใหม่ที่เขียนด้วยภาษา Rust ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและใช้ทรัพยากรต่ำ พร้อมความสามารถในการตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติแบบเรียลไทม์ ไม่ใช่แค่การจับลายเซ็นไวรัสแบบเก่า แต่สามารถตรวจจับการใช้เครื่องมือปกติในทางที่ผิด เช่น PowerShell, DLL injection, การแก้ไข registry และอื่น ๆ ที่น่าทึ่งคือ ในการทดสอบจริง เซนเซอร์ของ Sweet สามารถตรวจจับการพยายามขโมยข้อมูล credential ได้ภายในไม่กี่วินาที และใช้เวลาไม่ถึง 2 นาทีในการสืบสวนจนเสร็จสิ้น นี่คือการเปลี่ยนเกมของการรักษาความปลอดภัยในคลาวด์อย่างแท้จริง นอกจากนี้ Sweet ยังรวมความสามารถของ AI และ LLM (Large Language Model) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น audit logs และ cloud identities เพื่อให้เห็นภาพรวมของภัยคุกคามได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 🔍 สรุปประเด็นสำคัญจากข่าว ✅ Sweet Security เปิดตัว Runtime CNAPP สำหรับ Windows ➡️ รองรับการตรวจจับแบบเรียลไทม์และการสืบสวนอัตโนมัติ ➡️ ใช้ภาษา Rust เพื่อประสิทธิภาพสูงและ footprint ต่ำ ➡️ ครอบคลุมพฤติกรรมผิดปกติ เช่น DLL injection, PowerShell, registry manipulation ➡️ ใช้เทคโนโลยี behavioral baselining และ AI เพื่อจับการใช้เครื่องมือปกติในทางผิด ➡️ ตรวจจับ credential dumping ได้ภายในไม่กี่วินาที ➡️ ใช้เวลาไม่ถึง 2 นาทีในการสืบสวนภัยคุกคาม ➡️ รวมความสามารถของ CADR, CSPM, KSPM, CIEM, ITDR และอื่น ๆ ในแพลตฟอร์มเดียว ‼️ ความเสี่ยงของระบบ Windows บนคลาวด์ที่ยังไม่มีการป้องกันแบบ runtime ⛔ ระบบ EDR แบบเดิมอาจไม่ครอบคลุมภัยคุกคามเฉพาะของคลาวด์ ⛔ การใช้เครื่องมือปกติในทางผิดอาจไม่ถูกตรวจจับโดยระบบทั่วไป ⛔ การขาดการเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่งทำให้การสืบสวนล่าช้า https://securityonline.info/sweet-security-brings-runtime-cnapp-power-to-windows/
    SECURITYONLINE.INFO
    Sweet Security Brings Runtime-CNAPP Power to Windows
    Tel Aviv, Israel, 29th October 2025, CyberNewsWire
    0 Comments 0 Shares 46 Views 0 Reviews
  • “สหรัฐ–ญี่ปุ่นจับมือสลายอิทธิพลจีนในตลาดแร่หายาก พร้อมเร่งพลังงานนิวเคลียร์รับยุค AI”

    ในวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านแร่หายากและพลังงานนิวเคลียร์ ณ กรุงโตเกียว โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการลดการพึ่งพาจีน ซึ่งครองตลาดการกลั่นและผลิตแม่เหล็กจากแร่หายากกว่า 85% ของโลก แม้จีนจะมีเพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณแร่หายากดิบทั่วโลก แต่กลับควบคุมกระบวนการผลิตที่สำคัญเกือบทั้งหมด

    ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นก่อนการพบกันระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐในการสร้างเส้นทางใหม่ด้านทรัพยากรและพลังงาน โดยเฉพาะแร่ neodymium และ praseodymium ที่จำเป็นต่อการผลิตแม่เหล็กถาวรในมอเตอร์ EV และฮาร์ดไดรฟ์

    นอกจากแร่หายากแล้ว ข้อตกลงยังรวมถึงความร่วมมือในการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) โดยเฉพาะแบบ BWRX-300 ที่พัฒนาโดย GE Vernova และ Hitachi ซึ่งได้รับอนุมัติให้สร้างในอเมริกาเหนือแล้ว และกำลังเป็นที่สนใจของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Google, Amazon และ Microsoft ที่ต้องการพลังงานมหาศาลเพื่อรองรับการประมวลผล AI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    สหรัฐและญี่ปุ่นลงนามข้อตกลงด้านแร่หายากและพลังงานนิวเคลียร์
    เป้าหมายคือลดการพึ่งพาจีนที่ครองตลาดการกลั่นแร่หายากกว่า 85%
    เน้นแร่ neodymium และ praseodymium สำหรับแม่เหล็กถาวร
    ข้อตกลงเกิดก่อนการประชุมระหว่างทรัมป์และสี จิ้นผิง

    ความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์
    เน้นการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR)
    แบบ BWRX-300 ได้รับอนุมัติแล้วในอเมริกาเหนือ
    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์เพื่อรองรับ AI

    ความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    OpenAI, xAI และ TSMC Arizona ต้องการพลังงานเฉพาะสำหรับศูนย์ข้อมูล
    พลังงานนิวเคลียร์กลายเป็น “ปัจจัยด้านฮาร์ดแวร์” สำหรับการสร้าง GPU และเซิร์ฟเวอร์ AI

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/us-and-japan-move-to-pry-rare-earths-from-chinas-grip
    🌏 “สหรัฐ–ญี่ปุ่นจับมือสลายอิทธิพลจีนในตลาดแร่หายาก พร้อมเร่งพลังงานนิวเคลียร์รับยุค AI” ในวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านแร่หายากและพลังงานนิวเคลียร์ ณ กรุงโตเกียว โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการลดการพึ่งพาจีน ซึ่งครองตลาดการกลั่นและผลิตแม่เหล็กจากแร่หายากกว่า 85% ของโลก แม้จีนจะมีเพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณแร่หายากดิบทั่วโลก แต่กลับควบคุมกระบวนการผลิตที่สำคัญเกือบทั้งหมด ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นก่อนการพบกันระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐในการสร้างเส้นทางใหม่ด้านทรัพยากรและพลังงาน โดยเฉพาะแร่ neodymium และ praseodymium ที่จำเป็นต่อการผลิตแม่เหล็กถาวรในมอเตอร์ EV และฮาร์ดไดรฟ์ นอกจากแร่หายากแล้ว ข้อตกลงยังรวมถึงความร่วมมือในการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) โดยเฉพาะแบบ BWRX-300 ที่พัฒนาโดย GE Vernova และ Hitachi ซึ่งได้รับอนุมัติให้สร้างในอเมริกาเหนือแล้ว และกำลังเป็นที่สนใจของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Google, Amazon และ Microsoft ที่ต้องการพลังงานมหาศาลเพื่อรองรับการประมวลผล AI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ สหรัฐและญี่ปุ่นลงนามข้อตกลงด้านแร่หายากและพลังงานนิวเคลียร์ ➡️ เป้าหมายคือลดการพึ่งพาจีนที่ครองตลาดการกลั่นแร่หายากกว่า 85% ➡️ เน้นแร่ neodymium และ praseodymium สำหรับแม่เหล็กถาวร ➡️ ข้อตกลงเกิดก่อนการประชุมระหว่างทรัมป์และสี จิ้นผิง ✅ ความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์ ➡️ เน้นการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ➡️ แบบ BWRX-300 ได้รับอนุมัติแล้วในอเมริกาเหนือ ➡️ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์เพื่อรองรับ AI ✅ ความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ➡️ OpenAI, xAI และ TSMC Arizona ต้องการพลังงานเฉพาะสำหรับศูนย์ข้อมูล ➡️ พลังงานนิวเคลียร์กลายเป็น “ปัจจัยด้านฮาร์ดแวร์” สำหรับการสร้าง GPU และเซิร์ฟเวอร์ AI https://www.tomshardware.com/tech-industry/us-and-japan-move-to-pry-rare-earths-from-chinas-grip
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    US and Japan move to loosen China’s rare earths grip — nations partner to build alternative pathways to power, resource independence
    Tokyo pact pairs magnet supply chain resilience with new nuclear cooperation, days before Trump meets Xi.
    0 Comments 0 Shares 121 Views 0 Reviews
  • “OpenAI รีแบรนด์ใหม่เป็นองค์กรเพื่อสาธารณประโยชน์ – Microsoft ถือหุ้น 27% พร้อมเดินหน้าสู่ยุค AGI”

    ในความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของวงการ AI ล่าสุด OpenAI และ Microsoft ได้ประกาศข้อตกลงปรับโครงสร้างองค์กร โดยเปลี่ยน OpenAI LP ซึ่งเป็นแขนธุรกิจแบบแสวงหากำไร ให้กลายเป็น “OpenAI Group PBC” – บริษัทเพื่อสาธารณประโยชน์ (Public Benefit Corporation) ที่ยังคงอยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรไม่แสวงหากำไรเดิม ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น “OpenAI Foundation”

    การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ OpenAI สามารถเคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้นในด้านธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาพันธกิจในการพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ โดย Microsoft ยังคงถือหุ้น 27% ใน OpenAI PBC ซึ่งมีมูลค่าประเมินล่าสุดอยู่ที่ $135 พันล้าน จากการลงทุนรวม $13.8 พันล้าน

    ข้อตกลงใหม่ยังเปิดทางให้ OpenAI สามารถร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์รายอื่นได้ โดย Microsoft จะไม่ถือสิทธิ์พิเศษในการเข้าถึงทรัพยากรคอมพิวต์อีกต่อไป แม้ว่า Azure จะยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลักที่ OpenAI ใช้งาน พร้อมคำมั่นว่าจะใช้จ่ายถึง $250 พันล้านกับบริการ Azure

    ที่น่าสนใจคือ ข้อตกลงนี้ยังมีเงื่อนไขเกี่ยวกับ AGI (Artificial General Intelligence) โดย Microsoft จะมีสิทธิ์เข้าถึงโมเดลและผลิตภัณฑ์ของ OpenAI อย่างพิเศษจนถึงปี 2032 หรือจนกว่า AGI จะถูกประกาศอย่างเป็นทางการโดยคณะกรรมการอิสระ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenAI ปรับโครงสร้างเป็นบริษัทเพื่อสาธารณประโยชน์ (PBC)
    องค์กรไม่แสวงหากำไรเดิมเปลี่ยนชื่อเป็น OpenAI Foundation
    Microsoft ถือหุ้น 27% มูลค่าประเมิน $135 พันล้าน
    OpenAI PBC มีมูลค่ารวม $500 พันล้าน และสามารถระดมทุนเพิ่มได้

    ความเปลี่ยนแปลงด้านความร่วมมือ
    Microsoft ไม่ถือสิทธิ์พิเศษในการเข้าถึง compute อีกต่อไป
    OpenAI สามารถร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์อื่นได้
    Azure ยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลัก พร้อมคำมั่นใช้จ่าย $250 พันล้าน

    เงื่อนไขเกี่ยวกับ AGI
    Microsoft มีสิทธิ์เข้าถึงโมเดลและผลิตภัณฑ์ของ OpenAI จนถึงปี 2032
    หาก AGI ถูกประกาศก่อนปี 2032 ข้อตกลงจะถูกทบทวนใหม่
    สิทธิ์การเข้าถึง IP ด้านการวิจัยของ Microsoft จะหมดอายุในปี 2030 หรือเมื่อ AGI ถูกประกาศ

    ความเป็นมาของ OpenAI
    ก่อตั้งในปี 2015 เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร
    ปี 2019 สร้าง OpenAI LP เพื่อดึงดูดการลงทุนแบบจำกัดผลตอบแทน
    โครงสร้างเดิมซับซ้อนเกินไป จึงนำไปสู่การปรับใหม่ในปี 2025

    การปรับโครงสร้างครั้งนี้สะท้อนถึงการเติบโตของ OpenAI จากองค์กรวิจัยสู่ผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก — พร้อมเปิดทางสู่ยุค AGI ที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้ามนุษยชาติในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-and-microsoft-sign-agreement-to-restructure-openai-into-a-public-benefit-corporation-with-microsoft-retaining-27-percent-stake-non-profit-open-ai-foundation-to-oversee-open-ai-pbc
    🤝 “OpenAI รีแบรนด์ใหม่เป็นองค์กรเพื่อสาธารณประโยชน์ – Microsoft ถือหุ้น 27% พร้อมเดินหน้าสู่ยุค AGI” ในความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของวงการ AI ล่าสุด OpenAI และ Microsoft ได้ประกาศข้อตกลงปรับโครงสร้างองค์กร โดยเปลี่ยน OpenAI LP ซึ่งเป็นแขนธุรกิจแบบแสวงหากำไร ให้กลายเป็น “OpenAI Group PBC” – บริษัทเพื่อสาธารณประโยชน์ (Public Benefit Corporation) ที่ยังคงอยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรไม่แสวงหากำไรเดิม ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น “OpenAI Foundation” การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ OpenAI สามารถเคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้นในด้านธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาพันธกิจในการพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ โดย Microsoft ยังคงถือหุ้น 27% ใน OpenAI PBC ซึ่งมีมูลค่าประเมินล่าสุดอยู่ที่ $135 พันล้าน จากการลงทุนรวม $13.8 พันล้าน ข้อตกลงใหม่ยังเปิดทางให้ OpenAI สามารถร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์รายอื่นได้ โดย Microsoft จะไม่ถือสิทธิ์พิเศษในการเข้าถึงทรัพยากรคอมพิวต์อีกต่อไป แม้ว่า Azure จะยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลักที่ OpenAI ใช้งาน พร้อมคำมั่นว่าจะใช้จ่ายถึง $250 พันล้านกับบริการ Azure ที่น่าสนใจคือ ข้อตกลงนี้ยังมีเงื่อนไขเกี่ยวกับ AGI (Artificial General Intelligence) โดย Microsoft จะมีสิทธิ์เข้าถึงโมเดลและผลิตภัณฑ์ของ OpenAI อย่างพิเศษจนถึงปี 2032 หรือจนกว่า AGI จะถูกประกาศอย่างเป็นทางการโดยคณะกรรมการอิสระ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenAI ปรับโครงสร้างเป็นบริษัทเพื่อสาธารณประโยชน์ (PBC) ➡️ องค์กรไม่แสวงหากำไรเดิมเปลี่ยนชื่อเป็น OpenAI Foundation ➡️ Microsoft ถือหุ้น 27% มูลค่าประเมิน $135 พันล้าน ➡️ OpenAI PBC มีมูลค่ารวม $500 พันล้าน และสามารถระดมทุนเพิ่มได้ ✅ ความเปลี่ยนแปลงด้านความร่วมมือ ➡️ Microsoft ไม่ถือสิทธิ์พิเศษในการเข้าถึง compute อีกต่อไป ➡️ OpenAI สามารถร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์อื่นได้ ➡️ Azure ยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลัก พร้อมคำมั่นใช้จ่าย $250 พันล้าน ✅ เงื่อนไขเกี่ยวกับ AGI ➡️ Microsoft มีสิทธิ์เข้าถึงโมเดลและผลิตภัณฑ์ของ OpenAI จนถึงปี 2032 ➡️ หาก AGI ถูกประกาศก่อนปี 2032 ข้อตกลงจะถูกทบทวนใหม่ ➡️ สิทธิ์การเข้าถึง IP ด้านการวิจัยของ Microsoft จะหมดอายุในปี 2030 หรือเมื่อ AGI ถูกประกาศ ✅ ความเป็นมาของ OpenAI ➡️ ก่อตั้งในปี 2015 เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ➡️ ปี 2019 สร้าง OpenAI LP เพื่อดึงดูดการลงทุนแบบจำกัดผลตอบแทน ➡️ โครงสร้างเดิมซับซ้อนเกินไป จึงนำไปสู่การปรับใหม่ในปี 2025 การปรับโครงสร้างครั้งนี้สะท้อนถึงการเติบโตของ OpenAI จากองค์กรวิจัยสู่ผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก — พร้อมเปิดทางสู่ยุค AGI ที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้ามนุษยชาติในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า. https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-and-microsoft-sign-agreement-to-restructure-openai-into-a-public-benefit-corporation-with-microsoft-retaining-27-percent-stake-non-profit-open-ai-foundation-to-oversee-open-ai-pbc
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
  • “Nvidia เปิดตัวซูเปอร์คอม Vera Rubin สำหรับห้องแล็บ Los Alamos – ชิงพื้นที่จาก AMD ในสนามวิจัย AI และความมั่นคง”

    Nvidia ประกาศความร่วมมือกับ HPE ในการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ใหม่ 2 เครื่องให้กับ Los Alamos National Laboratory (LANL) โดยใช้แพลตฟอร์ม Vera Rubin ซึ่งประกอบด้วย CPU Vera รุ่นใหม่และ GPU Rubin ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานวิจัยด้าน AI และความมั่นคงระดับชาติ

    สองระบบนี้มีชื่อว่า “Mission” และ “Vision” โดย Mission จะถูกใช้โดย National Nuclear Security Administration เพื่อจำลองและตรวจสอบความปลอดภัยของคลังอาวุธนิวเคลียร์โดยไม่ต้องทดสอบจริง ส่วน Vision จะรองรับงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์เปิดและ AI โดยต่อยอดจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Venado ที่เคยติดอันดับ 19 ของโลก

    ระบบ Vera Rubin จะใช้เทคโนโลยี NVLink Gen6 สำหรับการเชื่อมต่อภายใน และ QuantumX 800 InfiniBand สำหรับการเชื่อมต่อภายนอก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลแบบขนานและการสื่อสารระหว่างโหนด

    แม้ Nvidia ยังไม่เปิดเผยตัวเลขประสิทธิภาพของ Mission และ Vision แต่จากการเปรียบเทียบกับ Venado ที่มีพลัง FP64 ถึง 98.51 PFLOPS คาดว่า Vision จะมีพลังประมวลผลมากกว่า 2 เท่า และยังคงเน้นการรองรับ HPC แบบ FP64 ควบคู่กับ AI แบบ low-precision

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nvidia ร่วมกับ HPE สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ “Mission” และ “Vision” ให้กับ LANL
    ใช้แพลตฟอร์ม Vera Rubin: CPU Vera + GPU Rubin
    ใช้ NVLink Gen6 และ QuantumX 800 InfiniBand สำหรับการเชื่อมต่อ
    Mission ใช้ในงานด้านความมั่นคงนิวเคลียร์ (NNSA)
    Vision ใช้ในงานวิจัยวิทยาศาสตร์เปิดและ AI

    ความสามารถที่คาดการณ์ได้
    Vision จะต่อยอดจาก Venado ที่มีพลัง FP64 98.51 PFLOPS
    คาดว่าจะมีพลังประมวลผลมากกว่า 2 เท่า
    รองรับทั้ง HPC แบบ FP64 และ AI แบบ FP4/FP8

    ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์
    Mission เป็นระบบที่ 5 ในโครงการ AI ด้านความมั่นคงของ LANL
    Vision จะช่วยผลักดันงานวิจัย AI และวิทยาศาสตร์แบบเปิด
    เป็นการลงทุนสำคัญของสหรัฐในด้านความมั่นคงและวิทยาศาสตร์

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    Nvidia ยังไม่เปิดเผยสเปกละเอียดหรือตัวเลขประสิทธิภาพจริง
    การพัฒนาและติดตั้งระบบจะใช้เวลาหลายปี – Mission คาดว่าจะใช้งานได้ในปี 2027
    การแข่งขันกับ AMD ยังดำเนินต่อ โดย AMD เพิ่งประกาศชัยชนะในโครงการซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของกระทรวงพลังงาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/nvidia-unveils-vera-rubin-supercomputers-for-los-alamos-national-laboratory-announcement-comes-on-heels-of-amds-recent-supercomputer-wins
    🧠 “Nvidia เปิดตัวซูเปอร์คอม Vera Rubin สำหรับห้องแล็บ Los Alamos – ชิงพื้นที่จาก AMD ในสนามวิจัย AI และความมั่นคง” Nvidia ประกาศความร่วมมือกับ HPE ในการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ใหม่ 2 เครื่องให้กับ Los Alamos National Laboratory (LANL) โดยใช้แพลตฟอร์ม Vera Rubin ซึ่งประกอบด้วย CPU Vera รุ่นใหม่และ GPU Rubin ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานวิจัยด้าน AI และความมั่นคงระดับชาติ สองระบบนี้มีชื่อว่า “Mission” และ “Vision” โดย Mission จะถูกใช้โดย National Nuclear Security Administration เพื่อจำลองและตรวจสอบความปลอดภัยของคลังอาวุธนิวเคลียร์โดยไม่ต้องทดสอบจริง ส่วน Vision จะรองรับงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์เปิดและ AI โดยต่อยอดจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Venado ที่เคยติดอันดับ 19 ของโลก ระบบ Vera Rubin จะใช้เทคโนโลยี NVLink Gen6 สำหรับการเชื่อมต่อภายใน และ QuantumX 800 InfiniBand สำหรับการเชื่อมต่อภายนอก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลแบบขนานและการสื่อสารระหว่างโหนด แม้ Nvidia ยังไม่เปิดเผยตัวเลขประสิทธิภาพของ Mission และ Vision แต่จากการเปรียบเทียบกับ Venado ที่มีพลัง FP64 ถึง 98.51 PFLOPS คาดว่า Vision จะมีพลังประมวลผลมากกว่า 2 เท่า และยังคงเน้นการรองรับ HPC แบบ FP64 ควบคู่กับ AI แบบ low-precision ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nvidia ร่วมกับ HPE สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ “Mission” และ “Vision” ให้กับ LANL ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม Vera Rubin: CPU Vera + GPU Rubin ➡️ ใช้ NVLink Gen6 และ QuantumX 800 InfiniBand สำหรับการเชื่อมต่อ ➡️ Mission ใช้ในงานด้านความมั่นคงนิวเคลียร์ (NNSA) ➡️ Vision ใช้ในงานวิจัยวิทยาศาสตร์เปิดและ AI ✅ ความสามารถที่คาดการณ์ได้ ➡️ Vision จะต่อยอดจาก Venado ที่มีพลัง FP64 98.51 PFLOPS ➡️ คาดว่าจะมีพลังประมวลผลมากกว่า 2 เท่า ➡️ รองรับทั้ง HPC แบบ FP64 และ AI แบบ FP4/FP8 ✅ ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ Mission เป็นระบบที่ 5 ในโครงการ AI ด้านความมั่นคงของ LANL ➡️ Vision จะช่วยผลักดันงานวิจัย AI และวิทยาศาสตร์แบบเปิด ➡️ เป็นการลงทุนสำคัญของสหรัฐในด้านความมั่นคงและวิทยาศาสตร์ ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ Nvidia ยังไม่เปิดเผยสเปกละเอียดหรือตัวเลขประสิทธิภาพจริง ⛔ การพัฒนาและติดตั้งระบบจะใช้เวลาหลายปี – Mission คาดว่าจะใช้งานได้ในปี 2027 ⛔ การแข่งขันกับ AMD ยังดำเนินต่อ โดย AMD เพิ่งประกาศชัยชนะในโครงการซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของกระทรวงพลังงาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/nvidia-unveils-vera-rubin-supercomputers-for-los-alamos-national-laboratory-announcement-comes-on-heels-of-amds-recent-supercomputer-wins
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “OpenAI เรียกร้องให้สหรัฐสร้างไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี – ชี้พลังงานคืออาวุธลับในสงคราม AI กับจีน”

    OpenAI ได้ออกแถลงการณ์ล่าสุดผ่านบล็อก “Seizing the AI Opportunity” พร้อมยื่นข้อเสนอถึงทำเนียบขาว เรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาเร่งสร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 100 กิกะวัตต์ต่อปี เพื่อรับมือกับการแข่งขันด้าน AI กับจีน โดยระบุว่า “ไฟฟ้าไม่ใช่แค่สาธารณูปโภค แต่คือทรัพย์สินเชิงยุทธศาสตร์” ที่จะกำหนดผู้นำเทคโนโลยีแห่งอนาคต

    OpenAI เตือนว่า “ช่องว่างพลังงาน” หรือ “electron gap” กำลังขยายตัวอย่างน่ากังวล โดยในปี 2024 จีนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ถึง 429 GW ขณะที่สหรัฐเพิ่มเพียง 51 GW ซึ่งอาจทำให้สหรัฐเสียเปรียบในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล

    นอกจากการเรียกร้องให้สร้างโรงไฟฟ้าใหม่ OpenAI ยังเสนอให้เร่งกระบวนการอนุมัติโครงการพลังงานโดยใช้ AI ช่วยตรวจสอบเอกสารและลดขั้นตอนราชการ พร้อมเสนอให้ใช้ “อำนาจฉุกเฉิน” เพื่อเร่งการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะโครงการที่ตั้งอยู่บนที่ดินของรัฐบาลกลาง

    OpenAI ยังเสนอให้จัดตั้ง “คลังสำรองวัตถุดิบ” สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI เช่น ทองแดง อะลูมิเนียม และแร่หายาก เพื่อป้องกันการพึ่งพาจีนในด้านวัตถุดิบที่สำคัญ

    ข้อเสนอหลักจาก OpenAI
    สร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี
    ใช้ AI ช่วยเร่งกระบวนการอนุมัติโครงการพลังงาน
    ปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อ “ปลดล็อก” การลงทุนด้านพลังงาน
    ใช้อำนาจฉุกเฉินเพื่อเร่งการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม

    เหตุผลที่ต้องเร่งสร้างพลังงาน
    จีนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า 429 GW ในปีเดียว
    สหรัฐเพิ่มเพียง 51 GW – เกิด “ช่องว่างพลังงาน” ที่อาจทำให้เสียเปรียบ
    โครงสร้างพื้นฐาน AI เช่นศูนย์ข้อมูล ต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล

    ข้อเสนอเสริมเพื่อความมั่นคงด้าน AI
    จัดตั้งคลังสำรองวัตถุดิบ เช่น ทองแดง แร่หายาก
    ลดการพึ่งพาจีนในด้านวัตถุดิบสำคัญ
    สร้างโอกาสงานใหม่ในสายอาชีพช่าง เช่น ช่างไฟ ช่างกล ช่างเชื่อม

    สั้นๆ สำหรับลุง คุณแซมคนนี้ไม่ใช่คนดีแน่ๆ ..

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-calls-on-u-s-to-build-100-gigawatts-of-additional-power-generating-capacity-per-year-says-electricity-is-a-strategic-asset-in-ai-race-against-china
    ⚡ หัวข้อข่าว: “OpenAI เรียกร้องให้สหรัฐสร้างไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี – ชี้พลังงานคืออาวุธลับในสงคราม AI กับจีน” OpenAI ได้ออกแถลงการณ์ล่าสุดผ่านบล็อก “Seizing the AI Opportunity” พร้อมยื่นข้อเสนอถึงทำเนียบขาว เรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาเร่งสร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 100 กิกะวัตต์ต่อปี เพื่อรับมือกับการแข่งขันด้าน AI กับจีน โดยระบุว่า “ไฟฟ้าไม่ใช่แค่สาธารณูปโภค แต่คือทรัพย์สินเชิงยุทธศาสตร์” ที่จะกำหนดผู้นำเทคโนโลยีแห่งอนาคต OpenAI เตือนว่า “ช่องว่างพลังงาน” หรือ “electron gap” กำลังขยายตัวอย่างน่ากังวล โดยในปี 2024 จีนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ถึง 429 GW ขณะที่สหรัฐเพิ่มเพียง 51 GW ซึ่งอาจทำให้สหรัฐเสียเปรียบในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล นอกจากการเรียกร้องให้สร้างโรงไฟฟ้าใหม่ OpenAI ยังเสนอให้เร่งกระบวนการอนุมัติโครงการพลังงานโดยใช้ AI ช่วยตรวจสอบเอกสารและลดขั้นตอนราชการ พร้อมเสนอให้ใช้ “อำนาจฉุกเฉิน” เพื่อเร่งการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะโครงการที่ตั้งอยู่บนที่ดินของรัฐบาลกลาง OpenAI ยังเสนอให้จัดตั้ง “คลังสำรองวัตถุดิบ” สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI เช่น ทองแดง อะลูมิเนียม และแร่หายาก เพื่อป้องกันการพึ่งพาจีนในด้านวัตถุดิบที่สำคัญ ✅ ข้อเสนอหลักจาก OpenAI ➡️ สร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี ➡️ ใช้ AI ช่วยเร่งกระบวนการอนุมัติโครงการพลังงาน ➡️ ปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อ “ปลดล็อก” การลงทุนด้านพลังงาน ➡️ ใช้อำนาจฉุกเฉินเพื่อเร่งการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม ✅ เหตุผลที่ต้องเร่งสร้างพลังงาน ➡️ จีนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า 429 GW ในปีเดียว ➡️ สหรัฐเพิ่มเพียง 51 GW – เกิด “ช่องว่างพลังงาน” ที่อาจทำให้เสียเปรียบ ➡️ โครงสร้างพื้นฐาน AI เช่นศูนย์ข้อมูล ต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล ✅ ข้อเสนอเสริมเพื่อความมั่นคงด้าน AI ➡️ จัดตั้งคลังสำรองวัตถุดิบ เช่น ทองแดง แร่หายาก ➡️ ลดการพึ่งพาจีนในด้านวัตถุดิบสำคัญ ➡️ สร้างโอกาสงานใหม่ในสายอาชีพช่าง เช่น ช่างไฟ ช่างกล ช่างเชื่อม สั้นๆ สำหรับลุง คุณแซมคนนี้ไม่ใช่คนดีแน่ๆ .. https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-calls-on-u-s-to-build-100-gigawatts-of-additional-power-generating-capacity-per-year-says-electricity-is-a-strategic-asset-in-ai-race-against-china
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “โดรนกระดาษเกาหลี เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส – ราคาถูก ซ่อมง่าย ใช้จริงในภารกิจทหาร”

    ในยุคที่สงครามและวิกฤตสิ่งแวดล้อมกำลังท้าทายโลก WOW Future Tech บริษัทสตาร์ทอัพจากเกาหลีใต้ได้เปิดตัว “AirSense UAV” โดรนที่สร้างจากกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่แค่ราคาถูก แต่ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและซ่อมง่ายอย่างเหลือเชื่อ

    แรงบันดาลใจของ CEO มุนจู คิม มาจากสงครามในยูเครน ที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนโดรนในสนามรบ เขาจึงคิดค้นวิธีสร้างโดรนจากวัสดุที่หาได้ง่ายทั่วโลก โดยใช้กระดาษแข็งแทนคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้ต้นทุนลดลงถึง 10 เท่า – จากราคาปกติหลายหมื่นเหรียญ เหลือเพียงประมาณ $1,400 ต่อเครื่อง

    โดรนรุ่นนี้ไม่เพียงแต่ราคาถูก แต่ยังสามารถซ่อมแซมได้ง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อนชั้น ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษหรือเครื่องมือซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ผลิตในประเทศ ซึ่งมีราคาถูกกว่าของนำเข้าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า

    แม้จะเน้นการใช้งานพลเรือน แต่กระทรวงกลาโหมเกาหลีก็ให้ความสนใจ โดยเริ่มทดสอบใช้งานในภารกิจฝึกและลาดตระเวน และมีแผนจะขยายการใช้งานในอนาคต

    จุดเด่นของโดรนกระดาษ AirSense UAV
    วัสดุหลักคือกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ
    ต้นทุนการผลิตต่ำเพียง ~$1,400 ต่อเครื่อง
    ซ่อมง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อน ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษ

    ความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
    วัสดุรีไซเคิลได้และหาได้ง่ายทั่วโลก
    ลดการพึ่งพาวัสดุสิ้นเปลืองอย่างคาร์บอนไฟเบอร์
    เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ขาดแคลนทรัพยากร

    การใช้งานในภารกิจจริง
    ทดสอบโดยกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้
    ใช้ในภารกิจฝึกและลาดตระเวน
    มีแผนขยายการใช้งานในเชิงพาณิชย์และต่างประเทศ

    การติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดอากาศ
    ใช้เซ็นเซอร์ผลิตในประเทศ ราคาถูกกว่าของนำเข้า
    มีเทคโนโลยีเหนือกว่าชิ้นส่วนต่างประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/koreas-cardboard-drones-address-uav-shortages-and-climate-crisis-inspired-by-the-ukraine-war-drone-inventor-looked-for-the-most-easily-sourced-and-repairable-materials
    📦 หัวข้อข่าว: “โดรนกระดาษเกาหลี เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส – ราคาถูก ซ่อมง่าย ใช้จริงในภารกิจทหาร” ในยุคที่สงครามและวิกฤตสิ่งแวดล้อมกำลังท้าทายโลก WOW Future Tech บริษัทสตาร์ทอัพจากเกาหลีใต้ได้เปิดตัว “AirSense UAV” โดรนที่สร้างจากกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่แค่ราคาถูก แต่ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและซ่อมง่ายอย่างเหลือเชื่อ แรงบันดาลใจของ CEO มุนจู คิม มาจากสงครามในยูเครน ที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนโดรนในสนามรบ เขาจึงคิดค้นวิธีสร้างโดรนจากวัสดุที่หาได้ง่ายทั่วโลก โดยใช้กระดาษแข็งแทนคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้ต้นทุนลดลงถึง 10 เท่า – จากราคาปกติหลายหมื่นเหรียญ เหลือเพียงประมาณ $1,400 ต่อเครื่อง โดรนรุ่นนี้ไม่เพียงแต่ราคาถูก แต่ยังสามารถซ่อมแซมได้ง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อนชั้น ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษหรือเครื่องมือซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ผลิตในประเทศ ซึ่งมีราคาถูกกว่าของนำเข้าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า แม้จะเน้นการใช้งานพลเรือน แต่กระทรวงกลาโหมเกาหลีก็ให้ความสนใจ โดยเริ่มทดสอบใช้งานในภารกิจฝึกและลาดตระเวน และมีแผนจะขยายการใช้งานในอนาคต ✅ จุดเด่นของโดรนกระดาษ AirSense UAV ➡️ วัสดุหลักคือกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ ➡️ ต้นทุนการผลิตต่ำเพียง ~$1,400 ต่อเครื่อง ➡️ ซ่อมง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อน ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษ ✅ ความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ➡️ วัสดุรีไซเคิลได้และหาได้ง่ายทั่วโลก ➡️ ลดการพึ่งพาวัสดุสิ้นเปลืองอย่างคาร์บอนไฟเบอร์ ➡️ เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ขาดแคลนทรัพยากร ✅ การใช้งานในภารกิจจริง ➡️ ทดสอบโดยกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ ➡️ ใช้ในภารกิจฝึกและลาดตระเวน ➡️ มีแผนขยายการใช้งานในเชิงพาณิชย์และต่างประเทศ ✅ การติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดอากาศ ➡️ ใช้เซ็นเซอร์ผลิตในประเทศ ราคาถูกกว่าของนำเข้า ➡️ มีเทคโนโลยีเหนือกว่าชิ้นส่วนต่างประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/koreas-cardboard-drones-address-uav-shortages-and-climate-crisis-inspired-by-the-ukraine-war-drone-inventor-looked-for-the-most-easily-sourced-and-repairable-materials
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • ข่าวร้อนวงการไอที: “DRAM เซิร์ฟเวอร์พุ่ง 50% เพราะ AI แย่งซื้อ – ยักษ์ใหญ่ยังได้ของไม่ครบ!”

    ตลาดหน่วยความจำกำลังสั่นสะเทือน เมื่อความต้องการจากฝั่ง AI ทำให้ราคา DRAM สำหรับเซิร์ฟเวอร์พุ่งสูงถึง 50% ในไตรมาส 4 นี้ แม้แต่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ และจีนก็ยังได้รับสินค้าเพียง 70% ของที่สั่งซื้อไว้ สะท้อนถึงวิกฤตซัพพลายที่กำลังลุกลามไปทั่วอุตสาหกรรม

    เบื้องหลังความปั่นป่วนนี้คือการที่ผู้ผลิตอย่าง Samsung และ SK hynix หันไปทุ่มทรัพยากรให้กับหน่วยความจำ HBM และ DDR5 RDIMM ที่ใช้ในระบบ AI ทำให้หน่วยความจำแบบทั่วไปขาดตลาด ราคาพุ่ง และผู้ซื้อรายย่อยต้องดิ้นรนหาสินค้าจากตลาดมืดหรือรอไปถึงปี 2026

    สถานการณ์ตลาด DRAM ปัจจุบัน
    ราคา DRAM สำหรับเซิร์ฟเวอร์พุ่งสูงถึง 50% ใน Q4
    ผู้ซื้อรายใหญ่ในสหรัฐฯ และจีนได้รับสินค้าเพียง 70% ของคำสั่งซื้อ
    DDR5 16GB จากราคา $7–8 พุ่งเป็น $13 ภายในเดือนเดียว

    สาเหตุหลักจากความต้องการของ AI
    ความต้องการ HBM และ DDR5 RDIMM สำหรับ AI ทำให้ผู้ผลิตเบนกำลังการผลิต
    Samsung และ SK hynix ปรับราคาขึ้นทั้ง SSD และ DRAM
    ความต้องการจากศูนย์ข้อมูลและคลาวด์ยังคงสูงต่อเนื่อง

    ผลกระทบต่อผู้ซื้อรายย่อย
    OEM ขนาดเล็กและผู้ค้าช่องทางเห็นอัตราการส่งมอบเพียง 35–40%
    ถูกผลักให้ไปซื้อจากตลาด spot ที่ราคาแพงกว่า
    อาจต้องรอจนถึงปี 2026 กว่าจะมีสินค้าพร้อม

    สัญญาณจากผู้ผลิตและนักวิเคราะห์
    Micron เตือนว่าอุตสาหกรรม DRAM จะยัง “ตึงตัว” ไปจนถึงสิ้นปีหน้า
    TrendForce คาดว่าจะมีการ “หยุดเสนอราคา” บางโมดูลในจีน
    ราคาขายปลีก DDR5 ยังไม่มีแนวโน้มจะนิ่งในปีนี้

    สถานะของ DDR4
    Nanya Technology เผยว่า DDR4 เหลือส่วนแบ่งตลาดเพียง 20%
    ไม่ได้รับการผลิตในปริมาณมากอีกต่อไป

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานและนักลงทุน
    ราคาหน่วยความจำอาจยังพุ่งต่อเนื่องจนถึงปี 2026
    ผู้ใช้งานทั่วไปอาจได้รับผลกระทบจากราคาพีซีและโน้ตบุ๊กที่สูงขึ้น
    การลงทุนในฮาร์ดแวร์ช่วงนี้ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/server-dram-prices-surge-50-percent
    📈 ข่าวร้อนวงการไอที: “DRAM เซิร์ฟเวอร์พุ่ง 50% เพราะ AI แย่งซื้อ – ยักษ์ใหญ่ยังได้ของไม่ครบ!” ตลาดหน่วยความจำกำลังสั่นสะเทือน เมื่อความต้องการจากฝั่ง AI ทำให้ราคา DRAM สำหรับเซิร์ฟเวอร์พุ่งสูงถึง 50% ในไตรมาส 4 นี้ แม้แต่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ และจีนก็ยังได้รับสินค้าเพียง 70% ของที่สั่งซื้อไว้ สะท้อนถึงวิกฤตซัพพลายที่กำลังลุกลามไปทั่วอุตสาหกรรม เบื้องหลังความปั่นป่วนนี้คือการที่ผู้ผลิตอย่าง Samsung และ SK hynix หันไปทุ่มทรัพยากรให้กับหน่วยความจำ HBM และ DDR5 RDIMM ที่ใช้ในระบบ AI ทำให้หน่วยความจำแบบทั่วไปขาดตลาด ราคาพุ่ง และผู้ซื้อรายย่อยต้องดิ้นรนหาสินค้าจากตลาดมืดหรือรอไปถึงปี 2026 ✅ สถานการณ์ตลาด DRAM ปัจจุบัน ➡️ ราคา DRAM สำหรับเซิร์ฟเวอร์พุ่งสูงถึง 50% ใน Q4 ➡️ ผู้ซื้อรายใหญ่ในสหรัฐฯ และจีนได้รับสินค้าเพียง 70% ของคำสั่งซื้อ ➡️ DDR5 16GB จากราคา $7–8 พุ่งเป็น $13 ภายในเดือนเดียว ✅ สาเหตุหลักจากความต้องการของ AI ➡️ ความต้องการ HBM และ DDR5 RDIMM สำหรับ AI ทำให้ผู้ผลิตเบนกำลังการผลิต ➡️ Samsung และ SK hynix ปรับราคาขึ้นทั้ง SSD และ DRAM ➡️ ความต้องการจากศูนย์ข้อมูลและคลาวด์ยังคงสูงต่อเนื่อง ✅ ผลกระทบต่อผู้ซื้อรายย่อย ➡️ OEM ขนาดเล็กและผู้ค้าช่องทางเห็นอัตราการส่งมอบเพียง 35–40% ➡️ ถูกผลักให้ไปซื้อจากตลาด spot ที่ราคาแพงกว่า ➡️ อาจต้องรอจนถึงปี 2026 กว่าจะมีสินค้าพร้อม ✅ สัญญาณจากผู้ผลิตและนักวิเคราะห์ ➡️ Micron เตือนว่าอุตสาหกรรม DRAM จะยัง “ตึงตัว” ไปจนถึงสิ้นปีหน้า ➡️ TrendForce คาดว่าจะมีการ “หยุดเสนอราคา” บางโมดูลในจีน ➡️ ราคาขายปลีก DDR5 ยังไม่มีแนวโน้มจะนิ่งในปีนี้ ✅ สถานะของ DDR4 ➡️ Nanya Technology เผยว่า DDR4 เหลือส่วนแบ่งตลาดเพียง 20% ➡️ ไม่ได้รับการผลิตในปริมาณมากอีกต่อไป ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานและนักลงทุน ⛔ ราคาหน่วยความจำอาจยังพุ่งต่อเนื่องจนถึงปี 2026 ⛔ ผู้ใช้งานทั่วไปอาจได้รับผลกระทบจากราคาพีซีและโน้ตบุ๊กที่สูงขึ้น ⛔ การลงทุนในฮาร์ดแวร์ช่วงนี้ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/server-dram-prices-surge-50-percent
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Server DRAM prices surge up to 50% as AI-induced memory shortage hits hyperscaler supply — U.S. and Chinese customers only getting 70% order fulfillment
    U.S. and China buyers now see just 70% order fulfillment, as AI demand drives DDR5 shortages and PC parts follow suit.
    0 Comments 0 Shares 98 Views 0 Reviews
  • ข่าวดีสายเกม: “Linux เล่นเกม Windows ได้เกือบ 90% แล้ว! พร้อมรับยุคหลัง Windows 10”

    ในยุคที่ Windows 10 กำลังจะหมดอายุในปี 2025 ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ และ Linux กำลังกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับสายเกม ล่าสุดมีรายงานจาก ProtonDB และ Boiling Steam เผยว่า เกือบ 90% ของเกม Windows สามารถเล่นบน Linux ได้แล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีอย่าง Proton และ WINE ที่พัฒนาโดย Valve และ CodeWeavers

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากความพยายามของชุมชนโอเพ่นซอร์สและการเติบโตของอุปกรณ์อย่าง Steam Deck ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Linux โดยตรง ซึ่งช่วยผลักดันให้เกมเมอร์สามารถเข้าถึงเกม Windows ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการของ Microsoft

    แม้จะยังมีเกมบางประเภทที่ไม่สามารถเล่นได้ เช่น เกมที่ใช้ระบบป้องกันโกงแบบเข้มงวด แต่แนวโน้มโดยรวมคือเกมใหม่ ๆ มีแนวโน้มรองรับ Linux มากขึ้น และผู้พัฒนาเกมก็เริ่มให้ความสำคัญกับการทดสอบบน Linux ตั้งแต่ต้น

    ความก้าวหน้าของเกม Windows บน Linux
    เกือบ 90% ของเกม Windows สามารถเล่นบน Linux ได้แล้ว
    ใช้ Proton และ WINE เป็นตัวกลางแปลคำสั่ง Windows ให้ Linux เข้าใจ
    Steam Deck ช่วยผลักดันการพัฒนาเกมให้รองรับ Linux มากขึ้น

    การจัดอันดับความเข้ากันได้ของเกม
    Platinum: เล่นได้สมบูรณ์แบบ
    Gold: เล่นได้ดี มีการปรับแต่งเล็กน้อย
    Silver: เล่นได้แต่มีข้อบกพร่อง
    Bronze: อยู่ระหว่างเล่นได้กับเล่นไม่ได้
    Borked: ไม่สามารถเปิดเกมได้เลย

    สถิติจาก ProtonDB และ Boiling Steam
    เกมใหม่มีแนวโน้มได้คะแนน Platinum มากขึ้น
    จำนวนเกมที่ “Borked” ลดลงอย่างต่อเนื่อง
    83% ของเกมยอดนิยมบน Steam ได้คะแนน Platinum หรือ Gold

    Linux กลายเป็นตัวเลือกจริงจังสำหรับเกมเมอร์
    Valve ร่วมมือกับนักพัฒนาเพื่อปรับปรุงความเข้ากันได้
    SteamOS และดิสโทร Linux เช่น Mint, Zorin, Bazzite รองรับเกมได้ดีขึ้น
    การสิ้นสุดของ Windows 10 เป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้หันมาใช้ Linux

    https://www.tomshardware.com/software/linux/nearly-90-percent-of-windows-games-now-run-on-linux-latest-data-shows-as-windows-10-dies-gaming-on-linux-is-more-viable-than-ever
    🎮 ข่าวดีสายเกม: “Linux เล่นเกม Windows ได้เกือบ 90% แล้ว! พร้อมรับยุคหลัง Windows 10” ในยุคที่ Windows 10 กำลังจะหมดอายุในปี 2025 ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ และ Linux กำลังกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับสายเกม ล่าสุดมีรายงานจาก ProtonDB และ Boiling Steam เผยว่า เกือบ 90% ของเกม Windows สามารถเล่นบน Linux ได้แล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีอย่าง Proton และ WINE ที่พัฒนาโดย Valve และ CodeWeavers การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากความพยายามของชุมชนโอเพ่นซอร์สและการเติบโตของอุปกรณ์อย่าง Steam Deck ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Linux โดยตรง ซึ่งช่วยผลักดันให้เกมเมอร์สามารถเข้าถึงเกม Windows ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการของ Microsoft แม้จะยังมีเกมบางประเภทที่ไม่สามารถเล่นได้ เช่น เกมที่ใช้ระบบป้องกันโกงแบบเข้มงวด แต่แนวโน้มโดยรวมคือเกมใหม่ ๆ มีแนวโน้มรองรับ Linux มากขึ้น และผู้พัฒนาเกมก็เริ่มให้ความสำคัญกับการทดสอบบน Linux ตั้งแต่ต้น ✅ ความก้าวหน้าของเกม Windows บน Linux ➡️ เกือบ 90% ของเกม Windows สามารถเล่นบน Linux ได้แล้ว ➡️ ใช้ Proton และ WINE เป็นตัวกลางแปลคำสั่ง Windows ให้ Linux เข้าใจ ➡️ Steam Deck ช่วยผลักดันการพัฒนาเกมให้รองรับ Linux มากขึ้น ✅ การจัดอันดับความเข้ากันได้ของเกม ➡️ Platinum: เล่นได้สมบูรณ์แบบ ➡️ Gold: เล่นได้ดี มีการปรับแต่งเล็กน้อย ➡️ Silver: เล่นได้แต่มีข้อบกพร่อง ➡️ Bronze: อยู่ระหว่างเล่นได้กับเล่นไม่ได้ ➡️ Borked: ไม่สามารถเปิดเกมได้เลย ✅ สถิติจาก ProtonDB และ Boiling Steam ➡️ เกมใหม่มีแนวโน้มได้คะแนน Platinum มากขึ้น ➡️ จำนวนเกมที่ “Borked” ลดลงอย่างต่อเนื่อง ➡️ 83% ของเกมยอดนิยมบน Steam ได้คะแนน Platinum หรือ Gold ✅ Linux กลายเป็นตัวเลือกจริงจังสำหรับเกมเมอร์ ➡️ Valve ร่วมมือกับนักพัฒนาเพื่อปรับปรุงความเข้ากันได้ ➡️ SteamOS และดิสโทร Linux เช่น Mint, Zorin, Bazzite รองรับเกมได้ดีขึ้น ➡️ การสิ้นสุดของ Windows 10 เป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้หันมาใช้ Linux https://www.tomshardware.com/software/linux/nearly-90-percent-of-windows-games-now-run-on-linux-latest-data-shows-as-windows-10-dies-gaming-on-linux-is-more-viable-than-ever
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • “Foxconn x Nvidia: โรงงานอัจฉริยะกับหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์กำลังมา!”

    Foxconn ผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นพันธมิตรหลักของ Nvidia ในการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ได้ประกาศว่าจะเริ่มติดตั้งหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ในโรงงานที่เมืองฮิวสตัน สหรัฐอเมริกา ภายในไตรมาสแรกของปี 2026 โดยหุ่นยนต์เหล่านี้จะขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี NVIDIA Isaac GR00T N ซึ่งเป็นระบบ AI ขั้นสูงที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานในสายการผลิตโดยเฉพาะ

    เป้าหมายของโครงการนี้คือการสร้าง “โรงงานอัจฉริยะต้นแบบระดับโลก” ที่สามารถผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำสูงสุด โดยไม่ต้องพึ่งพาแรงงานมนุษย์ในขั้นตอนหลักของการผลิต

    นอกจากโรงงานฮิวสตันแล้ว Foxconn ยังมีแผนขยายการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ไปยังรัฐเท็กซัส วิสคอนซิน และแคลิฟอร์เนีย เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในยุค AI

    สาระเพิ่มเติม: หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ (Humanoid Robots) คือหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างและการเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับมนุษย์ ซึ่งสามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ เช่น การประกอบชิ้นส่วน การตรวจสอบคุณภาพ หรือแม้แต่การเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ในโรงงาน

    Foxconn เตรียมติดตั้งหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ในโรงงานฮิวสตัน
    ใช้เทคโนโลยี NVIDIA Isaac GR00T N
    เริ่มใช้งานในไตรมาสแรกของปี 2026

    เป้าหมายคือสร้างโรงงานอัจฉริยะต้นแบบระดับโลก
    ลดการพึ่งพาแรงงานมนุษย์
    เพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI

    ขยายการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ไปยังรัฐอื่นในสหรัฐฯ
    เท็กซัส
    วิสคอนซิน
    แคลิฟอร์เนีย

    Foxconn เป็นพันธมิตรหลักของ Nvidia ในการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI
    รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในยุค AI
    ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลของสหรัฐฯ

    ความท้าทายในการใช้หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ในสายการผลิต
    ความปลอดภัยในการทำงานร่วมกับมนุษย์
    การบำรุงรักษาและการจัดการระบบ AI ที่ซับซ้อน
    ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและข้อมูลในระบบอัจฉริยะ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/foxconn-to-deploy-humanoid-robots-at-houston-ai-server-plant
    🤖🏭 “Foxconn x Nvidia: โรงงานอัจฉริยะกับหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์กำลังมา!” Foxconn ผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นพันธมิตรหลักของ Nvidia ในการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ได้ประกาศว่าจะเริ่มติดตั้งหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ในโรงงานที่เมืองฮิวสตัน สหรัฐอเมริกา ภายในไตรมาสแรกของปี 2026 โดยหุ่นยนต์เหล่านี้จะขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี NVIDIA Isaac GR00T N ซึ่งเป็นระบบ AI ขั้นสูงที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานในสายการผลิตโดยเฉพาะ เป้าหมายของโครงการนี้คือการสร้าง “โรงงานอัจฉริยะต้นแบบระดับโลก” ที่สามารถผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำสูงสุด โดยไม่ต้องพึ่งพาแรงงานมนุษย์ในขั้นตอนหลักของการผลิต นอกจากโรงงานฮิวสตันแล้ว Foxconn ยังมีแผนขยายการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ไปยังรัฐเท็กซัส วิสคอนซิน และแคลิฟอร์เนีย เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในยุค AI 💡 สาระเพิ่มเติม: หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ (Humanoid Robots) คือหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างและการเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับมนุษย์ ซึ่งสามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ เช่น การประกอบชิ้นส่วน การตรวจสอบคุณภาพ หรือแม้แต่การเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ในโรงงาน ✅ Foxconn เตรียมติดตั้งหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ในโรงงานฮิวสตัน ➡️ ใช้เทคโนโลยี NVIDIA Isaac GR00T N ➡️ เริ่มใช้งานในไตรมาสแรกของปี 2026 ✅ เป้าหมายคือสร้างโรงงานอัจฉริยะต้นแบบระดับโลก ➡️ ลดการพึ่งพาแรงงานมนุษย์ ➡️ เพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ✅ ขยายการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ไปยังรัฐอื่นในสหรัฐฯ ➡️ เท็กซัส ➡️ วิสคอนซิน ➡️ แคลิฟอร์เนีย ✅ Foxconn เป็นพันธมิตรหลักของ Nvidia ในการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ➡️ รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในยุค AI ➡️ ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลของสหรัฐฯ ‼️ ความท้าทายในการใช้หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ในสายการผลิต ⛔ ความปลอดภัยในการทำงานร่วมกับมนุษย์ ⛔ การบำรุงรักษาและการจัดการระบบ AI ที่ซับซ้อน ⛔ ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและข้อมูลในระบบอัจฉริยะ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/foxconn-to-deploy-humanoid-robots-at-houston-ai-server-plant
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Foxconn to deploy humanoid robots at Houston AI server plant
    TAIPEI (Reuters) -Foxconn, the world's largest electronics maker and Nvidia's key AI server maker, said on Tuesday it will deploy humanoid robots at its Houston plant that produces AI servers for Nvidia.
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/stellantis-ties-up-with-nvidia-uber-to-advance-robotaxi-development

    “สามยักษ์ใหญ่ผนึกกำลัง! Stellantis x Nvidia x Uber ลุยตลาดรถไร้คนขับ”
    ลองนึกภาพรถแท็กซี่ที่ไม่มีคนขับ แต่สามารถพาคุณไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ… นั่นคือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง! Stellantis ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากยุโรป ประกาศจับมือกับ Nvidia และ Uber เพื่อพัฒนา “Robotaxi” หรือรถแท็กซี่ไร้คนขับระดับอัตโนมัติขั้นสูง (Level 4) ที่สามารถวิ่งได้โดยไม่ต้องมีคนคอยควบคุมเลย

    การร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่แค่การรวมเทคโนโลยี แต่เป็นการรวม “จุดแข็ง” ของแต่ละบริษัท:
    Stellantis มีโรงงานผลิตและความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์
    Nvidia มีระบบ AI และซอฟต์แวร์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
    Uber มีเครือข่ายการให้บริการขนส่งที่ครอบคลุมทั่วโลก

    นอกจากนี้ยังมี Foxconn เข้ามาเสริมทัพด้านอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้รถเหล่านี้มีระบบภายในที่ทันสมัยและเชื่อถือได้

    สาระเพิ่มเติม: รถระดับ Level 4 หมายถึงรถที่สามารถขับเคลื่อนเองได้โดยไม่ต้องมีคนควบคุมในพื้นที่ที่กำหนด เช่น เมืองหรือเส้นทางเฉพาะ ซึ่งต่างจาก Level 3 ที่ยังต้องมีคนคอยดูแลในบางสถานการณ์

    ความร่วมมือระดับโลกเพื่อพัฒนา Robotaxi
    Stellantis จับมือ Nvidia, Uber และ Foxconn
    เป้าหมายคือการสร้างรถไร้คนขับระดับ Level 4

    จุดแข็งของแต่ละบริษัทที่นำมารวมกัน
    Nvidia: ระบบ AI และซอฟต์แวร์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
    Uber: เครือข่ายบริการขนส่งทั่วโลก
    Foxconn: เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง
    Stellantis: ความเชี่ยวชาญด้านการผลิตรถยนต์

    เทคโนโลยีที่ใช้ใน Robotaxi
    ระบบ AI ประมวลผลแบบเรียลไทม์
    เซนเซอร์ตรวจจับสิ่งรอบข้าง
    ระบบนำทางอัจฉริยะ

    ความหมายของ Level 4 Autonomy
    รถสามารถขับเคลื่อนเองได้โดยไม่ต้องมีคนควบคุม
    ใช้งานได้ในพื้นที่ที่กำหนด เช่น เมืองหรือเส้นทางเฉพาะ

    ความท้าทายและข้อควรระวัง
    ความปลอดภัยของผู้โดยสารในกรณีฉุกเฉิน
    การรับมือกับสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน เช่น ฝนตกหนักหรือถนนลื่น
    ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้โดยสารที่อาจถูกเก็บผ่านระบบ AI

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/stellantis-ties-up-with-nvidia-uber-to-advance-robotaxi-development
    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/stellantis-ties-up-with-nvidia-uber-to-advance-robotaxi-development 🤖🚕 “สามยักษ์ใหญ่ผนึกกำลัง! Stellantis x Nvidia x Uber ลุยตลาดรถไร้คนขับ” ลองนึกภาพรถแท็กซี่ที่ไม่มีคนขับ แต่สามารถพาคุณไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ… นั่นคือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง! Stellantis ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากยุโรป ประกาศจับมือกับ Nvidia และ Uber เพื่อพัฒนา “Robotaxi” หรือรถแท็กซี่ไร้คนขับระดับอัตโนมัติขั้นสูง (Level 4) ที่สามารถวิ่งได้โดยไม่ต้องมีคนคอยควบคุมเลย การร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่แค่การรวมเทคโนโลยี แต่เป็นการรวม “จุดแข็ง” ของแต่ละบริษัท: 💠 Stellantis มีโรงงานผลิตและความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ 💠 Nvidia มีระบบ AI และซอฟต์แวร์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ 💠 Uber มีเครือข่ายการให้บริการขนส่งที่ครอบคลุมทั่วโลก นอกจากนี้ยังมี Foxconn เข้ามาเสริมทัพด้านอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้รถเหล่านี้มีระบบภายในที่ทันสมัยและเชื่อถือได้ 💡 สาระเพิ่มเติม: รถระดับ Level 4 หมายถึงรถที่สามารถขับเคลื่อนเองได้โดยไม่ต้องมีคนควบคุมในพื้นที่ที่กำหนด เช่น เมืองหรือเส้นทางเฉพาะ ซึ่งต่างจาก Level 3 ที่ยังต้องมีคนคอยดูแลในบางสถานการณ์ ✅ ความร่วมมือระดับโลกเพื่อพัฒนา Robotaxi ➡️ Stellantis จับมือ Nvidia, Uber และ Foxconn ➡️ เป้าหมายคือการสร้างรถไร้คนขับระดับ Level 4 ✅ จุดแข็งของแต่ละบริษัทที่นำมารวมกัน ➡️ Nvidia: ระบบ AI และซอฟต์แวร์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ➡️ Uber: เครือข่ายบริการขนส่งทั่วโลก ➡️ Foxconn: เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ➡️ Stellantis: ความเชี่ยวชาญด้านการผลิตรถยนต์ ✅ เทคโนโลยีที่ใช้ใน Robotaxi ➡️ ระบบ AI ประมวลผลแบบเรียลไทม์ ➡️ เซนเซอร์ตรวจจับสิ่งรอบข้าง ➡️ ระบบนำทางอัจฉริยะ ✅ ความหมายของ Level 4 Autonomy ➡️ รถสามารถขับเคลื่อนเองได้โดยไม่ต้องมีคนควบคุม ➡️ ใช้งานได้ในพื้นที่ที่กำหนด เช่น เมืองหรือเส้นทางเฉพาะ ‼️ ความท้าทายและข้อควรระวัง ⛔ ความปลอดภัยของผู้โดยสารในกรณีฉุกเฉิน ⛔ การรับมือกับสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน เช่น ฝนตกหนักหรือถนนลื่น ⛔ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้โดยสารที่อาจถูกเก็บผ่านระบบ AI https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/stellantis-ties-up-with-nvidia-uber-to-advance-robotaxi-development
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Stellantis ties up with Nvidia, Uber to advance robotaxi development
    (Reuters) -Stellantis said on Tuesday it has partnered with Nvidia, Uber and Foxconn to explore the joint development of autonomous vehicles, aiming to tap into the booming demand for self-driving cars.
    0 Comments 0 Shares 98 Views 0 Reviews
  • วิธีปกป้องข้อมูลของคุณเมื่อส่งไฟล์ขนาดใหญ่ — ใช้เทคโนโลยีและนิสัยที่ปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดักข้อมูล

    บทความจาก HackRead แนะนำแนวทางปฏิบัติและเทคโนโลยีที่ช่วยให้การส่งไฟล์ขนาดใหญ่ปลอดภัยมากขึ้น ทั้งสำหรับบุคคลทั่วไปและองค์กร โดยเน้นการใช้การเข้ารหัส, เครือข่ายที่ปลอดภัย, และการตรวจสอบผู้รับก่อนส่งข้อมูลสำคัญ

    ภัยคุกคามที่ต้องรู้ก่อนส่งไฟล์
    การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle และการฝังมัลแวร์
    แฮกเกอร์สามารถดักข้อมูลระหว่างการส่งไฟล์ผ่านเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย
    อาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูล, การขโมยตัวตน, หรือความเสียหายต่อชื่อเสียงองค์กร

    ผลกระทบต่อบุคคลและธุรกิจ
    บุคคลอาจถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือเงิน
    ธุรกิจเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลลูกค้าและความไว้วางใจจากคู่ค้า

    แนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้การส่งไฟล์ปลอดภัย
    ใช้การเข้ารหัส (Encryption)
    ทำให้ข้อมูลอ่านได้เฉพาะผู้รับที่มีคีย์ถอดรหัส
    ควรใช้โปรโตคอล SSL/TLS สำหรับการส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต

    ใช้เครือข่ายที่ปลอดภัย เช่น VPN หรือ private connection
    ลดโอกาสที่ข้อมูลจะถูกดักระหว่างทาง
    หลีกเลี่ยงการส่งไฟล์ผ่าน Wi-Fi สาธารณะ

    เลือกบริการส่งไฟล์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยในตัว
    เช่น บริการที่มีการสร้างลิงก์แบบหมดอายุหรือใช้รหัสผ่าน
    ตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มมีการเข้ารหัสและไม่เก็บข้อมูลเกินจำเป็น

    อัปเดตซอฟต์แวร์และระบบอย่างสม่ำเสมอ
    ป้องกันการโจมตีจากช่องโหว่ที่รู้จัก
    รวมถึงระบบปฏิบัติการ, แอปส่งไฟล์, และโปรแกรมป้องกันไวรัส

    ตรวจสอบผู้รับก่อนส่งข้อมูลสำคัญ
    ยืนยันตัวตนของผู้รับ เช่น ผ่านการโทรหรือช่องทางที่เชื่อถือได้
    หลีกเลี่ยงการส่งข้อมูลไปยังอีเมลหรือบัญชีที่ไม่รู้จัก



    https://hackread.com/how-to-keep-your-data-safe-when-transferring-large-files/
    🔐 วิธีปกป้องข้อมูลของคุณเมื่อส่งไฟล์ขนาดใหญ่ — ใช้เทคโนโลยีและนิสัยที่ปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดักข้อมูล บทความจาก HackRead แนะนำแนวทางปฏิบัติและเทคโนโลยีที่ช่วยให้การส่งไฟล์ขนาดใหญ่ปลอดภัยมากขึ้น ทั้งสำหรับบุคคลทั่วไปและองค์กร โดยเน้นการใช้การเข้ารหัส, เครือข่ายที่ปลอดภัย, และการตรวจสอบผู้รับก่อนส่งข้อมูลสำคัญ 🚨 ภัยคุกคามที่ต้องรู้ก่อนส่งไฟล์ ✅ การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle และการฝังมัลแวร์ ➡️ แฮกเกอร์สามารถดักข้อมูลระหว่างการส่งไฟล์ผ่านเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย ➡️ อาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูล, การขโมยตัวตน, หรือความเสียหายต่อชื่อเสียงองค์กร ✅ ผลกระทบต่อบุคคลและธุรกิจ ➡️ บุคคลอาจถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือเงิน ➡️ ธุรกิจเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลลูกค้าและความไว้วางใจจากคู่ค้า 📙 แนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้การส่งไฟล์ปลอดภัย ✅ ใช้การเข้ารหัส (Encryption) ➡️ ทำให้ข้อมูลอ่านได้เฉพาะผู้รับที่มีคีย์ถอดรหัส ➡️ ควรใช้โปรโตคอล SSL/TLS สำหรับการส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ✅ ใช้เครือข่ายที่ปลอดภัย เช่น VPN หรือ private connection ➡️ ลดโอกาสที่ข้อมูลจะถูกดักระหว่างทาง ➡️ หลีกเลี่ยงการส่งไฟล์ผ่าน Wi-Fi สาธารณะ ✅ เลือกบริการส่งไฟล์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยในตัว ➡️ เช่น บริการที่มีการสร้างลิงก์แบบหมดอายุหรือใช้รหัสผ่าน ➡️ ตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มมีการเข้ารหัสและไม่เก็บข้อมูลเกินจำเป็น ✅ อัปเดตซอฟต์แวร์และระบบอย่างสม่ำเสมอ ➡️ ป้องกันการโจมตีจากช่องโหว่ที่รู้จัก ➡️ รวมถึงระบบปฏิบัติการ, แอปส่งไฟล์, และโปรแกรมป้องกันไวรัส ✅ ตรวจสอบผู้รับก่อนส่งข้อมูลสำคัญ ➡️ ยืนยันตัวตนของผู้รับ เช่น ผ่านการโทรหรือช่องทางที่เชื่อถือได้ ➡️ หลีกเลี่ยงการส่งข้อมูลไปยังอีเมลหรือบัญชีที่ไม่รู้จัก https://hackread.com/how-to-keep-your-data-safe-when-transferring-large-files/
    HACKREAD.COM
    How to keep your data safe when transferring large files
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • วิกฤตชิปใกล้ระเบิดอีกครั้ง! ข้อพิพาทจีน–เนเธอร์แลนด์อาจทำให้การผลิตรถยนต์ทั่วโลกหยุดชะงัก

    บทความจาก SlashGear เผยว่าอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญกับความเสี่ยงครั้งใหม่จากการขาดแคลนชิป หลังรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมบริษัท Nexperia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปที่มีเจ้าของเป็นบริษัทจีน ส่งผลให้จีนตอบโต้ด้วยการออกคำสั่งควบคุมการส่งออก — และชิปที่ถูกแบนคือส่วนสำคัญในระบบควบคุมรถยนต์

    รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุม Nexperia เพื่อปกป้องเทคโนโลยีของยุโรป
    Nexperia เป็นบริษัทผลิตชิปในเนเธอร์แลนด์ที่มีเจ้าของเป็นบริษัทจีนชื่อ Wingtech
    เนเธอร์แลนด์ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำตามแรงกดดันจากสหรัฐฯ แต่จีนไม่พอใจ

    จีนตอบโต้ด้วยการห้ามส่งออกชิ้นส่วนจาก Nexperia China
    กระทรวงพาณิชย์จีนออกประกาศควบคุมการส่งออกชิ้นส่วนสำเร็จรูปจากจีน
    รวมถึงชิปที่ใช้ในระบบควบคุมรถยนต์ (ECU)

    องค์กรอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกออกมาเตือนถึงผลกระทบ
    Alliance for Automotive Innovation (สหรัฐฯ) ระบุว่า “จะกระทบการผลิตรถยนต์ในหลายประเทศ”
    Japan Automobile Manufacturers Association เตือนว่า “จะส่งผลร้ายแรงต่อการผลิตทั่วโลก”
    สมาคม VDA ของเยอรมนีถึงขั้นระบุว่า “อาจหยุดการผลิตได้”

    Nexperia กำลังหาทางแก้ไขทางกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบ
    พยายามหาช่องทางทางกฎหมายเพื่อให้สามารถส่งออกได้ต่อ
    แต่ยังไม่มีความคืบหน้าแน่ชัด

    การขาดแคลนชิปอาจเริ่มกระทบการผลิตตั้งแต่พฤศจิกายน 2025
    ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายเริ่มเตรียมแผนรับมือ
    อาจเกิดการเลื่อนส่งมอบรถยนต์หรือหยุดสายการผลิตชั่วคราว

    ความขัดแย้งระหว่างประเทศอาจขยายไปสู่อุตสาหกรรมอื่น
    ชิปไม่ได้ใช้แค่ในรถยนต์ แต่ยังอยู่ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
    หากข้อพิพาทไม่คลี่คลาย อาจเกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่

    https://www.slashgear.com/2009471/2025-chip-shortage-automaker-impact/
    🚗💥 วิกฤตชิปใกล้ระเบิดอีกครั้ง! ข้อพิพาทจีน–เนเธอร์แลนด์อาจทำให้การผลิตรถยนต์ทั่วโลกหยุดชะงัก บทความจาก SlashGear เผยว่าอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญกับความเสี่ยงครั้งใหม่จากการขาดแคลนชิป หลังรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมบริษัท Nexperia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปที่มีเจ้าของเป็นบริษัทจีน ส่งผลให้จีนตอบโต้ด้วยการออกคำสั่งควบคุมการส่งออก — และชิปที่ถูกแบนคือส่วนสำคัญในระบบควบคุมรถยนต์ ✅ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุม Nexperia เพื่อปกป้องเทคโนโลยีของยุโรป ➡️ Nexperia เป็นบริษัทผลิตชิปในเนเธอร์แลนด์ที่มีเจ้าของเป็นบริษัทจีนชื่อ Wingtech ➡️ เนเธอร์แลนด์ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำตามแรงกดดันจากสหรัฐฯ แต่จีนไม่พอใจ ✅ จีนตอบโต้ด้วยการห้ามส่งออกชิ้นส่วนจาก Nexperia China ➡️ กระทรวงพาณิชย์จีนออกประกาศควบคุมการส่งออกชิ้นส่วนสำเร็จรูปจากจีน ➡️ รวมถึงชิปที่ใช้ในระบบควบคุมรถยนต์ (ECU) ✅ องค์กรอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกออกมาเตือนถึงผลกระทบ ➡️ Alliance for Automotive Innovation (สหรัฐฯ) ระบุว่า “จะกระทบการผลิตรถยนต์ในหลายประเทศ” ➡️ Japan Automobile Manufacturers Association เตือนว่า “จะส่งผลร้ายแรงต่อการผลิตทั่วโลก” ➡️ สมาคม VDA ของเยอรมนีถึงขั้นระบุว่า “อาจหยุดการผลิตได้” ✅ Nexperia กำลังหาทางแก้ไขทางกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบ ➡️ พยายามหาช่องทางทางกฎหมายเพื่อให้สามารถส่งออกได้ต่อ ➡️ แต่ยังไม่มีความคืบหน้าแน่ชัด ‼️ การขาดแคลนชิปอาจเริ่มกระทบการผลิตตั้งแต่พฤศจิกายน 2025 ⛔ ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายเริ่มเตรียมแผนรับมือ ⛔ อาจเกิดการเลื่อนส่งมอบรถยนต์หรือหยุดสายการผลิตชั่วคราว ‼️ ความขัดแย้งระหว่างประเทศอาจขยายไปสู่อุตสาหกรรมอื่น ⛔ ชิปไม่ได้ใช้แค่ในรถยนต์ แต่ยังอยู่ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ⛔ หากข้อพิพาทไม่คลี่คลาย อาจเกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ https://www.slashgear.com/2009471/2025-chip-shortage-automaker-impact/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Another Chip Shortage Is Coming, And It Could Seriously Mess With Automakers - SlashGear
    Chipmaker Nexperia, which supplies many of the world's automakers, is under export restrictions amidst a tug-of-war between the Dutch and Chinese governments.
    0 Comments 0 Shares 83 Views 0 Reviews
  • “Open Source” คืออะไร? จากซอร์สโค้ดสาธารณะสู่ปรัชญาแห่งความร่วมมือ

    คำว่า “โอเพ่นซอร์ส” ไม่ได้หมายถึงแค่ซอฟต์แวร์ฟรี แต่คือแนวคิดที่เปิดให้ทุกคนเข้าถึง แก้ไข และแบ่งปันได้อย่างเสรี — โดยมีรากฐานจากยุค ARPANET และเติบโตเป็นขบวนการระดับโลกที่ส่งผลต่อวิทยาศาสตร์ การศึกษา กฎหมาย และเทคโนโลยีคลาวด์ในปัจจุบัน

    ความหมายของโอเพ่นซอร์ส
    ซอฟต์แวร์ที่เปิดเผยซอร์สโค้ดให้ทุกคนเข้าถึง
    ผู้ใช้สามารถดู แก้ไข และนำไปใช้ใหม่ได้ตามต้องการ
    ตรงข้ามกับซอฟต์แวร์แบบ proprietary เช่น Microsoft หรือ Adobe

    ขับเคลื่อนด้วย “สัญญาอนุญาต” ที่เปิดเสรี
    เช่น GPL, MIT, Apache ที่อนุญาตให้ใช้และแจกจ่ายได้
    บางใบอนุญาตมีเงื่อนไขให้เปิดเผยโค้ดที่แก้ไขกลับคืน (“copyleft”)

    เริ่มต้นจาก ARPANET ในยุค 1950s–60s
    นักวิจัยแบ่งปันโค้ดเพื่อพัฒนาเครือข่ายอินเทอร์เน็ตยุคแรก
    ส่งเสริมวัฒนธรรมการตรวจสอบและร่วมมือกัน

    วิวัฒนาการจาก “free software” สู่ “open source” ในยุค 1990s
    คำว่า “free software” ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า “ฟรี” ในแง่ราคา
    Netscape เปิดซอร์ส Mozilla และก่อตั้ง Open Source Initiative (OSI)

    ตัวอย่างโครงการโอเพ่นซอร์สที่โดดเด่น
    Linux, Apache, Firefox, Kubernetes, Blender
    อินเทอร์เน็ตและคลาวด์ส่วนใหญ่ทำงานบนเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์ส

    โอเพ่นซอร์สไม่จำเป็นต้องฟรีเสมอไป
    นักพัฒนายังสามารถขายซอฟต์แวร์หรือบริการเสริมได้
    เช่น การสนับสนุน, การปรับแต่ง, หรือการฝึกอบรม

    โอเพ่นซอร์สไม่ได้หมายความว่าไม่มีค่าใช้จ่ายหรือไม่มีข้อจำกัด
    ต้องอ่านใบอนุญาตให้ชัดเจนก่อนนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์
    บางใบอนุญาตบังคับให้เปิดเผยโค้ดที่แก้ไขกลับสู่สาธารณะ

    การใช้โอเพ่นซอร์สในองค์กรต้องมีการจัดการความปลอดภัย
    โค้ดที่เปิดเผยอาจมีช่องโหว่หากไม่มีการตรวจสอบ
    ควรมีระบบคัดกรองและอัปเดตแพตช์อย่างสม่ำเสมอ

    https://www.slashgear.com/2005703/what-open-source-means/
    🧑‍💻🔓 “Open Source” คืออะไร? จากซอร์สโค้ดสาธารณะสู่ปรัชญาแห่งความร่วมมือ คำว่า “โอเพ่นซอร์ส” ไม่ได้หมายถึงแค่ซอฟต์แวร์ฟรี แต่คือแนวคิดที่เปิดให้ทุกคนเข้าถึง แก้ไข และแบ่งปันได้อย่างเสรี — โดยมีรากฐานจากยุค ARPANET และเติบโตเป็นขบวนการระดับโลกที่ส่งผลต่อวิทยาศาสตร์ การศึกษา กฎหมาย และเทคโนโลยีคลาวด์ในปัจจุบัน 📙 ความหมายของโอเพ่นซอร์ส ✅ ซอฟต์แวร์ที่เปิดเผยซอร์สโค้ดให้ทุกคนเข้าถึง ➡️ ผู้ใช้สามารถดู แก้ไข และนำไปใช้ใหม่ได้ตามต้องการ ➡️ ตรงข้ามกับซอฟต์แวร์แบบ proprietary เช่น Microsoft หรือ Adobe ✅ ขับเคลื่อนด้วย “สัญญาอนุญาต” ที่เปิดเสรี ➡️ เช่น GPL, MIT, Apache ที่อนุญาตให้ใช้และแจกจ่ายได้ ➡️ บางใบอนุญาตมีเงื่อนไขให้เปิดเผยโค้ดที่แก้ไขกลับคืน (“copyleft”) ✅ เริ่มต้นจาก ARPANET ในยุค 1950s–60s ➡️ นักวิจัยแบ่งปันโค้ดเพื่อพัฒนาเครือข่ายอินเทอร์เน็ตยุคแรก ➡️ ส่งเสริมวัฒนธรรมการตรวจสอบและร่วมมือกัน ✅ วิวัฒนาการจาก “free software” สู่ “open source” ในยุค 1990s ➡️ คำว่า “free software” ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า “ฟรี” ในแง่ราคา ➡️ Netscape เปิดซอร์ส Mozilla และก่อตั้ง Open Source Initiative (OSI) ✅ ตัวอย่างโครงการโอเพ่นซอร์สที่โดดเด่น ➡️ Linux, Apache, Firefox, Kubernetes, Blender ➡️ อินเทอร์เน็ตและคลาวด์ส่วนใหญ่ทำงานบนเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์ส ✅ โอเพ่นซอร์สไม่จำเป็นต้องฟรีเสมอไป ➡️ นักพัฒนายังสามารถขายซอฟต์แวร์หรือบริการเสริมได้ ➡️ เช่น การสนับสนุน, การปรับแต่ง, หรือการฝึกอบรม ‼️ โอเพ่นซอร์สไม่ได้หมายความว่าไม่มีค่าใช้จ่ายหรือไม่มีข้อจำกัด ⛔ ต้องอ่านใบอนุญาตให้ชัดเจนก่อนนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ⛔ บางใบอนุญาตบังคับให้เปิดเผยโค้ดที่แก้ไขกลับสู่สาธารณะ ‼️ การใช้โอเพ่นซอร์สในองค์กรต้องมีการจัดการความปลอดภัย ⛔ โค้ดที่เปิดเผยอาจมีช่องโหว่หากไม่มีการตรวจสอบ ⛔ ควรมีระบบคัดกรองและอัปเดตแพตช์อย่างสม่ำเสมอ https://www.slashgear.com/2005703/what-open-source-means/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Does 'Open Source' Actually Mean, And How Did It Start? - SlashGear
    When you hear the term "open source," it's talking about any publicly accessible design that people are free to change and share as they please.
    0 Comments 0 Shares 83 Views 0 Reviews
  • Washington Post ถูกวิจารณ์หนัก หลังบทบรรณาธิการไม่เปิดเผยความเชื่อมโยงทางการเงินของ Jeff Bezos กับบริษัทที่กล่าวถึง

    บทความจาก NPR เปิดเผยว่า Washington Post ล้มเหลวในการเปิดเผย “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่สำคัญในบทบรรณาธิการหลายชิ้น ซึ่งกล่าวถึงบริษัท Blue Origin และ Amazon โดยไม่มีการระบุว่า Jeff Bezos — เจ้าของ Washington Post — เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทั้งสองบริษัท

    ประเด็นสำคัญจากรายงานของ NPR

    บทบรรณาธิการหลายชิ้นกล่าวถึง Blue Origin และ Amazon โดยไม่มี disclosure
    บทความสนับสนุนการใช้จรวดของ Blue Origin ในโครงการของรัฐบาล
    กล่าวถึง Amazon ในเชิงบวกเกี่ยวกับการลงทุนด้าน AI และโครงสร้างพื้นฐาน

    Jeff Bezos เป็นเจ้าของ Washington Post ผ่านบริษัท Nash Holdings
    ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Amazon และเจ้าของ Blue Origin
    ความเชื่อมโยงนี้ควรถูกเปิดเผยในบทความเพื่อความโปร่งใส

    นักวิจารณ์ด้านสื่อมวลชนชี้ว่าเป็นการละเมิดหลักจริยธรรม
    มาตรฐานของสื่อควรเปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างชัดเจน
    การไม่เปิดเผยอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าเนื้อหานั้นเป็นกลาง

    Washington Post ชี้แจงว่าไม่มีเจตนาแฝง และกำลังทบทวนนโยบาย
    โฆษกของ Post ระบุว่ากำลังพิจารณาเพิ่ม disclosure ในบทบรรณาธิการในอนาคต
    ยืนยันว่า Bezos ไม่มีอิทธิพลต่อเนื้อหาข่าวหรือบทบรรณาธิการ

    กรณีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สื่อกำลังถูกจับตามองเรื่องความเป็นกลาง
    โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของสื่อมีผลประโยชน์ในธุรกิจเทคโนโลยีหรือการเมือง
    ผู้อ่านเริ่มเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากสื่อกระแสหลัก

    การไม่เปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสื่อ
    ผู้อ่านอาจรู้สึกถูกชี้นำโดยไม่รู้ตัว
    ส่งผลต่อความไว้วางใจในระยะยาว

    การเป็นเจ้าของสื่อโดยผู้มีผลประโยชน์ทางธุรกิจควรมีการกำกับดูแลที่ชัดเจน
    เพื่อป้องกันการใช้สื่อเป็นเครื่องมือทางธุรกิจหรือการเมือง
    ควรมีนโยบายเปิดเผยความสัมพันธ์ทางการเงินในทุกกรณีที่เกี่ยวข้อง

    https://www.npr.org/2025/10/28/nx-s1-5587932/washington-post-editorials-omit-a-key-disclosure-bezos-financial-ties
    📰💼 Washington Post ถูกวิจารณ์หนัก หลังบทบรรณาธิการไม่เปิดเผยความเชื่อมโยงทางการเงินของ Jeff Bezos กับบริษัทที่กล่าวถึง บทความจาก NPR เปิดเผยว่า Washington Post ล้มเหลวในการเปิดเผย “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่สำคัญในบทบรรณาธิการหลายชิ้น ซึ่งกล่าวถึงบริษัท Blue Origin และ Amazon โดยไม่มีการระบุว่า Jeff Bezos — เจ้าของ Washington Post — เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทั้งสองบริษัท ✅ ประเด็นสำคัญจากรายงานของ NPR ✅ บทบรรณาธิการหลายชิ้นกล่าวถึง Blue Origin และ Amazon โดยไม่มี disclosure ➡️ บทความสนับสนุนการใช้จรวดของ Blue Origin ในโครงการของรัฐบาล ➡️ กล่าวถึง Amazon ในเชิงบวกเกี่ยวกับการลงทุนด้าน AI และโครงสร้างพื้นฐาน ✅ Jeff Bezos เป็นเจ้าของ Washington Post ผ่านบริษัท Nash Holdings ➡️ ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Amazon และเจ้าของ Blue Origin ➡️ ความเชื่อมโยงนี้ควรถูกเปิดเผยในบทความเพื่อความโปร่งใส ✅ นักวิจารณ์ด้านสื่อมวลชนชี้ว่าเป็นการละเมิดหลักจริยธรรม ➡️ มาตรฐานของสื่อควรเปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างชัดเจน ➡️ การไม่เปิดเผยอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าเนื้อหานั้นเป็นกลาง ✅ Washington Post ชี้แจงว่าไม่มีเจตนาแฝง และกำลังทบทวนนโยบาย ➡️ โฆษกของ Post ระบุว่ากำลังพิจารณาเพิ่ม disclosure ในบทบรรณาธิการในอนาคต ➡️ ยืนยันว่า Bezos ไม่มีอิทธิพลต่อเนื้อหาข่าวหรือบทบรรณาธิการ ✅ กรณีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สื่อกำลังถูกจับตามองเรื่องความเป็นกลาง ➡️ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของสื่อมีผลประโยชน์ในธุรกิจเทคโนโลยีหรือการเมือง ➡️ ผู้อ่านเริ่มเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากสื่อกระแสหลัก ‼️ การไม่เปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสื่อ ⛔ ผู้อ่านอาจรู้สึกถูกชี้นำโดยไม่รู้ตัว ⛔ ส่งผลต่อความไว้วางใจในระยะยาว ‼️ การเป็นเจ้าของสื่อโดยผู้มีผลประโยชน์ทางธุรกิจควรมีการกำกับดูแลที่ชัดเจน ⛔ เพื่อป้องกันการใช้สื่อเป็นเครื่องมือทางธุรกิจหรือการเมือง ⛔ ควรมีนโยบายเปิดเผยความสัมพันธ์ทางการเงินในทุกกรณีที่เกี่ยวข้อง https://www.npr.org/2025/10/28/nx-s1-5587932/washington-post-editorials-omit-a-key-disclosure-bezos-financial-ties
    WWW.NPR.ORG
    'Washington Post' editorials omit a key disclosure: Bezos' financial ties
    Three times in the past two weeks, editorials at the 'Washington Post' failed to disclose that they focused on matters in which owner Jeff Bezos had a material interest.
    0 Comments 0 Shares 75 Views 0 Reviews
  • Sideloading บน Android: เสรีภาพหรือช่องโหว่? F-Droid ชวนคิดใหม่เรื่องการติดตั้งแอปนอกระบบ

    บทความจาก F-Droid ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ sideloading — การติดตั้งแอป Android จากแหล่งนอก Play Store — ว่าเป็นทั้งเครื่องมือแห่งเสรีภาพและจุดอ่อนด้านความปลอดภัยที่กำลังถูกจับตามอง โดยเฉพาะในยุคที่รัฐบาลและบริษัทเทคโนโลยีเริ่มควบคุมการเข้าถึงแอปมากขึ้น

    ประเด็นสำคัญจากบทความของ F-Droid
    Sideloading คือเสรีภาพในการเลือกใช้แอป
    ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปที่ไม่ผ่านการตรวจสอบจาก Google ได้ เช่น แอปโอเพ่นซอร์ส, แอปที่ถูกแบน, หรือแอปทดลอง
    เป็นช่องทางสำคัญสำหรับนักพัฒนาอิสระและชุมชนโอเพ่นซอร์ส

    F-Droid คือแพลตฟอร์มที่สนับสนุน sideloading อย่างปลอดภัย
    แอปทั้งหมดใน F-Droid ผ่านการ build จาก source และตรวจสอบความปลอดภัย
    ไม่มีโฆษณา, ไม่มี tracking, และไม่มีการฝังโค้ดลับ

    การควบคุม sideloading อาจกระทบเสรีภาพดิจิทัล
    บางประเทศเริ่มจำกัดการติดตั้งแอปจากแหล่งนอก เช่น อินเดีย, จีน
    Apple ยังไม่อนุญาต sideloading บน iOS แม้จะถูกกดดันจาก EU

    Android 15 เริ่มเพิ่มข้อจำกัดในการติดตั้งแอปจากแหล่งนอก
    ต้องเปิดสิทธิ์เฉพาะแอปที่ใช้ติดตั้ง เช่น File Manager หรือ Browser
    มีการแจ้งเตือนมากขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยงของ sideloading

    F-Droid เสนอแนวทางสร้างระบบ sideloading ที่ปลอดภัย
    ใช้ระบบตรวจสอบแบบ reproducible build
    สร้าง community trust ผ่านการเปิดเผย source และกระบวนการ build

    การติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัยอาจเปิดช่องให้มัลแวร์เข้าสู่ระบบ
    แอปบางตัวอาจขอสิทธิ์เกินความจำเป็น เช่น SMS, Location, หรือ Accessibility
    ควรตรวจสอบ source และใช้แพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ เช่น F-Droid

    การเปลี่ยนแปลงใน Android รุ่นใหม่อาจทำให้ sideloading ยากขึ้น
    ผู้ใช้ต้องเข้าไปตั้งค่าหลายขั้นตอนเพื่อเปิดสิทธิ์
    อาจมีการบล็อกแอปบางประเภทโดยอัตโนมัติในอนาคต

    https://f-droid.org/2025/10/28/sideloading.html
    📲🔓 Sideloading บน Android: เสรีภาพหรือช่องโหว่? F-Droid ชวนคิดใหม่เรื่องการติดตั้งแอปนอกระบบ บทความจาก F-Droid ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ sideloading — การติดตั้งแอป Android จากแหล่งนอก Play Store — ว่าเป็นทั้งเครื่องมือแห่งเสรีภาพและจุดอ่อนด้านความปลอดภัยที่กำลังถูกจับตามอง โดยเฉพาะในยุคที่รัฐบาลและบริษัทเทคโนโลยีเริ่มควบคุมการเข้าถึงแอปมากขึ้น 📰 ประเด็นสำคัญจากบทความของ F-Droid ✅ Sideloading คือเสรีภาพในการเลือกใช้แอป ➡️ ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปที่ไม่ผ่านการตรวจสอบจาก Google ได้ เช่น แอปโอเพ่นซอร์ส, แอปที่ถูกแบน, หรือแอปทดลอง ➡️ เป็นช่องทางสำคัญสำหรับนักพัฒนาอิสระและชุมชนโอเพ่นซอร์ส ✅ F-Droid คือแพลตฟอร์มที่สนับสนุน sideloading อย่างปลอดภัย ➡️ แอปทั้งหมดใน F-Droid ผ่านการ build จาก source และตรวจสอบความปลอดภัย ➡️ ไม่มีโฆษณา, ไม่มี tracking, และไม่มีการฝังโค้ดลับ ✅ การควบคุม sideloading อาจกระทบเสรีภาพดิจิทัล ➡️ บางประเทศเริ่มจำกัดการติดตั้งแอปจากแหล่งนอก เช่น อินเดีย, จีน ➡️ Apple ยังไม่อนุญาต sideloading บน iOS แม้จะถูกกดดันจาก EU ✅ Android 15 เริ่มเพิ่มข้อจำกัดในการติดตั้งแอปจากแหล่งนอก ➡️ ต้องเปิดสิทธิ์เฉพาะแอปที่ใช้ติดตั้ง เช่น File Manager หรือ Browser ➡️ มีการแจ้งเตือนมากขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยงของ sideloading ✅ F-Droid เสนอแนวทางสร้างระบบ sideloading ที่ปลอดภัย ➡️ ใช้ระบบตรวจสอบแบบ reproducible build ➡️ สร้าง community trust ผ่านการเปิดเผย source และกระบวนการ build ‼️ การติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัยอาจเปิดช่องให้มัลแวร์เข้าสู่ระบบ ⛔ แอปบางตัวอาจขอสิทธิ์เกินความจำเป็น เช่น SMS, Location, หรือ Accessibility ⛔ ควรตรวจสอบ source และใช้แพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ เช่น F-Droid ‼️ การเปลี่ยนแปลงใน Android รุ่นใหม่อาจทำให้ sideloading ยากขึ้น ⛔ ผู้ใช้ต้องเข้าไปตั้งค่าหลายขั้นตอนเพื่อเปิดสิทธิ์ ⛔ อาจมีการบล็อกแอปบางประเภทโดยอัตโนมัติในอนาคต https://f-droid.org/2025/10/28/sideloading.html
    F-DROID.ORG
    What We Talk About When We Talk About Sideloading | F-Droid - Free and Open Source Android App Repository
    We recently published a blog post with our reaction to the new Google Developer Program and how it impacts your freedom to use the devices that you own in th...
    0 Comments 0 Shares 85 Views 0 Reviews
  • Fedora Linux 43 เปิดตัวแล้ว! มาพร้อม Linux 6.17, GNOME 49 และ KDE Plasma 6.4.5 พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ

    Fedora Linux 43 ได้รับการปล่อยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมเทคโนโลยีล่าสุดในโลก GNU/Linux เช่น Linux kernel 6.17, GNOME 49 และ KDE Plasma 6.4.5 รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ เช่น การบังคับใช้ GPT partition table สำหรับระบบ UEFI และการใช้ DNF 5 เป็นค่าเริ่มต้นในการติดตั้งแพ็กเกจผ่าน Anaconda installer.

    ไฮไลต์สำคัญใน Fedora Linux 43

    ใช้ Linux kernel 6.17 เป็นฐานหลัก
    รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และปรับปรุงประสิทธิภาพระบบโดยรวม

    GNOME 49 และ KDE Plasma 6.4.5 เป็น desktop environment หลัก
    GNOME 49 ใช้ Wayland-only เป็นค่าเริ่มต้นใน Fedora Workstation
    KDE Plasma 6.4.5 ใช้ใน Fedora KDE edition

    Anaconda WebUI installer ถูกใช้เป็นค่าเริ่มต้นในหลาย Spins
    ช่วยให้การติดตั้งระบบง่ายขึ้นผ่านเว็บอินเตอร์เฟซ

    รองรับฟอนต์ COLRv1 และภาษา Hare
    เพิ่มความสามารถในการแสดงผล emoji และรองรับภาษาโปรแกรมใหม่

    ใช้ DNF 5 เป็นค่าเริ่มต้นใน Anaconda installer
    ปรับปรุงความเร็วและความเสถียรในการติดตั้งแพ็กเกจ RPM

    เพิ่ม boot partition เป็น 2GB และใช้ initrd แบบ zstd-compressed
    ลดปัญหาการอัปเดต kernel และเพิ่มประสิทธิภาพการบูต

    บังคับใช้ GPT partition table สำหรับระบบ UEFI 64-bit
    ไม่สามารถติดตั้ง Fedora บน MBR partition ได้อีกต่อไป
    ระบบ AArch64 และ RISC-V ไม่ได้รับผลกระทบ

    อัปเดต toolchain และซอฟต์แวร์หลักหลายรายการ
    เช่น GCC 15.2, Python 3.14, PostgreSQL 18, Ruby on Rails 8.0, MySQL 8.4, RPM 6.0

    ผู้ใช้ที่ใช้ระบบ UEFI บน MBR partition จะไม่สามารถติดตั้ง Fedora 43 ได้
    ต้องเปลี่ยนไปใช้ GPT partition table ก่อนติดตั้ง

    การเปลี่ยนไปใช้ Wayland-only อาจมีผลกับแอปที่ยังไม่รองรับ Wayland
    ผู้ใช้ GNOME ควรตรวจสอบว่าแอปที่ใช้สามารถทำงานบน Wayland ได้

    https://9to5linux.com/fedora-linux-43-officially-released-now-available-for-download
    🧑‍💻🚀 Fedora Linux 43 เปิดตัวแล้ว! มาพร้อม Linux 6.17, GNOME 49 และ KDE Plasma 6.4.5 พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ Fedora Linux 43 ได้รับการปล่อยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมเทคโนโลยีล่าสุดในโลก GNU/Linux เช่น Linux kernel 6.17, GNOME 49 และ KDE Plasma 6.4.5 รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ เช่น การบังคับใช้ GPT partition table สำหรับระบบ UEFI และการใช้ DNF 5 เป็นค่าเริ่มต้นในการติดตั้งแพ็กเกจผ่าน Anaconda installer. 🐧 ไฮไลต์สำคัญใน Fedora Linux 43 ✅ ใช้ Linux kernel 6.17 เป็นฐานหลัก ➡️ รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และปรับปรุงประสิทธิภาพระบบโดยรวม ✅ GNOME 49 และ KDE Plasma 6.4.5 เป็น desktop environment หลัก ➡️ GNOME 49 ใช้ Wayland-only เป็นค่าเริ่มต้นใน Fedora Workstation ➡️ KDE Plasma 6.4.5 ใช้ใน Fedora KDE edition ✅ Anaconda WebUI installer ถูกใช้เป็นค่าเริ่มต้นในหลาย Spins ➡️ ช่วยให้การติดตั้งระบบง่ายขึ้นผ่านเว็บอินเตอร์เฟซ ✅ รองรับฟอนต์ COLRv1 และภาษา Hare ➡️ เพิ่มความสามารถในการแสดงผล emoji และรองรับภาษาโปรแกรมใหม่ ✅ ใช้ DNF 5 เป็นค่าเริ่มต้นใน Anaconda installer ➡️ ปรับปรุงความเร็วและความเสถียรในการติดตั้งแพ็กเกจ RPM ✅ เพิ่ม boot partition เป็น 2GB และใช้ initrd แบบ zstd-compressed ➡️ ลดปัญหาการอัปเดต kernel และเพิ่มประสิทธิภาพการบูต ✅ บังคับใช้ GPT partition table สำหรับระบบ UEFI 64-bit ➡️ ไม่สามารถติดตั้ง Fedora บน MBR partition ได้อีกต่อไป ➡️ ระบบ AArch64 และ RISC-V ไม่ได้รับผลกระทบ ✅ อัปเดต toolchain และซอฟต์แวร์หลักหลายรายการ ➡️ เช่น GCC 15.2, Python 3.14, PostgreSQL 18, Ruby on Rails 8.0, MySQL 8.4, RPM 6.0 ‼️ ผู้ใช้ที่ใช้ระบบ UEFI บน MBR partition จะไม่สามารถติดตั้ง Fedora 43 ได้ ⛔ ต้องเปลี่ยนไปใช้ GPT partition table ก่อนติดตั้ง ‼️ การเปลี่ยนไปใช้ Wayland-only อาจมีผลกับแอปที่ยังไม่รองรับ Wayland ⛔ ผู้ใช้ GNOME ควรตรวจสอบว่าแอปที่ใช้สามารถทำงานบน Wayland ได้ https://9to5linux.com/fedora-linux-43-officially-released-now-available-for-download
    9TO5LINUX.COM
    Fedora Linux 43 Officially Released, Now Available for Download - 9to5Linux
    Fedora Linux 43 distribution is now available for download, powered by Linux kernel 6.17 and featuring the GNOME 49 desktop environment.
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • Amazon เตรียมปลดพนักงาน 30,000 คน — หนึ่งในเก้าของพนักงานสายองค์กร

    Amazon กำลังเตรียมการปลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี โดยมีแผนลดจำนวนพนักงานสายองค์กรถึง 30,000 คน หรือประมาณ “หนึ่งในเก้า” จากจำนวนพนักงานทั้งหมดในกลุ่มนี้ ซึ่งอยู่ที่ราว 350,000 คน ไม่รวมพนักงานคลังสินค้า

    การปลดครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนลดต้นทุนและปรับโครงสร้างองค์กร หลังจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงโควิด โดยเฉพาะในสายงานที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์, การชำระเงิน, เกม และ AWS

    จำนวนพนักงานที่ได้รับผลกระทบ
    ประมาณ 30,000 คนจากสายงานองค์กรทั่วโลก
    คิดเป็น 11.4% ของพนักงานองค์กรทั้งหมด

    สาเหตุหลักของการปลดพนักงาน
    ลดต้นทุนหลังจากการขยายตัวเกินจำเป็นช่วงโควิด
    ปรับโครงสร้างองค์กรให้เหมาะสมกับยุคหลังการระบาด
    เน้นลงทุนในเทคโนโลยี AI มากขึ้น โดยเฉพาะใน AWS

    แผนการแจ้งปลดพนักงาน
    จะเริ่มส่งอีเมลแจ้งพนักงานในวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น
    บรรยากาศในสำนักงานเต็มไปด้วยความกังวล เพราะไม่มีทีมใดที่ปลอดภัยจากการปลด

    แนวโน้มการจ้างงานของ Amazon
    หลังจากขยายตัวอย่างรวดเร็วระหว่างปี 2017–2022 ตอนนี้บริษัทกลับมาใช้แนวทางจ้างงานแบบระมัดระวัง
    เคยปลดพนักงานครั้งใหญ่ในปี 2023 เมื่อมีจำนวนพนักงานองค์กรเท่ากัน

    การลงทุนใน AI ที่สวนทางกับการปลดพนักงาน
    งบลงทุนเพิ่มจาก $83 พันล้านในปี 2024 เป็นมากกว่า $100 พันล้านในปี 2025
    ส่วนใหญ่ใช้พัฒนาเทคโนโลยี AI ภายใน AWS

    ผลกระทบต่อขวัญกำลังใจและวัฒนธรรมองค์กร
    พนักงานอาจรู้สึกไม่มั่นคง แม้จะอยู่ในทีมที่ยังไม่ถูกปลด
    ความไม่แน่นอนอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน

    การปลดพนักงานอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัท
    แม้จะเป็นการปรับโครงสร้าง แต่จำนวนที่มากอาจถูกมองว่าเป็นสัญญาณของปัญหา
    อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้สมัครงานในอนาคต

    https://securityonline.info/one-in-nine-amazon-prepares-for-massive-layoff-of-30000-corporate-staff/
    🏢📉 Amazon เตรียมปลดพนักงาน 30,000 คน — หนึ่งในเก้าของพนักงานสายองค์กร Amazon กำลังเตรียมการปลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี โดยมีแผนลดจำนวนพนักงานสายองค์กรถึง 30,000 คน หรือประมาณ “หนึ่งในเก้า” จากจำนวนพนักงานทั้งหมดในกลุ่มนี้ ซึ่งอยู่ที่ราว 350,000 คน ไม่รวมพนักงานคลังสินค้า การปลดครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนลดต้นทุนและปรับโครงสร้างองค์กร หลังจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงโควิด โดยเฉพาะในสายงานที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์, การชำระเงิน, เกม และ AWS ✅ จำนวนพนักงานที่ได้รับผลกระทบ ➡️ ประมาณ 30,000 คนจากสายงานองค์กรทั่วโลก ➡️ คิดเป็น 11.4% ของพนักงานองค์กรทั้งหมด ✅ สาเหตุหลักของการปลดพนักงาน ➡️ ลดต้นทุนหลังจากการขยายตัวเกินจำเป็นช่วงโควิด ➡️ ปรับโครงสร้างองค์กรให้เหมาะสมกับยุคหลังการระบาด ➡️ เน้นลงทุนในเทคโนโลยี AI มากขึ้น โดยเฉพาะใน AWS ✅ แผนการแจ้งปลดพนักงาน ➡️ จะเริ่มส่งอีเมลแจ้งพนักงานในวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น ➡️ บรรยากาศในสำนักงานเต็มไปด้วยความกังวล เพราะไม่มีทีมใดที่ปลอดภัยจากการปลด ✅ แนวโน้มการจ้างงานของ Amazon ➡️ หลังจากขยายตัวอย่างรวดเร็วระหว่างปี 2017–2022 ตอนนี้บริษัทกลับมาใช้แนวทางจ้างงานแบบระมัดระวัง ➡️ เคยปลดพนักงานครั้งใหญ่ในปี 2023 เมื่อมีจำนวนพนักงานองค์กรเท่ากัน ✅ การลงทุนใน AI ที่สวนทางกับการปลดพนักงาน ➡️ งบลงทุนเพิ่มจาก $83 พันล้านในปี 2024 เป็นมากกว่า $100 พันล้านในปี 2025 ➡️ ส่วนใหญ่ใช้พัฒนาเทคโนโลยี AI ภายใน AWS ‼️ ผลกระทบต่อขวัญกำลังใจและวัฒนธรรมองค์กร ⛔ พนักงานอาจรู้สึกไม่มั่นคง แม้จะอยู่ในทีมที่ยังไม่ถูกปลด ⛔ ความไม่แน่นอนอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ‼️ การปลดพนักงานอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัท ⛔ แม้จะเป็นการปรับโครงสร้าง แต่จำนวนที่มากอาจถูกมองว่าเป็นสัญญาณของปัญหา ⛔ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้สมัครงานในอนาคต https://securityonline.info/one-in-nine-amazon-prepares-for-massive-layoff-of-30000-corporate-staff/
    SECURITYONLINE.INFO
    One in Nine: Amazon Prepares for Massive Layoff of 30,000 Corporate Staff
    Amazon is reportedly planning to cut 30,000 corporate jobs across logistics, payments, and AWS as part of a major post-pandemic cost reduction effort.
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • "ดร.เอ้" ชี้ 3 ประเด็นหลัก พลิก "MOU แรร์เอิร์ธ" เป็นโอกาส ถ่ายทอดเทคโนโลยี-สร้างคน-ดึงบริษัทไฮเทคสหรัฐฯ ศูนย์กลางการออกแบบเทคโนโลยี
    https://www.thai-tai.tv/news/22090/
    .
    #ไทยไท #สุชัชวีร์ #แร่แรร์เอิร์ธ #อุตสาหกรรมไฮเทค #ศูนย์กลางการออกแบบ #MOUไทยสหรัฐฯ
    "ดร.เอ้" ชี้ 3 ประเด็นหลัก พลิก "MOU แรร์เอิร์ธ" เป็นโอกาส ถ่ายทอดเทคโนโลยี-สร้างคน-ดึงบริษัทไฮเทคสหรัฐฯ ศูนย์กลางการออกแบบเทคโนโลยี https://www.thai-tai.tv/news/22090/ . #ไทยไท #สุชัชวีร์ #แร่แรร์เอิร์ธ #อุตสาหกรรมไฮเทค #ศูนย์กลางการออกแบบ #MOUไทยสหรัฐฯ
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 Reviews
  • Apple เตรียมใช้เทคโนโลยีเก่าในการผลิตโมเด็ม 5G C2 สำหรับ iPhone 18 แม้มีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยี 2nm ก็ตาม

    Apple กำลังจะเปิดตัวโมเด็ม 5G รุ่นใหม่ชื่อว่า “C2” สำหรับ iPhone 18 ในปี 2026 โดยเลือกใช้กระบวนการผลิตแบบ 4nm ‘N4’ ของ TSMC แทนที่จะใช้เทคโนโลยีล่าสุดอย่าง 2nm แม้จะมีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ก็ตาม

    จุดเด่นและเหตุผลเบื้องหลังการเลือกใช้เทคโนโลยีเก่า
    โมเด็ม C2 จะมาแทนที่ Qualcomm ใน iPhone 18 ทั้งซีรีส์ ซึ่งรวมถึงรุ่นพับได้ของ Apple
    แม้ Apple ได้สิทธิ์มากกว่า 50% ของการผลิต 2nm ของ TSMC แต่เลือกใช้ 4nm N4 สำหรับโมเด็ม C2
    นักวิเคราะห์ Ming-Chi Kuo ระบุว่า โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานมาก และการใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ
    C2 จะรองรับทั้ง mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1 และ C1X ที่ใช้ใน iPhone 16e

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Apple จะใช้โมเด็ม C2 ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 4nm N4 ของ TSMC
    iPhone 18 จะเป็นรุ่นแรกที่ใช้โมเด็ม C2 แทน Qualcomm
    แม้มีสิทธิ์ใช้ 2nm แต่ Apple เลือกใช้เทคโนโลยีเก่าเพื่อประหยัดต้นทุนและความเหมาะสมทางเทคนิค
    C2 รองรับ mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1
    TSMC N4 มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 5% และความหนาแน่นทรานซิสเตอร์เพิ่มขึ้น 6% จาก N5

    เหตุผลที่ไม่ใช้เทคโนโลยีใหม่
    โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานสูง
    การใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ
    ผลตอบแทนจากการลงทุนในการพัฒนาโมเด็มไม่สูง

    https://wccftech.com/apple-c2-to-be-mass-produced-on-older-tsmc-process-says-report/
    📶🔧 Apple เตรียมใช้เทคโนโลยีเก่าในการผลิตโมเด็ม 5G C2 สำหรับ iPhone 18 แม้มีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยี 2nm ก็ตาม Apple กำลังจะเปิดตัวโมเด็ม 5G รุ่นใหม่ชื่อว่า “C2” สำหรับ iPhone 18 ในปี 2026 โดยเลือกใช้กระบวนการผลิตแบบ 4nm ‘N4’ ของ TSMC แทนที่จะใช้เทคโนโลยีล่าสุดอย่าง 2nm แม้จะมีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ก็ตาม 📱 จุดเด่นและเหตุผลเบื้องหลังการเลือกใช้เทคโนโลยีเก่า 💠 โมเด็ม C2 จะมาแทนที่ Qualcomm ใน iPhone 18 ทั้งซีรีส์ ซึ่งรวมถึงรุ่นพับได้ของ Apple 💠 แม้ Apple ได้สิทธิ์มากกว่า 50% ของการผลิต 2nm ของ TSMC แต่เลือกใช้ 4nm N4 สำหรับโมเด็ม C2 💠 นักวิเคราะห์ Ming-Chi Kuo ระบุว่า โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานมาก และการใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ 💠 C2 จะรองรับทั้ง mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1 และ C1X ที่ใช้ใน iPhone 16e ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Apple จะใช้โมเด็ม C2 ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 4nm N4 ของ TSMC ➡️ iPhone 18 จะเป็นรุ่นแรกที่ใช้โมเด็ม C2 แทน Qualcomm ➡️ แม้มีสิทธิ์ใช้ 2nm แต่ Apple เลือกใช้เทคโนโลยีเก่าเพื่อประหยัดต้นทุนและความเหมาะสมทางเทคนิค ➡️ C2 รองรับ mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1 ➡️ TSMC N4 มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 5% และความหนาแน่นทรานซิสเตอร์เพิ่มขึ้น 6% จาก N5 ✅ เหตุผลที่ไม่ใช้เทคโนโลยีใหม่ ➡️ โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานสูง ➡️ การใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ ➡️ ผลตอบแทนจากการลงทุนในการพัฒนาโมเด็มไม่สูง https://wccftech.com/apple-c2-to-be-mass-produced-on-older-tsmc-process-says-report/
    WCCFTECH.COM
    Apple’s Next In-House 5G Modem, The C2, Will Use An Older Manufacturing Process From TSMC Next Year, Unlike The A20 & A20 Pro
    The iPhone 18 series will use A20 and A20 Pro chipsets made on TSMC’s 2nm process, but the C2 5G modem will leverage an older technology
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 81 Views 0 Reviews
  • จีนเปิดตัว BIE-1 ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เลียนแบบสมอง ขนาดเท่าตู้เย็น ใช้ไฟบ้านธรรมดา!

    นักวิทยาศาสตร์จีนจาก Guangdong Institute of Intelligent Science and Technology ได้เปิดตัว “BI Explorer 1” หรือ BIE-1 ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ AI แบบ neuromorphic ที่เลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ โดยมีขนาดเท่าตู้เย็นเล็ก แต่ประสิทธิภาพระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ พร้อมใช้ไฟบ้านทั่วไป

    จุดเด่นของ BIE-1
    ขนาดกะทัดรัด: เทียบเท่าตู้เย็นขนาดเล็ก แต่สามารถทำงานได้เทียบเท่าระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดห้อง
    ประหยัดพลังงาน: ใช้พลังงานน้อยกว่าระบบทั่วไปถึง 90% และยังคงอุณหภูมิ CPU ไม่เกิน 70°C แม้ใช้งานหนัก
    ประสิทธิภาพสูง: มี 1,152 CPU cores, RAM 4.8TB DDR5 และพื้นที่จัดเก็บ 204TB
    ใช้เทคโนโลยีเลียนแบบสมอง: ประมวลผลแบบ neural network ที่สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    รองรับการใช้งานหลากหลาย: เหมาะสำหรับบ้าน, สำนักงาน, หรือแม้แต่การใช้งานแบบเคลื่อนที่ เช่น รถพยาบาลหรือห้องเรียนเคลื่อนที่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    BIE-1 เป็นเซิร์ฟเวอร์ AI แบบ neuromorphic ที่เลียนแบบสมอง
    ขนาดเท่าตู้เย็น ใช้ไฟบ้านทั่วไป
    มี 1,152 CPU cores, RAM 4.8TB และพื้นที่จัดเก็บ 204TB
    ใช้พลังงานน้อยกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วไปถึง 90%
    อุณหภูมิ CPU ไม่เกิน 70°C แม้ใช้งานเต็มที่
    เหมาะสำหรับการใช้งานในบ้าน, สำนักงาน, หรือพื้นที่เคลื่อนที่

    เทคโนโลยีเลียนแบบสมอง
    ใช้ neural network ที่สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    รองรับการประมวลผลแบบ multimodal เช่น ข้อความ, ภาพ, และเสียง
    เหมาะสำหรับงานด้านสุขภาพ, การศึกษา, และผู้ช่วย AI ส่วนบุคคล

    ความเปรียบเทียบกับระบบเดิม
    เทียบกับ Intel Hala Point และ SpiNNaker 2 ที่ใช้พื้นที่ขนาดใหญ่
    BIE-1 เป็นระบบแบบ standalone ที่ไม่ต้องใช้ SSD, HDD หรือ GPU
    ใช้พลังงานน้อยกว่า “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดห้อง” ถึง 90%

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    คำว่า “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์” ยังไม่มีนิยามที่ชัดเจน ทำให้การเปรียบเทียบอาจคลุมเครือ
    ยังไม่มีข้อมูลราคาหรือวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
    ข้อมูลจากแหล่งตะวันตกยังมีจำกัด อาจต้องรอการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพจริง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-builds-neuromorphic-ai-server-the-size-of-a-mini-fridge-bi-explorer-1-runs-on-a-household-socket-and-contains-1-152-cpu-cores
    🧠🧊 จีนเปิดตัว BIE-1 ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เลียนแบบสมอง ขนาดเท่าตู้เย็น ใช้ไฟบ้านธรรมดา! นักวิทยาศาสตร์จีนจาก Guangdong Institute of Intelligent Science and Technology ได้เปิดตัว “BI Explorer 1” หรือ BIE-1 ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ AI แบบ neuromorphic ที่เลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ โดยมีขนาดเท่าตู้เย็นเล็ก แต่ประสิทธิภาพระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ พร้อมใช้ไฟบ้านทั่วไป 📦 จุดเด่นของ BIE-1 💠 ขนาดกะทัดรัด: เทียบเท่าตู้เย็นขนาดเล็ก แต่สามารถทำงานได้เทียบเท่าระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดห้อง 💠 ประหยัดพลังงาน: ใช้พลังงานน้อยกว่าระบบทั่วไปถึง 90% และยังคงอุณหภูมิ CPU ไม่เกิน 70°C แม้ใช้งานหนัก 💠 ประสิทธิภาพสูง: มี 1,152 CPU cores, RAM 4.8TB DDR5 และพื้นที่จัดเก็บ 204TB 💠 ใช้เทคโนโลยีเลียนแบบสมอง: ประมวลผลแบบ neural network ที่สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 💠 รองรับการใช้งานหลากหลาย: เหมาะสำหรับบ้าน, สำนักงาน, หรือแม้แต่การใช้งานแบบเคลื่อนที่ เช่น รถพยาบาลหรือห้องเรียนเคลื่อนที่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ BIE-1 เป็นเซิร์ฟเวอร์ AI แบบ neuromorphic ที่เลียนแบบสมอง ➡️ ขนาดเท่าตู้เย็น ใช้ไฟบ้านทั่วไป ➡️ มี 1,152 CPU cores, RAM 4.8TB และพื้นที่จัดเก็บ 204TB ➡️ ใช้พลังงานน้อยกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วไปถึง 90% ➡️ อุณหภูมิ CPU ไม่เกิน 70°C แม้ใช้งานเต็มที่ ➡️ เหมาะสำหรับการใช้งานในบ้าน, สำนักงาน, หรือพื้นที่เคลื่อนที่ ✅ เทคโนโลยีเลียนแบบสมอง ➡️ ใช้ neural network ที่สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ รองรับการประมวลผลแบบ multimodal เช่น ข้อความ, ภาพ, และเสียง ➡️ เหมาะสำหรับงานด้านสุขภาพ, การศึกษา, และผู้ช่วย AI ส่วนบุคคล ✅ ความเปรียบเทียบกับระบบเดิม ➡️ เทียบกับ Intel Hala Point และ SpiNNaker 2 ที่ใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ ➡️ BIE-1 เป็นระบบแบบ standalone ที่ไม่ต้องใช้ SSD, HDD หรือ GPU ➡️ ใช้พลังงานน้อยกว่า “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดห้อง” ถึง 90% ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ คำว่า “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์” ยังไม่มีนิยามที่ชัดเจน ทำให้การเปรียบเทียบอาจคลุมเครือ ⛔ ยังไม่มีข้อมูลราคาหรือวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ⛔ ข้อมูลจากแหล่งตะวันตกยังมีจำกัด อาจต้องรอการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพจริง https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-builds-neuromorphic-ai-server-the-size-of-a-mini-fridge-bi-explorer-1-runs-on-a-household-socket-and-contains-1-152-cpu-cores
    0 Comments 0 Shares 96 Views 0 Reviews
  • เปิดโลกไมโครชิป: นักสะสมเผยภาพภายใน Intel 4004 ชิปโปรแกรมตัวแรกของโลก

    นักสะสมซีพียูนามว่า “CPU Duke” ได้เปิดเผยภาพภายในของ Intel 4004 ชิปไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลก ที่เปิดตัวเมื่อปี 1971 โดยใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในระดับนาโน เผยให้เห็นความซับซ้อนของเทคโนโลยีในยุคเริ่มต้นของการประมวลผล

    จุดเด่นของ Intel 4004

    Intel 4004 เป็นชิปขนาด 10,000 นาโนเมตร มีทรานซิสเตอร์จำนวน 2,300 ตัว
    เป็นโปรเซสเซอร์แบบ 4-bit ที่มีความเร็วเพียง 740kHz และใช้แรงดันไฟฟ้าสูงถึง 15V
    รองรับหน่วยความจำสูงสุดเพียง 4KB และสามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที
    ถือเป็นชิปแรกที่สามารถ “โปรแกรมได้” ด้วยซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการคอมพิวเตอร์

    CPU Duke ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ Entertechnikwelt ในสวิตเซอร์แลนด์ และทำการ “เปิดฝา” เพื่อเผยให้เห็นโครงสร้างภายใน เช่น ลวดเชื่อมภายในและชั้นโพลีซิลิคอนใต้แผ่นโลหะ ซึ่งเขาอ้างว่าสามารถนับทรานซิสเตอร์ได้ทีละตัว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel 4004 เป็นชิปแรกที่สามารถโปรแกรมได้ด้วยซอฟต์แวร์
    มีขนาด 10,000nm และทรานซิสเตอร์ 2,300 ตัว
    ความเร็ว 740kHz และแรงดันไฟฟ้า 15V
    รองรับหน่วยความจำเพียง 4KB
    สามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที
    ถูกออกแบบเพื่อใช้ในเครื่องคิดเลขของ Busicom ก่อนจะกลายเป็นชิปอเนกประสงค์

    การเปิดเผยโดย CPU Duke
    ใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในของ Intel 4004
    เห็นลวดเชื่อมและโครงสร้างโพลีซิลิคอนอย่างชัดเจน
    ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ในสวิตเซอร์แลนด์เพื่อการศึกษา

    ความสำคัญทางประวัติศาสตร์
    Intel 4004 เป็นจุดเริ่มต้นของยุคไมโครโปรเซสเซอร์
    เปลี่ยนแนวคิดจากฮาร์ดแวร์เฉพาะทางเป็นระบบที่สามารถเขียนโปรแกรมได้
    เป็นรากฐานของการพัฒนาชิปในยุคปัจจุบัน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/cpu-collector-exposes-microscopic-insides-of-intels-revolutionary-4004-chip-10-000nm-chip-was-the-worlds-first-programmable-microchip-processor
    🔬💡 เปิดโลกไมโครชิป: นักสะสมเผยภาพภายใน Intel 4004 ชิปโปรแกรมตัวแรกของโลก นักสะสมซีพียูนามว่า “CPU Duke” ได้เปิดเผยภาพภายในของ Intel 4004 ชิปไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลก ที่เปิดตัวเมื่อปี 1971 โดยใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในระดับนาโน เผยให้เห็นความซับซ้อนของเทคโนโลยีในยุคเริ่มต้นของการประมวลผล 🧠 จุดเด่นของ Intel 4004 💠 Intel 4004 เป็นชิปขนาด 10,000 นาโนเมตร มีทรานซิสเตอร์จำนวน 2,300 ตัว 💠 เป็นโปรเซสเซอร์แบบ 4-bit ที่มีความเร็วเพียง 740kHz และใช้แรงดันไฟฟ้าสูงถึง 15V 💠 รองรับหน่วยความจำสูงสุดเพียง 4KB และสามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที 💠 ถือเป็นชิปแรกที่สามารถ “โปรแกรมได้” ด้วยซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการคอมพิวเตอร์ CPU Duke ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ Entertechnikwelt ในสวิตเซอร์แลนด์ และทำการ “เปิดฝา” เพื่อเผยให้เห็นโครงสร้างภายใน เช่น ลวดเชื่อมภายในและชั้นโพลีซิลิคอนใต้แผ่นโลหะ ซึ่งเขาอ้างว่าสามารถนับทรานซิสเตอร์ได้ทีละตัว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel 4004 เป็นชิปแรกที่สามารถโปรแกรมได้ด้วยซอฟต์แวร์ ➡️ มีขนาด 10,000nm และทรานซิสเตอร์ 2,300 ตัว ➡️ ความเร็ว 740kHz และแรงดันไฟฟ้า 15V ➡️ รองรับหน่วยความจำเพียง 4KB ➡️ สามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที ➡️ ถูกออกแบบเพื่อใช้ในเครื่องคิดเลขของ Busicom ก่อนจะกลายเป็นชิปอเนกประสงค์ ✅ การเปิดเผยโดย CPU Duke ➡️ ใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในของ Intel 4004 ➡️ เห็นลวดเชื่อมและโครงสร้างโพลีซิลิคอนอย่างชัดเจน ➡️ ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ในสวิตเซอร์แลนด์เพื่อการศึกษา ✅ ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ➡️ Intel 4004 เป็นจุดเริ่มต้นของยุคไมโครโปรเซสเซอร์ ➡️ เปลี่ยนแนวคิดจากฮาร์ดแวร์เฉพาะทางเป็นระบบที่สามารถเขียนโปรแกรมได้ ➡️ เป็นรากฐานของการพัฒนาชิปในยุคปัจจุบัน https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/cpu-collector-exposes-microscopic-insides-of-intels-revolutionary-4004-chip-10-000nm-chip-was-the-worlds-first-programmable-microchip-processor
    0 Comments 0 Shares 71 Views 0 Reviews
  • SK hynix เปิดตัวกลยุทธ์ AI NAND ยุคใหม่ พร้อม SSD ความจุระดับเพตะไบต์ และความเร็วทะลุ 100 ล้าน IOPS

    ลองจินตนาการว่า AI ไม่ได้แค่ฉลาดขึ้น แต่ยังเร็วขึ้นและจัดการข้อมูลได้มหาศาลแบบที่ฮาร์ดดิสก์ธรรมดาเทียบไม่ติด ล่าสุด SK hynix ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่จากเกาหลีใต้ ได้เปิดตัวกลยุทธ์ใหม่ในงาน Global Summit 2025 ที่จะเปลี่ยนโฉมวงการเก็บข้อมูลสำหรับ AI โดยเฉพาะ

    พวกเขาแบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 3 สายหลัก ได้แก่ AIN D, AIN P และ AIN B ซึ่งแต่ละตัวมีจุดเด่นเฉพาะตัว:

    AIN D (Density): ใช้เทคโนโลยี 3D QLC NAND เพื่อสร้าง SSD ที่มีความจุระดับ “เพตะไบต์” สำหรับเก็บข้อมูล AI ขนาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายแทนที่ HDD แบบใกล้เคียงเซิร์ฟเวอร์

    AIN P (Performance): SSD ที่ออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI โดยเฉพาะ เช่นการค้นหาฐานข้อมูลแบบเวกเตอร์ ด้วยความเร็วสูงถึง 100 ล้าน IOPS ผ่าน PCIe 6.0 ภายในปี 2027

    AIN B (Bandwidth): ใช้เทคโนโลยี High Bandwidth Flash (HBF) ที่ร่วมพัฒนากับ SanDisk เพื่อให้ได้แบนด์วิดธ์ระดับเดียวกับ HBM แต่ยังไม่มีมาตรฐานกลางหรือตัวเลขประสิทธิภาพที่ชัดเจน

    นอกจากนั้น SK hynix ยังร่วมมือกับ SanDisk จัดงาน “HBF Night” เพื่อผลักดันการพัฒนา ecosystem ของ NAND สำหรับ AI โดยเฉพาะ ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ที่ผู้ผลิตหน่วยความจำกำลังปรับตัวเพื่อรองรับการเติบโตของ AI อย่างรวดเร็ว

    และถ้ามองจากภาพรวมของอุตสาหกรรมตอนนี้ เราจะเห็นว่าเทคโนโลยีเก็บข้อมูลกำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI ไม่ใช่แค่เรื่องของชิปประมวลผลอีกต่อไป แต่รวมถึงการจัดเก็บและส่งข้อมูลที่เร็วและใหญ่กว่าที่เคยเป็นมา

    กลยุทธ์ใหม่ของ SK hynix สำหรับตลาด AI
    เปิดตัวผลิตภัณฑ์ NAND 3 สาย: AIN D, AIN P, AIN B
    มุ่งเน้นการใช้งานเฉพาะด้าน เช่น การเก็บข้อมูล, การประมวลผล, และการส่งข้อมูลความเร็วสูง

    AIN D: ความจุสูงสุดในตลาด
    ใช้ 3D QLC NAND เพื่อสร้าง SSD ความจุระดับเพตะไบต์
    ตั้งเป้าแทนที่ nearline HDD สำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI

    AIN P: SSD ความเร็วสูงสำหรับ AI inference
    รองรับการประมวลผลแบบละเอียด เช่น vector search
    ความเร็วสูงสุด 100 ล้าน IOPS ผ่าน PCIe 6.0 ภายในปี 2027
    มีข้อจำกัดด้านแบนด์วิดธ์ของ PCIe 6.0 x4 ที่ต้องใช้ x8 หรือ x16 เพื่อให้ถึงเป้าหมาย

    AIN B: เทคโนโลยีใหม่ High Bandwidth Flash
    พัฒนาโดยร่วมมือกับ SanDisk
    เป้าหมายคือให้แบนด์วิดธ์ระดับ HBM แต่ยังไม่มีมาตรฐานกลาง
    เหมาะสำหรับงาน inference ที่ต้องการ throughput สูงโดยไม่ต้องเพิ่ม accelerator

    ความร่วมมือเพื่อผลักดันมาตรฐานใหม่
    SK hynix และ SanDisk จัดงาน HBF Night เพื่อรวมผู้พัฒนา ecosystem
    สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของตลาด NAND ที่มุ่งสู่ AI โดยเฉพาะ

    ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีที่ต้องจับตา
    PCIe 6.0 x4 ไม่สามารถรองรับ 100 ล้าน IOPS ได้จริง ต้องใช้ x8 หรือ x16
    AIN B ยังไม่มีตัวเลขประสิทธิภาพหรือกำหนดการวางจำหน่ายที่ชัดเจน
    มาตรฐานของ HBF ยังไม่ถูกกำหนด ทำให้การใช้งานยังไม่แพร่หลาย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/sk-hynix-unveils-ai-nand-strategy-including-gargantuan-petabyte-class-qlc-ssds-ultra-fast-hbf-and-100m-iops-ssds-also-in-the-pipeline
    🧠💾 SK hynix เปิดตัวกลยุทธ์ AI NAND ยุคใหม่ พร้อม SSD ความจุระดับเพตะไบต์ และความเร็วทะลุ 100 ล้าน IOPS ลองจินตนาการว่า AI ไม่ได้แค่ฉลาดขึ้น แต่ยังเร็วขึ้นและจัดการข้อมูลได้มหาศาลแบบที่ฮาร์ดดิสก์ธรรมดาเทียบไม่ติด ล่าสุด SK hynix ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่จากเกาหลีใต้ ได้เปิดตัวกลยุทธ์ใหม่ในงาน Global Summit 2025 ที่จะเปลี่ยนโฉมวงการเก็บข้อมูลสำหรับ AI โดยเฉพาะ พวกเขาแบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 3 สายหลัก ได้แก่ AIN D, AIN P และ AIN B ซึ่งแต่ละตัวมีจุดเด่นเฉพาะตัว: 💠 AIN D (Density): ใช้เทคโนโลยี 3D QLC NAND เพื่อสร้าง SSD ที่มีความจุระดับ “เพตะไบต์” สำหรับเก็บข้อมูล AI ขนาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายแทนที่ HDD แบบใกล้เคียงเซิร์ฟเวอร์ 💠 AIN P (Performance): SSD ที่ออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI โดยเฉพาะ เช่นการค้นหาฐานข้อมูลแบบเวกเตอร์ ด้วยความเร็วสูงถึง 100 ล้าน IOPS ผ่าน PCIe 6.0 ภายในปี 2027 💠 AIN B (Bandwidth): ใช้เทคโนโลยี High Bandwidth Flash (HBF) ที่ร่วมพัฒนากับ SanDisk เพื่อให้ได้แบนด์วิดธ์ระดับเดียวกับ HBM แต่ยังไม่มีมาตรฐานกลางหรือตัวเลขประสิทธิภาพที่ชัดเจน นอกจากนั้น SK hynix ยังร่วมมือกับ SanDisk จัดงาน “HBF Night” เพื่อผลักดันการพัฒนา ecosystem ของ NAND สำหรับ AI โดยเฉพาะ ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ที่ผู้ผลิตหน่วยความจำกำลังปรับตัวเพื่อรองรับการเติบโตของ AI อย่างรวดเร็ว และถ้ามองจากภาพรวมของอุตสาหกรรมตอนนี้ เราจะเห็นว่าเทคโนโลยีเก็บข้อมูลกำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI ไม่ใช่แค่เรื่องของชิปประมวลผลอีกต่อไป แต่รวมถึงการจัดเก็บและส่งข้อมูลที่เร็วและใหญ่กว่าที่เคยเป็นมา ✅ กลยุทธ์ใหม่ของ SK hynix สำหรับตลาด AI ➡️ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ NAND 3 สาย: AIN D, AIN P, AIN B ➡️ มุ่งเน้นการใช้งานเฉพาะด้าน เช่น การเก็บข้อมูล, การประมวลผล, และการส่งข้อมูลความเร็วสูง ✅ AIN D: ความจุสูงสุดในตลาด ➡️ ใช้ 3D QLC NAND เพื่อสร้าง SSD ความจุระดับเพตะไบต์ ➡️ ตั้งเป้าแทนที่ nearline HDD สำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI ✅ AIN P: SSD ความเร็วสูงสำหรับ AI inference ➡️ รองรับการประมวลผลแบบละเอียด เช่น vector search ➡️ ความเร็วสูงสุด 100 ล้าน IOPS ผ่าน PCIe 6.0 ภายในปี 2027 ➡️ มีข้อจำกัดด้านแบนด์วิดธ์ของ PCIe 6.0 x4 ที่ต้องใช้ x8 หรือ x16 เพื่อให้ถึงเป้าหมาย ✅ AIN B: เทคโนโลยีใหม่ High Bandwidth Flash ➡️ พัฒนาโดยร่วมมือกับ SanDisk ➡️ เป้าหมายคือให้แบนด์วิดธ์ระดับ HBM แต่ยังไม่มีมาตรฐานกลาง ➡️ เหมาะสำหรับงาน inference ที่ต้องการ throughput สูงโดยไม่ต้องเพิ่ม accelerator ✅ ความร่วมมือเพื่อผลักดันมาตรฐานใหม่ ➡️ SK hynix และ SanDisk จัดงาน HBF Night เพื่อรวมผู้พัฒนา ecosystem ➡️ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของตลาด NAND ที่มุ่งสู่ AI โดยเฉพาะ ‼️ ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีที่ต้องจับตา ⛔ PCIe 6.0 x4 ไม่สามารถรองรับ 100 ล้าน IOPS ได้จริง ต้องใช้ x8 หรือ x16 ⛔ AIN B ยังไม่มีตัวเลขประสิทธิภาพหรือกำหนดการวางจำหน่ายที่ชัดเจน ⛔ มาตรฐานของ HBF ยังไม่ถูกกำหนด ทำให้การใช้งานยังไม่แพร่หลาย https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/sk-hynix-unveils-ai-nand-strategy-including-gargantuan-petabyte-class-qlc-ssds-ultra-fast-hbf-and-100m-iops-ssds-also-in-the-pipeline
    0 Comments 0 Shares 94 Views 0 Reviews
More Results